ซ่อนรัก
บทที่ ๕
อาจารย์พฤทธิ์หายป่วยแล้ว อีกฝ่ายก็กลับมาทำงานเป็นมนุษย์เหล็กเหมือนเดิม
“ขอบคุณครับ” หลงยกมือไหว้อาจารย์ก่อนจะออกจากรถยนต์ที่นั่งมาด้วยเป็นเวลาหลายวัน
“วันนี้ผมกลับดึก รบกวนคุณกลับเองนะครับ” เป็นประโยคแรกที่พฤทธิ์พูดกับเขายาวที่สุด ถ้าพูดกันจริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างกันค่อนข้างดีขึ้นตามลำดับ ทว่าราวกับมีบางอย่างปิดกั้นไม่ให้หลงเข้าไปใกล้มากกว่านี้
“ครับ”
เด็กหนุ่มปิดประตูรถเบาๆ ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงานตัวเดิมที่เขาและเพื่อนนั่งอยู่เป็นประจำ ทว่าวันนี้มันกลับแปลกไป..สายตาหลายคู่มองหลงด้วยความคลางแคลงปะปนความไม่พอใจอยู่ลึกๆ ก่อนทุกคนจะก้มหน้าทำงานโดยไม่มีคำทักทาย
“ทำอะไรอยู่” หลงพยายามทำตัวเหมือนเดิม ยิ้มเหมือนเดิมทั้งที่ในใจรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเพื่อนคล้ายจะเปลี่ยนแปลงไป “วันนี้ไม่มีงานต้องส่งนี่”
“ทำเผื่อๆ ไปอย่างนั้นแหละ”
บรรยากาศอึดอัดเสียงจนหลงทนไม่ได้ หยดน้ำตากำลังลดเอ่อจนหลงต้องหันหน้าหนีและเดินออกไปเงียบๆ
หลงไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด เพราะทุกครั้งเขายอมให้เพื่อนอยู่เหนือโดยตลอด เพียงเพราะคำๆ เดียว ‘ที่พึ่ง’
เขาไม่เข้าเรียนตลอดช่วงเช้าโดยการนั่งแอบอยู่ในห้องสมุดที่มุมๆ หนึ่ง กระทั่งได้ยินเสียงคุ้นเคยดังขึ้นหลังตู้หนังสือ
“อาจารย์พฤทธิ์กับหลงนี่มีอะไรกันจริงๆ ใช่ไหม”
“ถ้าไม่มีอะไรกันแล้วจะมารับมาส่งกันทำไม ไม่ได้เป็นญาติกันเสียหน่อย”
บทสนทนาเป็นไปอย่างเผ็ดร้อน ตรงข้ามกับจิตใจของหลงที่เริ่มปวดร้าวและบิดเบี้ยวจนเขาอยากควักออกมาย่ำให้สาแก่ใจ ถ้าไม่มี..เขาคงไม่รู้สึกเสียใจขนาดนี้
กับแม่..หลงเสียใจจนเฉยชา แต่กับเพื่อนหลงเพิ่งรับรู้..
“อ้าว! แล้วกัน!..อาจารย์พฤทธิ์คงไม่มีรสนิยมแบบหลงหรอกนะ”
“สมัยนี้อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”
เด็กหนุ่มยกมือปาดน้ำตาจนรู้สึกเจ็บ แต่ความเจ็บจากภายนอกจะเทียบอะไรกับความบอบช้ำของจิตใจได้
เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปยังต้นเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่
“เฮ่ย! หลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“มาพอจะรู้ว่ากุ้งกับเหมยคิดอย่างไรกับเรานั่นแหละ”
ต่อให้สิ่งที่ดีที่สุดมาประสานความสัมพันธ์ให้เหมือนเดิม หลงก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้
หลงมีเรียนทั้งวันแต่เขาไม่เข้าเรียนตอนเช้าแล้ว ตอนบ่ายยิ่งไม่อยากเข้าเพราะเป็นชั่วโมงบรรยายของอาจารย์พฤทธิ์ถึงสามชั่วโมง ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว..ใครจะว่าหลงอย่างไรหลงไม่เคยสนใจ แต่กับอาจารย์ที่ตอนนี้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ หากต้องโดนว่าร้ายด้วยก็ถือเป็นความผิดของหลงเช่นกัน
บ่ายวันนั้นหลงกลับไปคอนโดของอีกฝ่ายพร้อมเขียนโน้ตสั้นๆ ไว้บนโต๊ะข้างโซฟา
‘อาจารย์ครับ..ผมขอกลับไปอยู่บ้าน
หลง’
พฤทธิ์ประชุมตอนเที่ยงเกือบหนึ่งชั่วโมงครึ่งทำให้เขาเข้าสอนสายไปเกือบหนึ่งชั่วโมง
“ขอโทษที่ผมมาช้า ผมติดประชุมแต่รีบมาที่สุดแล้ว” พฤทธิ์ทอดสายตาไปทั่วห้องแล้วยิ้มตามมารยาทเท่านั้นและเขาก็รู้ดีว่า ‘ตามมารยาท’ มันสั่นสะเทือนใจคนอื่นแค่ไหน “เริ่มเรียนกันเลยนะครับ”
ที่นั่งข้างหน้าเหมือนโล่งไปหนึ่งที่ เขากวาดสายตาไปมองอีกครั้งเผื่อใครบางคนอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งที่อื่น แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนกลับไม่เห็นเงาคนที่เขามาส่งเมื่อเช้า
ขนาดเขาเป็นคนเข้าสอน..ยังกล้าโดดเรียนอีกหรือ
เขาตระหนักว่าตัวเองทำหน้าที่อะไรอยู่จึงไม่มีทางจะเอาปัญหาของคนๆ เดียวมาใส่ใจเพื่อให้คนอื่นเดือดร้อนตามไปด้วย
สองชั่วโมงที่เขาไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ซักถามเหมือนปกติดูผิดแปลกไปราวกับทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ “ขอโทษที่ไม่มีเวลาให้คุณได้ถาม ดังนั้นผมจะขอยกไปครั้งหน้าแทน”
เย็นวันนั้นพฤทธิ์เข้าประชุมต่อด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก โกรธหรือ..เขาเฝ้าหาเหตุผลว่าทำไมต้องโกรธเพียงเพราะใครบางคนไม่เข้าเรียน แต่ยิ่งคิดความรู้สึกที่น่ากลัวเริ่มผุดขึ้นภายในจิตใจ เป็นห่วง..ใช่แน่หรือที่เขาจะเป็นห่วงเด็กคนนั้นเพียงเพราะเจ้าตัวไม่เข้าเรียน แล้วเหตุผลที่ว่าก็นำพาความหงุดหงิดมายังเขาเหลือเกิน
“อาจารย์ครับ อาจารย์พฤทธิ์” อาจารย์จิรัสย์สะกิดเขาเบาๆ พอรู้ตัวอีกทีการประชุดก็เสร็จสิ้นลงแล้ว “ผมไม่เคยเห็นคุณเป็นแบบนี้ มีเรื่องอะไรที่ทำให้อาจารย์พฤทธิ์เป็นแบบนี้ได้คงไม่ธรรมดา”
พฤทธิ์ขมวดคิ้ว ในระหว่างการประชุมหัวสมองของเขากลับคิดเรื่องอื่นนอกเหนือจากเรื่องงานและมันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ “มีปัญหานิดหน่อย”
“เรื่องการสอนอีกล่ะสิ ผ่อนคลายบ้างนะอาจารย์ เดี๋ยวกลายเป็นคนบ้างานกันพอดี”
เขาพยักหน้าเงียบๆ ทั้งที่ไม่เคยเป็นแบบนี้ แน่นอน..เขาไม่ได้คิดถึงการสอนเพราะคิดว่าตัวเองทำหน้าที่ได้ดีพอสมควร แต่จะให้ยอมรับเรื่องที่คิดอยู่คงไม่มีทางเป็นไปไม่ได้
“ผมกลับก่อนนะครับ”
“สวัสดีครับ”
แม้จิรัสย์จะเป็นเพื่อนสมัยเรียนของเขา แต่พฤทธิ์แทบไม่เคยพูดคุยกับอีกฝ่ายแม้แต่คำเดียว จะมาพูดกันจริงๆ ก็ตอนเริ่มทำงานเป็นอาจารย์เท่านั้น หนำซ้ำเขายังไม่เคยใช้คำพูดสนิทสนมกับอีกฝ่ายด้วย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งที่อายุไล่เลี่ยกันกลับไม่สนิทใจกันอย่างที่ควรจะเป็น
ความเคยชินเป็นสิ่งอันตรายที่พฤทธิ์เริ่มตระหนักได้เมื่อพบว่าเขาขับรถกลับบ้านเพียงคนเดียว
เขาหวนคิดไปเมื่อเช้า ทั้งที่คิดว่าตัวเองเริ่มลดทิฐิที่มีต่อหลงได้แล้ว แต่กลับกัน..การกระทำไม่กี่อย่างของหลงทำให้เขาต้องพิจารณาด้วยใหม่อีกครั้งว่าความสัมพันธ์ที่เริ่มดีขึ้นเป็นเพียงเรื่องฉาบฉวยหรือไม่
เมื่อเริ่มเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาว อากาศก็เริ่มเปลี่ยนแปลงบ่อยเสียจนน่าหงุดหงิด อารมณ์ที่ไม่ปกติของเขายิ่งเพิ่มทวีความไม่สบอารมณ์มากยิ่งขึ้นเมื่อเม็ดฝนเริ่มโปรยลงมาจนต้องเปิดที่ปัดน้ำฝนไล่
ทำไม..ในหัวของเขาถึงยังหาเหตุผลกับคนที่เกลียดด้วย
มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น นิสิตหลายคนใช่ว่าจะเข้าเรียนในชั่วโมงของเขา แต่กับหลง..ทำไมเขาต้องคิดหาเหตุผลว่าทำไมอีกฝ่ายถึงหายหน้าไปเฉยๆ
รถยุโรปสีดำเริ่มเคลื่อนตัวออกจากมหาวิทยาลัย ก่อนมุ่งตรงไปยังที่พักของพฤทธิ์ที่อยู่ไม่ไกลนัก
พฤทธิ์กลับมาถึงตอนสองทุ่มตรง เขาเปิดประตูห้องเข้าไปพบเพียงความมืดที่โรยราและแสงไฟที่สาดส่องจากภายนอกเท่านั้น ความคิดหนึ่งตีรวนขึ้นมาจนเขาเผลอขมวดคิ้ว เด็กคนนั้นไปไหนถึงได้กลับดึกดื่นได้ขนาดนี้
แสงไฟจากภายนอกนำทางเขาเปิดกดสวิตช์ไฟก่อนทุกอย่างจะสว่างราวกับพาเขาเข้าสู่โลกใบใหม่ ดวงตาสีเข้มกวาดมองรอบกายเหมือนอย่างเคยก่อนสะดุดกับกระดาษแผ่นน้อยที่วางอยู่บนโต๊ะ
เขาหยิบมันขึ้นมาอ่าน กวาดสายตามองอย่างละเอียดก่อนที่ความรู้สึกบางอย่างจะตีรวนขึ้นมาจนเผลอขยำกระดาษใบนั้นทิ้งถังขยะอย่างไม่ใยดี
ช่างสิ เขายังต้องสนใจอะไรอีกกับคนไม่มีมารยาทแบบนั้น!
ปฏิเสธไม่ได้ว่าพฤทธิ์เริ่มไม่ชินกันการอยู่ภายในห้องคนเดียวนับตั้งแต่มีหลงเข้ามาอาศัยอยู่แม้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น หากเทียบกับฉลองขวัญหล่อนแทบไม่ได้ใช้ชีวิตกับเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เพียงแต่มาชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
ข่าวในโทรทัศน์ช่วงสี่ทุ่มวันนี้ดูเป็นเรื่องน่าเบื่อเหลือเกินสำหรับพฤทธิ์ เขาจึงกดปิดมันอย่างหงุดหงิด แต่ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทำงาน เสียงโทรศัพท์อันคุ้นเคยก็ดังขึ้น
ฉลองขวัญ..หล่อนโทรศัพท์มาได้จังหวะพอดี..
“ว่าอะไรล่ะ”
‘ฉันอยู่หน้าห้องแล้ว เข้าไปได้หรือเปล่า’
หลังจากเขาปฏิบัติตัวกับหล่อนเหมือนคนแปลกหน้าหลายครั้งลายครา ฝ่ายนั้นก็เริ่มเกรงใจกันมากขึ้น แม้เจ้าตัวจะเข้าห้องได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่คงคิดได้ว่ามันทำให้เขาหงุดหงิดเมื่อหล่อนเข้ามาในเวลาไม่สมควร
“เข้ามาสิ”
ประตูเปิดออกพร้อมหญิงสาวที่เดินถือของเขามาด้วยราวกับเป็นเจ้าของห้องเสียเอง
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะ คุณก็รู้ว่าผมแทบไม่ทำอาหาร”
“ของบำรุงทั้งนั้น เห็นว่าช่วงนี้งานคุณหนัก”
“อืม ขอบคุณ”
เขาไม่พูดอะไรต่อ แต่ดึงมือฉลองขวัญไว้เมื่อหล่อนทำท่าจะเดินเข้าไปเก็บของในห้องครัว คิดอะไรถึงได้มาทำตัวเป็นแม่ศรีเรือน แต่เหตุผลลึกๆ ของหล่อนคงมีไม่กี่อย่างและเขาพอจะเดาจุดประสงค์ได้เสียด้วย “เลิกลีลาเสียเถอะ คุณมาไม่ใช่เพราะอยากดูแลผมหรอก”
“ถ้าฉันบอกว่าอยากดูแลจะเชื่อหรือเปล่า”
พฤทธิ์ยิ้มเยาะหล่อนในทีก่อนจะมองด้วยสายตาว่างเปล่า “เป็นแบบนี้มาตั้งนานอยู่ๆ ก็อยากดูแลกัน คุณกำลังหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อยู่นะฉลองขวัญ”
เขารู้ตัวว่าใจร้ายและเย็นชาต่อความรู้สึกของผู้หญิงคนนี้แค่ไหน แต่มันไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่ต้องสนใจสิ่งที่นอกเหนือการควบคุม
มือแกร่งดึงหล่อนเข้ามาใกล้ก่อนบดขยี้ริมฝีปากเข้าหาอย่างที่เคยทำ ทั้งที่ฉลองขวัญอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับเหลือบมองกระดาษแผ่นน้อยที่ถูกขยำทิ้งในถังขยะ
ลมข้างนอกพัดยอดไม้ให้โอนไหวตามแรงก่อนสายฝนจะเริ่มพรำลงมาเป็นจังหวะเดียวที่หลงหวนคิดถึงอาจารย์พฤทธิ์ อีกฝ่ายจะโกรธเขาหรือเปล่าที่ทำแบบนั้น..แต่จะโกรธให้ได้อะไรขึ้นมา กลับกัน..ดีเสียอีกที่ไม่ต้องมีคนมาเป็นภาระ
หลงมองออกไปนอกหน้าต่าง หยาดฝนไหลกระทบพื้นข้างล่างได้ยินเสียงเปาะแปะพร้อมกลิ่นดินกลิ่นหญ้าที่ระเหยขึ้นมาปะทะนาสิก ความเหงาความเดียวดายเป็นแบบนี้นี่เอง กระนั้นหลงก็รีบสะบัดความคิดแปลกๆ ออก เขาอยู่กับพฤทธิ์ไม่กี่สัปดาห์ทำไมกลับมีความรู้สึกแปลกประหลาดแทรกขึ้นมา
จะโทษคนอื่นก็ไม่ได้ ถ้าเขาอยู่ที่นั่นต่อก็ไม่เท่ากับทำให้อาจารย์พฤทธิ์ผู้ปฏิบัติตัวดีมาตลอดเสื่อมเสียหรอกหรือ แบบนี้นั่นแหละถูกแล้ว..เขาทำถูกแล้วที่กลับมาอยู่บ้านเดิม แม้วุฒิกับกรณ์จะยังไม่กลับมาก็ตาม ส่วนแม่..หล่อนก็ออกเที่ยวเหมือนเดิมโดยไม่มีท่าทีจะสนว่าเขาจะอยู่อย่างไรสักนิด
ความรู้สึกผิดเจือในความรู้สึกไม่จางหาย ทั้งกังวลว่าจะถูกโกรธหรือเปล่า ประการแรกเขาไม่เข้าเรียนวิชาของอาจารย์พฤทธิ์และประการที่สองเขาทิ้งเพียงข้อความสั้นๆ ให้อีกฝ่ายเท่านั้น แม้จะดูเป็นการเสียมารยาท หากต้องรอบอกกับตัวเอง หลงก็กลัวสายตาเอาเรื่องของอีกฝ่ายเช่นกัน
โชคดีพรุ่งนี้ไม่ต้องเจออีกฝ่ายเพราะเขามีเรียนเพียงช่วงเช้าเท่านั้น คิดแล้วก็สบายใจไปเปลาะหนึ่ง ส่วนเรื่องคาบเรียนต่อไปที่ต้องเรียนกับพฤทธิ์..เขาคงต้องหาที่เหมาะๆ ที่ไม่จำเป็นต้องสบตาอีกฝ่ายมากนัก
ก็เท่านั้น..
หลงพบว่าการกลับมาอยู่บ้านสร้างความลำบากให้เขาอย่างที่หลายคนบอกไว้ ไม่เพียงแต่ต้องตื่นเช้ากว่าปกติ แต่ยังต้องเดินทางไปเรียนด้วยตัวเองเพราะไม่อยากรบกวนที่บ้าน ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลงก็เคยทำมาก่อน ทว่าความเคยชินบางอย่างกลับซ้อนทับเรื่องราวในอดีตเสียหมด
“คุณหลงไม่กินข้าวก่อนหรือคะ”
“สายแล้วครับ” เขารีบร้อนลนลานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความสบายนำพาให้หลงกลายเป็นคนไม่รับผิดชอบไปเสียแล้ว
“ให้ตาแก้วไปส่งไหมคะ แกยิ่งไม่ค่อยได้ทำงานอยู่”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า แต่เมื่อคิดดูอีกทีเขาก็จำใจขอให้ลุงแก้วไปส่งจนได้
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ช่วงนี้คุณสองคนนั้นไปต่างประเทศกัน ผมก็ว่างๆ ไม่ค่อยได้ทำอะไร ขับรถไปส่งคุณครู่เดียวก็ไม่เสียหาย”
หลงผินหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง ความเหงาฉายชัดในแววตาก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเฉยชาเช่นเดิม “ตอนเย็นผมกลับเองก็ได้ครับ”
“ช่วงนี้ฝนตกบ่อย เดี๋ยวคุณเปียกฝนไม่สบายเอานะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเลิกเรียนตอนเที่ยง เรียนเสร็จคงกลับบ้านเลย” ถ้าเป็นปกติหลงคงทำงานอยู่หอสมุดกลางกับเพื่อนคนอื่น แต่เมื่อเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น..เขาก็ไม่อยากอยู่ให้ช้ำใจเล่นหรอก
เมื่อรถยนต์สีบรอนซ์จอดนิ่งข้างฟุตบาท หลงก็ยกมือไหว้ขอบคุณตาแก้วเหมือนที่เคยทำกับใครบางคน แล้วรีบวิ่งขึ้นยังตึกโดยเร็ว เพราะถ้าช้ากว่านี้..เขาคงขึ้นเรียนสายอีกตามเคย
หลงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำซากเมื่อเขาแอบขึ้นลิฟต์ของอาจารย์เท่านั้น..
คนหน้าลิฟต์เยอะจนผิดปกติ แม้ว่าใกล้ช่วงเวลาเข้าเรียนเต็มแก่ ทว่าทุกครั้งคนจะไม่เยอะเท่านี้ นอกจากนิสิตแล้วยังพ่วงด้วยอาจารย์อีกหลายคนที่ยืนต่อแถวขึ้นลิฟต์อย่างเร่งรีบเพราะลิฟต์สามตัวอีกฟากหนึ่งเสียพร้อมกัน
เขาเดินเข้าไปต่อแถวรอกระทั่งได้เข้าไปในลิฟต์สมใจ แต่เมื่อเหลือบมองขึ้นมากลับพบว่าเจ้าของดวงตาคมดุได้มองเขาก่อนอยู่แล้ว เด็กหนุ่มรีบหลบตา แต่เขาแทบไม่มีเวลาคิดอย่างอื่นเมื่อคนข้างหลังผลักดันเข้ามาราวกับเขาเป็นตัวเกะกะ แผ่นหลังจึงแนบกับอกอาจารย์พฤทธิ์อย่างช่วยไม่ได้ ไอร้อนจัดเห่อลามทั่วผิวกายคล้ายกำลังจะมอดไหม้
ความเบียดเสียดแน่นขนัดเพิ่มมากยิ่งขึ้นเมื่อคนข้างนอกดึงดันจะเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นี้ ทั้งที่หลงคิดแล้วว่าคงไม่เจอหน้าอีกฝ่ายหลายวัน ทว่าเหตุการณ์กลับพลิกผัน..ยิ่งกว่าได้พบหน้าเสียอีก
หลงจ้องเขม็งไปยังตัวเลขที่ขึ้นอย่างช้าๆ อย่างขัดใจ ในเวลาที่ไม่สมควรแบบนี้ ทำไมอะไรๆ ถึงดูไม่เป็นใจไปเสียหมด ลิฟต์ตั้งแต่ชั้นสามขึ้นไปหยุดทุกชั้นคล้ายจะกลั่นแกล้งหลงให้ติดอยู่ในความอึดอัดไปตลอดกาล กระทั่งถึงชั้นหก เขารีบเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย
ความรู้สึกบางอย่างแน่นจุกที่อกเมื่อพบว่าสายตาของใครบางคนว่างเปล่าราวกับไม่รู้จักหลงมาก่อน
เขากำลังหวังอะไรจากเจ้าของแววตาคู่นั้นอยู่หรือ..
ท้ายชั่วโมงเรียนประมาณสามสิบนาทีอาจารย์ประจำวิชามีงานให้ทำอยู่หนึ่งอย่างคือเขียนสรุปความรู้ปิดท้ายและส่งให้นำขึ้นส่งไปที่ห้องพักอาจารย์ก่อนบ่ายโมงตรง ตอนเที่ยงวันเขาจึงนั่งทำงานร่วมกับเพื่อนในเอกโดยไม่มีอะไรตกถึงท้อง
คนที่โอดครวญคนแรกชื่อภัทร ซึ่งอีกฝ่ายมานั่งใกล้เขาเมื่อเช้านี้เอง ถ้าไม่ทำความรู้จักกันหลงคงไม่รู้ว่าเจ้าตัวก็เรียนเอกเดียวกันกับเขาเช่นกัน
“หิวจะแย่แล้ว”
“เดี๋ยวก็ได้กิน ตอนบ่ายไม่มีเรียนนี่” หลงเปรยเบาๆ แต่อีกคนกลับโพล่งขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดใจ
“ตอนบ่ายเราไปเรียนวิชาวิทยาศาสตร์นี่ ฝากส่งด้วยนะหลง!” พูดจบก็รีบเขียนสรุปด้วยลายมือที่แทบอ่านไม่ออก แล้วรีบวิ่งออกไปโดยไม่สนใจอะไรอีกเลย
เพื่อนกลุ่มเดิมของเขานั่งอยู่อีกฟากหนึ่ง ไม่ว่าหลงพยายามลบความทรงจำพวกนั้นออก ทว่าทุกคำพูดยังติดแน่นฝังใจไม่จางหาย ใครจะว่าหลงอย่างไรเขาไม่สน แต่เมื่อมีผลกระทบไปยังอาจารย์พฤทธิ์ เขาก็ไม่อยากเป็นต้นเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายถูกเข้าใจผิดๆ
เที่ยงวันนั้นเขาขึ้นไปส่งงานที่ห้องพักอาจารย์ชั้นสิบ โดยหวังว่าคงไม่เจอหน้าอาจารย์พฤทธิ์ แต่ความหวังของหลงก็คล้ายอากาศที่รู้ว่ามีอยู่แต่ไม่มีใครมองเห็น เพียงก้าวออกจากลิฟต์ก็พบว่าอีกฝ่ายเดินคู่กันมากับอาจารย์ฉลองขวัญแล้ว
ทำอย่างไรดี..เขาไม่เคยคิดว่าต้องถามประโยคนี้กับตัวเองราวกับคนบ้า
ระยะทางเริ่มลดน้อยถอยลง หลงไม่อยากเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ แล้วกดลงไปข้างล่างเพียงเพราะความขลาดเขลาที่ต้องเผชิญหน้ากัน แต่จะให้เดินตรงไปราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรก็ทำไม่ได้
สุดท้ายแล้ว..เขาก็ต้องเดินไปข้างหน้า พร้อมกับระยะทางที่ลดลงเรื่อยๆ ก่อนจะยกมือไหว้คนทั้งคู่ในฐานะลูกศิษย์
“มาส่งงานหรือหลง” อาจารย์ฉลองขวัญเอ่ยถามพลางยิ้มน้อยๆ ให้ ส่วนอาจารย์พฤทธิ์..ฝ่ายนั้นแทบไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ แน่นอนว่าคงโกรธหรืออาจจะเกลียดที่เขาทำตัวเสียมารยาทเมื่อหลายวันก่อน
“ครับ” เขาตอบรับสั้นๆ แล้วรีบเดินหนีจากสถานการณ์อึดอัดนั้น ทั้งที่หลงควรจะดีใจที่ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ทว่าบางอย่างกลับตอกย้ำความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
น้อยใจหรือ..น้อยใจเรื่องอะไรกัน..
กับคนอื่นเขาไม่เห็นจะสนใจอะไร แต่กับอาจารย์พฤทธิ์ที่ตั้งแง่เกลียดกันแต่แรก ทำไมเขาถึงได้เป็นขนาดนี้
คุณหญิงดุลยาเคยเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์เกือบสี่สิบปีก่อนจะเกษียณตัวเองไปอยู่บ้านสวนที่ต่างจังหวัด น้อยครั้งที่พฤทธิ์จะเดินทางไปเยี่ยมเยียนหล่อนเพราะทำงานจนไม่มีเวลากระดิกตัวไปไหน แม้จะโทรศัพท์หากันอาทิตย์ละสองถึงสามครั้ง ทว่าก็ยังไม่สามารถชดเชยความคิดถึงที่มีต่อหลานชายได้อยู่ดี
หวนคิดไปเมื่อหลายวันก่อน อยู่ๆ หล่อนก็โทรศัพท์มาหาด้วยน้ำเสียงดีใจแกมตื่นเต้นจนปิดไม่มิด
‘พฤทธิ์หลานยาย ทำไมช่วงนี้ไม่แวะมาหากันบ้างเลย ไม่คิดถึงยายหรือ’
เขายิ้ม ไพล่นึกถึงบ้านสวนที่เคยวิ่งเล่นจนหัวร้างข้างแตกสมัยเด็ก “งานยุ่งจนกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ รู้แบบนี้ไม่เป็นอาจารย์ก็ดีหรอก ไปช่วยคุณยายทำสวนเสียดีกว่า”
‘พูดอะไรแบบนั้น แต่เอาเถอะ..ยายเข้าใจ แต่อยากให้มาเยี่ยมกันบ้าง คนแก่อยู่บ้านแล้วก็เหงาๆ คิดถึงลูกถึงหลานเป็นธรรมดา’
พฤทธิ์รู้สึกผิดไม่น้อยที่ใครบางคนตัดพ้อ แต่สัญญาแล้วว่าจะหาเวลาไปเยี่ยมให้ได้ สุดท้ายหล่อนก็โทรศัพท์มาทวงสัญญาถึงที่
‘เห็นแม่หลานพูดถึงอาจารย์ฉลองขวัญ ยายอยากรู้จัก พาเธอมาหาได้หรือเปล่าล่ะ’
ชายหนุ่มฝืนยิ้มดูรวดราวในที “คุณแม่บอกหรือครับ”
‘เมื่อหลายวันก่อนนั่นแหละ เห็นเปรยๆ ขึ้นมา ยายอยากเห็นหน้าสักหน่อย พาทำมาทำความรู้จักก็ยังดี’
คุณหญิงดุลยาเป็นใคร มีหน้ามีตาในสังคมแค่ไหน ทำไมพฤทธิ์จะไม่รู้..เขารู้ดีเสียอีก เพราะตั้งแต่เด็กก็ถูกอบรมมาว่าจะเลือกคู่ครองตั้งเลือกให้สมฐานะตัวเองเพื่อไม่ให้อับอายคนอื่น ทว่าดูจากตัวอย่างพ่อกับแม่ของเขา..ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด
ความเหมาะสมอย่างเดียวหรือจะประคับประคองกันไปตลอดรอดฝั่งได้..
เขาครุ่นคิดเหตุผลข้อนี้ แต่เมื่อน้ำเสียงเจือความตื่นเต้นของคนปลายสายดังขึ้น ความคิดของพฤทธิ์ก็ถูกปิดผนึกลงพร้อมกับหัวใจอันหนักอึ้ง “ครับ วันอาทิตย์นี้ผมจะไปเยี่ยมคุณยาย”
“อาจารย์พฤทธิ์ช่วงนี้ดูคุณเคร่งเครียดกับการทำงานไปหรือเปล่าคะ” เสียงของหล่อนปลุกเขาจากภวังค์
“อืม ใกล้สอบกลางภาคแล้ว ผมกังวลกับข้อสอบนิดหน่อย” พฤทธิ์โป้ปด ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่าความกังวลในช่วงนี้มีสาเหตุจากอะไร หนึ่งในนั้นคือเรื่องฉลองขวัญ ในช่วงที่ผ่านมาเพ็ญแขมารดาของเขาพยายามจับคู่ให้เขากับหล่อนอย่างออกหน้าออกตาจนกลายเป็นข่าวสังคมหน้าหนึ่ง แม้ว่าใจของเขาอยากทำในสิ่งตรงกันข้าม แต่เมื่อนึกถึงหัวอกของเพ็ญแข เขาก็ทำไม่ลง
“อ้อ กังวลทำไม มันเป็นเรื่องของเด็กๆ นี่คะ”
“ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องของเด็กๆ แต่เป็นเรื่องของเราที่ควรออกข้อสอบให้เพื่อวัดความสามารถของพวกเขามากกว่า”
หล่อนไม่กล้าเถียงเมื่อเห็นแววตาเบื่อหน่ายของอีกฝ่าย ฉลองขวัญรู้ดีว่าเรื่องที่ทำให้พฤทธิ์เป็นแบบนี้คงหนีไม่พ้นการแต่งงานที่มารดาของอีกฝ่ายขยั้นคะยอทุกเมื่อเชื่อวัน
สาเหตุคงมาจากที่หล่อนไปพูดเปรยๆ ไว้ครั้งที่พฤทธิ์ไม่อยู่บ้านนั่นแหละ..
“วันอาทิตย์นี้คุณว่างหรือเปล่า”
“ว่างค่ะ”
“คุณยายอยากพบคุณ”
ฉลองขวัญมองออกไปข้างนอกหน้าต่างพลางจิบกาแฟพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “เรื่องอะไรคะ”
“รู้แก่ใจคงไม่ตามผมให้เสียเวลาหรอกครับ”
เมฆหมอกที่บดบังดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนตัวออก เผยให้เห็นแสงแรกของวัน คล้ายกับความหวังของหล่อนที่เริ่มผลิบาน
มันเป็นวันที่หลงรู้สึกว่าท้องฟ้ามืดหม่นพอๆ กับหัวใจของหลง วันนี้ตอนเช้ามีวิชาของอาจารย์พฤทธิ์..คนที่หลงหลบเลี่ยงมาตลอดหลายวัน รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่คิดอะไร แต่หัวใจเจ้ากรรมของหลงกลับเรียกร้องอะไรบางอย่างที่เกินขอบเขต
“คุณหลงตื่นสายแบบนี้เดี๋ยวก็เข้าเรียนไม่ทันหรอกค่ะ”
“ตื่นสายสิดี จะได้ไม่ต้องเจอกันให้ชังน้ำหน้า” เขาพึมพำกับตัวเองพลางมองออกไปยังชานหน้าบ้าน รถสีบรอนซ์จอดเทียบตั้งแต่เช้าตรู่เพราะรู้ว่าเจ้านายมีเรียนเช้า
“อะไรนะคะ”
“เปล่าครับ”
“รีบไปเรียนเถอะค่ะ คุณวุฒิกำชับนักกำชับหนาว่าให้คุณหลงตื่นไปเรียนให้ทัน”
หลงบอกลุงแก้วว่าขอไปมหาวิทยาลัยด้วยตัวเองเพราะไม่อยากรบกวนและติดสบายไปมากกว่านี้ ทว่าอีกฝ่ายใช่จะยอมง่ายๆ จนหลงต้องบอกให้ส่งตรงป้ายรถเมล์พอและมันก็เป็นอย่างที่หลงคิดไว้ไม่มีผิด หลงเข้าเรียนสายและเลือกที่จะนั่งข้างหลังเมื่อเห็นข้างหน้าเต็มไปด้วยนิสิตหญิง
ดูเอาเถอะ..
ทุกคนในห้องต่างก้มหน้าก้มตาราวกับทำอะไรบางอย่าง เมื่อหลงเห็นหัวกระดาษเขียนไว้ว่า ‘แบบทดสอบ’ เขาก็รู้ตัวเลยว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงอาจารย์พฤทธิ์ได้ เด็กหนุ่มเดินออกจากที่หน้าแล้วเดินไปยังเวทีหน้าห้อง
“ผมขอข้อสอบด้วยครับ..อาจารย์”
“ผมไม่อยากตำหนิคุณสักเท่าไหร่ แต่คิดว่าโตๆ กันแล้วควรจะคิดได้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ” อาจารย์พฤทธิ์ยื่นกระดาษข้อสอบให้เขา ทว่าเวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาทีเสียงเจ้าตัวกลับดึงขึ้น เรียกให้ทุกคนส่งกระดาษคำตอบแม้ว่าหลงเพิ่งจะได้เขียนชื่อบนหัวกระดาษก็ตาม
ในชั่วโมงบรรยายแม้ความขุ่นมัวในช่วงแรกจะทำให้ใครหลายคนนึกหวั่นเกรงใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับด้วยรอยยิ้มเสมอ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปนิสิตหลายคนจึงคลายความตึงเครียดลงและให้ความร่วมมือกับอาจารย์เป็นอย่างดี ไม่เพียงใบหน้าจะดูดีทุกระเบียบนิ้ว หนำซ้ำคำพูดคำจาก็ไม่เป็นสองรองใคร ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นั่งข้างหน้าจึงเต็มไปด้วยนิสิตชายนิสิตหญิงขนาดนี้
หลังเลิกเรียนหลายคนทยอยกันออกจากห้องอย่างเชื่องช้าเพราะอยากเห็นใบหน้าประดับรอยยิ้มของอาจารย์พฤทธิ์ให้นานที่สุด ทว่ามันยิ่งนำพาความหงุดหงิดใจให้กับหลง แม้เขาจะเบียดตัวแทรกตัวอย่างไรก็ยังไม่พ้นหน้าประตูเสียที กระทั่งเสียงทุ้มดังขึ้นอย่างนุ่มนวล
นุ่มนวลเกินกว่าที่จะพูดกับหลง..
“คุณหลง รอคุยกับผมก่อน”
หลงสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันหลังกลับไปมองอีกฝ่าย
“ขอเวลาสักห้านาที คิดว่าคงทัน”
“ครับ”
ห้องบรรยายจากที่เคยเต็มไปด้วยนิสิตนับร้อยเหลือเพียงเขากับอาจารย์พฤทธิ์ในไม่กี่นาที ก่อนน้ำเสียงทุ้มนุ่มจะกลายเป็นน้ำเสียงกระด้างอย่างเหลือเชื่อ
“คุณหลบหน้าผมเพราะรู้ตัวว่าทำผิด”
เด็กหนุ่มก้มหน้า ความรู้สึกผิดตีรวนขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอาจารย์พฤทธิ์ถึงโกรธได้ขนาดนี้ “ผมขอ..”
“ที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร เพียงแต่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่เด็กไร้มารยาทคนอื่นหนึ่งพึงกระทำเท่านั้น” น้ำเสียงของพฤทธิ์ราบเรียบก็จริง แต่หลงไม่ได้สังเกตแววตาเอาเรื่องของอีกฝ่ายเพราะเอาแต่ก้มหน้าประหนึ่งเผชิญหน้ากับราชสีห์ “แต่ขอให้ระลึกไว้ว่าผมไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับคุณนัก แม้ในฐานะญาติห่างๆ ก็ตาม ต่อไปคุณคงทำตัวตามสบายได้โดยไม่ต้องหลบหน้าผมเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นะครับ”
อาจารย์พฤทธิ์เดินออกจากห้อง เหลือเพียงเครื่องปรับอากาศที่ส่งเสียงดังหึ่งๆ และดับลงเมื่อหมดเวลาสอนสามชั่วโมง
หลงก้มหน้าหลงปิดซ่อนความรู้สึกผิดหวังไว้ ไม่นานน้ำใสๆ จึงเอ่อล้นรอบดวงตาก่อนจะไหลลงมากระทบฝ่ามือในที่สุด
น่าจะรู้ตัวตั้งนานว่ามันก็แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรเก็บมาใส่ใจเท่านั้น..
มาต่อแล้วววววววววววววววววววววววววววววว

เมื่อคืนปั่นจนจบเพราะพลังล้นเหลือมากกกกก หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ อิอิ แต่อย่าว่าอาจารย์พฤทธิ์ให้มาก อาจารย์เป็นคนดีจริงๆ ค่ะแค่หน้ากากเยอะไปหน่อย สวมกันไม่หยุดไม่หย่อนเลย แอร้ยย ส่วนน้องหลงก็ตามนั้นแหละ

แต่งเองหงุดหงิดเอง อยากไปเอง ก็ไปเถอะ ไปอยู่บ้านเงียบๆ คนเดียวรอพ่อกับพี่ชายกลับแล้วกัน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไม่รู้อะไรกันสักที เห็นมีคนถามถึงพี่กรณ์ พี่กรณ์ยังไม่กลับนะ เดี๋ยวตอนหน้าก็คงมาแล้วล่ะ จริงแกไม่ค่อยมีบทเท่าไหร่ เพราะอาจารย์พฤทธิ์มาแรงกว่ามากก แซงโค้งเลยทีเดียว
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ
คิดเห็นอย่างไรได้โปรดคอมเม้นท์นะคะ แฮ่
ปล.เรื่องมันก็เรื่อยๆ เหมือนพายเรือแจวตามคลองแหละนะ ไม่สปาร์คกันรุนแรงเท่าไหร่ จะไม่พยายามให้รักกันเร็ว แต่อยากให้ค่อยๆ สานสันพันธ์กันมากกว่า ฮิๆ ตัวละครน่าจะหมดแล้วล่ะ โผล่มาคุณยายกับเพื่อนคนใหม่เท่านั้น กว่าจะคิดชื่อตัวละครออกนี่ยากเหมือนกันเนาะ

เจอกันตอนหน้านะคะะะะะ

Fanpage:
https://www.facebook.com/AUTHOR.ELLETTE