กระทงวิศวะ "ฤดูหนาว"
#1
12 ธันวาคม "เฮียจูนเร็วๆ เพื่อนโทรมาหลายรอบแล้วนะ" น้องสาวคนเดียวยืนเท้ากรอบประตูห้องน้ำตั้งท่าเตรียมบ่นผมเต็มที่ ผมพยักหน้าหงึกเปิดสวิตซ์ยัดแปรงสีฟันใส่ปาก
พ่อบอกว่าน้องก็เหมือนแม่คนที่สอง อย่าหือให้อือๆออๆอย่างเดียวพอ
ตอนนี้วงจรชีวิตนักศึกษาปี3 อย่างผมกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วครับ ปิดเทอมแล้วเลยกลับมาอยู่บ้าน แต่นอนสบายได้ไม่ถึงอาทิตย์ ก็มีงานให้ต้องทำอีกแล้ว
งานออกค่าย ช่วยน้องซ่อมโรงเรียน
ค่ายวิศวะสถาปัตย์อาสา ปีที่ 11 ที่ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปลงชื่อเข้าด้วยตอนไหน แถมมีใบขออนุญาตผู้ปกครองใส่ในกระเป๋าเป้ให้ผมเรียบร้อยอีก แต่ก็นั่นแหละ มันคือวันนี้
"ล้างหน้าเสร็จรีบอาบน้ำเลย เดี๋ยวแจนจัดกระเป๋าให้"
"เฮียเอาเป้เดินทางไปละกัน แบบเคสไม่เหมาะจะไปบุกป่าฝ่าดงเท่าไหร่"
อยากจะบอกน้องว่า จริงๆเฮียไปโรงเรียนตระเวนชายแดน มันไม่ได้ระเบิดเขา เผากระท่อมอะไรขนาดนั้น แต่นี่แจนนะ อย่าหือกับแจน
"เสื้อผ้าเอาไปเก้าชุด จะได้ไม่ต้องใส่ซ้ำ เอาเสื้อยืดไปเยอะๆเลย เวลาเหงื่อออกจะได้มาเอาเปลี่ยนนะ"
"เสื้อหนาวไว้ใส่ตอนกลางคืน แล้วเกงยีนส์เฮียห้ามไปให้ใครยืมใส่อีกล่ะ น่าเกลียด ทำไมมีแต่ตัวตูดขาดเนี่ย กางเกงตัวเองก็ตั้งแพง ไม่รู้จักดูแลของเลย..."
อันนี้ไม่รู้ว่าน้องรู้ได้ยังไงว่าเพื่อนเอากางเกงผมไปใส่ จริงๆเพื่อนมันไม่ได้ยืมหรอก มันเอาไปใส่เลยต่างหาก แล้วเพื่อนนี่คือเพื่อนผู้หญิงนะครับ เอ่อ มันใส่กางเกงไซส์ผู้ชายได้ยังไงวะ สงสัย
แต่งตัวออกมาจากห้องน้ำ แจนกับกระเป๋าผมก็หายไปแล้ว เสียงเครื่องยนต์บ่งบอกว่า น้องไปสตาร์ทรถรอผมเรียบร้อย
"ถ้าตกรถนะ เค้าบอกรวมตัวหกโมงเช้า นี่จะหกโมงครึ่งละเฮียยังเมาขี้ตาอยู่เลย ช้าขนาดนี้ใครเขาจะมามัวรอตัวอยู่คนเดียว"
น้องบ่นไปก็ช่วยเอามือไถหัวผมให้เข้าที่เข้าทางด้วย ผมไว้ผมยาวเกือบเท่าบ่าแหนะ จริงๆคือไม่มีเวลาไปตัด แล้วไปไปมามามันสะดวกเวลานั่งทำนู่นทำนี่แล้วรำคาญก็จับรวบซะ ไม่ได้เป็นคนผมตรงมาก แต่ก็ไม่ถึงกับหยิก เอาเป็นว่ามันเส้นเล็กเลยไม่ได้มีน้ำหนักพอจะให้ยาวสลวย
"ตกรถก็ดีดิ เฮียจะได้ไม่ต้องไป"
"ยัง ยังไม่สำนึก"
ฮือ ขอโทษครับ
ผมนั่งหน้าอึนอยู่เบาะข้างคนขับน้องก็บ่นๆไปตามประสา ผมนั้นเถียงคนไม่เก่งเอาเลยจึงได้แต่เงียบ ใบขออนุญาตผู้ปกครองของผมน้องก็เป็นคนเซ็นให้ครับเพราะแม่กับพ่อผมไปเยี่ยมอาม่าที่ภูเก็ต ค่ำๆนู่นแหละถึงจะกลับ
เห็นขี้บ่นแบบนี้จริงๆแล้วแจนเพิ่งอายุสิบเจ็ดเอง ยังเรียนมัธยมอยู่ แต่แม่ชอบด่าผมว่านิสัยความคิดความอ่านของน้องนั้นโตมากกว่าผมที่อายุยี่สิบปีซะอีก
โอ้ เป็นคำพูดที่เจ็บปวดดีนะครับ
พอจะเข้าใจที่มาของชื่ออันติ๋มของผมหรือยัง
ผมเกิดเดือน มิถุนายน
น้องเกิดเดือน มกราคม
เรามาถึงมหาวิทยาลัยในเวลา 6 โมง 57 นาที โดยฝีมือการขับรถของน้องที่เหี้ยมากๆ ผมกำลังสะลึมสะลืออยู่คือหายง่วงเป็นปลิดทิ้งเลย ตอนน้องหวิดจะไปจิ้มเอาตูดรถลัมโบกินีคันข้างหน้าตรงสี่แยกเมื่อกี้ให้ได้ ปากก็สบถมาตลอดทางว่าเขาขับกวนตีน
หัวใจจะวาย
รถบัสมหาลัยสีเขียว 2คัน จอดต่อกันอยู่หน้าตึกอธิการบดี คนมากันเยอะคึกคักแล้วครับมีพวกสันทนาการทั้ง2คณะกำลังเต้นแร้งเต้นกากันอย่างสนุกสนานเมามันส์ ชาวค่ายเกือบเจ็ดสิบชีวิตกำลังขนของขึ้นรถกันอยู่ เฉลี่ยจำนวนแล้วมีหญิงชายครึ่งต่อครึ่งได้เลย ตอนแรกผม (ที่ไม่เคยออกค่ายเลย) คิดว่ากิจกรรมแบบนี้จะมีแต่พวกผู้ชายกับผู้หญิงถึกๆแบบเพื่อนสาขาผมมาซะอีก
มีผู้หญิงมาเยอะๆก็ดี บรรยากาศจะได้สดใสไม่ป่าเถื่อน
โดนน้องสาวไล่ลงจากรถเสร็จก็เดินหิ้วกระเป๋าหมอนผ้าห่มแบกกระเป๋าเป้เข้าไปหาพวกมันหลังแทบหัก น้องแจนมันยัดตู้เย็นมาให้ผมด้วยหรือเปล่าวะ
เพื่อนผมหาไม่ยาก เพราะมีอยู่2คน และมันมักจะอยู่ที่ที่เป็นจุดสนใจของผู้คนเสมอ เช่น ตรงไหนที่เสียงดังเอ็ดตะโรที่สุด เป็นต้น
เคยมีเพื่อนเป็นคนโรคจิตมั้ยครับ มันจะชอบแหย่ให้ได้อายตลอด
"เฮ้ย นะนะนั่น จูนจูนมาหว่ะ"
"ไม่เจอกันสี่ห้าวัน น่ารักขึ้นน้าเนี่ยยยย"
“ขาน้องขาวกระชากใจพี่มากเลยครับ”
"ฮิ้ววววว"
พ่องข้างๆที่เพื่อนผมยืนอยู่คือแก๊งไอ้อ๋าเพื่อนสาขาเดียวกัน มันเป็นสันทนาการคณะ กลุ่มมันเลยมีกลองสองใบประจำกลุ่มด้วย พอผมเดินเข้าไปในคลองสายตาพวกมันก็ตีกลองโห่ใส่ คนแถวนั้นหันมามองกันเต็มจนผมอยากไถหน้าไปกับพื้น
เท่านั้นไม่พอยังโดนเพื่อนในกลุ่มเหยียบซ้ำอีก
"มาสักที เค้ารอมึงอยู่คนเดียวเลยไอ้จูน ตามตัวยากกว่านายกสโมฯอีกนะมึงเนี่ย"
มีการจิกกัดพาดพิง และคำผรุสวาท ไร้ความรับผิดชอบ นิสัยไม่ดี และอีกมากมายตามมาเป็นขบวนจนผมต้องยกมือไหว้
"เพื่อน กูผิดไปแล้ว เลิกด่ากูเถอะ"
พวกมันสองคนหัวเราะก๊ากเลยครับที่ทำให้ผมรู้สึกผิดได้ พวกนี้แม่งชอบรุมผม
เอาของไปใส่ท้องรถและยืนคุยเล่นกันสักพักก็ได้เวลาอาจารย์ที่ปรึกษากล่าวเปิดค่าย ประธานค่ายชี้แจงรายละเอียดการเดินทาง แบ่งว่าใครขึ้นรถคันไหน แจกป้ายชื่อ
พวกผมได้นั่งรถคันที่ 2 เพราะลงชื่อเป็นกลุ่มท้ายๆ (ความผิดผมเอง เพราะผมมาสายไง) ก็ขึ้นไปเลือกหาที่นั่งกันตามสบายเลยครับ รถว่างมากเพราะเป็นรถพัดลมแถมรถเก่าหน่อย คนเค้าไม่ค่อยอยากนั่ง ก็เลยไปออกันอยู่คันหน้าแทน
ฝ้ายมันนั่งยิ้มเหมือนได้รับมงกุฎและสายสะพายเพราะมันไปเค้นเอากับคนเขียนชื่อ สรุปเค้าเขียนป้ายชื่อว่า 'ดาวิกา' ให้มันสมใจ
ส่วนไอ้ปิ๊ก ไอ้ปิ๊กมันเป็นขวัญใจน้องผู้ชายคนรับลงทะเบียนครับ น้องเค้าเขียนชื่อให้มันว่า 'พี่ปิ๊ก ของน้องวิว' มันยืนหน้าซีดเหงื่อซึมใหญ่เลย ก็น้องเขาพยายามลูบไล้มันหน่ะ ฮ่าๆ
"กูหิวข้าวว่ะ มีไรให้กินมั้ย"
"แดกแซนวิชไข่มั้ยอ่ะ แฟนคลับกูเอามาให้เมื่อกี้ แต่มันดูแห้งๆไงไม่รู้ สยองขวัญ" ไอ้ปิ๊กยื่นแซนวิชในห่อพลาสติกมาให้ผมจากเบาะหน้า น้องวิวไงครับ ตามเทคแคร์มันเหมือนปรสิตเพื่อนรักเขมือบโลก
ผมส่ายหัว
"มีอย่างอื่นป่ะ"
"ไปถามพวกไอ้อ๋าข้างหน้ารถไป กูเห็นมันมีกล่องข้าวเหนียวมาด้วย กินได้มั้ยอ่ะมึง ข้าวเหนียวรู้จักเปล่า" มันทำท่าหนักใจกับผมเอามากๆ
แต่โทษนะ ในโลกนี้มีคนไทยคนไหนไม่รู้จักข้าวเหนียวบ้างวะ
"อ๋าๆ จูนมันหิวข้าว หาข้าวให้มันแดกมั่งดิ"
สรุปในสายตามึงกูเป็นหมาหรือตัวอะไร ฝ้ายตอบกูสิ ฮื้ออออ
ได้ของประทังชีวิตแล้วครับ ก็ข้าวเหนียวธรรมดาเนี่ยแหละ แต่ยังร้อน หอม และนุ่ม ได้ความว่าพวกมันไปเหมาร้านเค้ามาทั้งกระติกน้ำเลย (พยายามนึกภาพตามนะครับ ร้านหมูปิ้งเค้าจะมีกระติกวางอยู่ ไม่ใช่กระติกใส่น้ำ แต่ข้างในเป็นข้าวเหนียว) ก็ตั้งวงจกอยู่ตรงเบาะที่มันนั่งกันเลย มีหมูปิ้ง มีไก่ย่างห้าดาวด้วย 2ตัว ขอบคุณที่มันยังเกรงใจไม่ซื้อส้มตำ ยำหน่อไม้มาด้วย และดีหน่อยที่รถเป็นพัดลม สามารถเปิดกระจกไล่กลิ่นได้
นั่งไปก็เพลินดี พวกกลุ่มนี้มันชอบเล่าเรื่องตลกแล้วหัวเราะกันเหมือนเมาดิบอ่ะ ตาที่เยิ้มแดงเพราะอดนอนช่วงไฟนอลโปรเจ็คตอนนี้ดูเหมือนเมาสารเคมีธรรมชาติอะไรสักอย่าง
ข้าวอบกัญชามั้ยเนี่ยมึง
"เอ้าจูน กูให้ปีกไก่ของดี"
"หื่อ กูไม่กินหว่ะ"
"กินไปเถอะ ตัวมึงแห้งเท่านี้ มะ กินไปๆ แม่ไม่รู้หรอก"
ผมยิ้มแหยให้ไอ้ปามเพื่อนสาขาอื่นที่อยู่แก๊งเดียวกับไอ้หมาอ๋า สื่อสัญลักษณ์แทนความหมายว่าอย่าคะยั้นคะยอเลยกูแดกไม่ได้จริงๆ
บ้านผมเป็นมังสวิรัติ กินปลากินไข่ไม่กินเนื้อ ก็จะมีของที่กินได้อยู่ไม่กี่อย่าง แต่เพราะเกิดมาก็กินแบบนี้แล้วมันเลยไม่รู้สึกอะไรเวลาเห็นคนอื่นกินพวกหมูหรือเนื้อครับ เหมือนกับว่าเราไม่เคยกินมันเลยไม่มีความรู้สึกโหยหารสชาติ
"โถถถ เด็กน้อยจริงๆ กินแต่ข้าวเปล่านี่มึงอร่อยมากมั้ย"
หลอกเช็ดมือกับหัวกูอีกเปล่าวะ
ปึ่ก!ผมเบี่ยงหัวหลบมือไอ้ปาม กลายเป็นว่าไปชนกับใครไม่รู้ด้านหลัง
"อ ..อ้าว"
"ขอโทษครับ ขอเข้าไปข้างในหน่อย"
เป็นเสียงโมโนโทนของไอ้เด็กออร่า ที่เห็นหน้าแค่ครั้งเดียวก็จำได้ เจ้าของกระทงดอกแก้วเมื่อเดือนที่แล้วยังไงล่ะ เจ้าตัวยืนนิ่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างหลังผม
ผมขยับหลบให้ตามคำ อีกคนทำหน้าไม่สบอารมณ์ใส่ผมแล้วแทรกตัวผ่านไป ผมก็เดินตามเพื่อจะกลับที่นั่งตัวเอง เด็กนิ่วหน้า แล้วหันกลับมามองผมอีกครั้ง
“พี่จูนจะไม่ทักกันสักนิดหนึ่งจริงๆเหรอ”
เอ้า ก็กูนึกว่าคุณมึงรีบ
“ไง นึกว่ารีบ”
เด็กกระพริบตาช้าๆมองหน้าผม “ไง ไงแค่เนี้ย คนรอมาทั้งเดือน”
“ผมแค่หงุ-ไม่สิ อิจฉ- ผม เอาเถอะ”
ไอ้น้องรวยดูสับสนในตัวเองยังไงไม่รู้ สักพักก็ยืนถุงพลาสติกมาให้ ผมรับถุงมาแหวกดู หน้ากล่องเขียนว่าขนมจีบสูตรเจ ชิ้นใหญ่หน้าตาโคตรน่ากิน
“ผมซื้อมาฝาก คิดว่าพี่กำลังหิว”
“ขนมจีบ?”
“ใช่ ผมจีบ” / "พี่จูนนนนนน หวัดดีค่า พี่ๆสวัสดีค่ะ แหม โชคดีจัง"
น้องกิ๊ฟผมหน้าม้าสีทองคนเดิม เพิ่มเติมคือแฟชั่นการแต่งตัวแฟนซียากจะเข้าใจหอบเป้ขึ้นรถตามมา ข้างหลังก็เป็นพวกเพื่อนๆเขาหล่ะ น้องวิ่งตรงเข้ามาจับมือผมเขย่า สกินชิพตลอด
“บังเอิญกว่าที่
ตั้งใจไว้อีกนะเนี่ย ไม่คิดว่าพี่จูนจะมาจริงๆด้วย” ตกลงมันคือบังเอิญหรือตั้งใจ หรือพี่งง ผมหัวเราะแห้งๆตอบน้อง
"ฮ่าๆ มาสิ แล้ว มาค่ายอาสาแบบนี้เหมือนกันเหรอเรา"
"ค่ะ หนูตั้งความหวังจากค่ายนี้ไว้มาก อ้อ ได้ชั่วโมงกิจกรรมตั้ง 5ชั่วโมง และ อ้อ
มัน มีคนงอแงอยากมาใจจะขาดเลยต้องมาเป็นเพื่อนมัน แล้วนี่พี่จูนอยู่ฝ่ายไหนหรอจ้ะ"
“งานตอกๆเลื่อยๆพวกนั้นอ่ะครับ”
"วู้ว เท่จังเลย พวกหนูอยู่ฝ่ายครัวนะคะ พี่อยากกินอะไรเป็นพิเศษบอกพวกหนูได้เลยนะคะ ทำได้อร่อยเด็ดทุกอย่างรับรอง..."
พวกเพื่อนน้องคนอื่นก็บอกอย่าไปเชื่อมัน เปิดเตาแก๊สยังไม่เป็นเลย เตรียมยาแก้ท้องเสียมาด้วยหรือยัง อะไรประมาณนี้อ่ะครับ
คุยกันเพลินจนลืม คนขับรถมาเราเลยเดินกลับไปนั่งที่ใครที่มัน เตรียมออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จังหวัดน่าน
ครับ
ฟังไม่ผิด
มุ่งหน้าสู่จังหวัดน่าน จังหวัดเกือบเหนือสุดของประเทศไทย ก็แปลกใจว่าอยู่ว่าทำไมจะต้องหอบสังขารไปกันไกลอะไรขนาดนั้น โรงเรียนที่ขาดแคลนใกล้ๆไม่มีเหรอ
"มึง หนุ่มข้างหลังนวลมากเลยอ้ะ"
"หือ ตื่นอยู่เหรอ แล้วหลับตาทำไม"
"กูแกล้งหลับจา มีเพื่อนโง่มากๆฝ้ายก็เพลียนะ" โดนมันด่าอีกแล้ว "มึงหันไปดูดิ เบาะหลังฝั่งเราเลย ถัดไปสามที่นั่ง หล่อออร่าอะไรขนาดนั้นอ่ะคนหรือเทวดา เราสัมผัสกันได้ไหม"
มันว่าแถมเอามือผมไปจับแล้วถูๆเหมือนจินตนาการว่านี่คือมือของน้องที่ว่า
“อ้าว หนมจีบคุณช้อนไฮโซววว มึงไปเอามาจากไหน”
ผมก้มมองถุงขนมจีบในมือ
เออ เมื่อกี้ผมลืมไปว่ากำลังคุยกับเด็กรวยอยู่นี่นา
ผมลุกขึ้นจากเบาะหันไปมองที่นั่งด้านหลัง คนที่มองหานั้นนั่งอยู่ตรงจุดที่ฝ้ายบอกอย่างไม่ต้องสงสัย เด็กกำลังนั่งมือหนึ่งกอดอกอีกมือหนึ่งเล่นมือถืออยู่ สักพักเงยหน้าขึ้นมาเจอผมมองอยู่พอดี
“ขอบคุณนะเว้ย” ผู้ยิ้มชูถุงขนมให้อีกฝ่าย
น้องมองผมนิ่ง ถอนหายใจแล้วหันหน้าหนีไปเลย
...
หา ?
ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ...
tbc.