ซ่อนรัก
บทที่ ๔
ข่าวร้ายในรอบหลายปีของหลงคือพ่อเลี้ยงกับพี่ชายต่างสายเลือดของเขากำลังจะเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ถึงหลงแทบไม่พูดกับคนทั้งสองแต่การมีอยู่ย่อมดีกว่าการไม่มีอยู่แล้ว..
ตอนเช้าเขาเลยตื่นเร็วกว่าปกติมารออยู่หน้าบ้าน ทั้งที่ความจริงควรจะนอนทำใจได้แล้วว่าเขาต้องอยู่ตัวคนเดียวอย่างแท้จริงในวันต่อมา
“ตื่นแต่เช้าเชียวหลง มาส่งฉันหรือ” วุฒิสวมเสื้อยืดสบายๆ พร้อมรอยยิ้มละมุนใบหน้า
หลงเงียบ เขามองด้านหลังของพ่อเลี้ยง เห็นกระเป๋าใบใหญ่ห้าถึงหกใบถูกขนมาจากข้างบนบ้าน ถ้าไม่บอกว่าไปหนึ่งเดือน หลงคิดว่าคงไปหลายปีทีเดียว
“จะกลับมาเมื่อไหร่” เขาเผลอถามออกไป พอรู้ตัวก็รีบเสมองไปทางอื่น
“เดี๋ยวก็กลับแล้วถ้าทำธุระเสร็จ” มือใหญ่ลูบหัวหลงอย่างเอ็นดู ความอบอุ่นแผ่ซ่านชโลมใจจนเขาอยากยึดทุกอย่างไว้เป็นคนตัวเองคนเดียว ทว่าเมื่อเหลือบมองรอบกายอีกครั้ง กรณ์ก็ลงมาจากข้างล่างพร้อมสีหน้าสดชื่นที่สุด..คนนี้สิลูกชายตัวจริง ไม่ใช่เขาที่เป็นลูกทางพฤตินัย
“หลงมารอส่ง พวกเราต้องโชคดีแน่ๆ ครับพ่อ”
“ไม่ใช่สักหน่อย” เด็กหนุ่มบ่นงึมงำในลำคอพลางขมวดคิ้วแน่น “ผมมีเรียนแต่เช้าเลยตื่นเช้า”
“วันนี้วันเสาร์นะหลง ปกติไม่มีเรียนนี่”
ใบหน้าอ่อนเยาว์เห่อร้อน ก่อนเขาจะโกรธไปมากกว่านี้ กรณ์ก็รีบเข้ามาพูดกับหลง “หลงครับ พี่มีอะไรจะให้”
“ไม่เอา” เด็กหนุ่มตอบเสียงเข้มพร้อมทำท่าจะเดินหนี แต่มือพี่กลับไวกว่า คว้าข้อมือน้องไว้แล้วดึงตัวมากระซิบ “มีอะไรให้โทรศัพท์หาเบอร์นี้นะครับ”
หลงเม้มปากแน่น พยายามดึงแขนกลับคืน จนแล้วจนรอดก็ยังไม่พ้นมือแข็งแรงของกรณ์
ฝ่ายพี่เห็นน้องดื้อดึง ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้คงไม่มีวันที่อีกฝ่ายจะรับกระดาษใบน้อยแน่ๆ เขายึดมือเล็กแน่นก่อนยัดกระดาษใส่พร้อมกำชับเจ้าตัว “อย่าลืมนะ”
กรณ์ปล่อยมือน้องพลางส่งยิ้มให้อย่างเคย
หลงเพิ่งเข้าใจว่าทำไมใครๆ ถึงบอกว่าคุณกรณ์ยิ้มสวย..
เด็กหนุ่มร่างเล็กหันหลังให้ทันทีที่รถยุโรปเคลื่อนตัวออกจากบ้านช้าๆ อากาศในบ้านกำลังจะหมดหรืออย่างไร ทำไมหลงรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดบางอย่างในชีวิตไป
กระดาษแผ่นน้อยถูกยัดใส่ในกระเป๋ากางเกงโดยที่เขาไม่มีวันได้เปิดดูอีกเลย
หลงเข้าใจมาตลอดว่าชีวิตของเขาคือการอยู่ตัวคนเดียว แม้คนรอบข้างจะเต็มไปด้วยคนที่เรียกตัวเองว่าครอบครัวก็ตาม ทว่าหลายวันนี้มานี้..มันคือการอยู่คนเดียวจริงๆ
เขามีแม่แต่หล่อนก็ไม่ได้สนใจเขาอย่างที่รับปากวุฒิไว้ เมื่อเจ้าของบ้านไม่อยู่..คนอย่างหล่อนก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่เฝ้าบ้านเหมือนสุนัข หล่อนออกไปข้างนอกทุกวันและบางครั้งไม่ได้กลับมานอนที่บ้านเช่นเคย หลงอยากบอกวุฒิแต่ไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กขี้ฟ้อง
เขายังใช้ชีวิตตามปกติ ตื่นเช้าไปเรียน กลับบ้านดึกดื่น กินข้าวคนเดียว แล้วทบทวนหนังสือก่อนนอน แต่วันนั้นกลับเป็นวันที่แตกต่างออกไป..ทั้งหัวใจและความรู้สึกของเขา
ความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาตลอดทั้งสัปดาห์คล้ายจะดึงดูดให้เขาเหนื่อยล้ากว่าปกติ แต่วันนั้นกลับมีงานต้องทำจนต้องกลับบ้านดึกกว่าที่เคย
หลงกลับถึงบ้านเกือบสี่ทุ่ม ปกติแล้วเวลานี้ก็มีเพียงแสงไฟไม่กี่ดวงส่องสว่าง แต่มันกลับต่างจากเดิม..ไฟในห้องรับแขกยังสว่างโร่พร้อมเสียงทีวีที่น้อยครั้งจะถูกเปิด
เสียงหัวเราะดังกึกก้อง ดังพอจะปลุกให้คนที่หลับใหลตื่นขึ้นมาด้วยความสงสัย ภาพตรงหน้าปรากฏสองชายหญิงกอดจูบกันไม่อายฟ้าดิน หากเป็นคนอื่นเขาคงมองแบบผ่านเลย แต่หล่อนเป็นแม่ของเขา..คุณลดาที่จดทะเบียนสมรสอย่างถูกกฎหมายกับเจ้าของบ้าน
“ทำอะไร!” เสียงของหลงดังลั่น เขาทั้งตกใจและเสียใจกับพฤติกรรมของแม่ ถึงหล่อนไม่รักเขาก็ไม่เป็นไร แต่การทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรจากเนรคุณวุฒิ
แม่กับผู้ชายแปลกหน้าผละออกจากการด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “แกจะไปทำอะไรก็ไปสิ มายืนมองคนจู๋จี๋กันทำไม”
“นี่มันในบ้านนะ!”
“บ้านของฉันนี่ ฉันมีสิทธิ์” แม่ไม่ยี่หระอะไรทั้งสิ้น หล่อนมองมาทางเขาคล้ายจะเย้ยหยันอยู่ในทีก่อนหันไปพลอดรักกับผู้ชายคนนั้นต่อ
หลงเคยคิดว่าแม่ไม่รักเขา แต่แม่คงจะรักคนอื่น เปล่าเลย..หล่อนไม่รักใครทั้งนั้นนอกจากตัวเอง
“จะทำก็ทำที่อื่นสิ มาทำอะไรที่นี่ หน้าไม่อาย!”
“พูดให้ดีๆ หน่อย ฉันเป็นแม่แกนะไอ้หลง”
เด็กหนุ่มยืนกำหมัดแน่น ถ้าหล่อนไม่ใช่แม่ของเขา..เขาคงไม่แค่ยืนดูทั้งสองพลอดรักกัน “หยุดเดี๋ยวนี้! แม่มีสิทธิ์อะไรมาทำทุเรศในบ้านคนอื่น”
“แล้วแกมีสิทธิ์อะไรมาด่าฉันไอ้หลง! ไอ้เด็กเหลือขอ ไปให้พ้น!” ลดาตวาดกลับมาอย่างเหลืออด มันเป็นลูกของหล่อน ไม่มีสิทธิ์มาด่าหล่อนเสียๆ หายๆ ถึงหล่อนจะทำทุเรศในบ้าน..แล้วใครจะสนในเมื่อมันเป็นความพอใจ
“แม่อยากทำก็ออกไปทำข้างสิ มาทำตัวแบบนี้ไม่คิดว่าคนอื่นเขารังเกียจหรือไง น่ารังเกียจที่สุด!”
แจกันใบน้อยลอยลิ่วมาจากอีกฟาก ภาพที่หลงเห็นมันช้าเหมือนมันค่อยๆ ขยับ แต่เมื่อความเจ็บแปลบแล่นปลาบไปทั่วศีรษะ..เขาก็รู้ว่ามันเร็วเพราะอีกฝ่ายก็ขว้างเต็มแรงเหมือนกัน
เจ็บ..
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นจับศีรษะตัวเอง เลือดสีสดไหลซึมออกมาช้าๆ
สุดท้ายแม่ก็ไม่ได้เลือกเขาอย่างที่หวัง..
“คุณหลง!” เสียงของคุณป้าแม่บ้านดังขึ้น หล่อนปรี่เข้ามาหาหลงที่ยืนมองเลือดของตัวเองอยู่ ว่าแล้ว..การไม่มีเจ้าบ้านตัวจริงอยู่ต้องเกิดเรื่อง ถึงแม้ว่าคนงานจะเป็นคนเก่าคนแก่แต่ก็ไม่มีใครกล้าสู้คุณผู้หญิงคนใหม่ได้ ขนาดหล่อนเอาผู้ชายเข้ามาในบ้าน พวกที่เหลือยังทำตัวเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แต่ใครจะคิดว่าหล่อนจะกล้าทำลูกแท้ๆ ของตัวเองได้ลงคอ
“ทำไมเป็นแบบนี้คะ”
“เจ็บ” หลงเปรยเบาๆ เขาเจ็บทั้งตัวและหัวใจ เวลามองแม่ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรก็ยิ่งเจ็บ “พาหลงไปทำแผลหน่อยนะครับ”
ผ้าชุบน้ำอุ่นถูกซับบริเวณศีรษะอย่างเบามือ
“ไม่คิดเลยว่าเธอจะกล้าลงมือขนาดนี้”
หลงไม่อยากคิดเรื่องของแม่อีกต่อไปแล้ว เขาเลยฟังเงียบๆ โดยไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น
“นี่ถ้าคุณวุฒิกับคุณกรณ์รู้เรื่องเข้าต้องไล่เธอออกจากบ้านแน่ๆ”
“อย่างนั้นหลงก็ถูกไล่ออกจากบ้านด้วยสิ” ถ้าไล่แม่ออกจากบ้าน หลงก็เหมือนกัน..เขาไม่ได้เป็นคนในครอบครัวนี้ แต่เป็นเพราะแม่ต่างหากที่พาภาระอย่างเขามาอยู่ด้วย
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
เด็กหนุ่มลูบคลำแผล ขอให้อย่าเป็นแผลเป็นก็พอ..เขาไม่ต้องการให้รอยแผลตอกย้ำความทรงจำเลวร้ายที่เกิดขึ้นวันนี้พอๆ กับไม่อยากจำเรื่องที่แม่เป็นคนสร้างมันขึ้นมา
“กินอะไรมาหรือยังคะ”
“ยังครับ แต่หลงไม่หิว” แน่นอนว่าเขาหิวตั้งแต่เลิกเรียนแล้ว แต่พอมาถึงบ้านเกิดเรื่องที่ว่าขึ้น ความหิวก็คล้ายมลายหายไปกับอารมณ์เกรี้ยวกราดเมื่อครู่
“คุณผอมเกินไปแล้ว ต้องกินเยอะๆ นะคะ เดี๋ยวคนบ้านอื่นว่าบ้านเราดูแลไม่ดี”
วันนี้เขายังนั่นกินข้าวคนเดียวเหมือนเดิม แต่โชคดีหน่อยที่ในครัวมีทีวีเครื่องเล็กให้ดูเป็นเพื่อนบอก แต่หากเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว..หลงยอมกลับไปนั่งกินบนโต๊ะในห้องอาหารดีกว่า ถึงเขาแทบไม่พูดอะไร แต่อย่างน้อยก็ยังมีคนอยู่รอบกายบ้าง
ดึกแล้ว..บรรยากาศในบ้านเงียบผิดปกติ เขาเผลอเหลือบมองไปยังห้องรับแขกที่ยังเปิดไฟสว่างอยู่ คิดไม่ผิดเลยจริงๆ..หล่อนกำลังทำเรื่องเสื่อมเสียกับคนแปลกหน้านั่น
“ง่วงหรือยังคะ”
“ยังครับ..ป้าไปนอนก่อนก็ได้”
“ป้าไม่อยากให้คุณอยู่คนเดียวนี่คะ” หล่อนพูดยิ้มๆ พลางมองออกไปข้างนอก ไม่นานนักรอยยิ้มน้อยๆ ของหล่อนก็กลายเป็นยิ้มกว้างชวนสงสัย
มีเรื่องอะไรน่ายินดีนักหรือ..
“อะไรครับ”
“เทพบุตรมาแล้วสิคะ”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วพลางมองตามสายตาหล่อน ข้างนอกมีรถยุโรปสีดำขับเข้ามา จะว่าเหมือนรถใครบางคนก็ใช่ แต่อีกฝ่ายจะมีความจำเป็นอะไรต้องมาบ้านที่ไม่มีวุฒิกับกรณ์ค่ำๆ มืดๆ แบบนี้
“ใครครับ”
“อ้าว! ก็คุณพฤทธิ์สิคะ ป้าโทรไปหาเธอตั้งแต่คุณกินข้าวแล้ว”
“ป้าจะโทรหาเขาทำไม เดี๋ยวหลงก็โดนว่าก่อเรื่องอีก” เขาไม่คิดว่าพฤทธิ์จะมาที่นี่เพราะเป็นห่วงเขา อย่างมากก็แค่มาดูว่าในบ้านได้รับความเสียหายหรือเปล่า แจกันใบนั้นเป็นมูลค่าที่หลงต้องชดใช้เท่าไหร่มากกว่า
“อย่ามาโลกแง่ร้ายนักสิคะ เธอเป็นอาจารย์ต้องมีใจรักลูกศิษย์อยู่แล้ว” หญิงสูงวัยลูบหัวเขาอย่างเอ็นดูก่อนหล่อนจะเดินออกไปข้างนอก “ป้าไปรับคุณพฤทธิ์ก่อนนะคะ ไม่อยากให้เธอเห็นภาพน่าเกลียดน่ะค่ะ”
“ครับ”
คนอย่างอาจารย์พฤทธิ์น่ะหรือจะคิดเป็นอย่างอื่นได้..
อาจารย์พฤทธิ์เดินเข้ามาในห้องครัวด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด แต่รังสีความไม่พอใจยังแผ่ซ่านรอบกายอีกฝ่ายอยู่ดี
“ป้าดีใจที่คุณพฤทธิ์มาค่ะ”
“ผมมีนัดกินเลี้ยงเลยมาช้าไปหน่อย ขอโทษที่ให้รอนะครับ” พฤทธิ์พูดน้ำเสียงนุ่ม ทว่าสายตาที่มองมาทางหลงกลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายคงกำลังตำหนิเขาในใจอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนนั่นแหละ
“เกิดอะไรขึ้น”
“หัวแตก” หลงตอบสั้นๆ “ผมขอตัวทำธุระส่วนตัวก่อน”
“เดี๋ยวสิคะ คุณพฤทธิ์มีเรื่องจะคุยด้วยค่ะ” คุณป้าแม่บ้านพูดจบก็เดินออกไป ปล่อยให้หลงอยู่กับยักษ์จำแลง ที่จริง..หลงพอจะรู้ตัวว่ากลายเป็นพวกขัดความสุขของใครหลายคน
“อาจารย์มีอะไรครับ”
“ไปเก็บซื้อผ้ากับข้าวของที่จำเป็นแล้วตามไปที่รถ”
“เดี๋ยวครับ!”
พฤทธิ์ขมวดคิ้ว “ผมไม่มีเวลาอธิบายขยายความให้คุณฟังเหมือนในชั้นเรียนนะครับ”
เด็กหนุ่มไม่รอช้า เขาไม่อยากให้อาจารย์พฤทธิ์ที่อุตส่าห์มาถึงบ้างต้องโมโหหรือเกลียดเขามากกว่าเดิม หลงหยิบเสื้อผ้ากับของที่จำเป็นใส่กระเป๋าเป้พร้อมวิ่งออกจากบ้านโดยไม่หันหลังกลับมาอีกเลย
ต่อให้แม่ทำเรื่องเลวร้ายกว่านี้..เขาก็เหนื่อยเกินกว่าจะสนใจแล้ว
“คุณหลงคะ!”
“ครับ”
“อย่าดื้อกับคุณพฤทธิ์นะคะ”
อย่างอาจารย์พฤทธิ์มีหรือใครจะกล้าดื้อ แค่ขยับปากเถียงเขายังไม่กล้าทำเลย..
“ครับ”
เป็นครั้งที่สองที่หลงมีโอกาสนั่งรถกับอาจารย์พฤทธิ์ ครั้งแรกเขาถูกบังคับให้ขึ้นมาและครั้งที่สองก็เช่นเดียวกัน จนบางครั้งหลงก็สงสัยว่า..แค่มองนิ่งๆ คนๆ นี้ก็สามารถบังคับจิตใจคนอื่นได้ขนาดนั้นเชียวหรือ
หลงลอบมองอาจารย์พฤทธิ์เป็นครั้งคราว ขนาดว่าเพิ่งทำงานเสร็จอีกฝ่ายยังดูดีทุกระเบียบนิ้ว แตกต่างจากเขาที่ไม่ว่าจะไปเรียนหรือกลับบ้านสภาพก็ยิ่งแย่กว่าเดิมทุกครั้ง
“คุณมีคำถาม”
“ผม..”
“แต่ผมไม่จำเป็นต้องตอบคุณ”
ย้อนไปเมื่อหลายวันก่อน วันที่พฤทธิ์คิดว่าเขาคงได้ทำงานที่ตัวเองรักอย่างเต็มที่โดยไม่มีเรื่องใดมารบกวน
อาจารย์พฤทธิ์จรดปากกาเซ็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเหลือบมองข้างนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าทอแสงสีส้มพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่ใกล้ลาลับขอบฟ้า เขาหันมองหน้าปัดนาฬิกาข้างฝาผนัง มันบอกเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว
“อาจารย์ผมกลับก่อนนะครับ”
“ครับ” เขายกมือไหว้อาจารย์ร่วมคณะคนหนึ่งก่อนเก็บเอกสารบนโต๊ะของตัวเอง
ความขุ่นมัวเมื่อหลายวันก่อนยังตกตะกอนในจิตใจของเขาไม่จางหาย หนึ่งเพราะแม่ของเขาและสองเพราะผู้หญิงที่ชื่อฉลองขวัญ การระบายอารมณ์ที่ดีที่สุดคงเป็นการโหมทำงานเพื่อปัดเป่าอารมณ์ที่ยังคงเหลือ ทว่าเมื่อสมองว่างเปล่า..เรื่องเดิมๆ กลับย้อนกลับมาให้คิดเช่นเคย
แต่งงาน..สิ่งที่เขาหลีกเลี่ยงมาตลอดชีวิต ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากสร้างครอบครัว แต่พฤทธิ์รู้ตัวเองดีว่าไม่อาจให้ความสุขใครได้ในฐานะของคนรัก เพราะเขาเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่ทำอะไรตามใจต้องการเท่านั้น ไม่ใช่คนเสียสละแบบที่ผู้หญิงหลายคนต้องการแน่นอน
ไม่นานที่เขาปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นดึงเขาออกจากภวังค์
“สวัสดีครับ”
‘พี่พฤทธิ์ ผมกรณ์เองครับ’
“รู้แล้ว มีอะไร” เขาถามสั้นๆ พลางวางปากกาลง
‘อีกสามวันผมกับพ่อต้องไปต่างประเทศ ผมเลยอยากจะรบกวนพี่เรื่องหนึ่ง’
“เรื่องอะไร ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงผมยินดีช่วย”
ปลายสายเงียบไประยะหนึ่งจนพฤทธิ์คิดว่าสายหลุดไปแล้ว “ถ้าไม่พูดผมจะวางแล้วนะครับ”
‘เดี๋ยวสิครับ! เรื่องที่อยากให้ช่วยคือช่วงที่พ่อกับผมไม่อยู่ ฝากพี่พฤทธิ์ดูแลน้องชายของผมหน่อย’
อาจารย์พฤทธิ์ถึงบางอ้อ เขาขมวดคิ้วพลางมองออกไปข้างนอกอย่างไม่สบอารมณ์ เด็กคนนั้นน่ะหรือจะไม่มีทางดูแลตัวเองไม่ได้ ทั้งที่ต่อต้านคนในครอบครัวขนาดนั้นก็แสดงว่าปีกกล้าขาแข็งไม่น้อย “ถ้าผมไม่รับปากล่ะ”
‘ถือว่าช่วยเหลือลูกศิษย์ของอาจารย์ก็ได้นะครับ’
“ถ้าแบบนั้นคุณต้องบอกอาจารย์ฉลองขวัญแล้วล่ะ รายนั้นเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาน่าจะช่วยได้มากกว่าผม” น้ำเสียงของเขาขุ่นขึ้นเมื่อเอ่ยถึงหล่อน แต่ถ้าเทียบกันกับการรับผิดชอบเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง เขายอมโยนภาระให้หล่อนดีกว่า
‘โธ่..พี่พฤทธิ์ อย่าใจร้ายนักเลย ขืนปล่อยหลงอยู่ในบ้านคนเดียว ไม่รู้จะเจออะไรบ้าง’
เขาถอนหายใจด้วยความระอา หลง..คนที่คอยทำลายความสงบสุขของเขาพอๆ กับฉลองขวัญ
‘ถือว่าช่วยญาติพี่น้องนะครับ ผมขอร้อง’
พฤทธิ์ยังเงียบ เมื่อนึกถึงใบหน้าของใครอีกคน อารมณ์ขุ่นมัวของเขาก็ดูจะเพิ่มขึ้น ถูกล่ะ..เขาอยากได้ความสงบ อยากอยู่คนเดียวโดยไม่ต้องห่วงว่าต้องดูแลใครเพิ่มขึ้น
‘อาจารย์พฤทธิ์’
“ตกลง”
‘ขอบคุณครับ’
เขาตัดสายพลางหลับตาลงอย่างเหนื่อยหน่าย เวลาผ่านมาไม่นานแต่เรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเยอะเกินไปจนทำให้เขารู้สึกแก่ขึ้นอีกหลายปี
“มีสองห้องนอน คุณไปใช้ห้องนั้น มีห้องน้ำในตัว..อยากกินอะไรไปใช้ห้องครัวได้” พฤทธิ์มองเด็กหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งร่างกายคงมีส่วนเพียงเส้นผมที่น่ามองอย่างเดียว นอกนั้นออกจะมอมแมมเลอะเทอะ ไหนจะคราบเลือดแห้งกรังบนเสื้อนิสิตอีก
ดูไม่ได้เลยจริงๆ..
“มีซูเปอร์อยู่ข้างล่าง” เขายื่นแบงก์พันให้เด็กหนุ่มด้วยสีหน้าเอือมระอา บ้านของวุฒิใหญ่โตกว่าบ้านของเขาเสียอีก แล้วไหนเลยจะไม่มีปัญญาเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้โตตามมาตรฐานได้ “ตู้เย็นคงไม่มีอะไรที่เด็กกินได้ คุณไปซื้อมาเองก็แล้วกัน”
“แล้วนี่ก็กุญแจ” พฤทธิ์วางคีย์การ์ดไว้บนโต๊ะด้วยท่าทีเหนื่อยๆ
เด็กหนุ่มยกมือไหว้ แต่อีกคนกลับเดินหันหลังไปอย่างไม่สนใจอะไรเลย
เขาคงเป็นภาระให้อีกตามเคย..
ถ้าไม่นับเรื่องที่อาจารย์พฤทธิ์เป็นผู้ปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย..ไม่ชอบหน้าหลงเสมอต้นเสมอปลาย อย่างอื่นก็ถือว่าอีกฝ่ายยังพอมีน้ำใจกับเขาบ้าง
วันที่หลงไปเรียน..อาจารย์พฤทธิ์ก็ ‘สั่ง’ ให้หลงติดรถไปด้วย ซึ่งเขาก็ไม่กล้าขัดใจอีกฝ่ายอยู่แล้ว
ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงทำให้หลงกลัวได้ขนาดนี้นะ..
“เรียนตึกไหน”
“อาจารย์ส่งผมแค่ตรงนี้ก็ได้ครับ ผมเดินไปเองได้”
อาจารย์พฤทธิ์เงียบเป็นสัญญาณว่าจะไม่ถามซ้ำอีกรอบ
“ตึกม..” ยังไม่ที่หลงจะพูดจบ คนขับรถจำเป็นก็เหยียบคันเร่งชนิดไม่ทิ้งฝุ่น สงสัยคงเบื่อความเอื่อยของหลงอีกตามเคย เพราะเป็นแบบนี้เขาถึงไม่อยากรบกวนใครแม้กระทั่งกรณ์ก็ตาม
เด็กหนุ่มนั่งแนบประตูรถราวกับจะรวมเป็นเนื้อเดียว..
ในระหว่างที่หลงเป็นผู้อาศัยที่นี่พฤทธิ์มักจะคอยกำชับให้เขากลับพร้อมกัน บางครั้งเวลาอีกฝ่ายเลิกประชุมดึกหลงก็รู้ตัวว่าเขาต้องกลับเองโดยไม่มีเงื่อนไข นั่นก็เป็นเรื่องดีที่เขาได้อิสระกลับคืนมาบ้าง
การได้ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์ทำให้หลงเห็นว่าอีกฝ่ายยุ่งแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นการสอนนิสิตที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนแบบเขา การทำวิจัย หรือแม้กระทั่งการตรวจเรียงความ..ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอาจารย์พฤทธิ์ถึงไม่ค่อยมีเวลาว่าง
แบบนี้เรื่องเป็นพระคุณหรือเปล่าที่เจียดเวลามาดูแลเขา จะว่าดูแลก็ไม่เชิงเพราะหลงก็แค่อาศัยร่วมชายคาเท่านั้นแหละ
ประเด็นที่ไม่พูดถึงไม่ได้เมื่อเพื่อนในกลุ่มเห็นว่าเขากับอาจารย์พฤทธิ์สนิทกันคงหนีไม่พ้น ‘อาจารย์โสดหรือเปล่า’ ‘ใช่ไหมที่อาจารย์ฉลองขวัญเป็นแฟนอาจารย์พฤทธิ์’
หลงแทบไม่รู้อะไรเลย แต่มีเพียงสองครั้งที่ฉลองขวัญมาหาอาจารย์ที่คอนโด พออีกฝ่ายเห็นเขาก็ไม่ได้ทำสีหน้าอะไร สงสัยจะจำไม่ได้ว่าหล่อนเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของหลงเหมือนกัน ทว่าพอสังเกตดีๆ..ความไม่พอใจก็เห็นจะมีเพียงประปรายเท่านั้นก่อนมลายหายไปราวกับฉลองขวัญไม่ได้เห็นว่าหลงเป็นตัวเกะกะ
ถึงไม่พูดเขาก็รู้ดี..
ส่วนอาจารย์หน้าดุก็ไม่แสดงท่าทีอะไรเมื่อเห็นหล่อน ออกจากทำหน้าเฉยชาตามปกติเสียด้วยซ้ำ
“ผมต้องไปสิงคโปร์สี่วัน”
“ครับ” ในใจของหลงนึกอิจฉาทั้งพฤทธิ์และกรณ์ที่อีกฝ่ายไปดูงานต่างประเทศบ่อยเหลือเกิน ส่วนหลงแม้จะอยากไปแค่ไหนก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดใดๆ ทั้งสิ้น การถูกเลี้ยงดูมาขนาดนี้นับว่ามากโขสำหรับเด็กอย่างเขาแล้วจริงๆ
พฤทธิ์เดินเข้าห้องโดยไม่พูดอะไรอีกเลย
เอาล่ะ..เขาควรดีใจใช่ไหมที่จะเป็นอิสระสี่วัน..
ในช่วงระยะเวลาที่พฤทธิ์ไปต่างประเทศ ที่นี่ก็กลายเป็นของหลงโดยปริยาย ปกติแล้วอาจารย์ปิดโทรทัศน์หลงข่าวจบ ซึ่งบางครั้งหลงก็อยากดูหนังต่อตามประสาเด็ก แต่พอสบตามกับสายตาเข้มๆ นั่นแล้วเขาก็ไม่กล้าประท้วงอะไรเลยนอกจากเดินเข้าห้องนอนไปเงียบๆ
ทุกคืน..หลงได้ดูหนังสมใจอยากจนกลายเป็นว่าเขาตื่นเกือบไม่ทันเข้าเรียนในช่วงเช้า
อาจารย์พฤทธิ์กลับมาจากสิงคโปร์โดยไม่มีคำทักทายใดๆ ทั้งสิ้น
ตอนเช้าที่หลงควรตื่นไปมหาวิทยาลัยพร้อมอาจารย์พฤทธิ์กลับกลายเป็นว่ารอจนเกือบแปดโมงอีกฝ่ายก็ยังไม่ออกจากห้องนอน เขาพอจะรู้ดีว่าที่นี่คือที่ส่วนตัวของพฤทธิ์ พอหลงเข้ามาอยู่ พื้นที่ที่ว่าก็ย่อมถูกลดขนาดลงเหลือเพียงห้องนอนที่ห้ามใครยุ่งเด็ดขาด
เด็กหนุ่มลนลานทำอะไรไม่ถูก ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับเขาทั้งที่ปกติแล้วหลงแทบไม่เกรงกลัวใครทั้งสิ้น
เขายืนอยู่หน้าประตู ยกมือขึ้นเตรียมส่งสัญญาณ แต่แล้วก็ลดมือลงกลับไปนั่งบนโซฟาพลางมองนาฬิกาอย่างกระวนกระวาย
ใกล้เวลาเรียน ใกล้เวลาสอนของอาจารย์พฤทธิ์เหมือนกัน
เรื่องแบบนี้หลงไม่ควรมานั่งคิดว่าอีกฝ่ายจะโกรธหรือไม่ เพราะน่าที่ของพวกเขาสำคัญกว่า
ในที่สุดหลงก็ส่งเสียงหน้าประตูจนได้ “อาจารย์..”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ทั้งสิ้นจากคนในห้อง
“อาจารย์ครับ ใกล้เวลาสอนแล้ว”
ถึงพฤทธิ์จะเกลียดเขา แต่แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่เคยไม่ตอบ จะตอบมากตอบน้อยแค่นั้นเอง
“ผมเข้าไปแล้วนะครับ” หลงจับลูกบิดแน่นก่อนหมุนมันด้วยใจระทึก
แต่สิ่งที่หลงเห็นกับตรงกันข้ามกับที่เขาคิด อาจารย์นอนหลับอยู่บนเตียงพร้อมกับผ้านวมห่มถึงคอ จะเป็นไปได้หรือที่คนมีความรับผิดชอบสูงอย่างอาจารย์พฤทธิ์นอนหลับจนไม่ได้ยินเสียงของเขา
“อาจารย์” หลงเรียกอีกครั้ง อีกฝ่ายก็ยังไม่ขยับเหมือนเดิม เด็กหนุ่มทำใจกล้าเดินเข้าหาอาจารย์และพบว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วและกัดฟันแน่นราวกับอดกลั้นอะไรบางอย่าง
“คุณป่วยหรือเปล่า” หลังมือเล็กทาบทับหน้าผากร้อนจัด เป็นอย่างที่เขาคิด..อาจารย์พฤทธิ์คนเหล็กล้มป่วย แต่ถึงรู้แบบนั้นหลงจะทำอะไรได้ในเมื่อเขาเติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว ถูกล่ะ..ตั้งแต่เข้ามาอยู่บ้านของพ่อเลี้ยงทุกคนก็ให้ความสำคัญเขาเท่าเทียมกับคนในครอบครัว แต่หลงก็ยังเลือกจะดูแลตัวเองและแน่นอนว่าเขาไม่เคยดูแลคนอื่นเช่นกัน
การดูแลคนป่วยมันเป็นอย่างไร ตั้งแต่จำความได้..เขาไม่เคยมีความรู้สึกนั้นเลย
เด็กหนุ่มยืนมองกระทั่งพฤทธิ์ปรือตามองเขา ไม่อยากเชื่อว่าสายตาของคนเพิ่งตื่นนอนจะคมกริบได้ขนาดนี้
“เข้ามาทำไม” พฤทธิ์ถามเสียงแห้ง
“ผมเห็นคุณไม่ตอบเลยเข้ามา”
“ไปเรียนสิ รออะไร”
แม้เสียงของพฤทธิ์จะแหบแห้งแทบไม่ได้ยิน แต่สายตาอีกฝ่ายกลับมองอย่างเชือดเฉือนราวกับหลงกำลังทำผิดอยู่
“ผมไม่เห็นอาจารย์อยู่ข้างนอก” หลงทำท่าจะพูดอะไรบ้างอย่าง แต่แล้วเขาก็เลือกเดินออกจากห้องของพฤทธิ์ “ผมไปเรียนล่ะครับ”
อาจารย์จ้องเขาเขม็งก่อนหลงจะเดินออกไป
พระคุณหรอก..เขาถึงกระวนกระวายอยู่หน้าห้องนอนน่ะ!
เด็กหนุ่มเดินออกจากห้องด้วยอารมณ์ขุ่นมัว คนถามดีๆ ทำไมต้องทำสีหน้าไม่พอใจด้วย
เขานั่งรถรับส่งได้เพียงครึ่งทางก็ขอลงก่อนและเดินกลับมาที่ห้องเพราะความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจขจัดไปได้ ที่สำคัญหลงไม่ลืมซื้อยาไปปฐมพยาบาลผู้ป่วยด้วย
“อาจารย์ผมเข้าไปนะครับ” หลงยืนมองประตูบานใหญ่ด้วยใจระทึก เขาอาจจะโดนตวาดกลับมาหรือโดนหาว่ายุ่งไม่เข้าเรื่องก็ได้ แต่ใครจะสนล่ะ
พฤทธิ์ยังนอนหลับสนิทอยู่ พอหลงเดินเข้าไปใกล้เท่านั้นอีกฝ่ายก็ลืมตาโพลงขึ้นมาอย่างหงุดหงิด “มีอะไร”
“ผมเลิกเรียนแล้ว” เขาโกหก
“เรียนไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ วิชาอะไรของคุณ”
“อาจารย์ไปประชุมเลยปล่อยเร็วครับ” เด็กหนุ่มมองตาอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่ เพราะเชื่อว่า..การมองตาแสดงถึงความซื่อสัตย์ แต่เหมือนหลงจะทำบางอย่างพลาดไป..อาจารย์พฤทธิ์เลยถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วเสมองไปที่อื่นแทน
ถือว่าพฤทธิ์ไม่รู้แล้วกันว่าอีกฝ่ายกำลังโกหกอยู่..
“คุณป่วย..ผมเลยซื้อยามา”
“ก่อนอาหารหรือหลังอาหาร”
“หลังครับ” เขาตอบเบาๆ พลางยื่นถุงยาสีขาวให้
“ทีหลังไม่ต้องซื้อมาถ้าไม่มีอาหารมาก่อน”
หลงเพิ่งรู้เหมือนกันว่าการดูแลคนป่วยมันยากขนาดนี้ โดยเฉพาะคนป่วยทำเอาแต่ทำสีหน้าดุดันพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
สวัสดีค่าาาาาา
หายไปนานอีกเช่นเคยยย หลังจากปั่นนิยายเสร็จก็ป่วยตามอาจารย์เลยค่ะ เชื้อรุนแรงมาก ฮ่าๆๆๆ ฝากอาจารย์ด้วยนะคะ คนเขียนชอบอาจารย์เลยลำเอียงนิดหน่อย ส่วนน้องหลงก็ชอบนะคะแต่ชอบน้อยกว่า ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ เห็นแล้วฟินสุดๆ อิอิ อาจารย์กับน้องหลงนี่ยังไม่รักกันง่ายๆ หรือไม่รักเลยดีหว่า เอ๊ะ! ดูต่อไปแล้วกันเนาะ ส่วนฉลองขวัญเป็นตัวแม่ (?) เลยนะคะ ได้โปรดปราณีด้วยค่ะ
ขอบคุณทุกคนนะคะ
Fanpage:
https://www.facebook.com/AUTHOR.ELLETTE