รักฤๅผูกพัน . . . ก็เจ็บปวดเท่ากัน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักฤๅผูกพัน . . . ก็เจ็บปวดเท่ากัน  (อ่าน 265267 ครั้ง)

Entaneer#30

  • บุคคลทั่วไป
เอาอีกๆๆ
 :m4: :m4:

ifwedo

  • บุคคลทั่วไป
ตอนนี้ดีเห็นด้วยๆๆ

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ตอนนี้...ค่อยยังชั่ว  :L2:

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
 :m13:รอตอนต่อไปค่ะ

RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป

ตอนที่  ๑๕




   แผลผ่าตัดหายเป็นปกติ  ทิ้งเอาไว้แค่รอยแผลเล็ก ๆ  ให้เห็นต่างหน้า  คอยเตือนความทรงจำ  ว่า ในวันเวลาที่มีรอยแผลนี้มีอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง  แผลที่ผมยิ้มทุกครั้งยามเอามือจับมันเบา ๆ 

   ของบางอย่าง . . .

   . . . มีคุณค่าในตัวของมันเอง . .
.

   “อยากกินอะไร  สั่งเลย  งบไม่เกินพัน”  ผมยื่นเมนูในพวกมัน

   พวกมัน . . .

   . . . ไอ้เพื่อนรัก   คนนี้ขาดมันไม่ได้  แทบขาดใจเลยทีเดียว

   น้องแดน . . . น้องรหัสที่ตามตูดผมแจ  แต่ไม่เคยเบื่อมันเลยนะ 

   . . . ไอ้โก . . . คนที่ผมคิดว่า  มันคือหัวใจของผม 

   เพื่อน น้อง  ทั้งหมดคือคนที่อยู่ใกล้ ๆ  ผมยามผมเจ็บป่วย    ในเวลาที่ร่างกายอ่อนล้า  ผมีพวกมันคอยเป็นกำลังใจเสมอ  ตอนนี้หายป่วย  เลยถือโอกาสมาเลี้ยงขอบคุณมันสักหน่อย  ร้านเดิมครับ ร้านที่ผมชอบไปนั่งบ่อย ๆ

   “โหยไอ้ยิว  พันนึง  คงพอหร๊อก  สั่งข้าวเปล่ามาแดกหรือไง  เปิดเหล้าขวดนึงเท่าไหร่เข้าไปแล้ว”    ไอ้เพื่อนผมมันต้องต่อล้อต่อเถียงทุกทีสิน่า

   “ท่านเพื่อน  กะเอากูล่มจมเลยว่างั้น”

   “ไม่ใช่  แต่แหม  พันนึงจะกินไรได้ตั้งสี่คน ใช่มะแดน”  งานถนัดของมันละครับ  หาพวกคอยรุมผม

   “จะแดกมั้ยมึง”

   “แดกเด่ะ  ของฟรี”

   “เกินพันมึงจ่ายนะ”

   “ช่วยสองร้อย  หมดงบ”

   “ตั้งแต่มีแฟน  ประหยัดงบเที่ยวนะมึง  เก็บเงินแต่งเมียเหรอ”

   “เออดิ๊  กะกู้มึงนะเนี่ยค่าสินสอด . . .”   มันเปิดเมนูไปมา

    “. . . โก  กินอะไรสั่งเลยน้อง”  มันหันไปทางคนของผม

   “ไอ้สาสสสสสสสสสส  แต่งงานจริงอ่ะ  ทิ้งกู  เอากูไปไว้ที่ไหน  แมร่งเลว  ได้แล้วทิ้ง ๆ  ขว้าง ๆ” 

   “ไอ้เวร  กูไปได้มึงตอนไหน”

   “ถึงไม่ได้ตัวก็ได้ใจละว๊า”

   เอากับผมสิครับ  เรื่องยียวนกวนบาทีกับมันนี่  งานถนัด  ไม่ค่อยมีใครยอมลงให้ใครหรอก  ยอมกันได้อย่างไร  ของแบบนี้

   มันอยู่ที่ความสามารถเฉพาะตัว . . .

   “แดน  ปีนี้จะจบแล้ว  ต่อโทเมืองนอกเลยป่ะ”

   “พูดไปพี่อาร์ม  แค่เมืองไทยก็จะจบแหล่มิจบแหล่  ไปนอกก็พอดี   ยิ่งกว่าขายนาส่งควายเรียน” 

   “ขนาดนั้นเลยเหรอ”

   “ใครจะเก่งเท่าพี่ละครับ  เก่ง ๆ  แบบพี่เป็นผมสอบจ๊วตไปแล้ว  ไม่อยู่แค่กราวน์หรอกน่า”

   “เหรอ . . . งั้นมึงมาเป็นกราวน์ดิ  แล้วกรูจะไปเป็นจ๊วต”    ผมยิ้ม  เย้ากันเล่นกับมันมากกว่าที่จะคิดจริงจัง

   ในเวลานั้น . . . 

   ผมไม่เคยคิดที่จะทำงานบนเครื่องเลยแม้แต่น้อย . . .

   ผมรู้งานมันไม่ได้สวยงามแบบที่เรา ๆ  เห็น  แค่ผมอยู่กราวน์ก็รู้แล้วลูกเรืองานหนักกว่าผมอีก  แต่มองอีกมุมมันก็คุ้มกับค่าจ้างที่สูงลิบลิ่ว

   “พูดไปพี่  ผมน่ะ  อยากทำงานใกล้ ๆ พี่”  ผมหันไปมองหน้า

   มันหลบสายตาผมก่อนที่จะแก้เก้อ 

   “ใช่มะพี่โอ๋  ถ้าผมไปอยู่บูติคแอร์ไลน์  ผมก็อยู่ใกล้พี่อาร์ม  ใกล้พี่โอ๋  เลิกงานพร้อมกันทีสังสรรค์ทุกวันเลย”

   “อย่างแกนะไอ้แดน  จะเข้าตำแหน่งไหนของบูติก  เขาก็อ้าแขนรับ  นามสกุลแกมันฟ้องหราขนาดนั้น”

   นามสกุล . . .

   มีผลต่อการทำงานเสมอ  ยิ่งเป็นที่รู้จักมาก  ยิ่งมีโอกาสมาก  ผมรู้ดี  ขนาดผม  แม่มันยังฝากให้ได้  แล้วกับลูกตัวเอง  ไม่ใช่เรื่องยากเย็น

   ผมยิ้ม . . . มิตรภาพมันต้องใช้เวลา

   เวลา . . . ค่อย ๆ  หลอมความรู้สึกเข้าด้วยกัน

   “ผมอยากอยู่ทีจีนะพี่โอ๋”

   “อย่ามาปากหวานไอ้แดน  อย่างมึงนี่  กูกล้าพนัน  ไม่ห่างตูดไอ้อาร์มหรอก”

   “สัส . . . พูดห่าไร  ตูดกูกูหวง  ใช้คำดี ๆ  หน่อย  ตูดนี้เก็บไว้ให้เอกรัฐคนเดียว”  ผมทำตาหวานใส่มัน

   “เออ  งั้นคงเหี่ยวละเพื่อน  เพราะกูจะแต่งเมียแล้ว”  มันยิ้ม    ก่อนจัดการอาหารที่เด็กเอามาเสริฟ

   อาหารมื้อนั้น  อร่อย  เพราะผมเพิ่งฟื้นจากการผ่าตัด  ทำให้กินอะไรก็อร่อยไปหมด  มันอยากกินทุกอย่างที่ขวางหน้า  ไม่รู้คนอื่นจะเป็นแบบผมไหม   

   “เฮ้ย! ไอ้อาร์ม  จะสี่ทุ่มแล้ว  มีโปรแกรมไปต่อไหนป่าวว่ะ”

   “โห . . . มึง  เครื่องในกูยังไม่เข้าที่เลยนะ  จะให้ออกไปเริงระบำที่ไหน”  พอท้องเริ่มอิ่ม  เริ่มมองหาที่ต่อ

   “วันศุกร์นะมึง”

   “กูรู้วันศุกร์  แล้วไงต่อครับท่านเพื่อนรัก”

   “กินเหล้ากัน”

   “สัสดิ  หมอห้าม  ยังไม่ครบเดือนห้ามกิน”

   “ก็ไปกินน้ำปล่าว  น่า ๆ  กรูอยากแดนซ์”  ตัวมันแหละครับ  มันชอบเที่ยว  การเต้นชีวิตจิตใจของมันเลย 

   “ไปต่อกันมั้ยแดน”

   ผมมองหน้ามัน . . . เรื่องหาแนวร่วมงานถนัดมัน  ไอ้แดนมองหน้าผมที  มองหน้าไอ้เพื่อนรักที  เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะอยู่ข้างไหนดี

   ส่วน . . .  โกเมศมวร์

   คำตอบมัน . . . แล้วแต่พี่อาร์มสิ   แบบเดียวที่มันตอบเป็น

   “แปบนะ  พ่อโทรมา”  ผมบอกมัน  ก่อนรับสาย 

   “ครับพ่อ”

   “อาร์มลูก  นอนหรือยัง”

   “ยังครับผม  พ่อละครับ”

   “อาร์ม  มาเชียงใหม่ได้มั้ยลูก”  เสียงพ่อทำไมแปร่ง ๆ 

   “พ่อมีอะไรหรือเปล่า  เสียงไม่ค่อยดีเลย  ไปได้ครับ  จะให้ไปวันไหนล่ะครับ”  ผมเริ่มเฉลียวใจ

   “ไฟลท์เช้าได้มั้ยลูก”

   “พ่อ . . .”  ผมเรียก 

   “บอกมาเหอะครับ  พ่อมีอะไร”

   “มีอุบัติเหตุนิดหน่อยนะลูก  พ่ออยู่สวนดอก”

   “แม่ . . . แม่ละครับ” 

   ไม่รู้ทำไม  ใจผมมันห่วงหาแต่แม่ . .   เสียงของพ่อ  ไม่ดีเลย  ไม่ดีเอามาก ๆ  มันทำให้หัวใจผมมันพลอยวังเวงไปด้วย  เสียงผมคงดัง  ไอ้สามคนที่นั่งคุยกันอยู่  นั่งเงียบหันมามองผมเป็นสายตาเดียวกัน

   “แม่ . . . อยู่ไอซียู  พรุ่งนี้นะลูก  มาไฟลท์เช้า” 

   “แม่เป็นไรพ่อ  แม่เป็นอะไรมากมั้ย”  คราวนี้เสียงผมดังขึ้น     

   น้ำตาผมเริ่มไหล  ไอ้เพื่อน ๆ  รอบตัวเริ่มรู้แล้ว   ไอ้โอ๋  ขยับมานั่งติดกับผม  มันเอามือวางไว้บนเข่า  ผมรู้  มันห่วงใยผม   

   “หมอยังไม่ออกมาเลยลูก  พรุ่งนี้นะลูกอาร์ม  แค่นี้นะลูก”  พ่อตัดสายทิ้งไป

   ผมนั่งนิ่ง . . .

   ทำไม  มันเกิดอะไรขึ้น  ผมมองหน้าแดน  มองไอ้โอ๋  แล้วหันไปมองหน้าโก   สายตาผมเหม่อ  ผมหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้

   “แม่เป็นอะไร”  ไอ้เพื่อนรัก  มันมองหน้า เขย่าขาผม  ปลุกผมจากคำพูดของพ่อ  ที่ยังก้องอยู่ในหัว   

   “พ่อบอกอยู่ไอซียู กี่โมงแล้ว”

   “สี่ทุ่ม”

   “ไฟลท์หมด  กลับแล้วนะ  กูจะไปเชียงใหม่”  ผมบอกมัน 

   “น้องเก็บตังค์”  ผมส่งเสียงเรียกเด็กเสริฟ

   “กูไปด้วย”

   “ผมไปด้วย”

   “ผมด้วย”

   ผมหันไปมองหน้ามันสามคน    ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี  ผมเหมือนคนเป็นใบ้  นิ่งเงียบ  หัวใจมันกระวนกระวาย  พยายามโทรหาพ่อ  แต่เครื่องปิด  มันยิ่งทำให้ผมกังวลใจมากขึ้นไปอีก

   “พี่อาร์ม”  โกแบมือ

   “อะไร”

   “กุญแจรถ”

   ผมมองหน้ามัน . . .

   “ให้น้องมันไปไอ้อาร์ม  มึงขับไม่ไหวหรอก  สภาพมึงตอนนี้  กูไม่ยอมให้มึงขับเด็ดขาด  เดี๋ยวกูสามคนผลัดกันขับเอง  ห้ามดื้อ  ห้ามเถียง  เอาไปโก . . ”  ไอ้เพื่อนรักออกคำสั่ง  ก่อนล๊อคคอผมเอาไว้  แล้วยึดกุญแจให้โกเมศวร์

   มันเข้าประจำที่คนขับ

   “ทำไมว่ะ”

   “ไม่ต้องถาม  แดนไปนั่งหน้าเป็นเพื่อนโกมัน  เดี๋ยวไอ้อาร์ม  พี่เอามันนั่งหลังเอง”  มันพวกไหนวะนี่  ทำอย่างกะผมเป็นนักโทษ

   “ปล่อยกู  กูขับได้”

   “เชื่อพี่โอ๋นะพี่อาร์ม  พี่อย่าขับเลย  ว่าแต่แม่อยู่โรงพยาบาลไหน”   

   “สวนดอก”

   “สักครู่นะพี่  เดี๋ยวผมจะโทรเช็คกับเพื่อนให้”

   ผมไม่รับรู้อะไรแล้ว . . .

   เอาเหอะ  ใครอยากจะทำอะไรก็ทำ  เพราะตอนนี้ใจผมมันละลิ่วไปถึงเชียงใหม่แล้ว  ทำไมพ่อไม่โทรมาก่อนหน้านี้สักสองชั่วโมง  อย่างน้อย  ผมยังมีโอกาสไปแสตนด์บายที่สนามบิน  กรุงเทพฯ  เชียงใหม่ไกล  ผมคงรอให้เช้าแล้วบินไม่ไหวแน่ ๆ   

   “โก  ออกทางแยกบางเขน  ขึ้นโทลเวย์ไปเลย”  ไอ้โอ๋ออกคำสั่งเมื่อขึ้นมาบนรถ

   “ไม่แวะเอาของก่อนหรือพี่”

   “ไม่ต้อง  ไปหาเอาข้างหน้า”  มันตัดสินใจเด็ดขาด

   ผมหรือ มีแต่น้ำตา   ความคิดมันไปไกล  มมันคิดไปน่ากลัว  น้ำเสียงพ่อ  ไม่ดีเอาเสียเลย   ไอ้เพื่อนรักมันเอาผมมาอิงแอบแนบไหล่มัน    ผมมองโกขับรถลัดเลาะไปบนถนนที่ยังหนาแน่นไปด้วยรถรา

   ไอ้แดนมันโทรเช็คข่าวจากเพื่อนมันที่เชียงใหม่  มันค่อนข้างกว้างขวาง  ผมไม่รู้มันพูดอะไรกับเพื่อนมันบ้าง  เพราะหัวใจของผมมันไม่ฟังอะไรอีกแล้ว  ผมได้แต่นั่งหลับตา  ปล่อยน้ำตาไหลเป็นทาง

   ห่วง . . . 

   . . .แม่ . . .

   เป็นห่วงเหลือเกินแล้ว . . .

   พ่อ . . . ผมเพิ่งคุยไป 

   แต่แม่นี่สิ . . . อยู่ไอซียู  แสดงว่าอาการหนักพอดู  แล้วเกิดอุบัติเหตุที่ไหน    มันเกิดได้อย่างไร  ตั้งแต่เมื่อไหร่

   “พี่อาร์ม  เกิดอุบัติเหตุที่รอยต่อ  เวียงป่าเป้ากับดอยสะเก็ด  ที่นั่นทางชัน  พ่อเจ็บไม่มาก  แต่แม่ อาการน่าเป็นห่วง  เพราะเกือบสามชั่วโมงแล้ว ทีมหมอยังไม่ออกมาจากไอซียูเลย”

   “ไอ้ห่าแดน  มึงไม่ต้องบอกหมดก็ได้”  ไอ้โอ๋เอ็ดมัน

   “อย่าว่ามันไอ้โอ๋  ขอบใจนะแดน  ขอบใจ”  ผมบอกได้แค่นั้นจริง  ๆ  เพราะอะไรไม่รู้มันมาจุกที่คอผม 

   . . . ทีมหมอเลยหรือ . . .

   มันตีบแน่นไปหมด 

   แค่ . . . ไม่ถึงเดือนเอง  ถ้าผมรั้งแม่ให้อยู่ต่อ  แม่คงไม่เจ็บตัว  ทำไมวะ  ทำไมวันนั้นผมไม่รั้งแม่เอาไว้  ผมปล่อยให้แม่กลับเชียงราย  แล้วแม่ต้องมาเกิดอุบัติเหตุ

   ผมไม่รับรู้สองข้างทาง  รถวิ่งมาเร็วขนาดไหน  ผมไม่สน  ผมรู้แค่ว่า  ทำไมระยะทางมันยาวนานเหลือเกิน  ผมนิ่งเงียบไม่อยากคุยอะไรอีก  สมองมันคิดแต่ว่า  แม่จะเป็นอย่างไรบ้าง

   . . . แม่ต้องไม่เป็นอะไร . . .
   


   ผมมาหลับเอาตอนที่ไอ้โอ๋ไปเปลี่ยนขับให้โก  โกมานั่งหลังกับผม  ผมหลับไปบนไหล่มัน  มันจับมือผมเอาไว้  ผมกลัวนะ  กลัวไปหมด  กลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น  ผมไม่อยากคิดอะไรที่ร้าย ๆ

   แต่ . . .

   สายใยบางอย่าง . . .

   . . . มันถึงกัน . . .

   ก่อนแปดโมงเช้า . .  . ผมไปถึงสวนดอก

   “ญาติคุณรัชนีหรือครับ”  หมอถามเมื่อ  ผมแจ้งชื่อของคนไข้

   “ครับ  ผมเป็นลูกชายครับ

   “คุณอาทรอยู่ในห้องปลอดเชื้อทั้งคืนเลย  เปลี่ยนชุดก่อนนะครับ”

   “ขอบคุณครับ”

   “หมอครับ  ผมขอเข้าด้วยได้มั้ยครับ”  ไอ้โอ๋  มันมองหน้าหมอ

   “ขอโทษนะครับ  เข้าได้ครั้งละไม่เกินสองคนนะครับ”

   “ครับ”

   ผมไปเปลี่ยนชุดปลอดเชื้อ  ก่อนที่จะเข้าไปในห้อง   แต่ละก้าวที่เข้าไป  มันเหมือนเข็มที่คอยทิ่มแทง  ทุกอย่างมีแต่ความเจ็บปวด  ผมกลัวเหลือเกิน  คนที่นอนนิ่งอยู่  ไม่ได้สติ  ส่วนคนที่นั่งกุมมือคนบนเตียงนั่น . . .

   “พ่อ”  ผมโผเข้าหาพ่อ

   “มาถึงเร็ว”  เสียงพ่อแหบ  พ่ออ่อนเพลีย  เพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืน

   “ขับรถมาครับ”

   “อันตราย . . .”   พ่อโอบผมเอาไว้

   “. . .เหมือนพ่อ”  น้ำตาพ่อไหล  ผมกอดพ่อเอาไว้แน่น  มองร่างที่นอนสงบนิ่ง  ไม่รับรู้เรื่องราวใด ๆ  ที่เกิดขึ้น

   “โก  แดน ไอ้โอ๋ ช่วยกันขับ  มันไม่ยอมให้ผมขับ”

   “ดีแล้วลูก”

   “หัวพ่อ”  ผมมองที่หัว

   “หมอเย็บแล้วล่ะลูก    เมื่อคืนพ่อมีธุระด่วนที่เชียงใหม่  ทางมันชันลูกก็รู้  รถอีกเลนแซงมา  พ่อหักหลบ  แม่เลยรับเคราะห์แทน”  พ่อน้ำตาไหล

   “พ่อ  ไม่เป็นไรนะพ่อ  ไม่เป็นไรแล้ว  เดี๋ยวแม่ก็หายนะ . . .”  คอผมแหบแห้ง  แทบจะไม่มีเสียง  ผมรู้ดี  สิ่งที่พูด  กับสิ่งที่ผมเห็น  มันห่างไกลความเป็นจริง

   “. . . พอแม่หาย  เราจะกลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิมนะพ่อ  แม่ต้องหายนะพ่อ  หมอเก่งผมรู้”  ผมเหรอ  น้ำหูน้ำตาไหลพราก  พยายามยิ้ม

   “แม่  . . .”   ผมทรุดตัวลงกับเตียง  เอามือกุมมือแม่เอาไว้

   “. . . อาร์มอยู่นี่นะแม่ อาร์มอยู่นี่  แม่ตื่นสิแม่  ตื่นมาคุยกับอาร์ม”  ผมจับมือแม่มาวางเอาไว้บนหัว  สองมือจับมือแม่เอาไว้  อยากให้แม่รู้  ว่าผมอยู่ใกล้ ๆ  ไม่ได้ไปไหนเลย

   เสียงเครื่องมือแพทย์ร้อง  ผมหันไปมอง แม่กระตุก  เหมือนคนที่หายใจไม่ออก

   “แม่ . . .  แม่เป็นอะไร  แม่  หมอ  หมอ  ช่วยแม่ด้วย”  ผมร้องเรียกหมอเหมือนคนบ้าคลั่ง  อาการแม่น่ากลัว

   หมอเข้ามา  ก่อนที่ผมจะต้องออกไปรอด้านนอก . . .

   เวลาแห่งการรอคอยมันทรมาน  แล้วยิ่งเป็นเวลาระหว่างความเป็นกับความตาย  มันยิ่งน่ากลัว  ผมนั่งกับพื้นเหมือนคนไร้ชีวิต    ที่ม้านั่ง  โกมันนั่งจับมือพ่อเอาไว้  ส่วนซ้ายขวาของผม  ไอ้เพื่อนรักกับแดน

   ไม่มีใครทิ้งผม . . .

   ผมนั่งนิ่ง ๆ  ไอ้เพื่อนรักมันเอามือมาโอบไหล่ผมเอาไว้ . . .

   แค่นี้ . . .

   . . . หัวใจผมอบอุ่น . . . 

   หมอออกมาอีกเกือบครึ่งชั่วโมง  ทุกคนหันไปที่หมอเป็นสายตาเดียวกัน  หมอมองหน้าพ่อ . . .  ผมจำได้ดีไม่เคยลืมสีหน้าหมอ

   หมอส่ายหน้าช้า ๆ

   “หมอเสียใจด้วยนะครับ”   . . .  ก่อนถอยหลังจากไป

   เสียงหมอ  มัจุราชที่มาพรากเอาหัวใจผมไป  ผมไม่รู้ว่าในตอนนั้น  ผมอยากมีชีวิตอยู่หรือไม่

   “แม่ . . .ไม่จริง  แม่ต้องไม่ตาย”  ผมตะโกนลั่น  ก่อนวิ่งเข้าไปในห้อง   ไอซียู

   ร่างแม่นอนสงบนิ่ง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเครื่องมือแพทย์โดนถอดออกจากร่างกายของแม่ ใบหน้าแม่ยิ้มอิ่มเอิบ  ผมเข้าไปกอดร่างนั้นร้องไห้อย่างไม่อาย  ร่างแม่ยังอุ่น

   “แม่ . . . แม่ทิ้งอาร์มไปแล้ว”  ผมเขย่าร่างนั้น

   “ . .   แม่ทิ้งอาร์มไป  แม่  ตื่นสิแม่  แม่ตื่น”  ผมกอดร่างนั้นเอาไว้  เขย่าเอาไว้ตลอด

   ไม่มีใครรู้หรอกว่าตอนนั้นผมรู้สึกอย่างไร  มันเหมือนคนที่โดนกระชากลงสู่ที่ตำอย่างรวดเร็ว มันปวดร้าวเหลือเกิน  ทุกสิ่งทุกอย่างมันยากเกินที่ผมจะทำใจรับสภาพได้  ผมทุรนทุรายราวกับใครมาควักเอาหัวใจผมออกไป

   แม่ไปแล้ว . . .

   เหลือแค่ความรักที่ผมเคยได้รับ . . . ผมไม่เคยลืม

   ผมอยากให้สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้มันคือความฝัน  ถึงมันจะเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิต  แต่ผมก็ยังรู้ว่า  หากผมตื่นขึ้นมา  แม่จะยังอยู่ไม่ไปไหน  แม่ยังอยู่กับผม  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันคือความจริง

   ผมต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ . . .

   การจากลา . . .

   . . . มันอยู่รอบ ๆ  ตัวเรา

   จากตาย . . . มันทรมาน 

   แต่เรายังทำใจได้ว่า  ไม่มีแล้ว  ไม่มีอีกแล้ว  คนที่เรารักเขาไปสู่สัมปรายภพที่ดีแล้ว

   หาก . . . จากเป็นล่ะ

   ผมไม่รู้ในเวลานั้น . . . จวบกระทั่งต้องได้เจอกับมัน

   “ไอ้อาร์ม . . . ปล่อยแม่เหอะมึง  ปล่อยนะอาร์ม . . .”   ไอ้เพื่อนรัก  มันเอามือมาโอบผมเอาไว้ 

   “. . . แม่ไปดีแล้วอาร์ม  อย่าดึงไว้  อย่าทำให้แม่ห่วงอาร์ม”  มันกอดผมเอาไว้

   “มึงมองแม่สิอาร์ม  มองหน้าแม่  เห็นมั้ย  แม่ยิ้ม  แม่ไม่เจ็บนะอาร์ม  แม่เพียงแต่ไปรอเราที่บ้านใหม่  แม่แค่ล่วงหน้าไปรอเรา  ไปเก็บกวาดบ้านไงอาร์ม  แม่ไปกวาดบ้านรอพวกเรา”  มันดึงผมมาซบกับไหล่ของมัน

   “กูอยากไปหาแม่  อยากอยู่กับแม่”

   “พี่อาร์ม . . .”  โกมันเดินมาโอบผมเอาไว้อีกคน

   “โอ๋ . . . พ่อฝากทางนี้นะลูก  เดี๋ยวพ่อต้องไปติดต่อกับโรงพยาบาล  เอาแม่กลับบ้าน

   “ครับพ่อ  ไม่ต้องห่วง”  มันหันไปบอกพ่อ

   “แดน . . . ตามพ่อไปด้วย  เพื่อนแกอยู่นี่  อาจเร็วขึ้น”  โอ๋มันหันไปสั่งแดน 

   ในเวลานั้น  ดูเหมือนไอ้เพื่อนรักมันจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงกับงานทั้งหมด  เพราะหลังจากที่พ่อ  ติดต่อเอาแม่ออกจากโรงพยาบาล    มันกับโกก็วิ่งวุ่นกับติดต่อวัด  ติดต่อร้านโลง  ร้านดอกไม้  ไอ้เพื่อนรักผมมันเป็นตัวสั่งงานทุก ๆ  อย่าง  ในขณะที่ผมไม่ไม่เรี่ยวแรงเหลืออีกแล้ว

   ผมได้แต่นั่งนิ่ง ๆ  หน้าร่างที่คลุมไว้ด้วยผ้าขาว . . .

   จวบจนกระทั่ง  เมื่อผ่านพิธีการรดน้ำในตอนเย็น

   . . . ผมกับโกช่วยกันยกแม่ลงในที่แคบ ๆ . . .   

   ร่างแม่ยังอุ่นอยู่เลย  ใบหน้าแม่ยิ้มอิ่มเอิบ  แม่คงรอผมมาทั้งคืน  ไอ้โอ๋กับไอ้แดนช่วยผมทุกเรื่อง   ในขณะที่  ผมไม่อยู่ในสภาพที่จะทำอะไรได้เลย    ผมได้แต่นั่งนิ่ง ๆ  หน้าโลงศพ   

   การลาจาก . . .

   . . . เจ็บปวดเสมอ

   ป้าภากับอาปู  มาถึงตั้งแต่บ่าย  เพราะโกเมศวร์โทรไปบอก  เรื่องอาหารในการต้อนรับแขกหายห่วงเพราะเป็นหน้าที่ของสองคน   ทุก ๆ  อย่างดูวุ่นวายไปหมด  แต่ผมไม่อยู่ในสภาพที่จะช่วยเหลือใคร ๆ  ได้เลย

   ทุกคนล้วนวุ่นวายกับงาน  กับ แขกหรื่อ

   ส่วนผม . . . ผมไม่ได้ทำอะไรเลย  นอกจากนั่งมองรูปถ่ายแม่ . . .

   “พ่อ  ผมจะบวช”

   “แล้วงานอีกล่ะ”

   “ช่างมัน”

   “อาร์ม  พ่อบวชเองลูก เพราะพ่อ แม่เขาถึง . . .”  พ่อนิ่ง

   “พ่ออย่าโทษตัวเองสิครับ”

   “อาร์มทำงานเหอะลูก  เราเหลือกันแค่สองคนเท่านั้นแล้วนะ  ถ้าอาร์มบวช  พ่อบวช  วันเผาแม่จะยุ่ง  อีกอย่าง  อาร์มก็บวชแล้วเมื่อตอนยี่สิบ”

   “แต่ . . .”

   “อาร์ม  ถ้าอาร์มบวชอีกคน  ใครจะส่งแม่ไปสวรรค์ล่ะลูก”

   ผมกอดพ่อเอาไว้  ไม่อยากปล่อย  ตอนนี้ผมมีแค่พ่อเท่านั้น  ชีวิตผมไม่มีใครอีกแล้ว    ถ้าผมรู้ล่วงหน้า . . .  ผมไม่ยอมให้พ่อบวชแน่ ๆ

   จากวันนั้น . . .

   . . . จวบจนเวลาต่อมา

   พ่อผม . . .

   . . . หลวงพ่อ . . .

   


   งานศพแม่จัดแบบง่าย ๆ  เก็บแม่เอาไว้แค่  ๕  วัน  ผมนะหรือ  เหมือนซากที่เดินได้  ยามผู้คนรอบตัวผมเข้มแข็ง  หากแต่  ยามไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ  ตัว  ผมมีแค่น้ำตา  น้ำตาที่มันอยู่กับผม

   ผมแหงนมองยอดเมรุเมื่อเสียงสัญญาณที่บาดลึกเข้าไปในหัวใจ . . .


   ควันสีดำ ๆ  ที่ล่อยล่องไปสู่เบื้องบน  ผมจ้องมองมันนิ่ง  ราวกับว่าจะเห็นวิญญาณของแม่สักครั้ง  ผมอยากแยกให้ออก  อันไหนกันแน่ควัน  สิ่งใดกันแน่วิญญาณ . . . แม่

   “กูไม่มีใครแล้ว  กูไม่เหลือใครแล้ว”  ผมบอกเบา ๆ  คนที่ข้าง ๆ  ผม  ไอ้เพื่อนรัก  กับโก

   “มึงยังมีกูไง  กูไม่ทิ้งมึงหรอก”

   “กูเหลือใคร  กูไม่เหลือใคร  แม่ไม่อยู่แล้ว พ่อบวช  กูรู้  พ่อไม่สึกแน่ ๆ. . .”   ผมเอามือปาดน้ำตาทิ้ง 

   “. . . แล้วกูล่ะ  ชีวิตกูที่เหลือจากนี้ กูจะอยู่ไปทำไมอีกว่ะ  กูจะอยู่ไปเพื่ออะไรอีก  ในเมื่อทุกอย่างของกูมันไม่มีอะไรแล้ว”

   ไอ้เพื่อนรักมันดึงผมไปกอดเอาไว้   ผมรู้  มันเองก็ไม่ได้เข้มแข็งอะไรมากมาย  มันปาดน้ำตาป้อย ๆ

   “พี่อาร์ม  ผมอยู่กับพี่ไง  ผมก็อยู่”   โกมันเดินมาโอบผมเอาไว้จากด้านหลัง

   “กูไม่รู้นะโว้ย  ทำไมกูต้องเจอเรื่องบ้า ๆ  แบบนี้ด้วย  ทำไมว่ะไอ้โอ๋”

   “อย่าร้องนะมึง  กูอยู่นี่  อยู่กับมึง”  มันตบไหล่ผมเบา ๆ

   “พี่อาร์ม  ผมก็อยู่พี่”  แดนมันจับมือผมเอาไว้

   มันแทนกันได้หรือ ?

    สิ่งที่ผมสูญเสีย  ผมแลกได้หรือกับชีวิตที่เหลือจากนี้  หากมีอะไรที่ผมแลกได้  ผมอยากจะแลก  ผมยอมทุก ๆ  อย่าง

   “ทำไมกูไม่ตาย ๆ  ไปว่ะ”

   “พี่อาร์ม  อย่าพูดแบบนั้นสิ”    โกมันกอดผมจากด้านหลัง  ผมรู้  น้ำตามันเลอะหลังผมหมดแล้ว

   “ไอ้อาร์ม  มึงเข้มแข็งเอาไว้นะ  มึงต่อผ่านไปให้ได้  มึงมีกู  มีไอ้โก  มีแดน  ทุกคนอยู่ข้าง ๆ  มึงนะโว้ย  ไม่มีใครไปไหน  ไม่มีใครทิ้งมึงไปไหน”  มันกอดผมเอาไว้

   ผมรู้ตอนนั้น . . .

   ไม่รู้น้ำหูน้ำตาของใครเป็นของใคร  มันคือช่วงเวลาที่สูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม  แต่ผมรู้  ผมมีคนที่รักผม  คนที่อยู่ใกล้ ๆ  ผมในยามที่ผมอ่อนแออย่างที่สุดในชีวิต

   “อาร์ม”  เสียงหลวงพ่อ

   ผมปล่อยเพื่อนจากอ้อมกอด  นั่งลงยกมือไหว้

   “คนเราทุกคนล้วนสูญเสีย  ความสูญเสียมันอยู่รอบ ๆ  ตัวนะลูก    อาร์มต้องปล่อยวาง  มองสิ่งที่เกิดขึ้น  ล้วนเป็นธรรมชาติ”  เสียงหลวงพ่อเรียบ

   “แต่ . . “  ผมมองหน้า  น้ำตาเอ่อ

   “ทุกอย่างเป็นกรรม  โยมแม่เขาหมดกรรมแล้ว  เราควรยินดี”  โยมพ่อยิ้มละมุน

   “. . . โอ๋  แดน  โก  ดูแลกันดี ๆ  นะลูก”

   “ครับหลวงพ่อ  ผมจะดูแลอาร์ม  อยู่ข้าง ๆ  มันนี่แหละครับ”  ไอ้เพื่อนรักก้มกราบ

   ผมไม่รู้ . . .

   ไม่ได้รับฟังคำสั่งสอนหรอก  ผมจะทำใจได้อย่างไร  สิ่งที่มันเกิดขึ้น  รวดเร็วเหลือเกิน  ขอเวลาผมอีกสักหน่อยได้ใหม 

   ขอเวลาให้ผมตั้งตัวบ้าง . . .
   


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2010 17:38:41 โดย ราชบุตร »

andy_kwan

  • บุคคลทั่วไป
มาจิ้มไว้ก่อนค่ะ

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
ง่า เวลา....พรากสิ่งที่รักเหรอ เศร้าจัง :sad2:
รอตอนต่อไปค่ะ

Entaneer#30

  • บุคคลทั่วไป
เอาอีกๆๆ
เยอะๆเลย
 :oni3: :oni3:
.
.
.
.
เอาตอนปัจจุบันด้วยดิ
แอบอยากรู้อ่ะ
 :m12: :m12:

ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1088
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
อืมมมมม โกน่ารักจัง ไม่แปลกใจเลยที่อาร์มรักโกสุดหัวใจ เปนเราเราก้อห้ามใจไม่ไหวหรอก... :กอด1:
แต่ตอนนี้สงสัย ว่าอะไรนะที่ทำให้เรื่องราวระหว่างอาร์มกะโกกลายมาเปนอย่างทุกวันนี้ได้...เกินจะคาดเดาจริงๆ

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3
ตอนนี้เป็นตอนที่อ่านแล้วยิ้มได้อีกตอน :m1: :m1: :m1:

แต่แอบสงสัยนิดนึง ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพ่อแม่รึเปล่า เห็นทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้ารู้จะไม่ให้กลับ ต้องเศร้าแน่ ๆ เลย  :m15:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






sun

  • บุคคลทั่วไป
ภาพที่เจ็บปวด ทำไมมันกระจ่างชัดก็ไม่รู้    ที่มันชัดเจน เพราะความรักยังอยู่ไงคะ

ในเมื่อ สิ่งที่พี่อยากได้  กลับมาหาพี่แล้ว จะปล่อยมันไปทำไมล่ะ
ไม่ลองเปลี่ยนอนาคตให้ตัวเองดูบ้างล่ะคะ 


"You can't change the past
but you can change the future
into a better past !!!"


"คุณไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนอดีตได้   
แต่สิ่งที่คุณสามารถเปลี่ยนได้คือ...
อนาคต ..เพื่อที่จะเป็นอดีตที่ดีกว่า"


(ข้างบนลอกเขามา อิอิ)



ซักนิดซักหน่อยก้อเอานะ ในห้องน้ำอ่ะ  เอิ้กๆ
จริงๆน้องโกน่าร๊ากกกกกกก...ก นะ ดูแลเอาใจใส่ คนรอบข้าง
ทำไมถึงว่า พี่อารม์ ร๊ากกกกก  ขนาดนี้ อิอิ

พี่เอ๊ย อย่างที่บอกแล่ะ อดีต มันเปลี่ยนไม่ได้ แต่เรา เรียนรู้ กับสิ่งที่ผิดพลาดได้ไม่ใช่เหรอ

พี่จะให้ตัวเองจมอยู่กับอดีตที่ผิดพลาด ไปตลอด

หรือว่าพี่เลือกจะสร้างอนาคตขึ้นมาใหม่

เพื่อจะได้เปลี่ยนแปลงอดีตที่เคยผิดพลาดล่ะ

อันนี้ ขึ้นอยู่กับตัวพี่ล่ะน๊า... :L2: :L2: :L2:

ifwedo

  • บุคคลทั่วไป
ใครได้2คนนี้ไปเป็นแฟนโชคดีมากมาย แต่ไงซะถ้า2คนนี้เป็นแฟนกันก็ต้องดีคูณ2แน่นอน อิๆ

treasure

  • บุคคลทั่วไป
สำหรับผม ผมคงแนะนำคุณไม่ได้ในตอนนี้ เพราะว่า

ผมเองยังไม่ทราบถึงบทสรุปที่ในสิ่งที่คุณตัดสินใจเลือกที่จะหนีเค้าไป

แต่ถ้าเรื่องนี้เกิดกับผม ตอนนี้ผมตอบได้เลย ว่า ผมจะให้โอกาสคนคนนั้น

โอกาสที่เราให้เค้ามาหลายสิบปี แต่เค้าไ่ม่เคยรับมันไว้เลย

นี่อาจจะเป็นบทพิสูจน์โชคชะตาของเค้าแล้วก็ได้ว่าเค้าต้องการเราจริงหรือเปล่า



ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
เฮ้อออออออออ

ว่าจะไม่แล้วนะ

 o7

Bliss_Destiny

  • บุคคลทั่วไป
เง้อ...

พี่อาร์มT^T :m15:

sarin

  • บุคคลทั่วไป
ร่างกายเจ็บป่วย..................ไม่แตกต่างอะไรไปจากหัวใจ . . ....เยียวยาด้วย . . . เวลา
เฮ้อ...ชอบประโยคนี้ฮะ...
 :กอด1:ชอบทุกตัวอักษรที่พี่เรียงร้อยเรื่องราว...ภาษาสละสลวยมากฮะ... :m1:
อ่านแล้วลึกสุดจายฮะ.... o7
ขอพระเจ้าคุ้มครองฮะ..(เกี่ยวป่ะเนี่ย) :bye2:

RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป



ขอบคุณ . . . ทุกคลิ้กที่เข้ามา

ได้แต่หวังว่า . . . ทุกคนคงไม่ปล่อยให้เวลามันสายเกินไป


ออฟไลน์ IZE

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-3
ซาบซึ้งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  สุดๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เฝ้ารอต่อไป....

RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป


ตอนที่  ๑๖




   ธรรมชาติ . . .

   ค่อย ๆ  สอนให้ผมเรียนรู้  ทุกสิ่งทุกอย่างมาล้วนมาจากธรรมชาติแทบทั้งสิ้น  ชีวิตของคนเราก็เหมือนน้ำ  น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสมอ . . .

   จากฟากฟ้า . . .

   . . . สู่พื้นพิภพ


   ไหลผ่านโตรกหิน . . . เป็นธารน้ำ

   . . . ลำคลอง . . .

   แม่น้ำ . . . ทะเล

   และ . . .

   . . . สุดท้ายมหาสมุทร

   ก่อนที่ไอแดดจะแผดเผาจนกลายเป็นไอน้ำ  ลอยกลับสู่ฟากฟ้า ก่อตัวเป็นก้อนเมฆ  แล้วก็กลั่นออกมาเป็นหยาดฝน  ชีวิตคนก็ไม่แตกต่างจากน้ำ . . .

   เกิด . .

   . . . แก่ . . .

   เจ็บ . . .

   . . . ตาย 

   ล้วนเป็นวัฎจักร  เฉกเช่นเดียวกับสายน้ำ

   . . .  วัฏฏะสังขาร

   ธรรมะ . . . ล้วนมาจากธรรมชาติ

   การพลัดพราก . . .

   ล้วนก่อให้เกิดความทุกข์  ทุกข์ที่เกิดขึ้นมันแสนสาหัสสำหรับผม  การจากลาในสิ่งที่ตัวเองรัก  นำความทุกข์มาสู่หัวใจแทบทั้งสิ้น  แต่คนเราต้องก้าวต่อไปข้างหน้า  จะมาจมอยู่กับความทุกข์ได้อย่างไร

   วันนี้ . . .

   โลกสอนให้ผมได้รู้จักการพลัดพรากแห่งการจากลาด้วย . . .

   . . . ความตาย

   หากวันหน้า . . .

   . . . มันคงถึงเวลาแห่งการ . . . จากเป็น

   บทเรียนของชีวิต  ล้วนมาจากการใช้ชีวิต  แล้วการจากลามันก็เจ็บ  แต่อย่างไหนล่ะที่เจ็บปวดมากกว่ากัน

   จากเป็น . . .

   . . .  ฤๅ . . . 

   จากตาย . . .
   




   คนที่อยู่กับผมในเวลานั้น . . . โกเมศวร์

   มันอยู่ใกล้ ๆ  ผมตลอดเวลาที่ว่าง . . . จากที่ผมเคยชวนมันดูหนัง  กลายเป็นมัน  จะออกปากเอ่ยก่อน  จากที่ผมซื้อของกินเข้าบ้าน  มันจะหาแต่ของที่ผมชอบมาไว้  แม้ผมจะอยู่ในช่วงทำใจในการลาจาก  แต่สิ่งที่มันทำ  ผมอบอุ่น


   ก่อนนอนมันจะกอดผมเอาไว้ . . .

   บางครั้ง . . .
   
จมูกที่จดแก้มผม  มันอบอุ่น  ผมนอนหลับเพราะมีมันอยู่ข้าง ๆ  ยามเช้า  ผมตื่นมาเจอหน้ามันคนแรก  ช่วงเวลาที่ผมรู้สึกแย่ที่สุดในชีวิต  ผมมีอีกชีวิตที่คอยดูแลผม

   “เสาร์อาทิตย์นี้ว่างมั้ยพี่”

   “ก็น่าจะว่าง  มีอะไรหรือ”

   “ไปเที่ยวทะเลกันมั้ย”

   ผมมองหน้ามัน  มันเคยเหรอที่จะไปต่างจังหวัดกับผม  นอกจากกลับบ้านพร้อม ๆ  กัน  นี่อาจเป็นครั้งแรกที่มันเอ่ยปากชวน

   “อยากไปหรือ”

   “หรือพี่ไม่ชอบทะเล”

   “ก็ชอบ  แต่จะไปไหนดี”

   “เกาะเสม็ดมั้ยพี่  ใกล้ดี”

   “ไม่อ่ะ    ไม่ชอบ”

   “เกาะช้างเอ้า”

   “ขี้เกียจขับรถ”

   “ผมขับเอง”

   “ไม่อยากเอารถไป”  ผมมองหน้ามัน  รู้ว่ามันอยากให้ผมมีความสุข  มันคงไม่อยากเห็นผมในสภาพเซ็งกะตายแบบนี้

   “วันจันทร์โกไปทำงานกี่โมง”

   “ช่วงนี้ไม่มีงานอ่ะพี่  รอเรียนบ่ายสอง”

   “งั้นไปเสาร์นี้ไปสมุยกัน”

   “ไกล  สองวันเอง  ขับรถก็เหนื่อยตาย”

   “ใครบอกไปรถ”  ผมมองหน้ามัน

   “เครื่องแพง  ไม่ไปหรอก”

   “ไอ้นี่  ลืมไปแล้วหรือ  พี่ทำงานที่ไหน  แล้วตั๋วราคาศูนย์บาทสำหรับพนักงานและคนพิเศษสามคน  ยังไม่เคยใช้เลย    ถ้าแกไม่เชื่อ  งานนี้โกจ่ายเองแล้วกัน  รับรองถูกกว่านั่งรถทัวร์ไปต่อเรือเฟอร์รี่เสียอีก”

   “เออเนาะ  ลืมไป”

   มันยิ้ม  ผมขยี้หัวมันเบา ๆ  ด้วยความเอ็นดู  บูติคแอร์ไลน์ของผม  สวัสดิการสำหรับพนักงาน  พ่อ แม่  และ ใครก็ได้อีก ๑ คน  ผมกรอกชื่อโกมันไปตั้งแต่ที่ผมได้สิทธิ์นั้นเมื่อสองปีก่อน 

   แต่ยังไม่เคยใช้สักที . . .

   . . . หลังจากนี้ . . .

   ชื่อสองคนแรก . . . คงต้องเปลี่ยนไป

   ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง  หากหัวใจผม  ทำไมมันไม่ยอมเปลี่ยนก็ไม่รู้   ถ้าหัวใจผมโลเล  อาจจะดีกว่านี้  อาจจะทำให้ผมไม่เจ็บปวดกับทุก ๆ เรื่องที่มันผ่านเข้ามาในชีวิต  แต่มันไม่ใช่แบบที่ผมคิด  ความเจ็บปวดเลยอยู่กับผมเสมอ

   ไฟลท์แรกของบูติค . . . ในทุก ๆ วัน . . . 

   . . . PG 100   

   ดูโกมันจะตื่นเต้นไม่น้อยกับการมาสมุยครั้งแรกของมัน  แต่สำหรับผม  มีหลายครั้งเหมือนกันที่ต้องมาแทนคนที่สนามบินสมุย  มันตื่นตั้งแต่ตีสี่  มันบอกกลัวตกไฟลท์  แต่ผมนะ  โทรให้เพื่อนออกบอร์ดดิ้งพาสรอไว้แล้ว    ง่ายมากสำหรับคนที่นั่งเคาน์เตอร์แบบผม

   “ไปหาไรกินที่เล้าจ์ก่อน”   ผมบอกมัน  ที่นั่นของกินเยอะมาก  ดีกว่าพี่ใหญ่เสียด้วย  เพราะบูติค  มีเล้าจญ์ส่วนตัวและมีแค่คลาสเดียวชั้นประหยัด

   แค่ผมโผล่เข้าไปในเล้าจญ์เท่านั้น . . .

   “หวัดดีครับพี่อาร์ม”

   ผมหันไปมองหน้าโก  มันส่ายหน้า  ไม่รู้เรื่อง  ผมจ้องลึกไปในตามัน  มันคงไม่รู้เรื่องจริง ๆ   ตกลงไอ้สองตัวที่นั่งรออยู่ที่เล้าจญ์ก่อนแล้ว  ผมจะดีใจหรือเสียใจดีที่เห็นหน้ามันสองคน

   “ไปไหนว่ะ”  ผมถามมันสองคนก่อนหย่อนก้นลงนั่งที่โซฟา

   “สมุย  ว่าจะไปสักสองวัน”

   “สัสสสส  ใครถามมึง”  ผมอยากฆ่ามันนัก  ไอ้เพื่อนรักผม  ตามติดเป็นเงาราหูเชียว  มันยิ้มยียวนกวนส้นเท้าเสียด้วย

   “ไอ้แดนชวน  ทีแรกกะโทรชวนมึงแล้ว แต่กลัวเพื่อนไม่ว่างว่ะ”

   “ไอ้แดน . . .”   ผมมองหน้ามัน

   “น่าพี่  ไปกันหลายคนสนุกออก”

   “เอาให้ดี  ตกลงมึงมาไม่โทรชวนกู  หรืออยากให้กูเซอร์ไพรซ์ที่เสือกรู้ว่ากูไป”   ผมมองหน้าเพื่อนรัก

   “ไอ้ห่าอาร์ม  มึงลืมไปหรือ  ไอ้เหี้ยแดนนี่  หลานใคร”

   เออ  ผมไม่ลืม  ไม่มีวันลืมเด็ดขาด 

   “คราวหน้าเห็นทีขอใช้บริการทีจี  รูทไหนบางกอกลงกูไปไหนไม่ได้เล้ย”

   “ทีจีก็เสร็จกูเด่ะ”  ไอ้เพื่อนเลวล่ะครับ  ตักขนมเข้าปาก  ก่อนมองผมแบบยั่วอารมณ์เสียเหลือเกิน 

   “พี่จองที่พักยัง”

   “ยังเลย”

   “ดีเลย  ไปพักที่รีสอร์ทเพื่อนแม่  ผมจองไว้สองห้อง”  แดนยิ้ม

   ผมมองหน้ามัน . . . 

   ตกลงทริปนี้  มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ  แต่มันเป็นการวางแผนการเอาไว้แล้ว  ผมไม่รู้จะบอกอย่างไรดี  มิตรภาพที่ไม่ร้องขอ  มันยากเกินที่จะบอกออกไปว่าผมรู้สึกดีกับมันแค่ไหน

   เก็บเกี่ยวความสุขเสียให้พอ . . .

   . . . วันหน้าร้าวราน . . .

   เอาสุขนั้นมาปลอบประโลมใจ . . .

   “จะไปทำไมสองคน  หลายคนสนุกดี”   ไอ้เพื่อนรักมันท้วง

   มันไม่รู้จริง ๆ  หรือว่าทำไมต้องสองคน  ถ้ามันรู้  มันจะเสือกตามผมมาอีกมั้ย  แต่มองอีกแง่  ดีเหมือนกัน  ไปหลายคนสนุกดี  อย่างน้อยไอ้โอ๋มันอยู่  มันจะคอยแหย่ให้ผมไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องร้าย ๆ  ที่เพิ่งเจอมากก็ได้

   เพื่อน . . .

   . . . สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของผม

   เวลา . . . ที่เยี่ยมยอดที่สุดในชีวิตผมเช่นเดียวกัน




   เราไปพักกันที่หาดเฉวง  หาดที่สวยที่สุดของเกาะสมุย  ชายหาดกว้าง  และยาวสุดลูกหูลูกตา  โกมันดูจะตื่นตาตื่นใจกับชายหาด  กับน้ำทะเล  ผมได้แต่ยิ้มเงียบ ๆ  ผมมีความสุขตราบใดที่ผมเห็นคนที่ผมรักมีความสุข

   ความสุขของผมอยู่ที่รอยยิ้มของคนที่ผมรัก . . .


   หาก . . . วันข้างหน้า  ผมคิดแบบนี้อีกหรือเปล่า ?

   “ไม่เล่นน้ำทะเลหรือพี่”  ไอ้แดนมันเดินมานั่งที่เตียงผ้าใบใกล้ ๆ  ผม

   “ไม่อยากเล่น”

   “กลัวดำเหรอ”

   “ร้อน”

   “โกกับพี่โอ๋สนิทกันดีนะ  นึกแล้วอิจฉาพี่”  มันนอนลงใกล้ ๆ  ผม  สายตามองไปที่สองคนที่ริมหาด 

   “ทำไมหรือ”   ผมหันหน้าไปมองแดนผ่านแว่นสายตากันแดดสีดำ  ที่ปกปิดสายตาได้เป็นอย่างดี

   “มีแต่คนที่รักล้อมรอบไปหมด”

   “แลกกันมั้ย”

   “แลกอะไร”

   “แลกชีวิตกันไงแดน  แดนลองมาเป็นพี่  แล้วพี่ไปเป็นแดน  ที่อิจฉานะ  มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของพี่แล้วหรือ  พี่เหลืออะไรแดน  พี่ไม่มีอะไรเหลือสักอย่าง  ในขณะที่แดนมีพร้อม  พ่อ  แม่  พี่  น้อง แต่พี่ไม่มีอะไรเลย . . .”   ผมเหมือนพี่อะไรมาจุกที่ลำคอ  มันตีบตันเมื่อนึกถึงชีวิตตัวเอง

   “พี่อาร์ม  ผมขอโทษ  ผมไม่ได้หมายความให้พี่เจ็บ”

   “ช่างเหอะแดน คนเราเกิดมาใครบ้างไม่สูญเสีย  วันนี้พี่เหลืออยู่เท่าที่แดนเห็น  อีกหน่อยภายภาคหน้า  พี่อาจจะไม่เหลือใครอีกเลยก็ได้”    ผมหันกลับไปมองปลายขอบฟ้า

   ขอบฟ้าที่เวิ้งว้าง  มีแค่ทะเลกับท้องฟ้า  เหมือนชีวิตผมกระมัง  มันเวิ้งว้าง  อาจมีดีที่มีเรือคอยแต่งแต้มไม่ให้ท้องทะเลกับท้องฟ้าดูอ้างว้างจนเกินไปนักเพื่อนที่ผมมี  น้อยลงทุกวัน

   ผมเคยถามตัวเอง . . .

   . . . ขอบฟ้ามีจริงหรือ ?

   “มีดิพี่  ผมไง”

   “อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยแดน  สิ่งที่เราเห็น  สิ่งที่เป็นมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อย่าว่าแต่อนาคตอีกปี สองปี  หรือสิบปีข้างหน้าเลย  แค่พรุ่งนี้ . . .”  ผมหันไปมองหน้าแดน 

   “. . . พรุ่งนี้  เรายังไม่รู้เลย  จะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง”

   “แต่ไม่ใช่ผม  ผมไม่เปลี่ยน”

   “พี่ก็ไม่มีวันเปลี่ยน”  ผมถอดแว่นมองหน้ามัน

   แววตามันเศร้า  เมื่อมองหน้าผม     สายตาผม  แทนคำตอบทั้งหมดของหัวใจที่ผมมี  และมันอาจเป็นคำตอบเดียวที่แดนมันเกลียดมากที่สุดก็เป็นได้

   “เห็นมั้ยแดน  ถ้าแดนไม่เปลี่ยน  พี่ไม่เปลี่ยน  เราไม่บรรจบกันได้หรอก  พี่ถึงบอกแดน  แม้แต่วันพรุ่งนี้  เราก็ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  พี่อยากเปลี่ยนนะ  อยากเปลี่ยนใจตัวเอง  แต่ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับเวลา”

   “พี่จะอยู่แบบนี้ไปจนตายหรือ”

   “แบบไหน?”  ผมเลิกคิ้วสูง  มองหน้าแดน

   “พี่กับโก”

   ผมยิ้ม  มองคนที่วิ่งไล่อยู่กับเพื่อนรัก    ภาพที่ผมเห็น  ผมมีความสุขดีนะ  อยากเก็บกอดมันเอาไว้แบบนี้  อยากดึงเอาไว้ให้นานมากที่สุด  แต่ผมไม่อยากฝืนหรอก  เมื่อมันถึงเวลาเวลานึง  มันจะมีคำตอบให้ตัวมัมนเอง 

   “ไม่หรอกแดน  ของทุกอย่างอยู่ที่ระยะเวลาของมัน”

   “ผมไม่เข้าใจ”

   “สักวันนึงแกจะเข้าใจ”

   “วันนี้  บอกผมไม่ได้หรือ”  มันก็เหมือนผม  หากอยากจะรู้  ก็ต้องรู้  มนุษย์เราทุกคน  อยากรู้ในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้มากที่สุด

   ความอยาก . . .

   คือ  กิเลส  ที่เกิดมาพร้อมกับความเป็นมนุษย์มิใช่หรือ

   “บอกได้แค่  เมื่อถึงเวลา  มันอยากเดินทางไหนก็ต้องปล่อยมัน”

   “พี่ไม่เจ็บหรือ”

   “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ  มันยังไม่ถึงเวลาของมัน”

   “พี่อาร์ม”  มันเอื้อมมือมาจับมือผม

   “อือ”

   “ผมอยู่ข้าง ๆ  พี่นะ”

   “ขอบใจ  แต่บางที  คนเราควรเรียนรู้การอยู่คนเดียวบ้าง”

   “ทำไมพี่  ผมไม่ใช่เหรอ”

   “เปล่า  เพียงแต่พี่คิดว่า  คนเราเกิดมาคนเดียว  แม้แต่ฝาแฝดยังมาไม่พร้อมกันเลย  แล้วเมื่อวันที่เดินกลับไปสู่ที่ที่เราจากมา  เราก็ต้องกลับไปคนเดียว  การจะมีใครหรือไม่มีใคร  มันไม่สำคัญหรอก  สำคัญที่ว่า  เราได้ทำอะไรเพื่อคนที่เรารักไว้บ้าง”

   “ปรัชญา”  มันทำหน้าล้อเลียน

   “เอาน่า  ไว้แดนเจอแบบพี่  แดนจะเข้าใจเอง  ความรักมันเลือกไม่ได้แดน”

   “ผมรู้พี่”

   “แดนจำไว้นะ  ความรักที่ไม่ต้องการครอบครอง  คือความรักที่พิสุทธิ์ล้ำที่สุดแล้ว  หากวันใด  เราเดินผ่านเส้นนั้น  เราจะเจอทุกข์”

   “ฟังดูน่ากลัว”

   “แดนเคยแอบรักใครมั้ย”  ผมหันไปมองหน้ามัน

   “เคยสิพี่”

   “การแอบรัก  มีความสุขในระดับนึง  แค่เราได้เห็นหน้าคนที่เรารัก  การที่เรามองเขายิ้ม  หัวเราะ  สนุกสนานกับคนอื่น  มันก็ทำให้เรามีความสุข  . . .”  ผมหยุดมองหน้าแดน

   “. . . พี่พูดถูกไหม” 

   มันพยักหน้าตอบรับแทนคำตอบ

   “. . .  ทั้ง ๆ  ที่เขาไม่ได้หันมาหาเราเลย  แต่เรากลับรู้สึกว่าเราสุขไปกับรอยยิ้มที่เขามี  พี่เคยมีความรู้สึกแบบนั้น   ความสุขที่เรายิ้มตามคนที่เรารัก  บางครั้ง  แค่เห็นเขายิ้มกับคนอื่น  เรายิ้มตาม  อาย  ก้มหน้าหนี  ไม่รู้นะ  สำหรับพี่แล้ว  เวลาที่เจออย่างที่เคยเจอ  มันมีความสุข . . .” 

   ผมยิ้ม  ภาพที่ผมเคยแอบมองโกเมศวร์  มันสนุกสนานไปกับเพื่อน ๆ  มัน  ก่อนมันมาเรียนที่กรุงเทพฯ  เด่นชัดเสมอมา

   “. . .  แล้วพี่ไม่เคยมีอีกเลย   ความรู้สึกแบบนั้น เมื่อพี่ก้าวล้ำเส้นนั้นมา”

   “พี่อาร์ม”  แดนมันจับมือผมเอาไว้

   “ไหวน่า  แค่อยากให้แดนรับรู้  ในฐานะ  น้องที่พี่รักคนนึง”  ผมบอกแดน  ก่อนวางมือบนมือแดน 

   ผมแกะมือแดนออกจากการเกาะกุมอย่างเบามือ  และนิ่มนวลที่สุด

   ผมมองหน้ามัน . . .

   . . . ยิ้มให้มัน  รุ่นน้องที่ผมรัก  และผมเองก็รู้มันรู้สึกอย่างไรกับผม   

   แต่ . . .

   ความรัก  มันห้ามกันไม่ได้  ผมไม่อยากเห็นมันต้องเจ็บ  ต้องทุกข์กับการที่รักใครแล้วไม่สมหวัง  ผมอยากเห็นมันเจอคนที่รักมันจริง ๆ

   “ขอบคุณนะพี่ที่เตือนผม  บางทีการที่ผมแอบรักใครแบบนี้อาจมีความสุขแบบที่พี่ว่า” 

   “ดีแล้วล่ะแดน . . . บางทีการล้ำเส้นแบบพี่  ก็ทุกข์นะ  ทุกข์กับการนับวันรอการลาจาก”

   ผมรู้ดี  เวลาของผมมีเท่าไหร่ . . .

   ผมขอแค่คนที่ผมรัก . . . เรียนจบ 

   แล้วหลังจากนั้น  การจะอยู่หรือไป  จะเดินหน้าหรือหันหลัง อยู่ที่การตัดสินใจของโก  ไม่ใช่ผม  สำหรับผม  เวลามันเหลือน้อยลงทุกที




   คืนนั้นผมจำได้  พระจันทร์สวย  หาดทรายขาวระยิบระยับ  หากแต่น้ำทะเลยามต้องแสงจันทร์  งดงามเหลือเกิน  เหมือนเกล็ดอัญมณีที่วับวาวยามคลื่นน้อย ๆ  ซัดเข้าหาหาดเบา ๆ  ราวท่วงทำนองดนตรีธรรมชาติขับกล่อม  ผมอยากหยุดเวลานั้นเอาไว้  เวลาที่ผมมีความสุขในวงล้อมของความรัก . . .

   เราออกมานั่งกันที่สวนเล็ก ๆ  ริมหาด  ในพื้นที่ของรีสอร์ท    ไอ้แดนมันไปหากีตาร์โปร่งมา  มันชำนาญพอสมควร  หรือจะเรียกว่า  เล่นได้แทบทุกเพลง  มันเล่นอยู่หลายเพลงมาก 

   แต่ . . .

   เพลงที่ผมชอบ และจำมันไม่รู้ลืม

   “เพลงนี้นะครับ  เพลงหากินผมเอง  มอบให้คนที่มีความรักแล้วกันนะครับ  มีคนบอกผม  ความรักทำให้โลกสวยงาม  ทำให้โลกน่าอยู่  แต่ผมว่า  มันน่าอยู่สำหรับคนที่มีความรัก  ใครที่มีความรัก  รักษารักไว้ดี ๆ  นะครับ”   มันวางท่าราวกับอยู่บนเวที

   “ไปอยู่แกรมมี่เลยมึง”  ไอ้โอ๋แซว

   แดนมันยิ้ม  ก่อนวางท่าจับคอร์ทกีตาร์ . . .

   ท่วงทำนองดนตรี  ค่อนข้างไปทางจังหวะเรกเก้  ฟังดูแปลกหู . . . แต่ก็ได้บรรยากาศริมทะเลเป็นที่สุด

   “. . . ตอบใจตัวเองมานาน แอบรอคอยเธอก็รู้ อยากให้เธอลองตรองดู ในความจำเก็บไว้ต่างคนมีทางต้องเดิน  อาจมีเวลาต้องไกล  หนึ่งคนยังคงคอยใจ ยังคงคอยไปอย่างนั้น . . .”    มันส่งสายตาที่ผมเองไม่อยากจะแปลมาให้ผม

   ไอ้เพลงประกอบภาพยนตร์พริกขี้หนูกับหมูแฮมนี่หว่า 

   เพลงนี้เพราะมาก . . .

   จำได้สมัยมัธยม  ไปดูมาหลายรอบ   สมัยนั้น  ป้ามัม  ลาโคนิค  ยังสาวสวย  ร้องเพลงได้กินใจเป็นที่สุด   แต่จังหวะนี้  มันร้องเรกเก้สนุกสนาน  น่าจะเป็นเวอร์ชั่นของ . . . ศุ  บุญเลี้ยง

   ผมยิ้ม  โยกคอเป็นจังหวะไปกับมัน  แดนมันเห็นพวกผมมีความสุข  มันโชว์ฝีมือกีตาร์เสียหมดภูมิของมันทีเดียวเลยล่ะ

   “. . . อยู่ไกลจนเกินครึ่งฟ้า หากยังมีใจคุ้นกัน จะโยงใยความสัมพันธ์จนมาพบกันใกล้ตาต่อเติมแรงใจเมื่อท้อ แบ่งปันในยามทุกข์ตรมไม่หวั่น ต่างคนเติมใจให้กันเติมใจซึ่งกันจนเต็ม. . .”

   เพลงนี้  ทั้งผมทั้งไอ้โอ๋ ร้องคลอตามได้   ผมก็ช่วยมันร้อง  ผมยังจำได้  มันสนุกสนาน  มีความสุขกับบทเพลงที่เราชอบ    ผมชอบมาก  เวลาที่เราไปเที่ยว  แล้วมีเวลาล้อมวงร้องเพลง  มันเหมือนการปลดปล่อย

   ปล่อยพันธนาการทั้งหมดที่ผมมี . . .

      “. . .ตอบใจตัวเองมานาน แอบรอคอยเธอก็รู้ อยากให้เธอลองตรองดูในความทรงจำเก็บไว้ต่างคนมีทางต้องเดิน อาจมีเวลาต้องไกลหนึ่งคนยังคงคอยใจ ยังคงคอยไปอย่างนั้น . . .” 

   “เอ้า  ช่วงสุดท้าย  ขอพี่อาร์มร้องเดี่ยวนะครับ”   ช่วงสุดท้ายของเพลง  มันปล่อยให้ผมร้องคนเดียว

   “. . . อยู่ไกลจนเกินครึ่งฟ้า หากยังมีใจคุ้นกัน จะโยงใยความสัมพันธ์จนมาพบกันใกล้ตาต่อเติมแรงใจเมื่อท้อ แบ่งปันในยามทุกข์ตรมไม่หวั่นต่างคนเติมใจให้กันเติมใจซึ่งกันจนเต็ม   ต่างคนเติมใจให้กันเติมใจซึ่งกันจนเต็ม”

   ใครจะรู้ . . .

   . . . อีกไม่กี่ปีต่อมา

   ผมอยู่ห่างจากคนที่ผมรักเกือบครึ่งฟ้า . . .

   . . .ครึ่งฟ้าที่ . . .

    เหงา . . .

   . . .เงียบ . . . เฉียบ เย็น ในหัวใจ 

   . . . ครึ่งฟ้าที่ผมเลือกจากมาเอง . . .

   บทเพลง . . . ที่แดนมันชอบส่งมาให้ผมเสมอ

   มันสื่อความรู้สึกด้วยบทเพลง  ทำไมผมจะไม่รู้  และเพลงนี้  มันจะร้องให้ผมฟังเสมอ  ยามที่ผมออนเอ็มมาหามันจากแดนไกล . . .

   เวลานี้ . .

   ณ ช่วงปัจจุบัน  ตอนที่ผมนั่งพิมพ์อยู่นี้  ผมคิดถึงมันจับหัวใจ  ไอ้คนที่มันคอยแอบรักผม  และอยู่ข้าง ๆ  ผมเสมอมา

   มันทำให้ผมยิ้มได้ . . . ในห้วงเวลาที่อ่อนล้าจากการทำงาน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2010 13:10:37 โดย ราชบุตร »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






andy_kwan

  • บุคคลทั่วไป
ถ้าต้องจากลากับคนอันเป็นที่รักอย่างไม่ได้ตั้งตัวแบบนี้
ก็คงจะทำใจยากนะ แต่เราทุกคนก็ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้
ต้องทำใจให้ได้ค่ะ

ifwedo

  • บุคคลทั่วไป
ขอแสดงความเสียใจย้อนหลังด้วยครับ

ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1088
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
เอ่อ...ไม่คิดว่าเรื่องราวจะเปนมาแบบนี้จริงๆ พูดไม่ออกเลยแฮะ..
แต่ก่อนอื่นคงต้องบอกว่า ขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ
ยังจุกอยู่เลย หัวเบลอไปหมด เม้นไม่ออกเลย เม้นแค่นี้ก่อนนะคะ
เปนกำลังใจให้เสมอค่ะ เข้มแข็งไว้นะคะ :L2:

Entaneer#30

  • บุคคลทั่วไป
no comment
 :m15: :m15:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
อ่านเรื่องนี้แล้วประทับใจมาก ทั้งเศร้าทั้งสงสาร ได้อะไรหลายๆอย่างมากๆชอบคับ

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
อืม  ภาษาสวยจริงๆ  o13

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
 :m15:ซึ้งมากมาย :m15:


 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป

ตอนที่  ๑๗



   ในห้วงเวลาที่แย่  มันไม่ได้แย่จนผมไม่สามารถยืนได้  อย่างน้อยที่สุด  ผมค่อย ๆ  ปรับตัวกับการที่จะยืนหยัดบนโลกนี้  ยังมีอะไรมากมายบนโลกใบนี้ ที่เราต้องเรียนรู้  การอยู่ของเรา ย่อมหมายถึงการอยู่ของอีกหลาย ๆ  คน

   เบอร์แปลก ๆ  ไม่คุ้นตาโทรเข้ามา . . .


   “สวัสดีครับ”

   “น้องอาร์ม”  เสียงนั้น  ผมคุ้นเคย  นานแล้วที่ผมไม่ได้คุยกัน  นานมากทีเดียว  แต่ผมจำได้ไม่เคยลืม

   “ครับผม  ป้าภา  สบายดีมั้ยครับ  ตั้งแต่งานแม่ยังไม่ได้เจอป้าภาเลย  ไม่ค่อยได้โทรหาด้วยครับ  พอดียุ่ง ๆ  มากเลยครับช่วงนี้”

   “ป้าก็เรื่อย ๆ  น้องอาร์ม”  เสียงป้าภา  คล้ายมีอะไรในใจ

   “ครับผม  ฟังอยู่”

   “น้องอาร์มพอมีเงินบ้างมั้ย”

   “ก็มีครับ  ป้าจำเป็นใช้เงินหรือครับ”

   “ไม่อยากกวนน้องอาร์ม   แต่มันหมุนไม่ทันจริง ๆ”

   “ครับผม  พอมีครับ  ถ้าไม่มาก  ก็พอได้ครับ”

   “สักสองหมื่นได้ไหมน้องอาร์ม”

   “ได้ครับ  มีเลขที่บัญชีมั้ยครับ”   ผมบอกไป  ทั้ง ๆ  ที่ผมเองก็ใช่ว่าจะมีเงินมากมาย  แต่ไม่รู้เหมือนกัน  เรื่องยืมเงิน  ใครเดือดร้อนมา  ผมมักจะปฏิเสธไม่เป็น  และมันดูเหมือนว่าที่เสียไปเพราะเรื่องแบบนี้มากต่อมาก

   ไม่รู้สิ . . .

   . . . ผมคิดว่า  ถ้าเขาไม่เดือดร้อน  เขาไม่บากหน้ายืมหรอก . . .

   ส่วน . . .

   ถ้าไม่มีการคืน . . .

   ก็ชาติก่อนยืมเขามา  ชาตินี้เลยต้องใช้คืน  ผมคิดแบบนี้นะ คิดแบบที่ทำให้ตัวเองรู้สึกสบายใจมากที่สุด  เพราะอย่างไรเสีย  เราไม่สามารถที่จะบังคับให้เขาคืนได้  หากเขาไม่มี

   เชื่อมั้ย!

   หลังจากวางสาย  ผมฝากเคาน์เตอร์กับเพื่อน ก่อนเดินไปที่ตู้ ATM  ในทันที  ผมบ้าดีเดือดนะ  ไม่รู้เหมือนกันคิดอะไรในตอนนั้น  ผมรู้แค่  ผมไม่มีใครแล้วนี่หว่า  แล้วคนที่เอ่ยปาก . . . แม่

   แม่ของคนที่ผมรัก . . .

   บางทีผมเองก็พยายามหาเหตุผลที่ดูดี  ทั้ง ๆ  ที่ความเป็นจริงแล้ว  มันไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้  ตั้งแต่มีโกเมศวร์เข้ามาในชีวิต  ผมเหมือนคนที่ทำอะไรเพื่อคนอื่นตลอด  แทบมีไม่กี่เรื่องที่ผมทำเพื่อตัวเอง

   บางคน . . .

   . . . เลือกทำอะไรเพื่อตัวเองก่อน . . .

   ผมหรือ . . . ทำเพื่อตัวเองเหมือนกัน  แต่  ให้เพื่อหวังหรือเปล่า  เพราะทุกคนที่ล้อมรอบตัวผมเกี่ยวเนื่องต่อกันแทบทั้งนั้น

   สิ่งที่ผมทำ  อยู่ในสายตาคนบางคนตลอดเวลา



   หน้าร้อนปีนั้น  ผมไปปายอีกครั้ง  หลังจากที่ไม่ได้ไปมาหลายปี  ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด  จากแค่ที่พักระหว่างทางมีรีสอร์ทแค่ไม่กี่หลัง  กลับกลายเป็นว่า  มีเรือนพักมากมายที่สร้างขนานไปกับสายน้ำสายเล็ก ๆ  แห่งนั้น  ทุกอย่างกลายเป็นสิ่งแปลกตาไปหมด  ความเจริญแผ่เข้ามาอย่างรวดเร็ว

   กระแสการท่องเที่ยว . . .


   เราหยุดมันไม่ได้  ตราบใดที่เรายังต้องการสกุลเงินตราจากต่างประเทศ  ในเมื่อเรามีทรัพยากรท่องเที่ยวมากมาย   แต่เรากลับใช้ทรัพยากรนั้นอย่างฟุ่มเฟือย  โดยไม่รู้ค่าของมัน  เรายังคิดว่า  ความเจริญจะดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศให้มากขึ้น 

   น่าขัน . . .

   บ้านเมืองตะวันตกเจริญกว่าเรามากมาย  เขาจะมาดูอะไร?

   คำถามที่ ททท.  เองก็สามารถตอบได้  นักท่องเที่ยวอยากนอนกระท่อม  ฟังเสียงหรีดหริ่งเรไร  หาใช่อยากนอนที่หรูหรา . . .

   คนในพื้นที่ขายที่ดินให้พวกนายทุนจากเมืองหลวงมากขึ้น  วัฒนธรรมดั้งเดิมเริ่มเลือนหายไปในคนรุ่นที่สอง  ตอนนี้ปายเองก็ไม่แตกต่างไปจากเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ  เพราะในแต่ละวัน  มีแต่คนคุยกันถึงเงินที่จะเข้ามา

   ไม่มีใครมองถึง . . .

   . . . การเกื้อกูลกันแบบครั้งก่อน

   เมื่อเงินตราไหลบ่า . . .

   . . . น้ำใจก็ถอยถด . . .

   รีสอร์ทของอาเปลี่ยนไปมาก  มีการขยายไปใหญ่โต จนจำเค้าเดิมแทบไม่ได้  ตอนนี้อามีลูกเล็ก ๆ  ที่กำลังน่ารักเพิ่มอีกสอง  ส่วนไอ้คนโต  เข้าประถมแล้ว  ผมมองหลาน ๆ  ด้วยความรู้สึกแปลกหน้า . . .

   เพราะความห่างหาย . . .

   หาก . . .

   สิ่งเดียวที่รู้ และยึดเหนี่ยวกันเอาไว้ สายเลือดเดียวกัน  นี่คือสายเลือดที่ผมมีอยู่กระมัง  แต่ก็นับว่าห่างออกไป  เพราะภาระหน้าที่ของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป 

   “หลวงพ่อสบายดีมั้ย”      อาดูสูงวัยมากขึ้น  แกค่อย ๆ  ตักข้าวป้อนไอ้ตัวเล็กที่กำลังวุ่นได้ใจ

   “ก็ดีครับ  เพิ่งแวะไปหาก่อนมานี่”

   “สงสัยไม่สึก”

   “ไม่ต้องสงสัยเลย  แน่นอนที่สุด”  ผมมองหน้าไอ้ตัวเล็ก  ก่อนยื่นนิ้วมือไปสัมผัสมือเล็ก ๆ  ที่ยื่นมา

   มือนั้นเล็ก . . .

   หากแต่อบอุ่น  ยามมือเล็ก ๆ  กำนิ้วมือผมเอาไว้  ผมบอกไม่ถูก  ว่ามีความสุขขนาดไหน  ผมยิ้มกับน้องตัวน้อย  เด็กน้อยยิ้มกว้าง  ยังไม่มีฟันเสียด้วยซ้ำ  เด็กดูสดใจ

   “ชอบเด็กก็รีบแต่งเมียเข้าจะได้มีลูกเสียสักที   จะได้รู้เองว่าเวลามีลูกมันสุขขนาดไหน”  อายิ้ม

   “ตัวเองยังเอาไม่ค่อยรอด”

   “พูดเข้า  สมบัติพ่อทิ้งไว้  ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด  ทำไมไม่ลาออกแล้วมาดูแลกิจการเองล่ะ  ปล่อยให้คนอื่นทำ  ไว้ใจได้เหรอ”

   “ก็เอาเท่าที่เหลือไงครับ  ทำเองเป็นเสียที่ไหน  ตั้งแต่เกิดมา  ไม่เคยไปยุ่งเลย  อีกอย่าง  จ้างบัญชีมาคุม  ไอ้คนคุมก็เพื่อนกัน  มันจะโกงเพื่อนก็ตามใจละครับ”

   “ว่าได้หรือ  ของแบบนี้  ยามขาดมือ  เงินน่ะ  ไม่เข้าใครออกใครหรอกนะอาร์ม”  อาสอน  ผมรู้  อาห่วงผม

   “ครับ”

   “แล้วโกเป็นไงบ้าง  ไปอยู่ด้วยกันมิใช่หรือ”

   “ครับ  จบ ปวส.  แล้วล่ะครับ”

   “ดีแล้วล่ะ  ถ้าขืนอยู่ที่นี่  ป่านนี้ไม่รู้เสียผู้เสียคนขนาดไหน  เอาน้องไปเรียนก็ดี  ได้บุญดี  แล้วจะเรียนจนจบตรีมั้ยนั่น”

   “เห็นว่าสมัครสอบราชมงคลกับพระจอมเกล้าฯ น่ะครับ”

   “เรียนดีมั้ยล่ะ”

   “หัวดีกว่าผมอีก”

   “เหรอ  เสียดาย  พ่อไปทาง  แม่ไปทาง  น่าสงสาร”  อาถอนหายใจ  เหมือนมีอะไรในใจ  ผมได้แต่นิ่งเงียบ  ไม่รู้เรื่องที่อากำลังคิด

   “ธรรมดาครับ  เด็กที่โตมาจากความแตกแยก  หากรู้จักเอาตัวรอดก็ได้ดิบได้ดี  แต่หากทำตัวมีปัญหาตามก็แย่”

   “โกมันโชคดี  อาร์มของอาปั้นเอาไว้สวย”

   “ผมไม่ได้ทำอะไรนี่ครับ  ถ้าเขาถามผมก็ตอบเท่าที่ผมจะให้คำแนะนำได้  ไม่รู้สิครับ  ผมว่า  ถ้าไม่เรียนจะยิ่งลำบาก  โลกสมัยนี้หมุนไปเร็ว  ขนาดคนที่เรียนยังตามไม่ค่อยทันเลย”

   “ดูแลน้องดี ๆ  ล่ะ  ความหวังของคนทั้งบ้านเลยนะนั่น  รู้จักไม่ใช่หรือ  ตาเจนน่ะ” 

   “พ่อป้าภา”

   “นั่นแหละ  ตาแกมีลูกแปดคน  ลูกไม่มีใครเรียนสักคน  มารุ่นหลานไม่มีใครเรียนอีก  ถ้าโกเรียนจบนี่ถือเป็นคนแรกของตระกูลเลยนะที่จบปริญญาตรี  ความหวังของทุกคนในบ้านเลยนะอาร์ม  ยังไงก็เข็น ๆ  น้องมันหน่อย”

   “ผมจะทำเท่าที่ทำได้แหละครับ  เดี๋ยวนี้ทุนเมืองเริ่มกลืนทุนดั้งเดิม สัญญาณหายนะแห่งเมืองท่องเที่ยวล่ะครับ”

   ผมจบการท่องเที่ยวมานี่ครับ . . .

   แล้วก็ยังอยู่ในแวดวงที่ต้องสัมผัสกับนักท่องเที่ยวอีก  เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วกับแหล่งท่องเที่ยวดัง ๆ  ของประเทศ  คนไทยไม่เคยศึกษาความล่มสลายของวัฒนธรรมดั้งเดิม

   “นั่นนะสิ  ดูแต่คนแถวนี้สิ  ขายที่ให้นายทุน  เมืองเจริญขึ้นทุกวัน  ค่าครองชีพของเมืองท่องเที่ยวถีบตัวสูงอย่างรวดเร็ว  แต่คนมีรายได้เท่าเดิม”

   อาเหมือนจะปลง . . .

   ภาครัฐเคยยื่นมาเข้ามาถึงหรือ  นอกจากจะโฆษณาตีปี้บปีนี้นักท่องเที่ยวมากกว่าสิบล้าน . . . คุ้มมั้ยกับนักท่อเที่ยวเงินน้อยที่ผลาญทรัพยากรการท่องเที่ยวแบบนี้

   “ธรรมดาครับอา เมืองไทยตอนนี้กลายเป็นสังคมบูชาเงินเต็มรูปแบบ”

   “นั่นนะสิ  ห่วงแต่พวกตัวเล็กมัน”  แววตาจริงจัง

   “ทำไมเหรอครับ”

   “อาร์มไม่เห็นหรือ  ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ  ปี  แล้วช่วงฤดูเที่ยวก็ไม่เกินสี่เดือน  เป็นช่วงเก็บ  แต่ก็นั่นแหละอาร์ม ทุนจากเมืองมันหนา  สายป่านเขายาว  ไอ้เราไม่ปรับตัว  ไม่หาทุนมาเพิ่มก็มีแต่ตายกับตาย”

   “อาหมายถึงกู้แบงค์มาเหรอครับ”

   อาปูมองหน้าผม  พยักหน้าแทนคำตอบ . . .

   “ดูทำหน้าเข้า  ธุรกิจนะอาร์ม  ไม่มีใครเอาเงินสดไปลงทุนหรอก  เขากู้เอาทั้งนั้นแหละ  ในแวดวงธุรกิจ  ไม่มีหนี้ไม่มีเครดิตรู้ไหม”

   “แต่มันก็คือหนี้”

   “เอ้า  มีหนี้มากเครดิตมากนะอาร์ม  หากเราไม่ขาดส่ง  ปีหน้ากู้เพิ่มได้อีก  คนที่อยู่บนหลังเสือนะอาร์ม  จะลงจากหลังเสือมันลำบาก  ลงแบบไหน  ลงอย่างไร  ไม่ให้ตัวเองเจ็บ หรือตายจากเสือที่คอยตะปบ”

   “ครับ  ผมจะจดจำเอาไว้  เวลาต้องลงจากหลังเสือ”  ผมยิ้มให้อา



   เช้าวันต่อมา  ผมไปที่บ้านป้าภา  ในขณะที่รีสอร์ทคนอื่นปรัปรุงเพื่อให้ทันต่อโลก  แต่ของป้ากลับดูทรุดโทรม  ทั้ง ๆ  ที่มันน่าจะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่านี้  ในช่วงที่รีสอร์ทต่างแข่งขันเพื่อการอยู่รอด

   “น้องอาร์ม  กินอะไรมาหรือยัง”

   “ยังครับ  ทำอะไรครับหอมเชียว”  ผมชะโงกหน้าไปดูในกระทะ 

   “ฉู่ฉี่กุ้งแม่น้ำ” 

   กุ้งแม่น้ำตัวโต ๆ  สีแดงออกส้ม  นอนสะดุ้งไฟในกะทะที่อุดมไปด้วยน้ำพริกแกงหอมกรุ่น  ป้าภาเบาไฟ  ก่อนใส่ใบมะกรูดหั่นฝอยกับพริกชี้ฟ้าแดง  ก่อนตักใส่จานราดด้วยนมสด  แล้วไปวางรวมกับอย่างอื่นบนโต๊ะ

   “ทำเสียเยอะหลายอย่างเชียวนะครับ    โกไปไหน  ยังไม่ตื่นเหรอ”

   “ไปวัด  ไปรับอาจารย์”

   “อาจารย์”  ผมทวนคำ  ไม่เข้าใจ  อาจารย์ที่ไหน

   “โน่นมาพอดี  นั่นแหละอาจารย์”

   ผมหันไปตามเสียงจอดมอเตอร์ไซด์  คนที่ซ้อนมันมา เป็นนักบวช  ผมไหว้เมื่อท่านเดินเข้ามาถึงที่รับรองแขกด้านหน้า

   “นิมนต์ก่อนค่ะท่าน”

   “คนนี่หรือโก  ที่โกไปอยู่ด้วย”  ท่านมองมาทางผม  หากหันไปถามโกเมศวร์  ผมนั่งกับพื้น  ยังไม่รู้จักนี่หว่า  ไม่คุ้นหน้า  ไม่ใช่พระที่จำวัดที่นี่แน่ ๆ  เพราะพระที่วัดผมรู้จักทุกรูป  ถึงจะแค่รู้จักหน้าก็เถอะ

   “โก  เอาอาหารไปถวาย”   ป้าภาร้องบอกลูกชายคนเดียว

   ผมมองสิ่งที่ป้าภาทำ  อาจจะนิมนต์ท่านมาฉันเช้า  แต่ด้วยอะไรก็ตามแต่  สิ่งที่ผมสังเกตเห็น . . . สายตา

   คำพูดหากเราไม่พูด . . . 

   . . . ไม่มีใครรู้ . . .

   แต่ . . .

   สายตา  มันสามารถปกปิดสิ่งที่มันซ่อนเร้นอยู่ในสายตาได้หรือ  ผมได้แต่สังเกตมอง  หากแต่สมองคิด  ความคิดในแง่ลบ สำหรับผม  มันน่าจะเรียกว่า . . . อกุศล

   ผมไปที่นั่นสามเช้า . . .

   . . . ภาพที่ผมเห็นเฉกเช่นดิม

   วันที่ผมกลับ . . .

   โกมันกลับมาพร้อมผม   โดยมีอาจารย์กลับมาด้วย  เมื่อมาถึงท่ารถตู้  ที่เดี๋ยวนี้เปิดให้บริการแทบทุกชั่วโมง  อาจารย์ใช้มือหยิบเงินในย่ามส่งให้โกเมศวร์

   ผมขมวดคิ้ว . . .

   . . . หลวงพ่อ . . . ก็เป็นพระ

   หากท่าน . . . มิเคยใช้มือจับปัจจัยเลย

   ทุกอย่างผ่านซองขาว ๆ  ทั้งนั้น  ยามใครเดือดร้อน  ท่านจะเอาซองมาให้  แล้วให้เขาหยิบเอาเอง  ท่านบอก   

   “. . .พระไม่ควรจับต้องสิ่งที่เป็นกิเลส   แล้วปัจจัยนะญาติโยมบริจาคมา  ถึงเวลาญาติโยมเดือดร้อนก็ช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ . . .”

   “เอาไป”

   ผมยื่นเงินให้  มันทำหน้าเหรอหรา  มองเงินในมือ  มองหน้าผม  แบบที่ผมเองก็ไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้มาก่อน

   “อะไรพี่”

   “ค่ารถ”

   “อ๋อ  อาจารย์ออกให้แล้ว”  มันยิ้ม

   แต่ . . .

   ผมจับใบแดง ๆ  สองใบยัดในกระเป๋ากางเกง  ก่อนขึ้นไปนั่งบนรถ    ผมนิ่งเงียบมาตลอดทาง  หลายสิ่งหลายอย่างทำให้ผมเริ่มคิด  สายตานักบวชที่มองผม  ไม่เห็นเหมือนพระที่วัดมองผมเลย

   หรือ . . .

   . . . .ท่านเห็นอะไรในตัวผม

   หากท่านเห็นอะไรในตัวผม . . .

   มีหรือที่ผมจะไม่เห็นอะไรในแววตาของท่าน อย่างที่ผมบอก  สายตามันไม่สามารถที่จะปกปิดความรู้สึกที่อยู่ในหัวใจได้  ผมมีหัวใจ มำไมผมจะมองแบบที่ผมมอง  และคิกแบบที่ผมคิดไม่ได้ล่ะ

   เมื่อมาถึงเชียงใหม่ . . . 

   . . . อีกครั้งที่ผมเห็น  นักบวชท่านนั้นใช้มือหยิบธนบัตรราคาสูงสุดอีกครั้ง  ส่งให้โกเมศวร์  สิ่งเดียวที่ผมทำได้  ละสายตาจากภาพนั้นเสีย

   ผมมองด้วยความอิจฉาหรือ . . .

   . . . ไม่ใช่แน่ ๆ . . . 

   แต่ผมกลัวมากกว่า . . .

   . . . นักบวชท่านนั้นมาลงที่อยุธยา . . . 

   โกเมศวร์มันบอกให้ผมไปนั่งกับมันแทนที่นักบวช  แต่ผมมีความรู้สึกว่าอีกแค่ไม่นานก็ถึงรังสิตแล้ว  ผมไม่จำเป็นต้องไปนั่งทับที่ของใคร   สิ่งที่มันวกวนอยู่ในสมองของผมตอนนี้ต่างหากที่มันรบกวนจิตใจผมอยู่ตลอดเวลา

   หรือ ?

   ผมคิดมากไปเอง . . . .

   “นี่ซองอะไรเหรอ”    กลับมาถึงบ้าน  ผมรีบเอาเสื้อผ้าจากเป้  ผมต้องค้นหาสิ่งที่ผมอยากรู้ให้ได้  ซองสีขาวในกระเป๋ากางเกงของโกเมศวร์

   “ซองเงิน”  มันบอก

   “เงินไรว่ะ”

   “อาจารย์ให้มา”

   “เอามาทำไม  เงินเขาทำบุญ”

   “อาจารย์เขาให้”  มันเสียงอ่อย  คงรู้  ผมตำหนิมันทางสายตา

   . . . ผมไม่พอใจ . . .

   ทำไมเหรอ  ผมอิจฉานักบวชที่ให้เงินมันหรือ  ไม่ใช่แน่ ๆ  แต่สิ่งที่มันยังค้างคาในหัวใจผมต่างหาก  ผมได้แต่เก็บเรื่องนั้นเอาไว้  เหมือนไฟที่มันสุมอยู่ในหัวอก  มันร้อนรุ่มไปหมด

   “พี่อาร์ม  ผมไปพัทยานะ”  มันโทรมาบอกผม หลังจากที่เรากลับมาจากบ้านไม่ถึงอาทิตย์

   “ไปกี่วัน”

   “คืนเดียว”

   “ไม่มีเรียนเหรอ”

   “ผมโทรลาแล้ว”  เสียงมันอ่อนลงเมื่อผมถามมันถึงเรื่องการเรียน

   หน้าที่ของมันมิใช่หรือ ?

   สำหรับผม  หน้าที่ต้องมาก่อนสิ่งอื่นใดเสมอ  แล้วมันไม่รู้จักกับคนอย่างผมเลยใช่ไหม  ว่าการที่มันทิ้งหน้าที่ของตัวเอง  ผมจะรู้สึกเช่นไร

   หรือ . . .

   บางที่  ค่าความรู้สึกของผม  สำหรับมัน  ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

   “ไปทำไมเหรอ  มีเรื่องด่วนหรือ”

   “อืม   มีคนนิมนต์อาจารย์ไปงานเปิดร้านพรุ่งนี้  ผมเลยขับรถไปให้”

   “อาจารย์ไหนว่ะ”

   “ก็อาจารย์ที่แม่ไปบวชที่วัดไง   ที่กลับมาพร้อมเราวันนั้นไงพี่  จำไม่ได้เหรอ  ท่านให้ผมช่วยขับรถไปให้”

   ผมกดวางสาย . . .

   . . . ก่อนปิดเครื่องทันที 

   อารมณ์ในตอนนั้นมันพุ่งมาสุดขีดแล้ว  ปกติมันไม่เคยขาดเรียน  ยกเว้นตอนงานของแม่ผม  แต่วันนี้เมื่อมีอีกคนเข้ามาในชีวิต  มันยอมขาดเรียน  คนที่ทำให้มันขาดเรียนได้  แสดงว่าสำคัญต่อชีวิตของมันมาก

   หรือ . . . 

   . . . ผมรีบสลัดความคิดชั่ว ๆ  ในสมองทิ้งทันที

   อะไรที่มันยังไม่แจ่มชัด  อย่าเพิ่งด่วนสรุป . . . .

   แล้วผมก็เห็นซองแบบเดิมกับที่ผมเคยเห็นอีกครั้งหลังจากที่มันกลับมาจากพัทยา  คราวนี้ความคิดของผมเตลิดไปไกล  มีสองทางในตอนนั้นที่ผมคิดอยู่

   ไม่มีใครหว่านพืชไม่หวังผล . . .

   . . . บรรทัดฐานในตัวของผมเอง . . .

   ผมเอามาเป็นเกณฑ์

   เพราะในเมื่อตัวผมเองก็หวังผลจากการที่เอามันมาเรียน  มีหรือที่คนอื่นที่เข้ามาแล้วทุ่มทุนสร้างแบบนั้นจะไม่หวังผล  แต่จะหวังผลอะไรนี่สิมันยังเป็นเรื่องที่ผมคิดไม่ออก  หรือจะเรียกให้ถูก  ผมยังไม่อยากคิดอกุศลไปมากกว่านี้ . . .

   . . . ของแบบนี้ต้องดูกันนาน ๆ . . .

   แล้วอีกอาทิตย์ต่อมา  มันโทรบอกผมจะไปเพชรบูรณ์อีก  มันบอกอาจารย์ให้มันขับรถไปให้เพื่อจะไปเอาสมุนไพรอะไรบางอย่าง   ผมน่ะอยากจะด่ามันใจแทบขาด  แต่ผมยังไม่ด่ามัน  ผมคงรอให้เวลามันสุกงอมมากกว่านี้กระมัง

   แล้วก็เหมือนเดิม . . .

   . . . ซองขาวในกระเป๋ากางเกงของมัน . . .

   แล้วนี่มันขาดเรียนสองครั้งแล้ว ถึงจะขาดโดยการลาก็ตาม  แต่ผมไม่ชอบ  ผมเกลียดนัก  คนที่ไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง  เราอาจมีน้ำใจกับคนอื่นได้  ไม่มีผิด  แต่น้ำใจที่เรามีกับคนอื่นต้องมากลังหน้าที่ของตัวเอง 

   มนุษย์เราเกิดมาพร้อมหน้าที่ . . .

   . . . คือสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบต้องไม่เสีย   หน้าที่ของการเป็นนักเรียน  มันต้องรู้ตัวเอง  หน้าที่หลักคืออะไร

   แต่มัน . . .

   . . . ละทิ้งหน้าที่หลักของตัวมันเอง

   เดือนนั้น . . .

   มันขาดเรียนสี่รอบ  ซึ่งมันก็คงจะมากพอที่ผมต้องพูดเรื่องนี้เสียแล้ว  มันอาจจะไม่คิดอะไร  เพราะคนอย่างมัน มองโลกสวยงาม  แต่คนที่ผ่านอะไรมามากมายแบบผม  ไม่ได้มองแบบที่มันมองเป็นแน่แท้

   ถ้าผมหวังอะไรจากมัน . . .

   . . .  มีหรือคนอื่นจะไม่หวัง . . .

   แต่จะเป็นหวังอะไรนี่สิ

   “รถใคร”    ผมถามเมื่อเดินเข้ามาในบ้าน  ผมจอดรถหน้าบ้าน  เพราะในบ้านมีวีโก้คันใหม่จอดอยู่   

   “รถอาจารย์”

   “ป้ายแดงนี่นะ”

   “อืม  เพิ่งออกวันนี้เอง  พี่ดูสิ”  มันยื่นเอกสารมาให้ผมดู  ผมรับเอกสารที่มันส่งมาดู 

   เจ้าของรถ . . .

   . . . นางวัลภา  โชติช่วงชรินทร์ . . .

   “ทำไมชื่อแม่”

   “ก็อาจารย์เป็นพระซื้อรถไม่ได้”

   “แล้วญาติพี่น้องทางโน้นไม่มีเหรอ”

   “มี  แต่แกไว้ใจแม่มากกว่า  แกบอกให้โกเอามาใช้ก่อน  ไว้เวลาแกไปไหน  แกจะโทรมาบอก”

   “หมายความว่าซื้อให้โกใช้”   ผมมองหน้ามัน

   “ครับ”

   ผมยิ้ม . . .

   ยิ้มที่ผมเองมองคนใต้ผ้าเหลืองไม่ผิด  ผมไม่ได้รังเกียจศาสนา  แต่ผมเกลียดคนที่อยู่ใต้เงาศาสนาแล้วไม่รู้จักการปล่อยปละละวาง  สิ่งที่เป็นกิเลสทั้งหมด  ผมมองหน้าโกมัน

   “ว่าจะไม่พูด  แต่วันนี้คงต้องพูดแล้วล่ะ”

   “เรื่องอะไรพี่”

   “อาจารย์ไง”

   “ทำไมพี่”

   “นี่โกโง่ถึงขนาดคิดอะไรไม่ออก  หรือโกอยากได้จนลืมทุกอย่างที่มันเป็นความถูกต้องกันแน่ว่ะ”   ผมเริ่มเสียงดัง

   “ทำไมเหรอพี่  ทำไมพี่ต้องโวยวายขนาดนี้ด้วย”

   “เออดิ  ลองมาเป็นพี่สิ  โกไปเอาของเขามา  โกรู้จักเขาดีแล้วเหรอ  หรือโกคิดว่าเขาเป็นพระ  แล้วพระต้องดีทุกคนเหรอ  พระที่ไหนจับเงิน  พระที่ไหนให้เงินคนเดิมทุกครั้ง พระที่ไหนไปฉันข้าวที่บ้านสีกามั้งว่ะ  เรื่องแบบนี้ต้องให้ป่าวประกาศให้อายเหรอ”

   “พี่คิดมากไปป่าว  อาจารย์เขาเอ็นดู”

   “ระวังเหอะ  สักวันเขาอยากดูเอ็นแก”

   “พี่อาร์ม  ทำไมพูดแบบนี้  พี่อย่าคิดว่าเขาจะเหมือนพี่สิ”   มันเถียงผม  มันมองหน้าผมนิ่ง 

   ใช่  ผมเอ็นดูมัน  จนอยากดูเอ็นมัน   และผมก็ทำได้  คำที่มันย้อนกลับมา  ความจริงทั้งหมด  ความจริงที่ผมทำดีกับมันเพื่อให้มันมาย้อนด่าผมแบบตอนนี้ไง

   ผมมองหน้ามันด้วยสายตาที่รังเกียจ  หรืออาจจะเรียกว่า  ไม่สามารถรับความจริงที่มันพูดได้มากกว่า

   “เดี๋ยวนี้เถียงเหรอ  ที่พูดนะเพราะหวังดี  ได้  ในเมื่อสอนไม่ได้  ว่าไม่ได้  ก็ไม่ต้องสอนกันอีก  แต่ลองคิดดูแล้วกัน   โกมาอยู่กรุงเทพฯ  เพราะอะไร  เพราะโกต้องเรียน  แล้วทำไม  เดือนที่แล้ว  โกขาดเรียนไปกี่วัน  ถ้าไอ้นั่นเป็นพระที่ดี  มันต้องรู้สิ  เวลาไหนสมควรหรือไม่สมควร  ไม่ใช่เรียกใช้ตะพึดตะพือขนาดนี้  ถ้าอยากได้เงินมากจนลืมไปว่ามาเรียน  ก็ไป  ไปขับรถให้พระอาจารย์โน่น  จะมานั่งเรียนหาส้นตีนอะไร”  ผมตะโกนใส่หน้ามัน  โมโหอย่างที่สุด   ผมมองหน้ามัน แววตาผมเอ่อล้นด้วยอะไรบางอย่าง

   “ก็เขาช่วยแม่”

   “แน่ใจเหรอ  โกคิดเหรอ  คนที่ไม่รู้จักกันจะทำอะไรกันได้  โกรู้จักเขาดีเหมือนที่แกรู้จักพี่หรือ  ทำไมว่ะ  กับการไปขับรถ  แล้วโยนเศษเงินที่ชาวบ้านยกมือท่วมหัวมาให้แก  โกก็คิดว่าเขาเป็นคนดีเหรอ”

   “เขาไม่ได้เป็นแบบนั้น”

   “เจ็บแทน  ทำไมเหรอ  มีอะไรกับพระนั่นแล้วเหรอ”

   “พี่อาร์ม”  มันตะโกน  มันมองหน้าผม  ไม่เชื่อว่า  ผมจะพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้

   ผมมองหน้ามัน  ยามผมห้ามตัวเองไม่ได้  อะไรก็ขวางผมเอาไว้ไม่อยู่  ผมคิดวิเคราะห์แล้วจะบาปก็ยอมล่ะ

   “ผมไม่ใช่คนดีนะครับ    ผมมองออกใครดีหรือไม่ดีอย่างไร  คนแบบนั้น  ถ้าไม่หวังในตัวโก  ก็หวังในแม่โก”

   “พี่อาร์ม”  มันจับตัวผมเขย่า

   “พี่มีสติดี  มีสติครบทุกอย่าง  เรื่องที่พี่พูดวันนี้  มันอาจจะบาป  ที่พี่คิดแบบนั้น  แต่ถ้าวันนึง  มันเป็นอย่างที่พี่พูด  โกลองคิดดูใครจะบาปมากกว่ากัน  พี่เอาโกมาเรียน  เพราะอยากให้เรียน  ไม่ใช่ไปหลงยึดติดกับสิ่งของที่ใครเขาเอามาหลอกล่อ”

   “แต่ . . .”

   “เรื่องของโก   ถ้าแกคิดว่ารถนั่นสำคัญกว่าความรู้สึกของพี่  โกก็อยู่กับรถไปแล้วกัน”  ผมมองหน้ามันนิ่ง

   ผมเดินขึ้นไปบนห้องช้า ๆ  ผมปล่อยไปหมดแล้ว  ความรู้สึกนึกคิดตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอกับนักบวชท่านนั้น  มาถึงวันนี้  มันก็บ่งบอกอะไรได้พอสมควร  ผมอาจจะคิดให้สิ่งที่ผมคิดมันผิด  ให้ผมบาปที่คิดไปเองแบบนั้น

   หาก . . .

   ถ้าเรื่องที่ผมคิดเป็นจริง . .

   . . . นักบวช . . . กับ แม่โก

   หรือ . . .

   . . . โกกับนักบวช   

   สองสิ่งที่ผมตั้งสมการขึ้นมาในใจ    สมการที่แย่ ๆ   ผมหลับตานิ่ง  ผมขอบาปเองที่คิดไปในทางชั่ว  ไม่อยากให้คนที่ผมรักต้องชั่วเพราะเป็นดังที่ผมคิด  ความคิดมันอาจทำร้ายเรา  ทำร้ายคนที่เรารัก

   แต่ . . . ในสถานการณ์แบบนั้น

   ผมผิดหรือที่คิดเสียงดังจนต้องทะเลาะกับโกเมศวร์  และนั่นคือทะเลาะแรกกระมัง  แก้วที่เริ่มร้าว   หากไม่ประสาน  นับวันยิ่งยากจะดังเดิม . . .

   “แดนเหรอ  อยู่ไหนว่ะ”

   “คอนโดพี่”

   “นอนด้วยคนดิคืนนี้    ไม่อยากเข้าบ้าน”   

   “ได้สิพี่  ผมไม่ไปไหนหรอก”

   ผมวางหูโทรศัพท์จากแดน . . . นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมไม่นอนบ้าน  หลังจากมีโกมาอยู่ด้วย  เพราะทุกครั้งไม่ว่าดึกขนาดไหน  ถ้าโกมันอยู่  ผมจะกลับมานอนที่บ้านเสมอ

   “พี่จะไปไหน”    มันมองเมื่อเห็นผมเอาชุดทำงานใหม่ลงมาด้วย

   “แกจะได้มีเวลาคิด  ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด  มันคืออะไร  แล้วแกจำเอาไว้เลยนะไอ้โก . . . “    ผมเอามือชี้หน้าผม   

   “. . . นี่หน้าแบบนี้  คนแบบที่แกเห็นแกรู้จักมาตลอดหกปี  มันมีความรู้สึก  แล้วไอ้ความรู้สึกน่ะ . . .”  ผมกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ

   “. . เงินซื้อไม่ได้”     

   ผมยิ้มเยาะตัวเองมั้ง  ก่อนหันหลังให้มัน  ความอ่อนแอเข้ามาปกคลุมหัวใจอย่างที่สุดแล้ว  น้ำตาไหลออกมาอาบแก้ม     ด้วยความน้อยอกน้อยใจที่ผมคิดไปเอง  เพราะความคิดมันบังคับกันยาก

   เราบังคับความคิดได้ง่าย ๆ  ก็ดีสิ . . .

    “พี่อาร์ม”  มันเรียกผม ดึงข้อมือผมเอาไว้

   ผมหยุด . . .

   “ปล่อย”  เสียงผมอ่อนแรง

   “คุยกันดี ๆ  ไม่ได้หรือพี่อาร์ม”

   “ดีที่สุดแล้วโก  ดีที่สุดแล้ว”  เสียงผมแหบพร่า

   “มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิพี่อาร์ม”

   “ปล่อยเหอะ  เราอยู่ห่างกันสักคืน  บางทีไอ้ที่มันอึมครึมอยู่อาจผ่านไปด้วยดี  พี่อยู่ตรงนี้ต่อไป  มันก็ไม่มีวันจบสิ้นหรอก”  ผมบอกมัน  ขยับข้อมือจากการพันธนาการจากมัน

   มันค่อย ๆ  ปล่อยผมอย่างช้า ๆ . . . .

   เวลานั้น . . .

   ผมไม่มีความรู้สึกอยากอยู่แม้แต่นิดเดียว  ผมอยากออกไปให้ไกลจากตรงนั้นมากที่สุด  ยิ่งเห็นวีโก้ป้ายแดง  ยิ่งเกลียดนักบวชคนนั้นจับใจ  ของที่ได้มาจากการยกมือไหว้ท่วมหัวของคนอื่น  ผมบอกตามตรง

   ผมรังเกียจ . . . รังเกียจมากที่สุด


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2010 13:16:23 โดย ราชบุตร »

ออฟไลน์ IZE

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-3
 :m15: :m15:ได้น้ำตาอีกแล้ว ครั้งนี้ร้องไห้ตั้งนาน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด