(ต่อ) ผมรู้ตัวดีว่าเวลาอย่างนี้ผมไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน แต่ผมยังฝืนตัวเองดันทุรังออกจากหอพักนิสิตชายเพื่อมายืนมองแผ่นหลังกว้างของมันในชุดนิสิตซึ่งพับแขนเสื้อขึ้นแล้วยืนกอดอกพิงสะโพกกับม้าหินอ่อนในเวลาเกือบสี่ทุ่มกว่า ผมยืนนิ่งมองมันที่เหม่อมองไปในความมืดเบื้องหน้านานอยู่หลายนาที ผมมองอยู่อย่างนั้น มองภาพของมันพร้อมกับเก็บรายละเอียดซึ่งชัดเจนในมโนของความทรงจำ มองเพื่อบันทึกทุกความรู้สึกทั้งมวลที่ผมมีให้มัน
....มองเพื่อบอกตัวเองว่า สุดท้ายผมก็มองได้แค่มอง ‘แผ่นหลัง’ของมัน... “ จ๊อบ”
“...อ้าวมึง...” มันเอี้ยวตัวหันมาทางผม “..มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ทำไมกูไม่ได้ยิน”
“ ....”
“ มึงเป็นยังไงบ้างวะ เจ็บมากรึเปล่า” มันถามผมสีหน้ามีแววกังวลก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วมองไปที่ข้อเท้าซึ่งพันผ้าอยู่
“ อืม”
“ โทษทีหว่ะที่ไม่ได้ดูแลมึงเลย กูต้องไปส่งลูกตาลที่บ้าน...” ผมแค่นยิ้มให้มันโดยที่มันไม่ได้สังเกตเพราะมัวแต่มองแผลที่ข้อเท้าผมอยู่ “...แล้วพอดีกูอาหารเป็นพิษด้วยเลยแวะไปนอนให้หมอแทงน้ำเกลือซะหน่อย” มันพูดยิ้มๆก่อนจะชูแขนที่มีรอยเลือดซึมออกมาจากผ้าก๊อชคงเพราะโดนเข็มน้ำเกลือเจาะมา ใบหน้ามันซีดนิดๆแต่ดวงตาเต็มไปด้วยประกายสดใสยามที่พูดถึงคนรัก ผมยังคงยิ้มมุมปากแล้วนิ่งเฉยเหมือนเดิม
“ เป็นไรวะทำไมวันนี้เงียบจัง”
“....” ผมยังคงกดยิ้มให้มันทั้งๆที่ในใจกำลังเริ่มร้องไห้
“..เออวันนี้คุณนายสารภีส่งแยมผลไม้จากสวนบ้านมึงที่จันท์มาให้ด้วยนะ...” มันเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงแจ่มใส “...แต่วันนี้ติดธุระหลายอย่างหว่ะวันหลังเดี๋ยวกูเอามาให้นะ แต่ขอกูจิ๊กสักกระปุกเหอะ” ประโยคท้ายมันหันมายักคิ้วหลิ่วตาใส่ผม แยมผลไม้ที่มันพูดถึงเป็นผลิตภัณฑ์จากสวนที่บ้านต่างจังหวัดของผมซึ่งทั้งผมและมันชื่นชอบเป็นหนักหนา
ปกติแม่จะส่งมาให้ผมเป็นประจำอยู่แล้ว และที่ส่งไปคอนโดมันเพราะสะดวกไม่ต้องมีหนังสือรับพัสดุวุ่นวายเหมือนหอในของผม และเพราะเราเป็นเพื่อนกันมานานจนสามารถเข้านอกออกในบ้านแต่ละฝ่ายได้อย่างสบายใจ แม่ผมซึ่งนับมันเป็นลูกชายที่คนหนึ่งไปแล้ว ไม่ต่างจากพ่อแม่ของมันซึ่งเอ็นดูผมเหมือนเป็นลูกเป็นหลาน เสียแต่ว่าหัวใจผมมันไม่รักดีเองที่ไม่อยากเป็นแค่เพื่อนกับมันจนตัวเองเจ็บแบบนี้ มันยังคงเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังไปเรื่อยๆเมื่อเห็นผมเงียบ มันเป็นแบบนี้ประจำเพราะมันรู้ดีว่าผมคงมีความผิดปกติบางอย่าง และสิ่งที่มันทำให้ผมเป็นประจำคือจะสรรหาเรื่องต่างๆมาเล่าให้ฟังจนผมลืมเรื่องไม่สบายใจไปเอง
...แต่สำหรับครั้งนี้ “มันไม่ใช่”... “ จ๊อบ” ผมเรียกชื่อมันเสียงสั่นและแผ่วเบาจะคล้ายกับเสียงกระซิบ
“ หืม”
“....”
“..กู ขอออกไปจากชีวิตมึงได้มั้ย” มันทำหน้าตื่นหันมามองผมด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความตกใจ มันขมวดคิ้วก่อนจะถามผมด้วยระดับเสียงที่ไม่ต่างจากผมนัก
“ ทำไม”
“ กู..” ผมสูดหายใจลึกกล้ำกลืนก้อนสะอื้นไว้ในลำคอ “...กูตัดใจจากมึงไม่ได้ กูทำไม่ได้”
“....”
“ ถ้าหากว่ากูยังอยู่ใกล้ๆมึง กูคงจะทรมานใจแบบนี้ตลอดไป”
“ เต้ย” มันทำหน้าเคร่งขรึมก่อนจะพึมพำชื่อผมเบาๆ “ เราเป็นเพื่อนกันแบบเดิมไม่ได้เหรอวะ”
“....”
“ มึงรู้มั้ย...” ผมถามมันเสียงสั่น มันเงยหน้าขึ้นมองผมตรงๆเช่นกัน
“...กูรู้สึกเหมือนหัวใจกูเหมือนฟองน้ำเลยหว่ะ ทุกครั้งที่มึงทำดีด้วยกูรู้สึกหัวใจพองโตเหมือนฟองน้ำมันขยายตัวอยู่ในใจของกู แต่ทุกครั้งที่กูนึกขึ้นมาได้ว่า ‘เราแค่เป็นเพื่อนกัน’ ก็เหมือนกับมีใครเอานิ้วมากดฟองน้ำให้มันบี้แบนบุ๋มร่องลึก คล้ายๆกับหัวใจกูถูกบีบทุกครั้ง..” อยู่ๆน้ำตาผมก็ไหลออกมา
“...ยิ่งพอรู้ว่ามึงมีใครเป็นเจ้าของหัวใจแล้ว กูเหมือนฟองน้ำที่แช่อยู่ในน้ำจะจมก็ไม่จม จะลอยเหนือน้ำก็ทำไม่ได้ มันทั้งหนักทั้งหน่วง กูหายใจไม่ออกคล้ายจะหมดลมแต่กูก็คล้ายจะมีแรงทุกครั้งที่มึงหันมา มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งรักทั้งเจ็บไปพร้อมๆกัน แม่งทรมานเหี้ยๆ” “ เต้ย” มันขยับมาหมายเอื้อมที่จะคว้าจับแขนผมไว้ แต่ผมดันถอยหลังหนีพร้อมกับเบือนหน้าหนีไม่อยากให้มันเห็นน้ำตาของผมเลย
“ กู..” ผมก้มหน้านิ่งก่อนจะพลิกตัวหนี
“ ขอร้อง”
“ กูขอโทษ” ไอ้จ๊อบพึมพำหน้าตาดูย่ำแย่ สีหน้ามันเจ็บปวดไม่ต่างจากผมต่างก็แต่ตอนนี้ผมมีน้ำตาแล้วเท่านั้น
“ กูขอโทษ กูไม่รู้ว่าทำให้มึงเสียใจขนาดนี้ กู” มันหลับตานิ่งก่อนจะถอนใจแรงๆแล้วหันหลังไปอีกด้านหนึ่ง
“ มึงไม่ผิดหรอก...” ผมเสียงสั่นกลั่นสะอื้น “ เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ แต่กูขอ กูขอร้อง...ให้กูไปจากชีวิตมึงเถอะนะ”
“ เราอย่าเจอกันอีกเลยนะ” สุดท้ายผมก็กลั้นใจพูดมันออกไปพร้อมกับสะอื้นเสียงสั่นระรัว แผ่นหลังมันเกร็งแข็งขึ้นก่อนที่มันจะเอี้ยวตัวกลับมาแต่ผมแตะมือที่แผ่นหลังมันแล้วพูดบางอย่างเสียก่อน
“ อย่าหันมา”
“ เต้ย..” น้ำเสียงมันร้อนรนอยากจะหันมามองผมแต่ผมดันแผ่นหลังมันไว้ ผมไม่อยากให้มันเห็นสภาพของผม ไม่อยากให้มันต้องลำบากใจที่เป็นสาเหตุให้ผมต้องเป็นแบบนี้
“ อย่าหันมา”
“ เต้ย เราต้องคุยกัน ขอร้องให้กูหันไปเถอะ”
“ อย่า..” ผมห้ามมันพร้อมกับปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะละมือที่แตะแผ่นหลังมันออก แต่มันกลับพลิกตัวกลับมาแล้วคว้ามือผมแล้วยึดกุมไว้ ผมกับมันมองหน้ากันเงียบๆ ผมเดาสีหน้ามันไม่ออกระหว่างเสียใจหรือหนักใจ แต่แววตาของมันมีกระแสบางอย่าง มันยื่นมือมาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเอื่อยด้วยกิริยานุ่มนวล ผมหลับตาลงก่อนจะยิ้มกว้างๆแล้วตรงเข้าสวมกอดมันพร้อมกับพูดว่า
“ กูขอเศษหัวใจของกูคืนเถอะนะ ถือว่าสงสารคนอย่างกูนะจ๊อบ” .
.
.
.
ผมร้องไห้โฮทันทีที่แผ่นหลังมันหายลับไปจากลานม้านั่งใต้หอก่อนจะทรุดตัวหมดเรี่ยวแรงลงกับพื้น ความเข้มแข็งที่พยายามสร้างขึ้นมาเป็นกำแพงให้ตัวเองพังทลายลงไม่เป็นท่า ผมก้มหน้าร้องไห้อยู่กับหัวเข่าอยู่เนิ่นนานจนรู้สึกได้ว่ามีปลายเท้าของใครบางคนมาหยุดอยู่เบื้องหน้า ผมเงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้าคมคายที่ผมนึกอุ่นใจทุกครั้งที่พบเจอพอดีกับที่ร่างสูงนั่นทรุดตัวลงนั่ง เมื่อนั้นเองที่ผมถูกมือหนาโอบกอดให้ซุกซบและพร้อมกับความรู้สึกอ่อนโยนซึ่งเหมือนน้ำชะโลมหัวใจที่แห้งผากและเจ็บร้าวราวกับอยู่ท่ามกลางทะเลทรายที่แห้งแล้ง
“ พี่ที ฮือๆๆๆ”
......
......
“ มึงเป็นตุ๊ดเหรอเต้ย”
“....”
“ แม่งเงียบแสดงว่าจริง ฮ่าๆๆๆ”
“.....”
“ ฮิ้วๆ อิเต้ย อิตุ๊ด”
“....”
“ พ่อเป็นนกไงสัด” สุดท้ายผมซึ่งอุตส่าห์นั่งนิ่งอยู่นานสองนานทนฟังเสียงโห่แซวของบรรดาหัวโจกในห้องที่เป็นอริกันมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งผมมีแต่เพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงพวกมันยิ่งได้ใจหาเรื่องกลั่นแกล้งผม แต่คนอย่างผมลุยไหนลุยนั่นถ้ากล้าที่จะเล่นแรงก็อย่าหวังว่าผมจะอยู่เฉย แต่ที่ทนให้พวกมันเอ่ยแซวอยู่อย่างนี้เพราะผมเพิ่งมีเรื่องให้เข้าห้องปกครองเมื่อไม่นานมานี้เลยไม่อยากก่อเหตุซ้ำ กลัวจะทำให้คุณนายสารภีเสียน้ำตาอีก
“...อ้าวๆ น้องเต้ยปรี๊ดแล้วพวกมึง”
“ ฮ่าๆๆ”
...โครมๆ....
เสียงโต๊ะเรียนล้มระเนระนาดจนพวกที่เย้วๆกันอยู่ถึงกับลุกแตกฮือเป็นฝีมือจากไอ้เพื่อนร่วมชั้นเรียนซึ่งนั่งข้างๆผมและนิ่งอยู่นานก็ทำเอาคนทั้งห้องรวมถึงผมตกใจกันถ้วนหน้า ยังไม่ทันที่จะหายตกใจมันก็ลุกพรวดกระโจนเข้าใส่พวกที่เอ่ยแซวผมเรียกได้ว่าเป็นการตะลุมบอน เสียงดังผลั๊วผละ และโต๊ะเก้าอี้ล้มคว่ำกว่าจะห้ามได้ก็เมื่ออาจารย์ปกครองวิ่งเข้ามาแยก ไอ้พวกนั้นหน้าตายับเยิน ปาก คางคิ้วแยกยับ ส่วนไอ้หน้านิ่งเพื่อนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาเรียนตอนเปิดเทอมม.หนึ่งวันแรกนี้ คนที่นั่งนิ่งอยู่นานกลับสร้างวีรกรรมให้คนทั้งห้องตกตะลึงมีแค่แผลตรงมุมปาก
หลังจากถูกทำโทษทั้งสองฝ่ายก็แยกย้ายกันไป ผมซึ่งเป็นเจ้าทุกข์แต่มีใครบางคนออกรับแทนจึงเดินตามหามันเพื่อขอบคุณสำหรับเรื่องวันนี้
“ ขอบใจหว่ะ”
“ มึงทนให้มันแซวอยู่ได้ไงตั้งนานสองนาน ดีนะว่าอาจารย์มาห้ามไม่งั้นกูจะกระทืบพวกแม่งให้จมตีนละ” มันหัวเสียสีหน้าเซ็งๆ ท่าทางของมันดูสบายๆทั้งๆที่มีแผลตรงมุมปากดูบวมช้ำ
“ กูจ๊อบ”
มันบอกชื่อตัวเองก่อนจะยื่นมือให้ผมจับคล้ายการเช็คแฮนด์ซึ่งผมก็ยื่นมือไปสัมผัสกับมันเบาๆ “ กูเต้ย”
“ งี้เราก็เป็นเพื่อนกันแล้วดิ”
“ อืม”
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมกับมันรู้จักกัน เป็นครั้งแรกที่มันลุกขึ้นปกป้องผม เป็นครั้งแรกที่ผมรู้ว่าการมีเพื่อนรักมันเป็นแบบนี้ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ เป็นจุดเล็กๆที่สร้างความประทับใจในส่วนลึกของหัวใจ ผมไม่รู้ว่าจุดเล็กๆนั่นจะสร้างความรู้สึกเป็นมวลก้อนใหญ่ให้ผมก้าวข้ามความรู้สึกจาก‘เพื่อนรัก’ กลายเป็น‘รักเพื่อน’ในที่สุด
.
.
.
.
“ เต้ย”
“.....”
“ ไอ้เต้ย มึงอยู่ไหนวะ”
“....”
“ ไอ้ห่า กูหามึงจนเมื่อยแล้วนะ”
ว่าแล้วมันก็ทรุดตัวลงนั่งอยู่ตรงโคนต้นไม้ซึ่งผมปีนขึ้นมาซ่อนตัวจากการหาของมัน ผมอมยิ้มตอนที่เห็นมันขยับคอเสื้อยืดไปมาเพื่อคลายความร้อนในช่วงเดินเดือนเมษาดีหน่อยที่อยู่ในสวนผลไม้ซึ่งพอมีร่มเงาจากใบของมันแผ่กิ่งก้านสาขาบดบังแสงแดดที่กำลังเจิดจ้า
ผมเลยแกล้งเขย่ารังมดแดงที่อยู่กิ่งไม้ใกล้ๆตัวเพื่อให้หล่นโดนตัวมัน ซึ่งก็ได้ผลเพราะทันทีที่รังมดแดงร่วงหล่นเจ้ามดแดงตัวใหญ่ก็เริ่มออกฤทธิ์รุมกัดมัน ดีว่ามันรู้ตัวเร็วเลยหลบทันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมาเห็นผมนั่งอยู่กิ่งไม้ข้างบนพร้อมกับหัวเราะร่วน
“ ไอ้เต้ย มึงแกล้งกูเหรอ”
“...เออ” ผมลอยหน้าลอยตากวนตีนมันเป็นการเอาคืนเพราะเมื่อเช้ามันแย่งผมกินแยมผลไม้ที่แม่ทำให้จนหมด สุดท้ายผมเลยแกล้งมันกลับด้วยรังมดแดงรังเบ่อเริ่ม
“ งั้นเดี๋ยวมึงเจอ”
“....”
ว่าแล้วมันก็เขย่าต้นไม่ที่ผมนั่งเล่นอยู่จนลำต้นมันไหวน้อยๆ แต่ก็ทำเอาผมเกือบเสียหลักร่วงลงมาเห็นแบบนี้ก็ทำเอามันตกใจเหมือนกันรีบปล่อยมือจากลำต้นแล้วทำท่าเหมือนจะรองผมไว้หากร่วงลงมาจริงๆ ผมทำหน้าแหยๆตอนที่พยายามประคองตัวเองแล้วปีนลงมาซึ่งมันก็ยื่นมือมารับไว้ แต่กิ่งไม้ที่ผมเหยียบดันหักกลางคันทำเอาหน้าทิ่งทิ้งตัวลงทันที
“ เหี้ย”
....อั๊ก...
“ เป็นไงบ้างมึง”
ผมไม่เจ็บหรอกครับเพราะลงมาแล้วมีเบาะรองเป็นไอ้ร่างสูงใหญ่ของมันซึ่งรับผมเอาไว้ทัน สีหน้ามันดูตกอกตกใจทั้งที่ผมกระแทกใส่ตัวมันอย่างแรงแต่มันดูไม่สนใจตัวเองกลับพลิกตัวผมดูตามแขนตามขาเพื่อหาร่องรอยที่อาจเกิดการบาดเจ็บ
“ ไอ้เต้ย ใครใช้ให้มึงปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้อย่างนั้น ตกลงมาคอหักตายทำไง” มันดุผมเสียงห้วนแต่ในน้ำเสียงยังมีกระแสของความห่วงใย น้ำเสียงดุไม่พอใจแต่แววตาที่มองผมกลับเต็มไปด้วยความห่วงใย ท่าทางของมันทำเอาผมใจกระตุกนี่เป็นครั้งแรกที่มันแสดงกริยานุ่มนวลห่วงใยผมแบบนี้ มันทำให้แววตาที่ผมมองมันเริ่มเปลี่ยนไป มันทำให้ความรู้สึกของผมที่มีให้มันเริ่มเปลี่ยนไป มันทำให้ผมใจเต้นแรงเพียงแค่มันโวยวายเพราะเป็นแผลที่ถลอกตรงต้นแขน
“ กูขอโทษ”
“ อย่าทำแบบนี้อีก ถ้ามึงเป็นอะไรไปกูจะทำยังไง” มันพูดไปเรื่อยๆที่ทำเอาหัวใจผมอุ่นวาบ มือมันยังสาละวันปัดเศษดินตามตัวให้ผม
“ มึงห่วงกูเหรอ”
“..อืม กูห่วงมึง ห่วงมาก เพราะมึงเป็นเพื่อนรักของกู”
ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าสีหน้าตัวเองเป็นยังไง มันจะแดงแค่ไหน แต่ที่ผมรู้คือเสียงหัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะทุกครั้งที่มันอยู่ใกล้ และตั้งแต่นั้นมาผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าหัวใจของผมมีมันเข้ามายึดพื้นที่เรียบร้อยแล้ว แล้วมันหล่ะจะรู้มั้ยว่าความรู้สึกของผมมันไม่เหมือนเดิมแล้ว ส่วนผมหล่ะจะก้าวข้ามความรู้สึกซึ่งวันหนึ่งถ้าไม่มีมันผมจะอยู่ยังไง
เจ็บกว่าการ “จากลา” คือการ “จากกันโดยที่ยังไม่ได้ลา”
เจ็บกว่าการ “จากกันโดยที่ยังไม่ได้ลา” คือการ “กลับไปหาไม่ได้อีกแล้ว”
...กลับไปที่ความรู้สึกเดิมไม่ได้อีกแล้ว...
***ไม่มีอะไรจะพูดค่ะเขียนเอง จุกเอง

รักครั้งแรกมักยากที่จะลบเลือนค่ะ
แหะๆมีบางคอมเม้นท์ถึงขนาดเกลียดยาคลูย์ไปเลย ฮ่าๆ
ใจเย็นนะจ๊ะ ถ้าจะโกรธๆอิจ๊อบค่ะ ผลิตภัณฑ์เเค้าไม่เเกี่ยวฮา
ชอบอ่านคอมเม้นท์ทุกคนอ่ะ ดูอิ้นอิน
ยังไงฝากไปโบกหัวอิจ๊อบด้วยคนนะค่ะ

เจอกันตอนหน้านะ

จุ๊บๆ