บทที่ 50 เรื่องชกต่อยของเด็ก เรื่องปิดบังของผู้ใหญ่(1)
วันนี้เหลียนจิ้งเต๋อกลับถึงตำหนักชุนเกอตั้งแต่หัววัน จากเด็กที่ร่าเริงสดใสกลายเป็นเด็กที่บูดบึ้งไม่ยอมพูดคุยกับใคร บ่าวรับใช้ที่เดินตามมาตัวลีบเท้าเหยียบตำหนักก็คุกเข่าลงกับพื้น รายงานตะกุกตะกักต่อเหลียนอันสุ่ยว่า วันนี้คุณชายน้อยมีเรื่องทะเลาะผิดใจถึงขั้นลงไม้ลงมือกับสหายที่สำนักศึกษา ส่วนสาเหตุไม่ว่าอาจารย์จะถามอย่างไรก็ไม่ยอมตอบ
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ตำหนิบ่าวรับใช้ผู้นั้น เพียงเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ อันที่จริงตั้งแต่เห็นหน้าบุตรชายเหลียนอันสุ่ยก็ทราบแล้วว่าอีกฝ่ายมีเรื่องชกต่อยมา เพราะบนใบหน้าขาวผ่องอ่อนเยาว์มีรอยเขียวช้ำอันเป็นหลักฐานมัดตัวแปะหราอยู่อย่างเด่นชัด
ปรกติเหลียนจิ้งเต๋อกับองค์รัชทายาทจะมีพระอาจารย์มาถวายการสอนถึงภายในวังเนื่องจากเป็นบุตรบุญธรรมของเป่ยชางอ๋อง แต่มีบางวิชาจะไปร่ำเรียนร่วมกับเพื่อนที่สำนักศึกษาหลวง ที่ทำเช่นนี้เพราะฉีเซี่ยงหยวนมีความเห็นว่าเด็กควรรู้จักการสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น และควรมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันบ้าง ซึ่งเหลียนจิ้งเต๋อในวันปกติก็จะกลับมาด้วยสีหน้าแช่มชื่นเบิกบาน เพราะไม่ว่าเบื้องหลังจะมีหลักการลึกซึ้งใด สำหรับเหลียนจิ้งเต๋อการไปเรียนที่สำนักศึกษาคือการได้เล่นกับเพื่อนกลุ่มใหญ่และได้ออกไปเที่ยวนอกเขตวัง จึงนับเป็นสองวันในสัปดาห์ที่เฝ้ารอคอย
แต่วันนี้เหลียนจิ้งเต๋อกลับหอบเอาใบหน้าหงุดหงิดเต็มกำลังกลับมาที่ตำหนัก บ่าวไพร่ที่พบเห็นล้วนหันไปมองหน้ากันด้วยความมึนงงกับเหตุการณ์ประหลาดที่นานทีปีหนจะเกิดขึ้น
---------------------
ในห้องของเหลียนจิ้งเต๋อ เหลียนอันสุ่ยกำลังห่อตัวยาที่ใช้ประคบบาดแผลฟกช้ำใส่ผ้าสีขาวผืนบาง ส่วนเจ้าของห้องนั่งหน้าบึ้งกอดอกไม่พูดไม่คุยอยู่อีกฟาก
เหลียนอันสุ่ยห่อตัวยาสำหรับใช้ประคบเรียบร้อย ก็เหลือบสายตามองบุตรชาย เห็นอีกฝ่ายยังไม่ใจเย็นลงก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เหลียนจิ้งเต๋อเสียอีกที่ทนเงียบมานานทั้งๆที่ข้างในเดือดเป็นฟืนเป็นไฟพอเห็นว่าห้องมีแต่ท่านพ่อ ก็พูดขึ้นมาเสียงห้วน
“ท่านจะตักเตือนข้าเรื่องอย่าใช้กำลังแก้ปัญหาใช่รึเปล่า”
เห็นบุตรชายเชิดปากสูง สีหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจคล้ายระเบิดที่รอเวลาปะทุ เหลียนอันสุ่ยก็ลอบยิ้มขำ ยังคงไม่ได้พูดอะไรเหมือนเดิม
เหลียนจิ้งเต๋อสะกดใจไม่ได้ร้องออกมาว่า
“แค่นี้ยังน้อยเกินไป จริงๆข้าควรจะต่อยมันอีกสองสามหมัดจึงจะสาสม ปากสกปรก กล่าววาจาได้เหม็นยิ่งกว่าเสียงผายลม!”ครั้งนี้คำหยาบก็พูดออกมาแล้ว
เหลียนอันสุ่ยยังคงไม่ได้กล่าวตำหนิ แค่ทรุดนั่งลง ประคบยาให้รอยเขียวช้ำบนใบหน้าของบุตรชาย นี่เป็นสมุนไพรสำหรับลดอาการฟกช้ำ มีคุณสมบัติทำให้หลอดเลือดหดตัว
“โอ๊ย” ถึงแม้เหลียนอันสุ่ยจะเบามือแล้ว แต่เหลียนจิ้งเต๋อยังคงเจ็บจนหน้าเบ้
“พ่อทำเจ็บ งั้นเจ้าประคบเอง”
เหลียนจิ้งเต๋อรับมาประคบเอง แต่ก็ยังเจ็บจนสูดปากเป็นระยะ หากปากกลับไม่ยินยอมอยู่นิ่งเฉย พ่นวาจาออกมาเป็นชุด
“เจ้าบ้านั่นกล้าด่าท่านพ่อ บอกว่าท่านยั่วยวนผู้ชาย มีรสนิยมวิปริต วาจาเหลวไหลทั้งนั้น หาความจริงไม่ได้แม้แต่ส่วนเดียว ! ”
เหลียนอันสุ่ยสะท้านทั้งร่าง
เหลียนจิ้งเต๋อยังคงพึมพำกับตัวเองต่อไป
“เจ้าคนรับประทานอาจมปากเหม็น ท่านพ่อของข้าจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร มันน่านัก ฮึ่ม ”
ปรกติเหลียนจิ้งเต๋อแม้นิสัยคะนองซุกซน แต่ไม่ใช่ประเภทชมชอบทะเลาะต่อยตี ครั้งนี้ที่ทนทานไม่ได้เป็นเพราะอีกฝ่ายกล้าด่าบิดาของเขา ชีวิตของเหลียนจิ้งเต๋อโตมากับท่านพ่อ คนที่รักผูกพันที่สุดก็คือท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นครอบครัวของเขาไม่อนุญาตให้ใครมากล่าวร้ายทั้งนั้น
ถ้าผู้อื่นด่าเขาสำหรับเหลียนจิ้งเต๋ออย่างมากด่าคืนก็จบกันไป แต่ถ้าผู้อื่นกล้าดูถูกบิดาของเขาแม้แต่ครึ่งคำ เขาจะต้องให้ฝ่ายนั้นสำนึกเสียใจ!
แต่ตอนนี้คนที่สำนึกเสียใจกลับเป็นเหลียนอันสุ่ย
‘...ท่านพ่อของข้าจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร...! ’
เมื่อหลายชั่วยามที่แล้ว เขาเอาแต่คิดว่าจะบอกกล่าวเรื่องราวกับบุตรชายอย่างไร ความคิดหมกมุ่นอยู่แต่กับตัวเอง ที่คำนึงมีแต่ความเห็นแก่ตัว ความผิดของผู้ใหญ่อาศัยอะไรให้เด็กร่วมแบกรับ
เด็กที่กล่าววาจาใส่หน้าเหลียนจิ้งเต๋อ คาดว่าคงมาจากการได้ยินได้ฟังจากบทสนทนาของผู้ใหญ่ ข่าวภายนอกพัดโหมรุนแรงเพียงใด เหลียนอันสุ่ยทราบกระจ่างดี
เหลียนอันสุ่ยอายุไม่น้อยแล้ว วาจาแค่ลมปากทำอะไรเขาไม่ได้ แต่เหลียนจิ้งเต๋อไม่เหมือนกัน เขาจะให้ลูกของเขาเติบโตมากับข่าวเช่นนี้หรือ? จะให้เหลียนจิ้งเต๋อโตมากับการดูถูกเช่นนี้หรือ?
เขาจะต้องถูกความโลภชักนำจนฟั่นเฟือนไปแล้วจึงคิดกระทั่งว่าจะอยู่ข้างกายฉีเซี่ยงหยวนตลอดไป ‘เมื่อมีความรักคนเราจะเห็นแก่ตัว’ นับเป็นความจริงโดยไม่ผิดเพี้ยน
เหลียนอันสุ่ยใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆลงบนรอยช้ำบนหน้าของบุตรชาย สายตาเต็มไปด้วยความละอายเศร้าเสียใจ
เหลียนจิ้งเต๋อเห็นบิดาใช้สายตาย่ำแย่ถึงเพียงนั้นมองดูเขาก็รีบพูดว่า
“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องเสียใจไป คำพูดพวกนั้นไม่ใช่ความจริง ไม่ว่าจะพูดอีกกี่ร้อยกี่พันครั้งก็ไม่มีวันเป็นความจริงไปได้ ท่านอย่าใส่ใจเลย”
เจ็บปวด เหลียนอันสุ่ยไม่เคยเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อนในชีวิต คมดาบที่เรียกว่าความละอายกรีดแทงลงมาอย่างหนักหน่วง ในแววตาของเหลียนจิ้งเต๋อคือความรักและเทิดทูนที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับบิดาทุกในโลกหล้า และเป็นสิ่งที่หนักหน่วงที่สุดสำหรับบิดาทุกคนในโลกหล้าเช่นกัน คิดจะแบกรับมันไว้ต้องจ่ายด้วยทั้งหมดของชีวิต เพราะเมื่อสูญเสียมันไปแล้วก็ยากจะได้กลับคืนมา
เหลียนอันสุ่ยยื่นมือออกไปดึงเด็กชายวัยสิบขวบเข้ามา ใบหน้าซบลงกับบ่าเล็กๆนั่น หลับตาลง ร่างสั่นสะท้านไม่หยุดยั้ง
“ท่านพ่อ ท่านเป็นไรไปแล้ว!” น้ำเสียงของเหลียนจิ้งเต๋อแตกตื่นอย่างแท้จริง พยายามจะใช้สองมือผลักบิดาออกไปเพื่อจะมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดๆ แต่เหลียนอันสุ่ยกลับไม่เปิดโอกาสนั้น
หวาดกลัวเหลือเกินว่าเด็กคนนี้จะเห็นความละอายที่ซุกซ่อนอยู่ หวาดกลัวเหลือเกินว่าเด็กคนนี้จะล่วงรู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ปิดบังไว้
หากไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ ก็อย่าทำ
น่าเสียดายที่เหลียนอันสุ่ยทำลงไปแล้ว ทำลงไปแล้วอย่างผิดมหันต์ คำพูดที่ไม่ใช่ความจริง พูดอีกกี่ร้อยกี่พันรอบก็ไม่มีทางทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมาได้ แต่เรื่องที่เป็นความจริง ต่อให้ใช้คำโกหกเป็นร้อยเป็นพันคำก็ไม่อาจลบมันหายไป
ต่อให้ไม่พูดถึงก็ไม่อาจเป็นดั่งไม่เคยเกิดขึ้น...เพราะท่านย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ
---------------------
เคยมีซักครั้งไหม เพื่อปกป้องคนที่ควรปกป้อง จึงได้แต่ทำร้ายคนที่สำคัญต่อเราเช่นกัน
ในเมื่อต้องทำร้ายซักคนหนึ่ง จึงได้แต่เลือกคนที่เข้มแข็งกว่า
ความผิดนี้เป็นของใครหรือ ?
ของคนที่ได้รับการปกป้อง หรือของคนที่เลือก...ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นคนที่เข้มแข็งคนนั้น เพราะเขาเข้มแข็งเกินไปจึงมักเป็นฝ่ายที่ถูกเลือกที่จะละทิ้งเสมอ
ชั่งน้ำหนักความสำคัญในใจคนเที่ยงตรงมากแค่ไหน ?
แต่การเลือกเช่นนี้ เหลียนอันสุ่ยไม่ได้เลือกคนที่สำคัญกว่า เขาแค่เลือกปกป้องคนที่ควรจะถูกปกป้องไว้ คนหลายคนเมื่อเผชิญทางเลือกเช่นนี้มักเอาหัวใจมาชั่งตวงวัด แต่คนแบบเหลียนอันสุ่ยเมื่อเจอทางเลือกเช่นนี้จะเอาผลสุดท้ายมาชั่งตวงวัด ชีวิตคนมิได้มีเพียงความรักความชัง มันยังมีความผูกพัน หน้าที่และความรับผิดชอบ บุญคุณและการเสียสละ
เรื่องรักใครมากกว่าเป็นเพียงการคำนึงถึงแบบเด็กๆ โลกของผู้ใหญ่ซับซ้อนกว่านั้น เหลียนอันสุ่ยทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนจะต้องเข้าใจ เหลียนอันสุ่ยหวังว่าฉีเซี่ยงหยวนจะต้องเข้าใจ น่าเสียดายที่ฉีเซี่ยงหยวนในเวลานี้ยังคงไม่ทราบอันใดทั้งสิ้น
ก่อนจะเกิดเรื่องชกต่อยที่สำนักศึกษา เหลียนอันสุ่ยได้ให้ต้วนจินไปบอกฉีเซี่ยงหยวนว่าเขาจะลองพูดเรื่องทั้งหมดกับเหลียนจิ้งเต๋อดู ตั้งแต่ต้วนจินมาถ่ายทอดคำพูดดังกล่าว ฉีเซี่ยงหยวนในที่ประชุมขุนนางก็เอาแต่นับชั่วยามรอคอยให้การประชุมเลิก เนื้อหาที่หารือในวันนี้เป็นฝ่ายการคลังแจกแจงที่มาที่ไปของงบประมาณชุดใหญ่ กว่าจะเสร็จสิ้นลงได้จึงล่วงเข้าเวลาดึกดื่น
ทันทีที่การประชุมเลิก ฉีเซี่ยงหยวนก็วางท่ากลับตำหนักเยี่ยอวิ๋นอย่างไม่รีบไม่ร้อน พอเท้าเหยียบตำหนัก สายตาทุกคู่ของเหล่าขุนนางละไปแล้ว ก็หันหลังกลับแล่นตรงไปยังตำหนักเสียงวสันต์
ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าการจะพูดเรื่องเช่นนี้ต้องใช้กำลังใจ ถึงแม้เขาจะไม่สามารถพูดแทนอีกฝ่ายได้เพราะเหลียนอันสุ่ยคงจะไม่ยินดี แต่เขาจะไม่ละทิ้งให้เหลียนอันสุ่ยต้องเผชิญกับผลของมันโดยลำพัง
กลางคืนในตำหนักเสียงวสันต์วังเวงอยู่บ้าง ดอกไม้ใบหญ้าที่งอกขึ้นใหม่ดูเป็นเงาตะคุ่มใต้แสงจันทรา ฉีเซี่ยงหยวนเดินฝ่าเข้าไปถึงตัวตำหนักด้านใน พบหน้าเหลียนอันสุ่ยก็เอ่ยถามว่า
“ท่านได้พูดกับเหลียนจิ้งเต๋อรึยัง ?”
เหลียนอันสุ่ยได้ยินน้ำเสียงผ่อนคลายกับแววตาเจิดจ้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเชื่อมั่นต่ออนาคตของอีกฝ่าย ยามกะทันหันพูดอันใดไม่ออก
ฉีเซี่ยงหยวนเห็นอีกฝ่ายหน้าเสียไปก็กล่าวปลอบว่า
“ไม่เป็นไร ยังไม่มีจังหวะพูดวันนี้ ไว้ค่อยพูดวันหลังก็ได้” สำหรับฉีเซี่ยงหยวน ขอแค่เหลียนอันสุ่ยรับปากว่าจะพูดก็ต้องพูด หาทราบไม่ว่าเรื่องราวเกิดเหตุพลิกผันขึ้นแล้ว หลังจากเกิดเรื่องชกต่อยของเหลียนจิ้งเต๋อ สำหรับเหลียนอันสุ่ย...ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“ข้า...” จะไม่บอกเรื่องนั้นกับจิ้งเอ๋อ สีหน้าลำบากยากจะกล่าวของพระมาตุลาแคว้นเหลียนทำให้คนเป็นเป่ยชางอ๋องเข้าใจผิดไป จึงรีบกล่าวว่า
“ถ้ามันยากมากให้ข้าช่วยท่านหรือไม่ ตอนแรกข้าคิดว่าท่านน่าจะอยากจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง จึงพยายามไม่ก้าวก่าย แต่บางทีถ้าให้ข้าเป็นคนเกริ่นๆเรื่องมันอาจจะง่ายขึ้น แล้ว...”
“ไม่” เหลียนอันสุ่ยปฏิเสธออกไปทันทีอย่างแตกตื่น
ฉีเซี่ยงหยวนมองใบหน้าหมดจดนิ่งอย่างชั่งใจ สุดท้ายก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า
“ไม่ก็ไม่ ข้าเคารพการตัดสินใจของท่าน” วางมือบนไหล่ โอบบ่าอีกฝ่ายพลางกล่าวต่อว่า “อย่าบีบคั้นตัวเอง ไม่ต้องรีบร้อน ถ้ากังวลเรื่องข่าวลือวันนี้ข้าจัดการให้แล้ว แสดงฉากโมโหไปคราหนึ่ง คิดว่าน่าจะทำให้ข่าวนิ่งได้ซักพัก ท่านค่อยๆบอกเขาเถิด ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าข้ารอได้ ต่อให้ต้องรอทั้งชีวิตก็รอได้ ขอแค่ท่านยังอยู่ที่ข้างกายข้าก็พอ” คำพูดแผ่วเบา เช่นเดียวกับจูบที่แตะลงบนเรียวปากบางหลังจากนั้น
คำพูดทุกคำของเหลียนอันสุ่ยยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปากมิได้กล่าวออกไป เพราะเหลียนอันสุ่ยสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในรอยยิ้มนั้นของฉีเซี่ยงหยวนมีสิ่งที่เรียกว่าความสุข
พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนหายใจแรง
ฉีเซี่ยงหยวน ข้าจะบอกท่านอย่างไรดี...ว่าข้าเปลี่ยนใจแล้ว ว่าข้า...ไม่อาจอยู่ข้างกายท่านตลอดไปดั่งเช่นที่ท่านเข้าใจ
เป็นข้าไม่ดีเอง ข้าไม่ควรใจอ่อนมาตั้งแต่แรก ความใจอ่อนของข้าทำร้ายท่าน ส่วนตอนนี้ข้าก็ได้แต่ทำร้ายท่านอีกครั้ง...และหวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย
จังหวะที่เหลียนอันสุ่ยซึ่งเงียบงันไปนานเผยอเรียวปากขึ้น ฉีเซี่ยงหยวนที่มองดวงจันทร์ที่นอกหน้าต่างก็หันมากล่าวว่า
“ข้ายังมีงานต้องสะสาง ตอนนี้ดึกมากแล้ว ท่านนอนก่อนเถิดนะ” หลังมือสากไล้ใบหน้าหมดจดเบาๆอย่างรักใคร่ ริมฝีปากเด็ดขาดตอนนี้มีรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก สายลมพัดมาหอบหนึ่ง ฉีเซี่ยงหยวนผละจากไป
ในคราแรกเหลียนอันคิดเรียกรั้งไว้ เพื่อคุยเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องบอกให้เสร็จสิ้น แต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายยังมีงาน ก็ไม่อาจเอ่ยอะไร ถ้าพูดเรื่องนั้นขึ้นมาตอนนี้งานที่สะสางไม่เสร็จของฉีเซี่ยงหยวนคงไม่ได้สะสางแน่ รอไปอีกซักหน่อยแล้วกัน รอให้ฉีเซี่ยงหยวนทำงานให้เสร็จแล้วค่อยสะสางเรื่องส่วนตัวเถอะ
---------------------
เตียงไหวยวบแผ่วเบา ตามด้วยเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เจือด้วยความเหน็ดเหนื่อยเสียงหนึ่ง ฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งจะจัดการงานที่คั่งค้างเสร็จ ร่างสูงใหญ่ล้มตัวลงนอน มือเอื้อมออกไป ควานหาพบร่างสูงโปร่งที่นอนอยู่อีกฟากของเตียงก็ดึงมากอดไว้ หลับตาลง ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ
ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็ได้คำตอบแล้ว ว่าเหตุใดหลายคราที่ตื่นขึ้นมามักพบตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของร่างแกร่ง ทุกการเคลื่อนไหวทั้งเรียบง่าย ทั้งคุ้นชิน เป็นปรกติธรรมดาจนถึงที่สุด ฉีเซี่ยงหยวนมักสามารถแสดงความรักของตัวเองออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติเสมอ
ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง ไม่จำเป็นต้องบ่ายเบี่ยงปิดบัง รักก็คือรัก อยากทำอะไรให้ถ้าใคร่ครวญว่าดีแล้วก็ทำเลย สนใจไปใยว่าอีกฝ่ายจะเห็นค่าหรือไม่ สนใจไปใยว่าตัวเองได้กำไรหรือขาดทุน เนื้อแท้ของความรักมิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ใช้การเคลื่อนไหวง่ายๆเท่านี้บอกว่า ‘ชีวิตของข้าต้องการท่าน’
ใช้ความสำคัญของเรื่องราวที่บอกเล่าออกมาบ่งบอกว่า ‘ข้าไว้วางใจท่าน’
ใช้คำถามไม่กี่คำบ่งบอกว่า ‘ความเห็นของท่านมีความหมายต่อข้า’
ใช้การให้เกียรติแทนคำพูดว่า ‘ท่านมีคุณค่าสำหรับข้าเสมอ’
แล้วข้า...ตอบแทนอะไรท่านได้บ้างนอกจากความเจ็บปวด คำมั่นสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้าง ข้าให้ท่านไม่ได้ คำว่ารักข้าก็ให้ท่านไม่ได้ คงมีแค่หัวใจข้าที่จะเป็นของท่านตลอดไป
เหลียนอันสุ่ยยังไม่หลับ แต่ไม่ได้ขัดขืน เพียงทำราวกับหลับใหลไปแล้ว ซบใบหน้าแนบกับแผ่นอกกว้าง ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเนิบช้าหนักแน่น
ก่อนหน้านี้เหลียนอันสุ่ยพูดไม่ออก ตอนนี้ยังคงไม่อาจใจร้ายพอจะปลุกบุรุษที่เพิ่งจะได้พักผ่อนจากความเหน็ดเหนื่อยทุ่มเทขึ้นมาสนทนา ให้เขาพักผ่อนเถิด ให้คนผู้นี้มีความสุขอีกคืนหนึ่งเถิด เพราะวันพรุ่งนี้เหลียนอันสุ่ยจะฉีกทุกภาพมายาให้เป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง
อาจบางที...เขาเพียงต้องการยืดเวลาให้ตัวเองอีกเล็กน้อย ให้ความฝันที่สวยงามนี้ยืนยาวไปอีกคืนหนึ่ง...
---------------------
เหลียนอันสุ่ยตั้งใจไว้แล้วว่าเมื่อฉีเซี่ยงหยวนกลับมาจากการตรวจเยี่ยมกองทัพในวันนี้ เขาจะบอกการตัดสินใจของตัวเองต่ออีกฝ่าย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยเจ็บปวดอย่างแท้จริงเมื่อได้เห็นใบหน้าของบุรุษที่เขารัก
ฉีเซี่ยงหยวนเดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม ท่วงท่าองอาจงามสง่าเช่นเดียวกับปรกติ เข้ามาถึงด้านในก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก เอ่ยขึ้นว่า
“วันนี้ข้าไปดูการฝึกทหารใหม่ในกองทัพ เถี่ยเจิ้งท่านเคยแนะนำให้ข้าใช้การได้ดีทีเดียว อาศัยความสามารถของเขาอีกไม่นานคงสามารถสร้างผลงานใหญ่ให้แคว้นเป่ยชาง เพียงแต่ก่อนจะถึงขั้นนั้นคงต้องใช้เวลาซักพักให้เขาเรียนรู้ระบบทหารของเป่ยชางเสียก่อน ข้าจึงค่อยวางใจได้”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป เถี่ยเจิ้งคือแม่ทัพชาวเหลียนที่เขาเคยเสนอชื่อให้กับฉีเซี่ยงหยวน เป็นคนรักของสตรีที่เป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการนามจือหลัน คิดไม่ถึงอีกฝ่ายยังคงจดจำได้...
“...ท่านทำได้อย่างที่พูดจริงๆ” เสียงพึมพำลอดออกมาจากริมฝีปากของพระมาตุลาแคว้นเหลียน ในนั้นผสมไว้ด้วยความหลากใจ เลื่อมใส ไม่อยากจะเชื่อนัก ฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนพูดเองว่าต้องการเปิดโอกาสให้ชาวเหลียนทำงานให้กับแคว้นเป่ยชางอย่างเท่าเทียม เพียงแต่ความยากของคำว่า ‘เท่าเทียม’ นี้ เหลียนอันสุ่ยเข้าใจกระจ่างยิ่งกว่าผู้ใด ใจไม่ได้คาดหวังมากนัก เพียงรับไว้ใช้งานก็พึงพอใจมากแล้ว แต่จากคำของฉีเซี่ยงหยวนบ่งบอกว่าจะเปิดโอกาสให้แม่ทัพแคว้นเหลียนได้สร้างผลงาน คิดไม่ถึงว่าคำพูดที่เป็นแค่ลมปากฉีเซี่ยงหยวนกลับมีใจเป็นกลางถึงขั้นทำได้อย่างที่พูดจริงๆ
การผสานรวมเป็นหนึ่งของแว่นแคว้นต้องการสิ่งนี้เอง...การยอมรับในกันและกัน
เหลียนอันสุ่ยคุกเข่าลงช้าๆ กล่าวว่า
“เหลียนอันสุ่ยขอเป็นตัวแทนชาวเหลียน ขอบพระทัยต้าอ๋อง น้ำพระทัยอันกว้างขวางนี้จะทำให้สองแคว้นรวมเป็นหนึ่งได้ในเร็ววัน” ขอเพียงฉีเซี่ยงหยวนมีจิตใจเช่นนี้ หลังจากนี้ไม่ว่าตัวเขาจะอยู่หรือไม่ก็คงจะไม่เป็นไรแล้ว
เมื่อเช้า ฉีเซี่ยงหยวนให้หม่าหลงรายงานต่อเหลียนอันสุ่ยว่า เหลียนอันสุ่ยพอใจจะอยู่ที่ไหนก็สามารถอยู่ที่นั่น หากลำบากใจเพราะข่าวลือก็ไม่จำเป็นต้องคอยไปรับใช้ที่ตำหนักเยี่ยอวิ๋นอีก ส่วนการตอบแทนคุณสามเดือน ฉีเซี่ยงหยวนแก้ไขให้แล้วด้วยบัญชาประโยคนี้
‘ตอนนี้อาการบาดเจ็บจากลูกธนูของข้าทุเลาลงมากแล้ว ไม่ต้องการการดูแลใกล้ชิดอีก จากการบาดเจ็บในครั้งนี้ทำให้อดมิได้ต้องคิดถึงเหล่าคนที่ป่วยไข้ในโรงหมอ วันคืนของพวกเขาคาดว่าคงหวังจะได้หายดีเช่นกัน บุญคุณช่วยชีวิตที่ยังชดใช้ได้ไม่หมดสิ้น ให้เหลียนอันสุ่ยตอบแทนด้วยการช่วยงานในโรงหมออย่างเต็มความสามารถ เพราะการช่วยชีวิตราษฎรของข้าก็เท่ากับได้ตอบแทนบุญคุณของข้าแล้วเช่นกัน’
ฉีเซี่ยงหยวนกลับเข้าใจความลำบากใจของเหลียนอันสุ่ยเป็นอย่างดี และมีวิธีตามใจอีกฝ่ายในแบบของเขา เหลียนอันสุ่ยไม่อาจไม่ยอมรับว่าฉีเซี่ยงหยวนมีวิธีการจัดการเรื่องราวจริงๆ ยิ่งอยู่ข้างกายต้าอ๋องผู้นี้นานวันเข้าก็ยิ่งไว้วางใจในความสามารถของเขา
หัวใจที่หนักอึ้งของเหลียนอันสุ่ยเบาสบายขึ้นอย่างประหลาด เหลียนอันสุ่ยเชื่อมั่นว่าตัวเองเลือกได้ถูกคนแล้ว แคว้นเหลียนได้ผู้ปกครองที่ดีที่สุดคนหนึ่ง แคว้นเป่ยชางเองก็ได้ต้าอ๋องที่ปรีชาสามารถที่สุดผู้หนึ่ง เขาจะไม่อยู่เป็นตัวถ่วงความก้าวหน้าของบุรุษผู้นี้ พญาอินทรีจะผายเรียวปีก ส่วนเขา...ขอชมดูความตระการตานั่นจากที่ไกลๆก็พอ
เพื่อฉีเซี่ยงหยวน เพื่อเหลียนจิ้งเต๋อ เพื่อตัวเขาเอง ...เขาต้องจากไป
ฉีเซี่ยงหยวนเห็นอีกฝ่ายคุกเข่าลงไปก็รีบรั้งตัวขึ้นมา คิ้วขมวดยุ่ง บอกแล้วว่าไม่ต้องคุกเข่า เหตุใดไม่เคยฟังเสียบ้าง
“ถ้าคิดจะขอบคุณข้าจริงๆ ข้าชอบคำขอบคุณแบบนี้มากกว่า” กล่าวจบก็ยื่นหน้าเข้ามา ชิงหอมแก้มอีกฝ่ายไปฟอดใหญ่
เรียวปากของเหลียนอันสุ่ยเผยอค้าง หัวใจที่หนักอึ้งซึ่งกำลังค่อยๆเบาสบายลงว่างเปล่าไปชั่วขณะ แก้มค่อยๆแดงระเรื่อขึ้นมา ก้าวถอยหลังไป คิดไม่ถึงกลับถูกมือใหญ่กระตุกทีหนึ่ง ร่างสูงโปร่งปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้าง
ฉีเซี่ยงหยวนจูบหนักๆลงบนเรียวปากของคนที่คิดจะบ่ายเบี่ยงปฏิเสธ
“ข้ากระทำความดีความชอบ ตอนนี้มารับรางวัล ท่านคิดบ่ายเบี่ยงคดโกงหรือ”
คำของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหลียนอันสุ่ยเบิกตาโต คดโกงหรือ...ใครกันแน่ที่คดโกง
มีเรียวผลักร่างของคนขี้โกงออกไป แต่คนขี้โกงผู้นี้มีเรี่ยวแรงมหาศาลยิ่ง ปากสามารถเบือนหลบแต่ไม่อาจหลบหนีจากจุมพิตที่เคลื่อนไหวลงมาตามเรียวคอ
“ฉีเซี่ยงหยวนข้ามีเรื่องต้องพูดกับท่าน” เหลียนอันสุ่ยละล่ำละลักออกมาอย่างร้อนใจ
“อืมม์” รับคำแต่มือใหญ่กลับไม่เรียบร้อยกว่าเดิม
“ต้าอ๋อง ท่านหยุดสิ”
“อืมม์ของข้าคือเอาไว้ก่อน” กว่าจะหลบสายตาของขุนนางพวกนั้นมาไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะมีเวลาว่างก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีก ช่วงนี้งานของฉีเซี่ยงหยวนมากมายอย่างยิ่งจริงๆ อะไรที่กองทิ้งไว้ในฤดูหนาวสุมทับลงมาทั้งหมด ทุกคืนได้แค่ปีนขึ้นเตียง เป่าตะเกียง แล้วก็หลับใหลไปเท่านั้น วันนี้ค่อยมีโอกาสได้รับประทานขนมหอมหวานที่วางอยู่ตรงหน้าทุกคืนแต่ไม่อาจแตะต้องชิ้นนี้
เหลียนอันสุ่ยเองก็ทราบว่าพักนี้อีกฝ่ายไม่ค่อยมีเวลาว่างมาทำตามใจตัวเอง ...ก่อนจะเข้าหน้ากันไม่ติด ขอให้ข้าได้อยู่ในอ้อมกอดของท่านอีกซักครั้งเถอะ คิดได้ดังนั้นเหลียนอันสุ่ยจึงไม่ได้ขัดขืนอีก
เมื่อไม่ได้ขัดขืนจึงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเขาคิดถึงสัมผัสของอีกฝ่ายมากมายแค่ไหน นานมากแล้วที่เรื่องระหว่างพวกเขาไม่ใช่เพียงแค่ความใคร่ มันเป็นความยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย ตั้งแต่คืนที่อีกฝ่ายบอกว่าอยากจะรับผิดชอบเขาไปชั่วชีวิตฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่เคยบีบบังคับเขาอีก
ผู้ชายคนนี้แม้ชอบทำตามอำเภอใจและติดนิสัยขี้โกง แต่กลับเป็นคนที่รู้จักควบคุมตัวเองคนหนึ่ง หากฉีเซี่ยงหยวนเพียงต้องการคนมาตอบสนองความต้องการของเขา ด้วยอิทธิพลอำนาจที่เพียงพอจะเรียกลมเรียกฝนเรียกอีกกี่คนมาปรนนิบัติรับใช้ก็ย่อมได้ ด้วยศักดิ์ฐานะที่อยู่เหนือคนทั้งแผ่นดินผู้ใดสามารถบังคับให้ฉีเซี่ยงหยวนเหน็ดเหนื่อยทำงานจนไม่มีเวลาว่าง บุรุษที่เปลือกนอกปล่อยตัวตามสบายผู้นี้แท้จริงวางเรื่องบ้านเมืองอยู่เหนือตัวเองเสมอ และเพราะฉีเซี่ยงหยวนรักเขา จึงต้องการเขา ดวงตาที่เข้มจัดด้วยแรงปรารถนาคู่นั้นมีเงาร่างของเขาเสมอ
ความสัมพันธ์บนเตียงช่างเป็นเรื่องที่แปลกเหลือเกิน มันสามารถเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุด ต่ำช้าที่สุด เมื่อเกิดจากการบีบคั้นบังคับ และก็สามารถเป็นเรื่องที่สวยงามที่สุดได้เช่นกัน มันสามารถไม่ใช่อะไรเลยเมื่อทั้งหมดมีแค่ความใคร่ และสามารถเป็นมากกว่านั้นหลายสิบเท่าเมื่อมันเป็นสื่อแทนของความรัก
ข้ารักท่าน ฉีเซี่ยงหยวน ถ้าจะถามใจจริงของข้า ข้าอยากจะเป็นของท่านตลอดไป
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าเบ้าตาตัวเองร้อนผ่าวอย่างไม่มีเหตุผล เขายังคงไม่ได้ร้องไห้ แค่ยกมือโอบกอดคนที่เขารักเอาไว้ โอบเอาไว้ให้แน่น...ก่อนจะต้องปล่อยมือตลอดกาล
เหลียนอันสุ่ยทราบว่าอารมณ์ของฉีเซี่ยงหยวนจะผ่อนคลายที่สุดหลังการร่วมรัก และเป็นช่วงที่รับปากเรื่องราวต่างๆได้ง่ายดายที่สุดด้วย พระมาตุลาแคว้นเหลียนไม่เคยคิดจะใช้วิธีนี้มาก่อน แต่สำหรับเรื่องในครั้งนี้ เขาจำเป็นต้องให้ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจและรับปากว่าจะปล่อยเขาไป
เซี่ยงหยวน ถ้าข้าไม่อาจให้อะไรท่านได้นอกจากความเจ็บปวด อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่ข้าสามารถให้ท่านได้ ก็คือตัวข้าในตอนนี้ ให้ข้าเป็นความสุขของท่านอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เรื่องระหว่างเราจะหลงเหลือแค่ความเจ็บปวดได้หรือไม่
จับจ้องมองใบหน้าคมคายอย่างลึกซึ้ง จากนั้นร่างสูงโปร่งจึงสะท้านเบาๆเมื่อพบว่าถูกดันจนติดโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่กลางห้อง รีบร้อนยื่นมือออกไปยันร่างอีกฝ่ายไว้
“ต้าอ๋อง นี่มันห้องหนังสือ ต้องไปห้องนอน...”
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้ว
“มีตำราไหนบอกท่านหรือว่าเรื่องเช่นนี้ต้องทำบนเตียงเท่านั้น ? ”
เหลียนอันสุ่ยเถียงไม่ออก หน้าแดงก่ำ
ฉีเซี่ยงหยวนโน้มตัวลงมา เหลียนอันสุ่ยรีบขยับร่างหนีพยายามรักษาระยะห่างเอาไว้ คิ้วของฉีเซี่ยงหยวนจึงเลิกสูงกว่าเดิม กล่าวถาม
“ท่านกลัวคนอื่นเห็นหรือ แต่นี่ยังไม่เที่ยงด้วยซ้ำเหลียนจิ้งเต๋อยังไม่กลับมาหรอก” กว่าเหลียนจิ้งเต๋อจะเลิกเรียนก็เกือบเย็น เจ้าตัวยิ่งชอบเถลไถลอยู่นอกตำหนัก บางครั้งกลับมาก็คือกินข้าวเย็นเลย
“...ที่นี่ไม่ได้มีแต่เหลียนจิ้งเต๋อ ยังมีอิ๋งฮวา นางเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน จะให้นางมาเห็นภาพเช่นนี้ไม่ได้” ถึงแม้ชื่อของเหลียนจิ้งเต๋อจะทำให้เหลียนอันสุ่ยชะงักไปวูบหนึ่ง แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้ว และเรื่องทั้งหมดกำลังจะจบลงแล้ว เหลียนอันสุ่ยก็ไม่ได้คำนึงมากความ เพราะทราบว่าคนที่เขาต้องชดเชยให้แท้จริงคือฉีเซี่ยงหยวน...บุรุษที่เคยกระทำเรื่องราวมากมายสุดคณาเพื่อเขา
เห็นท่าทีเดือดร้อนของเหลียนอันสุ่ย และเมื่อครุ่นคิดถึงคำว่าอิ๋งฮวา ฉีเซี่ยงหยวนก็กล่าวออกมาหนึ่งคำ
“อ้อ” ผู้หญิงดุร้ายคนนั้นแต่งไม่ออกไม่น่าแปลกใจแม้แต่น้อย หรี่ตาลง โน้มตัวลงไปข้างหน้ามากกว่าเดิมอย่างชั่วร้าย นางเห็นก็ดีไม่เห็นก็ช่าง ฉีเซี่ยงหยวนเองก็อยากจะเห็นอยู่เหมือนกันว่าใบหน้าเอาจริงเอาจังที่ชอบตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับเขาพอแดงขึ้นมาแล้วจะมีสภาพเป็นเช่นไร
เหลียนอันสุ่ยเห็นอีกฝ่ายประชิดเข้ามาก็รีบผละห่างออกไปอีก ยังคงไม่ทราบว่าตัวเองได้ไปชี้ช่องทางแก้แค้นให้กับใครบางคนเข้าแล้ว เพราะเอนหนีครั้งแล้วครั้งเล่า แผ่นหลังของเหลียนอันสุ่ยจึงไม่ได้ตั้งฉากกับพื้นโต๊ะอย่างที่ตัวเองเข้าใจ พอฉีเซี่ยงหยวนวางมือทาบลงบนโต๊ะจึงได้ทราบว่าตัวเองแทบจะเกยซ้อนอยู่บนโต๊ะทั้งตัว นิ้วเรียวยาวรีบยึดขอบโต๊ะไว้อย่างตื่นตระหนก
ปมของสายรัดเอวยังคลายออกไม่หมด ชุดที่เคยรัดกุมแลดูหลวมกว้างไม่เรียบร้อย ลมหายใจกับกลิ่นกายหอมอ่อนๆสร้างเป็นบรรยากาศอันพิเศษเฉพาะที่เย้ายวนใจสุดบรรยาย
ฉีเซี่ยงหยวนใช้ริมฝีปากของตัวเองควานหาริมฝีปากของอีกฝ่าย มือใหญ่สอดเข้าไปตามเรียวขา ร่างโน้มไปข้างหน้าเบียดให้แผ่นหลังสูงโปร่งแนบติดกับพื้นโต๊ะ อาภรณ์สีดำบนร่างของฉีเซี่ยงหยวนแนบทับลงบนอาภรณ์สีขาวบนร่างของเหลียนอันสุ่ย ราวรัตติกาลดำมืดกำลังหลอมลงไปในสายธารสีเงินอันใสเย็น
สัมผัสของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหลียนอันสุ่ยครวญครางออกมาเบาๆ
สติของคนทั้งคู่ผละลอยไปไกล ผละไปไกลทั้งๆที่ไม่ควรเลย