ซ่อนรัก
บทที่ ๖
พฤทธิ์อึดอัดแทบขาดใจเมื่อเห็นแววตาฉายความหวังเจือความพอใจจากคุณหญิงดุลยา หล่อนมีหน้ามีตาในสังคมอย่างที่รู้กันอยู่ การจะพาใครไปรู้จักเพื่อนผองน้องพี่ย่อมต้องเป็นที่เหมาะสมและถูกใจไม่น้อย ซึ่งฉลองขวัญก็เพียบพร้อมอย่างที่หล่อนต้องการทุกระเบียด
“คบกันนานหรือยัง”
ฉลองขวัญเหลือบตามองพฤทธิ์สักพักก่อนยิ้มละมุนให้คนสูงวัย “หนูรู้จักพฤทธิ์ตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วค่ะ แต่มาคุยกันจริงๆ จังๆ ก็ตอนพฤทธิ์กลับมาทำงานที่เมืองไทย”
“แปลว่ารู้จักกันนานแล้วสิ” ร่องรอยความยินดีฉายชัดในแววตาและดูเหมือนว่าคุณหญิงดุลยาจะถูกใจฉลองขวัญเป็นพิเศษหากเทียบกับเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆ ของพฤทธิ์ “คุณพฤทธิ์นี่ตาถึงนะ รู้จักเลือก”
“ครับ”
“อยากจะแต่งงานเมื่อไหร่บอกยายนะ ยายจะหาฤกษ์ดีๆ ให้”
“ขอบคุณค่ะคุณหญิง” ฉลองขวัญขานรับ หล่อนรู้ดีว่าเป็นที่ถูกใจดุลยาขนาดไหนถ้าเทียบกับเพื่อนผู้หญิงคนอื่นที่อีกฝ่ายรู้จัก หล่อนนี่แหละดีที่สุด ไม่ว่าหน้าที่การงานที่อยู่ในวงการการศึกษา ครอบครัวของหล่อนก็ไม่น้อยหน้าพฤทธิ์เท่าใดนัก หนำซ้ำ..หล่อนยังจัดว่าหน้าตาดีเสียด้วย ทว่ากลับมีแต่พฤทธิ์ที่ยังพร่ำบอกหล่อนว่าเป็นเกินกว่าเพื่อนไม่ได้
หล่อนไม่เคยเชื่อในเมื่อหล่อนกับอีกฝ่ายอยู่ใกล้ชิดกันขนาดนี้ ทำไมผู้ชายแบบพฤทธิ์จะไม่หวั่นไหวบ้าง แต่ถ้าพูดกันตามจริง ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับอีกฝ่ายเป็นแบบนี้มาหลายปีและไม่มีแนวโน้มแปรเปลี่ยนเป็นอื่น ทว่าความหวังหล่อนที่เห็นอยู่รำไรก็ช่วยให้หล่อนอยากเอาชนะผู้ชายคนนี้ดู แม้ว่าลึกๆ แล้วความเย็นชาจะคอยเป็นหนามทิ่มใจฉลองขวัญอยู่เรื่อย
“เรียกยายสิ จะเรียกคุณหญิงทำไม เดี๋ยวก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
“คุณยายอย่าพูดอย่างนั้นสิครับ”
“ทำไมหรือพฤทธิ์ หรือว่าหลานมีใครอื่นให้ยายรู้จักอีกล่ะ”
ในความหมายของคุณหญิงดุลยาคือมีผู้หญิงคนไหนทีเพียบพร้อมตามมาตรฐานของหล่อนอีกหรือเปล่า แน่นอนว่าผู้หญิงที่เขาเคยคบด้วยก็ล้วนแต่ต่ำกว่ามาตรฐานทั้งสิ้น “เปล่าครับ แต่ผมคิดว่าคงไม่มีแผนแต่งงานเร็วๆ นี้”
“พฤทธิ์..”
“ถ้าผมจะแต่งงานผมจะบอกคุณยายคนแรก”
หล่อนยิ้มรับพลางลูบหัวเขาและฉลองขวัญด้วยความเอ็นดู ตรงกันข้ามกับความรู้สึกหนักอึ้งในใจของพฤทธิ์ ถูกล่ะ..เขาเกลียดการผูกมัด แม้กระทั่งความรักระหว่างหนุ่มสาวเขายังไม่เคยแยแส ถึงแม้สมัยเรียนจะมีคบประปรายบ้าง ทว่าผู้หญิงพวกนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากคนร่วมสังคมกับเขาเท่านั้น
หลังจากอยู่กินข้าวเย็นร่วมโต๊ะกับคุณหญิงดุลยาเสร็จก็เกือบหนึ่งทุ่มแล้ว พฤทธิ์ไม่อยากนอนค้างเขายังมีงานสะสางอีกมาก แม้ฉลองขวัญบอกว่าอยากนอนที่บ้านสวนสักครั้งในชีวิต แต่คำร้องของหล่อนไม่อาจกระทบใจเขาได้
ฝนลงเม็ดตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว กระทั่งตอนเที่ยงก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
เด็กหนุ่มเหม่อมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง พื้นดินชุ่มแฉะและมีน้ำขังเป็นหย่อมๆ ไอดินกลิ่นหญ้าลอยกระทบจมูกช่วยทำความขุ่นมัวภายในจิตใจเบาบางลงไปบ้างนับตั้งแต่มีเรื่องกับญาติห่างๆ เมื่อหลายวันก่อน ทั้งที่ใกล้สอบกลางภาคเรียนแล้วเขาควรจะคิดถึงเรื่องการอ่านหนังสือให้มากๆ กลับกลายเป็นว่ามากลัดกลุ้มเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เกือบเดือนแล้วที่วุฒิกับกรณ์ไปทำทำธุระอยู่ต่างประเทศ ซึ่งไม่มีท่าทีว่าจะติดต่อกลับมาเลยสักครั้ง ติดต่อหรือ..คนอย่างเขาที่เอาแต่ทำตัวก้าวร้าวยังมีใครหน้าไหนคิดถึงอยู่อีก แม้กระทั่งแม่แท้ๆ ของเขายังไม่เห็นหลงอยู่ในสายตาเลย ถ้าจะพูดกันจริงๆ หล่อนไม่คิดว่าเขาเป็นลูกด้วยซ้ำ
“คุณหลงคะ คุณวุฒิโทรศัพท์มาหาค่ะ บอกว่าอยากคุยด้วย”
เสียงของป้ากิ่งดังขึ้นจากข้างหลังทำให้เด็กหนุ่มถึงแก่สะดุ้ง “ขอบคุณครับ”
ความดีใจฉายชัดในแววตาก่อนเขาจะรีบรับโทรศัพท์บ้านด้วยมืออันสั่นเทาน้อยๆ “สวัสดีครับ”
‘สบายดีหรือหลง อีกไม่กี่วันฉันจะกลับกรุงเทพฯแล้วนะ’
“สบายดีครับ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วกับคำตอบของตัวเอง เขาไม่สบายดีแบบที่ปากว่า แต่ก็ไม่กล้าเล่าอะไรให้คนอื่นฟังเท่าใดนัก โดยเฉพาะกับพ่อเลี้ยงอย่างวุฒิยิ่งไม่กล้าใหญ่ ไม่ใช่เพียงเหตุผลทางสายเลือดแต่ยังมีเหตุผลอื่นคืออีกฝ่ายจะรับฟังเขาอย่างเต็มใจหรือเปล่า
‘น้ำเสียงไม่ดี มีอะไรที่บ้านหรือเปล่า’
“เปล่าครับ”
‘เธอนี่คุยกับฉันประหยัดคำพูดเสียจริงนะหลง’
หลงเงียบ ความจริงเขาอยากคุยแบบประสาพ่อกับลูกคุยกันมากกว่าคนรู้จักแบบนี้ แต่เพราะเขาคุยไม่เก่งเอาเสียเลย อีกทั้งเมื่อก่อนยังเคยก้าวร้าวใส่คุณวุฒิอยู่บ่อยๆ ถึงแม้อีกฝ่ายแทบไม่ได้เก็บมาใส่ใจก็ตาม แต่ความรู้สึกผิดกลับเป็นเสี้ยนหนามที่คอยทิ่มใจอยู่เรื่อย
‘ใกล้สอบแล้วใช่ไหม’
“ครับ อีกสองอาทิตย์ข้างหน้า”
‘อืม..ตั้งใจอ่านหนังสือแล้วกัน ถ้าคะแนนดีคงต้องมีรางวัลให้’
เขากำโทรศัพท์แน่น ช่างใจว่าประโยคต่อไปควรพูดหรือไม่พูดดี “คุณ..”
‘มีอะไรหรือ’
“เปล่า..แค่นี้นะครับ”
หลงอยากบอกกับอีกฝ่ายว่า ‘ขอให้เดินทางปลอดภัย’ แต่แล้วเขาก็ได้แต่เก็บคำพูดพวกนั้นไว้ในใจเหมือนเดิม ต่อให้หลงพูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เผลอๆ อีกฝ่ายอาจจะไม่อยากฟังด้วยซ้ำเพราะมันนั้นง่ายแสนง่ายเหลือเกิน
ยิ่งใกล้ช่วงสอบกลางภาคพฤทธิ์ยิ่งทำงานดึกทุกวัน ไม่ใช่เพราะงานมากมายก่ายกองจนล้นมือ แต่เหตุผลบางอย่างทำให้เขาเลือกจะอยู่ในห้องพักอาจารย์ค่ำมืดกว่าปกติ
“อาจารย์พฤทธิ์นี่จะสามทุ่มแล้ว ยังไม่กลับบ้านอีกหรือครับ”
“ทำอีกนิดหน่อยเดี๋ยวก็กลับแล้วครับอาจารย์”
“อ้อ..คนหนุ่มสมัยนี้ขยันเสียจริง”
เขายกมือไหว้อาจารย์ของตัวเอง แม้จะเกษียณอายุราชการไปนานแล้ว แต่เพราะทางคณะมีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้น้อยจึงต้องขอให้มาเป็นอาจารย์พิเศษ
“กลับดีๆ นะครับ”
เขาเดินส่งอาจารย์หน้าลิฟต์กระทั่งลับสายตาก่อนจะเดินกลับมาในห้องทำงานอีกครั้ง ตัวหนังสือตรงหน้าลายไปหมดจนหลายครั้งที่อ่านแทบไม่ไหว แต่พฤทธิ์ปฏิเสธไม่ได้ว่างานช่วยให้เขาลืมเรื่องต่างๆ ที่ประดังเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อนโดยเฉพาะเรื่องแต่งงานที่ทั้งมารดาและคุณหญิงเร่งเร้ามาหลายครั้ง
หลายครั้งที่เขาพูดคุยกับฉลองขวัญถึงเรื่องแต่งงาน หล่อนเหมือนจะเข้าใจ แต่เอาเข้าใจหล่อนก็ยังหวังอยู่ลึกๆ ว่าเขาจะยอมรับหล่อนในฐานะคนรักบ้าง แต่สำหรับพฤทธิ์แล้วหล่อนเป็นเพียงเพื่อนสนิทเท่านั้น ไม่มีวันที่ความสัมพันธ์จะก้าวกระโดดเป็นคนรักได้
เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วพฤทธิ์พาฉลองขวัญไปบ้านสวนของคุณยายที่อยู่ต่างจังหวัดเพราะหล่อนอยากเห็นว่าที่ลูกสะใภ้ ทั้งที่ความจริงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหล่อนก็เป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น
ทำไมคนเราต้องมีครอบครัวทั้งที่รู้สึกไม่อยาก..เขาเฝ้าถามตัวเองเรื่อยๆ ว่าทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ แต่เพราะในครอบครัวมีเขาเป็นหลานชายคนเดียว ไม่แปลกใจที่ทั้งยายและมารดาต่างฝากความหวังต่างๆ ไว้กับเขา ถึงพฤทธิ์จะทำทุกอย่างได้ดี ทว่าเรื่องแต่งงานยังคงอยู่ในห้วงความคิดของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าควรจะปล่อยเลยตามเลยหรือทำตามที่ใจต้องการ
พฤทธิ์วางปากกาลงเมื่อสายตาล้าเกินกว่าจะจ้องตัวหนังสือได้
เวลาเกือบสามทุ่มแล้วหมดเวลาเป็นอาจารย์ของเขาสักที..
อาจารย์พฤทธิ์ยังทำหน้าที่ของอาจารย์เป็นอย่างดี แม้หลงจะรู้อีกด้านหนึ่งของอีกฝ่ายว่าไม่ใช่อย่างที่เป็นในตอนนี้ แต่เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกอย่างที่แสดงออกมาล้วนแล้วแต่เป็นธรรมชาติ
“พวกคุณคงรู้ว่าอาทิตย์หน้าจะสอบกลางภาคกันแล้ว” อีกฝ่ายยิ้มบ้างๆ เมื่อได้ยินเสียงประท้วงจากนิสิตในห้อง “วิชาของผมมีสอบเหมือนกันนะครับ อย่าลืมอ่านกันมา”
“ยากไหมคะอาจารย์”
“ไม่ยากครับ”
อีกหลายคำถามตามมาเมื่อเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง
ในครั้งนี้หลงเลือกมาเร็วและนั่งอยู่ข้างหลังหลบเลี่ยงสายตาคมดุเคยถูกมองเมื่อทำอะไรไม่ถูกใจอีกฝ่าย ทว่าตอนนี้น้อยครั้งที่อาจารย์พฤทธิ์จะเหลือบมองขึ้นมา แต่การมองของอีกฝ่ายนั้นแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ถูกล่ะ..อาจารย์ไม่ชอบเขาและไม่มีความจำเป็นต้องมองในแบบเดียวกับที่มองนิสิตคนอื่น
หลงถามตัวเองว่าน้อยใจหรือเปล่า..เปล่าเลย เขาชินเสียแล้วกับสายตาแบบนี้..
“วันนี้ขอปล่อยก่อนเวลานะครับ”
น้อยครั้งที่พฤทธิ์จะปล่อยก่อนเวลา เพราะช่วงใกล้สอบเขาอยากให้นิสิตได้มีเวลาทบทวนบทเรียนมากๆ ทว่าสายตาละห้อยแบบนั้นมันทำให้เขาอดอมยิ้มไม่ได้ พฤทธิ์รู้ว่าตัวเองถูกกล่าวถึงในกลุ่มนิสิตสาวไม่น้อยพอๆ กับกลุ่มนิสิตชาย แต่เรื่องแบบนี้เขาคงห้ามใครคิดเลยเถิดไม่ได้
“ถ้ามีอะไรติดต่อผมทางอีเมลล์นะครับ”
“เบอร์ติดต่อก็สะดวกนะครับอาจารย์”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมตอบอีเมลล์เร็วกว่ารับโทรศัพท์อีกนะ”
หลงออกจากห้องเรียนคนท้ายๆ เพราะรอให้นิสิตพวกนั้นถามอาจารย์พฤทธิ์ให้สาแก่ใจเสียก่อน เขาแค่ไม่อยากผ่าน ไม่อยากเจอหน้าและไม่อยากทักทายใดๆ ทั้งสิ้น แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายอาจลืมเรื่องที่เคยพูดไว้ไปนานแล้ว แต่สำหรับคนฟังอย่างหลงมันก็ไม่ต่างอะไรจากแผลที่ฝังลึกในใจ
และหลงยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงได้เอาแต่เก็บมาคิด..
ฝนตกช่วงตอนเย็นทำไมการจราจรที่ปกติก็ติดขัดอยู่แล้วเป็นมากกว่าเดิม โดยเฉพาะช่วงเลิกเรียน อันที่จริงหลงจะให้ลุงแก้วมารับก็ได้ แต่เพราะเห็นว่าวุฒิกับกรณ์จะกลับจากต่างประเทศ ลุงแก้วคงไม่สะดวกจะมารับเขาแบบวันก่อนๆ ซึ่งกว่าจะถึงบ้านก็ใช่เวลาร่วมเกือบสามชั่วโมงบนรถประจำทาง
ปกติแล้วหลังหกโมงจะเปิดไฟในสวนหน้าบ้านและภายในตัวบ้านเป็นหย่อมๆ เพื่อให้แสงสว่าง ทว่าวันนี้บ้านหลังใหญ่กลับตั้งตระหง่านอย่างเดียวดายในความมืด หนำซ้ำฝนตกพรำๆ ลงมายังชวนให้รู้สึกใจไม่ดีแปลกๆ
เด็กหนุ่มเปิดประตูหน้าบ้านก่อนจะเดินตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังชานหน้าบ้าน
“กลับมาแล้วครับป้ากิ่ง” เขาตะโกนเสียงดัง ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับอย่างเคย หนำซ้ำภายในครัวซึ่งปกติหล่อนจะอยู่ประจำกลับไม่มีคนอยู่สักคน
หัวใจของหลงบีบแน่น ภาวนาขออย่าให้เกิดอะไรกับขึ้นกับคนที่บ้าน แต่คนอย่างหลงโชคดีไม่เคยเข้าข้างเมื่อป้ากิ่งเดินออกมาด้วยน้ำตานองหน้า
“อะไรครับ”
“คุณหลงคะ..” เสียงหล่อนสั่นเครือขณะที่พยายามเอ่ยปากพูดกับเขา
หลงยืนนิ่ง มือเย็นเฉียบ หัวใจปวดร้าวยากจะเปล่งเสียงถามจึงได้แต่ยืนรอให้คนสูงวัยเป็นผู้บอกเอง
“คุณวุฒิกับคุณกรณ์” หล่อนกลั้นสะอื้น เห็นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ “ประสบอุบัติเหตุอยู่โรงพยาบาลค่ะ”
“ลุงแก้วล่ะครับ”
“อยู่โรงพยาบาลเหมือนกันค่ะ”
หลงเพิ่งรู้ว่าอาการใกล้จะขาดใจเป็นอย่างไร ในหัวสมองเขาว่างเปล่าไปหมด แม้กระทั่งตอนที่ป้ากิ่งพามาโรงพยาบาลยังไม่รู้สึกตัว ทั้งที่ควรจะเป็นหลงที่ประคับประคองหล่อนแท้ๆ แต่กลายเป็นว่าคนอย่างเขาทำอะไรไม่ได้เลย
“แม่ล่ะครับ แม่มาดูคุณวุฒิหรือยัง”
หล่อนนั่งปาดน้ำตาหน้าห้องฉุกเฉิน แม้อารมณ์จะไม่คงที่ แต่เมื่อพูดถึงแม่ของหลงทีไรก็อดรู้สึกโมโหไม่ได้ทุกที “เธอยังไม่กลับบ้านเลยค่ะ แล้วนี่คุณวุฒิกับคุณกรณ์เข้าโรงพยาบาลมีหรือคะที่เธอจะรู้”
“ขอโทษครับ”
“ขอโทษทำไมคะ คุณหลงไม่ได้ทำอะไรผิด”
“ก็เป็นแม่ของหลงนี่ครับ”
หลงเหลือบมองไปยังห้องไอซียูซ้ำแล้วซ้ำเล่า หัวใจหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปนับชั่วโมง ความทรมานที่สะสมมานานและความอ่อนล้ายังผลให้เขารู้สึกง่วงอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อนึกถึงตอนที่มีคนออกมาจากห้องไอซียูเด็กหนุ่มก็พยายามเปิดตาอย่างสุดความสามารถ
แบบนี้หรือเปล่าที่รู้ตัวเมื่อสายไป เขาเคยนึกรังเกียจชิงชังคนทั้งคู่เพราะคิดว่าความหวังดีเหล่านั้นจอมปลอมไม่อาจเชื่อถือได้ แต่การกระทำทั้งหลายที่เกิดขึ้นล้วนตอกย้ำว่าหลงละเลยอะไรไปบ้าง โดยเฉพาะกับกรณ์ที่พยายามเข้าหาหลงอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็เอาแต่ปฏิเสธเพราะทิฐิ
“คุณหลงพรุ่งนี้ต้องไปเรียนไม่ใช่หรือคะ”
“ครับ” เขาตอบเสียงแห้ง รู้สึกลำคอตีบตันจนไม่สามารถเปล่งเสียออกมาได้
“กลับไปนอนเถอะค่ะ เดี๋ยวป้าจะเฝ้าเอง”
เขาส่ายหน้า แล้วบอกให้ป้ากิ่งเป็นคนไปพักผ่อนแทน “ป้ากลับไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวไม่มีคนดูบ้าน”
“ตอนนี้คงมีแต่คุณพฤทธิ์เท่านั้นที่พอจะช่วยเหลือได้”
ชื่อของอาจารย์พฤทธิ์ทำให้หลงถึงแก่วูบโหวงในใจ เขาไม่ได้คุยกับอาจารย์หรือมีความสัมพันธ์ดีขึ้นตามที่คิดไว้ ตรงกันข้ามอะไรๆ ก็ดูเลวร้ายลงไปหมด แล้วมีหรือจะกล้าขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย
“อย่ารับกวนอาจารย์เลยครับ”
“แต่คุณยังเด็ก อย่างไรก็ต้องมีคนคอยช่วยเหลือ อีกอย่าง..คุณพฤทธิ์เป็นญาติที่สนิทที่สุดกับครอบครัวเรานะคะ”
หลงไม่อาจปฏิเสธได้ เขาไม่รู้ว่าจะจัดการทุกอย่างตรงหน้าคนเดียวได้อย่างไร
คุณป้าแม่บ้านรอจนกว่าพฤทธิ์จะมาถึงโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเด็กหนุ่ม หล่อนพอจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ว่าไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่ แต่หล่อนก็เชื่อว่าผู้ใหญ่แบบพฤทธิ์คงไม่ถือโทษโกรธกันจนเกินไป
“สวัสดีครับ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยทักทายเบาๆ ก่อนมองประตูห้องไอซียูด้วยสีหน้ากังวล “เข้าไปนานหรือยังครับ”
“นานแล้วค่ะ ป้าใจไม่ดีเลย” หล่อนยืนขึ้นแล้วลูบแขนคนตรงหน้า “คุณพฤทธิ์คะ ป้ารู้ว่านี่เป็นการรบกวนคุณมากไป แต่ช่วยอยู่ที่นี่ได้ไหมคะ”
พฤทธิ์มองเด็กหนุ่มที่ยังก้มหน้าอยู่ ก่อนหันกลับมามองหญิงวัยกลางคนด้วยสีหน้าอาจไม่ออก ถูกล่ะ..เขาไม่อยากอยู่ที่นี่เพราะใครบางคน แต่ไม่อาจปฏิเสธว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น “ครับ”
“ขอบคุณครับ”
“ป้าฝากด้วยนะคะ ขอบคุณคุณพฤทธิ์มาก”
อาจารย์พฤทธิ์ยังสวมเสื้อตัวเดิมอยู่ แสดงว่าอีกฝ่ายคงกลับบ้านได้ไม่นาน
อากาศแถวนี้เหมือนจะลดน้อยถอยหลงเมื่อพวกเขาเอาแต่นั่งเงียบๆ โดยไม่มีบทสนทนาใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งที่ความจริงเมื่อก่อนหลงไม่เคยรู้สึกว่าการอยู่ใกล้กับอีกฝ่ายทำให้เขาอึดอัดจนหายใจไม่ออก
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง อยู่ๆ อาจารย์พฤทธิ์ก็ลุกขึ้นทำให้เขาอดมองตามไม่ได้
“ผมแค่ไปหาอะไรดื่มเท่านั้น”
“ครับ” หลงตอบเสียงเบา เมื่อครู่เขาคงตระหนกอย่างชัดเจนจนอีกฝ่ายต้องพูดขึ้นมาเพื่อความสบายใจและตอนนี้หลงตระหนักได้แล้วว่าเขาไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่ตัวเองคิด แต่ยังต้องการที่พึ่งพิงเหมือนเด็กคนอื่นเช่นกัน หากมีตัวเลือกอื่นที่จะพึ่งพิงในตอนนี้ แน่นอนว่าเขาคงตัดอาจารย์พฤทธิ์ออกอย่างไม่ลังเล ไม่ใช่เพราะเกลียดอีกฝ่ายแต่ประการใด แต่เพราะเขาไม่อยากเป็นภาระให้คนๆ นี้อีกแล้ว
เสียงท้องร้องดังขึ้นทำให้หลงคิดได้ว่าตั้งแต่กลับจากมหาวิทยาลัยยังไม่มีน้ำสักหยดตกถึงท้อง ถึงอยากจะลุกไปโรงอาหารใกล้ๆ ขนาดไหน แต่เมื่อมองไปยังประตูห้องไอซียูที่คล้ายจะเปิดออกทุกเมื่อทำให้เขากัดฟันทนนั่งต่อไปโดยไม่ปริปากพูดสักคำ
“กินสิ จะได้ไม่หิว” อาจารย์พฤทธิ์ยื่นซาลาเปากล่องหนึ่งให้พร้อมน้ำหนึ่งขวด
“ขอบคุณครับ” หลงยกมือไหว้ ตอนนี้หัวใจของเขาคล้ายจะถูกชโลมด้วยสายน้ำเบาบางเท่านั้น อย่างน้อย..อีกฝ่ายก็ยังมีน้ำใจอยู่บ้าง “อาจารย์ไม่กินหรือ”
“เรียบร้อยแล้ว”
เด็กหนุ่มนั่งกินเงียบๆ อันที่จริงระหว่างหลงกับอาจารย์พฤทธิ์ถือว่าเป็นญาติห่างๆ ที่ไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดและเขาก็ไม่เคยเรียกอีกฝ่ายว่าพี่พฤทธิ์อย่างที่กรณ์ชอบบังคับให้เรียกบ่อยๆ ประการแรกคงเพราะความห่างเหินและประการที่สองคืออีกฝ่ายไม่ยอมรับเขาแบบที่คนอื่นยอมรับ ครั้งหนึ่งที่หลงเคยได้ยินว่าพฤทธิ์พูดกับกรณ์ว่าเขาไม่ใช่น้อง ไม่ใช่ญาติ ก็ถูกของอีกฝ่าย..เขาแค่เด็กเก็บมาเลี้ยง แต่พอมาคิดๆ ดูแล้วมันก็เหมือนหนามยอกใจอย่างบอกไม่ถูก
“คุณจ้องหน้าผมเหมือนมีคำถาม” พฤทธิ์พูดสั้นๆ พลางมองเขาด้วยสายตาตำหนิ
“เปล่า..เปล่าครับ”
เขาก้มหน้าลงราวกับโดนจับได้ อันที่จริงหลงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งหญิงทั้งชายต่างชื่นชอบอาจารย์พฤทธิ์ ถูกล่ะ..อีกฝ่ายรูปหล่อ การศึกษาดี แล้วใครหน้าไหนจะไม่หวังอะไรจากอาจารย์พฤทธิ์ โดนเฉพาะอาจารย์ฉลองขวัญ หลงรู้ว่าหล่อนรักอีกฝ่ายจนไม่เหลือที่เผื่อใจไว้ แต่อาจารย์พฤทธิ์ก็ยังเย็นชาอยู่วันยังค่ำ
ความคิดทั้งเป็นต้องหยุดลง เมื่อเสียงโทรศัพท์ของพฤทธิ์ดังขึ้น
“มีอะไร” พฤทธิ์รับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
‘คืนนี้ไปหาได้ไหมคะ’
ชายหนุ่มหันมองคนข้างๆ คืนนี้เขาคงไม่ได้พักผ่อนที่บ้านอย่างที่ตั้งใจไว้ “คงไม่สะดวกให้คุณมา”
‘ทำไมคะ ปกติไม่เห็นคุณไม่เคยสะดวกเลยนี่’
เขาถอนหายใจ เมื่อก่อนฉลองขวัญกับเขายังมีความสัมพันธ์แบบเพื่อนอยู่ ถึงหล่อนจะพิเศษกว่าคนอื่น แต่หล่อนก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น ทว่าเมื่อหลายเดือนก่อนอยู่ๆ อีกฝ่ายก็พูดเรื่องแต่งงานจนทำให้เขาต้องพิจารณาความสัมพันธ์แบบนี้ใหม่อีกครั้ง
มันไม่ควรเกินเลยถึงขึ้นผูกมัดด้วยซ้ำ..
“คุณกำลังก้าวก่าย”
‘ฉันก้าวก่ายไม่ได้หรือ ถึงคุณบอกว่าเราไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่เราทำตัวไม่ต่างอะไรจากคนรักเลยนะคะ’
พฤทธิ์รู้ตัวว่ากำลังหงุดหงิดจนอยากระเบิดอารมณ์ แต่เขาไม่ใช่คนประเภทนั้น ต่อให้โมโหอยากต่อว่าหล่อนแค่ไหนก็ทำได้เพียงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากตรงหน้า
“คนรักมันต้องมีความรักซึ่งกันและกัน” เขาเงียบไปสักพักก่อนเอ่ยประโยคตัดรอนหล่อนอย่างไม่ใยดี “แต่สำหรับเรา..ไม่มีความรักซึ่งกันและกัน มีแต่คุณฝ่ายเดียวที่ดันทุรัง”
‘พฤทธิ์!’ ฉลองขวัญกำโทรศัพท์แน่น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพฤทธิ์ไม่มีทางรักหล่อนแบบคนรักได้ แต่หล่อนก็ยังดันทุรัง มันทั้งเจ็บทั้งปวดใจ..แต่ฉลองขวัญก็รักจนถอนตัวไม่ขึ้น
“ผมมีธุระสำคัญ หวังว่าอาทิตย์นี้คุณจะไม่มารบกวนผมนะครับ” เขาตัดสายหล่อนพลางขมวดคิ้ว
ทำไมถึงถลำลึกได้ขนาดนี้..
เขารับรู้ความเปลี่ยนแปลงของฉลองขวัญเมื่อหลายเดือนก่อนหรือบางทีความรู้สึกแบบนั้นมันเกิดขึ้นมานานจนอีกฝ่ายทนไม่ไหว ทั้งที่รู้ว่ายิ่งอยู่ใกล้กันความรู้สึกของหล่อนก็ยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น แต่พฤทธิ์ก็เป็นแบบนี้..เขาไม่มีทางรักหล่อนได้แบบคนรักแน่ๆ
พฤทธิ์เดินกลับมาที่โซฟาหน้าห้อง เห็นเด็กหนุ่มนอนหลับอยู่ หัวของเจ้าตัวไหลลงเรื่อยๆ พอรู้ตัวว่าประคองสติตัวเองไม่อยู่ก็รีบลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
“อาจารย์..กี่โมงแล้ว” เด็กหนุ่มถามเขาด้วยท่าทีสะลืมสะลือราวกับยังไม่ตื่นเต็มตา
“ห้าทุ่มแล้ว”
หลงหันกลับไปมองประตูห้องอีกครั้ง ไม่มีใครออกมาเลยจริงๆ
“ไม่มีใครออกมาเลย” หลงไม่อยากร้องไห้ แต่นึกว่าจะต้องสูญเสียทั้งสองคนไปหัวใจก็บีบรัดเหมือนจะแหลกเป็นชิ้นๆ
“แม่ของคุณไปไหนล่ะ ทำไมไม่มาที่นี่” พฤทธิ์ถาม เขาไม่ได้อยากรู้เรื่องราวในครอบครัวของวุฒิเท่าไหร่ แต่ในเมื่อแม่ของหลงเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วย่อมต้องทำหน้าที่ภรรยาให้สมบูรณ์
“ผมไม่รู้” หลงรู้อยู่แก่ใจว่าแม่ไปไหน คงหนีไม่พ้นไปนอนกับผู้ชายแปลกหน้าที่หลงเห็นเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนแน่ๆ แต่ถึงกระนั้น..คงไม่มีใครอยากบอกเรื่องเหลวแหลกให้คนอื่นฟัง ยิ่งกับอาจารย์พฤทธิ์ด้วยแล้ว เรื่องแบบนี้ยิ่งไม่ควร
“ช่างเถอะ”
พวกเขาคุยกันไม่กี่ประโยคก็กลับมาเงียบเชียบเหมือนเดิม
ความเหนื่อยล้าทำให้หลงอยากหลับอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อมีคนเดินผ่านไปมาทีไรเป็นอันต้องลืมตาตื่นทุกที
“ง่วงหรือ”
“นิดหน่อยครับ”
“นอนเถอะ เดี๋ยวผมจะเรียกคุณเอง” หากหลงไม่ง่วงจนเกินไป น้ำเสียงของอาจารย์พฤทธิ์อ่อนลงมากจนหลงคิดว่ากำลังอยู่ในความฝัน ไม่นานหนักเปลือกตาหนักๆ ก็ปิดลงพร้อมหัวใจที่สงบ
พฤทธิ์ไม่รู้ความอ่อนโยนนี้เป็นเพียงความห่วงใยระหว่างญาติพี่น้องหรือเปล่า ถูกล่ะ..ถึงเขาจะทำหน้าที่เฉพาะส่วนของตัวเองเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะละเลยคนอื่นอย่างที่ใครบางคนเคยกล่าวหา
เด็กหนุ่มข้างกายนอนหลับสนิทพร้อมกับศีรษะที่แนบลงมาบนไหล่เขา ถึงพฤทธิ์จะไม่เคยนับว่าหลงเป็นญาติหรือคนในครอบครัว แต่เขาไม่ใจร้ายขนาดให้ลูกศิษย์ตัวเองนอนหนาวแบบนี้
ชายหนุ่มหยิบเสื้อห่มที่อยู่ในรถยนต์ติดมือมาตอนออกไปข้างนอกคลุมร่างเล็กไว้ก่อนจะนั่งเงียบๆ เหมือนเดิม
นี่คงเป็นความใจกว้างหนึ่งเดียวของเขาจริงๆ..
พระอาทิตย์ขึ้นแทนที่ดวงจันทร์ที่คล้อยต่ำลง ความร้อนไล่ลามปลายเท้าก่อนเด็กหนุ่มจึงสะดุ้งตื่นเมื่อพบว่ามีไอเย็นสัมผัสที่ใบหน้า สถานที่ไม่คุ้นเคยทำให้ดวงตาสีเข้มมองไปรอบกายอย่างตื่นตระหนก..เขาคงฝันว่ากำลังนั่งอยู่ที่คอนโดของอาจารย์พฤทธิ์แน่ๆ
แต่เขาควรจะอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ใช่หรือ..
“คุณอากับกรณ์ปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องห่วง” น้ำเสียงทุ้มต่ำแหบแห้งเล็กน้อยดังขึ้นเมื่อเจ้าของห้องเดินออกจากห้องนอนส่วนตัว ทำให้หลงรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
“แล้ว..”
“แพทย์ยังไม่ให้เข้าเยี่ยม” พฤทธิ์ตอบสั้นๆ อันที่จริงน้อยครั้งที่เขาจะอดนอน แต่ครั้งนี้คงเป็นข้อยกเว้น
“ขอบคุณครับ”
“อืม”
หลงอยากพูดต่อ แต่เมื่อเห็นสภาพอิดโรยของอาจารย์พฤทธิ์แล้วก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ปกติอีกฝ่ายแม้จะทำงานเหนื่อยแค่ไหน น้อยครั้งที่จะเห็นเพลียจนสังเกตได้แบบนี้และต้นเหตุมันก็คือเขา ที่จริง..ความรู้สึกผิดเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่อีกส่วนคือความอุ่นใจที่อย่างน้อยก็มีใครบางคนอยู่ใกล้ๆ
“คุณยังไม่นอนหรือครับ”
ดวงตาสีเข้มหันมองเขาเพียงครู่เดียว
“อาจารย์ไปพักผ่อนก่อนไหมครับ”
พฤทธิ์รู้ว่านั่นเป็นความห่วงใย แต่เอาเข้าจริงเขาก็รู้สึกหงุดหงิดไม่ได้เช่นกัน “วันนี้ผมมีสอน คงทำอย่างที่คุณว่าไม่ได้”
“ผมขอโทษ ผมไม่ได้อยากเป็นภาระให้อาจารย์” ตั้งแต่วุฒิแนะนำให้หลงรู้จักอาจารย์พฤทธิ์ ไม่มีเรื่องไหนเลยที่อีกฝ่ายไม่เกี่ยวข้อง ทั้งที่รู้ว่าอาจารย์เกลียดเขา แต่ยังยอมทำตามคำขอหลายๆ ครั้งของคุณวุฒิโดยไม่มีข้อแม้ “ต่อไปผมจะไม่..”
“ถือว่าผมดูแลศิษย์คนหนึ่งก็แล้วกัน” พฤทธิ์ดื่มกาแฟเงียบๆ ก่อนจะหยิบกระเป๋าเอกสารไปทำงานในที่สุด
เด็กหนุ่มมองตามหลังอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อๆ ทำไมพอเป็นเขามันถึงกลายเป็นปัญหาได้ขนาดนี้
สวัสดีค่าาาาาาาาาาาาาา
อาจารย์มาแล้ววววว เขียนเสร็จเมื่อวานแต่แก้คำผิดอีกบานนนนนนนน เหมือนจะไม่ค่อยมีสติเท่าที่ควร TwT ตอนนี้พยายามให้เห็นด้านอ่อนโยนของอาจารย์พฤทธิ์นะคะ แต่ได้แค่นี้แหละ มากกว่านี้เดี๋ยวไม่เหมาะไม่ควร อิอิ
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะะะ อ่านทุกคอมเม้นท์แล้วว
อย่าเพิ่งเกลียด อย่าเพิ่งโกรธใครนะคะ
ขอบคุณมากค่าา

Fanpage:
https://www.facebook.com/AUTHOR.ELLETTE