ซ่อนรัก
บทที่ ๑
เสียงรถจอดหน้าบ้านทำให้เขาละสายตาจากการบ้านมาสนใจผู้ใหม่ด้วยความสนใจ แม่กลับมาแล้ว แต่กลับมาพร้อมคนแปลกหน้าที่เขานึกชิงชัง
“กรณ์อยากได้อะไรอีกไหม”
“ไม่แล้วครับ แค่นี้ผมก็ต้องทำงานใช้พ่อไปตลอดชีวิตแล้ว”
หลงอดเหลือบตามองเจ้าของเสียงสดใสไม่ได้ คนๆ นั้นมีรอยยิ้มเหมือนแสงตะวันในยามเช้าที่แจกจ่ายไปทั่ว น่าหมั่นไส้..นั่นคือความรู้สึกของเขาที่มีต่อผู้ชายคนนั้น
ทว่าเหตุผลที่แท้จริงมีอยู่อย่างเดียว..เขาก็แค่ ‘อิจฉา’
ถ้านับดูแล้วนี่ก็เป็นปีที่ห้าที่เขาได้เข้ามาอยู่กับครอบครัวนี้เพราะแม่แต่งงานใหม่ ความจริงหล่อนคิดว่าพ่อจะเป็นคนเอาหลงไปเลี้ยงด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างกับผิดพลาดไปหมดเมื่อสามีใหม่ของแม่บอกจะรับเลี้ยงเขาเอง แน่นอนว่าพ่อก็เห็นด้วยที่ไม่ต้องเอาเขาไปเป็นภาระ
ภาระหรือ..นั่นเป็นสิ่งที่พ่อกับแม่ไม่ควรพูดกับเขาก็จริง ทว่ามันกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วที่เขาจะได้ยินทั้งคู่พูดถึงเขาในทางไม่ดี
แม้ว่าครอบครัวใหม่ของแม่จะดีกับหลงมาก แต่เขาก็ยังนึกชิงชังอยู่ดี โดยเฉพาะเวลาที่ได้ยินเสียงหัวเราะของคนๆ นั้น มันแสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าครอบครัวสมบูรณ์แบบแค่ไหนแม้ว่าแม่จะเป็นคนเข้ามาใหม่ก็เถอะ ทว่าช่องว่างระหว่างกันแทบไม่มีให้เห็น แตกต่างจากหลง..เขาอาจจะหลงมาเกิดอย่างที่แม่เคยพูดไว้ก็ได้
“คุณกรณ์เก่งจังเลยนะคะ เรียนจบก็ได้เป็นอาจารย์เลย ดิฉันล่ะอยากให้หลงเป็นแบบคุณกรณ์บ้างจริงๆ”
“ผมยังต้องเรียนรู้อีกมากครับ และนี่ก็ยังเป็นแค่อาจารย์พิเศษ คงจะอีกนานเลยครับกว่าจะได้เป็นอาจารย์ประจำ”
“ภูมิใจแทนคุณพฤทธิ์จริงๆ ค่ะ”
หล่อนพูดเสียงหวาน ต่างจากตอนพูดกับหลงอย่างสิ้นเชิง ก็ถูกต้องแล้วล่ะ..เขามันแค่ลูกติดไม่ใช่ลูกรักเหมือนคุณกรณ์อะไรนั่น ถึงแม้จะถูกเลี้ยงดูเหมือนกันก็เถอะ
“ขอบคุณครับ”
คนๆ นั้นแต้มรอยยิ้มที่ใบหน้า ก่อนจะหันมองมาทางเขา
ให้ตายเถอะ..เวลาแอบทำอะไรแบบนี้เขามักถูกจับได้ทุกที หนำซ้ำผู้ชายคนนั้นยังโปรยยิ้มบางๆ มาให้อีกต่างหาก เขารู้ว่ามันเป็นยิ้มทักทาย แต่ความรู้สึกของหลงคืออีกฝ่ายกำลังเยาะเย้ยเขา
หลงไม่อยากอยู่ตรงนี้นานเกินไปก่อนที่คุณกรณ์จะเข้ามาทักทาย เขาจึงรีบกวาดของทุกอย่างบนโต๊ะใส่กระเป๋าผ้าแล้วย้ายไปทำการบ้านที่ห้องครัวกับป้าแม่บ้าน ทว่าเรื่องนี้คงไม่พ้นหูพ้นตาแม่ของเขาอีกเช่นเคย หล่อนถึงได้ตะโกนตามหลังมาด้วยน้ำเสียไม่สบอารมณ์ที่สุด
“หลง! เสียมารยาทจริงๆ”
“ช่างเถอะครับ”
เขาหันมองข้างหลังทั้งแม่และผู้ชายคนที่เขาเกลียดก่อนจะรีบวิ่งไปโดยไม่รู้สึกอะไร
ช่างสิ..จะรู้สึกอย่างไรก็ช่าง เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“ดิฉันเลี้ยงลูกไม่ดี ไม่ได้ครึ่งหนึ่งของคุณกรณ์ด้วยซ้ำ”
“ไม่ใช่หรอกครับ”
ทุกประโยคเข้าหูเขาก็เพราะห้องครัวมันไม่ได้อยู่ไกลจากห้องโถงจริงๆ แม้ว่าหลงจะบอกตัวเองว่าไม่รู้สึกอะไร แต่ความจริงเขาก็เสียใจไม่น้อย เพราะอะไรแม่ถึงชอบเปรียบเทียบเขากับคุณกรณ์ทั้งที่รู้ว่าหลงดีได้ไม่เท่า
“ผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ”
เจ้าตัวเดินไปยังห้องทำงานทางปีกขวา และหลังจากนั้นไม่นานแม่ก็เดินเข้ามาต่อว่าเขาด้วยเรื่องเดิมๆ
“ทำไมแกไม่รู้จักเอาอกเอาใจคุณกรณ์กับคุณวุฒิบ้าง”
“แล้วทำไมต้องทำ มันเป็นหน้าที่ผมหรือไง” เขาโต้ตอบ ยิ่งทำให้แม่โมโหมากยิ่งขึ้น
“สันดานเลวเหมือนพ่อแกไม่มีผิด”
“อย่ามาว่าพ่อนะ แล้วแม่ดีนักหรือไง!” หลงโกรธจนคุมสติไม่อยู่และแม่ก็เช่นเดียวกัน หล่อนง้างมือตบแก้มเขาเต็มแรง ความรู้สึกแรกคือเจ็บ..ไม่ได้เจ็บที่แก้มแต่เจ็บที่ใจ ถูกล่ะ..แม่ลงมือกับเขาบ่อยๆ และเขาควรจะชินกับมันได้แล้ว ทว่าความเป็นจริงเขายังรู้สึกปวดใจอยู่ดี
“แกนี่ไม่น่าเกิดมาเลยไอ้หลง!”
แม่ทำท่าจะต่อว่าเขาอีก แต่เสียงทุ้มๆ กลับดังขึ้นข้างหลังก่อนที่คุณกรณ์จะเดินเข้ามาในห้องครัว หลงรู้ว่าอีกฝ่ายเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างและคงจะเข้ามาขัดจังหวัดเพื่อยุติทุกอย่างเช่นกัน ทว่าเขาไม่ต้องการความเห็นใจอะไรทั้งนั้น
“ขอโทษนะครับ ผมอยากจะขอกาแฟสักแก้ว”
“อ่อ..ไม่เห็นต้องเข้ามาในนี้เลยค่ะ” หล่อนพูดเสียงตะกุกตะกักก่อนหันมามองเขาด้วยแววตาเกรี้ยวกราด แม่เกลียดเขา..เขาน่าจะรู้ตั้งนานแล้วเพราะเขามันเป็นภาระ
น้ำตาหยดหนึ่งกำลังไหล แต่หลงเกลียดต้องมาร้องไห้ให้คนอื่นเห็น และเขาก็ไม่ลังเลจะเดินออกไปจากที่นี่โดยทิ้งการบ้านทั้งหมดเอาไว้
หลงสนิทกับคุณป้าแม่บ้านมากที่สุด เพราะหล่อนรักหลงและเอาใจใส่หลงยิ่งกว่าแม่เสียอีก ถึงจะพูดอย่างนั้น..แต่หล่อนก็มักบอกว่าไม่มีใครรักหลงได้เท่าแม่ของเขาอีกแล้ว
“คุณป้า แม่เกลียดหลง ไม่อยากให้หลงเกิดมา” เขากอดหล่อนแน่นแล้วปล่อยน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ แม่ของเขา..หล่อนจะรู้บ้างไหมว่าทำให้หลงร้องไห้ไปกี่ครั้ง
“เธอไม่ได้เกลียดหรอกค่ะ อาจจะพูดไปเพราะอารมณ์”
ถึงหล่อนจะพูดว่าแม่ทำด้วยอารมณ์ แต่ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ..จะมีใครบ้างที่พร่ำบอกว่าเกลียดลูกตัวเองตั้งแต่หลงจำความได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรมันก็ฝังลึกในหัวใจของหลงว่าพ่อกับแม่ไม่ต้องการให้เขาเกิดมา “หลงได้ยินมาตั้งแต่เด็กว่าเขาเกลียดหลง”
“อย่าร้องไห้เลยค่ะ เดี๋ยวไม่หล่อป้าไม่เลี้ยงนะคะ”
“ป้าจะไม่เลี้ยงหลงจริงๆ เหรอครับ” เขาเริ่มสะอึกพลางเงยหน้าถามทั้งหน้าเปรอะน้ำตา ดูน่าหยอกไม่ใช่เล่น
“จริงค่ะ”
“หลง..ฮึก..จะไม่ร้องไห้แล้ว” หลงนอนบนตักคุณป้าแม่บ้าน เขากลั้นสะอื้นจนจมูกแดงก่ำก่อนจะเผลอหลับไป
ในความฝัน..เขากำลังนอนบนตักของแม่
“หลับไปแล้วหรือครับ”
คุณป้าแม่บ้านสะดุ้งก่อนหันไปทางต้นเสียง เห็นชายหนุ่มร่างสูงยืนพิงกรอบประตูอยู่
ถ้าให้พูดถึงความจริงคุณกรณ์ดูแลหลงพอๆ กับหล่อนหรือบางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ทว่าด้วยทิฐิของหลงความหวังดีของกรณ์จึงไม่ต่างอะไรกับสายลมพัดผ่าน เบาหวิวไม่รู้สึกจนเผลอมองข้าม
“คุณกรณ์เหรอคะ ป้าตกใจหมด”
“ผมมายืนตั้งนาน แต่ไม่กล้าเข้ามา” เขานั่งลงข้างคุณป้าแม่บ้าน แล้วก้มมองเด็กหนุ่มที่นอนบนตักหล่อน “ป้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวผมช่วยดูแลเอง”
“แต่เดี๋ยวคุณเธอมาเห็นจะอาละวาดเอานะคะ” วีรกรรมของแม่หลงเป็นที่รู้ดีว่าร้ายกาจแค่ไหน ซึ่งหล่อนก็เข้าใจเหมือนกันว่าจะอะไรนักหนากับลูกตัวเอง ไม่ใช่ว่ารักจนหวงแต่เพราะห่วงว่าคนอื่นจะเดือดร้อนเพราะลูกชายตัวเอง
“ผมอยู่ทั้งคน”
“เพราะคุณกรณ์อยู่นี่แหละค่ะป้าถึงห่วง เธอเทิดทูนคุณยิ่งกว่าลูกในไส้เสียอีก” หล่อนอดกระแนะกระแหน ‘คุณผู้หญิงคนใหม่’ ไม่ได้ ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้าตัวรักความสุขสบายยิ่งกว่าอะไร ไม่เช่นนั้นจะยอมแต่งงานกับคนอายุราวหกสิบหรือ ทั้งที่ตัวเองอายุไม่ถึงสี่สิบด้วยซ้ำ..ไม่มีทางเสียหรอก
“ไม่ใช่หรอกครับ”
“ป้าไม่อยากจะพูดร้ายใส่ใครนะคะ แต่ใครๆ ก็ทราบดีค่ะ” หล่อนอยากบอกวีรกรรมแม่ของหลงใจจะขาด แต่หล่อนก็อดใจไม่พูดเพราะไม่อยากทำลายภาพแม่เลี้ยงแสนดีของคุณกรณ์ “ป้าฝากหลงด้วยนะคะ”
“ครับ” กรณ์ตอบรับสั้นๆ เขาก้มมองนางที่ยังนอนบนตักป้าพลางยิ้มบางๆ
ครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าพ่อจะแต่งงานใหม่เป็นเรื่องที่แย่ที่สุดในชีวิต เพราะกรณ์ยังยึดติดว่าไม่มีใครคู่ควรกับพ่อได้เท่าแม่อีกแล้ว แต่หากมองดีๆ พ่อของเขาอายุมากขึ้น ส่วนเขาก็โตขึ้นและมีหน้าที่รับผิดชอบมากยิ่งขึ้น เวลาที่จะดูแลพ่อน้อยลง..สมควรแล้วที่พ่อควรมีใครอยู่ข้างๆ
ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตัวคนเดียวแต่ยังมีลูกติดอีกคนหนึ่ง นั่นยิ่งทำให้เขานึกไม่พอใจมากขึ้น แต่เมื่อได้สบตากับเจ้าของนัยน์ตาหม่นหมองนั่น..ความคิดเขาก็เปลี่ยน
น่าสงสาร..เขาคิดว่าหลงเป็นอย่างนั้น
เมื่อได้สัมผัสจริงๆ แล้วมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด แม่เลี้ยงของอาจจะรักหลงน้อยกว่าแม่คนอื่นๆ ทำ แต่หล่อนก็รักในแบบของหล่อน แน่นอนว่าเขาไม่รู้และไม่มีทางเดาได้เมื่อเห็นพฤติกรรมของหล่อนที่ทำกับหลง แม้ว่ากรณ์จะทำเป็นมองไม่เห็นแต่ความจริงแล้วเขารับรู้ทุกเหตุการณ์ ทั้งจากคนในบ้านและจากตาตัวเอง
พอเขาโตขึ้นเขาถึงได้รู้ว่าควรมองหลงเป็นน้องชายไม่ใช่คนอื่นอย่างที่ตอนเด็กๆ เคยฝันเอาไว้ แต่เพราะแม่ของเขามีลูกอีกไม่ได้ ทุกอย่างจึงเป็นได้เพียงฝันลมๆ แล้งๆ ทว่าเมื่อมีหลง..เขาควรจะดีใจไม่ใช่หรือ
“ป้าครับ..เดี๋ยวผมจะยกหลงไปนอนที่ห้อง”
“แต่ว่าหลงตัวไม่เล็กเหมือนแต่ก่อนแล้วนะคะ”
กรณ์หลุบตามองน้อง ความจริงหลงโตขึ้นมาก แต่สำหรับกรณ์แล้วก็ไม่ได้จัดว่าหลงอยู่ในกลุ่มพวกตัวใหญ่จนอุ้มไม่ไหว “ป้าอย่าลืมสิครับว่าผมไม่แก่ขนาดยกเด็กไม่ขึ้น”
“ป้าเชื่อแล้วค่ะ”
เขาอุ้มหลงอย่างเบามือไปยังห้องนอนของเจ้าตัวที่อยู่ในเรือนหลังใหญ่
“เจ็บหรือเปล่าหลง” กรณ์ถามร่างเล็กข้างใบหู หวังว่าน้ำเสียงนี้เจ้าตัวจะได้ยินได้ฟังบ้าง “พี่..ขอโทษที่ดูแลไม่ดี”
เขาละสายตาจากเอกสารตรงหน้าแล้วเหลือบตามองนาฬิกาโบราณข้างฝาผนัง พบว่าเวลาล่วงเลยมาจนถึงสามทุ่มแล้ว คงจะได้เวลาที่ ‘พฤทธิ์’ เข้านอนให้เต็มที่เพื่อเข้าร่วมงานสัมมนาในวันรุ่งขึ้น ทว่าเสียงโทรศัพท์กลับดึงความสนใจของเขาจากเตียงนอน
“ครับ” พฤทธิ์กรอกเสียงใส่โทรศัพท์สั้นๆ แล้วมองไปยังนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่เมฆบดบังแสงจันทร์และดวงดาวจนมองเห็นแสงไฟเล็กๆ ตรงริมถนน
‘คุณพฤทธิ์จะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่คะ’
“อีกสองวันผมจะกลับเมืองไทย ไม่ต้องส่งคนมารับนะครับ”
‘จะเอาอย่างนั้นเหรอคะ' ปลายสายเอ่ยถามเจือด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ครับ กลับมาผมจะไปทำงานเลย”
‘คุณพฤทธิ์จะไม่เหนื่อยแย่หรือคะ ให้แม่ส่งคนไปรับนะคะ’
เขาอมยิ้มน้อยๆ เมื่อหล่อนทำเสียงหวานกึ่งบังคับ แม่เป็นแบบนี้เสมอ..ทั้งที่เขามีประสบการณ์ในต่างประเทศและสามารถดูแลตนเองได้พอสมควร ทว่าความเป็นห่วงเป็นใยจากหล่อนก็ไม่เคยลดน้อยถอยลงตามกาลเวลา เผลอๆ อาจจะมีมากกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ “ผมจะสามสิบแล้วนะครับ”
‘แม่รู้ค่ะ แต่วันกลับแม่จะส่งคนไปรับนะคะ’
“ครับ” พฤทธิ์จำยอมต่อคำขอของหล่อน ไม่ว่าแม่จะมาไม้ไหนเขายอมรับว่าไม่เคยต่อต้านดื้อดึงกับหล่อนได้สักครั้ง อาจจะเป็นเพราะเขามีผู้หญิงคนนี้คนเดียวในชีวิตก็เป็นได้ “ผมต้องตื่นแต่เช้า ไว้พรุ่งนี้จะโทรหาอีกที”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
พฤทธิ์หรืออาจารย์พฤทธิ์เข้าสัมมนาในฐานะอาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย หลายคนสบประมาทเขาเพราะอายุยังน้อยและด้อยประสบการณ์ เขารู้ตัวและเก็บคำเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันดีดตัวเองให้อยู่ในจุดที่สูงที่สุดที่ไม่เคยมีใครทำได้ แน่นอนว่าเขาทำมันสำเร็จอย่างไร้ข้อกังขาจากคนอื่น
เขาจบจากประเทศอังกฤษด้วยทุนของมหาวิทยาลัยทั้งที่ครอบครัวสามารถส่งเสียเขาได้อย่างสบายๆ แต่พฤทธ์คิดว่ามันทำให้เขาไม่เติบโตและรักสบายจนไม่เห็นคุณค่าของการรอคอย ความผิดหวัง และน้ำตา
“คุณพฤทธิ์จะไม่อยู่เที่ยวก่อนหรือครับ” พชรเป็นอาจารย์คนหนึ่งที่เข้าร่วมสัมมนาเช่นกัน เจ้าตัวเอ่ยถามเขาเมื่อการประชุมเสร็จสิ้นลง
“ไม่ล่ะครับ ผมจะกลับคืนนี้เลย”
“มาทุกทีอาจารย์ก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางเหมือนพวกผมสักครั้ง”
พฤทธิ์ยิ้มบางๆ เขารู้ว่าควรใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่า แต่จะคุ้มค่าแบบไหนก็แล้วแต่มุมมองของคน สำหรับเขาแล้วเวลาคือสิ่งมีค่าจะใช้ให้เสียเปล่าไม่ได้เด็ดขาด “ผมมีสอน ถ้าไม่ได้สอน..ผมอาจจะสอนไม่ทัน และไม่อยากไปเร่งสอนช่วงท้ายๆ ด้วยครับ”
ประโยคนั้นทั้งเอาหลายคนสะอึกไปพร้อมกัน เพราะเวลาสอนไม่ทันก็ไปเร่งเอาช่วงท้ายๆ ชนิดที่เรือด่วนยังตามไม่ทัน และนั่นก็ทำให้ทั้งอาจารย์และนิสิตลมจับไปตามๆ กัน
สำหรับพฤทธิ์..เขาวางแผนดีและหาหนทางแก้ไขอยู่เสมอ การเร่งสอนช่วงท้ายจึงไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำ แต่เป็นเรื่องที่ควรจัดเวลาให้เหมาะสม
“เที่ยวให้สนุกนะครับอาจารย์” น้ำเสียงทุ้มต่ำกล่าวสั้นๆ ก่อนเก็บเอกสารลงกระเป๋าหนังและเดินจากไป ทิ้งความคลางแคลงใจไว้เบื้องหลังด้วยสีหน้าเฉยชา
ในช่วงที่เขามาเป็นอาจารย์ใหม่ๆ หลายคนชื่นชอบรูปโฉมของเขาและประเมินว่าเขาหน้าตาดีแต่สอนไม่ได้เรื่อง สำหรับเขาไม่ได้ตอบโต้แต่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีเพียงหน้าตาแต่ความสามารถก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน ตำแหน่งอาจารย์สุดฮอทที่นิสิตตั้งให้จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับเขา แล้วทำไมพฤทธิ์จะไม่รู้ว่าเขาหลายคนชอบแต่เขาเลือกจะไม่สนใจมากกว่า
“ผมจะกลับถึงเจ็ดโมงเช้า”
‘แม่จะส่งคนไปรอตั้งแต่ตีห้าเลยค่ะ กลัวคุณพฤทธิ์ไปสอนหนังสือเด็กๆ ไม่ทัน’
“คุณแข อย่าพูดอย่างนั้นสิ”
พฤทธิ์กดเสียงทุ้มต่ำเจือน้ำเสียงไม่พอใจเล็กๆ และนั่นยิ่งทำให้เจ้าหล่อนอยากแกล้งลูกชายมากกว่าเดิม ‘ก็มันจริงนี่คะ คนอะไรไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย’
“แค่นี้นะครับ”
ถึงหล่อนจะพูดอย่างนั้นแต่ลึกๆ ก็ห่วงเขาไม่น้อย แม้เขาไม่เคยแสดงสีหน้าอ่อนล้าหรือเหนื่อยหน่ายให้ใครเห็น แต่แม่ของเขาทราบดีว่ากว่าเขาจะพิสูจน์ตัวเองได้ขนาดนี้ย่อมไม่ธรรมดาและรักษามาตรฐานของตัวเองเอาไว้ ถึงเขาไม่เคยพูดเรื่องนี้กับหล่อน..แต่คนเป็นแม่มีหรือจะมองไม่เห็น แต่เจ้าตัวกลับไม่เคยพูดเรื่องนี้เพราะรู้ดีว่าเขาคงไม่ยอมรับง่ายๆ
แม่อาจจะเป็นคนเดียวที่รู้จุดอ่อนของเขา
พระอาทิตย์สาดแสงตามรอยแยกม่านหน้าต่างลามเลียมาจนถึงปลายเท้า หลงขยับหนีเมื่อสัมผัสถึงความร้อนของแดดยามสายก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้น สำรวจรอบกายอย่างมึนงง เขาจำได้..ว่านอนบนตักคุณป้าแม่บ้านและหล่อนก็คงไม่ทางยกเขามาถึงเรือนใหญ่ได้ ยกเว้นเสียแต่ว่ามีคนช่วย..แต่จะเป็นใครกัน หลงขี้เกียจคิดให้ปวดสมอง เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้มานอนบนเตียงนิ่มๆ แล้ว
ตอนนี้หลงเรียนอยู่ปีสุดท้ายจึงต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว แน่นอนว่าเขาหวังกับตัวเองไว้มากแม้จะรู้ว่าต่อให้พยายามอย่างไรพ่อกับแม่ก็ไม่มีทางสนใจใยดีเขา ถึงกระนั้นอนาคตก็ไม่ควรมาจมอยู่กับความเศร้าโศก หลงควรจะทำเพื่อตัวเองให้ดีกว่าเดิม
เด็กหนุ่มไม่อยากคิดถึงพ่อแม่ให้มากความ เขาตัดสินใจลุกขึ้นไปหาอะไรกินก่อนจะขึ้นมาอ่านหนังสือเตรียมสอบ ทว่าทุกอย่างในบ้านไม่ได้เป็นอย่างที่หลงคิดเสมอไป เมื่อเขาเริ่มต้นจับหนังสือ เสียงแม่ก็ดังขึ้นหน้าห้องอย่างไม่สบอารมณ์
“ไอ้หลง คุณวุฒิเรียกแกลงไปหา เร็วๆ อย่าช้า”
มันช่างเป็นบ่ายที่ไม่สงบจริงๆ..เขากลอกตาอย่างหงุดหงิดก่อนจะโต้ตอบด้วยน้ำเสียงเดียวกัน “ผมไม่ว่าง อ่านหนังสืออยู่ และถ้าจะให้ผมรีบมันคงเป็นไปไม่ได้เพราะผมยังไม่ได้อาบน้ำ”
ตอนนี้แม่คงทำสีหน้าหงุดหงิดอย่างที่สุดหน้าประตูห้อง แต่เชื่อเถอะ..พอลงไปหาคุณวุฒิพ่อเลี้ยงของเขา อะไรๆ ก็คงพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากนางมารเป็นนางฟ้า “ฉันให้เวลาแกสิบนาที รีบลงมา อย่าช้า!”
บ้านหลังใหญ่นี้ควรเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่าและห้องนอนของหลงก็อยู่เกือบสุดทาง ต่อให้แม่ตะโกนเสียงดังแค่ไหน บางทีอาจจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ
“เฮอะ!”
ความหงุดหงิดเกาะกุมจิตใจจนสมองของเขาไม่สามารถรับข้อมูลใดๆ ได้อีก แม้แต่ตัวหนังสือตรงหน้าก็กลายเป็นเรื่องไม่สบอารมณ์ชนิดที่สามารถใช้ไฟเผาให้เป็นจุลได้
สุดท้ายแล้วหลงก็ไม่มีทางเลือกอยู่ดีเพราะเขายังเห็นแก่หน้าผู้หญิงคนนั้น เด็กหนุ่มจึงก้าวไปกระชากผ้าเช็ดตัวระบายความหงุดหงิดก่อนจะเดินลงส้นเข้าไปชำระร่างกายในห้องน้ำ หวังว่าสายน้ำจะชโลมจิตใจอันมัวหมองเขาของได้
ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรแต่หลงก็ยังเดินเข้ามาในวงสนทนาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มาแล้วหรือ นั่งก่อนสิ”
“ครับ”
วุฒิเป็นพ่อเลี้ยงที่ดูแลเขาดียิ่งกว่าแม่ของเขาเสียอีก แต่เรื่องนั้นมันอยู่นอกขอบเขตความรู้สึกดีของหลง ต่อให้ดีแค่ไหนเขาก็ยังไม่ซาบซึ้งอยู่ดี และเจ้าตัวก็สัมผัสถึงช่องว่างระหว่างกันจึงแทบไม่ก้าวก่ายชีวิตหลงนัก
“ฉันอยากแนะนำให้รู้จักญาติอีกคนหนึ่งของเรา”
ชั่วขณะหนึ่งที่หลงรู้สึกว่าการสนทนาแบบผู้ใหญ่น่าเบื่อแต่เขาไม่ได้มีทางเลือกนัก จึงเหลือบตาขึ้นมองพร้อมยกมือไหว้แบบขอไปที ทว่าสายตาคู่นั้นกลับเย็นเยียบและจริงจังจนหลงไม่กล้าทำตามใจตัวเองนัก
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ” อีกฝ่ายยกมือรับไหว้ กิริยามารยาทน่ามองไปทุกส่วน โดยเฉพาะเวลาคุยกับคุณกรณ์แล้วหลงเหมือนทาสรับใช้ก็ไม่ปาน เขาไม่ได้คิดไปเอง..แต่สองคนนี้ดูเหมือนคุณชายหลุดจากนิยายจริงๆ มิน่าล่ะ..แม่ของเขาถึงชมนักชมหนา
ทุกการกระทำมีเหตุผลรองรับ หลงเข้าใจ..แต่ส่วนลึกก็อดต่อต้านไม่ได้
“คุณพฤทธิ์ นี่ลูกชายอีกคนของอา ชื่อหลง..อยากจะฝากฝังเสียหน่อย”
ใบหน้าของพฤทธิ์ประดับรอยยิ้มเสมอ นั่นทำให้ใครต่อใครชื่นชมว่าเขารู้จักวางตัว แม้แต่ตอนไม่พอใจเขายังยิ้มได้ราวกับไม่มีเรื่องขุ่นมัว “ถ้าคุณอาพูดแบบนี้ผมคงไม่ปฏิเสธ”
หากความรู้สึกของพฤทธิ์ไม่ผิด เด็กคนนี้ไม่มีอะไรพิเศษหรือหน้ามองสักนิด ออกจะกระด้างกระเดื่องด้วยซ้ำ
“ขอบใจมากพฤทธิ์ เผื่อหลงเข้าเรียนมหาวิทยาลัยจะได้ช่วยอาดูอีกแรง”
“ผมดูแลตัวเองได้”
วุฒิหัวเราะชอบใจ เขาเอ็นดูหลงเพราะเด็กคนนี้พูดอย่างที่คิด ไม่มีปิดบัง แม้จะหยาบกร้านไปหน่อยแต่ถ้าถูกขัดเกลาคงเหมือนกรณ์นั่นแหละ “ฉันรู้ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้”
“คุณพฤทธิ์เป็นอาจารย์ประจำใช่ไหม”
“ใช่ครับ ผมทำงานมาเกือบสามสี่ปีแล้ว”
น้ำเสียงของคุณพฤทธิ์นุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น ทว่าประกายตาที่หลงเห็นทุกครั้งที่สบมองก็ชวนให้เสียวสันหลังวาบอย่างบอกไม่ถูก ทว่าเขาก็พอจะรู้ว่าผู้ใหญ่หลายคนไม่ได้เอ็นดูหลงเหมือนคุณกรณ์เพราะความกระด้างของเขานี่แหละ
“ผมไปอ่านหนังสือได้หรือยัง”
“อ้อ..คุยกันเสียเพลิน เอาสิ..จะได้สอบติดที่อยากเข้า”
หลงลุกขึ้นยืน เขาไม่พูดอะไรก่อนเดินกลับห้อง ทว่าเสียงคุณกรณ์กลับดังขึ้นดึงให้หันมองด้วยความสงสัย “อ่านหนังสือหรือ หยิบอะไรไปกินด้วยสิ เผื่อหิว”
เขาเหลือบตามองไม่สบอารมณ์พี่ชายต่างบิดา ทว่าแววตาของพ่อเลี้ยงก็เจือความหวังว่าเขาจะสร้างไมตรีกับพี่ชายคนนี้ได้หรือไม่ และหลงก็ไม่ชอบทำร้ายจิตใจคนอายุมากด้วยสิ “ครับ”
รอยยิ้มที่มุมปากคุณวุฒิปรากฏขึ้นจางๆ แต่มีใครบางคนมองเขาด้วยแววตาต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง
อาจจะไม่ชอบ รังเกียจ หรือกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง..หลงไม่มีทางรู้และเขาก็ไม่สนใจเช่นกัน
พฤทธิ์คุยได้ไม่นานเพราะร่างกายของเขาเริ่มแสดงออกว่าอยากพักผ่อนเต็มทีแล้ว
“พี่พฤทธิ์กลับเร็วจริงๆ ถ้าอยู่ต่อกว่านี้จะได้เป็นลูกชายอีกของพ่อผมแน่ๆ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
กรณ์เดินมาส่งพฤทธิ์ถึงรถ ทว่าก่อนเจ้าตัวจะขึ้นรถเขาก็รีบเอ่ยถาม “พี่ว่าน้องผมคนนี้เป็นอย่างไร”
“ผมคงตัดสินใครไม่ได้ทั้งที่เพิ่งพบกันครั้งแรกหรอกครับ อีกอย่าง..คุณก็รู้ว่าผมเป็นอาจารย์คงพูดเรื่องแย่ๆ ของคนอื่นไม่ได้”
“พี่ว่าน้องผมเป็นคนไม่ดีหรือ”
“ผมยังไม่ได้บอกสักคำ” พฤทธิ์ยิ้มบางๆ “อีกอย่างถ้าจะตัดสินกันได้ขนาดนั้นคงต้องศึกษาอย่างละเอียด คุณก็เป็นอาจารย์เหมือนกันน่าจะรู้ข้อนี้ดี”
“อีกอย่างผมไม่เห็นความจำเป็นต้องรู้จักเด็กคนนี้” หลงไม่มีอะไรน่าดึงดูดใจจริงๆ ถึงแม้จะมีศักดิ์เป็นญาติกัน แต่สายเลือดก็คนละสาย ต่อให้พยายามผูกใจกันก็คงยาก
“คุณพ่อคงอยากให้หลงประสบความสำเร็จล่ะมั้งครับ เลยอยากได้ผู้ปรึกษาที่ดีแบบอาจารย์พฤทธิ์ อีกอย่างถ้านับจริงๆ พวกเราก็เป็นญาติๆ กัน ถึงจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็เถอะ”
“คุณกรณ์เองก็รู้เหตุผลลึกๆ ของผม”
กรณ์ถอนหายใจเบาๆ เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าญาติผู้พี่เหนือกว่าตนเสมอ เรื่องนั้นเขายอมรับโดยดุษฎี แต่ใครจะคิดว่าเจ้าตัวจะมีวาจาเชือดเฉือนได้ขนาดนี้ จนเป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายยอมแพ้ “โอเค..ผมจะไม่ถามคุณประเด็นนี้อีกแล้วครับอาจารย์พฤทธิ์”
“ไว้เจอกันคราวหน้า”
“ครับ”
พฤทธิ์รักสงบ การได้พักผ่อนโดยการหลับตาเงียบๆ ทำให้พลังของเขากลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง ทว่าความสงบนั้นกลับซ่อนคลื่นลูกใหญ่ไว้อย่างประณีต ต่อให้เขาทำตัวแสนดีอย่างไรก็ย่อมมีด้านมืดที่ไม่อาจเปิดเผย แม้เขาจะรักในศีลธรรมแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาทำทุกข้อ
“อาจารย์พฤทธิ์..คุณอายุขนาดนี้ไม่คิดจะสร้างครอบครัวบ้างหรือไง” หล่อนทาบมือบนไหล่เขาแล้วลูบอย่างยั่วเย้า แต่อารมณ์ของพฤทธิ์ตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากตอไม้..เขาเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรๆ ที่หล่อนต้องการ และไม่สนว่าหล่อนจะคิดอย่างไรหากเขาปฏิเสธ
“คิด..แต่คงไม่ใช่คุณ”
“ผู้หญิงแบบไหนจะเหมาะกับคุณเท่ากับฉัน” หล่อนกระซิบ “เรารู้จักกันตั้งแต่เรียนปีหนึ่งจะครบสิบปีแล้ว ใครจะรู้จักคุณดีเท่าฉัน”
“คุณแน่ใจว่ารู้จักผมดี ขนาดคบกันมาหลายปียังหักหลังกันได้ นับประสาอะไรกับเราที่เป็นแค่..เซ็กส์เฟรนด์”
เขากับหล่อนเป็นอาจารย์เหมือนกันทั้งคู่และรู้จักกันมานานพอสมควร หลายคนยุยงให้พฤทธิ์คบกับหล่อนแม้กระทั่งแม่ยังสนับสนุน ทว่าพฤทธิ์กลับเกิดคำถามในว่าผู้หญิงแบบนี้หรือเหมาะจะสร้างครอบครัวด้วย ถูกล่ะเขาอาจจะตีค่าหล่อนในแบบของเขา แต่พฤทธิ์ก็ไม่สนว่าใครจะคิดอย่างไรในเมื่อหล่อนจงใจทำตัวเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
“คิดดูดีๆ นะคะ ถ้าเราเริ่มคบกันตอนนี้มันก็ยังไม่สาย”
“คุณอยากจะสร้างครอบครัวหรือ”
“อายุของเรามากขึ้นทุกวัน ฉันต้องการความมั่นคงในชีวิตเหมือนกัน”
อายุขนาดเขาก็คิดเรื่องครอบครัวอยู่เช่นเดียวกัน แต่พฤทธิ์มักถามตัวเองบ่อยครั้งว่าเขาจะไม่เสียดายชีวิตแบบนี้หรือหากต้องกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวที่รับภาระเพิ่มขึ้น
“สถานะของคุณกับผมตอนนี้มันก็ได้แค่นี้ และผมยังรักในอิสระอยู่” เขาเปิดตาขึ้น มองท้องฟ้าที่โรยราด้วยความมืดมิด “ผมคงไม่หาเรื่องเอาตรวนมาล่ามตัวเองไว้หรอก”
หล่อนยักไหล่ ไม่ยี่หระต่อคำพูดของเขาก่อนหยิบเสื้อผ้ามาใส่และออกจากห้องไป ทั้งที่หล่อนรู้ว่ากำลังเล่นกับไฟ ทั้งแสบทั้งร้อนแต่สุขสมในคราเดียวกัน แต่หล่อนก็ยืนกรานความต้องการของตัวเอง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกเขาจากภวังค์
‘จะกลับมานอนบ้านไหมคุณพฤทธิ์ แม่จัดที่นอนไว้ให้แล้ว’
เขาถอนหายใจ..หล่อนพูดขนาดนี้ขืนเขาปฏิเสธก็ดูใจไม้ไส้ระกำเกินไปหน่อย “แม่พูดอย่างนี้กะไม่ให้ผมตอบตามใจเลยใช่ไหมครับ”
‘กลับบ้านมานอนนะคะ แม่เตรียมมือเย็นเสร็จแล้ว’
“อีกหนึ่งชั่วโมงน่าจะไปถึงครับ”
✒ สวัสดีค่ะ ฝากเรื่องใหม่ด้วยนะคะ ~
เขียนมาได้มาสักพักเกิดไม่มั่นใจว่าจะลงจบหรือเปล่าเพราะเรื่องที่แล้วๆ มาก็ไปไม่รอดหยุดเขียนไปหลายรอบ เรื่องนี้เลยใส่ความพยายามไปเต็มที่ อาจจะลงช้าบ้างเร็วบ้างตามเวลาว่างที่เริ่มเหลือน้อยเต็มทีแล้ว
ขอบคุณคนอ่านทุกคนค่ะ ^_^
Fanpage:
https://www.facebook.com/AUTHOR.ELLETTE