:: CHAPTER 18 ::
จุดเปลี่ยน
ณะโมมองกระบอกปืนในมือพลางครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน เจมส์ไม่ได้เอาเงินหรือแม้แต่ตัวของเขาไป อีกฝ่ายถามเพียงแค่ว่าเขาจะเอาปืนไปใช้ทำอะไร พอณะโมบอกว่าเอาไว้ปกป้องพี่ชายฝ่ายนั้นก็ให้เขามาฟรีๆพลางบอกวิธียิงอีกต่างหาก นับว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีกว่าที่เด็กหนุ่มคิดเอาไว้ และเพราะเหตุนี้เองจึงทำให้เจมส์กับเขาสนิทกันขึ้นมาในระดับหนึ่ง และจากการพูดคุยกันในวันนี้ทำให้ณะโมฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ เจมส์บอกว่าเขาไม่มีอะไรมั่นคงที่จะเป็นรากฐานไปสู่อนาคต ทั้งเงินและที่พักก็เป็นของพันเอกแทบทั้งสิ้น ถ้าจะให้ดีณะโมควรมีเงินเก็บต่างหากเอาไว้เผื่อสักวันหนึ่งพันเอกเกิดคิดเฉดหัวเขากับนาวาทิ้งจะได้ไม่ลำบาก
และเพราะเหตุนี้เองณะโมจึงตัดสินใจถอนเงินออกมาจำนวนหนึ่งซึ่งไม่มากเกินไปก่อนจะนำมาเก็บใส่กระเป๋าของตัวเองพร้อมๆกับปืนที่เพิ่งจะได้มา ณะโมตั้งใจเอาไว้ว่าเขาจะถอนเงินออกมาทุกวัน อาจจะวันละร้อยสองร้อยไปจนถึงห้าร้อยและนำมาเก็บเอาไว้ที่ห้องของตัวเอง เพราะการที่เงินยังอยู่ในบัญชีนั่นก็เท่ากับว่าพันเอกสามารถทำอะไรก็ได้กับเงินเหล่านั้น มันอาจจะดูแย่ที่ทำแบบนี้กับคนที่ให้ทั้งที่พักและการศึกษา แต่เพราะพันเอกเองก็ทำลายศักดิ์ศรีของพี่ชายเขาไปมาก เท่านี้ก็ถือว่าเสมอกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ณะ นี่พี่เองนะ” เสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงของนาวาทำเอาเด็กหนุ่มรีบเก็บปืนและเงินลงกระเป๋าและซ่อนเอาไว้ใต้เตียงอย่างรวดเร็วก่อนจะวิ่งไปเปิดประตูห้องให้พี่ชายเข้ามา
“พี่วาจะนอนแล้วเหรอครับ” เอ่ยถามอย่างแปลกใจ ปกติเวลานี้นาวาจะต้องอยู่ช่วยป้าเอื้องตรวจสอบความเรียบร้อยภายในครัวและรอบๆบ้าน แต่ไหงนาวาถึงขึ้นมาหาเขาทั้งที่ยังไม่ถึงสี่ทุ่มครึ่งกัน
“เอ่อ...คุณเอกบอกให้พี่ไปนอนด้วยน่ะ” นาวาอ้อมแอ้มตอบพลางคิดไปถึงคำสั่งของประมุขของบ้านที่เดินมาบอกให้เขาไปนอนที่ห้องนอนใหญ่ในวันนี้ ณะโมขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจก่อนจะเอ่ยรับอย่างจำใจ
“ก็ไปสิครับ พี่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเขาอยู่แล้วนี่”
“ณะ...” นาวาเรียกน้องชายเสียงอ่อย คิดผิดเหลือเกินที่บอกความจริงกับอีกฝ่ายไป ณะโมเป็นพวกรักแรงเกลียดแรง ทุกวันนี้เด็กหนุ่มไม่สุงสิงกับใครในบ้านและกลายเป็นเด็กไม่น่ารักไปโดยปริยาย
“พี่วาไปเถอะครับ เดี๋ยวเขาจะรอ”
“...”
“ถ้าโดนผู้ชายคนนั้นรังแกอีก ร้องตะโกนให้ดังๆเลยนะครับ” ณะโมอดกำชับพี่ชายไม่ได้ นาวากลั้นหัวเราะกับใบหน้าขึงขังของน้องก่อนจะพยักหน้ารับและบอกฝันดีกับอีกฝ่ายเบาๆ ณะโมยกยิ้มจางๆก่อนจะโผตัวเข้าไปกอดพี่ชายครั้งหนึ่งและผละออกมา ดวงตากลมมองตามแผ่นหลังของนาวาที่หายลับเข้าไปในห้องนอนของพันเอกแล้วก็ถอนหายใจ
“พี่กำลังใจอ่อนรู้ตัวรึเปล่า” ณะโมพึมพำเสียงแผ่วเบาพลางมองบานประตูที่ปิดสนิทด้วยความหนักใจ
นาวากำลังใจอ่อน ณะโมรู้จักพี่ชายของตัวเองดีกว่าใคร
ยิ่งใจอ่อนมากเท่าไหร่ ก็หมายความว่านาวากำลังหวั่นไหวมากเท่านั้น
………………..………………..………………..
“พรุ่งนี้จะพาไปซื้อสูทนะ” เสียงทุ้มของพันเอกดังขึ้นเมื่อนาวาเปิดประตูห้องนอนเข้ามาอย่างเงียบๆ ร่างสูงนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ท่อนบนเปลือยเปล่าอวดแผงอกกำยำในขณะที่ท่อนล่างมีกางเกงขายาวเนื้อผ้าบางเบาสวมติดอยู่
“ซื้อทำไมครับ” นาวาเอ่ยถามร่างสูงพลางเดินไปยังอีกฝั่งของเตียงนอนและก้าวขึ้นไป พันเอกหันกลับมาสนใจหนังสือในมือก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบโดยไม่มองหน้าคู่สนทนา
“อีกไม่กี่วันจะมีงานที่โรงแรม ฉันจะพานายไปด้วย”
“ทำไมผมต้องไปด้วยละครับ” นาวาอดถามออกไปไม่ได้ คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ พันเอกปรายตามองร่างโปร่งเพียงเล็กน้อยก่อนจะตอบอ้อมแอ้ม
“ก็...เห็นว่าวันๆอยู่แต่บ้าน เลยอยากพาออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”
จบประโยคของคนตัวโตนาวาก็เลิกคิ้วขึ้นสูงในขณะที่พันเอกแสร้งกระแอมไอแก้เก้อ จะให้เขาบอกยังไงว่าที่พานาวาไปด้วยน่ะเพราะอยากจะประมูลสร้อยสวยๆสักเส้นมาง้อ หรือไม่ก็ให้อีกคนได้ไปเปิดหูเปิดตาและยอมกลับมาคุยกับเขาดีๆเหมือนอย่างเคย
เผื่อใครจะยังไม่รู้ นี่แหละคือวิธีการง้อของพันเอกละ
“อย่ารบกวนคุณเลยครับ ผมอยู่บ้านก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรสักเท่าไหร่” นาวาปฏิเสธแทบจะในทันที ก่อนจะล้มตัวลงนอนและหันหลังให้กับอีกคน ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าพันเอกกำลังพยายามง้อให้เขาหายโกรธ แต่ทำไปก็ไร้ประโยชน์เพราะนาวาไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องไปติดใจกับการกระทำอันอุกอาจนั้น แรกเริ่มเดิมทียอมรับว่าไม่พอใจที่ถูกจูบต่อหน้าใครหลายคน แต่นาวาไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปแคร์อีกฝ่ายและโกรธจนเป็นบ้าเป็นหลังหรอก
ทางด้านพันเอกเองพอเห็นอีกคนจบบทสนทนาด้วยการนอนหันหลังให้ก็ถอนหายใจ ร่างสูงวางหนังสือไว้ข้างเตียงก่อนจะขยับเข้าหาอีกคน แผ่นอกเปลือยเปล่าแนบชิดกับแผ่นหลังของนาวาก่อนที่วงแขนแกร่งจะโอบเอาเอวบางและดึงร่างโปร่งเข้าไปใกล้
“ยังโกรธเรื่องวันนั้นอยู่อีกเหรอ หืม” พันเอกกระซิบถาม รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเกร็งตัวทันทีที่เขากอด ร่างสูงกระชับอ้อมแขนรั้งนาวาเข้าหาตัวเองพลางคลอเคลียจมูกโด่งที่ท้ายทอยของอีกคนเสียจนนาวาใจสั่น
“ฉันขอโทษ” พันเอกเอ่ยเสียงเบาหากนาวากลับได้ยินอย่างชัดเจน ร่างโปร่งนอนเม้มปากแน่น ไม่เข้าใจเรื่องราวระหว่างเขากับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขาอยู่ในบ้านหลังนี้ในฐานะอะไร พันเอกยังเก็บเขาเอาไว้ทำไมในเมื่อในตอนนี้รามก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน เก็บเขาเอาไว้ทรมานเล่นๆ หรือเก็บเอาไว้เป็นนายบำเรอยามเหงา หรือเอาไว้เป็นคนใช้อีกคนของบ้าน นาวาไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น
“นอนเถอะครับ ดึกแล้ว” นาวาเอ่ยขึ้นเสียงเบาเพื่อตัดบทสนทนาทำเอาอีกฝ่ายนิ่งไป พันเอกคลายอ้อมกอดเล็กน้อยก่อนจะซบหน้าลงกับหลังคอของนาวาพลางสูดดมกลิ่นหอมจางๆจากร่างของอีกคน
“กอดหน่อยนะ ได้ไหม”
“...”
“ให้นอนกอดหน่อยนะวา”
“มันอึดอัดนะครับคุณเอก” นาวาประท้วง ไม่ใช่ข้ออ้างแต่อย่างใดแต่นาวาอึดอัดจริงๆ
“งั้นหันมาฝั่งนี้สิ เร็ว” เจ้าของห้องเอ่ยขึ้นทำเอานาวาจิ๊ปากอย่างขัดใจ คนจะหลับจะนอนทำไมพันเอกต้องมากวนใจด้วยสิน่า ว่าแล้วร่างโปร่งก็พลิกตัวไปประจันหน้ากับอีกคนด้วยใบหน้ายุ่งๆบ่งบอกถึงความหงุดหงิดเล็กน้อย
“พอใจแล้วใช่ไหมครับ กรุณานอนได้แล้...อ๊ะ”
นาวาร้องเสียงหลงด้วยความตกใจเมื่อพอพลิกตัวกลับมาอีกฝ่ายก็กดจูบลงบนหน้าผากของเขาแทบจะในทันที นาวาเงยหน้ามองใบหน้าราบเรียบของพันเอกด้วยความไม่เข้าใจในขณะที่พันเอกขยับกายให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าอีกคนพลางซุกใบหน้าเข้าหาซอกคอและแผ่นอกของอีกคนช้าๆ
“ไม่กอดก็ได้ แต่อย่าพลิกตัวหนีละ” ร่างสูงสั่งก่อนจะปิดตาลง นาวาเม้มปากแน่น จะผลักหนีก็ทำไม่ได้แต่จะให้เขานอนทั้งที่หน้าของพันเอกยังอยู่แถวคอก็คงจะหลับไม่ลง
“จะนอนไหมวา ถ้าไม่นอนจะได้พาทำอย่างอื่น” น้ำเสียงอู้อี้ดังขึ้นมาจากเจ้าของห้องทำเอานาวาต้องถอนหายใจ ร่างโปร่งผละกายลุกขึ้นไปปิดไฟก่อนจะกลับมานอนบนเตียงท่าเดิม พันเอกยกยิ้มบางเบาท่ามกลางความมืดมิด อยากจะยกมือขึ้นไปกอดอีกคนใจจะขาดแต่ก็กลัวว่านาวาจะบ่นอึดอัดและหลับไม่สบาย เพียงไม่นานลมหายใจเข้าออกของคนตัวเล็กกว่าก็ดังอย่างสม่ำเสมอ พันเอกผละออกจากซอกคอของอีกคนพลางเท้าแขนมองใบหน้าเนียนโดยอาศัยแสงไฟจากด้านนอกที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา มือแกร่งยกขึ้นลูบไล้แก้มขาวแผ่วเบาอย่างทะนุถนอมก่อนจะขยับเข้าไปใกล้นาวาช้าๆและแอบหอมแก้มใสของอีกคนเบาๆ
ในเวลานี้สิ่งที่ทำได้มากสุดก็คงเป็นแค่การฉวยโอกาสกับคนนอนหลับ ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไรพันเอกคงทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้ แม้อยากจะทิ้งทุกอย่างและเริ่มต้นชีวิตใหม่กับนาวาแต่ก็ยังติดปัญหาตรงที่พันเอกไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมองเขาเช่นไร พันเอกไม่รู้ว่านาวารู้สึกยังไงกับเขา อีกทั้งรามเองก็ยังไม่ตายและไม่นานฝ่ายนั้นคงกลับมาเอาคืน
ทางออกสำหรับเรื่องนี้แม้จะมีอยู่ไม่มากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย หนทางที่ดีที่สุดในการจบเรื่องทุกอย่างคือการที่เขาปล่อยนาวาและน้องชายไป แต่ทั้งๆที่รู้ว่าการปล่อยให้นาวามีชีวิตเป็นผลดีแต่พันเอกก็ตัดใจปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือไปไม่ได้
เขาอยากครอบครองนาวาเอาไว้คนเดียว อยากให้อีกฝ่ายอ่อนโยนกับเขาเพียงแค่คนเดียว นาวาเป็นคนของเขา เป็นเมียของพันเอก และมันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
ไม่ว่าใครก็มาพรากนาวาไปจากเขาไม่ได้หรอก
………………..………………..………………..
เช้าวันรุ่งขึ้นพันเอกสั่งให้นาวาไปทำงานด้วยเพราะเขามีประชุม นาวาเลยต้องไปนั่งแกร่วอยู่ในห้องทำงานของพันเอกด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย บางทีเลขาสาวของชายหนุ่มก็เข้ามาพูดคุยแก้เบื่อบ้างแต่ไม่นานเธอก็ต้องออกไปทำงานที่ได้รับมอบหมาย นาวารอพันเอกจนเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พอรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นพันเอกเดินเข้ามาพร้อมกับพายุพลางพูดคุยกันด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“ถ้ายังไงเดี๋ยวผมตรวจสอบความเรียบร้อยให้อีกทีก็ได้ครับ คุณเอกพาคุณวาออกไปซื้อชุดเถอะ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง” พายุเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้ม พันเอกได้แต่คิดในใจว่าเขาคิดถูกแล้วที่ส่งเสียพายุและจักรจนทั้งคู่เรียนจบปริญญาตรีและกลายเป็นคนมีความสามารถเทียบเท่ากับเขา เวลางานที่บริษัทมีปัญหาคนสนิทของเขาทั้งสองคนก็ทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ถ้าถามถึงคนที่พันเอกอยากให้มารับกิจการต่อจากเขาก็คงเป็นหนึ่งในสองคนนี้นั่นแหละ
“อืม ให้จักรอยู่ช่วยทางนี้ไปก็แล้วกัน เดี๋ยววันนี้ฉันจะขับรถเอง” ร่างสูงทิ้งท้ายเอาไว้เพียงเท่านั้นก็ลากนาวาพ่วงด้วยเลขาคนสวยอย่างแก้วกิรตาออกมาจากบริษัท ตลอดทางไปห้างสรรพสินค้านาวาแทบจะไม่มองไปที่ไหนเลยนอกจากคนข้างกาย เขามองจนกลายเป็นจ้อง จ้องเสียจนพันเอกแค่นหัวเราะก่อนจะเอ่ยถามว่ามองอะไรนักหนา
นาวาได้แต่ส่งค้อนให้อีกคน ก็แน่ละ จะไม่ให้เขามองได้ยังไง ร้อยวันพันปีนาวาไม่เคยเห็นพันเอกขับรถเองสักครั้ง ทุกทีเจ้าตัวจะเป็นฝ่ายนั่งหลังและให้ลูกน้องขับไปไหนมาไหนตลอด
“เหมือนเป็นเจ้านายแล้วแกเป็นลูกน้องฉันเลยอ่ะไอ้เอก ขอถ่ายรูปท่านประธานตอนขับรถแบบสามัญชนไปให้ลูกชายกับสามีที่บ้านดูได้ไหมคะ” แก้วกิรตาเอ่ยเย้าพลางมองเจ้านายจากทางเบาะหลัง นานๆทีเธอจะได้มานั่งในตำแหน่งที่ผู้เป็นนายนั่งประจำในขณะที่พันเอกไปเป็นคนขับรถแทนก็อยากจะขอแซวอีกฝ่ายเสียหน่อย
“หุบปากไปเลยแก้ว” พันเอกเอ็ดหญิงสาวเสียงดุ แต่มีหรือที่แก้วกิรตาจะนึกกลัว ความจริงแล้วความสัมพันธ์ของทั้งคู่นอกเวลางานคือเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยประถมของกันและกันไม่แปลกที่จะพูดจาสนิทสนมกันได้ถึงระดับนี้ แก้วกิรตารู้จักพันเอกมากพอๆกับที่จักรและพายุรู้จัก และในบางเรื่องเธอซึ่งเป็นหญิงสาวมักจะเข้าใจพันเอกได้ดีกว่าใครๆ
อย่างเรื่องที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนเช่นความรัก
เลขาสาวเอียงคอมองคนที่นั่งคู่กับเจ้านายพลางยกยิ้ม ตั้งแต่เห็นพันเอกจูงมือนาวาเข้าบริษัทมาเมื่อเช้าเธอก็เข้าใจได้ทันทีว่าเพื่อนของเธอคนนี้กำลังจะเปลี่ยนไป
หรือบางทีอาจเปลี่ยนไปแล้วก็ได้
พันเอกที่เธอรู้จักตั้งแต่ช่วงจบม.ปลายเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาคืนให้กับครอบครัว รายนั้นเรียนเพื่อถีบตัวเองให้มีอำนาจ ทำทุกอย่างให้ตัวเองมีอิทธิพลมากพอเพื่อที่จะใช้สิ่งเหล่านั้นแก้แค้นคนที่ทำให้ครอบครัวต้องพังพินาศ พันเอกไม่เคยรักในสิ่งที่เรียน ไม่นึกรักในอาชีพที่ทำ และไม่ใคร่เสน่หาในตัวใครคนไหนนอกจากคนในครอบครัว ก่อนหน้านี้เพื่อนตัวสูงเป็นเหมือนนักธุรกิจไร้หัวใจ เป็นหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมมาให้ทำทุกอย่างเพื่อให้พวกกลทีบ์ล่มจม
แต่พอมีคุณนาวาเข้ามาในชีวิตทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป
แม้จะสายไปแต่หนทางข้างหน้าสำหรับทั้งคู่ก็ยังพอมีอยู่บ้าง แก้วกิรตาคิดถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ ได้แต่หวังว่าเรื่องราวทุกอย่างจะไม่เลวร้ายลงไปมากกว่าเดิม
“เดี๋ยวเธอพาวาไปร้านสูทก่อนเลยนะ ขอหาที่จอดรถก่อน” เสียงของพันเอกดังขึ้นดึงสติของเลขาสาวให้กลับมาสู่ปัจจุบัน หญิงสาวหันไปมองรอบกายแล้วก็เบ้หน้าเมื่อเห็นว่าห้างสรรพสินค้าในวันนี้คนเยอะมากกว่าทุกๆวัน
“ไปร้านสูทข้างนอกดีกว่าไหม แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆ เวียนหัว”
“ซื้อที่นี่แหละ เสร็จแล้วจะได้แวะกินข้าวเลย ขี้เกียจขับรถแล้ว”
“ชิ...งั้นมาค่ะคุณวา เดี๋ยวเราลงกันตรงนี้แล้วให้ไอ้เอกมันไปวนหาที่จอดตามยถากรรมของมันไป” เลขาสาวเอ่ยพลางก้าวลงจากรถ ความร้อนจากฝุ่นควันและอากาศที่อบอ้าวทำเอาหญิงสาวหน้าหงิกทันทีที่ผิวสัมผัสเข้ากับบรรยากาศโดยรอบ นาวายกยิ้มมองกริยาน่ารักของหญิงสาวข้างกายก่อนจะถอนเสื้อแขนยาวที่ใส่มาคลุมไหล่อีกฝ่ายให้
“ใส่ไว้ก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผิวคุณแก้วจะเสีย”
“โอ๋ยพ่อคุณของบ่าว แก้วผิวเสียก็ช่างมันเถอะค่ะ แต่งงานมีสามีจนลูกสองแล้ว ระดับนี้ไม่ต้องห่วงสวยไปอ่อยใครแล้วค่ะ” แก้วกิรตาเอ่ยเย้าเรียกรอยยิ้มหวานจากคนข้างกาย
“คุณวาเถอะค่ะต้องใส่ นี่ถ้าผิวขาวๆเกิดไหม้แดดขึ้นมาแก้วถูกไอ้เอกกระทืบตายคาเท้ามันแน่ๆ โทษฐานทำหวานใจมันดำปิ๊ดปี๋”
“โถ่คุณแก้วก็ ผมไม่ใช่หวานใจของคุณเอกนะครับ” นาวาเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ตั้งแต่รู้จักกันในตอนเช้าเลขาสาวของพันเอกก็เอาแต่ยัดเยียดฐานะคนรักของเจ้านายมาให้เขาอยู่ตลอดเวลา นาวาปฏิเสธอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ฟัง เอาแต่ส่งสายตาเจ้าเล่ห์ล้อเลียนมาให้
“เอาเถอะค่า ใครเล่าจะรู้ใจเราเท่าตนเอง แก้วว่ารีบเข้าไปข้างในดีกว่าค่ะ ร้อนจนจะละลายอยู่แล้ว” หญิงสาวเอ่ยก่อนจะจูงมือนาวาเข้าไปในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ทั้งคู่ตรงดิ่งขึ้นไปยังโซนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าร้านขายเสื้อสูทร้านหนึ่ง แก้วกิรตาพานาวาเข้าไปลองชุดสูทด้านในรอพันเอกซึ่งตามมาหลังจากนั้นไม่นานนัก สองนายบ่าวจับนาวาลองเสื้อผ้าตามใจราวกับแต่งตัวตุ๊กตา นาวาหัวหมุนไปพักใหญ่เพราะบางช่วงแก้วกิรตากับพันเอกก็ทะเลาะกันเองเพราะความเห็นไม่ตรงกัน
“แก้วว่าสีขาวตัวเมื่อกี้เหมาะกับคุณวามากกว่านะคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นพลางมองสูทที่นาวาสวมใส่อยู่ ร่างโปร่งหันไปมองพันเอกอย่างขอความเห็นบ้าง
“อืม สีขาวก่อนหน้าดูดีกว่าจริงๆ”
“คุณวาใส่สีขาวแล้วน่าปล้ำอ่ะดิแก ฉันรู้หรอก อย่าให้มันมากนักนะยะ” แก้วกิรตาเอ่ยแซวเพื่อนตัวสูง ประโยคของเธอทำเอาพันเอกหันไปมองอย่างดุๆในขณะที่นาวาหน้าร้อนวูบ
“คุณวาไปลองสูทตัวเมื่อกี้ให้ดูอีกทีหน่อยสิคะ” เลขาสาวไม่สนใจพันเอกแต่หันกลับมาบอกกับนาวาแทน ร่างโปร่งยกยิ้มพลางพยักหน้าก่อนจะรับเอาสูทสีขาวบริสุทธิ์มาถือเอาไว้และตรงดิ่งไปยังห้องลองเสื้อทันที แต่ยังไม่ทันจะได้ปิดประตูลงกลอน ประตูห้องลองก็ถูกเปิดด้วยฝีมือของพันเอกก่อนที่ร่างสูงจะพาตัวเองเข้ามาภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆนี้ด้วย
“คุณเอก!”
“อย่าเสียงดังนักสิ เดี๋ยวคนเขาก็รู้หรอกว่าเราทำอะไรกัน”
“ทำอะไรที่ไหนละคุณ ออกไปเลยนะ!” นาวาแหวหน้าแดงก่ำก่อนจะถอยหลังจนแผ่นหลังชิดกับผนังห้องเมื่ออีกฝ่ายขยับตัวเข้ามาใกล้ พันเอกมองคนตัวขาวตรงหน้าด้วยใบหน้าราบเรียบ หากทว่ามุมปากกลับกระตุกยิ้มโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกต
“ฉันถามอะไรหน่อยสิ” ร่างสูงพูดขึ้นพลางยกสองมือขึ้นทาบกับผนัง กักร่างของนาวาให้ไร้หนทางหนี นาวาเม้มปากแน่นพลางมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำไม่หยุด
“ออกไปถามข้างนอกก็ได้นี่ครับ”
“ไม่ได้”
“...”
“นายเกลียดฉันมากไหมวา” พันเอกไม่รีรอ เขาส่งคำถามออกไปตรงๆให้อีกฝ่ายตกใจ นาวามองพันเอกด้วยสายตาไม่เข้าใจพลางเบือนหน้าหนี
“ทำไมถึงถามแบบนั้นละครับ”
“เพราะจะได้ทำตัวถูก ถ้านายเกลียดฉันจะขอโอกาสแก้ตัว แต่ถ้าไม่...ฉันจะขออย่างอื่น” ร่างสูงพูดเสียงเบาพลางจ้องหน้านาวาด้วยสายตาจริงจังจนคนถูกมองต้องเสตาหลบ สิ่งที่พันเอกจะขอมันคืออะไร? หากอีกฝ่ายเอ่ยออกมาความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า
“ที่เคยบอกว่าเกลียดฉันต่อหน้าทุกคน นายเกลียดฉันจริงๆรึเปล่า”
“...”
“บอกได้ไหม”
“ถ้าผมบอกว่าผมไม่ได้เกลียดคุณ คุณจะขออะไรจากผม” นาวาเอ่ยถาม อีกฝ่ายนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนที่จะเคลื่อนหน้าเข้าหานาวาและแต้มริมฝีปากลงบนกลีบปากอวบอิ่มในวินาทีต่อมา นาวาตัวแข็งทื่อกับจูบของอีกคนแต่เพียงไม่นานพันเอกก็ผละออกไป
“ขอความรัก”
!!!
“ถ้าไม่เกลียดฉัน นายจะรักฉันได้ไหม”
“คุณ...” นาวามองพันเอกด้วยความสับสน เขาสับสนและตกใจมากจริงๆกับสิ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งจะพูดมันออกมา พันเอกเองก็มองเห็นแววตาสับสนของนาวา ร่างสูงขยับเข้าหาร่างโปร่งพลางยกมือขึ้นลูบแก้มใสแผ่วเบาและกดจูบลงบนหน้าผากมนของคนที่เขาหวงแหนสุดใจ
“ฉันรู้ว่ามันกะทันหัน และไม่หวังให้นายตอบรับ แต่อย่างน้อยๆก็อย่าเกลียดกันเลยนะ”
“คุณเอก...” นาวาเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเบา พันเอกก้มลงสบตาคู่กลมสุกใสของคนตรงหน้าก่อนจะยกยิ้มอย่างอ่อนโยน เป็นยิ้มที่นาวาไม่เคยได้รับมันมาก่อน เป็นยิ้มที่พันเอกมอบให้เพียงแค่คนที่รักเท่านั้น
และไม่รู้อะไรดลใจ จู่ๆวงแขนขาวผ่อนของนาวาก็ยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งก่อนจะรั้งใบหน้าของพันเอกให้โน้มลงมารับจูบอ่อนหวานจากเขา นาวาเผยอปากครอบครองริมฝีปากของร่างสูงพลางหลับตาลง พันเอกกระชับเอวของนาวาเอาไว้ด้วยสองมือพลางกดร่างกำยำของตัวเองเข้าแนบชิด ริมฝีปากของทั้งคู่แตะแต้มดูดดึงกันและกันอย่างเร่าร้อน ต่างคนต่างทิ้งทุกสิ่งเอาไว้ภายนอก มีเพียงความต้องการจากก้นบึ้งของจิตใจภายในห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้
นาวาครางออกมาเสียงแผ่วเบายามเมื่อลิ้นร้อนของตนถูกลิ้นของอีกฝ่ายเกี่ยวรัดเอาไว้ พันเอกแลกจูบดูดดื่มเสียจนนาวาแทบขาดอากาศหายใจ สองมือของร่างสูงปลดเปลื้องสูทบนตัวของนาวาออกทีละชิ้นจนมันลงไปกองอยู่แทบเท้า และนาวาเองก็เช่นกัน มือเรียวปลดเอาเสื้อผ้าของพันเอกออกจากกายจนตอนนี้ร่างของทั้งคู่แทบจะเนื้อแนบเนื้อ พันเอกอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนในขณะที่นาวาเหลือเพียงชั้นในปกปิดกาย ร่างสูงผละจูบออกมามองใบหน้าขาวที่สองข้างแก้มแดงก่ำก่อนจะก้มลงหอมแก้มนาวาฟอดใหญ่อย่างอดใจไม่ไหว ริมฝีปากสีชาดเลื่อนเข้าไปขบเม้มที่ใบหูขาวพลางกระซิบอ้อนวอน
“ขอนะ”
“คุณเอก...แต่ที่นี่มัน...ฮื่อ” นาวาร้องประท้วงเมื่อถูกอีกฝ่ายรูดรั้งอันเดอร์แวร์สีเข้มออกจากกาย ร่างขาวเปลือยเปล่าอวดความน่าหลงใหลต่อสายตาของคนมอง พันเอกรวบร่างเล็กกว่ามากอดเอาไว้พลางบดจูบลงบนกลีบปากสีระเรื่อของนาวาอีกครั้งซึ่งนาวาเองก็เอียงหน้าเผยอปากรับสัมผัสหวามไหวจากอีกฝ่ายแต่โดยดี ลืมทุกกาละและเทศะรอบกาย ทอดกายให้พันเอกเชยชมด้วยอารมณ์ความต้องการที่ถูกปลุกปั่นขึ้นตามครรลอง กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอไผลไปกับความอ่อนโยนของคนตรงหน้าก็เมื่อยามที่ทั้งสองร่างผสานกันเป็นหนึ่งเดียวท่ามกลางพื้นที่แคบๆภายในห้องลองเสื้อแห่งนี้เสียแล้ว
นาวาเสียรู้ เผลอยอมให้อารมณ์ใคร่จากส่วนลึกของจิตใจครอบงำ รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่เหมาะไม่ควร รู้ทั้งรู้ว่ามันผิด แต่ถึงจะรู้อยู่เต็มอก แต่เขาก็ยังเต็มใจให้อีกฝ่ายตักตวงเอาทุกอย่างไปจนหมด
พันเอกได้ไปจนหมดแล้วจริงๆ...
Loading...
Talk…เหมือนจะหวาน เหมือนกำลังจะผ่านไปได้ด้วยดีเนาะ ฮ่าาาาา (คนอ่านบอกเหรออออออ) หลังจากนี้…เราไม่สามารถบอกได้จริงๆค่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้น เอาเป็นว่าขอให้นักอ่านทุกท่านคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ให้พร้อม ใครมีหมวกกันน็อคก็อย่าลืมหยิบมาสวมด้วยนะคะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ตราบใดที่ท้ายตอนไม่มีคำว่า The End หึหึหึหึ
เจอกันอีกทีครึ่งหลังนะจ๊ะ
I ❤ You