:: CHAPTER 25 ::
ชดใช้
เสียงพื้นรองเท้ากระทบกับทางเดินหน้าห้องฉุกเฉินดังขึ้นตามจังหวะการเดินของสองร่างที่เดินสวนกันไปมา พวกเขาสงบอารมณ์ของตัวเองไม่ได้เลยตั้งแต่เกิดเรื่องจนกระทั่งตอนนี้ พันเอกยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตาคมจ้องประตูห้องฉุกเฉินด้วยความร้อนใจ ความรู้สึกอึดอัดเหมือนไร้อากาศหายใจแผ่ขยายรอบตัว ชายหนุ่มได้แต่ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจขณะรอคอยให้ประตูห้องถูกเปิดออกมาพร้อมกับข่าวของพระพาย
พันเอกยังจำสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้ดี จำมันได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเสียงท้องฟ้ากรีดร้องท่ามกลางผืนน้ำที่สั่นไหวก่อตัวเป็นเกลียวคลื่นกลางท้องทะเล สายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงจนบาดผิว ความมืดมิดของหมู่เมฆทะมึนสีเข้มที่บดบังทัศนยภาพ และที่ชัดเจนมากที่สุดก็คือเรือสีขาวนวลตาที่ลอยคว้างอยู่ตรงหน้าพร้อมกับร่างของพระพายที่พลัดตกลงทะเลมัจจุราชต่อหน้าต่อตาของเขากับราม ทั้งคู่ไม่รีรอที่จะกระโดดลงไปช่วย หากแต่กระแสน้ำในยามที่สภาพอากาศเลวร้ายส่งผลให้ร่างของพระพายถูกพัดลงสู่ห้วงลึกอย่างรวดเร็ว กว่าพวกเขาจะคว้าตัวเอาไว้ได้ทั้งพันเอกและรามก็เกือบจะสิ้นลมจมน้ำตามกันไปอีก
และทันทีที่คว้าร่างเล็กกลับขึ้นมาบนเรือได้ รามก็รีบบึ่งขึ้นฝั่งทันที กระแสน้ำและพายุฝนทำเอาเรือของพวกเขาถูกพัดออกนอกเส้นทางอยู่บ่อยครั้ง รามเองก็แทบจะจำเส้นทางขึ้นฝั่งไม่ได้ แต่เพราะร่างขาวที่ไร้สติในอ้อมกอดของพันเอกนั่นทำให้เขาฝ่าพายุและพาพระพายขึ้นฝั่งมาได้แม้จะเสียเวลาไปหลายชั่วโมง เมื่อไปถึงโรงพยาบาล สิ่งแรกที่เห็นคือนารายณ์ที่กำลังจะลงเวร ข้างกายมีส่องแสงที่เดินตามมาติดๆ
“นาย!!!”
“เฮ้ย! พวกมึง...” / “พี่เอก!” ทั้งนารายณ์และส่องแสงอุทานเสียงหลง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าพันเอกอุ้มร่างของพระพายแนบอก
“พาย!” แพทย์ทั้งสองอุทาน ก่อนที่นารายณ์จะรีบพาตัวของพระพายเข้าห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็วและยังไม่มีวี่แววว่าจะออกมาเลยจนกระทั่งตอนนี้
“ทำไมนานจังวะ!” นายหัวหนุ่มแห่งเกาะนาคาน้อยสบถลั่นเมื่อเริ่มจะหมดความอดทน นารายณ์พาพระพายเข้าไปนานมากแล้ว นานจนเขาร้อนไปทั่วทั้งอก ยิ่งคิดถึงสิ่งที่ทำเอาไว้กับพระพายรามก็ยิ่งรู้สึกผิด หากพระพายเป็นอะไรไป รามสาบานว่าเขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเอง
“พวกพี่นั่งกันก่อนเถอะครับ คุณพายถึงมือหมอแล้ว” ส่องแสงที่นั่งเงียบมานานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ ยอมรับว่าคาดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอพันเอกหลังจากที่เขาขาดการติดต่อกับอีกฝ่ายไป ส่วนรามเอง...ตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายรู้ว่าเขาตั้งใจจะปลิดชีพ เจ้าตัวก็ไม่มาให้ส่องแสงเห็นหน้าอีก
“นี่มันครึ่งชั่วโมงแล้วนะเทียน ทำไมถึงเข้าไปนานนัก” รามพูดขึ้นมาอีกพลางกัดฟันกรอด พันเอกเองก็มองหน้าส่องแสงเหมือนต้องการคำตอบเช่นเดียวกัน
คนถูกถามได้แต่ส่ายหน้า เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออกมาพร้อมกับใบหน้าอิดโรยของนารายณ์
“ไอ้นาย เมียกูปลอดภัยใช่ไหม” รามเป็นคนแรกที่ตรงดิ่งเข้าไปหาร่างสูงของคุณหมอหนุ่ม ประโยคของร่างสูงเรียกสายตาคมกริบของพันเอกให้ตวัดขึ้นไปมอง ชายหนุ่มกัดฟันกรอดกับคำเรียกขานของรามแต่ก็เลือกที่จะปิดปากเงียบและรอฟังสิ่งที่นารายณ์กำลังจะพูด
“น้องขาดออกซิเจน น้ำทะเลเข้าไปในถุงลมกับปอดเยอะมาก ทำให้เกิดภาวะ Electrolyte Imbalance” นายแพทย์หนุ่มพูดขึ้นด้วยใบหน้าคร่งเครียด
“มันคืออะไร” พันเอกถามขึ้น สองมือกำแน่นเข้าหากันในขณะที่นารายณ์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า
“ภาวะที่น้ำและเกลือแร่ในร่างกายไม่สมดุลน่ะ ตอนนี้พยาบาลกำลังขับน้ำออกอยู่...” นารายณ์พูดพลางจ้องมองใบหน้าของคนทั้งคู่ไม่วางตา “พระพายโพแทสเซียมต่ำ มันอาจจะมีผลเรื่องกล้ามเนื้อและระบบประสาท รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจด้วย”
นายแพทย์หนุ่มพูดจบทั้งรามและพันเอกก็หน้าซีดเผือด
“แล้วสรุปพายจะรอดไหม?” พันเอกถามเสียงแผ่ว หัวใจเจ็บเสียดและกลัวกับคำตอบของนารายณ์มากเหลือเกิน
“รอดน่ะรอด แต่อาการหลังจากนี้นี่แหละที่น่าเป็นห่วง น้องอาจจะเบลอๆ เหนื่อยง่าย กล้ามเนื้อตามร่างกายยังใช้งานได้ไม่เต็มที่ คือระบบต่างๆในร่างกายน้องรวนมากเลยตอนนี้ ร่างกายขาดออกซิเจนด้วยไง นี่ยังดีที่ที่สมองไม่ขาดออกซิเจนไปด้วย ไม่งั้นไม่รอดแน่ๆ” ร่างสูงของนารายณ์พูดขึ้น พาให้คนฟังโล่งออกไปตามๆกัน รามทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นทันทีที่ฟังจบพลางเอ่ยขอบคุณนารายณ์ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
คุณหมอหนุ่มมองภาพตรงหน้าแล้วก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้เลยต้องออกปากเตือน
“มึงทำอะไรไว้ รู้ใช่ไหมราม”
“...”
“จริงๆพระพายจะไม่เป็นหนักขนาดนี้ ถ้ามีแรงพอที่จะดึงตัวเองขึ้นจากน้ำ” นารายณ์พูดเสียงราบเรียบ นึกย้อนไปถึงร่องรอยตามร่างกายของคนไข้ในห้องแล้วก็พาลอยากจะเขย่าคอรามเพื่อเตือนสติให้รู้สึกตัว
“น้องถูกทำร้ายมาก่อนจะตกน้ำ และกูมั่นใจว่าคนทำก็คงเป็นไอ้คนที่ประกาศปาวๆว่าน้องเป็นเมียมันอย่างมึง กูพูดถูกไหม?” คราวนี้พันเอกหันขวับไปมองรามแทบจะทันทีหลังจากที่นารายณ์พูดจบ ร่างสูงตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อรามแทบจะทันทีก่อนจะกระแทกร่างสูงเข้ากับผนังของโรงพยาบาลพลางกัดฟันกรอด
“มึง!!!”
“...” รามเงียบกริบ เลือกที่จะเบนหน้าหนีสายตาแข็งกร้าวของพันเอกไปอีกทางพลางพึมพำคำขอโทษเสียงแผ่วเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน พันเอกหลับตาแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ก่อนจะผละกายออกห่าง
“พอกันที จบกันสักที กูจะไม่ยอมเสียน้องไปเพราะเกมงี่เง่านี่อีกแล้ว” ร่างสูงพูดขึ้น ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เมื่อรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวจากก้นบึ้งของจิตใจในวินาทีที่เกือบจะสูญเสียน้อง
พอกันสักที จบเรื่องบ้าๆนี่เสียที
“กูจะกลับกรุงเทพ จะพาพระพายกลับ” ชายหนุ่มพูดเสียงสั่น เงยหน้ามองรามที่มองมาด้วยแววตาวูบไหวก่อนจะย้ำเจตนารมณ์ของตัวเองอย่างหนักแน่น
“กูจะพาน้องกลับ แล้วหลังจากนี้ กฤตภาสกับกลทีบ์จะไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”
ไม่มีอะไรต้องติดค้างกันอีกต่อไปแล้ว ขอให้มันจบลงตรงนี้ จบความทรมานนี้เสียที
จบมันเสียที ทั้งความแค้น ความเกลียดชัง
หรือแม้แต่ความรัก...
1 เดือนต่อมา
ร่างเล็กของพระพายนั่งนิ่งอยู่บนรถเข็นขณะมองผู้เป็นพี่ชายที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าหวานที่เริ่มมีน้ำมีนวลและสดใสขึ้นส่งยิ้มบางเบาให้คนที่ตรงดิ่งเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า พันเอกคว้ามือขาวของน้องเข้ามากดจูบบางเบาก่อนจะเอ่ยถามถึงอาการป่วยที่เป็นอยู่
“ปกติดีครับ แต่ก็ยังมีเหนื่อยบ้าง พรุ่งนี้พี่นายนัดตรวจค่าเกลือแร่ในร่างกายตอนสิบโมงเช้า” พระพายบอกคนตรงหน้า หลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายก็ดูเหมือนว่าพระพายจะยิ้มบ่อยมากกว่าเมื่อก่อน “จริงๆผมเดินเองได้แล้วนะพี่เอก ไม่เห็นต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลาอย่างนี้เลย”
คนเป็นน้องโอดครวญ พันเอกน่ะตื่นตูม ทั้งๆที่พระพายก็แค่มีอาการแข้งขาอ่อนแรงในบางครั้งบางคราว บวกกับหัวใจเต้นผิดจังหวะเนื่องจากสมดุลในร่างกายยังไม่คงที่ แต่พันเอกกลับไม่ยมให้เขาทำอะไร บังคับให้นั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนรถเข็นและขู่ว่าถ้าลุกขึ้นมาแล้วพลัดตกบันไดหรือหกล้มเข้าจะโกรธไปตลอดชีวิต
รู้ทั้งรู้ว่าจุดอ่อนของพระพายคือการถูกพี่ชายตัดเยื่อใยก็ยิ่งยกขึ้นมาขู่เสียจนคนเป็นน้องเงียบกริบและยอมทำตามคำสั่ง
“พี่ไม่อนุญาตให้ลุกขึ้นมาเดินจนกว่าหมอจะบอกว่าเราหายแล้วจริงๆ” พันเอกดุจนพระพายหงอย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปถามหาใครอีกคนแทน
“แล้ววาละ”
“พี่วาอยู่บนห้องครับ วันนี้เขาร้องไห้ด้วย” พอพี่ชายถามถึงนาวาพระพายก็รีบฟ้องถึงอาการของอีกคน พันเอกขมวดคิ้วพลางถามถึงสาเหตุ คนเป็นน้องได้แต่ถอนหายใจ แผ่นหลังเล็กเอนตัวลงพิงกับพนักรถเข็นแล้วบ่นพึมพำ
“วันนี้พี่ยุพาไปวัด เห็นบอกว่าจะพาพี่วาเอาอัฐิของโมไปไว้ พอกลับมาผมก็เห็นพี่เขาร้องไห้แล้ว”
“...”
“ไหนๆเรื่องพี่กับคุณรา...เอ่อ เรื่องพี่กับผู้ชายคนนั้นก็จบลงไปแล้ว ทำไมไม่รีบปรับความเข้าใจกับพี่วาสักทีละครับ” พระพายเอ่ยถาม เลี่ยงที่จะไม่เอ่ยถึงผู้ชายคนนั้นหลังจากที่พันเอกพาเขากลับมาที่กรุงเทพ
พระพายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพียงคำบอกเล่าจากพันเอกแค่ว่าทุกอย่างจบลงแล้ว ทั้งตระกูลกฤตภาสและตระกูลกลทีบ์ต่างก็ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ทุกคนล้วนแล้วแต่พ่ายแพ้ให้กับเกมที่รังแต่จะทำลายคนรอบข้าง ทั้งรามและพันเอกเลือกที่จะหยุดทุกอย่างและโยนมันทิ้งไปพร้อมกับพายุที่โหมกระหน่ำในคืนนั้น ทันทีที่พระพายแข็งแรงมากพอคนเป็นพี่ก็รีบพาน้องกลับมาพักฟื้นต่อที่กรุงเทพ ไร้วี่แววของคนจากเกาะนาคาน้อย ไม่ว่าจะเป็นรุ่งฟ้า หรือตัวเจ้าของเกาะเองก็ตาม
มีเพียงร่างสูงกำยำของพิภพ ซึ่งเป็นส.ส.ในจังหวัดภูเก็ตและเป็นญาติห่างๆของรามที่เข้ามาเยี่ยมพระพายเพียงลำพัง ทั้งยังฝากคำขอโทษของผู้ชายคนนั้นและยินดีทำทุกอย่างเพื่อชดใช้ พระพายได้แต่ยิ้มรับและฝากคำกล่าวกลับไปว่าอโหสิให้ หลังจากวันนั้นทั้งสองตระกูลก็รู้ดีว่าเส้นทางชีวิตของพวกเขาแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลง พันเอกเองก็เคลยร์กับบรรดาเพื่อนเก่าที่เคยมึนตึง ทั้งนารายณ์ ทั้งสิบตรี แม้ความสัมพันธ์จะต่อไม่ติดแต่ก็นับว่าดีขึ้นมากเพราะคนทั้งสามพูดคุยกันในฐานะคนรู้จักและตกลงร่วมธุรกิจกันในบางโอกาส
ส่วนส่องแสง พระพายไม่รู้ว่าพี่ชายอีกคนกับพันเอกมีความสัมพันธ์กันในแง่ไหน แต่อย่างน้อยๆเขาก็แน่ใจว่ามันดีขึ้นเพราะอีกฝ่ายมาเยี่ยมเขาที่บ้านทุกวันพร้อมกับนารายณ์ พระพายเองก็พอรู้มาบ้างว่าส่องแสงกับนารายณ์มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน เขาเองก็ดีใจที่เห็นพี่มีความสุข แต่ดูเหมือนพันเอกจะไม่คิดแบบนั้น เจ้าตัวเอาแต่เขม่นนารายณ์พลางกำชับทุกครั้งว่าไม่อยากร่วมวงศาคณาญาติกัน
เหมือนกับเป็นการบอกกลายๆว่าไม่ยอมรับนารายณ์เป็นน้องเขย
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม้พันเอกจะตั้งแง่แบบนั้นแต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าที่ทำแบบนั้นเพราะพันเอกหวงส่องแสงตามประสาก็เท่านั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีมากขึ้น ผู้คนรอบกายยิ้มแย้มมากขึ้น บ้านกฤตภาสเองก็เตรียมตัวต้อนรับสมาชิกใหม่ซึ่งก็คือลูกของน้ำอุ่นและสันต์ รวมไปถึงข่าวดีของมินตรากับจักรที่ตกลงปลงใจจะแต่งงานสร้างชีวิตคู่ด้วยกัน ความโศกเศร้าหดหู่ที่เคยมีกำลังจะจางหายไป สายสัมพันธ์ของมิตรภาพและครอบครัวกำลังถูกถักทอขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ทุกคนมีความสุข
ยกเว้นนาวา...
นาวาเป็นคนเดียวที่โดดเดี่ยว พระพายมองเห็นแววตาหม่นหมองโศกเศร้าของอีกฝ่ายในทุกครั้งที่สบตากัน เมื่อครั้งกลับมาจากภูเก็ตใหม่ๆพระพายเคยถามว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเลือกที่จะกลับมากับพันเอกแทนที่จะอยู่กับราม อีกฝ่ายได้แต่ยกยิ้มและตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ผมไม่ได้รักคุณราม ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมกับเขาจะต้องอยู่ด้วยกัน ส่วนที่ตามคุณเอกกลับมา เพราะผมยังไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ”
พระพายไม่รู้ว่าสิ่งที่นาวาต้องการจากพันเอกคืออะไร เขาได้แต่หวังว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่จะจบลงด้วยดี เขาอยากให้พันเอกกับนาวาลงเอยกัน
“ไหนๆตอนนี้เราทุกคนก็เข้าใจกันดีแล้ว ผมอยากได้พี่วามาเป็นพี่สะใภ้นะ” พระพายเอียงคอพลางยกยิ้ม พันเอกยกมือขึ้นยีกลุ่มผมนุ่มนิ่มของพระพายแผ่วเบาด้วยความเอ็นดู
“พี่รู้ พี่เองก็อยากได้เขามาเป็นคนรักเหมือนกัน”
“งั้นขึ้นไปดูพี่วาเขาหน่อยสิครับ ผมเห็นพี่วาเศร้าแล้วรู้สึกไม่ดีเลย” พระพายบอก คนเป็นพี่รับคำก่อนจะปล่อยให้เอื้องคำมาดูแลพระพายต่อ ส่วนร่างสูงของพันเอกก็ตรงดิ่งขึ้นไปบนบ้าน ตรงดิ่งไปยังห้องนอนที่เคยเป็นของณะโมก่อนจะเปิดเข้าไปอย่างระมัดระวัง
ร่างโปร่งของนาวานอนหลับตาพริ้ม ขาเรียวเหยียดยาวไปกับความกว้างของเตียงนอน บนใบหน้าขาวปรากฏรอยเปรอะเปื้อนของคราบน้ำตา พันเอกเกลี่ยมือไปปาดน้ำตาออกจากปรางแก้มใส สัมผัสของพันเอกทำเอาเปลือกตาสีเนื้อปรือขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนที่กลีบปากสีอ่อนจะขยับเอื้อนเอ่ยเป็นชื่อของพันเอกแผ่วเบา เจ้าของชื่อยกยิ้ม เคลื่อนตัวขยับเข้าไปกดจูมลงบนหน้าผากมนของนาวาแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“เป็นอะไรไป พระพายบอกนายร้องไห้”
นาวาไม่ตอบ ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งในขณะที่พันเอกขยับตัวคุกเข่าตรงหน้าของคนตัวเล็กกว่าพลางคว้าสองมือเล็กมาจับเอาไว้แล้วลูบไปมาแผ่วเบา
“คิดถึงน้องเหรอ” พันเอกถามซ้ำ นาวายกยิ้มกับคนตรงหน้าที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในชั่วพริบตาแล้วก็ยังเงียบเหมือนเดิม พันเอกก้มลงมองมือขาวของอีกคนก่อนจะถอนหายใจ
“วา ให้ทำยังไงนายถึงจะมีความสุข อยากให้ฉันชดใช้ให้นายยังไงนายถึงจะกลับมายิ้มได้” ร่างสูงถามขึ้นพลางวางคางลงกับต้นขาของนาวา ดวงตาคมที่เคยดุดันตลอดเวลาอ่อนแสงลง แก้วตาสีเข้มตวัดขึ้นมองใบหน้าราบเรียบของนาวาพลางส่งแววเว้าวอนไปให้
เขาไม่อยากเห็นนาวาใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆเหมือนคนที่ไร้จิตวิญญาณ เป็นเหมือนเครื่องจักร์ที่ภายในว่างเปล่า กลวงโบ๋ไร้ซึ่งความสุข ไร้ความรู้สึก
เหมือนกับคนที่ไร้หัวใจ
“คุณพร้อมที่จะชดใช้หรือยังละครับ” นาวาย้อนถาม ผละมือข้างหนึ่งออกจากการเกาะกุมและเลื่อนขึ้นมาลูบแผ่วเบาที่ผิวแก้มของพันเอก ตากลมมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก
“ถ้าคุณยังไม่พร้อม ผมจะยังไม่พูดว่าผมอยากให้คุณทำอะไร” นาวาให้ตัวเลือกกับอีกฝ่าย “ใช้เวลาอยู่กับน้องและครอบครัวอีกสักหน่อยก็ดีนะ” ร่างโปร่งเอ่ยบอก หากแต่พันเอกกลับส่ายหน้าพร้อมกับยืนยันหนักแน่นว่าพร้อมที่จะชดใช้ในสิ่งที่เคยทำเอาไว้
“ฉันยอมทำให้นายได้ทุกอย่าง แต่ขอได้ไหม ปล่อยวางให้ตัวเองได้มีความสุขบ้างนะวา ณะโมไปสบายแล้วนะ ทุกอย่างมันจบแล้ว ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายนายอีก ขอโอกาสให้ฉันได้เริ่มต้นใหม่ได้ไหม” ร่างสูงพูดขึ้น มองเห็นแววตาวูบไหวของคนตรงหน้าแล้วก็ได้แต่กดจูบแผ่วเบาบนหลังมือขาวอย่างปลอบประโลมและเว้าวอนขอโทษ นาวาน้ำตาร่วงเผาะ แม้ปากบอกว่าทุกอย่างเป็นเพียงอดีตที่กำลังจะผ่านพ้นไป หากแต่พอย้อนกลับไปนึกถึงสิ่งที่ตัวเองถูกกระทำ สิ่งที่ตัวเองเคยสูญเสีย บาดแผลในใจที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาก็กลัดหนองจนเจ็บช้ำ
“ถ้าคุณอยากเริ่มต้นใหม่ คุณก็ต้องชดใช้ในสิ่งเลวร้ายที่ตัวเองเคยทำ” นาวาพูดเสียงสั่น หยิบมือถือที่เคยเป็นของณะโมขึ้นมากดเบอร์ค้างเอาไว้บนหน้าจอพลางยื่นมันไปตรงหน้าของอีกคน
‘0231400XX’ ตัวเลขที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอทำเอาพันเอกขมวดคิ้วด้วยความฉงน ชายหนุ่มเอ่ยถามคนตรงหน้าถึงเจ้าของเบอร์ดังกล่าว นาวาทำเพียงแค่ยกยิ้มก่อนจะกดโทรออก รอสายเพียงไม่นานปลายสายก็กดรับพร้อมกับพูดบางอย่าง
นาวาสูดลมหายใจเข้าปอด หยดน้ำตาร่วงหล่นลงกระทบผิวแก้ม ดวงตาสีเข้มจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่ฉายแววตกใจทันทีที่เขาเอ่ยพูดกับปลายสาย
“ครับคุณตำรวจ ผมต้องการแจ้งความ”
!!!!
“ข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา และกักขังหน่วงเหนี่ยวครับ” นาวาเอ่ยชัดถ้อยชัดคำขณะมองของคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้า พันเอกเรียกชื่อเขาเสียงแผ่วในขณะที่เขาให้ที่อยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน เมื่อสิ้นสุดบทสนทนา ร่างโปร่งก็ได้แต่มองพันเอกที่ยังคงนิ่งค้างอยู่กับที่
“สำหรับศักดิ์ศรีและทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมสูญเสียไป จ่ายมันคืนด้วยสิ่งนี้ คุณทำได้ไหม” นาวาเอ่ยขึ้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เจ็บร้าวไปทั่วทั้งอก
“ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้ แต่ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยกับสิ่งที่ผมต้องเจอ ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะลืมสิ่งที่คุณเคยทำ ไม่รู้ว่าจะทำใจอยู่บนโลกที่ไม่มีน้องได้ตอนไหน เมื่อไหร่ผมจะเลิกฝันร้าย” นาวาสะอื้น ทุกสิ่งที่เคยบอกว่าจะลืมมันกลับฝังแน่นอยู่กับตัว มันไม่เคยจางหายไปไหน เศษเสี้ยวของความสูญเสียและชิ้นส่วนของฝันร้ายยังคงซุกซ่อนอยู่ในความทรงจำ
“คุณขอให้ผมไม่ฆ่าตัวตาย ขอให้ผมมีความสุข ขอให้ผมปล่อยวาง ขอมามากมาย แต่ผมอยากจะขอแค่อย่างเดียว แค่อย่างเดียวเท่านั้น ฮึก”
“วา อย่าร้อง...”
“ชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำทีเถอะคุณเอก ได้โปรด ชดใช้ในสิ่งที่คุณทำกับผมที ฮึก ผมขอร้อง”
พันเอกยืดตัวขึ้นดึงอีกคนขึ้นมากอดเอาไว้แนบอก ริมฝีปากตอบตกลงในสิ่งที่นาวาต้องการซ้ำๆ ด้วยรู้ดีถึงความผิดที่ตัวเองเคยทำเอาไว้กับอีกคน
พันเอกไม่โกรธที่นาวาตัดสินใจแบบนี้
เขาแค่กลัว...
กลัวว่าพอกลับออกมาแล้ว เขาจะเสียนาวาไปตลอดกาล
………………………………………………………..
และในวันเดียวกันนั้นเอง การปรากฏตัวขึ้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจสร้างความตกอกตกใจให้แก่ทุกคนภายในบ้าน นาวาถูกพันเอกจูงมือลงมาจากชั้นบนก่อนที่ร่างสูงจะเรียกตัวพายุและจักรเข้าไปคุยธุระบางในห้องทำงาน ส่วนตัวเขาก็ทำหน้าที่ให้ข้อมูลกับตำรวจ
เล่าถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองเคยถูกเจ้าของบ้านกระทำ
เมื่อตำรวจทราบข้อกล่าวหา พันเอกถูกเชิญไปให้ปากคำและเจ้าตัวรับสารภาพ นาวาขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย พันเอกถูกโทษจำคุก 4 ปี และถูกปรับอีกจำนวนหนึ่ง เมื่อพระพายและคนในบ้านรู้ข่าว ทุกคนต่างมองนาวาด้วยสายตาคลางแคลงใจ
โดยเฉพาะพระพายที่เอาแต่ถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้
นาวารู้ดีว่าตัวเองเลือดเย็น เขาเลือกที่จะไม่ตอบ ได้แต่มองพันเอกที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวเอาไว้
ทั้งคู่สบตากันเนิ่นนาน พันเอกคุยบางอย่างกับนายตำรวจข้างกายก่อนจะเดินมาหานาวาที่ยืนนิ่งโดยมีพระพายนั่งร้องไห้อยู่บนรถเข็น
“คุณอาจจะคิดว่าผมเลือดเย็น ใจดำ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับผม ความรัก กับ ความถูกต้อง มันเป็นสิ่งที่ผมแยกออกจากกัน ผมไม่ได้เกลียดคุณนะคุณเอก ในความทรงจำที่เลวร้าย บางครั้งคุณก็เป็นเหมือนเทวดาที่ทำให้ผมรู้สึกว่าชั่วนาทีหนึ่งตัวเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก” นาวาพูดขึ้น ในขณะที่ทั้งพันเอกรวมไปถึงตัวพระพายเองนิ่งเงียบเพื่อรอฟัง
“แต่สิ่งที่คุณทำ มันไม่ถูก ไม่ว่าคุณจะมีชื่อเสียงมากแค่ไหน ร่ำรวยมากขนาดไหน ผมอยากบอกให้รู้ว่าคุณไม่มีสิทธิ์ย่ำยีคนที่ด้อยกว่าไม่ว่าจะยังไงก็ตาม คุณจะโกรธ จะเกลียดผมยังไงก็ได้ แต่เพื่อความยุติธรรมของตัวเอง ผมต้องทำ”
“ฉันรู้ ฉันเข้าใจ...”
“แล้วก็ไม่ต้องห่วงพระพายหรอกครับ ผมจะดูแลเขาให้ และสัญญาว่าจะทำให้คนที่ทำร้ายพระพายได้รับบทเรียนไม่น้อยไปกว่าคุณ” นาวาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพลางยกยิ้ม พันเอกมองใบหน้าขาวของนาวาด้วยแววตาอ่อนแสงก่อนจะยกมือขึ้นลูบปรางแก้มใสของคนตรงหน้าแผ่วเบา
“ถ้าฉันกลับออกมา นายจะยังอยู่ไหม”
“...”
“จะยังให้โอกาสกับฉันไหม ทิ้งทุกอย่าง ลืมอดีตซะ แล้วเริ่มต้นใหม่ไปด้วยกัน”
“ผมลืมอดีตไม่ได้หรอกครับ” นาวาสวนประโยคของอีกคน “ผมลืมมันไม่ได้ เมื่อไหร่ที่นึกถึงกฤตภาส ผมก็ยังคิดได้เสมอว่ามีความทรงจำกับพวกคุณในแบบไหน”
“...”
“แต่ถึงจะลืมมันไม่ได้ แต่ผมก็เปลี่ยนมันไปเป็นแค่ความทรงจำได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลา” ร่างโปร่งพูดขึ้น ดวงตากลมช้อนขึ้นมองพันเอกก่อนจะส่งยิ้มให้คนตัวสูงกว่า
ยิ้มที่บ่งบอกว่านาวาได้ปลดเปลื้องความทุกข์ทั้งหมด
ยิ้มที่บ่งบอกว่านาวาพร้อมปล่อยให้เรื่องเลวร้ายกลายเป็นเพียงความทรงจำอย่างแท้จริง
“ชดใช้ในสิ่งที่คุณทำเอาไว้ แล้วเมื่อไหร่ที่คุณกลับมา ถ้าใจคุณยังไม่เปลี่ยน ผมจะรอ...” นาวาเอ่ยพลางเขย่งเท้าขึ้นกดจูบลงบนแก้มของพันเอกท่ามกลางผู้คนมากมาย
“จะรอคุณสักที่ ถึงตอนนั้นเราจะรู้จักกันในฐานะนาวากับคุณพันเอกที่ไม่มีอะไรให้ติดค้างกันอีก เราอาจจะเป็นคนรู้จักกัน เป็นเพื่อนกัน เป็นอะไรก็แล้วแต่ในแบบที่เวลาและการกระทำของเราทั้งคู่ส่งให้มันเป็นไป และถ้าคุณยังไม่เปลี่ยนใจจากคนที่ทำให้คุณเป็นแบบนี้ ผมเองก็พร้อมเรียนรู้และเริ่มต้นใหม่กับคนที่เคยทำร้ายผมเหมือนกัน”
“หึ งั้นรอหน่อยนะ เก็บโอกาสเอาไว้ให้ฉันคนเดียวก็พอแล้ว เข้าใจไหม” พันเอกหัวเราะพลางเอ่ยเสียงแผ่ว นาวายกยิ้ม พยักหน้าบางเบาให้กับคนตรงหน้าก่อนจะกระซิบข้างใบหูของร่างสูง
“คุณเองก็ต้องเก็บโอกาสนั้นเอาไว้ให้ผมเหมือนกัน”
พันเอกยกยิ้ม ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่พาตัวออกไป นาวามองตามแผ่นหลังกว้างของผู้ชายที่เคยใจร้ายมากที่สุดจนลับสายตา นับแต่นี้ ความสัมพันธ์ครั้งเก่าของเขาและพันเอกสิ้นสุดลง ความรู้สึกทุกอย่างย้อนกลับไปสู้จุดเริ่มต้น ไม่มีความแค้น ไม่มีการเอาคืน ไม่หลงเหลือสิ่งใด
เหลือเพียงตัวตนในอดีตที่ต่างถูกแปรเปลี่ยน
พันเอกชดเชยความผิดที่ทำเอาไว้แล้วในวันนี้ ความทรงจำของนาวาที่มีต่ออีกฝ่ายแปรเปลี่ยน
พันเอก กฤตภาส ไม่ใช่ซาตานร้ายในสายตาเขาอีกต่อไป
แต่เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่ง
ผู้ชายที่ถ้าหากได้เจอกันอีกครั้ง นาวาจะยิ้มให้อีกฝ่ายในทุกฐานะอย่างที่อีกฝ่ายอยากให้เป็น
The End ยังเหลือตอนพิเศษอยู่นะคะ ลงเว็บหลายตอนเหลย อย่าเพิ่งทิ้งเฮียเน่ออออ ><
ตอนพิเศษที่จะลงในเว็บมี
- พันเอก x นาวา
- พันเอก x พระพาย
- พันเอก x น้องเทียน
ส่วนตอนอื่นๆที่เหลือติดตามในเล่มนะจ๊ะ
สำหรับเรื่องคำวิจารณ์ ไม่มีอันไหนที่ไม่ถูกใจเราค่ะ ที่อ่านๆมานี่ชอบหมด 55555555555 จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยเรารับฟังหมด ส่วนเรื่องตอนจบ คิดเสียว่ามันเป็นนิยายเรื่องหนึ่งก็แล้วกันเนาะ สไตล์การเขียนของเรามันมีทั้งส่วนที่สมเหตุสมผลสักเล็กน้อยและส่วนอมตะนิยมตามสังคมไทย สารภาพว่าเราไม่กล้าเขียนแบดเอ็นเลยค่ะ 555555555 เพราะฉะนั้นความน้ำเน่ามันก็จะมาลงที่ตอนจบ แฮปปี้ทุกเรื่องนั่นเอง ฮาาาาาาาาาา
สุดท้ายนี้...ดราม่ามันอืดมาก เราเองก็กลัวทำให้คนอ่านไม่พอใจจนถึงขั้นเกลียดเราไปอีก เครียดทั้งคนอ่านทั้งคนเขียนเลยทีเดียว เพราะงั้นเลิกม่าแล้วมาหื่นกันดีกว่าเนาะ อ่านป๋าภัทรร้อยเมียเพื่อให้อารมณ์เย็นลงกันดีกว่า จะได้แฮปปี้ (คนอ่านบอกเรื่องนั้นระอุกว่าพันเอกไปอิ๊กกกกกกก) 55555
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทุกๆกำลังใจ ขอบคุณทุกความคิดเห็นที่นักอ่านได้แสดงมุมมองออกมาให้เราได้กลับไปขบคิด ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ คำติติง และคำติชมที่ทุกคนร่วมแสดงกันเข้ามา หากนิยายเรื่องนี้มีส่วนใดส่วนหนึ่ง(หรือทุกส่วน)ที่ผิดพลาด ทำให้คนอ่านไม่พอใจหรือไม่สบายใจ ตัวคนเขียนต้องขอโทษและขออภัยในความผิดพลาดมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ หวังว่าทุกคนคงไม่โกรธเราน้าาาาาา (. .)
สถานีต่อไป...นายหัวกับน้องพาย >>>
จิ้ม <<< โลดค่าพ่อแม่พี่น้องงงง >w<