วายที่25 ป่วยการเมือง
ในที่สุด วันนี้ก็มาถึง วันที่ผมกับพี่ตัดสินใจที่จะทำอะไรให้มันชัดเจนกว่าเดิม...
หลังปรับความเข้าใจกันแล้ว เฮียเปิดอกเล่าเรื่องที่คุยกับแม่ผมไว้ตอนไปหาผมคราวนั้น ผมรู้ คนสวยของผมเดาออกแน่นอนว่าพี่เฟย์เป็นอะไรกับลูกชายคนนี้ เพียงแค่ยังไม่ชัดเจน แม่ผมเลยไม่พูดอะไร อีกอย่างเห็นผมมีความสุขดี มีคนช่วยดูแล แต่หลังจากผมหอบกระเป๋ากลับบ้าน อะไรๆ คงเปลี่ยนไปจากเดิม
ผมเคยบอก ผมมีแม่แค่คนเดียว แม่เองก็เช่นกัน ดังนั้นเราถึงรักกันมาก ดังนั้นพี่ชายทำผมเสียใจ แม่จะไม่พอใจก็ไม่แปลก งานนี้หลังจากง้อลูกเสร็จ ต้องไปง้อแม่ยายต่อ แอบเห็นใจพี่เฟย์นิดๆ สะใจอีกนิดหน่อย
พี่เฟย์เลยตัดสินใจจะพูดเรื่องเราให้แม่ฟัง ทีแรกผมลังเล ไม่ใช่กลัวคนอื่นมองไม่ดี มันเลยจุดนั้นมานานแล้ว มันกลัวแม่จะเสียใจต่างหาก ผมไม่สามารถมีหลานให้แม่อุ้มได้ทั้งที่แม่ผมเคยถามถึง บอกว่าชอบเด็ก แต่จะให้ทิ้งพี่เฟย์ก็ไม่ได้อีก ผมรักของผม มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผมไม่สามารถรักใครได้เท่าพี่เฟย์อีก
เราสัญญาว่ามีอะไรจะคุยเปิดใจกัน ความลังเลของผม ผมเล่าให้พี่ชายฟัง เว้นเรื่องบอกรักมากนะ ใครจะไปกล้าบอก! อายตายเลยแบบนั้น ผมยิ่งหน้าบางๆ อยู่ ไม่ได้หนาโบกปูนซีเมนต์ราดยางมะตอยเสริมเหล็กเส้นอย่างพี่เฟย์นะ
พูดไปพูดมาเหมือนด่าแฟนตัวเอง ไม่เอาไม่ดีเลิกๆ ตีปากแปะๆ กลับเข้าเรื่องต่อ พี่เฟย์เข้าใจความรู้สึกของผม ยอมผลัดวันออกไป ให้ผมพร้อมกว่านี้ค่อยบอก ใจหนึ่งไม่อยากให้มันค้างคา หลังจากนั้นสามวัน ผมตัดสินใจจะไปบอกแม่ในวันหยุด
อุตส่าห์เตรียมใจมาทั้งอาทิตย์ คิดวางแผน A B C ถึง Z ว่าจะบีบน้ำตา เล่นบทโศกแบบไหนดีให้เรื่องจบอย่างสวยงาม แต่!... แต่พี่ชายดันไม่สบายซะได้!
คนที่เคยถึกขนาดลุยฝน ฝ่าน้ำตกยังบ่ยั่นถึงกับล้มหมอนนอนเตียงหรูอีกรอบ เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้โหมร่างกายมากเกินไป พักผ่อนไม่เพียงพอ และไม่ยอมไปหาหมอตามกำหนดตลอดหนึ่งเดือนที่ตามตื้อผม ความแข็งแรงที่มีมาทั้งหมดเลยพังโครมลง ภูมิต้านทานลด ปวดหัวบ้าง เป็นหวัดบ้าง
ผมบอกให้ไปโรงพยาบาลหาคุณหมอคนนั้นก็ไม่ยอมไป ดื้อ!
กระทั่งวันนี้ เป็นหนักกว่าที่ผ่านมา หวัดรับประทานควบอาการไมเกรนกับไซนัส ผมมองหน้าพี่ชายสุดหล่อ ยามนี้พะงาบบนเตียงด้วยสายตาอิดหนาระอาใจหมดมาดเลยทีเดียว
หันกลับไปมองยาอีกถุงใหญ่ มื้อหนึ่งกินทีแทบอิ่มแทนข้าว ไม่อยากจะนึกถึงวัยเด็กของพี่เฟย์เลย ส่วนเรื่องพาไปหาหมอน่ะเหรอ เป็นขนาดนี้ก็ต้องไปสิ เรื่องมันเกิดเมื่อตอนเช้าวันนี้
ทุกวันพี่ชายจะตื่นก่อนเพื่อมาทำอาหารเช้า วันนี้กลับตื่นสายทั้งที่ต้องทำงาน ผมนอนอยู่ข้างๆ ได้ยินเสียงหายใจไม่ปกติ พอชะโงกดูเห็นสีหน้าอึดอัดทรมาน มืออังหน้าผาก ไม่มีไข้ทำไมอาการหนัก ผมลงจากเตียงขมวดคิ้วมองหน้าพี่ชายอย่างคนทำอะไรไม่ถูก
“พี่... พี่เฟย์”
ลองสะกิดเรียกชื่อดู ดวงตาปรือมองเห็นสีหน้าร้อนรนของผม พี่ชายยิ้มบางให้ ยกมือหนามาลูบหัว
“พี่ไม่สบาย เช้านี้หาอะไรง่ายๆ กินนะ ขอนอกพักสักหน่อย ฝากเอายากับน้ำมาให้พี่ด้วย”
เสียงทุ้มนุ่มบัดนี้แหบแห้ง
“ไม่ต้องห่วงเรื่องปากท้องผมหรอก ห่วงตัวเองก่อนดีกว่ามั้ง ผมว่าเป็นหนักขนาดนี้กินยาคงไม่หายแล้ว ไปโรงพยาบาลกันเถอะ ผมจะลงไปเรียกแท๊กซี่เอง”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงขอร้อง พี่ชายนิ่งไปสักพัก สุดท้ายก็ยอมใจอ่อน พยักหน้ารับบอกให้ผมช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะเจ้าตัวโลกหมุน จับพี่ชายเปลี่ยนชุดเสร็จ ผมแจ้นลงไปชั้นล่างทั้งที่ใส่ชุดนอนลายอุ้งเท้าแมวนั่นแหละไปโบกแท๊กซี่ขอให้พี่ยามขึ้นมาช่วยพยุงเฮีย
มานึกได้ตอนเปลี่ยนเสื้อในห้อง อายก็อาย ร้อนใจก็ร้อนใจ เอาเถอะ ทำใจเตรียมรับรอยยิ้มแปลกๆ จากพี่พนักงานชั้นล่างแล้วกัน
ลุงยามช่วยผมพยุงพี่เฟย์พาขึ้นรถแท็กซี่มุ่งหน้าสู่โรงพยาบาล ระหว่างทางผมใช้โทรศัพท์พี่เฟย์โทรบอกหมอประจำตัวเฮียเขา ทางนั้นบอกพามาได้เลย
พอถึงโรงพยาบาลหมอเดินมาด้วยตัวเอง หน้ายักษ์มา ขนาดผมยังหวาด พี่ชายไม่นำพายังยิ้มให้หมอทั้งที่หน้าซีด โดนลุงหมอลากเข้าไปถามไถ่อาหาร สั่งยาให้ พร้อมเทศนาจนหูชา พี่ชายร้ายกาจมากแทนที่จะนั่งฟังเทศน์คนเดียว ดันจับมือผมไว้ไม่ยอมปล่อยให้ออกมารอข้างนอก
“ที่พูดเนี่ย... ปฏิบัติตามด้วยนะครับ!”
ลุงหมอย้ำเสียงหนัก
“เข้าใจนะลูกแมว ดูแลพี่ดีๆ ตามที่หมอสั่ง” คนป่วยไม่สิ้นฤทธิ์หันหาถามผมสีหน้าจริงจัง ผมเห็นหมอคิ้วกระตุกด้วยอะ
“เฮ้อ… ยิ่งแก่ยิ่งดื้อ! น้องปอนด์ช่วยดูแลพี่เขาหน่อยนะครับ หมอไม่อยากเห็นหน้าบ่อยๆ”
คุณหมอหันมายิ้มใจดี ส่งวิตามินซีสำหรับแจกผู้ป่วยเด็กมาให้ผมด้วย กำลังจะอ้าปากบอกว่าผมโตจวนจะขึ้นปีสองอยู่แล้วนะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ ลุงหมอรู้แต่แรกแล้วนี่หว่า แสดงว่าตั้งใจหยอกผมชัดๆ คนป่วยไม่เจียมสังขารหัวเราะจนไอโขลกๆ
“ครับ จะดูแลอย่างดี”
กัดฟันพูดยื่นมือไปรับของกินฟรีมาแล้วไหว้ลา พาพี่ชายไปนั่งรอรับยา รอบก่อนตอนทำแผลพี่ชายเป็นคนทำ รอบนี้เป็นผมแทน จ่ายเงินรับยาหนึ่งถุงใหญ่ แอบส่องดูเห็นน้ำเกลือสองขวด ไซริ้งสองอัน กับยาเม็ดอื่นๆ ไม่รู้ว่าน้ำเกลือกับไซริ้งเอามาทำอะไร ไว้ถึงบ้านพี่เฟย์ใช้คงรู้แหละ
ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว พี่ชายทำอาหารไม่ไหว เลยแวะกินข้าวกันก่อนเข้าห้องทานยา
“ปอนด์ ช่วงนี้แยกนอนกันไปก่อน เดี๋ยวติดหวัด”
ผมพยักหน้ารับคำพี่เฟย์ ปล่อยเฮียนอน ส่วนตัวเองย้ายหมอน ผ้าห่ม ตุ๊กตากลับห้องตัวเอง แม้ไม่ได้มานอน แต่พี่ชายทำความสะอาดให้เสมอ ไม่มีฝุ่นเลยสักนิด
หลังแง้มประตูดูเห็นพี่เฟย์หลับไปแล้ว เรื่องทำความสะอาดห้องไม่ทำเด็ดขาด ผมเข็ด ต่อให้จมกองฝุ่นตายก็ไม่ทำ รอให้พี่ชายหายทำเองแล้วกัน ส่วนต้นไม้ตรงระเบียง สงสารมัน ค่อยๆ รดน้ำพอดินชุ่มไม่ต้องโชกท่วมกระถาง
“ตอนเย็นกินอะไรดีนะ”
ร่างเล็กพึมพำอยู่คนเดียว ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมา จริงสิ! ถือโอกาสนี้ทำอาหารดูดีกว่า เห็นแบบนี้ผมเป็นลูกมือแม่บ่อยนะ ไม่ว่าจะช่วยซื้อของที่ตลาด หรือหั่นล้างผัก แม้ไม่ชำนาญก็พอถูๆ ไถๆ ไปล่ะหน่า
อันดับแรกต้องไปซื้อของสดก่อน ในตู้เย็นหมดแล้ว ที่ตลาดแถวนี้ไม่มี ต้องไปที่ห้าง ผมเขียนโน้ตแปะไว้ให้เฮียว่าจะออกไปซื้อของ แล้วนั่งรถโดยสารไปห้างใกล้ๆ เดินตรงเข้าซุปเปอร์ ลากรถเข็นมาช้อปปิ้งคนเดียว
ผมไม่มีความชำนาญด้านการทำอาหารเหมือนอย่างแม่หรือเฮีย ดังนั้นผมต้องพึ่งสิ่งที่เรียกว่าสำเร็จรูป! ไม่ใช่มาม่ากับโจ๊กกระป๋องนะ หมายถึงหมูสับทรงเครื่องที่สับปรุงรสแล้ว เหลือแค่ตักใส่หม้อ ผักคงต้องซื้อไปจัดการเอง ผมอยากกินผักโขมใส่ข้าวต้ม งั้นเอาอันนี้แล้วกัน
ไหนๆ ก็ไหนๆ แวะซื้อขนมปังกับขนมอย่างอื่นติดห้องด้วยแล้วกัน มาทั้งทีซื้อนิดเดียวกลับเลยมันก็ยังไงอยู่ เพื่อความชัวร์ ผมโทรหาแม่ถามวิธีทำความต้มไปด้วย ขาดเหลืออะไรจะได้ซื้อเพิ่ม
กลับถึงห้องพี่ชายยังไม่ตื่น ผมเข้าครัวเตรียมอุปกรณ์ทำอาหาร เลือกใช้เท่าที่จำเป็น ไม่แตะของอย่างอื่น เครื่องครัวเฮียแต่ละอย่างโคตรแพง ที่สำคัญ เจ้าตัวหวงมาก!
“แม่ผมเตรียมของเสร็จแล้ว ทำไงต่อ”
พ่อครัวมือใหม่ ต้องมีผู้ชายมือโปรระยะไกล ผมเปิดลำโพงวางโทรศัพท์ไว้ตรงบาร์ จะได้ไม่เกะกะ
“ล้างข้าวสารให้สะอาด ไปตั้งหม้อต้มน้ำด้วย” ผมขานรับทำตามที่แม่บอก “แน่ใจนะว่าทำได้ แม่กลัวครัวพี่เขาจะระเบิดจริงๆ” น้ำเสียงเป็นห่วงสุดๆ ผมเบ้ปาก
“ผมแค่ทำข้าวต้มนะ ไม่ใช่ก่อการร้าย”
“หวังว่าเฟย์จะไม่ท้องเสียจนป่วยหนักกว่าเดิมนะ” แม่หัวเราะรื่นเริง ผมสิหน้ามุ่ยหนักกว่าเก่า สองแม่ลูกเริ่มสอนทำอาหารกันต่อจนกระทั่งออกมาเสร็จสมบูรณ์ ลองชิมรสดูนับว่าใช้ได้ จืดไปหน่อยเพราะผมกลัวหนักมือเลยใส่เครื่องปรุงนิดเดียว เอาหน่า อาหารคนป่วย
คิดดังนั้นจัดการปิดเตาตักข้าวต้มหอมใส่ถ้วยวางไว้บนโต๊ะ โรยผักชีที่เหลือในหลืบตู้เย็น เหยาะพริกไทยนิดหน่อยค่อยไปเรียกพี่เฟย์ออกมาทาน
ผมเขย่าปลุก พี่ชายงัวเงียตื่น หลังล้างหน้าจูงมือหนานั่งประจำตำแหน่ง ดวงตาคมมองข้าวต้มตาปริบๆ ผมลุ้นจนตัวโก่ง
“มีอะไรพี่ หน้าตามันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”
พี่ชายส่ายหัวจ้องข้าวต้มสลับห้องครัวเขม็ง อะไรฟ่ะ คนอุตส่าห์ทำข้าวต้มให้ทานยังจะห่วงครัวอีก ผมชักน้อยใจแล้วนะ
“ไม่ต้องห่วง ผมไม่ใช้ของซี้ซั้วแถมล้างหมดแล้ว” ยกเว้นหม้อกับทัพพีตักข้าวต้มเพราะยังต้องใช้
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร ทำเองเหรอ กินได้มั้ยเนี่ย” เสียงอู้อี้พูดแซว
“ไม่กินก็ไม่ต้องกิน กินคนเดียวก็ได้”
พอผมจะยึดถ้วยคืนพี่ชายดันเลื่อนหนีแล้วตักทาน ผมจ้องเป๋ง ลุ้นยิ่งกว่าตอนผลสอบออกอีก
“เป็นไงบ้าง อย่าค้าง อย่าคิดนานสิ” ผมเร่ง พี่ชายยังคงลีลาทำตัวเป็นนักชิมระดับโลกไปได้
“อืมม... ไม่รู้สิ พี่ป่วยอยู่ ไม่ได้กลิ่น ทานอะไรก็ไม่รู้รส”
เจอคำตอบเข้าไปทำเอาเงิบ อ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้จะบ่นหรือด่าดี พี่ชายยิ้มกว้างยกมือหนาโยกหัวผมไปมาเบาๆ
“แค่ปอนด์ทำให้พี่ก็ดีใจแล้ว เอาไว้พี่หายค่อยเอาใหม่เนอะ คราวนี้พี่จะชิมช่วยติชมอย่างดี”
“ไม่ต้องเลย ของดีมีครั้งเดียว” แยกเขี้ยวใส่ ไปตักมาทานบ้าง รสชาติจืดเหมือนขาดอะไรไปหลายอย่าง ช่างมันผมเป็นพวกกินง่ายๆ ทานให้อิ่มก็พอ ส่วนพี่ชายจะได้ทานยา
ด้วยความที่ป่วยอยู่ พี่ชายเลยทานได้ไม่มาก ผมไม่นึกน้อยใจ เข้าใจอยู่ ตอนผมป่วยก็อารมณ์เดียวกับพี่ อยากนอนอย่างเดียวไม่อยากอาหารอะไร
ผมเป็นคนเก็บถ้วยล้างเช็ดโต๊ะทำความสะอาดห้องครัว แอบแวบดูพี่เฟย์รอบหนึ่ง เห็นพี่ชายกำลังถือขวดน้ำเกลือกับไซริ้งและแก้วหนึ่งใบเข้าห้องน้ำ ผมเดินตามไปชะเง้อมองสนอกสนใจ
“พี่ไซริ้งกับน้ำเหลือหมอให้มาทำอะไรเหรอ”
“ล้างโพรงจมูกไง พี่เป็นไซนัสนี่”
“แล้วมันใช้ไงอะ”
“ก็ใช้ไซริ้งดูดน้ำมา... แล้วเราจะรู้ไปทำไมเนี่ย เป็นก็ไม่ได้เป็น” หลงตอบคำถามได้นานสองนานไม่น่ารู้สึกตัวเลย
“ก็แค่ถามดูอยากรู้ ไม่เคยเห็นคนทำ” ผมกระแซะตัวเข้าหา ไปเบียดกับพี่ชายตรงอ่างล้างหน้า ใบหน้าหล่อออกเซียวเพราะอาการป่วยกรอกตาเอือมระอา
“เจ้าหนูจำไมออกไปซะ พี่จะได้รีบทำรีบนอน ยาไมเกรนทำให้หนักหัวเป็นบ้า”
ท้ายประโยคร่างสูงบ่นพึมพำ อยากดื้ออยู่ต่อนะ ติดที่เห็นใจคนป่วย ยอมจากไปโดยดี ปล่อยพี่ชายไว้ในห้องน้ำ ได้ยินเสียงอุบอิบไล่หลัง
“ให้ปอนด์เห็นไม่ได้เด็ดขาด ไม่น่าดูเลยสักนิด...”
ก๊ากกก! อยากหัวเราะให้ฟันร่วง นี่พี่ชายห่วงมาดตัวเองเหมือนกันเหรอเนี่ย อารมณ์แบบไม่อยากให้คนที่ชอบเห็นสภาพแย่ๆ ของตัวเองใช่มั้ย ขำก็ขำ เขินตามอีกต่างหาก เพราะนั่นหมายถึงผมเป็นคนสำคัญของพี่เฟย์
กรณีของผม ไม่มีอะไรเหลือให้อายแล้วครับ พี่ชายเห็นหมดทุกสิ่งอัน ฮรือออ รับผิดชอบเค้าด้วย เค้าไปเป็นเจ้าบ่าวให้ใครไม่ได้แล้ว เรื่องมันเศร้า
สักพัก พี่ชายออกมาจากห้อง เดินเซทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ผมช่วยเดินเข้าไปจัดท่าเก็บแขนเก็บขาให้พี่ชายนอนดีๆ พร้อมห่มผ้าให้เสร็จสรรพ จังหวะกำลังผละออก มือหนาคว้าข้อมือของผมไว้
“จะเอาอะไรเหรอ” ผมเอียงคอถาม
“มานั่งนี่หน่อย” เฮียตบเตียงข้างตัวเองปุๆ ผมเข้าไปนั่งอย่างว่าง่ายรอดูว่าพี่ชายจะทำอะไรต่อ
ร่างสูงขยับตัว เปลี่ยนจากหมอนมาหนุนที่ขาผมแทน มือหนาจับมือผมไปลูบเล่นยกจูบเบาๆ เสียหลายที ก่อนจะช้อนตามองผมด้วยรอยยิ้มบาง แววตาฉายประกายอ้อน นี่พี่เฟย์กำลังอ้อนผมอยู่ใช่มั้ย ใช่มั้ย! ตอบ!!
ความร้อนพุ่งขึ้นหน้า อยากม้วนตัวเองเป็นเกลียวโปเต้ ได้ยินเสียงจุ๊บๆ จากมือตัวเอง
“พอแล้วพี่ จะนอนก็นอนดีๆ”
“ขออยู่แบบนี้สักพัก ไว้พี่หายป่วยเมื่อไหร่ เราไปหาแม่ด้วยกันเนอะ หลังจากนั้นพี่จะพาเราไปที่บ้านด้วย ทางนั้นถามหาลูกสะใภ้กันใหญ่แล้ว”
“บ้านผมแล้วบ้านพี่ต่อ ไม่ยกขันหมากมาสู่ขอเลยล่ะ” ผมประชดแต่ยิ้มแก้มแตก
“ก็อยากอยู่ รอใครบางคนเรียนจบ จะจับแต่งงานซะเลย” น้ำเสียงหนักแน่น กลายเป็นผมทำหน้าเหวอ พี่ชายเอาจริงแน่ เหลือเวลาแค่สามปีนิดๆ ในการเตรียมใจสินะ ผมควรจะใส่ชุดเจ้าบ่าวหรือชุดเจ้าสาวดี...
“คิดอะไรอยู่ พอๆ เลิกคิด ลูบหัวพี่หน่อย”
“เฮ้ย ไม่เอา! พี่อายุมากกว่าผมนะ” จู่ๆ มาเปลี่ยนเรื่อง ผมปฏิเสธทันที แม่ผมสอนมาดี ควรให้ความเคารพผู้ที่มีอายุมากกว่า
“แต่ปอนด์เป็นแฟนพี่ นะ ลูบหน่อย”
หัวโตมาถูกับพุง ผมเม้มปาก ยื่นมือไปอย่างลังเล พี่เฟย์จับหมับไปวางบนหัวตัวเอง เส้นผมนุ่มลื่นมือจนเผลอลูบอย่างลืมตัว คนบนตักหลับตาพริ้มน่ามอง
“ปอนด์ เราเป็นแฟนกัน มีทุกอย่างเท่าเทียมกันไม่ต้องเกรงใจพี่นักก็ได้ เพราะไม่ว่าปอนด์จะอายุมากกว่า น้อยกว่าหรือเท่ากัน สุดท้ายพี่ก็ยังรักเรา ที่เป็นเราอยู่ดี”
คนป่วยปากหวาน มองผมตาหวานเชื่อม อยากสละเรือระเบิดตัวตายบัดเดี๋ยวนี้ ตอบอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้างุดๆ คนมองหัวเราะ ไล้หลังมือกับแก้มนุ่ม ผมหลับตาเอนหน้าเข้าหาสัมผัส ได้ยินพี่ชายสบถเบาๆ ถอยออกไปนอนตามเดิม ผมงงกับอาการที่จู่ๆ เปลี่ยนไปกะทันหัน
“แย่จริงๆ ไม่น่าป่วยเลย นับจากวันนี้ไปพี่จะดูแลสุขภาพให้ดี จะได้ไม่ต้องฝืนตัวเองแบบนี้”
“พี่ฝืนอะไรอะ ให้ผมทำแทนมั้ย” ลูกแมวถามพาซื่อ ไม่สังเกตแววตาของหมาป่าป่วย
“ทำได้ก็ดีสิ เราหน้าบางขนาดนี้ ทำไม่ได้หรอก อีกอย่างพี่ไม่อยากให้เราติดหวัดนะ”
“...” มีเพียงความเงียบแทนคำตอบ สมองประมวลผลตาม
“อยากกอด อยากหอมแก้ม อยากจูบ อยากทำ...”
“พอ!!” ชัดเลย น้ำเสียงกระเส่าหยอกเย้าแบบนี้ ไอ้พี่หื่นเอ๊ย ป่วยไม่เจียม เรื่องทำแทนผมต้องทำแบบ... แบบ...
ภาพเคะกับเมะในนิยายกับมังงะผุดเข้ามาในหัว รีบส่ายหน้าขวับๆ ไม่มีทาง ทำไม่ได้ ไม่ได้แน่นอน ไม่ๆๆ
“เอ้า สะบัดเข้าไป เดี๋ยวมึนหัวกันพอดี ปอนด์ไปอาบน้ำนอน พรุ่งนี้มีเรียนไม่ใช่รึไง”
“มีแต่ผมจะลาดูพี่ ขนาดพี่ยังลางานดูแลผมเลย” พี่ชายกำลังจะอ้าปากเถียง ผมยกนิ้วไปแตะริมฝีปากได้รูป “ผมลาแค่คาบเดียวไม่เป็นไรหรอก อาจารย์ให้โควต้าสามครั้ง อีกอย่างไว้ไปตามงานกับเพื่อนที่หลังได้ ดังนั้นผมจะดูแลพี่!”
ดวงตาคมมองปริบๆ ปากงับนิ้วผมจนต้องรีบดึงหนี บ้าเอ๊ย มีเลียด้วยเปื้อนน้ำลาย!
“ตามใจ ถึงยังงั้นก็ไม่ควรนอนดึกนะ”
“คร้าบๆ มีอะไรเรียกนะพี่ ตะโกนดังๆ เลยถ้าไม่มีแรงตะโกนไม่ไหวส่งกระแสจิตหรือเข้าฝันผมโลด” บอกแกมขำ ชั่งใจเพียงครู่ ก้มลงไปจูบแก้มคนหล่อเบาๆ แล้วเผ่นออกจากห้อง ทิ้งให้พี่ชายนอนอึ้งอยู่บนเตียง แขนหนายกก่ายหน้าผาก
“อย่าให้หายป่วยนะเจ้าตัวเล็ก!!”