ตอนที่ 20
การฟ้องร้องจบลงง่ายดายกว่าที่ใครๆคิด เนื่องจากทางหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวยอมลงประกาศขอโทษและชี้แจงความจริงในหนังสือพิมพ์เป็นเวลาหนึ่งเดือน และยังยอมจ่ายค่าเสียหายตามที่ทางอังคารเรียกร้องเพื่อให้คดีความจบ แม้จะเป็นจำนวนเงินมากโข แต่หนังสือพิมพ์ไม่ได้เป็นคนจ่ายเองจึงไม่เดือดร้อนอะไร แน่นอนว่าคนที่ออกเงินทั้งหมด แถมยังต้องจ่ายค่าปิดปากให้หนังสือพิมพ์ไม่ซัดทอดมาถึงตนเองคือภาวริน
เรียกว่างานนี้เธอมีแต่เสียกับเสีย
ส่วนทางตาณและอังคารนั้นมีแต่ได้กับได้
พวกเขาได้รับเงินค่าเสียหาย ซึ่งเงินทั้งหมดอังคารได้มอบให้ทางโรงเรียนเอกวิทย์ไว้เป็นทุนการศึกษาแก่เด็กๆ ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับเงินที่ตาณสมทบเข้ามาเพิ่มเติมด้วยยิ่งเป็นจำนวนมากขึ้นไปอีก ข่าวการนำเงินค่าเสียหายไปบริจาคเพิ่มชื่อเสียงในแง่ดีให้กับตาณและอังคารมากยิ่งขึ้น
และการโฆษณาไปในตัวในวันแถลงข่าวของอังคารก็ได้ผลเป็นอย่างมาก ตาณยอมรับว่าผลตอบรับดีกว่าตอนที่ตาณจัดงานเลี้ยงเปิดตัวบริษัทเสียอีก ผลิตภัณฑ์ต่างๆของบริษัทเปิดใหม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และได้รับความนิยมมาก
ร้านอาหารของตาณเองก็ได้รับความนิยมจนต้องขยายสาขาเพิ่มขึ้นมาหลายสาขา นอกจากนี้ด้วยความคิดของอังคารทำให้มีการเปิดมุมขายของสดเล็กๆหน้าร้านอาหาร เป็นการขายวัตถุดิบสำหรับทำอาหารในราคาที่ไม่แพงนัก เพราะตาณรับสินค้ามาจากผู้ผลิตโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ของราคาถูก คุณภาพดี ย่อมได้รับความนิยมเป็นธรรมดา ของสดเหล่านี้มักขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบรรดาเจ้าของร้านอาหารขนาดเล็กมักมาเหมาของไปเป็นจำนวนมาก
สุดท้ายตาณจึงตัดสินใจเปิดตลาดสดใจกลางเมืองขึ้นมา ตาณให้เกษตรกรเป็นผู้มาขายสินค้าเอง แต่ต้องขายตามราคากลางที่กำหนดไว้เท่านั้น ซึ่งเป็นราคาที่คำนวณอย่างเหมาะสมแล้วว่าผู้ขายได้กำไร ผู้ซื้อสามารถจับจ่ายได้ในราคาไม่แพง เกษตรกรที่นำของมาขายที่ตลาดจึงได้เงินเป็นที่น่าพอใจและขายหมด ไม่มีเหลือให้เน่าเสีย แต่ถึงจะเปิดตลาดขึ้นมา มุมขายของหน้าร้านอาหาร รวมไปถึงอาหารในร้านของตาณก็ยังขายดีทุกสาขา
ที่ผลิตภัณฑ์ของตาณขายได้ดีทั้งที่ไม่ใช่เจ้าเดียวในตลาด และร้านอาหารก็ได้รับความนิยม เพราะเขาคงแนวความคิดที่ว่า
ราคาต้องไม่แพงจนเกินไป รับประทานง่าย รสชาติดีเยี่ยม ได้คุณค่า และมีคุณภาพเพียงพอ ความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าก็สำคัญเช่นกัน
ทางสองคนที่ไม่คิดว่าจะมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรเท่าไหร่จากการแถลงข่าวอย่างเบนจามินและเขมวรรณกลับกลายเป็นคนมีชื่อเสียงขึ้นมาชั่วข้ามคืน
อังคารจึงจับให้ทั้งคู่มาเป็น brand ambassador ของบริษัทเสียเลย เบนจามินน่ะเต็มใจอย่างยิ่ง ส่วนเขมวรรณไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ออก
ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูดีและหน้าที่การงานที่มั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขมวรรณที่ถือว่าประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตั้งแต่อายุยังน้อย เบนจามินเองก็เป็นแพทย์จากโรงเรียนเอกวิทย์ที่ขึ้นชื่อ
ทั้งสองคนได้รับความสนใจจากสื่อเป็นอย่างมาก เรียกว่าขยับตัวไปทางไหนก็มีแต่คนรู้จักและสามารถตกเป็นข่าวได้พอๆกับพวกดารานักร้องเลยทีเดียว
“นี่คุณเอาจริงหรือ”
อังคารเอ่ยถามตาณที่กำลังปรึกษากับเขมวรรณเรื่องการตกแต่งห้องข้างบนที่ว่างอยู่ให้กลายเป็นห้องเด็ก
อันที่จริงพวกเขาชวนเขมวรรณมากินข้าวด้วยตามประสาคนคุ้นเคยกันเท่านั้น แต่คุยกันไปคุยกันมาทำไมถึงมาออกเรื่องตกแต่งห้องใหม่ได้ก็ไม่รู้
“เอาจริงสิ”
ตาณหันมาตอบแล้วกลับไปพูดคุยกับเขมวรรณต่อ ทางด้านเขมวรรณเองก็หยิบสมุดขึ้นมาจดความต้องการของตาณไว้เพื่อจะได้นำไปประมวลและออกแบบให้ถูกใจ
“คุณเป็นวิศวกรก่อสร้างไม่ใช่หรือคุณเขม”
เบนจามินเห็นเขมวรรณรู้เรื่องการตกแต่งดีจึงอดถามไม่ได้
“ผมเป็นหัวหน้าโครงการนะครับ ต้องรู้ทุกเรื่อง อย่างน้อยๆก็ต้องรู้พื้นฐานบ้าง เรื่องการตกแต่งนี่ก็ศึกษามาพอสมควร”
“อ้อ”
เบนจามินพยักหน้าแล้วหันไปสบตาเพื่อนที่ทำหน้าเหนื่อยใจอยู่ข้างๆ
“อยากได้แบบไหนก็เสนอดีกว่าอัง ไม่อย่างนั้นคงออกมาตามใจคุณตาณคนเดียวแน่”
อังคารถอนหายใจ เขาไม่อยากตกแต่งห้องใหม่เพราะเด็กไม่นานก็โต พอโตแล้วก็คงต้องตกแต่งกันใหม่อีก
“ถึงยังไงก็ต้องตกแต่งใหม่อยู่เรื่อยๆอยู่แล้ว ของอย่างนี้มันโทรมกันได้ แล้วอังคิดว่าคุณตาณเขาจะปล่อยให้บ้านโทรมหรือไง”
เมื่อเห็นจริงตามที่เบนจามินว่า อังคารเลยร่วมวงคุยกับตาณและเสนอหลายๆอย่างเพื่อให้สามารถใช้ห้องได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากที่ตาณคิดทำห้องสำหรับเด็กเล็ก อังคารก็ปรับให้กลายเป็นห้องที่พร้อมจะเปลี่ยนเป็นห้องเด็กวัยไม่เกินสิบขวบได้
“คุณจะรีบซื้อเตียงทำไม ไม่เอาครับ เอาแค่เตียงเด็กก็พอ”
อังคารรีบแก้สิ่งที่ตาณบอกกับเขมวรรณ
“ก็คุณพูดเองว่าเด็กๆโตเร็ว”
ตาณตั้งใจจะซื้อทั้งเตียงเด็กและเตียงนอนใหม่ เมื่ออังคารไม่เห็นด้วยเขาเลยตกลงใจว่าจะซื้อแค่เตียงเด็ก
“แล้วของที่อยู่ในห้องล่ะครับ จะเอาไปไว้ที่ไหน”
ตกแต่งห้องใหม่คราวนี้เฟอร์นิเจอร์ในห้องต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด อังคารกลัวตาณจะเอาของเก่าไปทิ้งเลยรีบถามเผื่อไว้ก่อน
“เดี๋ยวขนไปเก็บไว้ที่โรงเก็บของไงคุณ”
ว่าแล้วตาณก็กวักมือเรียกต้นอ้อที่อยู่ใกล้ๆแถวนั้นเข้ามา
“พรุ่งนี้ให้คนไปขนของออกมาจากห้องซ้ายให้หมดเลยนะ เอาให้เหลือแค่ห้องโล่งๆเลย”
“ครับคุณตาณ”
“ต้นอ้อกินข้าวหรือยัง”
“เรียบร้อยครับคุณอัง”
“โอเค งั้นมีอะไรก็ไปทำเถอะ”
“ครับ”
ต้นอ้อถอยออกไปแต่ก็ยังคงอยู่ไม่ไกลแถวๆนี้เผื่อว่ามีใครเรียกใช้อะไร ตาณหันไปคุยกับเขมวรรณถึงขนาดห้องคร่าวๆซึ่งเขมวรรณจะพานักตกแต่งภายในเข้ามาดูอีกทีตอนที่ห้องโล่งแล้ว พอเริ่มดึกเขมวรรณก็ขอตัวกลับ เบนจามินเองก็กลับไปยังที่พักของตัวเอง ในบ้านจึงเหลือเพียงแค่อังคารและตาณเท่านั้น
“คุณเห่อมากไปหน่อยไหมครับ”
ทุกวันนี้หากตาณได้ไปห้างสรรพสินค้าหรือว่าได้ผ่านร้านขายของสำหรับเด็ก ตาณเป็นต้องได้ของสำหรับลูกติดมือกลับมาตลอด ทั้งเสื้อผ้า ของใช้ ของเล่น อังคารเอ่ยห้ามปรามก็ไม่เคยฟัง กว่าลูกจะเกิด ของคงเต็มบ้านเสียก่อน
“ผมไม่เคยมีลูกมาก่อน”
เสียงของตาณคล้ายประชดอยู่ในทีจนอังคารลอบยิ้ม
“ผมก็มีลูกของตัวเองคนแรกเหมือนกันครับ”
อังคารรู้ว่าตาณไม่ค่อยพอใจนักเรื่องที่อังคารเคยรับจ้างท้องมาก่อน แต่อดีตก็คืออดีต ตอนนั้นอังคารยังไม่เจอตาณ แล้วอังคารก็ท้องโดยการฝังยีน ตาณจึงไม่ได้เก็บมาเป็นอารมณ์เท่าไหร่ ยกเว้นบางครั้งที่อดคิดไม่ได้ว่าอังคารจะรักเด็กสองคนที่ตัวเองเคยอุ้มท้องมากกว่าลูกของพวกเขาหรือเปล่า
“คุณงอแงแทนลูกหรือครับ”
อังคารถามขำๆ เข้าไปลูบหน้าลูบหลังคนที่ยืนหน้าบึ้งอยู่เพื่อเอาใจ
“คุณรักเด็กสองคนนั้นไหม”
อังคารยิ้ม ลูบแก้มตาณอย่างเบามือ
“ถึงยังไงผมก็อุ้มท้องพวกเขามาตั้งเกือบปี จะไม่รักไม่ผูกพันเลยมันก็ไม่ใช่ แต่พวกเขาไม่ใช่ของผมมาตั้งแต่แรกแล้ว”
สำหรับอังคารมันก็เหมือนเราคอยศึกษาการประกอบและผลิตอะไรสักอย่าง เราศึกษาจนสามารถสร้างมันออกมาได้จนสมบูรณ์แล้วเราก็ต้องขายมันไป เพราะสิ่งนั้นเราทำเพื่อลูกค้า ไม่ใช่เพื่อตัวเรา ถึงอย่างนั้นเด็กทั้งสองก็มียีนของอังคารอยู่ในตัว จึงถือว่ามีสายสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาด
“ผมเลิกสนใจไยดีหรือเลิกคิดถึงพวกเขาไม่ได้ แต่ก็เป็นความห่วงและอาวรณ์อย่างหวังดีตามประสา ผมไม่อยากให้เอามาเปรียบเทียบกับลูกของเรานะครับ ผมพูดอย่างนี้คุณเข้าใจไหม”
จะบอกว่าอังคารไม่ห่วงเด็กๆที่ตัวเองอุ้มท้องมามันก็ไม่ใช่ หากพวกเขาตกที่นั่งลำบากหรือต้องการความช่วยเหลือ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง อังคารก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยโดยไม่คิดอยากได้อะไรตอบแทน
แต่สำหรับลูกของเขากับตาณ อังคารสามารถให้ได้แม้แต่ชีวิตโดยไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ
“ผมขอโทษ”
ที่จริงตาณก็ไม่ได้อยากกดดันให้อังคารรู้สึกไม่ดี เขาแค่นึกขึ้นมาบางครั้งและมันก็กวนๆอยู่ในจิตใจ
“ผมเข้าใจว่าคุณแค่กลัวและน้อยใจแทนลูก”
อังคารหัวเราะ เขาไม่ถือสาจริงๆที่ตาณพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
“ผมเชื่อว่าถ้าคุณตาณได้เจอพวกเขา คุณต้องเอ็นดูพวกเขาไม่ต่างจากผม”
ตาณยิ้ม กอดเอวอังคารไว้ ถ้าไม่ล้ำเส้นเข้ามาตาณก็คงเอ็นดู แต่ถ้าล้ำ...ตาณก็ไม่คิดไว้หน้า
“อืม นั่นสินะ ทุกคนที่คุณรัก ผมย่อมต้องรักด้วย”
“เน่า”
อังคารว่าแล้วเบี่ยงหน้าหนีจมูกที่กดลงข้างแก้ม แล้วก็ชักจะเลยเถิดมาที่ริมฝีปาก
“ไปอาบน้ำเลยคุณ ผมท้องอยู่นะ”
ตาณยอมปล่อยอังคาร แต่ก็ไม่วายกดจูบที่ริมฝีปากอิ่มอีกครั้งเสียหนึ่งทีก่อนจะปล่อย
“ช่วงนี้รอดไปเถอะคุณ ผมถามคุณเบนแล้ว คุณรอดจากมือผมได้อีกไม่นานหรอก”
“คะ คุณนี่มัน!”
ตาณหัวเราะแล้วเดินผิวปากเข้าห้องน้ำไปอย่างอารมณ์ดี อังคารส่ายหน้าตามหลัง คิดถึงตอนที่ตาณไปถามเบนจามินแล้วก็อดอายเพื่อนนิดๆไม่ได้
แต่ก็นั่นแหละ...อายไปก็ทำอะไรไม่ได้แล้วเพราะตาณถามไปแล้ว ที่สำคัญแม้ตาณจะไม่ถาม เบนจามินก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาทำอะไรๆกัน ...จะไม่รู้ได้อย่างไรเมื่อหลักฐานของการกระทำอยู่ในท้องแบบนี้
อังคารคิดแล้วลูบท้องเบาๆ ก่อนจะยกยิ้ม...เอาเถอะ อาจจะน่าอายไปบ้าง แต่มีความสุข...อังคารยอม
THE END
จบแล้ว มีตอนพิเศษค่ะ
ส่วนเขมกับเบนยังไม่ได้เขียนเลยค่ะ