ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นหลังจากที่ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบได้ไม่ถึงสามนาที สองพี่น้องเงยหน้าขึ้นจากงานไปมองประตูก่อนที่พระพายจะเบ้ปากเมื่อเห็นคนที่เปิดประตูเข้ามาใหม่ในขณะที่พันเอกทำเพียงแค่เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
“ไงไอ้เอก กูมากวนรึเปล่าวะ”
“ไม่เท่าไหร่ มีอะไรรึเปล่า” ร่างสูงเอ่ยออกไปพลางมองร่างสูงของผู้มาใหม่
“กูจะมาบอกว่าคืนพรุ่งนี้พวกไอ้ปราชญ์นัดกินเหล้า มันให้กูมาบังคับมึงไปให้ได้”
“กินเหล้า?”
“ใช่ ที่เดิมนั่นแหละ มันบอกจะเปิดตัวแฟน งานนี้เบี้ยวไม่ได้นะเว้ย...อ้าว น้องพายก็อยู่เหรอครับ ไม่เจอกันนานเลยเนาะ” ‘พีระ อติวัฒน์’ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดีใจจนปิดไม่มิดเมื่อเห็นว่าพระพายเองก็อยู่ภายในห้องทำงานแห่งนี้ด้วย ร่างสูงกวาดสายตามองร่างโปร่งของพระพายด้วยแววตาจาบจ้วงอย่างเสียมารยาทยามที่พันเอกเผลอก่อนจะรีบกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเมื่อเห็นว่าพันเอกหันมามอง
“สวัสดีครับพี่พีท” พระพายจำต้องยกมือไหว้เพื่อนสนิทของพี่ชายอย่างเสียไม่ได้แม้จะนึกไม่ชอบใจกับนิสัยและสายตาของคนตรงหน้า พีระอมยิ้มมุมปากมองใบหน้าขาวของคนตัวเล็กก่อนจะเอ่ยปากชวนพระพายถึงการนัดแนะสังสรรค์กันวันนี้
“จะว่าไปมึงก็เอาน้องพายไปด้วยดิวะ ไปกันหลายๆคนจะได้สนุก...ไปด้วยกันนะครับ” ท้ายประโยคพีระหันไปกะลิ่มกะเลี่ยใส่น้องชายของเพื่อน
“ไม่ดีกว่าครับ วันนี้ผมมีงานต้องทำเยอะ ถ้ายังไงผมขอตัวก่อนดีกว่า พี่พีทกับพี่เอกจะได้คุยกันตามลำพัง สวัสดีครับ” ร่างขาวพูดเร็วๆพลางรีบดึงตัวเองออกห่างจากพีระให้มากที่สุด สองมือยกมือไหว้คนอายุมากกว่าทั้งสองพลางคว้าเอากระเป๋ามาสะพายและก้าวฉับๆออกมาจากห้อง ทิ้งให้พีระมองตามแผ่นหลังบางด้วยสายตาวาวโรจน์ดุดันก่อนจะหันมาหาพันเอกที่ยังคงง่วนอยู่กับงานบนโต๊ะ
“ตกลงมึงจะไปใช่ไหมเอก”
“อืม”
“เออๆ เจอกันที่เดิม กูไปละ”
“เออ” กฤตภาสคนพี่ออกปากไล่พลางกลั้นขำ พีระยกยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินออกมาจากห้องทำงานของอีกคน ดวงตาคมสอดส่ายสายตาไปทั่วก่อนจะปะทะเข้ากับร่างของพระพายที่กำลังยืนคุยกับเลขาของพันเอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ไหวตัวทันร่างสูงของพีระก็ก้าวเดินเข้าไปประชิดตัวพระพายเอาไว้ก่อนจะถือวิสาสะโอบเอวบางเอาไว้พลางดึงร่างเล็กให้ขยับเข้าไปชิดอก
“มาอยู่นี่นี่เอง หาตั้งนาน” ชายหนุ่มแสร้งเอ่ยเสียงแปลกใจในขณะที่พระพายขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด พระพายขืนตัวออกจากพันธนาการของพีระก่อนจะเอ่ยลาเลขาสาวแล้วรีบจ้ำอ้าวหนีไป ทิ้งให้พีระต้องยิ้มแหยๆก่อนจะแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“งอนผมนะครับคุณนาง ขอตัวไปง้อน้องก่อนนะ”
“คะ...เอ่อ ค่ะๆ” เลขาสาวรับคำอย่างงงๆก่อนจะเดินจากไป พีระเห็นดังนั้นจึงรีบตามร่างเล็กของพระพายไปก่อนจะฉุดแขนขาวเอาไว้แล้วลากน้องชายของเพื่อนเข้าสู่มุมอับสายตา
“พี่พีท! จะทำอะไรผม ปล่อยเลยนะ!” ร่างเล็กแหวขึ้น เขาไม่เคยนึกชอบเพื่อนของพี่ชายคนนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พีระเป็นผู้ชายคนเดียวที่พระพายเข็ดขยาดเพราะอีกฝ่ายแสดงออกว่าสนใจเขาและคุกคามอย่างไม่เกรงกลัวเลยสักครั้ง อีกทั้งยังพูดจาลามเลียหยาบโลนเสียจนพระพายขยะแขยง
“พี่ไม่อยู่ตั้งหลายเดือน ไม่คิดถึงพี่บ้างเหรอครับ หืม?”
“ทำไมผมต้องคิดถึงพี่ด้วย ปล่อยได้แล้ว อย่ามาทำรุ่มร่ามกับผมแบบนี้นะ พี่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบ” พระพายเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน หากแต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุเมื่อร่างเล็กถูกพีระดันจนแผ่นหลังชิดกับผนังข้างๆ มือหนาถือวิสาสะล้วงเข้าไปใต้เสื้อนักศึกษาของคนตัวขาวก่อนจะลูบไล้หน้าท้องแบนราบของพระพายแผ่วเบาจนคนถูกคุกคามถึงกับร้องเสียงหลง
“พี่พีท!”
“ชู่ว อย่าเสียงดังสิครับคนดี” พีระกระซิบเสียงแหบพร่าก่อนจะคลอเคลียจมูกลงข้างแก้มนุ่ม พระพายเม้มปากแน่นขนลุกซู่ไปทั่วกาย สัมผัสร้อนผ่าวแผ่กระจายไปทั่ว ทั้งจากจมูกโด่งรั้นและฝ่ามืออุ่นร้อนที่ลูบไล้ไปทั่วผิวกาย
“ถ้าพี่พีทยังวุ่นวายกับผมแบบนี้อีกผมจะฟ้องพี่เอก!” พระพายเอ่ยขึ้นเสียงสั่น พอกันที เขาจะไม่ทนให้เพื่อนของพี่ชายคนนี้ทำอนาจารกับร่างกายของเขาไปมากกว่านี้อีกแล้ว ที่ผ่านมาเพราะเห็นว่าผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือพี่ชายเขาอยู่บ่อยๆจึงต้องทน แต่นับวันพีระยิ่งหนักข้อ จากที่แค่จับในตอนนี้กลับทั้งกอดทั้งหอมแถมยังรุกไล่จนพระพายหาทางหนีไม่ได้
“หึ ก็เอาสิครับ ถ้าน้องพายอยากให้ไอ้เอกมันรู้ว่าน้องชายที่มันรักนักหนาเสียตัวให้ไอ้ชั่วที่ฆ่าพ่อแม่ตัวเองตั้งแต่ยังไม่ทำบัตรประชาชน”
!!!!!
“อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะว่าไอ้เจ้าของแหวนที่อยู่บนคอของเรามันลากเราไปทำอะไรที่ห้องเก็บของในวันจบการศึกษา” พีระเอ่ยขึ้นพลางแสยะยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าของพระพายซีดเผือด
“พ...พี่รู้ได้ยังไง”
“พี่ไม่ได้รู้อย่างเดียวหรอกนะน้องพาย แต่พี่ทั้งเห็น ทั้งได้ยินเลยแหละครับ”
!!!!
“รู้สึกยังไงครับ รสชาติของการถูกเอาตั้งแต่อยู่ปอสี่ ไอ้รามมันกระแทกเราถึงใจดีไหม”
“พี่พีท!!!!”
“อ้อ ก็คงถึงใจอยู่แหละเนาะ ทั้งร้องทั้งอ้าขาให้มันเอาซะขนาดนั้น ไอ้รามมันแตกไปหลายน้ำเลยนี่”
พลั่ก!
เสียงฝ่ามือดังขึ้นทันทีที่พีระพูดจบ ใบหน้าหล่อเหลาหันไปตามแรงชกของคนตัวเล็กกว่า กลิ่นคาวคละคลุ้งกระจายไปทั่วโพรงปากจนรู้สึกได้ พระพายหอบหนักหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธปนอับอายในขณะที่พีระทำเพียงแค่ใช้ลิ้นดันกระพุงแก้มอย่างกวนอารมณ์
“พี่จะไม่บอกไอ้เอกเรื่องของพายกับไอ้ราม ตราบใดที่น้องพายยอมพี่ดีๆ ตกลงไหมครับ” ร่างสูงหันกลับมาแสยะยิ้มพลางเลื่อนใบหน้าเข้าไปกระซิบแผ่วเบาข้างใบหูขาว พระพายเม้มปากแน่นก่อนจะชั่งน้ำหนักระหว่างทางเลือกที่มี
ถ้าบอกพันเอก รายนั้นจะโกรธเกลียดรามขึ้นอีกเป็นสิบๆเท่า เขาไม่อยากให้ความแค้นที่กำลังส่อเค้าว่าเจือจางต้องปะทุขึ้นอีกเพราะอดีตที่ผ่านไปแล้ว แต่ถ้าไม่บอก พระพายแน่ใจว่าตนไม่มีทางรอดพ้นเงื้อมือของพีระไปได้เป็นแน่
เขาควรจะเลือกหนทางไหน?
ร่างเล็กเม้มปากแน่น เงยหน้าจ้องมองโครงหน้าได้รูปที่กำลังมองเขาด้วยดวงตาพราวระยับ ฝ่ามือของอีกฝ่ายยังลูบวนอยู่แถวหน้าท้องและส่งผ่านความสะอิดสะเอียนมาไม่ขาดสาย
ไม่ พระพายไม่ชอบการอยู่กับผู้ชายคนนี้ เขาเกลียดการตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ชายคนนี้ และเขาจะไม่มีวันยอมผู้ชายคนนี้
“ผมไม่มีทางยอมพี่หรอก ต่อให้ผมตายผมก็ไม่มีวันยอม”
“พาย!!!”
“อยากจะฟ้องอะไรพี่เอกก็เชิญ เรื่องมันเป็นอดีตไปแล้ว ผมเชื่อว่าพี่เอกแยกแยะได้” ร่างเล็กเชิดหน้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงแม้ในใจจะหวาดหวั่น พีระกัดฟันกรอดจ้องมองคนที่เขาหมายจะเด็ดดอมลงมาเชยชมแต่เจ้าตัวกลับไม่ใยดีต่อความรู้สึกที่เขามีให้
“อยากจะลองดีกับพี่ใช่ไหมพระพาย นายอยากลองดีมากนักใช่ไหม”
“หึ ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนขี้ขลาดอย่างพี่จะทำอะไรได้บ้างนอกจากฟ้องคนนั้นคนนี้ไปทั่ว จะบอกอะไรให้นะครับพี่พีท นายรามที่ว่าเลวนักหนายังมีความเป็นลูกผู้ชายมากกว่าพี่ร้อยเท่าพันเท่าอีก จำเอาไว้!” ร่างเล็กทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยน้ำเสียงดุดันก่อนจะสะบัดตัวออกจากอีกฝ่ายและเดินหนีออกมา เมื่อแน่ใจว่าหนีอีกคนพ้นพระพายก็ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นพลางเม้มปากแน่น สองมือยกขึ้นกำแหวนเงินเกลี้ยงเกลาที่ห้อยคอเอาไว้พลางหลับตาแน่นและชันเข่าขึ้นมาก่อนจะซบใบหน้าลงอย่างอ่อนแรง ความทรงจำในวันนั้นฉายชัดขึ้นมาภายในโสตประสาท ตอกย้ำถึงความโง่และการกระทำที่น่าอับอาย ความรู้สึกร้อนวูบวาบยังคงติดอยู่ตามร่างกายแม้จะผ่านมานานสิบเอ็ดปีแล้วก็ตาม สัมผัสร้อนผ่าวแผ่วเบาจากปลายนิ้ว ความร้อนชื้นจากริมฝีปากและตัวตนความเครียดขึงขนาดพอดีตัวของชายหนุ่มที่ย่างเข่าสู่วัยรุ่นตอนกลาง ร่างกายที่เริ่มมีมัดกล้ามและเสียงแตกห้าวที่ครางอึงอลอยู่ข้างหู
เขายังจำได้ดี พระพายยังจดจำทุกสัมผัสเสียงสรรพเสียงในวันนั้นได้ดี
วันนั้น...วันที่เขาถูกป้ายมลทินทางร้ายกายด้วยความไม่ประสีประสา วันที่เขาถูกฉุดลงสู่ความโสมมของกามารมณ์ก่อนวัยอันควร วันที่เขาถูกผู้ชายอย่าง ‘ราม กลทีบ์’ ล่อหลอกให้มีสัมพันธ์ทางกายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
และเป็นวันเดียวกันกับที่อีกฝ่ายสังหารบิดามารดาของเขาอย่างเลือดเย็น
ตกเย็นรถยนต์คันหรูของพันเอกก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดภายในโรงรถอย่างช้าๆ สองพี่น้องตระกูลกฤตภาสก้าวลงมาจากรถก่อนจะเดินเข้าไปภายในบ้าน ทันทีที่เข้าไปก็เห็นนาวากำลังจัดสำรับอาหารเย็นรออย่างเงียบๆโดยมีณะโมเป็นลูกมืออยู่ไม่ห่าง พันเอกจ้องร่างขาวที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองเขาเลยแม้แต่น้อยก่อนจะลอบถอนหายใจในขณะที่พระพายได้แต่มองพี่ชายด้วยความเห็นใจ
“อ้าว ทำไมวันนี้ได้กลับมาพร้อมกันละคะคุณเอกคุณพาย ป้ากำลังจะให้เจ้ายุออกไปรับคุณหนูพายอยู่พอดีเชียว” เสียงเอื้องคำดังขึ้นขัดบรรยากาศมาคุภายในห้องอาหาร พระพายปรับสีหน้าให้เป็นปกติพลางหันไปยิ้มให้แม่บ้านก่อนจะเดินเข้าไปกอดเอื้องคำแน่นและส่งเสียงออดอ้อนอย่างที่ทำเป็นประจำ
“พอดีเรียนเสร็จไวเลยไปหาพี่เอกที่บริษัทน่ะครับ”
“ไปกวนพี่เขาอีกแล้วใช่ไหมคะเนี่ย” เอื้องคำเย้าทำเอาพระพายยกยิ้มแหย
“แหะ เปล่าสักหน่อย ผมเป็นเด็กดีจะตายป้าเอื้องก็รู้”
“ค่าๆ ป้าทราบค่ะ ไปล้างไม้ล้างมือเสียเถอะค่ะคุณทั้งคู่ คุณวากับณะตั้งสำรับเสร็จพอดี” เอื้องคำบอกก่อนจะพยักเพยิดไปยังโต๊ะอาหารที่มีกับข้าวมากมายส่งกลิ่นหอมอ่อนๆมาให้ท้องร้องเล่น พระพายกับพันเอกเดินตามกันไปล้างมืออย่างเงียบๆก่อนจะกลับเข้ามานั่งประจำที่โดยมีมินตราทำหน้าที่ตักข้าวสวยให้เหล่าผู้เป็นนาย
“แล้วพี่วากับณะละครับ” พระพายเอ่ยถามเมื่อวันนี้บนโต๊ะอาหารมีเพียงเขากับพี่ชายเพียงแค่สองคน อันที่จริงเขากับพันเอกนั่งกินข้าวกันแค่สองพี่น้องมาตั้งแต่เกิดเรื่อง นาวากับณะโมทำเพียงแค่จัดเตรียมสำรับขึ้นโต๊ะก่อนจะพากันหายลับไม่เห็นตัว
“ทานข้าวอยู่ในครัวกับน้ำอุ่นแล้วก็พี่สันต์ค่ะ” มินตราอ้อมแอ้มตอบ พันเอกชะงักคำสิ่งที่ได้ยินก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสั่งสาวใช้หน้าหวานด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไปตามสองคนนั้นมานั่งกินข้าวด้วยกัน”
“ค่ะๆ เดี๋ยวมีนไปตามมาให้นะคะ” มินตราละล่ำละลักก่อนจะวิ่งฉิวออกจากห้องอาหารไป ไม่นานหญิงสาวก็กลับเข้ามาใหม่พร้อมกับสองพี่น้องตระกูลชนกันต์และน้ำอุ่นที่ทำหน้าแหยๆ
“นั่งสิ ทั้งคู่นั่นแหละ” ประมุขของบ้านสั่งเสียงเฉียบ นาวาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยสายตาราบเรียบก่อนจะจูงมือณะโมให้ไปนั่งข้างๆพระพาย
“นาวามานั่งข้างฉัน” ร่างสูงเอ่ยขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตัวขาวกำลังจะหย่อนตัวลงนั่งข้างๆผู้เป็นน้องชาย นาวาขมวดคิ้วทันทีด้วยความไม่พอใจก่อนจะจำใจยอมเดินอ้อมไปนั่งกับพันเอกด้วยใบหน้าบึ้งตึง ณะโมมองตามพี่ชายก่อนจะเบนสายตาไปมองร่างสูงใหญ่ของพันเอกที่ยังจ้องนาวาไม่วางตา เด็กหนุ่มเม้มปากแน่นดวงตาวาวโรจน์ก่อนจะเอ่ยขึ้นลอยๆพลางปรายหางตาไปมองคนที่นั่งหัวโต๊ะด้วยแววตาชิงชังกรุ่นโกรธ
“ผมรู้เรื่องทุกอย่างแล้วนะครับคุณพันเอก”
สิ้นประโยคทั้งโต๊ะก็หันไปมองณะโมเป็นตาเดียว พันเอกแค่นยิ้มพลางจ้องใบหน้าของเด็กหนุ่มด้วยแววตาเรืองอำนาจ ร่างสูงนั่งเงียบอย่างรอคอยว่าณะโมกำลังคิดจะทำอะไรในขณะที่นาวาส่ายหน้าปรามน้องชายด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“แล้วไง รู้แล้วทำอะไรได้งั้นเหรอ” พันเอกท้าทายกลับไปด้วยน้ำเสียงติดจะเย้ยหยัน ณะโมยกยิ้มบางเบาแต่ดูน่ากลัวยิ่งนักในความรู้สึกของคนมองก่อนที่เด็กหนุ่มจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นเริง
“ก็ไม่ทำไมหรอกครับ แค่อยากบอกให้รู้ว่าผมรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว”
“...”
“รู้ว่าคุณทำอะไรพี่ชายของผมไปบ้าง แล้วก็รสนิยมทางเพศของคนส่วนใหญ่ในบ้านหลังนี้” เด็กหนุ่มพูดพลางมองพันเอกและพระพายด้วยสายตาว่างเปล่า ร่างสูงกัดฟันกรอดจ้องหน้าคนอายุน้อยกว่าเขม็งก่อนจะกดเสียงต่ำอย่างเย็นยะเยือก
“อย่ามาลามปามฉันกับพระพายนะณะโม”
“ผมไม่กล้าขนาดนั้นหรอกครับ”
“...”
“แค่อยากขอร้องว่าต่อไปนี้อย่าทำอะไรพี่ชายของผมอีกก็พอ แล้วพวกเราจะอยู่เงียบๆไม่วุ่นวาย” เด็กหนุ่มพูดพลางสบตากับพันเอกไม่หลบ นาวาเม้มปากแน่นจ้องหน้าน้องชายทีพันเอกทีด้วยความกังวล ยิ่งเห็นว่าประมุขของบ้านนิ่งผิดปกติก็กลัวใจของอีกฝ่ายเหลือเกิน
“ณะ กินข้าวได้แล้ว” คนเป็นพี่ออกปากปราม ณะโมเบนสายตากลับมาที่นาวาก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ ปากเล็กกำลังจะขยับเพื่ออ้าปากโต้เถียงหากแต่คนเป็นพี่กลับส่ายหน้าไปมาและส่งสายตาดุๆกลับไป
“หึ” เสียงแค่นหัวเราะดังขึ้นมาจากหัวโต๊ะ พันเอกจ้องเด็กหนุ่มไม่วางตาก่อนจะเบนสายตากลับมายังคนข้างกายนี่ไม่ยอมสบตากับเขาเลยแม้แต่น้อย
“ฉันไม่ทำอะไรพี่นายหรอกณะโม”
“...”
“ถ้าเขาไม่เต็มใจ”
“ผมมั่นใจว่าพี่วาไม่มีวันเต็มใจให้คุณทำเรื่องแบบนั้น ใช่ไหมครับพี่วา” ณะโมตอกกลับพันเอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจก่อนจะหันไปถามนาวาที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองใคร
“พี่วา ตอบณะมาสิ” คนเป็นน้องเร่งเร้าจนนาวาต้องเงยหน้าขึ้น แก้มขาวแดงระเรื่อน่ามอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกรธหรืออายกับบทสนทนาบนโต๊ะอาหาร สุดท้ายเมื่อเห็นสายตาดุๆของน้องนาวาจึงต้องพยักหน้าพลางตอบรับในลำคอเสียงแผ่วเบา
“อืม”
“หึหึหึ” ประมุขของบ้านลอบมองกริยาของนาวาพลางยิ้มขำ ยิ่งเห็นว่าคนตัวเขาหน้าแดงก่ำก็ยิ่งนึกเอ็นดูจนอยากแกล้งเสียให้เข็ด ชายหนุ่มหันกลับไปสบตากับณะโมที่นั่งมองนาวาด้วยใบหน้างอง้ำพลางแสยะยิ้มเมื่อเห็นอาการของเด็กหวงพี่ชายที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าอ่อนเยาว์นั่น
เหมือนพระพายเมื่อก่อนไม่มีผิด...
พอคิดถึงตรงนี้พันเอกก็หันไปมองน้องชายของตนบ้างก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นว่าพระพายดูซึมลงถนัดตา คิ้วเข้มขมวดมุ่นมองน้องชายนั่งเขี่ยข้าวเหม่อลอยไม่สนใจใคร พันเอกพอจะสังเกตได้ว่าน้องของเขาเปลี่ยนไปตั้งแต่อยู่ที่บริษัท พอพีระกลับไปได้สักพักพระพายก็กลับเข้ามาหาเขาใหม่ก่อนจะนั่งเงียบตลอดจนถึงเวลาเลิกงาน
เป็นอะไรไป...
โปรดติดตามตอนต่อไป
เฮียเอกแกโดนแย่งซีนมากี่ตอนละเนี่ย 5555555