คืนนี้เมฆหมอกบังแสงพระจันทร์จนมืดมิด ความสว่างส่วนใหญ่จึงเกิดใจไฟดวงน้อยที่อยู่ในสวนหน้าบ้าน ตอนนี้เที่ยงคืนแล้วแต่หลงยังไม่รู้สึกง่วงสักนิด อาจจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อตอนหัวค่ำที่เขาทำใจกล้าพูดจาแบบนั้นออกไป ทั้งที่ในใจก็เกรงกลัวแทบแย่
เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่ต้องขบคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ใครต้องโกรธต้องเกลียดกัน แต่สำหรับอาจารย์พฤทธิ์..คนที่หยิบยื่นความใจดีเข้ามาเมื่อหลงมีปัญหานั้นแตกต่างออกไป
เขาเหลือบตามองนาฬิกาพลางก้มมองตัวหนังสือ ตอนนี้ดึกมากแล้วและเขาควรนอนหลับไปพักผ่อนเสียที ทว่าเสียบีบแตรหน้าบ้านก็ทำให้หลงเบี่ยงเบนความสนใจจากเตียงนอนนุ่มๆ แทน
หลงแง้มผ้าม่านออกเล็กน้อยก่อนมองเห็นรถมินิสีเลือดหมูจอดอยู่หน้าบ้านพร้อมสาดไฟสูงใส่ไม่หยุดไม่หย่อน
แม่อีกแล้ว..
ถ้านับกันจริงๆ นี่ก็หลายเดือนแล้วที่เขาไม่คุยกับแม่
เสียงบีบแตรยังดังต่อเนื่องจนหลงนึกรำคาญ เขาช่างใจอยู่นานว่าควรกดรีโมทเปิดประตูให้หรือปล่อยให้หล่อนนั่งอยู่นอกบ้านจนสาแก่ใจ
สุดท้ายหล่อนเหตุผลที่ว่าลดาคือแม่ของหลงก็ทำให้เขากดรีโมทเปิดประตูให้จนได้
เสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านด้วยความรวดเร็วจนเกรงว่ามันจะแหกโค้งจนเกิดอุบัติเหตุ แต่เมื่อหล่อนออกมาด้วยสีหน้าถมึงทึงก็คงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง
“ไอ้เด็กเลว แกจะให้ฉันบีบแตรจนนิ้วแตกหรือไง” น้ำเสียงของหล่อนเต็มเจือไปด้วยโทสะก่อนจะเดินกระแทกส้นรองเท้าเข้ามาภายในบ้าน
“กลับมาดึกดื่นป่านนี้ เปิดประตูให้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ดีกว่าต้องไปนอนนอกบ้านจนเช้า”
“ปากดีจริงๆ ไอ้หลง”
ลดาหงุดหงิดตั้งแต่เมื่อได้ข่าวว่าวุฒิและกรณ์เข้าโรงพยาบาลเพราะประสบอุบัติเหตุ เพราะในขณะนั้นหล่อนกำลังพลอดรักกับหนุ่มที่รู้จักเพียงวันเดียวที่หัวหิน แบบนี้จะไม่ให้อารมณ์เสียได้อย่างไร
“น่าไม่อาย กลับมาทำไม”
“ไอ้หลง!”
แม่เกรี้ยวกราด แต่อารมณ์ขุ่นมัวของหลงก็ไม่ปราณีใครเหมือนกัน เขาโกรธและเกลียดที่หล่อนสวมเขาให้วุฒิในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่หยิบยื่นสิ่งดีๆ ให้เสมอ “พูดแทงใจดำหรือไร มันเรื่องจริง แม่ไม่เหมาะสมกับที่ดีๆ แบบนี้”
หล่อนปรี่เข้ามากระชากหนังสือที่หลงถือไว้ก่อนจะปามันลงกับพื้น ส้นรองเท้าของแม่บดขยี้และเหยียบย่ำจนหนังสือของหลงกลายเป็นเศษกระดาษชิ้นน้อย
“สารเลว ถ้าฉันไม่เหมาะ คนแบบนี้แกจะเหมาะไอ้เด็กเหลือขอ”
ดวงตากลมของเด็กหนุ่มคลอหยาดน้ำ แต่เขาเกลียดการร้องไห้ต่อหล่อนมากที่สุด ถึงแม้ว่าบ่อยครั้งที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ ทว่าเขาก็ไม่เคยชินเสียที
ช่วงสอบกลางภาคเป็นช่วงที่หลงแทบไม่เป็นเยี่ยมคนป่วยที่โรงพยาบาลเลยสักวันเพราะลดากลับมาแล้ว หล่อนก็ทำหน้าที่ศรีภรรยาได้ดีโดยการไปเยี่ยมคุณวุฒิและคุณกรณ์ทุกวัน ส่วนตาแก้ว..หล่อนก็ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควรเพราะมีป้ากิ่งอยู่แล้ว เวลาที่หลงไปเลยได้แต่เห็นแม่นั่งพูดคุยกับคุณวุฒิราวกับไม่รู้สึกผิดเรื่องที่ตัวเองก่อไว้ เห็นแล้วมันก็อดหงุดหงิดไม่ได้เลยจำใจไม่กลับทั้งบ้านและไม่ไปทั้งโรงพยาบาล
อันที่จริงหลงต้องบอกว่าเขาพยายามหาช่วงเวลาที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับแม่ แต่ไปทีไรหล่อนก็อยู่ในห้องทุกที ส่วนที่บ้านหลงก็ไม่อยากกลับเพราะแทบไม่มีใครคุยด้วยสักคน
สัปดาห์นี้เขาจึงหมกตัวอยู่กับหนังสือและรับโทรศัพท์เป็นครั้งคราว
วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายและเป็นวิชาของอาจารย์พฤทธิ์ที่เป็นข้อเขียนทั้งสิ้น อีกฝ่ายเคยบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่าข้อสอบไม่ยากอย่างที่หลายๆ คนเคยบอกไว้ แน่นอนว่านิสิตในชั้นเรียนย่อมเชื่ออาจารย์มากกว่าเสียงลือจากรุ่นพี่ปีก่อน
โชคดีที่ได้เวลาสอบอาจารย์ไม่ได้เข้ามาคุมสอบอย่างที่หลงหวาดผวา เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เหตุการณ์ในรถวันก่อนก็กวนใจเสียจนบางครั้งไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ
“หลงทำได้ไหม” ภัทรเอ่ยทักหลงทันทีที่อีกฝ่ายเห็นเพื่อนสนิทออกจากห้องสอบ
“ถ้าบอกว่าได้ก็คงโกหก”
“อาจารย์บอกเองแท้ๆ ว่าจะไม่ออกยาก เห็นทีจะไม่เชื่อลมปากแล้ว” ภัทรขมวดคิ้ว ความจริงข้อสอบของอาจารย์พฤทธิ์ก็ไม่เรียกว่ายากร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เพราะในคาบเรียนเขามักนั่งหลับหรือไม่ก็หันไปคุยกับคนข้างๆ มากกว่าฟังอาจารย์บรรยาย นี่เลยกลายเป็นเรื่องของกรรมตามสนองมากกว่า
“มันผ่านมาแล้ว คงไม่ติดเอฟหรอก..วันนี้สอบวันสุดท้ายแล้วด้วย ไปหาอะไรกินกันนะหลง”
“เอาสิ”
เขากับภัทรเดินออกจากห้องสอบไปจนเกือบถึงถนนแล้ว ทว่าเสียงโทรศัพท์ของหลงก็ดังขึ้นจนเผลอขมวดคิ้วออกมา ความจริง..แทบไม่มีใครโทรศัพท์หาเขาเลยในปีๆ หนึ่งยกเว้นเสียแต่มีเรื่องด่วนจริงๆ
ก็คนอย่างเขาเข้ากับคนยาก ใครจะมาโทรศัพท์หาง่ายๆ กัน..
“สวัสดีครับ”
‘หลง ฉันเอง..วันนี้สอบเสร็จวันสุดท้ายแล้วใช่ไหม’
เด็กหนุ่มเงียบก่อนตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ “ครับ”
‘มาเยี่ยมฉันหน่อยไม่ได้หรือ ไม่มาเลยตั้งหนึ่งอาทิตย์’
หลงอยากไปแทบขาดใจ แต่เพราะมีใครบางคนคอยเฝ้าวุฒิอยู่ไม่ห่าง แล้วหลงจะเอาตรงไหนเข้าแทรกระหว่างคนสองคน
“หลังหกโมงเย็นได้ไหมครับ”
‘จะมาตอนไหนก็ได้’
เย็นวันนั้นหลงกับภัทรกินบุฟเฟต์เสียจนคุ้ม หากไม่ติดที่ว่าความอยากอาหารหมดไปตั้งแต่เนื้อชิ้นสุดท้ายเข้าปาก พวกเขาคงได้พากันไปกินของหวานต่อ
“วันนี้ยังกินไม่สะใจเลย”
“ไว้วันหลังเถอะ ตอนนี้พวกเราควรรีบกลับดีกว่า ฝนตกขึ้นมาเดี๋ยวไม่ถึงบ้านกันพอดี”
ระยะนี้ท้องฟ้าครึ้มบ่อยเสียจนเกรงว่าอีกไม่ช้าพายุฝนตามที่พยากรณ์อากาศได้กล่าวไว้จะเป็นจริงขึ้น ยิ่งเมื่อหลายวันก่อนหลงดันไม่เชื่อที่บอกว่าจะมีฝนตกตอนบ่ายทั้งที่แดดแรงจนเนื้อแทบสุก แต่พอตอนเย็นพายุห่าใหญ่ก็สาดซัดเข้ามาจนหลงไม่เหลือสภาพเดิมตอนมาสอบ รองเท้าของเขาเต็มไปด้วยเศษใบไม้และเหม็นอับจนรู้สึกเขินอายคนข้างๆ ที่ร่วมด้วยสารรถสาธารณะด้วย
วันนี้ก็คงเป็นอีกเช่นกัน หลังจากที่เขากับภัทรแยกกันกลับไม่ถึงห้านาที ฝนก็ลงเม็ดลงมาและพัดละอองน้ำเสียจนเสื้อชื้นไปหมด โชคดีหน่อยก็ตรงที่หลงพกร่มบังไว้ ไม่อย่างนั้นคงได้เปียกปอนไปโรงพยาบาลแน่ๆ
อันที่จริง..หลงควรจะบอกให้คนที่บ้านขับรถมารับด้วยซ้ำ แต่อย่างว่า..เขาเป็นใครถึงริอาจใช้คนอื่นแบบนั้นทั้งที่ตัวเองก็เป็นเพียงผู้อาศัยและมาทีหลัง เรื่องแบบนี้ไม่มีใครบอกแต่ก็ต้องรู้ตัวเองทั้งนั้น
เด็กหนุ่มถอนหายใจกับความคิดวุ่นวายของตัวเองก่อนจะมองไปตรงหน้า รถยนต์สีดำสนิทของอาจารย์พฤทธิ์จอดริมฟุตบาทก่อนที่เจ้าของรถจะเปิดประตูออกมาพร้อมร่มคันหนึ่ง หัวใจของหลงวูบวาบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน..แม้จะอยู่ในช่วงสอบกลางภาค แต่อีกฝ่ายก็ยังดูดีทุกระเบียดนิ้วและน่ามองเหมือนเคย ตรงข้ามกับหลงที่ดูเหมือนมีราหูอมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เขารู้ดีว่าการแอบมองคนอื่นเป็นเรื่องเสียมารยาท แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็เอาชนะจนเผลอยืนนิ่งแล้วมองตามร่างอีกฝ่าย ไม่นานนักอาจารย์พฤทธิ์ก็ออกมาพร้อมอาจารย์ฉลองขวัญ เนื้อตัวของหล่อนไม่เปียกเพราะอีกฝ่ายถอดเสื้อสูทคลุมให้หล่อนในระดับหนึ่งแล้ว
หัวใจของหลงปวดหนึบจนเผลอยกมือแตะที่หน้าอก เขายังจำได้ดีว่าพฤทธิ์ก็เคยทำแบบนั้นเมื่อตอนอยู่โรงพยาบาลเช่นกัน ทว่าสำหรับหลงคงเป็นเพียงความห่วงใยจากอาจารย์ถึงลูกศิษย์เท่านั้น
หลงควรจะรู้ว่าอะไรควรและไม่ควร แต่ความรู้สึกคาดหวังใครจะห้ามได้..
เด็กหนุ่มผลักบานประตูด้วยสภาพเปียกปอน
ภายในห้องพักผู้ป่วยมีอาจารย์พฤทธิ์ อาจารย์ฉลองขวัญและผู้หญิงอีกคนที่ยืนข้างเตียงคุณวุฒิ ส่วนแม่ของเขาหล่อนก็นั่งเงียบๆ อยู่ตรงโซฟามุมห้อง
“มาแล้วหรือ นึกว่าจะไม่มีจริงๆ เสียอีก”
เขายกมือไหว้ทุกคนก่อนจะตอบวุฒิ “ฝนตกผมเลยมาช้าครับ”
ภาพที่เห็นก็ยอกอยู่ใจอยู่ไม่น้อย แต่พอไม่เห็นมันก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ทว่าโชคดีไม่เคยเข้าข้างหลงแม้แต่ในเรื่องแบบนี้ เขาเห็นทั้งพฤทธิ์และฉลองขวัญนั่งข้างกันโดยไม่พูดไม่จา หลงยอมรับว่าหล่อนเหมาะกับอีกฝ่ายทุกระเบียดนิ้วและพยายามบอกตัวเองว่าเขาควรจะหยุดความรู้สึกที่เริ่มปะทุขึ้นในได้ก่อนมันจะสายเกินไป
“คุณแขนี่ลูกชายของผม”
เพ็ญแขหันมายิ้มให้เด็กหนุ่มตรงหน้า “หลงหรือ วุฒิเล่าให้ฉันฟังอยู่บ่อยๆ ไม่คิดว่าจะน่าเอ็นดูขนาดนี้”
ริมฝีปากของเด็กหนุ่มปึ่งชา เขาก้มมองสภาพตัวเองในขณะนี้และรู้ดีว่าตามที่หล่อนพูดก็เป็นเพียง ‘มารยาท’ เท่านั้น จะให้มากล่าวหาว่าเขาสกปรกจนไม่น่าเข้ามาอยู่ในห้องผู้ป่วยก็กะไรอยู่
เขาไม่มีอารมณ์จะโต้ตอบหล่อน จึงได้แต่ยืนรอป้ากิ่งหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้และเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำเงียบๆ
“ฉันเอาข่าวมาบอกคุณวุฒิว่าวันอาทิตย์นี้วันเกิดคุณแม่ค่ะ”
“อ้อ..ผมจำได้ว่าคุณหญิงจะจัดงานในสวนหรือ เนื่องในโอกาสอะไรล่ะ..เห็นไม่ได้จัดมาหลายปีสงสัยจะมีเรื่องพิเศษ”
แขเหลือบมองฉลองขวัญแล้วยิ้มบางๆ หล่อนกับคุณแม่ตกลงกันแล้วว่างานนี้จะเปิดตัวว่าที่ลูกสะใภ้ แน่นอนว่าหลายปีมานี้หล่อนพยายามเลือกหาผู้หญิงที่เหมาะสมกับลูกชาย ทว่ากลับไม่มีใครถูกตาต้องใจหล่อนสักคน กระทั่งมาเจอฉลองขวัญ..หล่อนยอมรับว่าอีกฝ่ายดีทั้งรูปและการศึกษา ติดเพียงแต่ว่าพฤทธิ์ไม่มีท่าทีจะสนใจฉลองขวัญตามที่หล่อนต้องการเท่านั้น
“ก็รีบหายป่วยเร็วๆ สิคะ จะได้มางานคุณแม่ ท่านคงจะดีใจถ้าคนโปรดมา”
“อ้อ..จะพาหลงไปด้วยได้หรือเปล่าล่ะ”
เพ็ญแขมองเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ อันที่จริงหล่อนไม่คิดว่าหลงควรจะได้รับคำเชิญด้วยซ้ำหากเจ้าตัวไม่ใช่ลูกเลี้ยงของวุฒิ
“ได้สิคะ”
งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของคุณหญิงดุลยาจัดขึ้นภายในสวนของเพ็ญแขอย่างเรียบง่าย ทว่าสำหรับหลงแล้วมันไม่ง่ายเลยเมื่อวุฒิบอกให้เขามางานเลี้ยงแทนตัวเองและกรณ์ ด้วยเหตุผลที่ว่าคนทั้งสองยังไม่หายจากอาการป่วยครั้งนี้ แน่นอนหลงแทบไม่อยากย่างกรายเข้ามา แต่เมื่อรับปากแล้วย่อมทำให้สำเร็จ
ของขวัญที่วุฒิและกรณ์ฝากมานั้นไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ กล่องของขวัญใบน้อยที่บรรจุของมูลค่ามหาศาลถูกหยิบยื่นให้เจ้าของงานด้วยมืออันสั่นเทาของหลง
“นี่เป็นของขวัญที่คุณวุฒิและคุณกรณ์ฝากมาให้ครับ”
คุณหญิงดุลยาแม้อายุมากแล้ว แต่ความน่าเกรงขามของหล่อนยังมีเต็มเปี่ยม
“เธอเป็นเด็กที่บ้านของวุฒิหรือ” หลงมองเพ็ญแขที่ยืนอยู่ข้างๆ หล่อนรู้ว่าเขาไม่ใช่เด็กรับใช้ แต่เป็นบุตรบุญธรรมของของวุฒิ ทว่าหล่อนกลับไม่แยแสจะช่วยโต้แย้งให้เขาสักประโยคเดียว
เด็กหนุ่มช่างใจ เขาเป็นลูกเลี้ยง แต่สถานะจริงๆ ก็ไม่ใช่คนในครอบครัวอย่างที่วุฒิพูดกรอกหูเขาบ่อยๆ “ครับ”
“อย่างนั้นวานให้ช่วยงานที่นี่สักพักได้ไหม เหมือนคนจะไม่พอ”
“ครับ”
ชุดที่เขาใส่มาแม้แตกต่างจากบริกรในงาน ทว่าเมื่อพิจารณาดีๆ ก็เป็นส่วนน้อยที่ต่างและส่วนมากที่เหมือน
“คุณแม่คะ พฤทธิ์กำลังไปรับฉลองขวัญค่ะ” เพ็ญแขกระซิบข้างหูมารดา แม้หล่อนจะรู้ว่าพฤทธิ์ไม่มีใจให้ฉลองขวัญ แต่ลูกชายของหล่อนก็ไม่เคยฉีกหน้าหล่อนโดยการไม่ทำตามที่ขอ
หลงเดินออกจากตรงนั้นเพราะรู้ว่าไม่มีที่สำหรับตัวเองแม้แต่ตารางเดียว ตอนนี้..เขาเหมือนกาดำในฝูงหงส์ ทุกคนที่มาร่วมงานรู้จักกันและมีหน้ามีตาในสังคม ส่วนหลงก็แค่คนแปลกแยกที่ถูกส่งมาเป็นตัวแทนเท่านั้น
เขายืนรอเงียบๆ กระทั่งเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม พฤทธิ์และฉลองขวัญจึงเดินเข้ามาในงาน
ฉลองขวัญถูกต้องรับจากทั้งคุณหญิงและคุณเพ็ญแขอย่างดี หนำซ้ำหล่อนยังแต่งตัวสวยยิ่งกว่าเจ้าของงานเสียอีก ดูๆ ไปแล้วไม่ต่างอะไรจากอาจารย์พฤทธิ์ แม้อีกฝ่ายจะสวมสูทจนชินตา..แต่วันนี้กลับดูดีจนหลงละสายตาไม่ได้
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเอาแต่จดจ้องแบบนี้..
ชั่วขณะหนึ่งที่อาจารย์มองเขาด้วยสายตาเอาเรื่อง เอาล่ะ..ตอนนี้หลงก็ยังไม่เข้าใจความหมายของสายตาแบบนั้น เพราะทุกครั้งที่พฤทธิ์มองมา ไม่เอือมระอาก็ดุเสียจนไม่กล้าเข้าใกล้ แน่นอนว่าคนในห้องเรียนไม่มีทางได้เห็นอาจารย์พฤทธิ์ที่เคารพนักเคารพหนาแบบนี้แน่นอน
ถ้านับกันจริงๆ เขาแทบไม่เจอหน้าหรือคุยกับอีกฝ่าย แม้จะมีงานมาส่งบ้าง แต่ส่วนใหญ่หลงก็หลีกเลี่ยงจะให้ภัทรไปส่งแทน จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลงไม่เจอหน้าอาจารย์พฤทธิ์และมันก็เป็นเรื่องดีที่ไม่ต้องทนอึดอัดกับแววตาเจือความไม่พอใจของอีกฝ่าย
คิดไปก็ปวดหัว หลงจึงเลือกหาคำตอบและหันไปช่วยงานบริกรตามที่คุณหญิงดุลยาไหว้วานแทน
ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะจนหลงอยากกลับบ้านเดี๋ยวนี้ หากไม่ติดที่ว่าอยู่ๆ คุณหญิงก็เรียกความสนใจจากแขกในงานพร้อมกับพูดขอบคุณเสียยกใหญ่ ทว่าเรื่องที่พิเศษไม่ใช่เพียงแค่งานวันเกิด แต่หล่อนกลับแนะนำฉลองขวัญให้คนอื่นได้รู้ว่าเป็นว่าที่หลานสะใภ้ แม้ไม่ได้พูดกันตรงๆ แต่คนใครจะไม่เข้าใจ
“เด็กใหม่ไปเอาแก้วในห้องครัวมาเพิ่มหน่อย”
“แก้วอยู่ตรงไหนครับ” เขาเอ่ยปากถามอยากหงุดหงิด
“อยู่ในครัว เดินเข้าด้านหลังนะ ห้ามเข้าด้านหน้า”
“รู้แล้ว” หลงตอบเสียงห้วนก็เร่งฝีเท้าเข้าไปประตูข้างหลัง
เขาไล่เปิดตู้ทุกใบที่เรียงอยู่ในห้องครัว ก่อนจะได้ยินเสียงถามขึ้นมาเบาๆ
“ทำอะไร” เสียงทุ้มต่ำอันคุ้นเคยเอ่ยขึ้น ถือเป็นประโยคแรกในรอบหลายสัปดาห์ที่อาจารย์พูดกับหลง เขาเบี่ยงตัวกลับหลังทว่าแผ่นอกของอีกฝ่ายกำลังประชิดจนสัมผัสไออุ่น
“มาเอาแก้วไปเพิ่มครับ”
“เอาไปทำไม คนอื่นไปไหนหมด” น้ำเสียงของอีกฝ่ายราบเรียบเหมือนเคย แต่ถ้าหลงไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป..มันอ่อนลงกว่าเมื่อก่อนมาก
“ผมมาช่วยงาน”
“เป็นแขกไม่ใช่หรือ ไม่เกี่ยวกับตรงนี้” แม้อีกฝ่ายจะพูดแต่กลับยื่นมือหยิบแก้วจากตู้ข้างบนให้ ระยะห่างที่เหลือน้อยกลับลดลงจนกลายเป็นแนบชิด
“ขอบคุณครับ” หลงหันไปพูดเบาๆ ทว่าใบหน้าหล่อเหลาของอาจารย์พฤทธิ์กลับอยู่เพียงปลายจมูก
ใกล้เกินไปแล้ว..
ดวงตาสีเข้มของพฤทธิ์แม้ดุดัน ทว่าเต็มไปด้วยความเสน่ห์น่าหลงใหลจนไม่อาจละสายตาได้ ชั่วขณะหนึ่งที่โลกกลมๆ ของหลงกำลังจะหยุดหมุน ริมฝีปากอุ่นก็แนบประทับลงมาเชื่องช้าและอ้อยอิ่ง
หัวใจของหลงกระตุกวูบ เขานึกอยากขยับตัวอ่อนจากอ้อมแขนนี้ ทว่าความอ่อนโยนก็เป็นตัวเหนี่ยวรั้งให้จมจ่อมกับความซ่านที่บริเวณริมฝีปาก แม้ไม่ได้ล่วงเกินไปมากกว่านั้น แต่ก็ทำให้หลงอ่อนระทวยไม่ยาก
เนิ่นนานกว่าอีกฝ่ายจะผละออก หลงก็แทบไม่เหลือสติอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
“ผม..ผมขอตัว”
“อืม”
ความรู้สึกตื่นตระหนกระคนวาบหวามสะเทิ้นอยู่ในใจ แม้พยายามไพล่คิดหาเหตุผลว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำแบบนั้น ทว่ายิ่งคิดใจยิ่งเต้นเพราะความรู้สึกที่ริมฝีปากชัดเจนจนรบกวนอย่างอื่นไปเสียหมด
อารมณ์ของพฤทธิ์ไม่ต่างจากพายุฝนในช่วงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนเย็นที่เขาต้องไปรับฉลองขวัญมางานวันคล้ายวันเกิดคุณหญิงดุลยา แม้หล่อนจะดูสวยหมดจดจนแทบไม่มีที่ติด แต่สำหรับพฤทธิ์หล่อนก็ไม่ต่างอะไรจากโซ่ตรวจอันหนักอึ้ง หนำซ้ำ..มันยิ่งหนักเมื่อทั้งคุณแม่และคุณยายต่างเห็นพ้องต้องกันว่าฉลองขวัญเหมาะจะเป็นหลานสะใภ้
พฤทธิ์ไม่ได้รักหล่อน แต่เขาก็แทบไม่เคยออกปากไล่หล่อนออกไปจากชีวิต มันจึงกลายเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจนยากจะแก้ไขเมื่อหล่อนตกหลุมรักเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
งานฉลองวันคล้ายวันเกิดจึงถือเป็นฤกษ์ดีที่คุณหญิงดุลยาจะเปิดตัวว่าที่หลานสะใภ้กลายๆ รอยยินดีแสดงออกอย่างชัดเจนจนบ่อยครั้งที่ความพยายามของพฤทธิ์ล้มเหลว ทั้งที่เขารู้ว่านี่ทำให้ตัวเองลำบาก แต่เขาก็ไม่กล้าทำให้ผู้หญิงทั้งสองผิดหวัง
คุณหญิงดุลยาพาฉลองขวัญไปแนะนำจนทั่วงานโดยมีเขาเดินตามอยู่ห่างๆ ถึงกระนั้นใครๆ ก็รู้ว่าเขาเป็นใครและเกี่ยวพันกับฉลองขวัญอย่างไร
ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นในใจช้าๆ จนเขาต้องออกปากขอตัวไปหาอะไรดื่มดับอารมณ์
ภายในห้องครัวเงียบสงัดอย่างเคย ทว่ามีใครบางคนกำลังใช้ความพยายามทั้งหมดทั้งมวลในการเขย่งเท้าหยิบแก้ว เขายืนพิงกรอบประตูสักพักแล้วพิจารณาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคนๆ นี้
หลง..เด็กผู้ชายที่เขาไม่คิดจะญาติดีด้วยกลับเข้ามาวุ่นวายในความคิดของเขาเรื่อยมาก จะหนักสุดก็ตอนที่หลงเอ่ยปากขอโทษและออกจากรถยนต์ไปเงียบๆ จากนั้นพวกเขาก็แทบไม่เจอกันอีกเลย ถึงจะรู้ว่านี่ไม่ใช่การหลบหน้า แต่ก็ถือเป็นหนึ่งในความพยายามเลี่ยงพฤทธิ์ของอีกฝ่าย
พฤทธิ์เดินเข้าไปเงียบๆ ก่อนยืนซ้อนหลังเด็กหนุ่ม ทั้งที่รู้ว่าหากเข้าไปใกล้อีกนิด ความอดทนที่เหลือเพียงเสี้ยวคงจะพังทลาย
ทั้งที่เขาไม่ใช่คนประเภทหาเรื่องใส่ตัว แต่เมื่อเด็กหนุ่มหันกลับมามองเขาด้วยแววตาตื่นตระหนก ความยับยั้งใจก็พังครืนราวกับปราสาททราย
เขาจูบหลง..โดยที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร..
___________________________________________________
ไม่มีอะไรจะแก้ตัวนอกจากบอกว่าหายไปนานเกือบหนึ่งเดือน

เมื่อคืนคนเขียนเลยรีบปั่นแบบสุดๆ เพราะอยากเขียน แต่ก็อยู่ในช่วงสอบปลายภาค ทรมานสุดๆ TwT (หนังสือหนังหาไม่อ่านนะ) ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ จริงๆ ขี้เกียจเขียนด้วยแหละ ตอนมีอารมณ์เขียนดันไม่สะดวกจะเขียน
หวังว่าตอนนี้คงจะพอหอมปากหอมคอขึ้นมาบ้าง แต่อะไรๆ ย่อมมีอุปสรรคเสมอ คิคิ
เจอกันตอนหน้านะคะ ตอนที่ ๘ รอดูอาจารย์กับน้องหลงและคนอื่นๆ ดีกว่าาา เรื่องนี้เรื่อยเปื่อยอุปสรรคมากมายไปหมด
ขอบคุณมากค่ะ
Fan Page:
https://www.facebook.com/AUTHOR.ELLETTE