บทที่ 13 ประลองฝีเท้าม้า
ข่าวคราวพัดพามากับสายลม หายลับเข้าไปในตำหนักแห่งหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไป ด้านหน้าตำหนักปลูกดอกเบญจมาศบานสะพรั่งไปทั่วบริเวณ แต่ส่วนลึกภายในกลับเงียบเหงาอยู่บ้าง นางกำนัลที่เคยเดินกันขวักไขว่ลดจำนวนลงกว่าครึ่ง แม้แต่โคมใหญ่บนหัวเสาก็ไม่ได้เปลี่ยนใหม่นานแล้ว
บานหน้าต่างที่เห็นแปลงเบญจมาศได้ชัดที่สุดถูกเปิดออก คนในห้องเป็นสตรีวัยกลางคนที่ยังมีเค้าความงามในวัยสาว แต่กลับถูกบางสิ่งบางอย่างเคี่ยวกรำจนมองดูแล้วน่าหวาดหวั่น คล้ายกับรอยเหี่ยวย่นแต่ละรอยสลักลึกจารจำความแค้นเอาไว้
“เจ้าว่า ‘เขา’ จะไปเป็นตัวประกัน” เสียงแหลมสูงของนางดังขึ้น
“เจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ขานตอบ
“ท่านเพิ่งทราบหรอกหรือ ข้างนอกเขาลือกันให้แซด” นี่เป็นเสียงของเฉินเสีย มืออวบอูมยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม พูดต่อว่า “ข้าก็เลยมาฉลองอยู่นี่ไง ท่านก็สมควรมาดื่มกับข้าซักจอก”
คนฟังทำเสียงเหมือน ‘เหอะ’ ในลำคอ กล่าวว่า
“คนควรดื่มเป็นข้า แต่ท่านยังนับว่าดีใจเร็วเกินไป”
“ว่าไงนะ”
“ท่านเข้าใจว่าตัวเองรอดพ้นชะตากรรม? ...ต่อให้เขาไม่อยู่ถ้าเรื่องแดงขึ้นมาท่านก็ยังคงเป็นคนแรกที่เดือดร้อนอยู่ดี”
เฉินเสียอึ้งไป พอรู้สึกตัวก็ลุกขึ้นชี้นิ้วด่า
“...ท่านมันนางปีศาจ! ท่านทราบแต่แรก แต่ก็ยังยุยงให้ข้าทำ!”
นางกล่าวเสียงราบเรียบว่า
“นี่ข้ากำลังเตือนท่านด้วยความหวังดี”
“หึ ต่อให้ข้าต้องชดใช้จริง ยานั่นท่านเป็นคนจัดหามา หรือท่านไม่ต้องชดใช้ด้วย ?”
“ท่านอย่าพยายามลากคนลงน้ำ ผู้ใดจัดหายาให้ท่าน ?”
เฉินเสียได้ยินก็หน้าเขียวคล้ำ เรื่องนี้มีเพียงเขากับนางที่รู้ หากนางไม่ยอมรับ ผู้ใดก็ไม่มีปัญญาไปให้นางชดใช้
“วันนี้ข้านับว่าได้ทราบใจคอนางมารท่านแล้ว แต่คนที่ต้องชดใช้ให้เหลียนอันสุ่ยมากกว่าข้ายังคงเป็นท่าน เพราะที่ท่านทำกับเขายังมากกว่าข้าเป็นร้อยเท่า !”
“หากท่านยังต้องการความช่วยเหลือ ก็เก็บปากหยาบคายของท่านเอาไว้ดีๆ” น้ำเสียงของนางยังคงราบเรียบไม่แยแสอยู่เช่นเดิม
“ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนางปีศาจเช่นท่าน!” กล่าวแล้วสะบัดหน้าจากไป
สตรีเจ้าของตำหนักหรี่ตามองตาม แน่ใจว่าถ้ามีเรื่องเดือดร้อนอีกฝ่ายก็ต้องซมซานมาขอร้องนาง เฉินเสียเป็นบุคคลเอนลู่ตามลม ซ้ำยังขี้ขลาดจนน่ารังเกียจ หากก็เพราะขี้ขลาดอย่างยิ่ง เหลียนอันสุ่ยจึงไม่ได้ระแวงป้องกันเฉินเสียเท่าที่ควร มุมปากบางแค่นยิ้มอย่างเย็นชา เอาล่ะ อย่างน้อยเฉินเสียที่น่ารังเกียจนั่นก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง
แต่ตอนนี้เฉินเสียไม่ใช่ตัวหมากที่มีประโยชน์อีกต่อไป แต่กลายมาเป็นภาระ ไปซะพ้นๆก็ดี จะได้สบายหูสบายตาขึ้นบ้าง อย่าว่าแต่นางมั่นใจ หากเฉินเสียยังมีประโยชน์นางก็มีวิธีทำให้เขากลายเป็นหมากของนางอีกครั้ง
“นายหญิง บ่าวเกรงว่าถ้าท่านอยากจัดการกับ ‘เขา’ ด้วยตัวเอง ท่านต้องรีบลงมือในเร็วๆนี้ก่อนเขาจะไปเป่ยชาง”
“เจ้าก็รู้ว่าข้ามิใช่ไม่ลงมือ...” น้ำเสียงเย็นชามีแววขุ่นเคืองที่ไม่มีปัญญาระบายออก
นิสัยของเหลียนอันสุ่ยนางทราบดีกว่าใคร คิดลงมือกับเขา ไม่สู้ลงมือกับเหลียนจิ้งเต๋อ แต่ไม่ว่าพยายามแค่ไหน นางยังคงแตะต้องเด็กคนนั้นไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ
เหลียนอันสุ่ยแม้ยินยอมอภัยให้ทุกเรื่องราว แต่กลับไม่ยินยอมให้ใครมีโอกาสทำร้ายเหลียนจิ้งเต๋อเป็นอันขาด กำแพงรอบตัวเด็กคนนั้น น่ากลัวยังมากมายกว่าของเหลียนอันสุ่ยอีก
หญิงรับใช้มองหน้านายหญิงของตัวเองแล้วก็ก้มหน้าลง ความจริงนางเป็นสาวใช้ที่เข้มแข็ง แต่ครั้งนี้ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง นางไม่เหมือนนายหญิงที่ถูกความแค้นครอบงำจนไม่เห็นอะไรอย่างอื่น
เวลาถึงสิบสองปี ...สิบสองปีเต็มๆ พวกนางกระทั่งทราบยังไม่ทราบขอบเขตของอำนาจพระมาตุลา อำนาจของเขาเหมือนสายน้ำไร้สภาพที่แทรกซึมไปทั่วทุกที่ นางทราบดีว่านายหญิงทำอะไรลงไปบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดคล้ายก้อนหินที่ทุ่มลงไปในทะเลสาบใหญ่ เนิ่นนานยังคงสร้างได้เพียงระลอกเล็กๆ ที่จะกลับสู่ความสงบโดยไร้ร่องรอย
ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดคือ ฝ่ายตรงข้ามยังไม่เคยตอบโต้กลับมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว !
---------------------
เวลาค่อยๆผ่านไปวันแล้ววันเล่า ดอกเบญจมาศเบ่งบานแล้วก็ร่วงโรยดอกแล้วดอกเล่า หากไม่มีดอกใดสามารถเบ่งบานเข้าไปในจิตใจของผู้เป็นเจ้าของ ในที่สุดก็ถึงวันที่ฉีเซี่ยงหยวนจะเดินทางกลับเป่ย ชาง และก็จะพาคนที่นางแค้นที่สุดจากไปด้วย
ตำหนักยังคงเป็นตำหนักเดิม ผู้คนยังคงเป็นผู้คนเดิม ทอดสายตาผ่านหน้าต่างบานเดิมออกไปจรดหมู่เมฆบนท้องฟ้า ในใจไม่ทราบขบคิดอันใด...
น่าเสียดายที่ความทรงจำอาจเลือนรางได้ แต่ความแค้นกลับไม่ยินยอมเลือนหายไป มันเพียงรอเวลา...รอคอยจังหวะอย่างเงียบงัน...
---------------------
ธงทิวนับสิบสะบัดพัดพลิ้ว ท้องฟ้าค่อยๆฉายแสงจ้าขึ้นทุกขณะ ขบวนรถม้ากว่าร้อยคันทอดเป็นแถวเหยียดยาว กำแพงเมืองสูงใหญ่เปิดประตูปล่อยสะพานลง กำลังพลจำนานมากเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบระเบียบ ทหารม้าพ่วงพี ทหารราบพร้อมพรัก เหลียนอ๋องติดตามส่งห้าสิบลี้แล้วจึงล่าถอยกลับเข้าเมือง
เหลียนอันสุ่ยนั่งอยู่ในรถม้า มือลูบผมเหลียนจิ้งเต๋อที่นอนเอาหัวหนุนตักเขาแผ่วเบา ค่อยๆเข้าใจทีละน้อยว่าเวลาสามสิบเอ็ดปีที่ผ่านมากำลังจะหลงเหลือเพียงภาพในความทรงจำ ขณะเหม่อมองกำแพงเมืองที่เลือนรางลงทุกที ราวกับอดีตที่ผ่านพ้นห่างออกไป ความรู้สึกสูญเสียที่อธิบายไม่ได้ประดังเข้ามา ก้มลงมองบุตรชายที่จะเป็นปัจจุบันและอนาคตของเขา เค้าใบหน้าที่ละม้ายคล้ายมารดาของเหลียนจิ้งเต๋อทำให้ปลายนิ้วของพระมาตุลาชะงักค้างไปชั่วขณะ
‘เหวินจี ข้า...จะไปแล้วนะ ข้าสัญญา จะดูแลเขาให้ดี’
---------------------
แสงแดดร้อนระอุ ถนนหนทางเริ่มกลายเป็นป่า สองฟากข้างไม่มีวี่แววของบ้านเรือน
“นายท่าน เหตุใดจึงต้องรีบร้อนเดินทางถึงเพียงนี้” หวังเชียนควบม้าเข้ามาถาม เขาคอยอารักขาพระมาตุลาใกล้ชิดที่สุด อิ๋งฮวากับเยี่ยนจื่อคอยรับใช้คุณชายน้อยที่กลับไปอยู่ในรถม้าคันถัดไป สายตาของคนเป็นบ่าวมองขบวนซึ่งเคลื่อนที่โดยไม่หยุดพักมาตั้งแต่เช้า
การเดินทางแม้จะไม่เร็วนักเพราะเกรงรถบรรทุกสัมภาระหนักจะเคลื่อนตามไม่ทัน แต่ก็เคลื่อนไปอย่างสม่ำเสมอยิ่ง ไม่มีการผ่อนจังหวะเชื่องช้าลง โชคดีที่ม้าที่คัดมาล้วนเป็นม้าพันธุ์ดีจากทางเหนือ วันๆหนึ่งวิ่งได้หลายร้อยลี้ มีความอดทนอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นคิดจะเดินทางเช่นนี้ จำเป็นต้องเปลี่ยนม้าแล้ว
แววตาเลื่อนลอยที่เจือความหมองเศร้ามาตั้งแต่เช้าของเหลียนอันสุ่ยเป็นประกายขึ้นทีละน้อย เพ่งมองการเคลื่อนขบวนนอกหน้าต่าง เรียวคิ้วมุ่นลงเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ครู่หนึ่งจึงตอบว่า
“บางทีอาจมีเรื่องรีบด่วนต้องไปจัดการที่เป่ยชาง... ไม่แน่ว่าขุมอำนาจที่เป่ยชางเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงกันแล้ว” ดวงตาคู่งามที่มีประกายแจ่มชัดเหมือนผิวน้ำคล้ายกำลังมองทะลุถึงบางสิ่ง
หวังเชียนรู้สึกว่าเรื่องราวบางอย่างที่ใหญ่โตกำลังจะเกิดขึ้น...ความจริงขอเพียงเกี่ยวข้องกับขุมอำนาจในแคว้นเป่ยชางอันเป็นหนึ่งในสามแคว้นใหญ่ก็สมควรมิใช่เรื่องเล็กแล้ว ไม่ทราบแคว้นเหลียนจะถูกดึงเข้าไปในมรสุมครานี้หรือไม่ !
---------------------
เมื่อหวังเชียนบ่ายหน้าม้าควบห่างออกไป เหลียนอันสุ่ยยังคงครุ่นคิดต่อ ได้ยินว่าเป่ยชางอ๋ององค์ปัจจุบันมีบุตรชายห้า ธิดาอีกหนึ่ง
บุตรคนโตที่เป็นรัชทายาทเพิ่งตายไปเมื่อสี่ปีก่อน ทิ้งไว้เพียงบุตรชายที่อายุยังน้อยกับตำแหน่งรัชทายาทที่ว่างเปล่า บุตรชายคนที่สามเจ็บป่วยเสียชีวิตตั้งแต่เยาว์วัย ตอนนี้จึงเหลือบุตรชายอยู่เพียง 3 คน ในบรรดาทั้งหมด เป่ยชางอ๋องรักใคร่โอรสองค์สุดท้ายที่สุด เพราะเกิดกับสนมที่เป็นที่โปรดปราน น่าเสียดาย เพราะนางถูกจับได้ว่าคบชู้สู่ชาย จึงเป็นเหตุให้ถูกประทานยาพิษ ความโปรดปรานจึงย้ายกลับมาที่บุตรคนรองที่เคยเป็นที่โปรดปรานก่อนหน้านี้
ส่วนฉีเซี่ยงหยวนซึ่งเป็นบุตรชายคนที่สี่ ได้ยินว่าเกิดจากสตรีที่แต่งงานทางการเมืองมา จึงไม่เคยเป็นที่โปรดปรานแต่แรก ภายหลังอำนาจของฉีเซี่ยงหยวนยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สถานภาพของเขากับพระบิดาจึงกลายเป็นกริ่งเกรงซึ่งกันและกัน
การกลับมาของฉีเซี่ยงหยวนคราวนี้มาพร้อมกับชัยชนะเหนือแคว้นเหลียน หากปล่อยให้เขากลับถึงแคว้นอำนาจจะยิ่งทวีขึ้นอีก ไม่แน่ว่ากระทั่งเป่ยชางอ๋องก็ยังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย มีผู้คนมากมายต้องไม่ยินดีแน่ ดังนั้นเหลียนอันสุ่ยจึงสังเกตได้ตั้งแต่จัดขบวนก่อนออกเดินทางแล้วว่าบรรยากาศของทหารที่อยู่โดยรอบค่อนข้างเคร่งขรึมระมัดระวัง เจือความตึงเครียดอยู่จางๆ ทุกผู้คนล้วนเตรียมพร้อมกับทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้
เหลียนอันสุ่ยยังคงใคร่ครวญต่อไป ฉีเซี่ยงหยวนกำลังกริ่งเกรงผู้ใดกัน ?
พระบิดาตัวเอง...พี่ชายคนรองที่ได้ยินว่ามีอำนาจอยู่ไม่น้อย...หรือจะเป็นน้องชายคนที่ห้าซึ่งเก็บตัวเงียบหลังพระมารดาดื่มยาพิษเสียชีวิต ความจริงกระทั่งเด็กที่เป็นบุตรของรัชทายาทที่ตายไป ถ้ามีขุนนางทรงอำนาจหนุนหลังคิดใช้แทนหุ่นชักใย ฉีเซี่ยงหยวนก็ต้องระวังเด็กคนนี้ด้วย
ดูไปดูมา ความซับซ้อนของขุมอำนาจในแคว้นเป่ยชางนับว่าซับซ้อนจนสับสนได้จริงๆ นี่ยังไม่รวมการแทรกแซงของแคว้นอื่น ซึ่งต้องไม่ยอมให้ฉีเซี่ยงหยวนขยายอำนาจออกไปเรื่อยๆ แผนการมากมายต้องถูกทุ่มเทออกมาขัดขวาง
เกรงว่าเมื่อฉีเซี่ยงหยวนเดินทางถึงแคว้นเป่ยชาง ภยันอันตรายต่างๆคงคอยท่าเขาอยู่ก่อนแล้ว...
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนเดินทางกลับเร็วกว่ากำหนดหนึ่งเดือน ตัวเขานั่งอยู่บนรถม้าคันหน้าเหลียนอันสุ่ย ดวงตาคมกริบสาดประกายอำนาจที่ชวนให้ผู้คนย่นระย่อ ขณะฟังคำรายงานจากทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่ง มุมปากปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ถามขึ้นว่า
“เจ้าว่าพี่รองเคลื่อนไหวแล้ว ?”
“ขอรับ องค์ชายรองพอได้ยินว่าท่านเคลื่อนพลจึงมีการเคลื่อนไหวทหาร”
“...ได้ยินว่าข้าเคลื่อนพล ได้ยินว่าข้าเคลื่อนพล” เสียงพึมพำกับตัวเอง รอยยิ้มเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ “ข่าวสารของเขารวดเร็วยิ่ง”
คนฟังก้มหน้าลง ฝ่ามือค่อยๆชื้นเหงื่อ ความรู้สึกชวนกดดันของฉีเซี่ยงหยวนในตอนนี้ มากกว่าปรกติเป็นสิบเท่า ดีที่ฉีเซี่ยงหยวนโบกมือเป็นความหมายอนุญาตให้จากไป นายทหารผู้นั้นรีบทำความเคารพแล้วจากไปโดยไว
“ฉางเฟย เจ้าว่าข่าวของพี่รองได้มาจากที่ใดกัน” ถามคนสนิทที่ควบม้าอยู่ไม่ไกล โดยไม่หันไปมอง
“บรรดาขุนนางของเป่ยชางที่มาแคว้นเหลียนมีไม่น้อย คงยากระบุตัวคน”
“เจ้าผิดแล้ว คนที่จะส่งข่าวได้ไวขนาดนี้ต้องมีระบบส่งข่าวอันยอดเยี่ยม ไม่ใช้สถานีเหยี่ยวก็ต้องใช้ม้าเร็ว ดังนั้นจึงไม่ใช่ขุนนางที่ตอนนี้ไม่มีกำลังพลอยู่ในมือพวกนั้นเด็ดขาด” ความหมายคือ คนทรยศอาจเป็นขุนนางสายทหารใต้บังคับบัญชาของฉีเซี่ยงหยวนเอง เพราะข่าวจะกลับแคว้นเพิ่งประกาศให้ทราบโดยทั่วกันเพียงสัปดาห์เดียวก่อนออกเดินทางเท่านั้น
“ท่านอ๋องน้อย ข้ามีข่าวจากมู่ซางมารายงาน”
คนเป็นนายเหนือหัวหันไปจ้องหน้าคนสนิทตัวเองนิ่ง สายตาสองคู่สบกัน ฉีเซี่ยงหยวนเห็นความนัยบางอย่างในแววตาอีกฝ่าย...
--------------
ตกเย็น ฉีเซี่ยงหยวนมีคำสั่งให้ตั้งค่ายพักแรมที่ริมน้ำ ทหารหมื่นกว่านายต่างยุ่งวุ่นวายกับการกางกระโจม ก่อกำแพงค่าย หุงหาอาหาร จัดแบ่งเวรยาม ค่ายใกล้ตั้งเสร็จ ความตึงเครียดจางๆอันเป็นมาตลอดวันค่อยๆ ผ่อนคลายลงทีละน้อย
หลิวฉางเฟยนำคำเชื้อเชิญจากนายเหนือหัวมาถึงเหลียนอันสุ่ย
“ท่านอ๋องน้อยเชิญพระมาตุลาไป ‘ขี่ม้าสำรวจลำน้ำ’ ”
เมื่อคนถูกเชิญไปถึงก็พบเจ้าของคำเชิญรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำปลอด ตัวเขาสวมชุดลำลองสีดำไม่ได้สวมเกราะ แต่ก็ยังให้ความรู้สึกกดดันตามธรรมชาติ โดดเด่นเป็นหนึ่งไม่มีสอง
“อาชาชั้นเยี่ยมคู่กับจอมทัพผู้ปราดเปรื่อง นอกจากท่านอ๋องน้อยคงไม่มีใครคู่ควรกับอาชาตัวนี้อีกแล้ว ได้ยินว่าชาวเป่ยชางมีชีวิตบนหลังม้า ก่อนเด็กจะเดินคล่องต้องขี่ม้าเป็นก่อน ม้าของพวกท่านก็เป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดิน นับว่าไม่ผิดจริงๆ” เหลียนอันสุ่ยกล่าวขณะควบม้าขึ้นมาเคียงข้าง
“ม้าอันดับหนึ่งในแผ่นดินเป็นของชนเผ่าซีเฮ่อต่างหาก แต่ก็ใช่ หลังๆมานี้ม้าของพวกเราก็เทียบชั้นชนเผ่าซีเฮ่อได้แล้ว” ทั้งสองยิ้มให้อย่างรู้กัน
“ม้าของท่านก็ไม่เลว” ฉีเซี่ยงหยวนพูดพลางก้มมองม้าสีน้ำตาลของอีกฝ่าย
“ถ้าเทียบกับตัวที่ท่านขี่อยู่ยังจัดว่าห่างไกลนัก ม้าของท่านจึงเป็นอาชาดีหนึ่งในหมื่นอย่างแท้จริง”
“เจ้าตัวนี้น่ะรึ กว่าจะขี่มันได้ก็พยศเอาการอยู่เหมือนกัน...ข้าเพิ่งทราบว่าพระมาตุลามีความสามารถในการดูม้า”
“ข้าไม่ได้มีความรู้มากมาย เพียงแต่ยังพอแยกม้าชั้นดีกับม้าชั้นเลวได้อยู่ ม้าของท่านขนเป็นมันเงา ท่วงท่างามสง่าพ่วงพี เห็นชัดว่าได้รับการดูแลที่ดียิ่ง การดูแลเช่นนี้หากเป็นม้าทั่วไปย่อมไม่อาจได้รับ”
ฉีเซี่ยงหยวนมองคนพูดแล้วค้านในใจ ม้าทางเหนือได้รับการยกย่องว่าดีที่สุด ม้าของเหลียนอันสุ่ย เองก็เป็นม้าทางเหนือ ซ้ำยังเป็นพันธุ์หายาก หากมิใช่คนที่มีความรู้ทางด้านนี้ คงไม่ทุ่มเทเงินทองจำนวนมากเพื่อซื้อมัน
การดูม้าเป็นความรู้ประการหนึ่ง และเป็นประการที่ชาวเป่ยชางให้ความสำคัญยิ่ง คิดไม่ถึงในแคว้นเหลียนจะมีคนให้ความสนใจกับเรื่องนี้ด้วย
ตอนให้หลิวฉางเฟยไปเชื้อเชิญ ฉีเซี่ยงหยวนจงใจไม่คัดเลือกม้าให้ไปด้วยเพราะต้องการเห็นม้าประจำตัวของเหลียนอันสุ่ย สำหรับผู้มีอำนาจม้าเป็นสมบัติที่ขาดไม่ได้ บางคนถึงขนาดซื้อม้าชั้นดีไว้เป็นคอกๆเพื่ออวดอ้างบารมีตน แต่คนที่ซื้อไว้อวดโอ่กับซื้อไว้เพราะความชมชอบส่วนบุคคลย่อมแตกต่าง เพียงฟังพวกเขาพูดถึงม้าจะสามารถแยกแยะคนสองประเภทนี้ออกจากกัน
สำหรับเหลียนอันสุ่ยนับเป็นประเภทหลัง ส่วนฉีเซี่ยงหยวนไม่สามารถใช้คำว่าชมชอบได้ เพราะเขาเป็นชาวเป่ยชาง ซ้ำยังเป็นขุนนางสายทหาร มันมิใช่แค่ความคลั่งไคล้ แต่สิ่งเหล่านี้สมควรไหลเวียนอยู่ในสายเลือดเขาไปแล้ว
“ฉางเฟย เจ้าตามอารักขาห่างๆก็พอ พระมาตุลา เชิญ” พูดพลางผายมือ มืออีกข้างกระตุกสายบังเหียน ม้าสองตัวพุ่งออกไปดุจลูกธนู กวดไล่กันเลียบลำน้ำห่างไกลออกไป จนหลิวฉางเฟยแทบควบตามไม่ทัน
เมื่อมาถึงยอดเนินแห่งหนึ่ง ฉีเซี่ยงหยวนก็กระตุกสายบังเหียนรั้งม้าไว้ แส้ในมือชี้ไปข้างหน้า กล่าวว่า
“ถ้าเราเดินทางด้วยอัตราเร็วเท่านี้ไม่เกินสองวันจะทะลุป่าออกไป เดินทางเฉียงไปทางตะวันตกเล็กน้อยอีก 7 วันจะถึงเมืองชั้นนอกของเป่ยชางและอีก 12 วันจะบรรลุถึงเมืองหลวง”
“12 วัน ? เมืองชั้นนอกกับเมืองชั้นในห่างกันถึงเพียงนี้เลยหรือ” เหลียนอันสุ่ยถามขณะหยุดม้าเช่นกัน
“ย่อมไม่ได้ห่างไกลขนาดนั้น แต่เมื่อเข้าเขตเมืองแล้วไม่ควรเดินทางเร็วเกินไปนัก”
เหลียนอันสุ่ยมองหน้าคนพูดนิ่ง บนใบหน้าฉีเซี่ยงหยวนมีรอยยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่คิดอธิบายเพิ่มเติม
“อันตรายถึงเพียงนั้นเลยหรือ”
อ๋องน้อยแห่งเป่ยชางฟังแล้วเลิกคิ้ว สีหน้าเหนือความคาดหมายเล็กน้อย ขณะตอบว่า
“ระมัดระวังไว้จะดีกว่า” เพราะข้ายังไม่รู้ว่าพี่รองเตรียมลูกไม้อะไรไว้บ้าง
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ถามต่อ เพราะคาดเดาได้ว่าฉีเซี่ยงหยวนก็ต้องมีแผนการของเขา จึงเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า
“ฝีมือขับขี่ของท่านทำให้ข้าเลื่อมใสนัก”
ฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่าย รู้สึกว่าคนที่ควรจะแปลกใจสมควรเป็นตัวเขามากกว่า เพียงแค่เห็นท่าทางกุมบังเหียน ก็สามารถคาดเดาความสามารถในการบังคับม้า มิหนำซ้ำฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งสังเกตว่าม้าของเหลียนอันสุ่ยไม่ได้สวมอาน การขี่ม้าอานเปล่ายังยากกว่าการขี่ม้าแบบมีอานมากนัก แต่พระมาตุลาแคว้นเหลียนมือกุมบังเหียนอย่างปลอดโปร่ง ไหนเลยมีเค้าของความลำบากยากเย็น
“มีอะไรที่ท่านทำไม่ได้บ้างเนี่ย”
คนเป็นพระมาตุลาเลิกคิ้วให้กับคำถามนั้น สุดท้ายตอบว่า
“มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าอยากทำ แต่ดูเหมือนจะทำไม่ได้”
“อะไรหรือ”
คนถูกถามยิ้มเล็กน้อยตอบว่า
“ทำให้ม้าของท่านวิ่งเต็มฝีเท้า”
ฉีเซี่ยงหยวนอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะดังๆ
“ข้าปิดท่านไม่ได้อีกแล้วสิ”
เมื่อครู่ม้าทั้งสองตัวแม้กวดไล่กันเร็วปานลมกรด แต่เหลียนอันสุ่ยกลับดูออกว่าม้าสีดำของฉีเซี่ยงหยวนยังไม่ได้วิ่งเต็มฝีเท้า ทั้งยังเปิดโปงว่าอีกฝ่ายยั้งความเร็วม้ามาโดยตลอด นับเป็นฝีมือขับขี่อันยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง
การบังคับม้าให้พอดีกับม้าอีกตัวก็เป็นเรื่องยากพอแล้ว ต้องทั้งไม่ล้ำหน้าออกไป และไม่ชักช้ากว่าแม้เพียงเล็กน้อย แต่การยั้งความเร็วม้าขณะวิ่งด้วยความเร็วระดับนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะฝืนสัญชาติญาณของม้าอย่างรุนแรง ไม่เพียงม้าต้องผ่านการฝึกมาอย่างดี ผู้ขับขี่ยังต้องเชี่ยวชาญในระดับที่เหลียนอันสุ่ยไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“ข้าจับได้เพราะตอนท่านเกือบถึงยอดเนิน ท่านผ่อนการควบคุมลง ทำให้ม้าของท่านไปถึงยอดเนินก่อนข้าก้าวหนึ่ง” เหลียนอันสุ่ยเฉลย
“นั่นเพราะใจข้ากำลังคำนวณวัน ...แม่น้ำสายนี้เรียกว่าอะไร” ถามพลางมองลงไปยังลำธารเบื้องหน้า
“แม่น้ำสายนี้เรียกว่าเหอสุ่ย เพราะต้นน้ำมีดอกบัวป่าจำนวนมาก ถ้าท่านขี่ทวนลำน้ำขึ้นไปท่านจะเห็น เพียงแต่หากไปเป่ยชางคงเลียบแม่น้ำไปแค่ครึ่งสายก็ต้องผละออก เพราะนั่นเป็นทางที่สั้นที่สุด”
“มา ท่านกับข้าลองควบต่อไป ดูว่าจะไปถึงต้นน้ำที่ว่านั่นรึเปล่า...” ฉีเซี่ยงหยวนพูดไม่ทันจบม้าของเหลียนอันสุ่ยก็ชิงล้ำหน้าไปก่อนแล้ว
พระมาตุลาแคว้นเหลียนควบม้าไปได้พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้ากวดกระชั้นเข้ามา เมื่อหันไปมองก็พอดีเห็นอาชาสีดำเหยียดขาควบผ่านเลยไป เมื่อม้าของฉีเซี่ยงหยวนวิ่งเต็มฝีเท้า สภาพของทั้งม้าทั้งคนหลอมกลืนเป็นเงาสีดำอันปราดเปรียว เหินทะยานไปตามแนวหญ้า แซงหน้าล้ำม้าสีน้ำตาลไปไกล
ความจริงม้าของเหลียนอันสุ่ยก็เป็นม้าพันธุ์ดีฝีเท้าจัด แต่ม้าสีดำตัวนั้นกลับเป็นยอดอาชาที่ยากพบเห็น ฉีเซี่ยงหยวนกับมันคล้ายเกิดมาเพื่อกันและกัน แม้กระทั่งตอนนี้มันก็ยังไม่ยอมให้ผู้อื่นขี่โดยง่ายดาย เพียงไม่พยศกับฉีเซี่ยงหยวนคนเดียว
ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ควบไปไม่ถึงต้นน้ำ ฉีเซี่ยงหยวนหยุดม้าคอยก่อนได้พักหนึ่งแล้ว ส่วนเหลียนอันสุ่ยกำลังควบม้าเหยาะๆตามมา สายตามองลำน้ำแล้วก็ทอดยิ้มบางๆ เอ่ยขึ้น
“ข้าก็บอกแล้ว ว่าเราไปไม่ถึงต้นน้ำหรอก แค่ครึ่งสายนี่ก็ไกลมากแล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งงันมองคนพูดที่ใช้มือปัดผมที่ปรกหน้าออกไป ผิวหน้าของเหลียนอันสุ่ยมีหยาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ทำให้ผมเคลียกรอบหน้าเปียกลู่กอปรเป็นเส้นสายอันอ่อนโยน เพราะไม่ได้มัดรวบไว้ เส้นผมดำขลับจึงขยับพลิ้วไปกับสายลมเช่นเดียวกับหญ้าหมางที่ไหวโอนเอน อาภรณ์สีขาวตัดกับขนอาชาสีน้ำตาลจนดูราวทอจากหิมะที่ไม่แปดเปื้อนธุลีดิน
เหลียนอันสุ่ยพลิกตัวลงจากหลังม้าด้วยอิริยาบถคล่องแคล่วนุ่มนวล หันไปมองคนที่อยู่ข้างเคียง ถามว่า
“ท่านจะไม่ลงจากม้าหน่อยหรือ”
ฉีเซี่ยงหยวนจึงค่อยหลุดจากภวังค์ พลิกกายลงมาจากหลังม้าเช่นกัน ทั้งสองต่างไม่คิดจะผูกม้าเพราะแน่ใจว่ามันจะไม่หนี ม้าที่ถูกฝึกมาดีต่างรู้จักและจดจำนายของมันได้
“เราจะกลับกันเลยรึเปล่า” เหลียนอันสุ่ยถาม ขณะเงยมองท้องฟ้าที่เย็นมากแล้ว ฉีเซี่ยงหยวนมองตามไป สีหน้าคล้ายกำลังคำนวณเวลา กล่าวตอบว่า
“รออีกซักครู่ ให้หลิวฉางเฟยตามมาทันก่อน ท่านจะพักซักหน่อยก็ได้” พูดจบก็เดินไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เลือกมุมเหมาะๆนั่งพิงลงไป หลับตาพักเหนื่อย สูดลมหายใจอย่างผ่อนคลาย
ความจริงที่ฉีเซี่ยงหยวนออกมาควบม้าเล่น นอกจากเพื่อสำรวจเส้นทางเดินทัพแล้ว ยังต้องการผ่อนคลายความเคร่งเครียดที่เกิดจากการเร่งรีบเดินทาง พอดีนึกถึงเหลียนอันสุ่ยจึงชวนอีกฝ่ายออกมาด้วยกัน หากการควบม้าเล่นๆ กลับแปรเปลี่ยนเป็นประลองฝีเท้าม้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ คนรับบทหนักจึงกลายเป็นหลิวฉางเฟย ที่นอกจากต้องควบตามพวกเขาให้ทันแล้ว ยังต้องคอยเก็บข้อมูลเส้นทางที่ผ่านมาอีกด้วย ดีที่หลิวฉางเฟยพาคนติดตามมาด้วยอีกสี่คน งานจึงยังไม่ล่มแต่อย่างใด คิดถึงตรงนี้ก็ต้องลืมตาขึ้นอย่างตื่นตระหนก มีเสียงม้าร้องเบาๆ เป็นม้าสีดำของเขาไม่ผิดแน่ !
“ท่านอย่า...” แววตาตื่นตระหนกแปรเป็นตะลึงลาน
ฉีเซี่ยงหยวนกำลังจะส่งเสียงร้องเตือนให้อีกฝ่ายอย่าแตะตัวมัน แต่กลายเป็นว่าเหลียนอันสุ่ยไม่เพียงแตะไปแล้ว ม้าของฉีเซี่ยงหยวนยังยอมให้อีกฝ่ายแตะอีกด้วย ใบหน้าของมันก้มต่ำ ส่งเสียงร้องเบาๆ ยินยอมให้เหลียนอันสุ่ยใช้มือสางไปตามขนที่แผงคอ และดูเหมือนว่ามันจะ...พอใจ
นี่สามารถจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้ ม้าตัวนี้คนที่แตะตัวมันถูกมันใช้ขาดีดกระเด็นจนเกือบถึงตายมาหลายคนแล้ว ยังไม่นับรวมคนที่พยายามปราบพยศมันมาก่อนหน้าฉีเซี่ยงหยวน ขนาดตัวฉีเซี่ยงหยวนเองกว่าจะขี่มันได้ก็ฟกช้ำไปหลายตำแหน่ง ส่วนหลิวฉางเฟยถ้าเป็นไปได้จะอยู่ห่างจากมันซักสิบห้าก้าวเป็นอย่างต่ำ
ความจริงม้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว เวลามันพยศ ฟัน ขา กีบเท้า แต่ละส่วนล้วนสามารถใช้เป็นอาวุธ เพียงแต่ฉีเซี่ยงหยวนเห็นม้ามาตั้งแต่อายุยังน้อยจึงดูเป็นเรื่องปรกติไป ส่วนพระมาตุลาผู้นี้...เขาไม่รู้จักกลัวหรือสมควรว่าสิ่งมีชีวิตทั้งโลกต่างเป็นมิตรกับเขากัน !
คนที่ไม่ทราบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนขอบเหวที่หวุดหวิดจะเจ็บตัวถามขึ้นด้วยดวงตากระจ่างเป็นประกาย
“ม้าของท่านมีชื่อรึเปล่า”
“...มันเรียกว่าร้อยราตรี เพราะหากให้มันวิ่งใช้เวลาเป็นร้อยราตรีก็กวดตามไม่ทัน ม้าท่านเล่า”
ได้ยินคำถามนี้เหลียนอันสุ่ยก็ยิ้ม กล่าวตอบว่า
“ม้าข้าชื่อเหรียญทอง เพราะเพื่อซื้อมันไม่ทราบต้องเสียเงินไปกี่ตำลึงทอง เวลาเรียกจะได้ย้ำเตือนตัวเองว่าต้องใช้เจ้านี่ให้คุ้ม”
ฟังที่มาของชื่อม้าเหลียนอันสุ่ยแล้ว ฉีเซี่ยงหยวนก็หัวเราะออกมา
การสนทนาดำเนินไปอีกเล็กน้อย หลิวฉางเฟยก็ขี่ม้าตามมาจนทัน ทั้งคู่จึงพากันพลิกตัวขึ้นหลังม้า เพื่อควบกลับค่ายที่ตั้งเสร็จเรียบร้อย
โชคร้ายเป็นของเหล่าผู้ติดตามทั้งสี่ที่ได้แต่โอดครวญกับสวรรค์ กว่าจะไล่ตามท่านอ๋องน้อยทันก็เป็นงานที่หนักหนามากแล้ว ทุกคนต่างทราบ ม้าร้อยราตรีของท่านอ๋องน้อยมีฝีเท้าจัดถึงเพียงไหน นี่ไม่ทันได้จะได้พัก ก็ต้องเริ่มการกวดตามอีกแล้ว! ...ท่านอ๋องน้อยเข้าใจว่าม้าของพวกเขามีกี่ขากัน เพียงแต่จะไม่ควบตามก็ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นโทษฐานอารักขาหย่อนยานจากแม่ทัพหลิวต้องเป็นของพวกเขาแน่
=======
ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวาย บางวันอาจมาอัพให้ไม่ได้นะคะ(บอกไว้ล่วงหน้าถ้าหายไปจะได้ไม่ตกใจ)