วายที่22 เป็นเหตุ(แก้ไข)
ชีวิตประจำวันพวกผม พี่เฟย์ตื่นก่อนเตรียมมื้อเช้า ถึงเวลาปลุกผมให้อาบน้ำล้างหน้ามาหม่ำอาหาร ออกจากห้องพร้อมกัน พี่ชายไปทำงาน ส่วนผมไปมหาลัย ผมกลับไม่เป็นเวลา บางวันมีเรียนทั้งวันกลับเย็น บางวันมีกิจกรรมหรืองานกลุ่มกลับค่ำ บางวันเรียกแค่ช่วงเช้าไม่ก็ช่วงบ่าย เรียกได้ว่าหาความแน่นอนไม่ได้ ที่ชัวร์คือ มหาลัยหยุดวันเสาร์อาทิตย์ ถ้าไม่มีเหตุต้องไปทำอะไร ผมจะนอนอืดอยู่บ้านทั้งวัน
ส่วนพี่เฟย์เข้างานตอนแปดโมง เลิกหกโมง กลับถึงบ้านไม่เกินหนึ่งทุ่ม หยุดวันเสาร์อาทิตย์เหมือนผม เวลาว่างถ้าไม่นั่งดูหุ้นก็ทำขนม คิดค้นสูตรใหม่ๆ จนตู้เย็นเต็มไปด้วยอาหารไม่ต้องกลัวอดตาย ไม่ก็ทำความสะอาดห้องโดยมีผมคอยป่วน นึกคึกหน่อยค่อยไปเที่ยวห้างซื้อหนังสือกัน
เส้นทางชีวิตดูเรื่อยๆ ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ผมกลับคิดว่าแบบนี้ก็มีความสุขดี จนหลังจากวันที่มีโทรศัพท์ปริศนาโทรมาหาที่เฟย์นั้นแหละ ปากบอกว่าไม่ต้องสนใจ แค่เรื่องไร้สาระ แต่ผมเห็นพี่ชายรับโทรศัพท์บ่อยยิ่งกว่าคอลเซนเตอร์ซะอีก ทุกครั้งที่รับถ้าไม่หลบในห้องต้องไปคุยตรงระเบียง ดูมีลับลมคมใน
เวลาเข้างานพี่เฟย์ยังเหมือนเดิม ตอนเลิกดันช้ากว่าปกติ เป็นแบบนี้มาได้สองวันและมีแนวโน้มว่าจะอัพเกรดเพิ่มขึ้น
“ปอนด์ วันนี้พี่กลับดึก ปอนด์หาอะไรทานเลยนะไม่ต้องรอ”
อย่างเช่นตอนนี้...
พี่เฟย์โทรมาหาผมตอนเลิกเรียนแบบกะเวลามาพอดีเป๊ะ แล้ววางสายไปทำงานต่อ ผมยืนคิดอยู่หน้าคณะ ไม่อยากรีบกลับในเมื่อรีบกลับไปก็อืดอยู่คนเดียว เลยตัดสินใจแวะไปหาพวกซันดีกว่า อันดับแรกต้องโทรหามันก่อนว่าอยู่มหาลัยรึเปล่า ถ้ามันไม่มีเรียนวันนี้ ค่อยคิดอีกทีว่าผมจะไปสถิตที่ไหน แอบแวะไปร้านหนังสือก็ไม่เลว...
รอสายไม่นานซันกดรับน้ำเสียงห้วนสั้นตามเคย
/มีไร/
“เลิกเรียนยังอะ ไปกินข้าวกัน”
/กินข้าว? มื้อเย็นปกติกลับไปกินที่ห้องไม่ใช่รึไง/ ซันถามอย่างสงสัย ผมเกาหัวอธิบาย
“ช่วงนี้พี่เฟย์จะงานยุ่งกลับดึก เลยให้หากินเอง”
/อ่อ งั้นไปกินด้วยกันหมดเลย เดี๋ยวกูแวะไปรับโป้ก่อน มึงนั่งรถไปรอที่หน้ามหาลัย/
ซันกดวางสายทันทีหลังตัวเองพูดจบ ไม่รู้มันจะรีบไปไหน ว่าแต่เมื่อกี้บอกว่าจะไปรับโป้ใช่มั้ย ขอซับน้ำตาแปบ ปลื้มปริ่ม แสดงว่าสองคนนั้นตกลงปลงใจคบเป็นแฟนกันแล้วเรียบร้อย คิดถูกจริงๆ ที่ชวนพวกนั้นไปกินข้าว ไม่แน่ว่าผมอาจจะได้เห็นอาหารตาในระยะประชิดก็ได้นะ! หารู้ไม่ หลังจากนั้นความคิดผมเป็นได้เพียงความฝัน
มองเวลา เป็นช่วงเลิกเรียนคาบบ่ายของหลายสาขาพอดี รถมหาลัยคนแน่นเอี๊ยด จะให้รอคันต่อไปก็เกรงว่าพวกนั้นจะรอนานเกินไป ผมเลยพยายามใช้ตัวเอง เบียดกระแซะเกาะติดรถอย่างสุดความสามารถ ที่นั่งๆ มีแต่พวกผู้หญิง ผู้ชายอย่างผมเกาะกันเป็นลิงบาบูนรูดเสา รู้สึกอุจาดตาพิกล
ผมแทบสิงเสา เกร็งตัวสุดชีวิตไม่ให้ร่วงลงไปกลางทาง กว่าจะถึงที่หมายเล่นเอาเหน็บกิน เดินกระย่องกระแย่งเห็นพวกซันยืนรออยู่ พวกนั้นแทนที่จะเห็นใจผม กลับพากันหัวเราะเยาะ มิทหนักที่สุด มีหน้าชี้ชวนให้คนอื่นในกลุ่มดูอีก ผมดินเข้าไปหา สีหน้าบูดสนิท
“ขำกันอยู่ได้ ดูตัวเองก่อนเป็นไง ท่าเดินแปลกๆ นะมิท”
ผมสวนแบบไม่คิดอะไร มิทเสือกสะดุ้ง เฮ้ย!! อย่าบอกนะว่ามีซัมติงจริงๆ ใครกันหนอเป็นคนจัดการมิทจนอยู่หมัด
“กินร้านไข่กระทะกัน” โป้พูดขึ้นกลางวง เป็นนางฟ้าผู้พิทักษ์ของกลุ่ม ช่วยเหลือมิทผู้น่าสงสารที่โดนผมกับซันจ้องอย่างจับผิด ริวยักไหล่กอดคอมิทเดินนำไปก่อนใคร โป้ตามไปติดๆ ซันจงใจทิ้งช่วงเดินพร้อมกับผม
“คิดเหมือนกันใช่มั้ย กูว่ามันมีอะไรแปลกๆ” หนุ่มวิศวะผู้ยึดหลัก เรื่องของเพื่อนคือเรื่องของเรา เรื่องของเราก็คือเรื่องของเรานั่นแหละ ถามความเห็นผม อย่างกับนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สงสัย ผมมองตามหลังมิท มีโป้หันมาส่งซิกไม่ให้ถกประเด็นนี้
พอเข้าใจอยู่ ซันมันพวกรักเพื่อนแบบสุดลิ่มทิ่มประตู บางทีอาจเลยขอบเขตเรื่องส่วนตัวของคนอื่นก็ได้ ถึงมิทจะดูมีลับลมคมในจริงๆ ก็นะ เรื่องของเจ้าตัว ผมไม่ยุ่ง เปลี่ยนเรื่องแม่ง
“คงไม่แปลกซันหรอก เคลียร์กันแล้วเหรอ เห็นตอนแรกทำหน้าอย่างกับโลกแตก”
ซันสะอึกไม่ยอมตอบ โบกหัวผมทิ่ม ผมเลยใส่เข่ากลับ คนที่เจ็บมีแต่ซัน เพราะมันออมแรงให้ผม แค่พอมึนหัวนิดหน่อย
ถึงร้านไข่กระทะพวกเราเลือกนั่งนอกร้านรับลมสบาย เย็นแล้วไม่มีแดด ร้านนี้เป็นร้านสุดฮิตของเด็กมหาลัย เพราะมีเมนูหลายอย่างให้เลือกสรร หลักๆ ก็ไข่กระทะนี่แหละ ไข่ดาวไม่ก็ไข่เจียวใส่ท๊อปปิ้งพวกไส้กรอกอะไรก็ว่าไป ทีเด็ดของร้านนี้คือให้เยอะ ราคามาตรฐาน แถมยังมีพวกอาหารตามสั่งกับน้ำปั่นด้วย เรียกได้ว่าครบเครื่อง
พวกเราแยกกันสั่งคนละกระทะ พร้อมหารตามสั่งคนละจาน กะอิ่มยันพรุ่งนี้ เห็นซันคุยกับพวกมิท ผมนั่งข้างโป้เลยมีโอกาสกระซิบคุยกัน เพราะไม่ได้คุยในเน็ตเลยพักหลัง ขอถามความเป็นไปหน่อย
“ทุกอย่างโอเคปะตั้งแต่วันนั้น”
โป้ตักไข่ใส่ปากมองไปทางซันก่อศึกแย่งไส้กรอกกับริว
“ก็โอเคดี ปกติทุกอย่าง ปกติซะจนเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ปากบอกปกติ แต่สายตาและน้ำเสียงแห้งแล้งไปรึเปล่า แล้วยังประโยคหลังนั่นอีก โป้เหมือนไม่อยากให้ซักไซ้เลยซักผมแทนซะงั้น
“เฮียเฟย์ติดธุระเหรอ วันนี้ถึงกินข้าวนอกบ้านได้”
“อืมม บอกว่าวันนี้กลับดึกให้หาอะไรกินเอง”
“สงสัยคงงานยุ่งล่ะมั้ง ไม่ต้องคิดมาก มีไรโทรมาแล้วกัน” กลายเป็นโป้ปลอบผมแทนซะงั้น ขอเอาไปเป็นแม่คนที่สองได้มั้ย กอดหมับ ไอ้ซันหันขวับ เอามือยันหัวผมออกจากตัวโป้
“เฮ้ย น้อยๆ หน่อย นั่นของกู”
“ขี้หวงเอ๊ย อย่าลืม ใครเป็นพ่อสื่อ” ผมแลบลิ้นใส่ ได้ยินแบบนั้นคู่หูคู่ป่วนหูผึ่งทันที ส่วนโป้ยกมือนวดขมับ
“อะไรๆ มีพ่อสื่อด้วย พวกมึงคบกันแล้วเหรอ” มาถึงริวก็ถามเข้าประเด็น ขนาดผมยังผงะ ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ไอ้ซันมันยอมรับหน้าตาเฉย นี่ในร้านอาหารนะ ไม่คิดจะลดเสียงหน่อยเรอะ
“เออ กูกับมันคบกัน หนักหัวมึงรึไง”
“หัวพวกกูไม่หนักครับ เกรงจะไปหนักคนอื่น” มิทพูดขำๆ คนอื่นในร้านก้มหน้าก้มตากินเลิกสนใจพวกเรา ผมละเสียวจริง พวกนี้พูดอะไรที่ไม่เคยเกรงใจคนอื่นเล้ย
หมดของคาวตามด้วยของหวาน ขนมใส่น้ำเชื่อมน้ำแข็งคนละถ้วย มีของซันสั่งรวมมิตรอยู่คนเดียว แทนที่มันจะกิน ดันตักพวกเยลลี่มาให้ผม ผมมองมันด้วยสายตาซาบซึ้ง ยังไม่ทันอ้าปากขอบคุณ โป้บอกดักระหว่างตักถั่วแดงในถ้วยซันมากินหน้าตาเฉย ซันมันไม่ว่าด้วยนะ แถมยังตักของที่โป้ชอบให้แบบเต็มใจ ดูแลกันดี ไม่เห็นเป็นอย่างที่โป้พูดเลย สงสัยเจ้าตัวจะคิดมากไป
“ไม่ต้องไปขอบใจมันหรอก ซันมันเกลียดเยลลี่ พวกของหยึยๆ ทุกชนิด”
ชัดเจน!
“ทำดีแอบแฝงนี่หว่า” ผมแว้ดใส่ ซันยักไหล่
“หรือไม่กิน กูจะได้เอาให้ตัวอื่นแทน”
“กินดิ” ของถึงมือมีหรือจะปล่อย
“ก็แค่นั้น” ท่าทางซันตอนนี้โคตรยียวนกวนส้นทีน
ผมนั่งตักขนมเข้าปากอย่างดื่มด่ำ พี่เฟย์งานยุ่งไม่มีเวลาทำ ที่เคยทำไว้ผมกินเรียบหมดแล้ว ช่วงนี้เลยไม่ได้ทานของหวาน ช่างน่าสงสาร มิทนั่งเท้าคางมองพวกผม ในปากคาบช้อนใช้ลิ้นดันกระดกเล่นไปมา กับคนทั่วไปคงบอกไม่เหมาะ กับคนที่รู้ตื่นลึกหนาบางเรื่องวงการสีม่วง เล่นลิ้นแบบนี้มันชวนคิดนะ...
“ริวมึงดูดิ อย่างกับพ่อแม่ลูก”
“มึงเพิ่งเห็นเหรอ กูเห็นมานานละ คบกันไม่ทันไร มีพยานรักออกมาซะแล้ว เด็กสมัยนี้ไวไฟจริงๆ”
ไอ้หนุ่มญี่ปุ่นจีบปากจีบคอพูด ผลคือโดนซันยกขายันคู่ พวกมันกอดคอกันหัวเราะไม่เกรงใจชาวบ้าน ผมขอสาบานเลยว่า ถ้าไม่มากับพวกซัน ผมจะไม่มากินร้านนี้เด็ดขาด กลัวเขาจำได้แล้วคิดบัญชี ข้อหาก่อกวนความสงบ
กินเสร็จกลับถึงห้องประมาณสองทุ่ม ห้องยังปิดไฟมืดสนิท ไร้วี่แววของใครอีกคน ผมถอนหายใจเปิดไฟวางกระเป๋ากับถุงอาหารที่ผมแวะซื้อมาเผื่อพี่เฟย์ มั่นใจเลยว่าเฮียแกต้องยังไม่ทานอะไรมาแน่ แล้วมานั่งจ๋องอยู่หน้าคอม มองเวลาที่หน้าจอสลับมองประตูเป็นระยะ
เวลาสี่ทุ่มกว่าคนที่รอคอยโผล่มาสักที
“พี่กลับมาแล้ว” ประตูเปิดออก ผมรีบถลาไปช่วยเอากระเป๋าเอกสารไปเก็บในห้องพี่เฟย์ พอเดินออกมาเห็นพี่ชายนั่งหลับตาพาดแขนอยู่ตรงโซฟา ร่างสูงดูเหน็ดเหนื่อย นิ้วชี้เกี่ยวรูดไทออก ปลดกระดุมคอเสื้อให้คอโล่ง
“ตกลงพี่ทำงานหรือไปสู้รบกันใครกันแน่” ผมถามขณะเดินอยู่ด้านหลังพนักพิง ช่วยนวดบ่ากว้าง
“ทั้งสองอย่างแหละ ปอนด์มานั่งนี่ซิ” เจ้าตัวตบเบาะปุๆ ตรงตำแหน่งข้างตัว ผมอ้อมไปนั่งอย่างว่าง่าย จังหวะที่หันเข้าหา พี่เฟย์ดันตัวผมลงนอนบนโซฟา สองมือจับยึดข้อมือผมไว้ ก่อนซุกหน้าบนพุง นอนทับอย่างเต็มรูปแบบ
“เฮ้ยพี่ ทำอะไรเนี่ย! หนักนะ”
“พี่ขอเติมพลังหน่อย”
พักบ้านไหนเค้ามานอนซุกพุงกันแบบนี้ รู้ว่าชอบแมว แต่ผมไม่ใช่แมวนะเฮ้ย เอาเถอะ เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยหาเงินเลี้ยงครอบครัว ผมจะยอมนอนนิ่งๆ ให้พี่เฟย์หนุนพุงไปก่อนก็ได้ การเสียสละที่ยิ่งใหญ่
หนึ่งนาทีผ่านไป…
ห้านาทีผ่านไป…
สิบนาทีผ่านไป ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ…
“เฮ้ย! พี่อย่าเพิ่งหลับ ตื่นก่อน ไปทานข้าวแล้วอาบน้ำค่อยนอน” ผมดิ้นแด่วๆ อยู่ใต้ร่างหนา พี่เฟย์ร้องฮืมในคอ ยกมือชูห้านิ้ว
“ขออีก 5 นาที”
“5 นาทีแป๊ะอะไร ลุกเลยพี่ ลุกเดี๋ยวนี้ มันหนักนะ”
โดนผมโวยวายดิ้นมากๆ เข้า สุดท้ายต้องจำยอมลุกมานั่งคอพับต่อ หมดสภาพเลยพี่ตู ผมส่ายหัวไปอุ่นอาหารใส่จานมาเสิร์ฟถึงที่ พอพี่ชายทานหมดก็ไล่ไปอาบน้ำ ผมเป็นคนเก็บล้างเอง เห็นว่าเข้าห้องแล้วหายเงียบ ล้างจานเสร็จเลยชะเง้อไปดู ร่างสูงใส่ชุดนอนหลับไปแล้ว ผมปิดไฟ ปิดประตูกลับห้องตัวเอง
เช้าวันต่อมา ผมมีเรียนบ่ายเลยตื่นสายได้ ออกจากห้องเห็นความว่างเปล่าบนโต๊ะอาหาร ถึงกับขยี้ตามอง ตัวอักษรภาษาอังกฤษสามตัวเด้งเข้ามาในหัว
OMG!! พี่เฟย์ลืมทำข้าวเช้าทิ้งไว้ให้ ไม่ใช่ว่าผมต้องมีคนคอยดูแลตลอดนะ ไม่มีก็ไม่เป็นไร แวะซื้อของกินที่เซเว่นหรือหาข้าวกินที่มหาลัยก่อนเข้าเรียนได้ เพียงแต่ นี้เป็นครั้งแรกที่มิสเตอร์เพอร์เฟคอย่างพี่เฟย์ลืมกิจวัตรประจำวันไปหนึ่งอย่าง
เดินสำรวจดูในห้องครัว ไม่มีร่องรอยของการทำอาหารเลย แสดงว่าพี่เฟย์ออกไปทั้งๆ ที่ไม่ทานข้าวเช้า ปกติเจ้าตัวพร่ำพูดเสมอว่ามื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดแท้ๆ ด้วยสำนึกในตัวเองที่เป็นแมวให้พี่ชายเลี้ยงไปวันๆ จึงตั้งปณิธานว่า เย็นนี้กลับมาจะช่วยเหลือพี่เฟย์อย่างเต็มที่
สวรรค์เป็นใจ ผมเลิกเรียนกลับห้องมาเห็นพี่ชายกำลังเตรียมมื้อเย็นอยู่พอดี วันนี้พี่กลับมาเร็วจนน่าแปลก
“กลับมาแล้วคร้าบ วันนี้พี่กลับไวจัง” ผมเดินไปเกาะด้านหลัง พี่ชายในชุดผ้ากันเปื้อนสีเรียบแต่มีลายแมวกับอุ้งเท้าแมว เป็นภาพชินตาของผมไปแล้ว เจ้าตัวตอบทั้งที่ยังง่วนกันการเตรียมมื้อเย็น
“พอดีโดนที่บริษัทไล่ให้พัก พี่เลยกลับเร็ว แต่พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานอีก เมื่อเช้าพี่ขอโทษด้วย ลืมทำมื้อเช้าซะได้” พี่ชายหันมายิ้มให้แบบเหนื่อยๆ เอ๊ะ พรุ่งนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอ บริษัทมีปัญหารึเปล่า ผมไม่กล้าถามซะด้วยสิ
“ไม่เป็นไรพี่ เรื่องเล็ก ผมหากินที่มหาลัยได้ ให้ผมช่วยมั้ย” ตั้งใจไว้แล้วจะช่วยแบ่งเบา พี่ชายส่ายหัว
“ไปนั่งรอไป พี่จัดการเอง”
“น่านะ ให้ผมช่วยเถอะ ผักนี่ต้องล้างสินะ” ผมเสนอตัวเข้าหา เป้าหมายแรกคือผักใบเขียวสดอยู่ตรงอ่างล้างจาน
“พี่ล้างแล้ว”
“งั้นพี่จะเอาอะไรในตู้เย็นรึเปล่า เดี๋ยวผมหยิบให้”
“ปอนด์ พี่บอกไม่ต้องช่วยไง” น้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ผมยังยิ้มสู้
“พี่ทำงานมาเหนื่อยๆ ให้ผมช่วยดีกว่า หยิบจานๆ”
พี่เฟย์เตรียมวัสถุดิบไว้เพียบ แต่ยังไม่มีจานสำหรับใส่ตอนทำเสร็จ ผมเลยเปิดตู้ช่วยหยิบจานมาวางเรียงให้ หันไปมองอีกทีพี่เฟย์ขมวดคิ้ว ถอนหายใจหนัก แล้วดันหลังผมออกจากห้องครัว
“วางจานแบบนั้นมันก็เกะกะน่ะสิ เดี๋ยวชนแตกกันพอดี ถ้าอยากช่วยนักไปจัดโต๊ะรอซะ”
พยักหน้ารับ รีบไปจัดให้ตามที่ขอ พอมองโต๊ะทานอาหาร มันสะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่ต้องทำอะไรเลย อย่างมากแค่หยิบจานช้อนส้อมมาวางรอเท่านั้น ผ่านไปสักพักเมนูง่ายๆ ถูกจัดวางบนโต๊ะ
วันนี้ช่วยพี่ชายไม่สำเร็จ แต่ผมไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ในเมื่อพี่ชายต้องไปทำงานในวันหยุด ไม่มีเวลาทำความสะอาดห้อง ผมเลยผันตัวเองเป็นพ่อบ้านหนึ่งวัน หยิบจับอุปกรณ์ทำความสะอาดเท่าที่ทำได้ อย่างพรมนี่ใช้เครื่องดูดฝุ่น ตามโต๊ะ ตู้ ชั้นหนังสือใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดฝุ่น รดน้ำสมุนไพรตรงระเบียง หลังเสร็จสิ้นภารกิจ เก็บอุปกรณ์เข้าที่ตามเดิม
ขอบอกว่าห้องพี่ชายใหญ่มาก กว่าผมจะทำเสร็จเหนื่อยแทบล้มตาย นอนแผ่กองอยู่กลางห้อง ดูผลงานอย่างภาคภูมิใจ ถึงมันจะไม่สะอาดใสปิ๊งแบบพี่เฟย์ทำ ยังนับว่าดูได้ ที่เหลือคือรอเวลาพี่ชายกลับมาเห็นผลงาน
ผมลุกไปอาบน้ำล้างเหงื่อ มานั่งเล่นคอมรอเวลาพี่ชายกลับ เจ้าตัวกลับมาเห็นผลงานก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ลูบหัวแล้วบอกว่าผมไม่ต้องทำก็ได้ เอาไว้ว่างๆ จะทำเอง ผมส่ายหัว อย่างพี่ชายเนี่ยนะว่าง เห็นงานยุ่งหัวหมุน เวลาพักแทบจะยังไม่มี สรุป ผมยังคงช่วยต่อ
หลายวันผ่านไป ผมทำความสะอาดอีกครั้ง รอบนี้พี่เฟย์ไม่ตอบรับ เอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวด ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า พูดกันนับคำได้ จนถึงเวลาเข้านอนพี่เฟย์ลากผมมานั่งคุยที่โซฟา ผมรู้สึกใจไม่ดี...ผมทำอะไรผิดรึเปล่า?
“ปอนด์ พี่พูดตรงๆ นะ เราไม่ต้องช่วยพี่ แค่อยู่เฉยๆ ก็พอ”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ รู้มั้ยพรมเนี่ยมันทำความสะอาดยังไง ที่เราทำไปมีแต่จะทำให้พรมเสียหาย แล้วยังสมุนไพรตรงระเบียงนั่นอีก รดน้ำขนาดนั้นเดี๋ยวเน่ากันพอดี พวกของใช้ในห้องด้วย” ผมสะอึก รู้สึกหน้าชา เม้มปากเป็นเส้นตรง
“ผมขอโทษ...ผมแค่อยากช่วย”
“ไม่จำเป็น เอาเป็นว่า เราอยู่นิ่งๆ ไม่ทำอะไรเลยนั่นแหละ ถือว่าช่วยพี่แล้ว ไปนอนซะ พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้าไม่ใช่รึไง”
ผมหน้าเสีย น้ำเสียงห้วนที่ได้ยินมันบาดลึก ทั้งที่ผมตั้งใจจะช่วยแท้ๆ กลับทำให้พี่หงุดหงิดมากกว่าเดิม ได้แต่ก้มหน้าเดินเข้าห้องนอนใหญ่ ยังไม่ทันถึงประตู พี่ชายดันร้องห้าม ชิงเดินเข้าห้องนอนไปก่อน สักพักออกมาพร้อมกับผ้าห่ม หมอน ตุ๊กตา ทุกสิ่งที่เป็นของผม…
ตั้งแต่คบกันผมนอนห้องเดียวกับพี่ชายตลอด แล้วพี่ขนข้าวของออกมายัดใส่แขนผมแบบนี้ มันหมายความว่ายังไง ผมมองหน้าพี่ชายสลับกับของในมือ
“พี่...” ผมเรียกเสียงอ่อย มองอย่างไม่เข้าใจ พี่ชายจ้องผมด้วยสีหน้าที่ไม่เคยเห็น
“กลับไปนอนห้องตัวเอง ช่วงนี้พี่อยากนอนคนเดียว”
สิ้นคำประตูถูกปิดต่อหน้า ผมตาโตมองประตูที่อยู่ห่างแค่เอื้อม แต่ในเวลานี้มันเหมือนมีกำแพงอะไรบางอย่างมาขวางกั้นเอาไว้ ทั้งคำพูด การกระทำของพี่ชายช่วงหลังๆ เหมือนฉายซ้ำเข้ามาในหัว มีหลายครั้งร่างสูงทำท่าเหมือนรำคาญ นึกย้อนไปเหมือนตอกย้ำความกังวลของตัวเอง ลึกๆ ผมกลัวว่าพี่เฟย์ไม่ชอบผมแล้วรึเปล่า เบื่อกับคนที่อายุน้อยกว่าทำอะไรไม่ได้สักอย่างใช่มั้ย
ขอบตาเริ่มร้อนผาว ผมกอดผ้าในอ้อมแขน ทรุดตัวลงนั่งซุกหน้ากลั้นเสียงสะอื้นเบาๆ นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ทำกับผมแบบนี้ ทำสีหน้าเย็นชาใส่ ไล่ผมออกจากห้องแล้วยังปิดประตูใส่หน้าอีก
ก้อนแข็งมาจุกอยู่ที่ลำคอ ผมร้องไห้เงียบๆ ปล่อยให้น้ำตาซึมกับผ้าห่ม ขมวดคิ้วแน่นจนปวดหัว ปล่อยตัวเองนั่งอยู่ในความมืดหน้าห้องนอน ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้เลยว่าสภาพผมตอนนี้มันแย่แค่ไหน ในอกปวดแปลบไปหมด นึกน้อยใจ ทำไมพี่ต้องโกรธผมขนาดนี้ด้วย ผมอาจจะทำผิดจริง แต่ผมทำไปเพราะหวังดีและสิ่งที่ทำมันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรขนาดนั้น ทั้งที่ตัวเองเคยพูดแท้ๆ ว่าข้าวของพวกนั้นไม่สำคัญเท่าผม งั้นสิ่งที่ผมเจออยู่นี่หมายความว่ายังไง
ผมนั่งสะอึกสะอื้น ลองเรียกพี่ชายดูก็แล้ว ยังไร้ปฏิกิริยาตอบรับจากคนในห้อง ปกติแค่นิดๆ หน่อยๆ พี่ชายเป็นห่วงผมจะเป็นจะตาย แล้วทำไมผมเสียใจร้องไห้เพราะพี่ พี่ถึงไม่ออกมาปลอบล่ะ อย่างน้อยๆ ช่วยมาพูดดีๆ กันสักคำก็ยังดี ผมไม่ใช่เด็กไม่รู้จักโตที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักหน่อย
อาการของพี่ตอนนี้เหมือนระชนวนที่ใกล้ระเบิด คงจะเครียดจากเรื่องงาน พอเจออะไรไม่ได้ดั่งใจเลยเผลอพาลใส่อย่างที่ไม่เคยเป็น ใจมันรู้นะ แต่ความรู้สึกมันสวนทางจนเริ่มสับสนไปหมด
สุดท้ายผมเลยตัดสินใจลองหาเรื่องให้พี่เฟย์ออกมาจากห้อง จะได้คุยให้เคลียร์ไม่อยากปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ ผมยังอยากให้พี่ยิ้มให้ผมไม่ใช่ทำหน้ายักษ์
ด้วยความที่กำลังสับสน ผมคิดวิธีไม่ออก เลยเลือกวิธีสิ้นคิด เอากำปั้นทุบหมอนจนเกิดเสียงตุบตับ ทั้งที่น้ำตายังไหลพรากๆ ดูเหมือนว่ามันจะได้ผล ผมได้ยินเสียงกุกกักภายในห้อง ใครจะไปคิดล่ะว่าพี่ชายจะพูดออกมาแบบนี้!
“อย่าอาละวาดมันหนวกหู พรุ่งนี้พี่ต้องไปทำงานแต่เช้านะ โตแล้วมีเหตุผลหน่อยสิ!”
ผมอึ้งค้างชะงักอยู่กับที่ ไม่คิดเลยว่าพี่ชายจะพูดแบบนี้ ความอ่อนไหวทำให้อารมณ์แปรปรวน ทั้งเสียใจทั้งโมโห จงใจใช้หมอนขว้างใส่ประตูพาลกลับ
“พี่นั่นแหละไม่มีเหตุผล! เป็นอะไรมาไม่รู้ อย่ามาพาลใส่กันสิโว้ย ไอ้พี่บ้า ไอ้พี่เฮงซวย ไม่ยุ่งด้วยแล้ว ทำงานให้เหลือแต่โครงกระดูกไปเลยไป๊!!”
ปิดท้ายด้วยถีบประตูแรงๆ ไปหนึ่งที ได้ยินเสียงคนลุกจากเตียง อยู่ให้โง่ดิ ผมสะบัดหน้าหอบข้าวของเข้าห้องตัวเองแล้วปิดประตูเสียงดังสนั่นพร้อมล็อกเสร็จสรรพ จังหวะเดียวกับที่พี่เฟย์ทำท่าจะเดินเข้ามาหาพอดี เออ เอาคืนซะมั่ง จะได้รู้ว่าการถูกคนรักปิดประตูใส่หน้ามันเป็นยังไง
ยกแขนเสื้อปาดน้ำตาลวกๆ กระโดดขึ้นเตียงนอน ความรู้สึกผสมปนเปไปหมดจนแทบนอนไม่หลับ ที่แน่ๆ ผมโกรธพี่เฟย์มาก เสียใจมากด้วย ขนาดตอนนี้ยังเจ็บจี๊ดที่อกไม่หาย คิดแล้วว่าความรู้สึกนี้ไม่หายไปง่ายๆ แน่
ทั้งที่ควรจะเป็นแบบนั้น แต่นิสัยของผมเป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว แถมยังขี้ใจอ่อนระยะสุดท้าย พอตื่นมาในสภาพตาบวมน่าอานาถ ขนาดตัวเองเห็นหน้าในกระจกยังตกใจ นึกทบทวนดูดีๆ ว่าเมื่อคืนตัวเองทำอะไรไปบ้าง โกรธก็ส่วนโกรธ ผมไม่ควรแสดงกิริยาแบบนั้นกับพี่เฟย์ที่อายุมากกว่า
ผมตบแก้มดึงสติระหว่างล้างหน้า เอาวะ เป็นไงเป็นไง พี่เฟย์เป็นผู้ใหญ่คงไม่โกรธกับเรื่องเล็กน้อยแบบนั้น ป่านี้อาจจะเตรียมง้อก็ได้ ตามประสาพี่ชายใจดี พี่ชายคงเครียดเรื่องงานนั่นแหละ พอผมไปสะกิดเลยฉุน พี่เฟย์เป็นพวกหวงของทุกอย่างในบ้าน ต้องจัดการดูแลเองถึงจะวางใจ ในเมื่อแต่ละอย่างไม่ใช่ของธรรมดาทั้งนั้น มีวิธีดูแลจุกจิกมากมาย
ไม่น่าหลงตัวเองเลยเรา ต่อให้พี่ชายยอมขนาดไหน มากลิ้งนอนในห้องมากเท่าไหร่ ยังไงมันก็คือพื้นที่ส่วนตัวของเขา อีกอย่างมันคงไม่มีเรื่องชวนปวดใจเท่าเมื่อคืนอีกแล้ว ผมปลอบใจตัวเอง สูดลมหายใจลึกๆ สู้เว้ย
เปิดประตูชะโงกหน้าดู ไร้วี่แววเจ้าของห้อง ครึ่งหนึ่งรู้สึกวูบโหวง อีกครึ่งแอบดีใจเพราะยังไม่รู้จะชวนคุยยังไง บนโต๊ะทานอาหารยังไร้อาหารเช้าเหมือนเคย พี่ชายคงลืมล่ะมั้ง ผมไม่คิดอะไรมาก จังหวะที่หมุนตัวกลับเข้าห้องเพื่อหยิบกระเป๋าไปมอ กระดาษแผ่นหนึ่งแปะอยู่ตรงหน้าประตู ข้อความในนั้นเขียนไว้ว่า
‘ช่วงนี้กลับไปอยู่กับแม่ซะ’
มือคว้ากระดาษนั่นมาเพ่งมองชัดๆ มั่นใจว่าตัวเองไม่อ่านผิดแน่ ผมซวนเซพิงพนักโซฟา ทะเลาะกันแค่นี้ถึงกับไล่ให้กลับบ้านเลยเหรอ พี่ไม่ต้องการผมแล้วใช่มั้ย ผมเป็นแค่ตัวน่ารำคาญสินะ จากอารมณ์สงบก่อนออกจากห้อง เปลี่ยนเป็นฉุนเฉียว ไอ้ผู้ใหญ่ไร้เหตุผล
เออดี กลับก็กลับวะไม่ง้อ วันนี้ไม่ลงไม่เรียนมันแล้ว มือฉีกกระดาษเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทิ้งไว้บนพื้นนั้นแหละ แล้วก้าวฉับๆ เข้าห้องเก็บข้าวของจำเป็นสะพายเป้กลับบ้าน ไม่เหลียวหลังมองอีกเป็นครั้งที่สอง