<<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58  (อ่าน 223654 ครั้ง)

ออฟไลน์ _himura_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตามมาให้กำลังใจจากเด็กดีค่ะ ไม่ค่อยได้เม้นในนั้นเท่าไหร่ แต่บอกตรงๆเลยเราอ่านนิยายเพื่อความสนุก ไม่เคยคิดจริงจัง แต่พอมาเจอเรื่องนี้ บอกเลยว่ารักเรื่องนี้มากมากมาก ทั้งลึกซึ้งถึงแก่นของจิตใจ ทั้งภาษาบาดใจ ไม่เคยคิดจะซื้อหนังสืออะไรไปเปลืองพื้นที่ห้อง(ก็ห้องมันเล็กอะ 55+) แต่เรื่องนี้แม้แต่ยังไม่จบยังอดใจที่จะซื้อมาเก็บไว้ไม่ได้ มันสุดยอดจริงๆ ถ้าคนแต่งมีนิยาเรื่องอื่นนอกจากนี้ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ

รักคนแต่ง สู้สู้นะคะ

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
ชอบมากเลย สู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
โอ๊ยสนุกมาก ตัวละรมีมิติมีความเป็นมนุษย์มาก

ภาษาก็ดี โอ๊ย ชอบมากๆค่ะ ผูกเรื่องดีงามมาก

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 45
«ตอบ #123 เมื่อ24-09-2014 21:57:54 »


บทที่ 45 ดวงดาราไร้คำตอบ

เหยี่ยวตัวหนึ่งบินฝ่าอากาศด้วยความเร็วปานลมกรด  ปรกติการสื่อสารทั่วไปมักใช้พิราบมากกว่าเหยี่ยว  เพราะพิราบฝึกได้ง่ายกว่าและเหยี่ยวมีค่ามากกว่า  ที่สำคัญคือเหยี่ยวต้องมี ‘นาย’ กับข่าวอันตรายที่ไม่ต้องการให้ตามสืบสาวถึงต้นตอได้การใช้นกพิราบจึงมีความเสี่ยงน้อยกว่า  เพียงแต่ข่าวคราวรอบนี้สำคัญเกินไป  จำเป็นต้องส่งไปอย่างเร่งด่วนและจำเป็นต้องถึงมือผู้รับ  เหยี่ยวที่ได้รับเลือกจึงเป็นตัวที่แข็งแกร่งที่สุดและบินได้รวดเร็วที่สุด

ที่ชายแดน  เทพสงครามแห่งแคว้นเป่ยชางทุบกำปั้นลงกับสันกำแพงหิน  แต่ในใจของเขา ปรารถนาจะทุบกำปั้นนี้ใส่ศีรษะอวดดีอย่างไม่รู้จักไตร่ตรองของสั้งหู่  อวดดีเกินไปแล้ว  อวดดีจนได้เรื่อง  ตระกูลสั้งเป็นขุนนางที่จงรักภักดีกับอดีตเป่ยชางอ๋อง  ดังนั้นจึงถือหางฝั่งองค์ชายห้า  บิดาของสั้งหู่มีตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก  ส่วนสั้งหู่เองก็เคยเป็นลูกน้องมีฝีมือใต้บังคับบัญชาของหยงเซี่ย  ตอนนี้ได้รับมอบหมายให้ติดตามอารักขาองค์ชายห้า  พิทักษ์อดีตเป่ยชางอ๋องในเมืองหลวง 

แต่ทั้งๆที่มีภาระอันยิ่งใหญ่อยู่บนบ่า ต้องแบกรับหน้าที่อารักขาผู้อื่น  มีอย่างที่ไหนไปตอแยเรื่องราวจนตัวเองตกอยู่ในอันตราย  เช่นนี้ไม่เพียงอารักขาไม่สำเร็จ  ยังอายุสั้นกว่านาย  ทั้งยังหาเรื่องเดือดร้อนให้กับนายเหนือหัว  นับเป็นองครักษ์ที่ใช้ไม่ได้จนถึงที่สุด  หยงเซี่ยอ่านสาส์นในจดหมายจบถึงกับพึมพำว่า
“ถูกตัดหัวก็นับว่าสมควรแล้ว!”
ที่หนักคือเรื่องที่สั้งหู่ก่อ ทำจนผู้เป็นบิดาอับอายจนไม่มีหน้าอยู่ในราชสำนัก  มิผิด  เป่ยชางอ๋องถึงกับได้โอกาสกำจัดเสี้ยนหนามสำคัญไปคนหนึ่ง  ตำแหน่งนี้ของบิดาสั้งหู่เป็นถูกบีบให้ออกด้วยวาจา  ทุกคนกระทั่งอดีตเป่ยชางอ๋องต่างทราบว่าไม่อาจยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว  เพราะถ้าอาศัยวาจาอ้อมค้อมไม่เชื่อฟัง  เป่ยชางอ๋องจะมีพระบัญชาลงมาโดยตรง  ผลสุดท้ายไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ต่างกัน
นับว่าพวกเขาเลอะเลือนไปเองที่มอบหมายหน้าที่สำคัญให้กับคนอย่างสั้งหู่ !
---------------------
“อุตส่าห์มีเหยี่ยวบินไปถึงชายแดนเลยหรือ  ฝ่ายนั้นนับว่ากังวลสนใจต่อชีวิตสั้งหู่ไม่น้อย  แม่ทัพใหญ่หยงมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร” น้ำเสียงของต้าอ๋องแห่งแคว้นเป่ยชางมีแววประหลาดใจในตอนแรกและสนใจใคร่รู้ในตอนท้าย  แน่นอน  ประโยค ‘กังวลสนใจชีวิตสั้งหู่’ ทุกคนล้วนทราบดีว่าฉีเซี่ยงหยวนย่อมไม่ได้หมายถึงสั้งหู่จริงๆ  สิ่งที่ฝ่ายนั้นกังวลคือจะมีผลกระทบไปถึงองค์ชายห้าหรือไม่ต่างหาก

“นั่นเกรงว่ามีแต่ตัวเขาที่ตอบได้  แต่หลังทราบข่าวแม่ทัพใหญ่หยงไม่มีความเคลื่อนไหวอันใด” หลิวฉางเฟยรายงาน
“หยงเซี่ยนับว่าเลอะเลือนจริงๆ  มอบหมายหน้าที่สำคัญนี้ให้กับสั้งหู่ได้อย่างไร” เสียงของมู่ซางดังขึ้น

วันนี้ในคนสนิททั้งห้าของฉีเซี่ยงหยวนอยู่พร้อมหน้ากันถึงสามอย่างหาได้ยาก  ขาดเพียงหลี่กวงเว่ยที่ยุ่งจนหัวหมุนอย่างไรก็ยังหัวหมุนอยู่อย่างนั้นกับขุนนางชราจางจื่อหยูที่ติดนัดหมายเดินหมากกับใต้เท้าต้วน  แน่นอนว่าการเดินหมากเป็นเพียงข้ออ้าง  จางจื่อหยูกำลังหยั่งท่าทีของใต้เท้าทั้งหลายในราชสำนักที่มีต่อการออกจากตำแหน่งและตัดหัวในครั้งนี้

“มู่ซาง  เจ้าเคยเห็นฝีมือในการบัญชาทัพของหยงเซี่ยหรือไม่  ตำแหน่งเทพสงครามมิใช่สิ่งที่จะได้มาโดยเลื่อนลอย”
มู่ซางเหลือบมองฉีเซี่ยงหยวนที่เป็นคนกล่าววาจาเมื่อครู่ซึ่งนั่งอยู่บนยกพื้นสูงขึ้นไป  ปากกล่าวว่า
“ก็ใช่  ข้าไม่เคยทำศึกใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพใหญ่หยง  แต่ข้าว่าในแคว้นเป่ยชางมีคนผู้หนึ่งที่มีฝีมือบัญชาทัพสูงส่งกว่าเขา  ซึ่งคนๆนั้นตอนนี้นั่งอยู่เบื้องหน้าข้า”
ฉีเซี่ยงหยวนส่ายหน้า
“จริงอยู่  ด้านกลยุทธ์ข้าอาจพลิกแพลงกว่า  แต่คำว่าเทพสงครามเป็นของเขาเพียงคนเดียว ในสมรภูมิหยงเซี่ยไร้ผู้ต้านติดอย่างแท้จริง  ทั้งหมดมิใช่แค่ความสามารถ  ยังมีเกียรติยศและศักดิ์ศรีที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้  ข้าเติบโตมากับความยิ่งใหญ่ของเขา  ทั้งยังเคยเป็นแม่ทัพใต้ร่มธงของเขา  ในแคว้นเป่ยชางแม่ทัพที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ล้วนเคยเป็นแม่ทัพใต้ร่มธงของเขามาแล้วทั้งสิ้น  เพียงแต่การนำทัพกับเกมการเมืองมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน  สั้งหู่มีฝีมือไม่เลว  ทั้งยังจงรักภักดี  ไม่แปลกที่แม่ทัพใหญ่หยงจะเลือกใช้เขา  แต่สำหรับการเมืองแล้วสั้งหู่มิใช่ตัวเลือกที่เหมาะเลย”
“เอาเป็นว่าข้าเด็กเกินไป  มาทีหลังจึงไม่ได้มีโชคไปอยู่ใต้ร่มธงของเขา  แต่คนผู้นี้วางตัวเป็นศัตรูกับเราอยู่ชัดๆ  ต้าอ๋องจะไปกล่าวยกย่องเขาอีกทำไมกัน” มู่ซางกังขา

แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับตอบว่า
“แม่ทัพใหญ่หยงไม่ใช่ศัตรูของเรา  และถ้าเขาไม่ได้ทำตัวเช่นนี้  ข้าคงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขาปานนี้แล้ว  จริงอยู่ที่ข้าเป็นต้าอ๋องของเขา  แต่แม่ทัพใหญ่หยงเคยรับใช้พระบิดาของข้ามาก่อน  ภักดีต่อแคว้นเป่ยชาง  ภักดีต่อสายเลือดของเป่ยชางอ๋อง  ดังนั้นชีวิตของพระบิดากับชีวิตของน้องห้าที่พระบิดาใส่ใจยิ่งกว่าชีวิตตัวเองเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจไม่ใส่ใจได้  ส่วนตัวข้าในตอนนี้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในวังหลวง  ดูอย่างไรก็มิใช่ฝ่ายที่ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต  ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลให้เขาตัดสินใจทำเช่นนี้”
มู่ซางแบะปาก  กล่าวว่า
“ท่านช่างเข้าใจหยงเซี่ยอย่างลึกซึ้งถึงแก่น  ข้าอยากจะรู้นักว่าถ้าเขากรีฑาทัพหลายหมื่นของเขาเข้ามาเอาศีรษะท่าน  ท่านยังจะกล่าววาจาเข้าอกเข้าใจเขาเช่นนี้อยู่หรือไม่”
ฉีเซี่ยงหยวนได้ฟังก็หัวเราะเบาๆ  พลางกล่าว
  “ข้าบอกได้ว่าถ้าพระบิดาคิดกำจัดข้าแม่ทัพใหญ่หยงจะเป็นคนแรกที่ออกปากคัดค้าน  และถ้าพระบิดายังไม่ยอมล้มเลิกเขาก็จะเป็นคนแรกอีกเช่นกันที่เข้าวังมาคุ้มกันข้าด้วยตัวเอง  เขาคุกเข่าให้ข้าแล้ว  และการคุกเข่าของหยงเซี่ยไม่ใช่เรื่องล้อเล่น  ข้าเป็นนายที่แท้จริงของเขา  และข้าคือคนที่เป็นเป่ยชางอ๋อง  สำหรับหยงเซี่ยแล้วแคว้นเป่ยชางต้องมาก่อนเสมอ  ส่วนในอนาคตถ้าข้ากลายเป็นอดีตเป่ยชางอ๋องเขาก็จะให้ความคุ้มครองข้าเช่นเดียวกับที่เขาให้กับพระบิดาในตอนนี้  นี่คือความภักดีของเขาที่ไม่เคยสนใจว่าใครจะวิจารณ์อย่างไรตลอดมา”
คู่กัดตลอดกาลของมู่ซางอย่างฝงเป่าได้ทีต้องเอ่ยเสริมว่า
“สำหรับคนที่สะกดคำว่า ‘จงรักภักดี’ ไม่เป็นอย่างเจ้านะ มู่ซาง  ต้าอ๋องพูดไปเจ้าก็คงไม่เข้าใจเป็นส่วนมาก  นี่เป็นสาเหตุที่ไม่ว่าอย่างไรชนชั้นเช่นเจ้าก็ไม่มีทางยิ่งใหญ่ได้ถึงครึ่งหนึ่งของแม่ทัพใหญ่หยง”

“น้อยๆหน่อย  ต้าอ๋องด่าข้าได้  แต่ยังไม่ถึงรอบของเจ้า  อีกอย่างข้าไม่เห็นอยากจะเป็นคนยิ่งใหญ่ตรงไหน  คนแบบนั้นไปไหนมาไหนก็ต้องแบกป้ายคำว่ายิ่งใหญ่ไปตลอดทาง  ยุ่งยากออกจะตาย  ข้าเป็นกุนซือตัวเล็กๆของข้าก็ดีอยู่แล้ว  ผู้ยิ่งใหญ่อย่างหยงเซี่ยต้องลำบากลำบนเสียสละเฝ้าอยู่ที่ชายแดน  ส่วนขุนนางตัวเล็กๆอย่างข้าได้นอนเตียงนุ่มๆเอกเขนกอยู่ในเมืองหลวง  ดูใต้เท้าหลี่ผู้มากความสามารถของพวกเราสิ  เพราะมีความสามารถมากเกินไปตอนนี้จึงได้แต่ทำงานหัวหมุนอยู่บนโต๊ะ  ในขณะที่ข้าความสามารถไม่เท่าเขาจึงสบายกว่าเขาตั้งมากมาย  อีกอย่างนะฝงเป่า  คนอย่างเจ้าพยายามแทบตายก็ไม่มีวันได้ถึงครึ่งของแม่ทัพใหญ่หยงเหมือนกันนั่นแหละ”
ประโยคสุดท้ายเหยียบลงไปบนหางของฝงเป่าอย่างจัง  การเป็นให้ได้อย่างหยงเซี่ยคือความฝันชั่วชีวิตของฝงเป่ามาโดยตลอด...และนั่นก็อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มู่ซางไม่ค่อยนึกยกย่องหยงเซี่ยมาแต่ไหนแต่ไร

หลิวฉางเฟยมองคู่กัดที่จับนั่งแยกคนละฟากโต๊ะก็ยังอุตส่าห์ทะเลาะกันข้ามโต๊ะได้อีกอย่างปวดหัว  ต้องกล่าวเสียงดังตัดบทว่า
“ต้าอ๋องฟังพวกเจ้ากัดกันจนรำคาญแล้ว  เมื่อไหร่จะเข้าเรื่องเสียที” น้ำเสียงของหลิวฉางเฟยเห็นชัดว่าก็รำคาญเช่นเดียวกัน  มู่ซางจึงเริ่มรายงานด้วยท่าทีจริงจัง
“ตามข่าวล่าสุดนอกจากหยงเซี่ยที่ไม่มีความเคลื่อนไหว  องค์ชายห้ากับอดีตเป่ยชางอ๋องก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวเช่นกัน  ส่วนประกาศลาออกของใต้เท้าสั้งบิดาของสั้งหู่เป็นที่รู้กันทั่วทั้งราชสำนัก  นับว่าเข้าใจวาจาสองประโยคที่ต้าอ๋องกล่าวกับเขาก่อนหน้านี้เป็นอย่างดี  แต่ข้าได้ยินมาว่าเขายังคงวิ่งเต้นหาหนทางช่วยชีวิตบุตรชายเพียงคนเดียวด้วยการพยายามบอกว่าความผิดของสั้งหู่เป็นความประมาทแต่ไร้ซึ่งเจตนา  แถมหาว่าข้าปั้นน้ำเป็นตัวใส่ร้ายบุตรชายของเขา  เฮอะ  ข้าแค่เสริมเติมแต่งเล็กน้อย  หากคิดปั้นน้ำเป็นตัวจริงตระกูลสั้งทุกคนยังจะมีหัวไว้ประดับบ่าได้อีกหรือ”

“ไม่เป็นไร  ให้เขาวิ่งเต้นไป  เรื่องนี้จางจื่อหยูกำลังจัดการให้กับเรา  ส่วนหัวของลูกชายเขาข้าเกรงว่าไม่อาจละเว้นได้” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวเป็นการสรุปทุกอย่างอย่างไร้ข้อโต้แย้ง  ทั้งหลิวฉางเฟยและมู่ซางต่างทราบว่าสาเหตุที่ต้าอ๋องประหารสั้งหู่  ข้อแรกเป็นเพราะพระมาตุลา  ส่วนข้อที่สองเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู  ปรามคนที่คิดอยู่ฝ่ายองค์ชายห้าให้คิดดีๆเข้าไว้
---------------------
ตำหนักส่วนพระองค์ของเป่ยชางอ๋องที่ไม่ค่อยได้ใช้งานเนื่องจากผู้เป็นเจ้าของมักไปขลุกอยู่ที่ตำหนักเสียงวสันต์วันนี้คึกคักเป็นพิเศษ
องค์ชายห้าขอเข้าเฝ้าเป่ยชางอ๋อง  ฉีเซี่ยงหยวนอนุญาตให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวที่ตำหนักเยี่ยอวิ๋น  ซึ่งความจริงแล้วการอนุญาตเช่นนี้มีความนัย  ปรารถนาจะย้ำเตือนให้อีกฝ่ายสำนึกในฐานะของตัวเอง
องค์ชายห้าฉีเซี่ยงอวิ๋นมองความหรูหรายิ่งใหญ่ของตำหนักเยี่ยอวิ๋นด้วยสายตาเรียบเฉย    เข้ามาก็ถวายบังคมพลางกล่าวขอขมาที่คนของตัวเองไปทำร้ายม้าประจำพระองค์ของเป่ยชางอ๋องอย่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง  หากไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่สั้งหู่ล่วงเกินพระมาตุลาแม้แต่คำเดียว

ฉีเซี่ยงหยวนจับตามองน้องชายคนสุดท้องนิ่ง  ทุกคนต่างทราบดีว่าคำว่าอวิ๋นในชื่อของฉีเซี่ยงอวิ๋นเป็นอดีตเป่ยชางอ๋องจงใจใช้ตัวอักษรเดียวกับชื่อตำหนักแห่งนี้มาตั้งให้  ความมุ่งหมายเป็นที่ทราบได้  ที่น่าขำก็คือพี่สามชื่อฉีเซี่ยงเยี่ย  ส่วนน้องห้าชื่อฉีเซี่ยงอวิ๋น  ชื่อฉีเซี่ยงอวิ๋นทั้งๆที่ชื่อนั้นความจริงสมควรเป็นของเขา  บุตรชายลำดับสี่เช่นเขาในสายตาของพระบิดามีตัวตนอยู่ก็เหมือนไม่มี  พี่ใหญ่คือฟ้า  พี่รองคือความรุ่งโรจน์  ชื่อของทั้งคู่ประกอบกันเป็นความรุ่งเรืองแห่งรัชกาลใหม่  เป็นความมุ่งหวังของพระบิดา  ส่วนตัวเขาแท้จริงพระมารดาเป็นคนตั้งชื่อให้  ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน  แต่ฉีเซี่ยงหยวนปัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป  ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า
“ที่แท้เป็นเรื่องนี้  ข้าลงโทษโบยไปสิบไม้  และให้เขาเก็บกวาดคอกม้าหลวงสองเดือนเต็ม  หวังว่าน้องห้าจะเห็นด้วยกับการลงโทษเช่นนี้”
“ต้าอ๋องทรงพระปรีชายิ่ง”
หนึ่งนิ่งเฉย  หนึ่งนอบน้อม  ประกอบกันเป็นภาพที่ชวนอึดอัดใบหนึ่ง  และเป็นภาพที่ชวนสะท้อนใจใบหนึ่ง  เพราะอายุห่างกันมากถึงสิบห้าปีระหว่างพวกเขาจึงไม่มีคำว่าคลุกคลีใกล้ชิด  อย่าว่าแต่ฉีเซี่ยงอวิ๋นคือแก้วตาดวงใจของอดีตเป่ยชางอ๋อง  ตั้งแต่เด็กคนนี้เกิดมาอดีตเป่ยชางอ๋องก็ระแวดระวังอยู่ทุกทางไหนเลยจะเปิดโอกาสให้พี่ชายซึ่งไม่แน่ว่าจะหวังดีทั้งหลายได้เฉียดใกล้น้องชายคนนี้เกินความจำเป็น

“ตอนแรกข้ายังเข้าใจว่าเจ้ามาเพราะเรื่องสั้งหู่เสียอีก” ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดจะยอมปล่อยไปโดยง่ายดาย
 “สั้งหู่ล่วงเกินพระมาตุลาที่เป็นแขกของต้าอ๋อง  ประทุษร้ายต้าอ๋อง  โทษประหารถือว่าสาสมกับความผิด  เซี่ยงอวิ๋นไม่มีความเห็นเป็นอื่น” ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเห็นด้วยออกมาทันที  ผู้เป็นพี่ก็หรี่ตาลง  รู้จักเอาตัวรอดนัก  ในเมื่อทราบแน่แก่ใจว่าไม่มีหนทางช่วยเหลือการไม่ดึงดันนับเป็นทางเลือกที่ฉลาด  แต่เข้าใจว่าหลบพ้นหรือ ?
“เจ้าไม่มีความเห็นเป็นอื่นก็ดี  เพียงแต่ลูกน้องทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้  ผู้เป็นนายใช่สมควรมีความผิดด้วยหรือไม่ ? ”
“กับลูกน้องคนนี้เซี่ยงอวิ๋นไม่ได้สนิทด้วยนัก  แต่ก็ใช่  เซี่ยงอวิ๋นเป็นนายไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้  ขอต้าอ๋องโปรดเมตตาเปิดโอกาสให้เซี่ยงอวิ๋นทำความดีชดใช้ความผิด”
“ถ้าข้าไม่เมตตาเล่า” ฉีเซี่ยงหยวนถามอย่างเฉยชา
“นั่นก็ต้องสุดแท้แต่ต้าอ๋อง  เซี่ยงอวิ๋นยินดีรับบทลงโทษทุกประการ”
คิ้วหนาของฉีเซี่ยงหยวนเลิกขึ้นเล็กน้อย  ยินยอมอ่อนข้อให้ถึงเพียงนี้เชียว?  ฉีเซี่ยงหยวนยอมรับว่าเขาไม่มีความเข้าใจในตัวน้องชายต่างมารดาผู้นี้นัก
“บทลงโทษของข้ามีอยู่สองข้อ  ข้อแรก  ข้าจะเปิดโอกาสให้เจ้าทำความดีลบล้างความผิดตามที่ขอ  ข้าคิดจะสร้างสำนักศึกษาที่หัวเมืองทางตะวันออก  เช่นเดียวกับที่เรามีในเมืองหลวงและทางใต้  งานนี้ข้าจะมอบหมายให้เจ้าไปควบคุมดูแลในนามของข้า  ทำได้ใช่หรือไม่”
ความจริงต่อให้ไม่มีเรื่องของสั้งหู่  ฉีเซี่ยงหยวนก็ตั้งใจจะมอบหมายงานนี้ให้อีกฝ่ายอยู่แล้ว  นั่นเท่ากับบังคับให้ฉีเซี่ยงอวิ๋นต้องออกจากเมืองหลวง  แต่ไม่ไปอยู่ไกลหูไกลตาจนเกินไป  เมืองทางตะวันออกแม้ไม่ใหญ่นัก  แต่ก็เจริญไม่น้อย  หากเป็นคนไม่มีความทะเยอทะยาน  นี่ก็นับว่าเป็นหน้าที่ที่มีความสุขดี

การให้น้องห้าไปอยู่เมืองที่ไม่มีความสำคัญทางทหารและมอบหมายหน้าที่ที่ไม่มีความสำคัญให้คงทำให้พระบิดาไม่พอใจ  แต่นี่คือความเมตตาที่สุดของฉีเซี่ยงหยวนแล้ว  เงินและทหารคือสองสิ่งที่มีอำนาจ  คิดทำลายคนๆหนึ่งไม่มีวิธีใดที่ง่ายไปกว่าเอาอำนาจใส่ลงในมือของเขาอีกแล้ว
 
หากฉีเซี่ยงหยวนคิดกำจัดน้องชายคนนี้จริงจะมอบกำลังทหารบางส่วนแก่เขา  แต่ปกครองเมืองที่มีเสบียงไว้  จะมอบอำนาจในเงินตราบางส่วนแก่เขา  แต่ไม่ให้เส้นทางขนส่งสินค้าสำคัญจำพวกเกลือ  จากนั้นค่อยส่งคนเข้าไปปลุกปั่นความทะยานอยากของอีกฝ่าย  รดน้ำพรวนดินให้มันเติบโต  รอคอยจังหวะที่อีกฝ่ายก้าวพลาด  แล้วรวบเก็บอำนาจทั้งหมดกลับมาในมืออย่างชอบธรรม  ความผิดพลาดมิใช่สิ่งยากเย็นเลย  โดยเฉพาะเมื่อมีคนมุ่งหวังให้มันเกิดขึ้น  และความผิดพลาดนั้นย่อมจะทำหน้าที่ของมันในการส่งฉีเซี่ยงอวิ๋นไปปรโลก 
ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่ต้องการกระทำ  และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าน้องชายคนนี้จะรู้วิธีสะกดข่มความทะเยอะทะยานที่คงมีคนมากมายมุ่งหวังจะให้มันงอกรากในจิตใจของเขา

ฉีเซี่ยงอวิ๋นรับคำอย่างง่ายดาย  พลางถามถึงบทลงโทษอย่างที่สอง
ผู้เป็นเป่ยชางอ๋องเดินลงไปนั่งยังอีกฟากของห้อง  พลางผลักสุราหนึ่งกาใหญ่บนโต๊ะไปเบื้องหน้า  กล่าวว่า
“ช่วยข้าดื่มสุรา  แล้วข้าจะถือว่าบทลงโทษอย่างที่สองไม่ต้องทำ”
องค์ชายห้าฉีเซี่ยงอวิ๋นมองกาสุราอย่างลังเล  แต่สุดท้ายก็ยืนขึ้น  เอื้อมมือมารินไป
ลมของยามเย็นโชยพัดมา  หอบกลิ่นสุราฟุ้งกระจาย
ฉีเซี่ยงอวิ๋นคอไม่แข็ง  พยายามดื่มอย่างจำกัดเนื่องจากไม่ต้องการให้ตัวเองเมามาย  แต่สุรานี้ฉีเซี่ยงหยวนจงใจเลือกให้ฤทธิ์แรงเป็นพิเศษ  เพียงกาเล็กๆก็ทำให้คนเมาหัวทิ่มได้  สุดท้ายคนที่พยายามจะไม่เมาก็ยังคงเมาตามที่ฉีเซี่ยงหยวนต้องการอยู่ดี  องค์ชายอายุสิบหกผู้นี้ดื่มจนหน้าแดง  ร่างส่ายโงนเงน  หน้าแทบก้มลงไปแนบชิดสนิทสนมกับพื้นโต๊ะ
เมื่อคนเมา  วาจาก็ไม่สำรวม  กล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไปอย่างง่ายดาย
“พี่สี่...ท่าน...ท่านที่แท้เป็นคนอย่างไรกันแน่”
“...” ฉีเซี่ยงหยวนมองน้องชายที่จู่ๆก็ชันตัวขึ้นมาชี้หน้าเขา  เลิกคิ้วเล็กน้อย  คำว่า ‘พี่สี่’ ของอีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่าเมาจนควบคุมสติไม่อยู่แล้ว
ถึงฉีเซี่ยงหยวนจะไม่ตอบอีกฝ่ายก็ดูจะไม่สนใจ  พล่ามต่อไปว่า
“พี่รองเป็นคนโหดเหี้ยม  ...แต่ข้า...อึก...ข้ามักรู้สึกว่าท่านเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด  ตอนเด็กๆพระมารดาบอกว่าไม่ให้ข้ายุ่งกับท่าน...ไม่ให้ยุ่งกับพวกท่านทั้งหมดเลย  บอกว่าพี่ชายข้าไม่มีใครชอบข้าซักคน  ข้าผิดตรงไหน  ข้า...ข้า  แค่ตามมาทีหลัง...ก็เลยดูเป็นของไม่เข้าพวก  พวกท่านเป็นพวกเดียวกันมีแต่ข้าที่ไม่ใช่  นั่นมัน...นั่นมันไม่เห็นยุติธรรมซักนิด”

ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วหัวเราะเบาๆ พลางตอบว่า
“เจ้าคิดมากไปแล้ว  พวกข้าไม่เห็นเป็นพวกเดียวกันตรงไหน  เจ้าไม่รู้หรือว่าคนที่พี่รองเกลียดที่สุดก็คือพี่ใหญ่  ส่วนในบรรดาพี่น้องทั้งหมดที่ไม่เข้าพวกที่สุด...ก็คือข้า” พระบิดาแทบไม่เคยนับข้าเป็นลูกชายของเขาด้วยซ้ำ 
สำหรับคนที่น่ากลัวที่สุด  ถ้าเป็นฉีเซี่ยงหยวนในตอนเด็กคงจะตอบว่าเป็นพี่รอง  แต่ถ้าถามตัวเขาในตอนนี้คนๆนั้นคือพี่ใหญ่ 

“ข้ารู้  แน่นอนว่า  ข้า...รู้  ส่วนท่านไม่ชอบพี่รอง  ไม่ชอบข้าด้วย  ท่านกำจัดพี่รองไปแล้ว  ตอนนี้  ตอนนี้ก็เหลือ...ข้า  ข้ารู้ว่าข้าจะเป็นรายต่อไป...  ท่าน...จะหัวเราะกลบเกลื่อนไปทำไม  พูดกันตรงๆไปเลย  ข้าไม่อยาก...ปั้นคำพูดอีกแล้ว  อึก” โบกไม้โบกมือ  หน้าทิ่มลงไปกับโต๊ะอีกครั้ง
ฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่ายขำๆ  น้องชายผู้นี้ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนคิดถึงตัวเองตอนยังเยาว์วัยกว่าที่เป็น  ตรงไปตรงมาและเต็มไปด้วยเลือดของวัยหนุ่ม  เมื่อครู่คงสำรวมจนอัดอั้นตันใจยิ่งกระมัง  แต่ฉีเซี่ยงหยวนค่อนข้างมั่นใจว่าเมาจนหัวโขกโต๊ะนี่เขาไม่เคยเป็น  ปรกติตอนเขาเริ่มกรึ่มๆทุกคนรอบตัวมักจะเมาจนเป็นซากไปแล้ว  ดังนั้นท่าทางเมามายแบบไหนๆเขาล้วนเห็นจนเคยชิน  คิดพลางพึมพำว่า
“พูดกันตามตรง  ข้าไม่ได้อยากกำจัดเจ้าแม้แต่น้อย  พระบิดาก็ด้วย”
แต่คนฟังกลับเงยหน้าขึ้นมาจากจอกเหล้าทันควัน  ร้องว่า
“โกหก!  ทั้งท่าน...ทั้งพี่รอง...ไม่มีใครชอบข้า  พวกท่านสองคนสู้กัน...ไม่ว่าใครชนะ...คนตายก็คือข้า  ข้ารู้ดีอยู่แล้ว  รู้มาตั้งแต่แรก  แต่...แต่อย่าฆ่าพระบิดา  เขาไม่...ไม่ใช่แค่พระบิดาของข้า  ยังเป็นของท่านด้วย  เขาเป็นคนดี  ดีต่อข้ามาก  อึก  เอาที่พวกท่านทั้งสามคนดีต่อข้ารวมกันยังเทียบไม่ได้กับที่เขาดีต่อข้า”

ฉีเซี่ยงหยวนฟังคำที่เสียดแทงลงไปในจิตใจของเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉย  เขาเป็นพระบิดาของข้าด้วย...จริงหรือ?  ทราบว่าถ้าพี่รองอยู่ตรงนี้ด้วยจะต้องเถียงด้วยน้ำเสียงเหยียดหยันว่าพระบิดาไม่ใช่คนดี  แต่เป็นคนร้ายกาจที่สุดต่างหาก  อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งทราบในคืนที่พวกเขาคุยกันในคุกว่าในท่าทีสนิทสนมใกล้ชิดพี่รองซ่อนความเกลียดชังขนาดหนักที่มีต่อพระบิดาเอาไว้  สำหรับตัวฉีเซี่ยงหยวนเองพระบิดาเป็นคนเย็นชา  น่าแปลกที่พวกเขาสามคนมองพ่อแท้ๆของตัวเองไม่เหมือนกันซักคน  ถ้าเป็นพี่ใหญ่...ก็คงบอกว่าพระบิดาเป็นคนดีกระมัง  เขาไม่แน่ใจ  พี่ใหญ่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้

“บัลลังก์น่ะ...ถึงแม้ว่าพระบิดาจะบอกว่ามันเป็นของข้า  แต่ถ้าท่านอยากได้ก็เอาไปเถอะ  ขอแค่ท่าน...ไม่ฆ่าพระบิดาก็พอ”
ประโยคสามหาวดังกล่าวจุดโทสะให้ลุกโชนขึ้นมาในใจของฉีเซี่ยงหยวนวูบหนึ่ง  จากนั้นก็มอดดับไปด้วยความรู้สึกแห้งผาก  มันไม่ผิดหรอกที่น้องห้าจะรู้สึกเช่นนี้  เพราะพระบิดาตั้งใจจะมอบบัลลังก์ให้น้องห้าจริงๆ  ในความเป็นจริงฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าสิ่งที่ลุกโชนขึ้นมาในใจไม่ใช่ความโกรธ  มันเป็นแค่...ความเจ็บปวด  เป็นแค่ความเจ็บปวดเท่านั้น  เขาต้องทุ่มเทอะไรไปมากมายเหลือเกินเพื่อที่จะขึ้นมายืนตรงจุดนี้   ส่วนคนตรงหน้าเขากลับอาศัยแค่ความรักของพระบิดาก็มีสิทธิ์ในบัลลังก์  ง่ายดายเกินไปหรือไม่  โชคชะตาใช่ลำเอียงเกินไปหรือไม่  ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าเขาน่าจะเริ่มเมานิดหน่อยแล้ว  เพราะอารมณ์ทั้งหลายลุกโชนแรงเหลือเกิน  แต่ยังคงคว้าสุรามาดื่มอีกอึก

“พี่สี่  ทำไมเราต้องเป็นศัตรูกันด้วย  ทำไมครอบครัวเราต้องมาฆ่ากันเอง  พี่ใหญ่ตายไปแล้ว  พี่รองที่เกลียดพี่ใหญ่ก็ตายไปแล้ว  พี่สามที่ข้าไม่รู้จักก็ตายไปเหมือนกัน  ยังมีพระอัครชายาที่ข้าไม่รู้จักอีกคน  พระมารดาข้าตายไปแล้ว  พระชายารองที่ฆ่าพระมารดาข้าก็ตายไปแล้ว  พระมารดาท่านที่ข้าเคยเห็นเพียงแค่ครั้งเดียวก็ตายไปแล้วเหมือนกัน  ทำไมข้ากับท่านถึงยังอยู่กันนะ  เรา...เราอยู่เพื่อทำอะไร” กล่าวพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า  ท่าทางพยายามจะคิดแต่คิดไม่ออก  ได้แต่กุมๆหัวแบบปวดๆ

“นั่นสินะ  เราอยู่เพื่ออะไรกันแน่ ? ” ในเสียงพึมพำมีใยแห่งเศร้าโศกที่ตัดไม่ขาด  ฉีเซี่ยงหยวนเงยหน้าขึ้นถามฟากฟ้าเบื้องบน  ชาวเป่ยชางมีความเชื่อว่าเมื่อคนตายไปแล้วดวงวิญญาณจะไปสถิตย์อยู่กับดวงดารา  แต่ทว่า...

ฟากฟ้าเงียบสนิท  ดวงดาราไม่มีคำตอบ
---------------------

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 46
«ตอบ #124 เมื่อ24-09-2014 22:38:07 »


บทที่ 46 พระสหายสนิท

สั้งหู่ตายแล้ว  แต่ความสนใจของผู้คนยังไม่จางไป  สายตาทุกคู่ล้วนพุ่งเป้าให้ความสนใจกับพระมาตุลาแคว้นเหลียนที่เป็นพระสหายสนิทหมาดๆผู้นี้  บ้างก็ว่าต้าอ๋องทำเช่นนี้เพื่อมิตรภาพระหว่างสองแคว้น  บ้างก็ว่าทั้งคู่รู้จักสนิทสนมกันมานานมากแล้ว  บ้างก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้ออกจะมากเกินไปจนน่าสงสัยว่าจะมีเหตุผลอื่นใดแอบแฝงอยู่ 

จากการขุดคุ้ยสืบสาวอย่างเป็นจริงเป็นจังยังพบว่าต้าอ๋องของพวกเขารับบุตรชายของพระมาตุลาเป็นบุตรบุญธรรม  นี่เป็นข่าวใหญ่อย่างยิ่ง  แต่เพราะไม่ได้จัดพิธีรับบุตรบุญธรรมอย่างเป็นทางการ  ซ้ำเหตุการณ์ยังเกิดที่แคว้นเหลียน  ทำให้ข่าวใหญ่ข่าวนี้ซุกตัวอยู่ในมุมหนึ่งของวังหลวงอย่างเงียบงัน  หลังจากถูกขุดคุ้ยอย่างพอเหมาะจึงค่อยทำตัวเป็นข่าวใหญ่สมฐานะของมัน
ต่างคนต่างพากันตั้งข้อสงสัยว่าเพราะรับบุตรบุญธรรมจึงเกิดเป็นความสนิทสนม หรือเพราะสนิทสนมจึงรับเป็นบุตรบุญธรรมกันแน่  หากไม่ว่าเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก่อน  เรื่องดังกล่าวก็แสดงความสนิทสนมอันเหนือธรรมดา  สรุปคือฐานะ ‘แขกกึ่งๆตัวประกัน’ ของเหลียนอันสุ่ยได้ยกระดับเป็น ‘พระสหายสนิท’ โดยสมบูรณ์

ที่เคยนอบน้อมก็นอบน้อมกว่าเดิม  ที่ไม่เคยประจบเอาใจก็รีบมาประจบเอาใจ  หากสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเหล่านี้กลับทำให้เหลียนอันสุ่ยเกิดความไม่สบายใจ  จนออกปากขอให้อยู่ห่างกันซักพักโดยให้เหตุผลว่า
“ตอนนี้ผู้คนจับตามอง  ข้าเกรงว่าเรื่องที่พวกเราปกปิดเอาไว้  ยากจะมิดชิดได้เท่าเดิม”
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วกลับกระพริบตาเล็กน้อย  กล่าวว่า
“ข้าเกรงว่าเรื่องห่างกันซักพักคงกระทำไม่ได้  เพราะข้าปล่อยข่าวออกไปแล้วว่าเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิต  ท่านคิดติดตามรับใช้ข้าสามเดือนเต็ม”
“...” เหลียนอันสุ่ยอ้าปากค้าง  พูดไม่ออก  เขา...คิด?  ตัวเขาไปคิดตอนไหนไม่ทราบ  นี่คือครั้งที่สองในชีวิตที่เหลียนอันสุ่ยนึกอยากตะโกนบางประโยคออกไปดังๆ
“ทีนี้เราจะอยู่ใกล้กันคาดว่าคงไม่มีปัญหาแล้ว  ถึงแม้ข้ารู้สึกว่าบุญคุณช่วยชีวิตกับติดตามรับใช้สามเดือนมันไม่ค่อยเท่าเทียมกันเท่าไหร่  แต่หลังจากสามเดือนไว้ค่อยคิดว่าท่านจะทำอะไรอีกเพื่อข้าได้บ้าง  ท่านวางใจข้าย่อมสามารถคิดหาวิธีที่สมเหตุสมผลมาอธิบายความสนิทสนมของเราสองคน”
“...” คนผู้นี้ถึงกับคิดทางออกเอาไว้อย่างเสร็จสรรพ  วิธียังเป็นวิธีที่ตัวเองได้ประโยชน์อย่างเสร็จสรรพ  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าเขาไม่มีอะไรจะพูด  แถมนอกจากสามเดือนนี้ยังมีตามมา ‘อีก’   สะ  สวรรค์  เหมาเอาเองทั้งนั้นว่าเขาจะเห็นด้วย
 
เหลียนอันสุ่ยคิดจะเอ่ยปากแย้งว่าวิธีนี้ไม่มีทางจะทำให้เรื่องเงียบลงมีแต่จะให้ผลในทางตรงกันข้าม  แต่ติดขัดที่คำว่า ‘บุญคุณช่วยชีวิต’   ไม่ผิด  ฉีเซี่ยงหยวนมีบุญคุณต่อเขาจริงๆ  ดังนั้นผู้อื่นน้ำท่วมปากกล่าววาจาไม่ได้  ส่วนเหลียนอันสุ่ยเป็น ‘บุญคุณ’ ท่วมปากแย้งไม่ออก  ทราบดีแก่ใจว่าฉีเซี่ยงหยวนแค่ไม่ต้องการให้ความจริงเปิดเผย  ส่วนเรื่องรอบตัวจะเงียบหรือไม่เงียบไม่ได้ให้ความใส่ใจแม้แต่น้อย

ฉีเซี่ยงหยวนมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของอีกฝ่าย  มองริมฝีปากที่เผยอค้างอย่างเย้ายวนคู่นั้น  อดไม่ได้ต้องประทับลงไปอย่างปลอดโปร่ง
เหลียนอันสุ่ยเบิกตาค้างกว่าเดิม  ยืนตัวแข็งนิ่งอยู่ตรงนั้น
ฝ่ายฉีเซี่ยงหยวนหลังจากจูบจนพอใจก็เดินฮัมเพลงเลี้ยวเข้าห้องทำงานไปอย่างปลอดโปร่งสบายใจ  พร้อมกับความฝันที่จะใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบของเหลียนอันสุ่ยที่แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ  หลังจากนี้เหลียนอันสุ่ยเลือกได้เพียงสองอย่าง  คือเป็นคนที่มีชื่อเสียงกับเป็นคนที่มีชื่อเสียง ‘มาก’ เท่านั้น
---------------------
สายของวันถัดๆมา  ฉีเซี่ยงหยวนมีเวลาว่างจึงแวะเข้าไปหาเสิ่นชิงอีที่ฝ่ายร้องรำ  เห็นนางมือถือกลอนบทหนึ่งเอื้อนเบาๆอยู่ริมหน้าต่าง  จือหลันที่คอยติดตามรับใช้ด้านข้างเสมอมาวันนี้กลับไม่อยู่  คาดว่าไปทำธุระให้นางที่ด้านนอก
“กลอนบทนี้เป็นของบิดาเจ้า”
เสียงของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เสิ่นชิงอีรีบลุกขึ้น  ยอบกายคำนับ  จากนั้นกล่าวตอบว่า
“ตอนยังมีชีวิตท่านพ่อรักกลอนบทนี้มาก  เนื้อหาสำเนียงสละสลวยกินใจ  ข้าคิดจะเอามาใส่ในเพลงที่แต่งขึ้นใหม่” บิดาของเสิ่นชิงอีเป็นบัณฑิตมีชื่อที่ได้รับการกล่าวขานไปทั่วทั้งสามแคว้น  ถือเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ได้รับราชการที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง  ตัวนางเองเรียนรู้จากบิดาจึงมีความรู้ทั้งการเขียนอักษรและการดนตรี

“ไฟไหม้เมืองหลวงครั้งนั้นนับเป็นความสูญเสียของแคว้นเป่ยชาง  โชคดีที่ยังมีเจ้า  งานอันทรงคุณค่าเช่นนี้จึงได้รับการคัดลอกขึ้นมาใหม่อีกครา”
“ไฟไหม้ในครั้งนั้นถ้าบิดาไม่ฝ่าเข้าไปช่วยข้าออกมา  ความจริงคนรอดชีวิตสมควรเป็นเขา  นั่นจึงเป็นความโชคดีแคว้นเป่ยชาง”
“ชิงอี  เจ้ายังรู้สึกว่าเป็นความผิดของตัวเองอยู่อีกหรือ”
“ไฟไหม้มายามดึกเผาทุกอย่างไปจนสิ้น  ตำราสามารถคัดลอกขึ้นใหม่  บทกลอนสามารถเรียกคืนมาจากความทรงจำ  แต่คนกลับไม่อาจหวนคืนตลอดกาล  ท่านแม่เสียชีวิตเพราะคลอดข้า  ท่านพ่อตายเพราะช่วยเหลือข้า  ข้าจะไม่หลอกตัวเองในเรื่องนั้น  ต้าอ๋อง  ท่านมาที่นี่คาดว่าคงไม่คิดจะมาสนทนาอดีตกับข้ากระมัง” นางกล่าวประโยคสุดท้ายออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
นางยังคงไม่เปลี่ยนไปเลย  หลังจากบิดาของเสิ่นชิงอีตายไป  บรรดาญาติห่างๆก็เข้ามาโดยคิดจะหาผลประโยชน์จากสิ่งที่เหลืออยู่  ดีที่อดีตเป่ยชางอ๋องยังจดจำการแต่งกลอนหน้าพระพักตร์ของบิดานางได้  รับอุปถัมภ์นางเข้าเป็นนางรำฝึกหัดในฝ่ายร้องรำ  นับว่าหลบพ้นคราวเคราะห์ไปได้คราหนึ่ง 

ฉีเซี่ยงหยวนยังจำได้ว่าตอนที่นางเข้าวังมาตอนอายุหกขวบนางก็บอกเขาว่านางจะไม่ลืมเลือน    นางต้องจดจำสิ่งที่พวกเขาเสียสละให้นาง  นางต้องจดจำความรักที่พวกเขามีให้นาง  น้ำตายังคงนองหน้า  แต่คำพูดของนางกลับกล้าหาญจนตัวเขาที่อายุสิบสี่เกิดความละอายในตัวเอง  หลังจากนั้นเด็กกำพร้าตัวจริงกับเด็กที่มีสภาพเหมือนกำพร้าทั้งๆที่พ่อแม่ยังอยู่ครบก็กลายเป็นมิตรสหาย
บางทีชิงอีอาจเป็นชิ้นส่วนสำคัญชิ้นหนึ่งที่ผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้าโดยไม่หยุดยั้ง  นางยิ่งเติบโตก็ยิ่งงดงามจนเกินไป  แต่เขากลับบอกตัวเองว่าจำเป็นต้องปกป้องนางดังนั้นจึงได้แต่แข็งแกร่งขึ้น  แข็งแกร่งยิ่งกว่าใครๆจึงสามารถปกป้องสหายในวัยเยาว์ตรงหน้า

“เรื่องทางฝั่งแม่นมตู้เป็นอย่างไรบ้าง” ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็เข้าจุดประสงค์ของการมาในวันนี้
“ตู้ฮูหยินเชิญข้าไปพบสามครั้งแล้ว  ครั้งล่าสุดดูเหมือนนางจะคัดจนเหลือแค่ข้ากับผู้หญิงอีกสี่คน  ข้าไม่แน่ใจว่านางจะคัดต่ออีก  หรือจะแต่งตั้งทีเดียวห้าคน”
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วเลือดลมเหมือนจะไหลย้อนกลับ  ห้าคน !  นางคงหวังจะให้เขาโปรดปรานซักหนึ่งในห้ากระมัง  ให้ตัวเลือกเสียมากมาย  ความหวังดีนี่ทำร้ายเขาไม่น้อยเลยทีเดียว
“แม่นมตู้ชอบเจ้าที่สุด  เจ้าเกลี้ยกล่อมนางให้หน่อยว่าข้ายังราชกิจมากมายไม่ควรรีบมีชายา  อีกอย่างรับทีเดียวห้าคนมากเกินไปอาจทำให้เกิดการทะเลาะแย่งชิงในวังหลังได้”
“คนที่ตู้ฮูหยินรักที่สุดคือท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนรับฟังพลางขมวดคิ้ว  กล่าวอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยนักว่า
“เจ้าหมายความว่าข้าควรไปเกลี้ยกล่อมนางเอง ? ” กลัวแต่ว่าไม่เพียงเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จยังถูกนางจัดการดักคอจนดิ้นไม่หลุดเสียล่ะมาก
“เรื่องที่ข้าช่วยพูดให้ท่านได้  ล้วนพูดไปจนหมดแล้ว  ดังนั้นต้าอ๋องท่านควรไปพูดกับนางเอง  อย่าหลบหน้านางอีกเลย”...
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนกลับมาถึงตำหนักเมฆาราตรี(เยี่ยอวิ๋น)  เหลียนอันสุ่ยรอคอยเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาอยู่แล้ว 
ตั้งแต่ถูกฉีเซี่ยงหยวนใช้แผนการผูกติดไว้กับตัวอย่างขี้โกงยิ่ง  กระทั่งงานที่โรงหมอของเหลียนอันสุ่ยยังต้องพักไว้เป็นการชั่วคราว  ส่วนหอตำราหลวงก็ได้แต่อาศัยช่วงที่อีกฝ่ายไปว่าราชการเข้าไปหยิบยืมตำราออกมา  อย่างอื่นนอกเหนือจากนี้  กระทั่งตอนฉีเซี่ยงหยวนเรียกพบเหล่าขุนนางเป็นการส่วนตัว  เหลียนอันสุ่ยยังทำได้เพียงรอคอยอยู่ที่ห้องด้านนอก  ไม่อาจผละจากไป 
ฉีเซี่ยงหยวนทำงานจนดึกดื่น  เหลียนอันสุ่ยต้องรอคอยฝนหมึกให้อยู่ที่ด้านข้าง  พอดึกมากเข้าเป่ยชางอ๋องผู้นี้ก็ทำเป็นกล่าวอย่างใจกว้างว่าควรยกเตียงเล็กหนึ่งเตียงมาไว้ที่ห้องด้านข้าง  พระมาตุลาจะได้ไม่ต้องลำบากดึกดื่นจากไปเช้าตรู่รีบมารับใช้  แน่นอนว่าในความเป็นจริงเตียงเล็กเตียงนั้นก็เพียงยกมาตั้งไว้เฉยๆ  ทุกเช้าที่เหลียนอันสุ่ยเห็นบ่าวไพร่จัดเก็บเตียงเล็กที่ถูกรื้อให้ยุ่งก็ทำได้เพียงถอนหายใจ  เปลืองแรงงานเปล่าดายโดยแท้

ในทั้งหมดทั้งมวลคนที่ยุ่งวุ่นวายที่สุดคือเหลียนจิ้งเต๋อ  ทุกวันต้องหาข้ออ้างมาพบพ่อบุญธรรมเพื่อเหยียบเข้าตำหนักเยี่ยอวิ๋น
เหลียนอันสุ่ยเกรงข่าวลือจะลุกโหมรุนแรง  จนใจที่วันๆแทบไม่ได้ออกจากตำหนักเมฆาราตรี  จะไปรับรู้ข่าวสารได้จากที่ใด  อีกใจหนึ่งก็พอจะเดาได้ว่ากระแสข่าวน่าจะเดือดพล่านหนักหน่วงจึงไม่ค่อยปรารถนาจะทราบอยู่บ้าง

ดวงตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนมองพระมาตุลาแคว้นเหลียนที่เก็บหีบยาวางบนหลังตู้  คำพูดของเสิ่นชิงอีแว่วย้อนกลับมา
‘...ในเมื่อต้าอ๋องสามารถรับธนูแทนเขา  เหตุใดจึงไม่กล้ากล่าววาจากับตู้ฮูหยินเล่า? ’ เสิ่นชิงอีถามยิ้มๆ  ข่าวนี้โด่งดังอย่างยิ่งจริงๆ  กระทั่งนางยังทราบเรื่องในเวลาอันสั้น

มุมปากของฉีเซี่ยงหยวนพลันปรากฏรอยยิ้มบางๆ  ดวงตาที่เฉียบขาดอยู่เป็นนิจปรากฏแววอ่อนโยน  ฉีเซี่ยงหยวนเองก็ทราบว่าการหลบหน้าอาจทำให้ตู้ฮูหยินเสียใจ  แต่เขามีวิธีการของเขา  และสิ่งที่หนักหนาที่สุดไม่ใช่ตู้ฮูหยิน  แต่เป็นหน้าที่อันหนักอึ้งซึ่งกดทับอยู่บนบ่า  เขาจะไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งที่เรียกว่ากฎบัญญัติและโชคชะตา  กฎบัญญัติเกิดจากมือคน  โชคชะตาก็เป็นสิ่งที่เขียนโดยมือคน  ฉีเซี่ยงหยวนเชื่อเช่นนั้น
 
เงาร่างหนึ่งซึ่งเขาไม่มีวันลืมเลือนไปจากใจ  เขาจะสลักเอาไว้ที่ข้างกายไปตลอดกาล
...ไม่มีวันปล่อยมือ...
---------------------
ความจริงแล้วสายสัมพันธ์แม่ลูกเหนียวแน่นยิ่งกว่าสิ่งใด  แต่การกระทบกระทั่งจากความเห็นที่ไม่ตรงกันก็มักจะพบเห็นได้อยู่เสมอ  วันนี้เองก็เกิดเรื่องขัดแย้งจากความเห็นไม่ตรงกันรายหนึ่ง  ของแม่ลูกที่มีศักดิ์ฐานะไม่ธรรมดาคู่หนึ่ง
รัชทายาทวัยสิบเอ็ดปีของแคว้นเป่ยชางผลุนผลันเข้ามาในห้องด้วยฝีเท้าที่เร่งรีบอยู่บ้าง

“ท่านแม่  ข้าได้ยินว่าวันนี้ท่านไปดักรอพบพระมาตุลาที่หน้าหอตำราหลวง  เป็นความจริงหรือ”
เสียงแผ่วช้าของสตรีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างใจเย็นว่า
“ดักรอพบอันใด  พูดเสียไม่น่าฟัง  แม่ก็แค่บังเอิญพบเขาเท่านั้น”
ผู้เยาว์วัยกว่าฟังแล้วถอนหายใจ  ก้าวเข้าไปนั่งข้างๆ  แล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่จริงจังว่า
“ปรกติท่านวันๆไม่ออกจากตำหนัก  เพียงเท่านี้ก็ดูผิดสังเกตแล้ว  ท่านพูดอะไรกับเขาบ้าง”
“ก็ไม่มีอะไรพิเศษ  แค่ฝากฝังให้เขาช่วยดูแลลูกเท่านั้น”
องค์รัชทายาทเหลือบมองมารดาแท้ๆด้วยสายตาหนักใจ  ทำไมเขาจะเดาไม่ได้ว่าข่าวลือเรื่องความสนิมสนมไว้เนื้อเชื่อใจของพระมาตุลากับพระบิดาบุญธรรมผลักดันให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
“ท่านแม่  ถือว่าลูกขอร้อง  คราวหน้าคราวหลังอย่าดำเนินการโดยไม่ปรึกษาลูกก่อน”

“เจ้าไม่พอใจอะไร  ที่แม่ทำก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น” ชายาในอดีตรัชทายาทเพิ่มน้ำหนักในน้ำเสียงด้วยความไม่พอใจ  ปรกตินางเป็นคนใจเย็น  แต่ถ้าเป็นเรื่องของลูกชายมักไม่อาจปล่อยผ่านไปโดยง่ายดาย  ลูกคนนี้อายุยังไม่เท่าไหร่ก็คิดจะสั่งสอนแม่แล้วหรือ  เห็นบุตรชายนิ่งไม่ตอบคำแต่สีหน้าไม่มีแววคล้อยตาม  อารมณ์ไม่พอใจก็ทบทวี  วางงานปักในมือลง  มองประตูห้องที่ปิดสนิท  แล้วหันมามองหน้าบุตรชาย  พลางกล่าวว่า
“บัลลังก์นี้ความจริงเป็นของบิดาเจ้า แม่ไม่ได้ทำอะไรผิด  แค่จะทำให้เจ้าได้ในสิ่งที่เจ้าสมควรได้”
ผู้เยาว์วัยกว่ากลับกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ท่านแม่  หากท่านยังทำเช่นนี้ต่อไป  กระทั่งตำแหน่งรัชทายาทข้าก็น่ากลัวจะรักษาไว้ไม่ได้”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น พระบิดาบุญธรรมของเจ้าคนนี้ก็ออกจะไม่รู้คุณคนเกินไปแล้ว  แม่เห็นกับตา  จดจำได้แม่นยำในใจ  ว่าท่านพ่อของเจ้าดีต่อเขาแค่ไหน”
“ท่านแม่  นี่มันไม่เกี่ยวข้องกัน  ท่านก็ทราบว่าพระบิดาบุญธรรมดีต่อเราสองแม่ลูกไม่น้อยแล้ว  ถ้าไม่มีเขา  ทั้งชีวิตและฐานะของพวกเราในวันนี้ไหนเลยยังสามารถรักษาไว้  ข้าไม่คิดว่าต้าอ๋องติดค้างอะไรท่านพ่อของเราอีก  ส่วนตำแหน่งรัชทายาท  มีแต่งตั้งได้ก็ถอดถอนได้  ทั้งหมดล้วนขึ้นกับความประพฤติของลูก  ท่านแม่ทำเช่นนั้นไม่มีประโยชน์อื่นใดนอกจากเปิดเผยความคิดภายในใจให้ผู้อื่นรับรู้” ท่านเข้าใจว่าพระบิดาบุญธรรมจะมองไม่ออกหรือ  ข้าเกรงว่ากระทั่งพระมาตุลายังคาดเดาจิตเจตนาของท่านได้  คนสองคนนั้น  คนหนึ่งเป็นฟากฟ้าที่ไม่อาจหยั่งคำนวณ  อีกคนเป็นสายน้ำที่ไม่อาจหยั่งความลึก  คิดเล่นลูกไม้ต่อหน้าพวกเขาเป็นเรื่องที่โง่เขลาและอันตรายยิ่ง

ชายาในอดีตรัชทายาทไม่ได้สนใจแววตาซับซ้อนของลูกชาย นางยังคงจมอยู่กับความสำเร็จในการค้นพบของตัวเอง  กล่าวว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระมาตุลาเคยเป็นคนข้างกายของขุนพลใหญ่แคว้นเหลียนอวี้เฉียน  เวลานี้ที่ต้าอ๋องไม่แต่งตั้งพระชายาบางทีอาจเป็นเพราะเขา  หากเป็นเช่นที่แม่คาดเดา  การสนับสนุนเหลียนอันสุ่ยนับเป็นเรื่องที่ถูกต้อง” ขอเพียงฉีเซี่ยงหยวนไม่มีลูก  ตำแหน่งของบุตรชายนางก็ถือว่ามั่นคงในระดับหนึ่ง

รัชทายาทวัยเยาว์ตื่นตระหนกยิ่ง 
“ท่านแม่  ท่านไปเอาความคิดอันตรายเช่นนี้มาจากไหน ! ”  ‘คนข้างกายของอวี้เฉียน’ คำพูดนี้กระทั่งกล่าวยังกล่าวไม่ได้
“เจ้าไม่เห็นต้องตื่นตระหนกถึงเพียงนี้  แม่ไม่เคยบอกการคาดเดาของแม่กับใคร  เจ้าเองก็เป็นเพื่อนร่วมเรียนของบุตรชายพระมาตุลา  รู้จักมักคุ้นกับพระมาตุลาผู้นั้นไม่น้อย  ทางที่ดีคือรักษาสภาพเป็นมิตรนี้ไว้  ทำให้เหลียนอันสุ่ยเอ็นดูเจ้า สนับสนุนเจ้า  รวมทั้งส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาให้เป็นไปโดยราบรื่น”

คนฟังลุกขึ้นช้าๆ  รู้ว่าเรื่องที่เกิดไปแล้ววิตกก็เปล่าประโยชน์  จึงไม่คิดจะทุ่มเถียงต่ออีก  เพียงรับคำแผ่วเบาด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก  เดินออกไปถึงหน้าประตู  แล้วจึงชะงักเท้าลงครู่หนึ่ง  ในจังหวะที่ชะงักเท้านี้ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้
“ท่านแม่วางใจเถอะ  ไม่จำเป็นต้องให้ข้าส่งเสริม  สำหรับพระบิดาบุญธรรม  พระมาตุลาผู้นั้นอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีใครแทนที่ได้นานแล้ว” กล่าวจบก็เปิดประตูเดินออกไป

ชายาในอดีตรัชทายาทนิ่งงันอยู่กับที่  เมื่อตั้งสติได้ก็รีบโถมกายเข้าไปคิดคว้าตัวบุตรชายมาสอบถามให้รู้เรื่อง
“นี่แสดงว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว  ทำไมไม่เห็นเคยบอกแม่ ! ” เอื้อมมือคว้าออกไป  แต่นอกประตูไหนเลยจะมีคน

ตอนที่นางนิ่งงันอยู่บนเก้าอี้  บุตรชายของนางก็ก้าวจากไปไกลแล้ว

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เป็นเด็กที่ฉลาดจริงๆ

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 47
«ตอบ #127 เมื่อ27-09-2014 18:59:39 »


บทที่ 47 คนที่ยากจนที่สุดในหล้า

กลิ่นดอกไม้หอมเย็นซึมซ่านอยู่ในสายลม  ผสมอยู่ในความเย็นชื่นของน้ำค้างยามดึก  ในสวนเล็กระหว่างตัวเรือนสองฟาก  ที่ด้านข้างโต๊ะหมากล้อม  โคมไฟส่องทางเดินภายในตำหนักเผื่อแผ่แสงสว่างมาถึง  ในสวนจุดโคมเล็กอีกสี่ดวงส่องจนเม็ดหมากขาวดำบนกระดานเรื่อแสงไฟ

“ข้าได้ยินว่าวันนี้ท่านได้พบกับพี่สะใภ้  คุยกันพักใหญ่  ไม่ทราบคุยเรื่องอะไรบ้าง”
“นางแค่ขอบคุณที่ข้าช่วยดูแลบุตรชายของนาง” เหลียนอันสุ่ยตอบพลางยิ้มบางๆ  พอทราบอยู่แล้วว่าชายาในอดีตรัชทายาทมีจุดประสงค์ใดแต่ไม่คิดกล่าวเปิดโปง
ฉีเซี่ยงหยวนมองรอยยิ้มนั้นกับแววตาสงบลึกซึ้ง  พลันกล่าวขึ้นมาอย่างแช่มช้าว่า
“พี่สะใภ้ความจริงมีนิสัยรักสงบ  แต่บางครั้งก็ห่วงใยเรื่องของบุตรชายนางจนเกินไปบ้าง  ตั้งแต่พี่ใหญ่จากไปนางก็หวังจะชดเชยทุกอย่างที่เด็กคนนั้นควรได้ให้กับเขา  ข้าหวังว่าท่านจะไม่ถือสา”
“คนเป็นแม่ก็แบบนี้  อีกอย่างข้าเข้าใจความรู้สึกของนาง  ข้าเองก็ทำหลายอย่างให้กับจิ้งเต๋อเพื่อทดแทนในส่วนของเหวินจีเช่นกัน” การที่คนๆหนึ่งตายไป  อีกคนได้แต่รับช่วงสานต่อ ทำในสิ่งที่คนผู้นั้นไม่อาจทำได้  นี่คือการร่วมชีวิต  และนี่คือสิ่งที่เรียกว่าความรัก

  ดวงตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนจึงหลุบมองกระดานหมาก  นางกำนัลชาวเหลียนปากมากในตำหนักพี่สะใภ้คนนั้นบางทีอาจสมควรเรียนรู้การพูดให้น้อยลงเสียบ้าง  พึมพำว่า
“ท่านมักเข้าใจคนอื่นอยู่เสมอ  และก็มักไม่ถือสาคนอื่นอยู่เสมอ...  พี่สะใภ้เพียงเป็นกุลสตรีที่ดี  ที่นางเรียนรู้ส่วนใหญ่ก็เป็นวิชาของสตรี  คนที่น่ากลัวในตำหนักนั้นไม่ใช่นาง  แต่เป็นคนที่อ่อนวัยกว่านางอยู่หลายปี  คนที่รู้ทุกอย่างแต่ไม่เคยเปิดปากพูด  คนที่ในใจแอบมุ่งหวังสิ่งใดก็ไม่เคยเปิดเผย  อายุน้อยแค่นี้ก็ริอ่านมีความลับกับพ่อบุญธรรมเสียแล้ว”

เหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้ว  พูดอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่า
“ท่านหมายถึง...รัชทายาท?”
“เขานั่นแหละ  เด็กคนนี้ซุกซ่อนความทะเยอทะยานของตัวเองมิดชิดทีเดียว  แต่ท่านอย่าได้เผลอถูกรูปลักษณ์นิ่งๆเงียบๆภายนอกหลอกเอาเชียว  เขาคิดปกปิดข้าไม่ว่า  แต่ปกปิดให้ได้ตลอดแล้วกัน” ฉีเซี่ยงหยวนพูดพลางหัวเราะหึหึ  สีหน้าท่าทางร้ายกาจจนบอกไม่ถูก  เหมือนคนสุมแผนการร้ายไว้เต็มหัวใจ

“เด็กฉลาดไม่ใช่ความผิด  รอบคอบรู้จักระวังตัวก็ไม่ใช่ความผิด  ท่านนี่มัน...  ลูกบุญธรรมตัวเองยังจะแกล้งอีก!”
ฉีเซี่ยงหยวนยักไหล่  พิจารณาดูตัวหมากขาวดำที่ห้ำหั่นกันอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า
“ข้าแพ้แล้ว”
“วันนี้ท่านไม่มีสมาธิเลย” เหลียนอันสุ่ยกล่าวพลางรินน้ำชาส่งให้
ฉีเซี่ยงหยวนรับชามาจิบ  กล่าวว่า
“ช่วงนี้ท้องพระโรงทุ่มเถียงอย่างหนักเรื่องการส่งน้องห้าไปควบคุมดูแลการสร้างสำนักศึกษาที่หัวเมืองตะวันออก  ดีที่ว่าในที่สุดก็ได้ข้อสรุปแล้ว  น้องห้าจะออกเดินทางพรุ่งนี้  ดำเนินแผนการไปมากมายก็ต้องเหน็ดเหนื่อยบ้างเป็นธรรมดา”
“แล้วทำไมท่านไม่บอกก่อน  ข้าจะได้ไม่ชวนท่านเดินหมาก”
น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยกระจ่างราวระลอกน้ำสะอาดใสกระทบผาน้ำตก  ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าตัวเองราวกับดำรงอยู่ระหว่างสองโลกที่แตกต่าง  หนึ่งสงบสันติ  หนึ่งมุ่งมั่นไขว่คว้า  ดวงตาคมของฉีเซี่ยงหยวนยังคงจดจ่อกับกระดานหมากที่ปรากฏผลแพ้ชนะเบื้องหน้า  พึมพำว่า
“เหตุใดคนเราจึงมักคิดว่าการชนะเป็นสิ่งที่ดีเสมอ  มุ่งหวังชัยชนะ  มุ่งหวังจะได้มา  ขนาดกระดานหมากเล็กๆแค่นี้คนเรายังคิดว่าการชนะเป็นสิ่งที่ดีกว่า  เหตุใดต้องเป็นเช่นนั้น”
เหลียนอันสุ่ยรับฟังจนขมวดคิ้ว  เอ่ยถามอย่างจริงจังว่า
“ท่านเสียใจในสิ่งที่ท่านได้มาอย่างนั้นหรือ ? ”

“ข้าได้อะไรมา  จนบัดนี้ข้ายังไม่แน่ใจว่าข้าได้มาจริงๆหรือไม่  เพราะข้าจ่ายออกไปมากเหลือเกิน  แต่ข้าไม่ได้เสียใจ  ข้าเพียงหมายถึงเด็กสองคน  ลูกบุญธรรมข้าคนหนึ่ง  น้องชายข้าคนหนึ่ง  และคนอื่นๆรอบตัวเขา  รวมถึงบรรดาขุนนางรอบตัวข้าด้วย”
“เวลาเดินหมากคนเรามักมุ่งหวังชัยชนะเพราะมันได้มายากกว่า  เดินหมากโดยไม่มีแพ้ชนะใยมิใช่ไร้แก่นสารยิ่ง  ไร้รสชาติยิ่ง  ชีวิตคนก็เป็นแบบนี้  ท่านรังเกียจที่พวกเขามีความทะเยอทะยานหรือ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องรังเกียจตัวเองก่อน  คนไม่มีความทะเยอทะยานจะย่ำอยู่กับที่  คนที่ความทะเยอะทะยานมากเกินไปมักฉุดตัวเองลงเหว  แต่เอาเป็นว่าข้าไม่ถือสาที่พวกเขามีความทะเยอทะยาน  ข้าแค่รู้สึกว่าเหตุใดคนเราจึงมักรู้สึกว่าตัวเองยังมีไม่พออยู่เรื่อย” พวกเราทุกคนล้วนเหมือนกัน  ไม่ว่าในมือมีอยู่แล้วมากมายแค่ไหน  ใจยังคงมีสิ่งอื่นที่มุ่งมาดปรารถนา

“เพราะชีวิตคนเราไม่เต็มเปี่ยมจึงจมอยู่ในการแสวงหา  ขณะที่เท้าจำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา” เหลียนอันสุ่ยกล่าวพลางเก็บเม็ดหมากล้อมใส่กระปุกจนเต็ม  เก็บเรียบร้อยจึงเงยหน้าขึ้นมากล่าวยิ้มๆว่า “คิดไม่ถึงวันนี้จะได้สนทนาปรัชญากับต้าอ๋อง  ท่านบอกว่าตัวเองเหน็ดเหนื่อยยิ่งแต่กลับกล่าววาจาซ่อนความนัยมากมายถึงเพียงนี้  สมองของท่านแจ่มใสอย่างยิ่งชัดๆ”
ฉีเซี่ยงหยวนพลอยหัวเราะไปกับอีกฝ่าย  เท้าแขนลงกับโต๊ะหิน  กล่าวอย่างเห็นด้วยว่า
“เป็นไปได้  บางทีคงเป็นเพราะสมองบรรจุเรื่องราวมากเกินไปจึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยสับสน  แต่คำว่า ‘คิดไม่ถึง’ ของท่านออกจะดูแคลนข้าไปหน่อยแล้ว  ชีวิตข้าแม้เกี่ยวพันอยู่กับสนามรบ  แต่จะมากจะน้อยก็เป็นองค์ชาย  ถึงเวลาเรียนส่วนใหญ่จะหมดไปกับการหาวิธีกลั่นแกล้งอาจารย์  กับเรื่องที่ต้องเรียนข้าก็ยังเรียนเข้าใจอยู่”

เหลียนอันสุ่ยส่ายหัวด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“ท่านเป็นคนเก่งจริงๆนั่นแหละ  เก่งจนน่ากลัว”
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้ว ถาม
“ท่านกลัวข้า?”
เหลียนอันสุ่ยยิ้ม  แล้วตอบว่า
“ข้าไม่กลัวท่าน”
“ท่านไม่กลัวข้าก็เพียงพอแล้ว  คนอื่นคิดอย่างไรข้าไม่สนใจ”
รอยยิ้มของเหลียนอันสุ่ยจางไป  เหลียนอันสุ่ยยังคงจำได้ดีว่ายามที่องค์ชายห้ากวาดมองเห็นว่าเบื้องหลังเขาเป็นหม่าหลงกับต้วนจินมีสีหน้าเป็นอย่างไร  มันเป็นการรับรู้อะไรบางอย่างที่แฝงไว้ด้วยความกริ่งเกรง  น้องชายเพียงคนเดียวของฉีเซี่ยงหยวนหวาดกลัวพี่ชายของเขา 
อันที่จริงเหลียนอันสุ่ยเห็นมานานแล้วว่าสายตารอบตัวฉีเซี่ยงหยวนส่วนใหญ่มักเจือไปด้วยความกริ่งเกรง  ยิ่งหลังจากฉีเซี่ยงหยวนรับตำแหน่งเป่ยชางอ๋องสายตาเช่นนี้ก็ยิ่งชัดเจน  ให้เกียรติเป็นสิ่งที่ดี  แต่การให้เกียรติก็เป็นสิ่งที่สร้างระยะห่างขึ้นมาด้วย  หรือนี่คือชะตากรรมของคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด  เหลียนอันสุ่ยไม่เคยลืมคำพูดของฉีเซี่ยงหยวนในกระโจมหลังนั้น

‘ศัตรูของข้าเพิ่มขึ้นทุกวัน  ในขณะที่มิตรสหายกลับค่อยๆเหินห่างออกไป...การอยู่เหนือผู้อื่นมันก็ไม่ดีเช่นนี้เอง’

ไม่ดีเช่นนี้เอง  กระทั่งสายตาของรัชทายาทที่เป็นบุตรบุญธรรมของฉีเซี่ยงหยวนนอกจากความเคารพรักยังคงเจือไว้ด้วยความกริ่งเกรง  คนที่คุ้นชินกับสายตาที่มองมาด้วยความเชื่อถือไว้วางใจเช่นเหลียนอันสุ่ย  กระทั่งนึกภาพยังนึกภาพไม่ออกว่าคนๆหนึ่งจะทนทานอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปได้อย่างไร !
ได้ยินฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยว่า
“คนเรามักรู้สึกว่าตัวเองยังขาดอะไรไปจริงๆนั่นแหละ  ยาจกยากไร้ปรารถนาเงินทอง  เศรษฐีก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองยากไร้  น้องห้าคาดหวังความรักระหว่างพี่น้อง  ทั้งๆที่รอบตัวเขานอกจากสิ่งนี้แล้วก็มิได้ขาดสิ่งอื่นใดอีกเลย  ส่วนข้ากระทั่งการมีบิดามารดารสชาติเป็นอย่างไรยังไม่เคยรู้จัก” ถอนหายใจแผ่วเบา  เรียวปากมีรอยยิ้มแต่กลับสั่นศีรษะ “น่าเสียดายที่สิ่งที่เขาคาดหวัง  ข้าไม่มีจะให้เขา”
ลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยชะงักไปวูบหนึ่ง  ทวนคำว่า
“พระมารดาของท่าน ? ” เหลียนอันสุ่ยแทบไม่เคยได้ยินฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยถึงพระมารดาของเขามาก่อน  สตรีที่เขาพูดถึงบ่อยที่สุดคือแม่นมตู้
“ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าคนที่เลี้ยงข้ามาคือแม่นมตู้  ส่วนพระมารดาแท้ๆ แม้ช่วงที่นางยังมีชีวิตจะอยู่ตำหนักเดียวกัน  แต่ก็แทบไม่ได้พบหน้า” มองดวงตาเบิกกว้างของคนฟัง  มือใหญ่ก็เอื้อมไปกุมมือเรียว   ตบเบาๆคล้ายจะปลอบว่าไม่เป็นไร  อธิบายว่า
“ระหว่างพระมารดาข้ากับพระบิดาเป็นแค่ความห่างเหินและความเจ็บช้ำ  ไม่มีความรัก  พวกเขาแต่งงานกันเพราะต้องแต่ง  ส่วนตัวข้าความจริงคือสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดมาได้  เป็นความบังเอิญที่หัวเราะไม่ออกเรื่องหนึ่ง  ...ตอนเด็กที่ข้าเกลียดพี่รองบางทีอาจมีความอิจฉาอยู่แฝงด้วย  พระชายารองรักบุตรชายของนางเป็นอย่างมาก  รักมากอย่างยิ่งจริงๆ” ...รักจนวาระสุดท้ายของชีวิต

มือของเหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนฝ่ายกุมมืออีกใหญ่ไว้  กล่าวเบาๆว่า
“ต้าอ๋อง  ท่านยังเหลือน้องชายอยู่อีกคนหนึ่ง  ยังมีพระบิดาของท่าน  ความรักเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ  ที่ท่านต้องทำมีเพียงแค่เปิดใจ  ไม่จำเป็นต้องทำให้พวกเขาหวาดกลัวท่าน  ไม่จำเป็นต้องส่งน้องชายตัวเองไปไกลถึงหัวเมืองตะวันออก  ท่านเคยบอกข้าว่าน้องชายของท่านสนใจแค่ชีวิตของอดีตเป่ยชางอ๋อง  มิได้สนใจบัลลังก์มิใช่หรือ”

ฉีเซี่ยงหยวนยิ้มแล้ว ค่อยๆอธิบายเรื่องราวอย่างอดทนว่า
“ประโยคนั้นของน้องห้าเพียงหมายถึงในใจเขาชีวิตของพระบิดามีความสำคัญกว่าบัลลังก์  ดังนั้นตราบใดที่พระบิดายังมีชีวิตอยู่  น้องห้าจะไม่แย่งบัลลังก์กับข้า  แต่ถ้าหลังพระบิดาตายไป  นั่นเป็นเรื่องไม่แน่แล้ว  ในใจของน้องห้ามีความเห็นว่าบัลลังก์เป็นของเขาโดยชอบธรรม  ความเห็นนี้ดูผิวเผินไม่มีอะไร  แต่แท้จริงอันตรายอย่างยิ่ง  ต่อให้ตอนนี้เขาไม่มีกระทั่งความทะเยอทะยาน  แต่ใจคนเป็นสิ่งไม่แน่นอน  อนาคตไม่ว่าเรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้  ที่ข้าไม่เชื่อใจคืออำนาจ  คนที่อยู่ในฐานะเช่นพวกเรามักไม่เป็นตัวของตัวเอง  และข้าได้เรียนรู้มานานแล้วว่าบางครั้งความหวาดกลัวกริ่งเกรงก็ให้ผลที่ดีกว่าความเข้าใจ”
พูดจบก็ถอนหายใจคราหนึ่ง  กล่าวต่อว่า
“ถ้าข้ายังเป็นองค์ชายสี่อาจบางทีคงลองคิดดูอย่างที่ท่านว่า  น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้าเป็นเป่ยชางอ๋อง  ความเชื่อใจคือความโง่เขลา  ความไม่เชื่อใจก็คือความโง่เขลา  ความรักยิ่งเป็นความโง่เขลา  ข้าไม่อาจเพิ่มจุดอ่อนมากไปกว่าที่ข้ามีอยู่  อีกอย่างในระหว่างพวกเราพี่น้องไม่ว่าจะรักกันหรือไม่  สุดท้ายสิ่งที่คงอยู่คือคำว่าไม่อาจเชื่อใจ  น้องห้าไม่ใช่เด็กแล้ว  เขาสมควรเข้าใจความจริงข้อนี้  และเข้าใจหน้าที่ของเขา”

ฉีเซี่ยงหยวนพูดไม่ผิด  อายุสิบหกไม่ใช่เด็กอีกแล้ว  ได้ยินว่าตอนฉีเซี่ยงหยวนอายุสิบหกก็นำทัพพิชิตชนเผ่าทางเหนือ  สิบแปดเริ่มกลืนกินซีเฮ่อ  แม้ช่วงแรกคนรับผิดชอบหลักจะเป็นองค์ชายใหญ่  แต่หลังจากองค์ชายใหญ่จากไปก็เป็นฉีเซี่ยงหยวนที่รับช่วงต่อ  ตอนนี้ฉีเซี่ยงอวิ๋นยังมีพระบิดายืนค้ำฟ้าให้อยู่เบื้องหลัง  ในขณะที่ฉีเซี่ยงหยวนในตอนอายุสิบหกไม่ได้โชคดีอย่างนั้น  ถ้าฉีเซี่ยงอวิ๋นยังยืนด้วยตัวเองไม่ได้  ด้วยตำแหน่งที่เขาเป็นอยู่  ด้วยสายเลือดที่เขาเป็นอยู่  ก็ออกจะน่าผิดหวังเกินไป  เกิดมาเป็นองค์ชายต่อให้ไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็มีหน้าที่ๆต้องทำ

“...ข้ากลับดูไม่ออกเลย  ว่าจริงๆแล้วท่านเป็นคนเข้มงวดถึงเพียงนี้  มิน่ากองทัพใต้บัญชาของท่านจึงถือเป็นกองทัพที่มีวินัยที่สุดในแคว้นเป่ยชาง”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจคำชมดังกล่าว  แต่กลับกล่าวอย่างจริงจังว่า
“ตอนนี้เขาเป็นขุนนางของข้า เป็นข้าที่จ่ายเบี้ยหวัดให้กับเขา  เป็นราษฎรที่จ่ายส่วยจ่ายภาษี  ข้าจะไม่เลี้ยงคนที่ไร้ประโยชน์  ราษฎรเองก็คงไม่ต้องการจ่ายส่วยจ่ายภาษีให้กับคนที่วันๆไม่ทำอะไรเลย”

เหลียนอันสุ่ยเงียบไปนาน  สุดท้ายเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“มิน่าเล่าท่านจึงใจดีกับบุตรบุญธรรมสองคนไม่เท่ากัน  ตอนแรกข้ายังเข้าใจว่าเป็นการจงใจกลั่นแกล้งเสียอีก”
เหลียนจิ้งเต๋อมักจะมีเวลาก่อเรื่องวุ่นวาย  แต่เพื่อนร่วมเรียนของเขากลับมีการบ้านที่ต้องฝึกฝนตั้งแต่เช้าจรดบ่าย  องค์ชายมีงานขององค์ชาย  รัชทายาทมีงานของรัชทายาท  ลูกบุญธรรมเฉยๆมีงานของลูกบุญธรรมเฉยๆ  ลดหลั่นกันตามอายุ  ลดหลั่นกันตามลำดับชั้น  แจกแจงได้ชัดเจนหมดจดทีเดียว

ฉีเซี่ยงหยวนตอกย้ำความเข้าใจของเหลียนอันสุ่ยด้วยประโยคที่ว่า
“ข้าจะไม่มอบบัลลังก์ให้กับคนที่ไม่ต้องการมัน  และข้าจะไม่มอบแคว้นเป่ยชางให้กับคนที่ไร้ความพยายาม  ไม่ว่าใครที่อยากได้บัลลังก์ในมือข้าก็ต้องใช้ความสามารถของเขามาเอาไป” ประโยคนี้ของฉีเซี่ยงหยวนไม่เพียงหมายถึงองค์รัชทายาท  ยังรวมถึงน้องชายเพียงคนเดียวของเขาด้วย
ถ้าปรารถนาชีวิตสงบปลอดภัยก็อย่าทะเยอทะยานให้มาก  ถ้าปรารถนาชีวิตบนบัลลังก์ก็ต้องทำตัวเองให้มีความสามารถเพียงพอจะดูแลมันได้
ในบางครั้งฉีเซี่ยงหยวนก็เข้มงวดไม่ผ่อนปรนอย่างนี้เอง  จวบจนวาระสุดท้ายกับกฎเกณฑ์ข้อนี้ฉีเซี่ยงหยวนก็ยังคงยึดมั่นไม่เปลี่ยนแปลง
“พูดถึงเรื่องผู้สืบทอดของท่าน  ข้าได้ยินว่าราชสำนักกำลังคัดเลือกพระชายา  แต่ท่านกลับยืนกรานปฏิเสธ  ต้าอ๋อง  ตำแหน่งพระชายาสำคัญแค่ไหนท่านก็รู้  ยังมีตำแหน่งอัครชายาของท่านอีก  หากท่านลังเลเพราะข้านั่นก็ไม่จำเป็นต้องลังเลเลย” ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็พูดออกไป  คำพูดคล้ายลูกธนูดอกหนึ่ง  กรีดผ่านบรรยากาศของความกลมเกลียวเข้าอกเข้าใจ

ฉีเซี่ยงหยวนหันขวับมาทันใด  น้ำเสียงเจือแววไม่อยากจะเชื่อ
“นี่ท่านกำลังเกลี้ยกล่อมให้ข้ารับชายาอย่างนั้นหรือ ? ”
 “ต้าอ๋อง  ท่านใจเย็นก่อน  เรื่องชายาของท่านจะช้าจะเร็วอย่างไรก็ต้องมี  ทั้งท่านทั้งข้าต่างรู้ดี”
ฉีเซี่ยงหยวนผุดลุกขึ้นยืน ราวกับมีเปลวเพลิงแผดเผาไปทั่วทั้งร่าง  เป็นไฟโทสะที่มาพร้อมความเจ็บปวด  เขาขบคิดแผนการมากมายเพื่อหลบเลี่ยงการแต่งตั้งพระชายา  ทำทุกหนทางเพื่อคนตรงหน้า  แต่คนผู้นี้กลับเอ่ยปากผลักไสเขาไปหาผู้อื่นอย่างง่ายดาย  เท่านี้เองหรือ  ง่ายดายปานนี้เองหรือ  แล้วที่เขาทำมาทั้งหมดล้วนเพื่ออะไรกัน ?

เหลียนอันสุ่ยเห็นฉีเซี่ยงหยวนโมโหจนสาวเท้าพรวดๆคิดจากไปโดยใบหน้าไม่แม้แต่จะหันมามอง  ก็ผุดลุกขึ้นเช่นกันอย่างตื่นตระหนก
“ต้าอ๋อง  ข้าแค่อยากให้ท่านมีครอบครัว”
ร่างที่ก้าวเดินไปถึงชานบันไดขึ้นเรือนหยุดชะงักไว้  ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวสวนโดยไม่หันมามองว่า
“ข้ามีท่าน”
“นั่นมันไม่เหมือนกัน  ข้ามีลูกให้ท่านไม่ได้”
“ข้ามีลูกแล้วสองคน”
เสียงของเหลียนอันสุ่ยขยับมาใกล้
“พวกเขาล้วนมิใช่ลูกที่แท้จริงของท่าน  ไม่อาจทดแทนกัน” ตอนจบประโยคปลายนิ้วเรียวยาวแตะลงบนแขนที่กำแน่นจนกล้ามเนื้อเขม็งเกร็ง  น้ำเสียงทั้งโน้มน้าวเกลี้ยกล่อม  ทั้งเจือด้วยความปวดร้าวเว้าวอน
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบคำ  ได้ยินเหลียนอันสุ่ยกล่าวต่อว่า
“มาคิดดูแล้วข้าความจริงไม่ควรแต่งงานกับเหวินจีเลย  แต่ข้าไม่เคยเสียใจ  ครั้งแรกที่ข้าอุ้มจิ้งเต๋อ  ความรู้สึกนั้นไม่มีอะไรเทียบได้  ต้าอ๋อง  ทั้งหมดนี้มันมากเหลือเกิน  ท่านไม่ควรต้องสูญเสียมันไปเพราะข้า”

ภายในลมหายใจหนักหน่วง  ความคิดของฉีเซี่ยงหยวนคล้ายค่อยๆเปลี่ยนจากเปลวเพลิงเป็นบางสิ่งบางอย่างที่มีตัวตน  อยากจะโมโหให้หนักๆ  แต่กลับทำไม่ได้  ยื่นมือออกไปฉุดดึงร่างสูงโปร่งเข้ามาหาตัว  มองใบหน้าตกใจแต่กลับแฝงความปวดร้าวหม่นหมองอย่างลึกล้ำใบนั้น  ทำไมท่านจึงกลับมามีสีหน้าเช่นนี้อีก  ความปวดร้าวของท่านไม่ใช่เจือจางเบาบางไปนานแล้วหรอกหรือ  ปลายนิ้วสากไล้ช้าๆไปตามผิวแก้มหมดจด  พึมพำว่า
“...ท่านโทษตัวเองอีกแล้ว  ทำไมท่านต้องทำเช่นนี้อยู่เรื่อย” สายตาของฉีเซี่ยงหยวนมีแววเจ็บปวดอ่อนใจ  ทั้งยังแฝงอารมณ์หวนรำลึกอยู่บ้าง
“ข้า...” พูดได้เพียงพยางค์เดียวปลายนิ้วสากก็เลื่อนมาทาบทับริมฝีปากไว้  เมื่อปลายนิ้วเลื่อนออกริมฝีปากร้อนผ่าวก็ตามติดลงมา
รอยจูบลึกล้ำยาวนาน  คล้ายเปี่ยมไปด้วยส่วนผสมของอารมณ์ที่ซับซ้อนหลากหลาย  แต่ที่สัมผัสได้ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความรู้สึกประการหนึ่ง...รัก  เพียงแค่รู้สึกรักก็เท่านั้น  ความเจ็บปวดนี้  ความไม่เข้าใจนี้ล้วนเกิดเพราะ ‘รัก’ เพียงประการเดียว

ฉีเซี่ยงหยวนถอนริมฝีปากออกมาช้าๆ  หลังจากถูกจูบเหลียนอันสุ่ยมักเป็นเช่นนี้เสมอ  มึนงงน้อยๆ  หายใจไม่ทันอยู่บ้าง  สิ่งที่พูดกับสิ่งที่คิดคล้ายต้องใช้เวลาพักหนึ่งเพื่อที่จะประกอบเป็นสิ่งเดียวกัน  ฉีเซี่ยงหยวนชมชอบทั้งหมดนั่น  ขณะค่อยๆละเลียดภาพดังกล่าวอย่างแช่มช้า  ก็เอ่ยว่า
“ความจริงแล้วทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะท่าน  ข้าไม่เคยคิดจะมีลูกมาตั้งแต่แรก  ไม่ว่าข้ารักใครล้วนมีผลลัพธ์เช่นเดียวกัน  ท่านไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง”
คำพูดนี้คล้ายค้อนหนักๆที่ทุบจนเหลียนอันสุ่ยมีสติแจ่มใสขึ้นมาหลังจากถูกริมฝีปากของอีกฝ่ายก่อกวน  อุทานอย่างตื่นตระหนกว่า
“ทำไมท่านจึงตัดสินใจเช่นนี้!”
“บิดาข้ามีลูกชายห้าคน  แต่ทั้งหมดล้วนเข่นฆ่ากันเอง  ตอนนี้เหลือแค่ข้ากับน้องห้า  องค์ชายแย่งชิงอำนาจ  ที่ทุกข์ร้อนคือปวงประชา  ที่ทำลายคือแว่นแคว้น  ผู้คนมักบอกว่าการที่ผู้ปกครองแคว้นมีผู้สืบทอดหลายคนเป็นสิ่งที่ทำให้แว่นแคว้นมั่นคง  แต่ในความเห็นข้า  ยิ่งมีผู้สืบทอดหลายคนยิ่งเป็นหายนะโดยแท้” ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยอารมณ์เย้ยหยันอยู่บ้าง  แต่ละคำพูดแช่มช้าชัดเจน
“แต่ต้าอ๋อง...ท่านมีลูกสาวได้  กระทั่งลูกชายก็สามารถมีได้  ถ้าท่านมีลูกชายเพียงคนเดียว  ที่ท่านกังวลก็จะไม่เกิดขึ้น  เพราะสิทธิชอบธรรมจะตกเป็นของเด็กคนนี้  ไม่มีใครสามารถแย่งชิงโต้แย้งกับเขา”

ฉีเซี่ยงหยวนหันมายิ้มให้คนหวังดีที่ข้างกายที่พยายามหาหนทางให้กับเขา  กล่าวว่า
 “ถ้าเช่นนั้นเด็กคนนี้ก็น่ากลัวจะไม่ได้เกิดแล้ว  เพราะพระบิดาของข้าคงไม่ยินดีจะมีหลานคนนี้แน่” และต่อให้เด็กคนนั้นสามารถเกิดมา  ทุกค่ำเช้าก็จะวนเวียนอยู่กับความเสี่ยงที่เรียกว่าความเป็นความตาย
เหลียนอันสุ่ยพิจารณาความหมายของสิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนพูดออกมาและไม่ได้พูดออกมา  นิ่งงันไปพักใหญ่  ...ถ้านั่นจะเกิดขึ้นจริง  อดีตเป่ยชางอ๋องก็อำมหิตเหลือเกิน 

เหลียนอันสุ่ยพูดไม่ออก  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับหัวเราะเบาๆ  กล่าวว่า
“ข้าไม่แน่ใจในความคิดของพระบิดา  แต่ข้าแน่ใจในตัวเอง  สิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลงอีก  ข้าไม่ได้แต่งตั้งลูกบุญธรรมเป็นรัชทายาทเพราะข้าไม่มีลูกเป็นของตัวเอง  แต่ข้าจงใจเลือกเด็กคนนั้น  ข้าติดค้างพี่ใหญ่มามากเกินไปจึงได้แต่ชดใช้คืนด้วยวิธีนี้” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวอย่างจริงจัง  จากนั้นพึมพำกับตัวเองว่า
“ท่านมีลูกไม่ได้ก็ดีเหมือนกัน  หากข้าสามารถมีลูกกับท่านจริง  บางทีการตัดสินใจนี้ของข้าอาจถูกความเห็นแก่ตัวของตัวเองทุบทำลายไปในท้ายที่สุด...ลูกของท่านกับข้า  ความคิดนี้กลับดีไม่น้อย  รู้สึกดีจนข้าไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถต้านทานความเย้ายวนของมันได้”
เหลียนอันสุ่ยทำได้เพียงเบิกตากว้าง
ที่แท้ฉีเซี่ยงหยวนจงใจไม่มีลูกเพราะต้องการให้ลูกบุญธรรมมีสิทธิ์ในบัลลังก์ ! 
ขอเพียงฉีเซี่ยงหยวนมีลูกชายตำแหน่งรัชทายาทโดยชอบธรรมไม่มีทางตกไปถึงมือลูกชายองค์ชายใหญ่  ลูกเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่เสมอ  เพื่อพี่ชายคนนั้นฉีเซี่ยงหยวนถึงกับยอมเสียสละความภาคภูมิใจชั่วชีวิต

อันที่จริงถ้านับตามกฎเกณฑ์ที่ถูกต้องของการสืบบัลลังก์  ตำแหน่งรัชทายาทต้องเป็นขององค์ชายห้าจนกว่าฉีเซี่ยงหยวนจะมีทายาทที่แท้จริง  แต่ฉีเซี่ยงหยวนรับบุตรชายขององค์ชายใหญ่เป็นบุตรบุญธรรม  ใช้ฐานะนี้มาคัดง้าง  ใช้อิทธิพลที่สามารถกำหนดฟ้าดินมาแต่งตั้ง  แม้ไม่ถึงกับถูกต้องนัก  แต่ก็ไม่ถึงกับผิดจนทำไม่ได้  สิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนมอบให้กับบุตรบุญธรรมผู้นี้คือโอกาสอันยิ่งใหญ่  นี่คือค่าตอบแทนที่ฉีเซี่ยงหยวนใช้ทดแทนบุญคุณ !

คนมีศักดิ์เป็นพระมาตุลากลืนน้ำลาย  น้ำลายคล้ายฝืดคอเป็นพิเศษ  และก็คล้ายกับมีรสขม  คิดจะถามออกไปว่า ‘การเสียสละเช่นนี้ใช่มากมายเกินไปหรือไม่’   แต่สุดท้ายยังคงมิได้ถามออกไป
จากอดีตที่ฉีเซี่ยงหยวนเคยเล่าให้เหลียนอันสุ่ยฟัง  ในนั้นเจือเงาร่างของพี่ชายคนโตคนนี้อย่างเข้มข้น  เข้มข้นจนเหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าในหลายอย่างที่ฉีเซี่ยงหยวนเป็นย่ำอยู่ในเงาขององค์ชายใหญ่โดยไม่รู้ตัว  ฉีเซี่ยงหยวนทั้งรักทั้งเคารพพี่ชายคนนี้เหลือเกิน  พี่ชายเพียงคนเดียวที่พอจะนับเป็นพี่น้อง  พอจะสามารถนับเป็นครอบครัว

เทพสงครามหยงเซี่ยเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ทำให้เหล่าต้นไม้เล็กๆหวังจะเจริญรอยตาม  เป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าผู้ที่เคยได้ยินได้ฟังตำนานของเขา  แต่ในใจของฉีเซี่ยงหยวน องค์ชายใหญ่ฉีเซี่ยงเทียนเป็นอะไรที่จับต้องได้กว่ามาก  อาจบางทีสำหรับฉีเซี่ยงหยวน พี่ชายคนโตที่อายุมากกว่าเขาสี่ปีคนนี้เป็นตัวแทนของทั้งพ่อและพี่ชาย  มีความสำคัญต่อฉีเซี่ยงหยวนอย่างยากจะหาใครเทียบได้
เหลียนอันสุ่ยยังคงมีคำถามที่ไม่เข้าใจ  คิดจะทำให้บรรยากาศที่หนักอึ้งดีขึ้น  จึงขมวดคิ้วถามยิ้มๆออกไปว่า
“ท่านมีพี่ชายที่ดีต่อท่านถึงเพียงนี้  เหตุใดจึงบอกว่าระหว่างพวกท่านพี่น้องสิ่งที่คงอยู่คือคำว่าไม่อาจเชื่อใจเล่า”
คำถามนี้ถามอย่างไม่เจตนา  แต่ปฏิกิริยาของฉีเซี่ยงหยวนกลับทำให้เหลียนอันสุ่ยชะงักไป  เหตุใดในวูบหนึ่งของแสงโคมที่ส่องต้องดวงตาดำสนิทจึงสาดให้เห็นรอยของความโศกเศร้าบางเบา  เขาดูผิดไปใช่หรือไม่  รอยยิ้มบนริมฝีปากของเหลียนอันสุ่ยสลายหายไปกับวูบหนึ่งของแสงไฟนั้น

ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบคำ  ภาพในหัวฉายเป็นเรื่องราวเมื่อหลายเดือนก่อน  คืนนั้นในคุก เขากับพี่รองคุยกันมากมายหลายเรื่อง...หลายเรื่องอย่างยิ่งจริงๆ  ประโยคเหล่านั้นยังคงชัดเจน 
นั่นเป็นหลังจากพี่รองถามเขาว่าเขายังรับบุตรชายของพี่ใหญ่เป็นบุตรบุญธรรมอยู่หรือไม่ 
เขาพยักหน้า  พี่รองเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะ  กล่าวว่า
‘ดูๆไปแล้วข้าก็ต้องยอมรับว่าเขาร้ายกาจ  ข้าแข่งกับเขามาค่อนชีวิตสุดท้ายยังคงพ่ายแพ้แก่เขา  พ่ายแพ้ทั้งๆที่เขาตายไปตั้งสี่ปีที่แล้ว’ พูดจบก็ดื่มสุรา  เหลือบสายตาขึ้นมามองหน้าเขา  เหยียดยิ้มแล้วกล่าวต่อ
‘เจ้าเป็นคนมีน้ำใจจริงๆ  เขาดูคนไม่ผิดพลาด  ผู้ชายคนนั้นเหมือนพระบิดาทุกอย่าง  มีแต่สายตาที่เหนือชั้นกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่าต่อกี่เท่า’
เสียงพึมพำต่อจากนั้นของพี่รองคล้ายกับเป็นประโยคที่ว่า คิดไม่ถึงตระกูลเลือดเย็นของเรา  คนที่ได้ชื่อว่าเลือดเย็นที่สุดกลับเป็นคนที่มีน้ำใจที่สุด  แต่ตัวฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ตั้งใจฟังเสียแล้ว 

ในหมู่พี่น้องพี่ใหญ่เป็นคนที่หน้าตาคล้ายคลึงกับพระบิดาที่สุด  แต่พี่รองย่อมมิได้หมายถึงความเหมือนในจุดนี้  ประโยคเหล่านั้นของพี่รองแม้คนกล่าววาจาจะไม่อยู่แล้ว  แต่เนื้อความกลับไม่ยินยอมจางหายไป  เพราะลึกๆแล้วฉีเซี่ยงหยวนรู้ดีว่ามันซ้อนทับกับความเป็นไปได้ประการหนึ่ง...ความเป็นไปได้ที่เขาไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองไปครุ่นคิดถึง
 
เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังคงติดค้างพี่ใหญ่มากมายเหลือเกิน

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0

บทที่ 48 คนที่ยากจนที่สุดในหล้า(2)

“...เซี่ยงหยวน  ฉีเซี่ยงหยวน”
เสียงเรียกทำให้ฉีเซี่ยงหยวนตื่นจากภวังค์  พบว่าตัวเองเดินมาจนถึงห้องนอนแล้ว  เหลียนอันสุ่ยที่เดินมาด้วยกันกำลังมองมาที่เขาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไร  แค่คิดถึงเรื่องเก่าก่อนขึ้นมา” ฉีเซี่ยงหยวนตอบเบาๆ
“เรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้ท่านหมกมุ่นครุ่นคิดถึงขนาดนี้” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยเคร่งเครียดจริงจัง
ฉีเซี่ยงหยวนก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป  เดินไปได้ครึ่งทางจึงค่อยตอบว่า
“พี่รองเคยบอกว่าการฝากฝังบุตรชายของพี่ใหญ่  เป็นการจงใจใช้ประโยชน์จากบุญคุณที่พี่ใหญ่มีต่อข้า” ไม่ใช่แค่เพียงให้ดูแล...แต่ยังหมายถึงสิทธิในบัลลังก์
ม้วนไม้ไผ่ที่เพิ่งหยิบขึ้นมาในมือของเหลียนอันสุ่ยหล่นลงไปบนชั้นดัง ‘ตุบ’  ยังไม่ทันกล่าวอะไรออกไป  ฉีซี่ยงหยวนก็สรุปออกมาเอง
“ช่างเถิด  พี่รองก็เป็นแบบนี้  ชอบกล่าววาจาเสียดสีทำร้ายผู้อื่น  ข้าไม่โทษเขา  ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อถือเป็นจริงเป็นจังไป”
น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนผ่อนคลาย  ท่าทีก็ผ่อนคลาย  หากเป็นคนทั่วไปคงถูกชักจูงจนเชื่อถือไปแล้ว  แต่เหลียนอันสุ่ยคุ้นเคยกับบุรุษผู้นี้เกินกว่าจะเชื่อว่าเรื่องราวไม่มีอะไรจริงๆ...ฉีเซี่ยงหยวนทราบดีว่าประโยคที่พี่รองเขากล่าวเป็นความจริง  ถึงภายนอกจะปฏิเสธแต่ลึกลงไปกลับทราบดี...บางทีอาจทราบดีมาโดยตลอด

เหลียนอันสุ่ยดับตะเกียงน้ำมันในห้อง  ล้มเลิกความตั้งใจที่จะอ่านตำราก่อนเข้านอน  มองฉีเซี่ยงหยวนที่เอนกายอยู่บนเตียง  แล้วเดินเข้าไปนั่งที่ขอบเตียง  ในทุกๆอิริยาบถนี้สมองของเหลียนอันสุ่ยมีระลอกของความคิดไหลผ่านไม่หยุดยั้ง  ความจริงอันน่ากลัวเรื่องหนึ่งค่อยๆเผยตัวออกมาอย่างเงียบงัน

เด็กชายอายุเยาว์ผู้หนึ่งซึ่งไม่มีทั้งบิดามารดาให้พึ่งพา  แต่กลับมีศักดิ์ฐานะเป็นถึงองค์ชาย  ศักดิ์ฐานะที่จะทำให้คนโดดเดี่ยวสุดจะเปรียบปาน  ขอเพียงมีมือข้างหนึ่งยื่นออกไป  ทั้งมือข้างนั้นยังเป็นมือของคนในครอบครัว  เป็นมือของพี่ชาย  พี่ชายคนนั้นจะต้องเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขา  เพราะนั่นคือการยอมรับเพียงหนึ่งเดียว  คือครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว

ฉีเซี่ยงหยวนมักเอ่ยถึงความสามารถของพี่ชายคนโต  แต่ในความเป็นจริงตัวเขาเองนั่นแหละที่มีความสามารถจนทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนก  ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดคนที่มีความสามารถน่ากลัวที่สุดก็คือเขา    เด็กชายเยาว์วัยที่บิดาหมางเมินมารดาไม่สนใจผู้หนึ่งที่มีประกายแหลมคมจนยากจะปกปิด  ขอเพียงได้รู้จักใกล้ชิด  องค์ชายใหญ่ที่โตกว่าถึงสี่ปีไม่มีทางมองไม่ออกว่าเด็กคนนี้จะมีประโยชน์มหาศาลในภายภาคหน้า  บางทีทั้งหมดนั่นคงเป็นความจริงใจที่เคลือบแฝงอยู่ในการหวังใช้ประโยชน์
 
จริงใจกี่ส่วน  หวังใช้ประโยชน์กี่ส่วน  นานวันเข้ายากแยกแยะได้ชัดเจน  พวกเขาอยู่ด้วยกันมาหลายปีเกินไป  เวลาหลายปีเช่นนี้ไม่เพียงสามารถเพาะสร้างเป็นบุญคุณ  ยังทำให้เราเข้าใจคนๆหนึ่งอย่างลึกซึ้ง เข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องที่แท้จริงไม่ต้องการเข้าใจแม้แต่น้อย 
องค์ชายใหญ่ฉีเซี่ยงเทียนเองก็คงรู้จักนิสัยของฉีเซี่ยงหยวนดี  ต้องรู้จักดียิ่งกว่าที่ฉีเซี่ยงหยวนรู้จักเขามากมายนัก  เพราะฉีเซี่ยงเทียนมีอายุมากกว่าถึงสี่ปี  ดังนั้นเรื่องที่เวลาฉีเซี่ยงหยวนรักคนผู้หนึ่งสามารถทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนผู้นั้นฉีเซี่ยงเทียนก็ต้องทราบกระจ่าง  ยิ่งการตอบแทนบุญคุณ ตอบแทนความเชื่อมั่นที่ผู้อื่นมีต่อเขา ฉีเซี่ยงหยวนยิ่งไม่เคยทำให้ผู้คนต้องผิดหวังเลย  การฝากฝังครอบครัวให้กับน้องชายคนที่สี่จึงไม่เพียงเป็นเรื่องที่ถูกต้องยิ่ง  ยังเป็นเรื่องที่ได้กำไรอย่างยิ่งด้วย

ตำแหน่งรัชทายาทอันล้ำค่าฉีเซี่ยงหยวนถึงกับมอบให้บุตรชายขององค์ชายใหญ่อย่างง่ายดาย  เพราะในใจของฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกอยู่เสมอว่าเจ้าของบัลลังก์ที่แท้จริงคือพี่ชายคนโตที่เขาสูญเสียไปแล้วคนนั้น

บางทีองค์ชายใหญ่คงมิได้มั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองคาดการณ์ไว้มากนัก  แต่ต้องวางใจเป็นอย่างมาก  เพราะเดิมพันนี้มีแต่ได้กับได้สถานเดียว  เหลียนอันสุ่ยสะท้านไปเยือกหนึ่งกับความคิดที่โยนความเป็นมนุษย์ทิ้งไปของตัวเอง  ถ้ามองว่าทุกอย่างเป็นเพียงหมากกระดานหนึ่งเรื่องราวอาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ  เหลียนอันสุ่ยหวังว่ามันจะไม่ใช่  หวังว่าจะคาดเดาผิดพลาดไป  แต่ทว่า... ‘ข้าไม่โทษเขา’  ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็เข้าใจ ประโยคนั้นของฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้หมายถึงพี่ชายคนรอง  แต่เป็นพี่ชายคนโต
หักกลบลบล้างกันแล้วไม่ว่าอย่างไรฉีเซี่ยงหยวนยังคงรู้สึกว่าเขาติดค้างบุญคุณ  หักกลบลบล้างกันแล้วฉีเซี่ยงหยวนยังคงไม่นับเรื่องที่พี่ชายคนโตอาจหลอกใช้เขา

บางครั้งฉีเซี่ยงหยวนก็เป็นเช่นนี้เอง  กับเรื่องราวที่ซับซ้อนและเจ็บปวดสามารถปล่อยวางให้มันผ่านไป  กับสิ่งที่เป็นอดีตก็สามารถยึดถือมันเป็นเพียงแค่อดีต  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยยอมให้อดีตมาทำลายปัจจุบันของเขา
บุตรชายที่บิดาไม่เคยนับเป็นสายเลือด  บุตรชายที่มารดากระทั่งเห็นหน้าก็ไม่ต้องการเห็นหน้า  มีพี่ชายคนโตหวังใช้ประโยชน์  มีพี่ชายคนรองที่กลั่นแกล้งเหยียดหยาม  มีน้องชายคนสุดท้องที่แย่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น  นี่เองคือสภาพในอดีตของฉีเซี่ยงหยวน  นี่เองคือสภาพที่แท้จริงที่ฉีเซี่ยงหยวนมักจะใช้คำพูดที่เบากว่ามาอธิบายให้เหลียนอันสุ่ยฟังอยู่เสมอ  และคนผู้นี้ต้องเผชิญทั้งหมดนั่นในกรงอันเลือดเย็นที่อิทธิพลอำนาจมีความสำคัญกว่าความรู้สึก  อดีตที่เว้าแหว่งไม่มีชิ้นดีเช่นนี้ยากจะเชื่อว่าเป็นของบุรุษที่ประสบความสำเร็จตรงหน้า  ยิ่งยากจะเชื่อว่าในสภาวะเช่นนั้นฉีเซี่ยงหยวนยังสามารถรักษาตัวตนให้เป็นอย่างที่เขาเป็น
เหลียนอันสุ่ยอิงใบหน้ากับแผ่นอกกว้าง  ปรารถนาจะให้บรรดาคนที่ไม่ได้รับความรักแล้วท้อแท้หมดอาลัย  ถูกทรยศความรู้สึกแล้วเก็บเป็นปมแค้นเคืองอาฆาตเหล่านั้นมาเห็นบุรุษชาวเป่ยชางผู้นี้  ถ้าฉีเซี่ยงหยวนเป็นเช่นเดียวกับคนพวกนั้นตอนนี้คงทำได้เพียงโทษว่าโชคชะตา  ทำร้ายผู้อื่น  สงสารตัวเองต่อไป  แต่เพราะฉีเซี่ยงหยวนมิใช่!  จึงสามารถกอบกุมสิ่งที่คนพวกนั้นได้แต่ฝันถึงเอาไว้ในกำมือ 
เปลี่ยนจากคนที่ไม่เคยมีอะไรเป็นของเขาอย่างแท้จริง  กลายเป็นคนที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นของเขา...รวมทั้งความสุขด้วย  ใช่  ผู้ชายคนนี้มีอดีตที่ไม่มีความสุข  แต่ผู้ชายคนนี้มีชีวิตที่มีความสุข  บางครั้งอดีตก็ไม่ใช่สิ่งที่กำหนดทุกอย่างเสมอไป  ทุกอดีตมีทางแยกในตัวของมันเอง  ขึ้นอยู่กับว่าท่านเลือกเดินทางไหน

เหลียนอันสุ่ยทราบว่าเขาไม่จำเป็นต้องสงสารบุรุษผู้นี้เลย  เพราะฉีเซี่ยงหยวนเองก็ไม่ได้สงสารตัวเอง  ชีวิตของฉีเซี่ยงหยวนแม้มีหลายเรื่องที่ไม่สมหวัง  มีหลายเรื่องที่เจ็บปวด  แต่ก็มีหลายเรื่องที่มีความสุข  ที่มีความภาคภูมิใจเช่นกัน  ชีวิตคนเราความจริงก็ประกอบด้วยหลายสิ่งหลายอย่างมากมายเช่นนี้เป็นธรรมดา
จากนั้นเหลียนอันสุ่ยพลันคิดไปถึงตอนถกเรื่องบทกวีเปรียบเทียบความรักของแคว้นต่างๆกับพระภาดา  หานญื่อหลัวเคยกล่าวถึงความรักของชาวเป่ยชางไว้ประโยคหนึ่ง
‘รักด้วยทั้งหมดของหัวใจ  ไม่เสียใจจนวันสุดท้ายของชีวิต’
รักนี้ไม่จำกัดเพียงรักของชายหญิง  ต่อให้เป็นมิตรภาพระหว่างเพื่อนพ้องก็เป็นดุจเดียวกัน  ความรักที่อดีตเป่ยชางอ๋องมีต่อพระมารดาขององค์ชายห้าเป็นเช่นนี้  ความรักที่พระชายารองมีต่อองค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิงก็คงเป็นเช่นนี้  ความรักฉีเซี่ยงหยวนมีต่อพี่ชายคนโตก็เป็นเช่นเดียวกัน

ฉีเซี่ยงหยวนมักรักคนรอบตัวเขาในแบบของเขาเอง  ไม่เคยตัดพ้อตำหนิ  และไม่เคยเสียใจที่ได้รัก  ความจริงคำว่า ‘เปิดใจ’ ของเหลียนอันสุ่ยไม่จำเป็นเลย  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้เกลียดชังน้องชายคนที่ห้าที่แย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขา  พอๆกับที่ไม่ได้เกลียดชังบุตรชายของพี่ชายคนโตที่อาจหลอกใช้เขา  เพียงไม่อนุญาตให้คนเหล่านั้นทราบความคิดภายในใจเขา  เพราะคนแบบฉีเซี่ยงหยวนความหวาดกลัวทำอะไรเขาไม่ได้  แต่ความเข้าใจมีอันตรายถึงชีวิต  ความเชื่อใจยิ่งสามารถฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น
และทั้งหมดนั่นก็ทำให้เหลียนอันสุ่ยเข้าใจ  ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เคยได้รับความรักมาแล้วค่อยส่งมอบความรักนั้นต่อผู้อื่น  แต่ต่อให้คนที่ยากจนความรักที่สุดในหล้าก็ยังคงสามารถมอบความรักออกไป
ในเรื่องของความรัก  ไม่เคยมีคำว่ายากจนจนเกินไป  มีแค่จะมอบให้หรือไม่เท่านั้น

คิดมาถึงช่วงสุดท้ายอย่างง่วงงุน  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าฉีเซี่ยงหยวนกอดเขาแน่นขึ้น  เปลี่ยนท่าเป็นเอาคางเกยกับศีรษะของเขา  คนผู้นี้ชอบเอาตัวเองมาเบียดกับเขาจนติดนิสัย...เหลียนอันสุ่ยสะท้านทั้งร่างจากประโยคหนึ่งที่ร่วงหล่นลงมากระแทกให้เขาตื่นเต็มตา
‘รักด้วยทั้งหมดของหัวใจ  ไม่เสียใจจนวันสุดท้ายของชีวิต’

เขาคู่ควรกับความรักเช่นนี้หรือ  สวรรค์  เขาจะปล่อยมือจากคนผู้นี้ได้อย่างไร  จะหักใจโหดร้ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร !
  ---------------------
แสงแดดฤดูใบไม้ผลิสาดส่องลงมา  มู่ซางเดินถือม้วนไม้ไผ่สองสามม้วนด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจ  ช่างเป็นวันดีที่อากาศพอเหมาะเสียนี่กระไร
แต่แล้วบรรยากาศที่มองดูแล้วสดชื่นไปถึงหัวใจนี้กลับถูกเสียงฝีเท้าหนักๆฉีกทำลายเป็นชิ้นๆ  ไหล่ถูกคว้าหมับด้วยมืออันใหญ่โตทรงพลัง  เมื่อเหลือบหางตาไปมองมู่ซางก็เห็นใบหน้าแตกตื่นของฝงเป่า
“มู่  มู่ซาง...เจ้า...รู้ข่าวรึยัง” ท่ามกลางเสียงหอบหายใจฝงเป่าก็ละล่ำละลักถามออกมา  เด็กบ้านี่หาตัวยากเสียจริง!  เขาวิ่งวุ่นหาอยู่ค่อนวันค่อยพบตัวคนบนทางเดินกำลังชมนกชมไม้สบายอารมณ์  หารู้ไม่ว่าภัยอันน่ากลัวได้กรายมาถึงแล้ว !
มู่ซางเลิกคิ้วเล็กน้อย  ถาม
“ข่าวอะไร”
ฝงเป่ามองซ้ายมองขวา  อ้ำๆอึ้งๆอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจกระซิบข้างหูอีกฝ่ายว่า
“ข้าได้ข่าวมาว่าตอนนี้...ตอนนี้  ต้าอ๋องเปลี่ยนเป็นชอบผู้ชาย!”
มู่ซางหางตากระตุก  เงียบไปอึดใจก็กล่าวอย่างขอไปทีว่า
“...เจ้าคิดมากไปแล้ว” 
“เรื่องพวกนี้ข้าไม่กล้าคิดขึ้นมาเองหรอกน่า  เมื่อวานนี้ข้าไปดื่มเหล้ากับเพื่อนที่เป็นราชองครักษ์  ตอนเจ้านั่นเมาบอกข้าว่าช่วงก่อนหน้านี้ต้าอ๋องแทบจะไม่เคยค้างที่ตำหนักเยี่ยอวิ๋น  แต่ไปค้างที่ตำหนักเสียงวสันต์ของพระมาตุลาแคว้นเหลียน!  สวรรค์  ดึกดื่นค่อนคืนไปค้างยังจะเป็นอะไรได้อีก”
ฝงเป่ากล่าวจบก็รอปฏิกิริยาของคนข้างตัว  รออยู่นาน  สุดท้ายมู่ซางก็เปิดปากกล่าวออกมาคำหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า
“อ้อ”
ฝงเป่าเห็นอีกฝ่ายไม่ร้อนใจก็ยิ่งร้อนใจขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ  ร้องว่า
“มู่ซางทำไมเจ้ายังเฉยอยู่อีก  นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ  เจ้าลองคิดดู  สมัยก่อนเรานอนกระโจมเดียวกับต้าอ๋องออกบ่อยไป  ทั้งยังเคยอาบน้ำร่วมกัน  คิดไม่ถึง...คิดไม่ถึง...” พูดถึงตรงนี้สีหน้าก็สยดสยองจนไม่อาจพูดต่อได้
มู่ซางมองชายร่างใหญ่ที่ยืนกระมิดกระเมี้ยนด้วยท่าทีหวาดกลัวหวงตัวสุดประมาณตรงหน้า  พลันรู้สึกว่ามุมปากกระตุกไม่หยุดยั้ง  อดรนทนไม่ไหวต้องด่าออกไปว่า
“ต่อให้โลกนี้ไม่หลงเหลือผู้หญิงแม้แต่คนเดียว  ผู้ชายค่อนโลกตายจนหมดสิ้น  ต้าอ๋องก็ไม่มีทางสนใจเจ้าหรอก  ข้ารับประกันได้  ดังนั้นอย่ามายืนกระบิดกระบวนอยู่ตรงนี้  ข้าเห็นแล้วจะอาเจียน”

“หนอย  บุคลิกข้าห้าวหาญองอาจถึงเพียงนี้  ต่อให้ต้าอ๋องสนใจข้า  ข้าก็ไม่มีทางสนใจเขา!”
มู่ซางกวาดตามองคนที่สูงยิ่งกว่ายักษ์  หน้าตาท่าทางหยาบกร้านถึงขีดสุดขึ้นๆลงๆอยู่นาน  กล่าว
“รอให้หน้าตาเจ้าได้ครึ่งหนึ่งของพระมาตุลาก่อน  ค่อยวิตกกังวลเถอะ”
ฝงเป่ากระชากเสียงว่า 
“มู่ซาง  สีหน้าเฉยเมยเช่นนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร  เจ้าเห็นเภทภัยของเพื่อนฝูงในกองทัพเป็นไม่สำคัญหรือ  เจ้าเข้าใจว่า...”
มู่ซางไม่เพียงไม่ฟังวาจาของฝงเป่าที่ดังกระแทกกระทั้นอยู่ข้างหู  ยังหันหน้าไปอีกฟาก  ประสานมือคารวะคนผู้หนึ่ง
“พระมาตุลา”
เหลียนอันสุ่ยที่เดินหอบตำรามาพร้อมกับหม่าหลงและหวังเชียน  เงยหน้าขึ้น  ยิ้มให้น้อยๆ  ทักว่า
“ที่แท้เป็นใต้เท้ามู่”
ทักทายกันและกัน  เดินสวนจากไป  ฝงเป่าที่เมื่อครู่ยังเอ่ยวาจาเสียงดังตอนนี้คล้ายกลายเป็นใบ้  อ้าปากพะงาบๆแต่ไม่มีเสียงออกมา
มู่ซางเหลือบมองฝงเป่าเล็กน้อย  เห็นว่าอีกฝ่ายหุบปากเสียได้ก็สบายหูขึ้นมาไม่น้อย  สาวเท้าก้าวจากไปอย่างไม่สนใจ
ฝงเป่าได้สติ  เห็นเงาหลังของมู่ซางเดินจากไปก็รีบถลาไปคว้าตัวกลับมา  กระชากคอเสื้อถามว่า
“เจ้ารู้จักพระมาตุลา ? ”
มู่ซางมีสีหน้าเหนื่อยหน่าย  ตอบว่า
“เขาเป็นคนสำคัญของต้าอ๋อง  ข้าย่อมต้องเสนอหน้าไปทำความรู้จักอยู่แล้ว”
“อะ  อะไรนะ  เจ้า!  ที่แท้เจ้ารู้อยู่แล้ว”
มู่ซางดึงคอเสื้อตัวเองออกมาจากมืออีกฝ่าย  ปัดๆรอยยับ  พลางตอบว่า
“ใช่  ข้ารู้  พอใจรึยัง  แล้วเจ้าก็เลิกตื่นตูมเกินกว่าเหตุได้แล้ว  คิดจะกระจายข่าวไปให้ทั่วราชสำนักหรืออย่างไร” การที่ฝงเป่ารู้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ  เพราะในหมู่ราชองครักษ์มีสหายของฝงเป่ามากมาย  แต่ดูเหมือนว่าข่าวคราวภายนอกเองก็ยังไม่นิ่ง  สาเหตุมีอยู่แค่สองอย่างคือมีคนจงใจปล่อยข่าว...หรือไม่ก็มีใครบางคนไม่ยอมควบคุมข่าว  มู่ซางคิดเช่นนั้นก็หรี่ตาลง
“เป็น  เป็นไปไม่ได้กระมัง” บุรุษผู้นี้น่ะหรือ ที่เป็น  เอ้อ  เป็น...
“เจ้านี่ท่าทางจะสมองมีปัญหา  เมื่อครู่ข้าก็บอกอยู่หยกๆว่าใช่” พูดจบมู่ซางก็เดินจากไป  เสียงพึมพำที่ดังมาคล้ายกับเป็นคำว่า ‘เสียเวลา’ กับคำว่า ‘ไร้สาระ’
ฝงเป่ายืนงงงวยอยู่ตรงนั้น  ไม่ทันได้ยินว่ามู่ซางพึมพำว่าอะไร  ในจินตนาการของฝงเป่าบุรุษที่รักชอบบุรุษจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดพิกลที่น่าสยดสยองจนถึงที่สุด  แต่ทว่า...
รอยยิ้มอบอุ่นดุจลมวสันต์  บุคลิกสูงสง่าสบายตาสบายใจจนถึงที่สุด  นับเป็นแบบอย่างของบุคลิกที่ฟ้าประทานลงมาชัดๆ  ฝงเป่าเพิ่งเคยเห็นหน้าเหลียนอันสุ่ยเป็นครั้งแรก  แต่ไม่ว่าโยงอย่างไรก็ไม่อาจโยงภาพพระมาตุลาเข้ากับคำว่า ‘ประหลาดพิกลน่าสยดสยอง’ ได้   นี่...นี่ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่
‘รอให้หน้าตาเจ้าได้ครึ่งหนึ่งของพระมาตุลาก่อน  ค่อยวิตกกังวลเถอะ’
คำพูดเก่าของมู่ซางกระแทกเข้ามาอย่างเจ็บแสบ  หนอย  เขาก็หล่อเหลาในแบบของเขาเฟ้ย
  ---------------------
ข่าวคราวในวังไม่นิ่งจริงๆ  การเป็นคนมีชื่อเสียงหมายความว่าอดีตของท่านจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป  เรื่องอะไรที่ขุดคุ้ยได้ล้วนถูกพลิกขุดขึ้นมาทุกอย่าง  ในที่สุดเรื่องความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างขุนพลแคว้นเหลียนอวี้เฉียนกับพระมาตุลาก็เริ่มถูกซุบซิบกันในวังหลวงของแคว้นเป่ยชาง 

เรื่องนี้ความจริงไม่จัดเป็นความลับอันใด  ขอเพียงหยิบนางกำนัลคนไหนในแคว้นเหลียนขึ้นมาสอบถามเก้าในสิบส่วนก็สามารถอธิบายเป็นเรื่องเป็นราวได้ทั้งนั้น  แม้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นควานหาดูแล้วอาจมีมูลความจริงอยู่ไม่ถึงครึ่งก็ตาม  นี่คือลักษณะของข่าวลือ  จุดเริ่มต้นที่วาจาหนึ่งประโยค  เมื่อลือออกไปสามารถพลิกเปลี่ยนขยายตัวเองได้เป็นสารพัน

เมื่อมีข่าวลือเรื่องอวี้เฉียน  ทุกคนก็เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันสนิทสนมจนเกินธรรมดาระหว่างต้าอ๋องกับพระมาตุลาต่างแคว้น  เรื่องราวใช่กำลังเดินซ้ำรอยเดิมหรือไม่  คนทั้งคู่ที่แท้เป็นแค่ ‘สหาย’ แน่หรือ ?
เพียงแต่ข้อสงสัยนี้ตั้งกันได้อย่างลับๆเท่านั้น  อันตรายร้ายแรงถึงขั้นหัวหลุดจากบ่า ดังนั้นถึงแม้ว่าหลังจากหมอหลวงใหญ่ไปตรวจอาการต้าอ๋องแล้วยืนยันว่าแผลใกล้หายสนิท  ฉีเซี่ยงหยวนจึงปล่อยตัวให้เหลียนอันสุ่ยไปทำงานที่โรงหมอบ้างก็ตาม  เหลียนอันสุ่ยก็ยังคงไม่ได้ยินข่าวคราวใด  เพียงรู้สึกว่าคนรอบตัวมองเขาแปลกๆ  ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เผลอไปรบกวนเขาเข้าก็ต้องขอโทษขอโพยเป็นเรื่องใหญ่โต  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจว่าเป็นสาเหตุจากฐานะ ‘พระสหายสนิท’ อะไรนั่น  จึงไม่ได้ติดใจสงสัย  เพียงลำบากใจอยู่บ้าง
จนกระทั่งวันหนึ่ง  บังเอิญไปได้ยินคำพูดของหย่งเผิงที่กล่าวกับผู้อื่นลับหลังเขาเข้า...
  ---------------------
‘ข้าว่าแล้วเชียวว่าต้องมีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง  ที่แท้เป็นคนข้างหมอนของเจ้าชีวิต  มิน่าเหลียนอันสุ่ยถึงไม่เห็นใครอยู่ในสายตา’
เหลียนอันสุ่ยจับจ้องมองอักษรแถวหนึ่งบนม้วนไม้ไผ่อย่างเลื่อนลอย  จับจ้องมานานแล้วก็ยังอ่านไม่ออกแม้แต่ตัวเดียว  สีหน้าซีดขาวราวหิมะเหมันต์  ลมหายใจที่สงบเยือกเย็นเสมอมาทอดอย่างหนักหน่วงกระสับกระส่าย  เห็นได้ชัดว่าการหยิบตำรามาอ่านระหว่างรอฉีเซี่ยงหยวนกลับมาจากประชุมขุนนางมิได้ช่วยให้จิตใจหายฟุ้งซ่านได้อย่างที่ตั้งใจไว้
“เกิดอะไรขึ้น”
เหลียนอันสุ่ยสะดุ้ง  เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงทุ้มก็เห็นใบหน้าที่คุ้นตาของบุรุษที่ทรงอำนาจสูงสุดในแผ่นดินเป่ยชาง
“ทำอย่างไรดี  ตอนข้าอยู่แต่ในตำหนักเยี่ยอวิ๋นไม่รู้ข่าวคราวใด  ข้างนอกนั่นก็เหมือนเริ่มเกิดข่าวลือขึ้นมาแล้ว  ตอนนี้ถึงขั้นมีคนสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา ! ”
มือใหญ่เอื้อมมาตบบ่าของร่างสูงโปร่งเบาๆ เหมือนจะบอกให้ใจเย็นๆ  ฉีเซี่ยงหยวนทรุดกายลงนั่งช้าๆ  ขบคิดด้วยสีหน้าจริงจังพักหนึ่ง  แล้วจึงตอบว่า
“ในเมื่อข่าวลือก็ลือไปแล้ว  เราควรสนใจเรื่องการหาหนทางจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นหลัก  คิดดับไฟไม่ง่ายนัก  ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปิดปากทุกคนในวังหลวง  อีกอย่างการปกปิดก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี  ยิ่งพยายามปกปิดก็ยิ่งดูมีพิรุธน่าสงสัย  ข้าคิดว่าอย่างแรกที่ท่านควรทำคืออธิบายเรื่องของเรากับจิ้งเต๋อ”

เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วนิ่งงันไป  สติค่อยๆกลับมา  บางสิ่งบางอย่างค่อยๆชัดเจนขึ้น 
“ท่านไม่ได้คิดจะปกปิดมาตั้งแต่แรก !” เหลียนอันสุ่ยหันไปจ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง  ราวต้องการยืนยันความจริง “ท่านรู้ว่าการเอาข้ามาผูกไว้กับท่านหลังเกิดเรื่องแบบนั้นมีแต่จะเกิดข่าวลือ  ท่านจงใจใช้ข่าวลือมาบีบข้า!” ที่แท้สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นแผนการของบุรุษตรงหน้า  ไม่จำเป็นต้องเสียแรงอะไรมากมาย  แค่นิ่งเฉยปล่อยให้ข่าวลือลุกโหมด้วยตัวของมันเอง 
ฉีเซี่ยงหยวน  นี่ท่าน...ถึงกับใช้แผนการกับข้า
ฉีเซี่ยงหยวนประสานสายตากับอีกฝ่ายโดยไม่หลบเลี่ยง  พูดเสียงหนักว่า
“ท่านควรบอกเขา  ควรบอกตั้งนานแล้ว  หรือท่านไม่เคยคิดถึงอนาคตที่เราจะมีร่วมกัน”
เหลียนอันสุ่ยสะอึกไป  หลับตาลง  หายใจแรง  ทุกอย่างข้าล้วนเชื่อท่าน  ไม่เคยระแวงท่านเลย  แต่ท่านกลับ...
รู้สึกว่าอีกฝ่ายเคลื่อนกายมาจนชิดติดแผ่นหลัง  มือใหญ่สอดเข้ามากุมเอวเพรียวไว้  เหลียนอันสุ่ยพยายามสงบสติอารมณ์  แต่ดูเหมือนอารมณ์รุนแรงที่เขาไม่คุ้นชินยังคงไหลบ่ามาเรื่อยๆ  ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยช้าๆที่ข้างหูว่า
“เหลียนอันสุ่ย  ท่านไม่เคยนึกถึงมันจริงๆหรือ  ข้ารักท่านก็คือข้ารักท่าน  ข้าไม่เคยล้อเล่นกับความรู้สึกที่ข้ามีต่อท่าน  ท่าน...” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนมีความเจ็บปวดจนพูดไม่ออก 

เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วสะท้านวาบไปทั้งตัว  จับมือที่โอบกอดตัวเขาแน่น  คล้ายคิดจะง้างออก  และก็คล้ายคิดจะบังคับให้อีกฝ่ายโอบกอดเขาไว้อย่าปล่อยมือ  หลับตาลงอย่างแช่มช้า  พูดออกไปอย่างยากลำบากว่า
“เซี่ยงหยวน  เรื่องระหว่างเราไม่เคยมีคำว่า ‘วันพรุ่งนี้’   ไม่เคยมีมาตั้งแต่แรก...แล้วจะพูดถึงอนาคตได้อย่างไร”
ความฝัน  ความหวัง  ความคิดคำนึงร้อยพัน  ล้วนถูกความจริงประโยคนี้เฉือนทิ้งเป็นเศษผง  พลิกเปิดเรื่องราวให้กลายเป็นโฉมหน้าของความเป็นจริง  ในที่สุดก็ไม่อาจหลบหนีอีกต่อไป

ฉีเซี่ยงหยวนคล้ายกลายเป็นรูปสลักศิลา  หากเป็นรูปสลักศิลาจริงๆคงไม่รู้สึกรู้สา  น่าเสียดายที่ฉีเซี่ยงหยวนในตอนนี้รู้สึกแต่ความเจ็บปวด  เรียวปากเผยอขึ้น  คล้ายมีเสียงหัวเราะลอดออกมาเบาๆอย่างขมขื่น  เขาคาดเดาถูกอีกแล้ว  แต่ในความเป็นจริงฉีเซี่ยงหยวนกลับหวังว่าตัวเองจะคาดเดาผิดพลาด  เหลียนอันสุ่ยยังคงเป็นเหลียนอันสุ่ย  สายตาของท่านที่แท้มองไปถึงไหนแล้ว  เขาคิดไม่ผิดจริงๆ  ถ้าไม่ใช้แผนการเขาไม่มีทางได้คนผู้นี้มา  เพราะคำว่า ‘อนาคต’ ในหัวใจของอีกฝ่าย...ไม่เคยมีเขา
“ทำไมท่านไม่ให้โอกาสตัวเอง  ไม่ให้โอกาสเรื่องของเรา  หรือท่านไม่รู้สึก...ว่าที่เป็นอยู่เช่นนี้ดีมากหรอกหรือ”
เสียงทุ้มที่ข้างหูคล้ายเสียงโน้มน้าวของปีศาจร้าย  ชักจูงให้เหลียนอันสุ่ยขบคิดถึงความสุขทุกความสุขที่พวกเขาผ่านมันมาด้วยกัน 
‘ข้าเพียงรู้สึกว่า...มีท่านอยู่ข้างๆเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน’
ลมหายใจของพระมาตุลาแคว้นเหลียนทอดสับสน  พึมพำว่า
“ไม่ได้  มันไม่...ไม่ถูกต้อง  ท่านทำเช่นนี้มีแต่หลอกตัวเอง...”

“หลอกตัวเองอันใด  สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น  ขอเพียงท่านพูดให้เหลียนจิ้งเต๋อเข้าใจก็พอ  สายตาคนอื่นข้าไม่เคยสนใจและไม่มีความสำคัญ  พวกเขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินเรา  ความรักไม่ใช่ความผิด    หรือแค่ข้ารักท่านก็ผิดด้วย ? ” เสียงจริงจังของฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆสะท้อนก้องเข้าไปในใจของเหลียนอันสุ่ยทีละคำ  ทีละคำ
“มันผิด  ท่านไม่สมควรรักข้า  ท่านจะรักข้าไม่ได้...”
“แต่ข้ารักไปแล้ว” ฉีเซี่ยงหยวนตัดบท  ไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายพูดต่อ
ดวงตาคู่งามของเหลียนอันสุ่ยสับสน  กลอกไปมาไม่หยุด  คล้ายพยายามหาเหตุผลมาคัดง้าง

ฉีเซี่ยงหยวนจูบเบาๆลงบนเรือนผมเงางาม  ดวงตาก็เงาวาวเช่นกัน  ในนั้นมีประกายแน่วแน่  เหลียนอันสุ่ยถูกเขากล่อมจนมึนงง  น้ำเสียงมีเค้ารางของความหวั่นไหว  ขอแค่อีกฝ่ายมีความหวั่นไหวแม้เพียงเล็กน้อย  ขอแค่ฐานความคิดที่มั่นคงเสมอมามีร่องรอยของช่องโหว่  เขาก็มีหนทางเปลี่ยนความคิดของพระมาตุลาแคว้นเหลียน

ใช่แล้ว  เวลาหลายเดือนนั่นสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นความจริง  ต่อให้เหลียนอันสุ่ยมีสายตากระจ่างชัดกว่านี้ก็ไม่มีทางลบมันหายไปได้
======
เห็นมีคนถามว่าแต่งนิยายเรื่องอื่นรึเปล่า  คำตอบคือแค่เรื่องเดียวก็จะเอาตัวไม่รอดแล้วจ้า TT-TT


ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
ชอบอ่า ยาวดีจัง ความรักต่างเมืองอีก
ต้าอ๋องรักพระมาตุลามากเลยนะ อย่าเสียสละรักนี้ให้กับคำคนเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mkyok5

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :L1: :L1: :L1:  ชอบมากคะเป็นกำลังใจให้นะคะ :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
แอบแว้บไปอ่านในเด็กดีมมแต่ก็แวะมาให้กำลังใจในนี้ด้วยค่ะ


 :pig4: :L1: :3123:

ออฟไลน์ zazoi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 970
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-1
ชอบเรื่องนี้มากค่า ตอนนี้สงสัยว่าจะเป็นแผนบีบให้ยอมมาเป็นพระชายาหรือเปล่าเนี่ย

รอตอนต่อไปค่า

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 49
«ตอบ #133 เมื่อ01-10-2014 23:35:19 »


บทที่ 49 ภัยร้ายจากถ้วยน้ำชา

“ท่านพ่อ  ท่านไม่ไปตำหนักเยี่ยอวิ๋นแล้วหรือ  จิ้งเอ๋อไปตามหาท่านที่นั่นไม่เจอ  ดีที่นึกขึ้นได้ว่าท่านพ่ออาจจะกลับตำหนักเสียงวสันต์เลยแวะมาดู”
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมาจากกระดานหมาก  เห็นบุตรชายไม่เพียงไม่สนใจกระดานทั้งๆที่เป็นตาของตัวเองยังเอาคางพังพาบกับพื้นโต๊ะเสียอย่างนั้น  จึงขมวดคิ้ว  พูดว่า
“เจ้าเข้ามาก็ท้าพ่อเดินหมาก  แต่ตอนนี้กลับไม่เดิน  คนเราทำการณ์อันใดถ้ามีความมุ่งมั่นไม่ตลอด  งานก็ยากจะสำเร็จ  เจ้ามีความมุ่งมั่นเป็นพักๆเช่นนี้  ช่างใช้ไม่ได้”

ได้ยินบิดาตำหนิ  เหลียนจิ้งเต๋อก็ทำหน้ามุ่ย 
“ถ้าข้าเล่นชนะก็คงตั้งใจเล่นหรอก  ความจริงข้าคิดจะให้ท่านพ่อสอนข้าต่างหาก  พักนี้ไม่รู้เป็นอะไรเล่นกับใครก็แพ้  ข้าเล่นกับองค์รัชทายาทไม่เคยชนะซักตา  ครั้งก่อนเล่นกับพ่อบุญธรรมตอนแรกเหมือนจะเสมอ  สุดท้ายกลับแพ้อีก  เล่นกับท่านพ่อ  ถ้าท่านไม่ต่อให้ข้าก็แพ้  ขนาดเล่นกับพี่อิ๋งฮวาพี่เยี่ยนจื่อพวกนางยังเอาแต่ต่อให้ข้า  เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อว่าข้าจะมีสามารถเอาชนะพวกนางได้  เฮ้อ  ตอนแรกข้าได้ยินว่าปรกติว่างๆท่านพ่อกับพ่อบุญธรรมชอบเดินหมากกัน  คิดจะท้าให้พ่อบุญธรรมเล่นหมากกับข้า  ถ้าข้าชนะจะให้เขาสอนดาบสองมือให้ข้าต่อ  ที่ไหนได้  ดูจากฝีมือข้าตอนนี้...คงแพ้อีกแหงๆ” เหลียนจิ้งเต๋อบ่นออกมายาวเหยียดด้วยสีหน้าท้อแท้ห่อเหี่ยว

ไม่มีใครรู้ว่าประโยค ‘ได้ยินว่าปรกติว่างๆท่านพ่อกับพ่อบุญธรรม...’ สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับเหลียนอันสุ่ยมากเพียงใด  ดีที่เนื้อความตอนจบมิได้เป็นอย่างที่หวาดกลัว  รู้สึกคล้ายมีบางอย่างขมวดเกร็งในท้อง  ระบายลมหายใจไม่สะดวก  กำมือเข้าหากันแน่น  เหลียนจิ้งเต๋อพูดคำว่าพ่อบุญธรรมทีก็คล้ายกระแทกเข้าไปในใจของเหลียนอันสุ่ยที  คิดไม่ถึงว่าหลบหนีมาถึงที่นี่ตัวตนของอีกฝ่ายก็ยังตามรังควานเขาไม่เลิกรา 

อันที่จริงที่เหลียนอันสุ่ยหลบมาอยู่ตำหนักชุนเกอเป็นเพราะไม่ต้องการฟังคำโน้มน้าวของบุรุษชาวเป่ยชางผู้นั้น  ตั้งแต่กลับมาอารมณ์ของเขาก็ไม่นิ่ง  เดี๋ยวตึงเครียด  เดี๋ยวเหม่อลอย  เดี๋ยวกระสับกระส่ายหวาดกลัว  ความคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ...

 เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก  กดข่มความหวาดหวั่นในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงลงไป  กล่าวกับบุตรชายว่า
“เขาไม่เต็มใจสอนให้  เจ้าก็อย่าไปรบกวนเขาเลย  เดี๋ยวพ่อหาอาจารย์ดาบสองมือให้กับเจ้าเอง”

เหลียนจิ้งเต๋อโบกไม้โบกมือปฏิเสธ  กล่าวว่า
“พ่อบุญธรรมไม่ได้ไม่เต็มใจสอนให้ข้า  เขาเพียงแต่มีงานมากเกินไป  ข้าเลยกำลังหาหนทางดึงความสนใจของเขามาอยู่  อีกอย่างจะหาคนมีฝีมือพอๆกับพ่อบุญธรรมเป็นเรื่องยาก  แถมข้าเรียนกับพ่อบุญธรรมได้ครึ่งทางแล้ว  ถ้าไปเรียนกับอาจารย์คนอื่นอาจต้องเริ่มใหม่อีก” เหลียนจิ้งเต๋อแจงเหตุผลสารพัน  แค่ฟังเหลียนอันสุ่ยก็ทราบแล้วว่าเจ้าตัวปักใจจะเรียนวิชาดาบสองมือกับพ่อบุญธรรมให้ได้  มือที่กำอยู่ของเหลียนอันสุ่ยกำแน่นกว่าเดิม
“เจ้า...ชอบพ่อบุญธรรมขนาดนี้เลยหรือ”
เหลียนจิ้งเต๋อกระแอม  เลียนเสียงอาจารย์วิชาจริยธรรมทำท่าเป็นจริงเป็นจังกล่าวว่า
“แบบนี้มิได้เรียกว่า ‘ชอบ’  เรียกว่า ‘เลื่อมใส’ ...ข้าคิดออกแล้ว  เดินหมากนี่ไม่ต้องฝึกหรอก  ใช้วิธีอื่นดีกว่า” ประโยคตอนท้ายกล่าวอย่างลิงโลด  กลับคืนสู่ความเป็น ‘เหลียนจิ้งเต๋อ’ ขนานแท้  มือกวาดเม็ดหมากเข้ามา  กอบใส่กระปุกเคลือบ  เสียงเม็ดหมากกระทบกระปุกเคลือบกลับทำให้เหลียนอันสุ่ยมือสั่นระริก

เสียงอันคุ้นเคย  เหลียนจิ้งเต๋อพูดไม่ผิด  พวกเขามักเดินหมากกัน  จำได้ว่าหมากกระดานแรกของเขากับฉีเซี่ยงหยวนเดินที่แคว้นเหลียน  ในวันเดียวกับที่เขาพบว่าตัวเอง...เริ่มหวั่นไหว
เรื่องราวเหล่านั้นคล้ายห่างไกลเหลือเกิน  แต่ก็แจ่มชัดไม่จางหาย  เข้าใจว่าตัวเองน่าจะลืมเลือนไปแล้ว  แต่กลับยังคงจดจำได้ดีอยู่  รักคนผู้หนึ่งที่แท้ยากลำบากถึงเพียงนี้  คิดลืมคนผู้หนึ่งยากลำบากยิ่งกว่า  ความจริงตั้งแต่คืนนั้นที่เขาพบว่าตัวเองหวั่นไหวก็สมควรตัดความรู้สึกที่ไม่มีทางเป็นไปได้นั้นทิ้งไปเสีย  ตัดตั้งแต่ตอนนั้นอาจบางทีไม่เจ็บปวดเท่านี้  แต่ว่า...ตัดตั้งแต่ตอนนั้น  เหลียนอันสุ่ย  เจ้ายินยอมพร้อมใจหรือ ?
คำถามไม่มีคำตอบ  มีแต่ภาพความทรงจำที่โถมซัดเข้ามา

ถ้าตัดตั้งแต่ตอนนั้น  จะไม่มีคนสองคนที่ควบม้ากวดไล่กันไปตลอดเส้นทางของสายน้ำอันยาวเหยียดที่มีนามว่าเหอสุ่ย
ถ้าตัดตั้งแต่ตอนนั้น  คืนที่เมืองอู๋เล่ยจะไม่มีผู้ชายคนหนึ่งที่เปิดเผยความอ่อนแอของตัวเองออกมา  พวกเราคงได้แต่เสแสร้งทำเป็นเข้มแข็งต่อไป  โดยไม่มีใครเข้าใจพวกเราอย่างแท้จริง
ถ้าตัดตั้งแต่ตอนนั้น  จะไม่มีฤดูเหมันต์อันน่าจดจำตลอดหลายเดือนที่แท้จริงควรหนาวเหน็บ
ถ้าตัดตั้งแต่ตอนนั้น  หมากกระดานหนึ่ง  คำพูดปรัชญากองหนึ่ง  กับห้วงอดีตทั้งหมดของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง  คงถูกกองรวมไว้แค่ในห้วงคำนึง
ยินยอมพร้อมใจแน่หรือ ?

“ท่านพ่อ  เย็นนี้เชิญท่านพ่อบุญธรรมมากินข้าวด้วยกันดีรึเปล่า  เชิญองค์รัชทายาทด้วย  ทีนี้ก็สี่คนพร้อมหน้า  ข้าชอบแบบนั้นที่สุดเลย”
เหลียนอันสุ่ยสะท้านตื่นจากห้วงคิด ทวนคำเสียงเบาว่า
“กินข้าวด้วยกัน...”
“ใช่แล้ว  ถ้าเป็นท่านเชิญ  บอกว่าจะทำอาหารชาวเหลียนให้กิน  รับรองว่าพ่อบุญธรรมต่อให้งานยุ่งแค่ไหนก็ไม่ปฏิเสธแน่  ครั้งที่แล้วเขายังชมว่าอาหารตำหนักเราอร่อยอยู่เลย  ทีนี้ข้าก็จะได้โอกาสขอให้เขาสอนดาบสองมือ...” เหลียนจิ้งเต๋อวาดฝันเอาไว้อย่างสวยงาม  ตามตรรรกะของเขาคิดจะให้ผู้อื่นทำอะไรให้  ประการแรกต้องให้คนผู้นั้นอารมณ์ดีก่อน  คนอารมณ์ดีจะเปลี่ยนเป็นมีจิตใจกว้างขวางขึ้นมาก  ประจบเอาใจเรียบร้อยจึงค่อยร้องขอ  เช่นนี้จึงเป็นแนวทาง ‘รบร้อยครั้ง  ชนะร้อยครา’

เหลียนอันสุ่ยมองบุตรชายเท้าคางวาดความคิด  สีหน้าคล้ายสะเทือนใจอย่างมากแต่ไม่ยินยอมแสดงออก  เหลียนอันสุ่ยทราบว่าคำชมอาหารอร่อยบางทีอาจเป็นแค่คำพูดไปอย่างนั้นเพื่อหาโอกาสแวะมาของฉีเซี่ยงหยวน  ใช่  ต่อให้งานยุ่งแค่ไหน  คนผู้นั้นก็จะหาโอกาสแวะมาอยู่เสมอ
...สี่คนพร้อมหน้า...
ครอบครัวบิดเบี้ยวเช่นนี้น่ะหรือ
...ข้าชอบแบบนั้นที่สุดเลย...
...พวกเขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินเรา...
ลมหายใจปั่นป่วนวุ่นวาย  สิ่งที่เข้าใจว่าไตรตรองดีแล้วฟุ้งกระจายขึ้นมาอีกครา  ไตร่ตรองดีแล้วแน่หรือ  ทางที่เขาเลือกถูกต้องจริงหรือ
...ทำไมท่านไม่ให้โอกาสตัวเอง  ไม่ให้โอกาสเรื่องของเรา...
“ท่านพ่อ  ข้าจะให้คนไปบอกพ่อบุญธรรมนะ  ตกลงตามนี้  ท่านให้คนจัดอาหารเพิ่มอีกซักสี่อย่าง  คัดอันที่อร่อยเป็นพิเศษ  กับเรื่องนี้ข้าต้องพึ่งท่านแล้ว” เหลียนจิ้งเต๋อรีบเข้ามากุมมือบิดาอย่างขอความร่วมมือ  ไม่ทันได้สังเกตว่ามืออีกฝ่ายสั่นระริกก็คลายมือออก  ผละจากไปอย่างร่าเริง 
ใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐานวัดแล้วเหลียนจิ้งเต๋อเห็นว่าอาหารหลายจานปานนี้ต้องทำให้พ่อบุญธรรมพอใจเป็นอย่างมาก  แผนการนี้นับว่าหมดจดรอบคอบมีประสิทธิภาพยิ่ง

เหลียนอันสุ่ยมองตามเงาหลังของบุตรชาย  ใบหน้าสั่นกระตุกราวหน้ากากเรียบเฉยที่สวมไว้กำลังจะพังทลายลงมา  เหลียนจิ้งเต๋อยังคงไม่ทราบ  ทุกๆวันของเด็กคนนั้นยังคงสดใสและสวยงาม  เขาสมควรทำอย่างไรดี
เหลียนอันสุ่ยเอนหลังพิงพนักเก้าอี้  นิ้วมือเรียวยาวลูบไปตามร่องของกระดานหมาก  ทราบดีว่าชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางหาฉีเซี่ยงหยวนคนที่สองได้อีก  ฉีเซี่ยงหยวนมีเพียงคนเดียว  และหัวใจของเขาก็ไม่อาจรองรับใครอื่น
ทุกช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันช่างล้ำค่าถึงเพียงนั้น  เหลียนอันสุ่ยเก็บถนอมเอาไว้ในหัวใจอย่างระมัดระวังเสมอมา  เพราะทราบดีว่าความสุขเช่นนี้ไม่ยืนยาว 
เพียรย้ำกับตัวเองเสมอว่าอย่าโลภมาก  ความรักที่คาดหวังมากเกินไปสุดท้ายจะเป็นเช่นเดียวกับหลันเซียง  ทุรนทุรายไม่ยินยอมปล่อยมือ  แต่สุดท้ายก็กอบกุมไว้ได้แค่ความเจ็บปวด  ชีวิตคนเป็นสิ่งที่ยาวไกลนัก  ความรักมีจืดจาง  เสน่หามีห่างเหิน  คนที่รักที่สุดไม่จำเป็นต้องได้มาเดินร่วมทางกันเสมอไป  ชีวิตคนเรามีสิ่งอื่น  มีเงื่อนไขร้อยพันที่ผูกมัดจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตา  เขามีทางเดินของเขาในฐานะพระมาตุลาแคว้นเหลียนและบิดาของเด็กคนหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนก็มีทางเดินของตัวเองในฐานะต้าอ๋องแคว้นเป่ยชาง  การที่มีช่วงเวลาหนึ่งที่ทางเดินนั้นมาบรรจบกันก็สมควรพอใจได้แล้ว

อย่าโลภมาก

น่าเสียดายที่ความสุขเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงให้ความโลภเติบโตขึ้นในใจคนได้อย่างง่ายดายที่สุด
‘ข้ารักท่าน’  คำๆนี้ยิ่งต่อเติมความหวังให้ขยายตัวออกไป  ชัดเจนเหลือเกินว่าในหัวใจของเขา...
ไม่อยากปล่อยมือ
จะมีซักครั้งได้หรือไม่ที่จะขอทำตามหัวใจของตัวเอง  จะมีซักครั้งได้หรือไม่ที่จะปล่อยให้ความโลภเติบโตกลืนกิน 
...ให้โอกาสความรักของเรา...
ใช่แล้ว  ให้โอกาสความรักของเรา  บางทีเรื่องทั้งหมดอาจไม่จำเป็นต้องมีบทสรุปที่เลวร้ายอย่างที่คิด  บางทีเรื่องทั้งหมดอาจมีหนทางของมัน  บางทีพวกเราสี่คนอาจสามารถเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’
เหลียนอันสุ่ยตัดสินใจในตอนนั้นว่าเขาจะต้องหาเวลาพูดคุยกับเหลียนจิ้งเต๋อ
  ---------------------
ห้องทำงานของหลี่กวงเว่ย
จางจื่อหยู ขุนนางเก่าแก่แห่งราชสำนักพูดคุยกับเจ้าของห้องมาตั้งแต่เช้า  จนตอนนี้ล่วงเข้าบ่ายแก่  แสงอาทิตย์จัดจ้านอยู่เหนือช่องหน้าต่างบานใหญ่  ข่าวที่กระเพื่อมไหวไม่หยุดรอบนอกในที่สุดก็ผลักดันในบรรดาคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวนหันหน้าเข้าหากัน  ปรึกษาหารือเกี่ยวกับแนวทางที่จะเป็นไป  ในทั้งหมดต้องนับใต้เท้าจางมีความกระตือรือร้นเดือดร้อนกับเรื่องราวมากที่สุด  เดือดร้อนจนมู่ซางเอาไปค่อนขอดลับหลังว่า ‘ทำราวกับเป็นข่าวฉาวของตัวเอง’

ส่วนหลี่กวงเว่ยยังคงเยือกเย็นอย่างยิ่ง  เก็บเกี่ยวผลจากสิ่งที่หว่านออกไปแล้วอย่างละเอียดรอบคอบ  การประชุมครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวานนี้  ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าวิธีระงับข่าวเรื่องความสัมพันธ์คลุมเครือระหว่างพระมาตุลากับต้าอ๋องที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือแต่งตั้งพระชายา  กระทั่งตัวฉีเซี่ยงหยวนเองก็ไม่อาจหาวิธีที่ดีกว่านี้มาคัดง้าง  คำถามถัดมาจึงเป็น...ใคร?  ใครควรจะเป็นตัวเลือกนี้  รายชื่อของสตรีที่มีคุณสมบัติเหมาะสมถูกวางทาบเปรียบเทียบกัน  แต่จนสิ้นสุดการประชุมยังคงมิได้ข้อยุติจากปากนายเหนือหัว

“สวรรค์  ใต้เท้าจาง  นี่ท่านยังอยู่อีกหรือ” มู่ซางเปิดประตูเข้ามาพลางร้องอุทาน  ยกมือกุมหน้าผากคล้ายไม่อาจตัดสินใจว่าจะเข้าไปดีหรือไม่เข้าไปดี
จางจื่อหยูหางคิ้วกระตุก  กล่าวเสียงแข็งว่า
“ข้าอยู่แล้วจะทำไม” จากนั้นหันไปกล่าวกับหลี่กวงเว่ย “ใต้เท้าหลี่ เอาไว้เราค่อยมาหารือกันต่อวันหลัง  เด็กนี่มาทีใด  ข้าเห็นแล้วปวดหัวหนักกว่าเก่า” พูดจบก็รวบกองม้วนไม้ไผ่ขึ้นมา  ผุดลุกขึ้น  เดินสวนออกไป
มู่ซางยักไหล่  เห็นได้ชัดว่าคำค่อนขอดลับหลังของเขาจะดังไปถึงหูเจ้าตัวแล้ว  คิดพลางขยับเท้าก้าวเข้าห้องที่แม้พยายามจัดให้เป็นระเบียบก็ยังดูแคบเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับบรรดางานที่วางกองอยู่บนโต๊ะแต่ละตัว

“ต้าอ๋องยังไม่ยอมตกลงหรือ ? ” มู่ซางเอ่ยถามขึ้น
“จะช้าจะเร็วก็ต้องยอมตกลง  ต้าอ๋องทรงเข้าใจเรื่องผลประโยชน์ต่อภาพรวมเป็นอย่างดี เขาเป็นคนแยกแยะได้” หลี่กวงเว่ยตอบ  หน้ายังไม่เงยจากหนังสือบนโต๊ะ
มู่ซางพิจารณามองอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่งจึงกล่าวว่า
“ท่านนี่เป็นคนเหลือเชื่อจริงๆ  ชิงปรึกษาเรื่ององค์หญิงแคว้นโหยวเฉิงกับบรรดาขุนนางก่อน  ค่อยใช้ขุนนางพวกนั้นมาบีบต้าอ๋อง ทั้งแคว้นเป่ยชางคงมีท่านแต่คนเดียวที่แม้รู้เบื้องหลังทั้งหมดก็ยังกล้าเล่นกับเรื่องนี้  ไม่เพียงมีวิธีการ  ยังทั้งกล้าหาญทั้งรอบคอบ” หลี่กวงเว่ยเป็นคนคิด  ส่วนคนที่เอาข้อเสนอนี้ไปกระจายสู่หูของใต้เท้าทั้งหลายคือจางจื่อหยู  พอข้อเสนอถูกพูดถึงและมีคนเห็นด้วยมากๆเข้าเรื่องนี้ย่อมต้องถูกเสนอขึ้นในที่ประชุม  นับเป็นการยืมมือคนอื่นถวายฎีกาได้อย่างแนบเนียน
 
เพราะหลี่กวงเว่ยมองออกอย่างกระจ่างชัดว่าเรื่องนี้มิใช่ความชอบแต่เป็นหายนะ  ข้อเสนอนี้แม้ดีมาก  แต่ค่าตอบแทนของคนที่เสนอเรื่องคือเป้าระบายโทสะของเป่ยชางอ๋อง  ดังนั้นทางที่ดีคือที่มาของข้อเสนอควรจะคลุมเครือเข้าไว้  ให้บรรดาใต้เท้าที่ไม่รู้อะไรกระหยิ่มยินดีไปเถิดว่าตัวเองคิดเรื่องที่หลักแหลมได้ต้องได้รับการชมเชยอย่างแน่นอน

“ข้าเชื่อมั่นในตัวนายเหนือหัวที่ข้าเลือกจะรับใช้” หลี่กวงเว่ยตอบเรียบๆ
“ก็ถูกต้าอ๋องเป็นคนเข้าใจว่าอะไรคือเรื่องใหญ่  แต่บางครั้งนายเหนือหัวที่ท่านเลือกรับใช้คนนี้ก็หัวแข็งได้อย่างที่ท่านคาดไม่ถึงเชียวล่ะ  นิสัยนี้ข้ารู้ดี  เพราะข้าเองก็เป็น”
ในที่สุดสายตาของหลี่กวงเว่ยก็เหลือบมองมู่ซาง  กล่าวว่า
“ท่านและข้าต่างรู้จักคำว่า ‘แต่งงานแค่ในนาม’  ต้าอ๋องไม่มีทางไม่เข้าใจ”
มู่ซางพลิกๆดูบรรดาเอกสารบนโต๊ะอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ  พลางกล่าวว่า
“หลี่กวงเว่ย  ข้านับถือท่านจริงๆ  ในชีวิตข้ามู่ซางมีอยู่ไม่กี่คนที่ข้ายอมรับ  แต่ท่านเป็นหนึ่งในนั้น  องค์หญิงแคว้นโหยวเฉิงจะทำทุกวิถีทางให้ต้าอ๋องโปรดปรานนาง  รักนาง  เพราะนั่นคือหน้าที่ของนาง  นางต้องกุมหัวใจของต้าอ๋องไว้ให้มั่น  แล้วมันจะเป็นหลักประกันที่จะคุ้มครองนางจากเภทภัยทุกอย่าง  ทำให้นางได้ในทุกสิ่ง  แต่ท่านกล้าเสนอแผนการนี้เพราะท่านรู้ดีว่านางจะไม่มีวันได้ไป...” หยุดอยู่แค่นั้นด้วยสายตามีเลศนัย
คนฟังกลับกล่าวต่อให้ง่ายๆว่า
“เพราะหัวใจของต้าอ๋องเป็นของผู้อื่น  ดังนั้นแผนการนี้จึงปลอดภัยมาก”
หลี่กวงเว่ยทราบดีว่าไม่อาจปิดบังบุคคลตรงหน้าได้  คนที่ชอบมู่ซางแม้มีไม่มาก  แต่เรื่องที่มู่ซางรู้กลับมีมากมายนัก ดังนั้นแทนที่จะดึงดันอมพะนำไป  สู้พูดให้หมดจดเสียทีเดียวจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า  รอบนี้มู่ซางตั้งใจจะมาพิสูจน์ยืนยันข้อสันนิษฐานของตัวเองชัดๆ ถ้ายังพิสูจน์ยืนยันไม่ได้  รับรองไม่ยินยอมปล่อยให้เขาได้อยู่สงบๆ หลี่กวงเว่ยเป็นคนฉลาดเสมอมา  ดังนั้นเวลาผ่านไปเพียงไม่นานก็สามารถกำจัดผู้มาเยือนคนนี้ออกจากห้อง
  ---------------------
มู่ซางได้คำตอบจากหลี่กวงเว่ยแล้ว  ก็เดินเอ้อระเหยไปรบกวนนายเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่ของตัวเองต่อ
ว่ากันตามจริงงานหลักของมู่ซางอยู่ในสนามรบ  ส่วนงานอื่นๆที่สามารถปัดให้พ้นตัวได้  มู่ซางก็หาหนทางจัดการปัดไปให้ผู้อื่นเสีย  จึงนับเป็นคนที่มีเวลาว่างมากที่สุดในบรรดาคนสนิททั้งห้าของฉีเซี่ยงหยวน

ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะยาวตัวหนึ่ง  ในหัวกำลังครุ่นคิดถึงคำว่า ‘แต่งงานแค่ในนาม’ แต่ข้อติดขัดมีมากเกินไป  จึงยังไม่อาจตกลงใจได้  ที่น่าหงุดหงิดคือบรรดาขุนนางที่เร่งรัดจะเอาคำตอบให้ได้  เฮอะ  อาศัยข่าวฟุ้งเล็กน้อยก็เป็นเดือดเป็นร้อนกันจริงเชียว  หวาดกลัวเขาจะเปลี่ยนเป็นชมชอบบุรุษขนาดนี้  ถ้าได้ทราบความจริงทั้งหมดจะไม่กระอักเลือดตายหรือ  คิดถึงตรงนี้มู่ซางก็พอดีเสนอหน้าเข้ามา  ฉีเซี่ยงหยวนเหลือบมองเงาร่างสูงเพรียวของตัวกวนประสาทอันดับหนึ่ง  จากนั้นหันไปด้านข้าง  รินชาดื่มเองโดยไม่สนใจผู้มาใหม่

บนโต๊ะยาวจัดวางฎีกาจำนวนหนึ่งกับรายงานด้านสภาพข่าวสาร  ตรงกลางโต๊ะเป็นม้วนภาพที่ทำจากกระดาษซึ่งไม่ได้พบเห็นบ่อยนักในแคว้นเป่ยชางสามสี่ม้วน  มู่ซางเดินมาถึงก็อดไม่ได้ที่จะต้องชะโงกหน้าเข้าไปดูสักหน่อย  เห็นในม้วนภาพเป็นรูปหญิงสาว  ใต้ภาพมีอักษรเขียนนามกับข้อมูลคร่าวๆกำกับไว้

“ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลบัณฑิตอันดับหนึ่งของแคว้นเป่ยชางอย่างนั้นหรือ...  ได้ยินว่าคนตระกูลนี้ไม่รับราชการ  ไม่มีอำนาจ  ไม่ร่ำรวย  แต่มีเกียรติ  มีชื่อเสียง  มีความรู้  ช่างเป็นตระกูลที่มีคำนิยามอันโอหังนัก” ประโยคสุดท้ายเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกกึ่งๆทึ่ง กึ่งๆหมั่นไส้   ลูบคาง  ทอดถอนใจแล้วกล่าวต่อว่า
“น่าเสียดายที่รุ่นนี้ไม่มีลูกชาย  แต่ก็ถือว่าปิดท้ายอย่างอลังการไม่น้อย  คนพ่อเป็นบัณฑิตที่โด่งดังในรอบร้อยปี  คนลูกเป็นโฉมสะคราญที่เลื่องลือไปทั้งสามแคว้น  ข้าว่านะต้าอ๋อง  เสิ่นชิงอี  ตัวเลือกนี้ไม่เลวทีเดียว  ได้สาวงามแบบไม่ธรรมดามานอนแนบข้างทุกวัน  ถึงตอนนี้ใจของท่านจะไม่ได้อยู่ที่หญิงสาวก็เถอะ”
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วสำลักน้ำชา  หรี่ตามองคนที่แทนที่จะช่วยสะสางปัญหากลับยียวนกวนประสาทไม่เลิก  เขวี้ยงถ้วยชาในมือออกไป  ถ้ามู่ซางไหวตัวไม่ทันหัวคงโดนกระแทกไปแล้วอย่างถนัดถนี่

มู่ซางร้องโวยวาย  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับนวดขมับด้วยความรำคาญ  ตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี  ถ้าจะไม่ช่วยคิดก็ไสหัวไป  บางทีสีหน้าของฉีเซี่ยงหยวนคงแสดงออกอย่างชัดเจนมาก  มู่ซางจึงยกนิ้วขึ้นมากล่าวแจกแจงให้ฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่า
“ต้าอ๋อง  ตอนนี้ข่าวเริ่มจะเลยเถิดไปใหญ่  ถ้าท่านคิดจะช่วยพระมาตุลา  จะต้องแต่งตั้งพระชายา  ตัวเลือกที่น่าสนใจมีทั้งหมดสามตัวเลือก  ตัวเลือกแรกคือเสิ่นชิงอี  ตัวเลือกนี้ถือเป็นคนรู้จักคุ้นเคย  เป็นคนที่เข้าใจท่าน  สามารถเพาะสร้างเป็นความสัมพันธ์อันยั่งยืนต่อกัน...” ถ้วยน้ำชาใบที่สองถูกเขวี้ยงเข้ามาอย่างแม่นยำ  ดีที่มู่ซางตั้งตัวอยู่ก่อนจึงหลบได้ 
คนถูกโจมตีร้องว่า “ทราบแล้วๆ ตอนนี้ท่านมีความรักต่อคนอีกคน  ไม่มีใจมาเพาะสร้างความสัมพันธ์กับนาง  แต่นี่ข้าพูดจริงๆนะ  คนเราไม่จำเป็นต้องรักคนๆเดียวตลอดไป  และข้าเห็นคู่แต่งงานหลายคู่ไม่จำเป็นต้องรักกันดูดดื่มก็สามารถมีวันเวลาดีๆด้วยกันได้ ขอแค่มีความเข้าใจให้เกียรติกันและกันก็พอ  ความรักที่ลึกซึ้งเกินไปเป็นความยึดติดอย่างหนึ่ง  ยึดติดมากๆเข้าก็กระทบกระทั่งกันได้ง่าย”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง  กล่าวถามว่า
“เจ้าไปเอาคำพูดของใครมา”
“อ้าว  ข้าก็พูดเรื่องลึกซึ้งเป็นนะท่านนี่” แต่ฉีเซี่ยงหยวนมีสีหน้าไม่เชื่อถืออย่างเด่นชัด มือใหญ่เอื้อมไปหยิบถ้วยน้ำชาใบที่สาม...  มู่ซางเห็นก็ตาเหลือกร้องว่า
“ข้าจะเข้าเรื่องแล้ว  อะแฮ่ม  ตัวเลือกแรกคือเสิ่นชิงอี  ตัวเลือกนี้ท่านไม่เพียงรู้สึกดีๆกับนาง  นางยังไม่ใช่คนของขั้วอำนาจใด  ถ้าท่านแต่งกับนาง  นางจะเป็นคนเดียวที่เป็นคนของท่านอย่างแท้จริง  การแต่งตั้งนางเป็นอัครชายาจะไม่ทำให้ขั้วอำนาจเสียสมดุลและไม่เพาะสร้างขุมอำนาจใหม่ที่อาจสร้างความปวดหัวให้ในภายภาคหน้า  อีกอย่างคือนางเป็นชาวเป่ยชาง  ดังนั้นจะไม่เปิดโอกาสให้แคว้นอื่นแทรกมือเข้ามายุ่งย่ามกับเรื่องภายในแคว้นเรา” ก้มลงดื่มน้ำชาแก้กระหายอึกหนึ่ง  เหลือบสายตาไว้อาลัยให้กับซากถ้วยชาสองซากที่แตกละเอียดอยู่ที่พื้น  จากนั้นกล่าวต่อว่า

“ตัวเลือกที่สอง  คือธิดาของใต้เท้าต้วน  คุณหนูต้วนคนนี้ก็เป็นชาวเป่ยชางโดยกำเนิด  ดังนั้นจึงมีข้อดีที่กันอำนาจของแคว้นอื่นออกไปไกลๆเช่นกัน  เพียงแต่การแต่งตั้งนางจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนตระกูลต้วนสามารถยุ่งวุ่นวายกับราชสำนักแทน  ตระกูลต้วนเป็นตระกูลใหญ่  ประมุขตระกูลเป็นใต้เท้าตำแหน่งใหญ่โต  มีแม่ทัพที่กุมกำลังทหาร  ร่ำรวยไม่ธรรมดา  สามารถช่วยงานพวกเราได้มาก  แต่การเพิ่มอำนาจให้พวกเขาก็เป็นเรื่องอันตราย  ดีไม่ดีจะกลายเป็นตระกูลสือตระกูลที่สอง” ตั้งแต่ฉีเซี่ยงหยวนกวาดล้างตระกูลสือไปตอนองค์ชายรองคิดกบฏ  บรรดาตระกูลน้อยใหญ่ทั้งหลายก็มุ่งหวังจะเข้าแทนที่อำนาจคนตระกูลสือ  กลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งรองลงมาจากเชื้อพระวงศ์สืบแทน  เฮอะ  คิดเป็นเช่นตระกูลสือหรือไม่กลัวจะลงเอยเช่นเดียวกัน
“ตัวเลือกที่สาม  คือองค์หญิงแคว้นโหยวเฉิง  ถ้าท่านเลือกตัวเลือกแรกตู้ฮูหยินจะพอใจ  ถ้าท่านเลือกตัวเลือกที่สองใต้เท้าต้วนจื้อผิงก็คงหัวเราะอย่างอิ่มเอม  แต่ถ้าท่านเลือกตัวเลือกที่สามหลี่กวงเว่ยคงยินดีนัก...” มู่ซางไม่ทันเห็นสีหน้าที่มืดทะมึนลงของฉีเซี่ยงหยวน  หลี่กวงเว่ย  ดี  ดีมาก  เขาควานหาตัวบัดซบที่เสนอแผนการนี้อยู่เป็นนานให้ที่สุดก็หาตัวได้แล้ว  พวกบรรดาคนสนิทของเขาที่ช่วยกันปกปิดก็ต้องโดนด้วยอย่างครบถ้วนเช่นกัน 

คนสาธยายไม่ทันสังเกตว่าตัวเองตอแยเภทภัยครั้งใหญ่ให้กับผู้อื่นแล้ว...หรือบางทีอาจจะแค่เป็นความจงใจที่ไม่ต้องการเห็นโลกหล้าสงบสุขจนเกินไป  ยังคงก้มหน้าสาธยายต่อ
“...องค์หญิงแคว้นโหยวเฉิงเอ่ยถึงศักดิ์ฐานะนับว่าอยู่สูงกว่าตัวเลือกทุกคนก่อนหน้านี้  แต่งตั้งนางเป็นการสร้างไมตรีระหว่างสองแคว้น เพียงแต่ก็เป็นการเปิดโอกาสให้แคว้นโหยวเฉิงสอดมือเข้ามาได้  ในทางกลับกันพวกเราเองก็สามารถอาศัยความใกล้ชิดนี้สอดมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องราวภายในของแคว้นโหยวเฉิงเช่นกัน  ถ้าคิดกลืนสามแคว้นเป็นหนึ่งนี่เป็นตัวเลือกที่ดียิ่ง  ถ้าสุดท้ายท่านยึดแคว้นโหยวเฉิงมาเป็นของเราได้  ลูกชายของท่านที่เป็นส่วนผสมระหว่างสองแคว้นจะทำให้ชาวโหยวเฉิงยอมรับผู้ปกครองใหม่ได้ง่ายขึ้น  แหม  ใต้เท้าหลี่นี่อัจฉริยะตัวจริงแผนการเช่นนี้ยังคิดออกมาได้”

ใช่  แผนการเช่นนี้ยังคิดออกมาได้!  มือของฉีเซี่ยงหยวนกุมที่เท้าแขนเก้าอี้แน่นจนเห็นเป็นเส้นเขียว
 มู่ซางเงยหน้าขึ้นมาสรุปราวกับพ่อค้ารายใหญ่หลังแจกแจงคุณภาพสินค้าว่า
“สำหรับตัวเลือกอื่นข้าตัดทิ้งไปให้แก่ท่านแล้ว  เพราะทราบว่าแค่แต่งตั้งคนเดียวท่านก็กล้ำกลืนจะแย่  เพียงแต่ถ้าจะแต่งตั้งตำแหน่งเดียวตำแหน่งนี้ต้องเป็นอัครชายา  บรรดาตัวเลือกที่ข้าไม่ได้เอ่ยถึงล้วนให้ประโยชน์น้อยกว่าสามตัวเลือกนั้นอย่างเทียบกันไม่ติด  ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปขบคิดแล้ว”
---------------------
วันต่อมาขุนนางผู้ช่วยของหลี่กวงเว่ยเดินเท้าเข้ามาถึงห้องทำงานก็ต้องสะดุ้งโหยง  นั่นมันอะไรกัน  เขาดูผิดไปใช่ไหม  ม้วนไม้ไผ่ที่กองเต็มจากโต๊ะจนถึงคางสองโต๊ะนั่นมาจากไหน ! 
หลี่กวงเว่ยที่ทำงานอย่างสงบอยู่ด้านข้างเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงอุทานของลูกน้อง  อธิบายด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบว่า
“ไม่ต้องตกใจ  แค่การเอาคืนของคนบางคนน่ะ”  เสร็จแล้วก็ชี้โต๊ะประจำตัวของผู้ช่วยคนนั้นเป็นความหมายให้ไปนั่งแล้วเริ่มทำงาน
ขุนนางผู้ช่วยผู้นั้นดันขากรรไกรล่างที่อ้าค้างกลับเข้าที่  เดินไปที่โต๊ะตัวเองด้วยฝีเท้าที่ไม่ค่อยมั่นคง  เลื่อนเก้าอี้ด้วยมือที่สั่นระริก  ปรกติงานของฝ่ายเขาก็มากจนต้องสะสางถึงดึกไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันอยู่แล้ว  แต่ไม่เคยถึงขั้นกองสูงเท่าคางสองโต๊ะเต็มมาก่อน  นี่เป็นการแก้แค้นของผู้ใดกัน  ช่างโหดเหี้ยมอำมหิตนัก  อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา  มองภูเขาสูงสองลูกนั้น  เริ่มต้นลงมือทำงาน
ช่างเป็นภูเขาสูงชะโงกเงื้อมที่ยากข้ามผ่านอย่างแท้จริง
---------------------
ผู้ประสบเคราะห์ภัยแผ่ขยายเป็นวงกว้าง  หลายคนคล้ายจู่ๆงานอันหนักหน่วงก็งอกขึ้นมาจนล้นมือ  งานที่เคยกระจายอย่างสมดุลถ่ายเทไปทางเดียว  บางฎีกาถวายขึ้นไปแล้ว ฉีเซี่ยงหยวนอ่านดูก็เห็นว่าไม่จำเป็นต้องแก้แล้ว  แต่เมื่อเห็นชื่อคนที่ส่งขึ้นมา  กะนับเวลาว่ายังไม่เร่งด่วนมากนัก  ก็จัดส่งลงไปให้แก้ไขใหม่  แก้ครั้งที่หนึ่งไม่พอใจ  ครั้งที่สองแก้อีก  แก้ไปแก้มาสุดท้ายกลับได้ฎีกาฉบับเดิม  นี่มันเป็นเรื่องราวใดกัน ? 

ขุนนางอยากร้องไห้มีมากมาย  แต่ขุนนางเอ่ยประท้วงกลับไม่มีแม้แต่คนเดียว  เพราะทุกคนที่โดนเช่นนี้ล้วนทราบดีแก่ใจว่าเคยสุมหัวประกอบเรื่องราวใดไว้  เหลียวไปทางซ้ายเห็นภูเขางานในห้องของหลี่กวงเว่ย  เหลียวไปทางขวามองหน้ากันเข้าใจซึ้งกระจ่าง  ฉีเซี่ยงหยวนเคยลั่นวาจาไว้กับเหล่าคนสนิททั้งหลายอย่างชัดเจนแล้วว่าถ้ารู้ว่าใครเสนอเรื่ององค์หญิงแคว้นโหยวเฉิงขึ้นมาจะจัดการเรียงตัว  ถ้ามีคนปกปิดให้ก็จะจัดการเรียงตัวเช่นกัน  แผนการใหญ่ที่เกี่ยวกับต้าอ๋องอย่างเข้มข้นเช่นนี้เสนอเข้าที่ประชุมโดยไม่รายงานก่อนถือเป็นความผิดมหันต์  รู้ทั้งรู้ว่าฉีเซี่ยงหยวนเกลียดการบีบบังคับแต่งงานก็ยังอาจหาญเสนอขึ้นไปยิ่งเป็นความผิดมหันต์  ถ้ามีเวลาว่างขนาดสามารถสุมหัวกันคิดแผนการออกมาเป็นขั้นเป็นตอนขนาดนี้ลับหลังเขาได้ก็ทำงานชดใช้ความผิดไปเถอะ!
ส่วนมู่ซางคนที่ตอแยเคราะห์ภัยให้กับเหล่าเพื่อนฝูง  คิดไม่ถึงการชิงบอกมิได้สร้างความดีความชอบใด  ฉีเซี่ยงหยวนยังคงไม่ได้ละเว้นเขา  เวลาว่างทั้งหมดของมู่ซางจึงถูกลบหายไปด้วยประการฉะนี้  สรุปคือรู้ดีแต่ไม่รู้จักรายงานก่อนฉีเซี่ยงหยวนก็นับเป็นความผิดเช่นกัน
เป็นเวลาหลายวันที่จะได้เห็นผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นทำงานกันจนตาเหลือก  เมื่อดำเนินไปจนจบครบวันที่สามทัณฑ์ทรมานเช่นนี้จึงค่อยสิ้นสุดยุติ

lookfa

  • บุคคลทั่วไป
55555สมน้ำหน้า  ยุให้แต่งตั้งชายาดีนัก  :hao3:

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 50
«ตอบ #135 เมื่อ03-10-2014 23:08:28 »


บทที่ 50 เรื่องชกต่อยของเด็ก เรื่องปิดบังของผู้ใหญ่(1)

วันนี้เหลียนจิ้งเต๋อกลับถึงตำหนักชุนเกอตั้งแต่หัววัน จากเด็กที่ร่าเริงสดใสกลายเป็นเด็กที่บูดบึ้งไม่ยอมพูดคุยกับใคร  บ่าวรับใช้ที่เดินตามมาตัวลีบเท้าเหยียบตำหนักก็คุกเข่าลงกับพื้น  รายงานตะกุกตะกักต่อเหลียนอันสุ่ยว่า วันนี้คุณชายน้อยมีเรื่องทะเลาะผิดใจถึงขั้นลงไม้ลงมือกับสหายที่สำนักศึกษา  ส่วนสาเหตุไม่ว่าอาจารย์จะถามอย่างไรก็ไม่ยอมตอบ 

เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ตำหนิบ่าวรับใช้ผู้นั้น  เพียงเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ  อันที่จริงตั้งแต่เห็นหน้าบุตรชายเหลียนอันสุ่ยก็ทราบแล้วว่าอีกฝ่ายมีเรื่องชกต่อยมา  เพราะบนใบหน้าขาวผ่องอ่อนเยาว์มีรอยเขียวช้ำอันเป็นหลักฐานมัดตัวแปะหราอยู่อย่างเด่นชัด

ปรกติเหลียนจิ้งเต๋อกับองค์รัชทายาทจะมีพระอาจารย์มาถวายการสอนถึงภายในวังเนื่องจากเป็นบุตรบุญธรรมของเป่ยชางอ๋อง  แต่มีบางวิชาจะไปร่ำเรียนร่วมกับเพื่อนที่สำนักศึกษาหลวง  ที่ทำเช่นนี้เพราะฉีเซี่ยงหยวนมีความเห็นว่าเด็กควรรู้จักการสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น  และควรมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันบ้าง  ซึ่งเหลียนจิ้งเต๋อในวันปกติก็จะกลับมาด้วยสีหน้าแช่มชื่นเบิกบาน  เพราะไม่ว่าเบื้องหลังจะมีหลักการลึกซึ้งใด  สำหรับเหลียนจิ้งเต๋อการไปเรียนที่สำนักศึกษาคือการได้เล่นกับเพื่อนกลุ่มใหญ่และได้ออกไปเที่ยวนอกเขตวัง  จึงนับเป็นสองวันในสัปดาห์ที่เฝ้ารอคอย 

แต่วันนี้เหลียนจิ้งเต๋อกลับหอบเอาใบหน้าหงุดหงิดเต็มกำลังกลับมาที่ตำหนัก  บ่าวไพร่ที่พบเห็นล้วนหันไปมองหน้ากันด้วยความมึนงงกับเหตุการณ์ประหลาดที่นานทีปีหนจะเกิดขึ้น
---------------------
ในห้องของเหลียนจิ้งเต๋อ  เหลียนอันสุ่ยกำลังห่อตัวยาที่ใช้ประคบบาดแผลฟกช้ำใส่ผ้าสีขาวผืนบาง  ส่วนเจ้าของห้องนั่งหน้าบึ้งกอดอกไม่พูดไม่คุยอยู่อีกฟาก
เหลียนอันสุ่ยห่อตัวยาสำหรับใช้ประคบเรียบร้อย  ก็เหลือบสายตามองบุตรชาย  เห็นอีกฝ่ายยังไม่ใจเย็นลงก็ไม่ได้พูดอะไร  แต่เหลียนจิ้งเต๋อเสียอีกที่ทนเงียบมานานทั้งๆที่ข้างในเดือดเป็นฟืนเป็นไฟพอเห็นว่าห้องมีแต่ท่านพ่อ  ก็พูดขึ้นมาเสียงห้วน
“ท่านจะตักเตือนข้าเรื่องอย่าใช้กำลังแก้ปัญหาใช่รึเปล่า”
เห็นบุตรชายเชิดปากสูง  สีหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจคล้ายระเบิดที่รอเวลาปะทุ  เหลียนอันสุ่ยก็ลอบยิ้มขำ  ยังคงไม่ได้พูดอะไรเหมือนเดิม
เหลียนจิ้งเต๋อสะกดใจไม่ได้ร้องออกมาว่า
“แค่นี้ยังน้อยเกินไป  จริงๆข้าควรจะต่อยมันอีกสองสามหมัดจึงจะสาสม  ปากสกปรก  กล่าววาจาได้เหม็นยิ่งกว่าเสียงผายลม!”ครั้งนี้คำหยาบก็พูดออกมาแล้ว
เหลียนอันสุ่ยยังคงไม่ได้กล่าวตำหนิ  แค่ทรุดนั่งลง  ประคบยาให้รอยเขียวช้ำบนใบหน้าของบุตรชาย  นี่เป็นสมุนไพรสำหรับลดอาการฟกช้ำ  มีคุณสมบัติทำให้หลอดเลือดหดตัว
“โอ๊ย” ถึงแม้เหลียนอันสุ่ยจะเบามือแล้ว  แต่เหลียนจิ้งเต๋อยังคงเจ็บจนหน้าเบ้
“พ่อทำเจ็บ  งั้นเจ้าประคบเอง”
เหลียนจิ้งเต๋อรับมาประคบเอง  แต่ก็ยังเจ็บจนสูดปากเป็นระยะ  หากปากกลับไม่ยินยอมอยู่นิ่งเฉย  พ่นวาจาออกมาเป็นชุด
“เจ้าบ้านั่นกล้าด่าท่านพ่อ บอกว่าท่านยั่วยวนผู้ชาย  มีรสนิยมวิปริต  วาจาเหลวไหลทั้งนั้น  หาความจริงไม่ได้แม้แต่ส่วนเดียว ! ”
เหลียนอันสุ่ยสะท้านทั้งร่าง 

เหลียนจิ้งเต๋อยังคงพึมพำกับตัวเองต่อไป
“เจ้าคนรับประทานอาจมปากเหม็น  ท่านพ่อของข้าจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร  มันน่านัก  ฮึ่ม ”
ปรกติเหลียนจิ้งเต๋อแม้นิสัยคะนองซุกซน  แต่ไม่ใช่ประเภทชมชอบทะเลาะต่อยตี  ครั้งนี้ที่ทนทานไม่ได้เป็นเพราะอีกฝ่ายกล้าด่าบิดาของเขา  ชีวิตของเหลียนจิ้งเต๋อโตมากับท่านพ่อ  คนที่รักผูกพันที่สุดก็คือท่านพ่อ  ท่านพ่อเป็นครอบครัวของเขาไม่อนุญาตให้ใครมากล่าวร้ายทั้งนั้น
ถ้าผู้อื่นด่าเขาสำหรับเหลียนจิ้งเต๋ออย่างมากด่าคืนก็จบกันไป  แต่ถ้าผู้อื่นกล้าดูถูกบิดาของเขาแม้แต่ครึ่งคำ  เขาจะต้องให้ฝ่ายนั้นสำนึกเสียใจ!

แต่ตอนนี้คนที่สำนึกเสียใจกลับเป็นเหลียนอันสุ่ย
‘...ท่านพ่อของข้าจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร...! ’
เมื่อหลายชั่วยามที่แล้ว เขาเอาแต่คิดว่าจะบอกกล่าวเรื่องราวกับบุตรชายอย่างไร ความคิดหมกมุ่นอยู่แต่กับตัวเอง  ที่คำนึงมีแต่ความเห็นแก่ตัว  ความผิดของผู้ใหญ่อาศัยอะไรให้เด็กร่วมแบกรับ
เด็กที่กล่าววาจาใส่หน้าเหลียนจิ้งเต๋อ  คาดว่าคงมาจากการได้ยินได้ฟังจากบทสนทนาของผู้ใหญ่  ข่าวภายนอกพัดโหมรุนแรงเพียงใด  เหลียนอันสุ่ยทราบกระจ่างดี
เหลียนอันสุ่ยอายุไม่น้อยแล้ว  วาจาแค่ลมปากทำอะไรเขาไม่ได้  แต่เหลียนจิ้งเต๋อไม่เหมือนกัน  เขาจะให้ลูกของเขาเติบโตมากับข่าวเช่นนี้หรือ?  จะให้เหลียนจิ้งเต๋อโตมากับการดูถูกเช่นนี้หรือ?
เขาจะต้องถูกความโลภชักนำจนฟั่นเฟือนไปแล้วจึงคิดกระทั่งว่าจะอยู่ข้างกายฉีเซี่ยงหยวนตลอดไป  ‘เมื่อมีความรักคนเราจะเห็นแก่ตัว’ นับเป็นความจริงโดยไม่ผิดเพี้ยน
เหลียนอันสุ่ยใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆลงบนรอยช้ำบนหน้าของบุตรชาย  สายตาเต็มไปด้วยความละอายเศร้าเสียใจ
เหลียนจิ้งเต๋อเห็นบิดาใช้สายตาย่ำแย่ถึงเพียงนั้นมองดูเขาก็รีบพูดว่า
“ท่านพ่อ  ท่านไม่ต้องเสียใจไป  คำพูดพวกนั้นไม่ใช่ความจริง  ไม่ว่าจะพูดอีกกี่ร้อยกี่พันครั้งก็ไม่มีวันเป็นความจริงไปได้  ท่านอย่าใส่ใจเลย”
เจ็บปวด เหลียนอันสุ่ยไม่เคยเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อนในชีวิต  คมดาบที่เรียกว่าความละอายกรีดแทงลงมาอย่างหนักหน่วง  ในแววตาของเหลียนจิ้งเต๋อคือความรักและเทิดทูนที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ  เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับบิดาทุกในโลกหล้า  และเป็นสิ่งที่หนักหน่วงที่สุดสำหรับบิดาทุกคนในโลกหล้าเช่นกัน  คิดจะแบกรับมันไว้ต้องจ่ายด้วยทั้งหมดของชีวิต  เพราะเมื่อสูญเสียมันไปแล้วก็ยากจะได้กลับคืนมา

เหลียนอันสุ่ยยื่นมือออกไปดึงเด็กชายวัยสิบขวบเข้ามา ใบหน้าซบลงกับบ่าเล็กๆนั่น  หลับตาลง  ร่างสั่นสะท้านไม่หยุดยั้ง
“ท่านพ่อ  ท่านเป็นไรไปแล้ว!” น้ำเสียงของเหลียนจิ้งเต๋อแตกตื่นอย่างแท้จริง  พยายามจะใช้สองมือผลักบิดาออกไปเพื่อจะมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดๆ แต่เหลียนอันสุ่ยกลับไม่เปิดโอกาสนั้น
หวาดกลัวเหลือเกินว่าเด็กคนนี้จะเห็นความละอายที่ซุกซ่อนอยู่  หวาดกลัวเหลือเกินว่าเด็กคนนี้จะล่วงรู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ปิดบังไว้

หากไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้  ก็อย่าทำ

น่าเสียดายที่เหลียนอันสุ่ยทำลงไปแล้ว  ทำลงไปแล้วอย่างผิดมหันต์  คำพูดที่ไม่ใช่ความจริง พูดอีกกี่ร้อยกี่พันรอบก็ไม่มีทางทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมาได้  แต่เรื่องที่เป็นความจริง ต่อให้ใช้คำโกหกเป็นร้อยเป็นพันคำก็ไม่อาจลบมันหายไป
ต่อให้ไม่พูดถึงก็ไม่อาจเป็นดั่งไม่เคยเกิดขึ้น...เพราะท่านย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ
---------------------
เคยมีซักครั้งไหม  เพื่อปกป้องคนที่ควรปกป้อง  จึงได้แต่ทำร้ายคนที่สำคัญต่อเราเช่นกัน
ในเมื่อต้องทำร้ายซักคนหนึ่ง  จึงได้แต่เลือกคนที่เข้มแข็งกว่า
ความผิดนี้เป็นของใครหรือ ?
ของคนที่ได้รับการปกป้อง  หรือของคนที่เลือก...ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นคนที่เข้มแข็งคนนั้น  เพราะเขาเข้มแข็งเกินไปจึงมักเป็นฝ่ายที่ถูกเลือกที่จะละทิ้งเสมอ
ชั่งน้ำหนักความสำคัญในใจคนเที่ยงตรงมากแค่ไหน ?
แต่การเลือกเช่นนี้ เหลียนอันสุ่ยไม่ได้เลือกคนที่สำคัญกว่า  เขาแค่เลือกปกป้องคนที่ควรจะถูกปกป้องไว้  คนหลายคนเมื่อเผชิญทางเลือกเช่นนี้มักเอาหัวใจมาชั่งตวงวัด  แต่คนแบบเหลียนอันสุ่ยเมื่อเจอทางเลือกเช่นนี้จะเอาผลสุดท้ายมาชั่งตวงวัด  ชีวิตคนมิได้มีเพียงความรักความชัง  มันยังมีความผูกพัน  หน้าที่และความรับผิดชอบ    บุญคุณและการเสียสละ
เรื่องรักใครมากกว่าเป็นเพียงการคำนึงถึงแบบเด็กๆ  โลกของผู้ใหญ่ซับซ้อนกว่านั้น  เหลียนอันสุ่ยทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนจะต้องเข้าใจ  เหลียนอันสุ่ยหวังว่าฉีเซี่ยงหยวนจะต้องเข้าใจ  น่าเสียดายที่ฉีเซี่ยงหยวนในเวลานี้ยังคงไม่ทราบอันใดทั้งสิ้น

ก่อนจะเกิดเรื่องชกต่อยที่สำนักศึกษา  เหลียนอันสุ่ยได้ให้ต้วนจินไปบอกฉีเซี่ยงหยวนว่าเขาจะลองพูดเรื่องทั้งหมดกับเหลียนจิ้งเต๋อดู  ตั้งแต่ต้วนจินมาถ่ายทอดคำพูดดังกล่าว  ฉีเซี่ยงหยวนในที่ประชุมขุนนางก็เอาแต่นับชั่วยามรอคอยให้การประชุมเลิก  เนื้อหาที่หารือในวันนี้เป็นฝ่ายการคลังแจกแจงที่มาที่ไปของงบประมาณชุดใหญ่  กว่าจะเสร็จสิ้นลงได้จึงล่วงเข้าเวลาดึกดื่น
ทันทีที่การประชุมเลิก  ฉีเซี่ยงหยวนก็วางท่ากลับตำหนักเยี่ยอวิ๋นอย่างไม่รีบไม่ร้อน  พอเท้าเหยียบตำหนัก  สายตาทุกคู่ของเหล่าขุนนางละไปแล้ว  ก็หันหลังกลับแล่นตรงไปยังตำหนักเสียงวสันต์

ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าการจะพูดเรื่องเช่นนี้ต้องใช้กำลังใจ  ถึงแม้เขาจะไม่สามารถพูดแทนอีกฝ่ายได้เพราะเหลียนอันสุ่ยคงจะไม่ยินดี  แต่เขาจะไม่ละทิ้งให้เหลียนอันสุ่ยต้องเผชิญกับผลของมันโดยลำพัง
กลางคืนในตำหนักเสียงวสันต์วังเวงอยู่บ้าง  ดอกไม้ใบหญ้าที่งอกขึ้นใหม่ดูเป็นเงาตะคุ่มใต้แสงจันทรา  ฉีเซี่ยงหยวนเดินฝ่าเข้าไปถึงตัวตำหนักด้านใน  พบหน้าเหลียนอันสุ่ยก็เอ่ยถามว่า
“ท่านได้พูดกับเหลียนจิ้งเต๋อรึยัง ?”
เหลียนอันสุ่ยได้ยินน้ำเสียงผ่อนคลายกับแววตาเจิดจ้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเชื่อมั่นต่ออนาคตของอีกฝ่าย  ยามกะทันหันพูดอันใดไม่ออก
ฉีเซี่ยงหยวนเห็นอีกฝ่ายหน้าเสียไปก็กล่าวปลอบว่า
“ไม่เป็นไร  ยังไม่มีจังหวะพูดวันนี้  ไว้ค่อยพูดวันหลังก็ได้” สำหรับฉีเซี่ยงหยวน  ขอแค่เหลียนอันสุ่ยรับปากว่าจะพูดก็ต้องพูด  หาทราบไม่ว่าเรื่องราวเกิดเหตุพลิกผันขึ้นแล้ว  หลังจากเกิดเรื่องชกต่อยของเหลียนจิ้งเต๋อ  สำหรับเหลียนอันสุ่ย...ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“ข้า...” จะไม่บอกเรื่องนั้นกับจิ้งเอ๋อ  สีหน้าลำบากยากจะกล่าวของพระมาตุลาแคว้นเหลียนทำให้คนเป็นเป่ยชางอ๋องเข้าใจผิดไป  จึงรีบกล่าวว่า
“ถ้ามันยากมากให้ข้าช่วยท่านหรือไม่  ตอนแรกข้าคิดว่าท่านน่าจะอยากจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง  จึงพยายามไม่ก้าวก่าย  แต่บางทีถ้าให้ข้าเป็นคนเกริ่นๆเรื่องมันอาจจะง่ายขึ้น  แล้ว...”
“ไม่” เหลียนอันสุ่ยปฏิเสธออกไปทันทีอย่างแตกตื่น
ฉีเซี่ยงหยวนมองใบหน้าหมดจดนิ่งอย่างชั่งใจ  สุดท้ายก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า
“ไม่ก็ไม่  ข้าเคารพการตัดสินใจของท่าน” วางมือบนไหล่  โอบบ่าอีกฝ่ายพลางกล่าวต่อว่า “อย่าบีบคั้นตัวเอง  ไม่ต้องรีบร้อน  ถ้ากังวลเรื่องข่าวลือวันนี้ข้าจัดการให้แล้ว  แสดงฉากโมโหไปคราหนึ่ง  คิดว่าน่าจะทำให้ข่าวนิ่งได้ซักพัก ท่านค่อยๆบอกเขาเถิด  ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าข้ารอได้  ต่อให้ต้องรอทั้งชีวิตก็รอได้  ขอแค่ท่านยังอยู่ที่ข้างกายข้าก็พอ” คำพูดแผ่วเบา  เช่นเดียวกับจูบที่แตะลงบนเรียวปากบางหลังจากนั้น
คำพูดทุกคำของเหลียนอันสุ่ยยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปากมิได้กล่าวออกไป  เพราะเหลียนอันสุ่ยสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในรอยยิ้มนั้นของฉีเซี่ยงหยวนมีสิ่งที่เรียกว่าความสุข
พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนหายใจแรง
ฉีเซี่ยงหยวน  ข้าจะบอกท่านอย่างไรดี...ว่าข้าเปลี่ยนใจแล้ว  ว่าข้า...ไม่อาจอยู่ข้างกายท่านตลอดไปดั่งเช่นที่ท่านเข้าใจ 
เป็นข้าไม่ดีเอง  ข้าไม่ควรใจอ่อนมาตั้งแต่แรก  ความใจอ่อนของข้าทำร้ายท่าน  ส่วนตอนนี้ข้าก็ได้แต่ทำร้ายท่านอีกครั้ง...และหวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย
จังหวะที่เหลียนอันสุ่ยซึ่งเงียบงันไปนานเผยอเรียวปากขึ้น  ฉีเซี่ยงหยวนที่มองดวงจันทร์ที่นอกหน้าต่างก็หันมากล่าวว่า
“ข้ายังมีงานต้องสะสาง  ตอนนี้ดึกมากแล้ว  ท่านนอนก่อนเถิดนะ” หลังมือสากไล้ใบหน้าหมดจดเบาๆอย่างรักใคร่  ริมฝีปากเด็ดขาดตอนนี้มีรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก  สายลมพัดมาหอบหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนผละจากไป

ในคราแรกเหลียนอันคิดเรียกรั้งไว้  เพื่อคุยเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องบอกให้เสร็จสิ้น  แต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายยังมีงาน  ก็ไม่อาจเอ่ยอะไร  ถ้าพูดเรื่องนั้นขึ้นมาตอนนี้งานที่สะสางไม่เสร็จของฉีเซี่ยงหยวนคงไม่ได้สะสางแน่  รอไปอีกซักหน่อยแล้วกัน  รอให้ฉีเซี่ยงหยวนทำงานให้เสร็จแล้วค่อยสะสางเรื่องส่วนตัวเถอะ
---------------------
เตียงไหวยวบแผ่วเบา  ตามด้วยเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เจือด้วยความเหน็ดเหนื่อยเสียงหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งจะจัดการงานที่คั่งค้างเสร็จ  ร่างสูงใหญ่ล้มตัวลงนอน  มือเอื้อมออกไป  ควานหาพบร่างสูงโปร่งที่นอนอยู่อีกฟากของเตียงก็ดึงมากอดไว้  หลับตาลง  ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ
ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็ได้คำตอบแล้ว  ว่าเหตุใดหลายคราที่ตื่นขึ้นมามักพบตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของร่างแกร่ง  ทุกการเคลื่อนไหวทั้งเรียบง่าย ทั้งคุ้นชิน  เป็นปรกติธรรมดาจนถึงที่สุด  ฉีเซี่ยงหยวนมักสามารถแสดงความรักของตัวเองออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติเสมอ 
ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง  ไม่จำเป็นต้องบ่ายเบี่ยงปิดบัง  รักก็คือรัก  อยากทำอะไรให้ถ้าใคร่ครวญว่าดีแล้วก็ทำเลย  สนใจไปใยว่าอีกฝ่ายจะเห็นค่าหรือไม่  สนใจไปใยว่าตัวเองได้กำไรหรือขาดทุน  เนื้อแท้ของความรักมิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว 
ใช้การเคลื่อนไหวง่ายๆเท่านี้บอกว่า ‘ชีวิตของข้าต้องการท่าน’   
ใช้ความสำคัญของเรื่องราวที่บอกเล่าออกมาบ่งบอกว่า ‘ข้าไว้วางใจท่าน’   
ใช้คำถามไม่กี่คำบ่งบอกว่า ‘ความเห็นของท่านมีความหมายต่อข้า’   
ใช้การให้เกียรติแทนคำพูดว่า ‘ท่านมีคุณค่าสำหรับข้าเสมอ’

แล้วข้า...ตอบแทนอะไรท่านได้บ้างนอกจากความเจ็บปวด  คำมั่นสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้าง ข้าให้ท่านไม่ได้  คำว่ารักข้าก็ให้ท่านไม่ได้  คงมีแค่หัวใจข้าที่จะเป็นของท่านตลอดไป
เหลียนอันสุ่ยยังไม่หลับ  แต่ไม่ได้ขัดขืน  เพียงทำราวกับหลับใหลไปแล้ว  ซบใบหน้าแนบกับแผ่นอกกว้าง  ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเนิบช้าหนักแน่น
ก่อนหน้านี้เหลียนอันสุ่ยพูดไม่ออก  ตอนนี้ยังคงไม่อาจใจร้ายพอจะปลุกบุรุษที่เพิ่งจะได้พักผ่อนจากความเหน็ดเหนื่อยทุ่มเทขึ้นมาสนทนา  ให้เขาพักผ่อนเถิด  ให้คนผู้นี้มีความสุขอีกคืนหนึ่งเถิด  เพราะวันพรุ่งนี้เหลียนอันสุ่ยจะฉีกทุกภาพมายาให้เป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง
อาจบางที...เขาเพียงต้องการยืดเวลาให้ตัวเองอีกเล็กน้อย  ให้ความฝันที่สวยงามนี้ยืนยาวไปอีกคืนหนึ่ง...
---------------------
เหลียนอันสุ่ยตั้งใจไว้แล้วว่าเมื่อฉีเซี่ยงหยวนกลับมาจากการตรวจเยี่ยมกองทัพในวันนี้  เขาจะบอกการตัดสินใจของตัวเองต่ออีกฝ่าย  นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยเจ็บปวดอย่างแท้จริงเมื่อได้เห็นใบหน้าของบุรุษที่เขารัก
ฉีเซี่ยงหยวนเดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม  ท่วงท่าองอาจงามสง่าเช่นเดียวกับปรกติ  เข้ามาถึงด้านในก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก  เอ่ยขึ้นว่า
“วันนี้ข้าไปดูการฝึกทหารใหม่ในกองทัพ  เถี่ยเจิ้งท่านเคยแนะนำให้ข้าใช้การได้ดีทีเดียว  อาศัยความสามารถของเขาอีกไม่นานคงสามารถสร้างผลงานใหญ่ให้แคว้นเป่ยชาง  เพียงแต่ก่อนจะถึงขั้นนั้นคงต้องใช้เวลาซักพักให้เขาเรียนรู้ระบบทหารของเป่ยชางเสียก่อน  ข้าจึงค่อยวางใจได้”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป  เถี่ยเจิ้งคือแม่ทัพชาวเหลียนที่เขาเคยเสนอชื่อให้กับฉีเซี่ยงหยวน  เป็นคนรักของสตรีที่เป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการนามจือหลัน  คิดไม่ถึงอีกฝ่ายยังคงจดจำได้...
“...ท่านทำได้อย่างที่พูดจริงๆ” เสียงพึมพำลอดออกมาจากริมฝีปากของพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ในนั้นผสมไว้ด้วยความหลากใจ  เลื่อมใส ไม่อยากจะเชื่อนัก  ฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนพูดเองว่าต้องการเปิดโอกาสให้ชาวเหลียนทำงานให้กับแคว้นเป่ยชางอย่างเท่าเทียม  เพียงแต่ความยากของคำว่า ‘เท่าเทียม’ นี้  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจกระจ่างยิ่งกว่าผู้ใด  ใจไม่ได้คาดหวังมากนัก  เพียงรับไว้ใช้งานก็พึงพอใจมากแล้ว  แต่จากคำของฉีเซี่ยงหยวนบ่งบอกว่าจะเปิดโอกาสให้แม่ทัพแคว้นเหลียนได้สร้างผลงาน  คิดไม่ถึงว่าคำพูดที่เป็นแค่ลมปากฉีเซี่ยงหยวนกลับมีใจเป็นกลางถึงขั้นทำได้อย่างที่พูดจริงๆ
การผสานรวมเป็นหนึ่งของแว่นแคว้นต้องการสิ่งนี้เอง...การยอมรับในกันและกัน
เหลียนอันสุ่ยคุกเข่าลงช้าๆ  กล่าวว่า
“เหลียนอันสุ่ยขอเป็นตัวแทนชาวเหลียน ขอบพระทัยต้าอ๋อง  น้ำพระทัยอันกว้างขวางนี้จะทำให้สองแคว้นรวมเป็นหนึ่งได้ในเร็ววัน” ขอเพียงฉีเซี่ยงหยวนมีจิตใจเช่นนี้  หลังจากนี้ไม่ว่าตัวเขาจะอยู่หรือไม่ก็คงจะไม่เป็นไรแล้ว
เมื่อเช้า  ฉีเซี่ยงหยวนให้หม่าหลงรายงานต่อเหลียนอันสุ่ยว่า เหลียนอันสุ่ยพอใจจะอยู่ที่ไหนก็สามารถอยู่ที่นั่น  หากลำบากใจเพราะข่าวลือก็ไม่จำเป็นต้องคอยไปรับใช้ที่ตำหนักเยี่ยอวิ๋นอีก  ส่วนการตอบแทนคุณสามเดือน  ฉีเซี่ยงหยวนแก้ไขให้แล้วด้วยบัญชาประโยคนี้
‘ตอนนี้อาการบาดเจ็บจากลูกธนูของข้าทุเลาลงมากแล้ว  ไม่ต้องการการดูแลใกล้ชิดอีก  จากการบาดเจ็บในครั้งนี้ทำให้อดมิได้ต้องคิดถึงเหล่าคนที่ป่วยไข้ในโรงหมอ  วันคืนของพวกเขาคาดว่าคงหวังจะได้หายดีเช่นกัน  บุญคุณช่วยชีวิตที่ยังชดใช้ได้ไม่หมดสิ้น  ให้เหลียนอันสุ่ยตอบแทนด้วยการช่วยงานในโรงหมออย่างเต็มความสามารถ  เพราะการช่วยชีวิตราษฎรของข้าก็เท่ากับได้ตอบแทนบุญคุณของข้าแล้วเช่นกัน’
ฉีเซี่ยงหยวนกลับเข้าใจความลำบากใจของเหลียนอันสุ่ยเป็นอย่างดี  และมีวิธีตามใจอีกฝ่ายในแบบของเขา  เหลียนอันสุ่ยไม่อาจไม่ยอมรับว่าฉีเซี่ยงหยวนมีวิธีการจัดการเรื่องราวจริงๆ  ยิ่งอยู่ข้างกายต้าอ๋องผู้นี้นานวันเข้าก็ยิ่งไว้วางใจในความสามารถของเขา
หัวใจที่หนักอึ้งของเหลียนอันสุ่ยเบาสบายขึ้นอย่างประหลาด  เหลียนอันสุ่ยเชื่อมั่นว่าตัวเองเลือกได้ถูกคนแล้ว  แคว้นเหลียนได้ผู้ปกครองที่ดีที่สุดคนหนึ่ง  แคว้นเป่ยชางเองก็ได้ต้าอ๋องที่ปรีชาสามารถที่สุดผู้หนึ่ง  เขาจะไม่อยู่เป็นตัวถ่วงความก้าวหน้าของบุรุษผู้นี้  พญาอินทรีจะผายเรียวปีก  ส่วนเขา...ขอชมดูความตระการตานั่นจากที่ไกลๆก็พอ
เพื่อฉีเซี่ยงหยวน  เพื่อเหลียนจิ้งเต๋อ  เพื่อตัวเขาเอง  ...เขาต้องจากไป

ฉีเซี่ยงหยวนเห็นอีกฝ่ายคุกเข่าลงไปก็รีบรั้งตัวขึ้นมา  คิ้วขมวดยุ่ง  บอกแล้วว่าไม่ต้องคุกเข่า  เหตุใดไม่เคยฟังเสียบ้าง
“ถ้าคิดจะขอบคุณข้าจริงๆ  ข้าชอบคำขอบคุณแบบนี้มากกว่า” กล่าวจบก็ยื่นหน้าเข้ามา  ชิงหอมแก้มอีกฝ่ายไปฟอดใหญ่
เรียวปากของเหลียนอันสุ่ยเผยอค้าง  หัวใจที่หนักอึ้งซึ่งกำลังค่อยๆเบาสบายลงว่างเปล่าไปชั่วขณะ  แก้มค่อยๆแดงระเรื่อขึ้นมา  ก้าวถอยหลังไป  คิดไม่ถึงกลับถูกมือใหญ่กระตุกทีหนึ่ง  ร่างสูงโปร่งปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้าง
ฉีเซี่ยงหยวนจูบหนักๆลงบนเรียวปากของคนที่คิดจะบ่ายเบี่ยงปฏิเสธ
“ข้ากระทำความดีความชอบ  ตอนนี้มารับรางวัล  ท่านคิดบ่ายเบี่ยงคดโกงหรือ”
คำของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหลียนอันสุ่ยเบิกตาโต  คดโกงหรือ...ใครกันแน่ที่คดโกง
มีเรียวผลักร่างของคนขี้โกงออกไป  แต่คนขี้โกงผู้นี้มีเรี่ยวแรงมหาศาลยิ่ง  ปากสามารถเบือนหลบแต่ไม่อาจหลบหนีจากจุมพิตที่เคลื่อนไหวลงมาตามเรียวคอ
“ฉีเซี่ยงหยวนข้ามีเรื่องต้องพูดกับท่าน” เหลียนอันสุ่ยละล่ำละลักออกมาอย่างร้อนใจ
“อืมม์” รับคำแต่มือใหญ่กลับไม่เรียบร้อยกว่าเดิม
“ต้าอ๋อง  ท่านหยุดสิ”
“อืมม์ของข้าคือเอาไว้ก่อน” กว่าจะหลบสายตาของขุนนางพวกนั้นมาไม่ใช่เรื่องง่าย  กว่าจะมีเวลาว่างก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีก  ช่วงนี้งานของฉีเซี่ยงหยวนมากมายอย่างยิ่งจริงๆ  อะไรที่กองทิ้งไว้ในฤดูหนาวสุมทับลงมาทั้งหมด  ทุกคืนได้แค่ปีนขึ้นเตียง  เป่าตะเกียง  แล้วก็หลับใหลไปเท่านั้น  วันนี้ค่อยมีโอกาสได้รับประทานขนมหอมหวานที่วางอยู่ตรงหน้าทุกคืนแต่ไม่อาจแตะต้องชิ้นนี้
เหลียนอันสุ่ยเองก็ทราบว่าพักนี้อีกฝ่ายไม่ค่อยมีเวลาว่างมาทำตามใจตัวเอง  ...ก่อนจะเข้าหน้ากันไม่ติด  ขอให้ข้าได้อยู่ในอ้อมกอดของท่านอีกซักครั้งเถอะ  คิดได้ดังนั้นเหลียนอันสุ่ยจึงไม่ได้ขัดขืนอีก 
เมื่อไม่ได้ขัดขืนจึงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเขาคิดถึงสัมผัสของอีกฝ่ายมากมายแค่ไหน  นานมากแล้วที่เรื่องระหว่างพวกเขาไม่ใช่เพียงแค่ความใคร่  มันเป็นความยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย  ตั้งแต่คืนที่อีกฝ่ายบอกว่าอยากจะรับผิดชอบเขาไปชั่วชีวิตฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่เคยบีบบังคับเขาอีก 

ผู้ชายคนนี้แม้ชอบทำตามอำเภอใจและติดนิสัยขี้โกง  แต่กลับเป็นคนที่รู้จักควบคุมตัวเองคนหนึ่ง  หากฉีเซี่ยงหยวนเพียงต้องการคนมาตอบสนองความต้องการของเขา  ด้วยอิทธิพลอำนาจที่เพียงพอจะเรียกลมเรียกฝนเรียกอีกกี่คนมาปรนนิบัติรับใช้ก็ย่อมได้  ด้วยศักดิ์ฐานะที่อยู่เหนือคนทั้งแผ่นดินผู้ใดสามารถบังคับให้ฉีเซี่ยงหยวนเหน็ดเหนื่อยทำงานจนไม่มีเวลาว่าง  บุรุษที่เปลือกนอกปล่อยตัวตามสบายผู้นี้แท้จริงวางเรื่องบ้านเมืองอยู่เหนือตัวเองเสมอ  และเพราะฉีเซี่ยงหยวนรักเขา  จึงต้องการเขา  ดวงตาที่เข้มจัดด้วยแรงปรารถนาคู่นั้นมีเงาร่างของเขาเสมอ

ความสัมพันธ์บนเตียงช่างเป็นเรื่องที่แปลกเหลือเกิน  มันสามารถเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุด ต่ำช้าที่สุด เมื่อเกิดจากการบีบคั้นบังคับ  และก็สามารถเป็นเรื่องที่สวยงามที่สุดได้เช่นกัน  มันสามารถไม่ใช่อะไรเลยเมื่อทั้งหมดมีแค่ความใคร่  และสามารถเป็นมากกว่านั้นหลายสิบเท่าเมื่อมันเป็นสื่อแทนของความรัก

ข้ารักท่าน  ฉีเซี่ยงหยวน  ถ้าจะถามใจจริงของข้า ข้าอยากจะเป็นของท่านตลอดไป
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าเบ้าตาตัวเองร้อนผ่าวอย่างไม่มีเหตุผล  เขายังคงไม่ได้ร้องไห้  แค่ยกมือโอบกอดคนที่เขารักเอาไว้  โอบเอาไว้ให้แน่น...ก่อนจะต้องปล่อยมือตลอดกาล
เหลียนอันสุ่ยทราบว่าอารมณ์ของฉีเซี่ยงหยวนจะผ่อนคลายที่สุดหลังการร่วมรัก  และเป็นช่วงที่รับปากเรื่องราวต่างๆได้ง่ายดายที่สุดด้วย  พระมาตุลาแคว้นเหลียนไม่เคยคิดจะใช้วิธีนี้มาก่อน  แต่สำหรับเรื่องในครั้งนี้ เขาจำเป็นต้องให้ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจและรับปากว่าจะปล่อยเขาไป
เซี่ยงหยวน  ถ้าข้าไม่อาจให้อะไรท่านได้นอกจากความเจ็บปวด  อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่ข้าสามารถให้ท่านได้  ก็คือตัวข้าในตอนนี้  ให้ข้าเป็นความสุขของท่านอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เรื่องระหว่างเราจะหลงเหลือแค่ความเจ็บปวดได้หรือไม่ 
จับจ้องมองใบหน้าคมคายอย่างลึกซึ้ง  จากนั้นร่างสูงโปร่งจึงสะท้านเบาๆเมื่อพบว่าถูกดันจนติดโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่กลางห้อง  รีบร้อนยื่นมือออกไปยันร่างอีกฝ่ายไว้
“ต้าอ๋อง นี่มันห้องหนังสือ  ต้องไปห้องนอน...”
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้ว
“มีตำราไหนบอกท่านหรือว่าเรื่องเช่นนี้ต้องทำบนเตียงเท่านั้น ? ”
เหลียนอันสุ่ยเถียงไม่ออก  หน้าแดงก่ำ 
ฉีเซี่ยงหยวนโน้มตัวลงมา  เหลียนอันสุ่ยรีบขยับร่างหนีพยายามรักษาระยะห่างเอาไว้  คิ้วของฉีเซี่ยงหยวนจึงเลิกสูงกว่าเดิม  กล่าวถาม
“ท่านกลัวคนอื่นเห็นหรือ  แต่นี่ยังไม่เที่ยงด้วยซ้ำเหลียนจิ้งเต๋อยังไม่กลับมาหรอก” กว่าเหลียนจิ้งเต๋อจะเลิกเรียนก็เกือบเย็น  เจ้าตัวยิ่งชอบเถลไถลอยู่นอกตำหนัก  บางครั้งกลับมาก็คือกินข้าวเย็นเลย
“...ที่นี่ไม่ได้มีแต่เหลียนจิ้งเต๋อ  ยังมีอิ๋งฮวา  นางเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน  จะให้นางมาเห็นภาพเช่นนี้ไม่ได้” ถึงแม้ชื่อของเหลียนจิ้งเต๋อจะทำให้เหลียนอันสุ่ยชะงักไปวูบหนึ่ง  แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้ว  และเรื่องทั้งหมดกำลังจะจบลงแล้ว  เหลียนอันสุ่ยก็ไม่ได้คำนึงมากความ  เพราะทราบว่าคนที่เขาต้องชดเชยให้แท้จริงคือฉีเซี่ยงหยวน...บุรุษที่เคยกระทำเรื่องราวมากมายสุดคณาเพื่อเขา
เห็นท่าทีเดือดร้อนของเหลียนอันสุ่ย  และเมื่อครุ่นคิดถึงคำว่าอิ๋งฮวา  ฉีเซี่ยงหยวนก็กล่าวออกมาหนึ่งคำ
“อ้อ” ผู้หญิงดุร้ายคนนั้นแต่งไม่ออกไม่น่าแปลกใจแม้แต่น้อย  หรี่ตาลง  โน้มตัวลงไปข้างหน้ามากกว่าเดิมอย่างชั่วร้าย  นางเห็นก็ดีไม่เห็นก็ช่าง  ฉีเซี่ยงหยวนเองก็อยากจะเห็นอยู่เหมือนกันว่าใบหน้าเอาจริงเอาจังที่ชอบตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับเขาพอแดงขึ้นมาแล้วจะมีสภาพเป็นเช่นไร

เหลียนอันสุ่ยเห็นอีกฝ่ายประชิดเข้ามาก็รีบผละห่างออกไปอีก  ยังคงไม่ทราบว่าตัวเองได้ไปชี้ช่องทางแก้แค้นให้กับใครบางคนเข้าแล้ว  เพราะเอนหนีครั้งแล้วครั้งเล่า แผ่นหลังของเหลียนอันสุ่ยจึงไม่ได้ตั้งฉากกับพื้นโต๊ะอย่างที่ตัวเองเข้าใจ  พอฉีเซี่ยงหยวนวางมือทาบลงบนโต๊ะจึงได้ทราบว่าตัวเองแทบจะเกยซ้อนอยู่บนโต๊ะทั้งตัว  นิ้วเรียวยาวรีบยึดขอบโต๊ะไว้อย่างตื่นตระหนก
ปมของสายรัดเอวยังคลายออกไม่หมด  ชุดที่เคยรัดกุมแลดูหลวมกว้างไม่เรียบร้อย  ลมหายใจกับกลิ่นกายหอมอ่อนๆสร้างเป็นบรรยากาศอันพิเศษเฉพาะที่เย้ายวนใจสุดบรรยาย

ฉีเซี่ยงหยวนใช้ริมฝีปากของตัวเองควานหาริมฝีปากของอีกฝ่าย  มือใหญ่สอดเข้าไปตามเรียวขา  ร่างโน้มไปข้างหน้าเบียดให้แผ่นหลังสูงโปร่งแนบติดกับพื้นโต๊ะ  อาภรณ์สีดำบนร่างของฉีเซี่ยงหยวนแนบทับลงบนอาภรณ์สีขาวบนร่างของเหลียนอันสุ่ย  ราวรัตติกาลดำมืดกำลังหลอมลงไปในสายธารสีเงินอันใสเย็น
สัมผัสของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหลียนอันสุ่ยครวญครางออกมาเบาๆ
สติของคนทั้งคู่ผละลอยไปไกล  ผละไปไกลทั้งๆที่ไม่ควรเลย


ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 51
«ตอบ #136 เมื่อ03-10-2014 23:15:12 »


บทที่ 51 เรื่องชกต่อยของเด็ก เรื่องปิดบังของผู้ใหญ่(2)

เสียงตึงตังดังใกล้เข้ามา  ประตูถูกผลักออก  น้ำเสียงที่ลอดผ่านเข้ามามีแววยินดี
“ท่านพ่อ...” ภาพตรงหน้าสะกดจนเหลียนจิ้งเต๋อชะงักค้าง “นี่พวกท่าน...กำลังทำอะไรกัน ! ”
พริบตานั้นโลกหล้าพลันพลิกตลบ

รัก ชอบ เกลียด ชัง เศร้าโศก ยินดี  อารมณ์ทั้งหมดนี้ต่างเป็นอารมณ์ที่อยู่สุดปลายของอีกอารมณ์หนึ่ง  พริบตานั้นอารมณ์ทั้งหมดก็พลันพลิกตลบเช่นกัน
---------------------
เหลียนจิ้งเต๋อมีเรียนคาบบ่าย  แต่อาจารย์ที่สอนวิชาคำนวณเพราะป่วยอยู่เดิมแต่ยังดันทุรังมาสอน  พอสอนจบคาบเช้าก็ไข้ขึ้นสูง  คาบบ่ายของเหลียนจิ้งเต๋อจึงถูกงดไปด้วยสาเหตุนี้ 
ความบังเอิญบางครั้งก็เป็นเรื่องน่าขำชนิดหนึ่ง  และบางคราก็เป็นเรื่องที่ขำไม่ออก

เหลียนจิ้งเต๋อกลับถึงตำหนักด้วยอารมณ์ปลอดโปร่งยินดีตั้งแต่ยังไม่เที่ยง  การที่ครึ่งวันไม่ต้องเรียนเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งโดยแท้  เข้าเขตตำหนักก็วิ่งปร๋อไปเสาะหาท่านพ่อตามความเคยชิน  เวลานี้ท่านพ่อน่าจะอยู่ที่ห้องหนังสือ
ความจริงทางไปห้องหนังสือมีอิ๋งฮวากับหลิวฉางเฟยเฝ้าอยู่  แต่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆเด็กคนหนึ่งจะโผล่พรวดพราดขึ้นมาตรงหน้า  ดังนั้นเหลียนจิ้งเต๋อจึงสามารถอาศัยจังหวะที่คนทั้งสองตื่นตกใจจนชะงักค้างวิ่งผ่านไปได้โดยสะดวก  แน่นอนว่าสำหรับคุณชายน้อยผู้กระตือรือร้นของตำหนักชุนเกอคำเอ่ยห้ามใดที่ดังขึ้นล้วนไม่ต่างกับลมพัดผ่านหู  วูบเดียวคนก็ปราดถึงหน้าประตูแล้ว
มือเล็กที่คล่องแคล่วทั้งสองผลักบานประตูเปิดออก  ร้องทักความเคยชินว่า
“ท่านพ่อ...”
แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นภาพที่เหลียนจิ้งเต๋อไม่มีทางคิดมาก่อนว่าจะได้พบเจอ
ท่านพ่อเป็นคนสูงโปร่ง  ส่วนท่านพ่อบุญธรรมเป็นคนแข็งแกร่งล่ำสัน เหลียนจิ้งเต๋อเคยเอาคนทั้งคู่มาเทียบกันแล้วรู้สึกว่าท่านพ่อบุญธรรมน่าจะหนักกว่าอยู่โข  เวลานี้ความต่างยิ่งชัดเจนเมื่อร่างสูงใหญ่ของพ่อบุญธรรมทาบทับอยู่เหนือร่างของท่านพ่อ  เฉดสีขาวดำที่ตัดกันสะท้อนเข้าไปในแววตาเบิกกว้างของเหลียนจิ้งเต๋อ  ให้ความรู้สึกแทบจะเป็นคุกคาม

เสื้อผ้าของคนทั้งคู่ยับยุ่งไม่เรียบร้อย  คอเสื้อสีขาวหลวมกว้าง  ส่วนบุรุษในอาภรณ์สีดำใช้เรียวปากประกบแนบกับริมฝีปากของท่านพ่อของเขา  ผ่ามือที่เคยกุมด้ามดาบจนหยาบกร้าน  ฝ่ามือที่เขาเคยนับถือเลื่อมใส  ในยามนี้กลับสอดหายเข้าไปในชายเสื้อสีขาว  สัมผัสนั้นคล้ายกับสร้างความทรมานบางอย่าง  ร่างสูงโปร่งของท่านพ่อจึงสั่นสะท้านไม่หยุดยั้ง  ใบหน้าแหงนเงยไปด้านหลัง  ครวญครางออกมาเบาๆ

เหลียนจิ้งเต๋อไม่เคยเห็นท่านพ่อเป็นอย่างนี้มาก่อน  ปรกติบุคลิกของท่านพ่อสูงศักดิ์จนยากจะเอื้อมถึง  เหลียนจิ้งเต๋อแทบจะไม่เคยเห็นท่านพ่อในสภาพที่สวมเสื้อไม่เรียบร้อย  อย่าว่าแต่ท่าทางปั่นป่วนควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้  เรียวคอที่แหงนไปด้านหลังวาดเป็นเส้นโค้งที่เย้ายวนเส้นหนึ่ง  สีแดงซ่านที่ปรากฏบนใบหน้ายิ่งมองยิ่งแฝงอารมณ์ไม่สำรวม
เหลียนจิ้งเต๋อได้ยินตัวเองตะเบ็งเสียงตะโกนออกไปว่า
“นี่พวกท่าน...กำลังทำอะไรกัน ! ”
สิบขวบแม้จะยังเด็ก  แต่มิได้เด็กถึงขนาดไม่เข้าใจว่าที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องราวใด
เมื่อตะโกนออกไปแล้วเหลียนจิ้งเต๋อจึงเห็นเงาร่างสูงโปร่งของบิดาสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง  คนทั้งคู่ผละจากกัน  แต่สายไปเสียแล้วสำหรับคำอธิบายใด  เพราะเมื่อแยกออกจากกันทุกสิ่งทุกอย่างก็ยิ่งชัดเจนสำหรับเหลียนจิ้งเต๋อ  ว่าคนตรงหน้าของเขาคนหนึ่งคือท่านพ่อ  ส่วนอีกคน...คือท่านพ่อบุญธรรม!
---------------------
เหลียนอันสุ่ยผลักตัวฉีเซี่ยงหยวนออกไป  ผวาร่างขึ้นมาจากโต๊ะ  มองใบหน้าซีดเผือดของบุตรชาย  หัวสมองกลับกลายเป็นว่างเปล่า  รีบร้อนจะก้าวเข้าไปอธิบาย  เสื้อผ้าแม้ไม่เรียบร้อยนักแต่โชคดีที่ยังไม่ได้ขาดชิ้นใด
เมื่อเห็นร่างของท่านพ่อก้าวเข้ามา  ร่างเล็กของเหลียนจิ้งเต๋อกลับถอยห่างออกไปหนึ่งก้าว  ใบหน้าอ่อนเยาว์ส่ายไม่หยุดยั้ง  พึมพำซ้ำๆว่า ‘ไม่จริง’  เมื่อเห็นบิดายังไม่หยุดก้าวเหลียนจิ้งเต๋อก็ตะเบ็งเสียงออกไปอย่างเสียขวัญว่า
“อย่าเข้ามานะ!”
เหลียนอันสุ่ยหยุดก้าว  แต่พยายามยื่นมือออกไปแทน  พูดเสียงแหบพร่าเหมือนคนไม่เคยรู้จักวิธีการพูดมาก่อนในชีวิตว่า
“จิ้งเอ๋อ  พ่อ...”
เหลียนจิ้งเต๋อกลับถอยกรูด  ปฏิเสธว่า
“ท่านไม่ใช่!  ท่านไม่ใช่ท่านพ่อของข้า  ไปให้พ้น!  อย่าเอามือของท่านมาแตะต้องตัวข้า” พูดจบก็หันหลังวิ่งหนีไป  ราวกับการวิ่งหนีจะสามารถปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่าง
เหลียนอันสุ่ยยืนนิ่ง  แข็งค้างอยู่ตรงนั้น
‘...ท่านไม่ใช่ท่านพ่อของข้า...’
เหลียนอันสุ่ยฟังออกถึงความเสียขวัญ เจ็บปวด ไม่ต้องการจะเชื่อ และหมดศรัทธา  ที่สะท้อนออกมาจากคำพูดประโยคนั้น  คำว่าไปให้พ้นของเหลียนจิ้งเต๋อเป็นการพยายามจะไล่ตัวตนของคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จัก  ดวงตาที่เบิกกว้างเรียกร้องให้คืนท่านพ่อของเขามา...ท่านไม่ใช่
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นฉีกทุกภาพมายาให้กลายเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง
สิ่งที่เขาปิดบังมาทั้งหมดในที่สุดก็ไม่มีประโยชน์แล้ว  ขาของเหลียนอันสุ่ยไม่มีแรง  ทรุดล้มลง  แต่มือแข็งแกร่งคู่หนึ่งกลับสอดเข้ามาประคองรับไว้  แผ่นหลังของเหลียนอันสุ่ยถูกดึงให้พิงลงกับแผ่นอกกว้าง  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยไม่มีประกาย  หัวเราะออกมาแผ่วเบา  พร้อมกับน้ำตาหยดหนึ่งที่ไหลออกมาอย่างแช่มช้า

เป็นความโลภมากของเขาเองที่ทำลายทุกอย่าง  พยายามต่อเวลา  บ่ายเบี่ยงให้กับตัวเอง  ขอแค่อีกวันเดียวอันใด...อีกวันเดียวทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว  ถ้าเขายินยอมเด็ดขาดสักหน่อย  จบเรื่องราวตั้งแต่เมื่อวาน  เรื่องเลวร้ายเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น  ถ้าเขามีความยับยั้งชั่งใจตัวเองสักหน่อย  เรื่องเลวร้ายเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
สวรรค์  ท่านต้องการลงโทษความโลภมากของข้าใช่หรือไม่  ...ที่แท้อีกแค่วันเดียวก็ไม่ได้ 
“ในที่สุดก็ไม่ต้องปกปิดอีกต่อไปแล้ว...ในที่สุดการปกปิดก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว  ที่แท้การพยายามปกปิดทั้งหมดล้วนกระทำไปอย่างสูญเปล่า  ...เพราะข้าเอง...เป็นเพราะข้าเอง...” เสียงพึมพำเบาๆยังคงเจือด้วยเสียงหัวเราะ  เป็นเสียงหัวเราะที่ปวดร้าวขมขื่น  ในเสียงหัวเราะเจือรอยของหยาดน้ำตา  แววตาว่างเปล่ายังคงอ่อนโยนสุดประมาณ  แต่ว่างเปล่าปราศจากสิ่งใด  และแววตานี้กรีดเป็นแผลลึกในใจของเป่ยชางอ๋อง
ปลายนิ้วสากของฉีเซี่ยงหยวนปาดเช็ดหยาดน้ำตาออกจากใบหน้าของอีกฝ่ายแผ่วเบา  ปลายนิ้วสั่นระริก  แต่น้ำเสียงกลับมั่นคงหนักแน่น
“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของท่าน  เป็นข้าที่เริ่มเรื่องทุกอย่าง  เป็นข้าที่ประมาทขาดความยับยั้งชั่งใจ  ...เป็นข้าที่ทำร้ายท่าน” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนมีแววเศร้าเสียใจอย่างแท้จริง 
เหลียนอันสุ่ยยังคงไม่มีปฏิกิริยาใด
ฉีเซี่ยงหยวนจึงโน้มใบหน้าลงมาช้าๆ  กระซิบที่ริมหูอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงปลอบโยนว่า
“เหลียนอันสุ่ย  ไม่เป็นไร  ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนไม่เป็นไร...ข้าจะคืนเขาให้ท่าน”
เทียบกันแล้วสติของฉีเซี่ยงหยวนกลับคืนมาเร็วกว่าเหลียนอันสุ่ยมาก  บางทีคงเป็นเพราะได้รับการกระทบกระเทือนไม่มากเท่า  ขณะที่เหลียนอันสุ่ยพูดคุยกับบุตรชายฉีเซี่ยงหยวนแม้หาจังหวะแทรกเข้าไปไม่ได้  แต่ในใจได้ลอบตกลงใจจะกระทำเรื่องราวประการหนึ่ง
ปลอบเหลียนอันสุ่ยอยู่พักใหญ่  ใบหน้าซึมเซาของเหลียนอันสุ่ยยังคงไม่โต้ตอบอะไร  น้ำตาไม่ได้ไหลออกมาอีก  ท่าทีสงบลงบ้าง  ฉีเซี่ยงหยวนก็ผละจากไป  เขายังมีเรื่องที่ต้องไปทำ...
---------------------
ห้องของเหลียนจิ้งเต๋ออยู่ที่ปีกฝั่งตะวันออกของตำหนักชุนเกอ
เสียงเปิดประตูดัง ‘ปัง’
ทำให้เหลียนจิ้งเต๋อที่นั่งอยู่ในห้องตวาดออกไปทันทีโดยไม่หันไปมองว่า
“ไปให้พ้น  ไม่ว่าใครก็ไสหัวไปให้พ้น!”
“ไสหัวไป?  เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาให้ข้าไสหัวไป” เสียงเย็นเยือกที่เจือแววขำเสียงหนึ่งดังมา
เหลียนจิ้งเต๋อที่นั่งก้มหน้าอยู่บนเตียงเงยหน้าขึ้นมาทันควัน  เห็นคนเข้ามาเป็นพ่อบุญธรรมก็ร้องว่า
“ท่านนั่นแหละไสหัวไปซะ”
สายตาของฉีเซี่ยงหยวนกวาดมองไปทั่วๆ  ท่าทางไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด  กล่าวตอบว่า
“ตำหนักนี้เป็นของข้า  ชีวิตของพวกเจ้าทุกคนก็เป็นของข้า  มีแต่ข้าจึงสามารถใช้คำว่าไสหัวไป” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนแช่มช้าชัดเจน
เหลียนจิ้งเต๋อกระชากเสียงว่า
“ชีวิตข้าไม่ใช่ของท่าน  ท่านไม่ใช่พ่อบุญธรรมของข้าอีกแล้ว  คนต่ำทรามแบบพวกท่าน...”
ไม่รอให้เหลียนจิ้งเต๋อเอ่ยจบ  ฉีเซี่ยงหยวนก็หัวเราะ เอ่ยสวนว่า
“ชีวิตของเจ้าน่ะหรือไม่ใช่ของข้า  ชีวิตเจ้าน่ะมีค่านักเชียว  ถ้าไม่มีชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือข้าบิดาของเจ้าก็คงไม่ว่าง่ายปานนี้  อันที่จริงข้าก็ไม่ได้อยากเป็นพ่อบุญธรรมของเจ้านัก  เพราะเจ้าไม่ใช่เป้าหมายของข้ามาตั้งแต่แรก  แต่ใครใช้ให้เหลียนอันสุ่ยเห็นชีวิตเจ้าสำคัญยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง  ดังนั้นเพื่อให้ได้ตัวเหลียนอันสุ่ย  ข้าก็ต้องได้เจ้ามาก่อน”
ดวงตาของเหลียนจิ้งเต๋อเบิกกว้าง  ร้องว่า
“แก  แกทำอะไรท่านพ่อ!”
“ข้าทำอะไรบิดาของเจ้า  เจ้าคงไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดไม่เข้าใจกระมัง  วันนี้ข้าไม่ได้ต้องการมาอธิบายอะไรให้เจ้าฟัง  เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของข้า  แต่ข้ามาเพื่อสั่งและเจ้าต้องฟัง  ทำตัวเป็นเด็กดีอยู่เงียบๆของเจ้าไป  ทุกเรื่องราวข้าจะเป็นคนกำหนดเอง  อย่าทำอะไรนอกลู่นอกทาง  อ้อ  เรื่องที่ข้าจะเป็นพ่อบุญธรรมของเจ้าหรือไม่เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสิน  เข้าใจหรือไม่ลูกบุญธรรมตัวน้อยของข้า” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนเผด็จการอย่างร้ายกาจ  ราวกับยึดถือว่าตัวเองสามารถบงการฟ้าดิน  เผยตัวตนอีกด้านที่เหลียนจิ้งเต๋อไม่เคยได้เห็นออกมาจนหมดสิ้น

 “แกมันชั่วช้า  วิปริตที่สุด!  เรื่องแบบนั้น...แกบังคับท่านพ่อ!” เหลียนจิ้งเต๋อชี้หน้าอีกฝ่าย  แววตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
ฉีเซี่ยงหยวนเห็นดังนั้นก็เหยียดยิ้ม
“อ้อ  ตอนนี้มาทำตัวกตัญญูแล้วหรือ  แล้ววาจาอกตัญญูก่อนหน้านี้เอาไปทิ้งไว้ที่ไหนเสียเล่า  ข้าอยากจะให้บิดาของเจ้ามาได้ยินเสียจริง  ว่าเด็กที่เขายอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องไว้  เรียกหาเขาเป็นคนต่ำทราม”
เหลียนจิ้งเต๋อตวาดด้วยเสียงแทบจะเป็นคำราม
“คนต่ำทรามคือแก  ไม่เกี่ยวกับท่านพ่อ  แกมันชั่วร้าย” พูดพลางถลาเข้ามาจะทุบตีคนเลว  น่าเสียดายที่เพิ่งจะทุบไปได้แค่คราเดียวก็ถูกมือใหญ่หิ้วคอเสื้อขึ้นมา  เหลียนจิ้งเต๋อยังคงดิ้นรนจะไปทำร้ายคนตรงหน้า  แต่หมัดกับเท้าเล็กๆนั่นดูจะไม่ได้ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนสะทกสะท้าน  มือใหญ่พลิกร่างเล็กกดลงกับพื้น  มืออีกข้างรวบแขนที่ฤทธิ์มากบิดไพล่หลัง  เหลียนจิ้งเต๋อพยายามจะตีขาขึ้นมา  แต่ไม่อาจฟาดโดนผู้ใด
คนที่เหนือกว่าอย่างทาบไม่ติดโน้มตัวลงไป  หัวเราะในลำคอพลางกล่าวว่า
“คิดจะทำร้ายข้า  เจ้าต้องมีฝีมือมากกว่านี้  เอาไว้วันไหนฝีมือเจ้าเทียบชั้นข้าได้  แล้วค่อยมาท้าสู้กับข้าเถอะ”
พูดจบมือใหญ่ก็คลายออก  มองเหลียนจิ้งเต๋อที่ตะเกียกตะกายลุกขึ้นได้ก็ถอยไปตั้งหลักไกลหลายก้าว  พลางผุดลุกขึ้นตาม 
สีหน้าของเหลียนจิ้งเต๋อระแวดระวังอย่างเต็มพิกัด  แต่ฉีเซี่ยงหยวนดูเหมือนจะไม่สนใจ  ลุกขึ้นได้ก็เดินไปที่ประตู
“นั่นแกจะไปไหน”
คิ้วหนาของฉีเซี่ยงหยวนเลิกขึ้น  จากนั้นดวงตาก็ปรากฏแววร้ายกาจ
“ข้าไปไหนไม่มีความจำเป็นต้องรายงานเจ้า  พฤติกรรมแย่ๆของเจ้าเอาไว้ข้าค่อยไปคิดบัญชีจากบิดาของเจ้าแล้วกัน  ตอนนี้ไม่รู้ว่าบิดาเจ้า...”
ยังไม่ทันจบประโยค  เจ้าของห้องวัยสิบขวบก็วิ่งถลาผ่านหน้าไปแล้ว
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนเดินตามด้วยฝีเท้าไม่ช้าไม่เร็วตรงไปที่หน้าห้องนอนของเหลียนอันสุ่ย  ที่เดียวกับที่เขาทิ้งอีกฝ่ายไว้
ไม่ผิดจากที่คาดยังไม่ทันเปิดประตูเข้าห้องไปก็เจอเด็กคนหนึ่งขวางไว้ก่อน  สีหน้าที่กระหืดกระหอบวิ่งมายังไม่หายเหนื่อยนั้นเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง  ให้ตายก็ไม่ยินยอมให้ผ่านไป
“หลบไป” ฉีเซี่ยงหยวนออกคำสั่ง
“ข้าไม่หลบ!” เหลียนจิ้งเต๋อตอบ 
เถียงกันอีกพักใหญ่  เหลียนจิ้งเต๋อก็ยังไม่ยอมถอย  มือใหญ่เอื้อมออกมาจะผลักประตูก็ถูกมือเล็กคว้าไปกัดจนจมเขี้ยว  ฉีเซี่ยงหยวนต้องใช้แรงจากมืออีกข้างจึงสามารถผลักร่างเล็กกว่าออกไปห่างๆจากมือเขาได้
เสียงเอะอะดังไปถึงห้องด้านใน  เหลียนอันสุ่ยรีบร้อนเปิดประตูออกมา  พบบุตรชายอยู่หน้าห้องก็มีสีหน้าตะลังงันไป  แม้เสียงที่ลอดเข้าไปจะเป็นเสียงบุตรชายแต่เหลียนอันสุ่ยก็ยังไม่กล้าเชื่อ  จนเมื่อภาพดังกล่าวปรากฏแก่สายตาจริงๆ
“จิ้งเอ๋อ”
เหลียนจิ้งเต๋อหันขวับไปเห็นท่านพ่อก็รีบกางมือออก  ใช้ร่างตัวเองดันร่างท่านพ่อเข้าไปด้านใน  ปากกล่าวว่า
“ท่านพ่อ  ท่านอย่าออกมา  เจ้าคนสารเลวนั่นจะทำร้ายท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ  กล่าวว่า
“เจ้าเข้าใจว่าอาศัยเจ้าก็ขวางข้าได้ ? ”
“อยากมากก็แค่ตาย  ข้าไม่กลัวท่านหรอก”
“ถือว่าเจ้าโชคดีเพราะข้ายังมีงานอื่นต้องไปทำ  แต่ถ้าเจ้าเข้าใจว่าเฝ้าหน้าห้องได้ตลอดก็เฝ้าไป” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวจบ  เหลือบสายตามองเหลียนอันสุ่ยคราหนึ่ง  แล้วก็ผละจากไป
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนจากไปพักใหญ่แล้ว  แต่เหลียนจิ้งเต๋อยังคงไม่เข้าไปในห้อง  พูดให้ถูกคือเท้าปักหลักไม่ก้าวไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว
“จิ้งเอ๋อ  เข้ามาด้านในเถอะ”
“ไม่ได้  ไม่รู้ว่าเจ้าคนชั่วนั่นจะมาเมื่อไหร่” เหลียนจิ้งเต๋อตอบบิดา
“จิ้งเอ๋อ  พ่อ...พ่อมีเรื่องต้องพูดกับเจ้า”
“ท่านไม่ต้องพูดอะไรข้าเข้าใจหมดแล้ว  เจ้าคนบ้านั่นใช้ชีวิตข้ามาข่มขู่ท่าน  ดังนั้นไม่ว่าท่านจะทำอะไรผิดไปล้วนทำเพื่อข้า  ข้าไม่โกรธท่านหรอก  จิ๋งเอ๋อขอโทษที่วาจาก่อนหน้านี้กล่าวออกไปอย่างอกตัญญู  แต่ท่านพ่อวางใจตราบใดที่มีข้าอยู่จะไม่มีใครทำร้ายท่านได้อีก  ตอนแรกเป็นท่านปกป้องข้า  ครั้งนี้ข้าจะเป็นคนปกป้องท่านเอง!”
เหลียนอันสุ่ยมองแผ่นหลังเล็กที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา  ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดท่าทีของเหลียนจิ้งเต๋อจึงคล้ายกลายเป็นคนละคน
‘...ข้าจะคืนเขาให้ท่าน’ คนผู้หนึ่งกล่าวไว้เช่นนี้
---------------------
บทบาทคนดีเป็นของเหลียนอันสุ่ย  ส่วนบทบาทชั่วร้ายไม่มีใครถนัดไปกว่าฉีเซี่ยงหยวน  อันที่จริงระหว่างพวกเขาตัวตนภายนอกก็ตัดกันดุจเดียวกับสีอาภรณ์ขาวดำ

ฉีเซี่ยงหยวนแม้เอ็นดูเหลียนจิ้งเต๋ออยู่ไม่น้อย  แต่เขายอมแลกความเลื่อมใสที่เด็กคนนั้นมีต่อเขากับการคืนบุตรชายเพียงคนเดียวให้กับเหลียนอันสุ่ย เพราะมันคุ้มค่านัก 
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ปั้นเรื่องขึ้นมาเอง  แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ  เขาบังคับเหลียนอันสุ่ย  ใช้เหลียนจิ้งเต๋อมาข่มขู่เหลียนอันสุ่ย  เหลียนอันสุ่ยไม่ใช่คนผิดมาตั้งแต่แรก  หากจะมีคนหนึ่งที่ผิดคนๆนั้นก็คือเขา  และฉีเซี่ยงหยวนรับผิดชอบทุกการกระทำของตัวเองตลอดมา
ในหัวของฉีเซี่ยงหยวนปรากฏภาพเหลียนจิ้งเต๋อกางแขนขวางหน้าประตู  มุมปากปรากฏรอยยิ้มจางๆ
บางทีตอนนี้เหลียนจิ้งเต๋อก็ยังคงเฝ้าอยู่  คำพูดอกตัญญูทั้งหมดที่เคยกล่าวใช้ความทุ่มเทนี้ของเจ้าลบล้างมันไปเถิด

ออฟไลน์ BlueHoney

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

 :L2: :L2:
เวลาว่างๆ จะเลือกเอาตอนใดตอนนึงในเรื่องนี้มาอ่าน
บอกได้เลยว่า ไม่ว่าอ่านตอนไหน กี่รอบก็สนุก
ยิ่งอ่าน ก็ได้ค้นพบบางความหมาย และเข้าใจบางอย่างมากขึ้น
เพราะเรารู้จักพวกเค้าหมดแล้ว จำได้แล้ว
พอได้ละเลียดอ่าน ยิ่งรู้จักพวกเค้า ความซับซ้อนในตัวตนความมีชีวิต
แบบว่าบางบรรทัด อ่านแล้วก็ได้แต่คิดว่า หลงรักเรื่องนี้จัง ดีใจจังที่ได้อ่าน


ตอนสองสัปดาห์นั่น ทำเราร้องไห้มาทั้งสามรอบที่อ่าน คุณแน่มาก o13
รักเรื่องนี้เหมือนเดิม

เป็นกำลังใจให้นะคะ
 :กอด1:

ออฟไลน์ Alone Alone

  • ขอตายในอ้อมกอดฮยอกแจ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
เฉียงหยวนเสียใจอีกแล้ว T_T

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ _himura_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาเป็นกำลังใจให้ค่ะื  รักเรื่องนี้มากๆ ทุกๆอย่างของเรื่องนค้สึนสุดยอด จนไม่รู้จะอธิบายยังไง มาต่อไวไวนะคะ o13

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 52
«ตอบ #141 เมื่อ09-10-2014 15:08:48 »

บทที่ 52 ช่วงวันอันไม่อาจลืมเลือน...ชุนเกอ

ฉีเซี่ยงหยวนกลับสู่ตำหนักเยี่ยอวิ๋นด้วยท่าทีครุ่นคิด  คิดไม่ถึงต้าอ๋องที่มีอำนาจล้นฟ้าเช่นเขาก็มีวันไม่มีที่ไปจนต้องกลับตำหนักตัวเองเหมือนกัน  แต่ฉีเซี่ยงหยวนตัดสินใจแล้วว่าช่วงนี้เหลียนอันสุ่ยเพิ่งได้บุตรชายคืนมา  คงต้องการเวลาใกล้ชิดกันซักพัก  ส่วนความบาดหมางระหว่างเขากับเหลียนจิ้งเต๋อย่อมต้องมีวันที่สะสางได้  ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน  ตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่สมควรไปเยือนตำหนักเสียงวสันต์  สิ่งที่สมควรทำคือสะสางปัญหาอื่น

ที่ตำหนักเยี่ยอวิ๋น  ฉีเซี่ยงหยวนได้พบแม่นมตู้
ตู้ฮูหยินมาถึงพักใหญ่แล้ว  นั่งรอคอยบุรุษที่นางเลี้ยงมากับมือด้วยสีหน้าอันมุ่งมั่นเยือกเย็น  วันนี้นางจำเป็นต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง  จะไม่ยอมให้หลบหน้าอีก
ฉีเซี่ยงหยวนชะงักแต่ไม่ได้แปลกใจ  เพราะทราบว่าข่าวที่วนเวียนอยู่รอบนอกต้องทำให้อีกฝ่ายมาขอเข้าเฝ้าเขาแน่นอน
ตู้ฮูหยินอายุจะห้าสิบปีแล้ว  มือขวากุมไม้เท้าที่จัดทำอย่างประณีตด้ามหนึ่ง  บนใบหน้าชราเหี่ยวย่นยังคงเปี่ยมด้วยสง่าราศีที่น่าเกรงขาม  ในแววตาสุขุมเรียบเฉยตอนนี้มีความกังวลฉายชัด
ฉีเซี่ยงหยวนลอบกลืนน้ำลาย  เขาเพิ่งด่าเหลียนจิ้งเต๋อกล่าววาจาอกตัญญู  แต่ดูเหมือนตัวเขาก็ทำตัวอกตัญญูเหมือนกันที่จงใจปล่อยให้สตรีตรงหน้าเป็นกังวล  แต่นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้  การที่ตู้ฮูหยินได้ยินได้ฟังข่าวมาก่อนจะทำให้ทำใจรับความเป็นจริงได้ง่ายขึ้น...อย่างน้อยฉีเซี่ยงหยวนก็หวังไว้เช่นนั้น
“มาเข้าเฝ้าโดยพลการ  ขอต้าอ๋องโปรดประทานอภัย” นางถึงกับลุกจากเก้าอี้  ถวายบังคมเต็มพิธีการ
ฉีเซี่ยงหยวนรีบร้อนเข้าไปประคอง 
“ท่านแม่นมอย่าทำแบบนี้  หลังท่านไม่ค่อยดี  นั่งเก้าอี้เถิด”
เรียวปากของผู้สูงวัยปรากฏรอยยิ้มวูบหนึ่ง  ดวงตามีแววเต็มตื้น  เหลือบตาขึ้นมองบุรุษผู้ยิ่งใหญ่  ที่ในวันวานเคยเป็นทารกตัวน้อยบนตักนาง
ฉีเซี่ยงหยวนกลับมีสีหน้าหนักใจ  ตู้ฮูหยินเริ่มมาก็ดำเนินแผนทรมานตัวเอง  เห็นได้ชัดว่าเรื่องในคราวนี้จะไม่ยอมรามือโดยง่ายดาย
“ต้าอ๋อง  หญิงชรามักเลอะเลือน  ช่วงนี้ข้ากลับเลอะเลือนจนถึงขั้นได้ยินข่าวคราวอันเหลวไหลมา  ข้าทราบว่ามันไม่มีทางเป็นความจริงเพราะข้ารู้จักท่านดี  แต่คนภายนอกไม่เป็นเช่นนั้น  ท่านควรแต่งตั้งพระชายาในเร็ววัน  ข่าวลือที่ไม่ดีนี้จะได้ซาลงไปเอง”
ตู้ฮูหยินไม่เชื่อข่าวลือไร้สาระเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบุรุษตรงหน้ากับพระมาตุลาต่างแคว้น  แต่ข่าวลือที่ไร้สาระถึงขั้นนี้  แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นมาโดยปราศจากมูลเหตุ  ในความไม่เชื่อจึงยังมีความระแวงแฝงอยู่บ้าง  แต่จุดประสงค์หลักของนางในวันนี้คือเกลี้ยกล่อมให้ฉีเซี่ยงหยวนแต่งตั้งพระชายา
ลมหายใจของฉีเซี่ยงหยวนสะดุดไปเล็กน้อย ทราบว่าคำว่า ‘เลอะเลือน’ เป็นอีกฝ่ายประชดเพื่อตักเตือนเขา  การที่เหล่าสตรีทั้งหลายในวังหลวงกริ่งเกรงตู้ฮูหยินมิใช่ไม่มีสาเหตุ  ตู้ฮูหยินมิใช่สตรีที่ชมชอบพูดมาก  แต่วาจาของนางแฝงความหมายเสมอ  น่าเสียดายที่ครั้งนี้เขาต้องทำตัว ‘เลอะเลือน’ จริงๆแล้ว
“ข่าวอันเหลวไหลไม่ใช่ข่าวอันเหลวไหล  เรื่องระหว่างข้ากับพระมาตุลาแคว้นเหลียนเป็นความจริง  หวังว่าท่านแม่นมจะเข้าใจ”

ดวงตาของผู้มากวัยกว่าเบิกค้าง  รู้สึกเหมือนจะหน้ามืดกะทันหัน  ตู้ฮูหยินภูมิใจตลอดมาที่แม้หลังของนางจะไม่ดี  แต่สายตากับหูยังคงดียิ่ง  หากคราวนี้นางรู้สึกเหมือนหูตัวเองจะใช้การไม่ได้เสียแล้ว  จึงได้ยินผิดเพี้ยนไปถึงขั้นนี้ได้
เห็นมือที่กุมไม้เท้าอย่างมั่นคงของอีกฝ่ายสั่นระริก  ฉีเซี่ยงหยวนรีบกุมมือใหญ่ทับลงไปบนนิ้วมืออันเหี่ยวย่น   
ตู้ฮูหยินกำไม้เท้าแน่น  พยายามสงบสติอารมณ์  มือซ้ายยกขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย  กล่าววาจาออกมาอย่างยากลำบากว่า
“ที่...ที่แท้  สวรรค์  ไม่จริงใช่หรือไม่  ต้าอ๋อง  ท่าน...พลาดไปได้อย่างไร”
“ท่านแม่นม  มันไม่ใช่ความผิดพลาด  ข้ารักเขา  ตั้งแต่เล็กจนโตข้าทำตัวเหลวไหลมามากมาย  แต่ครั้งนี้ไม่ใช่  ไม่ว่าก่อนหน้านี้ข้างกายข้าจะเคยมีใครมากี่คน  แต่คนเหล่านั้นเทียบไม่ได้กับเหลียนอันสุ่ย  ใจของข้าไม่เคยทรมานเพราะใครขนาดนี้  และไม่เคยมีความสุขเพราะใครขนาดนี้  ยิ่งไม่เคยห่วงคำนึงถึงใครขนาดนี้”
หญิงชราผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแรง  พึมพำว่า
“เหลวไหล...” นางใกล้เป็นบ้าเต็มที  เหตุไฉนเหตุการณ์จึงออกมาเป็นรูปนี้  เด็กที่นางเลี้ยงมากับมือสุดท้ายกลับ...สุดท้ายกลับไปชมชอบบุรุษ  นางเกือบจะพูดออกไปแล้วว่ามันก็เป็นแค่ความหลงเหมือนกับครั้งก่อนๆ  เป็นแค่ความชอบพอเพราะรู้สึกว่าท้าทายที่ได้ทำลายกฎเกณฑ์  แต่ทว่า...
‘...ใจของข้าไม่เคยทรมานเพราะใครขนาดนี้  และไม่เคยมีความสุขเพราะใครขนาดนี้  ยิ่งไม่เคยห่วงคำนึงถึงใครขนาดนี้’
ตู้ฮูหยินหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้มาอ้อนวอนนางมาก่อน  กับเรื่องคนที่ชอบพอที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างมากก็มีปากเสียงกับนาง  คัดค้านจะทำให้ได้  แต่ในน้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนคราวนี้กลับมีความเจ็บปวดอย่างแท้จริง  ตู้ฮูหยินย่อมทราบ  ความรักแท้จริงคือความทรมานอย่างหนึ่ง  ยิ่งรักมากก็ยิ่งยึดติด  ยิ่งอยากไขว่คว้าเอามาก็ยิ่งทรมาน  ความรักในวังหลวงสุดท้ายมักมีจุดจบที่ความทรมานเสมอ  เพราะรักที่สมหวังในวังหลวงมีไม่มากเลย
ในที่สุดบุรุษที่ไม่เคยยึดติดกับอะไรมากมายผู้นี้  ก็มีวันทุกข์ทรมานเพราะความรักแล้ว

หญิงชราสูดลมหายใจลึก  พยายามตั้งสติ  เอ่ยว่า
“ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องมีชายา  ปัญหาเรื่องข่าวจริงข่าวเท็จเอาไว้ก่อน  ต้าอ๋อง  ท่านต้องเลือกแล้ว  แล้วหญิงชราผู้นี้จะช่วยเหลือท่านอีกแรงหนึ่ง”
“กับการคัดเลือกชายาข้าก็มีเรื่องที่ต้องขอร้องท่านแม่นม...”
หญิงชราเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่คนที่ชมชอบใช้คำว่าขอร้องบ่อยนัก  ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวต่อว่า
“...เสิ่นชิงอี  ตัดชื่อนางออกเสีย”
ตู้ฮูหยินสีหน้าเคร่งเครียด  คิ้วขมวดอย่างไม่เข้าใจ  ถามว่า
“เพราะอะไร ? ”
“เพราะนางมีค่ากว่านั้น  นางเป็นเพื่อนข้า  ส่วนข้าไม่มีทางรักนางได้  ข้าจะไม่ยอมให้นางต้องเอาวัยสาวมากลบฝังอยู่ในกรงขังที่มีชื่อว่าตำหนักใน  ดังนั้นในผู้หญิงเป็นร้อยเป็นพันข้างนอกนั่น  ตำแหน่งชายาอาจเป็นของใครก็ได้  แต่ต้องไม่ใช่ชิงอี” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนหนักแน่น
ท่าทีของตู้ฮูหยินสงบลง  หรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด  ไม่ได้กล่าวอะไร
ฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่ายแล้วกล่าวว่า
“ข้ารู้ว่านางเป็นตัวเลือกที่ดี  ไม่ว่าใครก็พูดเหมือนกันว่านางเป็นตัวเลือกที่ดี  แต่ข้าจะทำสิ่งเห็นแก่ตัวแบบนั้นกับนางไม่ได้  ใครก็ตามที่แต่งงานกับข้าจะเป็นได้แค่หมากตัวหนึ่งในกระดานของการเมือง  ไม่มีเรื่องของความรัก...เพราะข้ารักคนอื่นไปแล้ว”
---------------------
ชีวิตช่วงนี้ของเหลียนจิ้งเต๋อมีหลายวันที่ไม่อาจลืมเลือนได้โดยง่ายนัก
หนึ่งในนั้นคือวันที่เกิดเรื่องราวในห้องหนังสือ  ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพ่อบุญธรรมที่หลงเทิดทูนมาโดยตลอด  เย็นนั้นหลังเฝ้าอยู่หน้าห้องบิดาจนเหน็ดเหนื่อย  เหลียนจิ้งเต๋อก็ขดตัวนั่งลงบนพื้น  มือทั้งสองกอดเข่าแน่น  ร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ  เขากลับไม่เคยรู้มาตลอด  ไม่เคยรู้อะไรเลย! 
เห็นเพียงความเจ็บปวดของท่านพ่อ  แต่ไม่เคยสืบสาวหาสาเหตุอย่างจริงจัง  เข้าใจว่าอยู่ข้างๆก็เพียงพอ  หาทราบไม่ว่าเพราะมีเขาอยู่ข้างๆท่านพ่อจึงปราศจากทางเลือกอื่นใด  หาทราบไม่ว่าตัวเขาเองที่เป็นหนึ่งในต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด !

‘...ถ้าไม่มีชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือข้าบิดาของเจ้าก็คงไม่ว่าง่ายปานนี้...’

เหลียนจิ้งเต๋อซุกหน้าลงกับเข่าร่ำร้องท่ามกลางเสียงสะอึกสะอื้นอย่างทรมานว่า ‘ข้าผิดเอง  ข้าขอโทษ’ ซ้ำไปซ้ำมา 
คำทุกคำของฉีเซี่ยงหยวนกรีดแทงเป็นแผลลึก  คล้ายพลองด้ามหนึ่งที่หวดฟาดเข้ามาอย่างหนักหน่วง  บังคับให้เหลียนจิ้งเต๋อจดจำทุกถ้อยความ  ทุกความหมาย
ประตูไม่ได้ปิด  เหลียนอันสุ่ยที่หายเข้าไปหยิบเบาะรองนั่งรีบร้อนกลับออกมา  จับจ้องภาพดังกล่าวอย่างตะลึงงัน 
“จิ้งเอ๋อ!” อุทานอย่างตกใจ  นานมากแล้วที่เหลียนจิ้งเต๋อไม่ได้ร้องไห้หนักขนาดนี้  รีบก้าวเข้ามา นั่งลงข้างกัน  โอบบ่าร่างเล็กเอาไว้
เหลียนจิ้งเต๋อหันไปกอดคอบิดา  ร้องไห้แล้วกล่าวว่า
“เป็นจิ้งเอ๋อไม่ดี  ทำให้  ทำให้ท่านพ่อต้องมาเจอเรื่องแบบนี้  ท่านพ่อไม่อยากมีลูกอย่างจิ้งเอ๋อแล้วใช่หรือไม่  เด็กที่ไม่มีประโยชน์พรรค์นี้  เด็กที่  เด็กที่เอาแต่หาเรื่องแย่ๆมาให้ท่าน  ฮึก  จิ้งเอ๋อขอโทษ” พูดจบก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม
ใจของเหลียนอันสุ่ยเจ็บแปลบ  ใช้สองมือกอดครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวไว้  พึมพำว่า
“จิ้งเอ๋อไม่ผิด  เป็นพ่อเอง  เป็นพ่อที่ไม่ดี  จิ้งเอ๋ออย่าโทษตัวเอง...”
ฉีเซี่ยงหยวนท่านคืนเด็กคนนี้ให้ข้าก็จริง  แต่วาจาของท่านก็ฝังเป็นฝันร้ายอยู่ในจิตใจของเด็กคนนี้ด้วย  การรับทราบความจริงมิใช่เรื่องดีเสมอไป  เรื่องที่ข้าพยายามปกปิดท่านกลับพูดออกมาง่ายๆเช่นนี้เอง  เหลียนอันสุ่ยไม่ทราบว่าตัวเองสมควรจะโกรธบุรุษชาวเป่ยชางผู้นั้นหรือไม่  แต่ในใจกลับโกรธไม่ลง  เพราะทราบดีว่าเนื่องจากฉีเซี่ยงหยวนมีความเห็นว่าวิธีจัดการปัญหาที่ดีที่สุดคือเผชิญหน้ากับความเป็นจริง  ฉีเซี่ยงหยวนจึงเลือกเช่นเดียวกันให้กับผู้อื่นด้วย

หลังจากร้องไห้อย่างหนักในคืนนั้นเหลียนจิ้งเต๋อก็มิได้ร้องไห้อีก  ท่านพ่อเองก็ดูสงบลงมาก  มีบางช่วงเวลาที่จมอยู่ในการครุ่นคิด  บางวันก็ไปขลุกตัวอยู่ที่โรงหมอตั้งแต่เช้าจรดค่ำ  สายตาที่มองเขาไม่ได้หลบเลี่ยงหรือเจือด้วยความละอายเหมือนครั้งก่อนเก่า สำหรับเหลียนจิ้งเต๋อท่านพ่อกลับมาเป็นท่านพ่อคนเดิมก่อนเกิดสงครามระหว่างเป่ยชางกับแคว้นเหลียน  บางครั้งเหลียนจิ้งเต๋อจะเห็นท่านพ่อเดินหมากคนเดียว  สายตาเหมือนกำลังใคร่ครวญสิ่งใด  และบางครั้งเหลียนจิ้งเต๋อก็จะเห็นท่านพ่อมองกระดานหมากด้วยแววตาซับซ้อนที่คล้ายกับแฝงเร้นด้วยอารมณ์โหยหาเจ็บปวด
---------------------
ชุนเกอ...บทเพลงแห่งห้วงวสันต์  ลำนำแห่งบุปผา  ผลิบานตรึงตา  ร้อยเรียงสรรพสำเนียงเป็นหนึ่ง  นี่จึงเป็นตำหนักเสียงวสันต์ที่แท้จริง  ชุนเกอในฤดูใบไม้ผลิงดงามจนต้องทอดถอนอาลัย
ดอกไม้ผลิบานนอกชายคาเรือน  ความสวยงามในอดีตผลิบานในความทรงจำ
จากความผิดบาปครั้งนั้นล่วงเลยมาเกือบสามฤดู  เหลียนอันสุ่ยจึงสามารถวางมันลงเป็นครั้งแรก  เวลาค่อนปีที่ไม่อาจมองหน้าบุตรชายได้โดยสนิทใจสร้างเป็นระยะห่างช่วงหนึ่งซึ่งเหลียนอันสุ่ยเข้าใจตลอดมาว่ามันไม่อาจลบเลือนหายไปได้  แต่หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านพ้น  เขากลับเหมือนได้บุตรชายคืนมาอย่างแท้จริง  เป็นบุตรชายตัวน้อยเมื่อหลายปีก่อน

ตั้งแต่คำขู่ครั้งนั้นของฉีเซี่ยงหยวน  เหลียนจิ้งเต๋อก็แทบจะผูกติดอยู่กับเขา  เวลาต้องไปเรียนทีก็อิดออด  จนเหลียนอันสุ่ยต้องบอกว่า ‘หากไม่มีความรู้  วันหน้าย่อมไม่อาจวางใจพึ่งพา’  เด็กชายวัยสิบขวบจึงค่อยยินยอมไปเรียนอย่างว่าง่าย  พอเลิกเรียนก็รีบเผ่นแผลวกลับมา  ตอนกลางคืนถึงกับย้ายหมอนย้ายผ้าห่มเข้ามาขอส่วนแบ่งเตียง  แล้วคนที่เอ่ยปากอย่างมุ่งมั่นว่า ‘จะคอยเฝ้าพิทักษ์ท่านพ่อ’  หัวถึงหมอนไม่นานก็ไปเฝ้าพิทักษ์เทพเซียนบนสวรรค์

เหลียนอันสุ่ยมองเด็กที่หลับใหลบนเตียงเขาด้วยรอยยิ้มขัน  เด็กคนนี้หลับง่ายมาแต่ไหนแต่ไร  จำได้ว่าตอนช่วงเหลียนจิ้งเต๋อ 5-6 ขวบก็เป็นอย่างนี้  ชอบหอบหมอนหอบผ้าห่มมานอนที่ห้องเขา  ยิ่งคืนไหนฟ้าร้องฝนตกนอนไม่หลับก็ต้องมาปลุกให้ผู้อื่นไม่ได้หลับไม่ได้นอนไปด้วย  บางครั้งถึงกับแล่นไปเรือนคนรับใช้ลากตัวอิ๋งฮวากับเยี่ยนจื่อขึ้นมาจากเตียงเพื่อให้มาเล่นด้วยกัน  ขนาดหวังเชียนที่ยืนเฝ้าหน้าห้องเขาอย่างเคร่งครัดเงียบขรึมยังถูกลากเข้ามาร่วมวงด้วย  เหลียนจิ้งเต๋อชอบความครึกครื้นเสมอมา  ชอบบอกว่าในคืนที่ฝนพรำฟ้าผ่าก็ต้องหัวเราะให้ดังกว่าเสียงฟ้าผ่าจึงแสดงออกถึงความกล้าหาญปลอดโปร่งของผู้เหนือชั้น  แต่ ‘ผู้เหนือชั้น’ คนนี้พอฟ้าผ่าทีก็สะดุ้งทีเป็นประจำ  ไหนเลยมีภาพลักษณ์ของผู้กล้าหาญปลอดโปร่ง  ผู้ใหญ่ทั้งห้องย่อมไม่กล่าวเปิดโปง  มองดูเด็กชายตัวน้อยค่อยๆสะสมความกล้า กำจัดความกลัว และเติบโตขึ้น  ไม่นานหลังจากนั้นเหลียนจิ้งเต๋อก็สามารถหัวเราะคลอกับเสียงฟ้าผ่าได้จริงๆ

เมื่ออายุแปดขวบก็ละเลิกนิสัยชอบบุกรุกห้องนอนคนอื่นได้เด็ดขาด  เหลียนจิ้งเต๋อเห็นว่าตัวเองโตแล้วจึงไม่ควรทำตัวเป็นเด็กๆออดอ้อนบิดาอีก  อิ๋งฮวากลอกสายตาไปมาพอลับหลังก็เอ่ยว่า ‘คุณชายน้อยไม่มีทางทำได้จริงอย่างที่ปากพูดหรอก’   ไม่ทันขาดคำเด็กที่เห็นว่าตัวเองโตแล้วก็ดูเหมือนจะไปต้องตาม้าตัวหนึ่งในคอกเข้า  วิ่งถลาเข้ามาประจบบิดาขอม้าเป็นของตัวเอง  เหลียนจิ้งเต๋อในตอนนั้นรู้สึกว่านั่งอยู่บนหลังม้าควบทะยานนับว่าเป็นบุคลิกของวีรบุรุษ  เพื่อฝึกฝนเป็นวีรบุรุษในเร็ววันก็ต้องเริ่มจากหัดขี่ม้าให้เป็นก่อน อดีตเหล่านั้นเติมเต็มช่วงชีวิตที่ว่างเปล่าของเหลียนอันสุ่ยให้มีแต่รอยยิ้ม

แต่ความผิดบาปที่เกิดขึ้นในภายหลังกลับช่วงชิงมันไปจนหมดสิ้น  พระมาตุลาแคว้นเหลียนไม่เคยกล้าสู้หน้าบุตรชายอย่างแท้จริงอีกเลย  หากเหลียนอันสุ่ยไม่ได้โทษว่าว่าเป็นความผิดของฉีเซี่ยงหยวน  บางครั้งโชคชะตาก็มีท่วงทำนองของมัน  เส้นทางชีวิตสายหนึ่งสุขทุกข์ปะปน  คนเราย่อมไม่สามารถบังคับให้ทุกวันเป็นเหมือนเช่นวันวาน  เพราะชีวิตคนไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเปลี่ยนแปลง 
สงครามที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นพลิกผันทุกสิ่งทุกอย่าง  คนมีบ้านไร้บ้าน  คนมีแคว้นสิ้นแคว้น  คนมีครอบครัวเปลี่ยนเป็นกำพร้า  นั่นคือมูลค่าที่ต้องจ่ายของสงคราม
หลังจากสงครามครั้งนั้นตัวเขาก็จมลงสู่วังวนอันเจ็บปวดที่ดิ้นไม่หลุด  ทรมานเพราะความรู้สึกผิด  ปวดร้าวเพราะความหวั่นไหวที่ผิดบาป  พร้อมกับที่คนผู้หนึ่งได้ผ่านเข้ามาในชีวิต  ก้าวผ่านเข้ามาเพื่อที่จะผ่านไป  ก้าวผ่านเข้ามาเพื่อที่จะให้เขารัก...รักอย่างลึกซึ้ง
หากวังวนนั้นมีแต่ความเจ็บปวดก็คงดี  ความเจ็บปวดทำให้คนเหนื่อยล้าได้ง่าย  ละทิ้งได้ง่าย  แต่วังวนนั้นกลับมีความสุขด้วย  ตัวเขาจมลึกลงไปจนแทบจะลืมเลือนอดีต  ลืมเลือนว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเคยผ่านวันเวลามาอย่างไร
หากทุกอย่างสามารถย้อนทวนสู่จุดเริ่มต้น...ใช่จะดีกว่าหรือไม่ ? ...เหลียนอันสุ่ยตอบไม่ได้
---------------------
ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องในห้องหนังสือ  ฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่ได้เหยียบย่างเข้ามาในตำหนักเสียงวสันต์อีก  แต่ทุกครั้งที่เหลียนจิ้งเต๋อได้ยินผู้คนพูดถึงเป่ยชางอ๋องก็จะมีสีหน้าเกลียดชัง  จนเหลียนอันสุ่ยต้องเอ่ยปากถามว่า
“เหตุใดต้องเกลียดชังถึงเพียงนี้  เจ้ายิ่งเกลียดชังใจเจ้ายิ่งไม่สบาย  ทำร้ายตัวเองเพื่อสิ่งใด?”
สีหน้าบูดบึ้งของเหลียนจิ้งเต๋อยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  ขณะตอบบิดาว่า
“ท่านพ่อ คนเรามิใช่นึกอยากจะไม่เกลียดก็ไม่เกลียดได้  เรื่องของความรู้สึกห้ามกันได้เสียที่ไหน  ท่านต่างหากที่ประหลาด  เหตุใดจึงไม่เกลียดเล่า”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป  สุดท้ายตอบด้วยสายตาเหม่อลอยว่า
“จริงอยู่ความรู้สึกห้ามกันไม่ได้  แต่จิ้งเอ๋อ เจ้าทราบหรือไม่ว่าคนเรายังมีสิ่งที่หักห้ามยากกว่าความเกลียดชัง...นั่นคือรัก  บางทีที่พ่อไม่เกลียดเขาอาจเป็นเพราะพ่อรู้จักเขามากกว่าเจ้า”
ประโยคแรกเหลียนจิ้งเต๋อไม่เข้าใจ  ประโยคหลังเหลียนจิ้งเต๋อไม่เห็นด้วย  ท่านพ่อนั่นแหละที่ไม่รู้จักเจ้าคนสองหน้านั่นดีพอ  จึงยังหน้ามืดตามัวให้อภัยมันไปเสียได้!
---------------------
หลังจากนั้นสองวันเหลียนจิ้งเต๋อก็ได้พบคนหน้ามืดตามัวคนที่สอง...
เหตุการณ์เกิดตอนกำลังนั่งเขียนบทความเพื่อส่งอาจารย์ในวันรุ่งขึ้นกับรัชทายาทแคว้นเป่ยชาง 
สำหรับเหลียนจิ้งเต๋อรัชทายาทคนนี้นับเป็นผู้ประสบชะตากรรมเดียวกัน  เหลียนจิ้งเต๋อเดาเอาเองว่าอีกฝ่ายก็คงถูกเจ้าคนสองหน้านั่นหลอกลวงมาเป็นลูกบุญธรรม  ดังนั้นจึงไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจใดๆ

รัชทายาทแคว้นเป่ยชางเห็นเพื่อนร่วมเรียนหมุนพู่กันเล่น  เขียนบทความได้ตัวสองตัวก็เอาพู่กันวาดไปมาอยู่ในอากาศ  จึงกล่าวเป็นเชิงเตือนว่า
“ไม่เขียนบทความระวังจะโดนอาจารย์ลงโทษให้คัดหนังสือทั้งม้วนเหมือนคราวก่อน  ได้ยินว่าบทความนี้ถือเป็นรายงานความคืบหน้าด้านการเรียนที่ต้องส่งให้พระบิดาบุญธรรมอ่าน  ถึงเวลานั้นถ้ามีแต่ของข้าไม่มีของเจ้า  เจ้าคงต้องไปอธิบายกับพระบิดาบุญธรรมเองแล้ว” รัชทายาทที่อายุมากกว่าหนึ่งปีกล่าวเตือนด้วยเจตนาดี  ทราบว่าถ้างานไม่เสร็จไฟลนก้นเมื่อไหร่คนเดือดร้อนต้องเป็นตัวเขาแน่นอน  เพราะเหลียนจิ้งเต๋อไม่แคล้วต้องมาอ้อนวอนให้เขาช่วยเขียนอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำ

หาคาดไม่เหลียนจิ้งเต๋อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงฉีเซี่ยงหยวนโทสะก็ลุกโชน  เขวี้ยงม้วนไม้ไผ่ที่กำลังเขียนไปจนสุดโต๊ะ  โยนพู่กันไปอีกทาง  ร้องว่า
“เขียนให้เจ้านั่นอ่าน  เฮอะ  เช่นนั้นไม่เขียนแล้ว ! ”
ท่าทีเดือดจัดทำเอาเพื่อนร่วมเรียนตาค้าง  เห็นอีกฝ่ายมึนตึงมาหลายวันรัชทายาทยังจับจุดไม่ออก  ทดลองสอบถามหยั่งเชิงไปหลายครั้งไม่เป็นผลอันใด  คิดไม่ถึงครั้งนี้หวดเปะปะกลับไปโดนตาปลาของเหลียนจิ้งเต๋อเข้าให้
“ข้าเห็นเจ้าหงุดหงิดมาหลายวัน  ที่แท้มีเรื่องกับพระบิดาบุญธรรม...”
“บิดาบุญธรรมอันใด  ข้าไม่นับ  บิดาข้ามีคนเดียวไม่เกี่ยวกับคนสารเลวอย่างเจ้านั่น”
คนฟังขมวดคิ้ว  กล่าว
“เรื่องขัดแย้งล้วนสะสางกันได้  แต่วาจาที่กล่าวออกไปแล้วไม่อาจเรียกคืนกลับมา  คำพูดประโยคนั้นของเจ้าถ้าคนอื่นได้ยินเข้าโทษถึงตัดหัวเชียวนะ”
เหลียนจิ้งเต๋อยืนพรวดขึ้นทันใด
“ข้าไม่สน  ข้าจะไม่สะสางกับคนแบบนั้น  เจ้านั่นใช้ข้าข่มขู่เพื่อทำร้ายท่านพ่อของข้า  ฮึ  คนสองหน้า  เจ้าก็ถูกมันหลอกแล้ว!”
รัชทายาทวัยสิบเอ็ดปีฟังแล้วเงียบเสียงไป  นี่แสดงว่าเหลียนจิ้งเต๋อคงไปรู้เรื่องราวอันใดเข้าแล้ว 
“ข้ายังไม่ค่อยเชื่อ  พระบิดาบุญธรรมเป็นคนมีเหตุผล  เขาไปทำเรื่องอันใดไว้กับเจ้ากันแน่”
เห็นอีกฝ่ายยังหน้ามืดตามัว  เหลียนจิ้งเต๋อจึงต้องอธิบายให้ความสว่างกับคนตรงหน้าเสียหน่อย  ดังนั้นสุดท้ายรัชทายาทแคว้นเป่ยชางก็ได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดอย่างที่ต้องการสมใจ
“...เข้าใจแล้วหรือไม่  ข้าเห็นเจ้าเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันจึงเล่าให้ฟัง  เจ้าเองก็ระวังตัวไว้ให้ดีๆ  คนชั่วร้ายนั่นอาจกำลังหาประโยชน์ใดจากตัวเจ้าอยู่”
รัชทายาทวัยเยาว์ได้ยินคำเตือนด้วยความหวังดีของอีกฝ่ายก็หลุบตาลงต่ำ  กล่าวว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว  แต่ว่า...ข้าไม่เห็นด้วย”
เหลียนจิ้งเต๋อมีสีหน้าไม่พอใจทันที อ้าปากจะเอ่ยแย้ง  แต่อีกฝ่ายชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“หากพระบิดาบุญธรรมเป็นคนเลวจริง  เหตุใดต้องบังธนูให้บิดาเจ้า”
เหลียนจิ้งเต๋อสะอึก  นั่นเป็นหนึ่งในปัญหาที่เขาขบไม่แตก  แต่ยังคงเถียงว่า
“ใครจะไปรู้  เจ้านั่นคงคิดจะใช้ประโยชน์อะไรจากสถานการณ์นั้นอีกกระมัง”
“ธนูดอกหนึ่งยิงออกไป  เวลาขบคิดมากพอเสียที่ไหน  การใช้ชีวิตแลกชีวิตเหตุผลมีหนึ่งเดียวคือไม่ต้องการให้อีกฝ่ายตาย”
“ไม่ยอมให้ตายเพราะจะเก็บเอาไว้ทรมานอย่างไรเล่า  อย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร...”
“ใช่  ข้าไม่เข้าใจอะไร  ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าในเมื่อต้าอ๋องต้องการตัวบิดาเจ้า  แล้วทำไมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงไม่ได้ไปเหยียบตำหนักเสียงวสันต์อีกเลย  พระบิดาบุญธรรมทรงอิทธิพลที่สุดในแคว้น  อาศัยแค่เจ้าขวางเขาได้หรือ? ”
คำพูดของเพื่อนร่วมเรียนคล้ายแส้ที่ฟาดหนักๆ  ทำให้เหลียนจิ้งเต๋อสับสนเป็นอย่างมาก  โซเซกลับตำหนักเสียงวสันต์ไปอย่างมึนงง  ความไม่เข้าใจนี้ผู้ใดสามารถอธิบายให้กับเขา ?

ดวงตาเลื่อนลอยของเหลียนจิ้งเต๋อกวาดไปเห็นเงาหลังสูงโปร่งของท่านพ่อ
ท่านพ่อเดินหมากอีกแล้ว  ในมือเรียวยาวยังคงเป็นตัวหมากสีขาวเช่นเคย  เดินกับตัวเองช้าๆ  ราวกำลังรอคอยให้ใครอีกคนมานั่งฝั่งตรงข้าม...มาเดินหมากสีดำ
ในดวงตาที่มองกระดานหมากอย่างจดจ่อมีแววอ่อนโยน

เมื่อเดือนก่อนตอนทุกอย่างยังไม่เป็นแบบนี้  เหลียนจิ้งเต๋อจำได้ว่าเขาเคยเดินหมากแข่งขันกับรัชทายาท  เพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่า เขาจึงต่อรองจนได้พ่อบุญธรรมมาเป็นผู้ช่วย
เพื่อนร่วมเรียนของเขาอ้าปากจะเอ่ยแย้งแต่พูดไม่ออกเพราะพ่อบุญธรรมเป็นคนเสนอตัวเข้ามาช่วยเอง  วาจาของเป่ยชางอ๋องไม่อนุญาตให้คัดค้านเสมอมา  จึงได้แต่จำใจวางหมากในสภาพเสียเปรียบสุดๆ
เล่นไปได้พักหนึ่ง  เหลียนจิ้งเต๋อกำลังมีความสุขกับการได้ไล่ต้อนคนที่ชอบชนะเขาอยู่เรื่อย  ท่านพ่อก็เข้ามา ในมือถือน้ำชากาหนึ่ง  วันนี้ท่านพ่อเก็บห้องหนังสือ  พวกเขาไม่ต้องการไปรบกวนจึงสุมหัวกันอยู่อีกฟากห้อง  แต่ดูเหมือนท่านพ่อจะเก็บห้องหนังสือจนเบื่อหน่ายจึงเดินไปชงชามาให้หนึ่งกา
คิ้วเรียวยาวของเจ้าของตำหนักขมวดเข้าหากันเมื่อพบเห็นเหตุการณ์สองรุมหนึ่ง เดินเข้ามารินน้ำชาให้แต่ละคนที่มัวแต่สนใจตัวหมากขาวดำจนไม่มีเวลาไปมองอย่างอื่น  เอ่ยขึ้นลอยๆว่า
“ระวังหมากซ้ายกระดาน”
รัชทายาทที่กุมเม็ดหมากตัดสินใจไม่ได้อยู่นานพลันตากระจ่างวูบ  รีบวางหมากลงไป  ส่วนเหลียนจิ้งเต๋อได้แต่โห่ร้องอย่างเสียดายที่ไม่อาจลอบกินกองใหญ่เป็นผลสำเร็จ  ตอนนั้นพระบิดาบุญธรรมที่ยังญาติดีกันอยู่ยื่นหน้ามากระซิบว่าเดี๋ยวท่านพ่อก็ไปจัดหนังสือต่อ  คราวนี้ให้เล่นงานหมากสีขาวที่มุมกระดาน
ท่านพ่อไปจัดหนังสือต่อจริงๆ  แต่จัดเพียงครู่เดียวก็เดินกลับมาพร้อมม้วนไม้ไผ่ม้วนหนึ่ง  หาเก้าอี้นั่งลงด้านข้าง  ท่าทางดูเหมือนจะนั่งต่ออีกนาน
เขากับพ่อบุญธรรมยังคงกระซิบกระซาบปรึกษากันต่อไป  ผลัดกันเดินคนละตาอย่างคึกคัก
“ถ้าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเสีย  เลือกอันน้อย” จู่ๆท่านพ่อก็พูดขึ้นมา  แล้วกระดานหมากก็เกิดเหตุพลิกผันอีกครั้ง
“ท่านพ่อ  ทำไมท่านไปเข้าข้างผู้อื่นไม่เข้าข้างข้าเล่า” เหลียนจิ้งเต๋อร้องด้วยความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
“ผู้หนุนหลังเจ้ายิ่งใหญ่คับฟ้าอยู่แล้ว  จะเพิ่มพ่อเข้าไปด้วยอีกทำไม” พูดช้าๆ  ตากลับไปจับอยู่ที่ม้วนไม้ไผ่ในมือ
หลังจากนั้นความได้เปรียบของแผนการที่เขากับพ่อบุญธรรมอุตส่าห์ช่วยกันวางก็หายไปหมด 
ท่านพ่อไม่ได้พูดเยอะ  แต่พอรัชทายาทจะหลงกลคราวใด  เป็นต้องมีคำพูดลึกล้ำเข้าใจยากลอยมาประโยคหนึ่ง  เช่น
“มุมกระดานเป็นจุดอับ  กลางกระดานพลิกแพลงได้มากกว่า”
“เล่นกับคนฉลาดแบบพ่อบุญธรรมเจ้า ไม่สูญเสียบ้างแล้วจะได้มาได้อย่างไร”
“เวลาได้เปรียบหมากอันตรายไม่พึงเดิน”
เหลียนจิ้งเต๋อฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก  แต่เพื่อนร่วมเรียนของเขาดูเหมือนจะฟังเข้าใจทุกประโยค จนพ่อบุญธรรมต้องปรับเปลี่ยนแผนการไปมา  สองรุมหนึ่งที่ควรจะชนะอย่างง่ายดาย  แปรเปลี่ยนเป็นชนะอย่างยากเย็น  เหลียนจิ้งเต๋อมองหมากจนตาลาย  ฟังพ่อบุญธรรมเปลี่ยนแผนการจนหูชา  หลังจากนั้นไม่เฉียดเข้าใกล้กระดานหมากไปอีกหลายวัน
ถึงแม้เหตุการณ์จะออกมาในรูปนั้น  เหลียนจิ้งเต๋อก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนว่าในวันนั้นทุกคนมีหัวเราะ  สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในวันนั้นทุกคนมีความสุข...แล้วเหตุใดทุกประการจึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ?

ภาพเก่าซ้อนทับกับภาพเบื้องหน้าที่เป็นอยู่  สงบเหลือเกิน  แต่โดดเดี่ยวถึงเพียงนั้น  อ้างว้างถึงเพียงนั้น  นานเท่าไหร่แล้วที่ท่านพ่ออยู่ตัวคนเดียวตั้งอกตั้งใจเลี้ยงเขา  ท่านพ่อไม่เคยคิดจะแต่งงานใหม่  และเหลียนจิ้งเต๋อก็ไม่เคยอยากมีแม่เลี้ยง  พวกเขามีกันสองคนก็เพียงพอ...เมื่อไหร่กันที่ความคิดนี้เริ่มเปลี่ยนไป
...สี่คนพร้อมหน้า ข้าชอบแบบนั้นที่สุดเลย...
ท่านพ่อมองกระดานหมากอย่างจดจ่อ  ในดวงตามีแววอ่อนโยน  ราวกับที่มองมิใช่หมาก  แต่เป็นคนมีชีวิต
‘...สิ่งที่หักห้ามยากกว่าความเกลียดชังคือรัก...’
จู่ๆประโยคนี้ก็ผุดขึ้นมา  เหลียนจิ้งเต๋อสะดุ้งอย่างตกใจ

...ระหว่างท่านพ่อกับท่านพ่อบุญธรรมเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2014 15:35:05 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 53
«ตอบ #142 เมื่อ09-10-2014 15:22:46 »

บทที่ 53 ช่วงวันอันไม่อาจลืมเลือน...เยี่ยอวิ๋น

จดหมายฉบับหนึ่งส่งมอบถึงมือเหลียนอันสุ่ย  เป็นหานญื่อหลัวที่ตอนนี้ไปตรวจราชการเมืองใหญ่ทางเหนือนั่นเอง  ตั้งแต่การแข่งขันล่าสัตว์ในครั้งนั้นเพราะฉีเซี่ยงหยวนรีบร้อนกลับมาเพื่อหาตัวเหลียนอันสุ่ยจึงเลิกราไปกลางคัน  ผู้ล่าได้มากกว่าจึงกลายเป็นหานญื่อหลัว  ภายนอกฉีเซี่ยงหยวนดูไม่ถือสาสนใจ  แต่ทันทีที่กลับถึงเมืองหลวงก็มีบัญชาแต่งตั้งลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ไปตรวจสอบการทำงานของขุนนางทางเหนือ  ‘มีความสามารถ  ภักดีสัตย์ซื่อ  คุ้นชินพื้นที่  ไว้วางใจได้’อาศัยคำชมสี่ประโยคก็สามารถส่งตัวอีกฝ่ายไปพ้นเมืองหลวงเป็นผลสำเร็จ  เหลียนอันสุ่ยจึงได้พบหน้าหานญื่อหลัวแค่ครั้งเดียวคือตอนเจ้าตัวมากล่าวลา ห่างหายการติดต่อไปนานก็ปรากฏจดหมายฉบับนี้  ในจดหมายมีข้อความว่า
‘ได้ยินว่าเกิดข่าวไม่ดี  ร้อนรุ่มกังวล  จนใจอยู่ไกล  จะเร่งกลับในเร็ววัน’ ตัวอักษรหวัดเล็กน้อย  แม้จะเร่งรีบเขียนก็ยังมีร่องรอยของรสนิยมสูงสง่าอันพิเศษเฉพาะ

เหลียนอันสุ่ยเดินเข้าไปในห้องหนังสือ  ฝนหมึก  หยิบพู่กัน  จรดข้อความตอบกลับไปว่า
‘มิใช่เรื่องใหญ่โต  ไม่ต้องเร่งรีบ  มิใช่เรื่องบ้านเมือง  ไม่ต้องรุ่มร้อนกังวล’  ลายพู่กันเป็นธรรมชาติ  นุ่มนวลและมั่นคง  ไม่มีความสับสนวุ่นวาย  เพราะในตอนนี้จิตใจของเหลียนอันสุ่ยสงบมั่นคงเป็นอย่างมาก
ระหว่างหานญื่อหลัวกับเหลียนอันสุ่ย  คือสหายผู้รู้ใจที่มีรสนิยมความชอบคล้ายคลึงกัน
แต่ระหว่างฉีเซี่ยงหยวนกับเหลียนอันสุ่ย...มันคือความรักที่ตัดไม่ขาด

ส่งจดหมายตอบกลับไปเสร็จ  เหลียนอันสุ่ยก็เดินกลับมาที่โต๊ะหมากที่เขาเล่นค้างไว้  มองดูอยู่นานก็วางหมากเติมไปอีกสองตำแหน่ง  เงยหน้าขึ้นมาพอดีเห็นต้วนจินที่กลับมาจากด้านนอก  แม้ฉีเซี่ยงหยวนจะมิได้โผล่มา  แต่หม่าหลงกับต้วนจินก็ยังเทียวไปเทียวมาระหว่างสองตำหนักมิได้ขาด  ซึ่งนั่นแสดงว่าฉีเซี่ยงหยวนยังคงห่วงใยกังวลในตัวเขา

ในห้องโถงใหญ่เงียบสนิท  จู่ๆเหลียนอันสุ่ยก็ถามขึ้นประโยคหนึ่ง
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง” วาจาที่เรียบง่ายประโยคนี้กลับแฝงไว้ด้วยความห่วงใยมากมาย  แฝงไว้ด้วยความหมายร้อยพันที่มิได้พูดออกมา
“ต้าอ๋องทรงสบายดี  ระยะนี้ราชกิจไม่มาก  เวลาพักผ่อนจึงมีเพียงพอ”
เหลียนอันสุ่ยไม่กล่าวอะไร  เพียงแค่พยักหน้าอนุญาตให้อีกฝ่ายออกไป  จากนั้นก้มลงเก็บเม็ดหมากที่วางอยู่เต็มกระดานทีละตัว  ทีละตัว อย่างตั้งใจ

ทั้งคู่หาทราบไม่ว่าหลังเสาต้นใหญ่มีร่างเด็กน้อยอยู่คนหนึ่ง  เด็กคนนี้ยืนแข็งค้างมาตั้งแต่เมื่อครู่  ความตั้งใจเดิมของเหลียนจิ้งเต๋อคือคิดจะมาสอบถามบิดาเพื่อไขความกระจ่างปัญหามากมายที่กองสุมอยู่ภายในใจ  แต่เรื่องที่ได้ยินเมื่อครู่กลับทำให้เหลียนจิ้งเต๋อสับสนไปกันใหญ่  เท้าถอยห่างออกมาช้าๆ  พอหันหลังกลับได้ก็วิ่งกลับเข้าห้อง

เหลียนจิ้งเต๋อไม่เข้าใจว่าทำไมท่านพ่อต้องห่วงคนแบบนั้น  ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมฉีเซี่ยงหยวนจึงต้องอ่อนข้อให้พวกเขาสองพ่อลูก  ในเมื่อทุกอย่างเกิดจากความเจ็บปวดแล้วรอยยิ้มในวันวานของท่านพ่อมาจากที่ไหนกัน  มันควรจะเป็นแค่รอยยิ้มที่ฝืนขึ้นมาทั้งหมด  แต่ในรอยยิ้มเหล่านั้นกลับมีรอยยิ้มที่แท้จริง
‘...สิ่งที่หักห้ามยากกว่าความเกลียดชังคือรัก...’
เหลียนจิ้งเต๋อยกมือปิดหู  ราวการกระทำดังกล่าวสามารถทำให้ไม่ได้ยินเสียงที่ดังในหัว  ประโยคที่เขาไม่เข้าใจที่มาของมัน 
คนที่น่าจะมีหัวใจเลวทรามทำไมต้องช่วยชีวิตผู้อื่น  คนที่ถูกทำร้ายทำไมถึงยังห่วงใยคนที่ทำร้ายตัวเอง  ...เพราะรักอย่างนั้นหรือ?  รักมันคืออะไรกัน...ไม่มีทาง!  ท่านพ่อจะไปรักคนต่ำช้าอย่างนั้นได้อย่างไร  เหลียนจิ้งเต๋อโบกไม้โบกมือไล่ภาพบุรุษชาวเป่ยชางที่เขาเกลียดชังที่สุด  แต่ภาพที่ปรากฏขึ้นมาแทนกลับเป็นภาพมือสองมือที่ยึดกุมกันโดยเข้าใจว่าเขามองไม่เห็น  ในวันวานเหลียนจิ้งเต๋อมิได้คิดอะไร  แต่ในวันนี้ภาพดังกล่าวกลับเฉลยไขทุกอย่าง  เหลียนจิ้งเต๋อมองผนังห้องตาลอย  เรื่องราวที่เกิดในช่วงหลายเดือนที่อยู่ในแคว้นเป่ยชางทยอยผุดขึ้นมาทีละฉาก  ทุกภาพเป็นภาพท่านพ่อของเขา...

“จิ้งเอ๋อ  ทำไมมาซุกตัวอยู่ที่นี่” ใบหน้าหัวเราะเบาๆของท่านพ่อในความทรงจำกลายเป็นสีหน้าประหลาดใจของท่านพ่อตัวจริงที่ยืนอยู่ข้างเตียง
เหลียนจิ้งเต๋อสะดุ้ง  คนเป็นพ่อขมวดคิ้ว
“ผ้าห่มเลอะหมดแล้ว  ไม่ถอดรองเท้าขึ้นเตียงได้อย่างไร”
เหลียนจิ้งเต๋อหน้าแดงด้วยความอับอาย  รีบร้อนตะกายลงมา  ตอนแรกเข้าใจว่าอยู่ในห้องตัวเองที่ไหนได้เท้าไม่รักดีของเขากลับพามาซุกตัวอยู่ในห้องท่านพ่อ  มิน่าก่อนท่านพ่อเข้ามาจึงไม่มีเสียงเคาะประตู
เห็นสีหน้ารู้สึกผิดของอีกฝ่ายเหลียนอันสุ่ยก็ส่ายหัว  กล่าวว่า
“ไม่เป็นไร  พ่อแค่มาชวนเจ้าไปกินขนมแกล้มน้ำชากับพ่อ  วันนี้ได้ชาดีมา  ขมไม่ธรรมดา  มาลองดูกันว่าเจ้าจะกินได้กี่ถ้วย”
เหลียนจิ้งเต๋อเม้มปาก  ก้มหน้ารวบรวมความกล้าอยู่เป็นนานจึงเงยหน้าขึ้นมา  ตัดใจเอ่ยว่า
“ท่านพ่อ  ข้าเกลียดต้าอ๋องคนนั้น  แต่ท่านไม่ต้องเกลียดเขาตามข้าหรอก  ข้าไม่เข้าใจว่าระหว่างพวกท่านเกิดอะไรขึ้นกันแน่  แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามท่านก็เป็นท่านพ่อของข้า...ไม่ใช่  ข้าหมายถึงว่าข้าจะพยายามเข้าใจ  ถึงวันนี้จะยังไม่เข้าใจ  แต่วันข้างหน้าต้องเข้าใจได้แน่  ดังนั้นตอนนี้ท่านจะชอบเขาข้าก็ไม่โกรธท่านหรอก  ข้าก็แค่เกลียดเขา  แต่ว่าเรากลับไปเป็นสี่คนเหมือนเมื่อก่อนก็ดีมากเหมือนกัน  ท่านพ่ออยู่คนเดียวมานานปานนี้  ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องเสียสละเพื่อข้าหรอก  ทำในสิ่งที่ท่านอยากทำเถอะ...”
---------------------
เยี่ยอวิ๋น...เมฆาราตรี  เมฆบัลดาลฝน  ฝนเป็นพรประทานของทวยเทพที่โปรยลงมาเพื่อดับความแห้งแล้ง  ความยากแค้นของทวยราษฎร์ล้วนพึ่งพาน้ำพระทัยของเจ้าแผ่นดิน  รัตติกาลของทวยราษฎร์คือความมืดบอดของเจ้าแคว้น  เยี่ยอวิ๋น สองคำนี้จารึกเพื่อเตือนใจต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางทุกรัชสมัย  ไม่ว่าผู้ใดนั่งบนบัลลังก์ก็จะได้รับมอบเยี่ยอวิ๋น
ท่านมีอำนาจบัลดาลฝนฟ้า  ผู้มีอำนาจพึงไม่มืดบอด
เหลียนอันสุ่ยมองตัวอักษรสองตัวที่สลักอยู่เหนือประตูด้วยความยอมรับนับถือ  เป็นอักษรที่หนักแน่นทรงพลังนัก  ผู้คนมักเลือกเอาคำที่รุ่งโรจน์โอ่อ่ามาจารึกเป็นชื่อตำหนัก  แต่ตำหนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแคว้นเป่ยชางกลับจำกัดความด้วยสองคำนี้  เนื่องจากชาวเป่ยชางล้วนเข้าใจดี  ว่าเพราะมืดมิดจึงเกิดแสงสว่าง  เพราะมีค่ำคืนจึงมีกลางวัน  เมฆหมอกคือปัญหา  หากเจ้าชีวิตยังมองไม่เห็นปัญหาแล้วใต้หล้าจะอาศัยพึ่งพาผู้ใด ?
พระมาตุลาแคว้นเหลียนก้าวเท้าผ่านประตูเข้าไป  มีวาจาหลายประโยคเขาต้องการกล่าวกับฉีเซี่ยงหยวนด้วยตัวเอง...

“ต้าอ๋อง  วันนี้จิ้งเอ๋อบอกข้าว่า ไม่ว่าระหว่างท่านกับข้าจะเป็นเรื่องเช่นไรเขาล้วนจะพยายามเข้าใจ  และบอกให้ข้าทำสิ่งที่ข้าอยากทำไม่จำเป็นต้องเห็นแก่เขา”
ฉีเซี่ยงหยวนชะงักไป  นิ่งอยู่นานจึงถอนหายใจ  ในเสียงถอนหายใจมีความโล่งใจ  และมีความปิติยินดี
“เหลียนอันสุ่ย  ถ้าเช่นนั้นข้ากับท่านก็...”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆ  พลางตอบว่า
“ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับได้ง่ายๆเช่นนี้  ถึงจะผ่านเรื่องราวมาพอดู  แต่ข้าภูมิใจในตัวเขายิ่ง” หยุดเล็กน้อยจึงพูดต่อว่า
“เพื่อข้า  เขาถึงกับยอมรับเรื่องที่ไม่มีวันยอมรับได้  การตัดสินใจของเขาทำให้ข้าสามารถตัดสินใจได้  ข้าเป็นบิดาของเขา  ข้าต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายทำเพื่อเขา  มิใช่เรียกร้องให้เขาเสียสละเพื่อข้า  ต้าอ๋อง  ข้าได้ยินว่าเมื่อสองวันก่อนมีนักพรตที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งมาเยือนเมืองหลวง  ในขากลับข้ากับลูกขอติดตามเขากลับไป  ให้ทุกสิ่งทุกอย่างย้อนทวนสู่หนทางดั้งเดิมของมัน หากต้าอ๋องยินยอมอนุญาตเหลียนอันสุ่ยจะสำนึกในพระคุณตราบจนวันตาย” คุกเข่าลงกับพื้นดั่งขุนนางคำนับเจ้าแคว้น  ดั่งประชาราษฎร์คุกเข่าแก่นายเหนือหัว
ฉีเซี่ยงหยวนชาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า  ดวงตาเบิกกว้าง  ไม่อาจกล่าวสิ่งใดไปชั่วขณะ  เค้นถามออกมาอย่างลำบากยากเย็นว่า
“เพราะอะไร ? ”
“แรกเริ่มมาพวกเราล้วนอยู่คนละแว่นแคว้น  แรกเริ่มมาพวกเราล้วนสามารถดำรงคงอยู่ด้วยตัวเอง  ต่างมีสังคม  ต่างมีความรับผิดชอบ  ต้าอ๋อง เหลียนอันสุ่ยเบื่อหน่ายการแก่งแย่งชิงอำนาจในวังหลวงเต็มทีแล้ว  และไม่ต้องการให้ลูกถูกม้วนเข้าสู่หนทางแห่งอำนาจอีก  ส่วนความรู้สึกของท่าน...เหลียนอันสุ่ยทำได้แค่มอบคืนกลับไป” รอยยิ้มบนเรียวปากแฝงแววโศกเศร้า  แต่ดวงตากลับใสกระจ่างอย่างยิ่ง 
ประโยคนี้ไม่ว่าฟังอย่างไรก็คือปฏิเสธความรักของฝ่ายตรงข้าม  หากในความเป็นจริงมันกลับแฝงความหมายที่มีเพียงเหลียนอันสุ่ยที่รู้ ท่านมอบหัวใจของท่านให้ข้า  ข้าก็ได้แต่มอบหัวใจทั้งดวงของข้าให้ท่านเช่นกัน 
ติดค้างกันและกันอย่างใหญ่หลวง   แต่หักกลบลบล้างแล้วกลับมิได้ติดค้างกันและกันอีก  บ่วงรักที่ตัดไม่ขาดบ่วงนี้  สมควรตัดต้องเสียที
ฉีเซี่ยงหยวนกระชากตัวอีกฝ่ายยืนขึ้น  กล่าวด้วยเสียงอันดังว่า
“ข้าไม่รับคืน!  เหลียนอันสุ่ย  ท่านพูดจาเหลวไหลอะไร  เหตุใดจึงบังคับเรื่องราวให้ก้าวขึ้นมาถึงขั้นนี้ ! ”
“ต้าอ๋อง  ท่านยังตามืดบอดอีกหรือ  ยังมองไม่ออกอีกหรือ  ว่าข้าคือจุดอ่อนถึงตายของท่าน  ท่านไม่ควรรับลูกธนูดอกนั้นแทนข้าเลย”
“ท่านอย่ามาใช้ข้ออ้างกับข้า  ข้าไม่เคยเสียใจที่รับลูกธนูดอกนั้น  มีจุดอ่อนเช่นท่านข้ายินยอม  ข้าไม่กลัวคนละโมบในอำนาจข้างนอกนั่น  พวกมันอยากจะใช้แผนการอะไรก็ให้พวกมันใช้มา”

“บนบ่าของท่านคืออะไร  ความเสี่ยงนี้ท่านแบกรับได้หรือ  เซี่ยงหยวน ท่านอย่าหลอกตัวเองอีกเลย  ข้าคือใคร?  ข้าคือพระมาตุลาแคว้นเหลียน  หากมิใช่เพราะกฎบัญญัติฐานะข้าเป็นเหลียนอ๋องได้ด้วยซ้ำไป  ถึงแคว้นเหลียนจะสิ้นไปแล้ว  แต่ข้าก็ยังมีเกียรติของเชื้อพระวงศ์ที่ต้องแบกรับ  ให้ไปเป็นคนข้างหมอนของท่านได้หรือ ? ”
“หากมิใช่ข้าแต่งตั้งท่านเป็นพระชายาไม่ได้  ข้าให้ท่านเป็นพระชายาของข้าไปแล้ว  ท่านต้องการตำแหน่งอะไร  ตำแหน่งอะไรจึงจะถือว่ามีเกียรติพอ  ข้าให้ท่านได้หมด”
“ต้าอ๋อง ท่านก็รู้ว่าตำแหน่งมิใช่ปัญหา  ปัญหาคือความสัมพันธ์ของพวกเราต่างหาก  ข้าจะเป็นตำแหน่งอะไรก็ได้  แต่ต้องไม่ใช่ตำแหน่งคนข้างหมอนของท่าน” ปลายเสียงของเหลียนอันสุ่ยหนักแน่น
“...” ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งเงียบไป  แต่มิใช่จนด้วยคำพูด  หากนิ่งเงียบไปเพราะความเดือดดาล

“เซี่ยงหยวน  ฐานะของข้าอยู่ข้างกายท่านต่อไปก็มีแต่จะทำลายท่าน  นี่ขนาดเป็นเพียงแค่ข่าวลือ  ถ้าข่าวลือกลายเป็นความจริงคลื่นใต้น้ำของมันจะไม่ใช่แค่นี้  ผู้คนจะบอกว่าเพราะข้าอยากเป็นเหลียนอ๋องแต่เป็นไม่ได้จึงคิดครอบงำท่าน  ใช้ท่านควบคุมแคว้นเป่ยชาง  แล้วหลังจากนั้นไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ทุกคนจะบอกว่านั่นเป็นการควบคุมบงการของข้า  พวกเขาจะพากันคัดค้าน  หากขุนนางต่างปฏิเสธบัญชาของท่าน  แล้วท่านจะบริหารบ้านเมืองได้อย่างไร  จะห้ามไม่ให้เกิดความกระด้างกระเดื่องได้อย่างไร  คนที่อยากได้บัลลังก์ในมือของท่านมีไม่น้อย  พวกเขากัดไม่ปล่อยแน่  ต้าอ๋อง  ท่านได้มองถึงขั้นนี้แล้วหรือยัง ! ”

ฉีเซี่ยงหยวนฟังอีกฝ่ายกล่าวจนจบ  จากนั้นหัวเราะเบาๆ  ในเสียงหัวเราะมีความขมขื่นเย้ยหยันตัวเอง  พึมพำว่า
“ท่านกลับมองได้กระจ่างชัดปานนี้  ท่านมองถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่  คงมิใช่ว่าตั้งแต่แรก...” ถ้อยคำหลังจากนั้นกลืนหายไปกับเสียงหัวเราะในลำคอ
“...” เหลียนอันสุ่ยมิได้ตอบ  เพราะตั้งแต่ความสัมพันธ์นี้เริ่มต้นขึ้น  เหลียนอันสุ่ยก็มองเห็นจุดจบของมันแล้ว
“เหลียนอันสุ่ยท่านอยู่ข้างกายข้าด้วยความรู้สึกแบบไหนกันแน่  ...ข้ายอมรับว่าข้ายังมองไปไม่ถึงขั้นนั้น  ความรักมักทำให้สายตาของผู้คนมืดบอด  แต่ท่าน...ท่านกลับยังคงมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง  ข้าถามท่าน  ท่านเคยรักข้าจริงๆซักครั้งหรือไม่!”

สายตาของฉีเซี่ยงหยวนปวดร้าวจนเหลียนอันสุ่ยต้องเบือนหน้าหนี  ยังคงไม่ตอบคำอยู่เช่นเดิม
 “ทำไมท่านไม่ตอบข้า  หรือว่าในใจท่าน ข้า...  หรือว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาตลอดมา” เสียงของฉีเซี่ยงหยวนแหบโหย  รู้สึกคล้ายกำลังจะหมดแรง
“...” เหลียนอันสุ่ยกำมือแน่นจนมือสั่นระริก  ข้าตอบท่านไม่ได้  อย่าคาดคั้นข้าอีกเลย  เพราะข้าไม่อยากทำร้ายท่านด้วยคำโกหก
ความเงียบที่น่าอึดอัดลอยอวลอยู่เป็นเวลานาน  สุดท้ายฉีเซี่ยงหยวนกลับทำลายมันด้วยเสียงหัวเราะที่เสียดแทงอารมณ์ความรู้สึกเสียงหนึ่ง  ดวงตาที่ทรงอำนาจตลอดมาดูราวกำลังแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ...ไม่มีวันสมบูรณ์อีกต่อไป 
ที่แท้ทุกอย่างที่ข้าทุ่มเทให้ท่านมันก็ไม่ได้มีค่าอะไรเลย  ข้าพยายามจะรักท่าน  ข้าพยายามทำดีต่อท่าน  พยายามเป็นคนดีมากกว่าที่ข้าเป็นอยู่  พยายามแล้วพยายามอีก  ทว่ายังคง...ไม่มากพอที่จะรั้งท่านไว้

เหลียนอันสุ่ยมองอีกฝ่ายแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง  ยืนยังยืนไม่ค่อยมั่นคงแล้ว  ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าตัวเขาจะทำร้ายอีกฝ่ายจนมีสภาพกลายเป็นเช่นนี้  ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนคมกล้าเสมอ  แต่ตอนนี้กลับมีแต่ความเจ็บปวดปราศจากประกาย  เหลียนอันสุ่ยขบริมฝีปากตัวเองเอาไว้สุดความสามารถ  หักห้ามมิให้ตัวเองกล่าวคำๆนั้นออกมาเด็ดขาด  เซี่ยงหยวน ท่านไม่จำเป็นต้องเสียใจเลย  เพราะท่านได้หัวใจข้าไปแล้ว  ชั่วชีวิตนี้ความรักของข้าเป็นของท่านแค่คนเดียว
 
...เซี่ยงหยวน  ถ้ามันเจ็บปวดขนาดนี้ก็ลืมข้าเสียเถิด  อย่าจดจำไว้อีกเลย

ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็กล่าวออกมาว่า
“ต้าอ๋อง  ท่านลืมข้าเสียเถิด  ชีวิตท่านยังอีกยาวไกลนัก  ข้าเป็นแค่เสี้ยนหนามเล็กๆที่ไม่คู่ควรจะเอ่ยถึง  ในภายภาคหน้าท่านจะต้องมีสตรีที่รักท่านมาก  จะต้องมีคนที่สามารถยืนอยู่เคียงข้างท่าน  จะต้องสามารถ...มีครอบครัวที่เป็นของท่านอย่างแท้จริงได้อย่างแน่นอน”
ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนกลับกราดเกรี้ยวไปด้วยอารมณ์สิ้นหวังอย่างรุนแรง  คำพูดจากใจจริงของเหลียนอันสุ่ยกลับซ้ำเติมให้ฉีเซี่ยงหยวนสิ้นหวังหนักกว่าเดิม
“ท่านไม่มีสิทธิ์  ต่อให้ท่านไม่รักข้าก็ไม่มีสิทธิ์เอาข้าไปยกให้กับผู้อื่น!  ท่านเองก็จะบีบให้ข้ามีชายา  ทุกคนล้วนยกอ้างบ้านเมือง  เคยถามใจข้าหรือไม่  ว่าข้าต้องการมันรึเปล่า  หรือเพราะข้าเป็นเป่ยชางอ๋องจึงต้องถูกกำหนดแน่นอนว่าไม่อาจมีความรัก  ต่อให้มีความรักก็ไม่อาจมีจุดอ่อน  ต่อให้มีความรัก ก็ไม่อาจครอบครองคนที่ตัวเองรักเอาไว้ข้างกาย  ถึงแม้ข้าจะเป็นต้าอ๋อง แต่ข้าก็เป็นคน  ข้าก็เจ็บเป็น  ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะบัลลังก์นี้ข้าสูญเสียอะไรไปแล้วบ้าง”
เหลียนอันสุ่ยสะท้านทั้งร่าง  เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นน้ำตาของบุรุษตรงหน้า
“ตั้งแต่ข้าเกิดมา  เพราะบิดาข้านั่งอยู่บนบัลลังก์  ข้าจึงไม่เคยมีบิดา  เพราะบิดาข้านั่งอยู่บนบัลลังก์  ข้าจึงไม่เคยมีพี่น้อง  บัลลังก์นี้ทำร้ายแม่ข้า  ทำร้ายทุกคนในครอบครัวของข้าทีละคน  ข้าบอกตัวเองว่าข้าจะไม่ยอมสูญเสียอะไรให้มันไปอีกแล้ว  ข้าจะควบคุมมัน  ข้าจะต้องทำได้  แต่สุดท้าย...ข้ากลับต้องสูญเสียท่านไปอยู่ดี  แม้ท่านอาจไม่ได้รักข้ามากพอจะร่วมเผชิญมรสุมอำนาจพวกนั้นไปกับข้า  แต่ข้าคิดว่าอย่างน้อยท่านก็น่าจะพอชอบข้าอยู่บ้าง  ถ้าข้าเป็นคนอื่น  ถ้าข้ามิใช่เป่ยชางอ๋อง  อาจบางทีท่านคงไม่ถึงขั้นตัดขาดไม่พบหน้าชั่วชีวิต  อาจบางทีสามารถตามตอแยท่านอีกเล็กน้อย...”

เหลียนอันสุ่ยก้าวถอยหลัง  ทนฟังต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว  หากยังมองภาพตรงหน้าต่อไปเขาต้องเป็นบ้าแน่  หัวใจเจ็บปวดเหมือนถูกบดขยี้ฉีกทึ้งแผลเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่ยอมให้เหลียนอันสุ่ยจากไป  กระชากร่างสูงโปร่งเข้ามาหา  รวบตัวอีกฝ่ายไว้กับอกไม่ยอมให้หนีไปไหน  ดวงตาที่สูญเสียประกายกลับมาแข็งกร้าวด้วยอำนาจอีกครั้ง  เอ่ยอย่างชัดเจนว่า
“ข้าไม่อนุญาตให้ท่านไป  ท่านอาจไม่เคยรักข้า  คนที่ท่านรักอาจมีแค่เหวินจี  แต่ท่านต้องอยู่ข้างกายข้าเท่านั้น ! ”
เหลียนอันสุ่ยถูกรวบมือรวบตัวจนขยับไปไหนไม่ได้  จึงหลับตาลงช้าๆ  พึมพำว่า
“ฉีเซี่ยงหยวน  ท่านจะดึงดันไปใย  เมื่อไร้วาสนาย่อมไม่อาจอยู่เคียงคู่  ท่านทำเช่นนี้มีแต่ทรมานตัวเอง”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบ แต่นั่งลง  แล้วดึงให้อีกฝ่ายนั่งลงบนตักเขา  ต่อให้เป็นความฝันแล้วอย่างไร  ต่อให้เป็นภาพมายาเขาก็จะโอบกอดไว้ให้แน่น
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ขัดขืน  เขาเพียงแต่รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง  ความสัมพันธ์นี้ทำให้เขาเหนื่อยล้านัก  แม้จะรักอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง  แต่ปัจจัยภายนอกที่ขวางอยู่ทุกทาง  ทำให้สุดท้ายแล้วต่อให้ความรักสามารถดำเนินต่อไปก็มีแต่จะสร้างความเจ็บปวดเหนื่อยล้าให้แก่กันและกัน 
เพราะความรักไม่อาจเรียกร้องมากเกินไป  มันมีขีดจำกัดของมัน  เขาขอแค่ได้รักอีกฝ่าย  ชีวิตนี้ได้เดินเคียงข้างกันช่วงหนึ่งก็พึงพอใจแล้ว
กลิ่นกายเย็นรื่นโชยมาแตะจมูก  ความพลุ่งพล่านของฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆบรรเทาลงบ้าง  เขาชมชอบโอบอีกฝ่ายไว้บนตักเช่นนี้  เหลียนอันสุ่ยแม้ตัวหนักไปบ้าง  แต่ก็มิได้หนักจนเกินไป  ยิ่งคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาฉีเซี่ยงหยวนก็ยิ่งถามตัวเอง...ว่าเหตุใดทุกประการจึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ?
พวกเขาต่างจมอยู่ท่ามกลางความเงียบ  ต่างจมอยู่ท่ามกลางความทรงจำ  ราวไม่ว่าใครล้วนไม่ต้องการเอ่ยอะไรขึ้นมาเพื่อยุติช่วงเวลาดังกล่าว  พวกเขาก็แค่รักกัน  เหตุใดเรื่องราวจึงยากเย็นเหลือเกิน
ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง  เสี้ยวหน้ายังคงเอนพิงกับบ่ากว้าง  กล่าวเบาๆว่า
“เซี่ยงหยวน  ท่านปล่อยข้าไปเถอะ  ข้าอาจจะบอกรักท่านไม่ได้  แต่ท่านจะเป็นความทรงจำที่ข้าจะไม่มีวันลืมเลือนตลอดไป”
ฉีเซี่ยงหยวนถามเสียงห้วน
“ทำไมท่านบอกรักข้าไม่ได้”
“...” เหลียนอันสุ่ยไม่ตอบอะไร  เพียงแค่ถอนหายใจอีกครา
ฉีเซี่ยงหยวนจึงกล่าวเสียงห้วนต่อว่า
“ข้าไม่ยอมเป็นแค่ความทรงจำของท่าน  ข้าจะให้ทุกวันของท่านมีแต่ข้า”
“ฉีเซี่ยงหยวน  ทำไมท่านนี่ชอบทำให้เรื่องราวมันยากขึ้นอยู่เรื่อย”
คนเป็นเป่ยชางอ๋องเชิดหน้าขึ้น  พบว่าการมีอีกฝ่ายอยู่ในอ้อมแขนทำให้ไม่อาจบันดาลโทสะได้  แต่ก็ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงหาเรื่องต่อไปว่า
“เพราะข้าเป็นคนมีหลักการ  ข้าจะไม่ถูกท่านโน้ม...” พูดต่อไปไม่ได้เพราะเรียวปากนุ่มเนียนกดประทับลงมา
เหลียนอันสุ่ยถอนริมฝีปากออกมาช้าๆ  ดวงตากระจ่างจับจ้องมองอีกฝ่ายแล้วกล่าวว่า
“เซี่ยงหยวน  พอเถอะ  ยิ่งตัดในภายหลังก็มีแต่จะยิ่งเจ็บมากขึ้น  ตัดตอนนี้เถิด”
ดวงตาคมกล้าของฉีเซี่ยงหยวนมองใบหน้าหมดจดที่อยู่ใกล้แค่คืบนิ่ง  เรียวปากสั่นระริก  สุดท้ายเค้นเสียงออกมาทีละคำว่า
“ท่านโหดเหี้ยมนัก”
ร่างสูงใหญ่ดันตัวอีกฝ่ายออกไปราวต้องของร้อน  ผุดลุกขึ้นแล้วถอยหลังไปหลายก้าว  เหลียนอันสุ่ยยื่นมือออกไปอย่างตกใจ  แต่กลับถูกมือใหญ่ปัดทิ้ง
“อย่าแตะต้องตัวข้า” เสียงตวาดแข็งกร้าวจนเหลียนอันสุ่ยต้องเก็บมือกลับมา  นิ่งอั้นกับสถานการณ์ที่พลิกเปลี่ยนในฉับพลัน
ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนเปี่ยมด้วยแววเชือดเฉือน  ขณะกล่าว
“ท่านบอกให้ข้าลืมท่านมิใช่หรือ  หากท่านยังสัมผัสข้าเช่นนี้แล้วข้าจะลืมท่านได้อย่างไร  ท่านช่างโหดเหี้ยมนัก  ข้าชอบทุกช่วงเวลาที่ได้จูบท่าน  แต่หลังจากนี้ทุกครั้งที่นึกถึงมันจะได้ยินประโยคที่ท่านบอกว่าจะจากไป  ทุกครั้งที่นึกถึงมันจะมีแต่ความเจ็บปวด  เหตุใดท่านต้องทำเช่นนี้  หรือต้องการทำลายความทรงจำดีๆระหว่างเราไปจนหมดสิ้น”
เหลียนอันสุ่ยตื่นตระหนกยิ่ง
“ข้า...” ไม่ได้ตั้งใจ  กลืนน้ำลายลงคอ  แววตาของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหลียนอันสุ่ยไม่อาจพูดต่อ  ใช่  เป็นข้าผิดเอง  ไม่ควรเลยที่จะใช้วิธีนี้มาโน้มน้าวท่าน  เป็นข้าที่ทำลายทุกอย่าง  จะโน้มน้าวเรื่องอะไรก็ได้  แต่เรื่องนี้กลับไม่ควรเลย

“พูดไม่ออกหรือ...  ช่างเถอะ  วันนี้เรื่องที่คนอื่นไม่มีทางพูดออกมาจากปากได้ท่านก็พูดออกมาหมดแล้ว  ดังนั้นไม่ต้องกล่าวอะไรแล้ว  อย่ากล่าวอะไรอีกเลย  ถ้าท่านกล่าวมากกว่านี้ข้าต้องถูกคุกคามจนเป็นบ้าแน่” เรียวปากของฉีเซี่ยงหยวนเหยียดเป็นรอยยิ้ม  คำพูดทุกคำเน้นย้ำชัดเจน
เหลียนอันสุ่ยขบริมฝีปาก  ก้มหน้าลง  พยายามสงบเยือกเย็น  ทั้งๆที่ในใจเจ็บปวดจนกรีดร้อง
“ฉางเฟย  ส่งพระมาตุลากลับตำหนัก  ข้าพูดกับเขาจบแล้ว” ขณะกล่าวดวงตาคมกริบยังคงสบกับอีกฝ่ายแน่วนิ่ง
ตอนที่หลิวฉางเฟยโผล่หน้าเข้ามาก็พอดีได้ยินประโยคที่ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวกับเหลียนอันสุ่ยว่า
“ข้าจะพยายามลืมท่าน...บางทีการพบหน้ากันน้อยๆคงจะทำให้ลืมได้เร็วขึ้น  ถ้าข้าลืมท่านได้เมื่อไหร่ข้าจะปล่อยท่านจากไปเอง”
---------------------
มาอัพช้าเพราะตอนนี้กับตอนต่อไปมีความต่อเนื่องกันสูง
เห็นในเซ็งเป็ดอวอร์ดมีคนโหวตให้เรื่องนี้ด้วยอ่า ปลื้มปริ่ม 
รักนะตัวเอง  :กอด1:
ถึงตอนนี้จะทิ้งท้ายได้ชวนช๊อคก็เถอะ555 :katai3:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2014 15:31:22 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 54
«ตอบ #143 เมื่อ13-10-2014 23:18:39 »

บทที่ 54 เมื่อคนเราไม่เข้าใจกัน

เหลียนอันสุ่ยไม่ทราบหรอกว่ารอยจูบนั้นมีความหมายต่อฉีเซี่ยงหยวนมากแค่ไหน  เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยเป็นฝ่ายจูบเขา  เป็นฝ่ายจูบเขาอย่างแท้จริงมิใช่ใช้วิธีคดโกงเอามา 
จุมพิตนั้นหอมหวานนัก  แต่ในลมหายใจถัดมากลับเป็นวาจาตัดขาดความสัมพันธ์  เหมือนจู่ๆถูกดึงลงจากยอดเขาที่งดงามสุดบรรยายลงไปในหุบเหวนรกภูมิ  ที่ฉีเซี่ยงหยวนเจ็บปวดมากที่สุด  และถือสามากที่สุดคือการที่เหลียนอันสุ่ยใช้วิธีการนี้มาโน้มน้าวเขา  ใช้จุมพิตของท่านมาบังคับให้ข้าปล่อยมือ  ชั่วครู่แรกมีความสุขเพียงใดพริบตาถัดมาเจ็บปวดเท่านั้น  ...ท่านทำได้อย่างไร
---------------------
สรรพสำเนียงเงียบสงัด  สำหรับเหลียนอันสุ่ยสิ่งที่เขาได้ยินชั่วขณะนี้มีเพียงความคิดที่กรีดเสียงก้องอยู่ภายในหัวเท่านั้น
เขาทำลายฉีเซี่ยงหยวน  ใช้คำพูดของเขาเองทำร้ายอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม  เหลียนอันสุ่ยทราบเสมอมาว่าคิดจะโน้มน้าวฉีเซี่ยงหยวนต้องใช้ไม้อ่อนไม่อาจใช้ไม้แข็ง  แต่เขาผิดพลาดแล้ว  เพราะคำปฏิเสธเบื้องหลังจุมพิตหอมหวานเป็นดั่งทัณฑ์ทรมานอันโหดร้าย  เหมือนกับบังคับให้แยกจากแต่กลับบังคับให้อีกฝ่ายจดจำไม่ลืมเลือน
‘ท่านโหดเหี้ยมนัก’  ทุกพยางค์ดั่งคมมีดที่เฉือนบาดเข้าไปถึงขั้วหัวใจ
‘...ถ้าข้าลืมท่านได้เมื่อไหร่  ข้าจะปล่อยท่านจากไปเอง’
ท่านยังคงไม่ยอมปล่อยมือ...ไม่ว่าตอนนี้ในดวงตาท่านจะยังมีความรักอยู่หรือไม่  หรือมันแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังไปแล้ว  แต่ว่าท่านยังคงไม่ยอมปล่อยมือ  เหตุใดต้องเป็นเช่นนี้  ข้ายังทำร้ายท่านไม่พออีกหรือ  ข้าทำร้ายท่านไม่ไหวอีกแล้วได้โปรดปล่อยข้าไป!
เหลียนอันสุ่ยงอตัวลงเมื่อความทรงจำอันเจ็บปวดบิดม้วนโถมเข้ามา  ยังคงจำได้ติดตาว่าวาจาแต่ละประโยคของตัวเองค่อยๆทำร้ายฉีเซี่ยงหยวนอย่างไร  ข้าเคยปรารถนาให้ตัวข้ามีอำนาจเพียงพอจะลบเลือนทุกความเจ็บปวดที่ท่านเคยเผชิญมา  แต่สุดท้ายแม้แต่ตัวข้าเองก็กลับกลายเป็นความเจ็บปวดของท่าน  บางทีข้าอาจเป็นคนที่หักหลังท่านได้อย่างเลือดเย็นที่สุด  เพราะกล่าวถึงที่สุดข้ายังคงเห็นแก่ตัว  ถ้าเรื่องทั้งหมดจำเป็นต้องจบลง  ข้าอยากให้มันจบลงในขณะที่ท่านยังคงรักข้า  ข้าไม่ปรารถนาให้มันจบลงเพราะความสวยงามที่มันเคยมีถูกสภาพแวดล้อมและกาลเวลาบดขยี้ทำลายไป  ยิ่งไม่ต้องการให้มันกลายเป็นรอยแผลแห่งความผิดพลาดบนทางชีวิตของเราสองคน...เพราะข้ายังอยากจะจดจำมันไว้ตลอดไป

มือสั่นระริกของเหลียนอันสุ่ยลูบไปตามรอยพับของกระดาษจดหมายฉบับหนึ่ง...มันคือจดหมายของหลันเซียง  ข้าเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้เพื่อใช้เตือนตัวเอง  ทุกครั้งที่เห็นมันจะช่วยเตือนข้าให้อยู่กับความเป็นจริง  คนในใต้หล้างมงายในรัก  การตื่นแต่ละครั้งล้วนเจ็บปวดอย่างยิ่ง  เซี่ยงหยวน  ข้าไม่ใช่คนแรกของท่าน  และไม่ใช่คนสุดท้าย  ข้าควรปล่อยมือในขณะที่ข้าควรปล่อยมือ
เหลียนอันสุ่ยทอดสายตามองออกไปไกล  มองดวงดาวที่กระพริบพราวอยู่บนฟากฟ้า  เซี่ยงหยวน  ท่านรู้หรือไม่  บางทีข้าก็อิจฉาหลันเซียง  นางสามารถทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับความรัก  แต่ข้ากลับทำไม่ได้  กระทั่งบอกรักคนที่ตัวเองรัก  ข้ายังทำไม่ได้ !
เซี่ยงหยวน  ท่านโมโหคำวิพากษ์วิจารณ์ของท่านพ่อตา  แต่ท่านไม่มีทางทราบหรอกว่าแค่นี้ยังน้อยนักเมื่อเทียบกับสิ่งที่ข้าเคยเจอ  เคยหรือไม่คนที่รักใคร่เทิดทูนท่านพร้อมใจกันหันหลังให้กับท่าน  เคยหรือไม่คนที่ท่านนับถือเชื่อใจวันต่อมากลับใช้สายตาที่อ่านไม่ออกซึ่งแฝงความชิงชังรังเกียจจับจ้องมองท่าน  ในขณะที่ท่านตั้งใจทำงานเพื่อพวกเขา  เสียสละเพื่อพวกเขา  พวกเขากลับเอาแต่กล่าววาจาเหยียดหยามท่านลับหลัง  มันยากเหลือเกินที่จะไม่รู้สึกรู้สา  ได้แต่โทษว่ายุคสมัยอันคับแคบ  สังคมเราแท้จริงหาได้เปิดกว้างถึงเพียงนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับท่านไม่มีทางได้รับการยอมรับอย่างเด็ดขาด

ทุกผู้คนล้วนเห็นว่าเหลียนอันสุ่ยสงบอย่างยิ่งเสมอมา  มีผู้ใดทราบบ้างว่าความสงบเช่นนี้หลอมสร้างมาจากอะไร  สังคมในแคว้นเหลียนความจริงโหดร้ายกว่าแคว้นเป่ยชางมากนัก  กฎธรรมเนียมข้อบังคับล้วนมีมากมายเกินไป  ปากที่ชมชอบกำหนดบรรทัดฐานถูกผิดก็มีมากมายเกินไป  ฐานะของเหลียนอันสุ่ยสูงเลิศลอยไม่อาจกระทำผิดพลาดใดๆเด็ดขาด  ผู้คนล้วนเชื่อถือเหลียนอันสุ่ยอย่างมาก  เทิดทูนบูชาเหลียนอันสุ่ยอย่างมาก  แต่แล้วในที่สุดฐานะที่สูงส่งนี้ก็ถูกรอยด่างพร้อยทำลายไปจนได้  เป็นรอยด่างพร้อยที่เรียกว่า ‘อวี้เฉียน’
หากจะถามว่าคนที่ทราบความร้ายแรงของการเป็นบุรุษที่ชมชอบบุรุษมากที่สุดคือใคร  คนๆนั้นต้องเป็นเหลียนอันสุ่ย  ศักดิ์ฐานะของเหลียนอันสุ่ยในแคว้นเหลียนมั่นคงเพียงใด  กระทั่งวางอำนาจแล้วก็ยังเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง  แต่ภายในเดือนเดียว  เดือนเดียวเท่านั้นนับแต่ข่าวลือปรากฏหลักฐานสนับสนุนขึ้นมาฐานะดังกล่าวก็ถูกทำลายลงจนหมดสิ้น  สายตาที่ผู้คนใช้มองเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล 
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงเหลียนอันสุ่ยไม่ได้มีเยื่อใยใดๆต่ออวี้เฉียนด้วยซ้ำ  ทั้งๆที่คนใกล้ชิดรอบข้างรวมถึงเหวินเถียนที่เป็นพ่อตาต่างทราบดีว่าความจริงเป็นเช่นไรก็ไม่อาจหยุดยั้งการทำลายล้างของข่าวลือ  เพราะคนส่วนใหญ่ยังคงไม่เชื่อ 
ข่าวลือสามารถฆ่าคนทั้งเป็นได้อย่างไร  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ในตอนนั้นเหลียนอันสุ่ยสามารถวางเฉย  แต่วางเฉยไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ยิน  วางเฉยไม่ได้หมายความว่าไม่เจ็บปวด  เหลียนอันสุ่ยเจ็บอย่างยิ่ง  แต่เลือกที่จะไม่ตัดไมตรีกับอวี้เฉียน  ใช้ตัวเองค้ำจุนแคว้นเหลียนต่อไป  เพราะเหลียนอันสุ่ยคือเหลียนอันสุ่ย
ดังนั้นคำเหยียดหยามลับหลังในแคว้นเป่ยชางสำหรับเหลียนอันสุ่ยแล้วไม่นับว่าเป็นอย่างไร  ไม่ใช่เพราะข้ายืนตรงนี้ต่อไปไม่ไหว  แต่ข้าไม่ต้องการให้ท่านลิ้มรสประสบการณ์เดียวกันกับข้า  ทุกวันที่ข้ามีความสุขกับความรักที่ท่านมอบให้  ทุกคืนกลับตื่นขึ้นมาด้วยฝันร้ายที่ว่าการคงอยู่ของข้าได้ทำลายท่านไปอย่างไรบ้าง  ทุกครั้งที่ท่านดีต่อข้า  เมื่อลืมตาตื่นจากภาพเบื้องหน้าก็จะรับรู้ความเจ็บปวดของความเป็นจริง 
ความรักครั้งหนึ่งอาจกระชั้นสั้นเพียงไม่กี่วัน  อาจยาวนานชั่วชีวิต  เซี่ยงหยวน  ท่านอย่ายึดติดกับข้ามากไปเลย  ที่ท่านยึดติดถึงเพียงนี้เป็นเพราะท่านรู้สึกว่าท่านยังไม่ได้ข้าไปทั้งหมด  รู้สึกว่าข้ายังไม่ได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่าน  ซึ่งข้าให้ท่านไม่ได้ 
ตอนนี้ท่านรู้สึกว่าท่านรักข้ามาก  แต่หลังพ้นช่วงที่รักลึกล้ำดูดดื่มคือสิ่งใด?  คือความรักที่เจือจางเบาบางลง  อย่าเอาความรักเพียงช่วงหนึ่งของชีวิตไปแลกกับคำปรามาสเหยียดหยามตลอดชีวิตเลย  มันไม่คุ้มค่า  ข้าไม่ต้องการเป็นจุดอ่อนของท่าน  และไม่อยากเป็นจุดด่างพร้อยของท่าน  ดังนั้นท่านต้องปล่อยข้าไป

เหลียนอันสุ่ยไม่แน่ใจว่าตัวเขากำลังพยายามกล่อมใครกันแน่  กล่อมฉีเซี่ยงหยวนหรือกล่อมตัวเอง  เหตุผลเป็นเรื่องหนึ่ง  แต่กระทำจริงได้หรือไม่กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยสิ้นเชิง  เข้าใจส่วนเข้าใจ  แต่ห้ามหัวใจไม่ให้เจ็บปวดกลับทำไม่ได้  เพราะหากหัวใจคนเชื่อฟังเหตุผล  นั่นคงต้องเป็นตอนที่มันหยุดเต้นไปแล้ว

พระมาตุลาแคว้นเหลียนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหายใจไม่ออก  แววตาเชือดเฉือนของฉีเซี่ยงหยวนกรีดแทงวิญญาณของเขาซ้ำๆอย่างทารุณ  เขาควรจะเลือกอะไรกันแน่  เมื่อทางที่ถูกต้อง  ที่สมควรจะเป็น  กลับอยู่คนละฝั่งของหนทางที่หัวใจมุ่งหวังให้เป็น
ข้าเข้าใจแล้ว เหวินจี  ในที่สุดข้าก็ได้สัมผัสกับความรักในแบบที่เจ้ามอบให้ข้าด้วยตัวข้าเอง  คงเป็นสวรรค์ลงทัณฑ์  ข้าคดโกงผู้คนมาโดยตลอด  ขณะที่เจ้ามอบความรักที่แท้จริงให้ข้า  ข้ายังคงไม่ได้มอบกลับคืนไป  ขณะที่อวี้เฉียนมอบความรักที่แท้จริงของเขาให้ข้ามา  ข้ากลับหลอกใช้เขา  ทำให้ในเวลาที่ข้ารักคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริงมันกลับเป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้ !

ดวงตาเลื่อนลอยของเหลียนอันสุ่ยปรากฏภาพต้นท้อใหญ่ในความทรงจำ  เจ้าดูสิเหวินจี  ดูสภาพของข้าในตอนนี้  ข้ากำลังชดใช้คืนให้เจ้าแล้ว  จำได้หรือไม่ว่าข้าเคยขอเวลาช่วงหนึ่งเพื่อที่จะรักเขา  ตอนนี้เวลาช่วงนั้นในที่สุดก็จบลง  ...และข้ากำลังชดใช้ผลของมัน
---------------------
เหลียนอันสุ่ยปวดร้าวทุรนทุราย  ฉีเซี่ยงหยวนเองก็ไม่แตกต่างกัน  บางทีพวกเขาคงเคยชินกับการเก็บความรู้สึกมากเกินไป  เคยชินกับการทำตัวเยือกเย็นมากเกินไป  ในขณะที่เสียใจที่สุดกลับไม่อาจแสดงความเสียใจนั้นออกมาได้

แต่ละวันของฉีเซี่ยงหยวนผ่านไปอย่างมึนชา  นานๆครั้งจะถูกฉีกกระชากด้วยคำวิงวอนขอจากไปของเหลียนอันสุ่ย  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้อาละวาด  และไม่ได้ดื่มสุราอย่างหนัก  เขาเพียงสงบจนผิดปรกติ  เงียบขรึมจนผิดปรกติ  หัวใจที่ร้อนรุ่มตอนทะเลาะกันอย่างรุนแรง  ตอนนี้ยะเยือกจัดเหมือนถูกฝังในหล่มน้ำแข็ง  เหน็บหนาวอยู่บ้าง  อ้างว้างอยู่บ้าง

แต่ละวันที่ล่วงเลยกับความหวังที่ค่อยๆมอดดับ  ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบที่เลิกรอคอยไปเสียแล้ว  ในตอนแรกฉีเซี่ยงหยวนคาดหวังว่าจะมีข่าวประเภทเหลียนอันสุ่ยเข้าใจอะไรผิดไปหรือเหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนใจ ดังแว่วมาจากตำหนักเสียงวสันต์  หากแต่ละวันกลับผ่านไปอย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกับวันก่อนหน้า...เหลียนอันสุ่ยไม่ได้เปลี่ยนใจ

ความจริงฉีเซี่ยงหยวนตั้งใจไว้ว่าขอเพียงเหลียนอันสุ่ยยอมเปลี่ยนใจ  การทะเลาะกันที่บาดหมางจนมองหน้าไม่ติดเขาจะยอมเป็นฝ่ายผิดทุกอย่าง  ความรักทำให้คนอภัยได้ง่ายๆเช่นนี้เอง  ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรล้วนอภัยให้ได้ทุกสิ่ง
หลายวันที่ผ่านไป ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนคิดเรื่องน่าตลกออกมาได้เรื่องหนึ่ง
เหลียนอันสุ่ยบอกว่าเขาตามืดบอดเพราะรัก  บางทีคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ  เพราะหลังจากบอกให้ตู้ฮูหยินถอนชื่อเสิ่นชิงอี  เพียงสองวันถัดมาก็บอกท่านแม่นมตรงๆว่า  เขาไม่มีความคิดจะแต่งงานและไม่ต้องการแต่งตั้งพระชายา  ฉีเซี่ยงหยวนมักรู้สึกว่าในเมื่อเขาต้องการให้คนผู้หนึ่งรักแต่เขาเป็นของเขาคนเดียว  เขาก็ควรทำเช่นเดียวกันให้กับอีกฝ่ายด้วย 
ช่างเป็นความคิดที่น่าขำเหลือเกิน  ตอนนี้คนผู้นั้นไม่ได้ต้องการความคิดนี้ของเจ้าอีกแล้ว  ไม่ว่าเจ้าจะพยายามทำอะไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดภายในใจของเหลียนอันสุ่ยได้  เขาไม่ได้รักเจ้ามากมาย  เจ้าใยต้องคิดเพื่อเขาถึงเพียงนี้  เจ้าใยต้องเจ็บปวดเพื่อเขาถึงเพียงนี้อีก
เอาแต่คิดถึงเขา  แส่หาความปวดร้าวให้ตัวเอง  ทำเช่นนี้เพื่อสิ่งใด?
ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้มีน้ำตา  มันแค่แห้งผากอย่างยิ่ง  เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง  เอาแต่ไล่ตามไขว่คว้า  สุดท้ายที่คว้าได้คืออะไร  เหตุใดไม่เหน็ดเหนื่อยเสียบ้าง
ต่อให้เจ้าเป็นต้าอ๋อง  แต่ของบางชิ้นก็เป็นสิ่งไม่อาจได้มา  คนบางคนเจ้าไม่อาจครอบครอง เจ้าควรยอมรับได้แล้ว  และรู้จักปล่อยมือได้แล้ว
น่าเสียดายที่แม้เจ็บปวดถึงเพียงนี้มือก็ยังยึดกุมไว้แน่น  เพราะความจริงแล้วสิ่งที่ทำให้คนดื้อรั้นดันทุรังได้ถึงขีดสุดก็คือความรักนั่นเอง
---------------------
เวลาค่อยๆขยับทีละก้าว ทีละก้าว ถอยห่างจากไปอย่างเชื่องช้า  วันคืนที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหล่านี้ในที่สุดคนรอบข้างก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติ  หลิวฉางเฟยแน่ใจถึงความผิดปรกติในวันที่สาม  ส่วนอิ๋งฮวาแน่ใจก่อนหน้านั้นครึ่งวัน  นายท่านเหมือนเป็นคนละคนเวลามีคุณชายน้อยกับไม่มีคุณชายน้อย  ตอนเหลียนจิ้งเต่ออยู่ข้างกายนายท่านจะยิ้มแย้มพูดคุยปกติ  แต่ทันทีที่ลับหลังเหลียนจิ้งเต๋อพลังชีวิตในร่างสูงโปร่งคล้ายกับถูกสูบหายไปจนหมดสิ้น  เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง  อาหารที่ยกไปถูกแตะต้องเพียงเล็กน้อย  นายท่านกล่าวคำเดิมว่าไม่หิว  แต่คนเราไหนเลยจะไม่หิวติดต่อกันสามวัน !
นางไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่  แต่เย็นวันนั้นหัวหน้าหญิงรับใช้คุกเข่าหน้าห้องของผู้เป็นนายวิงวอนให้เขารับประทานอะไรบ้าง 
มื้อถัดไปอาหารพร่องไปมากขึ้น  ขณะที่นางกำลังจะวางใจลงพลันได้ยินเสียงอาเจียนดังมาจากในห้อง  พริบตานั้นอิ๋งฮวาไม่สนใจกฎเกณฑ์ธรรมเนียมของบ่าวรับใช้  ผลักประตูถลาเข้าไป  จากนั้นร่างบอบบางก็ถึงกับตะลึงลานเมื่อเห็นสภาพของคนในห้อง
เวลาเพียงไม่กี่วันนายท่านดูซูบเซียวไปมากมาย  อาเจียนจนใบหน้าซีดขาวฟุบล้มอยู่ที่มุมเตียง  นางเข้าไปพยุงอย่างลนลาน  แต่นายท่านกลับปฏิเสธมือที่นางยื่นให้พึมพำว่าแค่โรคเก่ากำเริบ ไม่จำเป็นต้องตามหมอ  จากนั้นค่อยๆยันกายขึ้นพิงร่างกับหัวเตียงอย่างอิดโรย  สั่งให้นางเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
นายท่านให้คนไปบอกทางโรงหมอว่าเขากำลังทุ่มเทเรียบเรียงตำราแพทย์ทั้งชุดจึงไม่อาจไปช่วยงานที่โรงหมอในช่วงนี้  แต่อิ๋งฮวารู้ดีว่านายท่านแค่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นสภาพย่ำแย่ของเขา  โชคดีที่ช่วงนี้คุณชายน้อยมุมานะเรียนหนักจึงย้ายกลับไปนอนห้องตัวเองทำให้เรื่องราวยังพอจะปกปิดไว้ได้

หลังจากนั้นเข้าสู่ช่วงองค์รักษ์เก่าปลดเกษียณ  องครักษ์ใหม่บรรจุเข้าประจำการแทน  ต้วนจินกับหม่าหลงจึงถูกเรียกตัวไปช่วยเสริมกำลังอารักขาเป็นครั้งคราว  ตำหนักเสียงวสันต์ว่างขึ้นเป็นบางเวลา  อาการปฏิเสธอาหารของนายท่านยิ่งมาก็ยิ่งหนักข้อ 
นายท่านมักสั่งให้นางแอบต้มยาให้กับเขา  แต่ก็มักจะครุ่นคิดเหม่อลอยจนลืมรับประทาน  ขนาดเหลียนจิ้งเต๋อที่เหลียนอันสุ่ยเพียรปกปิดไว้สุดความสามารถยังร้อนใจแล้ว  แต่ไม่ว่าใครล้วนหาสาเหตุของเรื่องราวไม่พบ  ทุกคนจึงเข้าใจว่าที่เป็นเช่นนี้มีสาเหตุมาจากการหักโหมทำงานไม่ได้พักผ่อนของเหลียนอันสุ่ย  ช่วงนี้พระมาตุลาแคว้นเหลียนจุดตะเกียงเรียบเรียงตำราถึงดึกดื่น  หลายครั้งดับไฟไปแล้วชัดๆ  แต่เมื่ออิ๋งฮวาเดินมาตรวจดูด้วยความห่วงกังวลกลับพบว่าในห้องหนังสือยังสว่างอยู่...นายท่านนอนไม่หลับ
หวังเชียนบอกนางว่านายท่านนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว  จนเวลานอนเบียดบังมายังตอนกลางวัน  อาการเผลอหลับตื้นๆไม่เป็นเวลาปรากฏถี่  ทั้งๆที่ฤดูใบไม้ผลิยิ่งมายิ่งสวยงาม  แต่นายท่านกลับตรงกันข้าม  ยิ่งมายิ่งดูสมวัยสามสิบเอ็ดปีของเขา
---------------------
เหลียนอันสุ่ยมองภาพสะท้อนบนผิวน้ำของตัวเอง  นิ่งงันไปพักใหญ่  ผู้คนมักบอกว่าเขาดูอ่อนเยาว์กว่าความเป็นจริง  ดูดีอย่างยิ่งในช่วงอายุของตัวเอง    แต่คำวิจารณ์เหล่านั้นยิ่งมาก็ยิ่งห่างไกล  มองภาพสะท้อน  ตระหนักในความเป็นจริงอีกข้อว่าจริงๆแล้วตัวเขาอายุก็ไม่ได้เหมาะกับฉีเซี่ยงหยวนเลย  ฉีเซี่ยงหยวนสมควรได้ภรรยาที่อ่อนวัยกว่าซักหลายปี  ภรรยาที่นุ่มนวลเอาใจ  อ่อนหวานและสามารถมีลูกให้กับเขา 
อายุของเหลียนอันสุ่ยมากกว่าฉีเซี่ยงหยวนห้าเดือน  ห้าเดือนนี้จะนับว่ามากไม่มาก  แต่อายุเป็นสิ่งที่ไม่มีวันกวดทันกันได้  อีกหลายปีข้างหน้า ภรรยาผู้อื่นเข้าสู่ช่วงวัยสาวจัดอันพราวเสน่ห์  แต่ตัวเขาเองเป็นได้แค่ชายวัยกลางคนที่แก่ชราลงตามวัย  ถึงตอนนั้น...ท่านจะยังรักข้าอยู่หรือไม่
เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง  ในใจกลับสามารถวาดภาพออกได้ว่าฉีเซี่ยงหยวนจะตอบคำถามนี้อย่างไร  คงเป็นคำตอบจำพวก...
‘ท่านแก่ชรา  ข้าเองก็แก่ชรา  เช่นนี้เรียกว่าแก่ชราไปด้วยกัน  มีอันใดไม่ดี...ไม่เพียงดีมากเท่านั้นยังยุติธรรมมากอีกด้วย’
ฉีเซี่ยงหยวนต้องพูดเช่นนี้แน่  เช่นนี้จึงจะสมเป็นฉีเซี่ยงหยวน  แต่ทว่า...
เหลียนอันสุ่ยยิ้มหมองๆ  ไม่มีทางแล้ว  ตอนนี้ท่านไม่แน่ว่าเกลียดข้าไปแล้ว
เหลียนอันสุ่ยคิดว่าเขาเห็นการพยายามค่อยๆปล่อยมือทีละน้อย  สุดท้ายต้วนจินกับหม่าหลงก็คงกลับไปอยู่ข้างกายท่านโดยสมบูรณ์  ในที่สุดท่านก็ตัดสินใจที่จะปล่อยมือแล้ว
ในใจของพระมาตุลาแคว้นเหลียนว่างโหวง  เป็นความโดดเดี่ยวหรือความโล่งอกกลับไม่ชัดเจนนัก  ที่ชัดเจนกว่าคือความรู้สึกสูญเสียที่ทรงอิทธิพลเหนือทุกสิ่ง   เรื่องราวก่อนเก่าสลักย้ำลึกล้ำนัก  คล้ายตัวตนของฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆซึมลึกเข้ามาในตัวเขา  กระทั่งหลับตาลงยังสามารถวาดภาพออกได้ว่าคนผู้นั้นจะตอบวาจาด้วยสีหน้าท่าทางเช่นไร...สูญเสียไปแล้วตลอดกาล
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้น  สูดลมหายใจลึก  ราวกับการกระทำเช่นนั้นจะทำให้เขาไม่หลั่งน้ำตา  ทราบว่าบุคคลเช่นฉีเซี่ยงหยวนเมื่อตัดสินใจว่าจะปล่อยมือ  จะไม่มีทางคว้ากุมไว้อีก  ปล่อยอย่างรวบรัดหมดจด

ต้นไม้ยังคงเป็นต้นไม้  กิ่งก้านที่เคยแห้งโกร๋นแตกใบผลิดอกเฉิดฉัน  ทุกอย่างภายในสวนราวกับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาจากฤดูหนาวอันโหดร้าย  แต่ตัวเขาเองกลับคล้ายทำชีวิตหล่นหายไปในฤดูหนาว  ไม่ปรารถนาให้ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอีกเลย
สายตาพร่ามัวลงทีละน้อย  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ห้ามเหลียนอันสุ่ยออกจากตำหนักเสียงวสันต์  แต่เหลียนอันสุ่ยรู้ดีว่ายังมีโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นล่ามข้อเท้าเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา  เขายังคงต้องอยู่ที่นี่  หนึ่งเดียวที่สามารถปลดปล่อยเขาเป็นอิสระคือความเมตตาของเป่ยชางอ๋อง...แต่เป่ยชางอ๋องดูเหมือนจะไม่เหลือเมตตาให้เขาอีกแล้ว 

พูดให้ถูกก็คือตัวตนของเขากำลังจะจางหายไปจากสายตาอีกฝ่ายตลอดกาล  ช่างเถอะ  ถ้าท่านไม่รักข้าแล้วการจากไปก็ไม่จำเป็นอีก  เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน  ข้าจะได้อยู่ข้างๆท่าน  มองท่านผ่านกรงขังเล็กๆนี่  ถึงแม้เราอาจไม่มีวันได้พบหน้ากันอีก  และข้าก็คง...ไม่มีวันมีตัวตนในสายตาของท่านอีกเลย
---------------------
หลิวฉางเฟยวางม้วนรายงานฉบับหนึ่งลงช้าๆ  พลางกล่าวว่า
“นี่เป็นรายงานจากตำหนักชุนเกอของหม่าหลง”
พู่กันในมือของฉีเซี่ยงหยวนลากปราดๆต่อไปราวกับไม่ได้ยิน  อิริยาบถไม่มีช่วงใดหยุดชะงัก 
หลิวฉางเฟยถอนหายใจมองม้วนไม้ไผ่ที่กองอยู่บนหลังตู้  พลางเดินเอาม้วนนี้ไปวางไว้บนสุด  ทั้งหมดเป็นรายงานจากตำหนักเสียงวสันต์  และทั้งหมดยังไม่ได้ถูกเปิดอ่าน  ฉีเซี่ยงหยวนเพียงบอกให้หลิวฉางเฟยกองรวมๆไว้เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปเผาทิ้ง 
หลักฐานที่จะทำให้ข่าวลือกระพือโหมเช่นนี้ต้องเผาทิ้งทุกฉบับ
---------------------
คืนนี้อากาศเย็นเล็กน้อยเพราะมีฝนตกปรอยๆก่อนค่ำ  เหลียนอันสุ่ยให้คนเช็ดม้านั่งในสวนไว้  ตกดึกคืนนั้นสวมเสื้อคลุมทับหนึ่งชั้นฝ่าอากาศชื้นจางๆเข้ามาในสวน  นั่งลงบนม้านั่งแหงนหน้าดูดวงดาวที่ร้อยเรียงอยู่เต็มแผ่นฟ้า
คนผู้หนึ่งเคยสัญญาไว้ว่าจะพาเขาไปดูดาวในฤดูใบไม้ผลิ  น่าเสียดายที่สัญญานั้นคงไม่อาจเป็นจริงได้แล้ว  หยาดน้ำหยดเล็กที่เกาะค้างอยู่ตามกิ่งใบ  ดูคล้ายหยาดน้ำตาที่ยังไม่แห้งเหือด  ราวกับฟากฟ้าก็สามารถร่ำไห้และปวดร้าว
คิ้วเรียวงามของเหลียนอันสุ่ยขมวดเข้าหากัน  ความรู้สึกเจ็บทำให้เขาเอามือกุมท้องคู้ตัวลง  มันเป็นตำแหน่งเดิมๆ  อาการเดิมๆ  ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เหลียนอันสุ่ยตื่นนอนกลางดึก  ไม่มีใครทราบว่าในช่วงหลายปีมานี้อาการดังกล่าวคล้ายกลับกลายเป็นโรคประจำตัวของพระมาตุลาแคว้นเหลียนไปเสียแล้ว  บางช่วงกำเริบหนัก  บางช่วงเว้นห่างไปเป็นหลายเดือนจนเข้าใจว่าหายสนิท  แต่พอจิตใจวิตกกังวลก็จะกลับมาเป็นใหม่
เหลียนอันสุ่ยแม้มีความรู้ทางการแพทย์และสามารถเขียนเทียบยาให้กับตัวเอง  แต่ตลอดชีวิตสามสิบเอ็ดปีหักโหมทำงานอยู่เรื่อยๆ  ซ้ำยังชอบแบกรับเรื่องราวหนักๆเอาไว้บนบ่า  สุขภาพที่ควรจะดีจึงไม่ได้ดีอย่างแท้จริง
 
ครั้งนี้อาการรุนแรงกว่าครั้งก่อนมาก  เหลียนอันสุ่ยเจ็บอยู่พักใหญ่จนบนขมับมีเหงื่อซึม  พยายามหายใจ  แต่ไม่อาจหายใจรุนแรงเกินไป  ปกปิดมานานเหลือเกิน  และเผชิญมันด้วยตัวคนเดียวตลอดมา  แต่ในเวลานี้เหลียนอันสุ่ยกลับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว  ดวงตาคู่งามพยายามเพ่งมองดวงดาว  อย่างน้อยใต้แสงดาวอันอ่อนโยนนี้ข้ายังคงรู้สึกถึงเงาร่างของท่าน...ท่านยังคงอยู่กับข้า  สายตาจับนิ่งราวยึดถือไว้เป็นที่พึ่ง  รอจนความเจ็บปวดบรรเทาลงเหลียนอันสุ่ยก็ลุกขึ้น  เดินด้วยฝีเท้าไม่มั่นคงอยู่บ้างกลับห้องไป
อย่างน้อยคืนนี้เหลียนอันสุ่ยก็หวังว่าเขาจะนอนหลับ  โรคที่เคยเป็นคล้ายกับพร้อมใจกันมากำเริบในช่วงนี้...รวมถึงโรคที่เกี่ยวกับความโหยหาที่เข้าใจว่าตัวเองทุเลาหายดีไปแล้วด้วย  ข้าไม่อยากให้ร่างกายปรารถนาท่านอีกเลย  เพราะแค่นี้หัวใจข้าก็ปรารถนาท่านมากพอแล้ว  และมันเจ็บปวดเหลือเกิน
---------------------
เช้าวันนี้เหลียนอันสุ่ยตื่นสายเกินไปอีกแล้ว  เหลียนจิ้งเต๋อเรียนตั้งแต่เมื่อครู่ก่อน  ตำหนักชุนเกอเงียบเหงาซึมเซา
อิ๋งฮวารีบร้อนยกอาหารเข้ามา  อาหารหอมกรุ่น  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับไม่รู้สึกอยากอาหาร  เหลือบเห็นสายตากังวลของหญิงรับใช้  นิ้วมือเรียวยาวตัดสินใจเลื่อนไปกุมตะเกียบ  รับประทานทีละคำอย่างเชื่องช้า  จนถึงคำที่สี่ก็ไม่อาจทนทานไหว  อาหารมื้อนี้เป็นอาหารแคว้นเหลียนอีกแล้ว  ที่เคี้ยวในปากมีแต่รสชาติของความทรงจำ  พูดให้ถูกคือทั้งตำหนักชุนเกอบุรุษชาวเป่ยชางผู้นั้นทิ้งร่องรอยเอาไว้เต็มไปหมด  หันไปทางไหนมีแต่ภาพที่ควรจะจมอยู่แค่ในความทรงจำผุดขึ้นมา  เหลียนอันสุ่ยฝืนใจรับประทานต่อไป แต่พอถึงคำที่สิบก็รู้สึกอยากอาเจียน  ดึงกระโถนออกมาอาเจียนลงไป  อาการอาเจียนนี้คล้ายเป็นปฏิกิริยาที่ห้ามไม่ได้  เมื่ออาเจียนคำแรกก็ต้องอาเจียนต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุด 

อิ๋งฮวาที่พยายามเข้ามาลูบหลังให้กับผู้เป็นนาย  ดวงตาปรากฏฝ้าน้ำตา  นายท่านอาเจียนอย่างทรมาน  รับประทานไปแค่สิบคำ  แต่อาเจียนครั้งนี้คล้ายกับพยายามเอาอาหารเมื่อวานออกมาด้วย
เหลียนอันสุ่ยอาเจียนจนหมดสิ้นก็เท้ามือกับโต๊ะ  หอบหายใจ  อิ๋งฮวาส่งน้ำชาสำหรับบ้วนปากให้  จากนั้นหัวหน้าหญิงรับใช้ก็เอื้อมมือไปที่กระโถน  จังหวะนั้นนางพลันได้กลิ่นคาวเลือด  นางก้มหน้าลงมองกระโถนในมือ  จากนั้นใบหน้าก็เผือดสี  ในอาเจียนผสมด้วยเลือดสดๆ  นายท่านอาเจียนเป็นเลือด !
นางหันหลังกลับจะไปตามหมอหลวง  แต่ถูกมือของนายท่านคว้าตัวไว้  พึมพำไม่ต่อเนื่องเพราะเสียงหอบหายใจว่า
“ไม่  ไม่ต้อง  กินยาซักเทียบก็ดีขึ้นแล้ว  เจ้าไปเอาพู่กันมาข้าจะเขียนเทียบยาให้เจ้าชุดหนึ่งไปจัดการ”
อิ๋งฮวาก้มหน้าลง  รับคำแผ่วเบา  ยกกระโถนเดินออกมาถึงหน้าห้องก็เห็นต้วนจินอยู่ห่างออกไปกำลังพยายามด้อมๆมองๆเข้ามาข้างใน  นายท่านสั่งให้ปิดเรื่องเป็นความลับ  และไม่อนุญาตให้บ่าวไพร่คนอื่นเข้าใกล้ห้องนอน  หม่าหลงกับต้วนจินจึงได้แต่ลอบมองมาจากภายนอกและพยายามถามไถ่เรื่องราวของนายท่านจากนาง
ต้วนจินที่ถูกจับได้ว่าแอบรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตหวงห้ามกำลังจะชักเท้าหลบไป  แต่อิ๋งฮวาเรียกรั้งไว้  ดวงตากลมโตของนางไม่มีประกายน้ำตาอีก  มีแต่ความแน่วแน่ชนิดหนึ่ง
“วันนี้นายท่านกินอาหารไม่ได้อาเจียนอีกแล้ว  ฝากท่านนำไปเทด้วย  ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องไปทำ” พูดจบก็ยัดกระโถนใส่มืออีกฝ่าย  แล้วหันหลังเดินจากไปด้วยสีหน้ามึนตึง
ต้วนจินมองกระโถนในมืออย่างมึนงง  แต่เมื่อพิจารณาดูดีๆแล้วใบหน้าก็ซีดขาวรีบร้อนก้าวจากไป
อิ๋งฮวาเดินไปหยิบม้วนไม้ไผ่ว่างเปล่าหนึ่งชุด  พู่กันจานฝนหมึกอีกหนึ่งชุด  เพื่อนำไปให้นายท่าน  ดวงตาของนางเย็นชาและแน่วแน่  ฉีเซี่ยงหยวน  ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าเคยเอ่ยอะไรเอาไว้
‘เจ้าอาจไม่ไว้ใจข้า  แต่ขอให้รู้ว่าข้าไม่ยอมให้เหลียนอันสุ่ยเป็นอะไรไปเด็ดขาด’
รับผิดชอบคำพูดของท่านด้วย !
อิ๋งฮวาแม้ไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นชัดเจน  แต่อาการนี้ของนายท่านเกิดอย่างประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่เป่ยชางอ๋องผู้นั้นหายหน้าไป  และนางทนทานเห็นนายท่านเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว
---------------------
ในที่สุดหินผาที่ตั้งตระหง่านอย่างสงบนิ่งเยียบเย็นก็ปรากฏรอยร้าวสั่นไหว
“เจ้าบอกว่า...เหลียนอันสุ่ยอาเจียนเป็นเลือด?” เป็นครั้งแรกที่ฉีเซี่ยงหยวนเงยหน้าขึ้นมาจากงานในมือ
ต้วนจินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นรายงานว่า
“กราบทูลต้าอ๋อง  พระมาตุลามีอาการรับประทานอาหารแล้วอาเจียนมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้  เพียงแต่ไม่ได้ตามหมอหลวงจึงไม่มีผู้ใดในตำหนักทราบ...”
“เหลวไหล  เจ็บป่วยไม่รู้จักตามหมอเอง หลิวฉางเฟยส่งคนไปที่โรงหมอ ตามหมอหลวงใหญ่ให้กับข้า  ถ้าตำหนักชุนเกอบ่ายเบี่ยงเกรงกลัวข่าวลือมากนักก็บอกไปว่า  อาคันตุกะที่เป่ยชางอ๋องเชิญมาไม่อนุญาตให้ป่วยตาย  เดี๋ยวผู้คนจะหาว่าแคว้นเป่ยชางรับรองแขกได้ไม่ดี เสื่อมเสียบารมีของข้า!”

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 55
«ตอบ #144 เมื่อ13-10-2014 23:31:39 »

บทที่ 55 เพราะข้ารักท่าน

จู่ๆหมอหลวงใหญ่ก็มาเยือนถึงตำหนักเสียงวสันต์  ทำตำหนักที่ซึมเซาเงียบเหงาวุ่นวายปั่นป่วน

เหลียนอันสุ่ยมองหมอหลวงใหญ่อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา  แต่พออีกฝ่ายอธิบายเหตุผลการมาเสร็จสิ้นก็มีสีหน้าหมองลง 
ถ้าข้าตายจะเสื่อมเสียบารมีของท่านมากหรือ?   ฉีเซี่ยงหยวน  ท่านวางใจ ถึงแม้ตอนที่ท่านรักข้าไม่ยินยอมให้ข้าจากไป  ข้าเคยคิดกำหนดทางตายเป็นหนทางเลือกสุดท้ายให้ตัวเอง  แต่ตอนนี้ท่านไม่ได้รักข้าแล้ว  ดังนั้นการตายของข้าก็ไม่จำเป็นอีก  แม้การมีชีวิตจะเป็นเรื่องยากลำบากกว่าตาย  แต่ข้าก็ยังคงต้องมีชีวิตต่อไป  เพราะข้ายังอยากเห็นท่านนั่งบัลลังก์ต้าอ๋องอย่างมั่นคง
 
เหลียนอันสุ่ยรอคอยด้วยความหวังตลอดวัน  รอคอยด้วยความหวังที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่ทราบว่าต้องการให้เกิดสิ่งใด  บางทีเขาอาจเพียงต้องการจะบอกคำขอบคุณ  อาจแค่ต้องการเห็นหน้าสักชั่วขณะ  แต่จวบจนอาทิตย์ลับขอบฟ้า  เป่ยชางอ๋องก็ไม่ได้ปรากฏตัว
บางทีระหว่างข้ากับท่านคงยังเหลือไมตรีระหว่างมิตรสหายอยู่บ้างกระมังท่านจึงให้หมอหลวงใหญ่มาตรวจรักษาข้า  เพียงแต่ไมตรีนี้ไม่ได้มากอะไร  และข้ากับท่านก็คงไม่มีวันสามารถลาจากกันด้วยดี
เหลียนอันสุ่ยยกยาชามสุดท้ายขึ้นดื่ม  ยาขมจับใจ  แต่ในใจขมยิ่งกว่า  เตือนตัวเองให้ดับไฟเข้านอน...ไม่ต้องรอคอยอีกต่อไปแล้ว
---------------------
ไฟในห้องดับไป  พร้อมกับความหวังที่ดับมอดลง
ไกลออกไปหลายช่วงตำหนัก  ฉีเซี่ยงหยวนยังคงจุดตะเกียงทำงาน  ในห้องมีแสงสว่าง...แต่ในห้องไม่อบอุ่น 
ทั้งๆที่เป็นฤดูใบไม้ผลิ  แต่คืนนี้สำหรับพวกเขาทั้งสองกลับเป็นคืนที่หนาวเหน็บเสียดกระดูก

ในความมืดมิดเหลือแค่แสงจันทร์ซีดจางส่องสว่างเหนือแมกไม้  สายลมเสียดสีกับกรอบหน้าต่างเป็นท่วงทำนองอันเงียบเหงา  เพราะเรียนหนักและฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้แวะมาอีกแล้ว เหลียนจิ้งเต๋อเลยย้ายกลับไปนอนที่ห้องตัวเอง  ความจริงความคิดนี้เป็นของเหลียนอันสุ่ย  เนื่องด้วยไม่ต้องการให้บุตรชายกังวลกับสุขภาพที่ย่ำแย่ลงของเขา

ปิดบังทุกผู้คน  และปิดบังหัวใจตัวเอง  ชั่วชีวิตเหลียนอันสุ่ยปิดบังไว้มากมายนัก  และสิ่งที่เขาแบกรับเอาไว้เพียงคนเดียวก็มากมายนัก  ...มากมายจนเกินไป
เสียงถอนหายใจเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา  ขณะที่มือใหญ่ผลักปิดประตูโดยไร้เสียง  เตียงของแคว้นเป่ยชางใหญ่โตเกินไปสำหรับบุรุษชาวเหลียน  แต่เหลียนอันสุ่ยในวันนี้กลับขดตัวเองจนดูเล็กกว่านั้นอีก  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยคิดว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายอีกครั้งจะนำพาความเจ็บปวดมากมายถึงเพียงนี้มาให้กับเขา  ชุดนอนสีขาวที่หลวมกว้างดูหลวมกว้างกว่าปกติ  ใบหน้าซีดเซียวดูซีดจางยิ่งกว่าแสงจันทร์  บอบบางราวหากกระทบถูกโดยแรงก็จะแหลกสลายไป 

หมอหลวงใหญ่รายงานฉีเซี่ยงหยวนว่าอาการของเหลียนอันสุ่ยเกิดจากความเครียดสะสม  วิตกกังวล  และหักโหมทำงาน  จนร่างกายเกินขีดความสมดุล  ธาตุทั้งห้าแปรปรวนปั่นป่วน  หลังฝังเข็มและรับประทานยาสามารถทำให้อาการดีขึ้น  แต่หากไม่แก้ไขที่ต้นเหตุก็ไม่อาจรักษาให้หายขาด
ร่างสูงใหญ่เอนกายนอนลงบนเตียง  ไม่ได้กระทบถูกอีกฝ่าย  สายตาจับนิ่งอยู่บนร่างสูงโปร่งที่ซูบผอมลงกว่าเดิม  สภาพของเหลียนอันสุ่ยแม้ยิ่งมองก็ยิ่งเสียดแทงความรู้สึกแต่สายตากลับเหมือนถูกบังคับให้ตรึงแน่นอยู่เช่นนั้น 
ไม่ทราบมองดูอยู่นานเท่าไหร่ร่างสูงโปร่งก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น อยู่ๆเหลียนอันสุ่ยก็มีสีหน้าเจ็บปวด  ร่างขดงอเข้าหากัน  ร้องเบาๆออกมาคำหนึ่ง  ด้วยความตกใจฉีเซี่ยงหยวนจึงดึงร่างอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ โอบกอดไว้ด้วยความเคยชิน  เมื่อได้สติทั้งๆที่ควรปล่อยมือ  แต่กลับปล่อยมือไม่ลงเมื่อเห็นเหลียนอันสุ่ยใช้สองมือเกาะเขาแน่น  มุมปากกระตุกเมื่อความเจ็บปวดโถมตัวเข้ามาอีกระลอก  ความเจ็บปวดเกือบจะฉุดดึงให้เหลียนอันสุ่ยตื่นขึ้นมา  แต่เมื่อความเจ็บนั้นจางไป  ความเหน็ดเหนื่อยก็ทำให้จมลงในห้วงหลับใหลอีกครั้ง...จมลงลึกกว่าเดิม
ฉีเซี่ยงหยวนใช้ชายแขนเสื้อเช็ดหน้าผากมนที่มีเหงื่อฉาบเป็นชั้นบางๆ  คิดจะตามหมอหลวง  แต่เห็นอีกฝ่ายหลับไปแล้วจึงไม่ได้ตาม  คลายมือออกช้าๆ  ขยับห่างออกไปเช่นเดิม กลิ่นหอมอ่อนๆยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก  สัมผัสยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในความทรงจำ...ความทรงจำอันปวดร้าว
---------------------
ใบไม้ไหวเบาๆ  ลมยามเช้าระเรื่อยเอื่อยเฉื่อย  เหลียนอันสุ่นตื่นนอนช้าๆ  บนเตียงใหญ่มีเพียงเขาเช่นเคย  เตียงหลังนี้ใหญ่จนให้ความรู้สึกอ้างว้างนัก
อิ๋งฮวายกผ้ากับอ่างทองเหลืองเข้ามา  เหลียนอันสุ่ยรับมาล้างหน้าล้างตาอยู่ครู่หนึ่ง  จากนั้นหญิงรับใช้อีกคนที่ติดตามมาด้วยก็ประคองส่งน้ำชาสำหรับบ้วนปากมาให้  อิ๋งฮวาส่งอ่างทองเหลืองกับผ้าเปียกชื้นให้หญิงรับใช้ผู้นั้นนำออกไป  พลางสั่งให้ไปเร่งที่ครัวให้จัดส่งอาหารมาได้แล้ว
ในห้องหลงเหลือเพียงนายบ่าวเก่าแก่ที่อยู่ด้วยกันมาเกินสิบปี  อิ๋งฮวาเริ่มติดตามเหลียนอันสุ่ยตั้งแต่นางเป็นเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ  ปีนี้อายุครบยี่สิบห้า  ความจงรักภักดีไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาก่อน  เวลาทำงานหรือออกไปจัดการธุระด้านนอกคนที่ติดตามนายท่านคือหวังเชียน  แต่อิ๋งฮวาเป็นบ่าวรับใช้ที่อยู่เคียงข้างเหลียนอันสุ่ยมานานที่สุด  เช้านี้อิ๋งฮวาพยายามสังเกตสีหน้านายท่าน  แต่นายท่านยังคงเป็นเหมือนเดิม  เรียบเฉยและปราศจากชีวิตชีวา  หัวหน้าหญิงรับใช้ก้มหน้าลง  สุดท้ายตัดสินใจคุกเข่าลงกับพื้น
“นายท่าน  อิ๋งฮวามาขอรับโทษ  ที่เมื่อคืนขวางเป่ยชางอ๋องเอาไว้ไม่อยู่  ทำให้ต้าอ๋องผู้นั้นสามารถเข้าไปรบกวนการพักผ่อนของนายท่านกลางดึก”
เหลียนอันสุ่ยเบิกตาค้าง  หันไปมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ
“เมื่อคืนนี้...เมื่อคืนนี้  เป่ยชางอ๋อง...มาที่นี่ ? ”
อิ๋งฮวาพยักหน้ารับคำ  เหลียนอันสุ่ยซวนเซไปด้านหลัง  ยึดกุมหัวเตียงไว้  หายใจแรง
---------------------
หลังจากคืนหนึ่งผ่านไปสิ่งใดตามมา?  สิ่งนั้นย่อมเป็นคืนถัดไป  กฎเกณฑ์ธรรมดาสามัญ  แต่เหลียนอันสุ่ยไม่เคยรู้สึกรอคอยกฎเกณฑ์ธรรมดาสามัญมากมายถึงเพียงนี้มาก่อน 
ไม่กล้าหวังว่าฉีเซี่ยงหยวนจะมาเยือนอีก  แต่ก็ไม่อาจหักห้ามความรู้สึกรอคอย  แม้นอนนิ่งอยู่เป็นเวลานานแต่สำนึกยังคงตื่นอยู่  ...ไม่อาจหลับใหล  และไม่ผ่อนคลาย  เวลาหนักอึ้งเคลื่อนผ่านอย่างยากเย็น  ความโดดเดี่ยวอ้างว้างราวไร้จุดสิ้นสุด  ในช่วงสุดท้ายที่รอคอยจนใกล้จะถอดใจกลับได้ยินเสียงประตูเคลื่อนไหวแผ่วเบา
ทุกสัดส่วนขมวดเขม็งเกร็ง  ไม่กล้าลืมตา  ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ  นอนนิ่งสุดความสามารถ  หวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นแล้วจะจากไป
เหลียนอันสุ่ยทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนจงใจเลือกเวลานี้เป็นเพราะไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเขา  และไม่ต้องการได้ยินได้ฟังวาจาใดๆ  หากพบว่าเขายังตื่นอยู่จะต้องสะบัดหน้าจากไปแน่นอน
‘...เรื่องที่คนอื่นไม่มีทางพูดออกมาจากปากได้ท่านก็พูดออกมาหมดแล้ว  ดังนั้นไม่ต้องกล่าวอะไรแล้ว  อย่ากล่าวอะไรอีกเลย...’
รสชาติขมจัดแผ่ออกมาจรดปลายลิ้น  แต่เหลียนอันสุ่ยยังคงเตือนตัวเองซ้ำๆไม่ให้เคลื่อนไหว  รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายตะแคงลงบนเตียง  เว้นระยะห่างออกไป  ร่างกายไม่ได้สัมผัสถูกกัน
ราวกับคนแปลกหน้าสองคน
ใจที่โลดแรงถี่กระชั้นแผ่วเบาเชื่องช้าลง  ตัวเขาหวังอะไรกันแน่  มิใช่ว่าตัดขาดไปแล้วหรือ  เหลียนอันสุ่ย  ที่แท้เจ้าเป็นคนไม่เด็ดขาดถึงเพียงนี้ 

ความจริงแล้วคนที่ผิดไม่ใช่เหลียนอันสุ่ยแต่เป็น ‘ความรัก’  หากความรักตัดขาดได้ง่ายดาย  นั่นต้องไม่ใช่ความรักแล้ว  ‘ความรัก’เป็นต้นไม้ที่แปลกประหลาดชนิดหนึ่ง  ท่านห้ามมัน  ไม่รดน้ำให้มัน  มันยังคงเติบโต  ท่านถอนรากมันจนถึงโคน  แต่เมื่อมีความหวังรินรดเพียงเล็กน้อย  มันกลับสามารถดันทุรังมีชีวิตขึ้นมาใหม่  ความเจ็บปวดไม่ได้ทำให้ท่านรักเขาน้อยลง  และการละทิ้งก็ไม่อาจทำให้คนลืมเลือน

เหลียนอันสุ่ยรอคอยเป็นเวลานาน  รอคอยจนแน่ใจว่าฉีเซี่ยงหยวนหลับใหลไปแล้วจึงค่อยชันกายขึ้นนั่ง  มองเงาร่างที่ฝังอยู่ในความคิดคำนึงของเขาตลอดหลายวันมานี้เงียบๆ  แพขนตาสั่นระริกแผ่วเบา  ใกล้แค่เอื้อมมือ  แต่ในความเป็นจริงกลับห่างไกลจนไม่อาจไขว่คว้ามา  เหลียนอันสุ่ยค่อยๆขยับไปใกล้ร่างหนา  ดวงตาไม่อาจละจากไปคล้ายต้องการให้รูปหน้านี้สลักลึกลงในใจ  เพราะเหลียนอันสุ่ยรู้...มันอาจเป็นครั้งสุดท้าย  ที่เขาจะได้อยู่ใกล้ถึงเพียงนี้  อยากจะจุดตะเกียงให้เห็นใบหน้านั้นชัดขึ้น  แต่สะกดกลั้นไว้สุดความสามารถ  แสงไฟทำลายมนต์ขลังแห่งความฝันเสมอ  และสำหรับฝันครั้งนี้ของเขาแสงไฟจะพรากเอาไป 
เคยหรือไม่  ที่วาดหวังให้รุ่งอรุณไม่มาเยือนตลอดกาล
มือเรียวยาวยื่นออกไป  ปรารถนาจะสัมผัสใบหน้านั้นอีกครั้ง  แต่ในช่วงจังหวะสุดท้าย...
‘อย่าแตะต้องตัวข้า’
ทั้งๆที่ปลายนิ้วห่างอีกเพียงไม่ไกล  แต่เหลียนอันสุ่ยไม่มีปัญญาขยับมือเข้าใกล้กว่านั้น  เก็บมือกลับมา  หัวใจปวดร้าวจนสุดทนทาน  พร่ำบอกตัวเองว่าเป็นเช่นนี้ดีแล้ว  สมควรเป็นเช่นนี้จึงจะถูก  อย่าแตะต้องอีกเลย  หากแตะต้องอีกครั้งเหลียนอันสุ่ยกลัวตัวเองจะไม่ยินยอมปล่อยมือ  หัวใจที่ไม่เชื่อฟังกลับกรีดร้องซ้ำๆว่าไม่ต้องการบทลงเอยเช่นนี้

เพียงแต่...ไม่ยินยอมแล้วสามารถทำอย่างไรได้  เจ้าเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เจ้าเป็นได้หรือ  เจ้าห้ามไม่ให้เกิดผลเลวร้ายพวกนั้นได้หรือ  ทางที่ไม่สามรถบรรจบกัน  ย่อมไม่สามารถบรรจบกัน  ดื้อรั้นไปใย  ดันทุรังยืนกรานไปใย เจ็บปวดทรมานไปใย  ทั้งหมดนี้ล้วนไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้ทั้งสิ้น
คนเรามักพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าเหตุผล  แต่ในบางครั้งเหตุผลก็เป็นเพียงแค่เหตุผล  ไม่อาจยับยั้งอารมณ์ใดๆที่เกิดขึ้น
เหลียนอันสุ่ยโน้มร่างลงไป  ชิดใกล้จนริมฝีปากเกือบแตะสัมผัสกัน  ชิดใกล้จนไม่อาจชิดใกล้ไปมากกว่านี้  รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวกาย  ใกล้จนลมหายใจสองสายสอดประสานเป็นจังหวะเดียว  หยุดชะงักไว้แค่นั้น  หลับตาลงช้าๆ  ซึมซับสัมผัสที่ใกล้ที่สุดที่เขาจะทำได้  เนิ่นนาน...น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาทางหางตาพร้อมกับที่ตัดสินใจถอยห่างออกไป
‘อย่าแตะต้องตัวข้า’
น่าแปลกที่คนสำคัญทั้งสองคนของเขา เมื่อหมดสิ้นเยื่อใยคำที่เลือกใช้กลับเป็นคำเดียวกัน
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ปาดเช็ดน้ำตา  แค่ปล่อยให้มันรินไหลออกมาเรื่อยๆ  ร่างสูงโปร่งตะแคงหันหลังให้บุคคลที่เขาไม่อาจครอบครอง  ซุกหน้าลงกับหมอน  ข่มกลั้นเสียงสะอื้นเบาๆที่ลอดออกมา  มีเพียงชั่วขณะนี้ที่เหลียนอันสุ่ยยินยอมให้ตัวเองอาลัยอาวรณ์ 
เหตุใดตอนนั้นทั้งๆที่รู้ดีว่าสุดท้ายจำเป็นต้องปล่อยมือ  แต่กลับยินยอมให้มันสลักในหัวใจอย่างลึกล้ำ ?...
ในตอนหลังเหลียนอันสุ่ยไม่ได้ร้องไห้อีก  เพียงหลับใหลไปอย่างเหนื่อยล้า  ทุกประการเป็นเขาแส่หาเอง  ไม่อาจโทษว่าผู้ใด
คงมีเพียงดวงดาวนอกหน้าต่าง ที่เห็นร่างสูงใหญ่ที่ควรจะหลับใหลไปแล้วขยับเคลื่อนไหว  ดวงตาคมกริบมองแผ่นหลังสูงโปร่งที่หันให้กับเขาด้วยแววตาซับซ้อน  สุดท้ายก้มหน้าลง  ใช้ปลายนิ้วสากปาดเช็ดคราบน้ำตาที่ทิ้งรอยเอาไว้บนผิวแก้มเนียน  ร่องรอยที่เป็นดั่งหลักฐานว่าทุกเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นเพียงเขาหูแว่วไปเอง...
---------------------
แสงแดดสาดเข้ามาตามหน้าต่างบานเดิม
เหลียนอันสุ่ยยันร่างขึ้นช้าๆอย่างงัวเงีย ดวงตากวาดไปเห็นร่างสูงใหญ่ของใครอีกคนก็เบิกตากว้าง  ความง่วงงุนหายไปในชั่วพริบตา  ฉีเซี่ยงหยวนบิดร่างไล่ความเมื่อยขบ  เหลือบสายตาขึ้นเป็นท่าทีตกใจของคนเพิ่งตื่นก็ขมวดคิ้ว  กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
 “เหตุใดต้องทำหน้าแปลกใจ  ข้าไม่เชื่อว่าเมื่อวานหญิงรับใช้ไม่ได้รายงานต่อท่านว่าข้ามาที่นี่”
พูดจบร่างที่นั่งอยู่บนเตียงก็ลุกขึ้นยืน  หยิบเสื้อตัวนอกสีดำที่พาดไว้ขึ้นมาสวม  เหลียนอันสุ่ยยื่นมือออกไปคิดจะช่วยสวมให้ตามความเคยชิน  แต่สุดท้ายก็รั้งมือกลับมา  มองอีกฝ่ายสวมเสื้อตัวนอกเสร็จก็เบือนสายตาไปทางอื่น  มือทั้งสองบีบกันแน่น  ยังคงจดจำประโยค ‘อย่าแตะต้องตัวข้า’ ได้
ฉีเซี่ยงหยวนเห็นอีกฝ่ายยืนหันหลังให้กับเขา ก็เปิดประตูเดินออกไปรับผ้าชุบน้ำหมาดๆมาเช็ดหน้าจัดการตัวเอง  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงจากไปแล้ว  หลังจากสูดลมหายใจเข้าออกอยู่ครู่หนึ่งก็เดินออกไปเพื่อรับประทานข้าวที่หลังตื่นนอนจะมีหญิงรับใช้ยกมาให้ที่ห้องชั้นนอก  แต่วันนี้โต๊ะตัวนั้นกลับมีร่างของฉีเซี่ยงหยวนปักหลักรับประทานมื้อเช้าอยู่ก่อน
เหลียนอันสุ่ยเห็นดังนั้นก็ชะงัก  นึกลังเลใจว่าสมควรทำอย่างไร  เพราะในความเป็นจริงศักดิ์ฐานะเขาไม่อาจร่วมโต๊ะกับเป่ยชางอ๋อง  ขณะยังลังเลใจก็ถูกมือใหญ่ลากให้นั่งลง  ยัดตะเกียบใส่มือ  กล่าวเสียงเรียบเป็นเชิงสั่งว่า
“กินข้าว  คิดจะจากไปแต่กลับดูแลตัวเองไม่เป็นเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
เหลียนอันสุ่ยก้มหน้า  รับประทานเงียบๆ  ท่ามกลางสายตาที่จ้องมาเหมือนจะกดดัน
 “ข้าจะให้โอกาสท่านอีกครั้ง  บอกข้าว่าท่านจะไม่จากไป  แล้วทุกเรื่องก่อนหน้านี้ข้าจะยกให้ไม่ถือสา”
“...ข้าจำเป็นต้องจากไป” ท่านยังไม่ตัดใจอีกหรือ  เหตุใดต้องบีบให้ข้าเป็นคนเอ่ยปากจบเรื่องราวครั้งแล้วครั้งเล่า  ท่านรู้หรือไม่  แต่ละครั้ง...มันเจ็บเจียนตาย
ฉีเซี่ยงหยวนมองคนใจแข็งที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างกาย  วางตะเกียบลง  ไม่มีอารมณ์จะรับประทานต่ออีก  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจว่าฉีเซี่ยงหยวนจะจากไปแล้ว  แต่ร่างสูงใหญ่ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ  เพ่งสายตามองเขา
“ไม่ว่าข้าจะถามท่านอย่างไร ท่านจำเป็นต้องตอบเช่นนี้ทุกครั้งเลยหรือ”
“...”
“นักพรตที่ท่านเคยเอ่ยถึงจะจากไปเมื่อไหร่ ? ”
“...อีกสองสัปดาห์” ตอบตามความเป็นจริง  ทราบว่าหากอีกฝ่ายคิดขัดขวาง เขาก็ไม่มีปัญญาจากไป
ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ
“...หากท่านจะจากไปต้องรับปากเงื่อนไขของข้าสองข้อ”
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมาทันที  ถามออกไปอย่างไม่แน่ใจว่าตัวเองจะได้ยินถูกต้องว่า
“ท่าน...ยินยอมให้ข้าจากไป”
“ไม่ยินยอมได้หรือ  ท่านเล่นทรมานตัวเองจนมีสารรูปเป็นเช่นนี้  หากข้าไม่ยินยอมท่านคงทรมานตัวเองต่อไปเรื่อยๆ”
“...” เหลียนอันสุ่ยมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ  ท่านไม่ได้เกลียดชังข้าแล้วหรือ  ทำไม...
“เงื่อนไขข้อแรกที่ท่านต้องรับปากคือดูแลตัวเอง  ถ้าในสองสัปดาห์นี้ข้ายังเห็นท่านทรมานตัวเองเช่นนี้อีกก็เลิกฝันไปได้เลย  ส่วนข้อที่สอง...ในเวลาสองสัปดาห์นี้  ข้าอยากให้ท่าน...เป็นคนรักของข้า  จะแสแสร้งขึ้นมาก็ได้  แต่ทำให้ข้าเชื่อว่าท่านรักข้าจริงๆ” ในเมื่อไม่อาจครอบคอรงไว้ตลอดชีวิต  ก็ขอเพียงช่วงสองสัปดาห์นี้...ที่ท่านจะเป็นของข้า
ระลอกปั่นป่วนในดวงตาของเหลียนอันสุ่ยกระเพื่อมไหวไม่หยุด  มองรอยยิ้มอย่างยอมรับชะตากรรมของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกนับร้อยพันที่ท่วมท้นขึ้นมาพร้อมกัน
ฉีเซี่ยงหยวนจูบเบาๆลงบนเรียวปากบางที่สั่นระริก  พึมพำว่า
“เหลียนอันสุ่ย  อย่างน้อยก็ทำให้ข้าเชื่อ...” ว่าท่านรักข้าจริงๆ  มือใหญ่รวบร่างอีกฝ่ายเข้ามาหา
เหลียนอันสุ่ยกลืนก้อนขมๆในลำคอลงไป  ยกมือขึ้นโอบกอดอีกฝ่ายไว้เช่นกัน  พริบตานั้นเหตุผลต่างๆไม่คงอยู่  เขาเพียงต้องการกอดไว้แน่นๆ  กอดไว้ให้นานๆ  สองมือเกาะบ่าหนา  ใบหน้าซบลงกับแผ่นอกกว้าง  พยักหน้าถี่ๆ  ดวงตากระพริบซ้ำๆเพื่อไล่ละอองน้ำที่ก่อตัว  พึมพำตอบว่า
“ได้  ข้าจะเป็นคนรักของท่าน  มันจะต้องเป็นสองสัปดาห์ที่ดียิ่ง...ดียิ่ง”
เหลียนอันสุ่ยขอบคุณสวรรค์ที่มอบช่วงเวลานี้มาให้กับเขา  ช่วงเวลาที่สามารถจากกันโดยดี
---------------------
เรื่องราวเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร  บางทีคงต้องให้ฉีเซี่ยงหยวนเป็นผู้ตอบ
สาเหตุของมันอาจเป็นหยดน้ำตาเมื่อคืน  หรือสองมือที่พยายามเกาะเกี่ยวเขาในคืนก่อนหน้า 
ที่ยืนยันกับเขาว่าในใจของเหลียนอันสุ่ยมิได้ไม่รู้สึกรู้สา  หัวใจที่เต็มไปด้วยปริศนาดวงนั้นก็มีความอาลัยอาวรณ์  และบางที...อาจจะมีความรัก  ไม่ได้มีเพียงเขาที่เห็นการปล่อยมือเป็นเรื่องยากเย็น  เหลียนอันสุ่ยก็เช่นกัน
ทำไมท่านจึงไม่เคยพูดออกมา  เพราะพูดไม่ได้อย่างนั้นหรือ  ฉีเซี่ยงหยวนคิดว่าเขาเข้าใจ  เหลียนอันสุ่ยเป็นคนประเภทที่เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ความรู้สึกเสมอ  เรื่องที่คนทั่วหล้าน้อยคนจะทำได้เหลียนอันสุ่ยกลับทำได้อย่างหมดจดนัก  แต่ร่างกายของเหลียนอันสุ่ยกลับทรยศผู้เป็นเจ้าของ  มันไม่ยินยอมพร้อมใจ  และแผลงฤทธิ์ในที่สุด 

ท่านเก็บเรื่องไว้กับตัวเองมากเกินไป  เศร้าเสียใจมากเกินไป  ความรู้สึกอันท่วมท้นเหล่านั้นกลับเพียรพยายามกดข่มเอาไว้ใต้ท่าทีสงบเยือกเย็น  อนุญาตให้ตัวเองอ่อนแอเพียงในชั่วขณะที่เข้าใจว่าในห้องไม่หลงเหลือผู้อื่น  ท่านเป็นเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว  พวกเราเป็นเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว  การเก็บความอ่อนแอไว้กับตัวเองไม่ได้ทำให้คนเข้มแข็งขึ้น  ท่านต้องวางมันให้ลง...แต่ว่าฉีเซี่ยงหยวนก็รู้ดี  ความรักมิใช่สิ่งที่นึกจะวางลงก็สามารถวางได้อย่างรวบรัดหมดจด  มันจำเป็นต้องใช้เวลา

เหลียนอันสุ่ยคาดเดาได้ถูกต้องว่าสาเหตุที่ฉีเซี่ยงหยวนเลือกช่วงเวลาที่ผู้คนต่างหลับใหล  เป็นเพราะไม่ต้องการฟังวาจาขอร้องจะจากไป  หลีกเลี่ยงการพบหน้าเพราะยิ่งมองก็ยิ่งปวดร้าว  ฉีเซี่ยงหยวนยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาพยายามหลีกหนี  โดยไม่รู้ตัวกลับเลือกที่จะหลีกหนีแทนการเผชิญหน้า  เพราะมันเจ็บปวดเกินไป  หวังว่าถ้าไม่ยุ่งเกี่ยวความเจ็บปวดนี้จะเบาบางลงไปเอง  แต่ในที่สุดอาการป่วยของเหลียนอันสุ่ยก็บีบบังคับให้เท้าฉีเซี่ยงหยวนต้องก้าวไปแตะตำหนักชุนเกอ  ยังคงไม่อาจ...ทิ้งขว้างไม่ใยดี 
บางทีเขาคงไม่เคยลืมเลือนได้มาก่อน  ที่มันดูเจือจางลงเป็นเพราะไม่ได้พบหน้า    แต่มันยังคงไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย
ฉีเซี่ยวหยวนตระหนักความจริงข้อนี้ในวินาทีที่เห็นสภาพของเหลียนอันสุ่ยแล้วความทุกข์ทรมานกระหน่ำแทงเข้ามาในหัวใจ  กระทั่งความมืดก็ไม่อาจบดบังสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงเพราะโรคภัย  ในตอนที่เหลียนอันสุ่ยเจ็บปวดอยู่ในอ้อมกอดเขาฉีเซี่ยงหยวนเพียงทราบว่าเขาไม่อาจปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ได้อีกต่อไป  พวกเขาทรมานกันและกัน  และก็ทรมานตัวเอง  การโอบกอดเหลียนอันสุ่ยไว้เป็นสิ่งที่เจ็บปวดเกินไป...เขาต้องปล่อยมือ

หลังคืนนั้นฉีเซี่ยงหยวนคิดว่าตัวเขาเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง  ถามตัวเองว่าเหตุใดจึงรักคนผู้นี้  คนที่ไม่เคยเห็นเขาเป็นความสำคัญอันดับแรก  คนที่ทรมานเขาซ้ำๆด้วยคำปฏิเสธ  คนที่ไม่เคยบอกรักเขาแม้แต่ครั้งเดียว  คนที่พร้อมจะเดินไปจากเขา  ทิ้งขว้างเขา  และฉีเซี่ยงหยวนก็ได้คำตอบ  ว่าเมื่อท่านรักคนผู้หนึ่งท่านจะรักทุกอย่างที่เขาเป็น  เขาอาจมีนิสัยที่ท่านไม่ชอบ  แต่ท่านจะผูกพันกับทั้งหมดที่เป็นเขา  คำตอบกลับง่ายดายแค่นี้เอง  ข้อเสียทั้งหมดนั่นกลับเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาหลงรักเหลียนอันสุ่ย  และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เขาไม่อาจครอบครองอีกฝ่ายตลอดกาล

ในเมื่อเหลียนอันสุ่ยเลือกที่จะไม่อยู่ข้างกายเขา เขาก็ควรเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย  นี่ต่างหากจึงเป็นทั้งหมดที่คนรักกันสามารถทำให้แก่กันได้  ในเมื่อท่านอยู่ข้างกายข้าแล้วไม่สบายใจ  ข้าจะไม่บังคับขังท่านไว้ที่นี่
ความรักจะคงอยู่ได้อย่างไร  หากไม่มีอิสระที่จะเลือก
บางทีคงมีสิ่งที่มีค่ากว่าข้าอยู่ข้างนอกนั่น  บางที่สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคนเรามิใช่ ‘ความรัก’แต่เป็น‘อิสระ’ต่างหาก  ท่านถูกฐานะตีตรวนมาชั่วชีวิต  ถูกกำแพงวังกักขังมาชั่วชีวิต  เผชิญมรสุมอำนาจซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่สิ่งเหล่านั้นต่างมิใช่ตัวท่านเลย  ตอนนี้ข้ามีอำนาจพอจะมอบอิสระให้กับท่าน  และข้าจะมอบมันให้ท่าน

เหลียนอันสุ่ย  ข้ารักท่าน  นี่คือความรักของข้า

กล่าวถึงที่สุดความรักมิใช่แผนการ  ท่านไม่สามารถรักคนผู้หนึ่งด้วยสมอง แต่ท่านต้องรักเขาด้วยหัวใจ  ไม่มีใครสามารถกำหนดได้ว่าความรักต้องเป็นอย่างนั้น  เป็นอย่างนี้  ทุกคนต่างมีความรักในแบบของตัวเอง  และมีวิธีแสดงความรักในแบบของตัวเองเช่นกัน
---------------------

ออฟไลน์ panari

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 534
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
ตามอ่านทันจนได้ เหมือนได้อ่านนิยายแปลจีน ละครฟอร์มยักษ์แก่งแย่งชิงอำนาจอะไรประมาณนั้นเลย ทั้งสำนวนทั้งการดำเนินเรื่องมันสุดยอดมากๆ อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก

ชอบอ่ะ ปกติชอบอ่านนิยายแปลจีนอยู่แล้ว มาเจอเรื่องนี้เข้าไปรักเลย ขอบคุณกระทู้เซ็งเป็ดอวอร์ดที่ทำให้เรารู้จักเรื่องนี้ พอดีเห็นมีคนโหวตเลยตามเข้ามาอ่าน ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ ขอบคุณนักเขียนมากๆ ค่ะ จะติดตามต่อไปเรื่อยๆ นะคะ

ปล. แอบถามหน่อย อันนี้ถึงครึ่งเรื่องรึยังคะ หรือเป็นไตรภาค หรือยังมีอีกหลายภาคคะ(แบบลำนำวิหคสวรรค์) >_<

ออฟไลน์ MeepadA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1069
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
เพิ่งตามอ่านทัน สนุกมาก  เมื่อคืนอ่านแล้วนอนแทบไม่หลับ ก้อขอให้เป็น 2 สัปดาห์ที่ดี

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 56
«ตอบ #147 เมื่อ15-10-2014 14:45:17 »


บทที่ 56 หนึ่งคำมั่น หนึ่งคำภาวนา

‘พบพาน’กับ ‘พรากจาก’  สองขั้วตรงข้ามที่อยู่คู่กันเสมอมาดั่งแสงและเงา

สองสัปดาห์คือเวลา 14 วัน  ในสิบสี่วันนี้ผ่านไปเช่นไรผู้อื่นอาจจดจำไม่ได้ แต่ตลอดช่วงชีวิตฉีเซี่ยงหยวนกับเหลียนอันสุ่ยต่างจดจำสิบสี่วันนี้ได้ดี
พวกเขาตัวติดกันตลอดหรือ ?  คำตอบคือมิใช่  ฉีเซี่ยงหยวนยังคงมีงานของเขา
บ่ายแก่กลางฤดูใบไม้ผลิ  เหลียนอันสุ่ยเอนพิงอยู่บนเก้าอี้ที่ถูกย้ายมาวางข้างหน้าต่าง  หลับตาเงี่ยฟังธรรมชาติด้านนอก  ได้ยินหมู่ไม้ไหวพะเยิบพะยาบ  ได้ยินเสียงลมพัดแผ่วๆผ่านห้วงน้ำ บุปผชาติหอมสะอาดกรุ่นกำจายอยู่เจือจาง  รอบกายปราศจากความเคลื่อนไหวอื่นใด
เหลียนอันสุ่ยอยู่ตัวคนเดียว  แต่ในใจเขายังคงมีใครอีกคน
เมื่อเช้าฉีเซี่ยงหยวนบังคับเขากินข้าวเสร็จก็ให้คนไปตามหมอหลวงมา  หมอหลวงตรวจอาการเสร็จจากไป  คนเป็นเป่ยชางอ๋องก็ลากเขาเข้าห้องด้านใน  ไม่พูดไม่จามือหนึ่งรวบเอวเขา  อีกมือผลักไหล่  ผลักร่างเขาลงไปบนเตียงอย่างรวบรัดหมดจด  เอ่ยวาจาสองคำ
“นอนซะ”
จำได้ว่าตัวเขาอ้าปากจะเอ่ยแย้ง  แต่แย้งไปได้แค่ ‘ข้า’ คำเดียวก็ต้องหยุดปาก  เพราะใบหน้าคมคายโน้มลงมาประชิด  สายตาคมกริบยิ่งย่นระยะก็ยิ่งให้ความรู้สึกกดดัน  ตอนแรกเหลียนอันสุ่ยเข้าใจว่าฉีเซี่ยงหยวนจะจูบเขา  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับชะงักในจังหวะสุดท้าย
ชิดใกล้จนไม่อาจชิดใกล้ไปมากกว่านี้
ดวงตาคู่งามของเหลียนอันสุ่ยเบิกกว้าง  ได้แต่ประสานสายตากับฝ่ายตรงข้าม  นี่  นี่มัน...
ความนิ่งเงียบคล้ายมีพลังอำนาจของมันเอง  ลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยทอดสับสน  ทั้งสองคนตกอยู่ในอากัปกิริยาเช่นนี้อยู่เป็นนาน  จนกระทั่ง...
“เมื่อคืนท่านได้นอนไปแค่นิดเดียว  เป็นคนป่วยอย่าอวดเก่ง  ไม่อย่างนั้นก็ลืมเรื่องที่จะจากไปได้เลย” คำพูดแผ่วเบาชัดเจน  คำแต่ละคำทำให้เรียวปากที่ประชิดติดกันเฉียดไปมาโดยผิวเผิน  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกลวนลามแต่กลับกล่าวได้ไม่เต็มปากนัก  หากในลมหายใจถัดมาเหลียนอันสุ่ยก็สามารถใช้คำว่า ‘ถูกลวนลาม’ ได้อย่างเต็มปากเมื่อเรียวปากที่ทาบอยู่ด้านบนกดประทับลงมาอย่างหนักหน่วง
เงาหลังของฉีเซี่ยงหยวนลับไปแล้ว  แต่เหลียนอันสุ่ยยังนิ่งค้างอยู่ที่เดิม
หรือว่าเมื่อคืนนี้...คนที่หลับช้ากว่าจะเป็นฉีเซี่ยงหยวน ?
เหลียนอันสุ่ยบนเก้าอี้รู้สึกเหมือนแผ่นดินไหวยวบโคลงเคลงจนต้องยึดที่เท้าแขนไว้มั่น  ไม่คุ้นชินเป็นอย่างมากที่มีคนมาพบเห็นความอ่อนแอของเขา  จริงอยู่เหลียนอันสุ่ยเห็นความอ่อนแอของผู้คนมานับไม่ถ้วน  แต่ไม่เคยอนุญาตให้ผู้ใดเห็นความอ่อนแอของเขา  หากผู้ชายคนนั้นกลับทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า  ซ้ำยังต้องบังเอิญมาพบเห็นผลของมันเข้าทุกครั้งไป  นี่มันเรื่องอันใดกันแน่ !
หน้าแดงก่ำด้วยความอับอายอยู่พักใหญ่  สุดท้ายทำได้เพียงถอนหายใจยาว  ช่างเถิด  ผู้ชายคนนั้นไม่เคยเข้ามาในชีวิตเขาด้วยวิธีธรรมดาๆอยู่แล้ว
ก่อนจะมานั่งอยู่ตรงนี้เหลียนอันสุ่ยได้คุยกับบุตรชาย  อธิบายเรื่องที่พวกเขาจะจากไปในสองสองอาทิตย์ข้างหน้า  เหลียนจิ้งเต๋อมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ดูงุนงงไม่เข้าใจอยู่บ้าง  แต่ก็รับคำแต่โดยดี  มอบทุกอย่างให้บิดาตัดสินใจตามคำที่เจ้าตัวเคยเอ่ยปากไว้
สายลมเย็นๆระลอกใหม่พัดเข้ามา  พร้อมกับเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคย  เหลียนอันสุ่ยขยับร่างจากพนักเก้าอี้  ในม่านสายตาปรากฏเงาร่างองอาจสูงสง่าร่างหนึ่ง  เรียวปากบางปรากฏรอยยิ้มยินดี  พึมพำว่า
“ท่านมาแล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนอึ้งไปเล็กน้อยที่ยังไม่ทันก้าวข้ามธรณีประตูก็พบพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ตอนแรกเข้าใจว่าเหลียนอันสุ่ยกำลังนั่งอ่านหนังสือ  แต่กวาดมองจนทั่วก็ยังไม่พบเห็นม้วนไม้ไผ่  จึงขมวดคิ้ว  กล่าวว่า
“ท่านมานั่งทำอะไรริมห้องโถงใหญ่  คิดจะนอนก็สมควรไปนอนให้เป็นเรื่องเป็นราวบนเตียง”
เหลียนอันสุ่ยลังเลเล็กน้อย  แต่สุดท้ายตอบไปตามความจริง
“ข้าไม่ได้นอน  ข้าแค่...รอท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนชะงัก  เหลียนอันสุ่ยปกติงานยุ่งทั้งวัน  ต่อให้ไม่มีงานก็ต้องหางานหาภาระให้แก่ตัวเอง  แต่ตอนนี้กลับแค่...รอท่าน  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้แจ้งว่าเขาจะมาเมื่อไหร่  เพราะเวลาเลิกประชุมของเขาไม่แน่นอน  วันนี้โชคดีเลิกไวกว่าปกติสองชั่วยาม  นี่ท่านตั้งใจจะนั่งรออยู่ตรงนี้ไปอีกนานแค่ไหน
ที่แท้เหลียนอันสุ่ยก็เป็นดุจเดียวกัน  ไม่ต้องการสูญเสียช่วงเวลาสิบสี่วันนี้ไปแม้แต่ชั่วขณะเดียว
ฉีเซี่ยงหยวนมองรอยยิ้มยินดีที่เผื่อแผ่ไปถึงดวงตาของเหลียนอันสุ่ย  รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหายใจไม่ออก  เหลียนอันสุ่ยไม่เคยยิ้มให้เขาเช่นนี้
...รอท่าน...บางทีชั่วชีวิตนี้ข้าคงรอคอยท่านมาโดยตลอด
---------------------
“พรุ่งนี้ไม่มีประชุมขุนนางพวกเราไปขี่ม้านอกเมืองกัน”
คนผู้หนึ่งลั่นวาจาเอาไว้
ในเมื่อเวลาเหลือไม่มากก็จำเป็นต้องใช้ให้คุ้มค่า  ฉีเซี่ยงหยวนฝันอยู่ตลอดว่าจะไปเหลียนอันสุ่ยไปรู้จักทุกซอกทุกมุมในแคว้นเป่ยชาง  ฉีเซี่ยงหยวนภูมิใจใน ‘บ้าน’ หลังนี้เสมอมา  น่าเสียดายที่แผ่นดินกว้างใหญ่เกินไปและเวลาน้อยเกินไป  ฝันทั้งหมดของเขาจึงพอจะเป็นจริงได้เพียงส่วนเดียว  หากนั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อันใด
พวกเขาขี่ม้าเคียงข้างในทุ่งหญ้า  เก็บเกี่ยวความรู้สึกทุกชั่วขณะที่มีให้แก่กันและกัน
ม้าสีดำกับสีน้ำตาลวาดเงาระหว่างผืนหญ้าสีเขียวและแผ่นฟ้าสีคราม  โดดเด่นสะดุดตาราวน้ำหมึกสองสายจากปลายพู่กันของจิตรกรเอก
---------------------
เหรียญทองก้มลงเล็มหญ้าอ่อนเขียวขจี  ร้อยราตรีกลับไม่ใคร่สนใจอาหารบนพื้นเท่าไหร่  เอาใบหน้าถูๆไถๆกับไหล่ของเหลียนอันสุ่ยที่ยืนกอดอกพิงต้นไม้สูงชะลูดต้นหนึ่ง  เหลียนอันสุ่ยหัวเราะเบาๆ  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนกลับเหยียดปากอย่างหมั่นไส้  เจ้าม้าตัวนี้ตั้งแต่เหลียนอันสุ่ยเอาไปลองขี่ก็ดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าเจ้านายจริงๆของตัวเองเป็นใคร  นั่น  ประจบเข้าไป  อยากเปลี่ยนเจ้านายก็บอกมาตรงๆเถอะ!
ฉีเซี่ยงหยวนเดินเข้าไปหยิบกระบอกใส่น้ำที่ห้อยไว้ข้างตัวม้าของตัวเอง  ได้โอกาสก็ผลักหัวสีดำของมันออกไป
“ห่างหน่อย” พูดพลางเอาตัวไปแทรกแทน  เลียนเยี่ยงคนข้างกายเอนพิงกับต้นไม้ต้นเดียวกัน  ยกกระบอกไม้ไผ่ในมือขึ้นดื่ม
“ม้าของท่านตัวนี้วิ่งเร็วดีจริง  ห้อมาตั้งไกลขนาดนี้ยังดูไม่เหนื่อยเลย”

“อย่าไปชมมันมาก  แค่นี้มันก็หลงตัวเองจะแย่” ฉีเซี่ยงหยวนปรายตามองเจ้าตัวร้ายที่พอเห็นเขาแทรกอยู่ตรงกลางก็สะบัดหน้าไปเล็มหญ้ากับพวกพ้องเผ่าพันธุ์เดียวกัน  พูดต่อว่า “ม้าของท่านเสียอีกที่ดีกว่า  นานๆทีข้าจะเจอม้าฝีเท้าจัดที่เชื่องได้ขนาดนั้น”
 “แต่เราให้ม้าวิ่งเร็วเกินไปกระมัง  ผู้ติดตามท่านหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้” เหลียนอันสุ่ยพูดขึ้นอย่างกังวล

“เหอะ  ตามไม่ทันก็ดี  ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อเช้าหลิวฉางเฟยจะยัดเยียดให้ข้าเอาองครักษ์มาตั้งสามสิบคน  พอข้าถามว่าคิดจะให้ทั้งเมืองหลวงรู้หรือไงว่าข้าอยู่ไหน  จึงยอมลดเหลือสิบหก  กว่าจะเถียงกันจนได้สิบหกนี่แทบแย่  ตอนแรกข้ารู้สึกว่าสิบหกมากเกินไป  แต่หมอนั่นเล่นคุกเข่า บอกว่าถ้าน้อยกว่านี้ถือว่าตัวเองจัดกำลังอารักขาบกพร่อง มีโทษสมควรตาย”
“ท่านก็เลยยินยอมเอามาสิบหกคน ? ”
“เปล่า  ข้าก็เลยบอกว่าถ้าจัดทันก็จัดมาเพราะข้าจะออกเดี๋ยวนี้  ตอนแรกข้ากะว่าหมอนั่นต้องเรียกมาได้ทันอย่างมากแค่เก้า  ที่ไหนได้เปิดประตูออกไปเห็นองครักษ์สิบห้านายยืนเรียงแถวเรียบร้อยอยู่หน้าประตูตำหนัก”
เหลียนอันสุ่ยหลุดหัวเราะออกมา  รู้สึกว่าแม่ทัพหลิวช่างมีวิธีรับมือกับนายเหนือหัวของตัวเองจริงๆ

ใบไม้แต้มเงาเป็นจุดๆ ลงบนพื้น  เสียงหัวเราะสะท้อนเบาๆเหนือยอดหญ้า  ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนหวานที่เบาสบายชนิดหนึ่งพัวพันหัวใจคนสองคนไม่เลิกรา
---------------------
กองไฟห้ากองจุดไว้โดยรอบ  คนคุ้มกันสิบหกคนนั่งกระจายล้อมคนทั้งสอง  ให้การอารักขาอยู่ไกลๆ 
ดวงดาวดารดาษเต็มฟ้า  ฉีเซี่ยงหยวนทำตามสัญญาพาเหลียนอันสุ่ยมาดูดาวในฤดูใบไม้ผลิ
เหลียนอันสุ่ยวางกระบอกธนูไว้ในระยะเอื้อมถึง  ลูบเบาๆไปตามเสื้อคลุมหนาที่ฉีเซี่ยงหยวนเตรียมมาเพื่อปูรองนอนโดยเฉพาะ 
เหลียนอันสุ่ยเพิ่งรู้ว่าฉีเซี่ยงหยวนเองก็มีฝีมือธนูไม่เลวเช่นกัน  ตอนบ่ายคล้อยชักชวนเขาเข้าไปในป่าล่าเอากระต่ายกับกวางมาอย่างละตัว  ขณะที่ทหารสองสามคนชำแหละกวางย่างกระต่าย  พวกเขาก็เอนกายลงกับผืนหญ้า  นอนคุยกันท่ามกลางกลิ่นเครื่องเทศเครื่องปรุงที่หอมอวลมาเป็นระยะ  เหลียนอันสุ่ยนึกแปลกใจที่เมื่อเป็นฉีเซี่ยงหยวนคนที่ไม่ค่อยพูดมากอย่างเขากลับมีเรื่องให้พูดคุยได้ไม่รู้เบื่อ  ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจสายตาคนอื่นถือวิสาสะกุมมือเขาเอาไว้  พวกเขาไม่ได้พูดกันถึงเรื่องที่จะต้องแยกจาก  และไม่ได้พูดถึงว่าหลังสิบสี่วันนี้จะทำอะไรบ้าง

มันไม่สำคัญหรอกว่าหลังจากนี้ท่านจะทำอะไร  ที่สำคัญคือชั่วขณะนี้ท่านกำลังทำอะไร

คนเรามักทำสิ่งต่างๆเผื่ออนาคต  เผื่อจนบางครั้งกลับหลงลืมไปว่าเราเพียงมีชีวิตอยู่ใน ‘ขณะนี้’
ท่านไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในอนาคตหรือในอดีต  ท่านเพียงสามารถมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น
“เหลียนอันสุ่ย  ข้าเชื่อเสมอว่าวันพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้  แต่ข้ากลับนึกไม่ออกเลยว่าจะมีวันไหนดีไปกว่าวันนี้ได้”

กว่าจะรับประทานมื้อเย็นเสร็จ  ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีเสียแล้ว  ผลัดกลางวันเป็นกลางคืน  ผลัดตะวันเป็นพระจันทร์และดวงดาว คืนนี้เมฆบางเบา  ท้องฟ้าปลอดโปร่งกระจ่าง
เหลียนอันสุ่ยแอบอิงกับร่างสูงใหญ่  เงยหน้าขึ้นมองดาว  ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่สนใจดวงดาว  เพราะดาวอีกร้อยปีพันปีก็มีให้ดู  แต่คนข้างกายเขากลับอยู่ตรงนี้เพียงแค่สิบสี่วัน
เสียงกองไฟแตกปะทุดังแผ่วเบา  ราวคีตาแห่งความหวังอันอบอุ่นท่ามกลางความมืดอนธกาลที่ยาวนานนิจนิรันดร์
“ข้ารักท่าน” จู่ๆฉีเซี่ยงหยวนก็กล่าวคำพูดนี้ออกมา
เหลียนอันสุ่ยหันไปมองอย่างไม่เข้าใจ  แต่กลับถูกแววตาคมกริบที่อ่อนโยนคู่นั้นดึงดูด
มือใหญ่ไล้ช้าๆไปตามผมนุ่มสลวยที่เหลียนอันสุ่ยปล่อยลงมาเพราะอากาศเย็นลง  เหลียนอันสุ่ยยังคงไม่ชินกับอากาศทางเหนือ  โอบกระชับร่างสูงโปร่งเข้ามาขณะกล่าวว่า
“ข้าคิดไว้แล้ว  ว่าจะบอกรักท่านให้มาก  ดีกับท่านให้มาก  ให้ท่านไม่มีปัญญาลืมเลือนข้าตลอดไป” ฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่คนชอบเป็นฝ่ายอ่อนข้อ  แต่ไม่เคยรู้สึกว่าการปากแข็งกับความรักจะมีประโยชน์เลย
ลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยชะงักไปวูบหนึ่ง  เงยหน้าขึ้น  กล่าวอย่างจริงจังว่า
“...ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้  เพราะข้าไหนเลยสามารถลืมเลือนท่าน” ไม่ว่าท่านจะดีต่อข้า  หรือไม่ดีต่อข้า  ข้าล้วนต้องการจะจดจำไว้
“ท่านสัญญาแล้วนะ” คนบางคนโมเมไปเองว่าเป็นคำมั่น
“ข้าสัญญา” แต่เหลียนอันสุ่ยกลับภาวนากับตัวเองในใจ  หวังให้ฉีเซี่ยงหยวนสามารถลืมเลือนเขา ยิ่งลืมเร็วเท่าไหร่  ความเจ็บปวดก็จะไม่อยู่กับคนนานนัก
...ข้าหวังให้ท่านมีความสุข  ต่อให้หลังจากนี้ใจท่านจะไม่มีข้าก็ตาม
แท่งไม้เขี่ยไฟคุโชน  สะเก็ดไฟปลิวกระจายขึ้นไปดุจละอองดาว  ลมราตรีพัดแผ่ว  หอบเอาละอองดาวดังกล่าวไปพร้อมกับคำภาวนาและสัญญาในความเงียบ
---------------------

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 57
«ตอบ #148 เมื่อ15-10-2014 15:16:48 »

บทที่ 57 ถุงหอม

วันนี้เองก็เป็นวันหนึ่งในช่วงสองสัปดาห์ที่เปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วเหลือแสน

ตำหนักชุนเกองามเฉิดฉันดุจโฉมสะคราญในวัยสาวสะพรั่ง  ในความสวยงามนี้ไม่ทราบแฝงความลับไว้มากมายเท่าใด  ไม่มีใครทราบว่าที่นี่ไม่เพียงเป็นที่ๆฉีเซี่ยงหยวนมาเยือนบ่อยที่สุด  ยังเป็นที่ๆปลอดภัยที่สุดด้วย  หากไม่นับบ่าวไพร่จากแคว้นเหลียนไม่กี่คน  ที่เหลือทั้งหมดล้วนเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวน  ความเข้มงวดกวนขันไม่แน่ว่าเหนือกว่าตำหนักเยี่ยอวิ๋นอีก

เพราะที่นี่คือบ้านของเขา  คือที่พักใจของเขา  ไม่อนุญาตให้ใครบุกรุกแทรกซึมเข้ามาเด็ดขาด  ดังนั้นทุกครั้งที่มาที่นี่ฉีเซี่ยงหยวนจะทิ้งผู้ติดตามทั้งหมดเอาไว้ด้านนอก  เดินเข้ามาคนเดียวอย่างสบายใจ

หากสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดนี้ กลับมีคนไม่ประสงค์ดีต่อฉีเซี่ยงหยวนคนหนึ่งเล็ดรอดเข้ามาได้  ทั้งยังเล็ดรอดเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย ฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งจะเลี้ยวเข้าประตูตำหนักก็เจอเข้ากับผู้ไม่ประสงค์ดีคนนี้
เหลียนจิ้งเต๋อขมวดคิ้วนิ่วทันทีเมื่อพบว่าบังเอิญเจอเข้ากับผู้ใด  ตอนแรกคิดจะสะบัดหน้าไปอีกทาง  เมินเสียดั่งมองไม่เห็น  แต่คิดอีกทีทำเช่นนี้อีกฝ่ายไม่แน่ว่าจะได้ใจ  จึงเชิดหน้าขึ้น  เดินตรงเข้าไปเช่นเดิม
ผู้ใหญ่หนึ่ง เด็กหนึ่ง จึงพอดีมาประจันหน้ากันกลางทางเดิน
“ท่านมาทำอะไร” คำถามห้วนสั้น  ไม่มีขึ้นต้นและลงท้าย
ฉีเซี่ยงหยวนมองคนที่ตัวสูงแค่เอวเขาแต่พยายามวางท่าน่าเกรงขามอย่างขบขัน  พลางตอบว่า
“ข้ามาทำอะไรเกี่ยวอันใดกับเด็กน้อยอย่างเจ้า”
เหลียนจิ้งเต๋อหน้าเปลี่ยนสี  น่าชังนัก  เขาอุตส่าห์ใจกว้างตั้งใจจะไม่ขัดขวางเพราะเห็นแก่ท่านพ่อ  แต่บุรุษผู้นี้เปิดปากก็หาเรื่องเสียแล้ว  ท่านพ่อไปหลงชอบคนพรรค์นี้ได้อย่างไรกันนี่!
อันที่จริงเหลียนจิ้งเต๋อเกลียดผู้อื่นเรียกเขาเป็น ‘เด็กน้อย’ ที่สุด  มักรู้สึกว่าตัวเองโตแล้ว  ได้ยินเช่นนี้โทสะจึงพุ่งสูงปรี๊ดในพริบตา  ขณะจะอ้าปากตอบโต้ 
สหายร่วมเรียนที่เพิ่งกวดตามมาทันก็รีบเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ลูกคารวะพระบิดาบุญธรรม” คู่กรณีทั้งสองหันมามองผู้มาใหม่
ฉีเซี่ยงหยวนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้  มองเด็กทั้งคู่ แล้วก็เดินผ่านเข้าไปด้วยบุคลิกที่เหลียนจิ้งเต๋อเห็นว่าจองหองจนน่าหมั่นไส้
ปากเล็กๆของเหลียนจิ้งเต๋อพึมพำก่นด่า
“เจ้าคนแซ่ฉีจอมโอหังลำพอง  ข้าจะ...”
“เจ้าด่าข้าหรือ” รัชทายาทวัยเยาว์ถามขึ้น
“โอ๊ะ  ข้าลืมไปว่าเจ้าก็แซ่ฉี” เหลียนจิ้งเต๋อตบบ่าสหาย
ผู้เป็นสหายส่ายหัว  หากมีวันที่เหลียนจิ้งเต๋อไตร่ตรองก่อนด่าคน  วันนั้นพระอาทิตย์จะต้องขึ้นทางทิศตะวันตกแน่นอน
“เจ้าจะไปจริงๆหรือ”
เหลียนจิ้งเต๋อก้มหน้ารับคำว่า ‘อืมม์’  สิ่งที่ทำให้เหลียนจิ้งเต๋อไม่ค่อยอยากจากไปเท่าไหร่ก็คือเพื่อนร่วมเรียนคนนี้  พี่น้องคนนี้เขาได้มาอย่างยากเย็น  ไม่กี่เดือนก็ต้องสูญเสียไปเสียแล้ว  แต่เหลียนจิ้งเต๋อก็คือเหลียนจิ้งเต๋อซึมได้ชั่วขณะก็ตบบ่าสหาย  กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นคุณธรรมน้ำมิตรเต็มเปี่ยมว่า
“เป็นสหายกันวันหนึ่ง ก็ถือเป็นสหายตลอดชีวิต  ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเสียใจไป”

แววตาของคนมากวัยกว่ามีแววครุ่นคิด  ถ้าพระมาตุลาคิดจะไป  และขนาดพระบิดาบุญธรรมยังยอมให้ไป  เขาคงไม่มีปัญญาเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้  ได้แต่ถือว่าความได้เปรียบที่เพียรสร้างขึ้นมาคงต้องไปเริ่มสร้างกันใหม่
...อันที่จริงรัชทายาทแคว้นเป่ยชางมีความรู้สึกว่าหลังจากนี้ชีวิตเขาคงเงียบสงบขึ้นมากทีเดียวเมื่อไม่มีเหลียนจิ้งเต๋อ

ฝ่ายเหลียนจิ้งเต๋อเห็นอีกฝ่ายเงียบเสียงไปนาน  เข้าใจว่าเพื่อนกำลังซึม จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“วันนี้เจ้าจะทำถุงหอมที่มีสรรพคุณทางสมุนไพรให้ท่านแม่ของเจ้าไม่ใช่หรือ เรื่องนี้ท่านพ่อช่วยเจ้าได้  เดี๋ยวให้ท่านพ่อดูเรื่องส่วนผสมให้แล้วค่อยไปเจียดมาจากโรงหมอ  ตัวถุงนี่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง  พี่เยี่ยนจื่อฝีมือเย็บปักเป็นหนึ่งในใต้หล้า  ทั้งเสื้อผ้าข้าและเสื้อผ้าท่านพ่อข้าทุกตัวล้วนเป็นฝีมือของนาง  ท่านแม่เจ้าเป็นเป็นคนชอบเย็บปักรับรองเห็นแล้วต้องถูกใจ  วันเกิดปีนี้จะต้องปลาบปลื้มยิ่งกว่าปีไหนๆ...” เหลียนจิ้งเต๋อสาธยายไปตลอดทาง  มาสะดุดหยุดกึกเอาตอนที่ผลักประตูเข้าไปแล้วเห็นบุรุษที่ยัดเยียดตัวเองมาเป็นบิดาบุญธรรมของเขากำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่ม  ส่วนท่านพ่อกำลังเก็บอุปกรณ์ชงชา

ดวงตากลมโตของเหลียนจิ้งเต๋อหรี่ลง  เขาควรจะนึกได้แต่แรกว่าคนผู้นี้จะต้องมีเป้าหมายมารบกวนท่านพ่อเขาแน่นอน  มือเล็กลากแขนสหายพรวดเดียวไปยืนตรงหน้าบิดาตัวเอง ขวางกึ่งกลางพอดี  แย่งความสนใจมาเป็นผลสำเร็จ  เอ่ยว่า
“ท่านพ่อ  องค์รัชทายาทจะทำของขวัญวันเกิดให้ท่านแม่ของเขา  เพราะท่านแม่เขาสุขภาพไม่ค่อยดี  นอนไม่ค่อยหลับ  จึงคิดจะทำถุงหอมที่มีสรรพคุณทางยา  ข้าเห็นท่านเคยศึกษาเรื่องใช้กลิ่นสมุนไพรบำบัดโรคอยู่ช่วงหนึ่ง  เลยพาเขามาขอให้ท่านช่วย”
เหลียนอันสุ่ยเลิกคิ้ว  มองเด็กอีกคน  สุดท้ายเอ่ยว่า
“ข้าจะร่างสิ่งที่จำเป็นให้  แต่พวกเจ้าควรจะเอาไปให้นักปรุงเครื่องหอมประจำราชสำนักตรวจดูสักรอบ”...
มหกรรมปรุงเครื่องหอมจึงเริ่มขึ้น  เหลียนอันสุ่ยแนะนำให้ไปทำที่โรงหมอจะได้เบิกหญ้าหอมสะดวกๆ  ที่สำคัญคือที่นั่นมีเตาเล็กสำหรับเครื่องหอมที่ต้องเผาไฟจึงได้กลิ่น  แต่เหลียนจิ้งเต๋อกลับส่ายหน้า ส่ายนิ้วชี้ไปมา กล่าวว่า
“ท่านพ่อนี่ไม่รู้อะไร  ทำเช่นนั้นเอิกเกริกแย่  แล้วคนรับจะประหลาดใจได้อย่างไร”  เหลียนอันสุ่ยส่ายหัว  แต่ก็ยินยอมไปหยิบมีดเล็กที่ใช้ฝานเครื่องหอมกับหินบดออกมา
ม้วนไม้ไผ่จดบันทึกสัดส่วนที่ต้องใช้ของสมุนไพรแต่ละตัวถูกวางแผ่หลา  เด็กสองคนชะโงกหัวไปๆมาๆกะปริมาณของที่ต้องใช้วุ่นวายไปหมด  โดยมีมือบดเครื่องหอมที่ถูกตามตัวมาคอยให้คำแนะนำอยู่ด้านข้าง
การทำของขวัญเน้นที่ความจริงใจ  สำหรับเหลียนจิ้งเต๋อความจริงใจก็คือลงแรงทำเองกับมือ  จึงตกลงกับสหายว่าขั้นตอนที่ไม่ใช่เย็บปักพวกเขาต้องมีส่วนร่วมทั้งหมด
เยี่ยนจื่อ หญิงรับใช้ที่เหลียนจิ้งเต๋อโอ้อวดสหายไว้ว่าฝีมือเย็บปักเป็นหนึ่งในใต้หล้านั่งอยู่ที่มุมห้อง  กำลังเลือกด้ายที่เหมาะสมกับแบบที่ค่อนข้างจะเข้าใจลำบากเพราะเคยแก้ไขหลายรอบด้วยฝีมือเด็กสองคนที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องเย็บปักสักเท่าใด
“พี่สะใภ้ชอบสีเหลือง” เป่ยชางอ๋องออกความเห็น
“ท่านแม่ชอบลายดอกไม้  อืมม์  ต้องมีใบด้วย  ดอกอย่างเดียวท่านแม่ไม่ชอบ” เจ้าของผลงานตัวจริงกล่าว
“ข้าว่าผ้าผืนนี้สวยกว่าผืนที่เจ้าเลือกนะ” เหลียนจิ้งเต๋อบอกสหาย
“แต่พ่อว่าผืนที่เจ้าเลือกอ่อนไป  ปักด้วยสีเหลืองแล้วจะดูกลืนไปหมด” เหลียนอันสุ่ยท้วงบุตรชาย
ความเห็นสารพัดของบุรุษสี่คนที่มิได้รับรู้ความยากลำบากของลวดลายที่ปรากฏบนแบบและไม่เคยปักผ้ามาก่อนถกเถียงกันไปมา  เยี่ยนจื่อนวดขมับ  ตกลงจะปรับแก้อีกปรือไม่  ถ้าไม่ปรับแก้แล้วนางจะได้เลือกด้ายแล้วเริ่มปักเสียที
ฉีเซี่ยงหยวนมองเครื่องหอมอย่างสนใจ  หยิบๆจับๆลองสูดดมทีละอย่าง
“นี่  พวกข้ายุ่งมาก  ท่านอย่ามารบกวนสิ” เหลียนจิ๋อเต๋อโวยวาย  คนทั้งห้องชะงักโดยพร้อมเพรียง  เห็นบุรุษที่ทรงศักดิ์สูงสุดไม่ว่าอะไร  ปัดมือเล็กออก  ฉวยเครื่องหอมขึ้นมาดมต่อ  เหลียนจิ้งเต๋อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ  จนเหลียนอันสุ่ยต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยบอกให้บุตรชายไปช่วยเพื่อนบดเครื่องหอมอีกด้าน
เหลียนอันสุ่ยใช้มีดเล็กฝานสมุนไพรอย่างชำนาญ  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนที่ไม่มีอะไรจะทำก็ถือโอกาสแย่งงานเดิมของเหลียนจิ้งเต๋อมาทำเองคือชั่งตวงสัดส่วนวัตถุดิบแต่ละชนิด
“ต้าอ๋อง  มากไปแล้ว” นานๆครั้งจะมีเสียงจากคนที่ชำนาญกว่า
“ถ้าผลสุดท้ายออกมาแล้วกลิ่นประหลาดๆ ต้องเป็นเพราะท่านเลยเชียว” นานๆครั้งก็จะมีคำโวยวายดังมาจากบุตรชายของผู้ชำนาญการ
“เจ้าดูที่เจ้าบดด้วยสิ  แหลกไปหมดแล้ว” นานๆครั้งเจ้าของผลงานตัวจริงจะส่งเสียงเพื่อดึงความสนใจของเหลียนจิ้งเต๋อกลับไปที่เดิม
มันเป็นวันธรรมดาที่พิเศษ  บางทีคงเป็นเพราะเวลาเหลือน้อยนักวันธรรมดาๆเช่นนี้จึงดูพิเศษขึ้นมา  พวกเขาสี่คนไม่อาจจัดเป็นคำว่า ‘กลมเกลียว’  ยิ่งไม่อาจพูดว่าเป็น ‘ครอบครัวเดียวกัน’ ได้อย่างเต็มปาก  แต่มันสำคัญตรงไหนหรือ  ฉากในชีวิตคนเรามีกี่ฉากที่สมบูรณ์พร้อม  เพียงทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มีคุณค่าพอจะหวนคิดถึงก็พอแล้ว

น่าสะทกสะท้อนที่วันเช่นนี้ไม่ยืนยาว  ดวงตางามกระจ่างของเหลียนอันสุ่ยจับจ้องทุกภาพที่เกิดขึ้น หลักการบางอย่างกลับโยกไหวจนน่ากลัว  เหลียนอันสุ่ยถามตัวเอง  ในเมื่อเวลาเหลือน้อยปานนี้  เหตุใดจึงไม่อาจรักคนผู้หนึ่งให้เต็มที่  ...หากยังลังเลหรือจะไม่สำนึกเสียใจไปชั่วชีวิต?
---------------------
ฟ้าข้างนอกมืดลง 
ฉีเซี่ยงหยวนจมร่างอยู่ในอ่างอาบน้ำ  กำลังครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย  มีเสียงผลักประตูเข้ามา  ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจว่าเป็นหญิงรับใช้มาเติมน้ำร้อนจึงกล่าวโดยไม่หันกลับไปมองว่า
“ไม่ต้องเติมน้ำร้อนหรอก  ข้าจะขึ้นแล้ว...” พูดถึงตรงนี้กลับพบว่ามีแขนคู่หนึ่งเอื้อมมาโอบร่างเขาจากทางด้านหลัง  ผิวแก้มเนียนละเอียดแนบกับข้างแก้มเขา  คนที่เพิ่งเข้ามาถามเบาๆว่า
“คืนนี้ท่านจะไม่ค้างที่นี่หรือ”
มือของฉีเซี่ยงหยวนเลื่อนไปกุมมือเรียวอย่างแปลกใจ  ขณะตอบว่า
“...ไม่ค่อยดีกระมัง  เหลียนจิ้งเต๋อเห็นข้ามาที่นี่  อย่างน้อยก็ควรจะให้เขาเห็นข้ากลับออกไป”
เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจ
“ไม่เป็นไรหรอก  จิ้งเอ๋อทราบนานแล้วว่าท่านชอบมาค้างกับข้า  ดังนั้นคืนนี้ไม่ต้องกลับตำหนักเยี่ยอวิ๋นหรอก”
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้ว  หันไปมองใบหน้าหมดจดที่อยู่แค่คืบ  เห็นดวงตาของเหลียนอันสุ่ยฉายแววจริงจัง
“เจ้าของตำหนักอนุญาต เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ” ดวงตาคมกริบมีประกายล้อเลียน  หันใบหน้าเข้าไปใกล้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งให้อีกคนต้องถอยหนี  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับจูบเบาๆที่ข้างแก้มเขา
“ตำหนักเป็นของท่าน  ข้าเองก็เป็นของท่าน  ไม่ต้องคิดมากหรอก” พูดพลางหยิบผ้าเช็ดตัวที่ด้านข้างส่งให้กับอีกฝ่าย
ฉีเซี่ยงหยวนมองใบหน้าก้มต่ำที่เรียบเฉยเป็นปกติ  ติดแต่ว่าผิวของเหลียนอันสุ่ยขาวเกินไป  เมื่อมันแดงขึ้นมาจึงยากปกปิดกลบเกลื่อน
“งั้นท่านเช็ดตัวให้ข้าหน่อย” ในเมื่อบอกไม่ต้องคิดมาก  ฉีเซี่ยงหยวนก็เลยไม่คิดมากจริงๆ  ความจริงแล้วไอ้เรื่องไม่เกรงใจเอารัดเอาเปรียบเหลียนอันสุ่ยนี่เขาถนัดที่สุด
เพียงแต่คิดไม่ถึง เหลียนอันสุ่ยกลับยินยอมเช็ดตัวให้เขาจริงๆ
---------------------
ร่างกำยำของฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่บนเตียง  สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว  เหลียนอันสุ่ยอยู่บนเตียงเช่นกัน  คุกเข่าข้างร่างสูงใหญ่  กำลังทำหน้าที่ลำดับสุดท้าย  ค่อยๆสางผมแล้วใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดผมที่เปียกชื้น  เพราะฉีเซี่ยงหยวนตัวสูงกว่าเขา  เหลียนอันสุ่ยจึงต้องยืดตัวขึ้นทิ้งน้ำหนักลงบนเข่าทั้งสองข้าง

ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนอยู่พอดีกับระดับของปลายคางมน  เลื่อนช้าๆลงมาตามเรียวคอขาว  มือข้างหนึ่งโอบอยู่รอบเอวเพรียว  มืออีกข้างขยับเนิบนาบไปตามสาบเสื้อที่ไม่ใช่ของตัวเอง  ราวกำลังลูบคลำสิ่งของที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต

เหลียนอันสุ่ยผอมไปมากจนฉีเซี่ยงหยวนเจ็บปวดใจ  อาการป่วยของเหลียนอันสุ่ยแม้ดีขึ้นแล้ว  แต่ทุกครั้งที่โอบกอดเหลียนอันสุ่ยไว้ฉีเซี่ยงหยวนพอจะมองเห็นความทุกข์ในจิตใจที่อีกฝ่ายต้องเผชิญมา  หากไม่รักใยต้องทุกข์ใจถึงเพียงนี้  หากสามารถปล่อยวางใยจึงยังปวดร้าว  ท่านรักข้าใช่หรือไม่  ข้ารู้ว่าท่านรักข้า  ที่ข้าไม่เคยมั่นใจตลอดมาไม่ใช่เพราะท่านไม่เอ่ยปาก แต่ที่จริงเป็นเพราะข้านึกไม่ออกว่าท่านจะรักข้าได้อย่างไร  ข้าทำเรื่องเลวร้ายกับท่านไปมากเพียงใดข้าล้วนทราบดี  ท่านให้อภัยข้าไปกี่ครั้งข้าล้วนทราบดีเช่นกัน  ใจข้ายังคงดึงดันไม่อยากปล่อยท่านไป  แต่เมื่อข้าเห็นท่านที่เป็นแบบนี้ข้ากลับไม่อาจไม่ปล่อยท่านไป 
เพราะข้าเห็นแล้วว่าสิ่งที่ท่านหักห้ามไม่ให้ตัวเองแสดงออกมาโดยตลอดมากมายแค่ไหน  ข้าไม่เคยมองเห็นเลยว่าฐานะที่ข้าเป็นอยู่กดดันท่านหนักหนาถึงเพียงนี้  สิ่งเหล่านั้นที่ข้าเห็นว่าไม่สำคัญไม่ต้องคำนึงถึงกลับเป็นสิ่งที่ท่านให้ความสำคัญคำนึงถึง  ข้าพยายามยัดเยียดให้ท่านมองโลกอย่างที่ข้ามอง  แต่ตัวเองกลับไม่เคยมองในมุมของท่านมาก่อน

ฉีเซี่ยงหยวนก้มหน้าลงให้เหลียนอันสุ่ยเช็ดโคนผมเขา  สันจมูกโด่งจรดลงกับผิวกายละเอียด  ละเลียดความอ่อนหวานที่เหลียนอันสุ่ยมีให้เขาคนเดียว  อารมณ์อาวรณ์ที่ทำให้คนหัวใจสลายครอบงำไออุ่นที่แอบอิงกัน  เหลียนอันสุ่ยเองก็เหมืองจะสัมผัสได้ว่าฉีเซี่ยหยวนรู้สึกอย่างไร  ดวงตาคู่งามทอแววอ่อนโยน  ยังคงเช็ดผมให้กับอีกฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ  ...ปล่อยให้ความเงียบจรดจารึกทุกความทรงจำเอาไว้อย่างประณีตที่สุด 

ฉีเซี่ยงหยวนหลับตาลง  ซึมซับความรู้สึกที่มือเรียวเช็ดผมให้เขาอย่างเบามือ  ความอ่อนโยนของท่านทำให้หัวใจข้าอบอุ่น  ความเข้มแข็งของท่านทำให้หัวใจข้าลุ่มหลง  ท่านไม่เคยเอ่ยปากเรียกร้องสิ่งใดจากข้า  แต่หัวใจของท่านกลับร่ำร้องต้องการคนที่จะเข้าใจท่านมาโดยตลอด  ข้ารู้สึกได้  รู้สึกได้อย่างชัดเจน  ชีวิตของท่านที่ทุกคนต่างคิดว่าสมบูรณ์พร้อม  แต่นั่นเป็นเพียงด้านเดียวที่พวกเขามองท่าน  เรียกร้องเอาจากท่าน  คนๆหนึ่งไหนเลยสามารถสมบูรณ์พร้อมในทุกด้านได้  ท่านเองก็เป็นคน  เคยทำสิ่งที่ผิดพลาด  เคยสำนึกเสียใจ  มีความอาลัยและความยึดติด  ข้ารักท่านที่เป็นอย่างนี้  ข้าอยากให้ความยึดติดของท่านมีส่วนหนึ่งที่เป็นพื้นที่ของข้า 
ข้าคงเห็นแก่ตัวอย่างมาก  ถึงแม้จะทราบว่าเราไม่อาจอยู่ร่วมกัน  แต่กลับหวังให้ท่านไม่อาจลืมเลือน...ไม่อาจลืมเลือนตลอดไป  ดังเช่นหัวใจข้าที่ไม่อาจลืมเลือนท่าน

ผมดำสนิทถูกเช็ดจนแห้งหมาด  เวลาที่เคลื่อนผ่านเปี่ยมคุณค่าความหมายในตัวมันเอง

มือใหญ่ดึงผ้าผืนเล็กออกมาจากมือเรียว  มืออีกข้างดึงร่างสูงโปร่งเข้ามาในอ้อมอก  เหลียนอันสุ่ยเกาะบ่าหนาเพื่อพยุงตัว  ดวงตาคู่งามสบประสานกับด้วงตาคมกริบทรงอำนาจ...แล้วทั้งคู่ก็จูบกัน
ให้ความรักใคร่ลุ่มหลงแทรกซึมลงไปในเลือดทุกหยด  ให้ความอาลัยจารจำในกระดูก  ให้ความเศร้าโศกและปิติยินดีทรงอานุภาพในความทรงจำ  ท่านเป็นของข้า  อย่างน้อยในชั่วขณะนี้ท่านก็เป็นของข้า  ...และข้าเป็นของท่าน  เป็นของท่านเพียงคนเดียว
ริมฝีปากนุ่มนวลของเหลียนอันสุ่ยขยับไล้ไปตามเรียวปากร้อนผ่าว  ลิ้มรสชาติของอีกฝ่าย  และปล่อยให้อีกฝ่ายลิ้มรสชาติของเขา
ผ้าเช็ดผมร่วงหล่นลงบนพื้น  แต่ทั้งคู่ไม่ได้สนใจมัน  พวกเขาสนใจแค่กันและกัน
ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกถึงปลายนิ้วเรียวยาวที่ขยับไปตามลาดไหล่  แผ่วเบาถึงเพียงนั้น  สะกิดหัวใจจนคันยิบๆ  ฉีเซี่ยงหยวนชอบความรู้สึกเวลาปลายนิ้วเหล่านั้นจิกลึกลงบนร่างเขาเวลาเจ้าของของมันไม่อาจควบคุมตัวเอง  ยิ่งชอบเวลาที่มันไล้กรอบหน้าเขา  ทะนุถนอมเขาราวกับเขาเป็นสมบัติล้ำค่า

พวกเขา ‘ร่วมเตียง’ และ ‘ร่วมรัก’  ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องถูกต้อง  แต่ขณะที่ร่างแข็งแกร่งจรดกายเข้ามาในร่างเขา  เหลียนอันสุ่ยกลับรู้สึกถึงความเต็มสมบูรณ์และถูกต้อง  รู้สึกเปลือยเปล่าและไม่มีหนทางเก็บซ่อนความอาลัย
ถึงไม่พูดออกมาแต่พวกเขากลับรู้ดี  ถึงไม่เคยนับออกเสียงแต่ทราบอยู่โดยตลอดว่าหลงเหลืออีกกี่วัน  บางทีพวกเขาก็นับเป็นชั่วยาม  เพื่อหวังจะให้มันดูยาวนานขึ้น  แต่มันก็ยาวนานได้แค่เท่าที่มันเป็น

เหลียนอันสุ่ยไม่คิดจะปิดบังสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเขาอีกต่อไป  ยินยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับบุรุษผู้นี้  ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเวลาที่พวกเขาเหลืออยู่  ปากแข็งกับความรัก  เอียงอายกับความรัก  เรื่องเหล่านั้นเอาไว้คู่รักที่มีเวลาเหลือเฟือค่อยๆละเลียดมันเถอะ  พวกเขาไม่อาจ 
ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของมัน  ปล่อยให้หัวใจโลดแล่นโบยบิน
ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกถึงรักใคร่อาลัยจากร่างสูงโปร่งได้อย่างชัดเจนขณะที่พวกเขาเป็นหนึ่งเดียว  ความรู้สึกนั้นรุนแรงจนเกือบเป็นความโหยหา  ร่างกายของเหลียนอันสุ่ยรู้วิธีตอบสนองเขา  ยั่วยวนเขา  รักใคร่เขา  และปลอบประโลมเขา 
ความเร่าร้อนอ่อนหวานซึมลึกเข้าไปถึงหัวใจ  ทำให้ห้องหัวใจที่เคยว่างเปล่าของเขาสัมผัสกับความละโมบที่ไร้จุดสิ้นสุด  เขาต้องการมากกว่านี้  ต้องการทั้งหมด  ทั้งหมดของคนผู้นี้  ทั้งร่างกายและวิญญาณ  ทั้งความรักและความเกลียดชัง
วิธีที่ฉีเซี่ยงหยวนเรียกร้องเอาจากเขาทำให้เหลียนอันสุ่ยสั่นสะท้าน  มีคนมากมายเคยเรียกร้องหลายสิ่งหลายอย่างจากตัวเขา  แต่ในความเป็นจริงมีฉีเซี่ยงหยวนเพียงคนเดียวที่มีสิทธิ์  เพราะฉีเซี่ยงหยวนเป็นเจ้าของวิญญาณเขา  เป็นมานานก่อนที่เหลียนอันสุ่ยหรือใครจะรู้  และจะเป็นไปจนวันตาย 
สุขทุกข์ของฉีเซี่ยงหยวนคือสุขทุกข์ของเขา  คนสองคนที่ใจสื่อถึงกัน  ในความเป็นจริงพวกเขาคือคนคนเดียวกัน
 
ฉีเซี่ยงหยวนเคยอยากรู้มานานแสนนาน  ว่าเมื่อพระมาตุลาผู้สงบเยือกเย็นคนนี้มอบกายใจให้กับคนผู้หนึ่งจะมีสภาพเป็นเช่นไร  แต่ตอนที่ได้รับทราบคำตอบของมัน  ฉีเซี่ยงหยวนกลับตะลึงลาน
ในชั่วขณะนั้นพวกเขาราวกับเป็นคนรักที่รักใคร่กันอย่างดูดดื่ม  ราวกับเป็นคู่ชีวิตที่จะไม่แยกจากกันชั่วชีวิต  ใบหน้าที่แหงนไปด้านหลังของเหลียนอันสุ่ยครวญครางเรียกชื่ออีกฝ่ายไม่ขาดปาก  ฉีเซี่ยงหยวนสั่นสะท้าน  ราวคำพร่ำเรียกแต่ละคำบีบคั้นหัวใจของเขา  เขากลับได้รับคำตอบของคำถามนี้ในช่วงเวลาสุดท้ายที่พวกเขาสามารถอยู่ร่วมกัน

มือเรียวยาวของเหลียนอันสุ่ยเลื่อนมากุมมือใหญ่  ดวงตาคมซึ้งมองแววตาคมกล้าที่สะท้อนเงาของเขาเพียงคนเดียว  อารมณ์กระหน่ำซัดรุนแรง  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับบังคับให้ดวงตาของตัวเองจับจ้องมองอีกฝ่าย
เซี่ยงหยวน  ข้าเต็มใจเป็นของท่าน  และไม่เคยเสียใจที่ชีวิตนี้ได้พบกับท่าน

ฉีเซี่ยงหยวนครางต่ำ  แทบจะเป็นความรู้สึกรวดร้าวยามรับรู้ว่าตัวเองปรารถนาอีกฝ่ายแค่ไหน  ร่างกายขมวดเกร็งไปทุกส่วน  เหลียนอันสุ่ยที่ถูกจองจำอยู่ใต้ร่างเขากลับแลดูมีอิสระกว่าเขา  ราวกับสามารถวางสิ่งที่เรียกว่ากรอบประเพณี  วางสิ่งที่เรียกว่าความผิดบาปละอาย  วางเงื่อนไขเป็นร้อยเป็นพันที่เคยร้อยรัดไว้  หลงเหลือเพียงคำว่ารักเพียงหนึ่งเดียว 
เหลียนอันสุ่ยที่เป็นเช่นนี้กลับทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกหมดทางเลือก  ถูกต้อนเข้าไปถึงทางตัน  ถูกจองจำด้วยความทรงจำที่ไม่อาจลบเลือนไปชั่วชีวิต 
ร่างหนาฟุบลงกับไหล่มน  ในชั่วขณะนั้นความสุขสมกับความเจ็บปวดกลับแยกกันไม่ออก  ฉีเซี่ยงหยวนตระกองกอดบุรุษหนึ่งเดียวที่เขาปรารถนา  พึมพำถามว่า
“ท่านไม่ไปไม่ได้หรือ” ในตอนที่ถามคำถามนี้ออกไป  ใจของฉีเซี่ยงหยวนกลับรับรู้อย่างสิ้นหวังว่า...เขาจะปล่อยอีกฝ่ายไป


========
ตอนนี้ดำเนินมาถึงประมาณ3/4ของเรื่องแล้วนะคะ 
กำลังอยู่ในช่วงสำคัญที่ต้องจัดการเก็บปมทั้งหมด 
และวางทางไปทั้งหมดเพื่อเข้าสู่ช่วงสุดท้าย 
เรื่องนี้ไม่ใช่ไตรภาคและไม่มีภาคต่อ 
ตั้งใจไว้ให้มันจบสมบูรณ์ในตัวเอง 

หลังๆอาจอัพช้านิดหน่อยเพราะการเก็บพล๊อตเป็นเรื่องยุ่งยากเรื่องหนึ่ง  ไม่อยากให้เยิ่นเย้อ  และไม่อยากให้ห้วนสั้นเกินไป 
ปล.ขอโทษที่ทำให้อ่านแล้วนอนไม่หลับนะคะ(รู้สึกผิด :mew2:แต่ตอนนี้อ่านจบไปคงหลับยากกว่าเดิม 555)



ออฟไลน์ MeepadA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1069
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
ทั้งๆที่เป็นช่วงที่ทั้งคู่มีความสุขแท้ๆ แต่อ่านแล้วหน่วงตลอดเวลาเลย
หรือกลายเป็นเราแล้วที่กังวลจนเกินไป  :mew2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด