Chapter : 30: ไผ่รถล้ม & ปีศาจกลับมาอีกครั้ง
(น้ำฝน...♡)
Up 100% *เนื้อหายาวเกิน ตัดแบ่งไปที่หน้า 32 นะคะ ^^
และแล้วคืนนี้ผมก็ไม่ได้กลับบ้านอีกแล้ว ผมตื่นขึ้นมาอีกทีในอ้อมแขนของใครบางคน เขากอดผมแน่น จนทำให้ผมนึกถึงอ้อมแขนของปีศาจในคืนนั้น พี่หมอยังไม่ตื่น แต่ผมต้องตื่นเพื่อกลับไปเปลี่ยนชุดก่อนไปโรงเรียน ผมค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากอ้อมแขนแกร่ง ก้าวช้า ๆ เข้าห้องน้ำไป ผมอาบน้ำ ล้างคราบไคลและอะไรต่อมิอะไรออก
พอเรียบร้อยก็เปิดประตูออก ผมสะดุ้งเฮือกเผลอก้าวถอยไปด้านหลัง เพราะตรงหน้ามีคนมายืนจังก้าเปลือยท่อนบนมองอยู่
“พี่หมอ”
“รอก่อน เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่เป็นไร ผมกลับเองได้”
พูดจบผมก็รีบเดินเลี่ยงไปที่หน้าประตู แต่แค่มือแตะลูกบิด ผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกเพราะพี่หมอมาดันประตูไว้
ฉากนี้เกิดขึ้นบ่อยจังแฮะ
“อย่าดื้อ”
คนด้านหลังสั่งเสียงเฉียบ ผมหันไปมองหวังบอกเหตุผลว่าทำไม ก่อนหยุดสายตาไว้ยังดวงตาคมกริบคู่นั้น เพราะผมตัวเตี้ยกว่าพี่หมอเยอะ รายนั้นจึงต้องก้มหน้าลงมาเยอะหน่อยเพื่อขู่ผมทางสายตา พี่หมอกั้นผมไว้ด้วยกรงเหล็กมีเลือดสองข้าง ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดผิวหน้าผมไป ผมกลืนคำอธิบายลงคอจ้องกลับดวงตานั้นไม่เคลื่อนไปไหน
ผมอ้าปากนิด ๆ หวังควานหาคำอธิบาย แต่สิ่งที่ออกมามีเพียงความว่างเปล่า และความว่างเปล่าของผมกำลังถูกเติมเต็มด้วยปากของคนอีกคน หนำซ้ำเขายังใจดีแทรกลิ้นเข้ามาช่วยผมควานหาคำอธิบายด้วย
ไม่รู้ว่าผมหาเจอไหม เพราะสิ่งที่ผมได้ยิน มีเพียงคำนี้เท่านั้น
“อืม…”
ผมครางรับรสจูบนุ่มนวลของพี่หมอในลำคอ พี่หมอเลื่อนมือลงไปจับสะโพกผมดึงเบา ๆ เข้าหาตัว ขยับปากอย่างอ่อนโยน ยิ่งพี่หมออ่อนโยนกับผมมากเท่าไหร่ ผมยิ่งเผลอไผลขยับปากตอบรับมากเท่านั้น
นี่คงเป็นจูบที่ยาวนานที่สุดสำหรับชีวิตผมแล้ว ผมแทบไม่รู้น้ำหนักตัวเอง มันเบาหวิว เบาไปหมดทั้งตัวและหัวใจ จวบจนพี่หมอรุกหนักละปากไปซุกซอกคอผมถึงได้สติรีบผลักคนตรงหน้าออก
พี่หมอเงยหน้าแฝงอารมณ์มองตอบ ถามด้วยสายตาว่าจะห้ามไปทำไมด้วย
“ผมต้องไปโรงเรียน”
พี่หมอทำหน้าขัดใจ แต่ก็ยอมละตัวออกอย่างเชื่องช้าไปยืนอยู่ห่าง ๆ แอบเห็นบางสิ่งของพี่หมอตื่นตัวด้วย นี่ถ้าผมไม่ห้าม สงสัยได้เสร็จพี่หมออีกรอบแน่ ๆ ผมหันหลังเตรียมจะเดินออก แต่พี่หมอห้ามไว้
“เดี๋ยวฉันไปส่ง”
กำลังจะห้าม แต่สายตานั้นบอกว่าถ้าขัดขืน ผมคงโดนซัดด้วยร่างกายที่กำลังตื่นตัวนั้นแน่ ๆ ผมหุบปาก ยืนรอนิ่ง ๆ พี่หมอเดินเข้าห้องน้ำไป ผมยืนคอยกระทั่งได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวรดพื้นดังซู่ ผมถึงได้รีบหันไปจับลูกบิด อาศัยจังหวะนั้นก้าวออกจากห้องไป
จะอยู่ทำไมให้โง่
สิบนาทีกว่า ๆ หลังจากนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น พี่หมอโทรมาแน่ ๆ ผมล้วงหยิบขึ้นมาดู เป็นไปตามคาดครับ ผมไม่รับ กดตัดสาย พี่หมอไม่โทรมาอีกแต่ส่งเมสเสจมาแทน
‘แล้วนายจะได้เห็นดีข้อหาขัดคำสั่ง’
ผมแอบหวั่น ๆ ไปกับคำขู่นั้น แต่ถึงยังไง ผมก็ต้องโดนดีทั้งขึ้นทั้งร่องอยู่แล้ว ผมพ่นลมหายใจแรงนั่งนิ่งกระทั่งมาถึงบ้าน
วันนี้ผมนั่งหวั่นทั้งวันว่าจะโดนเมสเสจเรียกตัวอีกหรือเปล่า แต่ทุกอย่างก็เงียบสนิท พี่หมอคงไม่ว่างมาเรียกตัวผมบ่อย ๆ หรอก เพราะไงคนเป็นหมอเวลาก็น้อยอยู่แล้ว
ผมกลับบ้านหลังเลิกเรียน วันเวย์วิ่งหน้าตั้งมารับที่ประตูรั้ว มันกระโดดเกาะแข้งเกาะขาจนผมต้องทั้งเบรกทั้งลากมันติดตัวมาด้วย มันดีใจเหมือนไม่ได้เจอผมมานานนับปีทั้งที่เพิ่งจากกันเมื่อเช้านี้แท้ ๆ
“ดีใจเวอร์ไปแล้ววันเวย์”
พี่ฟ้าประชด ผมหัวเราะเห็นด้วย พี่ฟ้ากำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ ผมเอากระเป๋าไปวางไว้ในบ้านแล้วเดินออกมายืนอยู่ข้าง ๆ พี่ฟ้า รายนั้นขยับลากสายยางจากต้นไม้พุ่มเตี้ยไปรดต้นลีลาวดีขนาดใหญ่ประจำบ้านต่อ
“สวัสดีครับพี่ลีลาวดี”
ผมแกล้งยกมือไหว้ลีลาวดีต้นนั้น พี่ฟ้าหัวเราะ ฉีดน้ำใส่ผมทีหนึ่ง ผมร้องเหวอปัดป้อง พี่ฟ้าหัวเราะร่วน หันกลับไปรดน้ำต่อดี ๆ
“หิวรึยัง”
ผมลูบท้องเบา ๆ จะว่าหิวก็หิว จะว่าไม่หิวก็ไม่หิว
“ยังไม่มาก ไม่รีบ”
“งั้นรดน้ำต้นไม้เสร็จจะทำอะไรให้กิน อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”
“พี่ทำอะไรมา พิเศษสำหรับฝนหมดแหละ”
“ปากหวาน”
ผมแสร้งทำตาหวานประกอบปาก พี่ฟ้าหัวเราะหันมาฉีดน้ำใส่ผมอีกรอบ ผมร้องโวยวายวิ่งหนีจ้าละหวั่น ได้ยินเสียงมือถือดังเบา ๆ จากกระเป๋า ผมสะดุ้งเฮือก รีบร้องห้ามเพราะกลัวมือถือเปียก พี่ฟ้ารีบเบี่ยงสายยางหนี ผมล้วงหยิบมือถือขึ้นมาดู
หวั่นใจว่าจะเป็นพี่หมออีกรอบ
แต่ไม่ใช่ครับ เป็นเบอร์บ้าน ผมกดรับ
“คุณน้ำฝนหรือเปล่าคะ”
“ครับ”
ปลายสายเป็นผู้หญิงครับ อายุน่าจะรุ่น ๆ คุณป้าแล้ว
“จากโรงพยาบาล…นะคะ ไม่ทราบว่าเป็นญาติกับคุณทิวไผ่หรือเปล่า”
แค่ได้ยินชื่อโรงพยาบาลกับชื่อของเพื่อนก็ทำให้เนื้อตัวผมเย็นเฉียบขึ้นมาได้แล้ว
“มะ ไม่ใช่ครับ แต่เป็นเพื่อนสนิท” ผมตอบกลับเสียงแหบ หัวใจเต้นแรง “เกิดอะไรขึ้นครับ”
“คุณทิวไผ่เกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซต์ล้มค่ะ ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉิน รบกวนติดต่อญาติให้ด้วยนะคะ…”
หัวใจผมหล่นวูบไปอยู่แทบเท้า รีบกดวางสาย
“มีไร” พี่ฟ้าถามทันที
“ไผ่รถล้ม”
พี่ฟ้าหน้าตื่นรีบวิ่งไปปิดน้ำ
“อาการเป็นไงบ้าง”
“ไม่รู้เลย ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉิน เรารีบไปกันเถอะ”
พี่ฟ้าพยักหน้า ตะโกนเรียกแม่บ้าน ถอดผ้ากันเปื้อนออกยื่นให้แม่บ้านไปดูแลต่อ ผมกับพี่ฟ้ารีบพากันออกไปโบกรถแท็กซี่ตรงดิ่งไปยังโรงพยาบาลทันที
เนื่องจากช่วงเย็นรถติดสุด ๆ กว่าจะมาถึงก็เกือบชั่วโมง ผมแหงนหน้าขึ้นมองป้ายโรงพยาบาล แอบแปลกใจอยู่เหมือนกันที่มันดันมาล้มอยู่ไม่ห่างโรงพยาบาลนี้ได้
โรงพยาบาลที่ผมกับพี่ฟ้าต้องมากันเป็นประจำ
ผมกับพี่ฟ้าพากันเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสอบถามอาการของไผ่ ได้ความว่ามันออกมาจากห้องฉุกเฉินแล้ว ตอนนี้อยู่ในห้องพักฟื้น ผมกับพี่ฟ้ารีบพากันไปดูทันที
ตอนนี้มันอยู่ในชุดของทางโรงพยาบาลเรียบร้อย เปลือกตาปิดสนิท หน้าตาเนื้อตัวมีแต่ผ้าก็อต แต่ที่หนักสุดคงเป็นขา เพราะใส่เฝือกไว้ หัวใจผมหล่นวูบ รีบวิ่งไปเกาะขอบเตียงคนละด้านกับพี่ฟ้า
“เพื่อนผมเป็นอะไรมากไหมครับ”
“ตอนนี้ปลอดภัยแล้วค่ะ อาการส่วนอื่นไม่เป็นอะไร หนักสุดคือขาหัก นอกนั้นแผลเล็กน้อย”
ผมพ่นลมหายใจโล่งอกไม่ต่างกับพี่ฟ้า แจ้งขอย้ายมันไปอยู่ห้องพักพิเศษ ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีเราก็มาอยู่ในห้องที่มีเพียงเราสามคนแล้ว
พี่นางพยาบาลเอาพวกกระเป๋านักเรียน กุญแจและเสื้อผ้าที่ถูกแพ็คใส่กล่องเรียบร้อยมายื่นให้ ผมรับเอามาวางไว้ หยิบเอาเฉพาะมือถือมากดโทรออกหาแม่ทันที เห็นพี่นางพยาบาลบอกว่าพยายามโทรติดต่อหลายรอบแล้ว แต่ไม่ติด มาติดเบอร์ผมแทนซึ่งเป็นเบอร์ถัดไป ผมพยายามโทรหา นานเลยกว่าแม่จะรับสาย(โทรทางไกลครับ) ผมรีบแจ้งข่าว แม่ตกใจใหญ่ บอกจะรีบบินกลับมาให้เร็วที่สุด ระหว่างนี้ผมรับอาสาอยู่เฝ้าไข้แทนไปก่อน
ผมโทรบอกให้ป้าแม่บ้านเอาพวกเสื้อผ้า กระเป๋าและชุดนักเรียนมาให้ผมด้วย เพราะคืนนี้ผมจะอยู่เฝ้ามัน พรุ่งนี้จะได้ไปโรงเรียนได้
“จริงสิ ยังไม่ได้โทรบอกพี่หมอเลย”
ผมล้วงหยิบมือถือตัวเองจากกระเป๋ากางเกง ยืนชั่งใจ ถ้าบอกพี่หมอพี่เขาจะสนใจไหม แต่ถ้าไม่บอกเลยมันก็คงไม่ดี เพราะไงก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เกิดแม่ถามขึ้นมาละยุ่งแน่ ๆ
“ทำไมไม่โทรล่ะ”
พี่ฟ้าถาม ผมมองตาคนสวยตรงหน้า พี่ฟ้าคงเดาออกว่าผมคิดอะไรอยู่
“โทรไปเถอะ”
พี่ฟ้ากระตุ้น ผมพยักหน้า ตัดสินใจกดโทรออก รอไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย
“พี่หมอ”
ผมเรียก นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมโทรหาก่อน พี่หมอครางรับด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“ไผ่รถล้ม ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลพี่นี่แหละ ห้อง 110 ตึกสาม” ผมบอกแค่นั้น ปลายสายเงียบไป ตามด้วยเสียงอืมเบา ๆ “ผมโทรบอกแม่แล้วนะ” ได้ยินเสียงอืมอีกรอบ
ผมถอนหายใจ กดตัดสาย ผมว่าเขาคงไม่สนใจหรอก ดีไม่ดีอาจดีใจด้วยซ้ำที่เห็นไผ่เป็นแบบนี้
“ว่าไง” พี่ฟ้ารีบถาม ผมยกไหล่เบ้ปาก พี่ฟ้าเลิกคิ้วสูงสงสัย
“ไม่เห็นพูดว่าอะไร”
พี่ฟ้าขมวดคิ้ว ผมไม่พูดอะไรต่อ ลากเก้าอี้มาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ คนเจ็บ ปากมันแทบไม่มีสี ผมเกลี่ยริมฝีปากมันเบา ๆ
ได้ยินเสียงเคาะประตู(ตามมารยาท) ก่อนประตูบานนั้นจะเปิดออก ผมกับพี่ฟ้าหันไปมองพร้อมกัน มือผมยังค้างอยู่แถว ๆ ริมฝีปากไผ่ แล้วคนตัวสูงที่ผมไม่คิดว่าเขาจะสนใจความเป็นไปของไผ่ก็มายืนอยู่ตรงนั้น ในชุดกราวน์เหมือนเดิม เขามองผมนิดหนึ่ง ผมรีบชักมือกลับ
“สวัสดีค่ะคุณหมอ”
พี่ฟ้าทัก พี่หมอพยักหน้าให้นิดหนึ่งสีหน้านิ่งเรียบ ชยับมายืนอยู่แถว ๆ ปลายเตียง มองสภาพของไผ่ พี่นางพยาบาลตามเข้ามาติด ๆ พร้อมแฟ้มเอกสารยื่นให้พี่หมอ รายนั้นรับไปเปิดดูคร่าว ๆ เงยหน้ามองพี่นางพยาบาลคนนั้น
“ฝากดูแลด้วยนะ นี่น้องชายผมเอง”
ผมมองคนพูดอึ้ง ๆ ไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ แต่บางที พี่หมออาจแค่ทำตามหน้าที่ก็ได้ ผมหันกลับมามองคนที่ยังไม่ได้สติ จับมือมันมาบีบเบา ๆ
“เคยคิดว่าสักวันมันต้องได้เลือดเพราะรถมอเตอร์ไซต์แน่ ๆ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะโดนหนักขนาดไม่ได้สติแบบนี้”
“ถือว่าฟาดเคราะห์ละกัน” พี่ฟ้าให้กำลังใจ
“อ้อ ลืมบอกไปค่ะ” พี่นางพยาบาลทำท่านึกได้ พวกเราทั้งหมดพากันหันไปมอง “พอดีคนไข้ถูกพาส่งโรงพยาบาลพร้อมลูกหมาตัวหนึ่ง ไม่ได้สติพอกัน ตอนนี้อยู่แผนกสัตว์เลี้ยงค่ะ”
ลูกหมา? มาได้ไง
ผมเห็นว่าไผ่มันยังสลบอยู่เลยให้พี่ฟ้าอยู่เฝ้าก่อน ส่วนผมจะเดินไปดู เจ้าหน้าที่บอกเส้นทางมาคร่าว ๆ ผมเดินไปตามเส้นทางนั้นโดยมีพี่หมอเดินตามมาด้วยติด ๆ
ผมหันไปมอง อยากถามเหมือนกันว่าจะตามมาทำไม แต่ให้เดาพี่หมอคงไม่อยากอยู่ใกล้ไผ่มันมากกว่า ผมไม่ได้ห้าม เดินไปตามเส้นทางนั้น ดีว่ามีพี่หมอมาด้วย ไม่งั้นก็หลงไปแล้ว
เห็นทางเข้าโรงพยาบาลเล็ก ๆ ไม่คิดว่าด้านหลังจะใหญ่โตขนาดนี้
ได้ยินเสียงหมาเสียงแมวดังมาให้ได้ยินเบา ๆ ผมเดินไปหาเจ้าหน้าที่เพื่อแจ้งเคส เจ้าหน้าที่ยิ้มพาผมไปยังลูกหมาที่นอนไม่ได้สติพอกัน ที่ขามีผ้าพันแผลไม่ต่างกับวันเวย์ที่ผมเคยเจอ
“ยังไม่ได้สติเพราะฤทธิ์ยา”
เจ้าหน้าที่บอกผม มองเลยไปด้านหลังผมนิดหนึ่ง คงงงที่เห็นหมอแผนกอื่นของโรงพยาบาลมายืนอยู่ด้านหลังผมแบบนี้
เจ้าหน้าที่ให้ผมกรอกเบอร์ติดต่อเพื่อแจ้งว่าเป็นเจ้าของไข้ ผมก็รับ สงสารมันครับ ไม่รู้มันมาเจ็บแบบนี้กับไผ่ได้ไง แต่ผมรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ ผมลูบหัวมันนิดหนึ่ง แจ้งไปว่าจะมาหาอีกรอบ
แล้วผมก็เดินกลับมาที่ห้องไผ่ต่อโดยมีพี่หมอเดินตามมาตลอดทาง รายนี้ก็ไม่พูดไม่จาอะไร เดินตามอย่างเดียว ไผ่ยังนอนไม่ได้สติเหมือนเดิม ป้าแม่บ้านมาแล้ว เอาถุงเสื้อผ้ากับกระเป๋านักเรียนมาให้ด้วย
“งั้นพี่กลับก่อนนะฝน พรุ่งนี้จะมาอีกรอบ” พี่ฟ้าถือโอกาสกลับบ้านพร้อมป้าแม่บ้านเลย ผมพยักหน้า “กลับก่อนนะคะคุณหมอ” พี่ฟ้าหันไปยกมือไหว้ลาพี่หมอต่อ รายนั้นพยักหน้ารับ อาสาเดินไปส่ง พอทุกคนออกไปหมดผมก็มานั่งกุมมือมันไว้ ส่งผ่านกำลังใจไปให้
ได้ยินเสียงเปิดประตูอีกรอบ ผมหันไปมอง พี่หมอเดินหน้าเรียบเข้ามา
“จะเฝ้ารึไง”
ผมพยักหน้า พี่หมอไม่พูดไม่ถามอะไรต่อหันหลังเดินออกไป ผมมองตามงง ๆ
อะไร เข้ามาเพื่อถามแค่เนี่ย?
ผมคว้าเสื้อผ้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง ออกไปหาอะไรกินนิดหน่อยแล้วกลับมานั่งเฝ้ามันต่อ
“หายเร็ว ๆ นะมึง”
ผมฟุบหน้าลงข้างมือมัน ปิดเปลือกตาลง
ผมสะดุ้งตื่นอีกทีเพราะมีพี่นางพยาบาลเข้ามาตรวจอาการ ผมขยับตัวลุก ชะงักนิด ก้มมองตัวเอง
จำได้ว่าผมนอนฟุบหน้าอยู่ข้าง ๆ ไผ่มันนี่ แล้วตอนนี้ผมมานอนอยู่บนโซฟาเฝ้าไข้มันได้ไง แถมยังมีผ้าห่มคลุมเอาไว้อีก
หรือว่าผมจะเดินมาเองแบบไม่รู้ตัว?
คิดไม่ออกครับ ส่วนผ้าห่มนี่ก็คงเป็นพี่นางพยาบาลใจดีสักคนเอาผ้าห่มให้ ใช้เวลาไม่นานเขาก็ตรวจเสร็จ เดินออกไป ผมเงยหน้ามองนาฬิกาผ่านไปแค่สองชั่วโมงเอง ผมชะเง้อคอมองเพื่อน มันยังนอนนิ่งไม่ได้สติเหมือนเดิม ผมเดินไปจับหน้าจับตามันนิดหนึ่ง เผื่อว่ามันจะฟื้น แต่เห็นมันยังนอนนิ่ง ผมเลยกลับมาทิ้งตัวลงนอนเหมือนเดิม
ผมปิดเปลือกตาลงเบา ๆ แอบนึกไปถึงใครบางคนด้วย ป่านนี้เขาคนนั้นคงออกเวรกลับบ้านไปแล้ว หลับไปได้อีกสองชั่วโมงนางพยาบาลก็กลับเข้ามาตรวจอาการเพิ่มเติมอีก ไม่ได้ทำอะไรมาก แค่มาดูอาการเฉย ๆ แล้วก็เดินออกไป ผมล้มตัวหลับไปอีกรอบ รู้ว่าการเฝ้าไข้คนคงทำให้หลับเต็มอิ่มได้ยาก แต่ผมก็ต้องทำเพราะพรุ่งนี้ยังมีเรียน
ผมสะดุ้งเพราะเสียงเปิดประตูอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้สนใจลุกดู สั่งใจให้หลับต่อ พี่นางพยาบาลคนนี้เสียงเบามาก ดีแล้ว ผมจะได้หลับง่าย ๆ หน่อย
เคลิ้ม ๆ กำลังจะหลับ ถ้าไม่รู้สึกว่าพี่นางพยาบาลคนนั้นมาหยุดอยู่ข้าง ๆ และบางอย่างอุ่น ๆ ก็แตะลงมาบนริมฝีปาก
เกือบจะลืมตาขึ้นไปโวยวาย ถ้าไม่ได้กลิ่นน้ำหอมและรู้สึกคุ้นเคยกับริมฝีปากนั้นก่อน
พี่หมอ...
ทำไม...
.50%.
ผมกำผ้าห่มแน่นไม่ได้ขยับปากตอบรับ พี่หมอจูบผะแผ่วแค่นั้น ยกตัวขึ้น ผมยังคงนอนนิ่ง เปลือกตาปิดสนิท หายใจในจังหวะเดิม ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเป็นจังหวะไปที่ประตู เสียงประตูบานนั้นเปิดออก และปิดลงอย่างแช่มช้าเช่นกัน
ผมลืมตาโพลงทันทีที่ประตูบานนั้นปิดสนิท หันไปมอง จับปากตัวเองเบา ๆ
เมื่อกี้พี่หมอทำอะไร
…จูบ
หัวใจผมเต้นไม่เป็นส่ำ งุนงงกับพฤติกรรมนั้น ผมนอนคิดไปเรื่อย ๆ จวบจนหลับใหลไป
>มีต่อค่ะ :
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47105.msg3207840#msg3207840<