พิมพ์หน้านี้ - <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: wind of autumn ที่ 05-07-2014 11:31:15

หัวข้อ: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 05-07-2014 11:31:15
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 05-07-2014 11:50:43
<<พันธนาการแห่งสายนำ้>>


อำนาจ  เมื่อมีถึงระดับหนึ่งสามารถใช้เป็นโซ่ตรวน 
ฉีเซี่ยงหยวนสามารถพันธนาการสายน้ำ  แต่สุดท้ายกลับไม่มีปัญญาตอบคำถาม
...
เขาพันธนาการผู้อื่นหรือพันธนาการตัวเอง ?

หลังองค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนกำชัยเหนือแคว้นเหลียน  ความยิ่งใหญ่ของแคว้นเป่ยชางก็ไร้ผู้ต้านติด 
เพียงแต่ความยิ่งใหญ่และความสำเร็จของคนผู้หนึ่งบางครั้งก็ตั้งอยู่บนความพ่ายแพ้สูญเสียของผู้อื่น 
สงครามกลับลิขิตการพบพรากของคน 
หลายคนพรากจาก  คนคู่หนึ่งกลับได้พบพาน  ก่อเป็นสายสัมพันธ์ที่แท้จริงไม่สมควรเกิดขึ้น...

เหลียนอันสุ่ย  บุรุษผู้นี้คือบุคคลที่อวี้เฉียนลุ่มหลงจนยอมมอบทุกสิ่ง 
คือสาเหตุที่อ๋องอายุเยาว์สามารถรักษาบัลลังก์ทั้งๆที่อำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ในมืออวี้เฉียนนานแล้ว 
เมื่อมองเขาฉีเซี่ยงหยวนสัมผัสได้ถึงความสงบอันอ่อนโยน 
พริบตานั้นจึงพลันเข้าใจความลุ่มหลงของอวี้เฉียน 
และฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่อวี้เฉียน ของที่อยากได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้มา!
เพียงแต่ฉีเซี่ยงหยวนลิขิตชะตาตัวเองมาชั่วชีวิต  แต่กลับไม่ทราบว่าหัวใจตนมิใช่สิ่งที่ลิขิตได้     
ยิ่งไม่ทราบว่าพันธนาการที่เขาจองจำผู้อื่น  สุดท้ายกลับพันธนาการตัวเขาเองจนดิ้นไม่หลุด

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 05-07-2014 12:11:03
บทที่ 1 จุดเริ่มต้นของความผิดบาป

บรรยากาศหมองเศร้าปกคลุมทั่วแคว้นเหลียน ทหารพ่ายศึกเดินก้มหน้าอย่างอัปยศอดสู สงครามคือจุดเริ่มต้นของการสูญเสียทุกสิ่ง ทรัพย์สมบัติ ญาติมิตร หรือแม้กระทั่งชีวิตของตน  ความพ่ายแพ้ยิ่งทบทวีซ้ำเติมจนจิตใจแทบแหลกสลาย
   แคว้นเหลียนแพ้แล้ว  ความพ่ายแพ้นี้แม้แต่ชาวเหลียนเองยังไม่เคยนึกฝันมาก่อน  ช่างรวดเร็วเกินไป  ช่างหมดจดเด็ดขาดเกินไป
   เดิมแคว้นเหลียนไม่ใช่แคว้นเล็กแคว้นน้อยที่ไม่อาจดูแลตัวเอง  แคว้นเหลียนเคยรุ่งเรืองอย่างมากในอดีต หากเมื่อกาลเวลาหมุนผ่านไม่ว่าความรุ่งเรืองอันใดก็ยากจะไม่เสื่อมทรามลง ปัจจุบันอ๋องผู้ครองแคว้นมีอายุเพียง 12 ปี  อำนาจทั้งหมดตกอยู่ในกำมือของขุนพลใหญ่อวี้เฉียน  ชาวเหลียนทุกคนต่างทราบ  ผู้ปกครองแคว้นแท้จริงคือใคร  ชาวบ้านส่วนใหญ่แม้ไม่ชมชอบอวี้เฉียนตลอดมา  แต่ยามศึกสงครามก็จำต้องพึ่งพาเขา  อวี้เฉียนแม้มิใช่ขุนนางที่ดี  แต่เป็นขุนพลชาญศึก  ความจริงต่อให้ผู้ยกทัพมาคราวนี้จะเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่อย่างเป่ยชาง  พวกเขาก็ไม่คิดว่าจะพ่ายแพ้รวดเร็วถึงเพียงนี้  ข่าวนี้กะทันหันไปแล้ว แม้แต่คนบอกข่าวเองยังไม่อยากจะเชื่อ
   สงครามที่ดูเหมือนจะเยิ่นเย้อยาวนาน  บางครั้งบทสรุปกลับตัดสินในพริบตา  ความผิดพลาดบางประการเป็นเหตุแห่งการล่มสลายทั้งกองทัพ

---------------------

   ฉีเซี่ยงหยวนรอคอยเวลานี้มานานปี  ตั้งแต่แคว้นใหญ่ทางตะวันตกของแคว้นเป่ยชางเริ่มทะเลาะกันเองการรอคอยอันเยือกเย็นก็เริ่มขึ้น  ค่อยๆคำนวณความเสียหายของพวกนั้นช้าๆ  ค่อยๆเดินหมากอย่างระมัดระวัง รัดกุม รอบคอบ  เมื่อพวกเขาสูญเสียถึงระดับที่ไม่มีปัญญาลอบประทุษร้ายแคว้นเป่ยชาง  ฉีเซี่ยงหยวนก็นำทัพบุกแคว้นเหลียน 
   ความจริงนี่เป็นหมากที่อันตราย  ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจรับประกันว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะยึดได้  ยิ่งทอดเวลานานออกไป  ความมั่นคงของแคว้นเป่ยชางก็ยิ่งล่อแหลม  การเอาชัยแคว้นเหลียนไม่ใช่เรื่องง่าย  ดีที่ว่าในที่สุดอวี้เฉียนก็ก้าวพลาดหลงกล  และคู่มือเช่นฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายแก้ตัวเสมอมา  ทุกแผนการของเขาล้วนหวังผลอันเด็ดขาดแยบยล  ตอนนี้แคว้นเหลียนนับว่าถูกผนวกเข้ากับแคว้นเป่ยชางโดยสมบูรณ์
   ฉีเซี่ยงหยวนเป็นโอรสองค์ที่สี่ของเป่ยชางอ๋อง  เป็นบุคคลที่โดดเด่นแต่เยาว์วัย  แม้แต่บรรดาเชษฐาก็ยากจะกลบประกายได้  อำนาจในแคว้นของเขาแทบเทียบเท่าพระบิดา  นี่มิใช่เพราะพรสวรรค์แต่เป็นความรอบคอบอย่างชาญฉลาด  ทุกการกระทำของเขารวบรัดได้ผล  นี่คือวิธีทำศึกของเขา  และนี่คือสาเหตุแห่งชัยชนะของเขา  ฉีเซี่ยงหยวนแม้ไม่ใช่บุตรคนโปรดของพระบิดา  แต่ก็ไม่ใช่บุคคลที่พระบิดาสามารถมองข้ามได้เช่นกัน
   ผู้คนอาจบอกว่าขุนพลอันดับหนึ่งของแคว้นเป่ยชางคือ หยงเซี่ย  หากผู้ที่หนานเหมินอ๋องแห่งแคว้นข้างเคียงหมายหัวเป็นตัวอันตรายอันดับหนึ่งมิใช่หยงเซี่ย  แต่เป็นโอรสองค์ที่สี่ของเป่ยชางอ๋องผู้นี้เอง
   ขณะนี้ฉีเซี่ยงหยวนกำลังก้าวย่างอยู่บนทางเดินในราชสำนักของแคว้นเหลียน  ศิลปวัฒนธรรมของชาวเหลียนเป็นที่เลื่องลือ  สตรียิ่งงามสะคราญ  เฉินเสียขุนนางใหญ่แคว้นเหลียนตามประจบสอพลออยู่ไม่ห่าง  ด้านนอกทหารกำลังลำเลียงศพของผู้ที่ตายไปขณะบุกรุกวังหลวง  ซากศพที่ถูกแขวนประจานเพื่อยืนยันชัยชนะอันเด็ดขาดคืออวี้เฉียนขุนพลผู้พ่ายศึก 
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามีเกี้ยวคันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าซากศพนั้นอย่างเงียบเชียบเกี้ยวคันนี้มีผู้ติดตามไม่มาก  แต่ตัวเกี้ยวสร้างจากไม้ชั้นเยี่ยม หรูหราวิจิตร  บุคคลที่สามารถนั่งเกี้ยวไปมาในราชสำนักย่อมต้องมีศักดิ์ฐานะไม่ต่ำทราม
ขณะนี้คนในเกี้ยวเดินลงมาแล้ว  ฝีเท้าเนิบช้าก้าวเข้าหาอวี้เฉียน  ใบหน้าเงยขึ้นจับจ้องสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองเพียงชั่วครู่ก็เบือนหน้าหนีอยู่เนิ่นนาน  คล้ายกับมีเสียงทอดถอนใจแผ่วเบา
   ฉีเซี่ยงหยวนมองเงาหลังสูงโปร่งของอีกฝ่าย  อาภรณ์สูงค่าดูเหมาะเจาะพอดีเมื่อสวมอยู่บนร่างเขา  ในใจของฉีเซี่ยงหยวนพลันคาดเดาถึงบุคคลผู้หนึ่ง ปากเอ่ยถามว่า
   “ นั่นใคร ?”
เฉินเสียรีบมองตามสายตาของอีกฝ่าย  จากนั้นดวงตาก็กระจ่างขึ้นมา  ตอบคำว่า
   “นั่นคือพระมาตุลาเหลียนอันสุ่ย  คงมีแค่เขาคนเดียวที่เสียใจกับการตายของอวี้เฉียน”  เมื่อเห็นฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้วจึงรีบขยายความว่า
   “เพราะอวี้เฉียนเชื่อฟังเขามากอย่างไรเล่า  ท่านน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ..เอ่อ...เรื่อง...”
   “เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอวี้เฉียนหรือ”  ฉีเซี่ยงหยวนนับว่าเคยได้ยินข่าว ‘แปลกๆ’ เกี่ยวกับรสนิยมของอวี้เฉียนมาบ้างเหมือนกัน
   “ใช่แล้ว  อวี้เฉียนล่วงเกินคนไว้ไม่น้อย  วางอำนาจบาตรใหญ่ไว้ก็มากอยู่  แต่หลงใหลเชื่อฟังเขาคนเดียว”
   “...เขาเป็นบุรุษมิใช่หรือ  ด้วยฐานะของอวี้เฉียน สตรีงดงามมีมากมายให้เลือกเฟ้น  เหตุใดต้องหลงใหลเชื่อฟังเขาด้วย” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนมีแววไม่เชื่อถือนัก
   “ท่านไม่เข้าใจ  ของที่อยากได้แต่ไม่ได้มาย่อมต้องมีคุณค่าเป็นพิเศษ”
   “อยากได้แต่ไม่ได้มา? ” กล่าวพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
   “ต่อให้อวี้เฉียนมีอำนาจมากแค่ไหน  แต่พระมาตุลาศักดิ์ฐานะสูงส่ง  มิใช่คนที่เขาจะเอื้อมถึงเด็ดขาด”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่เห็นด้วย
   “เขาใยไม่ล้มบัลลังก์ตั้งตนเป็นเหลียนอ๋อง”
   “ได้ยินว่าที่อวี้เฉียนไม่ล้มบัลลังก์เป็นเพราะพระมาตุลาออกปากขอร้องเขาด้วยตนเอง  อวี้เฉียนก็เชื่อฟังวาจาอย่างยิ่ง  คาดว่าถูกเกลี้ยกล่อมจนเลอะเลือนไปแล้ว”
   จากการได้รู้จักอวี้เฉียนมาพักใหญ่  ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดว่าอวี้เฉียนเป็นคนที่ยอมให้ความลุ่มหลงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจถึงเพียงนี้  สาเหตุหลักควรจะเป็นเพราะไม่ว่าจะเป็นต้าอ๋องหรือไม่ อำนาจของอวี้เฉียนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าใด  เพียงแต่บุคคลที่ทำให้อวี้เฉียนยอมเห็นแก่หน้าย่อมต้องมีคุณค่าความหมายอยู่
   เฉินเสียเห็นแววตาของฉีเซี่ยงหยวนเป็นประกายวาว มีท่าทีสนใจเรื่องราวถึงเพียงนี้ จึงรีบประจบเอาใจว่า
   “หากท่านต้องการพบหน้าพระมาตุลาผู้นี้  ข้าน้อยสามารถจัดการให้แก่ท่าน  เพียงแต่ไม่ทราบว่า...ท่าน...” ถึงพระมาตุลาจะมีศักดิ์สูง  แต่ตอนนี้ก็ไม่สูงไปกว่าว่าที่ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางไปได้  การประจบฉีเซี่ยงหยวนไว้ย่อมมีประโยชน์ในวันหน้า
   เมื่อฉีเซี่ยงหยวนเห็นนัยน์ตาที่แฝงเลศนัยของอีกฝ่ายก็หรี่ตาลงเล็กน้อย  แต่ก็ไม่ได้กล่าวปฏิเสธ

---------------------

“พระมาตุลามาถึงแล้วขอรับ” ทหารอารักขารายงานเข้ามา  ในที่สุดเฉินเสียก็ไปเชื้อเชิญมาด้วยตัวเองเป็นผลสำเร็จ  ซ้ำยังเลือกเวลาที่เหมาะอย่างยิ่งหลังมื้อเย็นหนึ่งชั่วยามพอดี ร่างสูงใหญ่ที่นอนเอกเขนกอ่านรายงานอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวจึงลุกขึ้นมานั่ง  สายตาคมวาวกวาดไปที่บานประตูซึ่งเปิดกว้าง  ทิ้งรายงานในมือลงบนโต๊ะ  ฟังแค่เสียงฝีเท้าแผ่วเบามั่นคงก็พอจะคาดเดาได้ถึงลักษณะนิสัยสุขุมรอบคอบ
   พระมาตุลาแคว้นเหลียนเป็นบุรุษรูปร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้าหล่อเหลาหมดจด  บุคลิกสงบเมตตาผู้หนึ่ง  คิ้วเรียวงามให้อารมณ์อันอ่อนโยน  ดวงตาที่มองสบกับฉีเซี่ยงหยวนโดยไม่หลบเลี่ยงกระจ่างชัดเหมือนผิวน้ำในฤดูใบไม้ร่วง  อาภรณ์หรูหราบนร่างขับเน้นความสูงศักดิ์เหนือธรรมดา  ทำให้ก่อนหน้านี้บรรดาเชื้อพระวงศ์ที่สวมชุดชาวเหลียนแปรเปลี่ยนเป็นขัดตาไม่คู่ควรยิ่ง 
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้วสูง  รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง  คนผู้นี้แม้มิใช่ชายชราสูงวัย  แต่บุคลิกของเขาก็สามารถเป็นพระมาตุลาแห่งแว่นแคว้นหนึ่งได้จริงๆ  คิดพลางผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญให้นั่งลง
   “ข้าอยากพบท่านมานานแล้ว” ฉีเซี่ยงหยวนเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
   “พบข้า ? ” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยเนิบช้าน่าฟัง ทวนคำขณะปฏิเสธน้ำชาที่หญิงรับใช้จะรินให้  ฉีเซี่ยงหยวนจึงทำมือเป็นความหมายให้หญิงรับใช้ล่าถอยออกไป แล้วหันมากล่าวว่า
   “รู้หรือไม่ว่าท่านเป็นคนดัง”
 “มีใครไม่ทราบชื่อเสียงของท่านอ๋องน้อย  ท่านต่างหากที่มีชื่อเสียงโด่งดัง” ตอบพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย  ยังคงคาดเดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายไม่ออก
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ  ความกดดันดูจะผ่อนคลายลงบางส่วน  ใช่แล้ว ความกดดัน  ตั้งแต่เหลียนอันสุ่ยก้าวเข้ามาในห้องก็รู้สึกถึงสิ่งนี้ทันที  บุตรคนที่ 4 ของเป่ยชางอ๋องแทบจะเปลี่ยนกลิ่นอายดั้งเดิมของตำหนักรับรองแห่งนี้ไปจนหมดสิ้น  ฉีเซี่ยงหยวนอาจไม่ได้ตั้งใจ  แต่คนบางคนเพราะครอบครองอำนาจจนเคยชินความกดดันไร้สภาพชนิดจึงหนึ่งวนเวียนอยู่รอบกาย  ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนอาจกวาดมองอย่างสุภาพ  แต่เหลียนอันสุ่ยมีความรู้สึกว่าต่อให้รายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุดก็ไม่อาจหลุดรอดไปจากสายตาคมกริบคู่นั้น
ฉีเซี่ยงหยวนยืดตัวขึ้นเล็กน้อย  รูปร่างของเขาองอาจสง่างาม  แต่ก็แฝงลักษณะอันตรายที่ยากตอแย  คาดว่าในหมู่โอรสของเป่ยชางอ๋องไม่มีผู้ใดสามารถเปรียบเทียบได้
“พระมาตุลาคงชิงชังข้า”
“เหตุใดข้าต้องชิงชังท่าน”
“เพราะข้าฆ่าชาวเหลียนไปมากมาย” น้ำเสียงของคนพูดสงบราบเรียบ  ราวกับคำว่า ‘ฆ่า’ เป็นคำสามัญธรรมดาคำหนึ่ง
“พวกเราก็ฆ่าชาวเป่ยชางไปไม่น้อย” คนฟังก็กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ต่างกัน
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งเงียบไปอึดใจ  พินิจพิจารณาพระมาตุลาผู้นี้กว่าเดิม
“ท่านไม่โกรธแค้น ? ” คนที่โกรธแค้นเขามีไม่น้อย  แค่บรรดาทหารชาวเหลียนฉีเซี่ยงหยวนก็เห็นจนเจนตา
เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจ  พลางกล่าว
“สงครามย่อมต้องมีแพ้ชนะเป็นธรรมดา  เหตุใดข้าต้องโกรธแค้นท่าน”
“บางทีท่านอาจยังไม่ทราบ  ชัยชนะครั้งนี้ได้มาเพราะกลอุบาย”
“กลอุบายแล้วอย่างไร  หากไม่ใช้กลอุบาย  น่ากลัวชีวิตที่สูญสิ้นไปต้องมีมากมายกว่านี้” รอยยิ้มฝืนๆแตะลงบนเรียวปาก  รอยยิ้มของเหลียนอันสุ่ยอ่อนโยนแต่ก็แฝงความหม่นหมอง  คล้ายแสงจันทร์อันโดดเดี่ยวทอดลงบนผิวน้ำที่ไหลไปไม่หวนกลับ
ฉีเซี่ยงหยวนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาไม่เคยเจอคนที่สามารถมองเรื่องราวของตัวเองอย่างเป็นกลางถึงเพียงนี้  ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ทั้งๆที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้สูญเสีย
ควรทราบว่าต่อให้เป็นคนที่ชาญฉลาด  หากเรื่องราวมีส่วนพัวพันกับตัวเองก็ยากจะมองด้วยสายตาที่แจ่มใส  ก่อนหน้านี้ฉีเซี่ยงหยวนเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระมาตุลาผู้นี้มาไม่น้อย  สายในแคว้นเหลียนที่ส่งเข้ามาแทรกซึมนานปีก็มักจะกล่าวถึงคนผู้นี้อยู่เนืองๆ  ตัวตนของเหลียนอันสุ่ยในความคิดของฉีเซี่ยงหยวนนับว่าผิดจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยสิ้นเชิง 
ไม่ว่าคนผู้นี้จะใช้วิธีการอันใด  แต่ก็จัดว่าผูกมัดอวี้เฉียนไว้ได้อย่างชาญฉลาด  สิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนมองเห็นตอนนั้นเป็นแค่แผนการอันยอดเยี่ยมแผนหนึ่ง  ตอนนี้องค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางจึงเข้าใจ  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ล่อลวงให้อวี้เฉียนลุ่มหลงในตัวเขา  แต่เป็นอวี้เฉียนที่ไม่อาจละสายตาไปจากเขาเอง
พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนแม้เป็นคนรูปงามอย่างอ่อนโยนผู้หนึ่ง  แต่ในชั่วชีวิตของฉีเซี่ยงหยวนมิใช่ไม่เคยเจอคนรูปงามกว่าเขา  มีสตรีที่สวยงามจนแทบไร้ที่ติ  มีบุรุษที่เค้าหน้าหวานล้ำ เพียงแต่คนผู้นี้มีสิ่งหนึ่งที่ผู้อื่นไม่อาจเปรียบเทียบได้
หิมะที่โปรยปราย  หยาดฝนจากฟากฟ้า แม้บริสุทธิ์งดงามจนยากเสมอเหมือน  แต่ความงามของคนผู้นี้คล้ายสามารถชำระล้างความสกปรกในจิตใจคน  เพราะรูปลักษณ์ของเขาคือความจริงแท้
หิมะ หยาดฝน บริสุทธิ์เพราะมันยังไม่เคยแปดเปื้อนดิน  แต่ในสภาวะอันเลวร้ายเช่นนี้  เหลียนอันสุ่ยกลับสามารถทอดสายตามองเขาอย่างสงบ
ตอนอวี้เฉียนยึดอำนาจ  รวบการปกครองมาไว้ในกำมือ  เหตุการณ์ต้องปั่นป่วนกว่านี้ร้อยเท่า  หากพระมาตุลาผู้นี้ยังสามารถมองอวี้เฉียนด้วยสายตาที่ปราศจากความเกลียดชัง  สถานะของเหลียนอันสุ่ยในสายตาอวี้เฉียนย่อมต้องเปลี่ยนเป็นไม่ธรรมดา
ความจริงแค่การเกิดมามีฐานะสูงศักดิ์ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตสงบราบรื่น  ผู้คนที่อยู่กับอำนาจนานเท่าใด ยิ่งถูกมันทำร้ายลึกซึ้งเท่านั้น  อย่าว่าแต่คนที่อยู่กับมันมาตั้งแต่กำเนิด  ข้อนี้ฉีเซี่ยงหยวนทราบดี  ไม่มีทางที่จะไม่เคยเจ็บปวดขมขื่น  และมีแต่คนที่เคยรับทราบมาจึงสามารถมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยสายตาสงบถึงเพียงนี้
“อย่างน้อยท่านก็น่าจะไม่พอใจที่ข้าฆ่าอวี้เฉียน” ฉีเซี่ยงหยวนหยั่งเชิงโดยจงใจกล่าวถึงอวี้เฉียน
“นั่นไม่ใช่ความผิดของท่าน  ทางสายนี้พวกท่านต่างเป็นคนเลือกเอง  ยินดีใช้ชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน” ดวงตาขณะได้ยินนามอวี้เฉียนปรากฎแววเวทนาอย่างเจือจาง
“เขาชอบท่าน”
คนฟังนิ่งไปครู่ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธ  แสดงถึงการทราบดีอยู่แล้ว ทั้งไม่แปลกใจและไม่อัปยศอดสู  เพียงยอมรับอย่างเงียบงัน
 การสนทนาเปลี่ยนไปเป็นเรื่องขอความร่วมมืออื่นๆ  ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีท่าทีระแวดระวังเขาอยู่บ้าง  ถึงอย่างนั้นก็ยังพูดคุยอย่างใจเย็นและมีมารยาทอย่างยิ่ง
วิกาลคล้อยดึกขึ้นทุกขณะ
“หากท่านต้องการแค่จะพบหน้าข้า  ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว  ข้าลาดีกว่า”เหลียนอันสุ่ยกล่าวขึ้นเบาๆ  เมื่อจะลุกขึ้นความรู้สึกอันผิดปรกติก็มาเยือน   คล้ายกับฉับพลันนั้นร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา  ขณะทรุดฮวบลงรู้สึกถึงท่อนแขนแข็งแรงสอดเข้ามารับพยุงไว้  เหลียนอันสุ่ยตั้งสติ  พบว่าแขนนั้นเป็นของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชาง  จึงดึงตัวออกมาจากมืออีกฝ่ายอย่างสุภาพ  แต่ฉีเซี่ยงหยวนไม่เพียงไม่ปล่อยมือยังรั้งร่างของเขาเข้าไปใกล้กว่าเดิม
เหลียนอันสุ่ยพิจารณาอาการตัวเองแล้วขมวดคิ้ว  นี่มันผิดปรกติ  คล้ายกับเขากินยาบางอย่างเข้าไป
มียาชนิดหนึ่งเอาไว้ใช้กับสตรีที่ไม่ยินยอมโดยเฉพาะ  เป็นตัวยาต่ำช้าไร้สีไร้กลิ่นที่ต้าอ๋องรุ่นก่อนๆมักแอบให้คนสนิทจัดหาให้  เชื้อพระวงศ์บางคนก็มีซุกเก็บไว้  อาการของมัน...
“ท่านสมควรพักสักครู่” พูดพลางจะพยุงอีกฝ่ายเข้าไปด้านใน
“ท่านอ๋องน้อยเหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้” น้ำเสียงอันน่าฟังของเหลียนอันสุ่ยแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา  ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้ว  นี่เขา...รู้ ?
“คนที่ทำไม่ใช่ข้า”
ก็จริงตั้งแต่ก้าวเข้ามาเขาก็ระมัดระวังยิ่ง  เหลียนอันสุ่ยพลันคิดไปถึงน้ำชาที่เฉินเสียรินให้ก่อนหน้านี้...
“ชานั่น...” กล่าวถึงกลางประโยคก็ไม่อาจกล่าวต่อ  แววตาปรากฏแววเศร้าเสียใจ และไม่อยากจะเชื่อว่าเฉินเสียจะเหลวไหลไม่ทราบถูกผิดถึงเพียงนี้  นี่ไม่ใช่เรื่องของตัวบุคคล แต่เป็นความอัปยศของแว่นแคว้น
ตอนนี้ร่างกายของเหลียนอันสุ่ยอยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่ายทั้งร่าง  ไม่มีปัญญาทรงกายอีกต่อไป
“ท่านอ๋องน้อย  ท่านแค่พยุงข้านั่งก็พอ” 
ได้ยินทุ้มกล่าวเนิบๆว่า
“ท่านคงไม่ถึงกับไม่ทราบกระมังว่าเฉินเสียทำเช่นนี้เพื่ออะไร”
“ท่านคงไม่...!  ท่านเป็นถึง...ไม่สมควร..”น้ำเสียงที่เจือแววตื่นตระหนกลอดออกมาจากปากของเหลียนอันสุ่ยขณะถูกบังคับอุ้มเข้าไปด้านใน
“ข้าทราบว่าท่านพยายามจะย้ำเตือนศักดิ์ฐานะข้า  แต่ท่านวางใจ ความประพฤติของข้าไม่ใช่สิ่งที่พระบิดาสามารถควบคุมได้นานแล้ว” กล่าวพลางวางอีกฝ่ายลงบนเตียง
เมื่อโอบอีกฝ่ายอยู่ในอ้อมแขน ฉีเซี่ยงหยวนจึงพบว่าพระมาตุลาผู้นี้เพรียวบางกว่าที่เขาคิดเอาไว้
“ฉีเซี่ยงหยวน  ท่านคงมิได้มีรสนิยมผิดๆเช่นนี้กระมัง”
มือใหญ่เอื้อมมาจับปลายคางมน ถามยิ้มๆว่า
“อะไรคือรสนิยมผิดๆ  ถูกผิดทั่วหล้าถือคำของใครเป็นผู้ตัดสินหรือ ?”
บนขมับของเหลียนอันสุ่ยมีเหงื่อซึม  สวรรค์  คนผู้นี้คงมิใช่...คิด...คิด...
“ท่านไม่ทราบ ที่อวี้เฉียนไม่กล้าแตะต้องข้าเพราะข้าแต่งงานมีลูกแล้ว” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ย ร้อนรน
“อ้อ” เสียงรับคำอย่างไม่ใส่ใจ  ไม่ว่าจะใช้ข้ออ้างอะไรฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจแน่นอน
เหลียนอันสุ่ยพบว่านิ้วมืออันมั่นคงแข็งแรงยังคงปลดอาภรณ์ชั้นนอกของเขาออกอย่างใจเย็น  สีหน้าสงบนิ่งเริ่มซีดขาว ยึดมืออีกฝ่ายไว้เพื่อไม่ให้เคลื่อนไหวไปมากกว่านี้  ปากถามว่า
“สตรีที่สวยงามมีมากมาย  เหตุใดท่าน...” พูดยังไม่ทันจบ  ฉีเซี่ยงหยวนก็ถามสวนว่า
“ท่านอยากให้ข้าหาสตรีชาวเหลียน ? ”
“บุรุษเช่นท่านย่อมมีสตรีมากมาย ‘ยินยอมพร้อมใจ’ เป็นของท่านอยู่แล้ว” เหลียนอันสุ่ยเน้นคำว่ายินยอมพร้อมใจเป็นพิเศษ   
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะในลำคอพลางดึงมือออกจากการยึดกุม
“เวลาเช่นนี้ท่านยังคิดอ่านเพื่อพวกนาง...วางใจเถอะถ้าท่านทำให้ข้าพอใจ  ข้าย่อมไม่จำเป็นต้องเสาะหาคนอื่นอีก”  พูดจบก็เบียดริมฝีปากเข้ากับเรียวปากบาง
คำพูดที่จะหลุดออกจากปากถูกบังคับให้กลืนลงท้องไป  ปลายนิ้วอีกฝ่ายยังคงไล้อยู่ตามสาบเสื้อของเขา  แต่เหลียนอันสุ่ยไม่มีปัญญาไปผลักไส  ความรู้สึกอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงแล่นพล่าน  รู้สึกถึงโครงร่างแข็งแกร่งทาบทับลงมา  แค่โครงร่างฉีเซี่ยงหยวนก็ใหญ่โตกว่าเขาอยู่ช่วงใหญ่ ต่อให้มีพละกำลังในยามปรกติเขาก็ยากจะรอดพ้นเงื้อมมืออีกฝ่าย  เสื้อของเขาเริ่มเบาบางลงทุกที  ริมฝีปากร้อนผ่าวของฉีเซี่ยงหยวนคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอ  จมูกสูดกลิ่นหอมอ่อนจาง
“ข้าทราบว่าท่านต้องการเอาชนะอวี้เฉียน  แต่นี่มีประโยชน์ใด  ท่านชนะเขาไปแล้ว  เขาสู้ท่านไม่ได้” น้ำเสียงแผ่วเบาติดสั่นสะท้านอยู่บ้าง
“ท่านเป็นคนชาญฉลาดจริงๆ  แต่นั่นเป็นแค่จุดประสงค์แรกเริ่ม  น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้าไม่ได้ต้องการเอาชนะเขาแล้ว...แต่ข้าต้องการท่าน”
แววตาของอีกฝ่ายทำให้ใจของเหลียนอันสุ่ยสั่นสะท้าน  เขาไม่ยอมหยุดแน่  ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยซีดขาวกว่าเดิม
ไม่ว่าอย่างไรเหลียนอันสุ่ยก็ไม่อาจปล่อยให้เรื่องราวเช่นนี้ดำเนินต่อไป ขณะจะรวบรวมแรงผลักอีกฝ่ายออกห่างกลับต้องผวาอย่างตื่นตระหนก เมื่อรู้สึกถึงมือหยาบกร้านที่ไล้มาตามเรียวขา  ร่างกายพยายามจะขยับหนี  แต่ฉีเซี่ยงหยวนใช้กำลังกดร่างของเขาเอาไว้  มืออีกข้างเปลื้องเสื้อตัวในของเขาออก  ปลายนิ้วเสียดผ่านผิวอย่างมีเจตนาปลุกเร้า  ภายใต้การลวนลามล่วงเกิน ลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นหนักหน่วง  ผู้ชายคนนี้จัดเจนเกินไป  จัดเจนจนคนที่ใช่ชีวิตเรียบง่ายเช่นเขาหวาดกลัว  กับเรื่องเช่นนี้เขาไม่มีทางเป็นคู่มืออีกฝ่ายเด็ดขาด
“ปล่อย...ไม่เอา ...ขะ..” ในความมึนงงคล้ายมีกองไฟกองหนึ่งกำลังลุกลามแผดเผา  ไฟที่เผาผลาญสติสัมปชัญญะจนกระจัดกระจายเป็นเสี้ยวธุลี  เหลียนอันสุ่ยรู้จักความต้องการเช่นนี้  รวมทั้งอันตรายที่สามารถมอมเมาผู้คนของมัน
ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้ว  พระมาตุลาผู้นี้มีความสามารถในการควบคุมตัวเองไปแล้ว  เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายห่างหายจากเรื่องพรรค์นี้มานาน  บุคคลประเภทนี้อาจปลุกเร้ายากหน่อย  แต่เมื่อมีความต้องการมักจะรุนแรงเป็นพิเศษ  ตามเหตุผลคนผู้นี้ไม่ควรมีสติพอจะขยับกายหลบเลี่ยง รวมถึงผลักไสต่อต้านด้วย  ไม่  เขาจะยังไม่ครอบครองอีกฝ่ายตอนนี้ เขาต้องการให้อีกฝ่ายยินยอมเป็นของเขาโดยสิ้นเชิง
ฉีเซี่ยงหยวนกดอารมณ์ให้เย็นลง  ฝ่ามือร้อนผ่าวสัมผัสอย่างเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
“หยะ  หยุดนะ!”
การรุกเร้าของเขาทำให้เหลียนอันสุ่ยขบริมฝีปากแน่น  กลั้นเสียงครางในลำคอ  เรือนร่างเขาต้องการจนเสียดเกร็งไปหมด  พยายามจะชิดขา แต่พบว่ามีท่อนขาแข็งแรงเบียดคั่นอยู่  ร่างกายขยับไหวอย่างทุกข์ทรมาน
พระมาตุลาผู้นี้ยังกระตุ้นเขาไม่พอหรือไง  ทำไมยังไม่ยอมคลายการควบคุมตัวเองอีก  ฉีเซี่ยงหยวนยิ่งมาก็ยิ่งพบว่าอารมณ์ที่กดไว้รุนแรงจนน่ากลัว  ความจริงตั้งแต่ในกองทัพ ฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้  เพราะกองทัพกฎเกณฑ์เข้มงวด ไม่อนุญาตให้มีผู้หญิงในกองทัพ  กฎนี้เขาเป็นคนตราขึ้นเอง  ฉีเซี่ยงหยวนลอบบอกตัวเองขณะมองแววตาที่ใกล้จะถูกความปรารถนาครอบงำของอีกฝ่าย  คนผู้นี้น่ากลัวต้องชดเชยให้เขาจนถึงย่ำรุ่งเลยทีเดียว
ความเจ็บแปลบปะปนกับความรู้สึกถูกล่วงล้ำทำให้เหลียนอันสุ่ยสะท้านเฮือก  ปลายนิ้วจิกลึกลงบนฟูกนอน  ความรู้สึกอ่อนแรงถูกอารมณ์เสียดสะท้านฉีกทึ้ง
ความเบียดเสียดที่ปลายนิ้ว ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนสูดหายใจลึก  ดันปลายนิ้วผ่านการต่อต้านเข้าไปช้าๆ
“ยะ อย่า...” ปลายนิ้วสากของฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่แค่การล่วงล้ำ  แต่คล้ายกับกำลังควานหาสัดส่วนที่ไวต่อความรู้สึก  ผู้ชายคนนี้พยายามทำให้เขาหลงเพริดจนยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่าง  ที่น่ากลัวคือฉีเซี่ยงหยวนมีขีดความสามารถทำได้จริงๆ  ฉีเซี่ยงหยวนเป็นคู่นอนที่สามารถมอบค่ำคืนที่ยากจะลืมเลือน น่าเสียดายที่นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลียนอันสุ่ยต้องการ  เขายินยอมถูกอีกฝ่ายบีบคั้นบังคับ  แต่ไม่ต้องการมีอารมณ์ร่วมด้วย  พันธนาการบางอย่างยึดสติเขาไว้อย่างเหนียวแน่น  เงาร่างของบุคคลสองคนแจ่มกระจ่างขึ้นมา  เหลียนอันสุ่ยหลับตาลงอย่างปวดร้าว  แทบแยกไม่ออกว่าร่างกายต้องการจนรวดร้าวหรือความรู้สึกผิดกรีดลึกจนเจ็บปวด  สติทำให้รู้สึกชัดเจนถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น  รวมถึงการไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตน
ในเสียงหอบหายใจแผ่วเบา  เรือนร่างเรียบเนียนแอ่นสะท้าน  ฉีเซี่ยงหยวนพิศใบหน้าที่แดงก่ำจนเย้ายวนที่มีเค้าทรมานทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหว  คล้ายกับว่าต้องการให้มันดำเนินต่อไปและก็คล้ายกับว่าสัมผัสนั่นสะกิดความทุกข์ทนบางอย่าง  ฉีเซี่ยงหยวนเคยสัมผัสสตรีสูงศักดิ์มามากมาย  แต่ไม่มีผู้ใดที่อยู่บนเตียงกับเขาแล้วยังสูงศักดิ์ถึงเพียงนี้  สามารถสำรวมตัวเองถึงเพียงนี้  จากนั้นเขาพลันคิดได้ถึงข้อหนึ่ง  คิดถึงคนผู้หนึ่ง  อาจเป็นเพราะถูกคนผู้นี้ยึดเหนี่ยวจิตใจไว้  เหลียนอันสุ่ยจึงต่อต้านไม่หยุด  นั่นทำให้ฉีเซี่ยงหยวนมีโทสะ  ไม่ต้องการรั้งรออีกต่อไป
ความเบียดเสียดผ่อนคลายลง  ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นเข้ามาแทนที่  เจ็บจนเหลียนอันสุ่ยชาไปทั้งร่าง  รู้สึกเหมือนเรือนร่างถูกแยกออก  ริมฝีปากแย้มออกแต่ไม่มีเสียงลอดออกมา
ฉีเซี่ยงหยวนครางต่ำอย่างพึงพอใจ  เขายังกระหายมากกว่านี้  โอบเรือนร่างอีกฝ่ายเข้ามาใกล้  แต่กลับรู้สึกถึงความผิดปรกติบางอย่าง  เรียวขาของอีกฝ่ายที่เกี่ยวกระหวัดกับร่างของเขาบิดเกร็ง  เจ็บปวดจนสั่นระริกทั้งร่าง  ริมฝีปากคล้ายจะครางแต่ครางไม่ออก  ฉีเซี่ยงหยวนพลันรู้สึกถึงความจริงที่น่าตระหนก  ความรู้สึกเบียดเสียดนี้ไม่ใช่การต่อต้าน  แต่เป็นเพราะความไม่เคย  อวี้เฉียนไม่เคยแตะต้องคนผู้นี้มาก่อน  แต่เป็นผู้อื่น  ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจมาตลอดจากปฏิกิริยาของเหลียนอันสุ่ยว่าไม่ใช่ไม่เคย  แต่ความจริงกลับกลายเป็นว่าเขาเป็นผู้ชายคนแรกของอีกฝ่าย  ในความมึนงงความจริงอีกข้อก็ปรากฏรูปร่างชัดเจนขึ้นมา  คนผู้นี้อาจแต่งงานแล้ว!  และอาจจะถึงขั้นมีลูกแล้วอย่างที่พูดด้วย  หากมันสายไปแล้ว  เขาหยุดตัวเองไม่ได้และไม่ต้องการหยุดในลักษณะนี้ด้วย  ฉีเซี่ยงหยวนปัดการคาดเดาเรื่องนั้นทิ้งไป  ขบกรามแน่น  บังคับให้ตัวเองผละจากร่างของอีกฝ่าย  เขาต้องให้เหลียนอันสุ่ยพร้อมกว่านี้
ความคิดทุกประการของเหลียนอันสุ่ยกลับกลายเป็นขาวโพลน  รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ยอมหยุดเพียงแต่ทอดจังหวะออกไปเท่านั้น  ร่างกายคล้ายกับถูกเปลวไฟที่รุ่มร้อนแผดเผา  ภาวนาให้ความวาบหวามและความรู้สึกปวดร้าวที่ดำเนินคู่กันไปเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง...

---------------------

เปลวไฟในพายุอันรุนแรงคล้ายกับพ้นผ่านไปแล้ว  รอจนฉีเซี่ยงหยวนหลับใหลไป  เหลียนอันสุ่ยก็ยันกายขึ้นช้าๆ  ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงไม่คงอยู่  หลงเหลือเพียงความอ่อนเพลียปวดร้าวไปทั้งร่าง  แต่เขาไม่อาจสลบไปในลักษณะนี้เป็นอันขาด  เหลียนอันสุ่ยใช้มือที่สั่นสะท้านเล็กน้อยสวมเสื้อผ้าอย่างเงียบงัน 
ความอ่อนล้าทำให้การบังคับตัวเองให้เดินตรงตามปรกติเป็นเรื่องที่ยากลำบาก  บันไดไม่กี่ขั้นตอนขามากลายเป็นระยะทางที่เหยียดยาวยิ่ง  เหลียนอันสุ่ยกัดฟันแน่น  ไม่ยินยอมให้ตัวเองทรุดล้มลงไป  เกี้ยวอันหรูหราแล่นกลับที่เดิมของมันอย่างเงียบเชียบ
หลังจากกลับถึงตำหนักของตัวเอง  หญิงรับใช้ที่ซื่อสัตย์ภักดีนามอิ๋งฮวาก็รีบเข้ามารายงาน
“คุณชายน้อยหลับไปแล้ว  บ่าวให้เยี่ยนจื่อเป็นคนดูแล”  คุณชายน้อย สามคำนี้ทรงอานุภาพใหญ่หลวง  ใบหน้าของพระมาตุลาผู้สูงศักดิ์ซีดขาว  ข้อนิ้วกำแน่น  นาน...กว่าจะเค้นเสียงออกมาว่า
“เจ้าทำดีมาก  ไปพักเถอะ”
อิ๋งฮวารู้สึกว่าวันนี้มีเรื่องผิดปรกติเกิดขึ้น  บางสิ่งบางอย่างกำลังทำร้ายนายท่านผู้อ่อนโยนผู้นี้  แต่ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ย่อมไม่ถามมากความ  เพียงยอบกายถอยออกไปเท่านั้น
เมื่อพบว่าตัวเองอยู่คนเดียวเหลียนอันสุ่ยแทบจะทรงกายไว้ไม่อยู่  ร่างส่ายโงนเงนจนต้องยึดขอบโต๊ะเอาไว้  ถ้าความจริงมีเพียงเขาคนเดียว เรื่องเช่นนี้ไม่อาจนับเป็นอย่างไรได้  แต่ยังมีเด็กไม่รู้ความคนนั้น  ยังมีผู้หญิงคนนั้น  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหายใจไม่ออก
ความรู้สึกผิดบาปนี้  ไม่ทราบเมื่อไหร่จึงจะจางหาย...


=======================
มาลงตอนแรก เรื่องนี้เป็นแนวจีนโบราณค่ะ 
สำหรับคนที่ไม่คุ้นชื่อตัวละครมันจะค่อนข้างจำยาก แต่อ่านไปๆเดี๋ยวก็จำได้เองค่ะ555
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 05-07-2014 12:41:30
 :mc4: ได้อ่านในเด็กดีชอบมากๆเลยคะ เอามาลงต่อเยอะๆนะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: loveatalltime ที่ 05-07-2014 12:45:14
ดีใจ :katai2-1: น้ำตาไหลพราก พึ่งอ่านตอนล่าสุดในเด็กดี รักเรื่องนี้ มากมายมหาศาล
ต้อนรับเข้าเล้า555555
ท้ายที่สุด รักคนเขียนมากมายครัชชชช
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-07-2014 14:47:20
สนุกมาก ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: BlueHoney ที่ 06-07-2014 08:32:20
ขอบคุณมากๆค่ะ ยังไม่เคยอ่านมาก่อน :impress3: ขอติดตามด้วยคน สนุกมาก // :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 06-07-2014 10:49:58
บทที่ 2 ผลประโยชน์และการประนีประนอม

ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางกลิ่นอายของพระมาตุลาผู้สูงศักดิ์  ความคิดล่องลอยไปไกล  ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองทำอะไรลงไป  นี่นับเป็นความสะเพร่าเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตของเขา  ไม่หรอก  มันไม่ใช่เพียงความหุนหันอยากเอาชนะ  แต่เป็นเพราะถูกรูปลักษณ์สะอาดบริสุทธิ์นั่นดึงดูด

ทุกครั้งหลังทำศึกสงคราม  ฉีเซี่ยงหยวนมักรู้สึกว่าตัวเองมีความดำมืดที่น่าสกปรกชิงชัง  ปรกติฉีเซี่ยงหยวนจะรอให้มันเจือจางไปเองเมื่อความสำเร็จก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น  แต่ครั้งนี้ไม่ใช่  คนผู้นั้นไม่สมควรปรากฏตัวตอนนี้  สัญชาตญาณของฉีเซี่ยงหยวนชักนำให้เขาใช้อีกฝ่ายเพื่อปรับสมดุลในจิตใจ  ตอนแรกจากแค่ความรู้สึกอยากเห็นหน้าพระมาตุลาผู้โด่งดัง  บวกกับกึ่งๆจะเป็นการตอกย้ำในชัยชนะเหนืออวี้เฉียน  เปลี่ยนเป็นละโมบอยากครอบครองทันทีเมื่อพบหน้า  การต่อต้านเงียบๆของอีกฝ่ายยิ่งทวีความอยากเอาชนะ  ต้องการให้คนผู้นี้ยอมศิโรราบต่อเขาโดยสิ้นเชิง  แต่นั่นเป็นการกระทำตามอารมณ์บนพื้นฐานของความเข้าใจเพียงผิวเผิน  เห็นได้ชัดว่ารูปลักษณ์ของเหลียนอันสุ่ยมีอิทธิพลต่อจิตใจเว้าแหว่งไม่สมดุลหลังทำศึกของเขาเพียงใด  จากนั้นมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้ม  อดนับถือความใจแข็งของพระมาตุลาคนนั้นไม่ได้  แน่ใจว่าเมื่อคืนตักตวงจากอีกฝ่ายไปไม่น้อย  ตามเหตุผลเหลียนอันสุ่ยไม่น่าจะมีแรงลุกด้วยซ้ำ  แต่เตียงที่ว่างเปล่าก็ยืนยันว่าอีกฝ่ายจากไปแล้ว

ฉีเซี่ยงหยวนทบทวนความทรงจำตัวเองเกี่ยวกับครอบครัวของเหลียนอันสุ่ย  เขาน่าจะเคยได้ยินมาบ้างแต่ไม่ได้ใส่ใจ  บางทีเฉินเสียอาจช่วยเขาได้  เมื่อนึกถึงคนผู้นี้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกชิงชังรังเกียจกว่าเดิม  ขุนนางนั่นถึงกับใช้วิธีต่ำช้ากับพระมาตุลาผู้นั้นได้  ความเห็นแก่ตัว  ใจดำอำมหิต  ไร้ศักดิ์ศรีพอๆกับโง่เขลาเบาปัญญา ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกสะอิดสะเอียนนัก  ลอบสาบานกับตัวเองว่าจะต้องจัดการตอบแทนขุนนางขี้ประจบคนนี้อย่าง ‘เหมาะสม’ ยิ่ง!
---------------------
   หลังจากฟังคำบอกกล่าวของเฉินเสียบวกกับประวัติโดยละเอียดจากสายข่าวที่แทรกซึมอยู่ในแคว้นเหลียนมานาน  พบว่าพระมาตุลาผู้นี้ไม่เพียงมีเชื้อสายสูงส่งยิ่ง  ยังเคยมีอำนาจในมือไม่น้อย  พระมาตุลาแคว้นเหลียนเกิดปีเดียวกับเขา  มิหนำซ้ำยังแก่เดือนกว่า 5 เดือน  ปีนี้อีกฝ่ายสมควรอายุ 31 ปี  แต่งงานตอนอายุ19  มีชายานามว่าเหวินจี เป็นบุตรสาวผู้เรียบร้อยของขุนนางเก่าแก่ผู้หนึ่ง  แต่อยู่ด้วยกันเพียงสองปีเศษ  หลังคลอดบุตรชายนางก็สุขภาพทรุดโทรมลงจนเสียชีวิต  หลังจากนั้นเหลียนอันสุ่ยก็ไม่ได้แต่งงานใหม่  เพียงใช้ชีวิตเงียบสงบเลี้ยงดูบุตรชายคนเดียว  สิ่งนี้นอกจากสะท้อนการไม่ต้องการพัวพันกับขั้วอำนาจ  ยังแสดงความซื่อสัตย์มั่นคงต่อชายาที่จากไป  ขนาดอวี้เฉียนที่ขวัญกล้าบังอาจยังไม่กล้าทำลายมัน

   ฉีเซี่ยงหยวนเคาะนิ้วกับขาเก้าอี้อย่างครุ่นคิด  รู้สึกผิดหรือไม่  ก็รู้สึกอยู่  แต่กลับพบว่าตัวเองไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป  เหลียนจิ้งเต๋อ...เด็กชายคนนั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรนะ
---------------------
   เสียงหัวเราะที่ดังแว่วมาทำให้พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนมีรอยยิ้มจางๆ  แต่ดวงตาอ่อนโยนกลับมีแววหม่นหมองละอายใจเคลือบแฝง  ความผิดบาปถูกกลบฝังอย่างมิดชิดในส่วนลึกของจิตใจ  บอกกับตัวเองว่าคนผู้นั้นได้ทุกสิ่งที่ต้องการไปแล้ว ทุกประการนับว่าจบสิ้นลง

เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา  นำหน้าเป็นเด็กชายวัยสิบขวบที่มีความสุขที่สุดในโลก เพราะโลกของเขายังปราศจากสิ่งโสมมใดๆ

   “ท่านพ่อ  จิ้งเอ๋อไปเรียนฟันดาบมา  วันนี้หลี่ป้าผู้น่าชังนับว่าแพ้ลูกไปสามดาบ”
   “หลี่ป้าผู้น่าสงสารผู้นั้นแค่ชมชอบหาเรื่องเจ้า  กลับถูกฟันไปสามดาบ  นับว่าขาดทุนจนย่อยยับจริงๆ”
เหลียนจิ้งเต๋อได้ยินก็หัวเราะ  กล่าวว่า
   “ท่านพ่อกล่าวหาลูกหนักจริง  ผู้ใดฟันเขาไปสามดาบ  เขาแค่ถูกลูกเอาดาบจ่อคอไปสามครั้งเท่านั้นเอง”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆ
   “รู้สึกฝีมือเจ้าจะก้าวหน้าไปมากทีเดียว  พ่อชักจะอยากเห็น...”
   “ลูกไม่กล้าท้าสู้กับท่านพ่อหรอก  แต่ความก้าวหน้านี้ต้องยกให้เป็นฝีมือท่านพ่อบุญธรรม”  คนฟังขมวดคิ้วถามว่า
“ท่านพ่อบุญธรรม ? ” เหลียนจิ้งเต๋อพยักเพยิดไปด้านหลัง  เมื่อเหลียนอันสุ่ยมองตามไป  รอยยิ้มบนหน้าพลันแข็งค้าง  คนผู้นี้  เหตุใดมาปรากฏตัวที่นี่!
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนมองภาพอันสนิทสนมของพ่อลูกด้วยสีหน้าแปลกใจ  ปรกติแล้วพวกเชื้อพระวงศ์มักเติบโตขึ้นมาอย่างเย็นชา  ความสัมพันธ์อันควรใกล้ชิดก็มีความห่างเหินมาแบ่งคั่นไว้  ภาพตรงหน้ากลับเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง  คล้ายทำมาเป็นร้อยๆพันๆครั้งจนเคยชิน

พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนดูต่างออกไปเมื่อไม่ได้สวมชุดว่าราชการ  ตัวตนของเขากระจ่างชัดผ่อนคลาย  ในเก๋งอันเงียบสงบครอบคลุมด้วยกลิ่นอายอบอุ่นอ่อนโยน  ใบหน้ามีรอยยิ้มที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยเห็นมาก่อน  รอยยิ้มจางๆที่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงมืออันเมตตาค่อยๆไล้รอยยับย่นในจิตใจให้ราบเรียบดังเดิม  ดวงตามองเด็กชายตัวน้อยอย่างรักใคร่เอ็นดู  ความเจ็บปวดเมื่อหลายวันก่อนคล้ายถูกมือน้อยๆคู่นี้ลบทิ้งไปแล้ว  เมื่อเห็นฉีเซี่ยงหยวนใบหน้าที่ผ่อนคลายเปลี่ยนเป็นนิ่งขึงไปทันที  ดวงตามีแววประหวั่นพรั่นพรึง

“ท่านอ๋องน้อย” เสียงมีแววไม่อยากจะเชื่อลอดออกมา
“รับบุตรบุญธรรมโดยพลการเช่นนี้  พระมาตุลาคงไม่ถือสากระมัง”
“ท่านพ่อ  ท่านอาคนนี้เก่งมา  อาจารย์ดาบหวังยังพ่ายแพ้อย่างหมดท่า” เหลียนจิ้งเต๋อรีบโฆษณาสรรพคุณของพ่อบุญธรรมผู้นี้
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าเขาเป็นใคร” น้ำเสียงอ่อนโยนอยู่เสมอแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด  เหลียนจิ้งเต๋อตกใจ  ท่านพ่อจะใช้น้ำเสียงเช่นนี้แค่เวลาที่เขาทำผิดร้ายแรงเท่านั้น
ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวแทรกขึ้น
“เขาย่อมทราบว่าข้าเป็นใคร  เพียงแต่ถ้าท่านจะตำหนิ  คนที่ควรโดนตำหนิสมควรเป็นข้ามากกว่า ข้าเป็นคนอยากให้เขามาเป็นบุตรบุญธรรมเอง” 
เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก  หันไปกล่าวกับหญิงรับใช้ข้างกายว่า
“อิ๋งฮวา  เยี่ยนจื่อ  ต่อไปเป็นคาบเรียนประวัติศาสตร์  พวกเจ้าพาคุณชายน้อยไปได้แล้ว”  ความหมายคือเขาต้องการพูดกับคนผู้นี้ตามลำพัง 
ก่อนเหลียนจิ้งเต๋อจะถูกพาตัวไปหันหน้ามากล่าววาจาว่า
“ท่านพ่อ  ลูกรับปากโดยไม่ได้บอกท่านพ่อก่อนนับว่าผิดพลาดไปแล้ว  เย็นนี้ลูกจะ...”
“เจ้าไม่ได้ทำผิด  เพราะฉะนั้นเย็นนี้ไม่ต้องคุกเข่าขอโทษด้วย  ไปเรียนเถอะ” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยกลับมาเป็นเช่นเดิม  มุมปากมีรอยยิ้มฝืนๆ
บุคคลทั้งสามจากไปแล้ว  เก๋งโบราณกลับมาเงียบสงบเช่นเดิม
“ท่าน...ทำเช่นนี้ทำไม”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบ  พิจารณาดูอีกฝ่ายเต็มตา  แล้วกล่าวว่า
“ชุดชาวเหลียนเหมาะกับท่านอย่างยิ่ง” แสงยามบ่ายส่องกระทบชายเสื้อจนพร่าพราย  ชุดเรียบง่ายที่ตัดเย็บด้วยฝีมืออันประณีตสะท้อนตัวตนผู้สวม  ดั่งหยกขาวอันเย็นตา  แม้ไม่โดดเด่นเจิดจ้า  แต่ก็มีความงามที่ลึกซึ้งละมุนละไม
“ท่านอ๋องน้อย  ท่านต้องการอะไรกันแน่”
“ข้าทำให้ท่านมีโทสะแล้ว”
“ข้าไม่ได้มีโทสะ  เพียงแค่ไม่เข้าใจ”
“นั่นสินะ  ท่านดูคล้ายเป็นคนที่ไม่เคยมีโทสะมาก่อนเลย” พูดพลางหัวเราะแผ่วเบา  ฉีเซี่ยงหยวนพบว่าตัวเองชมชอบพูดคุยกับพระมาตุลาผู้นี้  เขาเป็นคนในลักษณะที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยพบมาก่อน 

ตัวตนของเขา  ความงามของเขา  คล้ายสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง  ในโลกไม่มีใครไม่เคยเจ็บแค้น  ไม่มีใครไม่เห็นแก่ตัว  แต่คนผู้นี้คล้ายกับไม่เคยมีความพยาบาทอาฆาต  รูปลักษณ์ของเขาทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกถึงความผิดบาปที่ไม่ได้รู้สึกมานาน  เหมือนสายน้ำที่หล่อเลี้ยงจิตใจคนจนชุ่มชื้น  ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ต้องการไปทำให้แปดเปื้อนสกปรก  น่าเสียดาย...เพราะเคยดื่มกินจึงไม่อาจระงับความกระหาย  หากนี่เป็นครั้งแรกที่พบกัน  เรื่องก่อนหน้านี้คงไม่เกิดขึ้น

ฉีเซี่ยงหยวนมองธรรมชาติรอบตัวพลางตอบคำ
“เขาเป็นเด็กที่ใครเห็นใครก็ชอบ”
เหลียนอันสุ่ยไม่เชื่อเหตุผลสวยงามของอีกฝ่าย  กล่าวว่า
“อ๋องน้อยเช่นท่านจะรับบุตรบุญธรรมไปทำไมกัน”
“เพราะข้าจะพาเขาไปด้วย  แต่ไม่ต้องการให้ไปในฐานะเชลย” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  แต่คนฟังตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
“ท่าน!”
ได้ยินฉีเซี่ยงหยวนกล่าวช้าๆว่า
“เพราะข้าต้องการให้ท่านไปด้วย”  ความนิ่งเงียบเนิ่นนานครอบคลุมลงมา
“ท่านต้องไม่ยุ่งกับเขา” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยเคร่งเครียดจริงจัง
“ข้าไม่ทำอะไรเขาแน่  ท่านก็รู้ดี  ข้าแค่ไม่ต้องการให้ท่านพะวักพะวนขณะอยู่ที่เป่ยชางเท่านั้น” คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนแผ่วเบา 

เหลียนอันสุ่ยรู้สึกถึงมือแข็งแรงเลื่อนมาโอบเอวจากด้านหลัง  ใบหน้าอีกฝ่ายก้มชิดลงมา  ริมฝีปากสัมผัสซอกคอแผ่วเบา  พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนนิ่งงันไป  แต่ไม่ได้ขัดขืนปฏิเสธ  ดวงตาหลับลงด้วยความสิ้นหวัง  เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร  เด็กคนนั้นนับเป็นหลักประกันที่ดีที่สุด เมื่อมีเด็กคนนั้น  ต่อให้อยากฆ่าตัวตาย เขายังทำไม่ได้!

“เหลียนจิ้งเต๋อต้องไม่รู้เรื่องนี้” น้ำเสียงแผ่วเจือความอ่อนล้าแต่ก็ยังมั่นคงชัดเจน
“เขาจะไม่รู้เรื่องนี้” ฉีเซี่ยงหยวนรับคำ  ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดี  ฉีเซี่ยงหยวนไม่จำเป็นต้องทำร้ายเหลียนจิ้งเต๋อ เพราะเพียงแค่เปิดโปงเรื่องนี้  ผลของมันก็สาหัสมากแล้ว  เหลียนอันสุ่ยนับว่าไม่มีทางจะดิ้นหลุดจากพันธนาการอันนี้ไปได้เลย..
---------------------
ในตำหนักรับรองแขกบ้านแขกเมืองของแคว้นเหลียน  ฉีเซี่ยงหยวนนั่งนิ่งอย่างครุ่นคิด  ขณะฟังเหล่าขุนนางถกเถียงกันไปมาเรื่องการจัดการกับทรัพย์สินที่ยึดได้ 

ความจริงต่อให้ฉีเซี่ยงหยวนจัดการย้ายตัวเองเข้าตำหนักอ๋อง  เหลียนอ๋องก็ไม่อาจโต้แย้งใดๆ  แต่นั่นเป็นการหักหน้าแคว้นเหลียนเกินไป  ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดกระทำเรื่องที่จะก่อให้เกิดการกระด้างกระเดื่องโดยไม่จำเป็นเช่นนั้น 
เมื่อหลายคืนก่อนตอนบุกยึดวังหลวงโดยไม่ให้ตั้งตัว  การยอมแพ้ก็เป็นไปอย่างละมุนละม่อมที่สุด  เนื่องจากองครักษ์ยังไม่ทันป้องกัน ทหารของเป่ยชางก็บุกถึงตำหนักอ๋องแล้ว  เหลียนอ๋องอายุเยาว์ออกมาขอยอมแพ้ด้วยตัวเอง  หลังจากนั้นฉีเซี่ยงหยวนจะทำอะไรก็ให้คนไปขอความเห็นชอบจากเขาก่อนเป็นการไว้หน้าเหลียนอ๋องสามส่วน  ส่วนตัวเองตอบรับคำเชื้อเชิญเข้าพักในตำหนักรับรองที่หรูหราที่สุดของแคว้นเหลียน

ความจริงสำหรับเหลียนอ๋อง  ฉีเซี่ยงหยวนนับว่าช่วยกำจัดอวี้เฉียนซึ่งแย่งชิงอำนาจในการปกครองไป  หลังจากนั้นจะทำอะไรก็มีการขอความเห็นชอบมาตลอด  ทำให้เหลียนอ๋องรู้สึกว่าตัวเองมีบทบาทมากขึ้น จึงไม่ได้มีท่าทีเป็นศัตรู  การประนีประนอมในขั้นแรกฉีเซี่ยงหยวนนับว่าทำสำเร็จอย่างงดงามโดยแทบไม่ต้องลงแรงทำอะไร  แผนการขั้นต่อไปย่อมต้องเป็นการจัดสรรผลประโยชน์ระหว่างเป่ยชางกับแคว้นเหลียนให้ลงตัว 

งานฝีมือของแคว้นเหลียนเป็นที่เลื่องลือ  แจกัน  เครื่องปั้น ไม่ว่าของแคว้นใดก็มีราคาไม่เท่าของที่มาจากแคว้นเหลียน  ที่สำคัญคือการเกษตร  แคว้นเหลียนอยู่ในภูมิประเทศที่พอเหมาะให้ผลผลิตจำนวนมากทุกปี  ปัญหาเรื่องการสูญเสียเสบียงระหว่างทำศึกของเป่ยชางถูกแก้ไขในทันที  ฉีเซี่ยงหยวนยังวางแผนจะนำเกลือจากเป่ยชางมาขายต่อที่แคว้นเหลียน  เพราะเทียบกับแคว้นเป่ยชาง  แคว้นเหลียนห่างไกลทะเลกว่ามาก  การขนส่งแต่ก่อนต้องอ้อมแคว้นเป่ยชางที่เก็บภาษีผ่านด่านสูง หากราคาก็ยังสูงลิ่วอยู่ดี  ถ้าหลังจากนี้แคว้นเหลียนพึ่งพาแคว้นเป่ยชาง  แคว้นเป่ยชางจะได้ผลประโยชน์มหาศาล  แคว้นเหลียนเองก็จะได้เกลือเร็วขึ้นในราคาถูกลงอีกเล็กน้อย
 
แต่ที่ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆเริ่มขมวดคิ้วเป็นเพราะว่าขุนนางทั้งหลายที่ถูกส่งมาทันทีหลังทราบข่าวแพ้ชนะ เริ่มถกเถียงไม่ลงตัวเรื่องเงินในท้องพระคลังของแคว้นเหลียน  บางส่วนเห็นว่าควรรวบเป็นของเป่ยชางแล้วให้เบิกจ่ายเป็นรายปี  แต่บางส่วนเห็นว่าควรเหลือไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อให้แคว้นเหลียนบริหารงบประมาณเอง  เรื่องสำคัญที่สุดคือระบุคนที่จะมาดูแลในส่วนนี้ไม่ได้  คำว่าผลประโยชน์ยิ่งมากยิ่งยากตกลงนับว่าเป็นจริงโดยไม่ผิดเพี้ยน  ขุนนางทั้งหลายแม้ปากจะถกเถียงกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว  แต่ละคนยังคงคอยชำเลืองมองฉีเซี่ยงหยวนเป็นระยะๆ  ไม่ว่าใครก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจหากเขายังไม่เห็นชอบด้วย

“พระบิดาทรงมีพระดำริเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร” นี่คือคำถามแรกที่หลุดจากปากของฉีเซี่ยงหยวน  ขุนนางใหญ่ต้วนจื้อผิงรีบกล่าวว่า
“ต้าอ๋องบอกว่าเรื่องทั้งหมดแล้วแต่ท่านอ๋องน้อย”
“ดี...งั้นข้าขอถามอย่างหนึ่ง  การวางระบบปกครองนับเป็นเรื่องใหญ่  ทั้งที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ  เหตุใดพวกท่านต้องรีบร้อนแต่งตั้งคนขึ้นมาประจำการ ? ” คำถามนี้ทำให้ที่ประชุมที่ยุ่งเหยิงเมื่อครู่เงียบเสียงลงทันใด  ฉีเซี่ยงหยวนหันไปถามจางจื่อหยู
“ใต้เท้าจาง  ข้าเคยมอบหมายให้ท่านศึกษาเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจของแคว้นเหลียน  ท่านมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร”
จางจื่อหยูตอบอย่างระมัดระวังว่า
“เรื่องนี้คาดว่ามีคนรู้ดีกว่าข้า”
“ผู้ใด ? ” ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้วถาม
   “เสนาบดีกรมคลังของแคว้นเหลียน”
   “ถ้าเช่นนั้นการหารือจบลงเพียงเท่านี้  พรุ่งนี้เชิญเสนาบดีกรมคลังของแคว้นเหลียนมาพบข้า”  ฉีเซี่ยงหยวนพูดจบก็ลุกขึ้น  แต่มีคนทักท้วงอย่างไม่พอใจว่า
   “ทำไมท่านต้องไว้หน้าแคว้นเหลียนขนาดนี้ด้วย” 
   ฉีเซี่ยงหยวนหยุดเดิน  หันมาจ้องหน้าคนขุนนางใจกล้าผู้นั้นนิ่ง
   “ที่ข้าเชิญเขามาพบไม่ใช่ต้องการให้เขาช่วยตัดสินใจ  เพียงแต่ข้าต้องการทำความเข้าใจกับสภาพแคว้นเหลียนมากกว่านี้แล้วค่อยตัดสินใจ”  ความหมายของฉีเซี่ยงหยวนคือ เขาไม่ต้องการการตัดสินใจที่จะเกิดความผิดพลาดภายหลัง  สายตาคมวาวจัดคนที่คิดเอ่ยปากแย้งล้วนปิดปากลงจนหมดสิ้น
   เมื่อพ้นจากโถงห้องฉีเซี่ยงหยวนก็สาวเท้าก้าวยาวๆคล้ายต้องการหนีจากบรรยากาศเมื่อครู่โดยเร็ว
   “ท่านไว้หน้าพวกเขา” สายตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนหันไปมอง  เป็นจางจื่อหยูที่ก้าวยาวๆมาจนทันพลางกล่าวต่อว่า “มีขุนนางพวกนั้นบางคนยังไม่เข้าใจว่าท่านไว้หน้าพวกเขาต่างหาก”
   ฉีเซี่ยงหยวนหยุดเดินแล้วกล่าวว่า
   “ใช่แล้ว เพราะใจจริงข้าอยากจะถามว่าใครจะไปรู้เรื่องของแคว้นเหลียนดีกว่าขุนนางของแคว้นเหลียนเอง”  นี่เป็นความจริงที่ถ้ากล่าวออกไปแล้วพวกขุนนางใหญ่ของแคว้นเป่ยชางต้องรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ 

   เนื่องจากบรรดาใต้เท้าทั้งหลายหลังจากเท้าเหยียบแผ่นดินแคว้นเหลียนก็จัดแจงหารือกันเอง  แน่นอนว่ามีการซักถามทำความรู้จักกับขุนนางชาวเหลียนบ้าง  แต่ส่วนใหญ่มักทำเป็นการส่วนตัว  จุดประสงค์ก็คือเพื่อหาข้อมูลให้มากที่สุดสำหรับหาช่องทางในการกอบโกย  ส่วนการหารืออย่างเป็นทางการล้วนเป็นไปโดยกีดกันไม่ให้ขุนนางแคว้นเหลียนเข้าร่วมด้วยถือว่าตนเหนือกว่า  และนี่ก็เป็นสิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่พอใจต้องการชี้ให้พวกเขาเห็น

   “ที่แท้ท่านมีโทสะ”
   “ข้าแค่หงุดหงิด  ดูเหมือนพวกเขาจะไม่เคยจำกันได้เลย  ทุกครั้งที่เป่ยชางยึดเขตปกครองใหม่ได้  ข้าก็ต้องเริ่มอธิบายเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก  ทั้งๆที่จำได้ว่าเคยอธิบายไปหลายครั้งเต็มทีแล้ว”
   “…รอบนี้มีขุนนางใหม่ไม่น้อย…” จางจื่อหยูพยายามเบี่ยงประเด็น
   ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวสวนเสียงเย็นชา
   “เจ้าก็รู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยากไม่ใช่ขุนนางใหม่  แต่เป็นพวกที่จวนจะลงโลงอยู่แล้วแต่ยังไม่เลิกโลภกันอีก” 
   คนฟังสำลัก แทบไม่อยากคิดว่าถ้าบุคคลที่ถูกเอ่ยถึงมาได้ยินเข้าจะทำหน้ากันยังไง  มีเพียงไม่กี่คนที่เคยรับทราบความสามารถด้านนี้ของโอรสองค์ที่สี่ของเป่ยชางอ๋องมา  ถ้อยคำธรรมดา น้ำเสียงราบเรียบ  บุคลิกยังสุขุมเยือกเย็น  แต่กลับสร้างความเจ็บแสบต่อคนฟังอย่างยิ่ง
   “แคว้นเหลียนค่อนข้างใหญ่  ทรัพยากรก็เยอะ  ขุนนางใหญ่ที่ปรกติประจำอยู่ที่แคว้นย่อมถูกส่งมามากเป็นธรรมดา” 
   ฉีเซี่ยงหยวนตัดบทว่า
   “นอกจากตัวเสนาบดีข้ายังต้องการคนในกรมคลังของแคว้นเหลียนอีกสองคน  เจ้าเชิญพวกเขามาด้วย  แต่ไม่ต้องเชิญมาพร้อมกัน เพราะข้าจะถามทีละคน” พูดจบก็หันกายจากไป 
   จางจื่อหยูมองตามเงาหลังอีกฝ่าย  เขาติดตามฉีเซี่ยงหยวนมานาน  มีแต่เขาที่รู้ว่าขุนนางพวกนั้นโชคดีแค่ไหนที่ฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนไตร่ตรองก่อนพูดเสมอ
---------------------
   ฉีเซี่ยงหยวนต้องการข้อมูลอย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจ  ดังนั้นนอกจากคนของกรมคลังแล้วเขายังนัดพบปะกับขุนนางคนอื่นของแคว้นเหลียน  ขุนนางหลายคนไม่พอใจที่ฉีเซี่ยงหยวนไว้หน้าแคว้นเหลียนจนเกินไป  ขุนนางพวกนั้นต่างหากที่ความคิดตื้นเขินเกินไป  ทำให้ชาวเหลียนเกลียดชังชาวเป่ยชางมีอะไรดี  บางคนเห็นว่าจำเป็นต้องวางอำนาจว่าใครเหนือกว่า  จะต้องทำไปทำไมในเมื่ออำนาจทางการทหารอยู่ในกำมือของแคว้นเป่ยชางหมดแล้ว 

   ในความเป็นจริงต่อให้แคว้นเหลียนวางแผนจะต่อต้าน  เอาแบบร้ายแรงที่สุด  โดยระดมพลจากนอกเมือง  มีคนในเมืองคอยประสานงาน  ยังไม่ทันจะยกทัพเข้าเขตเมืองหลวงก็ต้องถูกกองทัพที่ฉีเซี่ยงหยวนวางไว้รอบนอกเพื่อจับตามองล้อมกักจนไม่มีปัญญาทำอะไร  และถ้ามีจริงก็จะยิ่งเป็นประโยชน์กับเป่ยชางเพราะการกระด้างกระเดื่องเป็นข้ออ้างที่ดียิ่งในการรีดไถทรัพยากรจากแคว้นเหลียน

   ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยคิดจะล่วงเกินใครโดยไม่จำเป็น เพราะนั่นเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดอย่างยิ่ง  แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่กล้า  และถ้าเขาจะลงมือจะมิใช่การเล่นงานเล็กๆน้อยๆ  แต่จะเป็นการขุดรากถอนโคน  ซึ่งตอนนี้เขายังไม่มีความคิดจะทำมื่อแบบนั้นกับใคร  ทั้งขุนนางของแคว้นเหลียนและขุนนางของบิดาตัวเอง อ้อ  อาจจะยกเว้นเฉินเสียไว้คนหนึ่ง

   จากนั้นในหัวของฉีเซี่ยงหยวนก็ปรากฏภาพของเหลียนอันสุ่ย  ไม่รู้ป่านนี้พระมาตุลาคนนั้นกำลังทำอะไร 

===============
กำลังพยายามจัดหน้า  แต่ก็พบว่ายากจัง  :sad4:
ทุกอย่างที่จัดเสร็จแล้วในwordถูกล้างหายไปหมดเมื่อpaste
ถ้าอ่านยากก็บอกกันน้าาาา
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 06-07-2014 13:40:43
ชอบเหลียนอันสุ่ยแล้วใช่ไหม
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: Aly-Q ที่ 06-07-2014 14:53:02
ชอบค่ะ มาต่อไวๆนะคะ :mc4:

ตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: duaenmaysa ที่ 06-07-2014 15:48:04
กรี้ดดดดดด ><  เข้ามากรี้ดดังๆให้เรื่องนี้
ตอนแรกเรานึกว่าตาฝาดแต่เอาไปเอามาเฮ้ย คนเขียนมาลงที่นี่จริงๆด้วย me/ปลาบปลื้มขั้นสุด :heaven
พันธนาการเป็นเรื่องที่เรารักมากกกกกกกกกกอีกเรื่อง แล้วก็เป็นอีกเรื่องที่เราอ่านซ้ำจะรอบที่สี่ละ
ตอนแรกเราเจอนิยายด้วยความบังเอิญแล้วเกิดไปสะดุดกันเหลียนเอ๋อร์ แบบฮิมคือนายเอกในสเปคที่เราตามหามานาน
คนเขียนเยี่ยมจริงๆค่ะที่ถ่ายทอดนิยายดีๆแบบนี้ออกมาให้ได้อ่าน  o13
ติดตามตอนต่อไปนะคะ อัพเร็วๆด้วยนะ เค้าค้างมากนี่พูดเลย :hao5:
 :กอด1: :L2: :mc4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-07-2014 16:52:54
 o13
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: BlueHoney ที่ 06-07-2014 19:34:12
:impress2: แอบไปอ่านมาบ้างแล้ว สนุกมากมาย แต่ขอรอมาต่อที่นี่แหละค่ะ >< // :3123:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 08-07-2014 20:03:30
บทที่ 3 บทสนทนาบนถนนแห่งความสูญเสีย

   เหลียนอันสุ่ยมองผู้คนบางตาที่สัญจรผ่านไปมาบนถนนสายหลักของเมืองหลวงที่เคยคึกคัก  ร้านรวงส่วนใหญ่ยังคงปิดกิจการ  เจ้าของบางรายอพยพไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว  หลบหนีไฟสงครามที่ลามเลีย  หลบหนีความพ่ายแพ้ที่ไม่อาจแก้ไขฟื้นฟู  คนที่ยังอยู่คือคนที่ถูกบางสิ่งตอกตรึงไว้จนไม่อาจหนีพ้น...ดั่งเช่นตัวเขา

รถม้าของพระมาตุลาแคว้นเหลียนจอดหน้าร้านขายเครื่องปั้นร้านหนึ่งซึ่งเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในตรอก  ไม่เพียงใหญ่โตที่สุด  ฝีมือยังยอดเยี่ยมที่สุดด้วย  เพียงแต่ถึงจะเป็นร้านที่ใหญ่โตขนาดนี้ประตูหน้าร้านยังคงปิดสนิทแน่น  บ่าวคนหนึ่งเปิดประตูรถม้าออก  บ่าวอีกคนรีบตรงไปเคาะประตูไม้ที่ปิดสนิทบานนั้น  เคาะอยู่ชั่วครู่ประตูร้านบานใหญ่จึงแง้มออกเป็นช่องแคบๆ ปรากฏสายตาคู่หนึ่งมองลอดออกมา  เมื่อพบว่าผู้มาเป็นใครก็รีบกุลีกุจอเปิดประตูออกจนสุดบาน  ความจริงเหลียนอันสุ่ยแจ้งมาแล้วว่าจะมาเยือน  เพียงแต่ในสถานการณ์ตรึงเครียดไม่ทราบชะตากรรมตัวเองเช่นนี้การระแวดระวังไม่อาจไม่มี

เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองป้ายร้านที่ค่อนข้างเก่า นี่คือร้านเก่าแก่ที่สืบทอดฝีมือมาสี่ชั่วอายุคน  ปรกติป้ายร้านแม้เก่าแต่ไม่เคยมีฝุ่นจับ  ขณะนี้กลับมีฝุ่นเป็นชั้นหนาแสดงว่าไม่ได้ผ่านการเช็ดถูมาเป็นเวลานาน  เหลียนอันสุ่ยได้แต่หวังว่าหลังเรื่องราวทั้งหมดผ่านพ้นไปร้านนี้จะสามารถกลับมารุ่งเรืองดังเดิม 

ลึกเข้าไปด้านใน  เหล่าแจกันเครื่องปั้นที่เคยอวดโฉมอย่างเฉิดฉายกลับถูกห่อคลุมด้วยผ้าแถบใหญ่วางกองสุมไว้บนพื้น  หากวันวานเปรียบเสมือนนายท่านผู้ยิ่งใหญ่  วันนี้กลับกลายสภาพเป็นยาจกยากเข็ญ เช่นเดียวกับเหล่าผู้คนทั้งหลายในตรอกน้อย  ไม่ว่าจะทรัพย์หนาเพียงใดก็ไม่มีทางไม่ได้ผลกระทบจากสงคราม  ช่วงนี้คือช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดที่ต้องพยายามข้ามผ่านไปให้ได้  เพื่อรอคอยการมาถึงของนโยบายฟื้นฟูบ้านเมืองหลังสงคราม

วันนี้เหลียนอันสุ่ยมารับแจกันตั้งพื้นคู่หนึ่งซึ่งเคยสั่งทำไว้เมื่อห้าเดือนที่แล้วสำหรับเป็นของขวัญให้ใต้เท้าใหญ่กรมตรวจการในวันเกิดครบห้าสิบปี  ของชิ้นนี้จัดทำขึ้นเป็นพิเศษต้องใช้ฝีมือประณีตเป็นอย่างมาก  น่าเสียดายที่แจกันเสร็จแล้วแต่ใต้เท้าใหญ่กรมตรวจการคงไม่มีอารมณ์จัดงานเลี้ยง  เพียงแต่ในเมื่อสั่งทำไว้ก็ควรจะมารับ 

ตั้งแต่ข่าวสงครามมาเยือน  ราคาอาหารก็ถีบตัวขึ้นสูง  ทุกเมืองต่างพยายามกักตุนเสบียงเตรียมเผชิญกับสงครามที่คาดว่าจะยาวนาน  สุดท้ายเสบียงเหล่านั้นถูกขนถ่ายไปจุนเจือกองทัพเป่ยชางเสียกว่าครึ่ง  แม้ในเมืองจะไม่ถึงกับขาดแคลนอาหาร  แต่กลับถูกพ่อค้าหน้าเลือดยืนกรานไม่ยินยอมลดราคาลงอย่างเด็ดขาด  สำหรับผู้คนที่เงินทองร่อยหรอราคาดังกล่าวจึงถือว่าสูงลิบ 
สาเหตุที่ผู้คนไม่มีเงินทองเป็นเพราะกิจการทั้งหลายหยุดลงจนหมดสิ้น  แรงงานแปรสภาพกลายเป็นกองทัพ  ไม่มีคนหาเงินเข้าบ้าน  และไม่มีงานให้ทำ  นี่คือสิ่งที่สงครามเป็นอยู่เสมอ...

โยกย้ายถ่ายอำนาจกลุ่มคนเบื้องบน  บดขยี้เหยียบย่ำกลุ่มคนเบื้องล่าง

ร้านเก่าแก่แห่งนี้เลี้ยงช่างฝีมือชราเอาไว้นับสิบ  เป็นช่างฝีมือที่ไม่มีที่ใดเทียบได้  บางคนอยู่กับงานปั้นมาตั้งแต่เด็กจนแก่ ไม่มีความสามารถไปทำงานอย่างอื่น  แต่สภาพของสงครามทำให้ไม่มีงานเข้ามาและคงจะไม่มีไปอีกนาน  เหลียนอันสุ่ยเพียงหวังว่าค่าของแจกันสองใบนี้จะช่วยให้บุคคลที่ทรงคุณค่าเหล่านั้นสามารถข้ามพ้นช่วงเวลาลำบากขัดสนถ่ายทอดภูมิปัญญาอันลึกล้ำสืบต่อไป 

รถม้าแล่นช้าๆออกจากตรอกเล็กกลับเข้าสู่ถนนสายหลัก  เห็นทหารชาวเป่ยชางเดินอยู่ประปราย บางครั้งก็เข้ามาขอตรวจค้นรถม้า  บางคราวก็เข้าไปตรวจค้นร้านรวง  ตามหาร่องรอยของแม่ทัพใต้บัญชาของอวี้เฉียนที่ยังลอยนวลอยู่  เสียงด่าทอดังมาจากทางหนึ่ง  เมื่อร้านตีเหล็กตรงหัวมุมถนนไม่ยินยอมให้ตรวจค้นก่นด่าคนสาดเสียเทเสียล่วงเกินไปถึงเป่ยชางอ๋องที่แคว้นเป่ยชาง  ทหารชาวเป่ยชางผลักอีกฝ่ายให้คุกเข่าลงกับพื้น  เจ้าของร้านตีเหล็กและเหล่าลูกมือยังคงไม่ยินยอม  แต่กลับถูกทหารชาวเป่ยชางที่ตัวใหญ่กว่ามากกดให้คุกเข่าลงจนได้  ทหารอีกคนศีรษะกดที่เชิดผยองเหล่านั้นให้โขกหัวคำนับนับสิบครั้ง ทีละคน  ทีละคน 

เหลียนอันสุ่ยเบือนหน้าหนี  ไม่อาจทนดูต่อไป  ทราบว่าตัวเองไม่อาจแก้ไขคลี่คลาย  คำสั่งห้ามมีอาวุธในครอบครองสั่งลงมาอย่างชัดเจน  ร้านตีเหล็กจำเป็นต้องส่งมอบดาบทุกเล่มที่หลงเหลือในร้านออกไป  โชคดีเท่าไหร่แล้วที่ทหารเป่ยชางถือวินัยเคร่งครัด กองทัพไม่อนุญาตให้ทำร้ายชาวบ้าน  ไม่เช่นนั้นอาศัยคำพูดหยาบคายจาบจ้วงเหล่านั้น  สิ่งที่ช่างตีเหล็กต้องชดใช้คงเป็นชีวิต  ดาบใหญ่ในฝักห้อยอยู่ข้างเอว  เพียงนิดเดียว  ถ้าทหารชาวเป่ยชางขยับมือเพียงนิดเดียว  ไม่แขนก็หัวคงถูกตัดลงมาแล้ว  ฝีมือเหล่านั้นเหลียนอันสุ่ยเห็นมากับตาตัวเองว่ามันง่ายดายแค่ไหน  ง่ายดายจนรู้สึกว่าชีวิตช่างไม่มีค่าอะไรเลย

หลายอาทิตย์ก่อนหน้านี้เหลียนอันสุ่ยไปช่วยปฐมพยาบาลในค่ายทหาร  คนบาดเจ็บมีมากเหลือเกิน  คนตายมีมากยิ่งกว่า  กลิ่นเลือดในเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดกับความสับสนอลหม่านเปลี่ยนสถานที่พักรักษาคนจนกลายเป็นขุมนรกอเวจี  คิดไม่ถึงเสียสละเลือดเนื้อไปมากมายถึงเพียงนั้นสุดท้ายยังคงกลายเป็นคำว่า ‘พ่ายแพ้’ 

เหลียนอันสุ่ยมองเหลาด้านซ้ายมือซึ่งเป็นไม่กี่กิจการที่ยังเปิดอยู่  พลางสั่งให้หยุดรถ  คิดจะเข้าไปดูสภาพภายในเหลาซึ่งเคยได้ชื่อว่าคึกคักขายดีที่สุดเพื่อใช้ประเมินสภาพของเมืองหลวงในขณะนี้  แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูสีหน้าพลันขาวซีดลง  ในร้านมีทหารเป่ยชางอยู่จำนวนมาก  ที่สำคัญคือทหารเหล่านั้นคล้ายกำลังทำหน้าที่เฝ้าอารักขาให้กับคนที่ใหญ่โตยิ่งกว่าซึ่งอยู่ชั้นบน 
เหลียนอันสุ่ยพยายามปลอบใจตัวเองว่าเรื่องราวคงไม่บังเอิญถึงเพียงนั้น  แต่ก็ตัดสินใจว่าจะไม่แวะเข้าไป  ขณะกำลังจะชักเท้ากลับกลับถูกทหารชาวเป่ยชางนายหนึ่งขวางเอาไว้  พลางรายงานอย่างนอบน้อม

“ท่านอ๋องน้อยให้มาเรียนถามพระมาตุลาว่า ในเมื่อมาถึงแล้ว  เหตุใดจึงไม่เข้ามา”
พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนได้ยินแล้วถึงกับรู้สึกหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน
“ข้านึกได้ว่ามีธุระจำเป็นต้องรีบกลับ  ฝากท่าน...ไปรายงานท่านอ๋องน้อยด้วย”
“ธุระยิ่งใหญ่มากหรือ  ให้ข้าช่วยสะสางให้เป็นอย่างไร” เสียงทุ้มดังลอยมาจากชั้นบน
เหลียนอันสุ่ยได้แต่เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก  พบร่างสูงใหญ่ขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางนั่งอยู่บนชั้นสองพิงราวระเบียง จับจ้องมองลงมา 
“...ธุระเล็กน้อยไม่จำเป็นต้องรบกวนถึงท่านอ๋องน้อย”
“ในเมื่อธุระเล็กน้อยก็ขึ้นมา” คำพูดนี้ตัดทางหนีทีไล่ของเหลียนอันสุ่ยไปจนหมดสิ้น
---------------------
   “ท่านมิใช่…กำลังยุ่งอยู่หรอกหรือ” คนผู้นี้เหตุใดจึงมาที่นี่ เวลานี้ได้!
   “ก็ยุ่ง  แต่…ตอนนี้นับว่าขี้เกียจไปยุ่งชั่วคราว  ...ทำไมท่านไม่นั่ง? ” ประโยคสุดท้ายฉีเซี่ยงหยวนถามยิ้มๆ 
เหลียนอันสุ่ยได้แต่นั่งลงไป  ความรู้สึกส่วนใหญ่ยังคงเป็นความกดดัน  หัวเราะฝืนๆกล่าวว่า
   “หากท่านคิดจะหยุดงาน คงมีหลายคนต้องปวดหัวแน่” ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือข้า
   “นั่นสินะ” แต่รอยยิ้มเฉื่อยชาที่มุมปากไม่มีท่าทีจะใส่ใจ  สายตาเฉียบคมมองอีกฝ่ายอยู่เป็นนาน นานจนเหลียนอันสุ่ยรู้สึกอึดอัดขึ้นมา  สายตาคู่นั้นจึงค่อยละจากไป  จู่ๆฉีเซี่ยงหยวนก็เอ่ยถามขึ้นลอยๆว่า
   “ท่านว่าข้าควรจะทำอย่างไรกับแคว้นเหลียนดี ?”
คนฟังมีสีหน้างงงัน  จากนั้นดวงตาคู่งามก็หลุบต่ำลง  ถามเช่นนี้เป็นความระแวงหรือต้องการทดสอบข้า ?
   “กับเรื่องนี้ท่านมิใช่มีแผนการอยู่แล้วหรอกหรือ” เลี่ยงการตอบด้วยการย้อนถาม
   “ข้าอยากฟังความเห็นของท่าน” ดูเหมือนฉีเซี่ยงหยวนต้องการจะเอาคำตอบให้ได้
คนฟัง ฟังแล้วนิ่งเงียบไปอึดใจ
   “ท่านก็แค่ใช้วิธีที่ท่านเคยใช้มา…ค่อยๆกลืนแคว้นเหลียนเข้ากับแคว้นเป่ยชางอย่างช้าๆ”
ฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง  สำหรับคนที่มีสายเลือดแคว้นเหลียนอย่างเข้มข้น นั่นควรเป็นหายนะมากกว่าแนวทางปฏิบัติ แต่ดวงตาอีกฝ่ายไม่มีเค้าว่าพูดลอยๆ
   เหลียนอันสุ่ยทอดสายตาออกไปไกล  ใช่แล้ว  ค่อยๆกลืนอย่างช้าๆ ด้วยวัฒนธรรม  ด้วยการค้า  อาศัยความพึ่งพาของแคว้นเหลียนที่มีต่อแคว้นเป่ยชาง ค่อยๆกุมบังเหียนการปกครองเอาไว้ในมือ
   “ท่านต้องการเช่นนั้น ? ” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนมีความคลางแคลงที่ปิดไม่มิด 
เหลียนอันสุ่ยถอนสายตากลับมา กล่าวว่า
   “มันไม่อาจไม่เกิดขึ้น”  ด้วยปัจจัยทุกๆด้าน เรื่องนี้มิใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงได้  แคว้นเหลียนกำลังอยู่ในช่วงเสื่อมถอย  เพราะเคยรุ่งเรืองเกินไป ความเข้มแข็งมั่นคงจึงไม่คงอยู่อีกแล้ว  และแคว้นเป่ยชางก็ไม่มีวันยินยอมปล่อยแคว้นเหลียนไปง่ายๆ  หนทางที่ดีที่สุดคือกลืนเข้ากับพวกเขาซะ  กลืนอย่างละมุนละม่อม  จนสุดท้ายคำว่าสองแคว้นไม่คงอยู่อีกต่อไป  ชาวเหลียนกลายเป็นชาวเป่ยชางอย่างสมบูรณ์  เป่ยชางอ๋องย่อมต้องดูแล ‘ประชาชน’ ของเขา
   “แคว้นเหลียนอาจสามารถปกครองตนเอง โดยอยู่ใต้อาณัติของเป่ยชาง” ฉีเซี่ยงหยวนเสนอ
   “ท่านจะทิ้งหนทางแตกแยกไว้ทำไม  แคว้นเหลียนไม่จำเป็นต้องมีอำนาจทางทหารเป็นของตัวเอง”

ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร  มองเห็นอะไร  ความยิ่งใหญ่ของแคว้นเป่ยชางสุดที่แคว้นเหลียนที่กำลังอ่อนแอจะต่อต้านได้  ต่อให้มีการรวบรวมคน  ทำการปลุกระดม นั่นก็เป็นเพียงสงครามที่ไร้ผลเพราะแคว้นเป่ยชางจะต้องทุ่มเทกำลังคนออกมาจัดการ  ด้วยจำนวนคนที่ต่างกันลิบลับ  สุดท้ายแคว้นเหลียนจะถูกยึดได้อีกครั้งในสภาพที่บอบช้ำกว่าเดิม การปลุกระดมครั้งนั้นจะกลายเป็นขบวนการใต้ดิน  กลายเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งไม่จบสิ้น  ทิ้งร่องรอยแตกแยกเอาไว้ทั้งในจิตใจชาวเหลียนและชาวเป่ยชาง  ที่พระมาตุลาผู้นี้ให้ความสำคัญมิใช่ความเป็นแคว้นเหลียน  แต่เป็นชาวเหลียนต่างหาก   น้อยคนที่จะมีมุมมองเช่นเขา

   จากนั้นฉีเซี่ยงหยวนก็คิดถึงประโยคก่อนหน้า  พึมพำว่า
   “ที่ข้าเคยทำ…ท่านมองได้ทะลุปรุโปร่งยิ่ง”

   ฉีเซี่ยงหยวนไม่ปฏิเสธว่าตัวเองเคยใช้วิธีการนี้มาก่อน  ตอนกลืนชนเผ่าซีเฮ่อเขาไม่เพียงใช้การแทรกซึมทางการค้า  ใช้สินค้าและคนที่อพยพเข้าไปเผยแพร่วัฒนธรรมของชาวเป่ยชาง ยังสนับสนุนการแต่งงานของหัวหน้าชนเผ่าซีเฮ่อกับหญิงชาวเป่ยชาง  เป็นต้นเหตุที่ทำให้สายเลือดของชนเผ่าซีเฮ่อค่อยๆเจือจางลงทีละน้อย 

ที่ร้ายกว่านั้นยังใช้วิธียุแยงให้แตกออกเป็นฝักฝ่าย  แต่ละฝ่ายย่อมต้องพยายามผูกสัมพันธ์กับแคว้นเป่ยชาง  ยิ่งพึ่งพาแคว้นเป่ยชางเท่าไหร่  อำนาจทางทหารก็ยิ่งตกอยู่ในเงื้อมมือแคว้นเป่ยชางมากขึ้นเท่านั้น  จนตอนนี้ชนเผ่าซีเฮ่อแทบไม่อาจเรียกตัวเองเป็นชนเผ่าได้อีก 

เหลียนอันสุ่ยพูดเช่นนี้แสดงว่าไม่ต้องการให้เกิดความแตกแยกที่จะทำร้ายผู้คน  แต่ไม่ได้คัดค้านวิธีการอื่น  เพียงแต่ฉีเซี่ยงหยวนค่อนข้างมั่นใจว่าแผนการตัวเองแนบเนียนรัดกุม  ขนาดหัวหน้าเผ่าซีเฮ่อยังไม่รู้สึกตัว  แต่พระมาตุลาผู้นี้กลับมองออกได้อย่างละเอียดลออยิ่ง  นั่นเป็นไปได้อย่างไรกัน ?
   “มันช่างน่าสงสัย  ว่าทำไมหัวหน้าสภาขุนนางจึงไม่ใช่ท่าน”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มเนือยๆพลางตอบว่า
   “ข้าไม่เหมาะกับตำแหน่งนั้นหรอก”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย  แต่ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำตอบนี้  คนที่จะเล่นการเมืองไม่เพียงต้องรอบคอบรัดกุม  บางคราวยังต้องรู้จักเหี้ยมโหด

   “ข้าเคยเข้าใจว่าท่านไม่สนใจสถานการณ์ของแคว้นอื่น  แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น” เพราะคนที่ไม่สนใจอย่างจริงจัง  ย่อมไม่มีทางมองออกว่าเขาใช้วิธีใดกลืนชนเผ่าซีเฮ่อ
   สายตาของเหลียนอันสุ่ยทอดจับถนนหนทางเบื้องล่าง  ในเงาหลังสูงโปร่งกลับฉาบไว้ด้วยความหม่นหมอง  เอ่ยตอบอย่างแช่มช้าว่า

   “ถ้าข้าไม่สนใจบ้างก็เป็นพระมาตุลาที่ไม่มีความรับผิดชอบไปแล้ว  อย่างน้อยข้า…ก็ยังไม่อยากจะทำผิดต่อพวกเขา  ทุกวันแค่ปัญหาเรื่องปากท้องก็กินเวลาตั้งแต่เช้าจนค่ำ  พวกเขาไหนเลยจะมีเวลาไปคิดเรื่องอื่นอีก  ส่วนข้าก็แค่ทำในสิ่งที่ข้าทำได้” 
ทุกประการล้วนคิดอ่านแทนชาวเหลียน  ฉีเซี่ยงหยวนนับว่าเข้าใจพระมาตุลาผู้นี้เพิ่มขึ้น  ยิ่งเข้าใจเพิ่มขึ้น  ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองออกจะมองคนผู้นี้ผิวเผินเกินไปแล้ว

   “ท่านไม่ได้ทำในสิ่งที่ท่านทำได้” เมื่อหลุดปากออกไปฉีเซี่ยงหยวนก็เห็นเค้าความละอายใจในแววตาของอีกฝ่าย  รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นฝืดฝืน
   “ถูกแล้ว  ความจริงข้าเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง  ถ้าข้าคิดจะทำเพื่อพวกเขาจริงอย่างน้อยก็ต้องดิ้นรนให้มีอำนาจอยู่ในมือ  อย่างน้อยก็ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง…แต่ข้าไม่ได้ทำ”

ฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่ายแล้วก็คิดถึงคำว่า ‘ดิ้นรน’   ดิ้นรนเพื่ออำนาจน่ะหรือ  หากคนผู้นี้ดิ้นรนเพื่ออำนาจจริง ฉีเซี่ยงหยวนพลันรู้สึกเสียดายตัวตนของเขา  คนบางคนเกิดมาเพื่อต่อสู้ดิ้นรน  จนถึงขั้นช่วงชิงของๆผู้อื่น  อวี้เฉียนเป็นคนเช่นนี้  ฉีเซี่ยงหยวนก็เป็นคนเช่นนี้  หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ มีผู้ยิ่งใหญ่กี่คนที่ไม่ใช่คนเช่นนี้ ? 

แต่เหลียนอันสุ่ยไม่ใช่คนประเภทนี้  สายตาของเขาโศกเศร้าแต่กลับปราศจากความทะเยอทะยาน  ความจริงหากเขาเป็นแค่คนธรรมดาคงสามารถมีชีวิตที่มีความสุขอันเรียบง่าย  น่าเสียดายที่เขามองเห็นทะลุปรุโปร่งเกินไป  จนไม่อาจทำเป็นไม่สนใจโดยปราศจากความละอาย  น่าเสียดายที่เขาเป็นพระมาตุลาทำให้ต้องมาพัวพันกับความยุ่งเหยิงของขั้วอำนาจ  และน่าเสียดายที่ตัวตนของเขาเป็นเช่นนี้จึงทำให้อวี้เฉียนละโมบในตัวตนของเขา

   “อำนาจ…ท่านไม่ได้มีสิ่งนั้นอยู่ในมือแล้วหรือ”
   ดวงตาคู่งามมองสบกับดวงตาคมกริบอย่างจริงจัง  พลางกล่าว
   “ข้า ‘เคย’ มี  แต่ถ้าท่านไม่ได้คอยระวังตลอดเวลา สุดท้ายท่านจะพบว่าอำนาจไม่ใช่ของท่านอีกแล้ว”  นี่เป็นความจริง ที่ผู้ปรารถนาในอำนาจทุกคนย้ำเตือนตัวเองอยู่ทุกค่ำเช้า

ฉีเซี่ยงหยวนนึกไปถึงตอนที่บุรุษตรงหน้าสูญเสียภรรยาไป  จากข่าวที่เคยได้ยินมา  คงจะเป็นตอนนั้นนั่นเองที่อำนาจค่อยๆหลุดจากมือเขา  ความเสียใจทำให้ความระแวดระวังลดลง  คนบางคนถึงกับเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมาทำร้ายตัวเอง

   “จากนั้นพอหันกลับมามองอีกครั้ง  ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องการให้ครอบครัวต้องพัวพันกับเรื่องพวกนี้  นั่นคือความเห็นแก่ตัวของข้า”  เหลียนอันสุ่ยพูดต่อจนจบ  ดวงตาของเขาจ้องฉีเซี่ยงหยวนอย่างเงียบงัน  ความหมายอีกนัยหนึ่งคือขอร้องให้ฉีเซี่ยงหยวนเลิกยุ่งกับเหลียนจิ้งเต๋อ  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับรู้สึกถึงความจริงบางประการที่ซ่อนเร้นอยู่  ครอบครัวอย่างนั้นหรือ  คงมิใช่ว่าการตายของเหวินจีมีเงื่อนงำบางอย่างที่เกี่ยวข้องด้วยหรอกนะ

   “ความจริง...ความเห็นแก่ตัวมันก็เป็นสิทธิของมนุษย์นั่นแหละ” นี่คือความเห็นของฉีเซี่ยงหยวน
   เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก  กล่าวว่า
   “ข้ายังมีความเห็นแก่ตัวอื่นอีก  ต้าอ๋องยังทรงพระเยาว์นัก ถือว่าข้าขอร้องท่าน ละเว้นเขาด้วย”
   “ละเว้น ?  ท่านหมายถึงไม่ปลดเขาหรือไม่ฆ่าเขา ? ” ฉีเซี่ยงหยวนมองคนพูดอย่างแปลกใจ  นี่ไม่คล้ายคำขอร้องของคนที่มองราษฎรเป็นใหญ่อย่างเหลียนอันสุ่ยเลย

   “ทั้งสองอย่าง  ถ้าทำได้…ก็ไว้หน้าเขาซักหน่อยเถิด  นี่เป็นคำขอร้องสุดท้ายของน้องสาวข้า  และเป็นความปรารถนาสุดท้ายของต้าอ๋ององค์ก่อน  แคว้นเหลียนอยู่ในกำมือท่านแล้ว  เขาไม่อาจขวางทางท่านได้หรอก” คำพูดนี้เองที่เป็นคำตอบของทุกอย่าง 
ความจริงด้วยศักดิ์ฐานะ เหลียนอันสุ่ยสามารถทำให้เหลียนอ๋องอยู่ใต้อำนาจเขา  ที่เหลียนอันสุ่ยไม่ต้องการก้าวก่ายการปกครองมากมายก็เพราะสาเหตุนี้  เพียงแต่เขาไม่ทำ คนอื่นก็ทำและเหลียนอันสุ่ยก็ไม่อาจหยุดกลไกของมันได้  วิธีเดียวที่จะหยุดสภาพแย่งชิงอำนาจในภาวะเช่นนี้ต้องอาศัยความเหี้ยมโหดเด็ดขาดถึงขั้นลงมือปราบปรามไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง  ที่สำคัญก็คือจำเป็นต้องมีอำนาจที่เหนือกว่าอยู่ในมือ  จึงเป็นสาเหตุที่อวี้เฉียนเข้ามากุมอำนาจนั่นเอง

   “ท่านก็เคยขอร้องอวี้เฉียนอย่างนี้ใช่หรือไม่” ฉีเซี่ยงหยวนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
   “…” แววตาของเหลียนอันสุ่ยหม่นแสงลง คล้ายคิดถึงเรื่องบางอย่าง
   “ได้  ข้ารับปาก” ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังย่ำซ้ำรอยของอวี้เฉียน  ยิ่งมาเขายิ่งเข้าใจขุนพลใหญ่ของแคว้นเหลียนผู้นี้
   “ขอบคุณ”
   “แต่ข้ามีเงื่อนไข” 
ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยซีดลงเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีเค้าแปลกใจ
   “ท่านวางใจ  ข้าเพียงต้องการให้ท่านตอบคำถามข้อหนึ่ง”
ใบหน้าคนฟังเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ 
ฉีเซี่ยงหยวนจ้องอีกฝ่ายอย่างพิจารณาขณะถามว่า
   “ท่านเคยรักอวี้เฉียนบ้างหรือไม่” 
   เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก  ตอบช้าๆว่า
   “ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเขาเป็นความเสียใจ และรู้สึกขอบคุณเท่านั้น” 

แม้แต่ฉีเซี่ยงหยวนก็แยกแยะความรู้สึกที่เกิดในใจตัวเองตอนนี้ไม่ถูก  รู้สึกว่าตัวเองจะไม่พอใจถ้าอีกฝ่ายมีใจให้อวี้เฉียน  แต่ก็ไม่ได้รู้สึกยินดีกับคำตอบ  อาจบางทีฉีเซี่ยงหยวนไม่ต้องการให้ตัวเองซ้ำรอยอวี้เฉียน  ยิ่งมาเขายิ่งรู้สึกว่าเหลียนอันสุ่ย วางกรอบตัวเองไว้อย่างมั่นคงยิ่ง  ไม่ว่าผู้ใดต่างไม่อาจแทนที่เหลียนจิ้งเต๋อกับเหวินจีได้  เหลียนอันสุ่ยอาจยินยอมเสียทุกอย่างเพื่อแลกกับสิ่งที่ล้ำค่ากว่า  แต่ไม่ยินยอมให้ตัวเองผิดต่อสองคนนั้นเป็นอันขาด

   “ความจริงข้าหวังมาตลอดว่าเขาจะเจอผู้หญิงที่เขารัก  ผู้หญิงที่เหมาะสมกับเขา” ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยมองฉีเซี่ยงหยวน คำพูดนี้ไม่เพียงแต่หมายถึงอวี้เฉียนยังหมายถึงฉีเซี่ยงหยวนด้วย 

หากแววตาของฉีเซี่ยงหยวนกลับแปรเป็นแววตาที่อ่านไม่ออก  เขาจะไม่หยุด  นี่อาจเป็นเรื่องไม่สมควร  แต่ยิ่งมาเขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองจะไม่หยุดแน่  เขาต้องการคนผู้นี้  และจะต้องทำให้คนผู้นี้เป็นของเขาให้จงได้  เหลียนอันสุ่ยอาจวางกรอบตัวเองไว้อย่างมั่นคง  แต่ไม่ว่ามั่นคงอย่างไร  ฉีเซี่ยงหยวนย่อมมีวิธีทำให้มันพังทลายลงมา  ทุกครั้งก่อนจะได้มาซึ่งของที่เขาพอใจ ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยวางมือมาก่อน!

   เห็นสายตาที่ไม่มีวี่แววคล้อยตามของฉีเซี่ยงหยวน  ฝ่ามือของเหลียนอันสุ่ยก็พลันชื้นเหงื่อขึ้นมา 
   “...นี่สายมากแล้ว  ธุระไม่ควรรอช้าอีก  ข้าคงต้องขอตัว”
   ฉีเซี่ยงหยวนมองคนหาเรื่องจากไป  ปากกล่าวว่า
   “ท่านไปสะสางธุระเถอะ  เอาไว้ข้าค่อยไปหาท่าน…คืนนี้”
เหลียนอันสุ่ยที่กำลังยืนขึ้นตัวแข็งทื่อในทันใด  สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
   “ท่านอ๋องน้อย  เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง  ด้วยฐานะของท่าน…”

   “ด้วยฐานะของข้าทำไปมีแต่ผลเสียมากกว่าผลได้ใช่หรือไม่” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวต่อให้ มองสีหน้าของคู่สนทนาแล้วหัวเราะเบาๆ พูดต่อว่า “ข้าว่าเรื่องนี้เรามิใช่ตกลงกันไปแล้วหรือ”

   “ท่านควรไตร่ตรอง…” พูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็เอ่ยแทรกว่า
   “ข้าเป็นคนตัดสินใจแล้วไม่เคยเปลี่ยนมาก่อน  ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจอะไร ย่อมต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบยิ่ง  แต่เรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว” คำพูดย้ำช้าๆชัดๆ ไม่หลงเหลือหนทางให้โน้มน้าว
   “เรื่องนี้มิใช่สิ่งที่ผ่านการไตร่ตรองโดยรอบคอบ” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยเยือกเย็นลง คล้ายจะเตือนสติ

คนที่กล้าต่อรองกับฉีเซี่ยงหยวนมีไม่มาก  คนที่สามารถต่อรองอย่างเยือกเย็นยิ่งมีไม่กี่คน  พระมาตุลาผู้นี้บุคลิกภายนอกอ่อนโยน  แต่นอกจากจะใจเย็นแล้วยังใจแข็งอย่างยิ่ง  มีแต่คนที่มีจุดยืนอันแน่นอนจึงสามารถต่อรองให้ตัวเองได้อย่างมั่นคงเยือกเย็น

   “ก็จริง…แต่ก็นับว่าข้าตัดสินใจไปแล้ว  พระมาตุลาข้าหวังว่าท่านจะไม่ลืมข้อหนึ่ง  ว่าถ้าข้าอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา…ไม่ดีแน่  ทั้งต่อแคว้นเหลียน  ตัวท่านเอง  หรือเด็กคนนั้นก็เถอะ  ดังนั้นอย่าขัดข้าอีก” สายตาเรียบนิ่งของฉีเซี่ยงหยวนไม่มีแววล้อเล่น  บุรุษที่วางตัวตามสบายเมื่อครู่ดูราวเปลี่ยนเป็นคนละคน  นี่จึงเป็นฉีเซี่ยงหยวน  โอรสองค์ที่สี่ของเป่ยชางอ๋อง  ผู้กุมอำนาจอันสามารถชี้เป็นชี้ตายผู้คนนับพัน

เหลียนอันสุ่ยก้มหน้าลง  เอ่ยเบาๆว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว  ข้า...ขอตัวก่อน”

รอจนฉีเซี่ยงหยวนพยักหน้ายินยอมให้จากไป  เหลียนอันสุ่ยจึงก้าวถอยออกมา  ในใจรู้สึกสิ้นหวังระคนหวาดหวั่น  คนผู้นี้ไม่เหมือนอวี้เฉียน  การตัดสินใจของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชางยากโน้มน้าวกว่าอวี้เฉียนมากนัก 

ในสายตาคมกริบคู่นั้นคืออำนาจอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด  คือความเชื่อมั่นและการกระทำตามใจตนเองอย่างร้ายกาจ  เหลียนอันสุ่ยแทบไม่อยากไปคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น  คนเช่นนี้อยากจะได้อะไรมักต้องได้เสมอ  เหลียนอันสุ่ยเพียงแค่ไม่เข้าใจเหตุใดบุรุษผู้นั้นจึงไม่ยินยอมปล่อยมือจากเขา  ทั้งๆที่มีผู้คนอีกมากมายที่อ่อนเยาว์กว่าเขา  มีเสน่ห์และเต็มใจปรนนิบัติอีกฝ่ายยิ่งกว่าเขา
บางทีมันคงเป็นแค่ความรู้สึกท้าทายอยากเอาชนะ...ซึ่งเหลียนอันสุ่ยหวังว่ามันจะจางหายไปโดยเร็ว
---------------------
   ที่มุมตำหนักฝั่งตะวันออก  เด็กชายวัยสิบขวบผู้หนึ่งกำลังสาละวนใช้ไม้เขี่ยลูกบอลที่เตะขึ้นไปค้างอยู่บนชายคา  โดยมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันสองสามคนชี้ไม้ชี้มือบอกทิศทาง  บรรดาข้ารับใช้ที่พยายามจะเข้าไปช่วยแต่ถูกปฏิเสธ พากันยืนมองกระเบื้องหลังคาอย่างกังวลใจว่าอาจต้องซ่อมแซมในไม่ช้านี้

   จิตใจของเหลียนอันสุ่ยคล้ายจะหนักอึ้งกว่าเก่า  สองเท้าตรึงแน่น ไม่อาจก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว เมฆหมอกแห่งความละอายใจครอบคลุมลงมาเป็นชั้นบางๆ  ยิ่งตะวันคล้อยบ่ายเท่าไหร่ เมฆหมอกนั้นก็ดูจะกดดันสาหัสขึ้นทุกที

   เหลียนจิ้งเต๋อมองบิดาอย่างกล้าๆกลัวๆ  เข้าใจว่าอีกฝ่ายยังโกรธอยู่จึงไม่ยอมเดินเข้ามาหา  ท่าทางที่มั่นใจอยู่ตลอดเวลากลายเป็นตัวลีบ  ในสิ่งทั้งหมดทั้งมวล เหลียนจิ้งเต๋อหวาดกลัวโทสะของบิดาที่สุด  จำได้ว่าตอนเด็กๆเคยถูกบรรดาเด็กวัยเดียวกันชักชวนให้กลั่นแกล้งบุตรชายขาพิการของใต้เท้าหยางเจ้าพนักงานเล็กๆในกรมตรวจการ  ด้วยความคะนอง  นอกจากเขาจะกลั่นแกล้งอีกฝ่ายจนร้องไห้แล้ว ยังขโมยไม้ค้ำไปซ่อน  เมื่อท่านพ่อทราบเรื่องก็ไปขอโทษใต้เท้าหยางด้วยตัวเอง ทั้งที่ความจริงใต้เท้าหยางกระทั่งสิทธิ์ในการขอเข้าพบท่านพ่อยังไม่มี 

   หลังจากนั้น หนึ่งเดือนเต็มๆ ท่านพ่อไม่ยอมพูดกับเขา  ไม่มองหน้าเขา  เด็กชายขาพิการคนนั้นกลับได้รับการเอาใจใส่จากท่านพ่อแทนเขา  เขายังจำคำพูดสุดท้ายก่อนจะไม่พูดกับเขาได้ขึ้นใจ  ท่านพ่อไม่ได้เรียกเขามาดุด่า  แต่กล่าวว่า ‘พ่อผิดหวังในตัวลูกอย่างยิ่ง’ นับตั้งแต่นั้นกระทั่งนกกระจอกเหลียนจิ้งเต๋อยังไม่กล้าไปเบียดเบียนรังแก

   “ทะ  ท่านพ่อ  …ท่านยังโกรธอยู่หรือ” เสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆทำให้เหลียนอันสุ่ยหลุดจากห้วงความคิด  ก้มหน้าลงไปเห็นเด็กชายวัยสิบขวบ ยืนหลุบตาต่ำอย่างสำนึกผิด
   “พ่อไม่ได้โกรธเจ้า” พูดพลางก้มหน้าลงไปจนระดับเสมอกัน  ฝ่ามือลูบผมที่ยุ่งเหยิงบนศีรษะน้อยๆ
   “แต่  แต่ว่า…ข้าทำผิด”
   “เจ้าไม่ได้ทำผิด” เหลียนอันสุ่ยฝืนยิ้มบางๆ  คนทำผิดคือพ่อต่างหาก  และกำลังจะถลำลึกลงไปยิ่งกว่าเดิมในความผิดพลาดที่ไม่อาจแก้ไข  ความผิดที่จะทำให้เจ้าผิดหวังในตัวพ่อยิ่งกว่าเรื่องใดๆ
เหลียนจิ้งเต๋อเงยหน้าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดดังกล่าว
 
   “ถ้างั้นท่านพ่อ ท่านมากับข้าเร็ว!” กล่าวจบก็ฉวยข้อมือบิดา  วิ่งปร๋อไปยังชายคาที่ยังมีของเล่นคาอยู่  เมื่อทราบว่าท่านพ่อไม่ได้โกรธเขา  เหลียนจิ้งเต๋อก็เลิกทำตัวลีบ  กลับคืนสู่นิสัยดั้งเดิมอย่างรวดเร็ว  เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ  แต่ก็ยินยอมให้เด็กชายฉุดลากไป  ในแววตาซุกซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้อย่างเงียบงัน  ภาวนาให้ความสดใสเช่นนี้คงอยู่ตลอดไป  สวรรค์  หากท่านยังเมตตาข้าอยู่บ้าง  อย่าให้เด็กคนนี้ทราบเลย  ความผิดบาปนี้ขอข้าชดใช้เพียงคนเดียว  เพียงคนเดียวก็พอ

   ดวงตะวันไม่เจิดจ้าเหมือนเคย  สวรรค์คล้ายกำลังมองลงมาอย่างเฉยเมยเย็นชา  คนเดียวก็เพียงพอหรือ  เหลียนอันสุ่ย  ทางที่เจ้าเลือกทำร้ายคนสำคัญของเจ้ามากี่ครั้งแล้ว  เจ้าโง่เขลาหรือกำลังพยายามหลอกตัวเอง  ในโลกนี้มีความลับใดสามารถปิดบังได้ตลอดกาล ?

=========
ช่วงนี้จะมาต่อให้วันเว้นวันน้า(ช่วงหลังคงอัพได้ช้าลงเพราะยังแต่งไม่ไปไหน)
สำหรับคนที่ไปอ่านที่เด็กดีจะเห็นได้ว่าตอนแบ่งไม่ตรงกัน
เด็กดี 2 ตอน=ที่นี่ประมาณ 1 ตอนค่ะ
อันที่ลงที่นี่จะเป็นฉบับแก้ไขล่าสุดนะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: BlueHoney ที่ 08-07-2014 20:23:38
ตอนแรกจะรออ่านเรื่อยๆ ตอนคนเขียนมาอัพที่นี่...
สักพักไปอ่านต่ออีกสักตอนดีกว่า...
เอ๊ะ!...วันนี้ว่างอ่านหน่อยแล้วกัน จนล่วงเลยมาหลายตอนยิ่งนัก>>> :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-07-2014 23:23:25
 o18
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 10-07-2014 12:44:35
บทที่ 4 ฝันร้ายที่หวนคืนมา

   จางจื่อหยูกำลังรู้สึกสับสนงงงวย  ท่านอ๋องน้อยฉีเซี่ยงหยวนคล้ายอยู่ๆก็ใจเย็นขึ้นมา  รายงานความคิดเห็นที่มีน้ำมากกว่าเนื้อของบรรดาขุนนางที่ถูกกองทิ้งไว้ตั้งแต่เช้ากำลังถูกเปิดอ่านทีละม้วนอย่างตั้งใจ  ทั้งๆที่ปรกติแค่พลิกผ่านๆแล้วฟังเนื้อหาโดยสรุปจากปากคนอื่นฉีเซี่ยงหยวนยังต้องรอเวลาตัวเองอารมณ์ดีจึงจะหยิบขึ้นมาทำ  บางทีท่านอ๋องน้อยคงจะกินยาผิดมากระมัง

   จางจื่อหยูไม่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนแม้สมองกำลังอ่านรายงานในมือ ในใจกลับคิดวางแผนไปคนละเรื่อง  เขากำลังเรียบเรียงความคิดว่าจะใช้วิธีการอันใดกับพระมาตุลาคนนั้นดี  ใช่แล้ว  คนผู้นี้ ‘ไม่ง่าย’ แน่  วิธีการต้องไม่อาจรวบรัดเกินไป  และก็ไม่อาจใจเย็นเกินไป  เพราะที่เขาต้องการไม่ใช่แค่เปลือก  ของทุกชิ้นที่เป็นของเขาต้องเป็นของเขาโดยสมบูรณ์
---------------------
   เนื่องจากเล่นมาทั้งเย็น เหลียนจิ้งเต๋อจึงเหน็ดเหนื่อยจนหลับไปแล้ว  เหลียนอันสุ่ยห่มผ้าให้เขาอย่างเบามือ  มองใบหน้าไร้เดียงสาอยู่เนิ่นนาน  เด็กคนนี้ได้เค้าเหวินจีมาหลายส่วน  เกรงว่าหลังจากนี้คงยากจะมองอีกฝ่ายได้อย่างสนิทใจอีกแล้ว 
เหลียนจิ้งเต๋อ พ่อผิดต่อเจ้าเหลือเกิน  แต่กลับไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรจึงจะสามารถชดเชยให้เจ้าได้  ในบางมุมของความรู้สึกมีอ่อนล้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  แต่ร่างกลับยืนขึ้นเงียบๆ  เหลียนอันสุ่ยรู้ว่าเขาจะต้องเข้มแข็ง  ไม่อาจล้มลงไป  เพราะยังมีคนอีกมากมายที่เขาหวังจะปกป้องเอาไว้

   เมื่อพระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนเดินออกมา เยี่ยนจื่อก็รับช่วงไปดูแลต่อ  สิ่งที่เหลียนอันสุ่ยต้องทำหลังจากนี้คือรอคอย  รอคอยให้โชคชะตาพัดพาชะตากรรมที่ไม่อาจขัดขืนมาให้เขา
---------------------
   ห้วงเวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างแช่มช้า 
ในแสงจันทร์ที่สาดลงมาเพียงบางเบาสะกิดให้เหลียนอันสุ่ยนึกถึงฝันร้ายในคืนนั้น 
หากจะถามว่าเขาสามารถลืมเลือนมันจริงหรือ ?  คำตอบคือเป็นไปไม่ได้  แม้พยายามจะลืมแต่ภาพกลับไม่ยอมจางหายไป 
เหลียนอันสุ่ยตัวสั่นสะท้าน  ทั้งๆที่ควรจะรังเกียจ  แต่กลับมีความรู้สึกอย่างอื่นแฝงปนมาด้วย  คล้ายกับเป็นความปรารถนา  เหลียนอันสุ่ยไม่กล้าคิดต่อ  หากเรื่องราวทั้งหมดคล้ายแนบสนิทอยู่ในเงาของเขา  สลัดไม่หลุดและปฏิเสธไม่ได้  สิ่งที่อ๋องน้อยผู้นั้น...ทำกับเขา 

เหลียนอันสุ่ยทราบว่าอีกฝ่ายเห็นเขาเป็นอะไร  ของเล่นชิ้นหนึ่งที่ไม่มีทางดิ้นรนหลุดพ้นกำมือไปได้  แม้ภายนอกจะสงบเยือกเย็นแต่ในใจของเหลียนอันสุ่ยยังคงมีความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ  เรื่องผิดธรรมนองคลองธรรมเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร  เหตุใดความผิดบาปจึงมักมีรสชาติหอมหวาน  เหตุใดทางเลือกจึงมีแต่ต้องถลำลึกยิ่งกว่าเดิม  เรื่องราวทั้งหมดนี่มันผิดพลาดอยู่ชัดๆ
แต่เห็นสภาพของเมืองหลวงในวันนี้เหลียนอันสุ่ยก็รู้ว่าเขาไม่กล้าเสี่ยงให้ความเมตตาของอีกฝ่ายลดน้อยลงไป  แคว้นเหลียนอยู่ในกำมือบุรุษผู้นั้น  เทียบกันแล้วเรื่องส่วนตัวของเขาเล็กน้อยอย่างยิ่ง  เล็กน้อยอย่างยิ่งจริงๆ

ขณะหญิงรับใช้อิ๋งฮวาเข้ามารายงานการมาถึงของอ๋องน้อยแห่งแคว้นเป่ยชาง  ถ้วยน้ำชาในมือของเหลียนอันสุ่ยก็เอียงจนล้นออกมาจากขอบถ้วย  พระมาตุลาแคว้นเหลียนมองรอยเปียกที่แขนเสื้อ  ไม่รู้สึกกระทั่งว่าชาถ้วยนี้ร้อนหรือเย็น  รู้เพียงแต่ว่าเสื้อผ้าอาจซักสะอาดได้  แต่เรื่องที่เขากำลังจะไปทำไม่มีหนทางแก้ไขให้เป็นเหมือนเดิมอย่างเด็ดขาด
---------------------
   แววตาของฉีเซี่ยงหยวนไหวไปวูบหนึ่ง  พระมาตุลาผู้นี้แม้ใบหน้าจะซีดขาวไปบ้าง  แต่ท่าทียังคงสงบอย่างยิ่ง  สงบดั่งที่เคยเป็นเสมอมา  ท่านซ่อนอะไรไว้บ้างกันแน่  ข้าปรารถนาที่จะรู้...และข้าก็รู้ว่าข้าจะได้รู้  คิดพลางเชยคางอีกฝ่ายขึ้น  กดริมฝีปากลงบนเรียวปากที่เม้มสนิทคู่นั้น

รู้สึกถึงเรียวปากที่สั่นสะท้านอยู่ใต้ริมฝีปากเขา  ท่าทีที่อยากจะต่อต้านแต่กลับข่มให้ตัวเองยินยอม  ไม่  นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด  ฉีเซี่ยงหยวนควานหาต่อไป  พบลมหายใจแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว  ริมฝีปากของฉีเซี่ยงหยวนเหยียดเป็นรอยยิ้ม  ประทับที่มุมปากแผ่วเบาคล้ายจะปลอบประโลม  และก็คล้ายจะทะนุถนอม  แต่กลับเลื่อนมาบดขยี้อย่างหนักหน่วงบนเรียวปากอย่างไม่ยินยอมให้บอกปัดปฏิเสธ

ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความคิดสองอย่างที่ขัดแย้งกันเองในตัวเขา  อยากจะค่อยๆสัมผัส  แต่ก็อยากจะกลืนกินลิ้มรส  น่าแปลกที่พระมาตุลาผู้นี้กลับทำให้เกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดถึงเพียงนี้  ต้องการจะทำความเข้าใจและก็ไม่ต้องการจะทำความเข้าใจในเวลาเดียวกัน  เหมือนกับตัวตนที่ดูไปเรียบง่าย  แต่มองอีกคราวกลับซับซ้อนจนอ่านไม่ออก  ราวกับความอ่อนโยนกับความแข็งกร้าวที่ตรงข้ามกันแต่กลับเป็นหนึ่งเดียวกัน

ท่านมายืนอยู่ตรงนี้เพื่อใคร?  เสียสละทั้งหมดนี้เพื่ออะไร?  ท่านต้องการจะผลักไสข้าหรือต้องการจะยั่วยวนข้ากันแน่ เหตุใดข้ายิ่งมายิ่งรู้สึกว่าท่านช่างเย้ายวนใจ
ริมฝีปากหนาเคล้นคลึงจนพอใจแล้วค่อยถอนออก  เอ่ยเสียงแหบพร่าว่า
“พาข้าไปห้องของท่าน”
---------------------
นี่คือประตูบานสุดท้าย  มือเรียวยาวของเจ้าของห้องที่ยื่นออกไปกลับชะงักค้างอยู่กลางอากาศ  หมุนตัวกลับมา  สีหน้าซีดขาวมีแววเจ็บปวดคล้ายนึกเรื่องอันใดขึ้นได้
“ไปตำหนักรับรองของท่านแทนได้หรือไม่” น้ำเสียงเกือบจะเป็นเว้าวอน
ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้ว  พลางกล่าว

“เอาไว้วันอื่น  ข้างในมีอะไรหรือ” มือใหญ่ยื่นออกไปผลักประตูเปิดออก  เป็นห้องที่มีกลิ่นอายเรียบง่ายและสะอาดสะอ้านห้องหนึ่ง  ภายในว่างเปล่าปราศจากผู้คน  เท้าของอ๋องน้อยแคว้นเป่ยชางก้าวนำไปก่อนอย่างถือวิสาสะ
เหลียนอันสุ่ยยืนนิ่งอยู่หน้าประตู  กำขอบประตูแน่น  ไม่ได้  เตียงหลังนั้น...เตียงหลังนั้น
ฉีเซี่ยงหยวนนั่งลงบนเตียง  มองแสงไฟที่จุดไว้แต่ไม่สว่างเท่าไหร่อย่างพอใจ  เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็เลิกคิ้วเล็กน้อย  ถาม
“ทำไมท่านไม่เข้ามา”  คำพูดนั้นเท่ากับบังคับให้เหลียนอันสุ่ยต้องเดินเข้าไป
“ท่านอ๋องน้อย  ที่ไหนก็ได้  แต่ไม่ใช่ที่นี่  ข้าไม่อาจ...” ทำผิดต่อนางได้  เสียงของเหลียนอันสุ่ยคล้ายผิวน้ำสงบที่มีระลอกสั่นไหวบางๆขณะเหลือบมองกิ่งท้อที่นอกหน้าต่าง
 “ทำไม?...หรือว่า...  เตียงนี้เป็นเตียงที่ท่านเข้าหอกับพระชายา ?”
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ตอบ  และไม่ได้มองคู่สนทนา  จับจ้องมองต้นท้อด้านนอกอยู่อย่างนั้น  สายตาคล้ายกำลังมีความเจ็บปวดบางอย่างต่อสู้กันเอง
“ข้าได้ยินมาว่าท้อต้นนี้เป็นของชายาท่าน” เสียงกระซิบแผ่วทุ้มดังอยู่ข้างหู  ร่างกายถูกโอบกอดไว้
“ปล่อยข้า” เหลียนอันสุ่ยพึมพำด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจัง  พยายามง้างมือคู่นั้นออก  แต่มันกลับขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อย
ฉีเซี่ยงหยวนใช้ริมฝีปากนาบลงที่หลังใบหู  เรื่อยลงมาตามเรียวคอ  กล่าว
“ท่านยังคงติดอยู่ในอดีต  ข้าจะช่วยให้ท่านลืมนาง”
“ข้าไม่ต้องการลืมนาง” เหลียนอันสุ่ยเน้นช้าๆ
“ท่านต้องลืมนางเพราะข้าไม่อนุญาตให้คิดถึงผู้อื่นเวลาอยู่บนเตียงกับข้า  นางเป็นอดีตของท่าน  แต่ต่อจากนี้ท่านเป็นของข้า” คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนเนิบช้าชัดเจน  ราวกับต้องการให้คนฟังจดจำสลักลึกไว้ทุกตัวอักษร
สติของเหลียนอันสุ่ยกลับคืนมา  และทราบในตอนนั้นว่าตัวเองกล่าววาจายั่วยุอีกฝ่ายออกไปแล้ว  ร่างถูกดึงให้ล้มลงบนเตียง  ไม่!  ไม่ใช่ที่นี่  ไม่ได้  เหลียนอันสุ่ยคิดผลักร่างสูงใหญ่ออก  แต่เมื่อจะยกมือขึ้นสติทำให้เขาลดมือลงช้าๆ  เพราะการขัดขืนจะกลับกลายเป็นทำให้อีกฝ่ายยิ่งอยากเอาชนะมากขึ้น
“ท่านอ๋องน้อย  ข้า...ไม่ต้องการนึกถึงนาง  ได้โปรดพาข้าไปที่อื่น  พาข้าไป อะ ” ริมฝีปากขบลง  สัมผัสของฉีเซี่ยงหยวนปลุกปั่นอารมณ์ของเขาอย่างร้ายกาจ  หากยังคงพยายามรวบรวมสติกล่าวต่อไปว่า “ไม่ใช่ที่นี่  ไม่เอาที่นี่  ข้า  อื้อ”
“ก็ได้  แต่ข้าบอกแล้วว่าพรุ่งนี้” กล่าวพลางปลดสายรัดเอวออกจากเรือนกายสูงโปร่ง

เหลียนอันสุ่ยมองใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายแล้วเบือนหนี  สัมผัสตรงสันสะโพกเลื่อนลงมาตามเรียวขา  ริมฝีปากบางยิ่งมายิ่งขบแน่น  สะกดคำปฏิเสธไว้ในลำคอ  นึกถึงแคว้นเหลียน  นึกถึงบุตรชาย  ทราบว่าตัวเองต้องมอบอะไรออกไป  ดวงตาคู่งามปิดลงช้าๆ  ในเมื่อไม่มีทางหลบหนีก็ได้แต่ลืมเลือน  ลืมไปให้หมดว่าที่นี่คือที่ไหน  ลืมไปให้หมดว่าตัวเองเป็นใคร  กำลังทำเรื่องเลวร้ายอะไร  ขังตัวเองอยู่ในเปลือก  ปิดผนึกทุกอย่างไว้ในแสงจันทร์  รอเพียงให้รุ่งอรุณมาเยือน  เดี๋ยวมันก็ผ่านไป  เดี๋ยวมันก็ผ่าน... ร่างสะท้านเยือก  เปลือกที่สร้างขึ้นมาห่อหุ้มตัวเองคล้ายกำลังถูกมือข้างหนึ่งฉีกกระชากออก  มือข้างนั้นหยิบยื่นความรู้สึกที่เขาปรารถนาจะลืมเลือน  เต็มไปด้วยการล่อลวงและยั่วเย้า   ริมฝีปากขบแน่นเข้าแต่กลับไม่แน่ใจว่าที่สะกดกลั้นไว้คือคำปฏิเสธหรือเสียงครวญคราง  หยะ หยุดได้แล้ว  ได้โปรด พอที!

เสียงพึมพำอย่างอ่อนแรงในหัวแผ่วจางลงทุกที  เรื่องราวเลวร้ายกว่าที่เหลียนอันสุ่ยคาดไว้มากนัก  ผู้ชายคนนั้นไม่เพียงสัมผัสเขาอย่างไม่เร่งร้อน  ยังคล้ายมีเจตนาปลุกความทรงจำในคืนนั้นที่เขาฝังมันอย่างลำบากยากเย็นขึ้นมา แล้วค่อยๆบังคับให้เขาจดจำใหม่ช้าๆ ในสภาพสติครบถ้วน  ปลายนิ้วของเหลียนอันสุ่ยขยุ้มผ้าปูเตียงแน่น  ขณะบังคับให้ตัวเองโอนอ่อนผ่อนตาม  ม่านหมอกแห่งความปรารถนาบิดทุกอย่างให้พร่ามัว  แต่ในช่วงเวลาที่ปวดร้าวและชวนเมามายที่สุด เขากลับได้ยินอีกฝ่ายเรียกเขาว่า
   “พระมาตุลา”  คำพูดนั้นดึงสติกลับมาอีกครั้ง  จากนั้นความเจ็บปวดก็ฉุดลากเขาเข้าสู่ความจริงที่ว่าตัวเองกำลังทำอะไร  พอๆกับความจริงที่ว่า ตัวเองไม่มีปัญญาทำอะไรเลย
   เมื่อฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกได้ว่าเรือนร่างอีกฝ่ายเครียดเกร็งขึ้นมา  แต่ก็ไม่มีปัญญาต่อต้าน  ก็เหยียดยิ้มอย่างพึงพอใจ
---------------------
   วิกาลคล้อยดึกมากแล้ว  ราตรีกลับคืนสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง 
ฉีเซี่ยงหยวนนั่งมองคนที่อ่อนเพลียจนสลบไสลไปแล้วอย่างพิจารณา  ผมที่รุ่ยร่ายเคลียใบหน้าขับให้เหลียนอันสุ่ยดูนุ่มนวลกว่าเดิม  ไม่มีความโกรธแค้น  กระทั่งช่วงสุดท้ายของการร่วมอภิรมย์ก็ไม่มีความโกรธแค้น  ในดวงตาที่ปิดสนิทคู่นี้มีแต่ความสิ้นหวัง  เจ็บปวดกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป  ความปรารถนาฉาบประกายตาคู่นี้ให้งามซึ้งกว่าปรกติ  ทั้งเย้ายวนทั้งชวนให้เวทนา ความสิ้นหวังทำให้คนเราปล่อยตัวปล่อยใจได้ง่ายดายที่สุด  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับมิได้เป็นเช่นนั้น  ทั้งๆที่เข้มแข็งถึงเพียงนี้แต่กลับมีบุคลิกภายนอกที่อ่อนโยน  ช่างเป็นตัวตนที่น่าสนใจเสียจริง 

ฉีเซี่ยงหยวนสวมเสื้อผ้าช้าๆ  ทราบว่าอีกฝ่ายยังไม่คุ้นชินกับการสนิทสนมที่ยืดเยื้อยาวนาน  แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงไม่สามารถควบคุมตัวเองอยู่ดี  ตัวตนของคนผู้นี้คล้ายกับสามารถเติมเต็มความกระหายทั้งทางร่างกายและวิญญาณของเขาได้อย่างประหลาด  จากนั้นฉีเซี่ยงหยวนก็คิดถึงสิ่งที่ต้องไปทำ…นั่นสินะ…
---------------------
   แสงสีทองของดวงตะวันจับขอบหน้าต่างจนเรื่อเรือง  เหลียนอันสุ่ยค่อยๆรู้สึกตัว  ขณะจะขยับ  ความเจ็บปวดก็แล่นปราดขึ้นมาจนต้องส่งเสียงครางเบาๆ  ฉุดดึงความทรงจำอันเลวร้ายขึ้นมาเป็นฉากๆ  ชัดเจนจนตอกย้ำความรู้สึกอัปยศอดสู  มือสั่นสะท้านเอื้อมออกไปหาบานหน้าต่าง  แต่กลับพบว่ามันถูกคนผู้หนึ่งปิดสนิทตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ  หน้าต่างบานนี้เปิดออกจะเห็นต้นท้อใหญ่กลางสวน    เหลียนอันสุ่ยไม่ทราบเจตนาของฉีเซี่ยงหยวน  แต่ยังคงรู้สึกขอบคุณ  หดมือกลับมา  ปล่อยให้หน้าต่างปิดเอาไว้เช่นนั้น  ร่างซุกลงกับเตียง  เตียงที่เคยมีกลิ่นอายของ ‘นาง’  แต่ตอนนี้มีเพียงความทรงจำที่ผิดบาปของเขาเท่านั้น  เหลียนอันสุ่ยหลับตาแน่น  พยายามไล่เรื่องเลวร้ายที่จับแน่นอยู่ในทุกซอกมุมของความรู้สึกออกไป…
---------------------
   แสงตะวันจัดจ้าย้ำเตือนเวลาว่าสายมากแล้ว  อิ๋งฮวากำลังรอคอยอย่างกระวนกระวายหน้าบานประตูที่หับสนิท  นายท่านของนางไม่เคยตื่นสายเช่นนี้  ขณะเงยหน้ามองประตูเป็นรอบที่สิบสี่ ก็เห็นเงาที่นางคุ้นเคยทาบอยู่หลังบานประตู  ค่อยๆเลื่อนประตูเปิดออกช้าๆ  นางรีบค้อมกายลงกล่าวอย่างนอบน้อมว่า
   “บ่าวให้คนเตรียมอาหารไว้แล้ว  จะให้ยกมาเลยหรือไม่เจ้าคะ”
   “อืมม์” เสียงรับคำเบาๆ  ใบหน้าของของนายท่านดูอ่อนเพลีย แฝงความหม่นหมองแปลกๆ  เมื่อคืนกว่าท่านอ๋องน้อยจะสนทนากับนายท่านเสร็จก็ดึกมาก  ตอนออกมายังบอกว่านายท่านเข้านอนไปแล้ว มีคำสั่งห้ามรบกวนจนกว่าจะเช้า  นางแม้เป็นห่วงอย่างยิ่ง แต่ไม่เคยและไม่กล้าขัดคำสั่งนายท่านมาก่อน จึงได้แต่รออย่างกระวนกระวาย

   หลังหญิงรับใช้วางสำรับอาหารเสร็จ ล่าถอยออกไปแล้ว  เหลียนอันสุ่ยจับตะเกียบค้างไว้อย่างนั้น  แม้จะรับประทาน แต่แทบไม่รู้รสชาติอาหารแม้แต่น้อย  ความรู้สึกฝืดเฝื่อนในลำคอทำให้ใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มบางๆ ปราศจากรอยยิ้มโดยสิ้นเชิง

-------------------
เป่ยชาง  หนานเหมิน โหยวเฉิง หากนับความหลากหลายทางรสนิยมโหยวเฉิงต้องมาเป็นอันดับแรก  แต่ถ้าดูจากความเก่าแก่ยิ่งใหญ่ไม่ว่าแคว้นใดก็ไม่อาจเทียบแคว้นหนานเหมินได้  หนานเหมินแปลว่าประตูสู่ทิศใต้  ไม่ว่าการค้ารายใดหากต้องการเดินทางผ่านลงใต้ไม่อาจไม่ขออนุญาตแคว้นใหญ่แคว้นนี้ก่อน  นี่มิใช่เพราะอาณาเขตแต่เป็นเพราะอิทธิพลอำนาจ  ที่ทุกคนล้วนต้องเห็นแก่หน้าแคว้นหนานเหมิน สาเหตุสำคัญมาจากหนานเหมินอ๋องคนปัจจุบันที่แผ่ขยายอำนาจออกไปจนกว้างขวาง ถึงแม้หนานเหมิน อ๋องจะชราแล้ว  แต่เขาไม่เพียงไม่เลอะเลือน  คล้ายกับยังลึกซึ้งมากเล่ห์กว่าแต่ก่อนเสียอีก

   หนานเหมินอ๋องชมชอบเลี้ยงนก  ในวังอันโอ่อ่าของเขาครึ่งหนึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์ปีกชนิดนี้  ปรกติส่วนที่มีนกอยู่ย่อมมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวมิใช่น้อย  แต่ตอนนี้ส่วนสัดเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ  คล้ายกับว่าเมื่อพบคนผู้นี้ไม่ว่าสัตว์หรือคนล้วนต้องเปลี่ยนเป็นเงียบกริบขึ้นมา
   ผ่ามืออันแห้งกรังเหี่ยวย่นของหนานเหมินอ๋องไล้ตามกรงนกเบาๆ  ดวงตาที่ลึกซึ้งราวเหยี่ยวร้ายมีแววครุ่นคิด  จมูกของเขางองุ้ม  ใบหน้าแคบยาวไว้เคราจรดอกมีเรียวปากได้รูป  แต่เมื่อมันหยักเป็นรอยยิ้มกลับดูน่ากลัวอย่างไรบอกไม่ถูก
   “เจ้าเด็กร้ายกาจ…ที่แท้เล็งไว้ตั้งแต่แรกแล้วสินะ” เสียงทุ้มที่ติดจะพร่าแหบเล็กน้อยในตอนท้ายดังเนิบๆ  คนสนิทด้านข้างปิดปากสนิท  ล้วนทราบว่าต้าอ๋องมิได้กำลังเอ่ยกับตน

   หากหนานเหมินอ๋องคือเหยี่ยวร้ายที่ครอบครองน่านฟ้ามาเนิ่นนาน  ขณะนี้ฟากฟ้าก็ปรากฏอินทรีขึ้นมาอีกตัวหนึ่งแล้ว  เป่ยชางอ๋องแม้จะไม่เลวอยู่  แต่หนานเหมินอ๋องยังไม่เคยต้องเปลืองสมองไปกังวลใจ  บุตรเด่นล้ำกว่าบิดา  บุรุษเช่นเป่ยชางอ๋องกลับให้กำเนิดบุตรเช่นฉีเซี่ยงหยวนขึ้นมาคนหนึ่ง  และเด็กคนนี้ก็กำลังสั่นคลอนฐานะไร้คู่ต่อกรของหนานเหมินอ๋องอย่างเงียบงัน

   หนานเหมินอ๋องไม่กลัวหยงเซี่ยที่ถูกกล่าวขานเป็นเทพสงครามของเป่ยชาง หยงเซี่ยอาจนำชัยชนะเป็นสิบครั้งมาสู่แคว้นเป่ยชาง  แต่การจะกำจัดเขาให้พ้นทางมิใช่เรื่องยากเย็นอะไร  อย่าว่าแต่หยงเซี่ยอาจไร้เทียมทานในสมรภูมิรบ  แต่บนหมากกระดานระดับแว่นแคว้น  เขาก็เป็นได้แค่หมากที่มีความสำคัญตัวหนึ่ง  ที่น่ากลัวคือคนที่มีความสามารถในการเดินหมาก
   ถ้าเทียบชื่อเสียงอันกระเดื่องดัง หยงเซี่ยนับว่าเหนือกว่าฉีเซี่ยงหยวนเป็นไหนๆ  แต่หนานเหมินอ๋องยิ่งมาก็ยิ่งคาดเดาความคิดของเด็กคนนั้นยากขึ้นทุกที  หนานเหมินอ๋องอาจจะเหนือกว่าฉีเซี่ยงหยวนอยู่ช่วงหนึ่ง  แต่ช่วงนั้นยิ่งมาก็ยิ่งแคบเข้าทุกขณะ  ครั้งแรกที่หนานเหมินอ๋องทราบความน่ากลัวของฉีเซี่ยงหยวน  ก็เป็นตอนเดียวกับที่ทราบว่าไม่มีปัญญากำจัดเขาอีกแล้ว
 
   นี่จึงเป็นความร้ายกาจที่สุดของฉีเซี่ยงหยวน  วางหมากอย่างเงียบเชียบ เก็บเกี่ยวอย่างเงียบงัน  หากหนานเหมินอ๋องรู้สึกถึง ‘มือ’ ของเขาก่อนหน้านี้  ฉีเซี่ยงหยวนอาจมีปัญญาเอาชนะหมากตาหนึ่ง  แต่ต้องถูกหนานเหมินอ๋องกำจัดออกไปจากกลุ่มของ ‘ผู้เล่น’ อย่างถาวร  เพราะกับหนานเหมินอ๋อง การพ่ายแพ้ไม่ว่ากี่กระดานล้วนคุ้มค่าเมื่อแลกกับการกำจัดคนที่มีความสามารถในการวางหมากคนหนึ่งและนี่ก็คือความน่ากลัวของหนานเหมินอ๋องที่ฉีเซี่ยงหยวนระวังตลอดมา

   “ลูกอิ้ง  เจ้าเข้าใจความหมายของฉีเซี่ยงหยวนรึเปล่า” เสียงแหบทุ้มถามขึ้น  แต่สายตายังจับจ้องนกในกรง
   หลงอิ้งบุตรคนรองของหนานเหมินอ๋อง เมื่อได้ยินคำถามของบิดาก็รีบสงบใจใคร่ครวญ  ก่อนจะตอบว่า
   “มันกำลังท้าทายพระบิดา”
   “เจ้าอายุมากว่าฉีเซี่ยงหยวนสามปี  เวลาสามปีเพียงพอจะเรียนรู้อะไรมากมาย  ในบรรดาบุตรของข้า  เจ้าชาญฉลาดที่สุด  ลองใคร่ครวญดูอีกซักรอบ”  น้ำเสียงของหนานเหมินอ๋องเฉื่อยชา  คล้ายมีความอดทนอย่างยิ่ง  ให้รออีกนานเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร
   หลังการคิดซ้ำอย่างละเอียด หลงอิ้งก็ตอบว่า
   “เขาจะสั่นคลอนอำนาจท่าน” คำตอบนี้นำความแตกตื่นมาสู่ดวงตาของผู้ที่อยู่รายล้อม  แต่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมา  มุมปากของหนานเหมินอ๋องปรากฏรอยยิ้มขึ้น

   “ใช่แล้ว  ความจริงตั้งแต่เรามีเรื่องกระทบกระทั่งกับแคว้นโหยวเฉิง มันก็รอมาตลอด  ทั้งๆที่ข้าว่าข้าระวังแล้วก็ยังพลาดอยู่ดี  ไม่ทันคิดว่ามันจะเดินหมากเช่นนี้” การฮุบกลืนแคว้นเหลียนทำให้ขุมอำนาจเริ่มมีความเปลี่ยนแปลง  แคว้นเป่ยชางที่เป็นแคว้นใหญ่อยู่แล้ว กำลังจะก้าวล้ำอีกสองแคว้นที่เหลือไปช้าๆ     แคว้นเป่ยชางเป็นแคว้นใหม่  แม้จะมีการทหารที่เข้มแข็งกว่าอยู่บ้าง  ความจริงด้านอำนาจบารมียังไม่เทียบเท่ากับแคว้นหนานเหมิน  แต่เมื่อได้แคว้นเหลียนไม่ว่าใครก็ดูถูกแคว้นเป่ยชางไม่ได้อีกแล้ว  กับความเก่าแก่และอารยธรรมของแคว้นเหลียน ขนาดแคว้นหนานเหมินยังต้องยอมรับว่าสู้ไม่ได้ 

   แคว้นเหลียนนับเป็นหยกล้ำค่าชิ้นงามที่ไม่ว่าใครก็อยากได้  แคว้นเล็กๆลงไปลงไปย่อมไม่มีหวัง ตราบใดที่สามแคว้นใหญ่ยังกุมอำนาจอยู่  ไม่เพียงยากจะกลืนกิน  กลืนเข้าไปยังต้องถูกบังคับให้คายออกมา ประคองส่งมอบให้  ดีไม่ดียังเป็นการตอแยแคว้นใหญ่ให้มีโทสะ  ส่วนสามแคว้นใหญ่ย่อมตรึงอำนาจกันเอง  ใครก็อย่าหมายได้ครอบครองแคว้นเหลียน แต่ตอนนี้ทุกอย่างพลิกผัน  ฉีเซี่ยงหยวนกลับฉวยโอกาสจนได้แคว้นเหลียนไป

   “ความจริงตอนแรกที่เจ้าว่ามามันก็ถูก  มันไม่เพียงท้าทายข้า  จุดประสงค์ยังต้องการให้ข้ามีโทสะ...เพราะมันรู้ว่าถึงข้ามีโทสะก็ยังต้องอดทนไว้  ไม่ยินยอมดำเนินแผนการอย่างหุนหันพลันแล่น”  คล้ายกับมีเสียงสูดลมหายใจพร้อมกันหลายเสียง  อาจบางทีในหลายสิบปีมานี้คงมีแค่ฉีเซี่ยงหยวนคนเดียวที่กล้าตอแยหนานเหมินอ๋องให้มีโทสะ
   ทุกคนต่างรู้ดี เมื่อสิบสามปีที่แล้ว ตอนหนานเหมินอ๋องยังหนุ่มกว่านี้  เคยคิดจะตีแคว้นเหลียน  แต่สุดท้ายเสียเวลาไปเป็นแรมปีก็ยังไม่สำเร็จ  จำต้องถอนทัพกลับเพราะหากปล่อยให้ความเสียหายสาหัสกว่านี้แคว้นที่เหลือต้องรอซ้ำเติมแน่  นี่เป็นความอัปยศในใจหนานเหมินอ๋องตลอดมา  ในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดยังไม่สามารถตีแคว้นเหลียนแตกได้ 

หากตอนนั้นความอัปยศยังไม่รุนแรงเท่าไหร่  เพราะแคว้นเหลียนเป็นแคว้นที่ยากครอบครอง  แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยมีแคว้นใดมีชัยเหนือแคว้นเหลียนอย่างเด็ดขาดมาก่อน  ส่วนตอนนี้...  ทุกผู้คนล้วนปิดปากแน่นกว่าเดิม

   “นี่คือนกอินทรี” นิ้วเรียวยาวแห้งกรังชี้ไปที่นกในกรง  ไม่ว่าใครก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมอยู่ดีๆเรื่องคนกลับเปลี่ยนเป็นเรื่องนกได้  ต้องมองตามอย่างงงงวยอยู่บ้าง
   หนานเหมินอ๋องกล่าวต่อว่า
   “ฉีเซี่ยงหยวนก็คืออินทรีตัวหนึ่ง  ตอนนี้มันกำลังจะสยายปีกโอบคลุมน่านฟ้า”  คำพูดเนิบช้าแต่ชัดเจนทุกคำค่อยๆกดลงไปในหัวใจคนฟัง  รอยยิ้มกลับมาบนริมฝีปากคนพูดอีกครั้ง
   “แต่มันก็ยังไม่แน่นัก  เพราะบนฟากฟ้ายังมีกฎเกณฑ์ที่ร้ายกาจกว่าที่มันคิด...อย่าว่าแต่มันยังมีข้าอยู่อีกคน...”
---------------------
   “ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์  ป่านนี้คงกระวนกระวายจนนอนไม่หลับแล้วสิ”  ฉีเซี่ยงหยวนพึมพำกับตัวเอง  จางจื่อหยูได้ฟังต้องสะดุ้งเฮือกใหญ่  สำหรับชาวเป่ยชางหรือโหยวเฉิง  หนานเหมินอ๋องนับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยากตอแย  ไม่ว่าคนส่วนใหญ่จะชอบเขาหรือไม่  แต่ทุกคนก็ยอมรับในข้อนี้

   ฉีเซี่ยงหยวนรู้ดี  เฒ่าจิ้งจอกนั่นต้องมีโทสะแน่  แต่ที่เหนือกว่าโทสะคือความกระวนกระวาย  หนานเหมินอ๋องยินดีมีโทสะจนอัดอกตาย ถ้าสามารถกำจัดความกระวนกระวายนี้ออกไป ‘ถ้าท่านไม่คอยระวังตลอดเวลา จะพบว่าอำนาจไม่ใช่ของท่านอีกแล้ว’ นับเป็นความจริงทุกประการ  อย่าว่าแต่ตัวตนของอำนาจเองก็ไม่เคยมีความเสถียร  บางครั้งระมัดระวังแทบตาย  มันยังคงค่อยๆหลุดมือไป

   “และข้าจะช่วยง้างมือท่านให้เอง...” คำพูดแผ่วเบาในความเงียบงัน
   ---------------------
   ความจริงการบุกยึดแคว้นเหลียนมีเบื้องหลังอันซับซ้อน  การทะเลาะกันเองของแคว้นหนานเหมินกับโหยวเฉิงเกิดจากการกระทบกระทั่งเล็กๆน้อยๆที่ถูกฉีเซี่ยงหยวนเติมเชื้อไฟรอให้มันลุกลามอย่างใจเย็น  และความใจเย็นนี่เองที่ทำให้กว่าหนานเหมินอ๋องจะไหวตัวทัน  คาดเดาจุดมุ่งหมายของฉีเซี่ยงหยวนออก ก็สายไปเสียแล้ว

   การกระทบกระทั่งกันเมื่อถึงระดับหนึ่ง แคว้นหนานเหมินที่อยู่ใกล้เป่ยชางที่สุดก็เริ่มล้ำแดนของโหยวเฉิง  หากฉีเซี่ยงหยวนยังคงไม่เคลื่อนไหว  แสร้งทำเป็นยุ่งวุ่นวายกับนโยบายพัฒนาแคว้น  ต่อมาแคว้นหนานเหมินถูกแคว้นโหยวเฉิงยันกลับมาในสภาพบอบช้ำบางส่วน  เป่ยชางก็ยังคงเงียบเฉย  เมื่อแคว้นหนานเหมินบุกยึดเมืองสำคัญของโหยวเฉิงสำเร็จ  ทั้งสองฝ่ายต่างเสียหายหนักขึ้น  ต่างล่าถอยเพราะกลัวจะถูกเป่ยชางซ้ำเติม 

ความจริงหากแคว้นเป่ยชางจะยึดหนานเหมินหรือโหยวเฉิงตอนนั้นก็นับว่ามีโอกาสมากว่าครั้งใดๆ  เพียงแต่เปิดศึกแม้จะได้ชัยก็ต้องเสียหายอย่างหนัก  อีกแคว้นที่เหลือยังมีกำลังพอที่จะบดขยี้แคว้นเป่ยชาง 
หนานเหมินอ๋องเป็นเฒ่าเจ้าเล่ห์  ทำลายก่อนยังยุ่งยาก เก็บไว้ทีหลังยิ่งไม่ได้เป็นอันขาด  สิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนทำคือกรีฑาทัพเปิดศึกกับแคว้นที่เล็กกว่าอย่างแคว้นเหลียน  เพราะต่อให้พ่ายแพ้ ด้วยกำลังของหนานเหมินกับโหยวเฉิงขณะนั้นยังไม่มีปัญญาโค่นล้มแคว้นเป่ยชาง  หนานเหมินอ๋องแม้มีความสามารถกระตุกขาหลังก่อกวน  แต่โหยวเฉิงยังคงจับจ้องมองเมืองที่ถูกยึดไปตาไม่กระพริบ  หากหนานเหมินอ๋องไม่คิดจะสูญเสียเมืองที่ยึดมาจำเป็นต้องทำตัวเรียบๆร้อยๆแต่โดยดี

ที่จริงแล้วเมืองที่หนานเหมินอ๋องยึดได้ แม้เทียบไม่ได้กับแคว้นเหลียนแต่ก็เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญและมั่งคั่งอย่างยิ่ง  ไม่เช่นนั้นหนานเหมินอ๋องให้ตายก็ไม่ยอมเคลื่อนพล  เพียงแต่ว่าด้วยศักดิ์ศรีของเขา  การเสียรู้คนรุ่นลูกอย่างฉีเซี่ยงหยวนย่อมทำให้รู้สึกเหมือนโดนเด็กถอนหงอกไม่มีผิด !

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 12-07-2014 19:24:40
บทที่ 5 พยัคฆ์ร้ายกับสายน้ำ

แสงแดดอบอุ่นของฤดูใบไม่ร่วง กลับทำให้พระมาตุลาแคว้นเหลียนรู้สึกหนาวเหน็บ  เขาก็ไม่ทราบว่าตัวเองตัดสินใจถูกต้องหรือไม่  เพียงแต่รู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีก  พูดให้ถูกคือไม่อาจเลือกทางอื่น

สิ่งสำคัญที่สุดของเขาตอนนี้คือเหลียนจิ้งเต๋อกับชาวเหลียน  กับอย่างแรกเขาต้องปกป้องไว้...ได้แต่หวังว่าจะปิดบังได้ตลอดไป  เหลียนอันสุ่ยยิ้มฝืนๆ  ซบหน้าลงกับผ่ามือตัวเอง  ทราบว่าไม่มีทางเป็นไปได้  ที่เขาทำได้เป็นเพียงการซื้อเวลา  ยืดเวลาออกไปรอจนเหลียนจิ้งเต๋อโตกว่านี้  เพียงแต่การยืดเวลาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน  รอจนถึงตอนนั้น ความผิดบาปของเขาคงสาหัสจนไม่อาจแก้ไข  เหลียนจิ้งเต๋อจะเกลียดเขา  แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับมันจะทำลายเด็กคนนั้น

กับชาวเหลียน เรื่องนี้ยิ่งเปิดเผยไม่ได้เป็นอันขาด  ความอัปยศเป็นของเขาเพียงคนเดียวก็พอแล้ว  ที่เขาหวาดกลัวไม่ใช่ความเกลียดชัง  แต่เป็นสงครามซ้ำซ้อน  เขารู้ฉีเซี่ยงหยวนไม่กลัวหรอก  แต่แคว้นเหลียนทนการสูญเสียซ้ำสองไม่ไหวแล้ว  ในทางกลับกันเหลียนอันสุ่ยก็รู้ถึงสิ่งที่เซี่ยงหยวนต้องการจะสื่อ  ทราบว่าทำเช่นนี้คนที่ได้ประโยชน์คือแคว้นเหลียน  ก็แบบเดียวกับอวี้เฉียน เหลียนอันสุ่ยอาจไม่มีอำนาจโดยตรง  แต่โน้มน้าวชักจูงได้  เพียงแต่อวี้เฉียนไม่กล้าแตะต้องเขา  หากฉีเซี่ยงหยวนกลับเรียกร้องร่างกายของเขา

...อาจบางทีแต่ก่อนเขาได้กำไรมามากเกินไป  ตอนนี้จึงต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้างแล้ว

“อิ๋งฮวา”
“เจ้าคะ” เสียงตอบรับแผ่วเบาดังออกมาจากข้างนอก  เจ้าของเสียงเลื่อนประตูเข้ามา
เหลียนอันสุ่ยหันไปกล่าวกับนางว่า
“เย็นนี้ข้าจะไปเรือนรับรอง...หลังจากนี้ก็เหมือนกัน  ท่านอ๋องน้อยแคว้นเป่ยชางต้องการปรึกษาข้า  คงกลับดึกหน่อย  ให้เยี่ยนจื่อจัดการให้คุณชายน้อยนอนไปเลยไม่ต้องรอ”
“เจ้าค่ะ”
   ---------------------
  ไม่ว่าเรื่องราวใดเกิดขึ้น  โลกก็ยังคงหมุนไป  ชีวิตเองก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป 

“เจ้าบอกว่าวันนี้เขาไปเยือนโรงหมอ  โรงช่าง  ทั้งยังออกไปในเมืองอีกแล้ว ? ”
ช่วงนี้การเข้าออกสถานที่แต่ละแห่งล้วนถูกจับตาดู  เข้าออกวังหลวงในแต่ละครั้งต่อให้เป็นราชนิกุลก็ต้องยื่นเรื่องยื่นเหตุผลมาอย่างชัดเจน  หากมีความเคลื่อนไหวใดผิดสังเกตจะถูกรายงานขึ้นมา  ทั้งหมดเป็นไปเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยกันการก่อการใดๆที่อาจเกิดขึ้น  แม้ฉีเซี่ยงหยวนจะมิได้ใช้นโยบายเคร่งครัดมากนักกับเชื้อพระวงศ์  แต่นั่นคือฉากหน้า  ฉากหลังยังคงมีการระวังป้องกัน  การทำตัวประมาทไม่เคยใช่นิสัยขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชาง  เพียงแต่...คนที่ถูกรายงานขึ้นมาในวันนี้กลับเป็นพระมาตุลาแคว้นเหลียน

ดูจากรายละเอียดแล้วฉีเซี่ยงหยวนคาดว่าเหลียนอันสุ่ยคงไม่ได้มีเบื้องหลังเป็นแผนการอันใด  เพราะการเคลื่อนไหวไม่ได้มีจุดผิดสังเกต  ประเด็นที่ไม่ปรกติมีเพียงสองเรื่อง...คือเหลียนอันสุ่ยไปเยือนหลายที่เกินไปและไปในที่ที่เชื้อพระวงศ์ส่วนใหญ่ไม่ไปกัน

 คนแรกรายงานเสร็จออกไป  คนที่เคยถูกใช้ให้ไปสืบประวัติของเหลียนอันสุ่ยถูกเรียกตัวเข้ามา  ฉีเซี่ยงหยวนต้องการคำอธิบายสำหรับพฤติกรรมเหล่านี้ของพระมาตุลาแคว้นเหลียน 

สายคนนั้นรีบค้อมกายลงตอบว่า
“อย่างที่ข้าน้อยเคยรายงานไป  พระมาตุลาเป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านงานช่างของแคว้นเหลียนมาโดยตลอด  ทำให้แม้จะเกิดการเปลี่ยนถ่ายอำนาจติดๆกันหลายครั้ง  วังหลวงวุ่นวายปั่นป่วน  ทางด้านงานช่างของแคว้นเหลียนก็ยังคงพัฒนาการผลิตอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้ซบเซาลงไป  นอกจากนี้...”

ฉีเซี่ยงหยวนกลับยกมือขึ้นเป็นความหมายให้เงียบเสียงก่อน  ทบทวนความทรงจำ  พลางพึมพำอย่างครุ่นคิดว่า
“ใช่  เรื่องนี้เจ้าเคยรายงานข้าแล้ว  ตอนนั้นเจ้าบอกว่า...เหลียนอันสุ่ยมีความรู้ด้านการแพทย์ด้วย ?” หันหน้าไปมองอีกฝ่าย  สีหน้าเปี่ยมด้วยแววกังขา  เห็นอีกฝ่ายรับคำ  ฉีเซี่ยงหยวนก็เลิกคิ้วสูง  กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่า
“คนผู้หนึ่งมีที่นั่งในสภาขุนนาง แต่กลับไปสนใจงานที่ไม่เกี่ยวข้องมากมายถึงเพียงนี้  ตอนแรกข้าฟังจากปากเจ้ายังเข้าใจว่าเป็นเพียงการเกี่ยวข้องโดยผิวเผินแบบที่เชื้อพระวงศ์ชอบทำเพื่อเอาชื่อเสียงเสียอีก  แต่นี่กลับเข้าไปดูงานด้วยตัวเองเชียวหรือ...” สีหน้าของฉีเซี่ยงหยวนมีแววครุ่นคิด  มือใหญ่พลิกข้อมูลที่เคยให้อีกฝ่ายไปหามาเพื่ออ่านซ้ำอีกรอบ  ซักถามอีกเล็กน้อย ค่อยปล่อยให้อีกฝ่ายไปจัดการงานที่ค้างไว้

เป็นเชื้อพระวงศ์ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆและจารีต  มีที่นั่งในสภาขุนนางย่อมต้องรู้จักมักคุ้นกับขุนนางทั้งหลาย รวมถึงต้องปวดหัวกับนโยบายพัฒนาแคว้น  นี่ยังไม่พอ  ยังไปหาเรื่องทั้งโรงช่างและโรงหมอมาสุมใส่ตัว ซ้ำยังเจียดเวลาไปดูบุตรชายได้...วันๆหนึ่งของเหลียนอันสุ่ยมีกี่ชั่วยามกันแน่ ?

กวาดตามองตามข้อมูลที่ปรากฏบนซีกไม้ไผ่  ในนั้นมีทั้งว่าเหลียนอันสุ่ยเคยทำอะไรมาบ้าง  เป็นญาติเกี่ยวดองกับใคร  แต่อุปนิสัยของเขา  ความสามารถทั้งหมดของเขา  กลับระบุได้ไม่กระจ่างชัดนัก  นี่มิใช่เพราะข้อมูลไม่ละเอียดถี่ถ้วนพอ  แต่ข้อมูลเป็นของตายตัว  ส่วนคนกลับมีชีวิต  และคนแบบเหลียนอันสุ่ยไม่อาจถูกตีความได้โดยง่ายดาย
 
เสียงรายงานทำให้ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าพระมาตุลามารออยู่ที่ด้านนอกแล้ว มุมปากยกยิ้มขึ้น  เหลือบมองรายงานจากกองทัพที่ดูเหมือนจะไม่ได้อ่านอย่างที่ตั้งใจไว้ 

ช่างเถิด  บางทีการอ่านคนๆหนึ่งให้ออกก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจกว่า  คิดพลางผุดลุกจากโต๊ะ
---------------------
เหลียนอันสุ่ยนั่งรอคอยด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น  หากในใจของเขามีความกระวนกระวายอยู่ก็นับว่าซ่อนได้อย่างหมดจดทีเดียว 
เหลียนอันสุ่ยคาดว่าฉีเซี่ยงหยวนคงยังมีธุระติดพัน  จึงไม่ได้ออกมาพบเขาโดยทันที  เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน  หวังว่าธุระดังกล่าวของฉีเซี่ยงหยวนจะยืดยาวออกไปจนเลยเที่ยงคืน  การนั่งรอไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา  ที่เขามีปัญหาคือ ‘เรื่องอื่น’

ตลอดรายทางมา เหลียนอันสุ่ยไม่เห็นนางกำนัลแม้แต่คนเดียว  ทหารยามที่ประจำอยู่ด้านนอกก็เพียงประจำเฉพาะจุดที่จำเป็นเท่านั้น  เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรักษาคำพูด ที่จะเก็บทุกความสัมพันธ์ไว้เป็นความลับ  เพียงแต่เมื่อไม่มีคนอื่น  สถานการณ์ของเขายิ่งล่อแหลมอันตรายขึ้น

ขณะเหลียนอันสุ่ยกำลังครุ่นคิด  ฉีเซี่ยงหยวนที่เข้ามานานแล้วก็ใช้สายตากวาดสำรวจอีกฝ่าย  วันนี้พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนสวมชุดสีขาวที่สุภาพมิดชิด  เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการชักจูงให้เขาเกิดอารมณ์ปรารถนา  ทั้งยังจงใจสวมเสื้อหลายชั้นเพื่อให้การถอดเป็นเรื่องยุ่งยาก  เพียงแต่ทางด้านนี้เหลียนอันสุ่ยยังอ่อนประสบการณ์ไปบ้าง  บางครั้งความมิดชิดก็เป็นความเย้ายวนอย่างหนึ่ง  สีขาวยิ่งเป็นสีที่ขับความสะอาดบริสุทธิ์ของเขาจนถึงที่สุด  จนทำให้คนแทบไม่กล้าแตะต้อง  แต่เหลียนอันสุ่ยไม่ทราบว่ารูปลักษณ์นี้เองที่ดึงดูดฉีเซี่ยงหยวนมาตั้งแต่ต้น

ใช้เวลาลวนลามทางสายตาอยู่พักใหญ่  คนครุ่นคิดก็ยังคงไม่รู้สึกตัว  จนกระทั่งฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยขึ้นว่า
“โรงหมอ  โรงช่าง  ตรอกซอกซอยที่นอกวัง  ที่เหล่านี้ท่านไปทำอันใดหรือ”
เหลียนอันสุ่ยสะดุ้งเล็กน้อย  หันไปก็เห็นร่างสูงใหญ่แบบบุรุษชาวเป่ยชางก้าวยาวๆเข้ามาใกล้  ฉีเซี่ยงหยวนสวมเพียงชุดลำลองสีดำ  มัดกล้ามบนร่างแกร่งทำให้ทุกการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกลมกลืนน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก 

ฟังคำพูดอีกฝ่ายแล้วดวงตาของเหลียนอันสุ่ยก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เพียงทราบว่าวันนี้เขาไปที่ไหนมาบ้าง  ลำดับก่อนหลังยังเรียงได้ถูกต้อง
เห็นร่างสูงโปร่งนิ่งไป  ฉีเซี่ยงหยวนจึงเอ่ยต่อว่า
“ท่านทำเช่นนี้ไม่ระวังตัวเอาเสียเลย  หรือไม่กลัวจะโดนข้อหาคิดการกบฏ”
ที่แท้ระเบียบที่หย่อนให้เบื้องหลังกลับมิได้หย่อนยานเลย  แน่นอนว่าที่ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวเช่นนี้ไม่ได้ต้องการจะเอาเรื่อง  แต่เป็นการเตือน  หากฉีเซี่ยงหยวนต้องการจะเอาเรื่องจริงๆไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาใด  เพียงส่งทหารมาก็ใช้ได้แล้ว

เหลียนอันสุ่ยก้มหน้าลง  กล่าวขอบคุณว่า
“ครั้งหน้าไปไหนมาไหนจะแจ้งจุดประสงค์อย่างชัดเจน  ขอบคุณท่านอ๋องน้อยที่ตักเตือน”
“เอาเป็นครั้งหน้าไปไหนมาไหนไม่ต้องยื่นเรื่องไม่ดีหรือ  ข้าให้ข้อยกเว้นกับท่านเป็นอย่างไร” ถามพร้อมรอยยิ้ม
เหลียนอันสุ่ยไม่กล่าววาจา  เหลือบมองอีกฝ่ายช้าๆ  ไม่เข้าใจว่าฉีเซี่ยงหยวนต้องการอะไร

“ทั้งโรงช่างทั้งโรงหมอล้วนมีบุคลากรที่ข้าต้องการ  ท่านไปคัดเลือกพวกเขาให้กับข้า  ในเมื่อทำงานให้ข้า เข้าออกวังหลวงไม่จำเป็นต้องรายงานขึ้นมา  ถือว่าข้าให้สิทธิ์นี้แก่ท่านเป็นการตอบแทน”
เหลียนอันสุ่ยอุปถัมภ์โรงช่างและโรงหมอมานานหลายปี  ช่างฝีมือเก่งกาจมีเท่าไหร่  หมอมากความสามารถมีกี่คน  สมควรทราบกระจ่าง  ดังนั้นการมอบหมายนี้  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ตัดสินใจไปโดยไม่มีเหตุผล

“ท่านไว้ใจในความสามารถของข้า ? ” ให้เขาคัดเลือกคนให้อย่างนั้นหรือ
“วางใจอย่างมาก  ...หรือท่านคิดว่าข้าควรมอบหน้าที่นี้ให้กับใต้เท้าฝู ? ”
สีหน้าของเหลียนอันสุ่ยพิลึกขึ้นมาทันที  ถามย้ำอย่างกลัวตัวเองจะฟังผิดพลาดไปเองว่า
“ท่านหมายถึงใต้เท้าฝูกรมคลังหรือ?  เขาประเมินมูลค่าของงานที่เสร็จแล้วได้ก็จริง  แต่ไม่รู้จักช่างฝีมือ  กับโรงหมอยิ่งไม่เคยทำอะไรไปมากกว่ารับประทานยาที่หมอสั่ง  แม้จะมีข้อดีอยู่ที่ไม่โกหกยักยอก  แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าคิดว่าในแคว้นเหลียนมีคนอีกมากที่เหมาะสมกว่าเขา  ท่านควรเลือกคนอื่น”
ฉีเซี่ยงหยวนมองสีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งของอีกฝ่าย  ในแววตาเฉียบคมเจือรอยขำอยู่ลึกๆ  กล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นท่านนั่นแหละเหมาะแล้ว  กระทั่งใต้เท้ากรมคลังมีความสามารถอยู่เท่าไหร่ยังจาระไนได้ละเอียดปานนี้  ข้าคงไม่ต้องไปหาคนอื่นอีก”

เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วก็ฉุกคิดได้ว่าประโยคก่อนหน้าอีกฝ่ายจงใจทดสอบเขา  สีหน้ากระดากอยู่บ้างที่เมื่อครู่ตัวเองยึดถือประโยคนั้นเป็นจริงเป็นจังเกินกว่าเหตุ  กล่าวว่า
 “ความจริงเรื่องใต้เท้าฝูเป็นคนเช่นไร  ทุกคนที่อยู่ในราชสำนักนานพอล้วนทราบดี  ตัวข้าอยู่ในราชสำนักแคว้นเหลียนมาเกือบยี่สิบปี  จะให้ไม่ทราบก็คงเป็นไปไม่ได้  ดังนั้นนั่นไม่ใช่ความสามารถพิเศษอันใด”
“อยู่ในราชสำนักแคว้นเหลียนมาเกือบยี่สิบปี...ข้ากำลังต้องการความสามารถเช่นนี้พอดี  เพื่อสัมพันธ์อันดีระหว่างสองแคว้น ข้าคิดจะเปิดโอกาสให้คนแคว้นเหลียนที่มีความสามารถเข้ารับราชการในแคว้นเป่ยชาง ท่านน่าจะพอแนะนำข้าได้บ้าง”

เหลียนอันสุ่ยหรี่ตาลง  ไม่เลือกปฏิบัติ จึงสามารถใช้สอยบุคลากรมีที่มีคุณค่า  นอกจากจะทำให้ชาวเหลียนรู้สึกดีกับตัวเองแล้ว  ยังสามารถคัดคนที่จะทำประโยชน์ให้แคว้นเป่ยชาง  เพียงแต่ว่า...
“ทำงานให้ท่าน  หรือต้าอ๋องแคว้นเป่ยชาง”
ฉีเซี่ยงหยวนยิ้มที่มุมปากตอบอย่างเฉื่อยชา  ถามว่า
“นี่มีความสำคัญมากหรือ  ...ถ้าเขาทำงานกับข้าได้ ข้าย่อมเก็บไว้ใช้สอย  แต่ถ้าเขามีประโยชน์ต่อแคว้นเป่ยชาง  เขาย่อมกลายเป็นขุนนางคนสำคัญของแคว้นเป่ยชาง  แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ก็ถือว่าเขาทำงานให้เป่ยชางอ๋อง” 

เหลียนอันสุ่ยมองเขา แล้วพลันคิดถึงพยัคฆ์ร้ายที่เกียจคร้าน  ผู้ชายคนนี้ไม่ปกปิดความทะเยอทะยานของตัวเอง  ตรงกันข้ามอำนาจคุกคามบางอย่างแทบจะแผ่ออกมาจากทุกรูขุมขนเลยทีเดียว  ไม่ใช่คนที่ถูกความละโมบทะยานอยากครอบงำจนตกเป็นทาสของมัน  แต่เป็นประเภทที่อันตรายที่สุด...สามารถ ‘เล่น’ กับมันได้อย่างเยือกเย็น

“ย่อมสำคัญ  เพราะข้าไม่ต้องการให้เขาไปขวางทางท่าน  แล้วถูกท่านกำจัดทิ้ง”
“อ้อ ? ” ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ

“ข้าได้ยินว่าที่เป่ยชางกำลังคิดจะขยายสำนักศึกษา  ในแคว้นเหลียนคนที่อ่านออกเขียนได้มีมากกว่าคนที่จับดาบเป็น  หากท่านต้องการคนที่จะทำงานให้แคว้นเป่ยชาง   มีบัณฑิตหลายคนที่ข้าสามารถรับประกันความรู้ความสามารถ  สอนได้ตั้งแต่อ่านเขียนไปจนถึงปรัชญาโคลงกลอนและการคำนวณ  พวกเขาจะมีชะตากรรมที่ดีกว่านี้ถ้าไปอยู่ที่นั่น  เพราะแคว้นเหลียนมีความยึดติดที่แก้ไม่หายคือไม่ยอมก้มหัวให้อาจารย์ที่ชาติตระกูลต่ำ  แต่ถ้าท่านต้องการคนมีคุณภาพไปใช้สอยเอง  มีนายกองคนหนึ่งในหน่วยเสบียงที่มีความสามารถทางทหาร  เพียงแต่เขาไม่ถูกกับอวี้เฉียนจึงมีหน้าที่แค่ดูแลเสบียงบางส่วนในแนวหลังเท่านั้น” เหลียนอันสุ่ยอธิบายอย่างละเอียด 

คนฟังจนจบแล้วพลันกล่าวขึ้นว่า
“ท่านทราบหรือไม่  ข้ายิ่งมาก็ยิ่งเลื่อมใสท่าน  ท่านมีวิธีจัดการเรื่องราวจริงๆ  นายกองคนนั้นท่านสามารถส่งเสริมเขาและก็กำจัดความทะเยอทะยานที่จะทำร้ายแคว้นเหลียนออกไปได้พร้อมกัน  นับว่ายิงศรนัดเดียวได้นกถึงสองตัว” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนมีแววชื่นชม  จ้องลึกลงไปในดวงตาอีกฝ่าย
“…ถูกแล้ว  ข้าจะไม่ยอมให้เกิดสงครามขึ้นอีก  สำหรับนายกองคนนั้นข้าอยากส่งเสริมเขา  แต่ถ้าเขายังอยู่ในแคว้นเหลียน  ข้าก็ต้องหาทางกดความสามารถของเขาเอาไว้  ในทางกลับกันถ้าไปอยู่กับท่าน เขาจะมีอนาคตที่ดีกว่ามาก” คนฟังยอมรับโดยไม่หลบสายตา

ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงมีคนไม่น้อยชอบเหลียนอันสุ่ย  เพียงแต่ผู้คนมักไม่ทราบว่าเบื้องหลังการตัดสินใจอันดีพร้อมของพระมาตุลาแคว้นเหลียน มีความละเอียดรอบคอบถึงเพียงไหน  คำนึงถึงอะไรบ้าง  การหาหนทางอันดีพร้อมทั้งสองฝ่ายยากเย็นกว่าการตัดสินใจว่าจะต้องเสียอะไรมากนัก

การสนทนาดำเนินไปจนดึกดื่น  ฉีเซี่ยงหยวนพบว่าพระมาตุลาผู้นี้คล้ายจะรู้จักคนตั้งแต่ข้ารับใช้ฝึกหัดในกรมกองเล็กๆไปจนถึงขุนนางใหญ่โตในราชสำนักจนซึ้งกระจ่าง  มิน่าเล่าอวี้เฉียนถึงต้องพึ่งพาเขา  ทางด้านนี้แม้แต่ฉีเซี่ยงหยวนยังยอมรับว่าตัวเองด้อยกว่าอยู่บ้าง  บางครั้งการที่คนเราเกิดมาเหนือคนอื่นก็ทำให้มองข้ามบางอย่างไป  แต่ดูเหมือนการเข้าใจคนอื่นจะเป็นความสามารถเฉพาะตัวของเหลียนอันสุ่ย

“ท่านวางใจ คนพวกนั้นข้าย่อมปฏิบัติต่อเขาอย่างเท่าเทียม”
“ขอบคุณท่าน” เหลียนอันสุ่ยก้มหัวน้อยๆ  ยิ้มบางๆโดยไม่รู้ตัว  สีหน้าผ่อนคลายกว่าตอนแรกมาก  แววตามีประกายเมตตาอ่อนโยนตามธรรมชาติ  ราวกับการเห็นความหวังของผู้อื่นมอบความสุขให้กับเขา  นั่นทำให้ฉีเซี่ยงหยวนต้องลอบกลืนน้ำลาย  ต่อให้หยกที่งดงามที่สุดก็ไม่งดงามถึงเพียงนี้  ในชั่วชีวิตของฉีเซี่ยงหยวนยังไม่เคยเจอใครที่มองแล้วสบายตาถึงเพียงนี้มาก่อน

เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่แปลกไป  เหลียนอันสุ่ยจึงเบือนหน้าไปมอง  แล้วก็ต้องนิ่งอึ้ง  รู้สึกว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปลี่ยนเป็นเบาบางขึ้นมาทันที  สายตารุ่มร้อนคู่นั้นคล้ายกับกำลังเปลื้องเสื้อผ้าเขาออกทีละชิ้น  เหลียนอันสุ่ยก็ไม่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนทำได้อย่างไร เหมือนว่าอ๋องน้อยผู้นี้สามารถใช้เพียงสายตาทำให้ผู้คนสูญเสียการควบคุมตัวเอง

“ข้า…เอ่อ…” แม้แต่เหลียนอันสุ่ยก็ไม่มีปัญญาข่มความรู้สึกปั่นป่วน เตรียมจะผละห่าง  แต่มือของฉีเซี่ยงหยวนยังไวกว่าการขยับถอยหนีมากนัก  คว้าตัวอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขน  จมูกซุกไซ้ สูดกลิ่นหอมเย็นเข้าไปเต็มปอด ค่อยๆใช้สันจมูกโด่งแบะปกเสื้อที่ปิดมิดถึงคอให้แยกออกจากกัน 

   ยามตื่นตระหนกเหลียนอันสุ่ยคิดจะผลักอีกฝ่ายออก  แต่กลับถูกกดลงกับเก้าอี้ตัวยาว
   “ท่านต้องขัดขืนถึงเพียงนี้เลยหรือ” คนกล่าววาจายังง่วนอยู่บริเวณซอกคอ  หากน้ำเสียงราบเรียบคล้ายจะเตือนสติทำให้การขัดขืนหยุดชะงักไป 

เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง อดสูอยู่บ้าง ปวดร้าวอยู่บ้าง  ขณะรู้สึกถึงริมฝีปากที่ลากไปตามกระดูกไหปลาร้า  ฝ่ามือใหญ่แตะลงบนผิวหน้าเนียน  นิ้วโป้งสากเกลี่ยอยู่บนเรียวปากได้รูป  ไล้กลีบปากที่เม้มแน่นให้แยกออกจากกัน  ฉีเซี่ยงหยวนมองใบหน้าอีกฝ่ายนิ่งนาน  จู่ๆก็ถามขึ้นว่า

   “ท่านเคยจูบกับอวี้เฉียนรึเปล่า”
ตาที่หลับอยู่ของเหลียนอันสุ่ยลืมขึ้นมา เค้นเสียงตอบว่า
   “อวี้เฉียนไม่เคยแตะต้องข้า” วูบหนึ่งเขาเห็นรอยยิ้มพอใจของอ๋องน้อยแคว้นเป่ยชาง  จากนั้นเรียวปากของอีกฝ่ายก็ประกบลงมา 
   จูบนั้นเรียกร้องต้องการสลับกับบดขยี้หยอกล้อ  ริมฝีปากหนาขบริมฝีปากล่างของเขาเบาๆ  เอียงหน้าให้ริมฝีปากทั้งคู่ประกบกันแนบสนิทพอดี  ลมหายใจอุ่นร้อนรดผิวแก้มละเอียด  การเสียดสีร้อนแรงของเรียวปากบังคับให้เรียวปากบางแยกออก  ปลายลิ้นร้อนผ่าวแทรกเข้าไปในโพรงปาก  ขยับลากไปตามฟันกับซอกแก้ม  พัวพันกับลิ้นในโพรงปากหวานล้ำ ลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยติดขัดสับสน  รู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจ  นี่ใช่ช่ำชองเกินไปหรือไม่  รอยจูบย้ำซ้ำๆราวต้องการตราความรู้สึกนี้ไว้ตลอดไป เมื่ออีกฝ่ายถอนปากออก  เหลียนอันสุ่ยทำได้เพียงหอบหายใจด้วยเรียวปากที่สั่นสะท้านโดยไม่อาจระงับ

   “ท่านไม่เคยจูบแบบนี้เลยหรือ” ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้วถาม  ไม่รีรอให้อีกฝ่ายตอบคำแล้วก็จูบอีก…
---------------------
   เสียงเคาะเกราะบอกโมงยามว่ากำลังก้าวล่วงเข้าสู่ยามโฉ่ว(1.00 น.-3.00 น.)  ในตำหนักรับรองที่วิจิตรที่สุดของแคว้นเหลียน  ใต้แสงโคมหรุบหรู่  เหลียนอันสุ่ยกำลังสวมเสื้อผ้าท่าทีรีบร้อนอยู่บ้าง  สายตาคมของเจ้าของสถานที่ที่เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงกวาดไปทั่วแผ่นหลังโปร่งบางที่หันให้เขา ถามขึ้นว่า
   “ทำไมท่านต้องวางกรอบตัวเองเคร่งครัดถึงเพียงนี้”
   “…ข้าวางกรอบหรือ  มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นเลยต่างหาก” คำตอบแฝงกระแสเสียงเจ็บปวด  ในหัวนึกถึงคนสำคัญคนสุดท้ายที่เหลืออยู่
   “ท่านจะปฏิเสธไปทำไม  ในเมื่อท่านก็ต้องการ” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนราบเรียบ  สายตามองแผ่นหลังที่ขมวดเกร็งขึ้นมาของอีกฝ่าย 
เหลียนอันสุ่ยเน้นเสียงตอบทีละคำว่า
   “ข้าไม่ต้องการ” พูดไม่ทันขาดคำ ก็ถูกรวบตัวขึ้นไปบนเตียง 
ฉีเซี่ยงหยวนมองคนที่นอนนิ่งๆอยู่ในอ้อมกอด  แต่เบือนหน้าหนีไปอีกทาง
   “โกหก” เสียงทุ้มหนักดังที่ข้างหู  ขณะกล่าวสายตาของฉีเซี่ยงหยวนเลื่อนไปมองชายเสื้อที่แยกออกโดยไม่ตั้งใจ จนเห็นเรียวขาเนียนละเอียด  วางฝ่ามือลงไปเบาๆ  ปลายนิ้วขยับเคลื่อนไหว  เหลียนอันสุ่ยสะดุ้ง  กล่าวอย่างตื่นตระหนก
   “ข้า  ข้าไม่ไหวแล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งไปเมื่อรู้สึกถึงเรียวขาที่เกร็งแล้วสั่นระริกขึ้นมา  ถามเบาๆว่า
   “ข้าทำท่านเจ็บหรือ” เห็นอีกฝ่ายไม่ตอบคำ ก็กดจมูกโด่งลงกับแก้มเนียน  กล่าวต่อว่า “แรกๆจะเจ็บหน่อย  แต่ถ้าชินแล้วก็ไม่มีปัญหา…ท่านพักที่นี่เถอะ” พะ…พักที่นี่รึ  เขารีบไปจากที่นี่น่าจะดีกว่า  ชินอะไรกัน  คำพูดเช่นนี้ยังจะพูดออกมาได้ 
   “…ขอบคุณท่านอ๋องน้อย  แต่ข้าว่า…ข้ากลับไปพักที่ตำหนักตัวเองจะดีกว่า”
ฉีเซี่ยงหยวนมองท่าทีปฎิเสธของอีกฝ่ายนิ่ง…นาน…
   “ดื้อ”  ถึงปากกล่าวเช่นนั้น  แต่ก็ยินยอมคลายมือปล่อยตัวอีกฝ่ายไป
---------------------
น้ำร้อนกรุ่นขึ้นเป็นไอจางๆ  ห้องอาบน้ำทั้งห้องตกอยู่ภายใต้กลุ่มหมอกบางเบา กลิ่นสมุนไพรอ่อนๆโชยมาแตะจมูกชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับขบริมฝีปากแน่น  ไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะมีวันที่ต้องใช้สมุนไพรพวกนี้  สรรพคุณของมันรวมๆกันแล้วใช้รักษาอาการปวดเมื่อย  ลดความเครียดเกร็งของกล้ามเนื้อและยังช่วยให้แผลหายเร็ว  เพียงแต่ว่าการใช้ของมันเจาะจงอย่างยิ่ง  คนที่ต้องการมักเป็นบรรดาสตรีที่กำลังจะออกเรือนหรือคณิกาที่มีกำหนดนัดคืนแรก  โชคร้ายที่ร่างกายของเขาตอนนี้…  หากไม่ใช้เกรงว่าวันรุ่งขึ้นคงไม่มีปัญญาลุกจากเตียง

เหลียนอันสุ่ยแทบไม่อยากจะนึกว่าก่อนหน้านี้ต้องใช้สตรีกี่คนคอยปรนนิบัติอ๋องน้อยผู้นั้นในยามวิกาล
ในน้ำอุ่นพอเหมาะร่างเครียดเกร็งค่อยๆผ่อนคลายทีละน้อย  ลมหายใจทอดแผ่วเบา  ดวงตาหลับลง  ไม่ต้องการจะมองร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของที่ผู้ชายคนนั้นทิ้งเอาไว้  ร่องรอย…ที่ไม่ว่าลบอย่างไรก็ไม่มีทางเลือนหาย

รอยยิ้มขมขื่นผุดขึ้นมาช้าๆ ขณะซบหน้าลงกับขอบอ่าง  ความทรงจำ…เหตุใดจึงแจ่มชัดถึงเพียงนี้  ความปวดร้าวในคืนแรก   รสสัมผัสอ้อยอิ่งที่ค่อยๆฉุดดึงฝันร้ายในคืนที่สอง  และก็…ริมฝีปากที่ถ่ายทอดอารมณ์เรียกร้องต้องการเมื่อครู่นี้

‘ท่านจะปฏิเสธไปทำไม  ในเมื่อท่านก็ต้องการ’
‘ข้าไม่ต้องการ’
‘โกหก’ ใช่ เขาโกหก  ตั้งแต่คืนแรกในขณะที่ฉีเซี่ยงหยวนมอบความเจ็บปวดให้กับเขา ก็มอบความสุขสมที่ยากจะบรรยายมาพร้อมกับมันด้วย…
---------------------
พระมาตุลาแคว้นเหลียนสวมชุดนอนแขนยาวที่ปิดมิดถึงลำคอ  ปิดบังทุกอย่างไว้ใต้ผืนผ้าสีเงินคราม  อิ๋งฮวาไม่ได้สงสัย  เพราะแต่ไหนแต่ไรมานายท่านก็ไม่เคยต้องการคนปรนนิบัติตอนอาบน้ำรวมถึงตอนเปลี่ยนชุดอยู่แล้ว  มีแต่ตัวผู้เป็นนายเองที่ทราบว่าจะให้นางเห็นรอยจูบบนร่างเขาไม่ได้เป็นอันขาด

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย  รวมถึงหรี่ไฟในตะเกียงลง  อิ๋งฮวาก็ออกไปพร้อมเลื่อนบานประตูปิดอย่างแผ่วเบา  ส่วนเจ้าของห้องเดินเข้าไปในห้องชั้นใน  มือเรียวยาวผลักปิดประตูไม้  คล้ายต้องการปิดกั้นความรู้สึกทุกอย่างไว้ข้างนอกนั่น  แต่เหลียนอันสุ่ยก็ทราบว่ามันไม่มีประโยชน์  สัมผัสของอีกฝ่ายยังคงตามมาหลอกหลอนไม่เลิกรา  ร่างสูงโปร่งทรุดลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง  เหม่อมองแสงจันทร์สุกสกาวนอกหน้าต่าง  กิ่งท้อโอนเอนตามลมเห็นเป็นเงารางเลือนเคลื่อนไหวเนิบนาบ  เหลียนอันสุ่ยชะงักงันไป  คล้ายถูกบางสิ่งบางอย่างทำร้าย  ก้มฟุบลงกับโต๊ะไม้จันทน์แดง  ฝ่ามือข้างหนึ่งกำขอบโต๊ะแน่นจนขึ้นเป็นข้อขาว  เนิ่นนาน  ไม่อาจขยับเขยื้อน…
---------------------
หลังจากนั้นอิ๋งฮวาก็พบว่าเมื่ออาทิตย์ตกดินได้สองชั่วยาม  นายท่านมักจะไปเรือนรับรอง  กลับมาอีกทีก็พ้นเที่ยงคืนไปแล้ว  นางได้แต่กังวลว่านายท่านจะสุขภาพทรุดโทรมลงเพราะพักผ่อนไม่พอ  ช่วงนี้นายท่านเผลอหลับถี่ขึ้นเรื่อยๆ  และไม่ค่อยยอมให้นางคอยอยู่เฝ้าเหมือนเคย  ยิ่งสองสามวันมานี้นายท่านดูไม่สดชื่นเลย  นางจึงสั่งให้คนตุ๋นยาบำรุง  ตั้งใจจะยกไปให้นายท่าน  ถึงนายท่านจะอยู่กับท่านอ๋องน้อย ไม่อนุญาตให้คนรบกวน  แต่แค่ยาบำรุงคงไม่เป็นไรกระมัง  นางแค่จะยกไปวางข้างๆ  หากเมื่อเดินมาถึงกลางทางกลับเห็นภาพบางอย่างที่ทำให้ถาดแทบหลุดจากมือ...

   
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 12-07-2014 19:34:53
ลุ้นๆจะเกิดอะไรขึ้น มีคนรู้แล้ว
ค้างเลย อ๊ากก :hao7:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 12-07-2014 20:40:05
เห็นแล้วใช่ไหม
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: tou ที่ 12-07-2014 23:55:15
สนุกจริงจัง ตามมาเชียร์เรื่องนี้
หวานจริงแต่ตอนขมก็ขมสุดใจ

รอลุ้นบทลงเอยค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-07-2014 02:39:05
 o18
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 13-07-2014 12:12:25
ชอบแนวจีนนะ แต่นายเอกเจ็บปวดเพียงฝ่ายเดียวไม่ยุติธรรมเลย เหมือนตอกย้ำผู้ที่อ่อนแอ่กว่า คงเห็นพระปิตุลาโดดกระทำอยู่สินะ มันจะรันทดไปไหน เฮ้อ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 13-07-2014 15:19:05
นายเอกของเรารันทดน่าดู
โดนคนสนิทเห็นสิ่งที่พยายามปกปิดแบบนี้
เจ้าตัวจะยิ่งเครียดขนาดไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 13-07-2014 17:51:43
WoWwwwwwww~ ในที่สุดเรื่องนี้ก็มาเยือนเล้าสักที รักเรื่องนี้มากๆๆๆๆค่ะ ตามอ่านเสมอนะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: jamlovenami ที่ 13-07-2014 18:07:31
เย้ยยยย บทจะรู้ก็รู้ง่ายๆงี้เล๊ยยยย   :hao5: สงสารนายเอกเราจริง(จำชื่อไม่ได้ขออภัย   :z6:)
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 15-07-2014 17:28:49

บทที่ 6 ไม่อาจปิดบังต่อไป

ตำหนักพระมาตุลามีบรรยากาศอันสงบเรียบง่าย  ต้นไม้ใหญ่กลางสวนแผ่กลิ่นอายโบราณสอดประสานกิ่งก้านสาขาให้เงาอันร่มรื่น  สระน้ำใสดุจกระจกเป็นระลอกแผ่วเบาตามท่วงทำนองของสายลมสะท้อนตัวตำหนักที่วิจิตรสง่างาม  ก้อนหินทุกก้อน ต้นไม้ทุกต้น สะท้อนธรรมชาติของตัวเองออกมาอย่างมีมนต์ขลัง ถักทอจังหวะสอดรับที่กลมกลืน  ในความธรรมดาผ่อนคลายแฝงการตกแต่งอันพิถีพิถัน  ทั้งๆที่เป็นส่วนหนึ่งของวังหลวงแต่ปราศจากความโอ่อ่าตระการตาอันเคร่งขรึมเย็นชา  ฉีเซี่ยงหยวนแทบจะกลบกลืนตัวตนไปกับสภาพแวดล้อมอันน่าประทับใจนี้  เหลียนจิ้งเต๋อช่างเป็นเด็กที่โชคดี บรรยากาศเช่นนี้ตัวเขาในวัยเด็กแทบไม่เคยสัมผัส  แม้กระทั่งในที่ที่หลับตาลงนอนทุกคืน

   ฉีเซี่ยงหยวนเดินผ่านหมู่นางกำนัล ข้ารับใช้ที่กำลังตกใจกับการมาเยือนอันกะทันหัน เข้าไปในส่วนลึกของตัวตำหนัก  ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ทันทัดทาน  และไม่กล้าพอที่จะขวางเอาไว้  ครู่เดียวสายตาก็เสาะพบเงาร่างสูงโปร่งกำลังนั่งอ่านม้วนไม้ไผ่อยู่ในเก๋งกลางสวน  แผ่นหลังสูงโปร่งอิงกับรั้วเตี้ยๆรอบเก๋งที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นพนักพิง  บนที่นั่งวางเบาะผ้าไหม เมื่อพบเห็นว่าผู้มาเป็นใครก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ เอ่ยว่า

   “ถ้าท่านต้องการพบข้า ให้คนมาตามก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเอง”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบคำ  เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้ตนมาเจอเหลียนจิ้งเต๋อ
   “เขามิใช่กำลังเรียนอยู่หรือ”
   “ท่านมาพบเขา ? ”
   “ไม่  ข้ามาพบท่าน”  เหลียนอันสุ่ยหรี่ตาลงเล็กน้อย  แต่ยังไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามจากร่างสูง
   “มีเรื่องอะไรที่ข้าจะช่วยท่านได้” 
 “ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหลียนจิ้งเต๋อ  ท่านจำเป็นต้องมีโทสะเสมอเลยหรือ” ฉีเซี่ยงหยวนถามขึ้นยิ้มๆ ขณะมองพระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนที่มีท่าทีสงบเย็นชา
“ท่านว่าอะไรนะ” ท่าทีเย็นชาเปลี่ยนเป็นความงงงวย
“ปรกติท่านเป็นคนอ่อนโยน  แต่พอข้าทำอะไรที่อาจไปเกี่ยวข้องกับเหลียนจิ้งเต๋อได้  อย่างเช่นการมาที่นี่  ท่านจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเย็นชาขึ้นมาทันที”
คนฟังชะงักไป  หลับตาลง กล่าวด้วยเสียงที่เจือความขื่นว่า
“ข้าก็แค่…กลัว…” กลัวว่ามันจะปิดบังต่อไปไม่ได้ ถูกความกลัวเช่นนี้เคี่ยวกรำอยู่ทุกขณะจิต
“กลัวว่าจะปกป้องเขาจากข้าไม่ได้ ? ” ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจไปอีกทาง  น้ำเสียงแฝงโทสะเบาบาง  แม้แต่ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองก็ไม่ทราบว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร  ในสายตาเหลียนอันสุ่ยเขาเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือ
เหลียนอันสุ่ยลืมตาขึ้นมาอย่างตื่นตระหนกเมื่อพบว่าเสียงอีกฝ่ายมาอยู่ใกล้อย่างยิ่ง

“ท่านกลัวอะไร  ตรงนี้ไม่มีคนหรอก” พูดจบฉีเซี่ยงหยวนก็จูบเขา  เหลียนอันสุ่ยแม้คิดจะหันหน้าหนี  แต่ถูกฝ่ามือใหญ่บังคับให้หันหน้ากลับมา  จากนั้นการจูบเบาๆก็เปลี่ยนเป็นบดขยี้หนักหน่วงเหมือนจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว จูบจนเขาแทบจะทรงกายไม่อยู่ ต้องยึดท่อนแขนแกร่งไว้ตามสัญชาตญาณ  ริมฝีปากหนาผละห่างในที่สุด 

ความจริงฉีเซี่ยงหยวนอยากทำมากกว่านั้น  แต่ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน  ตามข้อตกลงเขาไม่มีสิทธิ์ได้แตะต้องเหลียนอันสุ่ย  อย่าว่าแต่ทำมากกว่านี้เหลียนอันสุ่ยต้องไม่ยอมแน่  นี่มันเก๋งกลางสวนชัดๆ
---------------------
อิ๋งฮวายกมือปิดปากตัวเอง กักเสียงร้องไว้ในลำคอ  แม้เดินหลบออกมาไกลมากแล้ว  แต่ภาพท่านอ๋องน้อยฉีเซี่ยงหยวนจูบนายท่านยังคงติดตา  นี่เองคำตอบของทั้งหมด  มิน่าเล่านายท่านจึงกำชับว่าไม่ให้เข้าไปรบกวน  เหตุ…เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้!  จากนั้นพฤติกรรมของนายท่านในหลายวันนี้ก็ย้อนกลับมาในหัว  นางพลันรู้สึกถึงความจริงอันน่ากลัว…
---------------------
เย็นนั้นขณะเหลียนอันสุ่ยกำลังสวมเสื้อตัวนอก ก็มีเสียงดังลอดบานประตูเข้ามา
“นายท่าน  ขอบ่าวเข้าไปข้างในได้หรือไม่เจ้าคะ”
 “เข้ามาสิ” หลังเสียงอนุญาต อิ๋งฮวาก็เดินเข้าพร้อมกับถาดในมือ
“นั่นอะไร”
“ยาบำรุงเจ้าค่ะ  พักนี้บ่าวเห็นนายท่านกลับดึกหลายคืน  กลัวท่านสุขภาพทรุดโทรม  ก็เลย…”
“ขอบคุณมาก” พระมาตุลายิ้มบางๆ  ยังคงเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนเหมือนเดิม  อิ๋งฮวามองรอยยิ้มนั้นแล้วก็ก้มหน้าลง
“คืนนี้ยังต้องไปอีกหรือเจ้าคะ”
“อืมม์” ในเสียงรับคำรอยยิ้มนั้นจางหายไปแล้ว  อิ๋งฮวาที่ลอบมองอยู่พลันเห็นความปวดร้าวเพียงครู่เดียวแทรกขึ้นมาในประกายตาสงบอ่อนโยน
“นายท่านไม่เต็มใจ  ไม่ไปไม่ได้หรือเจ้าคะ”
เหลียนอันสุ่ยมองหญิงรับใช้อย่างตกใจ  นางไม่ได้ก้มหน้าลงเหมือนทุกที  แต่มองเขาตรงๆ
“…ข้าไม่ได้ไม่เต็มใจ” นี่คือคำพูดที่กล่าวออกไป
“ความจริงยาบำรุงนี่...บ่าวตั้งใจยกไปให้นายท่านตั้งแต่ตอนบ่าย แต่เห็นนายท่านอยู่ในเก๋งโบราณ  จึงไม่ได้รบกวน”
ใบหน้าของผู้เป็นนายชะงักค้าง  จ้องบ่าวรับใช้นิ่งงัน  เห็นนางมองเขาอย่างจริงจัง ก็ทราบว่าไม่อาจปิดบังต่อไป
“เจ้า…เห็น” เพียงสองคำที่หลุดออกมาอย่างยากเย็น
“เพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ  พักนี้นายท่านจึงแทบไม่มองหน้าคุณชายน้อยเลย”  แล้วนางก็ได้เห็นความปวดร้าวเหนื่อยล้าที่ถูกซุกซ่อนมาตลอด
“ใช่แล้ว” คำตอบแผ่วเบา
“เพราะเขา!  เขาทำร้ายท่าน” อิ๋งฮวากรีดร้องเบาๆ  ดวงตาทอแววเดือดดาล ทราบว่านายท่านไม่มีทางเต็มใจให้สิ่งนี้เกิดขึ้น  ในชั่วชีวิตสิ่งสุดท้ายที่นายท่านจะทำคือทำผิดต่อคุณชายน้อย
เมื่อเห็นบ่าวรับใช้ที่สุภาพเรียบร้อยตลอดมา โกรธเกรี้ยวถึงเพียงนั้น  เหลียนอันสุ่ยจึงไกล่เกลี่ยว่า
“ช่างมันเถอะ  …อิ๋งฮวา  จะให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

“บ่าวทราบ  แต่…เขาทำได้ยังไง” นายท่านของนางเป็นคนดีที่สุดในโลก  นางรับใช้นายท่านมาสิบกว่าปี  ยังไม่เคยเห็นนายท่านตั้งใจทำร้ายใครมาก่อน “เขา…เขาถือดีอะไร  ต่อให้เขาเป็นต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางก็ไม่มีสิทธิ์…ไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้” 

เหลียนอันสุ่ยฟังน้ำเสียงสั่นสะท้านของบ่าวคนสนิท  เขาทราบว่าอิ๋งฮวาอาจเป็นบ่าวที่นอบน้อมใจเย็น  แต่ถ้ามีใครล่วงเกินเขานางจะเจ็บแค้นแทนเสมอ  เมื่อเห็นนางค่อยๆสงบลงเหลียนอันสุ่ยก็ลุกขึ้น
“ไม่ไปไม่ได้หรือเจ้าคะ” นางถามคำถามเดิม
“ไม่ได้” คำตอบเบาๆ  แล้วนายท่านของนางก็เดินจากไป  อิ๋งฮวาเหม่อมองเงาหลังของเขา  นายท่านเป็นเช่นนี้เสมอ  เมื่อมีคนเจ็บปวดนายท่านจะเมตตาห่วงใย  แต่เมื่อตัวเองเจ็บปวดจะเก็บไว้คนเดียว  นางรู้นายท่านทราบว่านางต้องเจ็บปวดแทนเขาแน่  เจ็บแค้นเพราะไม่อาจช่วยเหลือได้  นายท่านจึงเลือกที่จะไม่บอกนาง

นางเก็บถ้วยยาบำรุงที่ว่างเปล่าลงบนถาด  เคยมีหญิงรับใช้รุ่นราวคราวเดียวกันล้อนางว่าชาตินี้จะไม่ได้แต่งงานเพราะมัวแต่หลงรักนายท่าน  มีแต่นางที่รู้ว่าไม่ใช่  นางรักนายท่านจริง  แต่เป็นความจงรักภักดี ซาบซึ้งในบุญคุณ เกือบจะเป็นเทิดทูนบูชา  นางเชื่อว่าทุกคนที่อยู่กับนายท่านต้องรู้สึกดีๆกับเขา  เพราะเขาหวังดีต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ  แต่ทั้งๆที่เป็นแบบนั้นยังมีคนทำร้ายเขาได้ลงคอ  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจ้าคนสารเลวฉีเซี่ยงหยวนต้องเป็นคนที่ชั่วช้าโดยสมบูรณ์ !
---------------------
“ฮัดเช่ย!” ฉีเซี่ยงหยวนจามออกมา กลบเสียงรายงานของหลิวฉางเฟยแม่ทัพคนสนิทของเขาจนหมดสิ้น
“เจ้าว่าอะไรนะ”
หลิวฉางเฟยจึงทวนเรื่องการจัดวางกำลังใหม่อีกรอบด้วยท่าทีละเอียดถี่ถ้วน

หลิวฉางเฟยเป็นแม่ทัพใต้ร่มธงเขา  แต่สำหรับฉีเซี่ยงหยวนหลิวฉางเฟยไม่เพียงเป็นแขนขา ยังเป็นส่วนหนึ่งของเงาของเขาอีกด้วย  หลิวฉางเฟยเป็นเด็กที่ท่านลุงคัดเลือกให้ติดตามเขาตั้งแต่ฉีเซี่ยงหยวนยังอายุไม่ถึงสิบขวบ  ตั้งแต่นั้นมาหลิวฉางเฟยก็เป็นคนสนิทของเขา  คนอื่นอาจมองหลิวฉางเฟยเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ภักดีที่สุด  แต่ฉีเซี่ยงหยวนยึดถืออีกฝ่ายเป็นเพื่อนที่ร่วมแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่าง  ตอนเด็กเป็นเช่นนี้  เมื่อโตขึ้น สถานะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปบ้าง  แต่เขาก็ยังไว้วางใจอีกฝ่ายเสมอหนึ่งเงาของตัวเอง

“ความจริงเรื่องพวกนี้เจ้าจัดการไปเลยก็ได้  พักนี้ข้าก็ยุ่งๆ บางทีความรอบคอบยังสู้เจ้าไม่ได้”
คนฟังยิ้มอย่างรู้ทัน  ตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า
“ท่านเป็นท่านอ๋องน้อย  งานทุกอย่างจึงต้องรายงานท่าน” เป็นนัยว่าอย่าได้คิดปัดความรับผิดชอบทิ้งเป็นอันขาด  ทั้งย้ำเตือนความไม่สมควรไปพร้อมกัน
“อ้อ  จริงสิ  เจ้าก็อายุมากแล้ว ยังไม่แต่งงานเสียที  ต้าอ๋องแคว้นเหลียนยกหญิงงามให้ข้าหนึ่งร้อยคน  เจ้าก็ไปดูๆ…”
“ท่านอ๋องน้อย  นั่นมันเครื่องบรรณาการนะ!” คนฟังร้องอย่างตกใจ
“เจ้าถูกใจก็ไม่มีปัญหาหรอก  เลือกไปเถอะ”
คนสนิทมองเจ้านายตัวเองแล้วรู้สึกปลง เคยชินกับนิสัยทำอะไรตามใจตัวเองของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี  แต่ก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ

  “ในร้อยคนข้ามีสิทธิ์อย่างน้อยสามสิบคน  ถือว่าข้าเลือกแล้วยกให้เจ้า  ใครก็ว่าอะไรไม่ได้แล้ว” ใช่  ใครก็ว่าอะไรไม่ได้  ตามความเป็นจริงของบรรณาการคนที่จะมีสิทธ์เลือกคนแรกคือเป่ยชางอ๋อง  เพียงแต่ฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนยึดแคว้นเหลียนได้  ความดีความชอบใหญ่หลวง  เป่ยชางอ๋องไม่มีทางถือสา  ขอเพียงไม่ยึดไว้ทั้งร้อยคนเป็นใช้ได้  ส่วนคนอื่นๆก็ทราบ ว่าคนเดียวที่จะมีสิทธิ์ไม่พอใจคือเป่ยชางอ๋อง  ในเมื่อต้าอ๋องไม่ถือสา  พวกเขายังจะทำอย่างไรได้
“ท่านอ๋องน้อย  ข้าไม่ต้องการจริงๆ”
“ตำแหน่งล่ะ  ความดีความชอบเจ้าก็ไม่น้อย  ไว้ข้าจะทูลของพระบิดาให้”
“ตำแหน่งคนสนิทของท่านก็สูงพออยู่แล้ว…ท่านคงไม่ได้…กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดข้าไปให้พ้นๆหรอกนะ”  สีหน้าของหลิวฉางเฟยพิลึกขึ้นทุกขณะ
“ข้าแค่รู้สึกว่า  ตำแหน่งคนติดตามข้า  มันออกจะทำให้ความสามารถของเจ้าสูญเปล่าไปหน่อย” ทำไมฉีเซี่ยงหยวนจะไม่ทราบความสามารถของหลิวฉางเฟย  ที่ท่านลุงเลือกให้อีกฝ่ายเป็นผู้ติดตามเขาเพราะทั้งเรื่องสติปัญญาและความภักดีล้วนไม่มีปัญหา  ข้ารับใช้คนอื่นล้วนตามเขาไม่ทัน  มีแต่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันคนนี้เท่านั้นที่แตกต่าง  แต่เพราะมาอยู่กับฉีเซี่ยงหยวน  ผู้คนจึงมักมองเลยคนสนิทผู้นี้ไป และไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมฉีเซี่ยงหยวนจึงเชื่อถือหลิวฉางเฟยยิ่ง

 “ติดตามท่านเป็นงานของข้า” สำหรับเขาแล้วตำแหน่งใหญ่โตพวกนั้นไม่มีความสำคัญอะไร
 ฉีเซี่ยงหยวนเอนหลังกับพนักผ่อนคลายท่าทีจริงจังแล้วกล่าวว่า
“ต่อให้เจ้าคิดตามก้นข้าไปจนตาย  ก็ควรจะแต่งงานมีลูกซะ”
“ชีวิตของข้าอยู่ในสนามรบ  จะเอาเวลาที่ไหนไปห่วงภรรยา  ดูแลลูก” พูดพลางม้วนเก็บรายงาน จัดวางลงบนโต๊ะ
“เจ้าพูดอย่างกับข้าเป็นคนกระหายอยากทำสงครามตลอดเวลาอย่างนั้นแหละ  อีกอย่างขนาดฝงเป่าหน้าตาสู้เจ้าไม่ได้  นิสัยก็หยาบกร้านกว่าเจ้ามากนัก ยังมีครอบครัวไปแล้ว” ฝงเป่าเป็นนายกองคนสำคัญอีกคนของฉีเซี่ยงหยวน

“เขากับข้าไม่เหมือนกัน” ชีวิตของฝงเป่าเป็นของเขาเอง  แต่ชีวิตของเขาเป็นของนายเหนือหัว
ฉีเซี่ยงหยวนชักจะปลงกับนิสัยยึดติดที่แก้ไม่หายของลูกน้องตัวเองแล้วเหมือนกัน  จึงเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า
“หลี่กวงเว่ยเล่า?  เขาน่าจะเดินทางมาพร้อมกับพวกขุนนางแก่ๆ พวกนั้น  ทำไมยังมาไม่ถึงอีก”
“ท่านหลี่ตรวจดูการบริหารเมืองรอบนอกของแคว้นเหลียนอยู่  คงจะเดินทางมาถึงในไม่ช้า” หลิวฉางเฟยรายงาน
“บอกให้เขารีบๆ มาเลย  ข้ากำลังปวดหัวกับการบริหารงานขุนนางที่พูดไม่รู้ฟังพวกนั้น ต้องการความสามารถของเขาโดยด่วน”
“ข้าจะให้คนส่งข่าวถึงท่านหลี่ว่าท่านกำลังต้องการตัวเขา  คาดว่าเขาคงตรงมาที่นี่ทันทีที่รู้” ได้ยินเช่นนั้นฉีเซี่ยงหยวนก็พยักหน้าอย่างพอใจ  ก้มลงจัดการงานบนโต๊ะของเขาต่อ  เพียงแต่ทำไปได้ซักพักก็พบว่าหลิวฉางเฟยยังไม่ได้ออกไปไหน เพ่งตามองเขาอยู่  จึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ  ถามอย่างสงสัยใจว่า
“มีอะไรหรือ ? ”
“ช่วงนี้ข้าได้ยินว่าท่านปล่อยให้ทหารยามหละหลวม…” พูดถึงตรงนี้สายตายังคงมองท่าทีไม่ใส่ใจของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชาง
“แล้ว ? ”
“แล้วข้าก็ได้ยินมาอีกว่า…”
“รายงานท่านอ๋องน้อย  พระมาตุลามาถึงแล้วขอรับ” เสียงรายงานดังมาจากนอกประตูใหญ่
“ข้ารู้แล้ว  เดี๋ยวจะออกไป” พูดจบก็ผลักงานที่ยังทำไม่เสร็จไปกองรวมไว้ด้านข้าง ลุกขึ้นจากโต๊ะ  เงยหน้ามองสีหน้าไม่อยากจะเชื่อระคนสับสนงงงวยของคนสนิท  กล่าวว่า
“เจ้าเดาไม่ผิดหรอก  เพียงแต่คราวนี้ไม่ใช่ผู้หญิงเท่านั้นเอง” ฉีเซี่ยงหยวนทราบอยู่แล้วว่าปิดคนอื่นอาจปิดได้  แต่ไม่นานหลิวฉางเฟยจะต้องรู้แน่นอน 
“อ้อ  แล้วเจ้าก็อย่าโผล่หน้าไปให้เขาเห็นนะ  เดินอ้อมเอาหน่อย  ประตูอยู่ทางนั้น” พูดจบก็เดินออกจากห้องไปเฉยๆ
หลิวฉางเฟยยืนนิ่งค้างอยู่คนเดียว  ในหัวตีความประโยคเมื่อครู่กลับไปกลับมา
 
การวางทหารอารักขาฉีเซี่ยงหยวนเป็นงานใต้บังคับบัญชาของหลิวฉางเฟยโดยตรง  แต่หลายวันมานี้ ลูกน้องรายงานมาว่าอยู่ๆท่านอ๋องน้อยก็สั่งลดยามการรักษาการณ์ลงซะเฉยๆ  มิหนำซ้ำยังกวาดทหารที่ควรประจำอยู่ด้านหน้าไปด้านหลังตำหนักรับรองแทบจะหมดสิ้น ในช่วงหลังอาทิตย์ตกไปแล้วสองชั่วยาม จนถึงยามอิ๋น(3.00 น.-5.00 น.)  ไปแล้วจึงค่อยมีการเปลี่ยนสับเวรยามมาอยู่ด้านหน้าบ้าง 
หลิวฉางเฟยจึงไปสอบถามลูกน้องเรียงตัว  สุดท้ายได้ความมาว่า มีคนเห็นเกี้ยวหรูหราคันหนึ่งมาบ่อยครั้งหลังจากมีการสับเปลี่ยนเวรยาม  ข้ารับใช้ในตำหนักส่วนใหญ่ไม่ทราบเรื่อง  ส่วนคนที่รู้ก็ปิดปากสนิท ซึ่งเขาก็ไม่คิดจะเซ้าซี้เพราะเห็นชัดอยู่แล้วว่าถูกใครกำชับมา  เมื่อประกอบทั้งสามประการเข้าด้วยกัน  หลิวฉางเฟยจึงได้ข้อสรุปโดยไม่ต้องเดา  ท่านอ๋องน้อยก็คงผ่อนคลายตัวเองด้วยวิธีประจำนั่นแหละ  เพียงแต่คนผู้นี้ต้องเป็นสตรีสูงศักดิ์เรื่องราวจึงไม่อาจประเจิดประเจ้อจนเกินไป  ที่ถามนอกจากต้องการทราบว่าสตรีผู้นั้นเป็นใคร  ยังต้องการตำหนิการเปลี่ยนตำแหน่งเวรยามที่หละหลวมเกินเหตุของอีกฝ่ายด้วย

แต่ว่า  พระ…พระมาตุลาอย่างนั้นหรือ  หลิวฉางเฟยชักจะเข้าใจสาเหตุของความหละหลวมแล้ว  คนผู้นี้ไม่เพียงสูงศักดิ์อย่างยิ่ง  ยังกล่าวได้ว่าในแคว้นเหลียนแทบจะหาคนสูงศักดิ์กว่าเขาไม่ได้แล้ว  ที่สำคัญคือ…

เจ้านายของเขาเปลี่ยนรสนิยมตั้งแต่เมื่อใด ?
---------------------
ในห้องโถงรับรองอันหรูหราอันเป็นส่วนหนึ่งของที่พำนักชั่วคราวของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชาง  เหลียนอันสุ่ยนั่งก้มหน้าลง  แววตาครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด  การมาของเขาวันนี้ต้องการมาตำหนิพฤติกรรมไม่สำรวมของอีกฝ่ายโดยเฉพาะ  ความกลัวเริ่มกัดกินเขาอีกแล้ว…เอาเถอะ  ยังไงก็ปิดอิ๋งฮวาไม่ได้หรอก  เพียงแค่นางจะรู้ช้าหรือเร็วเท่านั้น  คิดพลางถอนหายใจ

“ใครทำท่านหนักใจ” น้ำเสียงทรงอำนาจถามขึ้นอย่างแปลกใจดังลอยมา  เงยหน้าขึ้นก็เห็น ‘ตัวต้นเหตุ’ เดินเข้ามา ซ้ำยังถือวิสาสะนั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับเขา
“เป็นคนไม่รักษาคำพูดผู้หนึ่ง”
ฉีเซี่ยงหยวนกระพริบตา ทวนคำว่า
“คนไม่รักษาคำพูด ?  ท่านคง…ไม่ได้หมายถึงข้ากระมัง”
“ท่านเคยสัญญากับข้าว่าเหลียนจิ้งเต๋อจะไม่รู้”
คนฟังมีท่าทีตกใจ ถามขึ้นว่า
“เขารู้แล้วหรือ!”
“หากท่านยังทำตัวไม่สำรวมเช่นนี้ไปเรื่อยๆอีกไม่นานเขาต้องรู้แน่”
ฉีเซี่ยงหยวนลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก  นี่แสดงว่ายังไม่รู้  เพียงแต่อาจมีคนเห็นเหลียนอันสุ่ยจึงมีท่าทีไม่พอใจ  มือใหญ่วางลงตรงเอวอีกฝ่าย  จงใจไล้เบาๆ  เหลียนอันสุ่ยผงะ  ดวงตามองอีกฝ่ายอย่างตื่นตระหนก
“ก็ตอนนั้นข้าโกรธ” ฉีเซี่ยงหยวนแก้ตัวหน้าตาเฉย
“โกรธ ? ”  เหลียนอันสุ่ยทวนคำสีหน้ามึนงง
“อืมม์  โกรธ” พูดจบก็กดริมฝีปากลงกับแก้มเนียนละเอียด  เลื่อนไปที่ใบหู…  เหลียนอันสุ่ยขยับร่างหนี  ลุกขึ้นเปลี่ยนไปนั่งเก้าอี้อีกตัว  ข่มความรู้สึกสั่นสะท้านให้เข้าที่เข้าทาง รีบเบี่ยงเบนความสนใจอีกฝ่ายด้วยบทสนทนา
“ท่านคิดจะทำอย่างไรกับพวกนาง”
“ใครนะ” ฉีเซี่ยงหยวนอมยิ้มบางๆ  รู้สึกว่าพื้นฐานนิสัยอันอ่อนโยนของอีกฝ่ายทำให้เหลียนอันสุ่ย กลายเป็นคนที่ไม่เหมาะกับอารมณ์โกรธเกรี้ยวเอาซะเลย
“ต้าอ๋องพระราชทานสตรีให้ท่านหนึ่งร้อยคน”
“อ้อ  นั่นของพระบิดาข้าต่างหาก  หรือพวกนางทำให้ท่านกังวลใจ ? ” ความรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องแปลกๆล่องลอยเข้ามา  อา  ความรู้สึกถูกหึงหวงนี่ดีแท้  ดวงตาคมกวาดมองอีกฝ่ายคล้ายต้องการหาความรู้สึกที่ถูกซุกซ่อนไว้  แต่ก็ต้องชะงักค้าง  เหลียนอันสุ่ยกังวลจริงๆ  แต่มันดูเคร่งเครียดเกินความหึงหวง  ดวงตาที่กระจ่างดั่งผิวน้ำฤดูใบไม้ร่วงปกคลุมด้วยเมฆหมอกแห่งความกังวล

“อย่างน้อยก็ต้องมีสิบกว่าคนที่เป่ยชางอ๋องจะพระราชทานให้ท่าน  ท่านคิด…คิดจะทำอย่างไรกับพวกนาง” ความกระหยิ่มยิ้มย่องสลายไปทันที  นี่เขากำลังหวังอะไร  พระมาตุลาแคว้นเหลียนใจกว้างเหมือนแม่น้ำ  เขาสมควรเดาได้แต่แรกแล้วว่าอีกฝ่ายกังวลสนใจกับชะตากรรมของสตรีชาวเหลียนพวกนั้นต่างหาก
“อืมม์  ข้ายังไม่ได้เห็นพวกนางเลยด้วยซ้ำ  ได้ยินมาว่าสตรีชาวเหลียนงดงามที่สุดในแผ่นดิน  หากพวกนางสวยงามจริงคงมีชะตากรรมที่ไม่เลวนัก” หมายถึงว่า คงได้รับความเอ็นดูจากบุรุษที่ครอบครองพวกนางไม่น้อย 
เหลียนอันสุ่ยแย้งช้าๆว่า
“ท่านผิดแล้ว  โฉมสะคราญล้วนอาภัพ  ถ้าพวกนางหน้าตาธรรมดากว่านี้คงไม่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน” ในโลกที่บุรุษเป็นใหญ่ สตรีมีฐานะไม่ต่างกับทรัพย์สิน  ไม่เพียงยกให้กันได้ ยังไม่มีสิทธ์ออกปากอันใด  ไม่ว่าสตรีธรรมดาหรือสูงศักดิ์ล้วนไม่ต่างกัน  เพียงแต่บุรุษที่มีสิทธ์ครอบครองนางเป็นคนละกลุ่มกันเท่านั้น

“สิ่งที่รอพวกนางอยู่ไม่แน่ว่าจะเป็นโชคร้าย  ทำไมท่านต้องเดือดร้อนถึงเพียงนี้”  ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้ว  เหลียนอันสุ่ยไม่น่าจะไม่เข้าใจข้อนี้  มิหนำซ้ำนี่ยังเป็นธรรมเนียมทั่วไป  ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว
“ท่านยังจำนายกองเสบียงที่ข้าเคยแนะนำให้ท่านก่อนหน้านี้ได้หรือไม่”
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้ว
“ท่านหมายถึงเถี่ยเจิ้ง”
“เขานั่นแหละ…ข้ารู้ว่าเขายังไม่มีผลงานอันใด” สูดลมหายใจลึกแล้วกล่าวต่อว่า “แต่ถ้าท่านยกสตรีนางหนึ่งให้เขา  เขาจะขายชีวิตให้ท่าน”
คนเป็นอ๋องน้อยหรี่ตาลง  คล้ายกับเห็นความเชื่อมโยงของเรื่องราวรางๆ
“สตรีนางนั้นเป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการ ? ”
เหลียนอัยสุ่ยไม่ตอบ  แต่เห็นท่าทีเขาแล้วฉีเซี่ยงหยวนก็ทราบว่าตัวเองเดาไม่ผิด จึงกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้น คนที่กำหนดเรื่องนี้ได้ก็ไม่ใช่ข้า  แต่เป็นเป่ยชางอ๋อง”
“ข้ารู้ว่าท่านทำได้  มีแต่ท่านที่ทำได้” น้ำเสียงร้อนรนทำลายบุคลิกสงบใจเย็นเสมอมา

ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง  ท่าทีภายนอกยังคงนิ่งเฉย กล่าวช้าๆ ว่า
“ท่านก็ยังไม่ชราเท่าไหร่  ทำไมอยู่ดีๆถึงคิดทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทรา*…นางมีความสำคัญต่อเขาหรือท่านกันแน่” ควรทราบว่าข้อสันนิษฐานนี้มิใช่เป็นไม่มีเหตุผล  เถี่ยเจิ้งติดหนี้บุญคุณของเหลียนอันสุ่ยมากมาย  ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่เพราะพระมาตุลาอวี้เฉียนคงจัดการเถี่ยเจิ้งไปนานแล้ว  ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเหลียนอันสุ่ยเป็นคนแนะนำเถี่ยเจิ้งให้ฉีเซี่ยงหยวนเอง  ถ้าสตรีนางนี้เป็นคนสำคัญของเหลียนอันสุ่ย  เถี่ยเจิ้งไม่มีทางกล้าแตะต้อง  ทั้งยังจะช่วยดูแลให้เป็นอย่างดี

“ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
“แล้วอย่างไหนจึงจะเข้าใจถูก  ท่านถึงกับเอ่ยปากกับข้าด้วยตัวเอง  ซ้ำยังเดือดร้อนถึงเพียงนี้”  ความรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องเริ่มจะกลายเป็นโทสะเยียบเย็น  มองท่าทีเม้มปากนิ่งของคนตรงหน้าอย่างขัดใจ
เหลียนอันสุ่ยพยายามหาวิธีอธิบาย  แต่ก็ทราบว่ายากจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น  เพราะเขาเริ่มรู้สึกถึงโทสะเลือนรางที่กำลังก่อตัว  สุดท้ายจึงถอนหายใจ  ตัดสินใจเลื่อนการอธิบายไปก่อน

-----------------------------
*ผู้เฒ่าจันทรา เป็นเทพแห่งความรักตามความเชื่อของจีน  ในมือถือสมุดเล่มหนึ่งบันทึกเกี่ยวกับบุพเพสันนิวาสของแต่ละคนเอาไว้(ที่เชื่อกันว่าคนที่เป็นคู่กันจะมีด้ายแดงผูกติดกันนั่นแหละค่ะ) เขาจะมีหน้าที่จับคู่ให้มนุษย์และคอยดูแลให้มันเป็นไปตามนั้น
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 17-07-2014 18:42:46

บทที่ 7 สาเหตุของความเข้าใจผิด

          ตะวันยามสายลอยเด่นสาดแสงเจิดจ้าอยู่บนท้องฟ้า  ส่วนหน้าของตำหนักรับรองกำลังรับแขกมากมาย  เต็มไปด้วยการพูดคุยถกเถียง  ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่เหนือการถกเถียงพวกนั้น หลี่กวงเว่ยมาแล้ว ทุกอย่างจึงค่อยๆเข้าสู่ความเรียบร้อย  ความสามารถในการจัดการพวกขุนนางหลี่กวงเว่ยนับว่าเหนือกว่าลูกน้องทุกคนของเขา  จางจื่อหยูสามารถรับมือกับขุนนางผู้ใหญ่  แต่วิธีบริหารงานต่างๆยังด้อยกว่าหลี่กวงเว่ยมากนัก  โครงสร้างอำนาจของฉีเซี่ยงหยวนที่เป่ยชางล้วนพึ่งพาการจัดการอันเหมาะสมของคนผู้นี้
สำหรับฉีเซี่ยงหยวน อำนาจมิใช่สิ่งได้มาโดยง่าย  ประการสำคัญก็คือ อำนาจที่มากเกินไปหากปราศจากการจัดการที่เหมาะสมโครงสร้างของมันจะอ่อนแอ  ‘คนๆเดียวอาจกุมอำนาจไว้ในกำมือ  แต่ความยิ่งใหญ่ของคนผู้นั้นไม่ได้เกิดจากเขาคนเดียว’  ดังนั้นฉีเซี่ยงหยวนจึงให้ความสำคัญกับคนมีความสามารถ  ซ้ำยังซาบซึ้งกับการทุ่มเททำงานของพวกเขา  ไม่เช่นนั้นต่อให้ฉีเซี่ยงหยวนเก่งกาจกว่านี้  ก็คงเหนื่อยตายไปนานแล้ว

“ท่านอ๋องน้อย  เรื่องที่ท่านให้ไปทำ คือ…” เสียงของหลิวฉางเฟยทำให้ฉีเซี่ยงหยวนหันไปมอง
“เขามาจริงๆ ? ”
“ขอรับ ตอนนี้กำลังอยู่ทางด้านหลังของเรือนรับรอง”

ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง  ด้านหลังไม่ใช่ด้านหน้า  เห็นได้ชัดว่าเหลียนอันสุ่ยไม่ได้มาหาเขา  แต่มาหา ‘นาง’  เรือนรับรองที่กว้างขวางหรูหราแห่งนี้  ด้านหลังยังเชื่อมต่อกับตำหนักอีกหลังที่ใหญ่โตยิ่งกว่า  ตั้งแต่การสนทนาเมื่อสองคืนก่อน  ฉีเซี่ยงหยวนก็ใช้ให้คนไปเฝ้าด้านหลังของตำหนักรับรองไว้  เพราะบรรดาสตรีที่เหลียนอ๋องประทานให้ล้วนพักอยู่ด้านหลังทั้งหมด

“นั่นท่านจะไปไหน!” น้ำเสียงแผ่วเบาของหลิวฉางเฟยตื่นตระหนก เมื่ออยู่ดีๆ คนที่นั่งอยู่ว่างๆก็ผุดลุกขึ้น
“ข้าออกไปครู่หนึ่งไม่เป็นไรหรอก  ตรงนี้ให้จางจื่อหยูจัดการไป  ขอเพียงทำตามวิธีของหลี่กวงเว่ยก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
---------------------
ทางเดินของตำหนักรับรองแคว้นเหลียนสวยงามกว้างขวาง  ลูกกรงไม้แต่ละซี่ล้วนทำจากไม้ชั้นดีสีเท่ากันที่ปราศจากตำหนิ  ราวบันไดแกะเป็นเกล็ดมังกรให้สัมผัสราบรื่นไม่สะดุดติดขัด  นับเป็นงานฝีมือชั้นสูง  แต่ฉีเซี่ยงหยวนไม่มีกะใจจะไปชื่นชมมันแม้แต่น้อย  สองเท้าก้าวยาวๆต่อเนื่องตามกัน  เบื้องหลังเขาคือหลิวฉางเฟยที่ก้าวตามมาอย่างเงียบกริบ  เมื่อถึงหัวมุมเสาหลิวฉางเฟยก็เปลี่ยนเป็นเดินนำอีกฝ่ายเข้าสู่พื้นที่ส่วนหลังของตำหนักรับรอง  นี่คือหลิวฉางเฟย  เขาติดตามฉีเซี่ยงหยวนนานพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรและตัวเองต้องทำอะไร

ข้ารับใช้คนหนึ่งยืนหลบอยู่หลังเหลี่ยมเสา  เมื่อเห็นทั้งสองเดินมาก็ค้อมศีรษะให้อย่างนอบน้อม  ฉีเซี่ยงหยวนพยักหน้าเล็กน้อยเป็นความหมายว่าให้จากไป  ทุกอย่างล้วนเป็นไปอย่างเงียบเชียบ  ได้ยินเสียงสนทนาดังมา  เป็นเสียงแผ่วทุ้มที่คุ้นเคยกับเสียงสะอึกสะอื้นของสตรี

เหลียนอันสุ่ยมาจริงๆ  เงาหลังสูงโปร่งของเขาทอดเป็นเงายาวอยู่บนพื้นหินขัด  เบื้องหน้ามีสตรีหลั่งน้ำตาเนืองนองหน้านางหนึ่ง  ดวงตาทั้งคู่ของนางเจ็บปวดทุกข์ระทม  ถึงแม้นางจะร้องไห้จนตาบวมแดง  แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีที่มีรูปโฉมสวยสะคราญอย่างยิ่ง

“เจ้าวางใจเถอะ  ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย” น้ำเสียงปลอบประโลมของเหลียนอันสุ่ยทำให้นางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย  ริมฝีปากบางขบลงอย่างขมขื่น ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ท่านก็ทราบว่ามันไม่มีทางเรียบร้อย  ความจริงเรื่องของบ่าวกับเขาไม่มีทางลงเอยกันอยู่แล้ว  ท่านเป็นถึงพระมาตุลาไม่จำเป็นต้องกังวลสนใจกับเรื่องของนางกำนัลเล็กๆเช่นนี้  บ่าว…บ่าวเพียงอยากให้ท่านช่วยบอกต่อเขา  ว่าเราไม่มีวาสนาต่อกัน  เท่านั้นบ่าวก็…ก็สำนึกขอบคุณพระมาตุลามากแล้ว” น้ำเสียงของนางสั่นสะท้าน  แต่ก็ยังพยายามจะฝืนยิ้ม
“เจ้าเป็นเพื่อนสนิทของเยี่ยนจื่อ  เจ้าเศร้าเสียใจนางก็ไม่มีรอยยิ้มมาหลายวันแล้ว จือหลัน ถ้าข้ายังใจดำมองนางตายทั้งเป็นอยู่อย่างนั้นก็ออกจะเป็นนายที่ใช้ไม่ได้ไปแล้ว”
“พระมาตุลา  บ่าว  บ่าว…” นางพูดได้เพียงเท่านี้ก็ทำท่าจะคุกเข้าโขกศีรษะ  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับพยุงนางด้วยมืออันมั่นคงก่อนที่นางจะย่อตัวลง  ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยหยาดน้ำตาบนหน้านางแผ่วเบา  ดวงตาอ่อนโยนเต็มไปด้วยประกายอันหลากหลาย  ถามเบาๆว่า
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าในวังหลวงแห่งนี้ความรักที่ลึกซึ้งจริงใจหาได้ยากปานใด…เจ้ากับเขารักกันมาแปดปี  เจ้าถึงกับหักใจทอดทิ้งได้ง่ายๆเช่นนี้เชียวหรือ”
“บ่าวไม่มีทางเป็นภรรยาเขาได้  นี่เป็นราชโองการลงมา  ไม่มีใครสามารถขัดขืน  อย่าว่าแต่…ตั้งแต่เป็นนางกำนัล  ความจริงก็ไม่อาจแต่งงานตามอำเภอใจ…” คำพูดของนางคล้ายกำลังพร่ำเพ้อกับตัวเอง  แต่ก็สะท้อนเรื่องราวมากหลาย  ยิ่งแคว้นที่เจริญเท่าใด กฎระเบียบก็ยิ่งตราไว้มากมายเท่านั้น  และกฎบางกฎ…บางครั้งก็ทำลายผู้คนไปอย่างน่าเสียดาย
เหลียนอันสุ่ยมองนาง  นึกสะท้อนใจกับตัวเอง  ถามคล้ายต้องการจะฉุดรั้งสติของนางคืนมา
“เจ้ารักเขาหรือเปล่า”
“มัน…มันจะมีประโยชน์ใด”

“ถ้าเจ้ารักเขา  เจ้าก็ต้องปล่อยให้ข้าช่วยเจ้า  และเจ้าก็ต้องเชื่อว่ามันจะมีทางออก  อย่าละทิ้งความหวังของตัวเองไป  เข้าใจหรือไม่” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน  ราวกับสายน้ำที่ชะเอาทุกความเดือดเนื้อร้อนใจไป  ดวงตาจ้องมองนางเงียบๆ 
สตรีนามจือหลันค่อยๆสงบลงช้าๆ  ภายใต้ประกายตาของเขานางคล้ายกับได้รับความสงบที่ปราศจากความสับสนวุ่นวายกลับมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน  พยักหน้ารับ  ทั้งสองล่ำลากันเงียบๆ  นางคุกเข่าโขกศีรษะให้เขาก่อนจากไป 

เหลียนอันสุ่ยมองตามเงาหลังบอบบางที่คล้ายกับมีความหวังขึ้นมาแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ  โล่งใจกับหนักใจอย่างละครึ่ง  แต่ก็ตกลงใจว่าช่วยเหลือนางให้ได้  เขาไม่ต้องการเห็นความรักที่ลึกซึ้งงดงามรายนี้ต้องแหลกสลายไป  ขณะหันหลังกลับมากลับเห็นคนที่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่จ้องมองมาด้วยแววตาหลากหลาย

“นางคือคนที่ท่านพูดถึงเมื่อสองวันก่อน ? ”
“…อืมม์” เหลียนอันสุ่ยพยักหน้าหลังชะงักไปวูบใหญ่  ทราบว่าโอกาสช่วยนางมาถึงแล้ว  แต่เขายังไม่ค่อยแน่ใจเพราะยังอ่านอารมณ์ในแววตาของฉีเซี่ยงหยวนไม่ออก  จึงอธิบายด้วยน้ำเสียงกลางๆว่า
“นางรักกับเถี่ยเจิ้ง  ถ้าท่านยอมยื่นมือช่วยเหลือ  เขาจะซาบซึ้งท่านไปจนวันตาย”
“ท่านแน่ใจ ? ”
“ไม่มีวิธีซื้อใจเขาที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว” ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยมีแววขอร้องจางๆ
“แล้วข้า…ซื้อใจท่านได้รึเปล่า ? ” พูดคล้ายพึมพำกับตัวเอง
“ท่านว่าอะไรนะ” คนฟังได้ยินไม่ถนัด  แต่ฉีเซี่ยงหยวนหันกายจากไปแล้ว  ก่อนไปเหลียวหน้ากลับมากล่าวว่า
“เอาเป็นว่าข้าจะลองเอาไปคิดดู”
เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจอีกครั้งอย่างโล่งอก  ถึงแม้ยังต้องรอดูต่อไปแต่ก็น่าจะพอมีหวังแล้ว
---------------------
ตลอดทางเดินกลับห้องประชุม ฉีเซี่ยงหยวนก้าวเดินอย่างเงียบกริบเช่นเดียวกับขามา  หลิวฉางเฟยเดินตามไม่ห่าง  แววตาครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร  ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนต้องการความเงียบ 
ในหัวของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชางมีแต่ภาพแววตาของเหลียนอันสุ่ย  ในหูแว่วเสียงปลอบประโลมอันอ่อนโยน  คล้ายกับเพิ่งมองเห็นตัวตนจริงๆของพระมาตุลาผู้นั้นเป็นครั้งแรก 

ฉีเซี่ยงหยวนเคยเห็นเหลียนอันสุ่ยเป็นบิดาการุณย์  เป็นพระมาตุลาผู้ใจเย็น  แต่กลับไม่เคยเห็นอำนาจที่แท้จริงในตัวเขา  อำนาจของฉีเซี่ยงหยวนทำให้คนกลัวเกรง  แต่พลังอำนาจของเหลียนอันสุ่ยกลับทำให้ผู้คนนิยมเลื่อมใส  เกิดความรู้สึกพึ่งพาได้และมั่นคง

ความจริงเหลียนอันสุ่ยไม่ได้ด้อยกว่าฉีเซี่ยงหยวนหรืออวี้เฉียนเลย  เพียงแต่ประกายของเขาเย็นตาเกินไป  ผู้คนจึงมักเห็นแต่ความโดดเด่นของอวี้เฉียน ประกอบกับตัวเขาเองไม่ต้องการจะออกหน้าและไม่ใส่ใจจะสร้างชื่อเสียง  ทั้งๆที่จริงๆแล้วเหลียนอันสุ่ยสามารถยืนในระดับเดียวกับทั้งคู่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ   ที่ฉีเซี่ยงหยวนเหนือกว่าเขาได้เป็นเพียงเพราะใช้วิธีการสกปรกกำจุดอ่อนของอีกฝ่ายอยู่ในมือเท่านั้น

ในใจของหลิวฉางเฟยกลับมีความคิดไปอีกอย่างหนึ่ง  เขามิใช่ไม่เคยพบพระมาตุลาแคว้นเหลียน  เพราะเคยติดตามฉีเซี่ยงหยวนเข้าประชุมขุนนางอยู่บ่อยครั้ง  เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นความอ่อนโยนของอีกฝ่าย  คนผู้นี้คล้ายกับ...คล้ายกับดีเกินไปบ้าง  ท่านอ๋องน้อยไม่น่าจะชอบคนประเภทนี้ 

ปรกติฉีเซี่ยงหยวนแม้อยากได้อะไรก็ต้องคว้ามา  แต่ก็มักตำหนิสตรีดีงามน่าเบื่อหน่ายไปบ้าง  ต้องใช้ความรับผิดชอบมากเกินไปบ้าง  ซ้ำบางครั้งยังออกจะฉลาดน้อยเกินไปซักเล็กน้อย  ส่วนพวกที่ฉลาดมากๆก็เป็นพวกหัวแข็งและคาดหวังสูง 

นางบำเรอคนโปรดของฉีเซี่ยงหยวนแต่ละคนล้วนเป็นโฉมงามที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างหาตัวจับได้ยาก  ที่เหมือนกันคือทุกนางล้วนเข้าใจแต่แรกว่าฉีเซี่ยงหยวนมิใช่ของพวกนางคนใดคนหนึ่ง  และไม่อ่อนเดียงสาพอที่จะคิดไปเองว่าพวกนางสามารถเรียกร้องความรับผิดชอบจนเกินพอดีจากเขา  ฉีเซี่ยงหยวนลุ่มหลงพวกนางได้  ก็เบื่อหน่ายพวกนางได้เช่นกัน  นี่เป็นสิ่งที่หลิวฉางเฟยเห็นมาโดยตลอด  แต่คราวนี้ทำไมถึง...  บางทีนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องกลุ้มใจ  คนกลุ้มใจควรจะเป็นจางจื่อหยูกับหลี่กวงเว่ยต่างหาก 
แค่ยุ่งเกี่ยวกับพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็เป็นการ  เอ่อ...เหยียดหยามที่รุนแรงพออยู่แล้ว  หากสุดท้ายยังทิ้งขว้าง...  หลิวฉางเฟยพลันไม่อยากจะคาดเดาผลสุดท้าย

“ฉางเฟย”
“ขอรับ ? ”
“อีกไม่นานการประชุมก็น่าจะจบแล้ว  ไปเชิญ ‘นาง’ มารอที่ห้องโถงรับรอง”
“ขอรับ” หลิวฉางเฟยเหลือบมองแววตาของนายเหนือหัว  แต่ก็ยังเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ออก
--------------
สำหรับวันนี้นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เหลียนอันสุ่ยมาเหยียบตำหนักรับรอง  ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนส่งคนไปเชิญเขามา  อิ๋งฮวาได้ยินก็ชักสีหน้าไม่ยินยอมให้มาท่าเดียว  จนเหลียนอันสุ่ยต้องอธิบายว่าเรื่องราวเกี่ยวพันกับจือหลันนางจึงมีท่าทีอ่อนลง  แปรเปลี่ยนเป็นกังวล แต่ก็ยืนกรานขอติดตามมาด้วย 

ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่ด้านใน  ตรงหน้าเป็นสตรีเจ้าของเรื่องทั้งหมด  ด้านหลังเป็นคนสนิทนามหลิวฉางเฟย  เมื่อได้ยินเสียงขานฉีเซี่ยงหยวนจึงเงยหน้าขึ้นมา
“ที่แท้ท่านคิดจะทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทราจริงๆ  ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ต่างให้ความสำคัญช่างเป็นพระมาตุลาที่น่าเลื่อมใส  แต่ทำเช่นนี้จะไม่เหนื่อยไปหน่อยหรือ ? ” เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก  ฟังออกว่าน้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนเพียงสัพยอกไม่ได้แฝงความขุ่นเคืองอีก  ดูจากลักษณะคาดว่าคงทราบต้นสายปลายเหตุทั้งหมดจาก ‘นาง’ แล้ว
“เรื่องของจือหลันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย  นางทำให้สาวใช้ในตำหนักข้ากังวลกันแทบกินไม่ได้นอนหลับไม่สนิทมาหลายคืนแล้ว” ได้ยินเช่นนั้นสตรีนามจือหลันรีบหันมามอง  แววตาที่มองพระมาตุลามีแววสำนึกตื้นตัน  ส่วนที่มองอิ๋งฮวาเป็นขอบคุณปะปนกับรู้สึกผิด
“เจ้ายังไม่รีบขอบคุณพระมาตุลาอีก” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าว
“จือหลัน  เจ้าต้องขอบคุณท่านอ๋องน้อยไม่ใช่ข้า  เรื่องนี้นอกจากเขาแล้วใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้” เหลียนอันสุ่ยพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้ทางซ้ายมือของฉีเซี่ยงหยวน
“จือหลันขอบคุณท่านอ๋องน้อย  จือหลันขอบคุณพระมาตุลา”

เรื่องทั้งหมดค่อยๆเข้าที่เข้าทาง  เหลียนอันสุ่ยมีท่าทีผ่อนคลายขึ้น  แต่หญิงรับใช้ที่ตามพระมาตุลามาด้วยกลับจ้องฉีเซี่ยงหยวนเขม็ง  จ้องจนฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา  ขนาดหญิงที่เป็นเครื่องบรรณาการออกไปแล้ว  นางยังคงไม่เลิกลอบมอง  มิหนำซ้ำยังมิใช่มองอย่างเสน่หาแต่เป็น...

ความจริงฉีเซี่ยงหยวนค่อนข้างคุ้นชินกับสายตาไม่ชอบหน้าของผู้อื่น  ทั้งขุนนางในราชสำนักของบิดากับชาวเหลียนบางคนก็แสดงท่าทีชัดเจนอยู่  แต่ว่านาง...ออกจะชัดเกินไปกระมัง  คล้ายกับถ้าสามารถใส่ยาถ่ายลงไปในถ้วยชาของเขาได้คงทำไปแล้ว
เหลียนอันสุ่ยก็รู้สึกได้เช่นเดียวกัน  จึงส่งสายตาปรามหญิงรับใช้ของตัวเอง  อิ๋งฮวาจึงยอมล่าถอยออกไป  พร้อมกับคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวน

“นาง...”
เหลียนอันสุ่ยตัดบทว่า
“นางแค่คิดมากไปหน่อย...ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่าน”

“ที่แท้ความรักเช่นนี้มีอยู่จริงๆ ถึงกับแอบรักกันมาแปดปีกว่า...” ฉีเซี่ยงหยวนพูดคล้ายกำลังรำพึงกับตัวเอง  ทำไมตัวเขาถึงไม่เคยยึดติดกับใครได้จริงๆจังๆซักครั้ง  ฉีเซี่ยงหยวนมิใช่ไม่เห็นค่าของมัน  แต่ก็ทราบว่ามันไม่มีประโยชน์ การมีความรักอย่างลุ่มหลงงมงายรังแต่เพาะสร้างปัญหาและจุดอ่อน ฉีเซี่ยงหยวนเคยถามตัวเองว่าถ้าหยุดได้  จะยอมหยุดทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดารึเปล่า  คำตอบคือไม่  ต่อให้เขาเป็นเพียงคนธรรมดา  เขาก็ต้องพาตัวเองมาถึงจุดนี้ให้ได้ ให้ตอบกี่ครั้งก็เหมือนเดิม  และไม่เคยเสียใจในทุกอย่างที่ได้ทำลงไป

เหลียนอันสุ่ยมองคนที่จมอยู่กับความคิดตัวเอง  ทราบว่าอีกฝ่ายคงรู้มาแบบทะลุปรุโปร่ง    ต่อให้ จือหลันตั้งใจปิดบังเรื่องราวจากฉีเซี่ยงหยวนเขาก็มีวิธีทำให้นางบอกออกมาอยู่ดี  อย่าว่าแต่นางไม่กล้าปิดบังหรอก  ฉีเซี่ยงหยวนมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้คนเกรงกลัว  ขุนนางชาวเหลียนมีไม่น้อยที่กลัวอ๋องน้อยผู้นี้จนหัวหด  แต่เท่าที่ดูขุนนางจากเป่ยชางเองก็ไม่ต่างกันล่ะนะ  คิดถึงตรงนี้ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆ

“ตอนนั้นข้าหมายความอย่างที่พูดจริงๆนะ  ท่านเอาใจใส่ทุกเรื่องเช่นนี้  ไม่เหนื่อยบ้างหรือ”
เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วนิ่งไป
“ข้า...  ข้าก็ไม่ได้จัดการเรื่องทุกอย่างเองทั้งหมดนี่  ถ้าท่านดูจริงๆ คนที่จัดการเรื่องนี้เป็นท่านต่างหาก”
“อืมม์  นั่นสินะ  ถ้าอย่างนั้นข้าขอค่าตอบแทนซักเล็กๆน้อยๆก็คงไม่เป็นไร” พูดจบคนที่นั่งๆอยู่ดีๆก็เดินถึงด้านหลังพนักเก้าอี้เขา  จมูกโด่งเฉียดผ่านผิวแก้มเบาๆ คล้ายจงใจ คล้ายไม่เจตนา
“ท่าน!” เสียงอุทานแผ่วเบาดังลอดออกมาจากปากของเหลียนอันสุ่ยอย่างตกใจ
 “ข้ารู้  ไม่ทำอะไรเกินเลยหรอก” เสียงแผ่วทุ้มจงใจกล่าวชิดกับใบหูอีกฝ่าย  ทำให้ลมหายใจอุ่นร้อนรดใบหูกับผิวข้างแก้ม
“ท่านไม่จำเป็นต้องพูดใกล้ถึงเพียงนี้กระมัง” น้ำเสียงราบเรียบทำให้ทราบว่าอารมณ์ของคนพูดกลับสู่ระดับปรกติ  ควบคุมตัวเองเก่งจริงนะ
“ถึงท่านจะบอกว่าให้คนอื่นจัดการแทนก็เถอะ  แต่ดูเหมือนท่านจะรู้เสมอเลยนะว่าใครจะทำอะไรให้ท่านได้  ถ้าไม่ได้ใคร่ครวญอย่างละเอียดมารอบหนึ่งเรื่องแบบนั้นคงทำไม่ได้หรอก” พูดพลางเป่าลมรดใบหูคนที่นั่งอยู่เบาๆ  ทำให้เหลียนอันสุ่ยแทบจะรู้สึกได้ว่าริมฝีปากของอีกฝ่ายอยู่ใกล้แค่ไหน  รวมถึงไอร้อนผ่าวที่ไม่ทราบว่ามาจากริมฝีปากอีกฝ่ายหรือใบหูของตัวเอง  จึงเบือนหน้าหลบไปอีกทาง  ทำให้เส้นผมปัดโดนจมูกของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ท่านนี่ยั่วใจข้าจริงหนอ” นิ้วมือแข็งแรงไล้ไปตามเส้นผมสีดำที่เรียบลื่นเป็นมันเงา หยิบขึ้นมาจรดริมฝีปากเบาๆ  เหลียนอันสุ่ยถึงกับทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอความสนิทสนมอันแปลกพิเศษเช่นนี้  แม้ยังสามารถข่มให้ตัวเองนั่นตัวตรงอยู่ได้แต่ก็แข็งทื่อไปทั้งร่าง  หันกลับมาก็เห็นสายตาหลุบต่ำมองสาบเสื้อของเขาอย่างมีความหมาย  ขณะกำลังคิดว่าจะหลบจากสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้อย่างไรดี  สายตาที่หลุบต่ำก็ช้อนขึ้นมาสบ  รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนริมฝีปาก  แล้วริมฝีปากของฉีเซี่ยงหยวนก็ฉวยโอกาสนาบลงบนริมฝีปากของเขา!  จะถอยหนีก็เจอฝ่ามือใหญ่ที่คอยท่าอยู่แล้วที่ท้ายทอย  เหลียนอันสุ่ยนับว่าได้รับทราบความสามารถทางด้านนี้ของฉีเซี่ยงหยวนแล้ว

“นายท่าน  นายน้อยน่าจะเลิกเรียนแล้ว  ไม่ทราบว่าท่านจะกลับตำหนักเลยหรือไม่เจ้าคะ” เสียงของอิ๋งฮวาดังลอดประตูเข้ามาทำให้ฉีเซี่ยงหยวนชะงัก  เหลียนอันสุ่ยจึงได้โอกาสหลบจากฝ่ามือของอีกฝ่ายลุกขึ้นยืน  แววตามีความปวดร้าวที่ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนไม่กล้ารั้งตัวเขาไว้อีก

ส่วนหลิวฉางเฟยที่ยืนสงบอยู่ด้านนอกมาโดยตลอดก็ขมวดคิ้ว มองหญิงรับใช้ที่จู่ๆ ก็ส่งเสียงรบกวนคนข้างในอย่างไม่เข้าใจ  นาง...จงใจ
---------------------
ความมืดยามหัวค่ำค่อยๆ โรยตัวมาจากฟากฟ้าเบื้องบน  มีแสงไฟลอดออกมาจากห้องหนังสือในตำหนักพระมาตุลา  ภายในเหลียนอันสุ่ยกำลังฝนหมึกช้าๆ  แม้พวกบ่าวรับใช้จะพยายามเสนอตัวมาช่วยฝนให้ แต่ก็ถูกปฏิเสธไป
เมื่อเห็นท่าทีของคนเป็นนายแล้ว  กระทั่งอิ๋งฮวายังไม่กล้ารบกวน  แววตามีความรู้สึกผิด  ตอนนั้นทุกอย่างกะทันหันไปหมด  นางคิดแค่ว่าจะช่วยนายท่านจากเงื้อมมืออ๋องน้อยผู้นั้นอย่างไร  จึงพูดออกไปโดยไม่ทันใคร่ครวญให้ละเอียด

กลิ่นยางสนที่ลอยขึ้นมาปะปนกับกลิ่นน้ำหมึกทำให้จิตใจของเหลียนอันสุ่ยสงบลงได้บ้าง  มีแต่ตัวเขาเองที่ทราบว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากอิ๋งฮวา  ความสับสนวุ่นงายทั้งหมดนี่ก็ด้วย  ความจริงยังต้องขอบคุณนางที่ช่วยให้ฉุกคิดถึงความจริงบางประการ 
ถึงแม้เขายังรู้สึกผิดกับเหลียนจิ้งเต๋อและก็ยังกลัวการปิดบังจะพังทลายลง  แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับชัดเจนขึ้น  คิดขณะมองน้ำหมึกดำสนิทบนแท่นฝน  เหลียนอันสุ่ยทราบแล้วว่าตัวเองกลัวอะไรกันแน่  เขากลัวใจตัวเอง 

ตอนอวี้เฉียนแม้เหตุการณ์จะเป็นไปในลักษณะนี้เช่นกัน  หากเหลียนอันสุ่ยยังมีความรู้สึกว่าตัวเองควบคุมมันได้  ฉีเซี่ยงหยวนกลับแตกต่างออกไป  คนผู้นี้กล้ากว่าอวี้เฉียน  จัดเจนกว่าอวี้เฉียน  แค่คิดถึงวิธีที่อีกฝ่ายใช้ทำลายการควบคุมตัวเองของเขาก็ทราบแล้วว่าเขามิใช่คู่มืออีกฝ่ายเด็ดขาด  และก็ทราบได้ว่ามีสตรีอีกมากมายเท่าไหร่ที่ไม่มีปัญญาต้านทานอ๋องน้อยผู้นั้นได้เช่นกัน  เหลียนอันสุ่ยฝืนยิ้มกับตัวเอง  ขณะจรดพู่กันลงบนกระดาษ 

ในขณะที่แคว้นอื่นยังใช้ไม้ไผ่กับผ้าไหม แคว้นเหลียนกลับมีกระดาษใช้แล้ว  แม้คุณภาพยังไม่ดีนักก็ตาม  การคัดลอกตำราความจริงมิใช่งานของเหลียนอันสุ่ย  แต่เหลียนอันสุ่ยในตอนนี้ไม่มีปัญญาไปทำงานอย่างอื่น  ขนาดตัวหนังสือที่คัดลอกมา  ยังรู้สึกว่ามันออกจะกระด้างไร้ชีวิตจิตใจไปบ้าง

แสงโคมในห้องส่องกระดาษจนเป็นสีเหลืองนวล  เหลียนอันสุ่ยต้องหยุดจับจ้องมันอีกครา  ความคิดในใจจมลึกลงในภวังค์ครุ่นคิด  ทำไมเหลียนอันสุ่ยจะไม่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนมิใช่คนประเภทที่จะรักคนเพียงคนเดียวไปจนตาย  สนใจได้ก็เบื่อหน่ายได้  กับเรื่องเช่นนี้เหลียนอันสุ่ยเห็นจนเจนตามานานแล้ว 

ไม่จำเป็นต้องเป็นถึงอ๋องน้อย  แค่ลูกคหบดีมีทรัพย์หน่อยก็เปลี่ยนนางบำเรอคนโปรดตามใจชอบ  ความจริงเหลียนอันสุ่ยก็ภาวนาให้อีกฝ่ายเบื่อหน่ายเขาโดยเร็ว  เพียงแต่ว่า...

‘ท่านเอาใจใส่ทุกเรื่องเช่นนี้  ไม่เหนื่อยบ้างหรือ ? ’

นี่อาจเป็นครั้งแรกที่มีคนถามเขาเช่นนี้  และก็เป็นครั้งแรกที่พบว่าตัวเองโดดเดี่ยวเหลือเกิน 

พู่กันในมือของเหลียนอันสุ่ยจรดลงอีกครา  แต่ลากอย่างเชื่องช้ายิ่ง  มีแต่ตัวเหลียนอันสุ่ยเองที่ทราบว่ากรอบของเขาไม่ได้แข็งแรงอย่างที่ใครๆ คิดเลย  ความสัมพันธ์เกินเลยยากจะไม่ก่อให้เกิดความผูกพัน  อย่างน้อยเขาก็เป็นเช่นนี้  อาจบางทีมีแต่เขาที่รู้สึกว่ามันมีความหมายที่ลึกซึ้ง  ควรจะเป็นขอบเขตสำหรับคนที่มีความรู้สึกพิเศษต่อกัน  ในขณะที่ฉีเซี่ยงหยวนเพียงยึดถือมันเป็นการตอบสนองความต้องการตามธรรมชาติ  เหลียนอันสุ่ยเอง...จริงๆก็ควรจะให้มันเป็นเพียงแค่นั้น  แต่เขาทำไม่ได้

เหลียนอันสุ่ยเพียงหวังว่าฉีเซี่ยงหยวนจะไม่แตะต้องเขาอีก  การมีความรู้สึกเกินเลยสำหรับเขาออกจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเกินไปจริงๆ...

==========
เห็นมีคนบ่นว่านายเอกเจ็บปวดอยู่ฝ่ายเดียวไม่ยุติธรรม555 
ไม่ต้องห่วงเพราะความยุติธรรมมีอยู่จริงเดี๋ยวคอยดูว่าหลังๆจะกลายเป็นอย่างไร 
เรื่องมันเริ่มจากฉีเซี่ยงหยวนทำร้ายนายเอก 
แล้วฉีเซี่ยงหยวนก็จะทำร้ายนายเอกไม่ลงขึ้นเรื่อยๆ 

ปล.แอบกระซิบว่าเหลียนอันสุ่ยหวั่นไหวก่อนก็จริง  แต่คนที่ทุ่มเททั้งใจก่อนคือพระเอกค่ะ 
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: monster_narak ที่ 17-07-2014 18:44:30
ตามมาตั้งแต่เว็บนู้น อ้านกี่ที่ก้อชอบค้าาา
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 17-07-2014 19:23:44
 o13 o13
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-07-2014 20:20:41
มาติดตามน้าาา :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 19-07-2014 15:16:02
ตามมาเป็นกำลังใจค่ะ  ขอบอกเรื่องนี้ดีมาก จนอยากให้โด่งดังเลื่องลือในเล้าเป็ด

พระมาตุลากับต๋าอ๋อง  ต้องระบือนามในเล้าเป็ดให้ได้นะค่ะ

สุดยอดมากๆๆ  เรื่องนี้  รับรองอ่านแล้วทุกคนจะต้องหลงรักพระมาตุลาแล้วชังน้ำหน้าต๋าอ๋องเหมือนที่เราเป็น 55555

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 19-07-2014 15:23:01
ตอนแรกเห็นชื่อเรื่องนึกว่าตาฝาด  :laugh: ยินดีต้อนรับค่ะ

ฝากความคิดถึงท่านต้าอ๋องด้วยนะคะ ดิชั้นคิดถึงคนเจ้าแผนการ :hao7:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 8
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 19-07-2014 20:59:34
บทที่ 8 โทสะ

‘เขาจะไม่มาจริงหรือ’ ฉีเซี่ยงหยวนคิดกลับไปกลับมาขณะมองพระจันทร์ที่ค่อยๆเคลื่อนขึ้นสูง ไม่มีกะใจจะนั่งลงทำตัวเยือกเย็นอีก  แววตาปวดร้าวของเหลียนอันสุ่ยย้อนกลับมาหาเขา  ไม่สิ  ถ้าเพื่อเหลียนจิ้งเต๋อ เหลียนอันสุ่ยต้องมาที่นี่  แววตาของฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆเยือกเย็นลง  อาจเป็นการเห็นแก่ตัว แต่เขาจะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆเช่นนี้
---------------------
อิ๋งฮวามองอย่างตื่นตระหนกเมื่อพบว่าใครมา  แต่นางก็สงบลงอย่างรวดเร็ว  ซ้ำยังเดินเข้าไปขวางเอาไว้  กล่าวอย่างนอบน้อมว่า
“นายท่านรู้สึกไม่ค่อยสบาย  ไม่พบใครทั้งนั้น  ต้องขออภัยแก่ท่านอ๋องน้อยด้วย”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง  จ้องนางนิ่ง  แต่สาวใช้ของพระมาตุลาผู้นี้แม้ก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม  แต่เท้าไม่ขยับไปที่ใดทั้งสิ้น  ยังคงยืนขวางเขาเอาไว้เช่นเดิม
“อย่างนั้นหรือ  ตามหมอมาตรวจหรือยัง”
“ตามแล้วเจ้าค่ะ  ขอบคุณท่านอ๋องน้อยที่เป็นห่วง” หนึ่งเฉยชา  หนึ่งนอบน้อมแต่แฝงความเย็นชา  หลิวฉางเฟยชมดูจนขนลุกเกรียว  นี่เป็นครั้งแรกที่มีบ่าวรับใช้กล้าขวางทางท่านอ๋องน้อย  อาจบางทีนางไม่รักชีวิตแล้วกระมัง  หรือไม่ก็มั่นใจว่าฉีเซี่ยงหยวนจะไม่ลดตัวลงมาจัดการกับนาง

“แม้แต่ข้าก็พบไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ” น้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น
“คุณชายน้อยเล่า”
“...คุณชายน้อยเข้านอนไปแล้วเจ้าค่ะ” นางดูเหมือนจะชะงักไปครู่เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงคุณชายน้อย  คล้ายกับสังหรณ์ได้ว่าฉีเซี่ยงหยวนจะมาไม้ไหน
“งั้นก็พบไม่ได้เหมือนกันสินะ” ฉีเซี่ยงหยวนยิ้มแล้ว  แต่แววตาไม่ได้ยิ้มไปด้วย
“เจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าแค่ฝากคำพูดไปให้นายท่านของเจ้าได้ใช่หรือไม่”
“...แน่นอนเจ้าค่ะ”
“บอกเขาว่า  เขาผิดสัญญาก่อน  ดังนั้น...ข้าจะไม่ทำอย่างที่ข้าเคยพูดแล้วนะ” ฉีเซี่ยงหยวนเน้นย้ำทีละคำ  คล้ายต้องการให้คนข้างในได้ยินครบถ้วน
“...บ่าวจะรายงานตามนี้เจ้าค่ะ” แต่ไม่ทันจะหมุนตัวเข้าไปรายงาน  บานประตูก็เลื่อนเปิดเสียก่อน 
เจ้าของตำหนักกล่าวแค่ว่า
“ท่านเข้ามาเถอะ” จากนั้นก็หมุนตัวเดินหายเข้าไป 
ฉีเซี่ยงหยวนทิ้งหลิวฉางเฟยเอาไว้ด้านนอก ตัวเองเดินตามอีกฝ่ายเข้าไป
ใต้แสงโคมไฟเห็นเหลียนอันสุ่ยเพียงสวมชุดนอนตัวเดียว เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะไปตำหนักรับรองแต่อย่างใด  ทำให้แววตาของฉีเซี่ยงหยวนเริ่มปรากฏเค้าของโทสะ

“วันนี้ข้ารู้สึกเพลียอยู่บ้าง  กำลังจะให้คนไปบอกท่านว่าข้าคงไม่ไปแล้ว” เหลียนอันสุ่ยมิใช่ไม่เห็นท่าทีของอีกฝ่าย  แต่ก็ยังคงเดินไปที่โต๊ะ  เก็บม้วนกระดาษที่เพิ่งคัดลอกเสร็จให้เรียบร้อย
“ความหมายของท่านคือ  ข้าควรจะ ‘รอ’ อยู่ที่นั่นต่อไป”
“ข้าทราบว่าปรกติท่านไม่ค่อยต้องรอผู้อื่น  แต่ก็ทราบว่าท่านเป็นผู้มีความอดทนรออย่างยิ่งเช่นกัน  ไม่เช่นนั้นหนานเหมินอ๋องคงไม่เสียรู้ท่านแน่”
“ท่านมองออกอีกแล้ว  แต่ท่านก็สมควรมองออกว่ากับเรื่องพรรค์นี้ข้าไม่มีความอดทนรอเท่าใดนัก  และก็มิใช่ผู้ชมชอบเก็บ ‘ความลับ’ ด้วย” พูดพลางฉุดดึงร่างอีกฝ่ายเข้ามาใกล้  เหลียนอันสุ่ยชะงักค้างไปตั้งแต่ได้ยินคำว่า ‘ความลับ’ ทำให้เสียหลักถูกฉีเซี่ยงหยวนกักตัวเอาไว้
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นช้าๆ  สบสายตาที่วาวโรจน์ด้วยไฟโทสะนิ่ง  แววตาอ่อนล้าของอีกฝ่ายทำให้ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งงันไป  เขาไม่เคยเห็นเหลียนอันสุ่ยยินยอมปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอ  แต่ภายใต้แสงอ่อนจางของโคมกระดาษ  สายตาของพระมาตุลาผู้เข้มแข็งผู้นี้กลับมีแววสับสนระคนหมองเศร้า  แสงไฟส่องต้องเส้นผมดำสนิท  ไล้แผ่วเบาไปตามอาภรณ์เบาบาง  ทำให้เขาดูไปเปราะบางกว่าเดิม
“ท่าน...” ยังไม่ทันจะพูดจบ เหลียนอันสุ่ยก็ดันเขาออก  กลับคืนสู่บุคลิกสูงศักดิ์เยือกเย็นดุจเดิม  หันหลังให้  กล่าวว่า
“วันนี้สาวใช้ข้าเสียมารยาทต่อท่าน  ต้องขออภัยแทนนางด้วย  นางก็แค่...ทำเกินหน้าที่ไปหน่อยเท่านั้น”
“อ้อ... งั้นหรือ” ฉีเซี่ยงหยวนลากเสียงยาว  ยังไม่ลืมว่าใครเป็นคนซ้ำเติมให้อารมณ์เขาเลวร้ายเช่นนี้
“นางดูจะทำหน้าที่เกินไป ‘มาก’ เลยนะ”
“ท่านคงไม่ได้ถือสาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้กระมัง” น้ำเสียงแปลกใจของเหลียนอันสุ่ย  ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าตัวเองออกจะเอามาเป็นอารมณ์มากไปซักหน่อย จึงกระแอมเล็กน้อย เปลี่ยนเป็นกล่าวว่า
“นั่นท่านเขียนอะไร” นิ้วชี้ไปที่ม้วนตำราที่เหลียนอันสุ่ยเพิ่งคัดลอกเสร็จ 
เจ้าของห้องออกจะประหลาดใจที่โทสะของอีกฝ่ายสงบลงเร็วเช่นนี้  ความจริงเหลียนอันสุ่ยแอบหวังให้ฉีเซี่ยงหยวนทำตัวเลวร้ายมากๆ  จะได้ทำใจให้ไม่ชอบอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้น  แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่เพิ่งมีโทสะอยู่หยกๆ กำลังไล้มือไปตามแผ่นกระดาษบนโต๊ะอย่างสนใจ  ดวงตาเป็นประกาย  คล้ายเด็กเจอของเล่นใหม่  เอ่ยถามว่า
“นี่คืออะไร  มันดูจะ...อืมม์ ซึมหมึกได้ดีกว่า  แล้วก็เบากว่าผ้าไหมกับซี่ไม้ไผ่ด้วย”
“นั่นเรียกว่ากระดาษ  ทำจากเยื่อไม้กับกาว...ท่านไม่เคยเห็นจริงๆหรือ”
“ก็ไม่เชิงไม่เคยเห็น  แต่ที่ข้าเคยเห็นคุณภาพแย่กว่านี้  ดูใช้ไม่ค่อยได้จริงเลย...  นี่ท่านเขียนตำราแพทย์หรือ”
“ข้าแค่กำลังคัดลอกเพื่อเรียบเรียงหมวดหมู่ของมันใหม่เท่านั้น”
“ลายมือท่านสวยมาก  ตอนท่านคัดอักษรต้องดูดีมากแน่ๆ”
เห็นฉีเซี่ยงหยวนเปิดย้อนไปส่วนเก่าๆที่เขาเคยคัดลอกไว้  เหลียนอันสุ่ยก็นิ่งไป  ถามอย่างคลางแคลงใจว่า
“ท่านมิใช่...มีโทสะอยู่หรือ”
“ข้ากำลังคิดว่า  กระดาษนี่ต้องทำให้พวกบัณฑิตหลวงดีใจมากแน่ๆ  เพราะพวกเขาสามารถหอบตำรากลับไปศึกษาที่บ้านได้วันละหลายตั้งกว่าเดิม” ฉีเซี่ยงหยวนยังคงสนใจกระดาษในมือ  ราวกับลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“ท่านคงอยากได้ช่างทำกระดาษ...” เหลียนอันสุ่ยยินดีเปลี่ยนเรื่องไปกับเขา

“อืมม์  เพียงแต่หากเอาไปมากๆแคว้นเหลียนคงขาดช่าง  เอาแค่ไม่กี่คนที่พอจะไปสอนงานได้ก็พอ  ส่วนที่เหลือ ไว้ข้าจะส่งนายช่างของเป่ยชางมาเรียนรู้ที่แคว้นเหลียนเอง” ยิ่งมาอยู่แคว้นเหลียนนานวัน  ฉีเซี่ยงหยวนก็ยิ่งเข้าใจว่าทำไมหนานเหมินอ๋องถึงดูถูกแคว้นเป่ยชางนัก  ถ้าเทียบกับแคว้นเหลียน  แคว้นเป่ยชางก็นับว่า ‘ล้าหลัง’ จริงๆนั่นแหละ
“เป่ยชางอ๋องมีทายาทที่สายตายาวไกลเช่นนี้  เขาก็สมควรจะภูมิใจได้แล้ว”
“...พระบิดาไม่ภูมิใจในตัวข้าหรอก  เขากริ่งเกรงในตัวข้า” ฉีเซี่ยงหยวนตอบช้าๆพลางม้วนเก็บตำราในมือ
“...เพราะท่านมีความสามารถมากเกินไป  คนอื่นย่อมกริ่งเกรงเป็นธรรมดา”
“แต่ข้ากลับไม่รู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถเท่าไหร่  บางครั้งก็ทำเรื่องไม่ค่อยสมเหตุสมผล  ข้าเคยรู้สึกว่าตัวเองควบคุมอารมณ์ได้ดีพอสมควร  แต่พอมารู้จักกับท่าน...ข้ากลับรู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอ”
“...” แววตาของเหลียนอันสุ่ยทอแววแปลกประหลาดระคนกับไม่เข้าใจ
“คิดๆ ดูแล้ว  คนที่ควรจะโกรธสมควรจะเป็นท่านมากกว่า  เพราะข้าใช้วิธีขี้โกงบีบท่านมาตั้งแต่ต้น  ความจริงท่านสมควรจะโกรธข้ากลับสิ  เหตุใดกลายเป็นว่าท่าน...  ท่านใจกว้างเกินไปแล้ว  ใจกว้างอย่างยากที่จะเข้าใจว่าทำได้ได้อย่างไร”
เหลียนอันสุ่ยมองอีกฝ่ายอย่างงงงัน  นี่คล้ายกับเปิดเผยเกินไปกระมัง  ถึงกับยอมรับว่าตัวเองใช้วิธีขี้โกง  ความจริงเหลียนอันสุ่ยไม่คิดจะโกรธเกลียดอะไรฉีเซี่ยงหยวนอยู่แล้ว เพราะสำหรับเขา  การโกรธเกลียดใครเป็นการเพิ่มภาระให้จิตใจตัวเองไม่สบายเปล่าๆ  ซ้ำยังเหมือนการโยนความผิดให้ผู้อื่น
“ข้ายังมีโทสะอยู่  ...เพียงแต่ไม่มีปัญญาไประบายกับท่านเท่านั้นเอง”สีหน้ามีแววหงุดหงิดอยู่บ้าง  จนเหลียนอันสุ่ยอดรู้สึกขันไม่ได้  จึงตบกระดานหมากที่เล่นค้างเอาไว้เบาๆ กล่าวชวน
“ถ้าเช่นนั้น  ระบายกับกระดานหมากนี่ก็แล้วกัน”
ฉีเซี่ยงหยวนมองตามไป  แล้วก็เลิกคิ้วถามว่า
“ท่านเล่นกับใคร”
“แค่เล่นกับตัวเองฆ่าเวลาน่ะ”
“...” วูบนั้นคล้ายกับเห็นความเปลี่ยวเหงาที่ซ่อนอยู่ในเงาหลังสูงโปร่ง
“แต่ส่วนใหญ่  ถ้าไม่มีแขก  ก็จะเล่นกับจิ้งเต๋อแล้วก็อิ๋งฮวา” ได้ยินคำพูดนี้ฉีเซี่ยงหยวนก็ขมวดคิ้ว  อิ๋งฮวา นั่นชื่อผู้หญิงมิใช่หรือ
“นางเป็นใคร”
“ท่านก็พบนางแล้วนี่  ตอนนี้นางก็ยังยืนรออยู่ข้างนอกนั่น  เป็นหัวหน้าหญิงรับใช้ของข้า” พูดพลางพยักเพยิดไปทางประตู 
อ้อ  ที่แท้นางชื่ออิ๋งฮวา  ฉีเซี่ยงหยวนคิดพลางหน้าบึ้งตึงลง
“ท่านเดินก่อนสิ” เสียงของเหลียนอันสุ่ย เรียกสติของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชางกลับมา
---------------------
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปช้าๆ  ไม่ว่าใคร ทั้งฉีเซี่ยงหยวนหรือเหลียนอันสุ่ยต่างก็ไม่คิดว่ามันจะดำเนินไปเช่นนี้  ถึงแม้ตอนแรกจะเริ่มต้นด้วยโทสะกับความสับสน  หากสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าทั้งคู่สนทนาเหมือนกับเป็นเพื่อนเก่าแก่กันมาแสนนาน

“ท่านเดินหมากเก่งมาก” เหลียนอันสุ่ยกล่าวพลางมองดูหมากของตัวเองที่อยู่ในสภาพล่อแหลม
“คำพูดนี้คงต้องขอคืนให้ท่าน  เพราะดูเหมือนข้าก็ไม่เคยต้อนท่านจน” ฉีเซี่ยงหยวนหลับตา พักสายตาขณะรอให้อีกฝ่ายวางหมากตัวต่อไป  นอกจากมู่ซางฉีเซี่ยงหยวนก็แทบไม่ได้เจอคู่มือที่สูสีมานานแล้ว  ส่วนหลิวฉางเฟย...รายนั้นรู้ไส้รู้พุงกันดีจนเกินไป  หลังจากเล่นกันมาสิบกว่าปี  กระทั่งจะวางหมากต่อไปตรงไหนยังคาดเดาได้  ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนเลิกเล่นกับหลิวฉางเฟยไปนานแล้ว  แต่จากสถิติฉีเซี่ยงหยวนก็นับว่ายังเหนือกว่าอีกฝ่ายล่ะนะเพราะเขาเจ้าเล่ห์กว่าอยู่เล็กน้อย

ปลายนิ้วเรียวยาวของเหลียนอันสุ่ยไล้หมากในมือเล่น  มองคนทอดตัวตามสบายที่นั่นตรงข้าม  รู้สึกว่าถ้าเป็นแค่เพื่อนกับฉีเซี่ยงหยวนก็คงจะดี  เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้เดินหมากอย่างจริงจังมานานพอสมควรแล้ว  เหวินจีเคยกระตือรือร้นจะเรียนกับเขา  แต่ฝีมือนางยังด้อยกว่าเขาช่วงใหญ่  ส่วนเหลียนจิ้งเต๋อกับอิ๋งฮวาถ้าจะเล่นกันจริงๆเหลียนอันสุ่ยก็มักจะต้องต่อให้อีกฝ่ายหลายตัว
เสียงหมากกระทบกระดานเบาๆ  แต่คนที่นั่งหลับตาก็ยังคงไม่ลืมตาขึ้น  คล้ายกับเผลอหลับไปแล้ว  นี่คืออ๋องน้อยที่ใครต่อใครต่างเกรงกลัว  เหลียนอันสุ่ยมองอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกว่าช่างแตกต่างเหลือเกิน  บุรุษที่ทรงอำนาจกับชายที่ปล่อยตัวตามสบายตรงหน้า  อันที่จริงคนผู้นี้ออกจะหล่อเหลาด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีแววตาที่เย็นเยียบจนน่ากลัว  กับรอยยิ้มเหยียดที่มุมปาก  ...บุรุษที่เชื่อมั่นในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม  เชื่อมั่นจนน่าหวาดกลัว  คล้ายกับไม่ว่าใครก็ไม่มีปัญญาหนีพ้นเงื้อมมือเขาไปได้  แต่ความจริงสิ่งที่เหลียนอันสุ่ยกลัวที่สุดกลับเป็นการที่ตัวเองถูกความเชื่อมั่นนั้นดึงดูด...

“ท่านอ๋องน้อย...”
“...” ไม่มีเสียงขานตอบ  เหลียนอันสุ่ยเหลียวมองจันทร์นอกหน้าต่าง  ตัดสินใจพยุงอีกฝ่ายเข้าไปนอนให้เรียบร้อย  แต่เมื่อจะขยับตัวออกมากลับถูกมือใหญ่ฉุดดึงจนเสียหลักทาบตัวลงไปบนร่างสูง
 “นี่มันเตียงท่าน  จะไปไหนหรือ” ในความอ่อนจางของแสงโคม ส่องต้องดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนเป็นประกายวาว  ไหนเลยมีเค้าความง่วงงุน  สองมือของเขารั้งเอวเหลียนอันสุ่ยไว้ไม่ยอมปล่อย  ซ้ำยังฉวยโอกาสหาตำแหน่งที่เหมาะมือที่สุด
“ท่าน...ที่แท้ท่านไม่ได้...”

“ใจคอท่านคิดให้จะให้ข้านอนคนเดียวจริงๆ หรือ” พูดพลางพลิกกายเปลี่ยนเป็นทาบทับอยู่ด้านบนโดยอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว  เพิ่งรู้สึกว่าเสื้อผ้าของอีกฝ่ายบางอย่างยิ่ง  เบาบางจนเขาแทบจะรู้สึกถึงผิวกายอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้า
เหลียนอันสุ่ยขยับตัวอย่างตื่นตระหนก เมื่อฝ่ามืออีกฝ่ายปะป่ายไปทั่วร่าง  แทบไม่รู้สึกว่าตัวเองสวมเสื้อผ้าอยู่เลย ลอบตำหนิตัวเองที่ไม่สวมเสื้อคลุมให้เรียบร้อยเสียก่อนเปิดประตู

“ฝีมือการทอผ้าตัดเย็บเสื้อของแคว้นเหลียนยอดเยี่ยมอย่างยิ่งจริงๆ” น้ำเสียงคล้ายพ่อค้าที่เจอผ้าถูกใจ  ปลายนิ้วลากไล้แล้วก็ขยี้เบาๆ ราวกับจะทดสอบคุณภาพของเส้นใย  เพียงแต่ปัญหาคือมันสวมอยู่บนร่างของผู้อื่นน่ะสิ
“ปละ  ปล่อย...ข้าไม่” ริมฝีปากร้อนผ่าวนาบลงบนสาบเสื้อ อาภรณ์เบาบางแทบจะถ่ายทอดความร้อนผ่าวของมันอย่างครบถ้วน  เหลียนอันสุ่ยหอบหายใจ  ฝ่ามือยกขึ้นคล้ายคิดจะผลักไสอีกฝ่ายออกห่าง
“ท่านไม่อะไร  หืมม์” ปลายนิ้วสากแตะลงบนเรียวขา  ค่อยๆเลื่อนขึ้นไปถึงต้นขา ขยี้แผ่วเบา  คราวนี้กระทั่งผ้าบางๆก็ไม่ได้คั่นเอาไว้  เหลียนอันสุ่ยสะดุ้ง ฝ่ามือใหญ่กลับไปไล้ช้าๆอีกครั้ง  ผิวกายแทบจะรู้สึกได้ว่าฝ่ามืออีกฝ่ายมีรอยด้านตรงไหนบ้าง
“ตระ  ตรงนั้น ไม่  อ๊ะ” ปลายนิ้วของอีกฝ่ายจาบจ้วงขึ้นทุกที  แม้ยังไม่ได้ล่วงล้ำ  แต่ก็ฟ่อนเฟ้นไปทุกตารางนิ้ว  ผิวกายของเขาไว  ไวจนเกินไป กระทั่งชุดที่เคยนุ่มลื่นสวมใส่สบาย ยังสร้างความทรมานเมื่อเสียดสี  คล้ายกับว่าฉีเซี่ยงหยวนยังรู้จักร่างกายของเขาดีกว่าตัวเขาเอง...
---------------------
“ท่านอายุสามสิบเอ็ดแล้วจริงหรือ” เสียงของฉีเซี่ยงหยวนแหบพร่าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ขณะไล้ผ่ามือไปตามแผ่นหลังเรียบเนียนที่สั่นสะท้าน  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ตอบเขา พูดให้ถูกคือไม่มีปัญญาตอบ  มีแต่เสียงหอบครางทุกคราที่เขาล่วงล้ำ
ทุกครั้งหลังถูกเขาเคี่ยวกรำมาตลอดทั้งคืน  การควบคุมตัวเองที่เป็นปราการแน่นหนาถูกปลดลงจนหมดสิ้น  เหลียนอันสุ่ยจะแปรเปลี่ยนเป็นหวานล้ำจนแทบจะเป็นหยาดเยิ้ม  เรื่องนี้มีแต่ฉีเซี่ยงหยวนที่ทราบ  และมีแต่เขาที่มีสิทธิ์ตักตวงความหอมหวาน 
รู้สึกถึงความผ่าวร้อนที่เนียนละเอียด  เรือนกายสูงโปร่งเปิดรับเขา  ปลายนิ้วเรียวยาวจิกลงบนบ่ากว้าง ร่างทั้งร่างพลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

ฉีเซี่ยงหยวนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง  ค่อยๆ ละเลียดผลลัพธ์ที่อดทนรอมาตลอด  ตามเหตุผล เหลียนอันสุ่ยที่ไม่ช่ำชองไม่ควรจะมีความสามารถทำลายการยับยั้งชั่งใจของเขาได้  แต่ตลอดคืนฉีเซี่ยงหยวนกลับต้องคอยย้ำเตือนตัวเองอยู่ตลอด ให้ค่อยๆ ปลดกำแพงการควบคุมอารมณ์ตัวเองของอีกฝ่ายลงทีละชั้น  มีแต่ทำเช่นนี้เขาถึงจะได้สัมผัสตัวตนจริงๆของเหลียนอันสุ่ย  และมีแต่ทำเช่นนี้เขาจึงบรรลุแผนการที่วางไว้  นั่นแทบจะทำให้ฉีเซี่ยงหยวนเป็นบ้าตาย

ผ่ามือแข็งแรงไล้ไปตามใบหน้าหมดจด  อารมณ์สงบลงช้าๆ  หากเป็นไปได้  ท่านตั้งใจจะซุกซ่อนความต้องการอันรุนแรงที่เกิดจากความเปลี่ยวเหงาเอาไว้ใต้ท่าทีสงบอ่อนโยนนั่นตลอดไปเลยงั้นหรือ  พระมาตุลาผู้งดงาม  พระมาตุลาผู้โดดเดี่ยว...
---------------------
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกตัวช้าๆ  เหม่อมองแสงที่ส่องผ่านกระดาษบุหน้าต่างลงมาบนเตียงใหญ่
‘เขา...ไปแล้ว’ ร่างเครียดเกร็งค่อยๆผ่อนคลายลงทีละน้อย  แม้จะรู้สึกวางใจขึ้น  แต่กลับเกิดความรู้สึกเงียบเหงาว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก  นี่เขากำลังรู้สึกอะไร  เหลียนอันสุ่ยสวมเสื้อช้าๆ  บังคับให้ตัวเองเลิกรู้สึกในสิ่งที่ไม่สมควรรู้สึก
---------------------
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวตอนเช้าเสร็จ  พระมาตุลาแคว้นเหลียนก็กลับมานั่งคัดลอกตำราต่อ ก็เหมือนกับทุกวัน  ...เสแสร้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น  จมูกสูดลมหายใจลึก  เขาควรจะเลิกคิดถึงมันซักที
ในหัวเปลี่ยนเป็นคำนวณวันเงียบๆ  วันนี้... คนผู้นั้นสมควรกลับมาได้แล้วกระมัง

อิ๋งฮวาเดินเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าที่พับวางซ้อนกันจนสูง  นางกล่าวคำขอโทษเรื่องเมื่อวานไปเจ็ดแปดรอบแล้วสำหรับเช้านี้  แต่ผู้เป็นนายกลับส่ายหน้าอย่างไม่ถือเป็นเรื่องโกรธเคือง  ครั้งนี้นางมาพร้อมข่าวที่ต้องรายงาน

“หวังเชียนให้คนส่งข่าวมาว่า งานที่นายท่านให้ไปจัดการล้วนเรียบร้อยหมดแล้ว  เขาจะกลับถึงประมาณเที่ยงเจ้าค่ะ” คนฟังพยักหน้ารับ สายตาเหลือบไปเห็นพับผ้าโดยไม่ตั้งใจ  ใบหน้างดงามถึงกับเปลี่ยนสีในทันใด
“อิ๋งฮวา  ....นี่ก็เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว  อากาศก็หนาวขึ้นทุกที  หลังจากนี้ชุดทั้งหมดของข้าเปลี่ยนเป็นตัวที่ตัดเย็บด้วยผ้าชนิดหนาทั้งหมด”
 “เจ้าค่ะ” อิ๋งฮวารับคำสั่งที่ดูจริงจังแปลกๆของนายท่านอย่างมึนงง



=======
ขอบคุณทุกคอมเมนท์ 
ปลื้มปริ่มกับทุกคนที่ตามมาเชียร์กัน :L1:(แสดงตัวกันชัดเหลือเกินอยู่ฝ่ายเหลียนเหลียน) 
ตอนแรกเห็นหลี่ยั่วถงนึกว่าตาฝาด กรี๊ดดด  แอดมินมาเชียร์เอง   :impress2:
(สำหรับความคิดถึงที่ฝากมาฉีเซี่ยงหยวนคงยินดีรับแน่ 
ตอนนี้หมอนี่กำลังต้องการกำลังใจ  เจ้าแผนการก็จริงแต่ชักจะใช้ไม่ออกละ นายเอกไม่เล่นด้วย555) 

สุดท้ายนี้ยินดีต้อนรับนักอ่านรายใหม่ทุกคนค่ะ :pig2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 21-07-2014 16:15:42

บทที่ 9 ขุนนางผู้น่าสงสาร

“ท่านใจกล้าเกินไปแล้ว” เสียงบ่นขรมที่ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนชักจะอยากเอามืออุดหู  ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานแล้ว  เรื่องมันเริ่มขึ้นจากตอนที่เขากลับจากตำหนักพระมาตุลา  กำลังจะก้าวเท้าเหยียบเข้าไปในห้องโถงของตำหนักรับรอง  พบจางจื่อหยูดักรออยู่...

“ท่านอ๋องน้อย  ฟ้ายังไม่ทันสาง  เหตุใดท่านกลับไปอยู่นอกตำหนัก” เสียงเย็นทักขึ้น  แววตาจับผิด ส่อแววตำหนิติเตียน
“เหตุใดข้าไม่อาจไปอยู่นอกตำหนัก  ตำหนักรับรองยามค่ำคืนออกจะเงียบเหงาไปบ้าง  ข้าจึงออกไปหาความรื่นรมย์ให้กับตัวเอง” ฉีเซี่ยงหยวนย้อนถามเสียงเรียบเฉย
“ตำหนักแห่งนี้ออกจะเงียบเหงาเกินไปจริงๆ  แต่ตำหนักพระมาตุลาก็มิใช่ที่ที่ชวนรื่นรมย์”
ฉีเซี่ยงหยวนยังคงหน้าไม่เปลี่ยนสี ถามว่า
“ผู้ใดว่าข้าไปตำหนักพระมาตุลา”
“เกรงว่าจะไม่ใช่แค่ผู้ใดผู้หนึ่ง  ท่านอ๋องน้อยนี่มิใช่เรื่องเล่นๆ ท่าน...”
“ท่านไปฟังข่าวไร้สาระเช่นนี้มาจากไหนกัน”  ฉีเซี่ยงหยวนตัดบท  เดินหนีไปราวกับขี้เกียจจะได้ยิน  แต่ดูเหมือนจางจื่อหยูจะมีความมั่นใจยิ่ง  ไม่เพียงไม่สนใจการปฏิเสธบอกปัด  แววตายังคงเป็นเช่นเดิมไม่ผิดเพี้ยน
“นี่มิใช่เรื่องไร้สาระ  ท่านก็รู้แก่ใจดี” จางจื่อหยูกล่าวพลางเดินตามแผ่นหลังกว้างที่เดินหนีไปไม่ลดละ
“ดึกดื่นป่านนี้  ท่านมาทำอะไรที่ตำหนักข้า”

“ข้าย่อมมีเรื่องสำคัญมาหารือกับท่าน  แต่ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นเรื่องที่ท่านทำตามใจตัวเอง”  หารือเรอะ  เรียกว่ามารอจับผิดมากกว่า  ทำไมฉีเซี่ยงหยวนจะมองจุดประสงค์ของอีกฝ่ายไม่ออก  ในใจนึกอยากจะฆ่าเจ้าคนที่ปากเปราะไปบอกคนตรงหน้าเป็นกำลัง  สายตาหันไปทางหลิวฉางเฟย
“เป็นเจ้าหรือ”
หลิวฉางเฟยเห็นสายตาของผู้เป็นนายก็รู้สึกสยอง

“ย่อมมิใช่เขา  แม่ทัพหลิวจงรักภักดีต่อท่านอย่างยิ่ง ถ้าเขายินยอมบอกข้าเรื่องคงจบไปนานแล้ว” น้ำเสียงมีแววพาดพิงตำหนิไปถึงหลิวฉางเฟยด้วย  แต่คนที่ถูกพาดพิงยังคงเฉย  ถ้าเขาบอกออกไปจริง  แม้อาจเป็นผลดีต่อเจ้านายตัวเองอย่างที่จางจื่อหยูกล่าว  แต่ต้องไม่เป็นผลดีต่อชีวิตของเขาแน่  ตั้งแต่มาเป็นคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวน  หน้าที่ของหลิวฉางเฟยก็คือปิดปากให้สนิทก่อนเป็นอันดับแรก

“หากเขาไม่บอกหรือข้าจะไม่รู้จักทราบเอง  ท่านเป็นอ๋องน้อยแคว้นเป่ยชาง  ทุกคนในแคว้นเหลียนล้วนจับตามองท่านเป็นตาเดียว  ท่านเข้าใจว่าเรื่องเช่นนี้จะปิดบังได้นาน ? ”  ฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่คิดว่ามันจะปิดบังได้นานหรอก  เพียงแต่ว่า...จางจื่อหยูเป็นคนสุดท้ายที่เขาอยากจะให้ทราบ!

น่าเสียดายที่จางจื่อหยู วันๆสุมหัวกับเหล่าขุนนาง  ทุกเรื่องราวขอเพียงมีรั่วไหลออกไป  ประสาทสัมผัสพิเศษของคนผู้นี้ไม่มีทางคัดกรองผิดพลาด  ความจริงนี่สร้างข้อได้เปรียบให้ฉีเซี่ยงหยวนเสมอมา  แต่ตอนนี้...ฉีเซี่ยงหยวนกลับหวังให้อีกฝ่ายหูหนวกตาบอดจึงประเสริฐ

“ท่านเข้าใจว่าจะหยุดข้าได้”
จางจื่อหยูได้ฟังแล้วแทบจะเป็นลม  สตรีทั่วแคว้นเหลียนมีมากมาย  ...ต่อให้เป็นบุรุษก็มีมากให้เลือกเฟ้น  แล้วเหตุใดจึงต้องเจาะจงมาเอาคนที่ไม่สมควรเลือกที่สุด !
“ท่านอ๋องน้อย! ...ศักดิ์ฐานะของเหลียนอันสุ่ยแทบจะสูงกว่าเหลียนอ๋องด้วยซ้ำไป  ความจริงต่อให้น้องสาวของเขาไม่แต่งงานกับเหลียนอ๋ององค์ก่อน  เขาก็เป็นเชื้อพระวงศ์ลำดับสูงมากอยู่ก่อนแล้ว”
“อ้อ” ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้ว  แต่ไม่ได้มีท่าทีสนใจจริงจัง  เพราะก่อนหน้านี้เคยทราบประวัติโดยละเอียดของเหลียนอันสุ่ยจากสายข่าวมา
“มารดาของเขาเป็นลูกสาวคนเดียวของเหลียนอ๋องรัชกาลก่อนๆ  เนื่องจากไม่มีทายาทชาย เหลียนอ๋ององค์ที่แล้วจึงถูกคัดมาจากญาติที่ลำดับห่างกันมาก  ทำให้ถึงแม้เหลียนอันสุ่ยจะเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องกัน  แต่ในความเป็นจริงศักดิ์ศรีของเขายังสูงกว่าอีกฝ่ายอีก  ดังนั้นเหลียนอ๋ององค์ก่อนจึงแต่งงานกับน้องสาวของเขาเพื่อรวมอำนาจในแคว้นให้เป็นหนึ่งเดียว  และไว้หน้าเหลียนอันสุ่ยสามส่วนตลอดมา  เหลียนอ๋ององค์ปัจจุบันก็เจ็ดแปดส่วนเข้าไปแล้ว  แต่ท่านกลับไปล่วงเกินเขา...” 
ฉีเซี่ยงหยวนตัดบทว่า
“ท่านนี่ล่วงรู้ไม่น้อยเลยจริงๆ  แต่ล่วงเกินก็ล่วงเกินไปแล้ว  ใช่จะแก้ไขอย่างไรได้”
“ท่านอ๋องน้อย ! ” จางจื่อหยูตะเบ็งเสียงจนคอแหบคอแห้ง  แต่นายเหนือหัวยังคงทำตัวไม่เดือดไม่ร้อนอยู่เช่นเดิม  เห็นชัดๆว่าไม่คิดจะแก้มากกว่า
“แทนที่จะเอาเวลามาบ่นข้า  เอาเวลาไปคุมข่าวให้เงียบน่าจะดีกว่านะ”
จางจื่อหยูฟังคำแนะนำแล้วเหลือกตา  จะคุมข่าวได้ยังไง  ถ้าคนทำให้เกิดข่าวมันยังไม่หยุดเช่นนี้ 

การไปพบปะที่บ่อยจนผิดปรกติ  ทำให้มีเสียงซุบซิบไปต่างๆนานา  ดีที่ส่วนใหญ่เพียงคาดเดากันอย่างคลุมเครือ  ไม่ว่าใครก็ไม่แน่ใจว่าฉีเซี่ยงหยวนทำอะไรลงไปจริงหรือไม่  มีแต่จางจื่อหยูที่รู้ว่าไม่มีเรื่องใดที่ท่านอ๋องน้อยผู้นี้ไม่กล้าทำ  แล้วถ้าไม่จริงก็คงไม่กลับดึกดื่นจนค่อนเช้าเช่นนี้  หลักฐานมันก็เห็นๆ กันอยู่  อย่าว่าแต่จางจื่อหยูยังได้ข่าวที่เชื่อถือได้มา

“ท่านใจกล้าเกินไปแล้ว  ท่านเข้าใจว่าแคว้นเหลียนจะทนทานความอัปยศเช่นนี้ได้ง่ายๆหรือไร”

“ใต้เท้าจาง” เสียงของฉีเซี่ยงหยวนเย็นลง  แววตาเริ่มมีเค้าที่ไม่ล้อเล่นขึ้นมา  จางจื่อหยูเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็หุบปากฉับ  ทราบว่าไม่มีสิทธ์วิจารณ์การกระทำของนายเหนือหัว  และก็ทราบว่าตัวเองทำเกินขอบเขตไปแล้ว  แต่เรื่องคราวนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง  เห็นทีเขาต้องเอาไปปรึกษาหลี่กวงเว่ยเพื่อหาทางออก  เพียงแต่กลัวว่าจะไม่มีทางแก้ไขน่ะสิ

ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตามองขุนนางเก่าแก่รุ่นราวคราวเดียวกับพระบิดาตัวเองคารวะแล้วจากไป  ฉีเซี่ยงหยวนกล้าพนันได้เลยว่าอีกฝ่ายต้องตรงไปหาหลี่กวงเว่ย  ฉีเซี่ยงหยวนมิใช่ไม่ทราบว่าเรื่องราวคราวนี้หนักหนาอยู่  เพียงแต่ต้องการให้จางจื่อหยูทราบว่าตัวเองมิใช่มารดาของเขา  ไม่เช่นนั้นนับวันจางจื่อหยูจะทำตัวคล้ายเป็นมารดาของเขาขึ้นทุกทีแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนกล้าบอกได้ว่าขนาดแม่นมตู้ที่เลี้ยงเขามากับมือยังไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายมากเกินขอบเขตถึงเพียงนี้  ส่วนพระมารดาจริงๆ ก็จากไปเสียนานแล้ว

“ข้าไม่คิดว่าเรื่องมันจะจบหรอกนะขอรับ” หลิวฉางเฟยกล่าว  พลางมองตามเงาหลังของจางจื่อหยูไป  ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจ  แน่นอนว่ามิใช่แค่หลี่กวงเว่ย  ทันทีที่กลับไปถึงแคว้นเป่ยชางเมื่อไหร่  น่ากลัวมู่ซางกับฝงเป่าก็ต้องทราบเรื่องด้วย  เพราะหากให้จางจื่อหยูไม่บอกออกไป  เขาคงอัดอั้นตันใจตายเพราะไม่มีที่ระบายความกลัดกลุ้มเป็นแน่
---------------------
จางจื่อหยูพกพาความกลัดกลุ้มไปหาหลี่กวงเว่ย ที่กำลังคัดกรองตำราที่จะให้คนคัดลอกเพื่อนำกลับไปที่แคว้นเป่ยชางอยู่ที่หอตำราหลวง

หลี่กวงเว่ยเป็นบัณฑิตที่ฉีเซี่ยงหยวนชุบเลี้ยงไว้เป็นที่ปรึกษา  แต่หลี่กวงเว่ยมีฐานะแตกต่างจากที่ปรึกษาคนอื่นมากมาย  เพราะนอกจากจะได้รับความเชื่อถือไว้วางใจเป็นพิเศษจากฉีเซี่ยงหยวน  ยังเป็นบัณฑิตคนเดียวที่มาหาฉีเซี่ยงหยวนด้วยตัวเอง  ทั้งยังมีอำนาจในการตัดสินใจสูงยิ่ง 

ปรกติทุกคนในสังกัดของฉีเซี่ยงหยวนจะมีหน้าที่ในส่วนรับผิดชอบของตนชัดเจน  มีแต่หลี่กวงเว่ยที่ครอบคลุมของคนอื่นไปกว่าครึ่ง  เพราะความสามารถของหลี่กวงเว่ยคือการบริหารคน  ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นมิตรหรือศัตรู  ขอแค่เป็นคนก็ใช้ได้แล้ว  บางครั้งกระทั่งคนตายยังกลายมาเป็นลูกน้อง ช่วยเหลือหลี่ กวงเว่ยทำงานด้วย!

จางจื่อหยูมีความนับถือเลื่อมใสในตัวที่ปรึกษาผู้นี้อย่างยิ่ง  ทุกครั้งที่เห็นหลี่กวงเว่ย  จางจื่อหยูมักรู้สึกว่าตัวเองชราแล้ว  คลื่นลูกหลังสามารถไล่กลบคลื่นลูกหน้าได้จริงๆ  ดังนั้นปัญหาที่คนอื่นหาทางออกไม่ได้  หลี่กวงเว่ยสมควรมีวิธีแก้ไข

แต่หลังจากเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไป  แววตาที่เปี่ยมด้วยประกายปัญญามีแววชะงักงัน  แล้วค่อยๆ แปลกประหลาดขึ้นทุกที  จางจื่อหยูเคยชื่นชมบุคลิกใจเย็นของอีกฝ่าย  แต่ตอนนี้กลับหวังว่าหลี่กวงเว่ยจะหยุดนิ่งงันเช่นนี้โดยเร็ว

หลี่กวงเว่ยเป็นบุรุษที่มีกลิ่นอายตำรา แต่ไม่เข้มข้นจนคร่ำครึ  รูปร่างผอมแต่ไม่เตี้ยเล็ก  บุคลิกโดยรวมดูใจเย็นเป็นที่สุด  ราวกับว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังไม่แตกตื่นตกใจ  ดวงตาทั้งคู่ทอประกายปัญญาจะเปลี่ยนเป็นแหลมคมขณะขบคิดเรื่องที่ซับซ้อนเป็นพิเศษ  เรื่องในวันนี้ก็สมควรจะเรียกได้ว่าซับซ้อนเป็นพิเศษ  ทำไมดวงตาของหลี่กวงเว่ยดูไปดูมาไม่เพียงไม่แหลมคมขึ้น  ยังสลัวลงทีละน้อย  สุดท้ายเปลี่ยนเป็นคล้ายๆกับ...ปลงตก

“เรื่องนี้ไม่มีทางแก้”
หา  จางจื่อหยูมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อ  หลังจากนั่งรอคำตอบมาครึ่งค่อนวัน  เหตุใดกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“กับเรื่องนี้ ทั้งท่าน ทั้งข้า ต่างไม่มีปัญญาแก้ไข  ท่านทำตามที่เขาบอกเถอะ”
“ทำ...ทำอะไร” จางจื่อหยูยังคงมึนงง
“คอยจัดการให้ข่าวรั่วไหลน้อยที่สุด เพราะหากเรื่องนี้รั่วไหลออกไป สถานะของท่านอ๋องน้อยที่แคว้นเป่ยชางจะมีปัญหา และอาจเป็นชนวนทำให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นได้  กับเรื่องนี้ต้องพึ่งท่านแล้ว” พูดจบก็หันไปเดินเลือกตำราต่อ 
อะ อะไรนะ  ใต้เท้าจางตะกุกตะกักว่า
“ท่าน  ท่านสมควรไปเกลี้ยกล่อม  ท่านอ๋องน้อยฟังคำท่านที่สุด”
หลี่กวงเว่ยนิ่งไป หันมาจ้องหน้าคนพูดแล้วจึงกล่าวว่า
“นั่นเป็นเพราะข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของท่านอ๋องน้อยมาก่อน”
“นี่ไม่แค่ปัญหาส่วนตัว  ถ้ามันลุกลามบานปลาย...”
“ถ้าท่านไม่ต้องการให้มันลุกลามบานปลาย  ก็ต้องควบคุมไม่ให้ข่าวรั่วไหลออกไป  จนกว่าท่านอ๋องน้อยจะเปลี่ยนเป้าหมายใหม่”  หลี่กวงเว่ยพูดง่ายๆ แค่นั้น  แล้วก็ก้มหน้าทำงาน เป็นความหมายว่าไม่คิดจะสนทนาเรื่องนี้ต่ออีก
เปลี่ยนเป้าหมายใหม่งั้นรึ  มันก็จริงว่าท่านอ๋องน้อยก็เปลี่ยนคนพอใจไปเรื่อยๆ  เพียงแต่ว่า...แล้วมันเมื่อไหร่กันล่ะ!  แค่คิดคำนวณดู จางจื่อหยูก็รู้สึกว่าสมองตัวเองพองโต  เวลานี้เขาต้องการใครก็ได้มาฟังเขาโอดครวญ...
--------------
สวนกว้างใหญ่  เงาไม้ร่มรื่น สายลมฤดูร้อนที่ยังหลงเหลือถูกสายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดกวาดเข้าแทนที่  กลิ่นอายสงบเศร้าสร้อย อ้อยอิ่งอยู่ในบรรยากาศ  ทางเดินยาวทอดจากสวนไปจรดสะพาน  สะพานยาวเหยียดตัวแตกแขนงค้ำอยู่เหนือผิวน้ำเชื่อมถึงเก๋งหกเหลี่ยม  ในเก๋งกลางน้ำมีเงาของคน

“ใต้เท้าจางมาหาข้า  ไม่ทราบมีเรื่องราวอันใด” เสียงแผ่วทุ้ม นุ่มนวลน่าฟังดังสะท้อนผิวน้ำที่อีกไม่นานคงเต็มไปด้วยใบไม้สีส้มทองของฤดูชิวเทียน
“ข้า เอ่อ ข้าได้ข่าวมาว่าพระมาตุลามีความรู้ด้านการแพทย์  ระยะนี้หลังข้าปวดๆ...”
“ท่านก้มบ่อยรึเปล่า”
“ก็บางที  แต่พอก้มแล้วมันจะปวดมาก  หลังๆมานี่เลยไม่ค่อยได้ก้มแล้ว” ตอบพลางมองรูปโฉมอันสบายตาของคนตรงหน้าอย่างใจลอย  จางจื่อหยูมิใช่ไม่เคยพบพระมาตุลาผู้นี้  แต่ไม่เคย ‘สัมผัส’ ในระยะใกล้ขนาดนี้มาก่อน 

เมื่อได้พบเหลียนอันสุ่ยคำขอร้องต่างๆนานาก่อนหน้านี้กลับถูกกลืนลงท้องไปจนหมดสิ้น  เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหักใจกล่าวออกไปได้จริงๆ  ตอนแนะนำตัวจางจื่อหยูเพียงกล่าวพาดพิงถึงฉีเซี่ยงหยวนสองประโยค ก็เห็นความหม่นหมองในแววตาสงบอ่อนโยน

หากจะให้จางจื่อหยูเปรียบเปรย  สมควรบอกว่าเหลียนอันสุ่ยเป็นหยกที่งดงามที่สุดของแคว้นเหลียน  แต่ดวงชะตากลับพานเคราะห์ร้ายอย่างยิ่ง จึงต้องมาเจอหัวขโมยใจคด...ไม่สิ  สมควรใช้คำว่าเอาแต่ใจตัวเองจึงจะถูกต้อง  แน่นอนว่าการให้หัวขโมยไม่แตะต้องชิ้นหยก  ก็ยากพอๆกับให้แมวไม่แตะต้องปลานั่นแหละ

จางจื่อหยูลอบพิจารณาเสี้ยวใบหน้าที่หมดจดคมคายของอีกฝ่าย  ต้องลอบทอดถอนใจอีกครั้ง  หากเขามีบุตรี จะต้องยกให้บุรุษผู้สุภาพอ่อนโยนผู้นี้แน่  ฉีเซี่ยงหยวนแม้โดดเด่นแต่เยาว์วัย  แต่นิสัยบางด้านกลับอันตรายยิ่ง  โดยเฉพาะกับอิสตรี  การยกบุตรีให้ท่านอ๋องน้อยสามารถกล่าวว่าเป็นโศกนาฏกรรมได้  เพราะจางจื่อหยูสามารถบอกได้ล่วงหน้าว่านางก็คงไม่แคล้วหลงรักฉีเซี่ยงหยวนจนหมดหัวใจ  ในเวลาเดียวกับที่ฉีเซี่ยงหยวนเริ่มเบื่อหน่ายนาง

คนผู้นี้ดีเกินไป  ที่จะมาเป็นแค่ ‘ของเล่น’ ให้ท่านอ๋องน้อย   ก่อนนี้จางจื่อหยูถึงกับเคยวาดภาพเหลียนอันสุ่ยเป็นมารปีศาจที่ล่อลวงให้อวี้เฉียนลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น  ตอนนี้กลับรู้สึกละอายจนอยากจะกระโดดลงไปชดใช้ความผิดในสระบัว   

จางจื่อหยูไม่จำเป็นต้องเดาว่าท่านอ๋องน้อยใช้วิธีการอันใดเข้าใกล้พระมาตุลาผู้นี้  เพราะวิธีการของฉีเซี่ยงหยวนรวบรัดได้ผลเสมอมา  และสามารถใช้ได้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ตัวเองต้องการ  คิดมาถึงตรงนี้อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจอีกครั้ง
---------------------
ทันทีที่ลับร่างจางจื่อหยูอารมณ์ของฉีเซี่ยงหยวนก็ดีขึ้นทันตาเห็น  ขณะกำลังจะออกไปเดินดูโรงช่างของแคว้นเหลียน  ก็พอดีเจอเป้าระบายโทสะ  จึงเปลี่ยนกำหนดการกะทันหัน
“ท่านอ๋องน้อยเรียกข้ามา  ไม่ทราบมีอันใดให้รับใช้” เฉินเสียกล่าวพลางประสานมือคารวะอย่างยิ้มแย้ม 
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตามองอีกฝ่ายนิ่งๆ  กล่าวเสียงราบเรียบว่า
“ใต้เท้าชมชอบทำงานขาดทุนถึงเพียงนี้เลยหรือ”
คนฟังชะงักไป  แต่ก็ยังพยายามยิ้ม  กล่าวด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนว่า
“ขอเพียงได้รับใช้ท่านอ๋องน้อย  ต่อให้เป็นเรื่องขาดทุน  ข้าก็ต้องทำอย่างสุดความสามารถ”
“ดีมาก  ความจริงงานนี้ไม่ขาดทุนเท่ากับที่ใต้เท้าเคยทำหรอก  ข้าแค่ต้องการให้ท่าน...หุบ-ปาก-ให้-สนิท” ตอนท้ายย้ำช้าๆทีละคำ 
เฉินเสียหน้าเจื่อนไป  เพราะพอเดาได้รางๆ ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องอะไร
“เรื่องของท่านอ๋องน้อย  ข้าย่อมปิดปากสนิทอย่างยิ่ง”
“อ้อหรอ  เหตุใดข้าคล้ายกับได้ยินว่ามันรั่วไหลออกไป  ...ใต้เท้า บางครั้งปากคนเราก็สำคัญอย่างยิ่ง  ปากสามารถทำให้นักโทษประหารกลายเป็นคนเป็น  แต่ก็สามารถทำให้คนเป็นกลายเป็นคนตายได้เหมือนกัน” เสียงของฉีเซี่ยงหยวนเย็นจนคนฟังหน้าซีด
“ท่านอ๋องน้อย  ข้าไม่เคย...ไม่เคย...”
“ท่านไม่ต้องกลัวไป  ที่ข้าเรียกท่านมาวันนี้ก็เพราะรู้สึกว่าท่านเอาแต่ทำเรื่องขาดทุนจนน่าเป็นห่วง”
“ขาด  ขาดทุน ? ” สีหน้าเปลี่ยนเป็นมึนงง
“ย่อมต้องขาดทุนยิ่ง  ท่านเพียงเล่าเรื่องที่ท่านเคยมี ‘บุญคุณ’ กับข้าออกไปเพื่อแลกกับการได้หน้านิดๆหน่อยๆ ทรัพย์สินเล็กๆน้อยๆ   แต่กลับต้องชดใช้ด้วยชีวิตมันออกจะไม่คุ้มกันนะ”
“...” เฉินเสียหน้าซีดปากสั่น เมื่อเห็นแววตาเย็นเยียบของฉีเซี่ยงหยวน

“ที่ข้าบอกว่าท่านชมชอบทำเรื่องขาดทุน  นั่นก็เพราะ เพื่อสร้างความพอใจให้ข้ากลับขายคนที่ไม่สมควรขาย  ทำการค้าที่ไม่มีทางได้กำไร  ถ้าข้าไม่พอใจ ‘เขา’ ท่านย่อมไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แน่  และถ้าข้าพึงพอใจ ‘เขา’ ท่านใยไม่คิดบ้างว่าตัวเองจะลำบาก”
“ท่าน...คงไม่  คงไม่...”

“ท่านเข้าใจว่าสามารถใช้เรื่องนั้นมาขู่ข้าได้หรือ  ประการแรก ข้าสามารถทำให้ท่านไม่มีปัญญาพูดออกไปก่อนท่านจะทันเอ่ยปาก  ประการที่สอง ถึงเรื่องผิดเพี้ยนเช่นนี้ อาจทำให้ฐานะข้าในเป่ยชางมั่นคงน้อยลงบ้าง  แต่บรรดาลูกน้องของข้าก็สามารถจัดการได้ไม่มีปัญหา  ประการสุดท้าย ต่อให้มันเป็นเรื่องร้ายแรงจนถึงขั้นมีศึกสงคราม  ทำไมท่านไม่คิดบ้างว่าชาวเหลียนจะฆ่าใครเป็นอันดับแรก...ยังมิใช่ต้นเหตุที่มอบความอัปยศให้พวกเขาหรอกหรือ”

เฉินเสียตัวสั่นงันงก  ขนาดยืนยังยืนไม่มั่นคงแล้ว  ต้องคุกเข่าลงกับพื้น  ฉีเซี่ยงหยวนยังพูดไม่หมด  เขาล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน  ขายคนที่ไม่สมควรขาย  ไม่ถูกตามคิดบัญชีก็เป็นเรื่องแปลกมากแล้ว  อย่าว่าแต่ทั้งสองคนล้วนเป็นบุคคลที่เฉินเสียไม่มีปัญญารับมือได้

“ความจริงท่านสมควรขอบคุณ ‘เขา’   ท่านเข้าใจว่าเหลียนอันสุ่ยมองไม่ออกหรือว่าท่านเป็นตัวการ  เขาเพียงแต่ไม่ต้องการจัดการกับท่านจึงไม่ได้เอ่ยถึงอีก  แต่ถ้าท่านยังเที่ยวเอาเรื่องนี้ไปโพทะนา  เกรงว่าต่อให้เหลียนอันสุ่ยไม่บอกออกไป  ทุกคนยังคงทราบอยู่ดี”

เฉินเสียโขกศีรษะกล่าวคำ ‘ข้าน้อยผิดไปแล้ว’ ซ้ำๆ  รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองโง่เขลาเบาปัญญายิ่ง  เมื่อฉีเซี่ยงหยวนชี้ให้เห็น จึงมองออกว่าการพูดออกไปที่ทำร้ายสาหัสที่สุดก็คือตัวเอง
ฉีเซี่ยงหยวนมองคนตรงหน้าอย่างเย็นชา  รอให้อีกฝ่ายโขกศีรษะจนเลือดซึมแล้วจึงกล่าว
“ครั้งนี้ข้าเพียงเรียกท่านมาสนทนา  หวังว่าคงไม่ต้องมีครั้งที่สองอีก  ท่านไปได้แล้ว”

“ขอบคุณท่านอ๋องน้อย  ขอบคุณท่านอ๋องน้อย” พูดจบก็รีบจากไปเหมือนได้คำสั่งละเว้นโทษตาย
หลิวฉางเฟยมองเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยสายตาเรียบนิ่ง  นี่นับเป็นโทษที่กรุณามากแล้วสำหรับคนที่กล้าเอาความลับของท่านอ๋องน้อยไปขาย  สมควรบอกว่าฉีเซี่ยงหยวนลดโทษให้เฉินเสียชั่วคราวเพราะยังมีประโยชน์ให้ใช้สอย  ไม่ต้องห่วงว่าเฉินเสียจะไม่ช่วยปิดข่าวอย่างเอาเป็นเอาตาย  ดีไม่ดีหลังจากนี้คงนอนไม่หลับอีกแล้ว 

และหลิวฉางเฟยยังมองออกอีกว่าจุดประสงค์หลักของท่านอ๋องน้อยมิใช่ระบายโทสะให้ตัวเอง  แต่เป็นต้องการระบายโทสะแทนผู้อื่น  คราวนี้เฉินเสียนับว่าขายคนที่ไม่สมควรขายจริงๆ
---------------------
“นายท่าน  ใต้เท้าเฉินเสียจากกรมพิธีการขอเข้าพบเจ้าค่ะ”  พระมาตุลาเงยหน้าขึ้นมาจากรายงานที่ให้คนสนิทไปรวบรวมเอามาทันทีที่ได้ยินเสียงอิ๋งฮวา  ตอบว่า
“เดี๋ยวข้าจะออกไป” จากนั้นหันไปกล่าวกับบุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“เจ้าทำดีมาก”
คนผู้นี้เป็นผู้ติดตามของพระมาตุลา  มีนามว่าหวังเชียน  รูปลักษณ์ภายนอกเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่  ผิวกายค่อนข้างคล้ำกว่าชาวเหลียนทั่วไป  เครื่องหน้าคมชัด  คิ้วดกหนา  สายตาสงบเยือกเย็น  นิสัยพูดน้อย  ไม่ชมชอบกล่าววาจาไร้สาระ  ครึ่งเดือนมานี้ไปตระเวนเก็บข่าวความเสียหายที่เกิดจากศึกสงครามตามที่ต่างๆ จึงไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้านาย

ทันทีที่เดินออกจากห้อง  เหลียนอันสุ่ยก็ได้ยินเสียงคุกเข่าโขกศีรษะดังอย่างต่อเนื่อง  คนมารอพบพูดซ้ำไปซ้ำมากับคำ ‘ข้าน้อยผิดไปแล้ว  ขอพระมาตุลาไม่ถือสาเอาความ’

“ใต้เท้าเฉิน  นี่มันเรื่องอะไรกัน  ท่าน...หยุดก่อน” เหลียนอันสุ่ยพูด  ดวงตาทอแววแปลกใจ 
เฉินเสียเงยหน้า ตั้งใจจะทำหน้าตาให้น่าสงสารที่สุด  สายตากลับเหลือบไปเห็นหวังเชียน  หัวที่เพิ่งโงขึ้นกลับไปโขกกับพื้นใหม่ทันที
“เรื่องที่ข้าทำผิดต่อท่าน  ใช้ชีวิตนี้ชดใช้ก็ไม่พอ  ขอได้โปรด...” สวรรค์  จะไม่ให้ทางรอดเขาบ้างเลยหรือ  ขนาดหวังเชียนยังมาแล้ว  บ่าวไพร่ตำหนักนี้ขึ้นชื่อเรื่องรักเจ้านายประดุจชีวิต  หากหวังเชียน ทราบเรื่องแล้วไม่ฟันเขาเป็นสิบเจ็ดสิบแปดท่อนก็แปลกมากแล้ว
เหลียนอันสุ่ยรีบก้มลงประคองอีกฝ่าย
“ใต้เท้าเฉิน  เรื่องที่ผ่านไปแล้วข้าไม่ถือสาเอาความ  ท่านไม่ต้องโขกศีรษะแล้ว”
“แค่ไม่ถือสายังไม่พอ  วิงวอนท่านช่วย...” แต่เมื่อเห็นสายตาคมกริบของหวังเชียน คำพูดที่จะกล่าวก็กล่าวไม่ออก  ตอนแรกเฉินเสียคิดจะใช้ความเมตตาของเหลียนอันสุ่ยให้เป็นประโยชน์  แต่ดูท่าหากพูดออกไปอาจกลายเป็นการค้าขาดทุนอีกรายหนึ่ง

เหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้ว  ทวนคำ
“ให้ข้าช่วย ? ”
“ไม่มีอะไร  ข้าหมายถึงในวันหน้าหากมีเรื่องที่ข้าสามารถช่วยท่าน  ให้ข้าได้ชดใช้เถอะนะ”
เหลียนอันสุ่ยรับปากอย่างงงๆ  นี่ไม่คล้ายนิสัยเดิมของเฉินเสียเลย  เฉินเสียก็ไม่กล้าอยู่นานรีบขอตัวจากไป
“นายท่าน  นี่...” หวังเชียนขมวดคิ้วถาม
“ไม่มีอะไร  ...ไปพักเถอะ  เจ้าเพิ่งเดินทางกลับมา” คนเป็นนายกล่าว  สายตายังคงมองตามทางที่เฉินเสียจากไป  คาดเดาได้ทีละน้อยว่าทำไมเฉินเสียที่หลีกเลี่ยงการพบหน้าตั้งแต่ ‘วันนั้น’ จึงพลันบากหน้ามาขอโทษ   คนที่สามารถข่มขู่ให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งหวาดกลัวได้ขนาดนี้ต้องเป็น ‘เขา’ แน่
แต่ว่าเขา...  ทำเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์ใดกัน
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 22-07-2014 23:35:05
 o13
หลงรักเรื่องนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น
ภาษาลื่นไหล
เนื้อเรื่องสนุกมาก


พระมาตุลา งื้ออออ ทำไมท่านจึงน่าเพ้ออย่างนี้ ไม่แปลกใจเลยที่คนมาลุ่มหลงท่าน
 :-[
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: loveatalltime ที่ 22-07-2014 23:58:43
 :hao5:คนเขียน รักเรื่องนี้มากมาย คิดถึงเหลียนเหลียน
มาต่อีกเรื่อยๆน้า
 :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 23-07-2014 16:08:49

บทที่ 10 อดีต

ตกเย็นอีกแล้ว  ในใจของเหลียนอันสุ่ยยังคงมีคำถาม  ยังคงมีความไม่เข้าใจ  แต่กลับกลัวที่จะหาคำตอบอยู่บ้าง  ขณะเดินเหยียบพรมทอมือหรูหราวิจิตรที่ทอดผ่านทางเข้าของตำหนักรับรอง  สถานที่ซึ่งไม่นานมานี้มาเยือนบ่อยจนคุ้นชิน  หวังเชียนที่ติดตามมาถูกทิ้งไว้ด้านนอก 
สายตากวาดมองเข้าไป  เห็นอ๋องน้อยแห่งเป่ยชางนั่งรออยู่ตรงนั้น  บนโต๊ะเก้าอี้ชุดเดิม  ท่าทางยังผ่อนคลายสบายอารมณ์จนน่าหมั่นไส้อีกด้วย 

 “วันนี้มีคนสองคนไปหาข้า  คนแรกเป็นใต้เท้าจาง  ส่วนคนที่สองเป็นใต้เท้าเฉิน  ไม่ทราบว่าท่านมีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยราบเรียบ  คาดเดาไม่ได้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ใด
“สาเหตุที่ใต้เท้าจางไปหาท่านเป็นเพราะใต้เท้าเฉิน  ส่วนสาเหตุที่ใต้เท้าเฉินไปหาท่านเป็นเพราะข้า  ดังนั้นความผิดที่ใต้เท้าจางทราบเรื่องไม่ใช่ของข้า  ส่วนความดีความชอบที่ใต้เท้าเฉินไปขอขมาท่านเป็นของข้า”
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้ามองคนที่อวดอ้างความดีความชอบหน้าตาเฉย  ถามเสียงราบเรียบว่า
“ความดีความชอบ  ท่านให้คนโขกศีรษะจนหัวแตกเป็นความดีความชอบ ?”
คนฟังยักไหล่ตอบว่า
“ทราบว่าท่านไม่คิดเอาผิดเขา  แต่ข้าต้องการระบายโทสะแทนท่าน  และประการสำคัญคือใครใช้ให้เขาเอาเรื่องของข้ากับท่านไปขาย” มิหนำซ้ำยังขายให้กับคนที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่อยากให้รู้ที่สุด

เหลียนอันสุ่ยเงียบไป  ระบายโทสะแทนเขาอย่างนั้นหรือ  เหลียนอันสุ่ยพอจะคาดเดาได้ว่าทำไมจางจื่อหยูซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งของเป่ยชางอยู่ดีๆจึงมาขอพบ  ซ้ำยังลอบพิจารณาเขาพลาง ถอนหายใจพลาง ท่าทางกลัดกลุ้มกังวลอย่างยิ่ง  แต่ไม่คิดว่าเรื่องราวจะเกี่ยวข้องกับเฉินเสีย  มิน่าเล่าเฉินเสียจึงลนลานถึงเพียงนั้น

จากนั้นฉีเซี่ยงหยวนก็สนทนาเลยไปถึงเรื่องบ้านเมือง  เกี่ยวกับปัญหาขัดแย้งที่เกิดเพราะวัฒนธรรมที่แตกต่าง  อยากให้เหลียนอันสุ่ยช่วยคิดวิธีที่จะให้แคว้นเหลียนยอมรับประเพณีของแคว้นเป่ยชาง  เนื่องจากไม่ว่าอย่างไรหากคิดจะลดความรู้สึกแบ่งแยกก็ต้องเริ่มต้นที่จุดนี้

คืนนี้เป็นคืนที่ยุ่งวุ่นวายเพราะมีเรื่องมากหลายต้องสะสาง  แสงจันทร์นวลเย็นเป็นประกายลึกลับ  คล้ายอาภรณ์เลือนรางที่ห่มคลุมทุกความลับเอาไว้ใต้ม่านแห่งนภาราตรี  จันทร์ยังคงเป็นจันทร์ดวงเดิม  แต่ความรู้สึกของคนใต้แสงจันทร์เริ่มเปลี่ยนไป...
---------------------
ณ อีกฝั่งฟ้านอกกำแพงวังไกลออกไป  แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเข้ามาดูไปเลือนรางเป็นพิเศษ  ซ้ำยังแฝงความเยียบเย็นไร้น้ำใจ ทอดจับบนทองคำสุกปลั่งกองหนึ่ง  ทองคำหลายตำลึงนี้กองอยู่เบื้องหน้าสายตาที่เย็นชากระด้าง  เจ้าของมันกำลังครุ่นคิด  ตัวเองใช่จะมีวันได้ใช้ทองคำเหล่านี้หรือไม่

แผนการทุกอย่างพร้อมพรักแล้ว  กระทั่งจังหวะเวลาก็ถูกกำหนดไว้เรียบร้อย  ทุกคนในแผนการล้วนไม่มีหนทางหันหลังกลับอีก  นี่เป็นงานที่เขาคุ้นชินชำนาญ  ใช้ชีวิตตัวเองช่วงชิงชีวิตของผู้อื่น  และก็ใช้ศีรษะผู้อื่นแลกกับเงินทอง  กับมือรับจ้างสังหารที่ไร้ญาติขาดมิตรผู้หนึ่งเช่นเขา  ตายไปก็ไม่เห็นจะเป็นไร

เพียงแต่ราคาคราวนี้ออกจะแพงไปบ้าง  แพงจนน่าเป็นกังวล  ถึงเขาจะเป็นคนต่างแคว้น  แต่ก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ของเป้าหมายครานี้มา  อ๋องน้อยฉีเซี่ยงหยวนมิใช่คนที่จะจัดการได้โดยง่ายแน่นอน!
---------------------
ทางเดินในตำหนักพระมาตุลาจุดโคมทุกหัวเสา  สาดส่องให้สว่างดุจกลางวัน  ดึกดื่นถึงเพียงนี้  คงเหลือแต่ทหารยามลาดตระเวนเป็นกะเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหว  เหลียนอันสุ่ยกลับมาถึงตำหนักของตัวเอง  สีหน้าคล้ายมีความในใจอันใด

อิ๋งฮวาหลังเข้ามารับเสื้อคลุมตัวนอกไปจากมือเจ้านายก็ออกไป  เมื่อเดินกลับมาอีกครั้งเห็นเขาหลับตานิ่งสีหน้าปวดร้าวจนบอกไม่ถูก  จึงร้องเรียกด้วยน้ำเสียงเจือความเป็นห่วง
“นายท่าน”
ได้ยินเสียงเรียกเหลียนอันสุ่ยก็ชะงักไป  ลืมตาขึ้นช้าๆ  ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า
“เจ้าชอบแคว้นเหลียนหรือไม่”
“แคว้นเหลียน...อ้อ  นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง  ความเสียหายที่เกิดขึ้นย่อมต้องฟื้นฟูได้ในเร็ววัน  เพราะนายท่านร่างแผนการไว้แล้ว  เหลือแค่ให้พวกเขาไปจัดการก็พอ” นางเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงรายงานความเสียหายที่เหลียนอันสุ่ยนั่งคิดวิเคราะห์มาตั้งแต่เช้า

กล่าวถึงเรื่องนี้นางทั้งเลื่อมใสทั้งซาบซึ้ง  นายท่านทุ่มเทความคิดมากมายเพื่อร่างแผนฟื้นฟูเมืองหลังภาวะสงครามให้เสร็จ  งบประมาณทั้งหมดล้วนเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเขา  วิธีการของนายท่านไม่เคยไม่ได้ผล  นางแทบจะเห็นรอยยิ้มที่คืนกลับมาของชาวเหลียนในวันข้างหน้าแล้ว

“ไม่ใช่  ข้าหมายถึงเจ้าชอบแคว้นเหลียนรึเปล่า”
อิ๋งฮวาขมวดคิ้วเล็กน้อย  แต่ก็ยังตอบว่า
“...บ่าวเกิดที่นี่  โตที่นี่  ย่อมไม่มีทางจะไม่ชอบแคว้นเหลียน”
“...ดีแล้ว  ถ้าไปอยู่ที่อื่นเจ้าคงทุกข์ทรมาน”  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยเป็นประกายอ่อนโยน  แต่อิ๋ง ฮวากลับมีลางสังหรณ์แปลกๆ
“นายท่าน...หรือว่าท่านจะไปไหน”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งไป  เมื่อเห็นสายตาคาดคั้นก็ทราบว่าปิดบังไม่ได้
“ข้าอาจต้องไปเป่ยชางเร็วๆนี้”
“นายท่าน !” อิ๋งฮวาร้องอย่างตื่นตระหนก  ไม่มีใครเข้าใจความสำคัญที่แคว้นเหลียนมีต่อนายท่านมากว่านาง  จริงอยู่ที่นางรักแคว้นเหลียน  แต่ยังไม่ได้ครึ่งของที่นายท่านทุ่มเทให้แคว้นเหลียนไป
“ท่าน  ทำไมท่าน  ...หรือว่าอ๋องน้อยแห่งเป่ยชางผู้นั้น...”
“มิใช่  แต่คุณชายน้อยของเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมของเขาแล้ว  ย่อมต้องติดตามเขาไป  ส่วนข้าแค่ไม่ไว้ใจให้เขาไปคนเดียว”
“นี่มันเล่นลูกไม้ชัดๆ  เขาจงใจบังคับให้ท่านต้องไป” ขนาดนางยังดูออก  เป็นไปไม่ได้ที่นายท่านจะดูไม่ออก  เพียงแต่นายท่านก็ยังคงไม่ถือสาคนสารเลวผู้นั้นเหมือนเคย
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องไปเป่ยชาง  แต่เจ้า...”
“ไม่  บ่าวจะติดตามท่านไป  นายท่านได้โปรดให้บ่าวติดตามท่านไป” แววตานางเด็ดเดี่ยว  ไม่ยินยอมถอยเด็ดขาด  ทำให้เหลียนอันสุ่ยที่คิดเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมต้องถอนหายใจยาว
วันนี้ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ทำอะไรเขา  เพราะเจ้าตัวมัวยุ่งกับการวางแผนจัดแจงเรื่องต่างๆในแคว้นเหลียน  ข้อนี้เหลียนอันสุ่ยต้องขอบคุณอย่างสวรรค์  หากฉีเซี่ยงหยวนยังแตะต้องเขาอีก  เขาคงไม่อาจทนทานรับได้แล้ว 
แต่นั่นก็ทำให้เห็นลางเลาๆว่าฉีเซี่ยงหยวนคิดจะกลับเป่ยชางเร็วๆนี้  จึงต้องรีบจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย

ความจริงนี่ไม่มีปัญหาใด  ก่อนหน้านี้แม้ชาวเหลียนส่วนใหญ่จะเคยรู้สึกว่า ชาวเป่ยชางเป็นพวกป่าเถื่อน ดุร้าย ชอบวางอำนาจ  จนถึงขั้นไร้อารยธรรม  แต่ฉีเซี่ยงหยวนก็พิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่ามันไม่จริงด้วยการผ่อนปรนหลายๆอย่างให้แคว้นเหลียน  ทำให้ความรู้สึกส่วนใหญ่ของชาวเหลียนต่อเป่ยชางพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น  และด้วยความช่วยเหลืออย่างลับๆของเหลียนอันสุ่ย ทำให้การเจริญสัมพันธไมตรีเป็นไปอย่างราบรื่น  เพราะมีแต่เหลียนอันสุ่ยที่ทราบกระจ่างว่าผู้ใดไม่อาจไม่เกลี้ยกล่อม  ผู้ใดได้มาแล้วจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง

แต่ว่ายิ่งทุกอย่างใกล้สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่  ยิ่งแสดงถึงเวลาในแคว้นเหลียนที่เหลือน้อยลงเท่านั้น

ความผูกพันที่เหลียนอันสุ่ยมีต่อแคว้นเหลียนลึกซึ้งจนยากบ่งบรรยาย  เวลา 31 ปีเพียงพอจะสร้างพันธนาการผูกมัดคนไว้จนชั่วชีวิต  วิญญาณของเขาแทบจะหลอมกลืนเข้ากับแผ่นดินผืนนี้  เหลียนอันสุ่ยเคยคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆมากมาย  เคยคิดกระทั่งว่าตัวเองอาจอายุไม่ยืน  เพราะชีวิตความจริงเป็นเรื่องไม่แน่นอน  แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวัน...ที่ต้องไปจากแคว้นเหลียน
ฉีเซี่ยงหยวนมีการจัดแจงของเขา  เหลียนอันสุ่ยก็จัดการเรื่องราวต่างๆไว้เช่นกัน  เพราะทราบ...ว่าตัวเองคงไม่มีวันได้กลับมาที่นี่อีก...
-------------------
กระทั่งราตรีที่ค่อนข้างเยียบเย็นในแคว้นเหลียนยังมีคุณค่าความหมาย  สายลมแห้งจัดในฤดูชิว เทียนบอกลางถึงฤดูหนาว  เหลียนอันสุ่ยมิได้นอนหลับ  ถึงแม้ตลอดวันจะครุ่นคิดจนเหน็ดเหนื่อย แต่หัวถึงหมอนกลับนอนไม่หลับ  บนร่างของเขาสวมเสื้อคลุมกันลมฝีมือประณีต  ในมือถือโคมที่เรื่อแสงนวลใย  ดูไปคล้ายภาพวาดที่แฝงความโศกเศร้า เงียบเหงาจนบอกไม่ถูก 
อิ๋งฮวาแอบหลบมุมลอบมองดูเขา  ดวงตาของนางมีประกายน้ำตา   เห็นเขามือซ้ายถือโคม  มือขวาไล้ช้าๆไปตามรอยไม้บนต้นท้อใหญ่

ตอนดอกท้อบาน งามล้ำจนแทบจะฉุดดึงทุกลมหายใจไปกับมัน  แต่ดอกท้อจะไม่บานอีกแล้ว  ...อย่างน้อยในใจอิ๋งฮวาก็หวังว่ามันอย่าได้บานอีกเลย  ความจริงดอกท้อบานมีความหมายอันเป็นมงคล  แต่ทุกครั้งที่ดอกท้อบานนางจะเห็นความเจ็บปวดในแววตาของนายท่าน

หลายวันมานี้นางเห็นนายท่านเหม่อมองต้นท้อหลายครั้งผ่านบานหน้าต่าง  แต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ วันนี้นายท่านทาบมืออยู่บนเปลือกไม้ของต้นท้อใหญ่  ในเงาหลังกลับมีความรู้สึกผิดเข้มข้น  จนนางหัวใจแทบแหลกสลาย  นายท่านของนางทำอะไรผิด เหตุใดสวรรค์จึงใจร้ายต่อเขาถึงเพียงนี้

นางจำได้ว่าครั้งแรกสุดที่ท้อต้นนี้บาน เป็นวันที่พระชายาสิ้นลม  คล้ายกับว่าการเบ่งบานของมันฉุดดึงลมหายใจของนายหญิงไปด้วย
แต่อิ๋งฮวาเพียงล่วงรู้หนึ่ง  ไม่ล่วงรู้ถึงสอง  ต้นท้อต้นนี้เป็นเหวินจีปลูกเองกับมือ  แต่ครั้งแรกสุดที่ดอกท้อบาน  เจ้าของของมันกลับไม่มีวาสนาได้เชยชม
นี่เป็นส่วนที่เงียบสงบที่สุดของสวน  และเป็นส่วนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในจิตใจของเหลียนอันสุ่ย  หลายวันมานี้ เขาจึงไม่กล้าเข้ามาทำให้มันแปดเปื้อน  เพราะความแปดเปื้อนของเขา ไม่ว่าชะล้างอย่างไรก็ไม่มีทางหมด
‘ข้าผิดต่อเจ้า  ผิดอย่างไม่อาจแก้ไข...ขอโทษด้วย’ 

เหลียนอันสุ่ยไม่แน่ใจว่านางจะฟังคำขอโทษนี้หรือไม่  เพราะเขาผิดต่อนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า  อิ๋งฮวาทราบแค่นายหญิงสุขภาพทรุดโทรมจนเสียชีวิต  แต่ในความเป็นจริงสุขภาพของเหวินจีมิได้ย่ำแย่ถึงเพียงนั้น  เหลียนอันสุ่ยมีความรู้ทางการแพทย์ทำไมจะดูไม่ออก การตายของนางเป็นเพียงแค่การสังเวยให้กับความขัดแย้งจากอิทธิพลอำนาจเท่านั้น  ส่วนเขา...แค่ผู้หญิงคนเดียวกลับไม่มีปัญญาปกป้องเอาไว้

เขายังจำได้ว่า  แววตาของเหวินจีมักมีเค้าเอียงอาย แต่ก็มักจะแอบมองเขา  ใช้ทั้งหมดของหัวใจมารักเขา แต่เขากลับเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้ดวงตาของนางไม่อาจลืมขึ้นอีกแล้ว
การเห็นหน้าเฉินเสียกวนตะกอนของความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดขึ้นมา  เหลียนอันสุ่ยเคยนึก...ว่าอีกฝ่ายเลิกราไปแล้ว  แต่ดูเหมือน ‘นาง’ จะยังคงเคียดแค้นอาฆาตเขาอยู่

มาคิดๆดูแล้วจึงเข้าใจกระจ่าง  นั่นสินะ  ขนาดเหลียนอันสุ่ยยังไม่เชื่อว่าเฉินเสียได้ยานั่นมาได้อย่างไร  คงเป็น ‘นาง’ ที่มอบมันให้กับเฉินเสีย   เพราะไม่ว่าอย่างไรสองคนนั้นก็มีไมตรีคบหากันไม่เลวอยู่  ต้นความคิดเหลวไหลอาจเป็นเฉินเสียเอง แต่หากไม่มีคนยุยงส่งเสริมเฉินเสียไหนเลยจะกล้าถึงเพียงนั้น
ความคิดของเหลียนอันสุ่ยเยือกเย็นลง  อาจบางที ‘นาง’ คงไม่ได้คิดว่าฉีเซี่ยงหยวนจะตามตอแยเขาไม่เลิกรา   นางเพียงต้องการยัดเยียดความอัปยศเช่นนี้มาให้เขาเท่านั้น

จำได้ว่าตอนเหวินจีตายไป เขาเคยคิดจะให้ ‘นาง’ ชดใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง  ความเคียดแค้นรุนแรงเพียงใด กระทั่งตัวเองยังไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นไปได้ขนาดนั้น  จากนั้นจึงรู้สึกถึงสิ่งแท้จริงที่นางต้องการ  นางเพียงต้องการให้เขาเคียดแค้นชิงชังเช่นเดียวกัน เพราะความเคียดแค้นที่ลึกซึ้งรุนแรงสามารถทำให้คนสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง  กระทั่งแสงตะวันก็จะไม่งดงามเช่นเดิมอีกต่อไป  ชีวิตดุจตายทั้งเป็น
แต่เขาจะไม่ตายทั้งเป็นไปกับนาง  และรู้สึกเป็นครั้งแรกว่านางช่างน่าสงสารนัก  ถูกความเคียดแค้นกลืนกินวิญญาณไปจนหมดสิ้น 
เรื่องราวคราวนี้เขาก็จะไม่โทษว่านาง  ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ถ้าหากเขาไม่พาตัวเองไปเกี่ยวข้อง  เขาเลือกทางของเขาเอง  และถ้าเขาจะเจ็บปวดเพราะฉีเซี่ยงหยวน  ...ก็ต้องเป็นเพราะควบคุมจิตใจตัวเองไม่ดีพอ
เพียงแต่ว่า...เหลียนจิ้งเต๋อไม่ควรต้องมาเจอความอัปยศเช่นนี้  และเหวินจีก็ไม่คู่ควรจะถูกบุรุษที่นางรักทำผิดต่อนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้เลย...
---------------------
เช้าแล้ว  เหล่าสกุณากู่ร้องเสียงแหลมสดใส  สวนที่โศกเศร้ามืดมนคล้ายกลายเป็นอดีตไป  แสงอันอบอุ่นขับไล่ไอหนาวของต้นฤดูใบไม้ร่วงไปช้าๆ  ดวงตาแวววาวสุกใสของเด็กน้อยผู้หนึ่งกวาดไปทางซ้ายที  ขวาที  ครั้นพบเห็นเงาร่างสูงโปร่งของบิดาก็ถลาเข้าไปหา
“ท่านพ่อ” เสียงลากยาวมาแต่ไกลฉุดดึงความคิดของเหลียนอันสุ่ยให้เข้าที่เข้าทาง  แต่เมื่อหันไปมองคนตัวเล็กกว่าแววตาก็ยังอดมีแววเจ็บปวดที่ข่มไม่มิด  ขณะถูกเด็กชายวัยสิบขวบกอดหมับเข้าให้
“เจ้าตื่นเช้าเช่นนี้  สงสัยฝนคงตกในไม่ช้า” คนเป็นพ่อกล่าว
“การตื่นเช้าย่อมเป็นกำไรของชีวิต” เหลียนจิ้งเต๋อเอาคำพูดของบิดามาพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงขึงขัง  เหลียนอันสุ่ยก้มลงกอดคนสำคัญที่สุดในชีวิตเอาไว้ในอ้อมแขน  เก็บซ่อนแววตารู้สึกผิดขณะเหลียนจิ้งเต๋อเอาคางเกยกับไหล่ของเขา  ฝืนกล่าวว่า
“ทำตัวเป็นเด็กๆ  หรือว่า...  เจ้าไปทำผิดอันใดมา”
“ข้า  ข้าเปล่านะ  ท่านไปได้ยินมาจากที่ใด  ข้าถูกปรักปรำ” เด็กชายละล่ำละลักโอดครวญ  จนคนฟังอดหลุดหัวเราะด้วยความขำไม่ได้  เมื่อหยุดขำก็เห็นเหลียนจิ้งเต๋อจ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบ
“ท่านหัวเราะแล้ว  ดีจัง  พักนี้ข้าไม่ค่อยได้พบหน้าท่านพ่อเลย  ความจริงท่านหัวเราะแล้วดูดีออก”
เหลียนอันสุ่ยชะงักไป  แววตาเปลี่ยนเป็นซับซ้อนจนสับสน  เมื่อมองเหลียนจิ้งเต๋อ  เหลียนอันสุ่ยก็จะเห็นเค้าใบหน้าของเหวินจี  มิใช่ไม่อยากไปหา  แต่เป็นไม่กล้าสู้หน้าต่างหาก
“ข้าว่าข้าไปเรียนดีกว่า” พูดจบก็ผละออก  ประคองมือคารวะ  ขาไปยังไวกว่าขามา  มองขาสั้นๆที่ซอยถี่เร็วแล้วเหลียนอันสุ่ยอดหัวเราะกับตัวเองเบาๆไม่ได้
---------------------
“นี่พี่อิ๋งฮวา ทำไมพักนี้ท่านพ่อเห็นหน้าข้าแล้วชอบทำหน้าเจ็บปวดจัง” เหลียนจิ้งเต๋อถามอย่างกลัดกลุ้ม
อิ๋งฮวาที่เดินตามหลังรู้สึกขมไปทั่วทั้งปาก ตอบฝืนๆว่า
“บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“แต่พี่เยี่ยนจื่อบอกว่าพี่รับใช้ท่านพ่อใกล้ชิดที่สุด  ถ้าพี่ยังไม่ทราบก็ไม่มีใครทราบแล้ว”
ฟังคุณชายน้อยพึมพำแล้วคนเป็นบ่าวได้แต่ฝืนยิ้ม  ในใจก่นด่าบรรพบุรุษของเจ้าคนชั่วช้าที่เป็นต้นเหตุนั่นสิบแปดรุ่น
ความจริงเหลียนอันสุ่ยก็คิดถูกแล้วที่ไม่ได้บอกเรื่องเฉินเสียกับอิ๋งฮวา ไม่เช่นนั้นไม่แน่ว่าเฉินเสียอาจต้องประสบเหตุเภทภัยเพราะมีดทำครัวของหัวหน้าหญิงรับใช้ผู้นี้เข้าซักวัน
---------------------
แสงแดดยามสายส่องกระทบตัวดาบเป็นประกายแวววาว  เสียงดาบกระทบกันกังวานกระชั้น  มีเสียงคนปรบมือ  ทำให้เหลียนจิ้งเต๋อที่ซ้อมดาบอยู่ต้องเหลียวหันไปมอง  ส่วนอิ๋งฮวาที่ยืนหลบมุมอยู่ก็มีสีหน้านิ่งขึงไปทันที  อาจารย์ดาบหวังรีบค้อมหัวทำความเคารพ
วันนี้อิ๋งฮวามาเฝ้าคุณชายน้อยแทนเยี่ยนจื่อที่ป่วยเป็นไข้  ส่วนหน้าที่ติดตามนายท่านก็กลับคืนสู่เจ้าของเดิมของมัน หวังเชียน  นับเป็นการผลัดเวรที่ประจวบเหมาะจริงๆ  ไม่เช่นนั้นหากเปลี่ยนเป็นเยี่ยนจื่อ  คงไม่มีปัญญารับมือกับความร้ายกาจของฉีเซี่ยงหยวนเป็นแน่

“ฝีมือดาบยิ่งฝึกฝนยิ่งก้าวหน้า ยิ่งประมือยิ่งแหลมคม” หลังเสียงปรบมือตามด้วยเสียงชื่นชม
“ท่านพ่อบุญธรรม” เหลียนจิ้งเต๋อเรียกขานด้วยอย่างกริ่งเกรงอยู่บ้าง  หลังจากเห็นปฎิกิริยาของท่านพ่อที่มีต่อคนผู้นี้  ทำให้เหลียนจิ้งเต๋อไม่ค่อยกล้าพูดคุยกับพ่อบุญธรรม  ด้วยกลัวท่านพ่อจะไม่พอใจหลังทราบเรื่องเข้า
“เจ้าขยันฝึกปรือเช่นนี้  ไม่นานคงมีฝีมือเหนือกว่าข้า  เหนือกว่าท่านพ่อของเจ้า”
“ท่านผิดแล้ว  ดาบของท่านพ่อเน้นการป้องกันที่รัดกุม  ข้าไม่มีทางชนะท่านพ่อไปได้”

คนฟังเลิกคิ้ว  นี่เรียกว่าดาบแสดงจิตใจคน  เหลียนอันสุ่ยมิใช่คนที่ชอบเอาชนะคะคาน  ทำให้มีคนน้อยกว่าน้อยเคยเห็นฝีมือของเขา  นี่เป็นครั้งแรกที่ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินคนพูดถึงฝีมือดาบของพระมาตุลาผู้นี้
“แต่ถ้าเป็นท่าน...อาจชนะท่านพ่อก็ได้” เพราะเหลียนจิ้งเต๋อยังไม่เคยเห็นใช้ดาบได้เชี่ยวชาญกว่าพ่อบุญธรรม  กระทั่งหวังเชียนยามสะบัดดาบยังดูน่ากลัวน้อยกว่าอยู่บ้าง  ตั้งแต่เห็นวิธีที่ฉีเซี่ยงหยวนเอาชนะอาจารย์ดาบหวังซึ่งเป็นบิดาของหวังเชียน  เหลียนจิ้งเต๋อก็ลอบนับถือเลื่อมใสในฝีมือของพ่อบุญธรรมผู้นี้ตลอดมาจนอดเอ่ยปากไม่ได้

“แล้วท่านพ่อของเจ้าจะยอมประมือกับข้าหรือ”  ฉีเซี่ยงหยวนถามขณะก้าวลงจากขั้นบันได  พยายามไม่สนใจสายตาของอิ๋งฮวาที่จิกกัดเขามาตั้งแต่ต้น
“ท่านสนใจเอาชนะวิชาดาบของท่านพ่อไปใย  ที่ท่านพ่อเชี่ยวชาญที่สุดคือวิชาธนูต่างหาก”
ฉีเซี่ยงหยวนกระพริบตา  รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง  ในความคิดของเขาเหลียนอันสุ่ยกับพู่กันดูจะเป็นคู่ที่เหมาะสมที่สุดแล้ว  นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายยังอาจใช้ธนูได้เหนือกว่าพู่กันเสียอีก

“ท่านอ๋องน้อยโปรดชะงักเท้า  คุณชายน้อยกำลังเรียนอยู่  ไม่ควรเข้าไปรบกวนนะเจ้าคะ”นี่ย่อมเป็นอิ๋งฮวาที่เข้ามาขวางไว้  ฉีเซี่ยงหยวนอดนับถือความภักดีของนางไม่ได้  ตอนนี้ไม่มีเหลียนอันสุ่ยคุ้มหัว  ยังจะกล้ามาล่วงเกินเขาอีก 

ฉีเซี่ยงหยวนยินยอมชะงักเท้าลง  ไม่ก้าวเข้าไปใกล้กว่าเดิม  กล่าวกับเหลียนจิ้งเต๋อว่า
“เจ้าฝึกฝนดาบต่อไปเถอะ  เอาไว้คราวหน้าข้าจะมาขอรับทราบความก้าวหน้า” คราวนี้ฉีเซี่ยงหยวนเป็นฝ่ายยอมถอยเพราะมีธุระต้องไปทำ  ตามกำหนดการ วันนี้ควรเริ่มที่การดูระบบชลประทานของแคว้นเหลียนเพื่อเอามาปรับใช้กับแคว้นเป่ยชางในวันข้างหน้า  ทว่าเมื่อไปถึงกลับมีคนผู้หนึ่งไปถึงก่อนแล้ว...
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 25-07-2014 22:18:47

บทที่ 11 นายท่านผู้ลึกลับ

“ปีที่แล้วฝนตกมากเป็นพิเศษ  หากมิใช่นายท่านให้สร้างทำนบกั้น  น่ากลัวพืชผลล้วนต้องเสียหายสิ้น”
“ใช่แล้ว  ใช่แล้ว  บุญคุณใหญ่หลวงไม่อาจไม่ทดแทน  ข้าน้อยไม่มีอะไร  มีแต่บุตรีที่รู้จักเอาใจนางหนึ่ง  ต่อไปข้าน้อยขอมอบนางให้ติดตามปรนนิบัตินายท่าน...” ยังไม่ทันพูดจบก็โดนชายชราคนแรกใช้ศอกกระทุ้งจนต้องหุบปากไป
คู่สนทนามองยิ้มๆ  มิได้ปฏิเสธ  แต่ก็มิได้รับคำ
“นายท่านคาดการณ์ประดุจเทวดา  ข้าน้อยนับถือเลื่อมใสนัก” ชายวัยกลางคนอีกคนกล่าว
“คาดการณ์อันใด  ฝนก็ตกทุกปี  น้ำก็เอ่อล้นตลิ่งทุกปี  หากไม่จัดการให้เหมาะสมย่อมต้องท่วมแน่” บุรุษที่ถูกเรียกหาเป็นนายท่านอยู่ทุกคำไม่ยินยอมรับคำเยินยอ
“ไม่ว่าอย่างไร  วันนี้ทั้งเฒ่าหลี่และข้าต่างมีของมาตอบแทนท่าน  นี่เป็นส่วนหนึ่งของพืชผลรอบแรกของข้า” พูดพลางชี้ไปยังกองผลไม้ที่คัดอย่างดี  ทุกลูกอวบใหญ่  ไม่มีตำหนิแม้ซักเล็กน้อย  เริ่มฤดูใบไม้ร่วง ฤดูแห่งการเก็บเกี่ยว  ชาวนาชาวสวนต่างยินดีปรีดาเก็บเกี่ยวผลลัพธ์ที่รอคอย
“นี่จะได้อย่างไรกัน  ท่านเล่นเอาของที่ดีที่สุดมายกให้ข้า  แล้วท่านจะเหลืออะไรไว้ขาย  ขออภัย  แต่ข้ารับไม่ได้” คนฟังปฏิเสธอีกครั้ง  ด้วยทราบว่าพืชผลแต่ละลูกล้วนมาจากความอุตสาหะตรากตรำตลอดทั้งปี
“นายท่าน แต่...”
“ปีนี้หมู่บ้านเรียกระดมคนมาขุดคูคลองหรือยัง  หากปล่อยให้ตื้นเขิน  นอกจากเรือจะแล่นไม่ได้  ยังไม่มีที่รองรับน้ำ” คนเป็นนายท่านหันไปคุยกับชายชราคนแรกที่น่าจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน
“ยัง แต่ว่า...”
“ถึงแม้ปีนี้ราชสำนักน่าจะมีนโยบายลงมา  แต่เราก็ไม่อาจไม่ป้องกันไว้ก่อน...”
ขณะผู้อื่นปรึกษากัน  ชายอีกคนด้านข้างรีบฉุดดึงคนที่เพิ่งกล่าวยกบุตรีให้ผู้อื่นออกมา  กระซิบกระซาบตำหนิว่า
“ท่านไปเที่ยวยกลูกสาวให้เขาได้อย่างไร”
“ทำไมจะไม่ได้  เราเฒ่าหลี่คิดตอบแทนใครย่อมต้องตอบแทนอย่างหมดจด  ต่อให้นายท่านไม่ต้องการตบแต่งภรรยา  ก็สมควรมีหญิงรับใช้เพิ่มขึ้นซักคน”
“ท่านเข้าใจว่าเขาเป็นคุณชายมีทรัพย์ ?”
“ไม่ใช่คุณชายมีทรัพย์แล้วจะเป็นอะไร  ก่อนหน้านี้สวนของเหล่าโหมวถูกน้ำท่วมเสียหาย  ใครเป็นคนควักกระเป๋าจ่ายค่าเช่าที่นาให้เหล่าโหมว  ทั้งยังจ่ายโดยไม่กระพริบตาแม้แต่น้อย  เห็นได้ชัดว่าต้องมีทรัพย์สินปานท้องพระคลัง”
“ค่าเช่าที่นาความจริงไม่นับว่าแพงเท่าใด  แต่ท่านก็พูดไม่ผิด  เขามีทรัพย์สินปานท้องพระคลังจริง  แต่มิใช่ประเภทที่ท่านจะซี้ซั้วยกบุตรีให้เขาได้”
เฒ่าหลี่เริ่มรู้สึกแปลกๆ
“เขาเป็นใคร”
“ท่านรู้แล้วเหยียบเอาไว้เลยนะ  คนผู้นี้เป็น...” จากนั้นเสียงกระซิบก็แผ่วเบาลง  ได้ยินแต่เสียงอุทานด้วยความตื่นตระหนกของผู้เฒ่าแซ่หลี่
“เขา !  แล้วเหตุเขาจึงมา...”
“ท่านเข้าใจแล้วหรือไม่  ว่าบุตรีของท่านกระทั่งจะเป็นหญิงรับใช้ให้เขายังไม่คู่ควร”

ฉีเซี่ยงหยวนฟังทั้งสองคนสนทนากัน ในใจอดเห็นด้วยไม่ได้  เพราะความจริงแค่บ่าวไพร่ในตำหนักพระมาตุลาก็ถูกเลือกสรรมาอย่างเข้มงวด  เนื่องจากเหลียนอันสุ่ยนับเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีลำดับศักดิ์สูงสุด  ใช่แล้ว  นายท่านผู้นี้  ความจริงมีฐานะสูงเลิศลอย  ที่น่าแปลกคือ เหตุใดเหลียนอันสุ่ยต้องปกปิดที่มาของตัวเอง  มาเยือนแบบไม่เป็นทางการ  ซ้ำนี่ยังมิใช่ครั้งแรกเสียด้วย

“ท่านอ๋องน้อย  ท่าน  ท่านคิดจะไปดูเขื่อนก่อนหรือว่า...”เจ้าเมืองซินเฉิงลอบปาดเหงื่อตะกุกตะกัก  เมื่อเห็นท่านอ๋องน้อยแคว้นเป่ยชางอยู่ๆก็ลงจากรถม้า  ซ้ำยังแอบยืนนิ่งฟังกลุ่มชาวบ้านสนทนากัน
“เขื่อนอยู่ที่ใด” ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็หันมาให้ความสนใจเจ้าเมืองซินเฉิง
“ก็เป็นตามทางที่ชาวบ้านพากันเดินเข้าไปนั่นแหละขอรับ”
“ประเสริฐมาก  งั้นเราไปดูเขื่อนก่อน”

เจ้าเมืองซินเฉิงอดลอบถอนหายใจไม่ได้  ไม่ชินกับการรับมือคนใหญ่คนโต  ได้ยินมาว่าคนผู้นี้ไม่เพียงเป็นคนใหญ่คนโต  ยังเป็นคนที่ไม่อาจล่วงเกินได้เด็ดขาด  ดังนั้นทุกคำพูดจึงระมัดระวังยิ่ง  กลัวตอแยบุรุษผู้น่ากลัวผู้นี้มีโทสะ
“ตรงนี้เป็นเขื่อนใหญ่  หลายปีมานี้ทางการให้ความสนใจพัฒนาไปไม่น้อย  ทำให้ปัญหาน้ำล้นตลิ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง และจัดให้มียามเฝ้า...” ขณะเจ้าเมืองซินเฉิงกำลังร่ายสิ่งที่อุตสาห์ไปท่องจำมา  ฉีเซี่ยงหยวนก็พอคาดเดาได้ว่าเหตุใดราชสำนักจู่ๆก็ให้ความสนใจ  ไม่แน่ว่าคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอาจเป็น ‘เขา’ เอง   พระมาตุลา  ท่านนี่ชอบทำให้ข้าประหลาดใจเสียจริง...
---------------------
ปีนี้น้ำในเขื่อนยังอยู่ในระดับปรกติ  คนควบคุมระดับน้ำอดหาวหวอดอย่างง่วงงุนไม่ได้  แต่วันนี้มิอาจหลับไปเป็นอันขาด  เพราะจะมี ‘บุคคลที่สำคัญยิ่ง’ มาเยือน  จึงต้องลากตัวเองมายืนรออยู่ตั้งแต่ตรงทางเข้า  หากเมื่อกวาดสายตาผ่าน สีหน้าง่วงงุนก็เหือดหายไปทันที  รีบคารวะจรดพื้น
“พระมาตุลา  เหตุใดเป็นท่านไปได้” ในเสียงอุทาน  คนถูกเรียกหาเป็นพระมาตุลาก็มาถึงเบื้องหน้าคนกล่าวแล้วยิ้มบางๆให้
“เหตุใดไม่อาจเป็นข้า”
“ท่านมิใช่  เพิ่งมา...”
“ครานั้นข้ามาดูว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องต่อเติมเขื่อนเพิ่ม  ส่วนครั้งนี้ข้ามาเพราะความสงสัย...  งบประมาณก็อนุมัติไปแล้ว  เหตุใดยังไม่เริ่มกันอีก”
คนฟังเฉไฉว่า
“ท่านแน่ใจว่างบประมาณอนุมัติไปแล้ว?  ไม่แน่ว่าถูกดึงไปฟื้นฟูบ้านเรือนหลังสงคราม”

“นี่เป็นเงินส่วนตัวของข้าเอง  จะผิดพลาดได้อย่างไร  เมื่อเช้าข้าถามชาวบ้านมา  แต่พวกเขาก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าทางการยังไม่ได้ลงมือทำอันใด  ถ้าไม่ป้องกันไว้ก่อน  ต่อให้ฟื้นฟูทรัพย์สินที่ชำรุดเสียหายเสร็จแล้ว  ถึงฤดูฝนชาวบ้านก็จะไม่มีกินเหมือนเดิม  ถ้าน้ำท่วมรุนแรงก็ต้องฟื้นฟูกันใหม่อีกรอบ  ท่านเข้าใจว่าถ้าไม่เริ่มสร้างตั้งแต่ตอนนี้จะเสร็จทันฤดูฝนหรือ”

คนฟังถึงกับเถียงไม่ออก  พูดเสียงอ่อยว่า
“ข้าน้อยคิดว่าวันนี้จะเป็นคนอื่นมาซะอีก  เหตุใดท่านจึงรีบร้อนจัดการถึงเพียงนี้”
...เพราะข้าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วน่ะสิ  เหลียนอันสุ่ยตอบให้ในใจ  แต่ปากกลับเปลี่ยนเรื่อง  ถามว่า
“ใครจะมา ? ”
“ข้าน้อยได้ยินมาว่า  วันนี้ท่านอ๋องน้อยแคว...”
“ข้าเอง” เสียงทุ้มกังวานดังมาจากด้านหลัง  ทำให้เหลียนอันสุ่ยชะงัก  นิ่งงันไป
---------------------
สายน้ำบิดเกลียวไหลเอื่อยๆ  ผิวน้ำในเขื่อนสงบราบเรียบ  สายตาคนมองก็สงบราบเรียบ  วันนี้เหลียนอันสุ่ยเพียงสวมเสื้อป่านหยาบๆ  แต่กลับไม่อาจบดบังบุคลิกเหนือธรรมดาของเขาได้  เนื้อผ้ายิ่งสามัญธรรมดาเท่าไหร่  ยิ่งขับเน้นความสูงส่งตามธรรมชาติของเขาเท่านั้น
บรรดาผู้ติดตาม  ทั้งหวังเชียน คนติดตามของเหลียนอันสุ่ย  หลิวฉางเฟย คนติดตามของฉีเซี่ยงหยวน  รวมถึงเจ้าเมืองซินเฉิงคนนั้นล้วนอยู่ห่างออกไป  ไม่กล้าเข้ามารบกวน

เจ้าเมืองซินเฉิงหลังทราบว่าคนผู้นี้เป็นถึงพระมาตุลาก็ตาลีตาเหลือก  ทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนที่สูงศักดิ์ถึงเพียงนั้นจึงมาที่นี่  และไม่ทราบว่าขณะที่ตัวเองนั่งๆนอนๆอยู่ในจวนเจ้าเมือง  คนผู้นี้ทำอะไรไปแล้วโดยตัวเองไม่รู้  เห็นได้ชัดว่าขนาดคนดูแลเขื่อนยังรู้จักมักคุ้นกับเหลียนอันสุ่ยเลย  สวรรค์ เหตุใดพระมาตุลาผู้นี้จึงไม่ยื่นเรื่องอย่างเป็นทางการว่าจะมาชมดู

คนสองคน  หนึ่งสูงศักดิ์อ่อนโยน  หนึ่งเยือกเย็นทรงอำนาจ  ยิ่งมองดู  เจ้าเมืองซินเฉิงก็ยิ่งไม่เข้าใจ  ว่าเหตุใดพวกเขาจึงต้องมาดูเขื่อนธรรมดาๆนี่  เพียงหวังว่าสองคนนั้นจะไม่หันมาเล่นงานคนรับผิดชอบอย่างตน

“เจ้าเมืองผู้นั้น  นับว่าถูกท่านขู่ขวัญจนหน้าซีด  ...เหตุใดท่านไม่เคยให้เขารู้ว่าท่านมาที่นี่” ฉีเซี่ยงหยวนหันไปถามคนข้างกาย
“ข้าเพียงต้องการรับทราบปัญหา  ไม่ได้ต้องการการต้อนรับอย่างเอิกเกริก  ให้เขารู้ทำไมกัน”
“...” ฉีเซี่ยงหยวนเงียบไป
เหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า
“ท่านมาที่นี่คงต้องการทราบเรื่องระบบชลประทาน  นี่เป็นเขื่อนแรกสุดที่ใช้เก็บกักน้ำของแคว้นเหลียน  น้ำจะมาถึงที่นี่ก่อน  ดังนั้นหากจะคิดเรื่องการจัดการน้ำก็ต้องเริ่มจากเขื่อนนี้  ถ้าเกิด...”
ฉีเซี่ยงหยวนฟังอีกฝ่ายอธิบายเงียบๆจนจบจึงเอ่ยปากว่า
“ท่านยังทราบปัญหามากว่าเจ้าเมืองซินเฉิงผู้นั้นเสียอีก”
“จำได้ว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนมีน้ำท่วมครั้งใหญ่  ตอนนั้นเพราะไม่มีเขื่อนกั้น  ชีวิต ทรัพย์สิน ไม่ทราบต้องสูญเสียไปเท่าไหร่  ข้าเพิ่งมาให้ความสนใจกับปัญหานี้อย่างจริงๆจังๆตั้งแต่ตอนนั้นเอง”
“...เหตุใดท่านจึงไม่เป็นเหลียนอ๋อง  หากท่านเป็นเหลียนอ๋อง  แคว้นเหลียนต้องเจริญมั่นคงยิ่งกว่านี้  ไม่แน่ว่ากระทั่งข้าก็ไม่อาจมีชัยเหนือแคว้นเหลียนได้”
“ข้าทำทุกอย่างที่ตัวเองพอจะทำได้แล้ว  ต่อให้เป็นเหลียนอ๋องหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน  ส่วนการที่ท่านมีชัยเหนือแคว้นเหลียน...ความจริง  ท่านไม่ควรจะสงสัยในความสามารถของตัวเองเลย” พูดจบก็หันหลังเดินจากไปเพื่อดูเขื่อนอีกฟาก

ฉีเซี่ยงหยวนมองตามเงาหลังสูงโปร่ง  ยิ่งมาก็ยิ่งรู้สึกว่าเหลียนอันสุ่ยเป็นสมบัติของแคว้นเหลียน  ทุกสิ่งที่อีกฝ่ายทำล้วนเป็นไปเพื่อชาวเหลียน  ทั้งไม่ต้องการออกหน้า เพราะนั่นไม่จำเป็น  เหลียนอันสุ่ย เพียงต้องการเห็นแคว้นเหลียนมีสภาพที่ดีขึ้นเท่านั้น  อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนไม่ควรพรากพระมาตุลาผู้นี้ไปจากแผ่นดินแคว้นเหลียนเลย...
-----------------------
เบื้องหน้ามีรถม้าสองคันจอดเตรียมพร้อม  เบื้องหลังมีทหารอารักขา  บุคคลผู้มีฐานะสูงส่งสองคนกำลังจะจากไป  เจ้าเมืองซินเฉิงเดิมคิดตามส่ง  แต่เมื่อได้ยินคำปฏิเสธชัดเจนจากของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชาง  ก็ได้แต่ยิ้มแย้มรับคำ  หากเมื่อหันหลังไปพบคนดูแลเขื่อน  ตาคู่เดียวกันก็เปลี่ยนเป็นถลึงใส่  จดบัญชีที่อีกฝ่ายเก็บงำเรื่องของพระมาตุลาไว้ไม่ยอมรายงานขึ้นไป 
เหลียนอันสุ่ยเกรงว่าคนที่ถูกถลึงตาใส่จะเดือดร้อนจึงออกปากไกล่เกลี่ย  ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนสั่งให้คนดูแลเขื่อนเก็บงำเรื่องการมาของเขาไว้เป็นความลับ  เจ้าเมืองซินเฉิงจึงต้องยอมเลิกราไป

ความจริงเหลียนอันสุ่ยก็มีรถม้าของตัวเอง  แต่ฉีเซี่ยงหยวนยืนกรานจะให้กลับด้วยกัน  รถม้าที่ติดตามอยู่ด้านหลังจึงเป็นคันเปล่าๆ  ส่วนเจ้าของรถนั่งอยู่บนรถม้าคันเดียวกับอ๋องน้อยแห่งเป่ยชาง  หวังเชียนติดตามอารักขาเจ้านายอยู่ไม่ห่าง  ครั้งแรกที่ฉีเซี่ยงหยวนเห็นผู้ติดตามของพระมาตุลาก็กวาดตามองมือที่กุมดาบคู่นั้น  ในใจทราบทันทีว่าคนผู้นี้มิได้ใช้ดาบเป็นแค่งานอดิเรกแน่นอน

ในรถม้ามีเจ้านายสองคน  ด้านนอกมีคนสนิทอีกสองคนตามติด  รายล้อมย่อมเป็นคนคุ้มกันจำนวนมาก  สามารถใช้คำว่าเอิกเกริกได้  แต่ทุกคนฝีเท้าเงียบกริบ  เดินทางเป็นระเบียบอย่างยิ่ง  ขนาดคนเป็นสารถียังบังคับม้าด้วยความจดจ่อ  สายตามั่นคงมีสมาธิ  เพียงฝีมือในการฝึกทหารเช่นนี้  เหลียนอันสุ่ยก็ทราบว่าแคว้นเหลียนไม่มีทางจะเป็นคู่มือแคว้นเป่ยชางได้
ตลอดทางมีป่ารกครึ้ม  ขณะรถม้ากำลังเลี้ยวหลบมุมเหลี่ยมเขา  พลันมีเหตุคาดไม่ถึงอุบัติขึ้น !

คนจำนวนมากไม่ทราบโผล่ขึ้นมาจากที่ใด  แต่ละคนปิดบังหน้าตา  ในมือกุมดาบเปลือยฝัก  เพิ่งปรากฏตัวก็เข้าทำร้ายคน 
ดวงตาของหลิวฉางเฟยเยือกเย็นอย่างยิ่ง  ไม่ได้ตะโกนบอกให้คุ้มกันท่านอ๋องน้อย  เพราะทราบว่าไม่จำเป็น  องครักษ์คุ้มกันพวกนี้ทุกคนล้วนทราบหน้าที่ของตัวเอง  เพียงเห็นเรื่องผิดปรกติ  แต่ละคนล้วนขยับไปอยู่ในที่ๆตัวเองควรอยู่โดยพลัน

เสียงศัตรูในชุดดำตวาดขึ้นว่า
“สุนัขเถื่อนแคว้นเป่ยชางมอบชีวิตมา!”
ในเสียงตะโกน  พระมาตุลาในรถมีสีหน้าเปลี่ยนไป  ส่วนคนที่ถูกเรียกเป็นสุนัขยังมีกะใจหันไปกล่าวกับคนข้างตัวว่า
“ใช้น้ำเสียงเช่นนี้เรียกหาผู้อื่นเป็นสุนัขเถื่อน  ไม่ทราบว่าใครกันแน่ที่ขาดการอบรมสั่งสอน  ข้าว่าเขาเพียงแค่ต้องการแสดงความป่าเถื่อนของตัวเองออกมา”  ในชีวิตของฉีเซี่ยงหยวนเคยเจอการลอบสังหารมาไม่รู้กี่ครั้ง  สำหรับคนที่อยู่ในสมรภูมิจนเคยชิน  การลอบสังหารในลักษณะนี้เป็นแค่ภาพย่อของสงคราม  น้ำเสียงราบเรียบที่กล่าวยังไม่เบาอีกด้วย  เพียงพอจะได้ยินครบถ้วนทุกตัวคนโดยไม่ผิดพลาด

คนตะโกนแค่นเสียงอย่างโกรธจัด  ในใจกระวนกระวายหาโอกาส  เพราะในพวกที่มาด้วยกัน  ยังไม่มีใครมีปัญญาเจาะแนวป้องกันเข้าไปเฉียดตัวรถม้าได้แม้แต่ก้าวเดียว    หากในวินาทีถัดมาก็ต้องเบิกตากว้าง อึ้งไปอึดใจใหญ่ๆ  เมื่อตัว ‘เป้าหมาย’ กลับเป็นฝ่ายเดินลงมาจากรถเสียเอง! 
ทันทีที่ได้สติรีบตะโกนว่า
“เจ้าคนชั่วชดใช้ชีวิตท่านแม่ทัพมา!” ในเสียงตะโกน  คนลงมือกลับเป็นคนที่อยู่อีกฟาก  ยิงเกาทัณฑ์ที่ซุกอยู่ในแขนเสื้อออกไป  วิธีหลอกซ้ายจู่โจมขวาเช่นนี้เด็ดขาดได้ผลตลอดมา

เกาทัณฑ์โลหะสามดอกพุ่งตรงเข้าหาฉีเซี่ยงหยวน  แต่สายตาคนเป็นเป้ากลับเฉยชาอย่างยิ่ง  ทันใดนั้น  คมดาบของหลิวฉางเฟยก็ฟันลงมา  ประกายไฟแลบกระจาย  หัวของเกาทัณฑ์ทั้งสามดอกล้วนเบนปักพื้นหมดสิ้น  คนร้ายที่รายรอบมองเกาทัณฑ์ที่สิ้นฤทธิ์อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา  เห็นหลิวฉางเฟยโยนดาบบิ่นในมือทิ้งไป  ดึงดาบเล่มใหม่ออกมาจากฝัก จึงได้รู้สึกตัว  ร่ำร้องว่า ‘ฆ่า!’

การสังหารเริ่มต้นอีกระลอก  แต่เหล่าคนร้ายยังคงถูกกันไว้รอบนอก  อาณาเขตเก้าเชียะรอบรถม้ากลายเป็นเขตแดนต้องห้าม  ศัตรูที่ก้าวล้ำเข้ามาล้วนต้องจบชีวิตลง  หลิวฉางเฟยยืนคุ้มกันอยู่ด้านซ้าย  หวังเชียนคุ้มกันอยู่ด้านขวา  ต่างคนต่างจับจ้องมองสถานการณ์ตาไม่กระพริบ

จู่ๆกลับมีคนร้ายสองคนหลุดรอดสายตากลิ้งออกมาจากใต้รถม้า  แต่ละคนเลือดอาบ  หากยังไม่เสียชีวิต  คาดว่าพวกมันแสร้งทำตัวเป็นศพ  แล้วอาศัยจังหวะไม่ทันระวังลอดใต้รถม้ามา  เนื่องจากรถม้าฝั่งนั้นไม่มีประตู  จึงมีการคุ้มกันที่หละหลวมกว่าอยู่เล็กน้อย
หวังเชียนกับหลิวฉางเฟยขณะจะลงมือ  พลันพบว่ามีคนร้ายอีกสองคนเสี่ยงตายพุ่งเข้ามา  เพราะเหล่าผู้ก่อการต่างทราบ  ถ้าพลาดโอกาสนี้ก็ไม่มีทางฆ่าฉีเซี่ยงหยวนได้  ดังนั้นกระทั่งชีวิตก็ไม่เสียดายแล้ว

หากคนที่ลอดใต้รถม้ามาคนแรกยังไม่ทันลุกขึ้น  เหลียนอันสุ่ยก็ดึงดาบจากฝักขององครักษ์ข้างตัวจ่อเข้าที่คอเขาผู้นั้นก่อนแล้ว  เมื่อเหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมา  ก็พอดีเห็นภาพอ๋องน้อยแห่งเป่ยชางยื่นมือซ้ายคว้ากุมแขนคนร้ายคนที่สองบิดเบาๆจนอีกฝ่ายต้องปล่อยดาบในมือ  มือขวาคว้าด้ามดาบที่กำลังร่วงหล่นเสียบเข้าไปในท้องคนร้ายจนมิดด้าม  การเคลื่อนไหวของฉีเซี่ยงหยวนต่อเนื่องตามกัน  ไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ซักน้อยนิด  ใบหน้ายังคงเรียบเฉยขณะกระชากดึงดาบกลับคืน  ตอนนั้นการต่อสู้รอบข้างล้วนยุติลงหมดแล้ว

หวังเชียนจับคนที่ถูกเหลียนอันสุ่ยเอาดาบจ่อคอมัดอย่างแน่นหนาไม่ให้คนร้ายมีปัญญาได้ฆ่าตัวตาย  ส่วนคนตะโกนบงการที่คาดว่าเป็นหัวหน้า ถูกหลิวฉางเฟยฆ่าตายไปขณะรีบร้อนจะไปช่วยเจ้านายในยามคับขันนั้น 

มือเกาทัณฑ์ถูกคร่ากุมได้เช่นกัน  ส่วนมือสังหารคนอื่นถูกฆ่าตายหมด  ในขณะที่องครักษ์ของฉีเซี่ยงหยวนตายไปแค่สองคน  บาดเจ็บอีกเจ็ดคน  ที่ค่อนข้างสาหัสมีสามคน  ถูกเหลียนอันสุ่ยใช้ให้คนพยุงขึ้นรถม้าคันที่ว่างเปล่าของตัวเองไปแล้ว
 
“ในรถม้าข้ามีอุปกรณ์ทำแผล” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวต่อหลิวฉางเฟย  สายตาพินิจมองคนยิงเกาทัณฑ์ที่ถูกจับมัดอยู่แทบเท้า  กล่าวว่า
“ถ้าข้าเป็นเจ้า  ข้าจะแสร้งทำตัวเป็นศพ  รอให้จังหวะเหมาะกว่านี้  สามารถเข้าใกล้เป้าหมายกว่านี้แล้วค่อยลงมือ  เจ้าดู  ตอนนี้มิใช่เหมาะสมหรอกหรือ” ตอนนี้ทหารทุกคนต่างมีหน้าที่ของตน  บ้างพยาบาลคนเจ็บ  บ้างเดินตรวจศพว่าตายหมดสิ้นหรือไม่  คนข้างกายฉีเซี่ยงหยวนมีเพียงเล็กน้อย
คนฟังไม่มองตาม  กระชากเสียงว่า
“เรื่องนี้บิดาไม่ต้องให้พวกไม่มีอารยธรรมอย่างเจ้ามาชี้แนะ”
“ข้าเคยบอกแล้วว่าคำพูดกับน้ำเสียงย่อมบอกลำดับชั้นของคนอยู่” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนผ่อนคลาย  คล้ายเมื่อครู่ไม่ได้เกิดเรื่องใดขึ้นมาเลย  หันไปกล่าวกับคนข้างตัวว่า
“พระมาตุลา  คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาท่านจะรวดเร็วอย่างยิ่ง” พลางคิดถึงท่าทีชักดาบออกจากฝักโดยไม่ลังเลของอีกฝ่าย
เหลียนอันสุ่ยไม่สนใจ  นิ้วเรียวยาวชี้ศพคนที่เป็นหัวหน้าที่ถูกลำเลียงมาเบื้องหน้า  กล่าวถามว่า
“ท่านทราบหรือไม่คนผู้นี้เป็นใคร”
“ข้าจำได้ เขาคือแม่ทัพคู่ใจของอวี้เฉียน” คำพูดนี้เป็นหลิวฉางเฟยเอ่ย
เหลียนอันสุ่ยผงกศีรษะ  ปากพูด
“ใช่แล้ว  ดังนั้นไม่ว่าใครต่างคิดว่านี่ต้องเป็นฝีมือของพวกกระด้างกระเดื่องในแคว้นเหลียน”
แววตาของฉีเซี่ยงหยวนกลายเป็นอ่านไม่ออกขณะถาม
“นี่มิใช่ฝีมือของแคว้นเหลียน ? ”
“ข้าต้องการจับเป็นคนผู้นี้  เพราะเมื่อครู่เขาหลุดภาษาสำเนียงต่างถิ่นออกมา” เหลียนอันสุ่ยชี้ไปยังคนที่ยังอยู่ในมือหวังเชียน
ดวงตาฉีเซี่ยงหยวนจึงมีแววเข้าใจช้าๆ  กล่าวว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“และที่ข้าต้องการจะบอกท่านคือ  คนที่มาลอบสังหารท่านนอกจากคนที่เป็นหัวหน้าแล้ว  ทุกคนล้วนมีสำเนียงต่างถิ่น  ทุกคนล้วนไม่ใช่ชาวเหลียน”
“...ดังนั้นถ้าที่อยู่เบื้องหลังเป็นแคว้นเหลียนจริง  เหตุใดไม่ใช้ชาวเหลียนมาดำเนินการ” ฉีเซี่ยงหยวนต่อให้จนจบประโยค  ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่พักใหญ่  สุดท้ายฉีเซี่ยงหยวนก็หันหลังเดินกลับขึ้นรถม้าไป

เหลียนอันสุ่ยมองตามร่างสูงใหญ่ ดวงตายังคงติดภาพขณะฉีเซี่ยงหยวนกำจัดมือสังหารผู้นั้น...  ฝีมืออันรวบรัดได้ผล  ท่วงท่าที่เป็นสามัญธรรมดายิ่ง  คล้ายทำจนคุ้นชิน  จนไม่อาจคุ้นชินไปกว่านี้
 
ผู้คนมักได้ยินคนกล่าวขาน  หยงเซี่ยเป็นเทพสงคราม  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนเป็นจอมทัพผู้ปราดเปรื่อง 
บางครั้งแค่ฝ่ามือคนเราก็บอกอะไรได้มากมาย  คนกุมดาบจะเป็นลักษณะหนึ่ง  คนเชี่ยวชาญธนูก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง  ฝ่ามือของฉีเซี่ยงหยวนด้านอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะตรงอุ้งมือที่ใช้กุมด้ามดาบ  มิหนำซ้ำยังด้านทั้งสองข้าง  แสดงว่าก็ชมชอบใช้ทวนที่ต้องคว้ากุมด้วยสองมือ  อาจบางทีมีอาวุธไม่กี่ชนิดที่ไม่เคยผ่านมือคนผู้นี้มา  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจ  ไม่ว่าอาวุธใดๆในยามสงคราม  ขอเพียงสามารถนำมาเอาตัวรอดก็ต้องใช้ให้เป็นไว้
 
คำที่คนกล่าวขาน  อาจบางทียังไม่จริงแท้เท่ากับมือคู่นั้นเลย...
---------------------
เหลียนอันสุ่ยไม่ยินยอมให้คนฉวยโอกาสใช้การลอบสังหารครั้งนี้เป็นเหตุปลุกปั่นให้ชาวเหลียนที่แอบมีใจต่อต้านเป่ยชางลุกฮือขึ้นมา  เบื้องหลังการลอบสังหารต้องการป้ายความผิดให้แคว้นเหลียนอยู่แน่ชัด  ความจริงตั้งแต่เห็นเกาทัณฑ์นั่นคนเป็นพระมาตุลาก็ลอบตัดสินใจ  ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาชีวิตฉีเซี่ยงหยวนเอาไว้ให้ได้!

เกาทัณฑ์อาบยาพิษ  แต่ไม่ว่าพิษร้ายแรงแค่ไหน  เหลียนอันสุ่ยก็ไม่เชื่อว่าหมอทั้งแคว้นเหลียนจะไม่มีปัญญาจัดการ  นอกจากงานฝีมือแล้ว การแพทย์ของแคว้นเหลียนก็นับเป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดิน

เพราะเขาไม่อาจปล่อยให้ฉีเซี่ยงหยวนเป็นอะไรไปเป็นอันขาด  นี่ขนาดแผนการล้มเหลว  ชาวเหลียนกับชาวเป่ยชางยังอดระแวงกันเองไม่ได้  สัมพันธภาพที่เพียรสร้างขึ้นมาเริ่มส่อเค้าพังทลาย  หากฉีเซี่ยงหยวนตายไปเรื่องจะกลายเป็นไม่มีทางแก้ไข  เป่ยชางจะไม่ยินยอมรับความสูญเสียนี้  ทหารใต้บังคับบัญชาของฉีเซี่ยงหยวนก็จะไม่ยินยอมอยู่เฉย  สงครามจะเกิดขึ้นแน่  และเป็นสงครามที่ส่อเค้าหายนะรุนแรงอย่างยิ่ง

ผู้ใดจะได้ประโยชน์ ?

เหลียนอันสุ่ยครุ่นคิด  ฉีเซี่ยงหยวนก็ครุ่นคิด  เพียงแต่ฉีเซี่ยงหยวนครุ่นคิดเร็วกว่าเล็กน้อย  หลังลับร่างสูงโปร่งของเหลียนอันสุ่ย ก็เอ่ยกับหลิวฉางเฟยว่า
“เจ้าไปเค้นถามเบื้องหลังมือสังหารมา  ไม่แน่ว่าจะเป็นคนของโหยวเฉิง  ไม่แน่ว่าอาจเป็นฝีมือหนานเหมินอ๋อง...และก็ไม่แน่ว่า...อาจเป็นฝีมือพี่รองข้าเอง” กล่าวพลางยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก  แต่ดวงตาเยียบเย็น  คล้ายกำลังมองเห็นเรื่องราวบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว  หลิวฉางเฟยรับคำ

ฉีเซี่ยงหยวนอดรู้สึกขอบคุณพระมาตุลาคนนั้นไม่ได้  ตอนนี้สิ่งใดก็ไม่สำคัญไปกว่าเบาะแส  และเบาะแสที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่ถูกคร่ากุมได้นั่นเอง  เมื่อมีคนถูกจับเป็นถึงสองคนก็ไม่ต้องกลัวทั้งคู่ไม่กล่าวความจริง  เพราะหากคำบอกเล่าไม่ตรงกันจะสามารถจับโกหกได้อย่างง่ายดาย  เรื่องนี้นับว่าสะดวกดายกว่าเดิมไม่น้อยจริงๆ...
---------------------
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 27-07-2014 18:44:29

บทที่ 12 งานเลี้ยงอำลา

ท้องฟ้าเริ่มถูกฉาบทาด้วยสีน้ำหมึกบอกเวลาเย็นย่ำ
ผู้อื่นหลังถูกลอบสังหารมาย่อมต้องหวาดระแวงจนนอนไม่หลับ  กระสับกระส่าย กระวนกระวายใจ  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับกำลังเอนหลังผ่อนคลายอยู่ในอ่างอาบน้ำ  ในมือถือจอกเหล้า  ละเลียดช้าๆ แต่มิได้คิดกรอกให้ตัวเองเมามาย  สมองค่อยๆคิดไล่เรียงเรื่องต่างๆ
ฉีเซี่ยงหยวนทราบดีว่าต้องเยือกเย็นจึงจะเกิดสติปัญญา  และใช้ความเฉียบคมที่สุดจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น  นี่จึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของคนที่จะอยู่เหนือคนนับหมื่น  และก็เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของคนที่จะเป็นศัตรูกับหนานเหมินอ๋อง
ตัวการใหญ่คราวนี้อาจมิใช่หนานเหมินอ๋อง  แต่เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นต้องมีส่วนแน่  เพราะสิ่งที่หนานเหมินอ๋องเชี่ยวชาญที่สุดคือการแทรกแซงแผนการที่จะให้ประโยชน์กับตัวเองฝ่ายเดียว  ไม่ว่าสำเร็จหรือล้มเหลวล้วนเป็นเช่นเดียวกัน!

พอเขาจะกลับเป่ยชาง  ก็รีบลงมือเลยเชียวนะ...
---------------------
แต่ผลการลอบสังหารคราวนั้นกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่หลายๆคนคาด  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เพียงไม่ถือสาแคว้นเหลียน  ยังสั่งให้ทุกคนปิดปากให้สนิทห้ามพูดถึงอีก  และบอกว่ามือสังหารสารภาพว่าเป็นคนต่างแคว้นที่ต้องการป้ายความผิดให้แคว้นเหลียนเพื่อให้เป่ยชางกับแคว้นเหลียนระหองระแหงกัน  ดังนั้นจึงห้ามมิให้ทุกคนเป็นไปตามการยุแยง  ความสัมพันธ์ที่ควรจะแย่ลงจึงแปรเปลี่ยนเป็นดีขึ้น

แคว้นเหลียนยังกลัวฉีเซี่ยงหยวนจะเอาผิด  เพราะอย่างน้อยหัวโจกของมือสังหารก็เป็นชาวเหลียน   เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นในแคว้นเหลียน  ไม่อาจปัดความรับผิดชอบไปได้  จึงมีท่าทีอ่อนน้อมเป็นพิเศษ  ส่วนชาวเป่ยชางก็ไม่กล้าพูดมากความ  เพราะท่าทีของฉีเซี่ยงหยวนชัดเจนอย่างยิ่งว่าจะเอาผิดคนที่พูดถึงเรื่องนี้

พวกที่คิดจะลองก็ไม่กล้าลองอีกแล้ว  เมื่อเห็นฉีเซี่ยงหยวนขนาดมิได้เตรียมการมาก่อนยังไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน  ส่วนตัวเหลียนอันสุ่ยเองกลับไม่คิดว่าแปลกอะไรนัก  เพราะหากฉีเซี่ยงหยวนถูกลอบสังหารได้ง่ายดายทั้งๆที่มือสังหารแสดงตนประเจิดประเจ้อถึงเพียงนั้น  ก็คงถูกฆ่าตายไปเป็นสิบครั้งแล้ว
---------------------
ดูเปลือกนอกเหมือนฉีเซี่ยงหยวนยังไม่ได้ดำเนินการใดทั้งสิ้น  แท้จริงชุดทหารองครักษ์ล้วนถูกสับเปลี่ยนใหม่  จำนวนคนไม่เพิ่ม  แต่ฝีมือผิดกันมากนัก 
จากการรีดความจริง  พบว่ามือสังหารกลุ่มนี้  แต่ละคนต่างถูกจ้างมาจากชนกลุ่มน้อยตามตะเข็บชายแดน  เห็นได้ว่าคนที่ว่าจ้างป้องกันการสาวความผิดมาถึงตัว แต่ละคนต่างไม่รู้จักกัน  แค่ดำเนินตามแผนการที่วางไว้  ส่วนคนออกคำสั่งเป็นบุคคลลึกลับที่พวกเขาไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ  เค้นต่อไปก็ไม่ได้อะไรมากไปกว่านี้ 

ความจริงนี่สมควรหมายถึงเบาะแสสิ้นสุดแล้ว  แต่หลิวฉางเฟยทราบ  ยังมีร่องรอยอีกมากให้สืบสาว  เช่น  ค่าจ้างเป็นเงินจากแหล่งใด  อาวุธแต่ละคนจัดหาเองหรือมีคนจัดหามาให้  ถ้าจัดหามาให้  จัดหาจากแหล่งใด  ห้องพักที่พักมีความเกี่ยวข้องหรือไม่  กำหนดการเยือนเขื่อนของฉีเซี่ยงหยวน  แม้มิใช่ความลับสุดยอดอะไร  แต่คนที่ทราบก็ยังอยู่ในวงจำกัด  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ของหลิวฉางเฟยที่ต้องไปสืบสาวเอามา

หากตัวของฉีเซี่ยงหยวนเองกลับใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างสงบราบรื่นยิ่ง  ไม่สิ  ไม่สงบราบรื่น  การไปเยือนตำหนักพระมาตุลาสิบครั้ง ต้องเผชิญการขัดขวางของอิ๋งฮวาเสียแปดครั้ง  อีกสองครั้งตามด้วยเสียงบ่นงึมงำของจางจื่อหยู  แต่ไม่ว่าจะอย่างไรฉีเซี่ยงหยวนก็ยังไปเยือนตำหนักพระมาตุลาอย่างสม่ำเสมอ

“ท่านกำลังจะกลับแคว้นเป่ยชาง  สมควรมีงานยุ่งจึงจะถูกต้อง  เหตุใดมีเวลาว่างมากมายปานนี้”
ฉีเซี่ยงหยวนเหลือบมองคนถามที่สวมชุดลำลองแต่ก็ยังเปี่ยมสง่าราศี  นั่งจรดพู่กันเขียนตำราแพทย์อยู่บนโต๊ะ  แล้วตอบให้ในใจ  ก็งานบริหารยกให้หลี่กวงเว่ย  การพูดคุยเจรจายัดเยียดให้จางจื่อหยู ส่วนหน้าที่ตระเตรียมกำลังพลก็โยนให้หลิวฉางเฟยไป  เขาย่อมมีเวลาว่างมากมาย

เหลียนอันสุ่ยเห็นคนฟังไม่ตอบคำ  แต่เดินมาชะโงกหน้าดูกระดาษที่บนโต๊ะ  ซ้ำยังคล้ายไม่เจตนา  แต่ใช้วิธีเดินมาถึงเบื้องหลังแล้วยื่นหน้าข้ามไหล่คนอื่นไป  เหลียนอันสุ่ยหรี่ตาลง  นับวันยิ่งรู้สึกว่าอ๋องน้อยผู้นี้มีลูกไม้มากมายยิ่งนัก  สามารถสร้างสถานการณ์เอื้อต่อการเอารัดเอาเปรียบร้อยแปดพันประการ

“ท่านสนใจการแพทย์ถึงเพียงนี้  เหตุใดจึงไม่ไปเป็นหมอ” ฉีเซี่ยงหยวนถามขึ้น
“...ใครจะกล้าให้ข้ารักษา  ข้าเป็นพระมาตุลานะ” กล่าวย้ำเตือนความจำ
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งไปเล็กน้อย  จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจขณะกล่าวว่า
“อืมม์  แต่ท่านก็ทำเพื่อวงการแพทย์ไว้ไม่น้อยนี่” เท่าที่ฉีเซี่ยงหยวนทราบ  เหลียนอันสุ่ยอยู่เบื้องหลังการให้ทุนเปิดโรงหมอหลายแห่ง  และสนับสนุนการจัดเก็บตำราแพทย์ให้เป็นระบบ
คนฟังยิ้มเล็กน้อย ตอบว่า
“สิ่งที่ข้าทำเทียบไม่ได้กับที่ท่านอ๋องน้อยทำเพื่อแคว้นเป่ยชางไปหรอก” ข้าทุ่มเทเงินทอง  แต่ท่านทุ่มเทชีวิต
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะแล้ว
“ข้าน่ะหรือทำเพื่อเป่ยชาง  เพื่ออำนาจ  เพื่อตัวเองมากว่า”
“เป่ยชางเป็นแคว้นใหญ่  อำนาจในแคว้นกระจัดกระจาย  หากไม่รวบไว้ด้วยกัน  ย่อมยากจะพัฒนาทุกส่วนไปพร้อมกัน  อย่าว่าแต่หากพวกท่านทำตัวอ่อนแอย่อมถูกแคว้นอื่นฉวยโอกาสรุกราน”
“มีคนคิดแบบท่าน  แต่เขาคือหลี่กวงเว่ยไม่ใช่ข้า  สำหรับข้าก็แค่ไม่เชื่อว่าแคว้นเป่ยชางเกิดมาเพื่อคานอำนาจกับอีกสองแคว้นที่เหลือ  อำนาจที่กระจัดกระจายในเป่ยชางเป็นเพียงอุปสรรคหนึ่งที่ข้าต้องจัดการเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่วางไว้” กล่าวอย่างไม่ใส่ใจพลางคิดว่าจะเอารัดเอาเปรียบอีกฝ่ายอย่างไรดี  สายตาคมวาวกวาดไปตามลำคอ  เลื่อนขึ้นไปที่ใบหูได้รูป...
เหลียนอันสุ่ยหัวเราะเบาๆ  กล่าวว่า
“ข้าสามารถบอกได้ว่าท่านก็คำนึงถึงบ้านเมืองและราษฎร  เพียงแต่ท่านไม่ใช่พวกชอบอวดอ้างถึงเท่านั้น”
“ท่านนี่มองข้าในแง่ดีจริงนะ”
ขณะเหลียนอันสุ่ยจะตอบคำ  ก็พบว่าริมฝีปากอีกฝ่ายเคลื่อนเข้ามาประชิด  เสียดสีไปตามความโค้งของใบหู  ฝ่ามือใหญ่วางหมับลงบนหัวไหล่ทั้งสองข้าง...
“นายท่าน  รับน้ำชาหรือไม่เจ้าคะ”
ทุกอย่างชะงักกึก  ฉีเซี่ยงหยวนเส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ  นาง...กะจะไม่ให้เขาได้กำไรบ้างเลยหรือไง
หลังอาทิตย์ตกดิน  เหลียนอันสุ่ยเป็นของเขาจริง  แต่ก่อนหน้านั้นมักมีเหตุ ‘บังเอิญ’ มาขัดจังหวะอยู่ร่ำไป  จะถือสานางมากก็ไม่ได้  เพราะฉีเซี่ยงหยวนไม่ต้องการให้เหลียนอันสุ่ยมองเขาเป็นคนใจคอคับแคบ  และนางก็ดูเหมือนจะขยันใช้ข้อได้เปรียบนี้จนคุ้มเสียเหลือเกิน
เหลียนอันสุ่ยสลัดหลุดจากอีกฝ่าย  เดินเข้าไปรับกาน้ำชามาจากมืออิ๋งฮวาด้วยตัวเอง
“นี่เป็นชาอย่างดีจากหุบเขาทางตอนเหนือของแคว้นเหลียน  ท่านลองเปรียบเทียบกับของเป่ยชางดู”  กล่าวพลางรินออกมาสองถ้วย  ยื่นให้อ๋องน้อยแคว้นเป่ยชาง
ฉีเซี่ยงหยวนรับน้ำชามาด้วยความหงุดหงิด  ในใจเริ่มวางแผนตอบโต้  ใคร่ครวญว่าควรเลิกทำตัวเป็นคนใจกว้างซะดีไหม
---------------------
ที่หน้าประตูตำหนักพระมาตุลา
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้เดินออกมาส่งด้วย  จึงมีแต่อิ๋งฮวาที่รับหน้าที่
 “ท่านอ๋องน้อยจะกลับแล้วหรือเจ้าคะ” คนต่ำศักดิ์กว่ากล่าวถามอย่างนอบน้อม  แต่ฉีเซี่ยงหยวนทราบ  ในใจนางหวังว่าเขายิ่งรีบไปยิ่งดี
สตรีอื่นแม้จะหวาดกลัวอยู่บ้าง  แต่ก็มักจะแอบมองเขาตาปรอย  หากสำหรับหัวหน้าหญิงรับใช้ของพระมาตุลาผู้นี้  ทั้งไม่หวาดกลัว  ทั้งไม่แอบมอง  นางแม้หลุบตาต่ำ  แต่คล้ายไม่ต้องการเห็นขี้หน้าเขามากกว่าอย่างอื่น
ฉีเซี่ยงหยวนเชิดใบหน้าขึ้นช้าๆ  แต่หรี่ตาลงต่ำ  กล่าวเสียงราบเรียบว่า
“เจ้าอย่าลืมว่ามีแต่ข้าที่ช่วยจือหลันได้” คำพูดแผ่วเบา  แต่ชัดเจนทุกคำ
อิ๋งฮวาเม้มปากแน่น  มองตามเงาหลังคนที่ศักดิ์สูงกว่าไปอย่างเกลียดชัง
---------------------
เพื่อเป็นการเตือน วันนี้อ๋องน้อยแห่งเป่ยชางจึงจงใจไปตรวจดูบรรดาสตรีเป็นเครื่องบรรณาการโดยเฉพาะ  ฉีเซี่ยงหยวนรู้  อิ๋งฮวาต้องแอบด่าว่าเขาใช้แผนสกปรกข่มขู่คน  แต่นางอย่าให้เขาลงมือเลยจะดีกว่า  เพราะฉีเซี่ยงหยวนไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำให้อิ๋งฮวามาคุกเข่าอ้อนวอนอยู่แทบเท้าไม่ได้  การข่มขู่นับเป็นวิธีที่เบาที่สุดแล้ว   คิดขณะกวาดสายตาผ่านใบหน้าของโฉมสะคราญที่คุกเข่าหลุบตาต่ำอยู่เบื้องหน้าทั้งร้อยนาง 

ผู้คนมักบอกว่า  สิ่งที่เลิศล้ำที่สุดของแคว้นเหลียนมีสามอย่าง  การช่าง การแพทย์และหญิงงาม  ฉีเซี่ยงหยวนนับว่าได้รับทราบแล้ว  สตรีเหล่านี้ไม่ว่าคนไหนล้วนสามารถจัดเป็นหญิงงามที่หาได้ยาก  แคว้นเหลียนกลับมีสตรีเช่นนี้ถึงร้อยนาง  คนมองมิอาจไม่ยอมรับ  สตรีแคว้นเหลียนงามเลิศล้ำสมคำร่ำลือ  นี่สมควรเป็นเครื่องบรรณาการที่ล้ำค่าที่สุดที่ฉีเซี่ยงหยวนเคยได้มา

มีดวงตาบางคู่เหลือบมองมาอย่างใจกล้า  ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าพวกนางกำลังสร้างโอกาสให้กับตัวเอง  เพราะหากได้รับการเหลือบแลจากเขานับเป็นเครื่องรับประกันสถานะในวันหน้า  ผู้ใดไม่อยากปีนป่ายขึ้นที่สูง ?

แต่ตัวผู้ถูกเหลือบมองเองกลับรู้สึกขาดความกระตือรือร้นอยู่บ้าง  เขาเคยชอบสาวงาม...พูดให้ถูกคือตอนนี้ก็ยังชอบอยู่  แต่พวกนางกลับขาดเสน่ห์ดึงดูดใจไปเลยเมื่อเทียบกับเหลียนอันสุ่ย  อาจเป็นไปได้ว่า เพราะเหลียนอันสุ่ยได้มายากกว่า  ฉีเซี่ยงหยวนสังหรณ์ว่าพระมาตุลาผู้นี้อาจเป็นกรณีที่ยากที่สุดเลยทีเดียว
---------------
โต๊ะไม้ประดู่ดำขัดเป็นมันเงา  มุมโต๊ะทั้งสี่แกะเป็นลายโปร่งรูปหงส์เหิน ฝังมุกจนเลื่อมพราย  จอกบนโต๊ะแกะจากหยกล้ำค่าทั้งก้อน  เขียวใส งามประณีต  ตะเกียบเป็นตะเกียบเงินอย่างดี  วางพาดบนที่วางตะเกียบซึ่งทำจากหยกขาวเคลือบขอบด้วยทองคำ  แคว้นเหลียนเป็นแคว้นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีรสนิยมอันสูงส่ง  ความเลอเลิศของอารยธรรมสะท้อนออกมาจากข้าวของทุกชิ้นในห้องโถงอันกว้างใหญ่กลางตำหนักฟ่งเฟิน  ที่ว่าราชการของผู้ปกครองแคว้นเหลียนทุกยุคทุกสมัย

วันนี้เป็นงานเลี้ยงส่งที่เหลียนอ๋องจัดขึ้นให้อ๋องน้อยแห่งเป่ยชางโดยเฉพาะ  บรรยากาศจึงเลิศหรูกว่ายามปรกติอีกสิบเท่า  โคมทั้งงานถูกเปลี่ยนใหม่เป็นตัวโคมที่ทำจากทองคำ  ดิ้นที่ปักลงบนผ้าล้วนเป็นด้ายทองปักเป็นรูปหงส์สยายปีก  ฝีมือประณีตบรรจง  ดุจจะผายเรียวปีกโบยบินจากไปได้ทุกเมื่อ

เหลียนอ๋องนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เลิศหรูที่สุด  ข้างๆเขาเป็นฉีเซี่ยงหยวนที่นั่งเสมอกัน  แสดงการให้เกียรติอย่างสูง  พระมาตุลานั่งทางฝั่งซ้ายมือของเหลียนอ๋อง  ในมือถือตะเกียบดื่มกินเงียบๆ  ฉีเซี่ยงหยวนแม้รับการคารวะสุราจากเหลียนอ๋องอย่างยิ้มแย้ม  แต่สายตากลับเหลือบไปมองด้านซ้ายของเหลียนอ๋องอยู่บ่อยครั้ง

เหลียนอันสุ่ยสวมชุดผ้าไหมสีเขียว  บนศีรษะสวมรัดเกล้าทองคำ  ปล่อยผมครึ่งศีรษะให้ตกระเสื้อตัวในสีขาว  แขนเสื้อยาวหลวมกว้าง  ทำให้ต้องใช้มืออีกข้างยึดไว้ขณะยกตะเกียบเงิน  แต่ท่วงท่ากลับน่าดูและเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
นี่เป็นงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ  เหลียนอันสุ่ยจึงสวมชุดที่ตัดเย็บอย่างเลิศหรู  เมื่อประกอบกับตัวตนของเขา  ดูไปประดุจเสียงพิณยี่สิบห้าสายที่บรรเลงในวังของเทพเซียน  ฉีเซี่ยงหยวนแทบจะวาดภาพออกว่าน้องสาวของเขาที่เป็นพระชายาในเหลียนอ๋ององค์ก่อน ต้องเป็นสตรีที่มีความงามเลิศล้ำชนิดยากหาผู้เปรียบติด

 เหลียนอ๋องปีนี้อายุสิบสองปี  แม้ยังเยาว์อยู่  แต่ก็รู้ความมากแล้ว  ดูประหม่าเกร็งอยู่บ้างเมื่อต้องมานั่งข้างท่านอ๋องน้อยแห่งเป่ยชางที่บุคลิกน่าเกรงขามกว่าเขาหลายเท่า  ดีที่มองไปทางซ้ายยังมีท่านลุง  ความมั่นใจจึงยังไม่คลอนแคลน  วางท่าผ่าเผย กล่าวขึ้นว่า
“ข้ายินดีอย่างยิ่งที่ท่านอ๋องน้อยให้เกียรติมา  และให้โอกาสข้าได้เลี้ยงส่งท่าน  ไม่ทราบว่าการตระเตรียมการเดินทางของท่านเป็นไปโดยเรียบร้อยหรือไม่”
“ต้าอ๋องให้ความสนใจ  ข้ารู้สึกขอบคุณยิ่ง  คาดว่าสัปดาห์หน้าคงเรียบร้อยพร้อมเดินทางพอดี” ฉีเซี่ยงหยวนตอบ
“เช่นนั้นข้าขอดื่มอวยพรล่วงหน้า ให้ท่านเดินทางกลับถึงเป่ยชางโดยสวัสดิภาพ  แคว้นเหลียนจะยินดีต้อนรับการมาเยือนของท่านเสมอ” พูดจบก็ยกสุราในจอกขึ้นดื่ม  ฉีเซี่ยงหยวนรอให้เหลียนอ๋องดื่มจนหมดแล้วจึงกล่าวว่า
“ข้าคิดว่าเพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองแคว้น  ข้าใคร่ขอเชิญพระมาตุลาไปพำนักที่เป่ยชางซักระยะ” คำพูดนี้เรียกเสียงฮือฮา  ทุกคนต่างทราบ  นี่ไม่ต่างกับไปในฐานะตัวประกันทางการเมือง 
เหลียนอ๋องขมวดคิ้ว  ขณะจะกล่าวแย้ง  กลับได้ยินเสียงแผ่วทุ้มของคนที่เงียบมาตลอดดังขึ้นว่า
“กราบทูลต้าอ๋อง  ข้ายินดีไปพำนักที่แคว้นเป่ยชาง”
เหลียนอ๋องหันไปมองหน้าญาติสนิทของตัวเอง ก็พบสายตาจริงจังมั่นคง  เสียงฮือฮาเงียบไป  ทุกคนต่างรอฟังคำตัดสินใจของเหลียนอ๋อง
“...ตกลง  ถ้าท่านน้าเต็มใจไป  ข้าจะขอตามส่งพวกท่านถึงนอกเมือง”...
---------------------
ข่าวการจะจากไปพร้อมกับพระมาตุลาของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชาง แพร่สะพัดไปทั่วแคว้นเหลียน  ทุกคนล้วนแปลกใจว่าเหตุใดจึงเป็นเหลียนอันสุ่ย  มีคนเศร้าโศกเสียใจ มีคนโล่งอก  และก็มีคนยินดีปรีดา  ส่วนตัวคนที่ถูกโจษขานตอนนี้กำลังเข้าเฝ้าต้าอ๋องแคว้นเหลียนเป็นการส่วนตัว
“ท่านลุง  ความจริงท่านไม่สมควรไปเลย  ข้าได้ยินมาว่ามีคนคัดค้าน...”
เหลียนอันสุ่ยยิ้งบางๆ คล้ายกับรู้ทัน  กล่าวว่า
“พวกเขาไม่คัดค้านหรอก”
ทุกคนต่างกลัวว่าคนที่ฉีเซี่ยงหยวนจะพาไปจะเปลี่ยนมาเป็นเหลียนอ๋องแทน  เพราะพวกแคว้นใหญ่มักมีธรรมเนียมเรียกร้องตัวประกันทางการเมืองเพื่อสัมพันธไมตรี  เหลียนอ๋องอายุยังน้อยสามารถใช้เป็นข้ออ้างพาตัวไปจนกว่าอายุเหมาะสมแล้วค่อยให้กลับแคว้น  จากนั้นทางแคว้นใหญ่ก็จะส่งคนของพวกเขามาควบคุมดูแลบัลลังก์ที่ว่างลง  นี่ไม่ต่างกับการปลดทางอ้อม  หรืออาจถึงขั้นปลดคนเดิมแต่งตั้งคนใหม่ก็มี

โชคดีที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดปลดเหลียนอ๋องทั้งทางตรงและทางอ้อม   ขุนนาง ราษฎรชาวเหลียนล้วนสำนึกขอบคุณเขา  ขุนนางบางคนยังยินดีที่ได้กำจัดเหลียนอันสุ่ยออกไป  เพราะมีพระมาตุลาอยู่การควบคุมชักใยเหลียนอ๋องอายุเยาว์กลายเป็นเรื่องยากลำบาก
“แต่ข้าคัดค้าน  ท่านลุง คนไปควรเป็นข้า  แคว้นเหลียนต้องการท่าน”
“แคว้นเหลียนต้องการเจ้ามากกว่า” รอยยิ้มของเหลียนอันสุ่ยอ่อนโยน
“แต่ว่า...”
“แคว้นเหลียนไม่มีพระมาตุลาได้  แต่ไม่อาจขาดเหลียนอ๋อง ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องเป็นต้าอ๋องที่ดีได้แน่”
“ข้ายังเด็กอยู่มาก...” พูดถึงตรงนี้ก็พูดต่อไม่ได้อีก  เพราะแววตาของเหลียนอันสุ่ยมั่นคงเหลือเกิน  ในนั้นมีความเชื่อมั่นในระดับที่เหลียนอ๋องแทบจะเบือนหน้าหนี  น้ำหนักภาระกดลงบนบ่า...ท่านลุงเชื่อมั่นในตัวเขามากกว่าตัวเขาเองด้วยซ้ำไป 
“ข้า...  กอดท่านได้ไหม...” ทุกครั้งที่เห็นเหลียนจิ้งเต๋อกอดบิดา  เหลียนอ๋องได้แต่ก้มมองตัวเองอย่างโดดเดี่ยว  พระบิดาพระมารดาล้วนจากไปตั้งแต่เขาอายุยังน้อย  อย่าว่าแต่ขนาดตอนพวกท่านยังอยู่ก็ให้ความรู้สึกห่างเหินเหลือเกิน

เหลียนอันสุ่ยไม่ว่าอะไร  ก้มตัวลงกอดเด็กชายวัยสิบสองขวบที่อยู่เหนือคนทั้งแว่นแคว้น  เหลียนอ๋องหลับตาลง  ท่านลุงทำให้เขาคิดถึงพระมารดา...ไม่สิ  ต่างกัน  ถึงแม้พระมารดากับท่านลุงจะมีเค้าหน้าคล้ายคลึงกันหลายส่วน  บรรยากาศรอบตัวคนทั่งคู่กลับไม่เหมือนกัน  บุคลิกของพระมารดาแม้จะอ่อนโยน  แต่ความอ่อนโยนกลับไม่เคยปรากฏอยู่ในแววตาคู่งาม คิดถึงตรงนี้ก็กอดอีกฝ่ายแน่นขึ้น  เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียญาติสนิทคนสุดท้ายไปในไม่ช้า  ความรู้สึกโดดเดี่ยวเคว้งคว้างทำให้เหลียนอ๋องยึดกุมอ้อมกอดอบอุ่นเอาไว้ไม่ยอมคลาย

เหลียนอันสุ่ยมองคนในอ้อมแขนอย่างเวทนา  เหลียนอ๋องอายุมากกว่าเหลียนจิ้งเต๋อสองปี แต่กลับต้องแบกรับภาระที่หนักหนาสาหัสกว่ามากนัก  เด็กคนนี้ตั้งแต่เด็กก็ต้องแบกรับความคาดหวังจากผู้อื่น  ศักดิ์ฐานะทำให้บิดามารดาค่อนข้างห่างเหิน  จึงกลายเป็นเด็กพูดน้อย 

จำได้ว่าแต่ก่อนเด็กคนนี้เห็นเด็กคนอื่นเล่นกัน  แววตาแม้อยากเล่นด้วย  แต่เท้ากลับบังคับให้ตัวเองเดินห่างออกมา  เพราะเขาไม่อาจเป็นเช่นเด็กคนอื่น  ยิ่งอยากใกล้ชิด  แต่กลับยิ่งพยายามวางท่าทีห่างเหิน  กับคนประเภทนี้เหลียนอันสุ่ยทราบ  การพยายามชดเชยให้ไม่ต่างกับการดูถูกอย่างร้ายกาจ แม้อายุเพียงสิบสองปีแต่ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้โต  มีแต่คนเข้ามาเพราะต้องการหาประโยชน์  บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกที่เหลียนอ๋องพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆออกมา...
---------------------
ฤดูกาลสับเปลี่ยน  กลางวันหมุนสู่กลางคืน  ทุกประการล้วนเป็นเรื่องปรกติธรรมดา  แต่บางครั้งความธรรมดาของมันกลับทำร้ายผู้คนมากหลาย  มีบ้างหวังให้เวลาเดินช้าอีกหน่อย  มีบ้างหวังให้เวลายิ่งเดินไวยิ่งดี  แต่ไม่ว่าอย่างไรกระแสแห่งเวลาก็ยังคงไหลไปตามปรกติของมัน

พระมาตุลาแคว้นเหลียนหลังจากกลับมาจากเข้าเฝ้าเหลียนอ๋องก็ยังไม่ได้ผลัดเปลี่ยนชุด  นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานนิ่งนาน  คล้ายกำลังขบคิดอันใด  สั่งให้บ่าวรับใช้จากไปไม่ต้องเฝ้า

หวังเชียนล่าถอยออกมาด้านนอก  พบอิ๋งฮวายืนเฝ้าอยู่ข้างบานประตู  จึงกระซิบบอกคำสั่งของนายท่าน แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินจากไป
หากเดินมาถึงครึ่งทางอิ๋งฮวาก็ขมวดคิ้ว ทิศทางที่นางกำลังเดินไปคือห้องครัว  เหตุใดหวังเชียนจึงยังติดตามมา ?
“พี่หวัง ?”
คนถูกเรียกถามเสียงราบเรียบแต่จริงจังว่า
“เจ้าต้องบอกข้า  มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่  ทำไมนายท่านจึงต้องไปเป็นตัวประกัน  ท่านอ๋องน้อยกับนายท่านสนิทกันมิใช่หรือ”
เขาติดตามนายท่านไปมาหาสู่กับท่านอ๋องน้อยอยู่บ่อยๆ  ทำไมจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้  ตัวประกันทางการเมืองต่อให้ได้รับเกียรติก็ยังเป็นความอัปยศ หากแคว้นใหญ่ต้องการยัดเยียดการดูถูกเหยียดหยาม  บางคราวถึงกับมีฐานะไม่ต่างกับข้าทาสทั้งๆที่ความจริงมีฐานะสูงส่ง
“คือ...เรื่องนี้ข้า  เอ่อ  ข้าก็ไม่ทราบ”
หวังเชียนจ้องสตรีตรงหน้านิ่งอย่างจับผิด 
“...เจ้ากำลังโกหก” หวังเชียนรู้สึกได้
“ข้าไม่ทราบจริงๆ” อิ๋งฮวาหวังว่าอีกฝ่ายจะหยุดถามต่อ นางมิใช่ไม่ทราบ  แต่เป็นบอกไม่ได้ต่างหาก  จึงจำเป็นต้องยืนกรานเช่นนี้  เท้าตระเตรียมก้าวหนีไป
“เจ้ากำลังปิดบังอะไรไว้กันแน่”
“ข้าไม่ได้กำลังปิดบังอะไรทั้งนั้น” อิ๋งฮวากล่าวพลางเดินหนีออกมา  หวังเชียนหรี่ตามองตามเงาหลังของนางไปอย่างไม่เชื่อถือ...
---------------------
คนภายนอกร้อนรนสงสัย  คนภายในห้องกลับนั่งเงียบอย่างครุ่นคิด  เหลียนอันสุ่ยกำลังเรียบเรียงสิ่งที่เขาทำไปแล้ว  และสิ่งที่จำเป็นต้องทำทั้งหมดก่อนจากแคว้นเหลียนไป 

อย่างแรกสุดคือทรัพย์สินส่วนตัวของเขา  ส่วนใหญ่เขาจะทิ้งไว้ที่นี่  เพราะบางชิ้นเอาไปไม่ได้  หลายชินก็ไม่จำเป็นต้องเอาไป  นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลียนอันสุ่ยจะทำเพื่อแคว้นเหลียน  เขาไม่ได้ยกเงินทั้งหมดเติมใส่ท้องพระคลัง  แต่ใช้วิธีกระจายไปตามที่ต่างๆ  เพราะเป็นวิธีที่ได้ผลและมั่นใจได้มากกว่าว่าจะถึงมือราษฎร

ที่ดินของเขามีมาก  การทิ้งไว้เปล่าๆรังแต่ลดมูลค่าของมันไปอย่างน่าเสียดาย  สู้สร้างบางสิ่งที่เป็นประโยชน์กว่าไม่ได้  การสร้างเขื่อน  สร้างโรงหมอ  สร้างสถานศึกษาล้วนต้องใช้เงิน  เงินที่เหลือสามารถเก็บไว้เป็นทุน  แบ่งกันไปเก็บรักษาและใช้ให้เกิดประโยชน์  ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องการฟื้นฟูแคว้นหลังสงครามเขาก็จัดการไปแล้ว  ที่เหลือก็แค่รอเวลา...

“ท่านพ่อ” คนส่งเสียงเรียกผลุนผลันเข้ามา  เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นเห็นแววตาแตกตื่นของเหลียนจิ้งเต๋อ
“มีอะไรหรือ ?”
เหลียนจิ้งเต๋อวิ่งมาหยุดหน้าโต๊ะบิดา  กล่าวถาม
“เราต้องไปแคว้นเป่ยชางจริงๆหรือ”
คนเป็นพ่อนิ่งไป แต่ก็พยักหน้ารับ  พลางถามว่า
“เจ้าไม่อยากไป ?”
“ท่านพ่อเพราะข้าไปรับปากเป็นลูกบุญธรรมของเขาใช่มั๊ย ข้ากับท่านถึงต้องไป...” น้ำเสียงร้อนรนทำอะไรไม่ถูก 
“แคว้นเป่ยชางไม่ได้น่ากลัวเหมือนถ้ำผีซักหน่อย  ทำไมเจ้าต้องหวาดกลัวถึงเพียงนี้”
“ท่านพ่อ  ท่านรักแคว้นเหลียนมาก  แล้วท่านก็รักท่านแม่มาก ท่านคงไม่อยากไปจากที่นี่  แล้วทำไมท่านถึงไปรับปาก...” คราวนี้ชักจะเป็นกล่าวหา  หากน้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยยังคงใจเย็น  ขณะตอบว่า
“ถ้าพ่อไม่รับปาก  คนที่ต้องไปจะเปลี่ยนเป็นเหลียนอ๋อง  เจ้าว่าพ่อไม่สมควรรับปากหรือ”
“...เหลียนอ๋อง?  หมายถึงเขาต้องไปคนเดียว”
“อืมม์”
คนเป็นลูกนิ่งไปทันทีที่ได้ยินคำตอบ  ก้มหน้าลงครุ่นคิด  สุดท้ายเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“เขาต้องรู้สึกแย่มากๆที่ต้องไปคนเดียว...ถ้าอย่างนั้นข้าไปแทนดีกว่า  อย่างน้อยข้าก็ยังมีท่านพ่อ”
คนเป็นพ่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาบางๆ...

========
กำลังจะไปแคว้นเป่ยชางแล้วนะคะ  :bye2:
เนื้อเรื่องมันจะค่อนข้างมีการเมืองนิดนึง  อาจจะเข้าใจยากหน่อย   :really2:
แต่ตัดออกไม่ได้จริงๆเพราะตัวเอกสองตัวนี้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องเกี่ยวพันกับการเมืองอย่างลึกซึ้ง 
และมีแต่เขียนจากทางด้านนี้จึงสามารถมองเห็นตัวตนพวกเขาชัดเจนที่สุด 

สิ่งที่ยากกว่าการเมืองคิดว่าเป็นเรื่องชื่อ(ฮา) 
เข้าใจว่ามันจำลำบากเพราะเป็นชื่อจีน 
ไว้เดี๋ยววันหลังจะเอาลิสต์รายชื่อตัวละครมาแปะให้น้าาา

ปล.รักคนอ่านทุกคนนะขอบอก  มีอะไรติชมบอกได้ฮ้าบบบบบ :mew1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 29-07-2014 20:25:54

บทที่ 13 ประลองฝีเท้าม้า

ข่าวคราวพัดพามากับสายลม  หายลับเข้าไปในตำหนักแห่งหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไป  ด้านหน้าตำหนักปลูกดอกเบญจมาศบานสะพรั่งไปทั่วบริเวณ  แต่ส่วนลึกภายในกลับเงียบเหงาอยู่บ้าง  นางกำนัลที่เคยเดินกันขวักไขว่ลดจำนวนลงกว่าครึ่ง  แม้แต่โคมใหญ่บนหัวเสาก็ไม่ได้เปลี่ยนใหม่นานแล้ว

บานหน้าต่างที่เห็นแปลงเบญจมาศได้ชัดที่สุดถูกเปิดออก  คนในห้องเป็นสตรีวัยกลางคนที่ยังมีเค้าความงามในวัยสาว  แต่กลับถูกบางสิ่งบางอย่างเคี่ยวกรำจนมองดูแล้วน่าหวาดหวั่น  คล้ายกับรอยเหี่ยวย่นแต่ละรอยสลักลึกจารจำความแค้นเอาไว้
“เจ้าว่า ‘เขา’ จะไปเป็นตัวประกัน” เสียงแหลมสูงของนางดังขึ้น
“เจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ขานตอบ
“ท่านเพิ่งทราบหรอกหรือ  ข้างนอกเขาลือกันให้แซด” นี่เป็นเสียงของเฉินเสีย  มืออวบอูมยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม  พูดต่อว่า “ข้าก็เลยมาฉลองอยู่นี่ไง  ท่านก็สมควรมาดื่มกับข้าซักจอก”
คนฟังทำเสียงเหมือน ‘เหอะ’ ในลำคอ  กล่าวว่า
“คนควรดื่มเป็นข้า  แต่ท่านยังนับว่าดีใจเร็วเกินไป”
“ว่าไงนะ”
“ท่านเข้าใจว่าตัวเองรอดพ้นชะตากรรม? ...ต่อให้เขาไม่อยู่ถ้าเรื่องแดงขึ้นมาท่านก็ยังคงเป็นคนแรกที่เดือดร้อนอยู่ดี”
เฉินเสียอึ้งไป  พอรู้สึกตัวก็ลุกขึ้นชี้นิ้วด่า
“...ท่านมันนางปีศาจ!  ท่านทราบแต่แรก  แต่ก็ยังยุยงให้ข้าทำ!”
นางกล่าวเสียงราบเรียบว่า
“นี่ข้ากำลังเตือนท่านด้วยความหวังดี”
“หึ  ต่อให้ข้าต้องชดใช้จริง  ยานั่นท่านเป็นคนจัดหามา  หรือท่านไม่ต้องชดใช้ด้วย ?”
“ท่านอย่าพยายามลากคนลงน้ำ  ผู้ใดจัดหายาให้ท่าน ?”
เฉินเสียได้ยินก็หน้าเขียวคล้ำ  เรื่องนี้มีเพียงเขากับนางที่รู้  หากนางไม่ยอมรับ  ผู้ใดก็ไม่มีปัญญาไปให้นางชดใช้
“วันนี้ข้านับว่าได้ทราบใจคอนางมารท่านแล้ว  แต่คนที่ต้องชดใช้ให้เหลียนอันสุ่ยมากกว่าข้ายังคงเป็นท่าน  เพราะที่ท่านทำกับเขายังมากกว่าข้าเป็นร้อยเท่า !”

“หากท่านยังต้องการความช่วยเหลือ ก็เก็บปากหยาบคายของท่านเอาไว้ดีๆ” น้ำเสียงของนางยังคงราบเรียบไม่แยแสอยู่เช่นเดิม
“ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนางปีศาจเช่นท่าน!” กล่าวแล้วสะบัดหน้าจากไป

สตรีเจ้าของตำหนักหรี่ตามองตาม  แน่ใจว่าถ้ามีเรื่องเดือดร้อนอีกฝ่ายก็ต้องซมซานมาขอร้องนาง  เฉินเสียเป็นบุคคลเอนลู่ตามลม  ซ้ำยังขี้ขลาดจนน่ารังเกียจ  หากก็เพราะขี้ขลาดอย่างยิ่ง  เหลียนอันสุ่ยจึงไม่ได้ระแวงป้องกันเฉินเสียเท่าที่ควร  มุมปากบางแค่นยิ้มอย่างเย็นชา  เอาล่ะ อย่างน้อยเฉินเสียที่น่ารังเกียจนั่นก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง 

แต่ตอนนี้เฉินเสียไม่ใช่ตัวหมากที่มีประโยชน์อีกต่อไป  แต่กลายมาเป็นภาระ  ไปซะพ้นๆก็ดี  จะได้สบายหูสบายตาขึ้นบ้าง  อย่าว่าแต่นางมั่นใจ หากเฉินเสียยังมีประโยชน์นางก็มีวิธีทำให้เขากลายเป็นหมากของนางอีกครั้ง
“นายหญิง  บ่าวเกรงว่าถ้าท่านอยากจัดการกับ ‘เขา’ ด้วยตัวเอง  ท่านต้องรีบลงมือในเร็วๆนี้ก่อนเขาจะไปเป่ยชาง”
“เจ้าก็รู้ว่าข้ามิใช่ไม่ลงมือ...” น้ำเสียงเย็นชามีแววขุ่นเคืองที่ไม่มีปัญญาระบายออก
 
นิสัยของเหลียนอันสุ่ยนางทราบดีกว่าใคร  คิดลงมือกับเขา  ไม่สู้ลงมือกับเหลียนจิ้งเต๋อ  แต่ไม่ว่าพยายามแค่ไหน  นางยังคงแตะต้องเด็กคนนั้นไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ 

เหลียนอันสุ่ยแม้ยินยอมอภัยให้ทุกเรื่องราว  แต่กลับไม่ยินยอมให้ใครมีโอกาสทำร้ายเหลียนจิ้งเต๋อเป็นอันขาด  กำแพงรอบตัวเด็กคนนั้น  น่ากลัวยังมากมายกว่าของเหลียนอันสุ่ยอีก

หญิงรับใช้มองหน้านายหญิงของตัวเองแล้วก็ก้มหน้าลง  ความจริงนางเป็นสาวใช้ที่เข้มแข็ง  แต่ครั้งนี้ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง  นางไม่เหมือนนายหญิงที่ถูกความแค้นครอบงำจนไม่เห็นอะไรอย่างอื่น 

เวลาถึงสิบสองปี  ...สิบสองปีเต็มๆ  พวกนางกระทั่งทราบยังไม่ทราบขอบเขตของอำนาจพระมาตุลา  อำนาจของเขาเหมือนสายน้ำไร้สภาพที่แทรกซึมไปทั่วทุกที่  นางทราบดีว่านายหญิงทำอะไรลงไปบ้าง  แต่ความพยายามทั้งหมดคล้ายก้อนหินที่ทุ่มลงไปในทะเลสาบใหญ่  เนิ่นนานยังคงสร้างได้เพียงระลอกเล็กๆ ที่จะกลับสู่ความสงบโดยไร้ร่องรอย
ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดคือ ฝ่ายตรงข้ามยังไม่เคยตอบโต้กลับมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว !
---------------------
เวลาค่อยๆผ่านไปวันแล้ววันเล่า  ดอกเบญจมาศเบ่งบานแล้วก็ร่วงโรยดอกแล้วดอกเล่า  หากไม่มีดอกใดสามารถเบ่งบานเข้าไปในจิตใจของผู้เป็นเจ้าของ  ในที่สุดก็ถึงวันที่ฉีเซี่ยงหยวนจะเดินทางกลับเป่ย ชาง  และก็จะพาคนที่นางแค้นที่สุดจากไปด้วย 
ตำหนักยังคงเป็นตำหนักเดิม  ผู้คนยังคงเป็นผู้คนเดิม  ทอดสายตาผ่านหน้าต่างบานเดิมออกไปจรดหมู่เมฆบนท้องฟ้า  ในใจไม่ทราบขบคิดอันใด...
น่าเสียดายที่ความทรงจำอาจเลือนรางได้  แต่ความแค้นกลับไม่ยินยอมเลือนหายไป  มันเพียงรอเวลา...รอคอยจังหวะอย่างเงียบงัน...
---------------------
ธงทิวนับสิบสะบัดพัดพลิ้ว  ท้องฟ้าค่อยๆฉายแสงจ้าขึ้นทุกขณะ  ขบวนรถม้ากว่าร้อยคันทอดเป็นแถวเหยียดยาว  กำแพงเมืองสูงใหญ่เปิดประตูปล่อยสะพานลง  กำลังพลจำนานมากเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบระเบียบ  ทหารม้าพ่วงพี  ทหารราบพร้อมพรัก  เหลียนอ๋องติดตามส่งห้าสิบลี้แล้วจึงล่าถอยกลับเข้าเมือง

เหลียนอันสุ่ยนั่งอยู่ในรถม้า  มือลูบผมเหลียนจิ้งเต๋อที่นอนเอาหัวหนุนตักเขาแผ่วเบา  ค่อยๆเข้าใจทีละน้อยว่าเวลาสามสิบเอ็ดปีที่ผ่านมากำลังจะหลงเหลือเพียงภาพในความทรงจำ  ขณะเหม่อมองกำแพงเมืองที่เลือนรางลงทุกที  ราวกับอดีตที่ผ่านพ้นห่างออกไป  ความรู้สึกสูญเสียที่อธิบายไม่ได้ประดังเข้ามา    ก้มลงมองบุตรชายที่จะเป็นปัจจุบันและอนาคตของเขา  เค้าใบหน้าที่ละม้ายคล้ายมารดาของเหลียนจิ้งเต๋อทำให้ปลายนิ้วของพระมาตุลาชะงักค้างไปชั่วขณะ

‘เหวินจี  ข้า...จะไปแล้วนะ  ข้าสัญญา  จะดูแลเขาให้ดี’
---------------------
แสงแดดร้อนระอุ  ถนนหนทางเริ่มกลายเป็นป่า  สองฟากข้างไม่มีวี่แววของบ้านเรือน
“นายท่าน  เหตุใดจึงต้องรีบร้อนเดินทางถึงเพียงนี้” หวังเชียนควบม้าเข้ามาถาม  เขาคอยอารักขาพระมาตุลาใกล้ชิดที่สุด  อิ๋งฮวากับเยี่ยนจื่อคอยรับใช้คุณชายน้อยที่กลับไปอยู่ในรถม้าคันถัดไป  สายตาของคนเป็นบ่าวมองขบวนซึ่งเคลื่อนที่โดยไม่หยุดพักมาตั้งแต่เช้า 
การเดินทางแม้จะไม่เร็วนักเพราะเกรงรถบรรทุกสัมภาระหนักจะเคลื่อนตามไม่ทัน  แต่ก็เคลื่อนไปอย่างสม่ำเสมอยิ่ง  ไม่มีการผ่อนจังหวะเชื่องช้าลง  โชคดีที่ม้าที่คัดมาล้วนเป็นม้าพันธุ์ดีจากทางเหนือ  วันๆหนึ่งวิ่งได้หลายร้อยลี้  มีความอดทนอย่างยิ่ง  ไม่เช่นนั้นคิดจะเดินทางเช่นนี้ จำเป็นต้องเปลี่ยนม้าแล้ว

แววตาเลื่อนลอยที่เจือความหมองเศร้ามาตั้งแต่เช้าของเหลียนอันสุ่ยเป็นประกายขึ้นทีละน้อย  เพ่งมองการเคลื่อนขบวนนอกหน้าต่าง  เรียวคิ้วมุ่นลงเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด  ครู่หนึ่งจึงตอบว่า
“บางทีอาจมีเรื่องรีบด่วนต้องไปจัดการที่เป่ยชาง...  ไม่แน่ว่าขุมอำนาจที่เป่ยชางเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงกันแล้ว” ดวงตาคู่งามที่มีประกายแจ่มชัดเหมือนผิวน้ำคล้ายกำลังมองทะลุถึงบางสิ่ง
หวังเชียนรู้สึกว่าเรื่องราวบางอย่างที่ใหญ่โตกำลังจะเกิดขึ้น...ความจริงขอเพียงเกี่ยวข้องกับขุมอำนาจในแคว้นเป่ยชางอันเป็นหนึ่งในสามแคว้นใหญ่ก็สมควรมิใช่เรื่องเล็กแล้ว  ไม่ทราบแคว้นเหลียนจะถูกดึงเข้าไปในมรสุมครานี้หรือไม่ !
---------------------
เมื่อหวังเชียนบ่ายหน้าม้าควบห่างออกไป  เหลียนอันสุ่ยยังคงครุ่นคิดต่อ  ได้ยินว่าเป่ยชางอ๋ององค์ปัจจุบันมีบุตรชายห้า ธิดาอีกหนึ่ง
บุตรคนโตที่เป็นรัชทายาทเพิ่งตายไปเมื่อสี่ปีก่อน  ทิ้งไว้เพียงบุตรชายที่อายุยังน้อยกับตำแหน่งรัชทายาทที่ว่างเปล่า  บุตรชายคนที่สามเจ็บป่วยเสียชีวิตตั้งแต่เยาว์วัย  ตอนนี้จึงเหลือบุตรชายอยู่เพียง 3 คน  ในบรรดาทั้งหมด เป่ยชางอ๋องรักใคร่โอรสองค์สุดท้ายที่สุด  เพราะเกิดกับสนมที่เป็นที่โปรดปราน  น่าเสียดาย  เพราะนางถูกจับได้ว่าคบชู้สู่ชาย จึงเป็นเหตุให้ถูกประทานยาพิษ  ความโปรดปรานจึงย้ายกลับมาที่บุตรคนรองที่เคยเป็นที่โปรดปรานก่อนหน้านี้

ส่วนฉีเซี่ยงหยวนซึ่งเป็นบุตรชายคนที่สี่  ได้ยินว่าเกิดจากสตรีที่แต่งงานทางการเมืองมา  จึงไม่เคยเป็นที่โปรดปรานแต่แรก ภายหลังอำนาจของฉีเซี่ยงหยวนยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  สถานภาพของเขากับพระบิดาจึงกลายเป็นกริ่งเกรงซึ่งกันและกัน
การกลับมาของฉีเซี่ยงหยวนคราวนี้มาพร้อมกับชัยชนะเหนือแคว้นเหลียน  หากปล่อยให้เขากลับถึงแคว้นอำนาจจะยิ่งทวีขึ้นอีก  ไม่แน่ว่ากระทั่งเป่ยชางอ๋องก็ยังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย  มีผู้คนมากมายต้องไม่ยินดีแน่  ดังนั้นเหลียนอันสุ่ยจึงสังเกตได้ตั้งแต่จัดขบวนก่อนออกเดินทางแล้วว่าบรรยากาศของทหารที่อยู่โดยรอบค่อนข้างเคร่งขรึมระมัดระวัง เจือความตึงเครียดอยู่จางๆ  ทุกผู้คนล้วนเตรียมพร้อมกับทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้

เหลียนอันสุ่ยยังคงใคร่ครวญต่อไป  ฉีเซี่ยงหยวนกำลังกริ่งเกรงผู้ใดกัน ?
พระบิดาตัวเอง...พี่ชายคนรองที่ได้ยินว่ามีอำนาจอยู่ไม่น้อย...หรือจะเป็นน้องชายคนที่ห้าซึ่งเก็บตัวเงียบหลังพระมารดาดื่มยาพิษเสียชีวิต  ความจริงกระทั่งเด็กที่เป็นบุตรของรัชทายาทที่ตายไป ถ้ามีขุนนางทรงอำนาจหนุนหลังคิดใช้แทนหุ่นชักใย  ฉีเซี่ยงหยวนก็ต้องระวังเด็กคนนี้ด้วย 

ดูไปดูมา  ความซับซ้อนของขุมอำนาจในแคว้นเป่ยชางนับว่าซับซ้อนจนสับสนได้จริงๆ  นี่ยังไม่รวมการแทรกแซงของแคว้นอื่น  ซึ่งต้องไม่ยอมให้ฉีเซี่ยงหยวนขยายอำนาจออกไปเรื่อยๆ  แผนการมากมายต้องถูกทุ่มเทออกมาขัดขวาง
เกรงว่าเมื่อฉีเซี่ยงหยวนเดินทางถึงแคว้นเป่ยชาง ภยันอันตรายต่างๆคงคอยท่าเขาอยู่ก่อนแล้ว...
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนเดินทางกลับเร็วกว่ากำหนดหนึ่งเดือน  ตัวเขานั่งอยู่บนรถม้าคันหน้าเหลียนอันสุ่ย  ดวงตาคมกริบสาดประกายอำนาจที่ชวนให้ผู้คนย่นระย่อ ขณะฟังคำรายงานจากทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่ง  มุมปากปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม  ถามขึ้นว่า
“เจ้าว่าพี่รองเคลื่อนไหวแล้ว ?”
“ขอรับ  องค์ชายรองพอได้ยินว่าท่านเคลื่อนพลจึงมีการเคลื่อนไหวทหาร”
“...ได้ยินว่าข้าเคลื่อนพล  ได้ยินว่าข้าเคลื่อนพล” เสียงพึมพำกับตัวเอง  รอยยิ้มเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ “ข่าวสารของเขารวดเร็วยิ่ง”
คนฟังก้มหน้าลง  ฝ่ามือค่อยๆชื้นเหงื่อ  ความรู้สึกชวนกดดันของฉีเซี่ยงหยวนในตอนนี้ มากกว่าปรกติเป็นสิบเท่า  ดีที่ฉีเซี่ยงหยวนโบกมือเป็นความหมายอนุญาตให้จากไป  นายทหารผู้นั้นรีบทำความเคารพแล้วจากไปโดยไว
“ฉางเฟย เจ้าว่าข่าวของพี่รองได้มาจากที่ใดกัน” ถามคนสนิทที่ควบม้าอยู่ไม่ไกล โดยไม่หันไปมอง
“บรรดาขุนนางของเป่ยชางที่มาแคว้นเหลียนมีไม่น้อย  คงยากระบุตัวคน”

“เจ้าผิดแล้ว  คนที่จะส่งข่าวได้ไวขนาดนี้ต้องมีระบบส่งข่าวอันยอดเยี่ยม  ไม่ใช้สถานีเหยี่ยวก็ต้องใช้ม้าเร็ว  ดังนั้นจึงไม่ใช่ขุนนางที่ตอนนี้ไม่มีกำลังพลอยู่ในมือพวกนั้นเด็ดขาด” ความหมายคือ คนทรยศอาจเป็นขุนนางสายทหารใต้บังคับบัญชาของฉีเซี่ยงหยวนเอง  เพราะข่าวจะกลับแคว้นเพิ่งประกาศให้ทราบโดยทั่วกันเพียงสัปดาห์เดียวก่อนออกเดินทางเท่านั้น
“ท่านอ๋องน้อย ข้ามีข่าวจากมู่ซางมารายงาน”
คนเป็นนายเหนือหัวหันไปจ้องหน้าคนสนิทตัวเองนิ่ง  สายตาสองคู่สบกัน  ฉีเซี่ยงหยวนเห็นความนัยบางอย่างในแววตาอีกฝ่าย...
--------------
ตกเย็น ฉีเซี่ยงหยวนมีคำสั่งให้ตั้งค่ายพักแรมที่ริมน้ำ  ทหารหมื่นกว่านายต่างยุ่งวุ่นวายกับการกางกระโจม  ก่อกำแพงค่าย  หุงหาอาหาร  จัดแบ่งเวรยาม  ค่ายใกล้ตั้งเสร็จ  ความตึงเครียดจางๆอันเป็นมาตลอดวันค่อยๆ ผ่อนคลายลงทีละน้อย
หลิวฉางเฟยนำคำเชื้อเชิญจากนายเหนือหัวมาถึงเหลียนอันสุ่ย
“ท่านอ๋องน้อยเชิญพระมาตุลาไป ‘ขี่ม้าสำรวจลำน้ำ’ ”
เมื่อคนถูกเชิญไปถึงก็พบเจ้าของคำเชิญรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำปลอด  ตัวเขาสวมชุดลำลองสีดำไม่ได้สวมเกราะ  แต่ก็ยังให้ความรู้สึกกดดันตามธรรมชาติ  โดดเด่นเป็นหนึ่งไม่มีสอง
“อาชาชั้นเยี่ยมคู่กับจอมทัพผู้ปราดเปรื่อง  นอกจากท่านอ๋องน้อยคงไม่มีใครคู่ควรกับอาชาตัวนี้อีกแล้ว  ได้ยินว่าชาวเป่ยชางมีชีวิตบนหลังม้า  ก่อนเด็กจะเดินคล่องต้องขี่ม้าเป็นก่อน  ม้าของพวกท่านก็เป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดิน  นับว่าไม่ผิดจริงๆ” เหลียนอันสุ่ยกล่าวขณะควบม้าขึ้นมาเคียงข้าง
“ม้าอันดับหนึ่งในแผ่นดินเป็นของชนเผ่าซีเฮ่อต่างหาก  แต่ก็ใช่  หลังๆมานี้ม้าของพวกเราก็เทียบชั้นชนเผ่าซีเฮ่อได้แล้ว” ทั้งสองยิ้มให้อย่างรู้กัน 
“ม้าของท่านก็ไม่เลว” ฉีเซี่ยงหยวนพูดพลางก้มมองม้าสีน้ำตาลของอีกฝ่าย
“ถ้าเทียบกับตัวที่ท่านขี่อยู่ยังจัดว่าห่างไกลนัก  ม้าของท่านจึงเป็นอาชาดีหนึ่งในหมื่นอย่างแท้จริง”
“เจ้าตัวนี้น่ะรึ  กว่าจะขี่มันได้ก็พยศเอาการอยู่เหมือนกัน...ข้าเพิ่งทราบว่าพระมาตุลามีความสามารถในการดูม้า”
“ข้าไม่ได้มีความรู้มากมาย  เพียงแต่ยังพอแยกม้าชั้นดีกับม้าชั้นเลวได้อยู่  ม้าของท่านขนเป็นมันเงา  ท่วงท่างามสง่าพ่วงพี  เห็นชัดว่าได้รับการดูแลที่ดียิ่ง  การดูแลเช่นนี้หากเป็นม้าทั่วไปย่อมไม่อาจได้รับ”
ฉีเซี่ยงหยวนมองคนพูดแล้วค้านในใจ  ม้าทางเหนือได้รับการยกย่องว่าดีที่สุด  ม้าของเหลียนอันสุ่ย เองก็เป็นม้าทางเหนือ ซ้ำยังเป็นพันธุ์หายาก  หากมิใช่คนที่มีความรู้ทางด้านนี้  คงไม่ทุ่มเทเงินทองจำนวนมากเพื่อซื้อมัน 
การดูม้าเป็นความรู้ประการหนึ่ง  และเป็นประการที่ชาวเป่ยชางให้ความสำคัญยิ่ง  คิดไม่ถึงในแคว้นเหลียนจะมีคนให้ความสนใจกับเรื่องนี้ด้วย 
ตอนให้หลิวฉางเฟยไปเชื้อเชิญ  ฉีเซี่ยงหยวนจงใจไม่คัดเลือกม้าให้ไปด้วยเพราะต้องการเห็นม้าประจำตัวของเหลียนอันสุ่ย  สำหรับผู้มีอำนาจม้าเป็นสมบัติที่ขาดไม่ได้  บางคนถึงขนาดซื้อม้าชั้นดีไว้เป็นคอกๆเพื่ออวดอ้างบารมีตน  แต่คนที่ซื้อไว้อวดโอ่กับซื้อไว้เพราะความชมชอบส่วนบุคคลย่อมแตกต่าง  เพียงฟังพวกเขาพูดถึงม้าจะสามารถแยกแยะคนสองประเภทนี้ออกจากกัน 
สำหรับเหลียนอันสุ่ยนับเป็นประเภทหลัง  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนไม่สามารถใช้คำว่าชมชอบได้  เพราะเขาเป็นชาวเป่ยชาง  ซ้ำยังเป็นขุนนางสายทหาร  มันมิใช่แค่ความคลั่งไคล้  แต่สิ่งเหล่านี้สมควรไหลเวียนอยู่ในสายเลือดเขาไปแล้ว

“ฉางเฟย  เจ้าตามอารักขาห่างๆก็พอ  พระมาตุลา เชิญ” พูดพลางผายมือ  มืออีกข้างกระตุกสายบังเหียน  ม้าสองตัวพุ่งออกไปดุจลูกธนู  กวดไล่กันเลียบลำน้ำห่างไกลออกไป  จนหลิวฉางเฟยแทบควบตามไม่ทัน
เมื่อมาถึงยอดเนินแห่งหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนก็กระตุกสายบังเหียนรั้งม้าไว้  แส้ในมือชี้ไปข้างหน้า  กล่าวว่า
“ถ้าเราเดินทางด้วยอัตราเร็วเท่านี้ไม่เกินสองวันจะทะลุป่าออกไป  เดินทางเฉียงไปทางตะวันตกเล็กน้อยอีก 7 วันจะถึงเมืองชั้นนอกของเป่ยชางและอีก 12 วันจะบรรลุถึงเมืองหลวง”
“12 วัน ?  เมืองชั้นนอกกับเมืองชั้นในห่างกันถึงเพียงนี้เลยหรือ” เหลียนอันสุ่ยถามขณะหยุดม้าเช่นกัน
“ย่อมไม่ได้ห่างไกลขนาดนั้น  แต่เมื่อเข้าเขตเมืองแล้วไม่ควรเดินทางเร็วเกินไปนัก”
เหลียนอันสุ่ยมองหน้าคนพูดนิ่ง  บนใบหน้าฉีเซี่ยงหยวนมีรอยยิ้มเล็กน้อย  แต่ไม่คิดอธิบายเพิ่มเติม
“อันตรายถึงเพียงนั้นเลยหรือ”
อ๋องน้อยแห่งเป่ยชางฟังแล้วเลิกคิ้ว  สีหน้าเหนือความคาดหมายเล็กน้อย  ขณะตอบว่า
“ระมัดระวังไว้จะดีกว่า” เพราะข้ายังไม่รู้ว่าพี่รองเตรียมลูกไม้อะไรไว้บ้าง
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ถามต่อ  เพราะคาดเดาได้ว่าฉีเซี่ยงหยวนก็ต้องมีแผนการของเขา  จึงเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า
“ฝีมือขับขี่ของท่านทำให้ข้าเลื่อมใสนัก”
ฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่าย  รู้สึกว่าคนที่ควรจะแปลกใจสมควรเป็นตัวเขามากกว่า  เพียงแค่เห็นท่าทางกุมบังเหียน  ก็สามารถคาดเดาความสามารถในการบังคับม้า  มิหนำซ้ำฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งสังเกตว่าม้าของเหลียนอันสุ่ยไม่ได้สวมอาน  การขี่ม้าอานเปล่ายังยากกว่าการขี่ม้าแบบมีอานมากนัก  แต่พระมาตุลาแคว้นเหลียนมือกุมบังเหียนอย่างปลอดโปร่ง  ไหนเลยมีเค้าของความลำบากยากเย็น
“มีอะไรที่ท่านทำไม่ได้บ้างเนี่ย”
คนเป็นพระมาตุลาเลิกคิ้วให้กับคำถามนั้น  สุดท้ายตอบว่า
“มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าอยากทำ  แต่ดูเหมือนจะทำไม่ได้”
“อะไรหรือ”
คนถูกถามยิ้มเล็กน้อยตอบว่า
“ทำให้ม้าของท่านวิ่งเต็มฝีเท้า”
ฉีเซี่ยงหยวนอึ้งไปครู่หนึ่ง  จากนั้นก็หัวเราะดังๆ
“ข้าปิดท่านไม่ได้อีกแล้วสิ”
เมื่อครู่ม้าทั้งสองตัวแม้กวดไล่กันเร็วปานลมกรด  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับดูออกว่าม้าสีดำของฉีเซี่ยงหยวนยังไม่ได้วิ่งเต็มฝีเท้า  ทั้งยังเปิดโปงว่าอีกฝ่ายยั้งความเร็วม้ามาโดยตลอด  นับเป็นฝีมือขับขี่อันยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง
การบังคับม้าให้พอดีกับม้าอีกตัวก็เป็นเรื่องยากพอแล้ว  ต้องทั้งไม่ล้ำหน้าออกไป  และไม่ชักช้ากว่าแม้เพียงเล็กน้อย  แต่การยั้งความเร็วม้าขณะวิ่งด้วยความเร็วระดับนั้นแทบเป็นไปไม่ได้   เพราะฝืนสัญชาติญาณของม้าอย่างรุนแรง  ไม่เพียงม้าต้องผ่านการฝึกมาอย่างดี  ผู้ขับขี่ยังต้องเชี่ยวชาญในระดับที่เหลียนอันสุ่ยไม่เคยพบเห็นมาก่อน 
“ข้าจับได้เพราะตอนท่านเกือบถึงยอดเนิน  ท่านผ่อนการควบคุมลง  ทำให้ม้าของท่านไปถึงยอดเนินก่อนข้าก้าวหนึ่ง” เหลียนอันสุ่ยเฉลย
“นั่นเพราะใจข้ากำลังคำนวณวัน  ...แม่น้ำสายนี้เรียกว่าอะไร” ถามพลางมองลงไปยังลำธารเบื้องหน้า
“แม่น้ำสายนี้เรียกว่าเหอสุ่ย  เพราะต้นน้ำมีดอกบัวป่าจำนวนมาก  ถ้าท่านขี่ทวนลำน้ำขึ้นไปท่านจะเห็น  เพียงแต่หากไปเป่ยชางคงเลียบแม่น้ำไปแค่ครึ่งสายก็ต้องผละออก  เพราะนั่นเป็นทางที่สั้นที่สุด”
“มา  ท่านกับข้าลองควบต่อไป  ดูว่าจะไปถึงต้นน้ำที่ว่านั่นรึเปล่า...” ฉีเซี่ยงหยวนพูดไม่ทันจบม้าของเหลียนอันสุ่ยก็ชิงล้ำหน้าไปก่อนแล้ว
พระมาตุลาแคว้นเหลียนควบม้าไปได้พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้ากวดกระชั้นเข้ามา  เมื่อหันไปมองก็พอดีเห็นอาชาสีดำเหยียดขาควบผ่านเลยไป  เมื่อม้าของฉีเซี่ยงหยวนวิ่งเต็มฝีเท้า  สภาพของทั้งม้าทั้งคนหลอมกลืนเป็นเงาสีดำอันปราดเปรียว  เหินทะยานไปตามแนวหญ้า  แซงหน้าล้ำม้าสีน้ำตาลไปไกล
ความจริงม้าของเหลียนอันสุ่ยก็เป็นม้าพันธุ์ดีฝีเท้าจัด  แต่ม้าสีดำตัวนั้นกลับเป็นยอดอาชาที่ยากพบเห็น  ฉีเซี่ยงหยวนกับมันคล้ายเกิดมาเพื่อกันและกัน  แม้กระทั่งตอนนี้มันก็ยังไม่ยอมให้ผู้อื่นขี่โดยง่ายดาย  เพียงไม่พยศกับฉีเซี่ยงหยวนคนเดียว
ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ควบไปไม่ถึงต้นน้ำ  ฉีเซี่ยงหยวนหยุดม้าคอยก่อนได้พักหนึ่งแล้ว  ส่วนเหลียนอันสุ่ยกำลังควบม้าเหยาะๆตามมา  สายตามองลำน้ำแล้วก็ทอดยิ้มบางๆ  เอ่ยขึ้น
“ข้าก็บอกแล้ว ว่าเราไปไม่ถึงต้นน้ำหรอก  แค่ครึ่งสายนี่ก็ไกลมากแล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งงันมองคนพูดที่ใช้มือปัดผมที่ปรกหน้าออกไป  ผิวหน้าของเหลียนอันสุ่ยมีหยาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ทำให้ผมเคลียกรอบหน้าเปียกลู่กอปรเป็นเส้นสายอันอ่อนโยน  เพราะไม่ได้มัดรวบไว้  เส้นผมดำขลับจึงขยับพลิ้วไปกับสายลมเช่นเดียวกับหญ้าหมางที่ไหวโอนเอน  อาภรณ์สีขาวตัดกับขนอาชาสีน้ำตาลจนดูราวทอจากหิมะที่ไม่แปดเปื้อนธุลีดิน
เหลียนอันสุ่ยพลิกตัวลงจากหลังม้าด้วยอิริยาบถคล่องแคล่วนุ่มนวล  หันไปมองคนที่อยู่ข้างเคียง  ถามว่า
“ท่านจะไม่ลงจากม้าหน่อยหรือ”
ฉีเซี่ยงหยวนจึงค่อยหลุดจากภวังค์  พลิกกายลงมาจากหลังม้าเช่นกัน  ทั้งสองต่างไม่คิดจะผูกม้าเพราะแน่ใจว่ามันจะไม่หนี  ม้าที่ถูกฝึกมาดีต่างรู้จักและจดจำนายของมันได้
“เราจะกลับกันเลยรึเปล่า” เหลียนอันสุ่ยถาม  ขณะเงยมองท้องฟ้าที่เย็นมากแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนมองตามไป  สีหน้าคล้ายกำลังคำนวณเวลา กล่าวตอบว่า
“รออีกซักครู่  ให้หลิวฉางเฟยตามมาทันก่อน  ท่านจะพักซักหน่อยก็ได้” พูดจบก็เดินไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง  เลือกมุมเหมาะๆนั่งพิงลงไป  หลับตาพักเหนื่อย  สูดลมหายใจอย่างผ่อนคลาย
ความจริงที่ฉีเซี่ยงหยวนออกมาควบม้าเล่น  นอกจากเพื่อสำรวจเส้นทางเดินทัพแล้ว  ยังต้องการผ่อนคลายความเคร่งเครียดที่เกิดจากการเร่งรีบเดินทาง  พอดีนึกถึงเหลียนอันสุ่ยจึงชวนอีกฝ่ายออกมาด้วยกัน  หากการควบม้าเล่นๆ กลับแปรเปลี่ยนเป็นประลองฝีเท้าม้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้  คนรับบทหนักจึงกลายเป็นหลิวฉางเฟย  ที่นอกจากต้องควบตามพวกเขาให้ทันแล้ว  ยังต้องคอยเก็บข้อมูลเส้นทางที่ผ่านมาอีกด้วย  ดีที่หลิวฉางเฟยพาคนติดตามมาด้วยอีกสี่คน  งานจึงยังไม่ล่มแต่อย่างใด  คิดถึงตรงนี้ก็ต้องลืมตาขึ้นอย่างตื่นตระหนก  มีเสียงม้าร้องเบาๆ  เป็นม้าสีดำของเขาไม่ผิดแน่ !
“ท่านอย่า...” แววตาตื่นตระหนกแปรเป็นตะลึงลาน 
ฉีเซี่ยงหยวนกำลังจะส่งเสียงร้องเตือนให้อีกฝ่ายอย่าแตะตัวมัน  แต่กลายเป็นว่าเหลียนอันสุ่ยไม่เพียงแตะไปแล้ว  ม้าของฉีเซี่ยงหยวนยังยอมให้อีกฝ่ายแตะอีกด้วย  ใบหน้าของมันก้มต่ำ  ส่งเสียงร้องเบาๆ  ยินยอมให้เหลียนอันสุ่ยใช้มือสางไปตามขนที่แผงคอ  และดูเหมือนว่ามันจะ...พอใจ
นี่สามารถจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้  ม้าตัวนี้คนที่แตะตัวมันถูกมันใช้ขาดีดกระเด็นจนเกือบถึงตายมาหลายคนแล้ว  ยังไม่นับรวมคนที่พยายามปราบพยศมันมาก่อนหน้าฉีเซี่ยงหยวน  ขนาดตัวฉีเซี่ยงหยวนเองกว่าจะขี่มันได้ก็ฟกช้ำไปหลายตำแหน่ง  ส่วนหลิวฉางเฟยถ้าเป็นไปได้จะอยู่ห่างจากมันซักสิบห้าก้าวเป็นอย่างต่ำ
ความจริงม้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว  เวลามันพยศ ฟัน ขา กีบเท้า  แต่ละส่วนล้วนสามารถใช้เป็นอาวุธ  เพียงแต่ฉีเซี่ยงหยวนเห็นม้ามาตั้งแต่อายุยังน้อยจึงดูเป็นเรื่องปรกติไป  ส่วนพระมาตุลาผู้นี้...เขาไม่รู้จักกลัวหรือสมควรว่าสิ่งมีชีวิตทั้งโลกต่างเป็นมิตรกับเขากัน !
คนที่ไม่ทราบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนขอบเหวที่หวุดหวิดจะเจ็บตัวถามขึ้นด้วยดวงตากระจ่างเป็นประกาย 
“ม้าของท่านมีชื่อรึเปล่า”
“...มันเรียกว่าร้อยราตรี  เพราะหากให้มันวิ่งใช้เวลาเป็นร้อยราตรีก็กวดตามไม่ทัน  ม้าท่านเล่า”
ได้ยินคำถามนี้เหลียนอันสุ่ยก็ยิ้ม  กล่าวตอบว่า
“ม้าข้าชื่อเหรียญทอง  เพราะเพื่อซื้อมันไม่ทราบต้องเสียเงินไปกี่ตำลึงทอง  เวลาเรียกจะได้ย้ำเตือนตัวเองว่าต้องใช้เจ้านี่ให้คุ้ม”
ฟังที่มาของชื่อม้าเหลียนอันสุ่ยแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนก็หัวเราะออกมา
การสนทนาดำเนินไปอีกเล็กน้อย  หลิวฉางเฟยก็ขี่ม้าตามมาจนทัน  ทั้งคู่จึงพากันพลิกตัวขึ้นหลังม้า  เพื่อควบกลับค่ายที่ตั้งเสร็จเรียบร้อย
โชคร้ายเป็นของเหล่าผู้ติดตามทั้งสี่ที่ได้แต่โอดครวญกับสวรรค์  กว่าจะไล่ตามท่านอ๋องน้อยทันก็เป็นงานที่หนักหนามากแล้ว  ทุกคนต่างทราบ  ม้าร้อยราตรีของท่านอ๋องน้อยมีฝีเท้าจัดถึงเพียงไหน  นี่ไม่ทันได้จะได้พัก  ก็ต้องเริ่มการกวดตามอีกแล้ว!  ...ท่านอ๋องน้อยเข้าใจว่าม้าของพวกเขามีกี่ขากัน  เพียงแต่จะไม่ควบตามก็ไม่ได้  ไม่เช่นนั้นโทษฐานอารักขาหย่อนยานจากแม่ทัพหลิวต้องเป็นของพวกเขาแน่

=======
ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวาย  บางวันอาจมาอัพให้ไม่ได้นะคะ(บอกไว้ล่วงหน้าถ้าหายไปจะได้ไม่ตกใจ)
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 29-07-2014 22:35:33
เอากำลังใจมาให้ต้าอ๋อง ถึงจะเป็นผู้ชายเจ้าแผนการ แต่ที่ทำทั้งหมดเพราะรัก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 29-07-2014 22:56:55
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 29-07-2014 23:55:10
สนุกมากๆ
 :-[
หลงรักเรื่องนี้ซ้ำๆ
อ่านซ้ำไปมารอเวลาอัพ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: pasallatel ที่ 30-07-2014 21:00:17
เป็นกำลังใจให้ค่ะ เรื่องนี้แต่งได้ดีมาก :m1:
สำนวนเหมือนนิยายแปลเลยค่ะ น่าติดตามแต่ในขณะเดียวกัน
ก็สำนวนนิยายจีนเต็มเรื่องจริงๆ  :m4: แต่มันก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบดีค่ะ
สำนวนของนิยายแต่ละภาษาต่างก็มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกันเลย
อันนี้ต้องนับถือคนแต่งนะคะ เอากลิ่นอายแบบจีนมาได้อย่างลื่นไหลมากๆ
แถมเนื้อเรื่องก็น่าลุ้น เหมือนกำลังดูหนังจีน  :impress2: เรื่อง
ศึกชิงบัลลังก์วังนม.......เอ้ยยยย!!...วังทองค่ะ (พูดผิดแบบตั้งใจนิดๆ :m12:)
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 14
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 31-07-2014 19:36:44

บทที่ 14 ชมค่าย

แสงตะวันยามพลบค่ำส่องลอดแผงไม้ที่ผูกเป็นรั้วค่ายเป็นเงาสูงๆต่ำๆ ยาวเหยียด  ควันที่เกิดจากการหุงหาอาหารลอยกรุ่นขึ้นเป็นสาย  บิดเกลียวหายลับไปในฟากฟ้าสีส้มจัด  นายทหารต่างคนต่างหาที่สวาปามชามข้าวในมือ

ตกดึกบรรยากาศก็ยิ่งครึกครื้น  แม้สุราจะเป็นสิ่งที่ห้ามเด็ดขาดในค่าย  แต่ผู้คนที่เคร่งขรึมเดินทางด้วยความระมัดระวังมาตลอดทั้งวันเริ่มพูดคุยหยอกล้อ  และก็เริ่มมีเสียงหัวเราะ  หากหัวเราะได้ไม่ทันไรก็ต้องผุดลุกขึ้นเหมือนถูกไฟลนก้น  เมื่อเห็นผู้บัญชาการตัวเองออกมาเดินตรวจพล  ข้างหลังของท่านผู้บัญชาการยังติดตามด้วยบุรุษรูปงาม  บุคลิกประดุจสายลม ตัวตนประดุจสายน้ำอีกผู้หนึ่ง
คนผู้นี้ย่อมเป็นเหลียนอันสุ่ย  หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ  ท่านอ๋องน้อยก็ใช้ให้คนไปเชิญเหลียนอันสุ่ยมา ‘เดินเล่นย่อยอาหาร’ ด้วยกัน  แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ  แต่เหลียนอันสุ่ยก็ตอบรับคำเชิญ  ตอนนี้ความไม่เข้าใจกำลังทวีขึ้นเรื่อยๆ  ขณะมองเหล่าทหารที่นั่งๆนอนๆอยู่ผุดลุกขึ้นราวระลอกคลื่นสูงๆต่ำๆ เพื่อทำความเคารพนายเหนือหัว 

เหลียนอันสุ่ยเห็นเช่นนี้มาตลอดทาง  เพราะท่านอ๋องน้อยแคว้นเป่ยชางเล่นพาเขาตะลอนไปทั่วค่าย  เหนือจรดใต้  ตะวันออกจรดตะวันตก  ไม่มีที่ใดได้รับการยกเว้นแม้แต่ที่เดียว  สมควรบอกว่าทุกตารางนิ้วในค่ายอันใหญ่โตแห่งนี้  ล้วนถูกเหลียนอันสุ่ยเห็นจนหมดสิ้น  การตรวจตราของฉีเซี่ยงหยวนละเอียดถี่ถ้วน  เหลียนอันสุ่ยจึงพลอยได้รับรู้ทุกอย่างอย่างละเอียดถี่ถ้วนไปด้วย
นี่ใช่วางใจเกินไปหรือไม่  หรือไม่กลัวเขาเอาความลับไปขาย  อย่างน้อยเขาก็มีเลือดในกายทุกหยดเป็นชาวเหลียน  หากให้เลือกแคว้นเหลียนกับแคว้นเป่ยชาง  เหลียนอันสุ่ยก็ต้องเลือกแคว้นเหลียนโดยไม่ต้องสงสัย

หลังจากเดินทางสร้างความลำบากให้ลูกน้องตัวเองต้องลุกๆนั่งๆอยู่พักใหญ่  คนเป็นผู้บัญชาการยังมีหน้ามาถาม
“ท่านว่าค่ายที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง”
“...ข้าแม้จะไม่ค่อยมีความรู้ทางทหาร  แต่เท่าที่ดูก็รอบคอบรัดกุมดี” ไม่เพียงแค่รอบคอบรัดกุม  ยังสามารถเรียกได้ว่าปราศจากช่องโหว่  ต่อให้เป็นแค่หนูตัวเล็กๆก็อย่าหมายเล็ดลอดปลอมปนเข้ามา
ยิ่งชมดูเหลียนอันสุ่ยยิ่งเข้าใจว่าเหตุใดอวี้เฉียนจึงพ่ายแพ้แก่คนผู้นี้  ทั้งการจัดวางกำลังพลและวินัยทหาร  แคว้นเหลียนฝึกอีกเป็นปีก็ไม่อาจเทียบเปรียบกับกองทัพของฉีเซี่ยงหยวนกองทัพนี้ได้
เมื่อเห็นคนเดินนำยังไม่เหน็ดเหนื่อยที่จะพาเดินต่อ  เหลียนอันสุ่ยจึงรีบเอ่ยทัดทานว่า
“ข้าชมดูมาพอแล้ว ท่านอ๋องน้อยท่านไม่จำเป็นต้อง...”
ฉีเซี่ยงหยวนหันมากล่าวว่า
“นี่จะได้อย่างไร  ข้ายังไม่ได้ให้ท่านเห็นกองกำลังส่วนตัวของข้าเลย”
“กองกำลังส่วนตัว ?   ข้าว่าข้าไม่สมควร...”
“กองกำลังส่วนตัวที่ข้าอยากให้ท่านเห็นเป็นหน่วยพิเศษที่ข้าฝึกมากับมือ  มีทั้งหมดห้าร้อยคน  ทุกคนล้วนเป็นมือดี  ผ่านศึกน้อยใหญ่  ไม่หวั่นเกรงพวกมากกลุ้มรุม...”
เหลียนอันสุ่ยมองคนที่สาธยายอย่างละเอียดลออ  น้ำเสียงมีแววภาคภูมิใจคล้ายเด็กที่กำลังอวดโอ่ผลงานชิ้นเอกของตัวเอง แล้วก็ได้แต่ครางในลำคอ  ท่านอ๋องน้อยผู้นี้ไม่รู้สึกตัวเลยหรือ ว่าตัวเองกำลังทำเรื่องที่ขาดความระมัดระวังอย่างยิ่ง!
---------------------
กระโจมในส่วนนี้เป็นระบบระเบียบกว่าที่อื่น  นี่มิใช่หมายความว่าส่วนอื่นเละเทะหย่อนยาน  หากคนในกระโจมเหล่านี้มีวินัยเป็นพิเศษ  แต่ละคนรูปร่างแข็งแรงกำยำ  มีสัญชาตญาณในการระวังภัย  การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วมีพลัง  เห็นพวกเขาในยามพักผ่อน  เหลียนอันสุ่ยก็พอจินตนาการได้ว่า ในสมรภูมิพวกเขาต้องเป็นทหารชาญศึกอันน่าเกรงกลัว

กองกำลังเช่นนี้มีเพียงห้าสิบคนก็รับมือทหารได้เป็นร้อย  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับสามารถคัดเลือกฝึกฝนไว้ถึงห้าร้อยคน  กระโจมเหล่านี้รายรอบกระโจมใหญ่ของผู้บัญชาการ  มุมทั้งสี่เป็นที่พักของแม่ทัพสี่คน  หากมีคนคิดลอบสังหารฉีเซี่ยงหยวนในยามค่ำคืนเท่ากับฝันไปตื่นใหญ่

“ความจริงที่ข้าอยากให้ดูยังมีคอกม้า...” เมื่อหันมาเห็นสีหน้าคนฟังแล้วจึงชะงักคำ  เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ท่าน...ไม่กลัวว่าข้าจะขายความลับพวกนี้ออกไปหรือ” ทั้งการจัดวางกำลังพล  จำนวนทหาร  การอารักขา  เวรยาม  ตำแหน่งกองเสบียง  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความลับทางทหารที่สำคัญยิ่ง 

“ท่านจะขายออกไปอย่างไร...พิราบสื่อสารหรือว่าม้าเร็ว ?” อ๋องน้อยแห่งเป่ยชางถามยิ้มๆ  ไม่รอให้ตอบคำก็กล่าวต่อว่า
“อ้อ  ข้ายังไม่ได้พาท่านไปดูหอธนูสินะ  ทหารยามที่นั่นล้วนมีสายตาในการมองกลางคืนดียิ่ง  ฝีมือในการยิงธนูแม่นยำ  อย่าว่าแต่คน  ต่อให้เป็นนกพิราบหรือเหยี่ยว  ถ้ามีตัวที่ออกจากค่ายจะถูกยิงเก็บทันที  มีทั้งหมด 6 หอ  จริงๆปรกติจะมี 8 หอ  ประจำ 8 ทิศ  แต่คราวนี้ไม่ได้ยกทัพมาแบบเต็มอัตราศึก  แค่ 6 หอจึงเหลือเฟือ”

“...ท่านอ๋องน้อย  ท่านต้องการอะไรกันแน่”
“ข่มขู่ท่านละมั๊ง” พูดทั้งๆที่ยังมีรอยยิ้ม  เห็นได้ชัดว่ากำลังอารมณ์ดี...
“ท่านประมาทไปแล้ว” คำพูดนี้ของเหลียนอันสุ่ยทำให้ฉีเซี่ยงหยวนยอมยุติภารกิจเที่ยวชมค่าย  เท้าเปลี่ยนเป็นก้าวช้าๆ  ปากตอบว่า
“มิใช่ประมาท  แต่เป็นมีความมั่นใจ  อีกอย่างข้าทำอย่างนี้กับท่านคนเดียว”
“มั่นใจว่าข้าจะไม่ขายท่าน ?” คิ้วเรียวงามยังคงขมวดมุ่น
“นั่นก็ใช่  และข้าก็ไม่คิดว่าท่านจะมีหนทางขายข้าได้  ที่สำคัญก็คือถึงแม้จะถูกท่านขายออกไป  ข้าก็มั่นใจว่าตัวเองคงไม่ถึงกับพ่ายแพ้”
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้โต้แย้งอีก  เพราะทุกประการล้วนเป็นความจริง  โอรสองค์ที่สี่ของเป่ยชางอ๋องผู้นี้ นับเป็นนักการทหารที่น่าหวั่นเกรงของทุกแว่นแคว้น  ประการสำคัญคือปากของฉีเซี่ยงหยวนแม้กล่าวอย่างอหังการ  แต่เวลากระทำกลับสุขุมรอบคอบ  คนเช่นนี้จึงน่ากลัวที่สุด  เพราะเขามีคุณสมบัติจะกล่าวอย่างอหังการจริงๆ
---------------------
บนหอสูงริมขอบรั้วกำแพง  บุคคลสูงศักดิ์ผู้หนึ่งเพิ่งไปถึง  คนผู้นี้สวมชุดหรูหราราคาแพง  บนศีรษะประดับรัดเกล้าแสดงศักดิ์ฐานะเหนือธรรมดา  เบื้องหลังตามติดด้วยคนสนิทอีกสามคน

“คนของเรายังไม่ส่งข่าวมาอีกหรือ” คนในชุดหรูหราถามขึ้น  น้ำเสียงของเขาราบเรียบแต่แฝงลักษณะเย่อหยิ่งเย็นชา
“ยังไม่มีขอรับ” คนดูแลหอกล่าว  ที่แท้ที่นี่เป็นหอนก  ใช้สำหรับรับส่งข่าวสารที่ผูกติดกับขาเหยี่ยวหรือพิราบ
“องค์ชายรอง  การเดินทัพขององค์ชายสี่เข้มงวดตลอดมา  ไม่ว่านกพิราบหรือเหยี่ยวต่างไม่มีปัญญาบินออกจากค่ายของเขาได้  แต่แบบนี้ยิ่งยืนยันแน่นอนว่าองค์ชายสี่เคลื่อนทัพแล้ว”  คนสนิทหนึ่งในสามคน นามหลู่เอ้อเอ่ย
คนเป็นนายเงียบไป  สายตาจ้องเลยออกไปนอกขอบกำแพง  จากมุมนี้เมื่อมองลงไปสามารถเห็นหลังคาของบ้านเรือนเป็นร้อยๆพันๆหลังทอดตัดด้วยแนวถนนอยู่ลิบๆ  ก้มหน้าลงอีกหน่อยจึงเป็นขอบรั้วกำแพงวังกับแถวตึกจำนวนมาก  แบ่งแยกส่วนของวังหลวงไว้อย่างชัดเจน
 
สายตาคู่นั้นทอดไปหยุดอยู่ที่ตำแหน่งวังตะวันออกของรัชทายาทที่ปราศจากนายมานาน...  ค่อยๆเลื่อนช้าๆไปจับตำหนักที่ใหญ่โตที่สุด  กินอาณาบริเวณกว้างขวางที่สุด...ตำหนักส่วนพระองค์ของเป่ยชางอ๋อง  ...รอยยิ้มค่อยๆผุดขึ้นช้าๆ  สายตาทอแววมุ่งมาดปรารถนาอย่างมีเลศนัย

‘น้องสี่  เจ้าไม่มีทางคาดเดาออกว่าใครขายเจ้าให้กับข้า  อีกไม่นาน...  ทุกอย่างจะกลายเป็นของข้าแล้ว  รีบๆกลับมาซักทีเถอะ น้องรัก’
-----------------------
เหลียนอันสุ่ยกลับถึงกระโจมตัวเองได้ไม่นาน  เพิ่งอาบน้ำผลัดเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ก็ต้องออกไปอีกแล้ว  คราวนี้หัวข้อเป็น ‘ปรึกษาเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างแคว้น’   
เหลียนจิ้งเต๋อหน้าม่อย  ตั้งแต่ออกจากแคว้นเหลียน  ทุกอย่างรอบตัวก็เปลี่ยนเป็นสิ่งไม่คุ้นเคย  หลักที่เหลียนจิ้งเต๋อยึดไว้ก็คือบิดา  แต่ท่านพ่อกลับมีงานยุ่งอย่างยิ่ง  ส่วนอิ๋งฮวาหน้าเขียวคล้ำไปแล้ว  นายท่านเพิ่งมาอาบน้ำเปลี่ยนชุดก็ถูกเรียกไปพบอีกเป็นครั้งที่ 3 แล้ว  อ๋องน้อยนิสัยเสียผู้นั้นตั้งใจจะทดสอบขีดความอดทนของนางหรือยังไง  นายท่านของนางมิใช่ลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเขานะ  จึงต้องถูกเรียกไปรายงานตัวอยู่ตลอดเวลา
---------------------
กระโจมผู้บัญชาการของฉีเซี่ยงหยวนมิได้ใหญ่โตไปกว่ากระโจมอื่นๆ  และก็มิได้หรูหรากว่ากระโจมอื่นด้วย  ของภายในกระโจมมีน้อยชิ้น  ทุกชิ้นเรียบง่าย เน้นใช้งานได้จริงขนย้ายสะดวกเป็นหลัก  เจ้าของกระโจมกำลังยืนพิจารณาแผนที่แผ่นใหญ่ซึ่งทำจากหนังสัตว์  ขณะเหลียนอันสุ่ยแหวกกระโจมเข้ามา

“ท่านดู  เมื่อพ้นจากป่านี้ก็จะเข้าเขตแคว้นเป่ยชาง  หลังจากนี้ถ้าใช้คนมาถางป่าทำทาง การขนส่งค้าขายระหว่างแคว้นเหลียนกับเป่ยชางจะเป็นไปโดยราบรื่น” ถึงปากจะกล่าวเช่นนั้น  แต่เหลียนอันสุ่ยมีความรู้สึกว่าใจของฉีเซี่ยงหยวนกำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น  เพราะแค่การถางทางมิใช่เรื่องที่ต้องขมวดคิ้วขบคิดอย่างจริงจังถึงเพียงนั้น

ฉีเซี่ยงหยวนดึงตัวเองออกมาจากปัญหายุ่งยากที่กำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย  หันกลับไปมองคนที่ตัวเองเชิญมา  กล่าวถามขึ้น
“ตลอดทางมานี่  ท่านได้รับความลำบากอะไรรึเปล่า”
“ข้าสบายดี  ขอบคุณท่านอ๋องน้อยที่เป็นห่วง”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตามอง  ยังจำแววตาสุดท้ายที่เหลียนอันสุ่ยหันไปมองกำแพงเมืองได้แม่นยำ  แววตาคู่นั้นเลื่อนลอยคล้ายคนที่กำลังสูญเสียบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมากไป  ถึงแววตาอีกฝ่ายในตอนนี้จะสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำ  หากนั่นมิใช่ข้อยืนยันของคำว่าสบายดี 
ยิ่งรู้จักพระมาตุลาผู้นี้  ฉีเซี่ยงหยวนยิ่งพบว่าเหลียนอันสุ่ยเป็นคนเก็บอารมณ์ความรู้สึกได้มิดชิดอย่างยิ่ง ไม่ว่าดีใจหรือเสียใจล้วนสามารถเก็บไว้ใต้เค้าหน้าสงบประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ  รอยยิ้มที่บางครั้งฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องเก็บงำตัวตนถึงเพียงนั้น 
ฉีเซี่ยงหยวนยอมรับว่าตัวเองก็มีความสามารถในการปั้นหน้า  เพราะทุกคนที่จะเล่นการเมืองล้วนใส่หน้ากากเข้าหากันเป็นเรื่องปรกติ  แต่เรื่องที่ขี้เกียจทนเขาก็จะไม่ทน  ด้วยตำแหน่งของเหลียนอันสุ่ยเอง  ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องทนเก็บความรู้สึกขนาดนั้นเลย
“...ท่านสบายดีจริงหรือ”
เหลียนอันสุ่ยมิได้หลบตา  เลิกคิ้วถามว่า
“ทำไมท่านถึงคิดว่าข้าจะไม่สบายเล่า” พูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปมองแผนที่ซึ่งกางไว้บนโต๊ะแปดเหลี่ยม  พินิจพิจารณาอยู่เป็นนาน  ส่วนเจ้าของแผนที่กลับพินิจพิจารณาฝ่ายตรงข้าม  หาร่องรอยว่าอีกฝ่ายใช่กำลังกลบเกลื่อนอยู่หรือไม่
เขา...ไม่เจ็บปวดแล้วจริงหรือ
เหลียนอันสุ่ยตัวแข็งเมื่อถูกโอบกอดจากด้านหลัง
“กฎของค่ายเคร่งครัด  หรือว่าท่าน...คิดแหกกฎที่ตัวเองตราขึ้น”
ความจริงฉีเซี่ยงหยวนมิได้มีเจตนาจะลวนลามอะไรอีกฝ่าย  แต่พอได้ยินคำพูดนี้  เจตนาจึงเปลี่ยนเป็นไม่บริสุทธิ์ขึ้นมาทันที  แกล้งจรดจมูกลงกับเส้นผมนุ่มลื่นซึ่งเพิ่งแห้งหลังอาบน้ำได้ไม่นาน
“ผมของท่านหอมยิ่ง”
ขณะเหลียนอันสุ่ยตกอยู่ในอาการทำอะไรไม่ถูก  ก็เลื่อนจมูกไปที่หัวไหล่
“อืมม์  ตัวท่านก็หอม” กลิ่นหอมอ่อนๆที่ให้ความรู้สึกสงบผ่อนคลาย  ไม่คล้ายกลิ่นแป้งหอมฉุนจมูกของบรรดาสตรีทั้งหลายที่เขาคุ้นชิน
“...” เหลียนอันสุ่ยพูดไม่ออก  มือเรียวงามพยายามแกะมืออีกฝ่ายออกพัลวัน  แต่ยิ่งขัดขืนกลับกลายเป็นว่ายิ่งถูกกอดรัดแน่น
“ทำยังไงดีน้า  วินัยทัพก็เคร่งครัด  แต่ท่านก็ยั่วใจข้าจนเกินไป” คราวนี้ชัดเจน  อีกฝ่ายจงใจแกล้ง  เหลียนอันสุ่ยจึงเลิกเคลื่อนไหว  เตือนด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นอย่างไม่เล่นด้วยว่า
“ท่านอ๋องน้อย”
คนฟังเลิกคิ้ว  รู้สึกประสบความสำเร็จอยู่บ้างที่ตอแยจนอีกฝ่ายมีโทสะได้  ถึงแม้จะเป็นแค่โทสะเบาบางก็จัดเป็นของหายากสำหรับบุคคลที่ใจเย็นอย่างยิ่งอย่างเหลียนอันสุ่ย  จึงหัวเราะเบาๆ  กล่าวว่า
“ก็อย่างที่ท่านว่า  ตั้งกฎเอง ละเมิดเอง มันก็ดูน่าเกลียด  ในค่ายข้าไม่ทำอะไรท่านก็ได้  อีกอย่าง...ข้ายังอยากมีเพื่อนไปขี่ม้าเล่นด้วยกัน” คำพูดที่มองเผินๆไม่มีอะไร  แต่เพราะชาญฉลาดเกินไป  ทำให้พระมาตุลาแคว้นเหลียนหน้าแดงเรื่อ  ไม่อาจทำเป็นฟังไม่ออก 
ถ้าฉีเซี่ยงหยวนทำจริงๆ  มิใช่แค่ขี่ม้าไม่ได้  กระทั่งนั่งรถม้าที่โคลงเคลงหน่อยยังมีปัญหา  คน  คนผู้นี้นี่มัน...

ฉีเซี่ยงหยวนมองผิวหน้าที่แดงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ของอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจ  เมื่อสายตาเลื่อนไปที่แผนที่บนโต๊ะก็ตัดสินใจยุติการแกล้งไว้เท่านี้ก่อน  คลายมือออก ก้าวเข้าไปประชิดโต๊ะ
“ที่ข้าพาท่านชมดูค่ายนอกจากไว้วางใจท่านแล้ว  ความจริงยังมีจุดประสงค์”

เหลียนอันสุ่ยรีบเก็บชิ้นส่วนของอารมณ์ที่กระจัดกระจายเมื่อครู่มาต่อใหม่โดยไว  เงยหน้าขึ้น  สบตาอีกฝ่ายเป็นเชิงถาม
“ข้าต้องการให้ท่านวางใจว่า สามารถวางแคว้นเหลียนไว้ในมือข้าได้”
“มือท่าน?” เหลียนอันสุ่ยเริ่มรู้สึกแปลกๆ  คำพูดนี้ความจริงสมควรเป็นของเป่ยชางอ๋อง
“ใช่  มือข้า  พี่รองของข้าเริ่มเคลื่อนไหวทหารแล้ว  ความจริงเขาก็หาจังหวะมาตลอด  ขอเพียงข้าไม่อยู่ที่เป่ยชางก็ต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่...ตำแหน่งรัชทายาทว่างเปล่ามานานเกินไป  ทันทีที่ข้าเหยียบแคว้นเป่ยชาง  ทุกอย่างจะเปิดฉากขึ้น”
คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นลง
“นี่  ท่าน...รู้อยู่แล้ว  แต่ก็ยังจงใจเปิดโอกาสให้เขาเคลื่อนไหว”
ดวงตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนมีแววสบใจ เมื่ออีกฝ่ายช่างเข้าใจอะไรง่ายเสียจริง  ปากตอบว่า
“ใช่  เพราะข้าไม่ต้องการให้เขาไปหาโอกาสเอาเอง  แบบนั้นมันกะเกณฑ์อะไรยากกว่า”

การยกทัพบุกแคว้นเหลียนที่เป็นเรื่องใหญ่โต  ที่แท้เป็นเพียงผลพลอยได้จากแผนการก้าวแรก     ไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ล้วนไม่มีปัญหา  จุดประสงค์หลักคือเปิดโอกาสให้องค์ชายรองแคว้นเป่ยชางฉีเซี่ยงหมิงเคลื่อนไหว  จากนั้นแผนการก้าวหลังๆจะตามมา  ถึงแม้เหลียนอันสุ่ยยังมองก้าวต่อไปของฉีเซี่ยงหยวนไม่ออก  แต่...

  ขนาดส่วนแรกยังส่งผลมากมายถึงเพียงนี้   แล้วโครงหลักของแผนการจะใหญ่โตถึงเพียงไหน !  อำนาจ...กำลังถ่ายเท
 
“พี่ชายของท่านต้องการตำแหน่งรัชทายาทอย่างนั้นสิ” 
ความจริงนี่เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ไม่ยาก  ในบรรดาบุตรชายทั้งสามที่เหลืออยู่  ฉีเซี่ยงหยวนกับพี่ชายคนรองฉีเซี่ยงหมิงมีอำนาจมากที่สุด  แม้ฉีเซี่ยงหยวนจะมีอำนาจมากกว่า  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉีเซี่ยงหมิงมีขุมกำลังน้อยกว่า  เพราะเขาได้รับการสนับสนุนจากเป่ยชางอ๋องที่เป็นบิดา  และบรรดาเครือญาติฝั่งมารดาที่เป็นขุนนางใหญ่มาหลายชั่วอายุคน

มุมปากของฉีเซี่ยงหยวนมีรอยยิ้ม  ขณะกล่าวตอบ
“ข้าเกรงว่าสิ่งที่เขาต้องการจะเป็นตำแหน่งเป่ยชางอ๋อง”
เหลียนอันสุ่ยมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ  ความใหญ่โตของเรื่องราวยังยิ่งกว่าที่คิด  มันมิใช่การถ่ายเทอำนาจ  แต่เป็น...การเปลี่ยนมือ!
ฉีเซี่ยงหยวนอธิบายต่อว่า
“เพราะพี่รองเริ่มโยกทหารเข้าเมืองหลวงแล้ว  ถ้าพี่รองยกทัพใหญ่เข้าไปเมื่อไหร่  จะกลายเป็นไม่มีทางถอยกลับ  พระบิดาสนับสนุนเขาจริง  แต่จุดประสงค์หลักก็คือเพื่อให้เขาคานอำนาจกับข้า  ส่วนเครือญาติฝั่งมารดาของพี่รองกลับหมายมั่นปั้นมือในตำแหน่งเป่ยชางอ๋องมานานแล้ว พวกนั้นต้องทำทุกวิถีทางให้พี่รองยกทัพใหญ่เข้าเมืองหลวง  เพื่อบีบให้พี่รองไม่อาจหยุดแค่ตำแหน่งรัชทายาท...บางทีอาจอาจขู่เขาว่าหลังจบเรื่องนี้พระบิดาต้องไม่ปล่อยปละละเว้นเขาแน่”

นี่เรียกว่าต่างคนต่างมีจุดมุ่งหมาย  เป่ยชางอ๋องต้องการรักษาบัลลังก์จึงส่งเสริมให้ลูกคานอำนาจกันเอง  ตอนนี้คานที่ควรจะตรงกลับเริ่มเอียง  เพราะฉีเซี่ยงหยวนมีอำนาจมากเกินไป  การยึดแคว้นเหลียนทำให้ทุกอย่างเลวร้าย  ฉีเซี่ยงหมิงจึงเป็นหมากกลที่ใช้ดึงอำนาจกลับมา  เพียงแต่ถ้าฉีเซี่ยงหมิงกำจัดฉีเซี่ยงหยวนทิ้งไปได้  ฉีเซี่ยงหมิงจะกลายเป็นตัวอันตรายสืบแทน  ถึงตอนนั้นเป่ยชางอ๋องก็ต้องลิดรอนอำนาจฉีเซี่ยงหมิง  ในเมื่อยังไม่สามารถเล่นงานเขาโดยตรง   จึงต้องเริ่มที่บรรดาขุนนางทรงอิทธิพลรอบตัวบุตรชาย
 
ส่วนขุนนางที่สนับสนุนฉีเซี่ยงหมิง  ถ้าฉีเซี่ยงหมิงได้เป็นเป่ยชางอ๋องพวกเขาก็จะได้ประโยชน์  แต่หากฉีเซี่ยงหมิงหยุดแค่ตำแหน่งรัชทายาท  พวกเขาก็จะกลายเป็นเป้าถูกลิดรอนอำนาจ  เพราะรองลงมาจากฉีเซี่ยงหยวน ที่เป่ยชางอ๋องกริ่งเกรงที่สุดก็คือขุนนางกลุ่มนี้เอง  พวกเขาจึงต้องผลักดันให้ฉีเซี่ยงหมิงขึ้นเป็นต้าอ๋องให้ได้

ส่วนองค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิง  อย่าได้คิดว่าเขากลายเป็นหมากถูกคนสองกลุ่มผลักไปทางนู้นทีทางนี้ทีแล้วจะน่าสงสาร  แท้จริงผู้ได้ประโยชน์เต็มๆก็คือเขา  เพราะเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างยื่นเงื่อนไขเพื่อโน้มน้าว  ทำให้ฉีเซี่ยงหมิงสามารถใช้ทั้งสองฝ่ายคานอำนาจกันเอง  ผลักดันให้ตัวเขาได้ประโยชน์สูงสุด...สร้างฐานอำนาจเพื่อต่อกรกับฉีเซี่ยงหยวน !

โครงสร้างอำนาจของเป่ยชางค้ำยันกันจนสับสน  นี่เป็นสภาพของแคว้นใหญ่ทุกยุคทุกสมัย  บางครั้งตัวเหลียนอันสุ่ยก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้คนจึงชมชอบขยายอำนาจออกไปมากๆ  เพราะความจริง  แคว้นยิ่งใหญ่ยิ่งมากปัญหาโดยแท้



หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 15
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 03-08-2014 09:27:02

บทที่ 15 ความไว้วางใจ

“ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟัง” เหลียนอันสุ่ยกล่าว
“จำเป็นสิ  เพราะไม่ว่าอย่างไรด้วยสติปัญญาของท่านก็ต้องมองออกในไม่ช้า  นี่เป็นการชิงลงมือก่อนเพื่อสร้างความรู้สึกดีให้กับฝ่ายตรงข้ามก่อนเสนอเงื่อนไข  ให้ท่านเข้าใจสถานการณ์ให้ชัดๆ  จะได้ตัดสินใจถูก” ถึงปากจะกล่าวเช่นนั้น  แต่เหลียนอันสุ่ยมีความรู้สึกว่าสาเหตุหลักยังคงเป็นเพราะฉีเซี่ยงหยวนไว้วางใจเขา
“เงื่อนไขอะไร” คนเป็นพระมาตุลาถามขึ้น
“ก็อย่างที่บอกไป  ข้าต้องการให้ท่านวางแคว้นเหลียนไว้ในมือข้า  ข้าต้องการคำมั่นว่าพวกท่านจะไม่ลอบติดต่อกับทั้งพี่รองและพระบิดา” เพราะตามหลักเหตุผล  การเกาะเกี่ยวผลประโยชน์ไว้ทั้งสองทางเป็นสิ่งที่แคว้นเล็กกว่ามักกระทำอยู่เสมอ เพื่อหาทางถอยให้กับตัวเอง
“ก่อนการแย่งชิงอำนาจทางเป่ยชางจะรู้ผล  ข้าอยากให้แคว้นเหลียนวางตัวเป็นกลาง  ข้ารับรองว่าถึงแม้ข้าจะพ่ายแพ้  แคว้นเหลียนจะไม่ถูกดึงเข้ามาในมรสุมครั้งนี้  เพื่อให้ท่านมั่นใจ ข้ารับปากว่าจะไม่เรียกร้องความช่วยเหลือใดๆจากแคว้นเหลียน  ทั้งทางเปิดเผยและทางลับ” ที่ฉีเซี่ยงหยวนต้องการคำรับปากนี้  เป็นเพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนใดๆ 

ก่อนการทำศึกสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือจำแนกมิตรศัตรู  สำหรับกับฉีเซี่ยงหยวน  ประการนี้ต้องทำอย่างรอบคอบยิ่ง  เพราะความผิดพลาดไม่ว่าเล็กน้อยถึงเพียงไหนสิ่งที่จ่ายออกไปคือชีวิต!  แม้ส่วนมากมิใช่ชีวิตของเขาเองแต่มันก็สำคัญ

เหลียนอันสุ่ยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง  สิ่งที่แคว้นเหลียนต้องการคือเวลาสำหรับฟื้นตัว  กับข้อตกลงนี้นับว่าดีและเหมาะอย่างยิ่ง
“ข้าขอเป็นตัวแทนของแคว้นเหลียนรับปากเงื่อนไขนี้กับท่าน  วันรุ่งขึ้นข้าจะให้คนส่งจดหมายลับถึงเหลียนอ๋อง” ในใจเหลียนอันสุ่ยกะส่งออกไปสองฉบับ  ฉบับหนึ่งถึงเหลียนอ๋อง  อีกฉบับถึงผู้บัญชาการกองกำลังรักษานคร  ขอเพียงคนผู้นี้จับตาดู  จะไม่มีเหตุผิดพลาดใดๆ

ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจจะซักไซ้วิธีการทำตามข้อตกลงของเหลียนอันสุ่ย  เพราะทราบอีกฝ่ายต้องมีวิธี  ตำแหน่งพระมาตุลาของเหลียนอันสุ่ยมิใช่ได้มาโดยเลื่อนลอย  ถึงแม้พระมาตุลาแคว้นเหลียนจะมิใช่คนชอบอวดโอ่อำนาจ  แต่ฉีเซี่ยงหยวนแทบจะบอกได้เลยว่าเรื่องราวในแคว้นเหลียน  มีไม่กี่เรื่องที่เหลียนอันสุ่ยจัดการไม่ได้หากเจ้าตัวคิดจะทำจริงๆ

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง  ข้ายังต้องการความไว้วางใจจากท่านด้วย”
“ข้าก็รับปากไปแล้วอย่างไรเล่า” เหลียนอันสุ่ยกล่าว  น้ำเสียงงงๆไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“ข้าหมายถึงตัวท่าน  ข้าต้องการให้ท่านอยู่ข้างเดียวกันกับข้า”
คนเป็นพระมาตุลาฟังแล้วก็หัวเราะเบาๆ  กล่าวว่า
“ถ้าท่านเข้าใจว่าข้าจะมีประโยชน์เหมือนตอนที่อยู่แคว้นเหลียนท่านก็คิดผิดแล้ว  บอกท่านตามตรง  การทหารเป็นด้านที่ข้าไม่ถนัดที่สุด  หากให้ข้าวางแผนยังพอเป็นไปได้  แต่หากให้ข้านำทัพ...รังแต่เป็นการทำลายกระบวนทัพของท่านเปล่าๆ”
ฉีเซี่ยงหยวนก็พลอยหัวเราะไปด้วย  พึมพำ
“ที่แท้ท่านก็มีเรื่องที่ไม่ถนัด  แต่ท่านวางใจ  ข้าต้องการแค่คนที่สามารถวางใจพูดคุยด้วยได้เท่านั้น  การระแวงอยู่ตลอดเวลามันน่าเหนื่อยเกินไป”
“ทำไมต้องเป็นข้า ?”
ฉีเซี่ยงหยวนมีท่าทีคิดเล็กน้อย
“อืมม์  อาจเพราะนิสัยเราเข้ากันได้กระมัง”
คนฟังนิ่งไป...เข้ากันได้จนน่าแปลกใจ  เข้ากันได้จนน่ากลัว...กลัวว่าซักวันตัวเองจะ...  พระมาตุลาแคว้นเหลียนเม้มริมฝีปาก  สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยินยอมให้มันเกิดขึ้น ขณะได้ยินฉีเซี่ยงหยวนกล่าวว่า

“ศัตรูของข้าเพิ่มขึ้นทุกวัน  ในขณะที่มิตรสหายกลับค่อยๆเหินห่างออกไป  คนที่ข้าไว้วางใจได้เหลือน้อยลงทุกทีแล้ว  การอยู่เหนือผู้อื่นมันก็ไม่ดีเช่นนี้เอง” ฉีเซี่ยงหยวนหันมายิ้มให้อีกฝ่าย  ไม่ได้มีท่าทีเจ็บปวดเสียใจ  แค่กำลังบอกเล่าความจริงข้อหนึ่ง
เหลียนอันสุ่ยกลับนิ่งอึ้งไป  คล้ายกำลังเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง  สิ่งที่ตามหลังความไว้วางใจคือความเข้าใจ  หากท่านไม่ไว้วางใจใคร  ก็จะไม่มีผู้ใดเข้าใจท่านแม้แต่ผู้เดียว

สภาพของฉีเซี่ยงหยวนเป็นความเหมือนที่แตกต่าง  เหลียนอันสุ่ยแม้เข้าใจทุกผู้คน  แต่คนที่เข้าใจเขาจริงๆกลับแทบไม่มีอยู่เลย  เพราะไม่ต้องการให้มีคนต้องเจ็บปวดเป็นกังวลเพื่อเขา  จึงไม่วางใจให้ผู้ใดทราบเรื่องราวของเขาทั้งหมด

ส่วนฉีเซี่ยงหยวน  ด้วยตำแหน่งของเขาไม่อนุญาตให้มีคนมาเข้าใจเขาได้  เพราะมันทำให้เขามีอันตราย  ต้นตอแห่งอันตรายต้องถูกกำจัดทิ้ง  เช่นนี้จึงจะไม่มีคนที่คาดเดาความคิดเขาออกตลอดกาล

“ข้ารับปากท่าน” เสียงแผ่วเบาลอดออกมาจากปากเหลียนอันสุ่ย  ขณะมองอีกฝ่ายเดินไปด้านหนึ่งของกระโจมซึ่งวางเบาะหนังเอาไว้กับพื้น  ปูทับด้วยพรมขนจิ้งจอกอันเป็นหนึ่งในของฟุ่มเฟือยไม่กี่ชิ้นในกระโจมหลังนี้
“ขอบคุณ” พูดพลางทรุดตัวนั่งลงบนพรมหนานุ่ม  ตบที่นั่งข้างตัวเป็นความหมายให้อีกฝ่ายมานั่งข้างๆ  แต่เมื่อเหลียนอันสุ่ยจะทรุดตัวลงนั่ง  กลับถูกฉุดดึงจนเสียหลัก  กลายเป็นนั่งบนตักคนตัวโตกว่าแทน  ใบหน้าคมซบลงกับไหล่ของคนที่กำลังตื่นตระหนก
“ท่านคิดกลับคำหรือ!”
“ท่านเห็นข้าเป็นคนไม่มีสัจจะขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร” เสียงบ่นงึมงำ 
เหลียนอันสุ่ยกลั้นลมหายใจ  แต่จมูกโด่งหลังจากเสียดสีไปตามผิวคอแล้ว ก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอื่นอีก
ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจเบาๆ  หลับตาลง  รู้สึกว่าตัวเองครุ่นคิดจนสมองเหนื่อยล้าไปหมด  กลิ่นกายอ่อนจางจากร่างสูงโปร่งกลับทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกสงบได้อย่างน่าประหลาด  ขับไล่ความคิดที่วุ่นวายสับสนออกไป

“ขอข้าอยู่แบบนี้ซักพัก” พูดทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่  เมื่อเหลียนอันสุ่ยยุติการขืนตัว  ท่อนแขนแข็งแรงจึงเปลี่ยนเป็นยึดเอวอีกฝ่ายไว้หลวมๆ
พระมาตุลาแคว้นเหลียนเหลือบมองคนที่เอาศีรษะพิงกับบ่าของเขา  ที่เนิ่นนานยังไม่ขยับตัว  อดรู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายอยู่บ้างไม่ได้  คนผู้นี้แม้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง  แต่กลับไม่เคยมีครอบครัว 

เหลียนอันสุ่ยยอมรับว่าตัวเองก็ไม่ได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์อะไรนัก  แต่ยังไม่เคยลิ้มรสสภาพที่ถูกทั้งบิดาทั้งพี่ชายรวมหัวกันรุมกำจัดมาก่อน

การที่คนเราจะมีอะไรเกินกว่าคนอื่น  เราก็ต้องสูญเสียบางอย่างไปพร้อมๆกับมัน  ผู้สูงศักดิ์ทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้  คนที่ยิ่งมีเกินกว่าคนอื่นมากเท่าไหร่  สิ่งที่พวกเขาต้องจ่ายออกไปก็จะยิ่งแพงเท่านั้น  ฉีเซี่ยงหยวนแม้มีทุกอย่างที่คนทั่วไปไม่มี  แต่สิ่งที่คนทั่วไปต่างมีกัน  เขากลับไม่เคยได้รับเลย...เหลียนอันสุ่ยหรือมิใช่เช่นกัน ?

ท่ามกลางความเงียบงันมีแต่เสียงลมหายใจที่ทอดอย่างสม่ำเสมอของฉีเซี่ยงหยวน  กับลมหายใจที่ผ่อนคลายลงทีละน้อยของเหลียนอันสุ่ย  คล้ายมนต์ขลังบางอย่างกำลังถักทอท่ามกลางความว่างเปล่า  พันธนาการเส้นบางๆที่มองไม่เห็นนับร้อยนับพันสายค่อยๆถักทอตัวเองขึ้นทีละสาย  ทั้งที่ไม่ควรจะเป็น  แต่ขณะผู้คนไม่ทันระวัง  มันก็ร้อยรัดคนสองคนเอาไว้ด้วยกัน

เพราะความรัก...ไม่เคยสนใจความไม่สมควรใดๆมาก่อน...

เหลียนอันสุ่ยแม้ถูกเงื่อนไขของฉีเซี่ยงหยวนพันธนาการไว้จนดิ้นไม่หลุด  แต่เขากลับไม่ทราบเลยว่าพันธนาการเส้นบางๆที่กำลังเกิดขึ้นนี้ยังแน่นหนากว่าพันธนาการใดๆที่เคยเจอมามากนัก  เพราะโซ่ตรวนอำนาจเพียงพันธนาการร่างกาย  แต่ความรัก...กลับพันธนาการจิตใจ  ...อ๋องน้อยฉีเซี่ยงหยวนเองก็ดูเหมือนจะไม่ทราบเช่นกัน...
---------------------
ฝุ่นตามรายทางฟุ้งขึ้นตามจังหวะการก้าวย่างของม้า  วันนี้เป็นวันที่ 7 ของการเดินทางแล้ว อีกเพียง 3 วันจะบรรลุถึงเมืองชั้นนอกของแคว้นใหญ่อย่างแคว้นเป่ยชาง  หลังจากควบผ่านท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยบึงและหนองน้ำ  ทางเดินรถที่ทำหยาบๆ เริ่มปรากฏออกมาให้เห็น
แม้ทางพวกนี้จะพอมีหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่กระจัดกระจาย  แต่ฉีเซี่ยงหยวนนอกจากหยุดเติมน้ำ ก็ไม่ได้แวะพักที่ใด
‘หมู่บ้านตามชายแดนเล็กๆเช่นนี้  หากทัพใหญ่ของเราหยุดพักรังแต่สร้างความอกสั่นขวัญหายให้กับพวกเขาเปล่าๆ’ เจ้าตัวบอก  แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินทางต่อไป

ปรกติเหลียนอันสุ่ยจะไม่ค่อยลงจากรถม้าระหว่างเดินทาง เพราะไม่คิดจะทำให้เกิดความวุ่นวายโดยไม่จำเป็น  แต่วันนี้อยู่ๆ หลิวฉางเฟยก็มารายงานว่าฉีเซี่ยงหยวนต้องการพบ  จึงต้องย้ายจากรถม้าตัวเองมาอยู่บนรถม้าของท่านอ๋องน้อยแห่งเป่ยชาง
ว่ากันตามจริงอ๋องน้อยเป็นเพียงคำเรียกหาอย่างให้เกียรติ ที่มีนัยแฝงถึงตำแหน่งต้าอ๋ององค์ต่อไป  บรรดาลูกๆของเป่ยชางอ๋องจึงชมชอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเรียกขานด้วยคำนี้  แต่ถ้าจะเรียกกันจริงๆ  สมควรเรียกฉีเซี่ยงหยวนเป็นองค์ชายสี่

ตอนนี้คนเป็นองค์ชายสี่ ทั้งๆที่เรียกผู้อื่นมา แต่ตัวเองกลับยังไม่มีท่าทีว่าจะสนทนาเข้าเรื่องเสียที  เอาแต่พูดเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย
“...ที่เป่ยชางเรา อาหารการกินแม้จะไม่พิถีพิถันเท่ากับแคว้นเหลียน  แต่ก็ดีเยี่ยมกว่าบรรดาอาหารในค่ายอยู่มาก  ถ้าท่าน...”
“อาหารในค่ายเน้นความฉับไว จึงปรุงอย่างง่ายๆ ข้อนี้ข้ารู้   และก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร  ตอนนี้ที่ข้าอยากรู้คือ ท่านมีเรื่องหารืออะไร  จึงให้คนไปเชิญข้ามา”
ฉีเซี่ยงหยวนเหลือบตามอง  จะให้พูดได้อย่างไรว่าที่เชิญมาเป็นเพราะนั่งรถม้านานๆแล้วมันเบื่อ  พอเบื่อก็รู้สึกอยากเห็นหน้าอีกฝ่ายขึ้นมา
เหลียนอันสุ่ยเห็นคนฟังไม่ตอบคำก็ขมวดคิ้ว  ทำท่าจะจากไป...
“ครั้งสุดท้ายที่เรานั่งรถม้าด้วยกันแบบนี้  มีเหตุไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่เลยว่าไหม” ได้ยินคำพูดนี้เหลียนอันสุ่ยจึงเปลี่ยนเป็นนั่งลงใหม่  ถามอย่างระมัดระวังว่า
“กับเรื่องนี้ท่านพอจะได้เบาะแสอะไรรึเปล่า  พอจะ...ให้ข้ารู้ได้บ้างหรือไม่”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง  ขอเพียงเป็นเรื่องที่จะโยงไปถึงแคว้นเหลียนได้  พระมาตุลาผู้นี้ต้องให้ความสำคัญตลอด  แต่ปากก็ยินยอมตอบว่า
“ท่านจะเชื่อหรือไม่  ถ้าข้าจะบอกว่าคนบงการคือพี่รองข้าเอง”
เหลียนอันสุ่ยอึ้งไป
“...เขาทำเช่นนี้  ไม่เท่ากับเป็นการทำให้ชาวเหลียนกับชาวเป่ยชางผิดใจกันหรอกหรือ”

“เขาต้องการให้ชาวเหลียนผิดใจกับ ‘ข้า’ ต่างหาก  ตอนนี้สิ่งที่พี่รองกลัวที่สุดคือการที่แคว้นเหลียนจะให้การช่วยเหลือข้า  สร้างเรื่องให้คนของข้ากับแคว้นเหลียนทะเลาะกัน  ตัวเองจะได้ยื่นมือเข้ามาช่วย ‘ไกล่เกลี่ย’ ”
สมควรบอกว่าช่วยกระพือไฟยุยงมากกว่า  เพราะถ้าไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ ฉีเซี่ยงหมิงคิดยื่นมือเข้ามาก็ทำไม่ได้  เพราะแคว้นเหลียนเป็นฉีเซี่ยงหยวนไปยึดมา  สัมพันธไมตรีก็เป็นฉีเซี่ยงหยวนสร้าง  แล้วจะมีช่องว่างที่ไหนให้ฉีเซี่ยงหมิงดึงแคว้นเหลียนเข้าไปเป็นพวกกัน?

เหลียนอันสุ่ยได้ฟังก็ถอนหายใจ  การแย่งชิงอำนาจของแคว้นเป่ยชางช่างน่ากลัว กระทั่งตัวอยู่ห่างไปคนละแคว้นก็ยังยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว  เมื่อแคว้นเหลียนถูกผนวกเข้ากับเป่ยชาง  เหลียนอันสุ่ยก็แทบจะมองเห็นความวุ่นวายที่แคว้นเหลียนจะต้องพัวพันในอนาคตแล้ว

“อันที่จริงเรื่องนี้ยังมีคนร่วมผสมโรงอีกคน” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวขึ้น
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้ามองคนพูด
“ใคร ?”
“ท่านรู้จักหนานเหมินอ๋องรึเปล่า”
ตาคู่งามของเหลียนอันสุ่ยปรากฏแววตื่นตระหนก  กวาดมองฉีเซี่ยงหยวนขึ้นๆลงๆอย่างไม่อยากจะเชื่อ  กล่าวว่า
“ท่าน...นี่ท่านไปตอแยเขาได้ยังไง”
“ครั้งนี้เป็นเขาตอแยข้าต่างหาก” ฉีเซี่ยงหยวนยังมีกะใจเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเอง  กล่าวต่อว่า “ข้าเดาว่าในพวกที่รายล้อมอยู่รอบตัวพี่รอง  คงมีคนของหนานเหมินอ๋องอยู่”
นี่มิใช่เรื่องทั่วไป จริงอยู่พวกแคว้นใหญ่ๆ ชอบยื่นมือเข้าไปแทรกแซงแคว้นอื่น และก็แทรกแซงกันเอง  แต่กระทั่งแผนลอบสังหารที่ควรจะเป็นความลับยังถูกล่วงรู้  แสดงว่าคนที่เป็นหนอนบ่อนไส้ต้องมีตำแหน่งสูงยิ่ง  และได้รับความไว้วางใจจากฉีเซี่ยงหมิงอย่างยิ่งด้วย
หนานเหมินอ๋องน่ากลัวจนเป็นที่เลื่องลือ  ฉีเซี่ยงหยวนก็เป็นคนน่ากลัวคนหนึ่ง  ความจริงเหลียนอันสุ่ยสมควรจะคาดเดาได้ว่าสองคนนี้คงมีวันต้องโคจรมาเจอกัน แต่คิดไม่ถึงพวกเขากลับพัวพันกันนานแล้ว
“แล้วท่าน...จะทำอย่างไรต่อไป”
“ก็ไม่ยังไงหรอก  แต่เรื่องในแคว้นเป่ยชาง  ข้าจะให้หนานเหมินอ๋องรู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยว” ดวงตามองตรงไปอย่างแน่วแน่  ดุจกำลังเอ่ยกับหนานเหมินอ๋องที่อยู่ห่างไกลออกไป

เหลียนอันสุ่ยมองโอรสองค์ที่สี่ของเป่ยชางอ๋อง  อดรู้สึกกังวลแทนอีกฝ่ายอยู่บ้าง  เพิ่งทราบว่าสิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนเผชิญหน้าอยู่ตลอดเป็นเรื่องอันตรายถึงเพียงนี้  จากนั้นดวงตาคู่งามก็หยุดชะงัก  หลุบลงต่ำ  มุมปากปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย

นี่เขากำลังกังวลอะไร  ในหัวประหวัดถึงคำร่ำลือมากมายเกี่ยวกับอ๋องน้อยผู้นี้...คนที่ไม่อาจใช้กฎเกณฑ์ธรรมดาไปตัดสิน
อาจบางทีนี่ต่างหากคือที่ของฉีเซี่ยงหยวน  เบื้องหน้าทหารนับหมื่น  ศัตรูผู้กล้าแข็ง  แผนการที่หวาดเสียวอันตราย  เช่นนี้จึงสามารถเปล่งประกายของเขาออกมา...
---------------------
รอบนอกเมืองของแคว้นเป่ยชาง  ที่ใกล้พรมแดนแคว้นเหลียนที่สุดคือเมืองอู๋เล่ย  เมืองอู๋เล่ยเป็นเมืองหน้าด่านติดชายแดน  มีทหารชายแดนประจำอยู่ไม่น้อย  ทหารเหล่านั้นเมื่อเห็นชัดว่าเป็นธงของใครมา  ก็โห่ร้องอย่างยินดี  เปิดประตูเมืองรับแต่ไกล
เหลียนอันสุ่ยมองการทักทายอย่างสนิทสนม กับแววเคารพเทิดทูนที่เจิดจ้าอยู่ในตาของเหล่าทหารก็ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนจึงเป็นขวัญใจพวกเขาอย่างแท้จริง  สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนบทบาททางทหารที่เหนียวแน่นมั่นคง  มิน่าเล่าเป่ยชางอ๋องจึงเกรงกลัวบุตรชายคนนี้นัก

ทันทีที่ทัพทั้งหมดเข้ามาในประตูเมือง  เหลียนอันสุ่ยก็เห็นความกระจัดกระจายเป็นครั้งแรกในทัพของฉีเซี่ยงหยวน  เมื่อผู้บัญชาการประกาศให้แยกย้ายพักผ่อน  ทหารที่เคร่งขรึมพากันกระจายตัวออก  พวกมีหน้าที่อารักขาก็อารักขาไป  ที่ต้องขนย้ายจัดเก็บก็ทำหน้าที่ของตัวเอง  ส่วนพวกที่เหลือก็ตบเท้าเดินเข้าไปเสวนากับเหล่าทหารชายแดน  บางส่วนเกาะกลุ่มกันไปหาความสำราญในเมือง

แน่นอนว่าส่วนที่แน่นหนาที่สุดคือบริเวณที่ฉีเซี่ยงหยวนยืนอยู่  รอบๆตัวเขาเต็มไปด้วยคลื่นมนุษย์ เมื่อฉีเซี่ยงหยวนเดินเข้าไปในเมือง  คลื่นมนุษย์กลุ่มนั้นก็เคลื่อนตามไปด้วย  สำหรับคนเหล่านี้ฉีเซี่ยงหยวนไม่เพียงเป็นนายเหนือของพวกเขา  ยังเป็นเทพเจ้าที่พวกเขาเคารพเทิดทูน

เจ้าเมืองอู๋เล่ยเป็นชายร่างใหญ่  ผิวดำคล้ำเพราะเกิดจาการกรำแดดกรำฝนมานานปี  ออกมาต้อนรับถึงนอกจวน  ฉีเซี่ยงหยวนตบบ่าตบไหล่กับเขาแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างสนิทสนม  ภายหลังเหลียนอันสุ่ยจึงทราบว่า  ฉีเซี่ยงหยวนกับเจ้าเมืองผู้นี้เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา  ตั้งแต่ตอนฉีเซี่ยงหยวนยังเป็นหน้าใหม่ในกองทัพ

ห้องหับที่ดีที่สุดในเมืองย่อมตกเป็นขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชาง  เหลียนอันสุ่ยกับฉีเซี่ยงหยวนล้วนได้รับการจัดให้พักอยู่ในจวนเจ้าเมืองแต่คนละฟากของช่วงตึก  ตั้งแต่แยกกันตอนเข้าเมือง  พระมาตุลาแคว้นเหลียนก็ไม่ได้เห็นหน้าฉีเซี่ยงหยวนไปอีกหลายวัน 
เหลียนจิ้งเต๋อแม้ยังไม่ค่อยชิน  หากก็พอปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้แล้ว  เพราะถึงเมืองอู๋เล่ยจะเป็นเมืองชายแดน  แต่สภาพความเป็นอยู่ย่อมดีกว่าตอนที่อยู่ในค่ายมากนัก 

จนมาถึงคืนที่สามซึ่งเป็นคืนสุดท้ายก่อนจะเดินทางต่อไป  เหลียนอันสุ่ยจึงได้เห็นหน้าองค์ชายสี่แคว้นเป่ยชาง...


หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 16
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 03-08-2014 09:53:56

บทที่ 16 อู๋เล่ย (ไร้น้ำตา)

ห้องพักของฉีเซี่ยงหยวนอยู่บนชั้นสอง  เหลียนอันสุ่ยเดินขึ้นบันไดตามหลิวฉางเฟยไปอย่างเชื่องช้า  ในหัวคาดเดาถึงสาเหตุที่ถูกเชิญมาพบดึกดื่นเที่ยงคืน  เหลียนจิ้งเต๋อหลับไปซักพักแล้ว  เหลียนอันสุ่ยนึกโชคดีที่เป็นเช่นนั้น  ไม่ว่าฉีเซี่ยงหยวนต้องการอะไร  เด็กคนนั้นก็จะไม่รู้เด็ดขาด  เพราะที่นี่ไม่ใช่ค่าย  สัญญา...สิ้นสุดลงแล้ว

หญิงรับใช้เลื่อนเปิดบานประตู  เหลียนอันสุ่ยก้าวเข้าไปในห้อง  หลิวฉางเฟยกับหญิงรับใช้ไม่ได้ตามเข้ามาด้วย  บานประตูเลื่อนปิดแผ่วเบา  ห้องชั้นนอกไม่มีร่องรอยของผู้คน  ประตูชั้นในปิดสนิท  มีแสงสลัวรางลอดออกมา  เหลียนอันสุ่ยผลักเปิดมันช้าๆ

เงาร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง  ห้องชั้นในจุดโคมตัวเดียว  ทำให้แสงจันทร์นอกหน้าต่างแจ่มกระจ่างยิ่งกว่า  แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศโดยรวมก็ยังมือสลัวอยู่บ้าง  ในมือของฉีเซี่ยงหยวนมีจอกเหล้า  บนโต๊ะมีสุราหลายป้านส่งกลิ่นหอมชวนมึนเมาจางๆอวลอยู่ในอากาศ

ตั้งแต่เข้ามาในห้องเหลียนอันสุ่ยก็รู้สึกว่าฉีเซี่ยงหยวนอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ปรกติ  อ๋องน้อยลำดับสี่แห่งเป่ยชางยังคงสวมชุดลำลองสีดำเช่นเดียวกับวันอื่นๆ  แต่แววตาดำสนิทคู่นั้นกลับลึกล้ำดำมืดยิ่งกว่า  ในความคมวาวมีบางอย่างแปลกไป

ทันทีที่ได้ยินเสียงเลื่อนปิดประตู  ศีรษะที่ก้มพินิจจอกเหล้าในมือก็เงยขึ้น
“ท่านมาแล้ว ?” นี่เป็นคำถามที่ความจริงไม่จำเป็นต้องตอบ  แต่เหลียนอันสุ่ยก็รับคำ
“อืมม์”
“ประเสริฐ” พึมพำพลางวางจอกเหล้าในมือลง  มุมปากคล้ายมีรอยยิ้ม  แต่ดวงตายังคงลึกล้ำดำมืดเช่นเดิม
เหลียนอันสุ่ยหันไปพิจารณาป้านสุรา  คล้ายกำลังคาดเดาว่าอีกฝ่ายดื่มไปมากแค่ไหน  ร่างกลับถูกฉุดดึงจนเสียหลักล้มลงบนเตียง ร่างหนาขยับขึ้นทาบทับ  ริมฝีปากที่เจือกลิ่นสุราประกบลงมา  รสขมฝาดจากปลายลิ้นแพร่ไปจรดลำคอ  เสื้อผ้าถูกฝ่ามือใหญ่ฉีกทึ้งออก  ร่างกายถูกกอดรัดแน่น  ฝ่ามือใหญ่ขยับไปทั่ว  สัมผัสของฉีเซี่ยงหยวนหยาบคายจาบจ้วง

เหลียนอันสุ่ยขบริมฝีปากขณะร่างใหญ่รุกเร้าเข้ามาอย่างป่าเถื่อนดุดัน  ถึงแม้ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาเป็นริ้วเพราะร่างกายยังไม่พร้อม  แต่ผู้ถูกกระทำไม่ได้ขัดขืนผลักไส

อยู่ๆฉีเซี่ยงหยวนก็ชะงัก  คล้ายกับเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป  เงยหน้ามองคนที่ทั้งไม่ส่งเสียงร้อง  ทั้งไม่ผลักไสอย่างไม่เข้าใจ  สายตาของเหลียนอันสุ่ยสงบนิ่ง  มองมาเงียบๆคล้ายจะถามว่า ‘เป็นอะไรไป’

วินาทีนั้นยาวนานราวชั่วกัลป์  ลำคอหนาพลันแห้งผาก  ร่างสูงกำยำรวบเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วผละห่าง  ก้าวช้าๆจนชิดริมหน้าต่าง  แผ่นหลังกว้างถูกแสงจันทร์ทอดเป็นเงารางเลือนบนพื้นเยียบเย็น

“ท่านไปเถอะ” คำกล่าวแผ่วเบาโดยไม่หันมามอง  เค้นออกจากลำคอทีละคำ 
เหลียนอันสุ่ยลุกขึ้นนั่งช้าๆ  มือจัดเสื้อตัวในให้เรียบร้อย  แต่ไม่ได้จากไป

ฉีเซี่ยงหยวนมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่เป็นนาน  เมื่อรั้งสายตากลับมา  ตระเตรียมเห็นห้องที่ว่างเปล่า  สายตากลับพบคนที่ควรจากไปแต่ไม่ได้ไป
“ทำไมท่านไม่ไปซะ”
“...”
“หรือไม่กลัวข้าทำตัวหยาบคายกับท่านอีก”
คำตอบยังคงเป็นสายตาที่จ้องมองมาราวกับจะถามว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’   เห็นสายตาคู่นั้นแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนก็เบือนหน้ากลับไปยังบานหน้าต่าง  เวลาไหลผ่านไปกับความเงียบงัน  มีเสียงพึมพำแผ่วเบา
“ท่านว่าลูกแบบไหนกันที่วางแผนฆ่าพ่อตัวเอง”

“...” ไม่มีคำตอบ  ฉีเซี่ยงหยวนก็คล้ายไม่ต้องการคำตอบ  น้ำเสียงอธิบายต่อราบเรียบ  คล้ายไม่มีเรื่องใดเกี่ยวข้องกับตัวเอง
“พรุ่งนี้พอยกทัพออกจากเมืองอู๋เล่ยก็จะไม่สามารถปกปิดร่องรอยอีก  เมื่อพี่รองรู้ว่าข้ามาประชิดเมืองชั้นนอกแล้ว  เขาจะถูกบีบให้ต้องลงมือกับพระบิดา  และข้า...ก็จะกำจัดเขา  พี่รองมีสายเลือดมีสายเลือดเหมือนข้าแค่ครึ่งเดียว  ยังพอบอกปัดความรับผิดชอบได้  แต่พระบิดา...”
คล้ายกับมีเสียงหึเบาๆ  กับรอยยิ้มวูบขึ้นมาบนเรียวปาก  ต่อจนจบประโยคว่า
“ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือพระบิดาของข้า...”
“มันไม่ใช่ความผิดของท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินก็เหยียดยิ้มกว้างกว่าเดิม  ดวงตาคล้ายมองไปข้างหน้า  แต่ก็คล้ายไม่ได้มองไปที่ใดเลย  กล่าวช้าๆ ว่า
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร ก็มันเป็นความต้องการของข้าเอง ...พี่รองไม่ได้คิดฆ่าพระบิดา  แต่ถ้าข้ายังเดินทัพต่อไปเช่นนี้  พี่รองจะเหลือเพียงหนทางเดียว...”

ลงมือกับเป่ยชางอ๋อง...

ประโยคที่ขาดหาย  เหลียนอันสุ่ยแม้ต่อได้  แต่ไม่ได้กล่าวออกไป  รู้สึกเหมือนถูกความเยียบเย็นบางอย่างกรีดเฉือน  คล้ายกับเป็นปลายดาบ  แต่ดาบใดๆคงไม่เยียบเย็นถึงเพียงนี้ 

หากจะมีดาบเช่นนี้อยู่เล่มหนึ่ง  ก็ต้องเป็นดาบแห่งอำนาจ  ดาบที่ไร้น้ำใจที่สุด...เฉือนแบ่งทุกความสัมพันธ์จนเหลือเพียงเศษธุลี  ไม่ทราบมีคนมากมายเท่าใดที่ถูกมันทำร้ายมา

 “ทั้งๆที่รู้  แต่พรุ่งนี้ข้าก็จะยกทัพออกไป  ทำตามแผนการที่วางไว้นานปี  เพราะไม่มีวิธีใดง่ายดายกว่านี้  ไม่มีช่วงเวลาใดเหมาะสมไปกว่านี้อีก...ความจริงตั้งแต่แรกมาข้าก็รอคอยช่วงเวลานี้มาตลอด”

ยืมมือพี่ชายกำจัดเป่ยชางอ๋อง  เพราะไม่ต้องการลงมือเอง  และไม่อาจลงมือเอง  คนที่ฆ่าบิดาตัวเองจะถูกประณามทั้งแผ่นดิน  คนที่ฆ่าเป่ยชางอ๋องจะไม่เป็นที่ต้อนรับของชาวเป่ยชาง  คนตรงหน้าจงใจยัดเยียดบทบาทนี้ให้กับฉีเซี่ยงหมิง  เพียงเท่านี้ก็จะมีข้ออ้างกำจัดพี่ชายตัวเองโดยเปิดเผย  และตัดแรงสนับสนุนจากมวลชนของอีกฝ่ายไป

ช่วงเวลานี้เหมาะสมที่สุดเพราะฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งยึดแคว้นเหลียนได้  อำนาจบารมีอยู่ที่จุดสูงสุด มีทัพพร้อมพรักอยู่ในบัญชา  ยิ่งไปกว่านั้น  หนานเหมินอ๋องเพิ่งมีปัญหากับทางแคว้นโหยวเฉิง  สองแคว้นใหญ่จึงไม่อาจยื่นมือเข้ามาก้าวก่าย ฉกฉวยโอกาสตอนบัลลังก์เปลี่ยนมือได้เต็มที่

แผนการอันรอบคอบ  แผนการอันอำมหิต  แผนครั้งนี้คราเดียวถางอุปสรรคทั้งหมดที่จะมีต่อหนทางสู่บัลลังก์อ๋องจนราบรื่น  ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็เข้าใจเรื่องราวทุกประการแล้ว

ฉีเซี่ยงหยวนมองแววตาอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไปทีละน้อยจนสิ้นสุด  แล้วจึงถามว่า
“ท่านเข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
“...อืมม์”
ได้ยินคำขานรับฉีเซี่ยงหยวนก็หันหน้ากลับไป  เงาร่างสูงใหญ่คล้ายเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นกว่าเดิม  น่าพรั่นพรึงกว่าเดิม  หากเหลียนอันสุ่ยมิได้ถอยหนี กลับก้าวเข้ามายืนเคียงกัน

 สายตาสงบราบเรียบของพระมาตุลาไม่ได้จับจ้องออกไปนอกหน้าต่าง  แต่พิศใบหน้าด้านข้างที่คมคายชัดเจน  มองแนวกรามที่ขบจนเป็นสัน  ท่าทีของฉีเซี่ยงหยวนยังคงสงบนิ่ง  หากฝ่ามือใหญ่บีบขอบหน้าต่างแน่น  ดวงตาดำสนิทซับซ้อนมองเลยดวงจันทร์ออกไป  ในประกายตาเร้นลึกเหมือนมีความปวดร้าวบางประการซุกซ่อนอยู่อย่างมิดชิด  ...กรีดร้อง...โดยไม่มีน้ำตา

...ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือพระบิดาของข้า...

ไม่มีคำพูดใดจะชัดเจนไปกว่านี้  ไม่ว่าก่อนหน้านี้เป่ยชางอ๋องจะปฏิบัติกับฉีเซี่ยงหยวนมาอย่างไร  แต่เป่ยชางอ๋องก็คือบิดาเพียงคนเดียวของเขา  โดยไม่อาจผิดเพี้ยนไปได้

มิน่าเล่าฉีเซี่ยงหยวนจึงดื่มสุรา  เพราะวันพรุ่งนี้เมื่อก้าวออกไปแล้ว...ทุกอย่างจะไม่มีทางเป็นเหมือนเดิม

เสียงถอนหายใจตามด้วยเสียงกล่าวดุจรำพึงกับตัวเอง
“ในสมรภูมิข้าฆ่าคนมามากมาย...ทั้งๆที่รู้ว่าพวกเขาต่างมีญาติพี่น้อง  สุดท้ายก็ยังคงฆ่าไป...แต่พอมาเป็นบิดากับพี่ชายตัวเองกลับทำใจยากขึ้นมา...น่ารังเกียจจริงๆ”
“มันไม่ใช่ความผิดของท่าน” เหลียนอันสุ่ยพูดเบาๆ
“แล้วเป็นของใครกัน ?” เสียงย้อนถามราบเรียบ
“ไม่ว่าจะเป็นของใคร...มันก็ไม่ใช่ของท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนหันมามองอีกฝ่ายตรงๆ  ขณะกล่าวช้าๆทีละคำว่า
“ท่านรู้หรือไม่  ข้าจะล้มเลิกแผนการนี้ก็ได้  จะถอยก็ยังได้อยู่  พวกที่สนับสนุนข้า  ข้าก็มีวิธีทำให้พวกเขาไม่ได้รับผลกระทบ  แต่ข้าจะไม่ถอย  ข้าจะไม่รออีก...เพราะทางนี้...ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเดิน” ผู้อื่นอาจไม่เข้าใจ  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ 
ชีวิตของคนบางประเภทมีพันธกิจที่แน่นอน  มันมิใช่หน้าที่  แต่เป็นยิ่งกว่าหน้าที่ เพราะมันคือตัวตนของเขา  ที่ของฉีเซี่ยงหยวนอยู่ที่นี่  และเมื่ออยู่ที่นี่เขาก็ต้องก้าวต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง  ทุกประการเป็นเขาเลือกเอง

มีทางเลือก...บางครั้งยังเจ็บปวดยิ่งกว่าไม่มี  เพราะไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายผู้ที่ท่านจะตำหนิได้ก็มีเพียงตัวท่านเอง

“มันไม่ใช่ความผิดของท่าน” คนฟังยังคงย้ำคำเดิม

ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งงันไป  มองแววตาของอีกฝ่าย ค้นหาความโกหกหลอกลวงที่แอบแฝงอยู่  แต่แววตาของเหลียนอันสุ่ยก็เป็นเช่นเดียวกับน้ำเสียง...นุ่มนวลอ่อนโยนดุจสายน้ำ  ค่อยๆชะเอาความเจ็บปวดที่ซุกซ่อนอยู่ในวิญญาณของคนออกไปอย่างแผ่วเบา
ฉีเซี่ยงหยวนเคยเห็นประกายตาเช่นนี้ คราวนั้นผู้ได้รับมันคือหญิงบรรณาการนามจือหลัน  แต่ตอนนี้มันเป็นของเขา  ใช่แล้ว  ของเขาคนเดียว  คิดพลางเอื้อมมือออกไปไขว่คว้าโดยไม่รู้ตัว  ฉุดดึงร่างอบอุ่นเข้ามาไว้ในอ้อมกอด  ใบหน้าคมซบลงกับเรือนผมหนา  หลับตาลง  รู้สึกเหมือนฝันไป  พึมพำว่า
“ท่านต้องใจดีอย่างนี้เสมอเลยหรือ”

คนผู้หนึ่งเมื่อทำความผิดร้ายแรงจนไม่อาจแก้ไข  สิ่งที่เขาต้องการที่สุด คือใครซักคนที่บอกว่า... ‘มันไม่ใช่ความผิดของท่าน’   ปากของฉีเซี่ยงหยวนแม้บอกให้อีกฝ่ายไป  แต่ใจจริงกลับหวังให้อีกฝ่ายอย่าได้ไปเลย  ความโดดเดี่ยวอ้างว้าง  เขาได้รับมันมาจนพอแล้วจริงๆ

ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยหรี่แสงลง เจ็บปวดไปกับอีกฝ่าย เหตุใดผู้คนจึงชมชอบคิด  คนที่อยู่ในอำนาจฆ่าพ่อแม่พี่น้องตัวเองเป็นเรื่องธรรมดา  ความจริงนี่ไม่สามารถเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับใครได้เลย  อำนาจแม้โหดเหี้ยม  แต่คน...แท้จริงไม่ได้โหดเหี้ยมถึงเพียงนั้น

ครอบครัวของฉีเซี่ยงหยวนแม้ไม่อาจนับเป็นครอบครัว  แต่มันก็เป็นครอบครัวเพียงครอบครัวเดียวของเขา  คนที่อยู่กับอำนาจโดดเดี่ยวอ้างว้างมาแต่เล็ก  แล้วเหตุใดจึงต้องปรารถนาความโดดเดี่ยวยิ่งกว่าเดิมอีกเล่า?

เรื่องราวคราวนี้ความจริงมิใช่ความผิดของฉีเซี่ยงหยวนเลย  หากไม่ทำการให้รวบรัดไปในคราเดียว  ราษฎรจะต้องอกสั่นขวัญแขวนไปอีกนานเท่าไหร่  ความมั่นคงของแว่นแคว้นจะไปอยู่ที่ใด  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่เคยแม้แต่คิดจะใช้เรื่องราวเหล่านี้เป็นข้ออ้าง  เพราะสำหรับเขา ไม่ว่าทำเรื่องใดก็เป็นไปเพื่อตัวเองทั้งสิ้น

ประชาราษฎร์มีความสุข  เขาก็มีความสุข  แว่นแคว้นมั่นคงรุ่งเรือง  เขาก็ปิติยินดี  ทำศึกประสบชัย  เขาก็ภาคภูมิใจ  มีศัตรูกล้าแข็ง  ก็เป็นความพึงพอใจในชีวิตของเขาเอง

คนเป็นพระมาตุลาถอนหายใจ  คนผู้นี้เหตุใดจึงไม่ทำเช่นผู้อื่น  ทั้งที่การอ้างถึงบ้านเมืองราษฎรเป็นหนทางที่เจ็บปวดน้อยกว่าแท้ๆ  เรียวปากปรากฏรอยยิ้มขมขื่น  ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเหลียนอันสุ่ยว่าการแบกรับความผิดทั้งหมดเอาไว้เองหนักหนาสาหัสเพียงใด
สัมผัสแผ่วเบาที่ผิวแก้ม  ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนชะงักไป  จูบนั้นค่อยๆเลื่อนมาแตะลงบนเรียวปากหนาเบาราวละอองฝนพร่างพรม  ดุจจะปลอบประโลม  ฉีเซี่ยงหยวนจูบตอบ  เปลี่ยนสัมผัสแผ่วเบากลายเป็นแนบแน่นดูดดื่ม  ไม่ว่าตอนนี้จะเป็นความฝันหรือความจริง  หนึ่งเดียวที่ฉีเซี่ยงหยวนทราบคือตัวเองไม่อาจปล่อยอีกฝ่ายไป  บางส่วนในจิตใจโหยหาความอ่อนโยนเช่นนี้  มือหยาบกร้านโอบร่างผอมบางกว่าแน่น

เหลียนอันสุ่ยหลับตาลงช้าๆ  ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนหลังคอหนาที่แข็งเกร็งคลึงไล้อย่างอ่อนโยน  ริมฝีปากซึมซาบทุกความปวดร้าว  ค่อยๆสลายมันไปช้าๆ  รู้แต่ว่าตัวเองยินดีทำทุกอย่างเพื่อคนผู้นี้  เพราะสำหรับคนเช่นพวกเขา  มีเวลาเจ็บปวดแค่คืนเดียว  ยินยอมให้ตัวเองอ่อนแอเพียงคืนเดียว  พรุ่งนี้ฉีเซี่ยงหยวนจะเป็นจอมทัพที่ไร้ผู้ต่อต้าน  เป็นบุคคลที่ทหารนับหมื่นฝากชีวิตไว้ในกำมือ  ขอเพียงผ่านพ้นคืนนี้ไปก็พอ...

เงาร่างสองสายประสานกันจนเป็นเงาเดียว  แสงจันทร์นอกหน้าต่างดูจะว้าเหว่น้อยกว่าเดิม  อบอุ่นนุ่มนวลกว่าเดิม  ในประกายเรื่อเรืองแห่งรัตติกาล  ฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆวางร่างสูงโปร่งลงบนเตียง  สายตาจับจ้องใบหน้าหมดจดนิ่ง  ไม่ได้มีท่าทีจะล่วงเกินอะไรอยู่เป็นนาน  ราวต้องการจะมองเช่นนี้ไปตลอดทั้งคืน

คนถูกมองทาบฝ่ามือขาวลงกับใบหน้าคมที่คร้ามแดด  ไล้ปลายนิ้วไปตามหางคิ้ว  เรื่อยลงมาจนถึงโหนกแก้ม  กล่าวเบาๆว่า
“ทำอย่างที่ท่านอยากทำเถอะ”
คำกล่าวทำให้ฉีเซี่ยงหยวนที่กำลังซึมซับความอบอุ่นจากฝ่ามืออีกฝ่ายต้องชะงัก  เงยหน้ามองคนพูดช้าๆแววตาไม่อยากเชื่อ  แต่แววตาคู่งามที่มองสบมาถ่ายทอดประโยคที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยจนสมบูรณ์
‘ลืมมันไปซะให้หมด  นึกถึงแต่ข้าก็พอ’
ฉีเซี่ยงหยวนจรดจมูกลงกับผิวแก้ม  ค่อยๆสัมผัสอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน  ลืมทุกความเจ็บปวดสับสน  ให้คงเหลือคนเพียงคนเดียว...
---------------------
แสงแดดยามเช้าจากบานหน้าต่างทอดจับขนตา  เหลียนอันสุ่ยลืมตาขึ้นช้าๆ  อากาศแห้งๆที่เจือความเย็นอยู่จางๆของฤดูใบไม้ร่วงพัดแตะผิวแก้ม  เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก  สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย  เดินไปหยุดนิ่งที่ริมหน้าต่าง  แต่หันหลังให้กับบรรยากาศเยือกเย็นด้านนอก  ปลายนิ้ววางลงบนขอบหน้าต่าง  สายตาทอดจับใบหน้าของผู้ที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียง
ฉีเซี่ยงหยวนหลับสนิทอย่างที่เหลียนอันสุ่ยไม่เคยเห็นมาก่อน  ปรกติถ้าไม่ได้เป็นฝ่ายลุกจากเตียงไปก่อน  ทุกครั้งที่เหลียนอันสุ่ยขยับตัว  ฉีเซี่ยงหยวนเป็นต้องรู้สึกตัวทันทีต่อให้เผลอหลับไปก็ตาม  นั่นคือสัญชาตญาณระวังภัย  ไม่ว่าจะตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพ นักรบ หรือองค์ชาย  ต่างต้องระวังอยู่ตลอดเวลา  ไม่อาจข่มตาหลับสนิทจนเป็นความเคยชิน

นี่เป็นครั้งแรก  และอาจเป็นครั้งเดียวที่เหลียนอันสุ่ยเต็มใจมอบมันให้กับอีกฝ่าย...เขาไม่เสียใจ

เหลียนอันสุ่ยละมือจากขอบหน้าต่าง  หมุนกายจากไป
---------------------
หลังเหลียนอันสุ่ยจากไปได้ครึ่งชั่วยามฉีเซี่ยงหยวนก็ตื่น  สายตาจับไปตามเพดานอยู่พักหนึ่งเพื่อลำดับเรื่องที่เกิด  จากนั้นก็ผุดลุกขึ้นนั่งรวดเร็ว  มือยื่นออกไปไขว่คว้าทันทีจนแทบจะเป็นอิริยาบถเดียวกัน  หากคว้าได้เพียงความว่างเปล่า  เหลียนอันสุ่ยไปแล้ว  บนเตียงมีแต่เขาคนเดียว...

ฉับพลันนั้นความรู้สึกสูญเสียรุนแรงก็กระแทกตัวเข้ามา  มือใหญ่หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมลวกๆ  ผลุนผลันออกจากห้องไป
“ท่านอ๋องน้อย  ท่านอ๋องน้อย...” เสียงเรียกของหลิวฉางเฟยติดตามไล่หลังมา  ฉีเซี่ยงหยวนชะงักเท้าลง  หันขวับไปถาม
“เขาอยู่ไหน ?”
หลิวฉางเฟยนิ่งงง  ครู่หนึ่งจึงเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร
“พระมาตุลาอยู่ด้านล่าง  กำลังดูคนเก็บของใช้ส่วนตัวของเขาขึ้นรถม้า” เห็นแววตานายเหนือหัว  หลิวฉางเฟยก็รีบเดินนำไปทันทีที่พูดจบ
ที่ด้านล่าง  เหลียนอันสุ่ยยืนอยู่ข้างตัวรถม้า  กำลังก้มหน้าสนทนากับบุตรชาย  เหลียนจิ้งเต๋อหัวเราะ  ส่วนใบหน้าผู้เป็นบิดาประดับรอยยิ้มบางๆ

หลิวฉางเฟยชะงักเท้าลงตามผู้เป็นนาย  เงยหน้าขึ้นมองนายเหนือหัวอย่างแปลกใจ  ฉีเซี่ยงหยวนหยุดยืนมองดูสองพ่อลูกแต่ไกล  สายตาจับอยู่บนร่างของพระมาตุลาแคว้นเหลียนเนิ่นนาน...สุดท้ายกลับแค่หมุนกายเดินย้อนกลับทางเดิม  ไม่ได้เอ่ยทักและไม่ได้เข้าไปหา

สำหรับฉีเซี่ยงหยวน  เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว  หลังจากนี้ก็คือไปทำในสิ่งที่ต้องทำให้ดีที่สุด...
---------------------
“มีข่าวจากมู่ซางกับฝงเป่าบ้างรึเปล่า” ฉีเซี่ยงหยวนถามถึงลูกน้องคนสนิทอีกสองคนที่ประจำอยู่ที่เป่ยชาง
“มีปัญหาขอรับ  ข่าวทางเมืองหลวงของเราสูญหายไปทั้งหมด”
“...เจ้าหมายความว่าถูกลอบเก็บ ?” ...!
“ขอรับ”
พี่รองเริ่มแล้ว  ข่าวการมาถึงเมืองอู๋เล่ยไม่ใช่ความลับอีกต่อไป...คนทรยศเป็นใคร  เหตุใดจึงสามารถเก็บสายข่าวทั้งหมด !?

=======
อัพทีเดียวสองตอน  ตอนแรกของวันเสาร์  ตอนที่สองของวันจันทร์  ดังนั้นอัพอีกทีวันพุธเลยนะคะ
หลังจากนี้จะอัพทีละสองตอน  อัพแค่วันอาทิตย์กับวันพุธ 
ซึ่งถ้าเฉลี่ยตอนดูจะเห็นว่าอัตรการอัพประมาณเดิม แค่อัพรวบทีเดียว :katai4:

ตอนนี้ใช้เวลาแต่งนานมาก
เป็นตอนที่เกี่ยวกับฉีเซี่ยงหยวนโดยตรง  แต่คนแต่งจะไม่บอกว่าตอนนี้เป็นตอนของพระเอก
เพราะถ้าอ่านดีๆแล้วจะเห็นตัวตนของเหลียนอันสุ่ยผ่านทางฉีเซี่ยงหยวน

ความจริงที่เหลียนอันสุ่ยทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะธรรมชาติของเขาที่เป็นคนเมตตา
แต่เป็นเพราะพวกเขาแท้จริงเป็นคนประเภทเดียวกัน
...เป็นคนที่ไร้น้ำตา

ไม่ว่าเจ็บปวดขนาดไหนก็ได้แต่กลืนมันเอาไว้ในใจ
ทุรนทุรายในส่วนลึกที่สุดที่ไม่มีใครได้ยิน
เมื่อมองฉีเซี่ยงหยวนเหลียนอันสุ่ยเห็นตัวเอง
อาจบางทีเวลาเหลียนอันสุ่ยยื่นมือช่วยเหลือใครๆ
ส่วนหนึ่งในใจเขาเพียงหวังว่าจะมีใครซักคนยื่นมือมาช่วยเหลือเขาเช่นกัน

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 16
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 05-08-2014 17:25:47
เป็นตอนที่สุดยอดมากๆค่ะ
ถ่ายทอดได้ดีที่สุด

รักเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 17
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 06-08-2014 21:50:00
บทที่ 17 ต่างดำเนินแผน

ค่ำคืนในวังควรจะสงบเงียบของแคว้นเป่ยชาง  โกลาหลไปด้วยเสียงทหาร  เสียงเสียดสีของชุดเกราะ  เสียงฝีเท้าย่ำถี่เร็วดุจเดียวกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัว  เสียงอาวุธกระแทกปะทะดังสับสน ทหารที่ถูกโอบล้อมกลุ่มหนึ่งพยายามตีฝ่าออกไปทางประตูวังทิศใต้
ฉีเซี่ยงหมิงบนที่สูงมองการพยายามดิ้นรนต่อสู้ด้วยสายตาเฉยเมย  นี่คือการกวาดล้างอิทธิพลของฉีเซี่ยงหยวนในวังหลวง  เหล่าทหารที่ถูกล้อมล้วนเป็นขุนพลในสังกัดฉีเซี่ยงหยวนที่เหลืออยู่ในแคว้นเป่ยชาง  เป่ยชางอ๋องมีบัญชาให้เข้าประจำในวังเพื่อเสริมความมั่นคง  หลังกองกำลังหนึ่งหมื่นห้าพันนายถูกยาตราไปแคว้นเหลียน

เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน  แปดในสิบของทหารที่ยกไปแคว้นเหลียนจึงเป็นคนในสังกัดของฉีเซี่ยงหยวนทั้งสิ้น  ...และเหตุผลนั่นก็ทำร้ายเจ้าของมันอย่างสาหัสสากรรจ์ทีเดียว  เพราะนอกจากทำให้เหลือคนของตัวเองน้อยเหลือเกินในเมืองหลวง  ยังตอกย้ำความระแวงของพระบิดา  เกรงว่าฉีเซี่ยงหยวนจะหันทหารกลับมายึดอำนาจในแคว้นเป่ยชางไป  การตัดสินใจกำจัดบุตรชายคนที่สี่ที่เคยลังเลอยู่นานปีจึงเปลี่ยนเป็นง่ายขึ้นมา

มีแต่พระบัญชาเป่ยชางอ๋องจึงสามารถรวบรวมขุนพลของฉีเซี่ยงหยวนที่เหลืออยู่มาจนครบ  และเมื่อครบฉีเซี่ยงหมิงจึงมีโอกาสกวาดล้างในคราเดียว !

ฉีเซี่ยงหมิงแทบจะแน่ใจว่าความโกลาหลในคืนนี้จะไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาสนทนาในท้องพระโรง  พระบิดาจะหลับตาข้างลืมตาข้างทำเป็นมองไม่เห็นไปซะ  อีกอย่าง... เมื่อขุมกำลังและผู้สนับสนุนทั้งหมดถูกกำจัดในคืนนี้  แล้วพรุ่งนี้ผู้ใดจะกล้าออกปากแทนฉีเซี่ยงหยวนกัน ?

“องค์ชายรอง  แนวป้องกันแข็งแกร่งมาก  เจาะเข้าไปไม่ได้เลย  พวกมันค่อยๆสู้พลางถอยร่นพลางไปทางประตูวังทิศใต้  คาดว่ามีจุดประสงค์จะสมทบกับกำลังอีกสองกลุ่มที่ต่อสู้กับฝ่ายเราอยู่ในเมืองเพื่อรวมตัวกันฝ่าออกไป  ตอนนี้แม่ทัพกั่วจึงสั่งการให้ทหารฝ่ายเราตีให้แตกทีละกลุ่มก่อนพวกมันจะทันรวมตัวกัน” หลู่เอ้อ คนสนิทรายงาน

คนเป็นองค์ชายรองขมวดคิ้ว หลูเอ้อกล่าวไม่ผิด  ทหารฝ่ายตรงข้ามมีความเป็นระบบระเบียบจนน่ากลัว  ทั้งๆที่ถูกตีกระแทกมาจากทุกทิศทางยังรักษาสภาพรวมตัวไว้ได้อย่างเหนียวแน่น  ทั้งๆที่ถูกโอบล้อมจากรอบด้านเหล่าขุนพลก็ยังสามารถออกคำสั่งได้อย่างเยือกเย็น  นี่จึงเป็นทหารเจนศึกที่รับมือความปั่นป่วนมาทุกรูปแบบ  และนี่จึงเป็นสาเหตุที่ใครๆต่างหวั่นเกรงฉีเซี่ยงหยวน...ความแข็งแกร่งของกองทัพน้องสี่ไม่สามารถประเมินตามจำนวนคน

“ให้คนสั่งการลงไป  เราจะปล่อยให้พวกมันรวมตัวกัน”
“องค์ชายรอง !”
คนเป็นนายเหนือไม่ฟังเสียงท้วง  หรี่ตามองศัตรูเบื้องหน้า  เหยียดรอยยิ้ม  กล่าวต่อว่า
“เราไม่เพียงจะให้มันรวมตัวกัน  ยังจะปล่อยพวกมันออกจากเมืองด้วย  บอกทหารฝ่ายเราถอยออกมาได้แล้ว  เราจะไม่เสียทหารไปมากกว่านี้  แต่จะพักออมกำลัง...สำหรับกวดไล่”
  “...องค์ชายจะให้พวกเขาชักนำขุมกำลังที่ยังซุกซ่อนอยู่ขององค์ชายสี่ออกมา?” หลู่เอ้อเริ่มพอจะคาดเดาจุดประสงค์ของนายเหนือหัวออก
“ใช่ เพราะฉะนั้นกวดตามตอนแรกอย่าให้กระชั้นเกินไปนัก  ข้าต้องการให้พวกมันเข้าใจว่าตัวเองยังมีเวลาเหลือเฟือที่จะช่วยพรรคพวกคนอื่นจากไปด้วยกัน  คืนพรุ่งนี้จะต้องไม่มีคนของฉีเซี่ยงหยวนแม้แต่คนเดียวหลงเหลืออยู่ในเมืองหลวง” ฉีเซี่ยงหมิงกล่าวจบก็คร้านจะดูต่ออีก  หมุนกายทำท่าจะจากไป 
“แล้วหลังจากนั้นเล่า ?”

“หลังจากนั้นก็กวดให้มันกระชั้นๆ  ให้บรรดาขุมกำลังรอบนอกของฉีเซี่ยงหยวนออกมาช่วยเหลือ เราจะได้กวาดพวกมันไปรวมตัวอยู่ที่เดียวกัน  ...ถ้าข้าเดาไม่ผิดพวกมันต้องถอยร่นไปที่เมืองสวี  เพราะระยะทางไม่ห่างจากที่นี่มาก  ชัยภูมิเหมาะแก่การตั้งรับ  ที่สำคัญเจ้าเมืองสวีเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวน  แล้วเราก็จะล้อมกักพวกมันเอาไว้ทั้งหมด”...!
---------------------
จากเมืองอู๋เล่ยผ่านเมืองรอบนอก  ตามรายทางค่อยๆคึกคักขึ้นทีละน้อย  กลิ่นอายของชีวิตและการเคลื่อนไหวกรุ่นกำจาย  วิถีชีวิตเรียบๆง่ายๆเริ่มหมุนวนซ้ำรอยของวันวาน 

ทัพของฉีเซี่ยงหยวนเลือกทางที่มีคนสัญจรน้อยที่สุด  อ้อมรอบนอก  ไม่ผ่านใจกลางเมือง  บรรยากาศการเดินทัพยังคงเคร่งขรึมดุจเดิม  ผิดธรรมดาสามัญอันควรจะปลอดโปร่งขึ้นเมื่อทราบว่า ‘บ้าน’ ได้มาอยู่อีกไม่ไกล  เพราะในใจเหล่าแม่ทัพนายกองต่างรู้ดี  สิ่งที่พวกเขากำลังย่ำเข้าหามิใช่ ‘บ้าน’ แต่เป็นหลุมพรางแห่งการช่วงชิงอำนาจ  ก้าวพลาดคือชีวิต!

เช้าตรู่ก่อนออกเดินทาง  ท่านอ๋องน้อยเรียกประชุมลับเฉพาะเหล่าแม่ทัพคนสำคัญ  ทุกผู้คนได้รับทราบเรื่องสายข่าวทางเมืองหลวงที่สูญหายไป  ทุกคนต่างจำได้ว่าท่านอ๋องน้อยเคยว่าไว้ ‘อันตรายที่แท้จริงมิใช่การตีแคว้นเหลียน  แต่เป็นหลังจากมีชัยเหนือแคว้นเหลียนแล้วต่างหาก’   แต่เมื่อคำกล่าวนั้นส่อเค้าจะเป็นจริงขึ้นมา  หลายคนยังมีทีท่าไม่อยากจะเชื่อ  พวกเขาเหนื่อยยากทำศึกสงครามเพื่อช่วงชิงแคว้นเหลียนให้กับแคว้นเป่ยชาง  เป่ยชางอ๋องตอบแทนพวกเขาเช่นนี้ได้อย่างไร !

ความสับสนปะปนกับความรู้สึกถูกทรยศหักหลังแตกปะทุ  หากถึงยากจะเชื่อซักเพียงใด  คำ ‘วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน’ หมดประโยชน์แล้วกำจัดทิ้ง   ปรากฏจริงอยู่ทุกยุคทุกสมัยแห่งการช่วงชิงอำนาจ  ในเมื่อแคว้นเหลียนก็ได้มาแล้ว  เป่ยชางอ๋องจะเก็บหนามตำตาเช่นพวกเขาไว้ทำอะไร 

ยิ่งคาดเดายิ่งน่าหวาดหวั่น  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ไม่ว่าความจริงเป็นเช่นไร  พวกเขาต่างไม่อาจทราบเพราะข่าวสารสูญหาย  หนทางเบื้องหน้ากลับกลายเป็นดำมืด  ไม่มีใครรู้ว่ากำลังเดินเข้าไปเจอกับสิ่งใด  ไม่มีใครทราบว่าที่เป่ยชางเกิดอะไรไปแล้วบ้าง   นี่เป็นครั้งแรกกับความรู้สึกเหมือนคนหูหนวกตาบอด  หากทหารทุกกรมกองต่างยังอยู่ในระบบระเบียบของกองทัพ

‘พวกเราจะไม่ทำอะไรกระโตกกระตาก  ยิ่งพวกเขาเข้าใจว่าเรารู้น้อยเท่าไหร่  พวกเขาก็เคลื่อนไหวโดยเปิดเผยได้น้อยเท่านั้น  แต่ในความเป็นจริงทุกคนต้องอยู่ในสภาพพร้อมเผชิญหน้า  จับตาดูท่าทีของขุนพลในกองทัพที่ไม่ใช่คนของเรา  หากพวกเขามีท่าทีจะยืนอยู่ฝ่ายพระบิดาให้คุมตัวไว้  ถ่ายโอนกำลังทหารมา  ข้าต้องการทหารหนึ่งหมื่นห้าพันนายที่เป็นคนของเราทั้งหมด’
คำสั่งของฉีเซี่ยงหยวนถูกยึดถือเป็นประกาศิต  นี่เป็นทัพที่ฝึกมาอย่างดี  ต่อให้เรื่องราวร้ายแรงกว่านี้ก็ไม่อาจทำให้พวกเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ  ทหารทุกผู้เพียงรู้ประการหนึ่ง  หากคนนำหน้าคือท่านอ๋องน้อยฉีเซี่ยงหยวน  ต่อให้มีบัญชาให้พวกเขาไปตายพวกเขาก็จะไป  อย่าว่าแต่พวกเขายังเชื่อมั่น  หากผู้บัญชาการคือฉีเซี่ยงหยวน  ชัยชนะขั้นสุดท้ายจะเป็นของพวกเขาแน่นอน !

ฉีเซี่ยงหยวนมีแรงยึดเหนี่ยวอันใด  เหตุใดเหล่าทหารจึงเชื่อมั่นในตัวเขาถึงเพียงนี้ ?

คำตอบของคำถามไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ทราบ  เจ้าเมืองอู๋เล่ยเพียงตอบได้ประการหนึ่งคือแรงยึดเหนี่ยวเช่นนี้ไม่สามารถถูกสถานการณ์ตกเป็นรองทำลายไป  เพราะกว่าจะมีวันนี้ ฉีเซี่ยงหยวนสร้างบันไดของเขาขึ้นมาทีละขั้น  ค่อยๆปลูกต้นไม้ใหญ่ที่มีชื่อว่าความเชื่อมั่นขึ้นมาอย่างอดทน  ทั้งความเชื่อมั่นในตัวเอง...และความเชื่อมั่นที่ผู้อื่นมีต่อเขา...

หลังจากมองกองทัพในมือของตัวเอง  ในใจขององค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนหลงเหลือความกังวลเพียงประการเดียว  คนทรยศเป็นใคร ?  หากก่อนถึงเมืองหลวงฉีเซี่ยงหยวนยังระบุตัวคนผู้นี้ไม่ได้  เขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
---------------------
ตำหนักหรูหราใหญ่โต  ตกแต่งอย่างเลอเลิศขององค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิง  ภายนอกยังคงดูเป็นเช่นปรกติ  แต่ ณ ห้องส่วนตัวของผู้เป็นเจ้าของ  ประตูทุกบาน หน้าต่างทุกช่องถูกปิดมิดชิด  เหล่านางกำนัลประจำต่างกลับไปอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง  ในห้องกว้างใหญ่เหลือเพียงฉีเซี่ยงหมิงกับคนสนิททั้งสาม  เพราะนี่คือการสนทนาที่ทุกอย่างต้องเป็นความลับ

“หลู่เอ้อ  สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” ฉีเซียงหมิงที่นั่งอยู่สูงกว่าผู้อื่นถามขึ้น
“ตั้งแต่องค์ชายสี่ออกจากเมืองอู๋เล่ยเมื่อ 5 วันก่อน  ร่องรอยของเขาก็อยู่ในสายตาฝ่ายเราโดยตลอด  ถึงแม้สายภายในยังไม่มีโอกาสส่งข่าวออกมา  แต่สายที่อยู่รอบนอกก็มีรายงานมาเป็นระยะๆ  อีกไม่นานฝ่ายตรงข้ามจะเข้าเขตเมืองใหญ่  ถึงตอนนั้นการป้องกันข่าวสารรั่วไหลจะยากขึ้น  สายภายในคงสามารถส่งข่าวออกมาได้ภายในสองสามวันนี้”

“ทางพระบิดาเล่า” ฉีเซี่ยงหมิงซักอีก
“ทางเป่ยชางอ๋องมีการเคลื่อนไหวสองครั้งด้วยกัน  ครั้งแรกเป็นตอนฉีเซี่ยงหยวนกรีฑาทัพหนึ่งหมื่นห้าพันนายบุกแคว้นเหลียน  ก็มีพระบัญชาให้แม่ทัพใหญ่หยงเซี่ยตรึงกำลังสองหมื่นอยู่ที่ชายแดนระหว่างสามแคว้นใหญ่  อีกคราวคือเมื่อหลายวันก่อนที่มีพระบัญชาให้คนของฉีเซี่ยงหยวนเข้าประจำในวัง หลังจากนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดอีก” คราวนี้คนตอบคือบุรุษที่อยู่ในชุดขุนนาง
“ขนาดข้าโยกทหารก็ยังไม่เคลื่อนไหว ?”
“ขอรับ”
คนเป็นนายเหนือหัวคลี่ยิ้มอย่างสบใจ
“การโยกแม่ทัพใหญ่หยงไปประจำชายแดน  นอกจากป้องกันการฉวยโอกาสของแคว้นหนานเหมินกับแคว้นโหยวเฉิง  ยังช่วยให้แผนการของเราสะดวกขึ้นอีกมาก  พระบิดาคิดการรอบคอบจริงๆ”

ถึงแม้เป่ยชางอ๋องจะไม่ได้ช่วยเหลือโดยตรง  แต่การออกพระบัญชาแล้วนิ่งดูดายเช่นนี้เท่ากับเปิดโอกาสให้ฉีเซี่ยงหมิงจัดการกับฉีเซี่ยงหยวน  และถ้าจะว่ากันตามจริง...พระบัญชาทั้งสองครั้งแฝงการล้วนเอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายฉีเซี่ยงหมิงทั้งสิ้น 
เพียงแต่...  คนเป็นองค์ชายรองหรี่ตาลง  มิอาจไม่ยอมรับว่ายิ่งขิงแก่ยิ่งเผ็ดร้อน  ทัพของหยงเซี่ยนอกจากมีกำลังพลมากที่สุด  ยังเป็นทัพที่จงรักภักดีที่สุด  มีทัพนี้อยู่  ไม่ว่าฉีเซี่ยงหมิงหรือฉีเซี่ยงหยวนคิดทำอะไรออกนอกลู่นอกทางก็ต้องคิดให้มากเข้าไว้  ประการสำคัญคือหากกำจัดฉีเซี่ยงหยวนลงได้  ท่าทีวางเฉยที่เป็นมาตลอดของเป่ยชางอ๋องยังทำให้สามารถยกความผิดทั้งหมดให้กับฉีเซี่ยงหมิง  ใช้เป็นข้ออ้างลิดรอนอำนาจ  ส่วนเป่ยชางอ๋องก็จะได้อำนาจทั้งหมดคืนมาโดยไม่ต้องเสียทหารแม้แต่คนเดียว !

แต่ก็นั่นแหละ... พระบิดาออกจะมองเรื่องราวง่ายไปสักหน่อย  น้ำไกล...ดับไฟใกล้ได้หรือ ?

ในใจครุ่นคิด  ปากกล่าวถาม
“ทางเมืองสวีเป็นอย่างไรบ้าง”
คราวนี้คนตอบเป็นคนสนิทในชุดทหาร
 “หลังรอพวกที่ถูกเราไล่ต้อนเข้าเมืองไปทั้งหมด  ก็ล้อมไว้ตามคำสั่งองค์ชายรอง”
ฉีเซี่ยงหมิงได้ฟัง ดวงตาปรากฏแววพึงพอใจ  พึมพำว่า
“กำลังในเมืองหลวงที่ถูกต้อนไปแม้มีไม่มาก แต่เมื่อรวมกับบรรดาขุมกำลังรอบนอกและทหารเมืองสวีกลายเป็นหกพันเศษ  ข้าอยากจะรู้นักว่าเสบียงในเมืองสวีจะเพียงพอไปจนถึงเมื่อไหร่”

นี่เป็นแผนต่อเนื่องตามกัน  เริ่มจากกำจัดสายข่าวทั้งหมดของฝ่ายตรงข้าม  เมื่อไม่มีสายข่าวกลุ่มนี้  ฉีเซี่ยงหมิงคิดทำอันใดก็ปราศจากข้อกริ่งเกรงอีก  หลังตัดขาดการติดต่อ โดดเดี่ยวขุมกำลังในเมืองหลวงของฉีเซี่ยงหยวน วันถัดมาเข้าโจมตีศูนย์กลางอำนาจ  มู่ซางกับฝงเป่าแม้สามารถรวมพลฝ่าหนีออกไปตั้งมั่นที่เมืองสวี  แต่หลังจากถูกล้อม  เมืองสวีก็ตกอยู่ในสภาพไม่อาจรับข่าวสารจากภายนอก  ไม่อาจส่งข่าวขอความช่วยเหลือไปยังกำลังหลักที่แคว้นเหลียน  ไม่อาจกระทั่งขนถ่ายเสบียงจากเมืองข้างเคียง  ไม่ต่างอะไรกับเมืองที่ถูกปิดตาย

“แต่การล้อมไว้เช่นนี้ทำให้เราสูญเสียทหารไปส่วนหนึ่งนะขอรับ” หลู่เอ้อแย้ง
“นั่นยังไม่ถึงครึ่งของกำลังพลฝ่ายเรา  อีกอย่าง...ทั้งฝงเป่า  ทั้งมู่ซางต่างอยู่ที่นั่น  การตีเมืองสวีไม่ใช่เรื่องง่าย  รอให้ข้ากำจัดฉีเซี่ยงหยวนก่อน  คนแซ่มู่จะเปลี่ยนเป็นไร้พิษสง  ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าสามารถยึดเมืองสวีได้โดยไม่ต้องเสียทหารแม้แต่คนเดียว”
ฝงเป่ากับมู่ซางเป็นลูกน้องคนสำคัญของฉีเซี่ยงหยวนที่ถูกใช้ให้ประจำอยู่ในแคว้นเป่ยชาง  การนำทหารของฝงเป่า เล่ห์กลของมู่ซาง ต่างเป็นสิ่งที่ลูกน้องทั้งสามของฉีเซี่ยงหมิงได้รับทราบมาอย่างครบถ้วน  โดยเฉพาะมู่ซาง  หลังปิดประตูเมืองงมหาตัวอยู่ครึ่งค่อนวัน  ไปเจออีกทีโน่น...อยู่ที่เมืองสวี  บรรดาทหารที่เสียแรงเปล่าอยู่เป็นนาน  ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน  กระเหี้ยนกระหือรืออยากเข้าตีเมืองสวีตั้งแต่หลายวันก่อน

ลูกน้องทั้งสามหลังฟังคำนายเหนือหัวก็พยักหน้าเห็นด้วย  เมืองสวีมีชัยภูมิเอื้อต่อการตั้งรับ  การตีให้แตกเป็นเรื่องยาก  ยิ่งคนรักษาเมืองเป็นมู่ซางกับฝงเป่า  ถึงแม้อาจตีแตกได้  แต่เจ้าคนแซ่มู่ก็ต้องเรียกค่าตอบแทนคืนจนสาแก่ใจเสียก่อน  ทางที่ดีที่สุดคือล้อมเอาไว้รอจนฉีเซี่ยงหยวนพ่ายแพ้  มู่ซางจะไม่มีทางอื่นนอกจากยอมสวามิภักดิ์

ฉีเซี่ยงหมิงเอนกายพิงพนักอย่างผ่อนคลาย  สายตาเย่อหยิ่งเย็นชาดูอ่อนโยนอย่างประหลาด  แต่สายตาเช่นนี้แหละที่ทำให้คนสนิททั้งสามถึงกับเหงื่อซึม  ฉีเซี่ยงหมิงไม่เหมือนฉีเซี่ยงหยวน  เวลาฉีเซี่ยงหยวนคิดตัดหัวคนจะมีอำนาจเย็นเยียบบางอย่างที่แผ่ออกมาพร้อมกับความกดดัน  แต่เวลาที่ฉีเซี่ยงหมิง คิดตัดหัวคนจะเป็นเวลาที่สายตาฉีเซี่ยงหมิงอ่อนโยนที่สุด  ยิ่งอ่อนโยน...ผลลัพธ์ของคนที่จะถูกตัดหัวยิ่งน่าสยดสยอง

ฉีเซี่ยงหมิงมีความมั่นใจ  แผนการถูกวางทีละชั้นๆ  ฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้รับข่าวสารใดทั้งสิ้น  การล้อมเมืองเป็นไปอย่างเงียบเชียบ  เมื่อฉีเซี่ยงหยวนมาถึง  จะเป็นเวลาเดียวกับที่ได้รู้ว่าอำนาจในมือได้หลุดลอยไปตลอดกาล

เพราะนอกจากการล้อมเมืองสวี  ฉีเซี่ยงหมิงยังมีหมากอีกตาที่ร้ายกาจยิ่งกว่า...
--------------
เวลาล่วงเข้าสู่ยามวิกาล  ฟากฟ้าคล้ายผ้าสีดำผืนมหึมาขึงกางไว้  พิราบสีเทากางปีกโบยบินขึ้นไป  แหวกฟากฟ้าสีดำด้วยปลายปีกสีเทาหม่น  ดูไปกลมกลืนจนแทบแยกไม่ออก  ขณะพยายามเพ่งมอง  มันก็โผบินจากไปไกลลิบแล้ว

“ส่งไปเรียบร้อยหรือไม่” คำถามดังมาในความมืด
“เรียบร้อยแล้วขอรับ” คนตอบเป็นบุรุษที่เมื่อครู่เพิ่งปล่อยพิราบในมือไป
“ดี” คนกล่าวเดินออกมาจากเงาชายคา  ชะโงกหน้าออกไปนอกระเบียงยาว  ดูจนแน่ใจว่าท้องฟ้าเหลือแต่ความว่างเปล่า  จึงเอ่ยปากว่า
“เจ้าไปได้แล้ว”
“ยังไปไม่ได้” เสียงคุ้นเคยดังออกมาจากเงามืดอีกฝั่งของระเบียง  คุ้นเคยจนคนออกคำสั่งเมื่อครู่ชะงัก  ส่วนคนปล่อยนกพิราบตัวแข็งทื่อมือชาไปแล้ว  เท้าแม้คิดหลบหนี  แต่เมื่อคนบงการยังไม่ไป  คนเป็นลูกน้องไหนเลยหนีหน้าไปได้

“ดึกป่านนี้ ท่านอ๋องน้อยยังไม่นอนอีกหรือ” เสียงถามราบเรียบ  ที่ไม่คิดหนี  อาจบางทีเพราะทราบ...อย่างไรก็หนีไม่พ้น
“ข้ากลับหวังว่าเจ้านอนไปแล้ว”
คนที่ถูกหวังให้นอนแต่ยังไม่นอน เหลียวหน้ากลับมา...เป็นหลิวฉางเฟย ...!
“...ที่แท้ท่านไม่ไว้ใจข้า  ให้คนจับตาดูไว้” คำกล่าวเฉื่อยชา
“คนสำคัญทุกคนล้วนมีคนคุ้มครอง  และก็ใช่...มีคนจับตาดู  ก่อนการเปิดศึกข้าจะไม่เสี่ยงกับอะไรทั้งนั้น  ทั้งเรื่องแม่ทัพคนสำคัญถูกลอบฆ่า  และก็เรื่อง...ไส้ศึก”
“ยอดเยี่ยม  แม้แต่ข้ายังไม่รู้ตัว” รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากคนกล่าวาจาช้าๆ
“แต่ข้าหวังจริงๆนะ...ว่าจะไม่ใช่เจ้า” ขณะกล่าวทหารจำนวนหนึ่งผุดขึ้นอย่างเงียบเชียบราววิญญาณราตรี  ล้อมทั้งหมดเอาไว้  หลิวฉางเฟยคาดไม่ผิดจริงๆ  ไม่มีทางหนีได้  เพียงฉีเซี่ยงหยวนปรากฏตัว  หลิวฉางเฟยก็รู้...ทุกประการเตรียมพร้อมหมดแล้ว
---------------------
เสียงย่ำกลองเป็นจังหวะ ดังก้องทั่ววังหลวงของแคว้นเป่ยชาง  ความปั่นป่วนวุ่นวายกระจายตัวออก  เมื่อคนสนิทของฉีเซี่ยงหมิงนำคำรายงานมาถึงนายเหนือหัวว่า

‘มู่ซางยังอยู่ในวังหลวง’

ข่าวนี้น่าแตกตื่นอย่างยิ่ง  เพราะเมื่อคราวกวาดล้างอิทธิพลของฉีเซี่ยงหยวนให้หมดไปจากวังหลวง  มีการตรวจค้นไปทั่ววัง แสดงว่ามีคนให้ที่ซุกซ่อนแก่มู่ซาง  และก็ใช้วิธีอะไรซักอย่างหลุดรอดการตรวจค้นไปได้ 
เพียงแต่การซุกซ่อนไม่ตลอดรอดฝั่ง  สุดท้ายกลับมีคนพบเห็น  ฉีเซี่ยงหมิงให้คนสนิทตามรอยไป  สุดท้ายจึงพบพรรคพวกอีกจำนวนมาก  ตอนนี้จึงมีคำสั่งให้ปิดประตูวัง นำคนเข้าจับกุม
---------------------
ทางด้านมุมหนึ่งของวัง ที่กำแพงติดกับรั้ววังตะวันออก  คนผู้หนึ่งกำลังปีนป่ายอยู่บนกำแพง  จ้องเขม็งไปยังหอกลองซึ่งตีระรัว
“ไม่ต้องจ้องแล้ว  รีบลงมาก่อนถูกพบเห็น  เป็นคำสั่งปิดประตูเมือง” คนออกคำสั่งเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดที่ยืนอยู่ด้านล่าง  กำลังนิ่วหน้าขณะเงี่ยหูฟังจังหวะกลอง  แต่ดูเหมือนเขาจะมีความคุ้นชินอย่างยิ่ง  เสียงสับสนถึงเพียงนี้ยังสามารถแยกออกว่าเป็นจังหวะสัญญาณอะไร

คนบนกำแพงรีบตะกายลงมา  กล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า
“เมื่อครู่ปิดประตูวัง  ตอนนี้ปิดประตูเมือง  เป็นไปได้อย่างไร  ต่อให้เป่ยชางอ๋องหลับตาข้างลืมตาข้าง  ทั้งสองคำสั่งนี้ก็ไม่อาจมาจากองค์ชายรองเด็ดขาด”
เด็กหนุ่มผู้นั้นหน้าเคร่งเครียดลง  ตอบว่า
“แสดงว่าสถานการณ์อยู่ในสภาพสาหัสที่สุด  ฉีเซี่ยงหมิงกุมอำนาจในวังแล้ว”
“แสดงว่า...แสดงว่า...” เสียงพูดของคนปีนกำแพงสั่นสะท้าน
“ก็แสดงว่าฉีเซี่ยงหมิงมิใช่องค์ชายรอง  แต่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนแล้วไงเล่า”
ในที่สุดสิ่งที่หวั่นเกรงก็มีหลักฐานยืนยันแน่นอนแล้ว  เพียงแต่ถึงแน่ใจก็ไม่มีปัญญาส่งข่าวออกไป  การรักษาการณ์กวดขัน  อันตรายคืบใกล้เข้ามาทุกขณะ
“ท่านมู่  ฝ่ายเราสมควรทำอย่างไรต่อไป” ลูกน้องคนหนึ่งกล่าวถาม  ที่แท้เด็กหนุ่มผู้นี้คือมู่ซาง  หนึ่งในห้าลูกน้องคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวน  คนอื่นๆที่รายล้อมต่างสีหน้าตื่นเต้นตึงเครียด  มีเพียงมู่ซางที่สงบเยือกเย็นจนแทบไม่ต่างกับอากัปกิริยาปรกติ  ทำสัญญาณให้เงียบเสียงลง  ตัวเองเงี่ยหูแยกแยะเสียงกลองอีกครั้ง

“ฝ่ายตรงข้ามระดมพลแล้ว  อีกไม่นานที่นี่จะถูกตรวจค้นอย่างละเอียดยิบ  ให้คนไปบอกพวกเราที่ซ่อนตัวอยู่ในอุทยาน  ว่าเราจะตีฝ่าออกไป”
“ขอรับ” คนรับคำสั่งรีบรุดจากไป น่าแปลก...ไม่มีใครคัดค้าน  ถึงแม้จะเป็นแผนการที่เสี่ยงอย่างยิ่ง  ซ้ำยังมีท่าทีจะล้มเหลวมากกว่าสำเร็จ  อาจบางทีนี่เป็นหนทางที่ดีที่สุด...

=============
วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน  กระต่ายตายฆ่าสุนัขล่าเนื้อ (อันนี้คือฉบับเต็ม) หมายถึง หมดประโยชน์ก็กำจัดทิ้ง  เหมือนยิงนกหมดป่าแล้วก็ไม่ต้องใช้เกาทัณฑ์อีก  ล่ากระต่ายได้ก็ฆ่าหมาล่าเนื้อ  ถ้าฉบับไทยก็คือเสร็จนาฆ่าโคถึก  เสร็จศึกฆ่าขุนพลนั่นเอง
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 18
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 06-08-2014 22:02:55

บทที่ 18 ลูกกตัญญู

“ยังจับตัวไม่ได้อีกหรือ” เสียงฉีเซี่ยงหมิงดังลอยมา
“ขอรับ” หลู่เอ้อรายงาน
ได้ฟังคำคนสนิท  ผู้เป็นนายก็ลุกขึ้นยืน
“แม่ทัพกั่ว  อำมาตย์สือ  บางทีนี่คงได้เวลาไปขอตราอาญาสิทธิ์จากพระบิดาแล้ว”
คนรับคำคือคนสนิทที่คนหนึ่งสวมชุดทหาร  อีกคนใส่ชุดขุนนางตามลำดับ  ขอเพียงได้ตราอาญาสิทธิ์  อำนาจสั่งการทหารของเป่ยชางอ๋องจะกลายเป็นของฉีเซี่ยงหมิง  ฉีเซี่ยงหมิงมิได้พูดผิด ทหารที่ล้อมเมืองสวียังไม่ถึงครึ่ง  เพราะหากรวมทหารของเป่ยชางอ๋องเข้าด้วย  ฉีเซี่ยงหมิงจะมีกำลังพลทั้งหมดเกือบสี่หมื่น !

“หลู่เอ้อ  เจ้าสั่งการเรื่องการจับกุมมู่ซางต่อไป  ...ฉีเซี่ยงหยวนจะมาถึงวันไหน”
“ข่าวล่าสุดบอกว่าภายในสองวันนี้ขอรับ”
“งั้นข้าคงต้องไปเตรียมตัวต้อนรับเขากลับแคว้นเสียหน่อย”
มีเสียงคนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา  ฉีเซี่ยงหมิงที่กำลังจะเดินออกไปจึงหันมามอง  กล่าวถาม
“มีเรื่องอะไร”
“พวกมู่ซาง...กำลัง...จะฝ่าออกจากวังแล้วขอรับ” คำรายงานขาดเป็นห้วงๆ จากอาการหายใจหายคอไม่ทัน
“อะไรนะ” สีหน้าที่เรียบเฉยของฉีเซี่ยงหมิงมีแววแปลกใจ  กับการกระทำที่ดูเหมือนจะใช้หัวแม่เท้าคิดนี้
“ข้าว่ามันต้องมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงแน่” คนถูกเรียกเป็นอำมาตย์สือออกความเห็นทันควัน
“ข้าก็อยากรู้ว่าคนแซ่มู่จะมีอะไรแอบแฝงอีก  แต่ตอนนี้เราไปเอาตราอาญาสิทธิ์มาก่อน” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหมิงมีแววรื่นรมย์  แต่ประกายตากลับเย็นชา  ขอเพียงจับตัวได้  มู่ซางจะมีทางเลือกหนึ่งเดียว...ตาย !  เพราะคนผู้นี้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับฉีเซี่ยงหมิงมามากพอแล้ว...
---------------------
ทางกำแพงวังตำแหน่งใกล้กับประตูทิศตะวันออก  องครักษ์วังหลวงกำลังรายล้อมคนจำนวนหนึ่ง  ที่ตอนแรกคงมีเกือบสามสิบคน  แต่ตอนนี้เหลือเพียงไม่ถึงยี่สิบคนแล้ว

“คนแซ่มู่ ยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ” เสียงดังมาจากเหนือกำแพงวัง  มู่ซางเงยหน้าขึ้นไปก็พบองค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิงที่กำลังก้าวลงมาช้าๆ  สองข้างตามติดด้วยแม่ทัพกั่วกับอำมาตย์สือ 
“ก็ข้ายังไม่แพ้  จะยอมแพ้ไปทำไม” มู่ซางกล่าวตอบ  ท่าทีปลอดโปร่งราวเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านตัวเอง
 “ข้าแม้ยังไม่แน่ใจว่าน้องสี่มีแผนการจะทำอะไร  จึงส่งพวกเจ้ามาหาที่ตายอยู่ในวังหลวง แต่เมื่อจับเจ้าได้  ก็ไม่กลัวเจ้าไม่คายออกมา  พลธนู” ในเสียงเรียกทหารบนกำแพงยกธนูขึ้นพาดสาย  ธนูทุกดอกเล็งไปยังมู่ซางซึ่งยืนอยู่กลางวงล้อม
“องค์ชายรองต้องการถามข้ามิใช่หรือ  คนตายพูดไม่ได้  ท่านสั่งยกธนูขึ้นพาดสายทำอะไร” หน้าตามู่ซางยังคงเป็นปรกติ  ปากกวนประสาท  แต่ขมับชักจะมีเหงื่อซึม  พวกนั้นมัวทำอะไรอยู่  เหตุใดจึงช้าเช่นนี้!
ฉีเซี่ยงหมิงได้ฟังก็เหยียดยิ้ม  กล่าวว่า
“เจ้าคงไม่อยากรู้ว่าข้าจะทำอะไร  ข้าให้เวลานับหนึ่งถึงสิบ  ถ้าไม่บอกออกมาเจ้าจะได้ตายแบบเม่น  ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่รักชีวิต  หลิวฉางเฟยใช่  ฝงเป่าใช่  แต่เจ้าไม่ใช่”
“ในเมื่อองค์ชายรองก็ทราบนิสัยของข้าดี  ดังนั้นสมควรทราบ  ข้าไม่ได้มาหาที่ตายในนี้แน่”
ทันใดนั้นก็มีเสียงรัวกลอง  กับฝีเท้าม้าดังสับสน  ฉีเซี่ยงหมิงขมวดคิ้ว  มีม้าได้ยังไง  เขายังไม่ได้เรียกรวมพลทหารม้า...หรือว่า...
“ตอนท่านมัวยุ่งวุ่นวายอยู่กับข้า  ทหารม้าก็ลอบเข้าเมืองมา  หากท่านยังไม่ไป ที่นี่จะถูกล้อมแล้ว”
คำเฉลยจากมู่ซางทำให้ฉีเซี่ยงหมิงหรี่ตาลง  ยกมือสั่งการว่า
“ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้  เก็บชีวิตเจ้าไว้ก็ไม่มีประโยชน์  ทหาร !...”
มู่ซางรีบกล่าวสวนว่า
“คนผู้นี้คุมขังต้าอ๋อง  ยึดตราอาญาสิทธิ์  ทำตัวเป็นกบฏ  พี่น้องทั้งหลายเหตุใดต้องไปฟังคำสั่งเขา”
“หุบปาก  ทหาร !...”
มู่ซางรู้ว่าจะให้ฉีเซี่ยงหมิงเอ่ยคำว่า ‘ยิง’ ออกมาไม่ได้เป็นอันขาด  โชคดีที่เรื่องการสวนประโยคชาวบ้านนับเป็นงานถนัดของเขา  ฉีเซี่ยงหมิงพูดไม่ทันจบคำก็ถูกสวนว่า
“ท่านจะเอาชีวิตข้าก็ได้  แต่ข้าเป็นห่วงชีวิตท่าน  องค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนยกทัพเข้ามาแล้ว  หากท่านมัวแต่ยุ่งอยู่กับข้า  ไม่ไปคุมสถานการณ์  ท่าทางตำแหน่ง ‘ผู้สำเร็จราชการ’ ของท่านจะง่อนแง่นแล้ว” คนผู้นี้พูดจายุยงอยู่ทุกคำ  ทุกประโยคนอกจากส่อไปในแง่ยึดอำนาจมาโดยไม่ชอบของฉีเซี่ยงหมิงแล้ว  ยังเอ่ยถึงฉีเซี่ยงหยวนซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่า  ไม่มีใครในแคว้นเป่ยชางไม่ทราบความน่ากลัวขององค์ชายสี่

“พูดจาเหลวไหล  กว่าฉีเซี่ยงหยวนจะมาถึงก็อีก 2 วัน  ศพของเจ้าก็เน่าเหม็นพอดี  ทหาร !...”
“ศพผู้ใดในฤดูใบไม้ร่วงเน่าเหม็นภายในสองวัน  ต่อให้ท่านไม่มีปัญญาก็สมควรมีความรู้ขั้นพื้นฐาน”  คราวนี้เป็นยั่วโมโหโจ่งแจ้ง  มู่ซางรู้  ยิ่งโจ่งแจ้งเท่าไหร่ฉีเซี่ยงหมิงยิ่งมีสติเท่านั้น  ฉีเซี่ยงหมิงเป็นคนฉลาด  ความโกรธอาจจะเกิดขึ้นแต่ครอบงำเขาไม่ได้  ตอนนี้สิ่งที่มู่ซางหวังคือฉีเซี่ยงหมิงรีบมีสติโดยไว ขอเพียงฉีเซี่ยงหมิงมีสติ  จะทราบว่ายังไม่ใช่เวลาจัดการมู่ซาง
เสียงฝีเท้าม้าจำนวนมากดังใกล้เข้ามาทุกที  กดดันให้ฉีเซี่ยงหมิงต้องข่มอารมณ์ลง ถ้าฉีเซี่ยงหมิงไม่ต้องการให้แผนการหลุดจากกรอบที่วางไว้  ก็ต้องไปเดี๋ยวนี้  ไม่อาจกระทำเรื่องราวตามอารมณ์  เพราะการอยู่หรือตายของมู่ซาง  สำคัญน้อยกว่าผลลัพธ์สุดท้ายระหว่างเขากับฉีเซี่ยงหยวนมากนัก  แม้แต่วินาทีเดียวที่เสียไปก็ไม่คู่ควร  มิน่าเล่ามู่ซางจึงบอกว่าไม่ได้มาหาที่ตาย  เพราะมู่ซางมั่นใจว่าฉีเซี่ยงหมิงจะไม่เสียเวลามาจัดการกับเขา

“พวกเรา...ไป”  ฉีเซี่ยงหมิงทราบแล้วว่ามู่ซางเข้าวังมาทำอะไร  ก่อความวุ่นวายเบี่ยงเบนความสนใจ...ลอบเปิดประตูเมือง!  ยังหรอก  ก็แค่การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของพวกฉีเซี่ยงหยวนที่เหลืออยู่ในแคว้นเป่ยชาง  ขอเพียงเขากุมสถานการณ์เอาไว้ได้  ยังมีวันตายเหมาะๆให้กับเจ้าคนแซ่มู่อีกหลายวันนัก...
---------------------
เมื่อฉีเซี่ยงหมิงไปถึงประตูวังทิศใต้ สถานการณ์ก็วุ่นวายมากแล้ว  ทหารม้าจำนวนนับไม่ถ้วนไหลทะลักเข้ามาทางประตูวังที่เปิดกว้าง
“ทหาร  ปิดประตูวัง!” คำสั่งออกจากปากฉีเซี่ยงหมิงได้ไม่ทันไร  ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังว่า
“ท่านใช้อำนาจใดปิดประตูวัง”
ฉีเซี่ยงหมิงหันขวับกลับไป  พบเจ้าเด็กตายยากปากไม่ดีนั่นอีกครั้ง
“คนแซ่มู่  มาหาที่ตายอีกแล้วรึ”
“นั่นก็ต้องดูว่าตอนนี้ท่านมีปัญญาทำได้รึเปล่า” ตอนนี้มู่ซางอยู่ท่ามกลางกองทหารม้าแน่นหนา  คิดเข้าถึงตัวเขาไม่ง่ายดายอย่างเมื่อครู่อีกแล้ว
ฉีเซี่ยงหมิงขี้เกียจต่อปากต่อคำด้วย  ร้องสั่งว่า
“ปิดประตูวัง !” แต่ยังไม่ทันที่องครักษ์วังหลวงจะขยับเข้าโจมตีทหารม้าที่ขวางระหว่างประตู  เสียงมู่ซางก็ดังขึ้นอีกว่า
“พวกเจ้ากล้าปิดประตูใส่เลือดเนื้อเชื้อไขของเป่ยชางอ๋องหรือ”
ฉีเซี่ยงหมิงหัวเราะ  ทวนคำ
“เลือดเนื้อเชื้อไข  เลือดเนื้อเชื้อไขใดกัน”
“ข้าเอง” คราวนี้เสียงดังมาจากนอกประตู  คนผู้หนึ่งควบมาสีดำปลอดเข้ามาช้าๆ
“บ้าชัดๆ” คำสบถหลุดออกจากปากองค์ชายรองที่สุภาพระวังคำพูดตลอดมา  ดวงตาของฉีเซี่ยงหมิงเบิกค้าง  มองเงาร่างบนอาชาสีดำที่คุ้นเคยจนบาดตา  เป็นไปไม่ได้  ข่าวสารของเขาผิดพลาดได้อย่างไรกัน  เหตุใดฉีเซี่ยงหยวนจึงมาถึงวันนี้ !
“พี่รอง  ดูท่านอารมณ์ไม่ค่อยดีเลยนะ” เสียงที่คุ้นเคยจนบาดหูทัก
ฉีเซี่ยงหมิงกดอารมณ์ให้เยือกเย็นลง  กล่าวเสียงเย็นชาว่า
“ยกทหารเข้ามามากมายปานนี้  คิดจะทำอะไร” ตอนแรกฉีเซี่ยงหมิงยังเข้าใจว่าเป็นกองกำลังที่หลุดรอดอยู่นอกเมืองสวี  แต่พอฉีเซี่ยงหยวนปรากฏตัวก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว  นี่เป็นทัพใหญ่  ทัพเดียวกับที่ยกไปแคว้นเหลียน !
“องค์ชายสี่หลังมีชัยเหนือแคว้นเหลียน  จะยกทัพกลับก็เป็นเรื่องชอบด้วยเหตุผล” เสียงนี้ย่อมเป็นของมู่ซาง
“หึ  ฝ่าเข้ามาแบบนี้เนี่ยนะ ชอบด้วยเหตุผล  องค์ชายสี่คิดกบฏ  ทหาร!”
“ใครกันแน่ที่คิดกบฏ  พวกท่านลงมือกับต้าอ๋อง  ยึดตราอาญาสิทธิ์  เจตนาเป็นที่ชัดแจ้ง  พี่น้องทั้งหลาย  อย่าไปฟังคำสั่งโจรกบฏ” มู่ซางสมเป็นมู่ซาง  ประโยคนี้ทั้งกล่าวหา  ทั้งบอกเล่าสภาพที่เกิดขึ้นให้ฉีเซี่ยงหยวนทราบ
“คิดไม่ถึงน้องสี่จะชุบเลี้ยงคนกล่าวหาผู้อื่นอย่างเหลวไหล ด้วยเจตนาต่ำทรามเช่นนี้เอาไว้” คำพูดนี้อนุญาตให้ฉีเซี่ยงหยวนตอบเพียงคนเดียว  มู่ซางต้องหุบปากไป
“พี่รอง ท่านใช้คำว่ากล่าวหาอย่างเหลวไหลหรือ ?  เหตุใดไม่เชิญพระบิดาออกมาตัดสิน” คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนราบเรียบแต่ร้ายกาจยิ่ง  ทั้งสองฝ่ายต่างทราบ  ฉีเซี่ยงหมิงไม่อาจเชิญเป่ยชางอ๋องออกมาตัดสินเด็ดขาด
“เรื่องทหารเล็กๆเช่นนี้  จำเป็นต้องถึงพระบิดาหรือ  น้องสี่  เจ้าก็ทราบหลายปีมานี้สุขภาพของพระบิดาไม่ค่อยดี  ถ้ามิใช่เรื่องสำคัญจะไม่ออกว่าราชการ” เป็นว่าหากฉีเซี่ยงหยวนยังดึงดันต่อไป  เท่ากับไม่คำนึงถึงสุขภาพพลานามัยของเป่ยชางอ๋อง
“นี่มิใช่เรื่องเล็ก  แต่เป็นเรื่องที่ว่าใครกันแน่เป็นโจรกบฏ” ประโยคนี้ร้ายแรงยิ่งกว่า  เท่ากับระบุชัดๆว่ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นโจรกบฏ  แสดงเจตนาคิดแตกหัก  ไม่ยอมประนีประนอมอีก  เมื่อผู้นำทั้งสองฝ่ายต่างออกปากว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นโจรกบฏ  ทหารทุกคนก็ทราบว่าเรื่องราวไม่อาจถอยแล้ว  ดาบทวนถูกกุมกระชับมั่น
“แต่เรื่องคราวนี้คงให้พระบิดาตัดสินไม่ได้  เพราะพระบิดาประชวรหนัก  เพิ่งเรียกข้าเข้าพบ  เพื่อรับมอบอำนาจบริหารราชการแทนชั่วคราว  ดังนั้นตอนนี้คนที่มีอำนาจตัดสินใจจึงเป็นข้า ...แต่เกรงว่าเจ้าคงจะไม่พอใจ” คำพูดนี้แก้ประโยคก่อนหน้าของมู่ซางที่ว่าฉีเซี่ยงหมิงกักขังต้าอ๋อง ยึดตราอาญาสิทธิ์  เป็นว่าเขาได้รับมอบอำนาจมาโดยถูกต้อง
“พระบิดาประชวรหนัก ? ...เป็นไปได้อย่างไร  ตอนที่ข้าจากไปพระพลานามัยยังดีๆอยู่เลย” น้ำเสียงมีแววสงสัยระคนเป็นห่วงอย่างจริงใจ ได้ยินก้องอยู่ในหูทหารทุกผู้ที่อยู่รายรอบ
“เรื่องนี้หมอหลวงสามารถอธิบายให้เจ้าฟังได้  ข้าก็กังวล น้องสี่ พระอาการทรุดลงเมื่อเช้า” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหมิงก็มีแววกังวลอย่างจริงใจเจืออยู่เช่นกัน  พี่น้องคู่นี้เล่นบทลูกกตัญญูเป็นจริงเป็นจัง  จนมู่ซางบนหลังม้ากลั้นหัวร่อจนแทบตกม้าตาย  มือข้างที่กุมบังเหียนสั่นกระตุกๆอยู่หลายครั้ง  ร่ำๆจะหลุดหัวเราะออกมาอยู่รอมร่อ  แอบตัดสินในใจว่ายกนี้ต้องยกให้องค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิงเป็นฝ่ายชนะ

เพราะทุกคนต่างทราบดีว่าเป่ยชางอ๋องโปรดปรานลูกคนรองถึงเพียงไหน  ส่วนฉีเซี่ยงหมิงก็ห่วงใยพระบิดาเป็นที่สุด  ถึงเก้าสิบเก้าส่วนจากร้อยส่วนจะเป็นจะเป็นเสแสร้งขึ้นมาก็เถอะ  แต่ก็นับว่าเสแสร้งมาอย่างเสมอต้นเสมอปลายยิ่ง  การแสดงครั้งนี้จึงน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนกับพระบิดาค่อนข้างจะห่างเหินกว่า  จึงพ่ายแพ้ไปด้วยประการฉะนี้

“ข้าไม่เชื่อ  ข้าจะเข้าเยี่ยมพระบิดา” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าว  น้ำเสียงไม่ยอมประนีประนอม  ละครฉากนี้ใกล้ปิดฉากเต็มทีแล้ว  ต่างฝ่ายต่างทราบว่าความจริงเป็นเช่นไร  แต่ก็ยังวกอ้อมเป็นวง  เพื่อสร้าง ‘ความชอบธรรม’ ให้กับตัวเอง  การจะได้มาซึ่งอำนาจจำเป็นต้องมี ‘ความชอบธรรม’  ส่วนวิธีการที่จะได้มากลับเป็นเรื่องรองลงไป 

ประการถัดมาคือเพื่อให้ทหารฝ่ายตัวเองประจำที่เตรียมพร้อม 
ฉีเซี่ยงหมิงกำลังใคร่ครวญสถานการณ์  รู้สึกเหมือนหลงลืมอะไรบางอย่าง  อันเป็นต้นเหตุของเรื่องผิดคาดพวกนี้...ช่างเถอะ  ทัพหนึ่งหมื่นห้าพันของฉีเซี่ยงหยวนยังน้อยกว่าทหารในมือของฉีเซี่ยงหมิงตอนนี้อยู่สามพัน  แต่หากใช้ตราอาญาสิทธิ์เรียกทัพหยงเซี่ยที่ประจำชายแดนกลับมาเสริมทันการณ์  ฉีเซี่ยงหยวนจะไม่มีหวังเอาชัย  ทุกประการจึงสิ้นสุดด้วยคำพูด
 “พระบิดาประชวรหนัก  มีคำสั่งไม่ต้องการพบใคร”
“ถอยไป  ข้าต้องการเข้าเฝ้าพระบิดา” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าว  ทหารม้าข้างกายเขาต่างชักม้าขึ้นหน้าสองก้าว  ความกดดันทวี  สถานการณ์ใกล้แตกประทุแล้ว
“ถ้าเจ้าต้องการเข้าเฝ้า  ก็สมควรเลือกเวลาที่เหมาะสมกว่านี้  เอาทหารของเจ้าออกไป  ส่วนตัวเจ้าจะเข้าเฝ้าได้วันไหน  พระบิดาย่อมมีรับสั่งลงมาเอง”
“วันนี้ถ้าข้าไม่ได้พบพระบิดา  ข้าก็จะไม่เชื่อคำพูดท่าน” ทหารฝั่งฉีเซี่ยงหยวนกุมดาบกระชับทวนเตรียมพร้อม
“เจ้าคิดฝ่าฝืนรับสั่งหรือ !” ทหารฝั่งฉีเซี่ยงหมิงกุมดาบน้าวคันธนูเตรียมพร้อม
“องค์ชายสี่  ทุกประการเรียบร้อยแล้ว” เสียงรายงานดังมาจากนอกประตูวัง  แทรกกลางบรรยากาศตรึงเครียดรอบบริเวณ
ฉีเซี่ยงหมิงจำเสียงนี้ได้  หันขวับไปมอง  พบกับเรื่องเหลือเชื่อเรื่องที่สามของวัน 
 ริมฝีปากของฉีเซี่ยงหยวนปรากฏรอยยิ้ม  กล่าวโดยไม่หันไปมองว่า
“ดี  ฝงเป่าเจ้าเข้ามาใกล้ๆนี่  พี่รองของข้าก็คงอย่างรู้รายละเอียดทางเมืองสวีอยู่เหมือนกัน”
“ทำไม...” ฉีเซี่ยงหมิงเบิกตา  มองร่างกำยำสูงใหญ่ก้าวผ่านประตูเข้ามา
 ฉีเซี่ยงหยวนมองท่าทีฝ่ายตรงข้าม  แล้วก็หัวเราะเบาๆ  อธิบายสั้นๆว่า
“ก่อนข้าจะมานี่  พอดีแวะไปพักที่เมืองสวีมาคืนหนึ่ง”
ฉีเซี่ยงหยวนรู้เรื่องเมืองสวี!  เป็นไปได้อย่างไรกัน  ก็สายข่าว... ฉีเซี่ยงหมิงหันขวับไปมองมู่ซาง  แววตาเข้าใจทีละน้อย  ใช่แล้ว คนผู้นี้เอง  มู่ซางไม่อยู่เมืองสวีเพราะต้องทำหน้าที่ส่งข่างสารให้กับฉีเซี่ยงหยวนแทนหูตาที่ถูกเก็บ  การติดต่อระหว่างฉีเซี่ยงหยวนกับขุมกำลังของเขาที่เป่ยชางไม่เคยขาดอย่างแท้จริงมาก่อนเลย
เจ้าเด็กนั่นวิ่งวุ่นอยู่ในวัง  ไม่ได้แค่รอเปิดประตูเมืองเท่านั้น  ยังทำหน้าที่รักษาอำนาจในเงามืดที่ยังหลงเหลืออยู่ของฉีเซี่ยงหยวนเอาไว้  และถ้ายังมีคนของฉีเซี่ยงหยวนหลงเหลืออยู่ในเงามืด...มู่ซางก็จะสามารถหาข่าวการเคลื่อนไหวในวังส่งออกไปด้วย  ดังนั้นมู่ซางจึงปล่อยข่าวว่าตัวเองอยู่เมืองสวีเพื่อให้ฝ่ายฉีเซี่ยงหมิงไม่ทันระวัง  ข้อสำคัญก็คือ หากมู่ซางอยู่เมืองสวี  ฉีเซี่ยงหมิงจะไม่เข้าตีเมืองสวีโดยง่ายดาย

“ข้าน่าจะเฉลียวใจตั้งแต่เห็นเจ้ายังอยู่ในวังหลวง” น้ำเสียงดังลอดไรฟันออกมา
ฉีเซี่ยงหยวนรู้มาตลอดว่าขุมกำลังตัวเองถูกล้อมกักอยู่ที่เมืองสวี  จึงไปคลายวงล้อมที่เมืองสวีก่อน  ภายใต้การกระหนาบทั้งในนอกวงล้อมที่แข็งแกร่งขนาดไหนก็ต้านทานไม่อยู่  ฝีมือที่เด็ดขาดที่สุดคือไม่มีทหารที่ล้อมเมืองสวีคนไหนมีปัญญาส่งข่าวมาถึงฉีเซี่ยงหมิง  ในที่สุดฉีเซี่ยงหมิงก็ได้ลิ้มรสความร้ายกาจของน้องสี่ ผู้ถูกทุกผู้คนหมายหัวเป็นตัวอันตราย

“ข้าซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงตลอดมา  เข้าวังสองสามวันครั้ง  ไม่เคยไปเมืองสวีเลยซักกะครั้ง  พวกท่านหาไม่เจอกันเอง” ฟังคำพูดนี้แล้ว ฉีเซี่ยงหมิงรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ไม่ยิงเจ้าเด็กปากดีให้กลายเป็นเม่นไปเสียก่อน  เรื่องชักจะสาหัส  เมื่อรวมขุมกำลังเมืองสวีเข้ากับทัพใหญ่ของฉีเซี่ยงหยวน  ทำให้กำลังพลของฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นมากกว่าทหารฝ่ายฉีเซี่ยงหมิงที่อยู่ในเมืองหลวง ณ ขณะนี้

แต่ในมือฉีเซี่ยงหมิงมีตราอาญาสิทธิ์  สามารถระดมกำลังทหารจากเมืองรอบนอก  พลิกเป็นฝ่ายกุมชัยขั้นสุดท้าย  ปัญหาคือ...การปรากฏตัวของฉีเซี่ยงหยวนกะทันหันเกินไป  ตอนนี้สิ่งที่ฉีเซี่ยงหมิงต้องการคือเวลา  ฉีเซี่ยงหมิงยังมีความมั่นใจ  ว่าหมากตัวสำคัญที่วางลงไปสามารถช่วยเขาช่วงชิงเวลา  ฉีเซี่ยงหมิงกำลังรอคอยหมากตัวนั้นด้วยความร้อนรุ่มอยู่บ้าง...

“องค์ชาย  ทุกประการเรียบร้อยแล้ว” เสียงของหลิวฉางเฟยดังขึ้น  หากคนพูดกลับปรากฏตัวเคียงข้างฉีเซี่ยงหมิง !  รายงานต่อฉีเซี่ยงหมิง !  มุมปากของฉีเซี่ยงหมิงปรากฏรอยยิ้มโล่งใจ  ดวงตายิ่งอ่อนโยน หมากที่จะช่วยเขาช่วงชิงเวลา...มาแล้ว
แม่ทัพ นายกอง ทุกคนในบริเวณชะงักค้าง  เบิกตากว้าง  ตื่นตระหนกสับสนไปหมด  ฝงเป่าร้องขึ้นเสียงหลง
“หลิวฉางเฟย  นี่เจ้าหมายความว่ายังไง  องค์ชายสี่สั่งให้เจ้าล้อมที่นี่ไว้  แล้วทำไมเจ้า...”
“ข้าก็ว่า ว่าเจ้าหายไปไหน  ที่แท้ได้รับคำสั่งไปล้อมเมือง  ทำได้ดีมาก  เช่นนี้เท่ากับสถานการณ์ตกอยู่ในกำมือเรา” ฉีเซี่ยงหมิงกล่าวกับหลิวฉางเฟยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  ดวงตามีแววสาแก่ใจ  เหลือบมองน้องชายต่างมารดา  คล้ายต้องการเห็นสีหน้าตกตะลึงเจ็บปวด
แต่แววตาของฉีเซี่ยงหยวนนิ่งเฉยจนกระด้างเย็นชา  ไม่ได้จับจ้องฉีเซี่ยงหมิง  แต่มองหลิวฉางเฟย  ริมฝีปากเม้มสนิท  ไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
“เจ้า  เจ้าคือคนทรยศ!  หลิวฉางเฟย ทำไมเป็นเจ้า  ท่านอ๋องน้อยไว้ใจเจ้าที่สุด  นับเจ้าเป็นสหาย  แต่เจ้ากลับ...”
“ที่นี่ไม่มีท่านอ๋องน้อย  มีแต่ต้าอ๋องกับนักโทษกบฏ” หลิวฉางเฟยตอบฝงเป่าด้วยคำพูดเรียบเฉยเย็นชา  ฉีเซี่ยงหมิงหัวเราะถูกใจ  เอื้อมมือไปตบบ่าหลิวฉางเฟย  กล่าวว่า
“ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องเป็นเงาของใครอีกแล้ว  เป็นขุนพลคนสำคัญของข้า”
“ขอบพระทัย”
“เจ้าคนไม่รู้จักบุญคุณคน  องค์ชายสี่ให้เจ้าทุกอย่าง  แต่เจ้ากลับทรยศเขา  เจ้า!” ฝงเป่าขุ่นแค้นจนแทบกระอัก  เดิมทีเขาเป็นคนใจร้อนหุนหันอยู่แล้ว  ตอนนี้ยิ่งไม่มีปัญญาเก็บอารมณ์
“ข้าไม่ได้ต้องการให้เขามาให้อะไรข้า  มีแต่สิ่งที่ได้มาด้วยมือตัวเองจึงมีคุณค่า” สิ้นคำพูดนี้  เสียงตวาดด่าทอเริ่มตามมา  ฉีเซี่ยงหมิงเหยียดยิ้มมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างสนุกสนาน  ที่น่าขัดใจมีอยู่อย่างเดียว  จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นท่าทีเจ็บใจของฉีเซี่ยงหยวน  จึงกล่าวว่า
“ตอนนี้สถานการณ์คงชัดแล้วกระมัง  ผู้ใดคิดมีทางรอด  วางอาวุธสวามิภักดิ์ซะ  ข้าจะ...” พูดไม่ทันขาดคำดาบเล่มหนึ่งก็ถูกวางลง  แต่วางลงบนคอของฉีเซี่ยงหมิง !  มองตามปลายดาบขึ้นไป...ดาบเล่มนี้กลับถืออยู่ในมือหลิวฉางเฟย

“คำพูดนั้นข้าคงต้องขอคืนให้ท่าน  พี่รอง ในมือท่านมีตราอาญาสิทธิ์  แต่ไม่มีทางได้ใช้อำนาจของมัน...ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว” คำพูดหลุดออกจากปากฉีเซี่ยงหยวนพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ  ฉีเซี่ยงหมิงนิ่งงันไป  ตาเบิกค้าง  คำรามต่ำว่า
“หลิว-ฉาง-เฟย”
“ฉางเฟย เจ้าเชิญพี่รองมาทางนี้” จบคำพูดของฉีเซี่ยงหยวน  ทหารทุกคนได้แต่เบิกตามองหลิวฉางเฟยใช้ดาบจ่อคอ  บังคับให้องค์ชายรองผู้สูงศักดิ์เดินไปยืนอยู่ฝั่งศัตรู  หลู่เอ้อคนสนิทของฉีเซี่ยงหมิง คิดจะเสี่ยงตายเข้าช่วยเจ้านาย  แต่แค่ขยับตัวเล็กน้อย  คมดาบของหลิวฉางเฟยก็กดแนบลงบนคอนายเหนือหัว  จึงได้แต่ชะงักค้างอยู่กับที่มองเหตุการณ์ด้วยความกระวนกระวาย
“สถานการณ์ชัดถึงเพียงนี้  พวกเจ้ายังไม่ทิ้งดาบยอมจำนนอีกหรือ” สิ้นคำของมู่ซาง  ตามมาด้วยเสียงเคร้งคร้างทีละเล็กละน้อย  สุดท้ายทหารของฝ่ายฉีเซี่ยงหมิงก็วางอาวุธจนหมดสิ้น  ไม่มีใครกล้าขัดขืนอีก 

สำหรับกับฉีเซี่ยงหมิง  ทั้งหมดนี้คล้ายเป็นตอนจบความฝันที่พลิกผันไม่จบสิ้น  รู้สึกตัวอีกทีชัยชนะ เกียรติยศ ความหวัง ทุกประการกลับหลุดลอยไป...

เสียงโห่ร้องดังกึกก้อง  ทุกผู้คนล้วนดีใจกับชัยชนะที่ได้มาอย่างไม่คาดฝันและงงงวยอยู่บ้าง 

...ตำแหน่งต้าอ๋ององค์ถัดไปแห่งเป่ยชาง  ถูกกำหนดแน่นอนแล้ว...
---------------------
ไกลออกไปที่เมืองสวี  เหลียนอันสุ่ยยืนมองทหารตบเท้าผ่านประตูเมืองเข้ามา  เป็นเหล่าทหารซึ่งถูกส่งออกไปตีไล่ให้บรรดาทหารฝ่ายฉีเซี่ยงหมิงที่เคยล้อมเมืองสวีไว้ถอยร่นห่างออกจากเมืองหลวง  กันการส่งข่าวถึงฉีเซี่ยงหมิง  ตอนนี้ทหารเหล่านั้นกลับมาแล้ว  เสียงโห่ร้องประกาศข่าวชัยชนะดังสะท้อนอยู่ในแสงตะวันยามเที่ยง  ในใจของเหลียนอันสุ่ยปรากฏความปิติยินดีอย่างแท้จริง  ในที่สุด...สงคราม...ความสูญเสียก็ผ่านพ้นไป...
 
พระมาตุลาแคว้นเหลียนมองเลยออกไปใต้ฟากฟ้าสีคราม  ทิศคือเมืองหลวงแคว้นเป่ยชาง  ในหัวของเขามองเห็นชัยชนะอันเด็ดขาดเกิดขึ้นที่นั่น  มองเห็นความรุ่งโรจน์ที่กำลังย่างเท้าก้าวเข้ามา  ยุคสมัยเปลี่ยนแล้วและยุคสมัยที่กำลังจะมาถึงจะเป็นยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวเป่ยชาง

ความจริงตั้งแต่ครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยเห็นฉีเซี่ยงหยวน  เหลียนอันสุ่ยก็มองเห็นแผ่นดิน  แผ่นดินอันกว้างใหญ่  อิทธิพลที่แผ่ปกคลุมไปทั่วสามแคว้น  แคว้นเหลียนเล็กเหลือเกินเมื่อเทียบกับแผ่นดินผืนนั้น  ขณะนี้...ฟากฟ้ากำลังจะเป็นของฉีเซี่ยงหยวนแล้ว


=======
ช่วงนี้อัพทีเดียวหลายตอนเพราะพยายามจะหั่นไม่ให้ค้างนะคะ  เนื้อเรื่องค่อนข้างต่อเนื่องกัน
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 18
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 07-08-2014 00:35:43
เหมือนอ่านนิยายแปลจากนักเขียนแถวหน้าเลยจริงๆ
สุดยอดมากๆ

เป้นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 18
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 07-08-2014 05:48:35
มารอลุ้นต่อ  :katai5:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 19
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 09-08-2014 09:02:53

บทที่ 19 กฎเกณฑ์ของฟากฟ้า

ฉีเซี่ยงหยวน หลิวฉางเฟย มู่ซาง ฝงเป่า  พร้อมกัน ณ ท้องพระโรงอันยึดเป็นศูนย์กลางในการบัญชาการ  คำสั่งทั้งหมดล้วนออกจากที่นี่  โดยมีแม่ทัพนายกองที่ต่ำกว่าลงไปรับไปปฏิบัติ 
คนรับคำสั่งชุดที่ห้าเพิ่งจากไป  ฝงเป่าที่ใจร้อนที่สุดในที่สุดก็อดรนทนต่อไปไม่ไหว  เอ่ยปากถามขึ้น
“หลิวฉางเฟย  นี่มันเรื่องราวใดกัน  ตกลงเจ้าทรยศหรือไม่ทรยศกันแน่”
“...ข้าไม่เคยทำงานให้องค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิง  คำตอบนี้น่าจะพอกระมัง”
“แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็มีโทษทำอะไรลงไปโดยพลการ  เจ้าคิดซ้อนแผนพี่รองก็ควรบอกข้าก่อน  อย่าคิดว่าข้าไว้ใจเจ้าแล้วจะทำอะไรก็ได้” ฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยแทรก  น้ำเสียงมีแววตำหนิ
หลิวฉางเฟยรีบคุกเข่าลงอย่างรู้ความผิด  กล่าว
“ท่านอ๋องน้อยโปรดลงโทษตามระเบียบของกองทัพ  ตอนนั้นเพราะคนทรยศเป็นลูกน้องในความรับผิดชอบของข้า  ข้าก็เลย...”
“เจ้าก็เลยคิดว่าตัวเองต้องรับผิดชอบ  ก็เลยทำอะไรโดยไม่บอกชาวบ้าน  จนท่านอ๋องน้อยเกือบสั่งประหารคนผิด” มู่ซางต่อให้จนจบ
ฝงเป่าเบิกตาโต
“มู่ซางนี่เจ้าก็รู้เรื่อง  ...ทำไมข้าถึงไม่ทราบอยู่คนเดียว” ประโยคไต่ความดังขึ้นเป็นลำดับ
“ข้ารู้เพราะท่านอ๋องน้อยมอบหมายให้ข้าติดตามทุกข่าวสาร  ส่วนเจ้าที่ไม่รู้  เพราะถ้าเจ้ารู้ทุกอย่างต้องพังไม่เป็นท่า  สายตาเจ้าเคยโกหกอะไรใครได้ซะที่ไหน” นี่คือคำตอบของมู่ซาง
“เจ้า !”
“พวกเจ้านั่นแหละทำอะไรชักช้า  จนข้าเกือบกลายเป็นเม่นไป” มู่ซางต่อว่ากลับ  เป้าหมายที่แท้จริงเป็นฉีเซี่ยงหยวน  แต่ฝงเป่าชิงตอบว่า
“ถ้าเจ้าเป็นเม่น  ก็ต้องเป็นเม่นที่เหม็นที่สุด”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ ตอบว่า
“มีเรื่องยุ่งเล็กน้อย เลยล่าช้าไปบ้าง” ขณะพูด  แววตายังครุ่นคิดไปถึงคำกล่าวตอนเดินสวนกันเมื่อครู่นี้ของฉีเซี่ยงหมิง

ฉีเซี่ยงหมิงแม้ถูกคุมตัว ยึดอาวุธ และพ่ายแพ้แล้ว  ใบหน้ายังคงเชิดสูง  บุคลิกเย่อหยิ่งเย็นชาดุจเดิม  เหยียดยิ้มขณะกล่าวเบาๆให้ได้ยินกันสองคนว่า ‘คนที่เจ้าอยากพบนักหนายังมีชีวิตอยู่ในตำหนักข้า  ข้าไม่ได้ฆ่าเขาอย่างที่เจ้าต้องการให้เป็นหรอก’

เมื่อครู่เพิ่งมีคนรายงานว่าพระบิดายังมีชีวิตอยู่  ในใจของฉีเซี่ยงหยวนบังเกิดความรู้สึกอันยากจะบรรยาย  ตัวเขาก็ตอบไม่ได้ว่าลึกๆแล้วตัวเองมุ่งหวังให้เรื่องราวมีตอนจบเช่นไร  ฉีเซี่ยงหยวนทราบ  พี่รองจงใจโยนเรื่องน่าหนักใจมาให้เขา  การที่พระบิดายังมีชีวิตอยู่สร้างความยุ่งยากให้มากทีเดียว  อำนาจสิทธิ์ขาดยังไม่อยู่ในมือฉีเซี่ยงหยวนโดยสมบูรณ์  แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น  ความรู้สึกบางส่วนยังปะปนอยู่กับความโล่งใจ  อย่างน้อยเส้นทางสายนี้ก็ยังไม่ได้อาบย้อมด้วยโลหิตของบิดาตัวเอง  เพราะเมื่อมาถึงจุดนี้การคงอยู่หรือไม่ของเป่ยชางอ๋องก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลสุดท้ายอีกแล้ว  เท่ากับความจำเป็นที่ต้องกำจัดผู้ชายคนนั้นก็ไม่มีแล้วเช่นกัน  ใจที่เตรียมพร้อมจะรับกับความสูญเสีย  แต่สุดท้ายกลับไม่ได้สูญเสียไป  ให้รสชาติที่แปลกประหลาดชนิดหนึ่ง  แปลกจนรู้สึกมึนชาอยู่บ้าง 

การคงอยู่ของเป่ยชางอ๋องไม่ค่อยให้ความรู้สึกอะไรต่อฉีเซี่ยงหยวนนัก แต่การสูญเสียผู้ชายคนนั้นไป  กลับก่อให้เกิดความรู้สึกเคว้งคว้าง ตำหนิตัวเอง  ...อาจบางทีไม่ว่าอย่างไร...พระบิดาก็ยังมีสถานะพิเศษในจิตใจเขา

ส่วนพี่ชายคนรอง ฉีเซี่ยงหมิง  ชะตากำหนดให้ต้องสูญเสียอยู่แน่นอน  ความโศกเศร้าใดๆจึงไม่มีประโยชน์  อย่าว่าแต่หากฉีเซี่ยงหมิงเป็นฝ่ายชนะ  พี่รองก็คงไม่เสียเวลาใดๆมารู้สึกสูญเสียอยู่เช่นกัน

น่าแปลก...ในเวลาที่ตัวเองกำลังจะได้ครอบครองทุกอย่าง  ฉีเซี่ยงหยวนพลันบังเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว  ในหัวของเขาเพียงนึกถึงคนผู้หนึ่งซึ่งเขาทิ้งไว้ที่เมืองอู๋เล่ย  ความระหองระแหงในแคว้นเป่ยชางอันส่งผลกระทบเป็นวงกว้างกำลังสิ้นสุดยุติลงแล้ว  คนผู้นั้นจะดีใจหรือไม่หนอ  ฉีเซี่ยงหยวนพลันอยากทราบขึ้นมา  อย่างน้อยการสนทนากับพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็ไม่ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไปนัก
---------------------
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง  เมฆหมอกมรสุมเมื่อวันวานคล้ายผ่านพ้นไปไกลลิบ  หากในความเป็นจริง  มรสุมแห่งการชิงอำนาจกลับไม่เคยลับหายไปจากแว่นแคว้นใดๆได้เลย  ขอเพียงมีแว่นแคว้น  มีความเจริญรุ่งเรือง  ความขัดแย้งก็จะอยู่เป็นของคู่กัน  แคว้นที่ยิ่งใหญ่อย่างเป่ยชางยิ่งไม่มีวันนั้นเป็นอันขาด  เพียงแต่ตอนนี้ทุกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหวชั่วคราว  เพื่อประเมินขุมกำลังกันใหม่หลังมรสุมโหมกระหน่ำรุนแรงเมื่อหลายวันก่อน

แต่ถึงในใจจะทราบเช่นนั้น  เมื่อพระมาตุลาแคว้นเหลียนเลิกม่านมองออกไป  ก็แทบถูกสภาพคึกคักยินดีปรีดาเบื้องนอกกลบกลืนความคิดในใจไปจนหมดสิ้น  ข่าวการกลับถึงแคว้นพร้อมชัยชนะเหนือแคว้นเหลียนขององค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนแพร่สะพัดไปทั่วเมือง  แต่ที่โด่งดังกว่าคือข่าวก่อกบฏไม่สำเร็จขององค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิงซึ่งได้ฉีเซี่ยงหยวนที่กลับถึงก่อนกำหนดขัดขวางไว้ได้ทันการณ์  ชาวเป่ยชางทุกคนล้วนรู้สึกเหมือนคราวเคราะห์ผ่านพ้นไปคราหนึ่ง  นึกโชคดีที่เรื่องทั้งหมดจบลงก่อนจะลุกลามบานปลายไปกว่านี้

ฉีเซี่ยงหมิงกักขังต้าอ๋อง  ยึดตราอาญาสิทธิ์  ใช้กำลังทหารควบคุมเมืองหลวง  มีโทษสถานเดียวคือประหารชีวิต  บรรดาผู้สนับสนุนและเครือญาติล้วนไม่ได้รับการละเว้น  กระทั่งพระมารดาที่มีศักดิ์เป็นพระชายารอง  เป่ยชางอ๋องยังมีคำสั่งให้ควบคุมตัวไว้ในตำหนักรอลงอาญา

ฉีเซี่ยงหยวนปลดคำสั่งกักตัวของฉีเซี่ยงหมิง  อัญเชิญเป่ยชางอ๋องกลับสู่พระราชอำนาจ  ทั้งความดีความชอบที่ปราบกบฏและการมีชัยเหนือแคว้นเหลียน  ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนกลายเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจสูงสุดจากเป่ยชางอ๋อง  ตำแหน่งรัชทายาทกลายเป็นเรื่องไม่จำเป็นต้องระบุตัว  เพราะต่อจากนี้แคว้นเป่ยชาง...จะเป็นของฉีเซี่ยงหยวน

นี่คือชัยชนะ  ผู้ชนะกำหนดสถานการณ์  ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์  ไม่ว่าชัยชนะจะได้มาโดยชอบธรรมหรือไม่  แต่เมื่อได้มาแล้วชัยชนะนั้น...จะกลับกลายเป็นชอบธรรม

ไม่มีครั้งใดที่เหลียนอันสุ่ยรู้สึกถึงคำว่าชัยชนะชัดเจนถึงเพียงนี้มาก่อน  มีแต่เหลียนอันสุ่ยที่ทราบ  ทุกคนล้วนเต้นอยู่บนฝ่ามือของฉีเซี่ยงหยวน  นี่คือตอนจบที่คาดเดาได้ตั้งแต่ต้น  ทั้งการก่อกบฏของฉีเซี่ยงหมิง  การสูญเสียอำนาจของเป่ยชางอ๋อง  สงครามที่ประตูวังทิศใต้  กระทั่งการล้อมเมืองสวี  ผู้ชายคนนี้น่ากลัวไปแล้ว  หากฉีเซี่ยงหมิงฆ่าเป่ยชางอ๋องทิ้งไป  ทุกประการแทบจะเป็นไปตามบทประพันธ์ที่วางไว้ล่วงหน้าของฉีเซี่ยงหยวนโดยไม่ผิดเพี้ยน!

เหลียนอันสุ่ยมองเหล่าผู้คนที่มาออชื่นชมขบวนทัพด้านนอกแล้วนึกสะท้อนใจกับตัวเอง  ผู้พ่ายแพ้สูญเสียทุกอย่าง ในขณะที่ผู้ชนะได้ครอบครองทุกสิ่ง  แคว้นเหลียนยังโชคดี  การสูญเสียของแคว้นเหลียนยังน้อยกว่าของฉีเซี่ยงหมิงมากนัก  เพราะกับฉีเซี่ยงหมิง  สิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนจะทำและมิอาจไม่กระทำคือถอนรากถอนโคน  หลังงานเลี้ยงสิ่งที่ตามมาคือการพิพากษา  และ...ความตาย 

เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง  ในใจลึกๆเจ็บปวดกับกฎเกณฑ์ของประวัติศาสตร์  เมื่อจะโบยบินอยู่บนฟากฟ้า  ผู้ใดก็ไม่อาจหลุดพ้นจากกฎเกณฑ์นี้...

=========

ภาคหลัก
--- เป่ยชาง ---

หนึ่งในสามแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  เข้มแข็งเป็นปึกแผ่นที่สุด  และน่าหวาดกลัวที่สุด
น่าแปลก...ที่ความรักที่ลึกซึ้งตราตรึงบทหนึ่งกลับเกิดขึ้นที่นี่

ความรัก...           ทั้งๆที่รู้ว่ายิ่งไขว่คว้ายิ่งเจ็บปวด  แต่ก็ยังคงไขว่คว้า
ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควรหลงใหล  แต่ก็ยังคงถลำลึก
ทั้งๆที่รักมากขนาดนี้  แต่ก็ยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงบทสรุป
...

=========
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ภาคหลักอย่างเป็นทางการ 
(จะโดนถีบมั๊ยถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้เป็นแค่เกริ่นนำ แหะๆ  :z6:)
ข้างล่างเป็นรายชื่อตัวละครรวบยอดให้ก่อนขึ้นภาคหลักนะคะ 
หลังจากนี้บางตัวที่ดูไม่ค่อยมีบทจะโผล่มาวาดลวดลายกัน 
บอกไว้ก่อนเลยว่าภาคหลักตัวละครเยอะกว่าช่วงแรกมาก 
ของเก่าก็มาของใหม่ก็เพิ่ม  แต่จำไม่ได้ก็ไม่ต้องซีเรียสกับมันมาก  บทหลักจะอยู่ที่พระเอกนายเอกเหมือนเดิมเน้อ

==========
รายนามตัวละคร (เรียงตามความสัมพันธ์)

แคว้นเหลียน
เหลียนอันสุ่ย = พระมาตุลาแคว้นเหลียน
เหวินจี = ชายาในพระมาตุลาที่เสียชีวิตไปเมื่อ 8 ปีก่อน
เหลียนจิ้งเต๋อ = บุตรชายเพียงคนเดียวของเหลียนอันสุ่ย
หวังเชียน = ผู้คุ้มกันคนสนิทของพระมาตุลา
อิ๋งฮวา = หัวหน้าหญิงรับใช้ของพระมาตุลา
เยี่ยนจื่อ = หญิงรับใช้ที่คอยดูแลเหลียนจิ้งเต๋อ
จือหลัน = นางกำนัลหนึ่งในเครื่องบรรณาการที่พระมาตุลาช่วยไว้
เถี่ยเจิ้ง = นายกองเสบียงชาวเหลียน  คนรักของจือหลัน
อวี้เฉียน = แม่ทัพแคว้นเหลียนผู้พ่ายศึก  มีใจให้พระมาตุลา
เฉินเสีย = ขุนนางแคว้นเหลียนที่วางยาพระมาตุลา
สตรีเจ้าของตำหนักเบญจมาศ = สตรีปริศนาที่เแค้นเหลียนอันสุ่ยจับใจ

แคว้นเป่ยชาง
ฉีเซี่ยงหยวน = โอรสลำดับสี่ของเป่ยชางอ๋อง
หลิวฉางเฟย = ผู้ติดตามและแม่ทัพคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวน 
จางจื่อหยู = ขุนนางใหญ่ที่ถือข้างฉีเซี่ยงหยวนมานานปี
หลี่กวงเว่ย = ที่ปรึกษาฝ่ายบริหารของฉีเซี่ยงหยวน
ฝงเป่า = แม่ทัพคู่ใจใต้บังคับบัญชาของฉีเซี่ยงหยวน
มู่ซาง = อัจฉริยะนักวางกลยุทธ์ในกองทัพฉีเซี่ยงหยวน

หยงเซี่ย = แม่ทัพใหญ่ เทพสงครามแคว้นเป่ยชาง
ฉีเซี่ยงหมิง = พี่ชายคนรองของฉีเซี่ยงหยวน
หลู่เอ้อ = คนสนิทขององค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิง
แม่ทัพกั่ว = คนสนิทขององค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิง
อำมาตย์สือ = คนสนิทขององค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิง

หนานเหมินอ๋อง = ต้าอ๋องแคว้นหนานเหมิน  ศัตรูตัวฉกาจของฉีเซี่ยงหยวน

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 20
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 09-08-2014 13:19:05

บทที่ 20 สุดเอื้อมแต่ไม่อาจไขว่คว้า

เป่ยชาง หนึ่งในสามแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  เข้มแข็งเป็นปึกแผ่นที่สุด  และน่าหวาดกลัวที่สุด ผู้คนไม่กล้าล่วงล้ำอาณาเขตของเป่ยชาง  พอๆไม่กล้าล่วงเกินหนานเหมินอ๋อง  กับแคว้นโหยวเฉิงยังดูเจรจากันง่ายกว่า ผ่อนผันมากกว่า และเป็นภัยคุกคามน้อยกว่า  เพราะแคว้นเป่ยชางมีความเฉียบขาดตลอดมา  มิตรของแคว้นเป่ยชางคือมิตร  ส่วนศัตรูของแคว้นเป่ยชางนับว่าก้าวขาพาดผ่านประตูนรกไปครึ่งบานแล้ว 

ไม่มีแว่นแคว้นใดสามารถเทียบความแข็งแกร่งทางกองทัพกับแคว้นเป่ยชางได้  แคว้นเป่ยชางมี หยงเซี่ย  แคว้นเป่ยชางมีฉีเซี่ยงหยวน  เพียงเห็นฉีเซี่ยงหยวนคนเดียว เหลียนอันสุ่ยก็แทบไม่อยากวาดภาพถึงหยงเซี่ยที่ถูกทั้งสามแคว้นขนานนามเป็น เทพสงคราม  สายตาที่ผู้คนมองแคว้นเป่ยชางจึงแฝงความกริ่งเกรงอยู่ส่วนหนึ่งเสมอ  คำร่ำลือถึงความป่าเถื่อนโหดร้ายขจรไกล 
แคว้นเป่ยชางยกย่องนักรบ  นักรบที่มีความสามารถจะได้รับการยกย่องอย่างสูง  ผิดกับแคว้นเหลียนที่ให้ความสำคัญกับโคลงกลอนและบทกวี  ปราชญ์บัณฑิตแคว้นเหลียนมักย่นจมูกให้กับ ‘พวกไม่มีอารยธรรม’ เหล่านั้น   นึกไม่ถึงมาจนวันนี้  โคลงกลอนบทกวีที่ให้ความสำคัญนักหนากลับไม่อาจยื้อไว้กระทั่งเศษเสี้ยวของแว่นแคว้น
 
 ‘ผู้เข้มแข็งจึงอยู่รอด’ หลักเหตุผลเรียบง่ายอันชวนเจ็บปวดใจ  ถึงสงครามจะเป็นเรื่องเลวร้าย  แต่กำลังทหารที่แข็งแกร่งกลับเป็นปัจจัยจริงแท้แน่นอนที่แคว้นหนึ่งๆจะดำรงคงอยู่

ภาพหลายอย่างของเป่ยชางที่ผู้คนวาดไว้ในหัว  ดูจะผิดจากความเป็นจริงเมื่อได้ลองมาสัมผัส  ในความหยาบกร้านแฝงความละเอียดลึกซึ้ง  ฉีเซี่ยงหยวนนับเป็นตัวอย่างอันดี  ทุกคนที่ประเมินแคว้นเป่ยชางต่ำทรามเกินไปต้องไม่มีจุดจบที่ดี  คิดมาถึงตรงนี้เหลียนอันสุ่ยก็ชะงัก ในหัวปรากฏภาพอวี้เฉียน  สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสลดลง  ถึงแม้อวี้เฉียนจะประเมินฉีเซี่ยงหยวนไว้อย่างสูง  แต่ก็ยังคงต่ำทรามไปอยู่ดี  เมื่อได้มาเห็นฝีมือที่ฉีเซี่ยงหยวนจัดการกับขุมอำนาจในแคว้นเป่ยชาง  เหลียนอันสุ่ยก็ทราบ...ต่อให้ย้อนเวลากลับไปอีกซักกี่รอบ  ผู้ชนะจะยังคงเป็นฉีเซี่ยงหยวน  มิใช่อวี้เฉียน  มิใช่แคว้นเหลียนเด็ดขาด  เหลียนอันสุ่ยแม้พอเดาความคิดของฉีเซี่ยงหยวนออก  แต่ความสามารถในการใช้ทหารผิดกันมากมายนัก  กำลังทหารในมือก็ผิดกันมากมายนัก

ทางเดินกว้างสว่างด้วยแสงไฟจากน้ำมันบนเชิงโลหะ  เสาขนาดใหญ่เรียงรายสองข้างค้ำยันขื่อคานด้านบน  ศิลปะของแคว้นเป่ยชางก็เป็นดุจเดียวกับผู้คน  เน้นลักษณะใหญ่โต มั่นคง ทรงอำนาจ  ช่องหน้าต่างแม้ใหญ่  แต่มีไม่มาก  ทำให้บรรยากาศดูทึบตันสลัวเลือน  ต่างจากความซับซ้อน ละเอียดลออโปร่งตาไปด้วยลูกกรงฉลุแบบแคว้นเหลียน

ความรู้สึกไม่เข้าพวกของเหลียนอันสุ่ยทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ  บรรดาทหารในกองทัพของฉีเซี่ยงหยวนต่างคุ้นชินกับชาวเหลียน  มองชาวเหลียนด้วยสายตาปรกติธรรมดา  หากที่นี่ทุกสายตาเต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้โดยเปิดเผย  เพราะในใจพวกเขาล้วนทราบ เหลียนอันสุ่ยมิใช่ชาวเป่ยชาง  และก็ไม่มีทางเป็นชาวเหลียนธรรมดาๆเป็นอันขาด  เดิมรูปลักษณ์ของเหลียนอันสุ่ยก็เป็นหนึ่งไม่มีสองอยู่แล้ว  ถึงแม้ประกายในตัวเขาจะเรียบง่าย  แต่บุคลิกกลับยากจะหาผู้เปรียบเทียบได้ทัดเทียม

หากสิ่งที่ทำร้ายเหลียนอันสุ่ยสาหัสที่สุดกลับมิใช่สายตาเหล่านั้น  แต่เป็นกลิ่นอายกดดันทรงอำนาจที่แผ่ครอบคลุมลงมาทุกทิศทุกทาง  กลิ่นอายที่เป็นแบบฉบับเฉพาะของแคว้นเป่ยชาง  เหลียนอันสุ่ยมิได้หวาดกลัว แต่บรรยากาศเช่นนี้กลับสะกิดอารมณ์เคว้งคว้างเจ็บปวด ความรู้สึกโหยหาอาลัย  ความรู้สึกสูญเสียอัปยศ  ต่อจากนี้จะไม่มีแคว้นเหลียน  สิ่งที่ดำรงคงอยู่มีเพียงเขตปกครองหนึ่งของเป่ยชาง

ถึงเหลียนอันสุ่ยจะเป็นคนมอบแคว้นเหลียนให้ฉีเซี่ยงหยวนกับมือ  แต่กลับมิอาจหักห้ามให้ตัวเองไม่รู้สึกเศร้าหมอง  สิ่งหนึ่งที่ทราบอยู่แจ้งชัด  เขาจะไม่กลับไปอีกแล้ว  เมื่อมาถึงที่นี่...มีเพียงปลายทางสายเดียวให้เดิน...

---------------------
 “ใต้เท้าทุกท่าน ดื่ม !” เสียงยกจอกขึ้นจรดริมฝีปากโดยพร้อมเพรียง
ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่ฝั่งด้านใน  ทั้งโต๊ะมีคนนั่งทั้งหมดแปดคน  ขณะที่คนอื่นต่างกรอกสุราจนจอกแห้ง หลี่กวงเว่ยที่นั่งถัดจากหลิวฉางเฟยเพียงยกสุราขึ้นจิบ  หากคนทั้งโต๊ะกลับไม่มีผู้ใดใส่ใจในข้อนี้กระทั่งฉีเซี่ยงหยวนที่เป็นคนเอ่ยปากชักชวน  เพราะทุกคนในโต๊ะล้วนทราบดี  ถ้าเป็นไปได้ที่ปรึกษาผู้มากความสามารถผู้นี้จะไม่แตะต้องสุรา  หลี่กวงเว่ยมักกล่าว
 ‘คนเรามีเวลาสมองไม่แจ่มใสมากพออยู่แล้ว  จะไปเพิ่มความประมาทขาดสติให้ตัวเองอีกทำไม’

เพียงแต่วันนี้นับเป็นวันแรกนับตั้งแต่ฉีเซี่ยงหยวนเหยียบแผ่นดินแคว้นเป่ยชางที่ได้ฉลองความสำเร็จจากความเหนื่อยยากมาเป็นแรมปี  หลี่กวงเว่ยจึงยินยอมละเมิดกฎของตัวเองดื่มสุราสังสรรค์

งานเลี้ยงนี้เป็นเพียงนัดดื่มกินอย่างไม่เป็นทางการของฉีเซี่ยงหยวนกับบรรดาคนสนิท  ทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะต่างเป็นแขนขาของฉีเซี่ยงหยวน  และต่างได้ทำความดีความชอบใหญ่หลวงในศึกแย่งชิงอำนาจที่ผ่านมา  สองข้างขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางเป็นหลิวฉางเฟยกับมู่ซาง  ถัดจากมู่ซางเป็นขุนนางใหญ่ จางจื่อหยูที่ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส  ต่างจากคราวไล่เบี้ยกับฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนละคน  ข้างจางจื่อหยูเป็นฝงเป่าที่ตัวใหญ่บึกบึน  ถัดจากฝงเป่าเป็นแม่ทัพนายกองอีกสองคน

“วันนี้ ท่านอ๋องน้อยเป็นเจ้าภาพ  ทุกท่านดื่มกินให้เต็มที่” คำพูดราวแขกเหรื่อที่ถือสิทธ์แทนเจ้าภาพของมู่ซาง  ทำเอาคนแช่มชื่นแจ่มใสสายตาเปลี่ยนเป็นเขียวปั๊ด  แต่ก็จนปัญญาจะเอ่ยท้วงเพราะฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยถือสาคำพูดของมู่ซางตลอดมา

“ส่วนจอกนี้ขอดื่มให้กับแม่ทัพฝงเป่าที่ดูแลความเรียบร้อยที่เมืองสวีได้อย่างยอดเยี่ยม” พูดจบมู่ซางก็กรอกสุราใส่ปากตัวเอง  คนได้รับคำยกย่องหรี่ตาลงไม่ค่อยจะเชื่อถือและรู้สึกถึงความไม่จริงใจอย่าง ไรชอบกล...เป็นไปได้ว่าคนแซ่มู่เพียงหาโอกาสดื่มสุรา
“ท่านหลี่เองก็เปลืองสมองขบคิดไปไม่น้อย” คราวนี้หันไปหาหลี่กวงเว่ยที่ตั้งใจจะไม่ดื่มมากไปกว่านี้  เดือดร้อนถึงหลี่กวงเว่ยต้องยกสุราขึ้นจิบอีกรอบ
“พวกท่านเองก็ประสานสอดคล้องได้ดีมาก”
นายกองสองคนที่นั่งตัวเกร็งมาตั้งแต่เมื่อครู่รีบยกจอกรับคารวะ  สายตาเหลือบมองเจ้าภาพตัวจริงที่นั่งหน้าเฉยๆด้วยความกริ่งเกรง
“อา  ใช่แล้ว  ครั้งนี้รบกวนความสามารถยิ่งใหญ่ของใต้เท้าจาง  ในการช่วยหาที่หลบซ่อนให้กับทุกฝ่ายที่อยู่ประจำที่เป่ยชางไว้ล่วงหน้า”
มู่ซางดื่มไปแล้ว  แต่จางจื่อหยูยกจอกค้างไว้ไม่ดื่ม  ตามองฉีเซี่ยงหยวนเขม็ง  จนสุดท้ายเจ้าภาพที่นั่งเงียบๆต้องเอ่ยปากไกล่เกลี่ยว่า
“ท่านดื่มไปเถอะ  สุราอาหารบนโต๊ะนี้ล้วนได้มู่ซางควักกระเป๋าจ่าย  ทุกคนไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”
‘คนควักกระเป๋าจ่าย’ ถึงกับสำลักสุรา ร้องว่า
“ท่านอ๋องน้อยร่ำรวยล้นฟ้า  เหตุใดจึงต้องมาเบียดบังเบี้ยหวัดเงินเดือนของขุนนางชั้นผู้น้อยผู้หนึ่ง ?”
“อ้าว เชิญคนนู้นคนนี้ดื่มสุรา  เจ้ามิใช่เจ้าภาพหรอกหรือ” ฝงเป่าเลิกคิ้ว  ถามเสียงสูง  ดุจประหลาดใจเสียเต็มประดา  แต่ปลายเสียงติดหัวเราะด้วยความสะใจ
“ท่านอ๋องน้อย  ข้ากำลังดื่มสุราปลอบขวัญที่เมื่อสี่วันที่แล้วเกือบได้กลายเป็นเม่นไป  เหตุใดท่านต้องขัดขวางด้วย” คำเรียกร้องความเป็นธรรมนี้ มู่ซางเพียงกล่าวกับฉีเซี่ยงหยวน  ไม่ใส่ใจใยดีเสียงหัวเราะกึกๆของฝงเป่ากับเสียงหึๆในลำคอที่ฟังอย่างไรก็ไม่ ใช่กระแอมไอของจางจื่อหยู

ฉีเซี่ยงหยวนตอบหน้าตายว่า
“ก็เจ้าตกหล่นคนที่มีความดีความชอบใหญ่หลวงที่สุดสองคนคือข้ากับฉางเฟยไป” 
ใจจริงฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้รู้สึกถูกหักหน้าอะไร  ทราบว่ามู่ซางเห็นบรรยากาศเกร็งๆไม่คุ้นชินของนายกองสองคนนั่น  จึงกล่าวกระตุ้นให้บรรยากาศครึกครื้น
 “งั้นจอกนี้มู่ซางขอคารวะท่านอ๋องน้อย  ที่ตัดสินใจวางแผนได้เฉียบขาด  ฝีมือการวางกลยุทธ์ล้ำเลิศ  แต่ที่ล้ำเลิศที่สุดยังคงเป็นการที่ท่านรู้จักใช้ผู้มีความสามารถ”
พูดไปพูดมากลายเป็นชมเชยตัวเอง  คนสำลักสุราจึงเปลี่ยนมาเป็นจางจื่อหยู  ฝงเป่าทำหน้ารับไม่ได้  ส่วนหลิวฉางเฟยสีหน้าส่อแววเอือมระอา  หลี่กวงเว่ยมีสีหน้าเรียบเฉยเป็นที่สุด  ยกจากสุราขึ้นจิบอีกหนึ่งอึก  นอกจากฝงเป่ากับนายกองอีกสองคน  ที่เหลือล้วนฟังออกว่าคำพูดของมู่ซางยังแฝงนัยถึงความสามารถโยนงานให้ลูกน้องตัวเองของฉีเซี่ยงหยวนด้วย
 
  หลิวฉางเฟยนับว่าได้รับทราบมาอย่างลึกซึ้งที่สุด  ตัวเองปั่นงานของเจ้านายตัวเป็นเกลียว  ส่วนเจ้าของงานที่แท้จริงกลับลอยไปลอยมาอยู่แถวๆตำหนักพระมาตุลา  ความเอือมระอานี้ทั้งต่อพฤติกรรมของเจ้านายตัวเอง  และต่อพฤติกรรมของมู่ซาง  แต่นี่คือสภาพปรกติระหว่างฉีเซี่ยงหยวนกับมู่ซาง  ท่านอ๋องน้อยไม่เคยขีดแบ่งกรอบนายเหนือหัวกับผู้ใต้บังคับบัญชากับมู่ซาง  พอๆกับมู่ซางที่รู้ขอบเขตตัวเองดีว่าเกินเลยได้แค่ไหน

แต่คนที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพนี้คือนายกองที่นั่งร่วมโต๊ะอีกสองคนซึ่งได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก  หวาดเสียวเงาหัวของตัวเอง
ฉีเซี่ยงหยวน รินสุราให้ตัวเองอีกจอก  กล่าวขึ้นว่า
“ฉางเฟย  ถ้าให้มู่ซางคารวะสุราเจ้าคงไปกันใหญ่  สุราจอกนี้ข้าขอดื่มให้กับความทุ่มเทและความภักดีที่มีตลอดมาของเจ้า”
หลิวฉางเฟยรีบกล่าว
“ฉางเฟยไม่กล้ารับ  เป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้ดีที่สุดอยู่แล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนส่ายหัว  กล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงบังคับ
“ดื่ม” สุดท้ายสุราในมือหลิวฉางเฟยจอกนั้นก็ถูกดื่มลงท้องไป
คนเป็นเจ้าภาพผุดลุกขึ้นยืน  เอ่ย
“นี่เป็นคำพูดจากใจจริงของข้า...ขอบคุณ  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามีในวันนี้  ทุกความสำเร็จที่เกิดขึ้น  ไม่ได้เกิดจากข้าเพียงคนเดียว  แต่เป็นเพราะการทุ่มเทแรงกายแรงใจของทุกคน”
คนฟังมีรอยยิ้มปรากฏบนเรียวปาก  เป็นรอยยิ้มแห่งความสำเร็จ  และเป็นรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจที่ได้รับใช้นายเหนือหัวผู้นี้  จอกสุราถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากอีกครั้ง 

แล้วบรรยากาศครึกครื้นก็ดำเนินต่อไป  สุราจอกแล้วจอกเล่า  คำพูดปนกับเสียงหัวเราะประโยคแล้วประโยคเล่า  แต่สุดท้ายคนเป็นเจ้าภาพงานกลับขอตัวออกไปก่อนซะดื้อๆ  คนที่เหลือได้แต่มองหน้ากันงงๆ  หลี่กวงเว่ยที่เยือกเย็นตลอดมายังคงมีท่าทีปรกติไม่แปลกใจ  ส่วนมู่ซางขมวดคิ้วเล็กน้อย  เหลือบมองไปทางจางจื่อหยูที่มีสีหน้ากระวนกระวายรุ่มร้อนกังวล  คล้ายกับคิดเอ่ยปากรั้ง  แต่ไม่กล้า  แล้วแววตาของมู่ซางก็แปรเป็นแฝงเลศนัยประหลาด  ราวทราบถึงสาเหตุที่องค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนรีบร้อนจากไป...
-----------
ตำหนักชุนเกอ ตำหนักรับรองแขกต่างแคว้นที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่ง  ตอนนี้มีเจ้าของชั่วคราวคนใหม่ของมันแล้ว  ฤดูชุนเทียนที่สายลมฤดูใบไม้ผลิกวาดพัดเข้ามา  ปลายหญ้าแทงยอดอ่อนโผล่พ้นจากผิวดิน  ต้นไม้แตกกิ่งทอดรำพัน  สายฝนขับลำนำบนกลีบบุปผา  จะเป็นช่วงเวลาที่ตำหนักแห่งนี้งามล้ำที่สุด  สำเนียงวสันตฤดูขับกล่อมผู้คนจนเคลิบเคลิ้มสมดั่งชื่อชุนเกอ
 
แต่ตอนนี้ความงามความประทับใจล้วนผ่านพ้นไปแล้ว  ราวกับความรักอันสวยงามที่หลงเหลือเพียงอารมณ์ทอดถอนอาวรณ์  แสงจันทร์ไล้แผ่วเบาบนกิ่งก้านที่โดดเดี่ยวว้าเหว่  ทาบเงาเหยียดยาวบนใบไม้ที่ปลิดตัวจากขั้วอย่างโหยหาอาลัย  คล้ายสุดเอื้อมมือแต่ไม่อาจไขว่คว้าไว้

เหลียนอันสุ่ยเบือนหน้าหลับมาจากบานหน้าต่าง  แม้พยายามจะไม่ครุ่นคิดถึง  หากในใจกลับไถ่ถาม แสงจันทร์ใช่ทอดเงาดุจเดียวกันที่แคว้นเหลียนหรือไม่หนอ... ‘บ้าน’ ที่เคยอยู่ตลอดมากลายเป็นสุดเอื้อมคว้าไปเสียแล้ว

ครุ่นคิดนิ่งงันอยู่เพียงครู่  พระมาตุลาแคว้นเหลียนก็ดึงตัวเองกลับมายังสิ่งที่ครุ่นคิดอยู่ก่อนได้เป็นผลสำเร็จ  จังหวะเดียวกับที่อิ๋งฮวาเข้ามารายงานด้วยน้ำเสียงด้วยราบเรียบแผ่วเบา 
“องชายสี่แคว้นเป่ยชางมาเจ้าค่ะ” ใบหน้าของผู้รายงานซีดขาว ปลายเล็บจิกลึกลงบนชายเสื้อที่กำไว้

แววตาของเหลียนอันสุ่ยมีประกายรับรู้  และคล้ายแฝงการตัดสินใจบางอย่าง  มิได้รอให้อีกฝ่ายเข้ามา  แต่เป็นฝ่ายเดินออกไป 
อิ๋งฮวามองตามหลังของนายท่าน  ฟันซี่เล็กๆของนางขบกันจนแน่น  นึกอยากให้ตัวเองมีอำนาจมากมายกว่าที่เป็นอยู่  แต่ก็ทราบว่าต่อให้มีอำนาจมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์  เพราะทั่วทั้งแคว้นเป่ยชาง กระทั่งเป่ยชางอ๋องยังไม่มีปัญญาจัดการกับบุตรชายคนที่สี่ของตัวเอง  นางเกลียด  เกลียดอ๋องน้อยผู้นั้น...และก็เกลียดตัวเองยิ่งกว่าที่ไม่มีปัญญาเปลี่ยนแปลงสิ่งใด
---------------------
สายตาของฉีเซี่ยงหยวนมิได้ละไปจากร่างของคนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาเกือบสัปดาห์เต็ม  เหลียนอันสุ่ยยังคงสวมชุดชาวเหลียน  ถึงแม้ที่ตำหนักรับรองจะมีชุดชาวเป่ยชางตัดเย็บใหม่อยู่ในสภาพพร้อมใช้ก็ตาม

“องค์ชายสี่” เสียงเรียกขานที่เปลี่ยนไปกับกิริยาค้อมหัวลงเล็กน้อย แต่ไม่ได้ประคองมือคารวะ  ทำให้คนที่รีบร้อนก้าวเข้ามาชะงักไปวูบหนึ่ง  บางอย่างในท่าทีของเหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนไป...คล้ายกับว่าเจ้าตัวจงใจให้เขารู้สึกถึงความแตกต่าง...ให้เขารู้สึกถึงระยะห่าง
“ไม่มีคนนอก  ท่านเรียกข้าแบบเดิมก็ได้”
คนฟังส่ายหน้า  น้ำเสียงน่าฟังสงบราบเรียบจนดูห่างเหิน
“มันไม่เหมาะสม  และอีกไม่นานคำเรียกขานท่านเป็นองค์ชายสี่...ก็คงไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนจ้องท่าทีของอีกฝ่าย  สายตาคล้ายถาม  ท่านทำแบบนี้เพราะข้าจะเป็นต้าอ๋อง  เพราะท่านไม่พอใจวิธีที่ข้าแย่งชิงมันมาจากพี่รอง  หรือเพราะที่นี่คือแคว้นเป่ยชาง ?

“จริงๆท่านไม่ควรมาที่นี่  ไม่ว่าระหว่างเราจะเคยเกิดอะไรขึ้น  แต่มันควรจะจบได้แล้ว  สานต่อรังแต่จะก่อผลเสียทั้งต่อท่าน...และต่อข้า”
ยังไม่ทันจบประโยคดี  คนเป็นพระมาตุลาก็ถูกองค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางรวบตัวไปอยู่ในอ้อมกอด
“ท่านหมายความว่ายังไง  ข้าไม่เข้าใจ  ...ข้าเพียงแค่คิดถึงท่าน”

เหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้ว  พยายามขืนตัวออก  แต่มือหยาบกร้านทั้งสองข้างยึดร่างเขาเอาไว้แน่น  แกะอย่างไรก็แกะไม่ออก
“ท่านไม่เข้าใจ?  ที่นี่คือแคว้นเป่ยชาง  ท่านกำลังจะได้เป็นเป่ยชางอ๋อง  ท่านจะทำเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ไม่ได้  ท่านต้องการให้ชาวเป่ยชางมองต้าอ๋องของพวกเขาอย่างไร!”

ฉีเซี่ยงหยวนตอบโดยไม่เสียเวลาคิดว่า
“พวกเขาต้องการจะมองอย่างไรก็ให้พวกเขามองอย่างนั้น”
“ที่นี่คือแคว้นเป่ยชาง  มิใช่ที่ๆท่านสามารถหลบหนีจากไป  ท่านคิดจะปิดไว้ได้นานแค่ไหน  ชั่วชีวิตของท่าน  หรือชั่วชีวิตของข้า?” ปลายหางเสียงเจือความขม  ทั้งสองประการล้วนเป็นไปไม่ได้  เมื่อมีไฟซักวันย่อมต้องมีควันเล็ดลอดออกไป  ผ่ามือของเหลียนอันสุ่ยยังคงดิ้นรนผลักไส  ใบหน้าเบือนหนีริมฝีปากที่ชิดเข้ามา  กลิ่นสุราชัดเจนจนสามารถมอมคนให้เมามาย  เหลียนอันสุ่ยพลันทราบสาเหตุที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่ยินยอมเข้าใจอะไรเลย

ในที่สุดอาศัยจังหวะเลื่อนมือของอีกฝ่าย เหลียนอันสุ่ยก็สามารถรวบรวมแรงผลักไสร่างสูงใหญ่ออกไปจนได้
ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้วจ้องฝ่ายตรงข้าม  สีหน้าปรากฏแววคล้ายไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองจึงถูกผลักออกห่าง  เอ่ยคำ
“ท่าน...” แต่พูดได้แค่นี้ก็เซไปวูบ  เมามายจนเสียการทรงตัว
“ท่านอ๋องน้อย!” น้ำเสียงเรียกตื่นตระหนก  เมื่อเห็นท่าว่าอีกฝ่ายจะล้มลงไปจริงๆ  มือของเหลียนอันสุ่ยยื่นออกไปยึดไว้ตามสัญชาตญาณ  แรงฉุดพยุงเปลี่ยนทิศทางกลายเป็นล้มมาพิงกับร่างคนที่ตัวบางกว่า  แรงปะทะหนักหน่วงจนเหลียนอันสุ่ยแทบจะล้มลงไปอีกคน
“ที่แท้ท่านดื่มไปมากถึงเพียงนี้  ท่าน...” หากฤทธิ์สุราทำให้ฉีเซี่ยงหยวนสติดับวูบไปแล้ว  แม้ยังรู้สึกตัว  แต่สมองประมวลผลอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น  สุดท้ายเหลียนอันสุ่ยจึงทำได้เพียงพยุงร่างคนเมาไปทิ้งน้ำหนักลงบนเตียง... แต่กลับกลายเป็นว่าถูกคนที่นอนลงไปคว้าติดมือลงไปด้วย

“ข้าคิดถึงท่าน...” เสียงพึมพำดังลอดออกมาจากปากฉีเซี่ยงหยวน
ร่างหนาตะแคงเกยจนเกือบจะเป็นทับกับอีกฝ่ายกักร่างสูงโปร่งเอาไว้ในอ้อมแขน  ใบหน้าคมซบลงพอเหมาะพอเจาะพอดีกับซอกคอหอมกรุ่น  แรงที่โอบรัดไม่ได้มากจนทำให้รู้สึกเจ็บ  แต่ก็พอดีอยู่ในระดับที่ดิ้นไม่หลุด  ริมฝีปากหนาบดเบียดเข้าหากลีบปากนุ่มเนียน  เหลียนอันสุ่ยผงะหนี  แต่ริมฝีปากอีกฝ่ายกลับติดตามมา  การประกบแนบครั้งที่สองลึกซึ้งดื่มด่ำกว่าเดิม  ปลายลิ้นซอกซอนแทรกลึกเข้ามาตามรอยแยกของกลีบปาก  พาเอารสชาติขมฝาดของสุราเข้ามาด้วย  สัมผัสที่เหมือนเป็นการกลืนกินมากกว่าจุมพิต  ทำให้พระมาตุลาแคว้นเหลียนรู้สึกว่าตัวเองกำลังหายใจไม่ทัน  ศีรษะเบียดติดกับเตียงจนไม่อาจถอยห่างไปกว่านี้  แต่กลับไม่อาจหลบหนีการเบียดเคล้าที่ลึกซึ้งยาวนาน 

ฉีเซี่ยงหยวนไม่ยินยอมปล่อยให้ริมฝีปากของเหลียนอันสุ่ยเป็นอิสระ  เพิ่งผละออกก็ประกบซ้ำอีก  ส่งผลให้คนที่อ่อนระสบการณ์กว่าสมองมึนเบลอว่างเปล่า  รับรู้แต่กลิ่นของสุรา  รสชาติของสุรา จนคล้ายกับตัวเองกลายเป็นฝ่ายเมามาย  ไม่รู้สึกตัวว่าฝ่ามือใหญ่เลื่อนไปปลดสายรัดเอว  แยกสาบเสื้อตัวในออกจากกัน  จนจังหวะที่ปลายนิ้วสากลากไล้กับโคนขา  เปลือกตาที่หรี่ปรือจึงเบิกกว้าง  ร่างสะท้านเฮือก  ขยับกายหมายหลบเลี่ยง  จุดประสงค์เพียงหวังว่าตัวเองสามารถลงจากเตียง  ขอเพียงลงจากเตียงได้ก็จะพ้นมือคนเมาไม่รู้เรื่อง  ยุติสถานการณ์อันล่อแหลมนี้ 

หากมือใหญ่ขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางคล้ายงอกอยู่บนร่างของเหลียนอันสุ่ย  เพิ่งขยับมาถึงริมเตียงก็ถูกรั้งเอวไว้  ร่างสูงเคลื่อนมาทาบทับแผ่นหลังโปร่ง  ทิ้งน้ำหนักลงมาเพียงครึ่งตัวเหลียนอันสุ่ยก็ไม่มีปัญญาขยับหนีไปไหน  ริมฝีปากร้อนผ่าวคลอเคลียอยู่กับช่วงไหล่เปลือยเปล่าเลื่อนลงไปตามแนวกระดูกสันหลัง  สาบเสื้อสีขาวร่นไปกองอยู่มุมศอก  ท่อนขาแข็งแรงเบียดแทรกอยู่ระหว่างช่วงขาเรียวยาวทั้งสองข้าง  สะโพกแกร่งอิงแนบกับโคนขาเนียนละเอียดถ่ายทอดอารมณ์ปรารถนาต้องการ
“ข้าคิดถึงท่าน” เสียงพึมพำแผ่วเบามีสำเนียงเมามาย

ความทรงจำของเหลียนอันสุ่ยถอยย้อนกลับไปยังส่วนที่เขาไม่ต้องการรำลึกถึงที่สุด  ตอนนี้คนที่ถูกซ้อนอยู่ด้านล่างเพียงหวังให้มือ ‘คนเมา’ สุภาพเรียบร้อยกว่านี้  แต่ความคิดยังไม่ทันจางหายไปจากศีรษะ  ผ่ามือที่โอบรั้งอยู่ที่เอวก็เลื่อนต่ำลงไป...

“อะ อย่า  ฮ้า” ร่างสูงโปร่งสะท้านไม่หยุด  ริมฝีปากขบเข้าหากันพยายามสะกดกั้นเสียงครางในลำคอ  รู้สึกว่าเรือนกายตัวเองร้อนวูบวาบ  ร่างทั้งร่างแปรเปลี่ยนเป็นไร้เรี่ยวแรง  ความรู้สึกรวดร้าวระคนกับสุขสมครอบงำห้วงความคิด  ไม่รู้ตัวแม้กระทั่งขณะถูกฉุดดึงกลับมาจากริมเตียง

สัมผัสร้อนผ่าวจากผ่ามือแกร่งพรากความสามารถในการต่อต้านขัดขืนของเหลียนอันสุ่ยไปจนหมดสิ้น  สติสัมปชัญญะวนเวียนอยู่ในวังวนของฝันร้อนแรง  จูบที่ปลายคางเน้นย้ำซ้ำๆไปจนถึงซอกหู  ดวงตาหรี่ปรือของฉีเซี่ยงหยวนเป็นประกายเข้มจัด

‘คิดจะไปจากข้าอย่างนั้นหรือ...ฝันไปเถอะ!’

รสสัมผัสดุจต้องการล้างความคิดดังกล่าวออกไปจากหัวพระมาตุลาแคว้นเหลียนให้หมดสิ้น...
---------------------
เมื่อเจ้าภาพไม่อยู่  ในที่สุดงานเลี้ยงก็เลิกรา  ผู้ร่วมโต๊ะทยอยจากไป  จางจื่อหยูเองก็คิดจะจากไป  แต่ถูกมู่ซางที่ยังไม่เลิกละเลียดสุราเรียกรั้งไว้
เมื่อจางจื่อหยูนั่งลงอีกครั้ง  มู่ซางก็ถามขึ้นมาลอยๆ
“ใต้เท้าจาง  ดูเหมือนท่านจะทราบว่าท่านอ๋องน้อยมีเรื่องเร่งด่วนอะไรต้องรีบไปกระทำกระมัง”
เห็นสีหน้าส่อพิรุธชัดเจนของอีกฝ่าย มู่ซางก็ลอบยิ้มกับตัวเอง  กล่าวขึ้นอีกว่า
“ท่านดูลำบากใจที่จะตอบคำถามข้านะ”
“...ท่านอ๋องน้อยแค่ดื่มมากเกินไปจนรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว  ต้องการการพักผ่อน  มันก็เท่านั้นแหละ” คำกลบเกลื่อนที่พอมู่ซางอ้าปากจะแย้ง  จางจื่อหยูก็ผุดลุกขึ้นเหมือนตัวเองมีเรื่องรีบร้อนต้องไปทำอีกคน  กล่าว
“ข้าเองก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย  ต้องขอตัวแล้ว” กล่าวจบก็ผลุนผลันจากไป
มู่ซางหลุดหัวเราะเบาๆขณะมองตาม  ใครก็รู้ว่า ‘ดื่มมากเกินไป’ ใช้กับท่านอ๋องน้อยไม่ได้  ในบรรดาคนที่นั่งร่วมโต๊ะ  คนที่คอแข็งที่สุดคือฉีเซี่ยงหยวนกับมู่ซาง  ตัวมู่ซางเองกรอกไปมากมายถึงเพียงนี้ยังไม่ใคร่รู้สึกเมา  ส่วนท่านอ๋องน้อยวันนี้ดื่มไปน้อยกว่าจางจื่อหยูด้วยซ้ำจะเมามายได้อย่างไร?

‘ท่านไม่บอก  ข้าก็มีวิธีรู้ของข้าเอง’ มู่ซางคิดขณะยกจอกสุราขึ้นดื่ม
---------------------
ใต้แสงตะเกียงหรี่สลัว  ‘คนเสแสร้งแกล้งเมา’ มองเค้าใบหน้าสูงศักดิ์อ่อนโยนของคนในอ้อมแขน  รู้สึกเหมือนตัวเองจริงๆก็เมามาย  ซ้ำยังเมามายแบบที่ไม่มีปัญญาสร่างเมาด้วย  ใบหน้านี้ไม่ทราบครุ่นคิดคำนึงถึงกี่ครั้งครา  แปลก...เหตุใดจึงตราตรึงอยู่ในความทรงจำถึงเพียงนี้  แววตาของฉีเซี่ยงหยวนอ่อนโยนอย่างที่ผู้ใดก็ไม่เคยเห็นมาก่อน  แฝงความปวดร้าวอยู่เร้นลึก 

‘หากข้าไม่ใช้โซ่ตรวนแห่งอำนาจพันธนาการท่านไว้...ท่านคงไม่มีทางอยู่ข้างกายข้าสินะ’

เพราะท่านคิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าจะจากไป  แต่ข้า...จะไม่ปล่อยท่านไป  ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยท่านไป
แสงจันทร์ยังคงไล้แผ่วเบาบนกิ่งก้านที่โดดเดี่ยวว้าเหว่  ทาบเงาเหยียดยาวบนใบไม้ที่ปลิดตัวจากขั้วอย่างโหยหาอาลัย  คล้ายสุดเอื้อมมือแต่ไม่อาจไขว่คว้าไว้

 ...สุดเอื้อมมือแต่ไม่อาจไขว่คว้าไว้...

ฉีเซี่ยงหยวนหยุดมองเงาไม้...แล้วก็ก้าวเท้าจากไปจากตำหนักรับรองชุนเกอ...

   สายตาคู่หนึ่งวาววาบในความมืด  มือใหญ่กุมดาบในฝักไว้แน่นจนขึ้นข้อขาว  หักห้ามตัวเองมิให้ชักดาบออกจากฝัก  หวังเชียนยืนท่ามกลางสายลมเย็นเฉียบของฤดูใบไม้ร่วงมาช่วงใหญ่แล้ว  เสียงที่เกิดขึ้นในตำหนักมามุมนี้ได้ยินชัดแจ้ง  ถึงแม้จะเป็นเพียงเสียงแผ่วเบา  แต่ไม่มีทางที่หวังเชียนจะลืมเลือนไปในชั่วชีวิต  ผู้มีพระคุณของเขา  นายที่เขาขายชีวิตให้  กลับถูกคนผู้นั้น...  กรามขบแน่นจนฟันแทบแหลกละเอียด  ความจริงที่เพิ่งได้รับรู้ทำให้หวังเชียนยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นไปจนเช้า...
---------------------

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 21
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 13-08-2014 20:49:32

บทที่ 21 ถลำลึก

   สายๆ ตำหนักเสียงวสันต์(ชุนเกอ)ก็มีอาคันตุกะมาเยือน
   “แม่ทัพหลิว” คำเรียกขานของเหลียนอันสุ่ยมีแววแปลกใจ  หลิวฉางเฟยเป็นแม่ทัพคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวน  มีตำแหน่งสำคัญยิ่ง  บรรดาองครักษ์ของฉีเซี่ยงหยวนทั้งหมดต่างขึ้นตรงกับเขา  ช่วงเปลี่ยนถ่ายอำนาจสมควรมีงานล้นมือจนทำแทบไม่ทัน  เหตุใดจึงเป็นผู้ถือคำสั่งมาด้วยตัวเอง ?
   “องค์ชายสี่มีบัญชาให้ข้าน้อยจัดทหารอารักขาพระมาตุลา” พูดจบก็หันไปพยักหน้าต่อบุรุษในชุดเต็มยศอีกสองคนข้างหลัง  ให้แนะนำตัว
   “ข้าน้อยชื่อหม่าหลง”
   “ข้าน้อยชื่อต้วนจิน”
   “หากพระมาตุลาต้องการอะไรสามารถเรียกใช้สองคนนี้”
   เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป  การกระทำเช่นนี้เท่ากับบอกกลายๆว่าเหลียนอันสุ่ยอยู่ในความคุ้มครองของฉีเซี่ยงหยวน  ผู้อื่นแม้ไม่ทราบ  แต่หากล่วงเกินเหลียนอันสุ่ยก็เท่ากับตอแยองค์ชายสี่แคว้นเป่ยชาง
   “คนคุ้มกันข้ามีพออยู่แล้ว  ข้าไม่ต้องการพวกเขา” จริงอยู่ การมีสองคนนี้อยู่การดำเนินชีวิตในแคว้นเป่ยชางของเหลียนอันสุ่ยต้องราบรื่นขึ้นอีกมาก  แต่นั่นกลับเป็นการขดรัดพันธนาการที่มองไม่เห็นให้แน่นขึ้นด้วย
หลิวฉางเฟยยิ้มเล็กน้อย ตอบว่า
“อีกหน่อยท่านก็ต้องการพวกเขา  อีกอย่างนี่เป็นคำสั่งขององค์ชายสี่  ข้ามีหน้าที่แค่เอาคนมาส่งเท่านั้น”
“...ลำบากแม่ทัพหลิวแล้ว” ในเมื่อไม่อาจปฏิเสธ ก็ได้แต่รับไว้
“ข้าน้อยยังมีคำพูดขององค์ชายสี่ถึงพระมาตุลา” หลิวฉางเฟยรอจนคนอื่นออกไปจนหมด จึงถ่ายทอดคำพูดของฉีเซี่ยงหยวนต่อเหลียนอันสุ่ย
---------------------
“แม่ทัพหลิว” หม่าหลง ต้วนจิน ทำความเคารพเมื่อเห็นหลิวฉางเฟยเดินออกมา
หลิวฉางเฟยกล่าวกำชับว่า
“คุ้มกันพระมาตุลาให้ดี”
ทั้งสองรีบรับคำ
หลิวฉางเฟยกวาดตาผ่านแววตาที่ดูจะแฝงความไม่เป็นมิตรของหวังเชียน คนคุ้มกันเดิมของพระมาตุลาที่ยืนคุมเชิงอยู่อีกฟากของห้อง  แต่ในหัวของหลิวฉางเฟยไม่ได้ครุ่นคิดกังวลเรื่องนี้  ...มีบางคำพูด  แม้ลำบากใจที่จะกล่าว  หากสุดท้ายก็ยังคงต้องกล่าวออกไป  หลิวฉางเฟยถอนหายใจขณะก้าวพ้นกำแพงรั้วของเขตตำหนักเสียงวสันต์...
---------------------
อิ๋งฮวาเหลือบมองนายท่านที่เอาแต่ยืนนิ่งค้างอยู่คนเดียว  ขณะวางน้ำชาลงบนโต๊ะ  แล้วล่าถอยออกจากห้องอย่างเงียบงัน
เหลียนอันสุ่ยแม้พยายามไม่ครุ่นคิด  หากคำพูดของหลิวฉางเฟยยังคงตกค้างอยู่ในหัว

‘หากท่านสามารถปล่อยวางเรื่องของแคว้นเหลียนและเรื่องของเด็กคนนั้น  ท่านก็สามารถจากไป’

ปลายนิ้วเรียวยาวถูกกำแน่นเข้า สั่นระริก  ปล่อยหรือ  หากเขาปล่อยได้ก็คงไม่ยืนอยู่ตรงนี้  คำตอบชัดเจนยิ่ง...ฉีเซี่ยงหยวนไม่มีวันปล่อยเขาไป
ที่แท้เมื่อคืนฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้เมามายจนถึงกับฟังไม่รู้เรื่อง  แต่เป็นไม่ต้องการจะฟัง  คำในวันนี้เท่ากับบ่งบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องการเอ่ยถึงอีก
‘พวกเขาต้องการจะมองอย่างไรก็ให้พวกเขามองอย่างนั้น’
เหลียนอันสุ่ยคาดเดาไม่ผิด  เพียงแต่มองเรื่องราวง่ายดายเกินไป  การที่ฉีเซี่ยงหยวนส่งคนมาทำหน้าที่คุ้มกัน  มิได้ขดรัดพันธนาการให้แน่นเข้า  เพราะพันธนาการนี้แท้จริงดิ้นไม่หลุดมาตั้งแต่ต้น
หากฉีเซี่ยงหยวนไม่อนุญาต  เหลียนอันสุ่ยจากไปได้หรือ ?

เหลียนอันสุ่ยต้องการให้ฉีเซี่ยงหยวนเบื่อหน่ายเขาโดยเร็ว  แต่ถ้าฉีเซี่ยงหยวนเบื่อหน่ายเขาจริง  เช้าวันนี้เหลียนอันสุ่ยจะไม่ได้เห็นหลิวฉางเฟย  เนื่องจากธุระเรื่องความเป็นอยู่ของเหลียนอันสุ่ย คนที่มีตำแหน่งเช่นหลิวฉางเฟยไม่จำเป็นต้องลงมาจัดการด้วยตัวเอง ท่าทีเมื่อคืนยิ่งเพิ่มเติมความสิ้นหวัง

‘ข้าคิดถึงท่าน’  ฉีเซี่ยงหยวนต้องการเขา  ต้องการมากมายอย่างยิ่ง
ทุกผู้คนมักหวังจะเป็นที่โปรดปราน  แต่ความเป็นที่โปรดปรานกลับทำร้ายเหลียนอันสุ่ยอย่างลึกล้ำ  เพราะยิ่งฉีเซี่ยงหยวนโปรดปรานเขา  ก็ยิ่งซ้ำเติมสถานะที่เขาไม่ต้องการจะนึกถึง 

เขามิใช่ตัวประกัน  มิใช่หมากที่มีคุณค่าให้ใช้สอย แต่เป็น ‘ของเล่นบนเตียง’

รอยยิ้มขมปรากฏบนเรียวปาก  ก็เลือกเองมิใช่หรือทางเดินนี้  เหตุใดจึงเพิ่งมารู้สึก  ความรู้สึกไร้ค่า  ความรู้สึกความปวดร้าว  เข้มข้นจนต้องชะงัก  มันไม่ควรจะเจ็บปวดขนาดนี้  ความหวาดกลัวแทรกขึ้นมาแทนที่  ไม่  รักไม่ได้  ภาพของบุตรชายผุดขึ้นมาในมโนความคิด  ฉับพลันความรู้สึกผิดก็เอ่อท้นจนแทบสำลัก  รีบระงับความคิดที่กำลังไหลบ่าตามมา  มือสั่นสะท้านกุมพนักเก้าอี้แน่น  เหลียนอันสุ่ยรู้เพียงหากยังครุ่นคิดต่อไป...แค่ความคิดก็สามารถฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น !
---------------------
ณ ห้องหับใหญ่โตในอาณาเขตที่พักพิงขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชาง  คนซึ่งตอนนี้มีสถานะไม่ต่างจากองค์รัชทายาทขาดเพียงคำสั่งแต่งตั้งกับการย้ายเข้าวังตะวันออกในมือพลิกเปิดเอกสารจากกรมกองต่างๆ แต่หูกลับเงี่ยฟังอย่างตั้งใจ

 “...รายละเอียดทั้งหมดก็ประมาณนี้  หม่าหลงกับต้วนจินจะส่งรายงานมาอีกรอบตอนพระอาทิตย์ตกดิน”
ที่แท้คนคุ้มกันทั้งสอง นอกจากต้องอารักขาความปลอดภัย  ยังต้องรายงานทุกเรื่องราวมายังฉีเซี่ยงหยวน  ถึงแม้นั่นออกจะเป็นรุกล้ำสิทธิผู้อื่นอยู่บ้าง  แต่องค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางก็ทำใจไม่ได้จริงๆที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ห่างหูห่างตา  นับวันอาการกึ่งๆจะประสาทนี้มีแต่จะทวีความหนักข้อขึ้น  หลิวฉางเฟยที่รับทราบทุกอย่างได้แต่ส่ายหัวกับตัวเอง  หากไม่กล้าเอ่ยคัดค้านอะไร  ด้วยเกรงภายภาคหน้าอาจไม่เหลือหัวไว้ให้ส่าย
“ตอนนี้เขาอยู่หอตำรา ?” คนเป็นนายเอ่ยถาม
“ขอรับ” หลิวฉางเฟยรับคำ
“ดี  อยู่ที่นั่นเขาจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน  เขาจากบ้านมาไกล คงรู้สึกไม่ค่อยดี” คำพูดตอนท้ายคล้ายรำพึงกับตัวเอง

หลังจากเข้าไปทำหน้าที่คุ้มกันได้ไม่นาน  หม่าหลงกับต้วนจินก็เสนอตัวพาพระมาตุลาไปเยี่ยมชมหอตำราหลวง  หากเบื้องหลัง คำเชิญนี้กลับมาจากฉีเซี่ยงหยวน  มีแต่ฉีเซี่ยงหยวนที่ทราบว่าเหลียนอันสุ่ย ชมชอบอ่านตำราถึงเพียงไหน  และก็มีแต่คำอนุญาตจากฉีเซี่ยงหยวน พระมาตุลาต่างแคว้นจึงสามารถเข้าไปอ่านตำราในหอตำราหลวงของแคว้นเป่ยชาง

ระเบียบการใช้หอตำราแคว้นเหลียนกับแคว้นเป่ยชางแตกต่างกัน  ที่แคว้นเหลียนบัณฑิตและเชื้อพระวงศ์ทุกคนสามารถเข้าใช้หอตำราหลวง  ตำรับตำราล้ำค่าล้วนถูกคัดลอกจนแพร่หลายไปทั่ว  มีเพียงเอกสารบางส่วนซึ่งไม่อนุญาตให้เผยแพร่ที่จะจัดเก็บแยกไว้ในหอตำราลับ  ส่วนแคว้นเป่ยชางเอกสารตำราแต่ละชิ้นมิใช่อนุญาตให้เผยแพร่โดยง่ายดาย  หอตำราหลวงจัดเก็บเอกสารสำคัญกับบรรดาจดหมายเหตุหลายฉบับที่มีเพียงหนึ่งเดียวไว้รวมกับตำราโบราณอื่นๆ  คนที่มีสิทธิ์เข้าใช้จึงมีเพียงเป่ยชางอ๋องกับพระญาติใกล้ชิด  พวกขุนนางบัณฑิตจะใช้หอตำรากลางซึ่งคัดลอกเอกสารส่วนน้อยที่อนุญาตให้เผยแพร่ออกไปอีกทอดหนึ่ง 

“พ่อครัวเล่า ?”
“เรื่องนั้นจัดการเรียบร้อยแล้ว  คนแรกเป็นพ่อครัวประจำตำหนักพระมาตุลาที่แคว้นเหลียน  ส่วนอีกคนที่ส่งไปคัดจากพ่อครัวในจวนท่านอ๋องน้อย” หลิวฉางเฟยรายงาน  ท่านอ๋องน้อยเป็นคนละเอียดรอบคอบ  แต่การเอาใจใส่คนผู้หนึ่งถึงเพียงนี้กลับผิดธรรมดา  ใช่ พ่อครัวเป็นเรื่องสำคัญ  เพราะอาหารทำพิษให้คนเราได้ง่ายๆ  โดยเฉพาะคนที่มีตำแหน่งสูงๆ  แต่ประการอื่นนอกเหนือจากการระวังป้องกันคือฉีเซี่ยงหยวนเกรงว่าพระมาตุลาแคว้นเหลียนกับบุตรชายจะไม่ชินกับอาหารที่ปรุงแบบชาวเป่ยชาง  จึงให้พ่อครัวจากแคว้นเหลียนติดตามมาด้วยคนหนึ่ง

 ...ทั้งที่เอาใจใส่ถึงเพียงนี้  เหตุใดคำพูดที่ฝากไปถึงจึงโหดร้ายนักเล่า  หลิวฉางเฟยไม่เข้าใจ  หากปากก็ยังคงรายงานต่อ
“ทางด้านพระอาจารย์ของเหลียนจิ้งเต๋อก็จัดส่งไปแล้วขอรับ”
ฉีเซี่ยงหยวนรับคำเสียงอืมม์  แล้วโบกมือเป็นความหมายให้อีกฝ่ายจากไป  สายตาคมเหลือบออกไปข้างนอก  ตะวันยามบ่ายยอแสงลง  ยามเย็นกำลังจะมาถึง  ขอเพียงจัดการงานกองนี้เสร็จ  เขาจะไปหาพระมาตุลา  ความคิดนั้นก่อให้เกิดกระแสอบอุ่นจางๆพัดเข้ามาในใจ...
---------------------
ท้องฟ้าเรื่อแสงสีชมพูจางทอดกลืนไปกับเมฆสีส้มเข้ม  น่าแปลกที่เฉดสีฉูดฉาดถึงเพียงนี้กลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า  สายลมพัดใบไม้แห้งสีเดียวกับท้องฟ้าเป็นเสียงกรอบแกรบ  กระซิบความปวดร้าวว่างเปล่าระคนหม่นหมอง  ชายอาภรณ์สีม่วงอ่อนซึ่งถูกแสงสีส้มไล้จนเป็นสีแปลกตาทอดลงกับพื้นทางเดิน  ด้วยผู้เป็นเจ้าของย่อกายลงเพื่อไล้ปลายนิ้วกับต้นไม้ที่ไม่ได้สูงกว่าเอวต้นหนึ่ง

ฉีเซี่ยงหยวนมองดูอยู่แต่ไกล  ทราบในทันทีนั้นว่านั่นคือต้นท้อ...หน่ออ่อนของต้นท้อ  ต้นไม้แห่งสายสัมพันธ์  ความอบอุ่นที่รู้สึกก่อนหน้านี้กระจัดกระจายไปในความเวิ้งว้าง  ความรู้สึกซึ่งไม่เคยประสบชนิดหนึ่งแล่นพล่าน  ฉีเซี่ยงหยวนทราบแต่ว่าตัวเองไม่ต้องการจะมองภาพนี้ต่อไปอีกซักวินาทีเดียว 

เสียงก้าวเท้าที่คนก้าวไม่สนใจจะเก็บให้เงียบกริบอีกต่อไป  ทำให้คนที่ย่อตัวอยู่กับพื้นตัวตรงขึ้นมา  รีบลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับไป
“องค์ชายสี่”
ท่าทางแบบนั้นอีกแล้ว  คำเรียกหานั้นอีกแล้ว !
“ข้าไม่อนุญาตให้ท่านเรียกข้าคำนี้” คำพูดเผด็จการเย็นชาผิดคาด ทำให้เหลียนอันสุ่ยชะงัก  แต่ก็ไม่ได้สะท้านหวาดกลัว  รอยยิ้มอ่อนจางแตะลงบนเรียวปาก  ถามว่า
“ท่านเป็นองค์ชายสี่  ไม่ให้เรียกท่านเช่นนี้แล้วให้เรียกเป็นอะไร”
ฉีเซี่ยงหยวนกวาดตามองดวงตาอีกฝ่าย  รอยยิ้มของอีกฝ่าย  ความรู้สึกสูญเสียพลันฉายขึ้นมาในแววตาคมปลาบ
เหลียนอันสุ่ยเบือนหน้าหนี  รู้สึกเจ็บแปลบในใจ  ใช่ เขาผลักอีกฝ่ายออกไปโดดเดี่ยวอีกครั้ง  เพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ควรจะเป็นเช่นที่เป็นอยู่
“ข้าคัดอาจารย์ให้เหลียนจิ้งเต๋อแล้ว  วันพรุ่งนี้เขาจะมาถวายการสอนที่นี่” สีหน้าของฉีเซี่ยงหยวนสงบอย่างยิ่ง  สงบจนยากจะคาดเดาอารมณ์
เหลียนอันสุ่ยเหลือบมองคนพูด  แล้วก็เสไปมองทางอื่น  กล่าวขอบคุณเบาๆ
 “ไม่ต้องขอบคุณข้า เขาเป็นลูกบุญธรรมของข้า  ข้าย่อมต้องดูแลเรื่องต่างๆของเขา...เข้าไปข้างในเถอะ  ข้างนอกลมแรง” คำพูดราบเรียบ  ฝ่ามือหนายื่นมากุมมือเรียว 
ปฏิกิริยาแรกของเหลียนอันสุ่ยคือพยายามชักมือออก  แต่แรงยึดที่แน่นขึ้นทำให้เขาได้สติ  ยินยอมให้จับกุมแต่โดยดี  รู้สึกเหมือนแต่ละย่างก้าวกำลังก้าวเข้าแดนประหาร  เหลียนอันสุ่ยไม่ต้องการจะอยู่กับฉีเซี่ยงหยวนสองต่อสอง  หากกลับไม่มีทางเลือกอื่น

พระมาตุลาแคว้นเหลียนเพียงหวัง...ตัวเองอย่าได้ถลำลึกกว่านี้เลย 
---------------------
ควันสีขาวลอยกรุ่นขึ้นมาจากสายน้ำร้อนที่ทิ้งตัวลงกระแทกใบชาในป้านดินเผาให้ค่อยๆคลี่ออกจากกัน  ฉีเซี่ยงหยวนเพ่งมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าจดจ่อกับใบชา  ไม่ยินยอมเงยหน้าขึ้นมาสนทนากับเขาดีๆ  เหมือนโลกทั้งใบสิ่งที่สำคัญที่สุดคือชากานี้เท่านั้น
“ท่านโกรธข้าหรือ...ที่ขังท่านไว้ที่นี่”
คำพูดขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางทำให้มือเรียวงามที่กำลังแง้มฝากาเพื่อเติมน้ำลงไปอีกครั้งชะงัก
“ท่านไม่ได้ขังข้า  เป็นข้าที่พะวักพะวงถึงสิ่งอื่นมากเกินไปเอง...” เงียบไปพักหนึ่งพระมาตุลาแคว้นเหลียนจึงกล่าวต่อ “องค์ชายสี่  ท่านไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับข้าจนเกินไปนัก  หม่าหลง ต้วนจิน สองคนนั้นกลับไปเป็นคนคุ้มกันของท่านเช่นเดิมจะเหมาะกว่า”
“อ้อ... พวกเขาทำให้ท่านโมโหหรือ  ได้  ข้าจะให้คนลงโทษพวกเขาเอง”
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมาทันทีอย่างตกใจ
“ท่านอ๋องน้อย !”
“ในที่สุดก็ยินยอมเรียกข้าแบบเดิม”
“พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด  ท่านจะลงโทษพวกเขาไม่ได้” คำกล่าวเจือกระแสเสียงร้อนรน
“พวกเขาทำให้ท่านไม่พอใจไม่ใช่หรือ  ท่านจึงไม่ต้องการพวกเขาอีกแล้ว  อีกอย่างทำหน้าที่ไม่สำเร็จลุล่วงก็สมควรถูกลงโทษ  นั่นเป็นกฎ” ฉีเซี่ยงหยวนเหมารวมหน้าตาเฉย  น้ำเสียงไม่ได้มีแววใส่ใจ  ดวงตายังคล้ายมีแววสนุกอีกด้วย
“ท่าน...ไปเอานิสัยเกเรเช่นนี้มาจากที่ใดกัน”
“เอามาจากที่ใดไม่สำคัญ  ตกลงท่านต้องการคืนพวกเขาให้ข้ารึเปล่า  ถ้าท่านคืนพวกเขาให้ข้า  ก็นับเป็นคนของข้า  ข้าจะลงโทษอะไรคนของข้า  ท่านไม่มีสิทธิ์ออกหน้านะ”
ฟังแล้วคนเป็นพระมาตุลาแคว้นเหลียนได้แต่สั่นศีรษะ ถอนหายใจ ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก  ยกกาน้ำชารินชาเมฆเจ็ดสีอันสูงค่าใส่จอกเคลือบสีขาวละเอียดลออราวเปลือกไข่ ซึ่งผ่านการลวกจอกแล้วทั้งสองจอก

ชาเขียวใสในจอกขาวจัดให้อารมณ์เรียบง่ายแต่พิถีพิถันชนิดหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ยอมดื่มเสียที เอาแต่ไล้ปลายนิ้วกับข้างจอก  ละเลียดไอร้อนผ่าวที่แผ่ออกมาจางๆ
“ในฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้  ข้าดื่มชาไม่บ่อยนัก  แต่ดื่มสุรากลับบ่อยกว่ามาก” คำพูดดุจรำพึงกับตัวเอง
“เช่นนั้นข้าจะไปเปลี่ยนเป็นสุรามาให้” ยังไม่ทันที่พระมาตุลาแคว้นเหลียนจะหมุนกายกลับไปทำตามที่พูดก็ถูกยึดข้อมือไว้
“ไม่ต้องหรอก  ปรกติฤดูใบไม้ร่วงข้าจะฝึกทหาร  ดังนั้นส่วนใหญ่ที่ได้ดื่มจึงเป็นสุรา  อีกอย่างท่านก็ตั้งใจชงถึงเพียงนี้...” พูดจบก็ยกขึ้นจิบช้าๆ
“ฤดูใบไม้ร่วงอากาศที่เป่ยชางหนาวเย็นลงเรื่อยๆ  ทำไมท่านต้องฝึกทหารช่วงนี้” เหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้ว สีหน้าไม่เห็นด้วย
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ  กล่าวว่า
“ข้าไม่ให้ฝึกทหารกลางฤดูหนาวก็นับว่าปรานีต่อพวกเขามากแล้ว  เป่ยชางเป็นแคว้นนักรบ  อากาศแค่นี้ยังทนทานไม่ได้ก็ไม่สมควรอยู่ในกองทัพของข้า  ท่านอย่าได้ลืมว่าแคว้นเป่ยชางอยู่ทางตอนเหนือ  ปรกติอากาศก็หนาวเย็นอยู่แล้ว  ตอนบุกพิชิตเผ่าที่อยู่เหนือขึ้นไป  อากาศยิ่งร้ายกาจกว่านี้มากนัก”
“...อาณาเขตของแคว้นเป่ยชางยังไม่กว้างใหญ่เพียงพออีกหรือ” ดวงตาอ่อนโยนถูกกลบด้วยประกายหม่นหมองอีกครั้ง เหลียนอันสุ่ยเกลียดสงคราม  ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทำใจชอบมันได้ลง
“ยังไม่พอ...ท่านก็รู้ดี” มีแต่ทำลายสภาพสามแคว้นใหญ่ตรึงอำนาจ  สงครามจึงจะยุติ  เพราะสภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบันแม้เหมือนจะสงบสุข  แท้จริงไม่ต่างกับระเบิดเวลาที่รอการปะทุอยู่ทุกวี่วัน
เหลียนอันสุ่ยก้มหน้าลง  ดวงตาทอแววเจ็บปวด  อีกไม่นานแคว้นเหลียนจะเป็นเพียงแผ่นดินผืนเล็กๆแทบปลายเท้าท่าน  ส่วนข้าเอง...ก็คงไม่ต่างกัน

“ท่านเป็นอะไรไปอีกแล้ว” คำถามมาพร้อมกับมือที่คิดจะเชยคางอีกฝ่ายขึ้นมาสบตา เหลียนอันสุ่ยเบือนหน้าหลบมือใหญ่  ไม่ต้องการเปิดเผยความรู้สึกใดๆที่อาจตกค้างอยู่ในแววตาต่อฝ่ายตรงข้าม  หากสุดท้ายคางยังคงถูกบังคับให้เงยขึ้น  ฉีเซี่ยงหยวนจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่งามที่เคยดึงดูดเขาครั้งแล้วครั้งเล่า  เลื่อนลงมาช้าๆตามสันจมูก  หยุดลงตรงเรียวปากบางที่หลุดพึมพำเป็นคำว่า ‘ไม่’  คำๆนั้นกระชากความทรงจำของฉีเซี่ยงหยวนกลับไปยังภาพที่คนตรงหน้าก้มอยู่เหนือหน่ออ่อนของต้นท้อ  ในใจทั้งขมฝาดทั้งเจ็บปวด  ดวงตาคมทอแววเย้ยหยันตัวเอง  ทั้งๆที่ทราบว่าความจริงเป็นเช่นไร  เหตุใดใจของคนเรามักยังคงหวังถึงสิ่งที่ไม่เป็นจริง

“ข้าต้องการท่าน” คำกล่าวราบเรียบจนเกือบจะเป็นเย็นชา
ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยเบิกกว้าง  สุดท้ายจึงหลุบต่ำ  ปากยิ้มบางๆเจือความหม่นหมองอยู่เร้นลึก  ใช่แล้ว  ท่านเพียง ‘ต้องการ’  แค่ความต้องการเท่านั้น
“ท่านสมควรอาบน้ำเสียก่อน” เหลียนอันสุ่ยกล่าว
ขณะพระมาตุลาแคว้นเหลียนหันไปสั่งต่ออิ๋งฮวาและเยี่ยนจื่อ สองหญิงรับใช้ให้ไปเตรียมน้ำอาบ  ฉีเซี่ยงหยวนได้แต่มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ตัวเองใส่ใจนักหนา  ใต้หน้ากากเรียบเฉยฉีเซี่ยงหยวนถามตัวเอง เหตุใดรอยยิ้มของคนผู้หนึ่งจึงสามารถทำให้หัวใจตนเจ็บปวดถึงเพียงนี้ ?

ทำไมทุกคราที่ในใจท่านเศร้าโศก  จึงชมชอบปกปิดมันด้วยรอยยิ้ม
---------------------
องค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางอาบน้ำเสร็จแล้ว  เหลียนอันสุ่ยรอเขาอยู่ในห้อง
ใบหน้างามละมุนก้มต่ำ  ไม่ทราบครุ่นคิดถึงสิ่งใด  แสงโคมไล้ผิวกายจนดูนวลเนียนกว่าเดิม  อาภรณ์สีม่วงอ่อนบนร่างที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมในแบบชุดฤดูใบไม่ร่วงของแคว้นเหลียนสะท้อนความสูงค่าของมันเมื่อต้องแสงโคม สีแต่ละเฉดไล่บรรจบกันอย่างกลมกลืน ศิลปะการทอระดับนี้แคว้นเป่ยชางสามารถซื้อหา  แต่ไม่มีปัญญาทอขึ้นเอง
“ท่านคิดอะไรอยู่”
เหลียนอันสุ่ยลุกจากเก้าอี้  เดินเข้ามาหา  แต่ไม่ได้ตอบคำถาม
“ท่านอาบน้ำรวดเร็วอย่างยิ่ง”
ฉีเซี่ยงหยวนยิ้ม อารมณ์หลังอาบน้ำคล้ายดีขึ้นมาบ้าง ตอบว่า
“มันติดเป็นนิสัย  เวลาอยู่ในค่ายอาบน้ำช้าๆไม่ได้หรอก” พูดจบก็นั่งลงบนเตียงฝ่ามือใหญ่แบออก  ยื่นมาข้างหน้า  คล้ายรอคอยบางสิ่ง
อึดใจหนึ่งมือเรียวงามจึงค่อยๆวางลงบนนั้น  ร่างสูงใหญ่ดึงอีกฝ่ายเข้าไปกอด  เหลียนอันสุ่ยซบใบหน้าลงกับบ่ากว้าง  หลับตาลงช้าๆ  ทราบว่าตัวเองไม่มีปัญญาหนีพ้น  และไม่อาจขัดขืน  แคว้นเหลียนเป็นของท่าน  และข้า...ก็เป็นของท่านด้วย

ฉีเซี่ยงหยวนมองใบหน้าที่ซบพิงกับบ่าของเขา  เคลื่อนหน้าไปจนชิด  ใกล้จนสัมผัสไออุ่นจางๆจากร่างสูงโปร่ง  ริมฝีปากแทบแตะสัมผัสถูกกัน  ลมหายใจที่ผ่อนช้ามาตลอดแปรเป็นหนักหน่วงขึ้น  มือใหญ่เชยคางอีกฝ่ายขึ้นช้าๆ  เพราะใกล้เกินไป  ริมฝีปากบางจึงเฉียดผ่านเรียวปากหนาอย่างช่วยไม่ได้  สัมผัสเล็กๆน้อยๆนั่นทำลายความสามารถในการยับยั้งชั่งใจ  ฉีเซี่ยงหยวนประทับเรียวปากลงอย่างดูดดื่มโหยหา  อารมณ์ท่วมท้นของอีกฝ่ายทำให้ร่างโปร่งบางในอ้อมแขนสั่นสะท้านเบาๆ  เบาจนแทบสังเกตไม่ออก  ไม่อาจปฏิเสธจุมพิต  แต่กลับหวาดกลัวเหลือเกินว่ามันจะนำพาตัวเองไปสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่าที่เป็น
เหลียนอันสุ่ยพยายามย้ำสถานะกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า  ขณะฉีเซี่ยงหยวนเลื่อนจุมพิตไปยังหลังคอ  มือหนาสอดเข้าไปในกลุ่มผมนุ่มสลวย  เลิกมันให้พ้นต้นคอขาวเนียน  เส้นผมละเอียดค่อยๆทิ้งตัวผ่านซอกนิ้ว  ให้สัมผัสที่ละเมียดละไม  กลิ่นหอมอ่อนจางเข้มข้นขึ้น  ฉีเซี่ยงหยวนจูบเบาๆลงไปที่โคนผม

ร่างของเหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนเป็นขึงเกร็ง  ทุกข์ทรมานกับสัมผัสทะนุถนอมนั่น  เหลียนอันสุ่ยไม่กลัวอีกฝ่ายจะโหดร้ายต่อเขา  เพียงหวาดกลัวความอ่อนโยนลักษณะนี้  ความอ่อนโยนจากคนเช่นฉีเซี่ยงหยวนสามารถทำให้ผู้คนลืมตัว  รู้สึกเหมือนตนเป็นคนสำคัญ  พระมาตุลาแคว้นเหลียนจะไม่แปลกใจเลย  หากบอกว่ามีสตรีมากมายหลงใหลไม่อาจลืมเลือนอ๋องน้อยผู้นี้ไปชั่วชีวิต  เพราะการได้รู้ว่าตัวเองมีคุณค่าความหมายต่อใครซักคนช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษนัก...แม้มันอาจมิเคยเป็นจริงเลยก็ตาม

ปลายนิ้วสากไล้ช้าๆตามขอบปกเสื้อด้านหลังมาจรดสาบเสื้อด้านหน้า  คล้ายตกลงใจไม่ได้ว่าจะแกะขนมที่หอมกรุ่นชิ้นนี้กินจากตรงไหนดี  ฉีเซี่ยงหยวนตัดสินใจว่าเขาชอบเสื้อตัวนี้  ยังคงทิ้งไว้บนร่างอีกฝ่ายจะเหมาะกว่า  ท่อนแขนแข็งแรงโอบอีกฝ่ายเข้ามาชิด  มือหนาไล้ช้าๆลงไปตามข้างลำตัวของคนที่นั่งอยู่บนตัก  จรดถึงข้อเท้าทั้งคู่แล้วค่อยๆคืนย้อนขึ้นมา  ชายอาภรณ์ยาวเลิกขึ้นตามตำแหน่งของฝ่ามือใหญ่  ปลายนิ้วเลื่อนไปปลดกางเกงตัวใน  ดึงมันให้พ้นลงมาตามเรียวขา

กลิ่นตัวยาทำให้เหลียนอันสุ่ยซบหน้าแนบกับลำคอหนา  ไม่ต้องการจะเห็น  ไม่ต้องการจะรับรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง  มือของฉีเซี่ยงหยวนแตะลงบนกระปุกเคลือบ  มันใส่ขี้ผึ้งอย่างดีกับ ‘อย่างอื่น’ ที่เหลียนอันสุ่ยทราบว่าเอาไว้ทำอะไร  แต่ไม่สนใจจะรู้ส่วนผสมของมันแม้แต่น้อย

ร่างสูงโปร่งสะท้านเบาๆ  เมื่อปลายนิ้วสากแทรกเข้ามา

ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้ว  กล่าวเบาๆที่ข้างหู
“ท่านต้องให้ข้าเข้าไป  ไม่อย่างนั้นข้าอาจทำท่านเจ็บ”
เรียวปากบางขบเข้าหากัน  แต่ก็ยินยอมผ่อนคลายตัวเองลง  นิ้วของฉีเซี่ยงหยวนตรวจตราอย่างละเอียด ระมัดระวังให้แผ่วเบา  ฉีเซี่ยงหยวนต้องการจะให้แน่ใจว่าไม่มีอุปสรรคจากเมื่อคืนวาน  ส่วนเหลียนอันสุ่ยไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการให้ปลายนิ้วสากเคลื่อนไหวเบาเท่านี้หรือรุนแรงกว่านี้  เพราะสัมผัสผิวเผินแผ่วเบากลับสร้างความทรมานให้เขาอย่างร้ายกาจ  ร่างสูงโปร่งเครียดเกร็ง  ความขัดแย้งในจิตใจยิ่งมายิ่งสับสน  หากเรือนกายกลับตอบสนองสัมผัสที่อีกฝ่ายปรนเปรอมอบให้  เสียงครางที่เพียรสะกดกลั้นไว้หลุดลอดออกมา 

เดิมทีเหลียนอันสุ่ยก็มีน้ำเสียงที่น่าฟังอย่างยิ่ง  แต่เมื่อมาอยู่บนเตียง  ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึง  จินตนาการไม่ออก  ว่าน้ำเสียงแผ่วทุ้มนุ่มนวลชวนให้จิตใจสงบผ่อนคลายจะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นหวานล้ำจนแทบคร่าวิญญาณคน  และนั่นก็ยั่วอารมณ์ฉีเซี่ยงหยวนอย่างร้ายกาจ  เพียงแต่ว่า... 
“ท่าน...” ฉีเซี่ยงหยวนพูดไม่ออก  นึกแปลกใจกับความคับแน่นที่ไม่คล้ายคนเพิ่งมีสัมพันธ์รักร้อนแรงไปเมื่อคืนวาน

ฉีเซี่ยงหยวนผ่านผู้หญิงมามาก  อาจบางทีมากจนเกินไป  มากจนไม่ว่าการเสแสร้งแกล้งดัดใดๆเขาล้วนมองออก  แต่พระมาตุลาผู้นี้กลับทำให้ฉีเซี่ยงหยวนประหลาดใจ  บุคลิกสูงศักดิ์กับตัวตนของเหลียนอันสุ่ยคล้ายเป็นหนึ่งเดียวกันจนแยกไม่ออก  กระทั่งในช่วงที่ไม่สามารถควบคุมตัวเอง  อารมณ์ปรารถนาเพียงสามารถเพิ่มเติมเฉดสีเย้ายวนให้กับความสูงศักดิ์นั่น  หากไม่มีปัญญากลบกลืนมัน  เสน่ห์เหล่านี้ไม่สามารถเสแสร้งแกล้งดัดขึ้น  และไม่มีผู้ใดสามารถลอกเลียนแบบได้  เพราะมันเป็นบุคลิกที่ถูกหล่อหลอมมาแต่กำเนิด  เทียบกับเสน่ห์อันจัดเจนช่ำชองยังเป็นธรรมชาติยิ่งกว่า  เย้ายวนใจยิ่งกว่า

เพียงการตอบสนองเล็กน้อยฉีเซี่ยงหยวนก็รู้  ร่างกายของอีกฝ่ายจดจำเขาได้  ถึงเจ้าตัวไม่คิดจะยอมรับและพยายามจะฝืนไว้ เหลียนอันสุ่ยเคยชินกับการสำรวมตัวเองมากเกินไป  วางกรอบตัวเองแน่นหนาเกินไป  บางทีคงเป็นเพราะวัฒนธรรมแคว้นเหลียนไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวปล่อยใจ  หรือไม่ก็เพราะ...เหลียนอันสุ่ยไม่เคยรักเขา

ดวงตาคมที่เข้มจัดด้วยแรงปรารถนาทอแววปวดร้าว  บางครั้งข้าก็ไม่เข้าใจตัวเอง  ทั้งๆที่ทุกคราที่ข้าแตะต้องท่าน ในใจของข้าจะเจ็บปวดเสมอ  และข้าก็รู้...ท่านก็ปวดร้าว  เพราะข้าเห็นมันในแววตาของท่านเช่นกัน  หากสุดท้ายข้ายังคงไม่มีปัญญาเก็บมือเอาไว้ห่างๆท่านอยู่ดี  อาจบางทีเพราะข้าทราบ...มีเพียงช่วงเวลานี้ท่านจึงเป็นของข้าอย่างแท้จริง
---------------------
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 20
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 13-08-2014 20:56:32
เรื่องนี้สนุกมากๆๆ เลย ดีใจที่มาโพสที่บอรดนี้นะคะ รออ่านตอนใหม่อยู่ค่ะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 13-08-2014 21:05:52
บทที่ 22 สองพี่น้อง

ยามดึกสงัดจวนเจียนจะรุ่งสางอ๋องน้อยฉีเซี่ยงหยวนก็ก้าวออกมาจากห้องด้านใน  ขณะเดินผ่านหม่าหลงกับต้วนจินที่เฝ้าอยู่ข้างนอกก็กำชับแผ่วเบา
“ห้ามคนรบกวนพระมาตุลาจนกว่าเขาจะตื่นเอง”
ก้าวพ้นมาอีกห้าก้าวก็ผ่านหวังเชียน คนคุ้มกันชาวเหลียนของพระมาตุลา
ประกายดายสะท้อนวูบ  ดาบเล่มหนาจ่อประชิดลำคอขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชาง !
ฉีเซี่ยงหยวนชะงักไปเล็กน้อย  ถามเสียงราบเรียบว่า
“เจ้าทำอะไร”
หม่าหลง ต้วนจิน ถลาเข้ามาเรียกคำ ‘ท่านอ๋องน้อย!’  หลิวฉางเฟยซึ่งเฝ้าอยู่ตรงทางต่อกับห้องโถงปรากฏกายทันทีที่ได้ยินเสียง  ดาบสามเล่มพาดลงบนคอของหวังเชียน  หากไม่ว่าใครก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ
คนที่กลายเป็นศัตรูของทั้งหมดเค้นเสียงช้าๆทีละคำ  แผ่วเบาราวเสียงกระซิบจากความตาย ใส่หู ฉีเซี่ยงหยวนเป็นความว่า
“หากท่านยังกล้ามาเหยียบที่นี่อีกครั้ง  ข้าจะฆ่าท่าน”
ดวงตาทรงอำนาจของฉีเซี่ยงหยวนหรี่ลง  มุมปากเหยียดยิ้ม
“...หากเจ้าฆ่าข้า  คนเดือดร้อนจะไม่ได้มีเพียงเจ้า  ข้ารับรองได้ว่าเจ้านายของเจ้าก็หนีความผิดนี้ไม่พ้น”
สิ้นคำของอ๋องน้อยแคว้นเป่ยชางโทสะดำมืดในดวงตาของหวังเชียนพลันสลายไปช้าๆ  สติค่อยๆกลับคืนมา  สิ่งปรากฏวูบบนแววตาคือความเสียใจในความวู่วามของตัวเอง  โอกาสฆ่าฉีเซี่ยงหยวนมีเพียงครั้งเดียว  แต่หวังเชียนทำมันพังตั้งแต่ชักดาบออกมาในตำหนักเจ้านายตัวเอง  หากจะโทษ...ก็ได้แต่โทษว่าความโกรธแค้นที่รุนแรงเกินไปเมื่อจินตนาการถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังประตูบานนั้น !  มือหยาบกร้านกำด้ามดาบแน่นดุจจะบีบให้แหลกคามือ

“ท่านมันน่ารังเกียจ” ปากกล่าวคำ  แต่มือกลับยอมลดดาบลง  เพียงเท่านี้ก็เป็นการกระทำที่โง่เขลามากพอแล้ว  หวังเชียนไม่อาจเสี่ยงให้นายท่านต้องเดือดร้อนไปมากกว่านี้  ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นหลับลงช้าๆ รอคอยการสำเร็จโทษจากดาบทั้งสามเล่มอย่างเงียบงัน  มิคาด...

“ปล่อยเขา” คำพูดนี้ถึงกับดังออกมาจากปากของฉีเซี่ยงหยวน
องค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางจ้องเข้าไปในดวงตาที่ลืมขึ้นอย่างคาดไม่ถึงของหวังเชียน  กล่าว
“เจ้าคงไม่พอใจที่ไม่สามารถลงมือกับข้าได้  แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้า  พรุ่งนี้จะมีการฝึกทหาร  ปรกติการฝึกทหารจะมีการประลอง  หากเจ้าปรารถนาจะสู้กับข้าอย่างยุติธรรมก็จงมาที่ลานประลอง”

หวังเชียนเบิกตากว้าง  หลิวฉางเฟยเรียก ‘ท่านอ๋องน้อย!’ อย่างตกใจ  ส่วนหม่าหลง ต้วนจินก็นิ่งค้าง  หากคนกล่าววาจาเดินออกจากห้องไปแล้ว  คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนคือประกาศิต  สิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนตัดสินใจลงไปแล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
---------------------
ลานฝึกซ้อมปูลาดด้วยหินแกร่ง  โคนเสาใหญ่โตปานต้นไม้อายุสักร้อยปียืนไว้ด้วยทหารชาวเป่ยชาง  ทั้งผู้ที่เปี่ยมประสบการณ์และทหารใหม่อายุเยาว์ปะปนกัน  คนเป่ยชางนิยมนักรบ  ลานฝึกซ้อมจึงกว้างใหญ่และถูกให้ความสำคัญเป็นพิเศษ  ทั้งๆที่มันก็เป็นเพียงลานโล่งๆธรรมดา  แต่ไม่ทราบนักสู้ชั้นยอดกี่คนแล้วที่ถือกำเนิดขึ้นที่นี่

ขณะนี้ที่ว่างตรงกลางตกเป็นของบุรุษสองคน  ซึ่งเป็นเหตุอันทำให้ที่ว่างรอบๆเนืองแน่นยิ่งกว่าทุกวัน 

เจ้าหนุ่มจากต่างแดนถึงกับกล้าท้าสู้กับท่านอ๋องน้อย ! 

ทุกคนได้แต่สั่นศีรษะให้กับความไม่เจียมตัวนั่น  หากอาการสั่นศีรษะพลันแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกเมื่อดาบของทั้งสองฝ่ายหลุดจากมือ  นานมากแล้วที่ไม่มีคนมีปัญญาทำให้ดาบของท่านอ๋องน้อยหลุดจากมือ!
การชมดูฆ่าเวลาจึงแปรเปลี่ยนเป็นชมดูด้วยใจจดจ่อยิ่ง  ถึงกับเริ่มมีคนลงขันพนันเงินทอง  เสียงโห่ร้องยิ่งมาก็ยิ่งดัง  การต่อสู้ยิ่งมาก็ยิ่งเร้าใจ  สุดท้ายเป็นเพราะฉีเซี่ยงหยวนพอดีหมุนตัวหลบไปในทางที่ดาบตกอยู่  พริบตาต่อมาองค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางจึงเป็นฝ่ายกำชัย
“ยอมรับนับถือแล้วหรือไม่” คำถามตามมาหลังรอให้อีกฝ่ายหยุดหอบหายใจ  เทียบกันแล้วฉีเซี่ยงหยวนยังเหนื่อยช้ากว่ามากเพราะคุ้นชินกับการรบติดพันกันเป็นวันโดยไม่หยุดพักในสมรภูมิ
“ทำไมท่านถึงไม่เอาเรื่องข้า” หวังเชียนไม่เข้าใจ  ด้วยฐานะที่เหนือกว่า ฉีเซี่ยงหยวนไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้
“สำหรับข้า การจงรักภักดีของเจ้าไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ  ไปซะ”
   ได้ฟังคำพูดอีกฝ่าย  หวังเชียนยิ่งไม่เข้าใจหนัก  กล่าวถามเสียงแผ่วเบา
“กระทั่งข้าที่หันดาบใส่ท่าน ท่านยังไม่ถือสา  เหตุใดต้องทำร้าย ‘เขา’  คนที่ไม่เคยแม้แต่จะเกลียดชังท่าน !”
“มันเป็นคนละเรื่องกัน  และคนที่เอาชนะข้าไม่ได้เช่นเจ้า  ไม่มีสิทธ์ตัดสิน” น้ำเสียงราบเรียบทำให้หวังเชียนได้แต่กัดฟันแน่น  เนื่องจากฉีเซี่ยงหยวนพูดถูก  เขาพ่ายแพ้แล้ว  และคนพ่ายแพ้...ไม่มีสิทธิ์ออกปากอันใด

ฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่ายจากไป  หูได้ยินเสียงฝีเท้าของหลิวฉางเฟยที่ก้าวเข้ามาใกล้
“ท่านไม่ควรจงใจปล่อยให้ดาบหลุดจากมือ” น้ำเสียงคนสนิทมีแววตำหนิ
“แล้วอย่างไร ?  ผลสุดท้ายก็ไม่เปลี่ยนแปลงมิใช่หรือ  ว่าแต่...เจ้าลงเงินพนันข้างข้าไปบ้างรึเปล่า”
ผู้ต่ำศักดิ์กว่าได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างเอือมระอา  เพราะนิสัยเช่นนี้จึงได้เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับตัวปัญหาอย่างมู่ซาง  แต่หลิวฉางเฟยก็อ่านความคิดของนายเหนือหัวออก  หากข่าวที่หวังเชียนสามารถทำให้ดาบของท่านอ๋องน้อยหลุดจากมือกระจายออกไป  หลังจากนี้จะไม่มีใครคิดชุ่ยๆ อยากตอแยพระมาตุลาแคว้นเหลียนเป็นอันขาด

“ท่านทำให้หวังเชียนได้ใจ” หลิวฉางเฟยยังคงหาเรื่องตำหนิ  เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับความเสี่ยงซึ่งไม่จำเป็น
“เปล่าเลย...เขาทราบดีอยู่แล้วว่าข้าจงใจ” ไม่ว่าเชิงดาบหรือมือเปล่า  เขาล้วนทราบดีว่าข้าเหนือกว่าเขา...
---------------------
ถัดจากลานประลอง  ฉีเซี่ยงหยวนก็ตรงดิ่งกลับตำหนัก  มีคนผู้หนึ่งถูกพาตัวมารอเขาอยู่ก่อนแล้ว  เป็นหมากสำคัญซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่ง  เพราะหมากตัวนี้ไม่เพียงเป็นหนึ่งในสามคนสนิทของพี่รอง  ยังเป็นหมากในแคว้นเป่ยชางของหนานเหมินอ๋อง!
ถูกแล้ว ขณะหลิวฉางเฟยแฝงตัวเข้าด้วยกับฉีเซี่ยงหมิง  ก็ควานหาหมากตัวนี้จนเจอ  และตอนนี้...ฉีเซี่ยงหยวนคิดว่าตัวเองน่าจะต้องการหูตาในแคว้นหนานเหมินเพิ่มอีกซักคนหนึ่ง
---------------------
สายลมเย็นโชยพัด  พาให้จิตใจสงบเยือกเย็น  หากจิตใจของกั่วเหวินโฮ่วที่ทุกคนเรียกเป็น ‘แม่ทัพกั่ว’ หนาวสะท้านอย่างยิ่ง
ว่าที่รัชทายาทแคว้นเป่ยชางใช้สายตาที่ชวนขนหัวลุกชนิดหนึ่งจับจ้องลูกน้องของพี่ชายตัวเอง  ดวงตาสาดประกายอำนาจเข้มข้น  คำพูดแต่ละคำแทบจะเฉือนจิตใจของกั่วเหวินโฮ่วออกเป็นชิ้นๆ

“ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่  โทษของคนขายชาติเป็นเช่นไร...ท่านย่อมทราบดี  พ่อแม่ของท่าน  ภรรยาของท่าน  รวมถึงบุตรธิดาของท่าน  เกรงว่าหลังจากนี้จะ ‘อยู่’ อย่างลำบากสักหน่อย”
ฟังจบแล้วกั่วเหวินโฮ่วแทบเข่าอ่อน  แต่ยังฝืนยืนตรงดุจไม่รู้สึกรู้สาอันใด  หากจะเปรียบคำพูดของฉีเซี่ยงหยวนเป็นใบมีดเล่มหนึ่ง  มีดเล่มนั้นก็ต้องแทงเข้าตรงจุดตายของกั่วเหวินโฮ่วอย่างไม่ต้องสงสัย 

สำหรับกั่วเหวินโฮ่วโทษตายไม่น่ากลัวแต่โทษเป็นกลับเป็นคนละเรื่องกัน  บทลงโทษคนขายชาติของแคว้นเป่ยชางโหดเหี้ยมจนเข้าขั้นอำมหิต  ถ้าแค่ตัวกั่วเหวินโฮ่วเองยังพอทำเนา  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับระบุชัดว่าจะใช้โทษเป็นกับบรรดาคนสำคัญทั้งหมดของเขา  ฝีมือลงทัณฑ์ขององค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนเป็นที่ทราบดี  ไม่มีนักโทษคนไหนตกถึงมือองค์ชายสี่แล้วมีปัญญาไม่คายความจริง  กั่วเหวินโฮ่วเพียงวาดหวัง อีกฝ่ายอย่าได้เข้ามาควบคุมการลงทัณฑ์ด้วยตัวเอง

เห็นสายตาที่มีแววหวาดหวั่นผ่านวูบเข้ามาของฝ่ายตรงข้าม  ฉีเซี่ยงหยวนก็ผ่อนคลายความกดดันลง  กล่าวต่อว่า
“แต่ท่านไม่ต้องกังวล  ทุกเรื่องราวล้วนมีทางออก...เพียงท่านทำงานให้ข้าชิ้นหนึ่ง  ตัวท่านและคนสำคัญของท่านจะรอดพ้นจากโทษทัณฑ์นี้”

ดวงตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนไม่ละจากใบหน้าอีกฝ่ายเลยจนจบประโยค  และเมื่อเห็นเค้าหวั่นไหวคล้อยตามก็ทราบว่าตัวเองบรรลุจุดประสงค์แล้ว
---------------------
ตกเย็น มีงานฉลองใหญ่ที่ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางจัดขึ้นเพื่อต้อนรับการกลับมาของบุตรชายคนที่สี่อย่างเป็นทางการ  งานเลี้ยงเอิกเกริกยิ่ง  เพราะคนสำคัญผู้หนึ่งมาทันเข้าร่วมด้วย  มิผิด แม่ทัพใหญ่หยงเซี่ย เทพสงครามของแคว้นเป่ยชางซึ่งทุกคนเข้าใจว่าประจำอยู่ที่ชายแดน  ในที่สุดก็กลับเมืองหลวงแล้ว

อันที่จริงหยงเซี่ยมิได้ตั้งใจมาเข้าร่วมงานฉลอง  แต่ยกพลมาเพื่อแก้สถานการณ์หลังข่าวกบฏขององค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิงไปถึง  แต่หยงเซี่ยมาช้าไป  ไม่สิ ต้องบอกว่าฉีเซี่ยงหยวนจัดการเรื่องราวได้รวดเร็วเกินไป  เพราะฉีเซี่ยงหยวนจงใจไม่ให้หยงเซี่ยสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว  หยงเซี่ยเป็นคนของเป่ยชางอ๋อง  จงรักภักดีต่อคนเป็นเป่ยชางอ๋องเพียงคนเดียว  หากหยงเซี่ยมาทันตอนการประจันหน้าในวังหลวง  สถานการณ์จะพลิกเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง

คืนนี้เหลียนอันสุ่ยได้เข้าเฝ้าเป่ยชางอ๋อง  ได้เห็นเทพสงครามแห่งยุคกับตาตัวเอง  และได้ร่วมเป็นพยานในเหตุการณ์ที่จะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต  นั่นเป็นชั่วขณะหนึ่งซึ่งหยงเซี่ยได้คุกเข่าลงตรงหน้าองค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวน

จากปากของหยงเซี่ยทุกคนจึงทราบ แคว้นเป่ยชางเคยตกอยู่ในสภาวะล่อแหลมจนเสี่ยงต่อการสิ้นชาติ  เพราะทันทีที่ในวังเริ่มมีระลอกไม่สงบ  ทัพใหญ่อันเกิดจากการจับมือเป็นพันธมิตรกันของแคว้นหนานเหมินกับแคว้นโหยวเฉิงพลันปรากฏตัวจ่อประชิดชายแดน !

เหลียนอันสุ่ยหันไปมองฉีเซี่ยงหยวนในวินาทีนั้น  สิ่งที่พบจากแววตาลึกๆของอีกฝ่ายมีเพียงความสงบเยือกเย็น  ฉีเซี่ยงหยวนรู้อยู่แล้ว!  คาดเดาได้ตั้งแต่แรกว่าเมื่อแคว้นเป่ยชางมีปัญหาภายใน  อีกสองแคว้นใหญ่ที่เหลือจะมองเลยความบาดหมางที่มี จับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อกลืนกินแคว้นเป่ยชาง

...นี่คือกฎเกณฑ์ข้อที่สองของฟากฟ้า  ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร  ทุกประการอยู่ที่อำนาจและผลประโยชน์

แต่เพราะความไม่สงบภายในคลี่คลายรวดเร็วเกินไป  พริบตาเดียวแคว้นเป่ยชางก็กลับสู่สภาพเป็นปึกแผ่น  ทัพพันธมิตรสองแคว้นจึงฝันสลาย  ยินยอมล่าถอยไปเมื่อหกวันก่อน  เนื่องจากหนานเหมินอ๋องและโหยวเฉิงอ๋องต่างไม่โง่พอที่จะปะทะกับแคว้นเป่ยชางที่อยู่ในสภาพเป็นปึกแผ่น

สรุปแล้วแคว้นเป่ยชางได้มือของฉีเซี่ยงหยวนช่วยให้พ้นคราวเคราะห์มาคราหนึ่ง  หยงเซี่ยประจำอยู่ชายแดน  ทราบความสาหัสของสถานการณ์ที่สุด  ตอนนี้จึงเป็นตัวแทนของชาวเป่ยชางโขกคำนับต่อฉีเซี่ยงหยวน

...อำนาจเปลี่ยนถ่ายโดยสมบูรณ์แล้ว...

ตั้งแต่วินาทีที่หยงเซี่ยคุกเข่าต่อฉีเซี่ยงหยวน  เป่ยชางอ๋องบนบัลลังก์ก็ทราบว่าตัวเองได้สูญเสียอำนาจไปตลอดกาล  เพราะแม่ทัพใหญ่หยงเซี่ยจะคุกเข่าต่อคนเพียงคนเดียว  นายของหยงเซี่ยเคยมีเพียงคนเดียว  แต่ตอนนี้เขายอมรับคนอีกคนแล้ว
การโขกศีรษะของหยงเซี่ยเป็นยิ่งกว่าตราแต่งตั้งใดๆ  ในใจของชาวเป่ยชางหยงเซี่ยเป็นเทพที่ปกปักรักษาแคว้นเป่ยชาง  ขอเพียงเหตุการณ์นี้แพร่ออกไป  ฉีเซี่ยงหยวนจะมีสถานะไม่ต่างจากเป่ยชางอ๋อง 

สิ่งนี้เองที่ฉีเซี่ยงหยวนรอคอย  ฉีเซี่ยงหยวนรู้มาตลอดว่าถ้าต้องการให้ทุกอย่างเป็นของเขา  จะต้องได้รับการยอมรับจากหยงเซี่ย  และฉีเซี่ยงหยวนก็ทำได้อย่างหมดจดนัก  ตำแหน่งต่อไปของเขาจึงมิใช่รัชทายาท...แต่เป็นเป่ยชางอ๋อง

น่าแปลกที่ในใจของเหลียนอันสุ่ยกลับรู้สึกโหวงเหวงอยู่บ้าง  รอบยิ้มบางๆที่ไร้ความหมายปรากฏบนเรียวปาก  อีกไม่นานคนผู้นั้นจะอยู่ห่างไกลยิ่งกว่าเดิม  ดวงตาคู่งามที่แฝงความปวดร้าวอ่อนละมุนลง 

ข้าเชื่อ...เชื่อจากใจ...ว่าท่าน  ในที่สุดก็ได้อยู่ในที่ที่เหมาะสมกับท่านแล้ว
------------------
ตะเกียงนอกห้องขังสาดผ่านซี่ลูกกรงฉาบเฉดสีแผ่วจางลงบนพื้นหินสีเทาหม่น  ถึงแม้ที่นี่จะเป็นคุกคุมขังนักโทษ  แต่กลับเงียบสงบกว้างขวาง  เป็นสัดส่วนแยกออกจากนักโทษทั่วไป  คนในกรงขังมิได้สนใจใยดีกับเสียงเปิดปิดประตูที่ดังเข้ามา  แต่กลับเงยหน้ามองช่องหน้าต่างบานเล็กด้านบนที่ทาบต่อกับท้องฟ้ายามค่ำอยู่อย่างนั้น  จนกระทั่งเป็นเสียงไขกุญแจเปิดประตูไม้หน้าห้องขังดังเอี๊ยดอ๊าด  ศีรษะที่เงยสูงจึงเบือนกลับมา  เมื่อพบว่าเป็นผู้มาเป็นใคร  หัวคิ้วหนาพลันขมวดมุ่นลง
“เจ้ามาทำไม”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ตอบคำถามพี่ชายต่างมารดา แต่บงการให้คนใส่กุญแจประตูไม้ไว้ตามเดิม  แล้วค่อยหันมามองคนพูด  กล่าวทัก
“พี่รอง  ท่านดูเป็นปรกติดีนี่”
“ทุรนทุรายมาหลายวันสมควรเพียงพอได้แล้ว  หากเจ้าต้องการมาเยาะเย้ย  สมควรมาให้เร็วกว่านี้” ใบหน้าของฉีเซี่ยงหมิงสงบจนฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง  ในบรรดาบุตรชายทั้งหมดของเป่ยชางอ๋อง  คนที่หมายมั่นปั้นมือกับบัลลังก์อ๋องที่สุดก็คือพี่รอง
“ข้าไม่ได้มาเยาะเย้ยท่าน  แค่มาหาคนดื่มเจ้านี่เป็นเพื่อน” พูดพลางชูป้านสุราในมือ
ฉีเซี่ยงหมิงทำเสียงเหอะในลำคอ  กล่าว
“หากต้องการคนร่วมดื่ม  สมควรไปเสาะหาในงานเลี้ยง  มาที่นี่ทำไม”
คนถูกถามไม่ได้ตอบคำ  แต่ลากเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งมานั่ง  วางป้านสุราไว้ข้างกาย  จอกสุราที่คว้าติดมือมาจากงานเลี้ยงอีกสองจอก
คนสูงวัยกว่าเหลือบมองอีกฝ่าย  แล้วก็เบนสายตากลับไปยังช่องหน้าต่างตามเดิม  ถามขึ้นว่า
“พระมารดาข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“...พี่รอง  ท่านจะไม่ถามถึงพระบิดาหน่อยหรือ”
ทันทีที่ได้ยินมุมปากของฉีเซี่ยงหมิงก็ปรากฏรอยยิ้มหยัน  กล่าว
“พระบิดาคงอยากจะฆ่าข้าให้ตาย”
“...ทำไมท่านถึงคิดเช่นนั้น  พระบิดาโปรดปรานท่านที่สุด”
 “เจ้าผิดแล้ว  ที่พระบิดาโปรดปรานคืออำนาจ  ก่อนหน้านี้พระบิดาอาจเคยโปรดปรานข้า  แต่นั่นมันก็นานมากแล้ว  ตอนนี้ลูกที่เขาโปรดปรานที่สุดคือน้องห้า”
“...” ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งไป  ไม่ว่าใครต่างรู้  หากไม่เกิดศึกช่วงชิงอำนาจครั้งนี้ ลูกที่เป่ยชางอ๋องรักที่สุดคือองค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิง  เหตุใดเจ้าตัวจึงบอกว่าเป็นน้องห้า ?

“เจ้าก็ถูกเขาหลอกหรือ พระบิดาคือเป่ยชางอ๋อง  การที่เป่ยชางอ๋องจะโปรดปรานผู้ใด  ในใจเขาต้องผ่านการคำนวณผลได้ผลเสียต่างๆมาแล้ว  ไม่มีใครเข้าใจพระบิดายิ่งกว่าพระมารดาข้า  ถึงแม้พระอัครชายาจะแต่งเข้ามาก่อน  แต่พระมารดาข้าเป็นคนที่อยู่กับพระบิดามานานที่สุด  ส่วนข้าก็เป็นบุตรชายที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุด” นี่เป็นความจริงที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่อาจโต้แย้ง  ฉีเซี่ยงหมิงกล่าวสืบต่อ
“พระบิดาไม่ได้โปรดปรานใครจริงๆมานานมากแล้ว  ถ้าไม่นับน้องห้า  ...เขาเกรงใจพี่ใหญ่เพราะเห็นแก่หน้าพระอัครชายาที่ล่วงลับ  เขาโปรดปรานข้าเพราะมุ่งหวังขุมอำนาจเบื้องหลังพระมารดา  เขาไม่สนใจเจ้าเพราะมารดาเจ้าไม่มีผลประโยชน์ต่อเขาอีกแล้ว”
คำพูดตรงๆทำให้ฉีเซี่ยงหยวนหน้าชาไป  หากมันก็เป็นความจริงจนน่าเศร้า พระมารดาฉีเซี่ยงหยวนอาจเคยได้รับพระเมตตาเป็นครั้งคราว  แต่ไม่เคยได้รับความรักจากเป่ยชางอ๋องมาก่อน  ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองความจริงก็ไม่แผกกัน
“ส่วนน้องห้า...” รอยยิ้มหยันกลับมาปรากฏบนเรียวปากของฉีเซี่ยงหมิงอีกครั้ง “ยิ่งพระบิดาไม่สนใจน้องห้าเท่าไหร่  ยิ่งแสดงว่าเขารักน้องห้าเท่านั้น  เพราะมีแต่กระทำเช่นนี้  พระบิดาจึงสามารถปกป้องน้องห้าได้”
“...ท่านหมายความว่าอย่างไร ?” ฉีเซี่ยงหยวนเริ่มรู้สึกถึงนัยยะบางประการ
“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าพระมารดาของข้ารู้จักพระบิดาดีที่สุด  ในทางกลับกันก็ไม่มีผู้ใดเข้าใจนางได้กระจ่างกว่าพระบิดา หากพระบิดาไม่โปรดปรานมารดาของน้องห้าปานนี้  ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ถูกประทานยาพิษ  เพราะนอกจากความริษยา  พระมารดาข้ายังไม่ต้องการให้ใครมีปัญญามาช่วงชิงบัลลังก์อ๋องกับข้า  ไม่เว้นแม้แต่น้องห้าด้วย”...!

คำกล่าวจากปากของฉีเซี่ยงหมิงเปิดเผยเงื่อนงำของคดีโชกเลือดเมื่อหลายปีก่อน  ฉีเซี่ยงหยวนแม้เคยสงสัยมา  แต่จนบัดนี้เพิ่งได้ยินคำยืนยันแน่ชัด  พระชายารอง มารดาของฉีเซี่ยงหมิงเป็นสตรีที่ทรงอำนาจที่สุดในวังหลวง  เป็นยิ่งกว่าพระอัครชายาที่ล่วงลับไปแล้วเสียอีก  เพราะตระกูลของนางคือรากฐานอำนาจของแคว้นเป่ยชาง  มีขุนนางรับใช้ราชสำนักมาทุกยุคทุกสมัย

“ตั้งแต่นั้นมาพระบิดาก็เกลียดชังข้ามาตลอด ดังนั้นลูกที่เขาโปรดปรานจึงมิใช่ข้าแน่”
หลังตกตะลึง  ฉีเซี่ยงหยวนก็ก้มลงรินสุราใส่จอก  ยื่นให้อีกฝ่าย
“ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะเป็นพวกเดียวกันกับข้า”
ฉีเซี่ยงหมิงรับมาจิบคำหนึ่ง  หัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วจึงเอ่ยปาก
“ข้ามิใช่พวกเดียวกับเจ้า  ...พระบิดากริ่งเกรงเจ้า  หวาดกลัวเจ้า  แต่ลึกๆแล้วเขาภูมิใจในตัวเจ้า  และทุกครั้งที่เขาคิดถึงเจ้า  เขาก็จะยิ่งขัดใจ  ยิ่งไม่ชอบ  เพราะเจ้าเหนือล้ำกว่าเขา  บุตรที่เขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตามาก่อนกลับเหนือล้ำกว่าเขาไปได้” พูดจบก็หัวเราะออกมา  ท่าทีสาแก่ใจ
“แต่ไหนแต่ไรมา  คนเก่งที่สุดคือพี่รอง ท่าน” ฉีเซี่ยงหยวนแย้งเสียงราบเรียบ
“เจ้าเป็นว่าที่ต้าอ๋อง  ส่วนข้าเป็นนักโทษประหาร  นี่ยังไม่ชัดอีกหรอว่าใครเหนือล้ำกว่าใคร  ...มาคิดๆดูแล้วข้าเพิ่งเข้าใจ  ที่แท้เจ้ารู้ตัวว่าจะถูกกำจัดตั้งแต่ออกจากแคว้นเป่ยชาง  จางจื่อหยู  หลี่กวงเว่ย  บรรดาที่ปรึกษาในสังกัดเจ้าทั้งหมดจึงถูกส่งตัวไปแคว้นเหลียน  หึ  ข้าเดินตามหลังเจ้าอยู่ทุกก้าว” พูดจบก็ส่ายหัวกับตัวเองพึมพำ
“ตอนเด็กๆข้าเพียงคิดว่าต้องเหนือกว่าพี่ใหญ่  พระมารดาก็เสี้ยมสอนอยู่ทุกวันว่าต้องเป็นที่หนึ่ง  สุดท้ายทั้งข้า ทั้งพี่ใหญ่ต่างสู้น้องสี่เจ้าไม่ได้”
ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบไป  อึดใจใหญ่ๆฉีเซี่ยงหยวนจึงกล่าวขึ้นว่า
“พี่สาวของท่านน่าจะไม่เป็นไร  เพราะนางแต่งออกไปแล้ว  แต่พระมารดาของท่าน...”
ฉีเซี่ยงหมิงโบกมือเป็นความหมายให้หยุดพูด กล่าวว่า
“ทุกอย่างเจ้าจัดการไปเถอะ  พระบิดาต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุดแน่ เพราะเขาหวังมานานแล้ว...  คิดไปก็น่าขำ  พระบิดารักน้องห้าคนเดียว  เพราะน้องห้ารักพระบิดาอย่างจริงใจ  ไม่สิ  เจ้าก็ด้วยน้องสี่  เจ้าเป็นคนมีน้ำใจ น่าเสียดายที่พระบิดาไม่เชื่อถืออะไรนอกจากอำนาจ  ส่วนข้าเกลียดเขาที่สุด  เกลียดมาตั้งแต่อายุสิบห้า  เพราะมันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย  พวกเราทุกคนต่างรักเขา  ในขณะที่เขากลับไม่เคยรักพวกเราอย่างแท้จริง”

ฉีเซี่ยงหยวนยืนขึ้นช้าๆ ฉีเซี่ยงหมิงคือศัตรู  แต่ฉีเซี่ยงหมิงก็คือพี่ชายของเขา  พี่ชายต่างมารดาเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่  อาจบางทีหากพวกเขามิใช่โอรสของเป่ยชางอ๋อง  คงไม่จำเป็นต้องกำจัดให้อีกฝ่ายหายไปจากโลก  น่าเสียดาย...ความจริงกลับเป็นเช่นนั้น
ในความทรงจำของฉีเซี่ยงหยวน  ฉีเซี่ยงหมิงไม่เคยเข้าถึงได้ง่ายขนาดนี้มาก่อน  คงเป็นเพราะชีวิตเหลืออีกไม่มาก  คนที่ซับซ้อนมีหน้ามีหลังจึงแปรเปลี่ยนเป็นเปิดเผยขึ้น  เพราะทุกประการในโลกนี้กำลังจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว  หากพี่รองก็ยังเป็นพี่รอง  ยังคงเป็นบุคคลที่เย่อหยิ่งเหยียดหยันโลกอยู่เช่นเดิม  ทุกคำพูดล้วนแฝงน้ำเสียงเสียดสี  แต่ในคำพูดเสียดสีเหล่านั้นกลับแฝงความจริงหลายอย่างที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยฟังจากปากใครมาก่อน  ...น่าแปลกที่ก่อนความตายจะพรากจาก  ฉีเซี่ยงหยวนกลับรู้สึกเป็นครั้งแรกว่า...เขาเหลือพี่ชายอยู่คนหนึ่ง

พวกเขาอาจเคยหันอาวุธใส่กัน  หวังฆ่ากันมา  หากไม่ว่าอย่างไร...พวกเขายังคงเป็นพี่น้องกัน

=========
อีกสองตอนถัดไปจะอัพในวันจันทร์ที่18นะคะ

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 18-08-2014 08:10:27
หลงรักเรื่องนี้ทุกครั้งที่อ่าน

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 18-08-2014 08:33:38
+เป็ดให้แล้วนะ
กำลังลุ้นๆ :z3:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 18-08-2014 20:47:22

บทที่ 23 พิพากษา

เขตตำหนักของฉีเซี่ยงหยวนบริเวณห้องโถงที่อยู่ลึกเข้าไปจุดโคมไฟสว่างโร่  บรรดาคนสนิททั้งห้าอันได้แก่จางจื่อหยู หลี่กวงเว่ย มู่ซาง ฝงเป่า หลิวฉางเฟย ต่างอยู่กันพร้อมหน้า  สามคนแรกเป็นมันสมอง  สองคนหลังรับไปปฏิบัติ  ทั้งหมดล้วนสนทนากันอย่างเคร่งเครียด  ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่หัวโต๊ะ  ดวงตาคมกริบยากจะอ่าน  รับฟังทุกถ้อยความอยู่ตลอด  คืนนี้ไม่มีเวลาสำหรับการนอนหลับ  จากท่าทีของพระบิดาในงานเลี้ยง  ฉีเซี่ยงหยวนก็มองออกว่าพรุ่งนี้เป่ยชางอ๋องจะเริ่มพิพากษาโทษพรรคพวกทั้งหมดของฉีเซี่ยงหมิง !

จะมีตำแหน่งที่ว่างลง  จะมีคนที่ถูกโยกย้าย  อำนาจต้องถูกจัดสรรอย่างลงตัวที่สุด  หมากตัวไหนเป็นพิษร้ายสามารถแว้งกัดต้องถูกกำจัดทิ้ง เพราะฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าเป่ยชางอ๋องจะมอบอำนาจการจัดการให้กับเขา  ส่วนตัวเป่ยชางอ๋องเองจะนั่งสั่งการอยู่หลังฉาก  เพราะหน้าที่พิพากษาคนอื่นมิใช่หน้าที่ที่ดีและเป่ยชางอ๋องก็ไม่ต้องการจัดการกับทั้งชายารองและบุตรชายด้วยมือตัวเอง

ดังนั้นทุกอย่างต้องแนบเนียน  คนภายนอกต้องดูไม่ออกว่าคนที่ถูกเสนอชื่อเข้าแทนในตำแหน่งที่ว่างลงเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวนกี่คน !
---------------------
ดึกดื่นจนค่อนจะเช้าแล้ว  แขกประจำที่ไม่เคยได้รับเชิญพลันมาเยือนตำหนักเสียงวสันต์  ปลุกหัวหน้าหญิงรับใช้ที่เข้านอนไปแล้วอย่างอิ๋งฮวาให้ต้องตื่นขึ้นเพื่อรับมือกับคนที่ท่าทางจะมีจุดประสงค์มารบกวนนิทรารมย์ของผู้อื่นโดยเฉพาะ
ฉีเซี่ยงหยวนอดแปลกใจมิได้ว่า  ทั้งๆที่ตัวเองมาเยือนกะทันหันในเวลาเช่นนี้ เหตุใดหัวหน้าหญิงรับใช้ของพระมาตุลาจึงยังสามารถมายืนขวางทางในสภาพหมดจดเรียบร้อยได้ทันเวลา  อาจบางทีนางคงรอบคอบถึงขั้นเข้านอนในสภาพแต่งตัวเต็มยศเพื่อเตรียมรับมือเขากระมัง
“ถอยไป” องค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางบัญชา  ตาจ้องศีรษะที่ก้มต่ำของอีกฝ่ายเขม็ง
“นายท่านเข้านอนไปแล้ว  เกรงว่าคงไม่สะดวกที่จะสนทนากับท่านอ๋องน้อย”
“ข้าบอกให้ถอยไป” คำพูดแผ่วช้า สงบราบเรียบ ไม่มีวี่แววยอมอ่อนข้อ  และไม่มีวี่แววที่จะมีอารมณ์มาเกี่ยวข้อง  ทำให้อิ๋งฮวานิ่งไปอึดใจ  สุดท้ายต้องยอมก้าวถอยออกจากตำแหน่งขวางหน้าบานประตู  เพราะไม่ว่าผู้ใดล้วนสัมผัสได้ เวลาที่ฉีเซี่ยงหยวนใช้น้ำเสียงปราศจากความรู้สึก  คำสั่งนั้นไม่อนุญาตให้ขัดขืน
---------------------
ในห้องมืดสลัว  มีเพียงแสงดาวกับแสงเดือนข้างนอกสาดเข้ามาตามแนวหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้  นายท่านของตำหนักเสียงวสันต์หลับสนิทอยู่บนเตียง  เส้นผมละเอียดกระจายอยู่บนหมอน  เค้าใบหน้าสงบผ่อนคลาย 
สายตานิ่งเย็นของฉีเซี่ยงหยวนคล้ายกับอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย  ตอนแรกแม้ใคร่จะสนทนากับอีกฝ่ายเหลือเกิน  ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเพียงพอแล้ว 

มีแต่อยู่ข้างๆพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ฉีเซี่ยงหยวนถึงสามารถเป็นเพียงคนผู้หนึ่ง  มิใช่องค์ชายสี่  มิใช่อ๋องน้อย  มิใช่ผู้นำที่คนนับพันฝากชีวิตไว้ในกำมือ 

...เป็นเพียงคนผู้หนึ่งซึ่งรู้จักเจ็บปวด...เป็นเพียงคนผู้หนึ่งซึ่งมีความสับสนเป็นของตนเอง...

ร่างสูงใหญ่ผ่อนน้ำหนักช้าๆเพื่อจะทรุดนั่งลงบนเตียงโดยไม่รบกวนคนที่อยู่ในนิทรารมย์  ความสับสนปวดลึกในใจคล้ายกับค่อยๆจางไป  คิ้วหนาที่กดมุ่นผ่อนคลายลง  มีเพียงอยู่ที่นี่ใจของฉีเซี่ยงหยวนจึงรู้สึกสงบอย่างแท้จริง  ความขัดแย้งและการช่วงชิงในวังวนแห่งอำนาจคล้ายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอีก  รอบกายเหลือเพียงความสงบอันอ่อนโยน...
---------------------
ความมืดค่อยๆจางหายไปในอ้อมกอดของรุ่งสาง  แสงแดดลอดเข้ามาตามแนวหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้เป็นลำจางๆ
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกตัวช้าๆ  เพียงเปิดเปลือกตาก็พบเงาร่างที่ไม่ทราบบุกรุกเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด  การขยับตัวเล็กน้อย ทำให้อีกคนที่หลับตานั่งพิงหัวเตียงอยู่นิ่งๆ ลืมตาขึ้น
“ข้ารบกวนท่านรึเปล่า” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวถาม
เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า  ขณะจะลุกขึ้นนั่ง  กลับถูกดันตัวกลับลงไป  พร้อมคำพูด
“ท่านนอนต่อเถอะ  ข้าแค่แวะมางีบเล็กน้อย  ตอนนี้สมควรไปแล้ว”
แล้วคนที่มาเกือบเช้าก็จากไปในลำแสงแรกของรุ่งอรุณ
---------------------
“เจ้าอยู่ข้างนอกรึเปล่า อิ๋งฮวา” นี่เป็นคำถามแรกของเหลียนอันสุ่ย  เมื่อคล้อยหลังฉีเซี่ยงหยวน
“เจ้าค่ะ” ขานรับพลางผลักประตูเข้ามา
“องค์ชายสี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ครึ่งชั่วยามที่แล้วเจ้าค่ะ” ถึงแม้นี่จะเป็นเวลาตื่นปรกติของนายท่าน  แต่สำหรับวันนี้อิ๋งฮวาโบ้ยให้เป็นความผิดของคนร้ายกาจผู้นั้นเลยเชียวที่ทำให้นายท่านต้องตื่นเช้า
หากคนเป็นนายมิได้สนใจสายตาก่นด่าของหญิงรับใช้  เหลียนอันสุ่ยเพียงรู้สึกว่าคนผู้นั้นน่าจะยังไม่ได้นอนมาทั้งคืน  ...วันนี้สมควรมีบางอย่างที่สำคัญเกิดขึ้น  เพราะสายตาของฉีเซี่ยงหยวนเป็นเช่นเดียวกับวันที่เขาก้าวพ้นจากกำแพงเมืองอู๋เล่ยไม่มีผิดเพี้ยน !
เป็นสายตาของคนที่กำลังไปทำบางอย่างที่จะทำให้เขาหันหลังกลับมิได้อีก
---------------------
เหลียนอันสุ่ยคาดเดาไม่ผิด  เพียงครึ่งวันก็ได้ยินข่าวเป่ยชางอ๋องมีบัญชาให้พิพากษาโทษกบฏ  มอบหมายให้องค์ชายสี่ควบคุมดำเนินการ  หลังจากนั้นในความรู้สึกของพระมาตุลาแคว้นเหลียน ทุกประการก็กลายเป็นกลียุค  ปากสอนบุตรชายเขียนอักษร  ในหูกลับแว่วเสียงใบมีดจากลานประหาร  เพราะเหลียนอันสุ่ยทราบอยู่ตลอดบ่ายนั้นว่ามีคนตายอยู่ทุกขณะ  ตกเย็นใจถึงกับหวาดกลัวอยู่บ้างที่จะฟังข่าวสารจากหวังเชียน

ญาติทางฝั่งมารดาขององค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิงถูกพิพากษาโทษตายกว่าครึ่ง  ประมุขตระกูลสือผู้เป็นบิดาของพระชายารอง  นอกจากจะรั้งตำแหน่งอำมาตย์ใหญ่ ยังเป็นหนึ่งในสามคนสนิทของฉีเซี่ยงหมิง  เป็นตัวหลักที่ช่วยฉีเซี่ยงหมิงก่อการ  ส่งผลให้โทษทัณฑ์ของตระกูลสือหนักหนากว่าเพื่อน  ตระกูลสือที่ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้ามาตลอดถึงคราวล่มสลาย  ทายาทสายตรงไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว  เพราะพวกเขาล้วนเกี่ยวพันเป็นส่วนหนึ่งในการกบฏครั้งนี้  บ่าวไพร่จำนวนไม่น้อยถูกกลบฝังตามผู้เป็นนาย
คนสนิทอีกสองคนของฉีเซี่ยงหมิงอันได้แก่แม่ทัพกั่วกับหลู่เอ้อล้วนหนีไม่พ้นโทษประหาร  แต่กั่วเหวินโฮ่วสร้างแผนการปล้นคุกพาตัวเองและเครือญาติหลบหนีไปได้  ส่วนหลู่เอ้อชิงเชือดคอฆ่าตัวตายตั้งแต่อยู่ในคุก

รวมแล้วเพียงวันนี้วันเดียวมีคนที่ถูกกำหนดว่าต้องจบสิ้นชีวิตทั้งหมด 106 คน  ต้องโทษคุมขังหรือเนรเทศอีก 53 คน
 “แคว้นเป่ยชางใช้ฝีมือที่เด็ดขาดอย่างยิ่งจริงๆ” หวังเชียนพึมพำ  ในหัวยังยากจะเชื่อว่าคนที่เพิ่งปล่อยปละละเว้นเขาเมื่อวานจะทำเรื่องโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้
หากเหลียนอันสุ่ยทราบว่าต่อให้ฉีเซี่ยงหยวนคิดจะปล่อยปละละเว้นตระกูลสือจริงๆก็ทำไม่ได้  เพราะคนที่ต้องการเอาผิดตระกูลสือคือเป่ยชางอ๋อง  ที่สำคัญคือเหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้ว่าฉีเซี่ยงหยวนตกลงใจจะกวาดล้างตระกูลสือ  แม้จะยังไม่ทราบเหตุผล  แต่เมื่อคนอย่างฉีเซี่ยงหยวนตกลงใจจะกำจัดใครจะไม่เหลือทางไว้ให้พวกเขาแว้งกัด

เหลียนอันสุ่ยรู้  คนที่ต้องตายจริงๆยังมีอีกสองคน...เป็นสองคนที่ต้องถูกพิพากษาเป็นกรณีพิเศษ
---------------------
ค่ำคืนนี้อากาศคล้ายกับเหน็บหนาวยิ่งกว่าคืนอื่น

ตำหนักพระชายารองที่เพิ่มทหารกวดขันตั้งแต่มีคำสั่งกักบริเวณสงบเงียบเชียบ  จนคล้ายกับสายลมในสุสานยังอึกทึกยิ่งกว่า  ทุกอย่างสงัดงันราวตกอยู่ใต้คำสาปปราศจากสำเนียง

ชายารองในเป่ยชางอ๋องสวมชุดไว้ทุกข์มองขวดยาบนโต๊ะด้วยสีหน้าสงบเย็นชา  ยาถูกเทลงถ้วยเรียบร้อยแล้ว  แต่คนที่ต้องดื่มกลับยังไม่ดื่มลงไป  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้เร่งนาง  อันที่จริงตัวเขาไม่คิดจะมาที่นี่  หากสุดท้ายยังคงต้องมาเพราะติดค้างคำพูดของคนผู้หนึ่งต้องบอกต่อสตรีตรงหน้า

“คิดไม่ถึงคนที่เซี่ยงหมิงฝากคำพูดมาจะเป็นเจ้า”
“...” ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ตอบ  หลังการสนทนากับฉีเซี่ยงหมิงเมื่อคืน  ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจทุกอย่าง  ถึงพระมารดาของฉีเซี่ยงหมิงจะใช้สายตาที่แฝงความเกลียดชังชนิดหนึ่งมองเขา  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับนึกสงสารนางอยู่บ้าง  เป่ยชางอ๋องใช้ฝีมือที่อำมหิตอย่างยิ่งต่อชายารองของตัวเอง  สตรีตรงหน้าต้องนั่งฟังข่าวการตายของคนในครอบครัวทีละคนๆ  อำมาตย์สือบิดาของนางตายไปแล้ว  อีกไม่นานบุตรชายของนางก็จะประสบชะตากรรมเดียวกัน  สิ่งสุดท้ายที่ผู้ชายซึ่งอยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปีมอบให้นางคือยาพิษถ้วยหนึ่ง
ดวงตาของสตรีที่เคยทรงอำนาจอย่างไรก็ยังรักษาบุคลิกเช่นนั้นไว้ทอแววเย้ยหยันตัวเอง  ทราบดีว่า ‘เขา’ กำลังแก้แค้นให้ใคร  ต้องการตอกย้ำเรื่องอะไร
“สุดท้ายในใจท่านก็ไม่เคยมีข้า...คนที่ท่านรักยังคงเป็น ‘นาง’ ” คำพูดดุจรำพึงกับตัวเองเสียดแทงเข้าไปในใจผู้ฟัง  ในวินาทีนั้นฉีเซี่ยงหยวนพลันนึกถึงมารดาที่อยู่เพียงเลือนรางในความทรงจำ 
ผู้หญิงสองคนที่ชะตาลิขิตไว้แต่แรกแล้วว่าสามีจะไม่มีวันรักพวกนาง  เพราะพวกนางล้วนเบียดคั่นอยู่ระหว่างตระกูลที่ทรงอำนาจกับราชสำนัก  เป็นหมากตัวหนึ่ง เป็นเชือกเส้นหนึ่งซึ่งเชื่อมสองอำนาจนี้ไว้ด้วยกัน  ทุกคนล้วนไม่เคยมองเห็นหรือไม่ก็ทำเป็นมองไม่เห็น...ว่าเชือกเส้นนี้ก็มีจิตใจ 

เพียงแต่คนหนึ่งยอมรับชะตาอย่างเงียบงัน  ส่วนอีกคน...ดิ้นรนไขว่คว้าเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำคัญ 

“อำนาจ...ทำให้ข้าได้มาเจอกับท่าน  และอำนาจ...ก็ทำให้ท่านไม่เคยรักข้าเลย” เสียงพึมพำแผ่วเบาแต่กลับชัดเจนในยามที่ทุกอย่างเงียบสงัด 
ในที่สุดพระชายารองในเป่ยชางอ๋องก็ยกถ้วยยาจรดริมฝีปาก  พลางเอ่ยประโยคสุดท้าย...
“บอก ‘เขา’ ด้วยว่าข้าไม่อนุญาตให้เขาแตะต้องลูกชายข้า  ใช่แล้ว...ลูกชายข้า...”
จนลมหายใจสุดท้ายนางยังคงพึมพำว่า ‘ลูกชายข้า’   ไม่ยินยอมใช้คำว่า ‘ลูกของเรา’   ภายหลังฉีเซี่ยงหยวนถ่ายทอดคำพูดนี้ต่อเป่ยชางอ๋อง  สิ่งที่ได้ตอบกลับมาเป็นความเงียบ  เป่ยชางอ๋องนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง  สุดท้ายก็มิได้เอ่ยอะไร  อาจบางทีมีเพียงพวกเขาสองคนที่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายสื่อ  ไม่ว่ามันจะคือความรักหรือความเกลียดชัง...ก็ปะปนกันจนยากจะแยกแล้ว...
---------------------
คืนนั้นฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ไปตำหนักเสียงวสันต์  เพราะหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากเกินไป  เขาต้องการอยู่คนเดียวเงียบๆเพื่อเรียบเรียงมัน

ที่ฉีเซี่ยงหยวนกวาดล้างตระกูลสือ  ความจริงเป็นเรื่องที่พระบิดาตกลงใจไว้นานแล้ว  ส่วนเขาก็แอบเห็นด้วยเงียบๆ  ตระกูลสือเป็นหนามชิ้นใหญ่ของแคว้นเป่ยชาง  แม้จะทำประโยชน์ให้แคว้นเป่ยชางมาไม่น้อย  แต่ก็บ่อนทำลายแคว้นเป่ยชางไปไม่น้อยเช่นกัน  ไม่มีใครเคยกล้าเอาผิดจริงๆจังๆกับตระกูลสือ  เนื่องจากอิทธิพลของตระกูลสือแทบจะทาบบารมีกับเป่ยชางอ๋อง  ดังนั้นตระกูลสือจึงต้องถูกกำจัด  ถึงแม้บางคนจะกล่าวอ้างถึงความดีความชอบเก่าก่อน  แต่เท่าที่ฉีเซี่ยงหยวนทราบแคว้นเป่ยชางได้ชดใช้ให้คนตระกูลสือไปจนมากเกินพอแล้ว

สำหรับกั่วเหวินโฮ่ว...บรรดาครอบครัวของเขาขณะนี้อยู่ใน ‘ความดูแล’ ของฉีเซี่ยงหยวน  ส่วนเจ้าตัวคงเดินทางถึงแคว้นหนานเหมินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เหตุการณ์ปล้นคุกอะไรนั่นจริงๆคนอยู่เบื้องหลังคือฉีเซี่ยงหยวน  สรุปคือหนานเหมินอ๋องสูญเสียหมากไปตัวหนึ่งโดยที่ตัวเองไม่รู้  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนเพิ่มหูตาในแคว้นหนานเหมินขึ้นมาอีกคนหนึ่ง

ใช่  ทุกอย่างเรียบร้อยดี  เพียงแต่ว่า...
คืนนี้...เป่ยชางอ๋องประทานยาพิษให้พระชายารอง  ส่วนพรุ่งนี้...เป่ยชางอ๋องจะมีราชโองการลงมาให้สำเร็จโทษฉีเซี่ยงหมิง
แววตาที่มักคมกล้าฉายความสับสนซ้อนทับกับอารมณ์ซับซ้อนบางอย่าง  ความทรงจำในอดีตพัวพันความคิดไม่เลิกรา  ความรู้สึกผิด ความสูญเสีย ความปวดร้าว  ฉายประกายวูบเข้ามา...แล้วก็ผ่านหายไป

ใต้แสงจันทรากับบรรยากาศเยียบเย็น เงาร่างสูงใหญ่นั่งนิ่งเฉยปานรูปสลัก  ตาเหม่อมองประกายจันทร์ที่ฉาบลงบนพื้น   ลึกๆในใจมิได้ปรารถนาให้วันพรุ่งนี้มาถึงเลย...
---------------------
ใต้ฟ้าจันทราดวงเดียวกัน  เหลียนอันสุ่ยนั่งอยู่ที่ชานระเบียงด้านนอก  บอกกับตัวเองว่า ‘คนผู้นั้น’ คงไม่มาแล้ว  ดีแล้ว...เขาไม่ควรมาเพราะเขากำลังจะเป็นเป่ยชางอ๋อง  เพียงแต่ว่า...

เสียงทอดถอนใจแผ่วเบา  ขณะเหลือบมองแสงจันทร์เป็นครั้งสุดท้าย  มือกระชับเสื้อคลุมตัวนอกที่ใช้กันไอเย็น  เดินกลับเข้าไปด้านใน

ขอเพียงท่านเคยฆ่าคนมา  จะทราบว่าการฆ่าผู้อื่นมิใช่เรื่องน่าสนุกเลย  106 ชีวิตจากไปแล้วในวันเดียว  เหลือทิ้งไว้เพียงความทรมานแก่ผู้ที่ยังเหลืออยู่  ญาติพี่น้องร่ำไห้คร่ำครวญ  มัจจุราชที่ลงดาบได้แต่ดื่มสุราด้วยความอับจนปัญญาเพื่อลืมมันไปซะให้หมด  แต่มีคนอยู่ผู้หนึ่ง...มิอาจทำเป็นลืมเลือนไป  มิมีสิทธ์กระทั่งเศร้าโศกเสียใจ  เพราะทุกคนล้วนตายเพราะคำสั่งของเขา 

มันจะง่ายกว่านี้ถ้าหัวใจชินชา  แต่เหลียนอันสุ่ยทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนยังเป็นมนุษย์  ยังรู้สึกผิด  ยังรู้จักเสียใจ  เงาหลังในประกายอรุณเมื่อเช้า  นอกจากเงาของความทระนง ยังมีเงาของความปวดร้าว  เพียงแต่ฉีเซี่ยงหยวนซ่อนมันเอาไว้ลึกเกินไป  จนใครๆล้วนเข้าใจว่าองค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางเป็นคนที่ร้ายกาจเลือดเย็น
---------------------
วันถัดมาองค์ชายแคว้นเป่ยชางจากสามก็เหลือเพียงสอง  คือองค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนกับองค์ชายห้าฉีเซี่ยงอวิ๋น  ถัดมาอีกหกวันเป่ยชางอ๋องก็ประกาศยกบัลลังก์ให้บุตรชายคนที่สี่  ท้องฟ้าที่โศกาอาดูรค่อยๆเปลี่ยนเฉดสีเข้าสู่ความรุ่งเรืองของรัชกาลใหม่  พิธีแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจะจัดในอีกสามวัน  ท้องถนนเริ่มประดับประดาสวยงาม  ผู้คนคล้ายกับลืมเลือน...หรือไม่ก็ทำเป็นลืมเลือนไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เกิดเหตุการณ์นองเลือดอะไรขึ้นบ้าง

อิ๋งฮวาทั้งแตกตื่นทั้งหลากใจ  ไม่คิดว่าการยกบัลลังก์จะทำกันง่ายๆเช่นนี้  หากผู้เป็นนายเพียงนิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่งก็มิได้สนใจอะไรอีก  เนื่องจากเหลียนอันสุ่ยทราบแต่แรกว่าเป่ยชางอ๋องจะไม่ยื้อไว้  เพราะยื้อเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์  บัลลังก์จะมีความหมายต้องมีอำนาจค้ำจุน  แต่ขณะนี้บัลลังก์เป็นเพียงบัลลังก์เปล่าๆ  อำนาจที่ค้ำจุนมันอยู่ในกำมือของฉีเซี่ยงหยวนไปแล้ว
...กระแสธารของประวัติศาสตร์ในที่สุดก็ไหลผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง...
---------------------
ในช่วงสองสามวันนี้วันเวลาของพระมาตุลาแคว้นเหลียนผ่านไปอย่างสงบ  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้แวะเยี่ยมหน้ามา  เหลียนจิ้งเต๋อก็ยังเรียนตามปรกติ  ส่วนเหลียนอันสุ่ยเองนอกจากเก็บตัวเงียบอยู่ในตำหนักเสียงวสันต์  ก็มีเพียงช่วงเวลากลางวันที่จะไปเยือนหอตำราหลวง  วันนี้เองความจริงก็ควรผ่านไปอย่างสงบ  หากเขามิได้พบคนผู้หนึ่ง  คนแปลกหน้าที่หล่อเหลาอย่างยิ่งผู้หนึ่ง...
---------------------
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 18-08-2014 21:07:55
 :z13: นานๆได้เข้ามาที ได้จิ้มคนเขียนด้วย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 18-08-2014 21:12:16
บทที่ 24 พยัคฆ์กับสุนัขป่า

แสงตะวันยามบ่ายสาดแสงจ้าเข้ามาทางหน้าต่างบานใหญ่ทั้งแถบที่ถูกเปิดออกจนสุด  ความสว่างของกลางวันขับไล่ความจำเป็นที่ต้องจุดตะเกียงไปจนไกล  กลิ่นอับของม้วนไม้ไผ่ปะปนกับกลิ่นน้ำหมึกกรุ่นกำจายออกมาจากม้วนตำราที่วางซ้อนทับกันอยู่เต็มชั้นสูง  ราวกับว่าบรรดาสรรพความรู้โบราณต่างพากันหลับใหลอย่างสงบอยู่ ณ หอตำราหลวงแคว้นเป่ยชาง

ที่นี่ควรจะเป็นที่ซึ่งพาให้จิตใจสงบที่สุด  ฉุดดึงทุกผู้คนจมดิ่งลงไปในความลึกล้ำของภูมิความรู้  หากจิตใจของพระมาตุลาแคว้นเหลียนกลับมิอาจจดจ่อกับตำราในมือได้อย่างที่ควรจะเป็น  สายตาเหม่อมองฝุ่นละอองที่เคลื่อนไหวเชื่องช้าในลำแดด  รับรู้ว่าตัวเองมีบางอย่างที่แปลกไป  เขา...นอนหลับไม่สนิท  อันที่จริงคือในช่วงหลายวันมานี้จิตใจคล้ายจะผ่อนคลายแต่กลับไม่สงบ  โดยมิได้ตั้งใจ...หากในวันๆหนึ่งจะต้องมีซักคราที่สายตาไปหยุดอยู่ที่บานประตู  เพียงเพื่อจะทราบว่าอีกฝ่ายมิได้มา  เขามักจะโล่งใจที่อีกฝ่ายมิได้มา  มันคงจะดีที่ในที่สุดแล้วอีกฝ่ายก็ทราบว่าควรจะถอยห่างออกไป  แต่ทำไม...  เสียงผ่อนลมหายใจช้าๆสายตาเจือความหม่นหมองอ้างว้าง  เรียวคิ้วกดมุ่นลง  ความรู้สึกอ้างว้างเช่นนี้ไม่ดีแน่  เขา...

เสียงทึบหนักๆของม้วนตำราตกกระทบพื้น  ดึงให้พระมาตุลาแคว้นเหลียนสะท้านตื่นจากห้วงคิด  ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นช้าๆ  นี่เป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยพบผู้อื่นเข้ามาร่วมใช้หอตำราอันกว้างขวางแห่งนี้
---------------------
บุรุษหนุ่มรูปร่างสูง บุคลิกงามสง่าราวจำลองมาจากท่วงทำนองของสายลมผู้หนึ่งกำลังสอดส่ายสายตาหาคน  เพราะสายตามัวแต่ไปมองอย่างอื่นศอกของเขาจึงพอดีปัดโดนหนังสือม้วนหนึ่งร่วงลงจากชั้น  ขณะจะก้มตัวลงเก็บ  มือสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลาข้างหนึ่งก็หยิบมันส่งขึ้นมาเบื้องหน้า  ที่เป่ยชางมีคนสีผิวเช่นนี้ไม่มาก  ในนาทีนั้นคนทำของตกจึงทราบว่าในที่สุดตัวเองก็พบคนที่ต้องการหาแล้ว  หากเมื่อไล่สายตาจากข้อมือขึ้นไป กลับทำให้คนซึ่งไม่ค่อยแปลกใจอะไรบ่อยนักต้องถึงกับนิ่งอั้นตะลึงงัน  พูดอันใดไม่ออกอยู่พักใหญ่

ให้คิดอีกสามร้อยยี่สิบตลบ  หานญื่อหลัวก็ไม่คิดว่าคนที่องค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนลุ่มหลงในคราวนี้จะมีบุคลิกเช่นคนตรงหน้า !
ฝ่ายเหลียนอันสุ่ยก็ชะงักไป  มิอาจไม่ยอมรับว่าอีกฝ่ายช่างหล่อเหลาคมคาย  แต่คนผู้นี้ไม่คล้ายชาวเป่ยชาง  ผิวของเขาขาวจัด  รูปร่างสูงสมส่วนแข็งแรง  เบ้าตาลึกกับเรียวคิ้วเข้มขับให้ใบหน้าดูคมชัด  เติมเสน่ห์ให้ดวงตาสีฟ้าจัดราวกับฟากฟ้าในฤดูคิมหันต์ยิ่งโดดเด่น  บุคลิกปลอดโปร่งงามสง่า  อาภรณ์บนร่างทั้งสูงค่าทั้งมีรสนิยม
---------------------
“เจ้าว่าอะไรนะ !” เสียงดังราวฟ้าผ่ากลางวันแสกๆแทรกเข้ามากลางบรรยากาศเงียบสงบ  ส่งผลให้หญิงรับใช้สะดุ้งเฮือกกันเป็นแถบ  ถึงแม้หลังจากเงี่ยหูฟังจะไม่ได้ยินเสียงใดอีก  หากเท้าของพวกนางยังคงซอยถอยห่างจากห้องหนังสือของท่านอ๋องน้อยโดยไว
ส่วนคนในห้องที่แท้จริงงานยุ่งอย่างยิ่ง  ก็เขวี้ยงงานเหล่านั้นทิ้งในทันใด  เพ่งตามองคนสนิทเขม็ง
หลิวฉางเฟยรายงานเสียงราบเรียบว่า
“หม่าหลงเพิ่งรายงานมาว่าพระมาตุลาบังเอิญได้พบกับพระภาคิไนยที่หอตำรา...” กล่าวมาถึงตรงนี้ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงตบโต๊ะดังปัง  ตามด้วยคำพูดที่เค้นลอดไรฟัน ความว่า
“บังเอิญ เฮอะ!  เจ้าคนแซ่หานมันกลัวมีชีวิตยืนยาวเกินไปใช่หรือไม่  ถึงได้จงใจตอแยข้าครั้งแล้วครั้งเล่า!” สายตาขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางวาวจัดเย็นยะเยียบจนคล้ายเปลวไฟในก้อนน้ำแข็ง ไม่ทันขาดคำคนก็ผลุนผลันออกไปแล้ว
หลิวฉางเฟยได้แต่สั่นศีรษะก้าวติดตามผู้เป็นนายไป

ทอดสายตาทั่วทั้งแคว้นเป่ยชาง  หากจะมีคนผู้หนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติเพียงพอจะแย่งสตรีไปจากอ๋องน้อยฉีเซี่ยงหยวนได้  คนผู้นั้นต้องเป็นพระภาคิไนยหานญื่อหลัว

หานญื่อหลัวเป็นหลานคนโปรดของเป่ยชางอ๋อง  เนื่องจากเกิดกับขนิษฐาอันเป็นที่สนิทเสน่หายิ่ง  แตกฉานพิณ กลอน อักษร ภาพวาด ตั้งแต่อายุยังน้อย  นับเป็นศัตรูกับบุรุษทุกนามที่หวังจะมีภรรยาสวยสะคราญ  สาเหตุแรกเป็นเพราะว่าเขารูปงามเกินไป  ส่วนสาเหตุที่สองเป็นเพราะว่าหานญื่อหลัวยังไม่คิดจะแต่งงานกับใครจริงๆจังๆ  ซึ่งในข้อนี้กระทั่งเป่ยชางอ๋องยังควบคุมบังคับไม่ได้  เพราะหานญื่อหลัวมีสถานะพิเศษ  แม้มีสาเหตุสายเลือดชาวเป่ยชางแต่กลับมิใช่ชาวเป่ยชาง 
---------------------
โต๊ะตรงมุมในสุดของหอตำราหลวงนั่งไว้ด้วยคนสองคน  เมื่อพระภาคิไนยหานญื่อหลัวปรากฏตัวเบื้องหลังของเหลียนอันสุ่ยจากที่มีแค่หวังเชียนก็เพิ่มหม่าหลงกับต้วนจินเข้ามาทันที  เหลียนอันสุ่ยแม้แปลกใจกับท่าทีเคร่งเครียดจริงจังของคนคุ้มกันทั้งสองหากไม่มีเวลาซักถาม

สายตาคู่งามมองประเมินบุรุษที่ทั้งสง่างาม ทั้งดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยตรงหน้า  ได้ข้อสรุปว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดของหานญื่อหลัวสมควรเป็นดวงตาสีแปลกที่พราวระยับยิ่งกว่าประกายแดดบนผิวน้ำคู่นั้น  เพราะมันสามารถดลบันดาลให้อิสตรีครึ่งค่อนแคว้นถอนตัวถอนใจไปไม่ได้เลยทีเดียว
ส่วนพระภาคิไนยหานญื่อหลัว  ขณะนี้กำลังอยู่ในสภาพสงสัยใจ  จนในที่สุดก็อดมิได้ต้องถามออกไป
“ดวงตาคู่นี้เป็นมรดกตกทอดจากท่านพ่อของข้าที่เป็นคนชนเผ่าเยวี่ยถาน  ท่าน...ไม่รู้สึกว่ามันแปลก?” หานญื่อหลัวคุ้นชินกับการที่ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับดวงตาเขาตลอดมา  แต่กับพระมาตุลาผู้นี้สนทนากันไปเป็นสิบประโยคกระทั่งถามยังไม่ถามถึง  ทำให้หานญื่อหลัวออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง
เหลียนอันสุ่ยตอบง่ายๆพร้อมรอยยิ้มบางๆ ว่า
“มันคงไม่แปลกในชนเผ่าของท่าน  อีกอย่าง...ข้าเองก็อาจจะดูเป็นของแปลกที่นี่เหมือนกัน”
สำหรับเหลียนอันสุ่ยไม่มีใครในหล้านี้ชมชอบความรู้สึกแตกต่าง  และเขาก็ไม่คิดว่าการไปตอกย้ำมันจะเป็นสิ่งที่พึงปฏิบัติ 
เหลียนอันสุ่ยเป็นชาวเหลียน  ผิวของชาวเหลียนมีสีอ่อนกว่าชาวเป่ยชาง  ลักษณะขาวนวลเนียนแบบงาช้าง  มิใช่ขาวจนออกซีดแบบหานญื่อหลัวที่มีเชื้อสายของชนเผ่าเยวี่ยถาน  ซึ่งข้อนี้เองทำให้หานญื่อหลังจดจำเหลียนอันสุ่ยได้ตั้งแต่แรกเห็น

หานญื่อหลัวเลิกคิ้วสูงให้กับคำตอบนั่น อาจบางทีมีแค่พระมาตุลาคนนี้คนเดียวที่ไม่สนใจจะเอ่ยถึงรูปลักษณ์อันแตกต่างของหานญื่อหลัว  คนอื่นจะมากจะน้อยก็ต้องแสดงออกบางส่วนไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี  ความจริงหานญื่อหลัวชินเสียแล้วกับท่าทีของคนอื่น  ตอนยังเยาว์อาจเคยมีบางครั้งที่รู้สึกไม่สบายใจกับรูปลักษณ์แปลกแยกของตัวเอง  ส่วนตอนนี้แม้จะเคยชินแล้วก็ยังรู้สึกขอบคุณ  ดวงตาสีฟ้ามีแววเป็นมิตรกว่าเดิม  ปากปรากฏรอยยิ้มกว้าง  ขยิบตาแล้วกล่าวว่า
“ความแปลกแยกในบางครั้งก็ไม่ใช่จะไม่ดี”
เหลียนอันสุ่ยมองอีกฝ่ายนิ่งอยู่พักหนึ่ง  แล้วจึงกล่าวขึ้น
 “ข้ากำลังสงสัยว่าดวงตาคู่นี้ของท่านใช้ดึงดูดอิสตรีไปมากมายเท่าไหร่แล้ว”
หานญื่อหลัวยิ้มอยู่อย่างเดิม มิได้ตอบคำ  แต่ในใจสำลักเล็กน้อย  พระมาตุลาผู้นี้...ใช่มองทะลุปรุโปร่งเกินไปหรือไม่

สำหรับหานญื่อหลัว  พระมาตุลาแคว้นเหลียนเป็นบุคคลที่น่าประทับใจผู้หนึ่ง  ประกายตาอ่อนโยนราวแสงจันทร์ทอดบนผิวธาร  ยามหลุบต่ำแฝงอารมณ์หม่นหมอง  ในความสูงศักดิ์มีความสงบงดงาม  ดุจภาพสะท้อนของทิวทัศน์ทะเลสาบไร้คลื่นลมในช่วงฤดูใบไม้ร่วง  หากสิ่งที่น่าดึงดูดใจที่สุดและน่าจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดฉีเซี่ยงหยวนเอาไว้ คือเหลียนอันสุ่ยเป็นมากกว่าความงามอันฉาบฉวยซึ่งผู้คนมักให้ความสนใจ  แต่เป็นอารมณ์บางอย่างที่ประทับลึกซึ้งลงในวิญญาณ...

“องค์ชายสี่” เสียงคำนับนอกประตูดังมาขัดจังหวะสนทนาของคนทั้งคู่  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยปรากฏแววสับสนตกใจ  สูญเสียความเยือกเย็นไปชั่วขณะหนึ่ง  ส่วนดวงตาสีฟ้าซึ่งลอบสังเกตอีกฝ่ายอยู่ก่อนก็หรี่ลงเล็กน้อย  แล้วค่อยเหลือบสายตาไปมองด้านคนที่เพิ่งก้าวเข้ามา
สีหน้าของฉีเซี่ยงหยวนเป็นปรกติ  หากความไม่เป็นมิตรชัดเจนอยู่ในแววตา  อันที่จริงภายในฉีเซี่ยงหยวนเข้าใกล้คำว่าเดือดดาล  รอยยิ้มของเหลียนอันสุ่ยเป็นของเขาคนเดียว  ไม่เกี่ยวกับไอ้คนน่ารังเกียจนั่น!  บรรยากาศโดยรอบคล้ายกับมีหมอกอันหนาหนักค่อยๆกดทับลงมา
ทั้งหานญื่อหลัวและเหลียนอันสุ่ยต่างยืนขึ้น 
“องค์ชายสี่” เสียงเรียกขานแผ่วเบาดังออกมาจากปากเหลียนอันสุ่ย  ในใจไม่พร้อมกับเผชิญกับการพบหน้าโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้  ทั้งหวั่นกลัวกับสิ่งที่ปกปิดมานาน  ภาวนาให้ตัวเองวางตัวแนบเนียนพอ   
...แต่เหลียนอันสุ่ยมิได้รู้เลยว่าหานญื่อหลัวยังรู้เรื่องตัวเขาละเอียดกว่าที่เหลียนอันสุ่ยรู้เรื่องอีกฝ่ายมากมายนัก

“องค์ชายสี่  ไม่ได้พบกันเสียนาน” ในที่สุดหานญื่อหลัวก็กล่าววาจา  หากท่าทียังคงเป็นการก้มหัวน้อยๆ  มิได้ประคองมือคารวะอย่างที่ควรจะเป็น  ถ้าเหลียนอันสุ่ยอยู่ในสภาวะปรกติจะต้องรู้สึกถึงความผิดแปลก แต่ตัวเหลียนอันสุ่ยในตอนนี้เพียงรับมือกับเรื่องของตัวเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอด  ไหนเลยจะจับสังเกตออก  อันที่จริงขนาดบรรยากาศขมุกขมัวโดยรอบยังแทบไม่สามารถแทรกเข้าไปในความสับสนวุ่นวายภายในใจเขา

เสียงทักตอบของฉีเซี่ยงหยวนเย็นชายิ่ง
“ไม่ได้พบกันนาน  พระภาคิไนยยังคงมีบุคลิกดุจเดิม” ความหมายคือยังคงเที่ยวยุ่งกับคนของชาวบ้านอยู่เช่นเดิม
หานญื่อหลัวยิ้มเล็กน้อยขณะตอบว่า
“ไม่เหมือนองค์ชายสี่ท่าน  ไม่ได้พบกันนาน  ดูมีสง่าราศีขึ้นกว่าเดิม” ความหมายพาดพิงถึงพฤติกรรมที่ฉีเซี่ยงหยวนแย่งบัลลังก์มาจากพ่อตัวเอง  ศักดิ์ฐานะจึงกลายเป็นว่าที่เป่ยชางอ๋อง
ใบหน้าที่ก้มต่ำของเหลียนอันสุ่ยเงยขึ้น  ในที่สุดก็รู้สึกถึงคลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อตัว  คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นลง  สายตาที่มองพระภาคิไนยหานญื่อหลัวเริ่มเปลี่ยนไป  ในความเข้าใจของเหลียนอันสุ่ย  ทั่วทั้งแคว้นเป่ยชางไม่สมควรมีคนกล้าปะทะกับฉีเซี่ยงหยวนตรงๆ  เพราะฉีเซี่ยงหยวนกำลังจะเป็นเป่ยชางอ๋อง  แต่ดูเหมือนเหลียนอันสุ่ยจะคาดเดาผิดพลาด  พระภาคิไนยผู้นี้ต้องมีสถานะบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจคำกล่าวพาดพิง  หันมากล่าวกับเหลียนอันสุ่ยว่า
“ตอนนี้เหลียนจิ้งเต๋อน่าจะเลิกเรียนแล้ว  ท่านสมควรกลับไปดูเขา” สำหรับฉีเซี่ยงหยวน  เหลียนอันสุ่ยยิ่งอยู่ห่างมือหานญื่อหลัวมากเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น  แม้คนแซ่หานยังไม่ประวัติว่าชมชอบบุรุษด้วยกัน  แต่อะไรก็ไว้ใจไม่ได้และฉีเซี่ยงหยวนก็มิใช่คนชอบความเสี่ยงในเรื่องเช่นนี้เสมอมา

ได้ยินฉีเซี่ยงหยวนกล่าวถึงบุตรชายบวกกับท่าทีของอีกฝ่าย  เหลียนอันสุ่ยก็มองออกว่าฉีเซี่ยงหยวนไม่ปรารถนาให้เขาอยู่ที่นี่  ตัวเหลียนอันสุ่ยเองก็มิปรารถนาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องกินแหนงแคลงใจของคนทั้งคู่  จึงรีบเอ่ยปากขอตัวจากไป

ลับเงาหลังของบุคคลซึ่งไม่ทราบว่าตัวเองคือสาเหตุหลักที่ทวีความเกลียดขี้หน้าไม่ลงรอยให้รุนแรงขึ้นบรรยากาศก็คล้ายหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม  สายตาสองคู่สบกันโดยไม่มีผู้ใดคิดจะหลบสายตา
มุมปากของหานญื่อหลัวยังคงมีรอยยิ้มบางๆขณะกล่าว
“ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านเป็นหนักถึงขนาดยุ่งเกี่ยวกับคนที่มีภรรยามีลูกแล้ว”
“...นี่มิใช่เรื่องของพระภาคิไนย  ท่านทางที่ดีอย่าได้ยุ่งเกี่ยว” เสียงเตือนราบเรียบเย็นชา
คราวนี้คนฟังคล้ายจะหัวเราะเบาๆ
“องค์ชายสี่ ท่านสมควรทราบว่าข้าไม่เคยชมชอบชีวิตที่สงบราบรื่นเกินไป  อีกอย่าง...คนผู้นั้นดีเกินไปสำหรับท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง กล่าวเสียงต่ำ
“ข้าเคยคิดว่าคราวนี้รสนิยมของตัวเองคงไม่ตรงกันกับท่าน...” ฉีเซี่ยงหยวนไม่ทันกล่าวจบ  คนเป็นพระภาคิไนยก็กล่าวสวนว่า
“ไม่เลย...รสนิยมของเราตรงกันเสมอมา”
ดวงตาองค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางวาววาบ  ประกายอำมหิตผ่านวูบเข้ามา  แทนที่ด้วยความเย็นชาจับขั้วหัวใจ  หากอีกฝ่ายยังคงไม่มีท่าทีสะทกสะท้านหวาดกลัว  ท่าทางปลอดโปร่งงามสง่าอยู่เช่นเดิม

คนต่ำศักดิ์กว่าอย่างหลิวฉางเฟยยิ่งมองก็ยิ่งปวดเศียรเวียนเกล้า  ในความปวดเศียรเวียนเกล้ายังมีความเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งเกิดซ้ำมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ 

หากจะบอกว่าสตรีทั่วทั้งแคว้นมีครึ่งหนึ่งหวังจะเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวน  อีกครึ่งหนึ่งต้องหลงใหลวาดฝันถึงพระภาคิไนยหานญื่อหลัว   ปัญหามันอยู่ที่ว่าฉีเซี่ยงหยวนและหานญื่อหลัวต่างชมชอบบุปผางามและบรรดานางบำเรอของท่านอ๋องน้อยแต่ละนางล้วนเป็นบุปผางามที่งามอย่างไม่ธรรมดา  ดังนั้นทุกครั้งที่ฉีเซี่ยงหยวนมีคนที่โปรดปรานคนใหม่  หานญื่อหลัวเป็นต้องหาโอกาสพบหน้าให้ได้ซักครา  แล้วหลิวฉางเฟยก็ถึงเวลาปวดหัว...อันที่จริงลูกพี่ลูกน้องคู่นี้มีคดีเรื่องสนใจคนๆเดียวกันมานับครั้งไม่หวาดไม่ไหว
สำหรับหลิวฉางเฟยสองคนนี้ต่างเป็นตัวปัญหาพอกัน  ฉีเซี่ยงหยวนสนใจสิ่งใดก็ต้องหาหนทางคว้าเอามา  ส่วนหานญื่อหลัวก็เที่ยวทำให้สตรีหลงใหลไปทั่วแต่ไม่คิดจะแต่งงาน  นับเป็นสองตัวร้ายกาจที่น่าจะเก็บไว้ห่างๆคนดีงามทั่วแผ่นดิน

ได้ยินนายเหนือหัวของตัวเองกล่าวว่า
“บางทีเผ่าเยวี่ยถานคงจะถึงเวลาต้องปฏิรูป”
“ยังหรอก  ท่านเพิ่งกำจัดอิทธิพลตระกูลสือไป  คนฉลาดเช่นท่านจะไม่โค่นเสาสองต้นที่ค้ำยันแคว้นเป่ยชางไปในเวลาเดียวกัน” นี่คือคำพูดประโยคสุดท้ายก่อนจะขอตัวจากไปของพระภาคิไนยหานญื่อหลัว  และเป็นคำพูดที่ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินแล้วต้องกำมือแน่นจนข้อกระดูกลั่นกร๊อบ  สายตาที่มองตามเงาหลังของหานญื่อหลัวไปคล้ายกำลังคิดถึงสภาพที่อีกฝ่ายถูกหั่นเป็นชิ้นๆ
 
สำหรับฉีเซี่ยงหยวนคนแซ่หานเป็นสิ่งมีชีวิตตายยากที่น่ารังเกียจ  เพราะฐานะที่แท้จริงของหานญื่อหลัวคือผู้นำชนเผ่าเยวี่ยถาน  ชนเผ่าเก่าแก่ที่เป็นส่วนหนึ่งของเป่ยชางมาช้านาน  แทนบิดาซึ่งเสียไปเมื่อห้าปีก่อน  ศักดิ์ฐานะของหานญื่อหลัวจึงกลายเป็นบุคคลที่กระทั่งเป่ยชางอ๋องยังต้องให้ความเกรงใจ  ที่หนักกว่านั้นคือหานญื่อหลัวเป็นหลานรัก  มารดาของหานญื่อหลัวเป็นองค์หญิงแคว้นเป่ยชาง  เป่ยชางอ๋องแม้เย็นชากับครอบครัวตัวเองตลอดมาแต่รักน้องสาวที่โตมาด้วยกันผู้นี้ยิ่ง  หานญื่อหลัวจึงมักต้องแวะเวียนมาอยู่กับท่านลุงคราวละนานๆ  จนหลังๆมานี้แทบจะลงหลักปักฐานในแคว้นเป่ยชาง  และเป็นที่ขัดหูขัดตายิ่งของฉีเซี่ยงหยวน 

ที่น่าขัดใจที่สุดคือทุกคนกระทั่งตัวฉีเซี่ยงหยวนต่างทราบว่าการเล่นงานหานญื่อหลัวมิใช่เรื่องคนฉลาดพึงกระทำ  และหานญื่อหลัวเองก็ฉลาดพอจะรักษาสภาพนั้นไว้  ใช่  หานญื่อหลัวมีประโยชน์อย่างยิ่ง  ข้อเสียอย่างเดียวคือฉีเซี่ยงหยวนเกลียดขี้หน้าเจ้านั่นเข้าไส้ !

คิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองสมควรตามเหลียนอันสุ่ยไปเพราะไม่แน่ว่าเจ้าคนแซ่หานอาจยังติดตามไป ‘ทำความรู้จัก’ เพิ่มเติม   เขาจะได้ยอมไม่ฉลาดส่งมันไป ‘ทำความรู้จัก’ กับพญายมแทน  ฉีเซี่ยงหยวนคิดอย่างเหี้ยมเกรียม
---------------
เหลียนอันสุ่ยกลับถึงตำหนักเสียงวสันต์ในเวลาอันรวดเร็ว  คล้ายรีบร้อนหลบหนีเพราะหวาดกลัวการพบหน้ากับคนผู้หนึ่ง  หรืออาจบางที...เขาแค่กำลังหนีจากความยินดีที่ได้พบหน้าที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัวและไม่สมควรจะรู้สึก... 

จังหวะเท้าผ่อนช้าลงเมื่อเดินผ่านเข้าประตูตำหนัก  คล้ายกับว่าประตูทั้งสองบานข้างนอกสามารถกั้นอาณาเขตกันมิให้คนผู้นั้นติดตามเข้ามาด้วย   ‘เขา’ คงจะไม่มา...เหมือนกับวันอื่นๆในช่วงหลายวันมานี้   การพบหน้าที่หอตำราอาจพอแก้ไขได้ว่าเป็นความบังเอิญ  แต่การพบหน้าที่นี่กลับเป็นเรื่องผิดแผกแตกต่าง  เหลียนอันสุ่ยทราบดี  ฉีเซี่ยงหยวนก็ทราบดี  ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่องค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางจะตามมาที่นี่  ความคิดนั้นพาให้จิตใจของพระมาตุลาแคว้นเหลียนสงบลง  ขณะเลี้ยวเข้าสู่ปีกฝั่งตะวันตกอันเป็นส่วนที่พำนักของเหลียนจิ้งเต๋อผู้เป็นบุตรชาย

เหลียนจิ้งเต๋อกลับมาแล้วจริงๆ  ทั้งยังพาเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันอีกผู้หนึ่งมาด้วย  เมื่อเหลือบสายตาขึ้นมาเห็นท่านพ่อ  เหลียนจิ้งเต๋อก็วิ่งตึงๆเข้ามาอย่างกระตือรือร้นในลักษณะท่าทางของเด็กสิบขวบ  หากเมื่อเจ้าตัวนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีคนอื่นอยู่ด้วยก็รีบหยุดเท้า  วางท่าเป็นผู้ใหญ่  หันไปกล่าวต่อเด็กแปลกหน้าผู้นั้นว่า

“นี่ไงล่ะ  ท่านพ่อของข้า” พูดจบก็ทำความเคารพผู้เป็นบิดาอย่างถูกระเบียบแบบแผนทุกกระเบียดนิ้ว  เหลียนอันสุ่ยมองปราดเดียวก็ทราบว่าบุตรชายจงใจทำให้เด็กชายด้านข้างชมดู  เมื่อมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่ด้วย  เหลียนจิ้งเต๋อจะไม่ทำอะไรที่ ‘ดูไม่เข้าท่า’ เด็ดขาด  นั่นรวมถึงการอ้อนพ่อด้วย  พระมาตุลาแคว้นเหลียนคิดพลางส่ายหน้าขันๆ  แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู 
เหลียนจิ้งเต๋อเงยตากลมแป๋วสบกับบิดา  ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดีอย่างปิดไม่มิดว่า
“ท่านพ่อ  ในที่สุดข้าก็มีพี่น้องกับเขาแล้ว!”
ผู้เป็นบิดาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ  ขณะฟังบุตรชายกล่าวต่อ
“นั่นไง” พูดพลางชี้นิ้วประกอบ“เขาเป็นลูกของพ่อบุญธรรม  ดังนั้นเขาจึงเป็นพี่น้องกับข้าด้วย” เด็กชายพูดพลางฉีกยิ้มยินดี  หากคนฟังนิ่งค้างไปแล้ว  เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองเด็กอีกคนช้าๆ  เค้าใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงตอกย้ำคำที่ได้ยินจากปากบุตรชายเข้าไปในจิตสำนึก  ความรู้สึกแรกเป็นความเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก  ในหูได้ยินเสียงเหลียนจิ้งเต๋อกล่าวต่อโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรว่า
“...เขากับข้าเรียนกับท่านอาจารย์คนเดียวกัน  แต่เพราะเวลาเรียนไม่พร้อมกัน  เราถึงไม่เคยเจอกันเลย  จนกระทั่งเมื่อเช้านี้เขามาหาท่านอาจารย์ตอนข้ากำลังเรียนอยู่พอดี  ข้าจึงได้รู้ว่าที่แท้ตัวเองก็มีพี่น้องกับเขาเหมือนกัน...” หลังจากนั้นบุตรชายพูดอะไรเหลียนอันสุ่ยก็จับใจความไม่ได้อีก  ในหูมีแต่คำว่า
‘เขาเป็นลูกของพ่อบุญธรรม’
เสียงดังก้องซ้ำไปมา  ทุกครั้งที่มันกระทบเพื่อที่จะสะท้อนก็กรีดความรู้สึกเจ็บลึกลงบนหัวใจเย็นเฉียบทีละรอย...ทีละรอย...
ทั้งๆที่รู้ดีอยู่แล้ว  เหตุใดจึงเจ็บปวดถึงเพียงนี้  อันที่จริงบุรุษในวัยเช่นฉีเซี่ยงหยวนแทบทุกคนสมควรมีบุตร  รวมถึง...มีภรรยา
ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยซีดขาวจนแทบไม่มีสีเลือด  ในใจเจ็บปวดจนเริ่มรู้สึกชา เมื่อเด็กคนนั้นประคองมือคารวะตามธรรมเนียม  มุมปากของเหลียนอันสุ่ยก็ฝืนเค้นเป็นรอยยิ้มจางๆ  บอกกับตัวเองว่าเด็กไม่รู้เรื่องคนนั้นไม่สมควรได้รับการปฏิบัติตอบที่เย็นชา  ดวงตาคู่งามเป็นประกายอ่อนโยน  เก็บซ่อนบดบังความหม่นเศร้าเข้มข้นเอาไว้เพียงในเงาของจิตใจ...

...เหลียนอันสุ่ยเพิ่งจะเคยรู้สึก  ที่แท้การยิ้มเป็นเรื่องยากเย็นถึงเพียงนี้...
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งได้รับรายงานระหว่างทางไปตำหนักเสียงวสันต์ว่าเหลียนจิ้งเต๋อมิได้กลับตำหนักคนเดียว  แต่เชิญเด็กอีกคนไปด้วย  ทันทีที่ทราบว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร  ใบหน้าของว่าที่ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางพลันแข็งค้าง  ท่าทีร้อนรนกว่าเดิม  ในใจดุจมีไฟแผดเผา 
เมื่อเท้าเหยียบตำหนักเสียงวสันต์  ไม่มีใครกระทั่งอิ๋งฮวาสามารถชะลอให้ฉีเซี่ยงหยวนก้าวช้าลงได้แม้แต่ก้าวเดียว  หูได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย  เท้าสาวมุ่งไปทันที

ภาพที่ฉีเซี่ยงหยวนพบคือเด็กสองคนนั่งเคียงกัน  แข่งกันคัดอักษร  ผู้ใหญ่เพียงคนเดียวในห้องเดินวนผ่านด้านหลังเด็กทั้งคู่  จิตใจจดจ่ออยู่กับตัวอักษรที่ถูกลากขึ้นมาจากพู่กันในมือน้อยๆของผู้อื่น  ฉีเซี่ยงหยวนเห็นความอ่อนโยนอย่างยิ่งในแววตา  เหลียนอันสุ่ยอ่อนโยนเสมอเมื่ออยู่กับบุตรชาย  เพียงแต่วันนี้สิ่งที่แฝงเร้นโดยเจ้าตัวปิดไม่มิดคือความเจ็บปวดลึกซึ้ง  ซึ่งทำให้ฉีเซี่ยงหยวนทั้งเจ็บปวดทั้งร้อนรน  มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้!

ขณะคิดร่างกายก็ขยับไปก่อน  รู้ตัวอีกทีฉีเซี่ยงหยวนก็พบว่าตัวเองคว้าข้อมือเหลียนอันสุ่ย  ฉุดดึงออกมาด้วยกัน
“ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกท่าน” ฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยทันทีที่ทั้งคู่เดินมาถึงมุมลับตาคน
“...” เหลียนอันสุ่ยนิ่งไป  มิได้เอ่ยอะไร
ฉีเซี่ยงหยวนจึงรีบพูดต่อว่า
“เด็กคนนั้น...”
“ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านชมชอบรับบุตรบุญธรรม” คำกล่าวแทรกขึ้นมาช้าๆของพระมาตุลาแคว้นเหลียนทำให้คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนค้างอยู่แค่กลางประโยค
อึดใจใหญ่ๆหลังลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก  ฉีเซี่ยงหยวนก็ต่อประโยคของตัวเองจนสมบูรณ์ว่า
“...เด็กคนนั้นเป็นลูกของพี่ชายข้า  พี่ใหญ่ฝากฝังไว้กับข้าก่อนเขาจะตาย”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งฟัง  ที่แท้เด็กคนนั้นเป็นบุตรขององค์ชายใหญ่  องค์รัชทายาทที่จากไป
“แล้วลูกของท่านเล่า” คำถามง่ายๆของเหลียนอันสุ่ยทำให้ฉีเซี่ยงหยวนถึงกับชะงัก  สุดท้ายตอบว่า
“...กระทั่งชายาข้ายังไม่มี  แล้วจะมีลูกได้ยังไง”
ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย  คิ้วขมวดเข้าหากัน  พึมพำกับตัวเองมากกว่าจะเป็นคำถามว่า
“เป็นไปได้อย่างไรกัน” ด้วยตำแหน่งของท่าน...
“คนอื่นมิใช่ไม่พยายามหามาให้  แต่เป็นข้าที่ไม่ต้องการ  ...อย่างน้อยตำแหน่งชายาของข้า  ข้าก็ไม่ต้องการให้เป็นไปเพราะการเมือง”
ใช่แล้ว  สิ่งที่พวกเขาพูดถึงมิใช่ความรัก  แต่เป็นเรื่องของการเมือง  คนในตำแหน่งเช่นฉีเซี่ยงหยวน  ปัจจัยหลักในการเลือกคู่ครองลำดับแรกมิใช่ความรัก  แต่เป็นความเหมาะสมและผลประโยชน์
“...ท่านมีสตรีมากมาย  หรือไม่มีซักนางที่ดีพอสำหรับตำแหน่งนั้นเลย”
“มิใช่ไม่ดีพอ  แต่เป็นยังไม่ใช่” พวกนางมักจะมีบางอย่างที่ยังไม่ใช่อยู่เสมอ
“ถ้าเช่นนั้นท่านสมควรรีบหาได้แล้ว  เพราะอีกไม่กี่วันท่านก็จะเป็นเป่ยชางอ๋อง  ตำแหน่งพระชายาในเป่ยชางอ๋องไม่มีทางที่จะไม่เกี่ยวพันกับการเมือง” คำพูดทิ้งท้ายด้วยความปรารถนาดีของเหลียนอันสุ่ย  ก่อนคนพูดจะหันหลังจากไป
 
แววตาองค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนจมลงในภวังค์ครุ่นคิด  ขณะจับจ้องแผ่นหลังสูงโปร่งที่ห่างออกไปทีละน้อย
รีบหาอย่างนั้นหรือ ?  อันที่จริงข้าเสาะแสวงหาสตรีนางนั้นมาโดยตลอด  แต่ไม่รู้ทำไม  โดยไม่รู้ตัว  ข้าก็ได้เลิกเสาะหาอย่างจริงจังไปเสียแล้ว...อาจเป็นเพราะตั้งแต่ข้าได้พบกับท่าน  จิตใจข้าก็แต่วนเวียนจดจ่ออยู่กับท่าน  จนมิได้ครุ่นคิดถึงสิ่งใดอีก...
ขณะขบคิดเท้าก็ก้าวตามอีกฝ่ายไป
---------------------
หากฉีเซี่ยงหยวนยังมิทันก้าวตามเหลียนอันสุ่ยจนทันก็พบคนสองคนมาขัดขวางอยู่กลางทางเสียก่อน  เป็นจางจื่อหยูกับหลี่กวงเว่ย  สองในห้าคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวนเอง
“ท่านอ๋องน้อยกรุณากลับตำหนักด้วย” จางจื่อหยูพูดด้วยท่าทีจริงจังพลางคุกเข่าลงกับพื้น
คิ้วหนาของฉีเซี่ยงหยวนขมวดเข้าหากันทันที
“นี่พวกท่านจะมาไล่ต้อนให้ข้ากลับตำหนัก ?” น้ำเสียงบ่งชัดว่าไม่พอใจ แต่ยังไม่แสดงออก
“ท่านอ๋องน้อย  ท่านก็รู้ว่าอะไรเหมาะสมอะไรไม่เหมาะ” หลี่กวงเว่ยพูดขึ้นช้าๆ  ที่ปรึกษาของฉีเซี่ยงหยวนผู้นี้ยังคงสงบเยือกเย็นกับโทสะของนายเหนือหัว
“ใช่  ข้ารู้” ฉีเซี่ยงหยวนพูดจบก็ทำท่าจะก้าวไปตามทางที่ตั้งใจไว้แต่เดิม  เล่นเอาจางจื่อหยูร้อนรนจนหน้าแดงก่ำ หากหลี่กวงเว่ยเพียงพูดตามหลังคนที่สูงศักดิ์กว่าไปด้วยน้ำเสียงช้าๆชัดๆ สงบราบเรียบว่า
“ท่านจะยอมให้ความไม่อดทนในช่วงเวลาเล็กน้อยนี้  ทำลายทุกอย่างที่ท่านทำมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ? ...ท่านอ๋องน้อย  แค่ช่วงนี้เท่านั้น”
หลังผ่านไปอึดใจใหญ่ๆ  ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็ยินยอมก้าวไปในทิศที่สองคนสนิทมุ่งหวัง
ทั้งสามคนต่างไม่ทราบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของเจ้าของตำหนัก  เพราะต้องการถามเรื่องเด็กคนนั้นจากฉีเซี่ยงหยวน  เหลียนอันสุ่ยจึงวกย้อนกลับมา  และเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้แต่นิ่งฟัง  ดวงตามองตามเงาหลังกว้างของคนที่จากไปหลุบต่ำลง
ช่วงเวลาเปลี่ยนถ่ายอำนาจเป็นช่วงที่เปราะบางเสี่ยงต่อการพลักผันที่สุด  ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวเอง  ไม่เว้นแม้แต่ฉีเซี่ยงหยวน  ดังนั้นหลายวันมานี้อีกฝ่ายจึงมิได้เหยียบเข้าประตูตำหนักเสียงวสันต์ 

...ทั้งๆที่รู้ว่าอันตราย  เหตุใดต้องเพียรพยายามยื้อไว้ ? 

บางครั้งเหลียนอันสุ่ยก็ไม่เข้าใจองค์ชายสี่ผู้นี้เลย  ผู้หญิงของอีกฝ่ายสมควรมีมากมายอย่างยิ่งเหตุใดต้องเจาะจงมายุ่งเกี่ยวกับเขา  และทั้งๆที่มีมากมายอย่างยิ่งเหตุใดจึงไม่มีแม้แต่คนเดียวที่พอจะเป็นชายาของท่านได้  ...คนที่ท่านต้องการต้องเพียบพร้อมถึงขั้นไหนกัน ?

และบางครั้งเหลียนอันสุ่ยก็ไม่เข้าใจตัวเองเลย 
...ว่าเหตุใดต้องให้ความสนใจ  เหตุใดต้องรู้สึกเจ็บปวด  กับความจริงที่ว่าฉีเซี่ยงหยวนมิใช่คนที่จะหยุดอยู่กับคนเพียงคนเดียว 
ความสัมพันธ์ที่เปราะบางนี้มิได้ให้ประโยชน์อันใดกับท่านเลย  เหตุใดจึงไม่ยอมให้มันสิ้นสุดเสียที  เหตุใดจึงไม่ยินยอมปล่อยข้าไป

============

ขอบคุณสำหรับเป็ดทุกตัวที่มอบให้  รักคนอ่านมากมาย :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 18-08-2014 22:54:16
ขอบคุณค่ะ  ปกติเราไม่ค่อยอ่านแนวนี้  หรือแนวแฟนตาซี  แต่เรื่องนี้  ทำเราติด !!!!!!   
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 18-08-2014 23:25:58
มาให้กำลังใจจ้า

ยังอ่านไม่ทัน
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 19-08-2014 11:53:52
ตามมาอ่านจากนิยายแนะนำค่ะ

สนุกมากๆเลย พลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไงเนี่ย

ทั้งเรื่องการเมือง ก็ลุ้นสนุก เรื่องของท่านอ๋องน้อย กับ พระมาตุลา ยิ่งเข้มข้น

เป็นความรักที่ค่อยๆเกิด จนฝังรากลึกจริงๆ อ่านไปลุ้นไป ชอบมากๆ

อยากให้สมหวังจัง แต่จั่วหัวตอนขึ้นภาคหลักนี่สิ ทำเอาหวั่นไปเลย

พระมาตุลา มีความสามรถมากนะ อยากให้ท่านอ๋องมอบงานที่เหมาะสมให้จัง ท่านจะได้ไม่คิดมาก ว่าเป็นของเล่นบนเตียง
 :pig4: นักเขียน ตามอ่านตั้งแต่เมื่อวาน อ่านจนหยุดไม่ได้ สนุกค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 19-08-2014 22:57:59
ยังอ่านไม่ทัน

ตามอ่านได้้2วันแล้ว
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 20-08-2014 19:35:06
บทที่ 25 โหยหา

เสียงดนตรีโลดแล่นอยู่ในสายลม  พิธีแต่งตั้งยามเที่ยงยิ่งใหญ่แค่ไหน  งานเลี้ยงยามค่ำก็ตระการตาเทียมกัน  ข่าวแพร่กระจายออกไป  เป่ยชางเปลี่ยนต้าอ๋องแล้ว!  ข่าวนี้สั่นสะเทือนไปทั้งพิภพ  แคว้นใหญ่น้อยรีบร้อนส่งตัวแทนมาร่วมแสดงความยินดี  ในทางกลับกันก็ลอบปาดเหงื่ออย่างหวั่นวิตก  ดวงดาวบนฟากฟ้าเปลี่ยนตำแหน่ง  แสงของดาวดวงใหม่เจิดจ้าบาดตานัก  เจิดจ้าจนดูราวกับประกายดาบมากกว่าประกายดาว  เป่ยชางเป็นแคว้นที่เข้มแข็งและยิ่งใหญ่  แต่ทูตของทุกแคว้นที่ที่มีโอกาสได้ยลบุคลิกของต้าอ๋ององค์ใหม่ต่างรู้สึกเหมือนความยิ่งใหญ่ของแคว้นเป่ยชางเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น !

เหลียนอันสุ่ยก็คิดเช่นนั้น ขณะปลดเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงินออกจากบ่า  เงาร่างของฉีเซี่ยงหยวนในงานเลี้ยงยังคงแจ่มชัด  เฉียบคมเด็ดขาดจนข่มบรรดาผู้ที่อยู่รายรอบให้กลายเป็นฝุ่นธุลี  โดดเด่นจนเหลียนอันสุ่ยต้องเบือนหน้าหนี  ขมขื่นที่จะยอมรับความต่ำต้อยในตัวเอง  เขากับอีกฝ่ายอยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน 

งานเลี้ยงยังไม่จบ แต่เหลียนอันสุ่ยกลับถึงตำหนักชุนเกอแล้ว  ตัวประกันสงครามของแคว้นที่ล่มสลายเช่นเขาความจริงมิได้เกี่ยวข้องกับงานเลี้ยงนี้เลย  และงานเลี้ยงนี้ตัวเขาก็ไม่สมควรได้รับเชิญเลย  มีหลายคนสนใจจะทำความรู้จักกับเขา  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับมิได้อยากรู้จักพวกเหล่านั้น  หากก็ทราบว่ามิอาจไม่ไป  เพราะนอกจากตัวเขาจะถือเป็น ‘ของแปลก’ และเหลียนอันสุ่ยยังเป็นหลักฐานแห่งชัยชนะ   แคว้นเหลียนเป็นของเป่ยชางอย่างเด็ดขาด  ความคิดนี้ตอกย้ำกดลึกเข้าไปในบาดแผลที่เจ็บปวดจนด้านชา  ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้หนาวเหลือเกิน  หรืออาจบางที...เป็นหัวใจเขาเองที่เหน็บหนาวว่างเปล่า

ฉีเซี่ยงหยวนจะไม่มาคืนนี้  เหลียนอันสุ่ยทราบดี  ความเหน็บหนาวคล้ายกับทวีขึ้นอีก  หลายครั้งที่เหลียนอันสุ่ยถามตัวเอง เขามีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด...คงเพื่อชดใช้ในสิ่งที่ได้ก่อกระมัง  รอยยิ้มขมขื่นผุดขึ้นมาบางๆ...
---------------------
แสงดาวถักทอลำนำรัตติกาลอ้อยอิ่งอยู่บนท้องฟ้ากว้าง  แสงโคมในห้องสาดอ้อยอิ่งอยู่บนร่างของคนสองคน   หนึ่งเป็นคนที่พลัดถิ่นมาไกล  อีกหนึ่งเป็นคนที่ทรงศักดิ์สูงสุดในแคว้นเป่ยชาง

ธรรมเนียมพิธีการแต่โบราณมาคล้ายมิสำคัญกับเป่ยชางอ๋องหมาดๆผู้นี้แม้แต่น้อย  ในคืนอันควรจะเข้านอนในตำหนักเยี่ยอวิ๋นอันโอ่อ่าสมฐานะเพื่อชำระจิตใจ  ตั้งมั่นกับภาระอันยิ่งใหญ่ที่แบกอยู่บนสองบ่า  ฉีเซี่ยงหยวนกลับมาปรากฏกายหน้าตำหนักรับรองแขกเสียงวสันต์เอาดื้อๆ  พาให้เจ้าของตำหนักทั้งมึนงงทั้งลำบากใจจนพูดไม่ออก  ได้แต่ขมวดคิ้วเบิกตามองผู้มาเยือนก้าวตรงดิ่งเข้ามาหา

ฉีเซี่ยงหยวนกลับไปสวมชุดลำลองสีดำตามปรกติอีกแล้ว  หากสิ่งที่เพิ่มมาคืออำนาจบารมีของเป่ยชางอ๋อง  อำนาจบารมีที่เจ้าตัวเพียรเก็บงำไว้ตลอดมา  นี่จึงเป็นบุคลิกที่แท้จริงของฉีเซี่ยงหยวน  ตำแหน่งองค์ชายสี่แท้จริงมิได้เหมาะสมกับเขาเลย...
ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าตัวเองไม่สมควรมาอยู่ที่นี่  อันที่จริงถ้าเขาคิดจะเป็นเป่ยชางอ๋องที่รอบคอบมีศีลธรรมก็สมควรจะเลิกยุ่งกับเหลียนอันสุ่ยโดยถาวร  แต่พอดีว่าเขาเป็นเป่ยชางอ๋องที่ยึดถือตัวเองเป็นใหญ่  และการไม่ได้พบหน้ากันหลายวันก็นานเกินไปแล้ว

คิดถึง  แต่มิอาจไปหา  ช่างเป็นความทรมานอย่างยิ่ง
ที่น่าเดือดดาลไปกว่านั้นคือทุกคนในงานเลี้ยงแม้กระทั่งหานญื่อหลัวล้วนสามารถทักทายเหลียนอันสุ่ย  มีแต่ฉีเซี่ยงหยวนคนเดียวที่ต้องอยู่ห่างๆ  เรื่องแบบนี้มันมีที่ไหนกัน!  ...ดีที่ว่าในที่สุดก็พ้นช่วงที่ตกลงในเงื่อนไขกับหลี่กวงเว่ยไปแล้ว
คิดพลางมองคนที่วนเวียนอยู่ในห้วงคิดคำนึงตลอดช่วงหลายวันมานี้  เหลียนอันสุ่ยสวมชุดนอนสีเงินยวง  สว่างนุ่มนวลราวกับทอมาจากแสงจันทร์  แถบรัดเอวสีขาวเดินด้ายสีฟ้าอ่อนเก็บริมเป็นลายละเอียดประณีต  ผมดำขลับปล่อยยาวเคลียบ่ามิได้รวบมัดเพราะเตรียมตัวเข้านอนแล้ว

“คืนนี้เป็นคืนสำคัญของท่าน  เหตุใดมาอยู่ที่นี่”  หลังสั่งให้หญิงรับใช้ออกไปจนหมด  เจ้าของตำหนักก็ถามขึ้นเบาๆ
“ข้ามาทวงสุราจอกหนึ่ง  มีแต่ท่านที่ยังมิได้ร่วมดื่มแสดงความยินดีกับข้า” อันที่จริงคือในงานเลี้ยงเหลียนอันสุ่ยประพฤติราวมองไม่เห็นเขาก็ปาน  วางตัวสงบเงียบราวไม่มีตัวตน  มีแต่ฉีเซี่ยงหยวนที่เป็นฝ่ายลอบกวาดตามองตามอีกฝ่ายอยู่ทุกก้าว
สุราถูกรินลงในจอกเคลือบช้าๆ  ผู้รินประคองจอกหยกขาวเอาไว้ระหว่างมือทั้งสองข้าง
“ยินดีกับท่านด้วย  ในที่สุดท่านก็ก้าวมาจนถึงจุดนี้  ขอให้เส้นทางหลังจากนี้ของต้าอ๋องราบรื่นไร้อุปสรรค” เหลียนอันสุ่ยกล่าวพลางคารวะเต็มพิธีการ
ฉีเซี่ยงหยวนดื่มสุรา หากตายังคงมองคนที่คารวะสุราให้เขา
‘ท่านทราบหรือไม่ว่า  เพราะคืนนี้เป็นคืนสำคัญ  ข้าถึงได้อยู่ที่นี่...’
...คืนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของข้า  ข้าอยากใช้มันร่วมกับท่าน...
---------------------
สุราคารวะเรียบร้อยไปนานแล้ว  แต่คนที่ปากบอกว่ามาแค่ทวงสุราจอกหนึ่ง  จนบัดนี้ยังคงไม่จากไป  เหลียนอันสุ่ยเอ่ยปากเตือน
“นี่ก็ดึกมากแล้ว  ต้าอ๋อง...”
“ใช่ดึกมาแล้ว  เราสมควรจะนอนกันเสียที” คำพูดง่ายๆของฉีเซี่ยงหยวนทำให้ฟังถึงกับชะงัก
“เรา...นอน ?” ทะ ท่านมิใช่ตกลงกับหลี่กวงเว่ย จางจื่อหยูไว้ว่าช่วงนี้...
“ใช่  นี่ดึกมากแล้ว  และข้าก็ขี้เกียจกลับตำหนักที่ไม่มีอะไรเลยนั่น  ค้างที่นี่แหละ” พูดสรุปจบก็เดินเข้าห้องนอนผู้อื่นไปเสียเฉยๆ  ทิ้งให้พระมาตุลาแคว้นเหลียนนิ่งค้างอยู่กับที่
เป็นเหลียนอันสุ่ยเข้าใจข้อตกลงผิดไป  คำว่า ‘ช่วงนี้’ ของหลี่กวงเว่ยเพียงหมายถึงช่วงก่อนขึ้นรับตำแหน่งเป่ยชางอ๋อง  มิใช่คลุมตลอดช่วงการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ  เพราะหลี่กวงเว่ยทราบนิสัยเจ้านายตัวเองดี  หากช่วงในข้อตกลงทอดยาวกว่านี้ฉีเซี่ยงหยวนไม่มีทางยอมรับปากแน่นอน
---------------------
พระมาตุลาแคว้นเหลียนยืนมองคนที่นอนเหยียดอยู่บนเตียงของเขาด้วยสายตาสับสน  ไม่แน่ใจว่าตัวเองสมควรนอนลงไปหรือไม่  แต่จะไม่นอนลงไปก็ไม่ได้
บางที...ฉีเซี่ยงหยวนอาจเหน็ดเหนื่อยกับพิธีการที่ทำมาตลอดทั้งวันจนไม่คิดทำอย่างอื่นนอกจากนอนก็เป็นได้  เหลียนอันสุ่ยปลอบใจตัวเองขณะก้าวเข้าไปใกล้ร่างที่นอนนิ่งอีกก้าวหนึ่ง
“ท่านนอนลงมาเถอะ  ข้าไม่ทำอะไรท่านหรอก” คำพูดประโยคนั้นดังในความเงียบ
ฉีเซี่ยงหยวนยอมรับว่าตัวเองต้องการอีกฝ่าย  ต้องการตลอดมา  เมื่อไม่ได้อยู่ร่วมมาพักใหญ่ก็ยิ่งปรารถนา  แต่กลับทนไม่ได้ที่จะเห็นแววตาหม่นหมองคู่นั้นอีก  เหลียนอันสุ่ยในงานเลี้ยงคล้ายจะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ  ข้าไม่ควรเชิญท่านไป...ความจริงก็คือในวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของข้า  ข้าแค่อยากรู้สึกว่าตัวเองมีท่านอยู่ข้างๆ  แต่นั่นกลับทำร้ายท่านสาหัสนัก

เหลียนอันสุ่ยนอนลงบนเตียงช้าๆ  ตัวแข็งเมื่อถูกโอบกอดไว้  แต่ฉีเซี่ยงหยวนเพียงโอบกอด  ซบใบหน้าคมกับเรือนผมนิ่มแล้วก็แนบนิ่งอยู่อย่างนั้น  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยสับสน  แต่ใจกลับไม่เหน็บหนาวว่างเปล่าอย่างที่เคยเป็น

ฝ่ายฉีเซี่ยงหยวนที่โอบกอดร่างหอมกรุ่นไว้ในอ้อมแขน  ขณะนี้กำลังพยายามสะกดคำว่ายับยั้งชั่งใจอย่างลำบากยากเย็น  พยายามจะไม่คิดว่าผิวกายอีกฝ่ายนุ่มเนียนแค่ไหน  เขาต้องรักษาคำพูด  ในคืนพิเศษคืนนี้  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ต้องการความรู้สึกเหมือนถูกมีดค่อยๆเสียบทะลุหัวใจ  สายตาปวดร้าวของเหลียนอันสุ่ยทำร้ายฉีเซี่ยงหยวนได้เสมอ  หลังความสุขสมผ่านพ้นไปสิ่งที่ต้องจ่ายคือความเจ็บปวดราคาแพง  เหลียนอันสุ่ยไม่เคยเต็มใจมีความสัมพันธ์กับเขา  ฉีเซี่ยงหยวนรู้ดีแต่ก็ยังแส่หาความเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า  บางครั้งความรักก็ทำให้ผู้คนไม่มีเหตุผล  เจ็บในสิ่งที่ไม่ควรเจ็บ  ทนในสิ่งที่ไม่ควรทนและทำในสิ่งที่รู้ว่าตัวเองต้องปวดร้าว  แค่เพื่อจะดึงดันยื้อคนๆหนึ่งเอาไว้

เวลาเคลื่อนผ่าน  จันทร์เสี้ยวนอกหน้าต่างลอยสูงขึ้นกลางฟ้า  คนในห้องสองคนยังคงตื่นอยู่  เพราะจิตใจทั้งคู่ต่างไม่สงบ  ที่ประหลาดก็คือเรื่องที่รบกวนจิตใจกลับเป็นเรื่องเดียวกัน

เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าร่างแข็งแกร่งที่แนบอยู่ด้านหลังร้อนผ่าว  ร้อนจนพลอยทำให้ร่างกายของเขาอบอุ่นในคืนที่อากาศหนาวเย็นจนน้ำค้างจับแข็ง  ไม่เคยมีใครโอบกอดเขาเช่นนี้  โอบกอดเหมือนจะปกป้องคุ้มครองไปชั่วชีวิต  ...นี่เขากำลังเพ้อเจ้ออะไรกัน  ชั่วชีวิต?  ยาวนานเกินไปกระมัง  อีกไม่นานความโปรดปรานของฉีเซี่ยงหยวนก็จะย้ายไปที่คนอื่น  และเขา...ก็จะได้เป็นอิสระเสียที  ความคิดนั้นนำพามาซึ่งความความโล่งอกที่ผสมอยู่กับความเจ็บปวด  เหลียนอันสุ่ยขยับตัวเล็กน้อย  จากนั้นก็ตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับอีกเลยเพราะรู้แล้วว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความร้อนเป็นกองไฟกองหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนต้องการเขาแต่กลับยังมิได้ครอบครอง  ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...คงมิใช่ตั้งแต่ต้น...!

เหลียนอันสุ่ยตัวสั่นสะท้าน  หัวเริ่มคิดถึงสิ่งที่ไม่ควรคิด  ทราบว่าอีกฝ่ายพยายามจะรักษาคำพูด  อันที่จริงระหว่างพวกเขาไม่เคยมีช่วงเวลาแบบนี้  ตอนอยู่แคว้นเหลียนคืนไหนที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ฉีเซี่ยงหยวนจะปล่อยตัวเขากลับตำหนัก  ส่วนคืนไหนที่ต้องการ  หลังจากฉีเซี่ยงหยวนได้สิ่งที่ต้องการไปแล้ว  เหลียนอันสุ่ยก็จะรีบร้อนกลับตำหนัก  พวกเขาไม่เคยแค่นอนกอดกัน  จึงไม่แปลกที่ฉีเซี่ยงหยวนจะคิดเลยเถิด

เมื่อความคิดสกปรกผ่านเข้ามาในหัว  มันก็ดูจะไม่ยอมผ่านไปง่ายๆ ลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยเริ่มกระชั้น  ด้วยระลึกได้ว่าฉีเซี่ยงหยวนตักตวงสิ่งที่ต้องการไปอย่างไร  รายละเอียดชัดเจนกระทั่งคืนแรกที่เขา  ที่เขา...  สะ สวรรค์ หัวเขาเป็นอะไรไปแล้ว  ทำไมจดจำแต่เรื่องพรรค์นี้  ทั้งยังเต็มไปด้วยรายละเอียดจนน่าตกใจ  ความคิดเหมือนโรคระบาดที่เพิ่มจำนวนเองได้เรื่อยๆ  รู้ตัวอีกทีเหลียนอันสุ่ยก็พบว่าหัวตัวเองมีแต่ความคิดที่เข้าใจว่าฝังกลบไปจนหมดแล้ว

ฉีเซี่ยงหยวนขบกรามกรอด  คนในอ้อมแขนของเขายังไม่หลับ  ความคิดที่ว่าร่างหอมกรุ่นในอ้อมแขนยังไม่หลับช่างเย้ายวนยิ่งนัก  ยั่วยุให้เขาชัก...อยากผิดคำพูด  ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินเสียงหายใจหนักหน่วงของตัวเอง  หลับตาลงเพื่อจะปรับความปั่นป่วนทุกอย่างให้กลับคืนสู่สภาพปรกติ  หากกลายเป็นว่าเขากลับได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาอีกเสียง  เสียงหายใจกระชั้นของคนในอ้อมแขน  สวรรค์  นี่มันเป็นบททดสอบที่ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว  เขาโหยหาอีกฝ่ายมากจนตัวเองนึกไม่ถึง  ตอนนี้ในหัวก็มีแต่ความคิดก็มีแต่ความคิดที่เป็นอันตรายต่อสัจจะของตัวเองเต็มไปหมด  ในอ้อมกอดยังเพิ่มเสียงหายใจที่เป็นยิ่งกว่าคำเชิญชวนขึ้นมาอีกเสียง !
ฉีเซี่ยงหยวนตัดสินใจคลายอ้อมกอด  อย่างน้อยการเอามือออกมาห่างๆอาจพอช่วยอะไรได้บ้าง
ความรู้สึกหนาววาบที่แทรกเข้ามาทันทีที่ร่างสูงใหญ่คลายอ้อมแขน  เหลียนอันสุ่ยหันกลับไปอย่างตื่นตระหนกก่อนที่ตัวเองจะทันคิด  ทุกอย่างชะงักกึกในเสี้ยววินาทีเมื่อใบหน้าของทั้งสองฝ่ายใกล้จนจมูกแทบจรดกัน  ลมหายใจกระชั้นปะปนกับลมหายใจหนักๆ  ริมฝีปากห่างกันไม่ถึงคืบ  ความยับยั้งชั่งใจหายวับไปกับตาเมื่อริมฝีปากหนาประกบลงมา  ความโหยหาในส่วนลึกผลักดันให้ริมฝีปากของทั้งคู่ขยับเข้าหากัน

เหลียนอันสุ่ยรู้สึกถึงริมฝีปากอีกฝ่ายที่เริงร่ายอยู่กับปากเขา  รอยประทับแต่ละครั้งแผดเผาลึกซึ้งไปจนถึงวิญญาณ  ไม่ทันรู้กระทั่งว่าตัวเองเผลอไผลจูบตอบ
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง  สมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่เรียวปากนุ่มละมุน  โยนคำว่ายับยั้งชั่งใจไปไกลๆชั่วคราว  ขอแค่นิดเดียว  ขอแค่ตอนนี้...ที่อีกฝ่ายจูบตอบเขา  ฉีเซี่ยงหยวนบอกตัวเอง

มันเป็นความผิดพลาด  พวกเขาไม่ควรจูบกัน  จูบกันบนเตียงทั้งๆที่มุมหนึ่งของหัวใจโหยหากันและกันอย่างลึกซึ้ง  เพราะมันจะไม่หยุดแค่จุมพิต

ริมฝีปากผละออกจากกัน  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยหรี่ปรือ  จากนั้นก็เบิกกว้างเมื่อพบว่ามือของตัวเองไต่ขึ้นไปโอบอยู่รอบคอหนา  สำนึกได้ว่าทำอะไรลงไป  ความรู้สึกอับอายทำให้ร่างสูงโปร่งรีบร้อนดิ้นรนออกจากอ้อมแขนแกร่ง  การดิ้นรนทำให้เกิดการเสียดสีโดยมิได้ตั้งใจ  ฉีเซี่ยงหยวนขบกรามกรอดพึมพำเสียงแหบพร่าว่า
“อย่ายั่วข้า” แรงของเหลียนอันสุ่ยสู้เขาไม่ได้  ทุกครั้งที่ขัดขืนจึงเป็นการเบียดร่างเรียบเนียนเข้ากับร่างที่คล้ายจะลุกเป็นไฟของฉีเซี่ยงหยวน
“ผู้...ผู้ใดยั่วท่าน” ใบหน้าของพระมาตุลาแดงเรื่อ  ยังคงพยายามผลักไหล่ของผู้ที่ทาบทับอยู่ด้านบนออกไป
“ท่าน” ฉีเซี่ยงหยวนตอบโดยไม่เสียเวลาคิด  แล้วก็จูบอีก  ถ่ายทอดความทรมาน  อย่างน้อยเขาก็อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาพยายาม...อย่างน้อยก็เคยพยายาม...ที่จะรักษาคำพูด  แต่นี่มันเกินไป!
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกถูกริมฝีปากของอีกฝ่ายมอมเมา  ม่านหนาหนักทิ้งตัวลงมาบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดี  ร่างกายเครียดเกร็งด้วยความคาดหวัง  ลำคอแห้งผาก  ความคิดที่พยายามควบคุมไว้หลุดออกจากกรอบควบคุม  รู้สึกตัวอีกทีเป็นตอนที่ริมฝีปากหอบหายใจ  พบว่าร่างกายมีบางอย่างที่แปลกไป  ใบหน้าหมดจดซีดขาว  ดวงตาทอแววตื่นตระหนก  นอกจากจูบฉีเซี่ยงหยวนยังมิได้ลงมือปลุกเร้าเขาเลย  ทำไมเขา...
“ปล่อยข้า” กระทั่งเสียงที่เปล่งออกไปยังสั่นสะท้าน  ร่างทั้งร่างสั่นระริกไม่หยุด
ร่างกายสัมผัสแนบชิด  เพียงไม่นานฉีเซี่ยงหยวนก็รู้สึกถึงความผิดปรกติ  ดวงตามีแววเหลือเชื่อ
“นี่ท่าน...!”
“ปละ...ปล่อยข้า” เหลียนอันสุ่ยเบือนหน้าหนี  อับอายที่จะต้องการ  หากก็ยังปรารถนาเหลือเกิน
“ร่างกายท่านไม่เห็นบอกข้าอย่างนั้นเลย” พูดพลางรั้งร่างสูงโปร่งมากอดไว้แนบอก  ฝ่ามือใหญ่ไม่เรียบร้อยอีกต่อไป  เหลียนอันสุ่ยถูกความปรารถนาฉีกทึ้งจนอ่อนแรงเกินกว่าจะดิ้นรนขัดขืน  ยินยอมให้ฝ่ามือใหญ่โลมไล้ไปทั่วอย่างถือกรรมสิทธ์  รู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของอีกฝ่าย  โครงร่างของฉีเซี่ยงหยวนข่มจนร่างของเหลียนอันสุ่ยดูบอบบาง  ใบหน้าเนียนแดงซ่าน  ร่างกระตุกทุกครั้งที่ถูกปลุกเร้าในส่วนที่ไวความรู้สึก

ปากของฉีเซี่ยงหยวนซุกไซ้ซอกคอหวานละมุน  ประทับรอยที่เป็นของเขา  ใช่  ผู้ชายคนนี้เป็นของเขา
เหลียนอันสุ่ยขยับร่างอย่างกระสับกระส่ายเมื่อถูกฉีเซี่ยงหยวนดันให้นอนลง  สายตาคมกวาดไปทั่ว  เต็มไปด้วยความปรารถนาแรงกล้าจนเหลียนอันสุ่ยไม่กล้าจ้องตอบ  ฉีเซี่ยงหยวนเปลือยเปล่า  ในขณะที่เหลียนอันสุ่ยมีเสื้อสีขาวเงินติดกายเพียงชิ้นเดียว  ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้ร่างหนาเข้าถึงเขาได้ยากกว่าเดิมเลย  พระมาตุลาแคว้นเหลียนใช้มือยันแผงอกแข็งดุจศิลาที่ทาบทับลงมาเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่  ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจมือเรียว  เพียงแนบสะโพกแกร่งกับโคนขาเพรียวในตำแหน่งที่เป็นของเขา  คนใต้ร่างสั่นระริกด้วยรู้ว่าฉีเซี่ยงหยวนต้องการอะไรและต้องได้อะไร

ผ่ามือใหญ่ที่ประคองอยู่ที่เอวเลื่อนลงไปถึงเรียวขา  ช้อนใต้ข้อพับบังคับให้เรียวขาเนียนแยกออกจากกัน  เหลียนอันสุ่ยหลับตาลงอย่างทรมานเมื่อร่างกายร้อนผ่าวขึ้นมาอีก  ยอมจำนนต่อแรงปรารถนา

เมื่อร่างกายสอดประสานทุกประการก็ไม่ดำรงคงอยู่  คำปฏิเสธพร่าเลือนไปกับเสียงครวญครางราวกับคนรัก  การรุกเร้าลึกซึ้งรุนแรงเติมเต็มความโหยหาที่สั่งสมมานาน  เหลียนอันสุ่ยปล่อยให้ร่างกายตอบสนองโดยไม่มีปัญญาควบคุมบังคับ  คืนนี้ฉีเซี่ยงหยวนอยู่กับเขา  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจน  ใช่อยู่กับเขา  ครอบครองเขา  มิใช่ความอ้างว้างหนาวเหน็บเหมือนเช่นคืนวาน  มือเรียวงามยึดมัดกล้ามตึงแน่น  ใบหน้าซบกับบ่ากว้าง  ความปวดร้าวที่ไม่ทราบที่มาบีบรัดลึกซึ้งแล้วค่อยๆสลายหายไปในความเร่าร้อน
-----------
สีสันอันสงบเยือกเย็นของเช้าตรู่ฤดูชิวเทียนฉาบลงบนผิวกายเรียบเนียนที่ชื้นเหงื่ออ่อนๆจนดูนวลเนียนราวสลักเสลาขึ้นจากงาช้าง  ขาเพรียวยาวแนบนิ่งอยู่ข้างลำตัวหนา  ลมหายใจผ่อนช้าฟังดูละเมียดละไม  ร่างสูงโปร่งหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อนหลังการร่วมรักครั้งสุดท้าย 

ฉีเซี่ยงหยวนรู้ว่าตัวเองผิดคำพูด  แต่หากให้เริ่มใหม่อีกครั้งเขาก็ยังจะผิดคำพูดอยู่ดีนั่นเอง  เหลียนอันสุ่ยพร้อมเหลือเกิน  พร้อมสำหรับเขาทั้งคืนโดยแทบไม่ต้องปลุกเร้า  ที่ผิดปรกติกว่านั้นคือสัมพันธ์รักครั้งนี้ไม่ต้องการความอ่อนโยน  มีความอ้างว้างลึกล้ำในตัวตนของพระมาตุลาผู้นี้  ชัดเจนยิ่งกว่าครั้งแรกที่ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกได้  มากมายจนฉีเซี่ยงหยวนสงสัยว่าคนที่โดดเดี่ยวที่สุดไม่ใช่ตัวเอง

เหลียนอันสุ่ยมักจะมอบสิ่งที่เขามีให้กับคนอื่นที่ต้องการมัน  หากตัวท่านเล่า  เคยได้อะไรที่ท่านต้องการจริงๆบ้าง ?

ฉีเซี่ยงหยวนคาดเดาว่าสาเหตุของทุกอย่างเมื่อคืนนี้ครึ่งหนึ่งมาจากความอ้างว้าง  ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง...น่าจะมาจากแผนการชั่วร้ายของเขาเอง
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกตัวช้าๆ  ความจริงที่ว่าเขาเปลือยเปล่าอยู่ในอ้อมแขนของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหลียนอันสุ่ยตื่นเต็มตา  คว้าเสื้อผ้า  ดิ้นรนลงจากเตียง  ใบหน้าซีดขาวสลับกับแดงเรื่อ
นี่เขาทำอะไรลงไป!  มีความสุขอย่างหน้าไม่อายในขณะที่ลูกชายนอนห่างออกไปอีกแค่ฟากตึกอย่างนั้นหรือ ?
ฉีเซี่ยงหยวนเกือบคว้าร่างอีกฝ่ายไว้ไม่ทัน  แต่เมื่อคว้าได้แล้วสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้าของเหลียนอันสุ่ยก็ไม่อนุญาตให้เจ้าตัวมีแรงหลบหนีไป
“ปล่อยข้า !” น้ำเสียงเกือบจะเป็นวิงวอนขอร้อง  เหลียนอันสุ่ยขดอยู่ในเสื้อตัวหนาที่คลุมอยู่บนร่าง  ความเจ็บปวดกัดกินไปถึงกระดูก  ใบหน้าชาราวกับถูกฟาดแรงๆด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
ฉีเซี่ยงหยวนมองสภาพอีกฝ่ายแล้วใจเจ็บปวดจนมีโลหิตหยดหยาด  รั้งร่างสูงโปร่งเข้ามาใกล้  กล่าวว่า
“เป็นข้าที่ไม่รักษาคำพูด  เป็นความผิดของข้าเอง  ข้าเสียใจ ขอโทษ”
เหลียนอันสุ่ยหันไปมองดวงตาคมกล้าที่เต็มไปด้วยคำขอโทษและความเสียใจอย่างงงัน  พวกเขาต่างรู้ดี มันไม่ใช่ความผิดพลาดของคนใดคนหนึ่ง  สติของเหลียนอันสุ่ยเริ่มกลับมา  มือสวมเสื้อผ้าช้าๆ  มองท้องฟ้าที่สว่างขึ้นทุกขณะ  กล่าวว่า
“ต้าอ๋อง  งานของท่านเริ่มแล้ว  ท่านไม่สมควรอยู่ที่นี่”
“อืมม์” ฉีเซี่ยงหยวนรับคำ  ดึงอีกฝ่ายมากอดเบาๆ  ยอมรับว่าตัวเองมีความคิดต่ำช้าที่จะพันธนาการคนๆนี้ไว้ข้างกายตลอดไป  แต่ตอนนี้ความรู้สึกห่วงใยกลับเอาชนะทุกอย่าง  กระทั่งลังเลว่าตัวเองสมควรเปลี่ยนเป็นใช้วิธีใสสะอาดหรือไม่  ในห้วงความคิดไม่อาจตกลงใจ  แต่ก็ทราบว่าเวลานี้มีเรื่องอย่างอื่นที่รอให้ตัวเองไปจัดการ  เมื่อจ้องจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรแล้ว  เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนจึงยินยอมจากไป
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าร่างกายไม่มีแรงต้องทรุดลงกับเตียง  ...อย่าทำดีต่อข้าอีกเลย  อย่าทำให้ข้ารักท่าน...เพราะข้าไม่มีคุณค่าอะไรที่คู่ควรกับท่านเลย ความอิ่มเอมที่ได้รับตอกย้ำพฤติกรรมที่ได้กระทำลงไป  สถานะที่เพียรปฏิเสธตลอดมาวนซ้ำกลับมาทำร้าย  เหลียนอันสุ่ยรังเกียจร่างกายตัวเองที่ดูราวกับพร้อมจะยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคนผู้นั้น  ทุกครั้งที่ผ่านไปตัวเขายิ่งทำตัวเข้าใกล้สถานะ ‘ชายบำเรอ’ มากขึ้นทุกขณะ...
---------------------
หลิวฉางเฟยรอคอยนายเหนือหัวอยู่นานแล้ว  ทราบดีว่าอีกฝ่ายไปไหนมา  แต่ไม่คิดจะเอ่ยปากยุ่งเกี่ยว  ฉีเซี่ยงหยวนสวมชุดว่าราชการอย่างเงียบเชียบ  ใจคิดถึงคนที่เพิ่งจากมา
ข้าจะปกป้องท่านอย่างไรดี  ในเมื่อคนที่ทำร้ายท่านรุนแรงที่สุดมักจะเป็นตัวข้าเอง
บางครั้งความรักก็ทำให้ผู้คนเห็นแก่ตัว  สิ่งที่ข้าได้เริ่มไปแล้ว  ข้าจะไม่หยุด  ข้าให้ท่านได้ทุกอย่าง  ขอแค่อย่างเดียว...อย่าไปจากข้า  ข้าจะใช้ทุกวิถีทางพันธนาการท่านไว้กับข้า  หัวใจท่านไม่ใช่ของข้าก็ไม่เป็นไร  อย่าไปจากข้าก็พอ
สายตาของเป่ยชางอ๋ององค์ใหม่เลื่อนลงมาจับที่ฝ่ามือตัวเอง  สัมผัสของอีกฝ่ายยังคงติดตรึง
แรกเริ่มข้าเป็นฝ่ายพันธนาการท่าน  แต่มาจนบัดนี้ข้ากลับตอบไม่ได้  ที่แท้ข้าพันธนาการผู้อื่น...หรือพันธนาการตัวเอง ?
---------------------
ที่ตำหนักชุนเกอ เหลียนอันสุ่ยจับตะเกียบค้างอยู่นานแล้ว  เหม่อมองสำรับอาหารที่จัดแบบชาวเหลียน  มุมปากมีรอยยิ้มขม  ท่านบังคับให้ข้าคิดถึงท่านอีกแล้ว  ทำไมต้องดีกับข้า  ทำไมต้องทำเหมือนห่วงใย  พ่อครัวชาวเหลียนคนนี้ปรุงอาหารออกมาคราวใด  ข้าเป็นต้องนึกถึงท่าน 
ข้าพยายามจะไม่คิดถึงท่าน  แต่ยิ่งหักห้ามอาการก็เหมือนจะยิ่งหนักหนา 
ข้าไม่อาจรักท่าน 
ข้าไม่ควรรักท่าน 
ข้าบอกกับตัวเองว่าจะไม่รักท่าน  ...แต่ทำไมทุกการกระทำของท่านถึงสลักลงไปลึกนัก 
ข้ารู้แต่แรกว่าเรื่องระหว่างเราเป็นไปไม่ได้  มันเริ่มจากความสัมพันธ์ฉาบฉวยคืนเดียวและมันควรจะเป็นแค่นั้น  แต่ท่าน...ก็ชอบทำให้เรื่องราวมันยากขึ้นอยู่เรื่อย
เหลียนอันสุ่ยเพิ่งจะรู้ซึ้งในตอนนั้นว่าสิ่งที่ควบคุมบังคับได้ยากเย็นที่สุดในหล้าก็คือจิตใจคน  หัวใจเป็นเพียงก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง  แต่มันกลับมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง

==============
คนที่ตามอ่านไม่ทันไม่ต้องตื่นตกใจ  ค่อยๆอ่านไปค่ะ 
ช่วงนี้พยายามอัพให้เยอะๆเพราะกลัวช่วงหลังจะหาเวลามาอัพให้ไม่ได้
ดังนั้นตามอ่านไม่ทันเป็นสิ่งที่ดีค่ะ  อ่านทันเดี๋ยวค้างนะเออ555

ปล.ดีใจที่มีคนชอบฉากการเมืองนะคะ  โดยส่วนตัวรู้สึกว่าเรื่องชิงอำนาจถ้าจะเขียนให้มันสนุกก็สนุกได้  ไม่จำเป็นต้องโฟกัสอยู่แค่เรื่องรักอย่างเดียว  เพราะยังไงสุดท้ายแกนเรื่องก็เป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่อยู่แล้ว :man1:

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 20-08-2014 19:41:41
ชอบอิ๋งฮวาอะ น่าหาคู่ให้นางนะคะ ทำงานดี๊ดีอะ ตามอ่านแต่ในเด็กดี ยังไม่ว่างมาอ่านตอนที่นีไรท์ใหม่เลย  แต่ รอติดตามตอนหน้าอยุนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 20-08-2014 19:59:34
สารภาพว่าอยากอ่านมาก เลยไปตามอ่านที่เด็กดีจนถึงตอนล่าสุดแล้ว

ชอบมากเลย ทำหนังสือเถอะ อยากได้มาเก็บเลย แต่งดีจริงๆ

 :pig4: นักเขียน
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 20-08-2014 20:40:54
บทที่ 26 สายลมสายน้ำ

ตำหนักเสียงวสันต์มีแขกอีกแล้ว  อิ๋งฮวาไม่พอใจ นายท่านไม่ค่อยสบาย นางพยายามไล่แขกผู้นี้ไปให้พ้นๆ  แต่แขกผู้ดื้อด้านยืนยันว่าจะไม่ไปไหนจนกว่าจะได้พบนายท่าน  ดีจริงเชียวพวกชาวเป่ยชางจอมวางอำนาจ  ชมชอบใช้ตำแหน่งตัวเองมาบีบบังคับผู้อื่นนัก  เฮอะ  หัวหน้าหญิงรับใช้คิดพลางเชิดหน้าขึ้น  นางจะไม่ให้อภัย  ต่อให้คนผู้นั้นจะมีรอยยิ้มที่น่าดูมากจนนางปฏิเสธไม่ลงก็ตาม  เขามันก็พวกเดียวกับต้าอ๋องของพวกเขานั่นแหละ !

ผู้มาเยือนเหลือบตาสีฟ้าขึ้นมามองเจ้าของตำหนัก  ด้านข้างของหานญื่อหลัวมีทั้งหวังเชียน  หม่าหลง  ต้วนจิน ยืนสงบสำรวมอยู่  เห็นได้ชัดว่าหานญื่อหลัวเป็นที่ ‘ต้อนรับ’ มากทีเดียว
พระมาตุลาแคว้นเหลียนสั่งให้บรรดาพวกที่มายืนกดดันไล่แขกมากกว่าจะคอยต้อนรับออกไปจนหมด

“ต้องขออภัยพระภาคิไนยที่พวกเขาประพฤติตัวไม่เหมาะสม” เหลียนอันสุ่ยมีความรู้สึกที่ดีกับเชื้อพระวงศ์เชื้อสายเป่ยชางผู้นี้  อย่างน้อยตอนที่เคว้งคว้างอยู่ในงานเลี้ยงหานญื่อหลัวก็เป็นคนเดียวที่ทักเหลียนอันสุ่ยด้วยมารยาทของคนที่เท่าเทียมกัน  มิได้ใช้สายตามอง ‘ตัวประกันสงคราม’ มาจับจ้องเขา

“ข้ามิใช่พระภาคิไนยแล้ว  รบกวนพระมาตุลาเปลี่ยนคำเรียกหาเป็นพระภาดา” หานญื่อหลัวแก้ให้  ในใจแท้จริงมิได้รู้สึกแปลก  เพราะทราบว่าหม่าหลง ต้วนจินเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวน  ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีอิดโรยของพระมาตุลาแคว้นเหลียน
มุมปากกลับคลี่ยิ้มถามเรื่อยๆว่า
“ข้าคงมารบกวนเวลาพักผ่อนของท่าน” 
เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้าขณะก้มลงรินชาให้  แววตาของหานญื่อหลัวเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นรอยจูบที่ซอกคอขาว  คำถามหลุดออกมาคำถามหนึ่ง
“เมื่อคืน ‘เขา’ มาที่นี่หรือ ?”
ถ้วยชาหลุดออกจากมือเรียว  จอกเคลือบแตกบิ่น  น้ำชากระฉอกหกกระเซ็น  สีเลือดบนใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยเผือดหายไปดุจเดียวกับจอกที่แห้งขอด
“ท่านพูดเรื่องอะไรกัน” เหลียนอันสุ่ยถามเสียงแผ่ว  ลมหายใจติดขัด  ท้องไส้ปั่นป่วน
“สงสัยเป็นข้าที่เข้าใจผิดไปเอง  สีหน้าท่านไม่ดีเลย  ข้าจะให้คนตามหมอ” หานญื่อหลัวกล่าวทั้งๆที่รู้ว่าจะถูกปฏิเสธ
จริงดังคาด เหลียนอันสุ่ยตอบทันทีว่า
“ข้าไม่เป็นไร  แค่  แค่พักผ่อนไม่พอ” นี่เป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยเห็นประกายเฉียบคมที่แฝงอยู่ในดวงตาสีฟ้าปลอดโปร่งเปิดเผยคู่นั้น  และเป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยนึกหวาดกลัวที่จะสบตาด้วย
หานญื่อหลัวกำลังรอประโยคนี้ 

“ถ้าเช่นนั้น ท่านก็สมควรไปพักผ่อน” กล่าวสำทับไปมิยอมให้อีกฝ่ายปฏิเสธ  มือสะอาดแข็งแรงดึงท่อนแขนของพระมาตุลาแคว้นเหลียนเบาๆ  แต่แค่การดึงเบาๆเหลียนอันสุ่ยยังทรงกายไม่อยู่  เซจนหานญื่อหลัวต้องพยุงไว้

คนที่ได้ตำแหน่งใหม่เป็นพระภาดาหน้าเคร่งเครียดลง  หานญื่อหลัวจงใจดึงทดสอบสภาพของเหลียนอันสุ่ย  ...แต่นี่มันเลยเถิดไปมากกว่าที่เขาคิด  มิน่าเล่าเขาถึงรู้สึกว่าประกายของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป

เหลียนอันสุ่ยยังคงน่ามองเช่นเดียวกับครั้งแรกที่พบกัน  หากความหม่นหมองในแววตาเข้มจัดกว่าเดิม  ในความสงบอ่อนโยนมีความอ่อนเพลียที่แฝงความเย้ายวนชนิดหนึ่ง  นี่มิใช่ประกายธรรมชาติของเหลียนอันสุ่ย  แต่เป็นตัวตนที่ถูกผู้อื่นดึงออกมา
หานญื่อหลัวรู้สึกว่าตัวเองกำลังไม่พอใจ  บุคคลที่ไม่ค่อยยึดติดกับอะไรจริงจังเช่นเขานานๆทีจะมีโทสะ  แต่ครานี้เขานับว่ามีโทสะจริงๆ เมื่อนึกถึงว่าฉีเซี่ยงหยวนกำลังทำอะไร  และได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง

หานญื่อหลัวพยุงเหลียนอันสุ่ยไปส่งถึงเตียง  เป็นนัยบังคับกลายๆว่าให้พักผ่อน  กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะปิดประตูว่า
“ท่านพักผ่อนเถอะ  ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว” และใครอื่นก็รบกวนท่านไม่ได้เช่นกัน !  คิดพลางก้าวออกห่างจากบานประตูที่หับสนิท...
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนสะสางพิธีการน่าเบื่อเสร็จสิ้นตั้งแต่หัววัน  ตั้งใจว่าจะแวะไปดูเหลียนอันสุ่ย  ดูจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่เป็นไรมาก  แล้วจิบชาซักถ้วยที่อีกฝ่ายชงให้  แต่ทุกประการเป็นอันต้องยกเลิกไปเมื่อทราบว่าคนผู้หนึ่งแวะมาเยี่ยมตำหนักเสียงวสันต์  ที่หนักกว่านั้นคือจนบัดนี้ก็ยังไม่ไป!  บางทีหานญื่อหลัวอาจจะรอไปนรกเลยทีเดียวไม่ต้องวกอ้อมให้วุ่นวาย 

นั่นไง...เจ้าคนน่ารังเกียจนั่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่แท้จริงควรจะเป็นของเขา  แถมในมือยังจิบชาที่ควรจะเป็นของเขาอีก!  ตาของฉีเซี่ยงหยวนแวววาวยิ่งกว่าดาบที่สะท้อนเปลวแดดของทะเลทราย

หานญื่อหลัวสงบเยือกเย็นอย่างยิ่งขณะมองคนซึ่งขณะนี้มีศักดิ์สูงสุดในแคว้นเป่ยชางสาวเท้าเข้าหาตัวเองทีละก้าว  ฝีเท้าของฉีเซี่ยงหยวนเงียบกริบ  แต่ตัวตนกลับคุกคามดุจพยัคฆ์ย่างเข้าหาเหยื่อ  หากหานญื่อหลัวมั่นใจว่าตัวเองมิใช่เหยื่อตัวนั้น

“ต้าอ๋อง  ตามกำหนดการเดิมพิธีการสมควรเสร็จก่อนตะวันตรงหัวเพียงเล็กน้อย  นี่เพิ่งยามซื่อ(9.00น.-11.00น.)  คิดไม่ถึงข้ากลับพบท่านที่นี่” หานญื่อหลัวกล่าวพลางยืนขึ้น  ค้อมหัวให้ด้วยบุคลิกสง่างาม
“พิธีการเหล่านั้นถ้าตัดทอนเอาเฉพาะส่วนสำคัญก็ไม่ยืดยาวจนถึงเที่ยงหรอก” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนราบเรียบเย็นชา
“ท่านนี่ดูจะไม่ให้ความสนใจกับพวกพิธีการรวมถึงพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดต่อกันมาเอาเสียเลย”

คนฟังไม่ตอบแต่เหยียดยิ้มดูแคลนต่อมุมมองอันตื้นเขินที่อีกฝ่ายเอ่ย  สำหรับฉีเซี่ยงหยวนพิธีกรรมเหล่านั้นเป็นแค่การโน้มน้าวประชาราษฏร์ให้คาดหวังถึงความรุ่งเรืองในรัชกาลใหม่  แก่นที่แท้จริงอยู่ที่ความสามารถและการทุ่มเททำงานของผู้ปกครอง  หากสิ่งเหล่านั้นไม่มีรัชสมัยที่รุ่งเรืองก็ไม่มีวันมาถึง
คนเป็นพระภาดาไม่สนใจรอยยิ้มดูแคลน  หานญื่อหลัวเอ่ยถึงเรื่องนี้เพราะมีจุดประสงค์  สายตาสงบราบเรียบมองเท้าเป่ยชางอ๋องที่ก้าวไปทางประตูชั้นใน  ปากกล่าวขึ้นว่า
“แต่ข้ารับประกันได้ว่ามีคนสนใจ  ถ้าท่านยังก้าวเข้าไปใกล้ประตูบานนั้นอีกก้าวเดียว  ท่านลุงจะได้รู้ว่าเมื่อคืนต้าอ๋องมิได้ประทับที่ตำหนักเยี่ยอวิ๋น”
เท้าของฉีเซี่ยงหยวนชะงักกึก  ตาสาดประกายเย็นเยียบ  ท่านลุงของหานญื่อหลัวก็คืออดีตเป่ยชางอ๋อง  พระบิดาของฉีเซี่ยงหยวนเอง
“หานญื่อหลัวเอยหานญื่อหลัว  บางคราวข้าก็สงสัยว่าเจ้าเป็นคนฉลาดหรือแท้จริงโง่มากกันแน่”  การเป็นศัตรูกับเป่ยชางอ๋องมิใช่เรื่องฉลาดแน่นอน  แต่หานญื่อหลัวไม่สนใจเรื่องนั้น
“คำถามนี้กระทั่งข้ายังยากจะตอบได้  แต่ข้ารู้ว่าต้าอ๋องเป็นคนฉลาด  ดังนั้นจึงแปลกใจที่ท่านกระทำเรื่องที่ขาดความรอบคอบเช่นนี้”  สืบเท้าเข้าไปหาอีกฝ่ายอีกก้าว  กล่าวเสียงแผ่วเบากว่าเดิมว่า
“ท่านไม่ควรมาตำหนักชุนเกอ  ทั้งเมื่อวานและวันนี้...ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าท่านขึ้นเตียงกับเขา  ท่านตั้งใจจะเปลี่ยนเขา  ท่านทำได้ยังไง” สามประโยคหลังแผ่วเบาแต่ชัดเจน  ดวงตาสีฟ้าเย็นจัดจนคล้ายจะเยือกแข็ง  กล่าวต่อ
“กลับไปซะ  วันนี้ข้าไม่ยอมให้ท่านแตะต้องเขา  ไม่เช่นนั้นท่านลุงจะได้ทราบแน่ว่าบุตรชายเขาละเมิดพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์อย่างไร”

สายตาที่เหมือนไฟกับน้ำแข็งจ้องกันอยู่อย่างนั้น  สุดท้ายฉีเซี่ยงหยวนเป็นฝ่ายถอยออกไปในใจหมายหัวจดบัญชีอีกฝ่ายเอาไว้  หลิวฉางเฟยที่ติดตามอยู่ด้านหลังรู้สึกว่าบัญชีนั้นน่าจะยาวพอๆกับแม่น้ำเหอสุ่ยแล้วตอนนี้

ยังไม่ทันที่ฉีเซี่ยงหยวนจะลับไปดี  หานญื่อหลัวก็ได้ยินเสียงของตกชั้นวางของเลื่อนดังมาจากห้องชั้นใน  ร่างสูงสง่าผลุนผลันผลักประตูเข้าไป  พบเหลียนอันสุ่ยพยุงตัวเองอยู่กับตู้ที่เคยจัดวางกระถางกำยาน  แต่ตอนนี้กระถางใบที่ว่ากลิ้งตัวอยู่กับพื้น  ชั้นวางด้านข้างถูกเจ้าของผลักจนเบี้ยวไป

“ข้าบอกให้ท่านพักผ่อนไง” น้ำเสียงเป็นเชิงห่วงใยมากกว่าตำหนิจริงจังดังออกจากปากหานญื่อหลัว  เหลียนอันสุ่ยมิได้ตอบคำ  แต่มือเรียวฉุดแขนอีกฝ่ายไว้  ดวงตาคู่งามหวาดประหวั่นพรั่นพรึง  เหลียนอันสุ่ยได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ครบถ้วนทุกถ้อยความ
“ท่านรู้ ?  รู้...ได้ยังไง”
เห็นท่าทีที่ถูกเคี่ยวกรำจากความหวาดกลัวของเหลียนอันสุ่ย  หานญื่อหลัวก็เพิ่มความผิดให้กับฉีเซี่ยงหยวนไปอีกหนึ่งกระทง
“ท่านวางใจเถอะ  เรื่องนี้มีข้ารู้แค่คนเดียว  และข้าจะไม่บอกมันกับใครทั้งนั้น” พูดจบก็อุ้มร่างอีกฝ่ายไปวางไว้บนเตียง  เหลียนอันสุ่ยตื่นตระหนก  แต่ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืน  ไม่คิดว่าเชื้อพระวงศ์ที่บุคลิกสุภาพงามสง่าผู้นี้จะอุ้มเขาได้โดยไม่ลำบากกินแรง  มีหลายอย่างที่หานญื่อหลัวซ่อนเอาไว้ใต้บุคลิกบุรุษเจ้าเสน่ห์  ภายใต้เสื้อผ้ามีรสนิยมหานญื่อหลัวมีเลือดแข็งแกร่งของชาวเป่ยชางอยู่ครึ่งหนึ่ง  กับส่วนผสมของความอิสระเสรีของชนเผ่าเยวี่ยถานอีกครึ่งหนึ่ง

“ทำไมท่านต้องช่วยข้า” เหลียนอันสุ่ยถามออกไปอย่างอ่อนแรง
“เพราะข้าหวังผลตอบแทน” หานญื่อหลัวตอบพลางขยิบตาให้ด้วยท่าทีไม่จริงจัง  จนคนฟังต้องเผยอยิ้มออกมาบางๆ
หานญื่อหลัวมองรอยยิ้มอีกฝ่ายแล้วก็พึมพำกับตัวเองในใจ  ถูกล่ะ สาเหตุอย่างแรกคือหวังผล ตอบแทน  ส่วนสาเหตุที่สองคือทนดูไม่ได้  หานญื่อหลัวพบว่าเหลียนอันสุ่ยเป็นคนใส่ใจผู้อื่น  คนเช่นนี้จะทุกข์ง่าย  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนก็เป็นพวกถนัดสร้างความทุกข์ร้อนให้กับชาวบ้านเสียเหลือเกิน  คิดถึงตรงนี้นัยน์ตาสีฟ้าก็หรี่ลงอย่างไม่พอใจ
---------------------
เหลียนอันสุ่ยแม้ไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองของแคว้นเป่ยชางให้วุ่นวาย  แต่เมื่ออยู่ที่นี่  มีบางเรื่องไม่อาจไม่ทราบไว้  แน่นอนว่าคนที่น่าจะทราบทุกเรื่องราวอย่างละเอียดย่อมหนีไม่พ้นคนคุ้มกันชาวเป่ยชางทั้งสองคนที่เคยเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวนมาก่อน  ต้วนจินเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า  เพราะแม้จะสุขุมเยือกเย็นเช่นเดียวกับหม่าหลง  แต่มีความตรงไปตรงมาและอ่านได้ไม่ยากเท่า

เช้าวันถัดมา  ขณะต้วนจินกำลังจะออกจากห้องจึงถูกเรียกรั้งไว้
เหลียนอันสุ่ยเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
“ข้ารู้ว่าตอนแรกพวกเจ้าเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวน...จนตอนนี้ก็ยังเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวน  แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นคนของข้าครึ่งหนึ่ง  ข้ามีบางเรื่องที่ต้องการทราบ  แต่ถ้าเรื่องไหนเจ้าลำบากใจที่จะตอบหรือตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร  นั่งลงก่อนเถอะ”
ต้วนจินนั่งลงทั้งๆที่ตัวแข็งทื่อหน้าเผือดไปเล็กน้อย  ตอนแรกเข้าใจว่าเหลียนอันสุ่ยอาจกำลังเสียดสี  แต่จากน้ำเสียงและสีหน้ากลับดูเหมือนจะไม่ใช่  มีผู้ใดใช้น้ำเสียงสงบเมตตามาเสียดสีคน ?
“...นายท่านต้องการทราบอะไร ? ”
“ข้าต้องการทราบเกี่ยวกับพระภาดาหานญื่อหลัว”...!?
ต้วนจินได้แต่นึกเสียใจอยากให้คนที่นั่งอยู่ตรงนี้เปลี่ยนเป็นหม่าหลง  คำถามนี้ตอบได้ยากยิ่ง  ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าพูดอะไรออกไปได้บ้าง  สุดท้ายตัดสินใจตอบเฉพาะข้อมูลโดยทั่วไปที่คนส่วนใหญ่ก็ทราบกัน
เหลียนอันสุ่ยได้ฟังคำตอบแล้วก็ยังคงถามไปเรื่อยๆ  น้ำเสียงคล้ายจะชวนสนทนาซะมากกว่า  เพียงไม่นานต้วนจินก็ชักจะผ่อนคลายจนหลงลืมความตั้งใจเดิมที่ตั้งใจจะพูดน้อยๆ ไปทีละน้อย
---------------------
สายลมแห้งๆของยามบ่ายพัดพรูผ่านหมู่ไม้ให้เอนลู่เป็นแนวยาว  ใบไม้สีเขียวบิดตัวเกี่ยวใบไม้สีส้มทองร่ายระบำลงแตะผิวน้ำในสระใสดุจกระจกของตำหนักชุนเกอ

เสียงของสายน้ำหรือสายลมที่เคลื่อนไหวต่างไม่อาจกลบกลืนเสียงขลุ่ยแผ่วหวาน เยือกเย็น ที่ดังลอดออกมา  หานญื่อหลัวที่ริมระเบียงยาวรับฟังอย่างเคลิบเคลิ้มจนต้องเอื้อนออกมาเป็นกลอนเบาๆ  กระทั่งจังหวะสุดท้ายทอดตัวเนิบช้า  ดวงตาสีฟ้าที่หลับลงอย่างดื่มด่ำกับบรรยากาศจึงค่อยลืมขึ้น  ปรบมือพลางกล่าวชมเชย
“บทเพลงของพระมาตุลาบทนี้จับใจนัก  ถ่ายทอดเสน่ห์ของแคว้นเหลียนออกมาจนหมดสิ้น ”
เหลียนอันสุ่ยเพียงยิ้มรับ  เลาขลุ่ยงามประณีตในมือวางลงในกล่องอย่างแช่มช้า  รู้สึกว่าคนตรงหน้าช่างมีวิธีทำให้ผู้คนไม่อาจปฏิเสธ  ในตอนแรกเหลียนอันสุ่ยมิได้คิดตอบแทนอีกฝ่ายด้วยวิธีนี้เพราะขลุ่ยเลานี้มีความทรงจำเกี่ยวกับบ้านเกิดที่เข้มข้นเกินไป  หากสุดท้ายพูดไปพูดมาเหลียนอันสุ่ยก็พบว่าตัวเองเป่าขลุ่ยให้อีกฝ่ายฟังจนจบเพลงเสียแล้ว  วิธีการของหานญื่อหลัวไม่เพียงแนบเนียน  ที่ร้ายที่สุดคือคนถูกบีบคั้นไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกบีบคั้น  คนถูกเรียกร้องไม่รู้สึกว่าตัวเองสูญเสีย

“ข้าได้ยินมาว่าชนเผ่าทางเหนือชมชอบเสียงดนตรี เครื่องดนตรีของแต่ละชนเผ่าก็มีมากหลากหลาย  และข้าก็ได้ยินมาอีกว่าท่านเองก็โปรดปรานดนตรี  ทั้งยังเล่นได้หลายอย่าง  ไม่ทราบเป็นความจริงหรือไม่”
คิ้วของหานญื่อหลัวเลิกขึ้นน้อยๆ  เมื่อพบว่าอีกฝ่ายท่าทางจะศึกษาเกี่ยวกับตัวเขามาเป็นอย่างดี
“เรื่องที่ข้าสนใจดนตรีเป็นความจริง...รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พระมาตุลาให้ความสนใจในตัวข้า”
ถ้าคำพูดของต้วนจินไม่ผิด  ผู้นำชนเผ่าเยวี่ยถานผู้นี้เล่นเครื่องดนตรีได้ถึงห้าชนิด  ซ้ำแต่ละชนิดยังสามารถเล่นออกมาได้อย่างไม่ธรรมดา
“ข้าจะรู้สึกเป็นเกียรติมากกว่า  ถ้าท่านจะเล่นเพลงให้ฟังซักเพลง” เหลียนอันสุ่ยกล่าวดวงตามีแววหยั่งเชิง ทั้งๆที่หานญื่อหลัวได้เข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องราวหลายประการ  และจัดเป็นบุคคลที่จำเป็นต้องอ่านให้ออก  จนบัดนี้เหลียนอันสุ่ยก็ยังไม่ทราบว่าคนตรงหน้าซ่อนสิ่งได้ไว้บ้าง  กระทั่งจำแนกไม่ออกว่าอีกฝ่ายแค่ฉลาดเฉลียวหรือจัดเป็นตัวอันตราย

เมื่อได้ฟังคำขอ  หานญื่อหลัวก็หันไปสั่งต่อเด็กรับใช้ที่ไม่ทราบโผล่มาจากที่ไหน  หรือยืนอยู่นานแล้วแต่ไม่มีใครสังเกต  เวลาชั่วน้ำเดือดพิณเจ็ดสายตัวหนึ่งก็ถูกลำเลียงส่งมา  ตัวพิณเรียบง่ายแต่แลดูขรึมขลังล้ำค่า 

เมื่อปลายนิ้วของหานญื่อหลัวสัมผัสสายพิณ  แผ่นฟ้าแผ่นดินก็ถูกฉุดดึงเข้าไปในโลกแห่งความฝัน   เป็นฝันที่โลดโผนมีชีวิตชีวา  ทั้งสนุกสนานทั้งหวานซึ้ง  ดุจความรักในอ้อมกอดของขุนเขาและสายลมแห่งทะเลทราย  เสียงพิณโผนตัวเป็นจังหวะราวควบม้าเหยาะย่างไปทั่วหล้า  ผ่านวันผ่านคืนด้วยความรื่นรมย์  ในสำเนียงมีบางคราวทุ้มต่ำ  บางคราวสูงใส ดุจเสียงหัวร่อต่อกระซิกกันของคู่รักหนุ่มสาว

เหลียนอันสุ่ยเหม่อมองอีกฝ่ายอย่างตะลึงลาน  ฉินเป็นพิณเจ็ดสายที่เล่นให้ไพเราะได้ยากอย่างยิ่ง  ทั้งไม่เหมาะจะใช้เล่นทำนองที่มีชีวิตชีวาจนเกินไป  หากเสียงพิณของหานญื่อหลัวถึงกับไม่มีข้อด้อยใดๆเหลืออยู่  ไร้ที่ติจนถึงขั้นสามารถสะกดทุกสรรพสิ่งให้ลุ่มหลงงมงาย  ต่อให้เอานักดนตรีที่มีฝีมือพิณยอดเยี่ยมทั้งแคว้นเหลียนมาประกวดประชันก็ไม่อาจเทียบเปรียบได้  ตั้งแต่มีชีวิตมาสามสิบเอ็ดปีเหลียนอันสุ่ยยังไม่เคยเจอใครเล่นพิณได้เหลือเชื่อถึงเพียงนี้มาก่อน

ทำนองของเพลงแปลกหู  แต่ก็ร้อยเรียงได้อย่างงดงามลงตัว  ใบหน้าของผู้บรรเลงก้มต่ำ  สมาธิจดจ่ออยู่กับสายพิณทั้งเจ็ด  นิ้วมือเรียวยาวขาวสะอาดแข็งแรงทั้งสิบกดเกลาดีดอย่างคล่องแคล่วผ่อนคลาย  ท่วงท่าปลอดโปร่งงามสง่า  ดวงตาที่ปรกติพราวระยับสาดแววลุ่มลึก  หล่อเหลาจับตาสมฉายาบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเป่ยชางอย่างแท้จริง 

เสียงพิณในตอนท้ายผ่อนช้าลง  ดุจความสงบสวยงามของทะเลทรายเมื่อย่างเข้าสู่ยามค่ำ  ยังคงอ่อนหวานแต่แฝงความโศกเศร้าล้ำลึก  โศกเศร้าจนผู้คนแทบหลั่งน้ำตาให้  ความรู้สึกสูญเสียชัดเจนจนวิหคตัวจ้อยที่เกาะขอบหน้าต่างรอฟังด้วยต้องมนต์แห่งเสียงพิณต้องกรีดร้องด้วยหัวใจที่แหลกสลาย

‘...วาระวันผันผ่าน  ฤดูกาลไม่หวนคืนมา  จิตใจคะนึงหา  ฝากความรักกับหยาดน้ำตาในรอยทราย’

ท่อนสุดท้ายจบลงโดยสมบูรณ์  พิณเสียงสุดท้ายขีดเส้นคั่นแบ่งความฝันออกจากความเป็นจริง หากกลิ่นอายโศกาอาดูรยังอ้อยอิ่งไม่ยอมจางไปจากหูผู้ฟัง
“พระมาตุลา  บทเพลงเป็นอย่างไรบ้าง” หานญื่อหลัวถามคนที่อึ้งงันให้ได้สติด้วยรอยยิ้มบางๆ
“เพลงนี้เป็นเพลงอะไร  เหตุใดจึงเศร้าโศกถึงเพียงนี้” เหลียนอันสุ่ยถามเบาๆ
“เพลงนี้มาจากเรื่องเล่าเก่าแก่ในชนเผ่าข้า  เป็นชายหญิงคู่หนึ่งหนีตามกัน  ผ่านวันและคืนท่ามกลางทะเลทราย  ท่องเที่ยวไปจนสุดหล้า  ความรักทำให้ทุกอย่างสวยงาม  โลกทั้งใบมีอิสรเสรี  ...น่าเสียดายที่ตอนสุดท้ายฝ่ายชายถูกโจรร้ายฆ่าตาย  เรื่องราวจึงจบลงด้วยโศกนาฏกรรม”
“...ทะเลทรายคงเป็นสถานที่ที่มีเสน่ห์นัก”  เหลียนอันสุ่ยรำพึง  ยังคงจมอยู่กับบรรยากาศเมื่อครู่
“ท่านผิดแล้ว  ทะเลทรายความจริงเป็นสถานที่ที่ไม่มีอะไรเลย  ความอุดมสมบูรณ์เทียบไม่ได้ครึ่งของที่นี่  ยิ่งเทียบไม่ได้กับแคว้นเหลียนที่ท่านจากมา  ยังดีที่ว่าชนเผ่าของข้าอยู่ตามรอยต่อของทะเลทรายกับแคว้นเป่ยชาง  สภาพความเป็นอยู่จึงยังไม่แห้งแล้งนัก  ...หากที่นั่นจะมีอะไรที่ดึงดูดใจข้า  สิ่งนั้นคงเป็นความมีอิสระเสรี”
สายตาของเหลียนอันสุ่ยมีแววเหม่อลอย
อิสระเสรี  ...ที่แท้เป็นเช่นไรกัน ?
คนที่ถูกสิ่งต่างๆรัดพันธนาการมาแต่กำเนิดเช่นเขา  ฟังคำๆนี้แล้วกลับนึกภาพไม่ออกเลย
ความคิดหมกมุ่นอยู่ในภวังค์  ไม่รู้ตัวกระทั่งว่าหลุดพึมพำออกไป  หานญื่อหลัวมองเชื้อพระวงศ์แคว้นเหลียน  ขณะตอบคำถามที่ความจริงไม่ได้คาดหวังคำตอบใดๆ
“ที่ข้าจำได้คือโลกกว้างเท่ากับที่สายตาไปถึง  แผ่นฟ้าจรดผืนทราย  เปลวแดดร้อนแรงกับสายลมซึ่งไม่เคยหยุดพัด  พัดพาความหลากหลายของวัฒนธรรมให้เกาะกลุ่มและกระจัดกระจาย  มีวัฒนธรรมแปลกๆสิ่งใหม่ๆที่พวกชอบความท้าทายคงหวังจะปราบพิชิตมัน  แต่พวกเขาเหล่านั้นจะได้รับทราบโดยเร็วว่าหนึ่งเดียวที่มีคุณค่าให้ปราบพิชิตก็คือตัวเอง  ธรรมชาติยิ่งใหญ่กว่าตัวท่านเสมอ  ทุกสิ่งในหล้าคือความไม่แน่นอน  ...สำหรับข้าช่วงชีวิตตอนนั้นแม้ดูภายนอกอาจไม่สวยงามสะดวกสบายเท่าตอนนี้  แต่ก็เป็นช่วงที่ข้ารู้สึกได้ว่าตัวเอง ‘มีชีวิตอยู่’ อย่างแท้จริง” เว้นวรรคไปเล็กน้อย หานญื่อหลัวก็กล่าวต่อว่า
 
“ทุกครั้งที่ข้าเล่นเพลงนี้  ตอนต้นคิดถึงทะเลทราย  ตอนท้ายคิดถึงท่านแม่  ชีวิตในวัยเด็กของข้าผูกพันอยู่กับที่นั่น  ...พระมาตุลา  ท่านสนใจจะลองไปสัมผัสดูบ้างหรือเปล่า  ข้ารับรองได้ว่าชนเผ่าเยวี่ยถานไม่ได้ตั้งอยู่กลางทะเลทรายที่แห้งแล้งกันดาร”

เหลียนอันสุ่ยรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกล่อลวงด้วยสิ่งที่หอมหวานที่สุด...อิสระเสรี  สิ่งที่ผู้คนทั้งหลายในรั้วกำแพงวังได้แต่ใฝ่ฝันถึงแต่ไม่อาจครอบครอง
ความรู้สึกแรกของเหลียนอันสุ่ยไม่ผิดพลาด ผู้ชายคนนี้คือสายลม  กำแพงวังของเป่ยชางไม่เคยกังขังสายลมได้อย่างแท้จริง  ตัวตนของหานญื่อหลัวโดดเด่น  และไม่มีทางถูกสิ่งใดผูกมัดหรือหลอมกลืนไปเป็นอันขาด  หานญื่อหลัวอาจเป็นเพียงคนเดียวที่มีอิสระเข้าออกราชสำนักแคว้นเป่ยชางได้ตามอำเภอใจ  และอาจเป็นเพียงคนเดียว...ที่สามารถช่วยให้เหลียนอันสุ่ยหลุดพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ 

มีแต่ไปอยู่เสียให้ไกล  ไกลจนถึงชนเผ่าเยวี่ยถาน  อิทธิพลของฉีเซี่ยงหยวนจึงแผ่ไปไม่ถึง  หานญื่อหลัวกำลังเสนอทางออกนั้นให้กับเขา  แต่ทว่า...
“...ขอบคุณ  การเป็นวิหคที่สามารถโบยบินอย่างอิสระเสรีคงวิเศษนัก...แต่มีวิหคบางชนิด  ถึงแม้จะโบยบินไปที่อื่นในฤดูหนาว  สุดท้ายยังคงต้องโบยบินกลับมาที่เดิม”

“ท่านจะบอกว่าเป็นบ้านเกิดที่รั้งท่านไว้? ...นี่ ฉีเซี่ยงหยวนใช้แคว้นเหลียนมาผูกท่านไว้หรือ!”  ดวงตาสีฟ้ามีแววไม่พอใจชัดเจน
เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป ลูกพี่ลูกน้องของฉีเซี่ยงหยวนผู้นี้ไม่เพียงฟังความนัยออก  ยังโยงลึกลงไปถึงสิ่งทีเหลียนอันสุ่ยไม่ตั้งใจจะเปิดเผย  ความหลักแหลมของหานญื่อหลัวเข้าขั้นอันตรายแล้วจริงๆ

“ข้าเพียงหมายถึงว่านกบางตัวอาจเคยชินกับการอยู่ในกรง” เหลียนอันสุ่ยกลบเกลื่อนพลางหันหน้าไปทางอื่น  ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายอ่านอะไรได้อีก 
หานญื่อหลัวไม่สนใจคำกลบเกลื่อน  รู้สึกว่าตัวเองคาดเดาไม่ผิด  ต้องลอบขบกรามกรอด  ฉีเซี่ยงหยวนนับว่าใช้สารพัดวิธีสกปรกจริงๆ
“ทำไมท่านไม่กลับไป” เหลียนอันสุ่ยถามขึ้น
คนถูกถามชะงักเล็กน้อย  ปรับอารมณ์กลับมาเป็นปรกติ  ยิ้มแล้วตอบว่า
“เมืองหลวงของเป่ยชางรุ่งเรืองอย่างยิ่ง  ซ้ำอยู่ที่นี่ก็สะดวกสบายกว่ามาก  ทำไมข้าต้องกลับไปด้วยเล่า”
“...” เหลียนอันสุ่ยไม่ตอบ  แต่ใช้ดวงตากระจ่างที่คล้ายมองทะลุเข้าไปถึงจิตใจคนจับจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆ พร้อมรอยยิ้มบางๆ
จนในที่สุดหานญื่อหลัวก็พูดขึ้น
“ข้าเองก็ไม่ต่างจากท่าน  ท่านอยู่ที่นี่เพื่อแคว้นเหลียน  ส่วนข้าอยู่ที่นี่เพื่อชนเผ่าเยวี่ยถาน เมืองหลวงเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ  เมื่อข้าอยู่ที่นี่ก็เป็นที่แน่นอนว่า ‘ความรุ่งเรือง’ ต้องกระจายไปถึงชนเผ่าเยวี่ยถาน  ...และเมื่อข้าอยู่ที่นี่สถานะของชนเผ่าเยวี่ยถามก็จะมั่นคงขึ้น  ไม่มีวิธีใด ‘สะดวก’ และมีประสิทธิภาพกว่านี้อีก” หานญื่อหลัวตอบตามความจริง  พบว่าบางทีตัวเองอาจไม่จำเป็นต้องเก็บงำอะไรมากมายเมื่ออยู่ต่อหน้าพระมาตุลาผู้นี้

สายตาของพระมาตุลาแคว้นเหลียนคล้ายสายน้ำที่ใสสะอาดจนเห็นก้น  มองทะลุไปถึงตัวตนที่ผู้คนเก็บซ่อนไว้  ภายใต้สายตาที่ปราศจากธุลีเจือปนคู่นี้  คล้ายกับความลับใดๆก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป

หานญื่อหลัวก็เป็นเช่นเดียวกับเหล่าบุรุษที่โดดเด่นในยุคสมัย  คนที่อยู่ในสถานะเช่นเขาการจะพูดอะไรต้องผ่านการไตร่ตรองครุ่นคิด  คนที่ชาญฉลาดล้วนทราบว่ามีบางเรื่องที่ไม่สมควรพูดและมีบางเรื่องที่พูดไปก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์

ดวงตาสีฟ้ามองคนที่มีตัวตนดุจสายน้ำ  สดชื่น ใสเย็น  ชุดยาวสีม่วงอ่อนเหลือบครามบนพื้นขาวทำให้เหลียนอันสุ่ยดูประดุจละอองพราวของสายน้ำตกในริ้วหมอก  เริ่มเข้าใจถึงสิ่งที่ผูกมัดเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนไว้อย่างแท้จริง  ประกายปัญญากับความเมตตาหวังดีทำให้ผู้คนวางใจที่จะเปิดเผยตัวตน  ความสงบอ่อนโยนที่เป็นดุจบรรยากาศประจำตัวยิ่งทำให้ผู้คนสงบผ่อนคลาย  ทั้งสองประการล้วนเป็นของล้ำค่าหายากในวังหลวง  มิน่าเล่าคนผู้นั้นให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ

จู่ๆเหลียนอันสุ่ยก็เอ่ยขึ้นว่า
“ข้าไม่เข้าใจ  ท่านช่วยข้าทำไม  ในเมื่อข้าถือเป็นฝ่ายฉีเซี่ยงหยวน  ส่วนท่านเองกลับไม่ถูกกับเขา” คำถามนี้ติดค้างในใจเหลียนอันสุ่ยมานานเหลือเกิน
“ท่านก็คือท่าน  ท่านกับเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนละคนกัน  ส่วนข้าเป็นพวกพอใจจะทำอะไรข้าก็จะทำ  พอใจจะช่วยใครข้าก็จะช่วย” หานญื่อหลัวตอบด้วยรอยยิ้มที่เหลียนอันสุ่ยเห็นแล้วต้องต้องลอบทอดถอนใจแทนสตรีแคว้นเป่ยชาง

หานญื่อหลัวเป็นคนรูปงามประเภทที่ทราบว่าตัวเองรูปงาม  บุคลิกของเขาจึงเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง  ในความสุภาพแฝงความมั่นใจในตัวเอง  ดังนั้นต่อให้ลบรูปร่างหน้าตาออกไป  หานญื่อหลัวก็ยังคงเป็นบุรุษที่มีบุคลิกน่าดึงดูดใจเช่นเดิม  และเป็นบุรุษประเภทที่อิสตรีตัดใจไม่ลงมากที่สุด

“ข้าต้องขอบคุณในเจตนาอันดีของท่าน  แต่ว่ามันไม่จำเป็น  ...ข้าเป็นแค่ ‘ของเล่น’ ชิ้นหนึ่งของเขา  นานวันเข้าเขาก็จะเบื่อหน่ายไปเอง  ท่านไม่ควรต้องเสี่ยงกับการเป็นปฏิปักษ์กับเป่ยชางอ๋องเพิ่มด้วยเรื่องแค่นี้” ในรอยยิ้มที่เจือความขื่นมีแววสงบ
ดวงตาของคนฟังเช่นหานญื่อหลัวมีแววประหลาด  กล่าวช้าๆ ว่า
“ถ้าท่านเข้าใจว่าต้าอ๋องจะปล่อยท่านไปง่ายๆท่านก็ผิดแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยลุ่มหลงบุรุษ  แต่กลับลุ่มหลงในตัวท่านจนถอนตัวไม่ขึ้น  ในคืนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา  เขากลับเอาเวลาทั้งหมดมาใช้อยู่กับท่าน  พระมาตุลา  ท่านคิดว่าจะมีวิธีไหนที่เขาไม่กล้าใช้เพื่อรั้งท่านไว้อีกหรือ ? ”

คำเตือนสติของหานญื่อหลัวทำให้เหลียนอันสุ่ยนิ่งอึ้งไป  ตลอดมามิใช่มองไม่เห็น  แต่เป็นไม่ต้องการจะครุ่นคิดถึง  เนื่องด้วยทุกครั้งที่ครุ่นคิดจิตใจเป็นต้องถูกลากเข้าไปพัวพันเงาร่างที่ไม่ว่าอย่างไรก็ลบไม่หาย  ซ้ำยังทำท่าว่าจะประทับลึกล้ำขึ้นทุกที
ดวงตาสีฟ้าของหานญื่อหลัวจับอยู่ที่ใบหน้าหมดจดที่ซีดขาวของคู่สนทนา  กล่าวต่อ
“ท่านรู้รึเปล่าว่าฉีเซี่ยงหยวนมีนิสัยเสียมากอยู่ข้อหนึ่ง  คือถ้ามีของที่เขาหมายตา  เขาต้องทำทุกวิถีทางให้ของชิ้นนั้นเป็นของเขาโดยสมบูรณ์  ดังนั้นเขาจะไม่มีทางปล่อยมือเด็ดขาดถ้าเขายังไม่ได้ท่านไปทั้งหมด ...ที่ข้ากับเขาไม่ถูกกันเป็นเพราะฉีเซี่ยงหยวนไม่ชอบขี้หน้าข้า  ส่วนข้าไม่ชอบวิธีการของเขา  เพราะวิธีการของฉีเซี่ยงหยวน...คือไม่เลือกวิธีการ ! ” ประโยคสุดท้ายเสียงทุ้มหนักย้ำชัดๆทีละคำ

“...ตอนนั้น  ท่าน...บอกว่า ‘เขาจะเปลี่ยนข้า’ ท่านหมายถึงอะไร” คำถามของเหลียนอันสุ่ยแผ่วเบา
หานญื่อหลัวส่ายหัวกับตัวเอง
“นี่ท่านแอบฟังจนได้ยินทุกคำพูดจริงๆ  ข้าหมายความว่าเขาจะเปลี่ยนให้ท่านไม่มีปัญญาไปจากเขา”
“...ข้าไม่เข้าใจ”
“เอาเป็นว่าหลังจากนี้อย่าขึ้นเตียงกับเขา  ข้าจะทิ้งบ่าวรับใช้ของข้าเอาไว้ที่นี่  ฉีเซี่ยงหยวนจะไม่กล้าล่วงเกินท่าน” หานญื่อหลัวทิ้งท้ายไว้แค่นั้น

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: beery25 ที่ 20-08-2014 21:04:38
ในที่สุดก็มาลงในเล้าเป็ด ตามอ่านที่ในเด็กดีตลอด ผูกเรื่องเก่งๆมากๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-08-2014 23:27:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: mkyok5 ที่ 21-08-2014 00:37:53
หน้าติดตามคะ รอตอนต่อไปอยู่นะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: ::UsslaJlwaJ:: ที่ 21-08-2014 14:11:31
ติดตามสนุกมากค่ะ รอตอนต่อไป ~
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 21-08-2014 14:21:03
รอติดตามอยู่นะ

อยากให้ต้าอ๋องกับพระมาตุลา หาทางออกที่มีความสุขทั้งสองคนได้ในที่สุด

หาญยื่อหลัว คนหล่อสุดในแผ่นดิน ก็เป็นสหายที่ดีมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: jubujubu ที่ 22-08-2014 11:31:54
สนุกอ่ะ ชอบๆ :oni2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 22-08-2014 21:05:10
ตามอ่านที่เด็กดีจนถึงตอนล่าสุดแล้ว

คือ...เรื่องนี้แต่งได้ล้ำลึกมาก มีปรัญชาแอบแฝงตรรกะ
ตัวละครมีความเป็นคนสูงมาก มีดำมีขาวมีความซับซ้อนทางอารมณ์

คือคุณมืออาชีพมากจริงๆ คุณคือนักเขียนที่ไม่ธรรมดาเลย
รอซื้อรวมเล่มแน่นอนค่ะ เฝ้ารออ่านเรื่องนี้จากแผ่นกระดาษ
เอามือลูบปกสวยๆ แอบมองภาพประกอบ แค่คิดก็อยากได้แล้ว

สู้ๆนะคะ รอตอนต่อๆไป
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 27
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 23-08-2014 12:19:18

บทที่ 27 กลิ่นบุปผายามสนธยา

ตะวันยามบ่ายกำลังคล้อยลงสู่ยามเย็น  มีเสียงโหวกเหวกดังออกมาจากประตูชั้นนอกของตำหนักชุนเกอ  หญิงรับใช้รีบร้อนออกไปดู  แล้วก็ต้องเบิกตาโตเมื่อเห็นเจ้าของตำหนักเดินตามนางออกมาด้วย...
“ข้าต้องการพบพระมาตุลาแคว้นเหลียน” เป็นเสียงแปลกหูของสตรีนางหนึ่ง

 เมื่อเห็นตัวผู้มาเยือนเหลียนอันสุ่ยก็ยิ่งมั่นใจว่าตัวเองไม่เคยพบพานอีกฝ่ายมาก่อน  เพราะสตรีเช่นนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะลืมเลือน  รูปโฉมของนางงดงามดุจตะวันรอน  โดดเด่นและเต็มไปด้วยเสน่ห์อันเข้มข้น  ทั้งเค้าหน้าประกายตาล้วนงามจนแทบทำให้ผู้คนหลงใหลคลั่งไคล้
 
ขณะที่เหลียนอันสุ่ยเห็นนาง  นางก็เห็นเขาเช่นกัน  ดวงตาคมสวยกวาดมองเชื้อพระวงศ์แคว้นเหลียนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาไร้มารยาท  จนอิ๋งฮวาที่ยืนขวางอยู่ตรงกลางแทบจะถลันออกไป  ดีที่เสียงสงบนุ่มนวลของเหลียนอันสุ่ยกล่าวขึ้นเสียก่อนว่า
“ท่านเป็นใครกัน ?  เราเหมือนไม่เคยพบกันมาก่อน”
สตรีแปลกหน้าได้ยินดังนั้นก็กล่าวว่า
“เราย่อมไม่เคยพบกันมาก่อน  ข้าเองก็ไม่ต้องการพบท่าน  ทำไมท่านต้องมาที่นี่!  ทำไมท่านไม่อยู่ที่แคว้นเหลียน !” ขณะถามดวงตางามซึ้งเจ็บแค้นจนวาววามคล้ายกับมีหยาดน้ำตา
“...ข้าไม่เข้าใจ ท่านเป็นใครกันแน่” เหลียนอันสุ่ยถามด้วยความรู้สึกตกใจกับท่าทีของอีกฝ่าย
“ข้าเป็นใครหรือ...อันที่จริง  เราควรรู้จักกันไว้สินะ  เพราะอย่างน้อยเราก็ถือว่าปรนนิบัติผู้ชายคนเดียวกัน”...!

ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยเบิกกว้าง  รู้สึกราวร่วงหล่นจากยอดเขาสูงชันลงไปในหล่มน้ำแข็งเยียบเย็น  ในที่สุดก็คาดเดาสถานะของสตรีตรงหน้าออก 
“...ข้าว่าท่านต้องเข้าใจอะไรผิดไปแล้ว” เหลียนอันสุ่ยได้ยินตัวเองตอบออกไปเช่นนั้น
คนฟังเหยียดยิ้ม
“หึ  จะผิดได้อย่างไร  ท่านเป็นคนของเขา  ข้าก็เป็นเช่นกัน  ท่านอาจสามารถวางตัวสูงส่งในตอนนี้  แต่อีกไม่นานท่านก็จะเป็นเช่นเดียวกันกับข้า...เป็นของใช้แล้วที่เขาไม่ต้องการ” น้ำเสียงมาดร้ายในตอนท้ายมีความขมขื่นอยู่บ้าง
“แม่นางหลันเซียง ! ” เสียงทุ้มหนักเป็นเชิงปรามดังออกมาจากปากต้วนจิน   หม่าหลง ต้วนจินซึ่งไม่ทราบหายตัวไปที่ไหนพลันปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าอย่างรีบร้อน  ขวางกลางระหว่างสตรีแปลกหน้ากับพระมาตุลาแคว้นเหลียน
“อะไรกัน  พูดความจริงก็ผิดด้วยหรือ...” คำพูดร้ายกาจแต่เจ้าของกลับมิอาจห้ามหยาดน้ำตาที่หยดลงมาเป็นสาย
“ผู้ใดให้เจ้ามาก่อความวุ่นวายที่นี่ ! ” เสียงเฉียบขาด กังวานด้วยอำนาจของผู้เป็นเจ้าของดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน
เมื่อครู่พอดีเป็นช่วงเวลาที่หม่าหลงต้องไปส่งรายงานเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของพระมาตุลาแคว้นเหลียนจึงมิได้อยู่ที่ตำหนัก  ส่วนต้วนจินเมื่อพบว่าผู้มาเป็นใครก็ตัดสินใจไปส่งข่าวต่อฉีเซี่ยงหยวน  เพราะสตรีนางนี้หากฉีเซี่ยงหยวนไม่มีคำสั่งลงมา  ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าจัดการโดยพลการ  แต่ต้วนจินเพียงหวังให้ฉีเซี่ยงหยวนถ่ายทอดคำสั่งลงมา  คาดไม่ถึงว่านายเหนือหัวถึงกับมาด้วยตัวเอง
ท่าทีของฉีเซี่ยงหยวนแสดงชัดแจ้งว่ามีโทสะ  สั่งให้หลิวฉางเฟยที่ติดตามมาด้วยเอาตัวนางออกไป  หลันเซียงก้มหน้านิ่ง  ผิวหน้าซีดขาว  กัดริมฝีปากอย่างไม่ยินยอมรับชะตากรรม

ขณะที่หลิวฉางเฟยกำลังจะก้าวถึงตัวสตรีผู้เป็นต้นเรื่อง  ชายเสื้อสีอ่อนก็ก้าวเข้ามาขวางหัวหน้าราชองครักษ์เอาไว้
 “ท่านไม่ควรปฏิบัติต่อนางเช่นนี้” น้ำเสียงของคนพูดสงบนุ่มนวล
ทุกผู้คนล้วนเบิกตากว้าง  คนที่เหลือเชื่อที่สุดย่อมเป็นหลันเซียง  เพราะบุคคลที่ช่วยนางถึงกับเป็นบุรุษที่นางเพิ่งรังควานหาเรื่อง...พระมาตุลาเหลียนอันสุ่ย !
 “นี่นางล่วงเกินท่านนะ” คิ้วเข้มของฉีเซี่ยงหยวนขมวดลง ขณะกล่าวเป็นเชิงถาม
“นางล่วงเกินข้าหรือไม่  ความจริงมิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร  เพราะนางเพียงเข้าใจผิดเท่านั้น”
ดวงตาคมกร้าวด้วยอำนาจสบกับดวงตาดำสนิทที่สงบราบเรียบของคนกล่าวอยู่เป็นนาน  เมื่อพบว่าเหลียนอันสุ่ยยืนยันจะปกป้องผู้หญิงคนนี้เอาไว้  ดวงตาทรงอำนาจก็มีประกายไม่พอใจ
“นางถือเป็นคนของข้า  ส่วนท่านเป็นแขกของข้า  นางล่วงเกินท่าน  เป็นเรื่องที่ข้าต้องจัดการ  ละเลยไม่ได้เด็ดขาด” เสียงเฉียบขาดของของฉีเซี่ยงหยวนกล่าวอย่างยืนกราน  ในเมื่อเหลียนอันสุ่ยคิดจะปกปิดความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไว้เป็นความลับ  ฉีเซี่ยงหยวนจึงอ้างถึงสถานะ ‘แขกบ้านแขกเมือง’ ของเหลียนอันสุ่ยแทน

“ต้าอ๋อง  เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ข้าไม่ถือสา  อีกอย่างมิใช่นางมารังควานข้าแต่เป็นข้าเชื้อเชิญนางมาเอง  นางเป็นแค่สตรีตัวเล็กๆคนหนึ่ง  ขอต้าอ๋องอย่าถือสานาง” เหลียนอันสุ่ยกล่าว  ทุกผู้คนต่างทราบแน่แก่ใจว่าเหลียนอันสุ่ยบิดเบือนความจริงเพื่อปกป้องสตรีที่มีนามว่าหลันเซียง
“ท่านถึงกับออกปากขอร้องให้นางเชียวหรือ ? ” ฉีเซี่ยงหยวนมิได้หันไปมองหลันเซียง  สายตาของเขาจับอยู่ที่เหลียนอันสุ่ย  น้ำเสียงย้ำราวกับพยายามสะกดกั้นอารมณ์ที่แตกปะทุกอยู่ภายใน
“...เพราะนี่มิใช่ความผิดของนาง”
หลังคำตอบนี้ดังออกจากปากเหลียนอันสุ่ย  ฉีเซี่ยงหยวนจึงค่อยเหลือบมองไปยังร่างอ้อนแอ้นบอบบางของของหลันเซียง  แล้ววกกลับมาที่ร่างสูงโปร่งของเหลียนอันสุ่ยอีกครั้ง
เหลียนอันสุ่ยไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เต้นระริกอยู่ในแววตาวาวโรจน์เป็นโทสะอันบ้าคลั่งหรือความปวดร้าวเร้นลึก 
‘ท่านจะบอกว่าเป็นความผิดของข้าอย่างนั้นสิ’   ดวงตาคู่นั้นคล้ายกำลังถามคำถามนี้กับเขา
“...ก็ได้  ท่านจะจัดการกับนางอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน” พูดจบเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนก็สะบัดหน้าจากไป

เหลียนอันสุ่ยมองตามชายอาภรณ์สีดำ  ดวงตาปรากฏแววเจ็บปวดที่มากมายเกินกว่าจะปกปิดไว้ได้อีก  ข้าควรจัดการอย่างไรกัน ?   ควรจะจัดการกับความสัมพันธ์ครึ่งๆกลางๆที่แสนปวดร้าวนี้อย่างไรกัน  ทิ้งไว้ความเจ็บปวดก็ยิ่งทับถมทวีขึ้น  ตัดให้ขาดเสียก็ทำไม่ได้  ทั้งๆที่รู้ดีอยู่แล้วก็ยังเจ็บปวดเหมือนคนโง่ 

ข้าไม่อาจงมงายไปกับความสำคัญที่ท่านมอบให้  และก็ไม่อาจหลีกหนีไปจากความเป็นจริงที่ว่า...ข้าไม่สมควรรักท่านเลย  เพราะท่านไม่มีทางเป็นของใครอย่างแท้จริง...

บางครั้งความทุกข์ของคนฉลาดก็คือพวกเขาล่วงรู้มากเกินไป  รู้ในสิ่งที่ไม่ทราบแล้วจะสบายใจกว่า  ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ไม่ควรคิดถึง  หลายครั้งความสุขของคนโง่งมหนึ่งคนจึงมากมายกว่าความสุขของคนฉลาดสิบคนรวมกัน  เพราะพวกเขาต่างไม่ต้องคาดหวังกับตัวเองมากเกินไปนัก  และผู้อื่นต่างก็มิได้คาดหวังในตัวเขา  ชีวิตของพวกเขาอาจวุ่นวายกับสถานการณ์ภายนอกที่ควบคุมไม่ได้  หากน้อยครั้งนักที่จะต้องเจ็บปวดกับความกลัดกลุ้มภายในใจ  ยิ่งไม่ต้องเผชิญกับทัณฑ์ทรมานซับซ้อนซึ่งสลัดไม่หลุดอันเกิดเนื่องมาจากจิตใจเขาเอง
---------------------
ณ ชานด้านนอกซึ่งยื่นออกไปค้ำอยู่บนบางส่วนของสระน้ำและสวนมีชุดโต๊ะกึ่งนั่งกึ่งนอนสำหรับผ่อนคลายอิริยาบถ  เหลียนอันสุ่ยนั่งเงียบๆ  ดวงตาสงบแฝงแววห่วงใย  หลันเซียงถือถ้วยชานั่งอยู่เบื้องหน้าเขา  ดวงตาสับสนลังเลและยังคงปิดปากเงียบ 
ใต้กลิ่นหอมอวลของใบชา  ในที่สุดความจริงก็ค่อยๆกลั่นตัวออกมา

“...ครั้งแรกที่ข้าได้พบกับเขา  เขาก็โดดเด่นคมคายเช่นนี้  ทั้งยังเฉียบขาดจนน่ากลัว  แต่เขาก็ปฏิบัติต่อข้าดียิ่ง  ข้าพยายามจะไม่รักเขา...แต่สุดท้ายก็ยังคงรักอยู่ดีนั่นเอง  รักจนวาดฝันเอาไว้อย่างสวยงาม  เพราะข้ารู้...ว่าเขาเองก็ชอบข้าเช่นกัน  ข้าไม่สนใจว่าเขาจะเคยมีผู้หญิงมากี่คน  แค่ข้าเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายของเขาก็พอ  ดังนั้นข้าจึงได้กลายมาเป็นผู้หญิงของเขา...” นางนิ่งไปครู่หนึ่ง  มือกุมกันแน่นเข้าจนเห็นข้อนิ้วซีดขาว  กล่าวต่อว่า

“...เมื่อข้าเป็นผู้หญิงของเขาข้าถึงได้รู้...ว่าชีวิตสวยงามที่ข้าเฝ้าฝันถึงเป็นเพียงความฝันไม่มีวันเป็นจริง  ข้าไม่มีทางเป็นคนสุดท้ายของเขา  ...ก่อนหน้าข้าเขามีสตรีมากมาย  แต่ละนางงดงามยิ่งกว่าบุปผาในเดือนสาม  อ่อนละมุนยิ่งกว่าแสงดาว  พร่างพราวยิ่งกว่าสายน้ำตก  แต่เขาก็ทอดทิ้งพวกนางมาแล้ว  แม้ข้าจะถือว่าตัวเองงดงามเหนือใคร  แต่ก็ทราบว่าตัวเองมิได้งดงามที่สุด  ...เพียงแต่ตอนนั้นเรื่องราวเหล่านี้ช่างห่างไกลนัก  ข้าหลงงมงายกับความรักที่หวานชื่น  ปิดหูปิดตาตัวเองอยู่แค่ความจริงที่ว่า เขาหลงใหลข้า  หากยิ่งนานวันข้าก็ยิ่งหวาดหวั่น  กลัวตัวเองจะลงเอยเช่นสตรีคนอื่นๆของเขา  เขาเป็นบุรุษที่โดดเด่น  วันๆหนึ่งมีสตรีผ่านเข้ามาในสายตาเขามากมาย  และมันก็ไม่ยากเลยที่จะครอบครองพวกนางหากเขาเกิดสนใจเข้าซักคน   ข้า  ข้า...ไม่รู้จะทำอย่างไร  ได้แต่ปลอบตัวเองว่าวันนั้นคงไม่มาถึง...แต่เมื่อเขากลับมาจากแคว้นเหลียน  ข้าก็ได้รู้...ว่าข้าสูญเสียเขาไปแล้ว” พูดจบน้ำตาก็ร่วงรินดุจไข่มุกที่หลุดจากสาย  หลันเซียงสะอื้นจนตัวโยน  ร่างบอบบางคู้ลง  เจ็บปวดจนสั่นระริกไปทั้งร่าง

เหลียนอันสุ่ยมองนางเจ็บปวด  ทราบว่าตัวเองมิอาจช่วยเหลือ  จิตใจก็พลอยเจ็บปวดไปด้วยเช่นกัน  ...ข้ามิได้ต้องการเป็นต้นเหตุแห่งความเสียใจของท่านเลย

ยังมีความเจ็บปวดอีกประการหนึ่งผุดขึ้นมา  หลันเซียงคล้ายภาพสะท้อนของชะตากรรมเลวร้ายที่เขาไม่ต้องการเผชิญ  เจ็บปวดที่จะยอมรับว่าเขาและนาง...แท้จริงมิได้ต่างกัน
‘...อีกไม่นานท่านก็จะเป็นเช่นเดียวกันกับข้า...เป็นของใช้แล้วที่เขาไม่ต้องการ !’
พระมาตุลาแคว้นเหลียนมองร่างงามตรงหน้าอย่างเหม่อลอย  ดวงตาของสตรีนางนี้มีเสน่ห์จับใจ  เรือนร่างยิ่งไม่ต้องพูดถึง  ท่านยังไม่พอใจอีกหรือ  ...ฉีเซี่ยงหยวนเอย  หากสตรีแต่ละนางของท่านล้วนงดงามปานนี้   ท่านจะเอาสตรีแคว้นเหลียนมาอีกทำไมกัน  และท่านจะบีบบังคับเอา ‘ตัวประกัน’ เช่นข้ามาอีกทำไมกัน ?

“อัน  อันที่จริง  ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าใจของฉีเซี่ยงหยวนมิได้อยู่ที่ข้า  เขาสนใจข้า ชอบข้า แต่มิได้รักข้า  เขา...คนที่เขารักคือผู้หญิงที่งามยิ่งกว่าบุปผาต้องน้ำค้างคนนั้น  สตรีเพียงหนึ่งเดียวที่เขามิเคยแตะต้อง แต่กลับให้ความคุ้มครองตลอดมา  นางมีนามว่าเสิ่นชิงอี” สามพยางค์สุดท้ายเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก  หลันเซียงหัวเราะเบาๆกับตัวเองด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“เมื่อข้าได้เห็นนางข้าถึงได้ทราบ  ที่แท้ตัวเองมิได้เหมาะกับนามหลันเซียงเลย  เสิ่นชิงอีจึงเป็นดอกกล้วยไม้  และกลิ่นหอมของบุปผาใดๆก็ไม่มีทางเทียบกับนางได้  เพราะนางคือบุปผาที่งดงามที่สุดในวังหลวง  ทั้งรูปโฉม ความสามารถ ชาติตระกูล ข้ายังห่างไกลกับนางเหลือเกิน”

สตรีที่เขารัก?  ที่แท้ฉีเซี่ยงหยวนมีสตรีที่พิเศษต่อเขาอยู่ในมือแล้ว  เหลียนอันสุ่ยทราบนิสัยของฉีเซี่ยงหยวนดี  บุรุษผู้นั้นเอะอะก็ชมชอบครอบครองเป็นเจ้าของ   หากจะมีสตรีที่ฉีเซี่ยงหยวนให้ความสำคัญแต่ไม่เคยแตะต้อง  สตรีนางนั้นก็ต้องพิเศษต่อเขามากจริงๆ  ส่วนคำที่เคยบอกว่ายังหาไม่เจอ...คงเป็นเพราะฉีเซี่ยงหยวนยังไม่รู้ใจตัวเอง

เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันอยู่นาน  ใบหน้ายังคงเรียบเฉย  หากวาจาที่ได้ยินซึมลึกลงไปมีฤทธิ์ราวกับน้ำกรด  จนตอนนี้หัวใจรู้สึกราวกับถูกแช่อยู่ในน้ำกรด  ปวดแสบจนยากทนทาน  ถูกกัดกร่อนทีละน้อยอย่างเลือดเย็น
 “ข้าไม่น่าหลงรักเขาเลย  ทำไมใจข้าถึงไม่หยุดรักเขาเสียที  ทั้งๆ...ทั้งๆที่ทรมานถึงเพียงนี้  ฮึก...” เสียงสะอึกสะอื้นทำให้นางไม่มีปัญญาพูดต่อได้  ดวงตาของหลันเซียงทอแววสมเพชตัวเอง  น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด  นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ระบายออกมา  และเป็นครั้งแรกที่มีคนยินยอมรับฟัง  น้ำตาจึงดูราวกับไม่มีวันเหือดแห้ง  เพราะมันสะสมมานานเหลือเกิน

ร่างบอบบางโงนเงนจนเหลียนอันสุ่ยตัดสินใจดึงตัวนางมาพิงซบกับตัวเอง  รู้สึกราวได้กลับไปมีน้องสาวอีกครั้ง  ...ถึงแม้ว่าน้องสาวจริงๆของเขาจะทระนงอย่างยิ่ง  จนเหลียนอันสุ่ยไม่เคยเห็นนางเสียใจมานานมากแล้วก็ตาม

หลันเซียงยึดบ่าอบอุ่นมั่นคงไว้แน่น  ราวกับยึดถือเป็นหลักพึ่งพิงกลางมรสุมแห่งความเศร้าโศก  ใบหน้างามซบลงกับบ่าของคนที่เมื่อครู่เกลียดชังหนักหนา  ร้องไห้ราวกับจะระบายความคับแค้นใจทั้งหมดออกมา  ร้องไห้ด้วยจิตใจที่แหลกสลาย
เหลียนอันสุ่ยรอให้เสียงสะอื้นซาลง  ให้ความเงียบเป็นสิ่งปลอบโยนนาง  ราวกับมีเวลาไม่หมดไม่สิ้นที่จะสิ้นเปลืองไปกับร่างบอบบางข้างกาย  นี่มิใช่ครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยเห็นคนที่ทุกข์ทรมานจากความรัก 

ความรักช่างเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดเหลือเกิน  มันสามารถสร้างทุกสิ่งขึ้นมาจากความไม่มีอะไรเลย  และก็สามารถทำลายสิ่งที่มันสร้างจนไม่เหลืออะไรเลยได้เช่นกัน...

พระมาตุลาแคว้นเหลียนไม่มีโอกาสได้รู้หรอกว่า  มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาอย่างปวดร้าว  เหลียนอันสุ่ยนั่งหันหลังให้กับสวนกว้าง  ส่วนหลันเซียงซบพิงอยู่ข้างกายเขา  เงาร่างสองร่างชิดใกล้กัน  ไม่ว่าคนที่ยืนอยู่ด้านนอกมองอย่างไร  ภาพที่ปรากฏก็มิอาจเปลี่ยนแปลงไป  ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าตัวเองมองไม่ผิด เพราะหนึ่งในนั้นเป็นเงาหลังที่เขาไม่มีวันลืมเลือนชั่วชีวิต

ฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งมาถึง  แม้ครั้งก่อนจะจากไปด้วยความไม่พอใจ  แต่ก็ทราบว่าคนที่ควรเอ่ยปากขอโทษชี้แจงก็คือตัวเอง  สุดท้ายจึงลดทิฐิตัดสินใจเป็นฝ่ายมาหา  เพียงลังเลที่จะก้าวเข้าไปในตัวตำหนักอยู่บ้าง  จึงเดินวนอยู่รอบนอก  ...และก็ได้เห็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกราวถูกแช่แข็งด้วยคำสาปหมื่นปี

ในสายตาของฉีเซี่ยงหยวนภาพที่ได้เห็นมิใช่หลันเซียง  แต่เป็นเหลียนอันสุ่ยกับสตรีอีกคน...คนที่เขาไม่มีวันแทนที่ได้ 
หึ  เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าใจของเหลียนอันสุ่ยไม่เคยมีเขา  ฉีเซี่ยงหยวนเกลียดความใจกว้างที่ไม่ค่อยนึกถึงตัวเองของเหลียนอันสุ่ย  ยิ่งเกลียดท่าทีสงบไม่เดือดร้อนที่เหลียนอันสุ่ยมีต่อหลันเซียงเพราะนั่นยิ่งตอกย้ำว่าเหลียนอันสุ่ยไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษใดๆต่อเขาเลย 

หลังนิ่งไม่ขยับอยู่เป็นนาน  เท้าก็ก้าวถอยออกมาช้าๆ  สายตาเหลือบมองไปที่ต้นท้อหนึ่งเดียวในสวนแห่งนี้  ต้นท้อเล็กๆที่รากยังไม่แข็งแรง  แต่กลับเชื่อมสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง เพราะมันคือความรักที่ตัดมิขาด
‘สุดท้ายในใจท่านก็ไม่เคยมีข้า...คนที่ท่านรักยังคงเป็น ‘นาง’ ’ เสียงอดีตพระชายารอง พระมารดาของฉีเซี่ยงหมิงดังแว่วอยู่ข้างหู 

สุดท้ายรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นเช่นเดียวกับอดีตพระชายารอง  เช่นเดียวกับขุนพลใหญ่แคว้นเหลียนอวี้เฉียน   พยายามไขว่คว้าในสิ่งที่ไม่มีวันได้มา...
---------------------
ดวงตาคู่สวยที่เต็มไปด้วยประกายน้ำตามองตามเงาหลังกว้างในอาภรณ์สีดำไป  เหลียนอันสุ่ยไม่เห็นฉีเซี่ยงหยวน  แต่หลันเซียงเห็น  เพราะศีรษะของนางซบอยู่กับไหล่ของพระมาตุลาแคว้นเหลียน  มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้มสมใจ...!?
---------------------
สุราจอกแล้วจอกเล่าถูกกรอกเข้าปากของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน  คล้ายพยายามจะกรอกตัวเองให้เมามาย  เมามายไปก็ดีจะได้ลืมไปเสียให้หมด  แต่ไม่ว่าสุราจะหมดไปกี่ป้าน  ภาพก็ยังคงไม่จางหาย  และใจของฉีเซี่ยงหยวนก็มิได้สงบลงเลย
เหลียนอันสุ่ยคงไม่ต้องการคำอธิบายจากเขาแล้ว  ...คิดๆดูแล้วจะอธิบายหรือไม่ผลลัพธ์ก็ไม่แตกต่างกัน  ในใจของเหลียนอันสุ่ยไม่เคยมีเขา  แล้วจะเจ็บปวดได้อย่างไร

ฉีเซี่ยงหยวนเหยียดยิ้มสมเพชตัวเองที่เอาแต่เป็นห่วงอีกฝ่าย  ราตรีที่เมืองอู๋เล่ยฝังลงในลมหายใจของเขา  แต่สำหรับเหลียนอันสุ่ยคงเป็นแค่การช่วยเหลือคนที่เจ็บปวดคนหนึ่ง  คนเดียวที่อีกฝ่ายยึดมั่นคือชายานามเหวินจี 

ฉีเซี่ยงหยวนพยายามจะไม่นึก  มิอาจยอมรับว่าหากเป็นคนอื่นเหลียนอันสุ่ยก็จะปฏิบัติดุจเดียวกัน  แต่ก็ไม่สามารถหนีไปจากภาพที่ผุดขึ้นมาในหัว ภาพเหลียนอันสุ่ยปลอบโยนสตรีที่เป็นเครื่องบรรณาการนามจือหลัน  ภาพเหลียนอันสุ่ยปลอบโยนหลันเซียง  เหตุผลที่เหลียนอันสุ่ยอยู่ข้างเขาในคืนนั้นเป็นเพียงเพราะว่าเหลียนอันสุ่ยคือเหลียนอันสุ่ย...คนที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันเดินหนีไปจากผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ

ก่อนจากมาฉีเซี่ยงหยวนยังเห็นเด็กรับใช้ของพระภาดาหานญื่อหลัว  เด็กรับใช้ที่เหลียนอันสุ่ยจะส่งตัวคืนไปก็ได้  แต่ก็มิได้ทำ  นั่นยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่าเหลียนอันสุ่ยไม่เคยเต็มใจเป็นของเขา 
...ก็ได้  หากท่านไม่ต้องการให้ข้าแตะต้องท่านถึงขนาดนั้น  หลังจากนี้ข้าก็จะไม่แตะต้องท่านอีก

ใต้คืนมืดมิดมีแสงจันทร์ส่องลงมาเพียงบางเบา  จันทร์เสี้ยวรูปเคียวเรียวดุจคิ้วโฉมสะคราญ  ฉีเซี่ยงหยวนนั่งดื่มสุราราวกับอยู่ตัวคนเดียว  แท้จริงข้างร่างสูงใหญ่ยังมีคนอีกผู้หนึ่ง  คนที่คอยรินสุราเติมลงไปในจอกที่ว่างเปล่า  คนผู้นี้เป็นสตรีโฉมสะคราญ  หากหลันเซียงคือสตรีที่มีเสน่ห์จับใจ  สตรีผู้นี้ก็คือความฝันที่จะตราตรึงไปชั่วชีวิต  ความงดงามของนางคือความใฝ่ฝันของเหล่าสตรีทั้งหลาย  ตัวตนของนางเป็นตัวแทนของภาพฝันที่เหล่าบุรุษคะนึงหา  บุปผชาติยามค่ำคืนถึงกับถูกความงามนี้ข่มจนหมองประกาย

นางคือเสิ่นชิงอี  สตรีที่งามดุจบุปผาต้องน้ำค้าง

ฉีเซี่ยงหยวนมิได้เอ่ยวาจา  นางก็มิได้เอ่ยวาจา  เพียงนั่งเงียบๆเป็นเพื่อนเขา
สุดท้ายหลังกรอกสุราลงไปอีกจอก  ฉีเซี่ยงหยวนก็หันมามองใบหน้าที่ผุดผาดสะคราญตา  พูดคล้ายกับพึมพำว่า
“ชิงอี  ทำไมคนที่ข้ารักถึงไม่เป็นเจ้านะ” ทำไมคนที่นุ่มนวลอ่อนหวานจึงไม่รัก  เอาแต่คิดถึงคนที่ทั้งใจแข็ง  ทั้งเอาแต่ผลักไส  แถมหัวใจยังเป็นของผู้อื่นอีกด้วย
เสิ่นชิงอียิ้มบางๆ  รอยยิ้มของนางงามยิ่งกว่าบุปผาแย้มกลีบใต้แสงจันทร์
“เพราะว่าข้ามิใช่เขา”
ได้ฟังคำของนางฉีเซี่ยงหยวนก็นิ่งไป ยอมรับว่าอีกฝ่ายพูดถูก  สำหรับฉีเซี่ยงหยวนต่อให้คนทั้งคู่จะอ่อนโยนนุ่มนวลดุจเดียวกัน  แต่ไม่เหมือนกันโดยเด็ดขาด  และแทนที่กันไม่ได้ด้วย  เนื่องเพราะในใจของฉีเซี่ยงหยวนไม่ว่าใครก็มิอาจแทนที่เหลียนอันสุ่ย  อย่าว่าแต่โดยเนื้อแท้แล้วเสิ่นชิงอีมิได้คล้ายคลึงกับเหลียนอันสุ่ยเลย

นอกจากความเจ็บปวดระคนอยู่กับความสิ้นหวัง  ฉีเซี่ยงหยวนยังมีความกังวล  เพราะเหลียนอันสุ่ย...ไม่รู้จักหลันเซียง
ประกายตาของโฉมสะคราญมีร่องรอยของความประหลาดใจอยู่บ้าง  ฉีเซี่ยงหยวนที่นางรู้จักไม่เคยศรัทธาในเรื่องของความรักมาก่อน  นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เสิ่นชิงอีเห็นบุรุษผู้นี้เดือดร้อนเป็นกังวลเกี่ยวกับความรัก  จนนางพลันอยากทราบขึ้นมาว่าคนเช่นใดกันหนอ  จึงสามารถทำให้บุรุษที่เฉียบขาดปราดเปรื่องเดือดร้อนเป็นกังวลได้ถึงเพียงนี้

อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนเปลี่ยนไปมากมายนับแต่กลับมาจากแคว้นเหลียน  คล้ายตัวตนของใครบางคน...ได้เปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างในตัวเขา
เสิ่นชิงอีเงยหน้ามองจันทร์เสี้ยว  แสงจันทร์ไม่เปลี่ยนไปแต่ใจคนกลับเปลี่ยนแปลง  หรือนี่คืออำนาจของความรัก ?
---------------------
หลันเซียงมองของว่างบนโต๊ะกับชาที่ยังอุ่นอยู่ด้วยสายตาสับสนไม่เข้าใจ  ของเหล่านี้ล้วนเป็นพระมาตุลาสั่งให้หญิงรับใช้จัดมาเพื่อนาง  ตัวเขายังปรึกษาเรื่องการเรียนกับอาจารย์ของบุตรชายไม่เสร็จ  จึงให้นางรอคอยอยู่ด้านนอก  หลันเซียงรู้ว่าหัวหน้าหญิงรับใช้ตำหนักนี้ไม่ชอบนางตั้งแต่การพบหน้าครั้งแรกที่หลันเซียงเสียมารยาทต่อเหลียนอันสุ่ย  แต่ก็ยังดูแลรับรองด้วยความละเอียดรอบคอบและมารยาทอันดี  หลันเซียงมาที่นี่บ่อยขึ้นเรื่อยๆ  พอๆกับที่เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนไม่แวะเวียนมาเลย  บ่อยจนบางครั้งนางเริ่มไม่เข้าใจตัวเอง

ตั้งแต่แรกมาจุดประสงค์ของนางมีเพียงหนึ่งเดียว  คือตอบแทนคนสองคนที่ทำให้นางเจ็บปวดด้วยความปวดร้าวดุจเดียวกัน !
นางรักฉีเซี่ยงหยวน  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับทรยศความรู้สึกของนางด้วยการไปหาคนอื่น  นางจึงจงใจทำลายชื่อเสียงของเขาด้วยการมารังควานหาเรื่องที่นี่  หากนางกลับได้พบว่าเจ้าของตำหนักแห่งนี้มีความหมายต่อชายที่นางทั้งรักทั้งแค้นยิ่ง    ถึงพระมาตุลาจะขัดขวางการตัดสินใจของเขา  ฉีเซี่ยงหยวนกลับยังให้เกียรติอีกฝ่าย  บุรุษที่ทำอะไรตามอำเภอใจตลอดมาถึงกับยอมรับฟังคำของผู้อื่น?  นางแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง  ไม่เคยมีสตรีคนไหนเคยมีสิทธิ์ถึงขั้นนั้น  ต่อให้เป็นชั่วขณะที่ฉีเซี่ยงหยวนโปรดปรานพวกนางมากก็ตาม  ขนาดเสิ่นชิงอี ฉีเซี่ยงหยวนยังมิได้ฟังทุกถ้อยความหากเขามิได้เห็นด้วย  ...บางทีอาจเป็นเพราะเหลียนอันสุ่ยมิใช่สตรี 

ความคิดนั้นทำให้หลันเซียงยิ่งเกลียดชังตัวประกันผู้สูงศักดิ์จากแคว้นเหลียนผู้นี้  นางทราบดีว่าถ้าทำลายเหลียนอันสุ่ย  ฉีเซี่ยงหยวนต้องเจ็บปวดสุดทนทาน  ทุกคำพูดที่นางสนทนากับเหลียนอันสุ่ยจึงเป็นความจงใจมาโดยตลอด

นางต้องการเห็นเหลียนอันสุ่ยเจ็บปวด  ต้องการเห็นบุรุษที่แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างของนางไปต้องทุกข์ทรมาน  แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งทำยิ่งสับสนไม่เข้าใจ  ไม่ว่าวาจาแหลมคมปานใด  เหลียนอันสุ่ยก็มิได้ทุรนทุราย  สายตาของเขามีแต่ความสงบห่วงใย  และความสงบห่วงใยนั้นก็ย้อนกลับมาทำร้ายนางอย่างร้ายกาจ  นางไม่เข้าใจ  ที่แท้พระมาตุลาเป็นคนเช่นไรกัน  รู้สึกอย่างไรกับฉีเซี่ยงหยวนกันแน่  ยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดตัวเองยิ่งพูดยิ่งมิอาจควบคุมตัวเอง  การร้องไห้ที่เสแสร้งขึ้นมาไฉนกลับกลายเป็นสะอื้นอย่างหนักจนหยุดไม่ได้

นางเคยพยายามเอ่ยวาจาทำร้ายเหลียนอันสุ่ยอีก  ทำเป็นขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้เหลียนอันสุ่ยต้องผิดใจกับเป่ยชางอ๋อง  จนทำให้ฉีเซี่ยงหยวนไม่แวะมาตำหนักชุนเกออีกเลย  ยัดเยียดความผิดให้กับการที่นางรักฉีเซี่ยงหยวนมากเกินไป  เหลียนอันสุ่ยกลับตอบนางว่า
‘ไม่เป็นไรหรอก  ตอนนี้ท่านก็ได้รู้แล้ว  ว่าแท้จริงข้ามิได้ขวางทางท่านเลย  เพราะฉีเซี่ยงหยวนมิใช่คนที่จะหยุดอยู่ที่คนเพียงคนเดียวมาตั้งแต่แรก  และสาเหตุที่เขาไม่มาที่นี่ก็มิได้เป็นเพราะท่าน...อย่าได้โทษตัวเอง’ 

นางอยากจะหัวร่อ  แต่หัวร่อไม่ออก  ในใจรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ  ทำไมสีหน้าของเหลียนอันสุ่ยถึงได้สงบนัก  เขาควรจะเดือดร้อนยิ่งกว่านางอีกเพราะตอนนี้ต้าอ๋องกำลังจะเลิกโปรดปรานเขาแล้ว  หรือแท้จริงเป็นนางเองที่เดินแผนผิดมาตั้งแต่ต้น  เหลียนอันสุ่ยมิได้มีความรู้สึกใดๆต่อฉีเซี่ยงหยวนเลย ?

นางไม่เชื่อ  สัญชาตญาณของนางไม่เคยผิดพลาด  แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน !?

ที่หลันเซียงเกิดคำถามเหล่านี้เป็นเพราะนางไม่เข้าใจในตัวเหลียนอันสุ่ย  เหลียนอันสุ่ยอาจจะเจ็บปวด  แต่เขามิใช่คนประเภทจะฟูมฟายทุรนทุรายโดยไม่มีประโยชน์  อย่าว่าแต่เหลียนอันสุ่ยทราบดีมาตั้งแต่ต้นว่าเรื่องเช่นนี้ซักวันก็ต้องเกิดขึ้น  บางทีเหลียนอันสุ่ยถึงกับเฝ้ารอให้มันเกิดขึ้น  แม้บางส่วนในจิตใจจะรู้สึกปวดร้าวว่างเปล่ามากก็ตาม

ในคราวที่เหล่าอดีตนางบำเรอคนอื่นๆของฉีเซี่ยงหยวนพากันมาคารวะขอบคุณเหลียนอันสุ่ยที่ออกหน้าช่วยเหลือหลันเซียงหนึ่งในพวกนางไว้  สายตาของเหลียนอันสุ่ยแค่หม่นหมองลง  มองบุปผางามเหล่านั้น  ในเสียงทอดถอนใจคล้ายกับมีความปวดร้าว  แต่หลันเซียงกลับมิแน่ใจเสียแล้ว  ว่าที่แท้เหลียนอันสุ่ยปวดร้าวเรื่องอะไร  เพราะเขายังคงดูสงบลึกซึ้งอยู่เช่นเดิม  ลึกซึ้งจนนางอ่านไม่ออก

หลันเซียงพบว่าทุกครั้งที่นางพูดคุยกับพระมาตุลา  หรือแม้แค่อยู่ข้างๆ  นางก็จะรู้สึกว่าตัวเองสกปรกโสมมจนน่ารังเกียจ  บางทีอาจเป็นเพราะประกายของเหลียนอันสุ่ยสะอาดเกินไป  สะอาดจนน่าชิงชัง  เพียงแค่ตัวตนของเขาก็สามารถทำร้ายนางได้อย่าลึกล้ำโดยไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย

สวรรค์!  เหตุใดนางจึงมักพาตัวเองมาที่นี่  พามารับความรู้สึกอัปยศต่ำต้อย  พามาพบว่าเหลียนอันสุ่ยจัดการกับเรื่องไม่ได้รับความโปรดปรานจากฉีเซี่ยงหยวนได้ดีกว่านางเป็นร้อยเท่า  ในตัวนางคล้ายกับมีบางอย่างที่ขัดแย้งกันเอง  บางอย่างที่นางไม่ต้องการจะไปเข้าใจ

...หลันเซียงไม่ต้องการจะยอมรับว่านอกจากความเจ็บปวด  สถานที่แห่งนี้ยังมอบความสงบที่อบอุ่นให้กับนางด้วย



--------------------
หมายเหตุ: ชื่อของหลันเซียง  หลัน แปลว่าดอกกล้วยไม้   ส่วน เซียง แปลว่ากลิ่นหอม
เป็นที่มาของชื่อตอนนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 23-08-2014 12:54:35

บทที่ 28 พันธนาการบ่วงที่สอง

สายลมโชยไล้ผิวกายอย่างเกียจคร้าน  ชานด้านนอกที่เคยทำร้ายให้ฉีเซี่ยงหยวนเจ็บปวดขณะนี้มีคนจับจองอีกแล้ว  คนสองคน  เครื่องดนตรีสองชิ้น  เลาขลุ่ยอยู่ในมือพระมาตุลา  ด้านหน้าของหานญื่อหลัวมีพิณเจ็ดสาย 

นอกจากหลันเซียง  อาคันตุกะที่แวะเวียนมาบ่อยกว่าเดิมตั้งแต่ฉีเซี่ยงหยวนหายหน้าหายตาไปก็คือพระภาดาหานญื่อหลัว
ทำนองเพลงเพิ่งจางไป  จู่ๆเหลียนอันสุ่ยก็ถามขึ้นว่า
“ท่านรู้จักสตรีนามเสิ่นชิงอีรึเปล่า ?”

นัยน์ตาสีฟ้าเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำถาม  เงยหน้าขึ้นมามองพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ถามว่า
“ท่านรู้จักนาง ? ...อ้อ  คงเป็นแม่นางหลันเซียงเอ่ยถึงนางต่อท่านสินะ...” กล่าวเพียงแค่นั้นก็หยุดไปพักหนึ่ง  คิ้วขมวดมุ่นลง
“ท่านไม่ควรเชื่อถือหลันเซียงมากจนเกินไปนัก  ผู้หญิงคนนี้มีบางอย่าง...” ที่ไม่น่าไว้วางใจ
ก่อนหน้านี้หานญื่อหลัวรู้จักหลันเซียงเพียงผิวเผิน  หลังจากได้ยลโฉมที่งดงามดุจตะวันรอนครั้งแรกก็พบว่าหลันเซียงหลงรักฉีเซี่ยงหยวนจนถอนตัวไม่ขึ้นไปแล้ว  หานญื่อหลัวเป็นคนประเภทที่ไม่ชมชอบพยายามในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้  ยิ่งไม่ชมชอบฝืนใจใคร  จึงมิได้ยุ่งเกี่ยวกับสตรีนางนี้มากนัก  แต่หลังจากหลันเซียงแวะเวียนมาพบเหลียนอันสุ่ยบ่อยครั้ง  หานญื่อหลัวก็เริ่มสะดุดใจในพฤติกรรมของนาง

นางดูเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง  แต่บางการกระทำกลับขัดกับตัวตนที่แท้จริงที่หานญื่อหลัวรู้สึกได้

ไม่เพียงเท่านั้น  ข่าวที่เหลียนอันสุ่ยมักเชิญหลันเซียงอดีตนางบำเรอของเป่ยชางอ๋องมาพบกำลังแพร่กระจายออกไป  ยิ่งหลังจากบรรดานางบำเรอทั้งหมดของฉีเซี่ยงหยวนยกขบวนกันมาขอบคุณถึงตำหนักชุนเกอโดยอ้างบุญคุณที่พระมาตุลาช่วยเหลือหลันเซียง  ข่าวก็ยิ่งลือกันหนักขึ้น  ดีที่ว่ามีหานญื่อหลัวกับฉีเซี่ยงหยวนคอยควบคุมอยู่เบื้องหลังโดยลับๆ จึงยังไม่ขยายวงกว้าง 
ข่าวนี้ไม่เหมาะสมและไม่เป็นผลดีต่อพระมาตุลาแคว้นเหลียนเลย  หากมองในระยะยาวยังมีผลกระทบต่อเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนด้วย !  ไม่ว่าจะในทางไหนการคงอยู่ของหลันเซียงก็เป็นอันตรายทั้งสิ้น

เหลียนอันสุ่ยได้ฟังคำของหานญื่อหลัวแล้วกลับกล่าวช้าๆว่า
“นางเป็นแค่ผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น  ...บางครั้งเมื่อคนเราเจ็บปวดก็ชมชอบทำร้ายผู้อื่นเพียงเพื่อจะระบายความเจ็บปวดนั้นออกไปบ้าง”
หานญื่อหลัวเบิกตากว้าง  อึ้งไปพักหนึ่ง  แล้วจึงหัวเราะออกมาเบาๆ
“...ดูเหมือนว่า...ข้าจะไม่จำเป็นต้องเตือนท่านสินะ”
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณท่านสำหรับความหวังดี” บางอย่างซึมซาบลงไปในใจ  วังหลวงแคว้นเป่ยชางมิได้ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่เคยเป็น
หานญื่อหลัวยังมีข้อสงสัย  เอ่ยถาม
“ท่านระแวงนางตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ข้ามิได้ระแวงนาง  ข้าแค่รู้ว่าคนที่นางรักคือฉีเซี่ยงหยวน  นางจึงไม่ควรมาวนเวียนอยู่ข้างกายข้า”  ดวงตาสงบนุ่มนวลมีแววลึกซึ้ง
 “แล้ว...ท่านจะทำอย่างไรกับกับนางต่อไป”
“ข้าไม่คิดจะทำอะไรกับนาง  คำพูดบางประโยคอาจเป็นความจงใจ  แต่น้ำตาของนางเป็นของจริง  การที่นางตั้งใจทำร้ายผู้อื่นมากเพียงใด  ก็ยิ่งสะท้อนว่าในใจของนางเจ็บปวดมากเท่านั้น” และนั่นก็ยิ่งแสดงว่าหลันเซียงรักฉีเซี่ยงหยวนอย่างล้ำลึก...ดวงตาของพระมาตุลาแคว้นเหลียนหม่นแสงลง

ส่วนดวงตาสีฟ้ามีแววครุ่นคิด
หลายครั้งที่การกระทำของคนเราก็เปิดโปงตัวเราเอง  เพียงแต่ในหล้านี้อาจมีพระมาตุลาแคว้นเหลียนคนเดียวที่ถึงแม้จะเป็นฝ่ายถูกรังควานหาเรื่องก็ยังสามารถมองเรื่องราวได้อย่างมีสติถึงเพียงนี้  เป็นเพราะไม่มีโทสะบดบังอย่างนั้นหรือ  หรือว่าเพราะเหลียนอันสุ่ยเป็นคนใจกว้างอย่างยิ่ง หรือว่าเพราะ...เรื่องราวเหล่านี้เหลียนอันสุ่ยมิได้รู้สึกว่าตัวเองเกี่ยวข้องด้วย ?

เมื่อเห็นแววตาที่หม่นแสงลงของอีกฝ่าย  หานญื่อหลัวก็พบว่าไม่ใช่  หลันเซียงทำสำเร็จ  ใจของบุรุษที่อยู่ตรงหน้าเขาทุกข์ทรมานยิ่ง  แต่หานญื่อหลัวกลับไม่กล้าตัดสินไปเองว่าอีกฝ่ายทุกข์ทรมานเรื่องอะไร  ยอมรับว่าบุรุษที่มีบุคลิกดุจสายน้ำผู้นี้มีความคิดลึกซึ้งซับซ้อนจนยากคาดเดา  ที่สำคัญคือสิ่งที่เหลียนอันสุ่ยคำนึงถึง  มักเป็นสิ่งที่ผู้อื่นนึกไม่ถึง

หลังความเงียบอ้อยอิ่งอยู่นาน  หานญื่อหลัวก็เอ่ยขึ้น
“สรุปคือท่านต้องการพบเสิ่นชิงอี ?”
เหลียนอันสุ่ยสั่นศีรษะ
“ข้าเพียงต้องการทราบว่านางเป็นใคร” การฟังความข้างเดียวมิใช่วิสัยของเหลียนอันสุ่ย

“เสิ่นชิงอีเป็นคนฝึกนางรำให้กับกรมพิธีการ  ถือเป็นหัวหน้าของฝ่ายร้องรำ  รับผิดชอบจัดชุดการแสดงในพิธีบวงสรวงและงานเฉลิมฉลองต่างๆ  นับว่าเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามอย่างยิ่งจริงๆ  มีคนมากมายปรารถนาในบุปผางาม  แต่ติดกริ่งเกรงอำนาจยิ่งใหญ่ที่หนุนหลังนางอยู่” ขณะกล่าวดวงตาสีฟ้าเป็นประกายดุจกำลังระลึกถึงรูปโฉมอันน่าประทับใจของผู้ถูกเอ่ยนาม 
“อำนาจที่หนุนหลังนาง ?” เหลียนอันสุ่ยกังขา
หานญื่อหลัวตอบว่า
“เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน”...!
---------------------
ไอน้ำในอ่างคล้ายหมอกเลือนรางที่คลี่คลุมความลับอันมิอาจเอื้อนเอ่ย  บดบังไมตรีและความผูกพัน  ซุกซ่อนความทรงจำและความโหยหา  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยจับจ้องกลุ่มควันสีขาวที่อบอุ่นแต่มิอาจจับต้อง  ดุจเดียวกับใจของท่าน...ที่แท้มีข้าหรือไม่หนอ 
เราใช่จะจากกันในลักษณะเช่นนี้หรือ  ค่อยๆเหินห่าง  มิพบหน้า  มิยินเสียง  มุมปากคล้ายปรากฏรอยยิ้มบางๆขึ้นมาวูบหนึ่ง  เสียงหายใจหอบถี่คล้ายกับมีความรวดร้าว  ปลายนิ้วยึดกุมขอบอ่าง  หางคิ้วปรากฏเค้าทุกข์ทรมาน  ความทรงจำที่ไล่ไม่ไปวนเวียนรุมเร้า  เหตุใดต้องคิดถึง  เหตุใดมิอาจลืมเลือน ?

ใบหน้ายิ่งมายิ่งเผือดขาว  ดวงตาทอแววเหลือเชื่อ  ตื่นตระหนกเมื่อพบว่าตัวเองเกิดอารมณ์ปรารถนา  ถ้อยความที่ก่อนหน้านี้ฟังไม่เข้าใจพลันกระจ่างขึ้นมา
‘...ท่านบอกว่า‘เขาจะเปลี่ยนข้า’ ท่านหมายถึงอะไร ?’
‘...หมายความว่าเขาจะเปลี่ยนให้ท่านไม่มีปัญญาไปจากเขา’
ไม่มีปัญญาไปจากเขา  ไม่มีปัญญา...  ร่างสูงโปร่งสะท้านเฮือก  ในที่สุดก็เข้าใจว่าฉีเซี่ยงหยวนกำลังทำอะไร 
เหลียนอันสุ่ยพยายามดิ้นรนที่จะไม่รัก  แต่กลับลืมนึกถึงบ่วงพันธนาการที่เรียกว่า ความใคร่
‘...หลังจากนี้อย่าขึ้นเตียงกับเขา...’
คำเตือนของหานญื่อหลัวสายไปเสียแล้ว  เพราะกระทั่งหานญื่อหลัวก็คิดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่เกิดขึ้นจะสานต่อกันมานานจนเกินแก้ไข  คนมิได้อยู่ร่วม  แต่รสชาติที่เคยถูกแตะต้องกลับเป็นพิษร้าย

มิน่าเล่าฉีเซี่ยงหยวนจึงไม่เคยอนุญาตให้ปฏิเสธสัมผัส  เพราะฉีเซี่ยงหยวนรู้ดีว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่แน่นอนที่สุดที่จะมีอำนาจเหนือเขา  มีอำนาจเหนือความคิด  มีอำนาจเหนือร่างกาย  บุรุษที่แท้จริงแล้วมิใช่คนมักมากถึงได้เรียกร้องเอาจากเขาอยู่เสมอ  เหลียนอันสุ่ยครางออกมาอย่างสิ้นหวัง 

ทำไมจึงไม่เฉลียวใจเลย  ทั้งๆที่ทุกประการชัดเจนตั้งแต่คืนที่ความโหยหาบดบังทุกสิ่ง  ชัดเจนว่าร่างกายของเขา...ถูกปรนเปรอจนกำลังจะขาดอีกฝ่ายไม่ได้ !
เขาช่างโง่เขลา  อันที่จริงควรจะเฉลียวใจนานแล้ว เพราะมันไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย  ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอดีตภรรยาเป็นความอ่อนหวานทะนุถนอม  แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบุรุษผู้นั้นกลับเหมือนเปลวไฟที่กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง  ทำลายความยับยั้งชั่งใจ  ทำลายความรู้สึกผิดชอบชั่วดี  เหลือแต่ความโหยหาปรารถนาที่ตะกละตะกลาม  คล้ายกับยามอมเมาสติให้ปรารถนามากขึ้น  มากขึ้น โดยไม่รู้จักพอ 

เหลียนอันสุ่ยกระทั่งนึกก็นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะตกเป็นทาสของอารมณ์พิศวาส  ความสามารถในการควบคุมตัวเองที่มีตลอดมาสลายหายไปเมื่อต้องขึ้นเตียงกับบุรุษผู้นั้น  สวรรค์  นี่มันฝีมือใดกัน  คนผู้หนึ่งไม่สมควรจะมีอำนาจเช่นนี้ !

ตอนแรกเขาเพียงเข้าใจว่าความจัดเจนของฉีเซี่ยงหยวนเป็นเพียงอุปสรรคที่ทำให้ยากปฏิเสธ  แต่กลับลืมนึกไปว่าความใคร่ก็ถูกจัดไว้เช่นเดียวกับความโลภ  ในเมื่อผู้คนสามารถตกเป็นทาสของทรัพย์สินเงินทอง  เหตุใดจึงมิอาจตกเป็นทาสของความปรารถนาทางกาย ?
---------------------
“ออกไป ! ” เสียงตวาดไล่หลัง  ร่างบอบบางในอาภรณ์ไม่เรียบร้อยสองนางวิ่งออกมาจากห้องส่วนตัวของเป่ยชางอ๋องอย่างลนลาน
หลิวฉางเฟยเหลือบตามองโฉมงามหยาดเยิ้มที่เข้าไปไม่ทันไรก็ต้องล่าถอยออกมา  พลางสาวเท้าก้าวสวนเข้าไปในห้อง 
บนเตียงหลังใหญ่ดูยุ่งเหยิง  ส่วนเจ้าของห้องกลับย้ายตัวเองมาอยู่บนเก้าอี้  มือมีจอกสุรา  ปากพึมพำว่า
“ไม่เหมือนกัน  ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน...”
ดวงตาทรงอำนาจมีประกายเจ็บปวดโหยหา  แม้พยายามหาคนอื่นมาทดแทน  ยังคงมิอาจแทนกันได้  เพราะคนที่เขาต้องการมีเพียงคนเดียว
สุราแม้อาจมอมเมาผู้คน  แต่ฤทธิ์ของมันเทียบไม่ได้กับความรัก  คนเมาสุราไม่พ้นชั่ววันก็สร่าง  แต่หากสิ่งที่มอมเมาท่านเป็นความรัก...บางครั้งกระทั่งเวลาชั่วชีวิตก็อาจไม่เพียงพอ
---------------------
จันทราโดดเดี่ยวกระจ่างฟ้า  เมฆที่ลอยสูงเคียงคู่กันมาพลันผละห่าง  ไอเย็นเยือกทิ้งตัวลงสัมผัสเงาไม้ที่ปราศจากใบ

เหลียนอันสุ่ยแนบฝ่ามือกับใบหน้าที่หลับสนิทของบุตรชาย  ตั้งแต่ความสัมพันธ์อันผิดบาปเริ่มต้นขึ้น  เหลียนอันสุ่ยก็มิอาจมองหน้าเด็กคนนี้ได้อย่างสนิทใจอีกเลย  ส่วนเหลียนจิ้งเต๋อก็สัมผัสได้ว่าบิดามีบางอย่างเปลี่ยนไป  ในสายตาที่มองสบมาจึงมักมีความคลางแคลงที่เจ้าตัวไม่กล้าเอ่ยถาม  เหลียนอันสุ่ยเองก็ไม่ต้องการจะตอบ  ไม่ต้องการสรรหาคำโกหกมาหลอกลวงบุตรชาย  จึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการพบหน้า  เพียงมักลอบมองดูจากที่ไกลๆ  มักถามไถ่เรื่องราวจากปากผู้อื่น  และมักมาเยือนในยามที่เหลียนจิ้งเต๋อหลับไปแล้ว  ดั่งเช่นวันนี้

หากปลายนิ้วที่ไล้ไปตามผิวแก้มอ่อนเยาว์กลับสั่นระริก
เหลียนอันสุ่ยมองมือที่สั่นระริกของตัวเองอย่างซึมเซา  ยอมรับว่าครั้งนี้ตัวเองหวาดกลัวจนต้องใช้บุตรชายเป็นที่ยึดเหนี่ยว  อาการนอนไม่หลับยิ่งมาก็ยิ่งรุนแรง  ทั้งไม่ต้องการกลับไปหาเตียงที่เต็มไปด้วยความทรงจำหลังนั้น

น่าเสียดายที่อาการของเขา...กลับสาหัสจนเกินเยียวยา  ที่ๆเคยทำให้สงบใจได้ตลอดมามิอาจช่วยเหลือได้อีกแล้ว  กระทั่งอยู่ต่อหน้าบุตรชาย  อยู่ต่อหน้าสายเลือดอีกครึ่งหนึ่งของเหวินจี  ใจของเขายังคงคิดถึงบุรุษที่ทรงศักดิ์สูงสุดในแคว้นเป่ยชาง  ร่างกายยังคงปรารถนาอีกฝ่าย

 มันเป็นความผิดพลาด  ข้าไม่ควรดื่มน้ำชาถ้วยนั้นของเฉินเสีย  ยิ่งไม่ควรปล่อยให้คนผู้นั้นวนเวียนอยู่ข้างกายทั้งๆที่สังหรณ์แต่แรกว่าเขาไม่เหมือนอวี้เฉียน

ข้าคุ้นชินกับการมีผู้คนอยู่ข้างกายโดยพวกเขาเหล่านั้นมิได้สัมผัสลงไปถึงหัวใจข้า  ข้าเคยคุ้นชินกับความโดดเดี่ยวอ้างว้าง  แต่บัดนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว  เพราะท่านทำให้ข้าเปลี่ยนไป  ความโดดเดี่ยวอ้างว้างกลายเป็นสิ่งที่ยากจะทนทานรับไหว

ในตอนแรกข้าเข้าใจว่าตัวเองสามารถแบ่งแยกความรู้สึกออกจากกัน  ตอนกลางคืนชดใช้ให้กับท่านตามข้อแลกเปลี่ยน  ส่วนในยามกลางวันก็กลับมาเป็นตัวข้า  แต่ข้าผิดพลาดแล้ว  จิตใจของคนเราแท้จริงไม่สามารถแบ่งแยกได้มาก่อน

ท่านชอบพาตัวเองมาอยู่รอบกายข้า  ส่วนข้าก็ไม่มีอำนาจไล่ท่านไป  และลึกๆแล้วใจก็มิได้อยากไล่เลย  เพราะข้าหวังอยู่ตลอดมาว่าความสัมพันธ์ของเราจะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นมิตรสหาย  วันเวลาสิบกว่าปีในราชสำนักแคว้นเหลียน เพิ่งจะมีท่านเป็นคนแรกที่ข้าคิดว่าเราจะเป็น ‘เพื่อน’ กันได้จริงๆ  แต่ข้าก็ผิดพลาดแล้ว  ตั้งแต่ต้นมาสวรรค์ก็มิได้อนุญาตให้เราเป็นเพื่อนกันและท่านก็มิได้มองข้าเป็นเพื่อนเลย

ช่วงแรกข้าแม้ยังระมัดระวังท่านอยู่มาก  แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับไว้วางใจท่านโดยไม่รู้ตัว  และเมื่อท่านเอ่ยถึงความไว้วางใจในกระโจมหลังนั้น  ความระมัดระวังที่ข้าเคยมีก็ไม่คงอยู่อีกต่อไป  นี่ก็เป็นความผิดพลาด  และยิ่งผิดพลาดโดยมิอาจแก้ไขในคืนก่อนศึกสงครามที่เมืองอู๋เล่ย  เพราะหลังจากคืนนั้นข้าก็สัมผัสได้ว่าสายตาที่ท่านมองข้าได้เปลี่ยนไปแล้ว

ตัวข้ามิได้ต่างจากหลันเซียงเลย  นางรู้ตัวเมื่อสาย ส่วนข้าแม้รู้ดีอยู่แล้วว่าเราห่างกันแค่ไหน  แต่คำว่า ‘รู้’ กับ ‘รู้ซึ้ง’ นั้นแตกต่าง   คนเราจะ ‘รู้ซึ้ง’ ได้ก็ต่อเมื่อได้พบเจอสัมผัสด้วยตัวเอง  เมื่อมาถึงแคว้นเป่ยชาง  เมื่อท่านเอาชนะองค์ชายรอง  ข้าถึงเพิ่งรับทราบอย่างแท้จริงว่าระยะห่างระหว่างเรามากมายจนไม่อาจถมเต็ม !

ที่แคว้นเหลียนท่านเป็นองค์ชายสี่  ข้าเป็นพระมาตุลาสิ้นแคว้น  แต่ไม่ว่าจะอย่างไรท่านยังคงให้เกียรติข้าอยู่มากและปฏิบัติดุจเราเท่าเทียมกัน  หากตอนนี้ท่านคือเป่ยชางอ๋อง  แผ่นดินเป็นของท่าน  แคว้นเหลียนเป็นของท่าน  อดีตเชื้อพระวงศ์เช่นข้าก็เป็นเพียงของชิ้นหนึ่งที่เป็นกรรมสิทธ์ของท่านโดยชอบธรรม

ทำไมท่านจะต้องเอาพันธนาการที่เรียกว่าความใคร่มาผูกซ้ำไว้อีก  ทั้งๆที่เพียงแค่พันธนาการที่เรียกว่าอำนาจข้าก็มิอาจดิ้นหลุดแล้ว...?
---------------------
เท้าของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนกำลังจะเหยียบออกไปนอกห้อง  แต่สุดท้ายกลับเปลี่ยนใจชักกลับ  เดินย้อนมาที่โต๊ะทำงานซึ่งจัดวางม้วนฎีกาสูงท่วมศีรษะ

หลิวฉางเฟย คนสนิทที่กลั้นหายใจด้วยความเขม็งตึงเครียดค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ  ไม่ทราบเป็นความเสียดายหรือความโล่งอก
ตั้งแต่ขุนนางผู้สูงวัยจางจื่อหยูได้ข่างพฤติกรรมที่กลับมา ‘เข้ารูปเข้ารอย’ ของต้าอ๋องก็มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น  แอบกระซิบให้หลิวฉางเฟยช่วยจับตามองเอาไว้ให้ดีๆ  แต่ตัวหลิวฉางเฟยเองเมื่อเห็นพฤติกรรมเมื่อครู่วนซ้ำถึงรอบที่แปดก็พบว่าตัวเองภาวนาให้นายเหนือหัวตัดสินใจก้าวๆออกไปซะ  ความทุกข์ทรมานที่ต้องทนดูพฤติกรรมที่วนเวียนซ้ำไปมาด้วยจิตใจอันตึงเครียดจะได้จบๆไปเสียที!

คนภายนอกเพียงเห็นว่าต้าอ๋องโหมงานหนัก  ขยันจัดประชุมขุนนาง  แล้วก็ไม่เห็นอะไรอีก  แต่คนสนิทเช่นหลิวฉางเฟยกลับพบว่าฉีเซี่ยงหยวนดื่มสุราบ่อยอย่างยิ่ง  ในรอบสองอาทิตย์นี้ต้าอ๋องหลับไปทั้งๆที่เมามายถึงสี่ครั้งด้วยกัน  คนที่ดื่มสุราไม่เมามายถึงกับเมามายไปสี่ครั้ง !  ปริมาณที่ดื่มลงไปน่ากลัวมากพอจะอาบได้

ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปขณะทำงาน  ไม่ว่าจะฟังรายงานหรืออ่านฎีกาล้วนจดจ่อจนผิดปรกติ  ราวกับเกรงว่าถ้าตัวเองเสียสมาธิเมื่อใดจะต้องนึกถึงสิ่งที่ไม่ต้องการจะนึก  นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่อารมณ์เสียถี่ขึ้น  ในสองอาทิตย์นี้ถ้าหลิวฉางเฟยทัดทานไว้ไม่ทัน  ห้าครอบครัวจะต้องสูญเสียหัวที่วางอยู่บนบ่าแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนแม้มีมุมที่โหดร้าย  แต่มิใช่คนที่เหี้ยมโหดถึงขนาดนี้
หลิวฉางเฟยรู้แน่แก่ใจว่าคนเดียวที่สามารถทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้คือเชื้อพระวงศ์ต่างแคว้นผู้นั้น  แต่ก็นั่นแหละ...สายสัมพันธ์ต้องห้าม  กำแพงที่สูงเทียมฟ้า  จะคงอยู่หรือเลิกราล้วนเจ็บปวดมิต่างกัน... 


==========
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์ 
ไม่อยากจะบอกว่าทุกครั้งที่เห็นคนแนะนำนิยายเรื่องนี้ในหน้าแนะนำนิยายเป็นอะไรที่ปลื้มปริ่มมาก :hao5:
ขอบคุณที่รักนิยายเรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 23-08-2014 22:20:10
 :katai2-1:
อ่านแล้วซึ้งมากเลยพระปิตุลา เป็นคนดีมาก ๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 24-08-2014 13:00:25
ช่วยใส่วันที่ด้วยได้ไหมคะ จะได้รู้ว่าอัพแล้ว ><

ยิ่งอ่านยิ่งสงสารต้าอ๋อง ฮื้อ...
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: pasallatel ที่ 26-08-2014 18:20:19
สงสารเหลียนอันสุ่ยจัง แต่ก็ทั้งคู่แหละค่ะ
ดูน่าสงสารพอกันทั้งคู่เลย
ต่างคนตั้งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับตัวเอง
  :เฮ้อ: มันหน่วงงง.......จิตตตตต
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 26-08-2014 18:28:43
เข้ามารอ ตอนต่อไป

รักต้าอ๋องรักเหลียนเหลียน :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 27-08-2014 16:39:22

บทที่ 29 มิอาจขาดท่าน

แต่ละวันล่วงเลยผ่าน  แต่ละคืนยาวนานเหมือนเป็นปี  คนสองคนต่างนอนมิหลับ  ต่างคิดถึงคะนึงหา  ราวสวรรค์กำลังลองใจว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายทนทานรับมิได้ก่อน
 
ฉีเซี่ยงหยวนแม้คิดถึงอีกฝ่ายแทบตาย  แต่ก็เพียรเฝ้าบอกตัวเองให้รอ  อยากให้ผู้อื่นเป็นฝ่ายมาหา  นานวันเข้าความเจ็บปวดไม่ได้ดั่งใจกลับกลายเป็นทิฐิและความดึงดัน  เหตุใดจึงมีแต่เขาที่เอาแต่คิดถึงอีกฝ่ายมากมาย  ส่วนคนใจแข็งอย่างไรก็ใจแข็งอยู่อย่างนั้น  ให้มันรู้กันไปสิว่าเหลียนอันสุ่ยมิได้คิดถึงเขาเลย!

ฉีเซี่ยงหยวนทะเลาะกับทิฐิ  ส่วนเหลียนอันสุ่ยขัดแย้งกับกำแพงที่ตัวเองสร้างขึ้น  กำแพงที่เรียกว่าความไม่เหมาะสม  กำแพงที่เรียกว่าความจริง  รอบตัวเหลียนอันสุ่ยมีกำแพงอยู่หลายชั้น  และไม่ว่าจะกำแพงชั้นใดๆล้วนมิอนุญาตให้เขาคิดถึงฉีเซี่ยงหยวน

บางครั้งคนเราก็ชอบตั้งเงื่อนไขให้กับความรัก  โดยมิได้รู้เลยว่าคนที่ท่านทำร้ายก็มีแต่ตัวท่านเองกับคนที่รักท่าน
---------------------
คืนนี้ลมแรงครางหวืดหวืออยู่เหนือน่านฟ้า  แรงจนคล้ายสามารถพัดพาเอาทิฐิให้กระจัดกระจายหายไป  จันทร์สลัวมิอาจส่องลอดสายลม  โคมตะเกียงในห้องยังคงอบอุ่น

อากาศด้านนอกเหน็บหนาว  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับสั่นสะท้านด้วยความร้อนผ่าวที่ไม่ยินยอมจางหายไป 
พระมาตุลาแคว้นเหลียนอาบน้ำมาได้สักพักแล้ว  แต่มันก็มิได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น  เหลียนอันสุ่ยแม้สามารถเสาะหาคนมาระบายสิ่งเหล่านี้ออกไป  แต่ก็ทราบว่าไม่มีประโยชน์  มีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเติมเต็มความรวดร้าวว่างเปล่านี้

ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจเสียงลมครืนครั่น  บุรุกล่วงล้ำเข้ามาในตำหนักผู้อื่นหน้าตาเฉย  ใช้สิทธิอำนาจของเป่ยชางอ๋องอย่างเต็มที่  เมื่อผลักเปิดประตูไม้  กราดสายตาไปเห็นเงาร่างในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มตะแคงขดอยู่บนเตียงหลังงาม  อารมณ์ที่ไม่สงบราบเรียบนักก็เดือดดาลขึ้นมาทันที  เขาคิดถึงอีกฝ่ายจนนอนไม่หลับมาครึ่งเดือน  คิดไม่ถึงเหลียนอันสุ่ยกลับนอนหลับอย่างสุขสงบยิ่ง!
เท้าค่อยๆย่างสามขุมเข้าไปอย่างเงียบเชียบ  เสียงลมยังคงดังแต่สงบลงมากแล้วเมื่อเข้ามาอยู่ในห้องหับที่ปิดหน้าต่างมิดชิด  ประสาทหูปราดเปรียวพลันได้ยินเสียงหอบหายใจ  เมื่อก้าวเข้าใกล้ก็ยิ่งต้องเบิกตากว้าง  ร่างสูงโปร่งที่เขาคะนึงหาคล้ายสั่นสะท้านไม่หยุด  ปลายนิ้วเรียวงามจิกลงกับผ้าคลุมเตียง  ใบหน้าแดงเรื่อซบอิงกับหมอน  ดวงตาหลับแน่นด้วยความทรมาน  หว่างคิ้วแฝงความรวดร้าว  ทั่วทั้งร่างบิดกระสับกระส่าย

พริบตานั้นความเดือดดาลพลันหายไป  เหลือเพียงความห่วงใยที่ท่วมทะลักเข้ามา
“ท่านเป็นไรไปแล้ว ?”
เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดวงตาที่หลับอยู่ก็ลืมขึ้นมาช้าๆ  เหลียนอันสุ่ยชันตัวขึ้นด้วยท่าทีอ่อนแรงอยู่บ้าง  เส้นผมยาวทิ้งตัวลงมาปรกหน้า  ดวงตาคู่งามที่มองลอดม่านผมออกมามีเค้าของความงุนงงตื่นตระหนก  และก็แฝงความอ่อนเชื่อมจากแรงปรารถนา  ดูราวกับเป็นภาพมายาฝัน 

ดวงตาของคนเป็นต้าอ๋องยิ่งเบิกกว้างเข้าไปอีก  แทบไม่กล้าผ่อนลมหายใจ 
เป็นจังหวะเดียวกับที่เหลียนอันสุ่ยมิอาจทรงตัวคว่ำหน้าลงมา  ฉีเซี่ยงหยวนรีบยื่นมือเข้าไปประคองรับไว้  เมื่อสัมผัสพบว่าร่างอีกฝ่ายร้อนราวกับไฟก็ยิ่งร้อนรน  ดึงร่างสูงโปร่งเข้ามาไว้ในอ้อมกอด  ลอบตำหนิตัวเองที่เอาแต่ตะลึงลานกับรูปโฉมงดงามยั่วยวนใจ  ถามซ้ำอีกครั้ง
“ท่านเป็นไรไปแล้ว ?”
“ข้า...  อือ...” เสียงแผ่วเบาไม่ทันเป็นประโยคก็พร่าเลือนเข้ากับเสียงครางในลำคอ  ร่างบิดเกร็งเมื่อความร้อนรุ่มแทรกเข้ามาอีกระลอก  สติรับรู้เลือนราง  เข้าใจว่าตัวเองเพียงแค่ฝันไป  นี่เขาต้องการฉีเซี่ยงหยวนจนถึงขั้นฝันถึงเลยหรือ ?   เหลียนอันสุ่ยคิดอย่างปวดร้าว
ฉีเซี่ยงหยวนเอะใจ โอบร่างสูงโปร่งเข้ามาแนบชิด  ...เหลียนอันสุ่ยไม่ได้เป็นไข้  ใจที่เดือดร้อนค่อยๆเย็นลงอย่างแช่มช้า  เหลือบมองคนที่ทุกข์ทรมานในอ้อมกอด  กดความรู้สึกผิดที่ทำท่าจะล้นขึ้นมาลงไป  เขาตกลงใจแล้วมิใช่หรือ  ว่าจะใช้ทุกวิถีทางพันธนาการอีกฝ่ายเอาไว้  ใจของท่านไม่เป็นของข้าก็ไม่เป็นไร  แต่ร่างกายของท่าน  วิญญาณของท่านคะนึงหาข้าได้แค่คนเดียว !
เมื่อใจเย็นลงสายตาก็กระจ่างชัดขึ้น  ชุดที่สวมอยู่บนร่างของเหลียนอันสุ่ยมิใช่ชุดนอนแต่เป็นชุดคลุมอาบน้ำสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำซึ่งตัดกับผิวขาวแบบชาวเหลียนจนผุดผาดนวลเนียน  กลายเป็นความเย้ายวนในความสูงศักดิ์  เปลี่ยนความหมายของเฉดสีน้ำเงินอันสงบลึกล้ำไปโดยสิ้นเชิง  เสื้อผ้าชั้นเดียวที่ทึบแต่เบาบาง  ชุดคลุมอาบน้ำที่สวมทับอยู่บนร่างเปลือยเปล่า ทำให้เขาดูไปน่ารุกล้ำกว่าเดิม  เพียงคิดว่าร่างร้อนผ่าวนี้กระสับกระส่ายรอคอยอยู่นานเท่าใด  หัวใจก็พลอยร้อนผ่าวขึ้นมา  หากสายตาคมกริบกลับแฝงแววเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ

ฉีเซี่ยงหยวนสอดมือเข้าไปลูบคลำช่วงขาเพรียวยาว  เลิกชายอาภรณ์ให้พ้นไปจากเรียวขาเปลือยเปล่าคู่นั้น  ร่างปวกเปียกที่แนบกับเขาสั่นสะท้านน้อยๆ  เสียงหอบครางรุนแรงกว่าเดิม  แสงโคมไล้ลงบนผิวกายละมุน  เรียวขาของเหลียนอันสุ่ยเย็นนิดๆ  กลิ่นกายสะอาดหมดจดเพราะเพิ่งอาบน้ำ  แต่เมื่อไล่สูงขึ้นไปถึงต้นขาปลายนิ้วก็สัมผัสถึงอุณหภูมิที่ร้อนรุ่มขึ้นทีละน้อย

สัมผัสของฉีเซี่ยงหยวนอ่อนโยนทะนุถนอมยิ่ง  หวนคิดถึงคืนแรกว่าเรียวขาคู่นี้ต่อต้านเขาอย่างไร  มอบความสุขให้เขาอย่างไร  แล้วก็เลื่อนสูงขึ้นไปอีกตามแนวข้างลำตัว  แถบรัดเอวกว้างกุ๊นขอบสีทองทำให้ช่วงเอวดูเพรียวบาง  ฝ่ามือใหญ่ไล้อย่างแช่มช้าผ่านลายสีทองที่กระหวัดสานดุจตาข่ายบนสายรัดเอว  แล้วค่อยย้อนกลับไปยังเรียวขาคู่นั้นอีก  จงใจหลีกเลี่ยงผิวส่วนที่ไวความรู้สึก  เพียงลูบคลำอย่างผิวเผินแผ่วเบา 

คิ้วของเหลียนอันสุ่ยขมวดแน่น  ตาที่ปรือขึ้นน้อยๆมีแววไม่เข้าใจ  และก็คล้ายกับแฝงความหมายเรียกร้อง  ฉีเซี่ยงหยวนถูกอากัปกิริยาช้อนมองผ่านแพขนตาละเอียดดึงดูดอย่างรุนแรง  ใบหน้าหมดจดเคลื่อนมาอยู่ใกล้แค่เอื้อม  และพริบตาต่อมาบุรุษผู้มีศักดิ์ฐานะอยู่เหนือชาวเป่ยชางทั้งแคว้นก็ต้องเบิกตากว้าง  เมื่อกลีบปากละมุนเป็นฝ่ายประกบเข้ากับเรียวปากของเขา!

เรียวปากนุ่มๆ อ้าน้อยๆ บดเบียดกับริมฝีปากหนา  ยินยอมให้ลิ้นร้อนแทรกลึกเข้าไปในโพรงปาก  ฉีเซี่ยงหยวนตอบรับการเรียกร้องร้อนแรงที่เสนอให้ด้วยความเต็มใจ  จูบที่ดูดดื่มเช่นนี้เป็นฉีเซี่ยงหยวนสอนให้กับเหลียนอันสุ่ย  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับพบว่าเมื่อเป็นเรียวปากคู่นี้ตัวเขากลับสูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเอง  ต้องการมากขึ้น...มากขึ้น  ไม่เพียงพอ
เรียวปากสั่นสะท้านของเหลียนอันสุ่ยยังคงคลอเคลียกับเรียวปากหนาขณะพึมพำว่า
“ครอบครองข้า”
ความปรารถนาของเหลียนอันสุ่ยในตอนนี้เลยขีดของคำว่ายับยั้งชั่งใจไปนานแล้ว  เสียงพึมพำแผ่วเบาฟังดูแหบพร่าเชิญชวนอย่างไรบอกไม่ถูก  มือทั้งคู่โอบรอบลำคอหนา  ดวงตาที่เป็นประกายดุจน้ำค้างกลับหรี่ปรือเหลือแค่ครึ่งเดียว
ฉีเซี่ยงหยวนสอดมือเข้าไปในกลุ่มผมนุ่มสลวยที่ยิ่งดำสนิทเมื่อระอยู่บนเสื้อผ้าสีเข้มของเจ้าตัว  ดึงรั้งศีรษะของพระมาตุลาแคว้นเหลียนเข้ามาจูบอีกครา  มืออีกข้างรวบบั้นเอวจัดให้ร่างสูงโปร่งเปลี่ยนมาคุกเข่าอยู่บนตักแกร่ง

มือเรียวงามที่โอบรอบคอของเหลียนอันสุ่ยโอบแน่นเข้า  เมื่ออีกฝ่ายปลุกเร้าเขาตรงหว่างขา  ใบหน้าเนียนซบลงกับบ่ากว้าง  แต่มิอาจกลั้นเสียงครางสั่นสะท้าน  รู้สึกเหมือนกับกำลังถูกเหวี่ยงไปมาอยู่บนปากเหวของความสุขสม  สะโพกเพรียวขยับเข้าหาฝ่ามือใหญ่โดยไม่รู้ตัว

ฉีเซี่ยงหยวนซอกซอนริมฝีปากไปตามช่วงคอหอมกรุ่น  เงี่ยฟังเสียงครวญครางหวานหู  ทราบว่าต้องปลุกเร้าอย่างไร  ทุกตารางนิ้วบนร่างกายอีกฝ่ายล้วนเป็นของเขา  และก็ทราบว่าต้องทำเช่นไรเหลียนอันสุ่ยจึงเข้าใกล้ความรู้สึกปลดเปลื้องแต่ยังไปไม่ถึง
ใช่แล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดจะให้เหลียนอันสุ่ยมีความสุขเร็วไปนัก  ไม่มีใครเคยทรมานเขาได้เท่าบุรุษตรงหน้า  ทรมานกับความต้องการ  ทรมานกับการเฝ้ารอ  ทรมานกับความคิดถึงคะนึงหา  รวมถึงทรมานกับความรู้สึกหึงหวง  ฉีเซี่ยงหยวนเคยพยายามทำตัวเป็นคนดี  แต่พบว่าการทำตัวเป็นคนดีไม่ใช่ตัวเขาเลย  พอกันที!  วันนี้เขาต้องเค้นออกมาให้ได้ว่าคนไม่มีหัวใจที่แท้เคยมีความรู้สึกอันใดต่อเขาหรือไม่!

ความคิดร้ายกาจ  หากลึกๆในใจกลับเป็นห่วงสภาพร่างกายอีกฝ่ายอยู่บ้าง  เหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนไปจนเหมือนคนละคน  พระมาตุลาที่รู้จักยับยั้งชั่งใจ  กลายเป็นบุรุษที่แทบไม่อาจทนทานรับการปลุกเร้า  ฉีเซี่ยงหยวนรู้  เขาได้อีกฝ่ายมาแล้ว  ได้มาอย่างสมบูรณ์  ไม่ว่าเจ้าตัวจะยอมรับหรือไม่  แต่หลังจากนี้เหลียนอันสุ่ยขาดเขาไม่ได้อีกแล้ว 
เพียงแต่ว่า...  หลังจากรู้ความจริงข้อนี้พระมาตุลาแคว้นเหลียนจะรับได้หรือไม่หนอ ? 

ช่างเถอะ  เรื่องของวันพรุ่งนี้ก็คือเรื่องของวันพรุ่งนี้  เหลียนอันสุ่ยเกลียดเขาก็ดี  คนที่ไม่เคยเกลียดใครมาตลอดชีวิตเกลียดเขาเป็นคนแรก  เชื่อว่าในใจของเหลียนอันสุ่ยคงไม่มีทางลืมเขาได้ตลอดกาล  ในเมื่อเป็นคนที่ท่านรักไม่ได้  ก็เป็นคนที่ท่านเกลียดเถอะ!  ฉีเซี่ยงหยวนคิดพลางก้มลงมองใบหน้าขาวที่แดงระเรื่อด้วยความปรารถนา  คำถามอีกประการหนึ่งก็ผุดขึ้นมา

ถ้าคืนนี้เขาไม่มาหรืออีกฝ่ายตั้งใจจะทนทรมานกับความต้องการไปเรื่อยๆ ?  ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยินยอมไปหาเขา?  ประเสริฐมาก  การรอคอยของเขาสูญเปล่าโดยแท้  ฉีเซี่ยงหยวนกัดฟันกรอด  สอดมือเข้าไปในข้อพับดึงให้ขาทั้งสองข้างพาดอยู่กับตัก
เหลียนอันสุ่ยยึดบ่ากว้างอย่างตื่นตระหนก คล้ายเพิ่งสำนึกได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร  ปลายนิ้วสากสอดเข้ามาส่งความรู้สึกเสียวสะท้านปราดไปทั้งกาย  ไม่  ไม่ใช่ความฝัน  ฉีเซี่ยงหยวนกำลัง... เฮือก  ปลายนิ้วสากมิได้เย็นก็จริง  แต่เมื่อเทียบกับภายในร่างที่ร้อนจนแทบจะลุกเป็นไฟกลับให้ความรู้สึกที่เด่นชัดยิ่ง  ความรู้สึกรวดร้าวว่างเปล่ายิ่งชัดเจน  เรียวขาหนีบแน่นเข้ากับหว่างเอวแกร่ง  แต่ปลายนิ้วที่ล่วงล้ำกลับหยุดชะงักเสียเฉยๆ

“ท่านต้องการขนาดนี้ทำไมไม่ใช้ให้คนไปหาข้า” เสียงพร่าต่ำคุกรุ่นด้วยโทสะมีแววคาดคั้นชัดเจน  ทั้งโมโห ทั้งปวดร้าว
เหลียนอันสุ่ยขบริมฝีปากสกัดกั้นความรู้สึกว่างเปล่าที่แล่นมาจรดลำคอ  ตื่นตระหนกกับความคิดวูบหนึ่งที่นึกอยากให้ร่างกายอีกฝ่ายบดขยี้เขา สั่นระริกรุนแรงไปทั้งร่างเมื่อปลายนิ้วอีกฝ่ายใช้ส่วนที่สากที่สุดเสียดสีกับผิวส่วนที่อ่อนไหวที่สุดในกาย
“ตอบ!” เสียงเค้นมีแววบังคับ
“ข้า...ไม่...อ๊ะ” ปลายนิ้วสากเคลื่อนไหวอีกครา  ยังจะบ่ายเบี่ยงไม่ตอบอีก !
“ถ้าท่านไม่ตอบข้าจะไปจริงๆ ” น้ำเสียงเฉียบขาดเย็นชา  ทำท่าจะดึงมือออกจริงๆ
เหลียนอันสุ่ยถูกความปรารถนาต้อนจนจนมุม  ได้แต่ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านว่า
“ท่าน...ท่านต้องการให้ข้าไปหาท่านด้วยฐานะใด? ” ของเล่นของท่าน ?  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยมีความปวดร้าวที่เจ้าตัวเหนื่อยล้าเกินกว่าจะปิดบังขณะเงยสบกับแววตาคาดคั้น  ...ตัวประกันสงครามเช่นข้าใช้สิทธิ์ใดไปขอพบต้าอ๋อง ?
คนฟังนิ่งอึ้งไป  อึ้งกับความเจ็บปวดในแววตาอีกฝ่าย  อึ้งกับคำพูดแต่ละคำที่ค่อยๆย้ำลึกลงไปในหัวใจอย่างแช่มช้า

“ต้าอ๋อง  ท่านที่แท้...ที่แท้ยึดถือข้าเป็นอะไรกันแน่” ภายนอกท่านให้เกียรติข้า  แต่กลับใช้วิธีการเช่นนี้มาเหยียดหยามข้า  หรือว่าลึกๆท่านยังเข้าใจว่าข้าเคยเป็นของเล่นของอวี้เฉียน  น่าแปลกที่คนซึ่งไม่นำพากับสายตาผู้อื่นว่าจะมองตัวเองอย่างไรเช่นข้า  เมื่อคิดว่าท่านมองข้าเช่นนี้จิตใจกลับเจ็บปวดจนยากจะทนทานรับไหว

“...คนรักของข้า” คำตอบของฉีเซี่ยงหยวนแผ่วเบาแต่หนักแน่น  ดุจเดียวกับจูบของเขาที่ประทับลงบนเรียวปากบาง
เหลียนอันสุ่ยเบิกตากว้างกับคำตอบที่คาดไม่ถึง
...คนรัก...?
ในหัวปรากฏภาพอดีตคนรักของบุรุษตรงหน้า  จิตใจยิ่งแตกตื่นลนลาน
“ข้าไม่ใช่หลันเซียง...ถึงแม้ข้าจะเป็นของเล่นของท่านเช่นเดียวกับนาง  แต่ข้าไม่ใช่หลันเซียง” ข้าจะไม่มีวันรักท่าน  เพราะข้ารักท่านไม่ได้ !
เหลียนอันสุ่ยพูดพลางดิ้นรนหลบหนีจากเรียวปากหนา  หากมือแข็งแกร่งที่โอบอยู่ที่เอวเลื่อนขึ้นมากุมท้ายทอยบังคับให้เรียวปากนุ่มละมุนหันหลับมา  ฉีเซี่ยงหยวนจูบไล่ไปจนถึงใบหู  แล้วกระซิบแผ่วเบา
“ท่านไม่ใช่หลันเซียง  และท่านก็ไม่ใช่ของเล่นของข้า  ท่านเป็น...คนสำคัญของข้า”
“ไม่  ไม่ใช่” หัวตอนนี้ของเหลียนอันสุ่ยสับสนจนแทบคิดอะไรไม่ออก  เข้าใจอะไรไม่ได้  หวังเพียงให้ฝันร้ายที่คล้ายกับไม่ใช่ฝันนี้เมื่อไหร่จะจบๆไปเสียที  หยุดเถอะ  ไม่ต้องพูดแล้ว!  เพราะหากตื่นขึ้นมาข้าคงทนไม่ได้เมื่อพบว่าทุกอย่างเป็นแค่คำลวงที่ตัวเองสร้างขึ้น  คำลวงที่จะหลอกหลอนข้าไปตลอดชีวิต

“ใช่สิ” ฉีเซี่ยงหยวนยืนยัน  ปลายนิ้วไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายปฏิเสธขยับเคลื่อนไหวอีกครั้ง  ปากที่อ้าออกคล้ายต้องการจะพูดอันใดจึงหลุดออกมาแต่เสียงคราง  ร่างอ่อนปวกเปียกไม่มีแรงล้วนพึ่งพาลำแขนมั่นคงที่โอบอยู่รอบเอว

เมฆหมอกแห่งความโมโหและความเจ็บปวดที่กดทับในใจของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนอยู่เนิ่นนานค่อยๆสลายหายไป  ที่แท้ท่านมิใช่ไม่คิดไปหาข้า  ที่แท้หลันเซียงก็ทำให้ท่านสับสน  ที่แท้ในใจท่านก็มิได้ปราศจากข้าโดยสิ้นเชิง  ความรู้สึกพลุ่งพล่านยินดียึดครองความคิดทั้งหมด  ใจที่เคยเกือบจะสิ้นหวังกลับมามีชีวิตอีกครา  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยรู้สึกว่าหัวใจตัวเองยังเต้นอยู่ชัดเจนถึงเพียงนี้มาก่อน  ตลอดมาเขาเพียงหวังให้เหลียนอันสุ่ยมีใจให้เขาบ้าง  ซักนิดก็ยังดี  เพราะนั่นแสดงว่าทุกอย่างที่เขาทำลงไปไม่ได้ถมเติมลงไปในความว่างเปล่า 

ลึกๆแล้วฉีเซี่ยงหยวนหวาดกลัวอย่างยิ่งว่าเหลียนอันสุ่ยจะยึดถือเขาเป็นอวี้เฉียนคนที่สอง  กับคนที่ไม่หวั่นไหวเหลียนอันสุ่ยถึงกับไม่หวั่นไหวเอาเลยจริงๆ  อวี้เฉียนพยายามมาครึ่งชีวิตยังไม่มีปัญญาแทรกเข้าไปในใจพระมาตุลาผู้นี้  ดังนั้นฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจแล้วว่าหลังจากคืนนี้เหลียนอันสุ่ยจะเกลียดเขาหรือไม่  ขอเพียงในใจท่านมีข้าบ้าง  ข้าจะใช้ทุกวันหลังจากนี้ทำให้ท่านรักข้าเหมือนกับที่ข้ามิอาจขาดท่าน

ฉีเซี่ยงหยานประทับจูบซ้ำๆ    ราวจะจรดคำว่ารักลงไปในหัวใจอีกฝ่ายผ่านรอยจูบดูดดื่ม  มันเป็นจูบที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกจนเหลียนอันสุ่ยรู้สึกหัวใจอุ่นวาบคล้ายถูกพันธนาการบางอย่างร้อยรัดเอาไว้  หากความใคร่ลึกซึ้งยังคงไม่ลดน้อยลง  ร่างกายยังคงไม่เป็นตัวของตัวเอง  ลิ้นที่ไม่เชื่อฟังสอดเข้าไปในปากของเป่ยชางอ๋อง  บังคับให้รสสัมผัสแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อน 
ความจริงห้องทั้งห้องคุกรุ่นด้วยอารมณ์ปรารถนานานแล้ว  ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการอีกฝ่าย  เพียงแต่ความสามารถในการรับมือกับอารมณ์ปรารถนาของเหลียนอันสุ่ยต่างชั้นกับฉีเซี่ยงหยวนมาก  ขณะที่ฉีเซี่ยงหยวนสามารถกดความใคร่ของตัวเองลงไป  ตั้งใจจะค่อยๆชดเชยให้กับอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน  ร่างกายของเหลียนอันสุ่ยกลับเรียกร้องอย่างหนัก  รับรู้แต่ว่าสัมผัสที่ได้รับมิอาจเติมเต็ม 

กึ่งๆถูกบังคับผลักไสไปจนถึงทางตัน  เมื่อปลายนิ้วของฉีเซี่ยงหยวนขยับลึกเข้ามาอีก  เหลียนอันสุ่ยก็ส่ายหน้า  สีหน้าแลดูสับสนระคนรวดร้าว  เสียงครวญครางแทบจะเป็นสะอื้น 
“ไม่ใช่นิ้ว  ข้า  ต้องการ...ต้องการตัวท่าน” กล่าวจบก็อับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี  ไม่อยากจะเชื่อว่าน้ำเสียงตัวเองจะพร่ากระเส่าได้ถึงเพียงนั้น
ริมฝีปากหนาจูบหนักๆบนหน้าผากมน ดุจจะปลอบประโลม  ดึงเอวอีกฝ่ายเข้ามา
ฟันของเหลียนอันสุ่ยขบแน่นลงบนเรียวปาก  ไม่ทราบเป็นความสุขสมหรือความปวดร้าวที่ทำให้เขาหลั่งน้ำตา

สายลมยังคงพัดโหม  อากาศยังคงเยือกเย็น แต่ภายในห้องกลับร้อนระอุราวอังด้วยเปลวเพลิง  ความยับยั้งชั่งใจถูกแผดเผาจนกลายเป็นไอ  เหลียนอันสุ่ยตื่นตระหนกเมื่อพบว่าร่างกายขยับเคลื่อนไหวไปเอง  แต่ความรู้สึกถูกเติมเต็มทำให้เขามิอาจปฏิเสธ  ยิ่งความแนบแน่นทวีขึ้นสติก็ยิ่งเลือนราง  ฉีเซี่ยงหยวนก็พยายามมีสติ  แต่ถูกเรือนกายที่เสนอสนองปรนเปรอให้กับเขาบังคับให้จมดิ่งเมามาย...มิอาจถอนตัว

เพราะความรักความใคร่พัวพันลึกซึ้งยุ่งเหยิง  ความสัมพันธ์บนเตียงกลายมาเป็นทางออก  เนื่องจากมันเป็นชั่ววินาทีที่พวกเขามิอาจควบคุมตัวเอง  กำแพงหรือทิฐิใดๆล้วนมลายหายสิ้น  โลกทั้งโลกเหลือแค่คนเพียงคนเดียว

เรียวขาเปลือยเปล่าโอบรอบเอวหนา  ความรู้สึกแนบชิดทำให้เล็บจิกลึกลงบนไหล่แกร่ง  เอวเพรียวหยัดขึ้นรองรับการรุกล้ำ  ดวงตาปรือฉ่ำอ่อนเชื่อม  ใบหน้างามแหงนขึ้น  ผมดำสนิททิ้งตัวราวน้ำตกลงมาจรดเอว  ส่ายไหวทุกครั้งที่ร่างสูงโปร่งบิดเร่าตอบสนอง  จมจ่อมอยู่กับความสุขสมในอารมณ์รวดร้าวต้องการ  เพียงหวังให้อีกฝ่ายคุกคามเขารุนแรงกว่านี้  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับยึดขาเพรียวเอาไว้  ยับยั้งจังหวะสอดประสานที่หักโหมขึ้นทุกที  เสียงครางเครือของเหลียนอันสุ่ยสะอื้นหนัก  แพขนตาเกาะพราวไปด้วยหยาดน้ำ  รู้สึกเหมือนกำลังจะไขว่คว้าได้บางสิ่งแต่ถูกบังคับให้พลาดไป 

ฉีเซี่ยงหยวนสูดลมหายใจลึกเมื่อร่างสูงโปร่งบิดเบาๆ บดเบียดซอกขาเนียนละเอียดเข้ากับร่างของเขาอย่างยั่วยวน  ระงับความรู้สึกที่อยากบดขยี้คนที่หวานไปทั้งตัว  ฉีเซี่ยงหยวนมิอาจให้เหลียนอันสุ่ยไปถึงเร็วนัก  พระมาตุลาผู้นี้ถูกความปรารถนาเคี่ยวกรำมานานจนเกินไป  ความรีบร้อนไม่มีทางเติมเต็มได้หมดสิ้น  จังหวะการรุกล้ำแปรเปลี่ยนเป็นเนิบช้าหนักแน่น  บังคับให้อีกฝ่ายเก็บเกี่ยวความสุขตามรายทาง  ฝ่ามือที่ยึดช่วงขาเพรียวยาวไล้เบาๆอย่างปลอบประโลม  แต่ก็ยังคงยึดไว้มั่น  บังคับถือสิทธิ์ในการเคลื่อนไหว

เหลียนอันสุ่ยรู้สึกเหมือนถูกบังคับเสือกไสไปตามทางเหยียดยาวเส้นหนึ่งที่ไม่ทราบจะไปจบลงที่ใด 
จนถึงจังหวะที่ทุกอย่างระเบิดพร่างอย่างรุนแรง  ร่างสูงโปร่งเกร็งแน่น  สยบอยู่ใต้ร่างกำยำโดยสิ้นเชิง 
ฉีเซี่ยงหยวนหอบหายใจ  ความรู้สึกสุขสมรุนแรงทำให้เขาต้องใช้เวลาซักพักจึงสามารถเรียกคืนสติ  ขณะจะผละออกห่าง  สะโพกละมุนกลับผวาเข้าหา  ขาเรียวงามรัดเอวเขาไว้แน่น
“อย่าไป!” ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยตื่นตระหนก เจ็บปวดสูญเสีย “อย่าไปจากข้า” ฉีเซี่ยงหยวนมองคราบน้ำตาที่เปรอะอยู่บนผิวแก้มเนียน  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเหลียนอันสุ่ยร้องไห้  สำนึกได้ว่าตัวเองทำร้ายอีกฝ่ายอย่างล้ำลึกไปโดยไม่รู้ตัว  ความรู้สึกผิดจุกแน่นอยู่ในลำคอ  ยื่นมือสั่นสะท้านออกไปประคองไปหน้าหมดจดที่แดงเรื่อแต่ก็ซีดขาว  รับคำ
“ข้าจะไม่ไปจากท่าน”
เหลียนอันสุ่ยค่อยๆสงบลง  มือที่พาดอยู่หลังลำคอหนาโน้มร่างอีกฝ่ายลงมา  แววตาเหมือนอยู่ในเมฆหมอกแห่งความฝัน  พึมพำว่า
“รักข้าอีก  ข้าต้องการให้ท่านรักข้า” สติการรับรู้ล่องลอยไปที่ไกลแสนไกล  ร่างกายเพียงรู้สึกถึงความไม่เพียงพอ  เปลวเพลิงพิศวาสมิได้มอดดับ  ตลอดคืนนั้นฉีเซี่ยงหยวนมิได้ผละออกห่างจากร่างสูงโปร่งเลย
---------------------
สายมากแล้ว  ลมที่เคยพัดโหมเหลือเพียงกระแสที่กวาดเบาๆเป็นพักๆ  แสงแดดอุ่นเจิดจ้าในบรรยากาศที่ไม่อุ่นของฤดูใบไม้ร่วง 

การรับรู้ของเหลียนอันสุ่ยเลือนรางไปวูบหนึ่งด้วยความอ่อนเพลีย  แต่ก็มิได้หลับใหล 
ฉีเซี่ยงหยวนโอบกอดร่างเนียนละเอียดไว้ในอ้อมแขน  ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆนวดเฟ้นผ่อนคลายความเครียดเกร็งให้กับร่างสูงโปร่งอย่างเอาใจใส่
‘มันมิใช่ความฝัน’
สิ่งที่อีกฝ่ายทำลงไป  และสิ่งที่เขาทำลงไป  ต่างมิใช่ความฝัน  เหลียนอันสุ่ยยังจดจำมันได้ชัดเจน  ดวงตาของพระมาตุลาแคว้นเหลียนแห้งผากว่างเปล่า  อารมณ์เกือบจะเป็นด้านชา

ฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆสางผมให้อีกฝ่ายอย่างรักใคร่  ประชุมขุนนางเริ่มนานแล้ว  แต่ตัวเขายังมิอาจตัดใจจากไป  ดวงตาที่เฉียบขาดเสมอมาอ่อนโยนอย่างยิ่ง แม้แววตาของเหลียนอันสุ่ยจะทำให้เขากลัวขึ้นมาวูบหนึ่งว่าจะสูญเสียอีกฝ่ายไป  แต่ฉีเซี่ยงหยวนมิใช่คนที่จะฟูมฟายกับสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว  อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถิด  ต่อให้ต้องคุกเข่าลงเพื่อขอให้ท่านให้อภัยข้าก็จะทำ

เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว  เพียงปิดเปลือกตาลงช้าๆแล้วก็หลับใหลไป
---------------------
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่อยู่แล้ว  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ถามถึงอีกฝ่าย  ดวงตาเรียบเฉยจนเกือบจะเป็นเฉยชา  หลังอาบน้ำล้างทุกสิ่งทุกอย่างออกไปก็เดินไปผลักเปิดหน้าต่าง

เมื่อคืนเขากลายเป็นคนที่กระทั่งตัวเองก็ไม่รู้จัก  มันไม่สำคัญหรอกว่าฉีเซี่ยงหยวนใช้วิธีอะไรมาเหยียดหยามเขา  ยิ่งไม่สำคัญว่าอีกฝ่ายอ่อนโยนกับเขาแค่ไหน  ดวงตาเหม่อมองกำแพงของตำหนักเสียงวสันต์ที่อยู่ลิบๆ  ...กรงที่เขาดิ้นไม่หลุด
พอแล้ว  เขาจะไม่ดิ้นรนอีกแล้ว  เพราะความรู้สึก...ไม่สามารถเรียกคืนกลับมา 
---------------------
ยังไม่ทันจะค่ำดี  หากเมื่อฉีเซี่ยงหยวนมาถึงตำหนักชุนเกอก็พบว่าเหลียนอันสุ่ยเข้านอนไปแล้ว 
เป่ยชางอ๋องยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าประตูไม้กั้นห้องชั้นในหับสนิท  สายตามองความมืดที่ลอดผ่านออกมาอยู่พักใหญ่ มิได้สนใจอิ๋งฮวาที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้าง  แล้วก็หมุนกายจากไป

เมื่อได้ยินเสียงเลื่อนปิดประตูชั้นนอก  คนที่นอนหันหลังให้กับบานประตูก็ลืมตาขึ้นมาอย่างแช่มช้า  ประกายตาสงบราบเรียบ  เหลียนอันสุ่ยรู้อยู่ตลอดว่าฉีเซี่ยงหยวนมาเยือนแล้วก็จากไป...และอาจบางทีฉีเซี่ยงหยวนก็รู้เช่นกันว่าเขามิได้หลับ...
---------------------
ดวงตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนมองภาพสะท้อนของดวงจันทร์ที่พร่าระริกอยู่ในสายน้ำตกจำลอง
เหลียนอันสุ่ยไม่ยอมพบเขา
ฉีเซี่ยงหยวนยินดีให้อีกฝ่ายโมโหใส่เขา  ด่าว่าเขา  เพราะทราบว่าตัวเองทำตัวเลวร้ายอย่างยิ่งจริงๆ  วิธีการที่ใช้ก็ต่ำทรามเกินไปจริงๆ  แต่ทว่า... 
ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจ
‘บุรุษที่รูปงามประดุจหยก  ตอนนี้กลับเหมือนสลักเสลาขึ้นมาจากหยกจริงๆ’ นี่คือคำที่หม่าหลงต้วนจินรายงานมา 
เหลียนอันสุ่ยเก็บตัวเองอยู่แต่ในห้อง  ขนาดกับบุตรชายยังมิได้ออกไปหา  กับอิ๋งฮวาก็พูดด้วยน้อยอย่างยิ่ง  หม่าหลงต้วนจินแทบจะสามารถจดจำสี่ห้าประโยคที่ดังลอดออกมาจากห้องเพื่อสั่งหญิงรับใช้ได้ชัดเจน

เหลียนอันสุ่ยโกรธเขา? หรือจริงๆถึงขั้นเกลียดเขา?  หรือจริงๆถึงขั้นแค้นเขาไปแล้ว?  ฉีเซี่ยงหยวนคาดเดาอันใดไม่ออกทั้งสิ้น  อีกฝ่ายอาจไม่ได้รู้สึกทั้งหมดนั่นก็ได้  อาจจะแค่ถูกเขาทำร้ายมากเกินไป  จนไม่เห็นเขามีตัวตนอีกแล้ว  คิดแล้วหัวใจก็เจ็บแปลบ  ความในใจของบุรุษผู้นั้นนับเป็นปริศนาที่อ่านยากที่สุดในชีวิตของฉีเซี่ยงหยวน

คนเป็นเป่ยชางอ๋องมองเงาจันทร์ที่พร่าเลือนคลุมเครือ  คำตอบของปริศนาในใจก็พร่าเลือนคลุมเครือเช่นกัน
---------------------
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 30
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 27-08-2014 16:54:04

บทที่ 30 ฐานะแท้จริงของบุคคลสามคน

บ่ายนี้ท้องฟ้าสลัวมัวซัว  ดุจเดียวกับจิตใจที่ไม่ค่อยจะปลอดโปร่งนักของหลันเซียง  เมื่อวานนางไม่ได้พบเหลียนอันสุ่ย  หัวหน้าหญิงรับใช้อ้างว่าพระมาตุลาพักผ่อน  หากวันนี้หลันเซียงยังคงรุดมาอีก  ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนที่ฉีเซี่ยงหยวนบุกรุกเข้าตำหนักชุนเกอ  ใจของนางก็มิอาจสงบ นอนหลับไม่สนิท  หวั่นวิตกว่าคนทั้งคู่จะคืนดีกัน

ทว่าน่าเสียดาย  ครานี้แม้ได้พบหน้า  หลันเซียงกลับอ่านอันใดไม่ออกทั้งสิ้น...
---------------------
 “พวกเรามีเรื่องต้องรายงานต่อท่าน” ต้วนจินรวบรวมความกล้าพูดขึ้นเมื่อหลันเซียงคล้อยหลังไป  จะเกิดอะไรก็ช่างเถิด  เก็บไว้นานกว่านี้คงไม่ดีแล้ว  ตั้งแต่ได้รับคำสั่งมาให้รายงานเรื่องนี้พวกเขาก็มัวรอดูท่าทีของเหลียนอันสุ่ยจนเรื่องชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่
เหลียนอันสุ่ยผินหน้ากลับมา  ในจิตใจยังคงมีเงาร่างที่แฝงความไม่สบายใจของหลันเซียง
ความรักเอยความรัก  เหตุใดมันจึงสามารถควบคุมบงการผู้คนได้ถึงเพียงนี้  ให้รุ่มร้อนกระวนกระวาย  ให้เจ็บปวด  ให้ยึดติดผูกพัน  ซักวันเขาเองใช่จะถูกความรักเปลี่ยนแปลงจนเป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่ ?
ดวงตาจ้องคนคุ้มกันทั้งสองที่เคยเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวน  ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ ‘เขา’ สั่งให้พวกเจ้ามารายงานต่อข้าหรือ ?”

“เอ่อ...” ต้วนจินถึงกับพูดไม่ออก  หันไปมองหน้าหม่าหลงอย่างขอความช่วยเหลือ 
คนคุ้มกันทั้งสองต่างทราบว่าเรื่องของพระมาตุลาจะจัดการชุ่ยๆไม่ได้เป็นอันขาด  ถึงกับยังต้องรอบคอบกว่าเรื่องของแม่นางหลันเซียงอีก  หลันเซียงมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา  แต่บุรุษผู้นี้กลับมีน้ำหนักในใจต้าอ๋องที่ไม่ธรรมดา  จะว่ากันตามจริงความใส่ใจที่ต้าอ๋องมีต่อคนผู้นี้เลยขีดขั้นที่พึงมีไปนานมากแล้ว

พระมาตุลาแคว้นเหลียนถอนหายใจยาว  กล่าวว่า
“เอาเถอะ  ว่ามา”
หม่าหลงที่สงบเยือกเย็นกว่าหลังจากเหลือบมองท่าทีของเหลียนอันสุ่ย ก็รายงานด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำว่า
“พระมาตุลาอาจยังไม่ทราบ  แม่นางหลันเซียงความจริงเป็นสายของแคว้นหนานเหมิน  ต่อมาทรยศต่อหนานเหมินอ๋อง  ส่วนตอนนี้ไม่ชัดเจนว่ารับคำสั่งจากฝ่ายไหน  กับสตรีผู้นี้พระมาตุลาควรระมัดระวังให้มากไว้  หลีกเลี่ยงไม่พบได้ก็ควรจะไม่พบ”

เรื่องราวของหลันเซียงทำให้ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยเบิกกว้าง  จากนั้นความเข้าใจก็ค่อยๆตกตะกอนลงมา
มิน่าเล่า ฉีเซี่ยงหยวนถึงไม่ฆ่าหลันเซียงและมิได้ขับนางออกไปจากวัง  แม้ไม่พอใจพฤติกรรมของนางอย่างยิ่ง...เพราะหลันเซียงเป็นหมากที่มีประโยชน์ !
“...ที่หลันเซียงทรยศต่อหนานเหมินอ๋องใช่เป็นเพราะต้าอ๋องของพวกเจ้าหรือไม่ ?”
คำถามนี้ถามอย่างแช่มช้า  แต่กลับทำให้คนฟังยากจะตั้งรับ  หม่าหลงกับต้วนจินหันไปมองหน้ากันสีหน้าลำบากใจที่จะตอบ  หากไม่สามารถบ่ายเบี่ยง  สุดท้ายหม่าหลงยอมรับว่า
“ที่หลันเซียงทรยศหนานเหมินอ๋องเป็นเพราะนางรักต้าอ๋องจริง”
เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก
“ต้าอ๋องของพวกเจ้าถึงกับหลอกลวงน้ำใจนางเพื่อแคว้นเป่ยชาง ?”
ต้วนจินที่ฟังอยู่ด้านข้างรีบแย้งอย่างร้อนรน
“พระมาตุลาเข้าใจผิดแล้ว  ตอนนั้น...ตอนนั้นต้าอ๋องชอบนางจริงๆ  ส่วนแม่นางหลันเซียงเองก็ทราบว่าต้าอ๋องรู้ว่านางเป็นใคร” ตอนท้ายยิ่งพูดก็ยิ่งเบา  รู้สึกได้ว่าแทนที่จะแก้แทนนายเหนือหัว  กลายเป็นยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่งเหยิง  ปมรักของต้าอ๋องช่างซับซ้อนน่าปวดหัวโดยแท้  เห็นทีภารกิจที่หัวหน้าหลิวแอบกำชับมาคงยากจะสำเร็จ

ฝ่ายเหลียนอันสุ่ยได้ฟังก็นิ่งงันไป  ที่แท้นี่กลับเป็นตำนานรักบทหนึ่งที่เกิดระหว่างสองแคว้น  องค์ชายผู้สูงศักดิ์กับสายลับของแคว้นศัตรู  ...หากเป็นนิยายเรื่องเล่าหลังฟันฝ่าอุปสรรคจนได้ครองคู่ก็สมควรจะจบลงอย่างสวยงาม  เพียงแต่น้ำใจคนกลับจืดจางเร็วเกินไป  บุปผาไม่ทันโรยราเจ้าของก็ปันใจเป็นอื่น 

พริบตานั้น เหลียนอันสุ่ยพลันเข้าใจความเจ็บแค้นของหลันเซียง  นางรักฉีเซี่ยงหยวนถึงขั้นยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขา  ทว่าสุดท้าย...
“เป่ยชางอ๋องตอบแทนนางอย่างโหดร้ายเกินไปแล้ว”
ได้ฟังคำพูดของเหลียนอันสุ่ย  หม่าหลงก็ตัดใจ ในเมื่อได้รับคำสั่งอนุญาตให้พูดแล้ว  ก็พานบอกอย่างหมดจดเถอะ!
“พระมาตุลา ใจคนมิใช่สิ่งที่บังคับกันได้  ส่วนการเก็บนางไว้เป็นหมากเป็นความคิดของจางจื่อหยูกับมู่ซาง  ซึ่งต้าอ๋องไม่เคยเห็นด้วยกับเรื่องนี้  เพียงแค่ปล่อยนางจากไปไม่ได้  นางรู้เรื่องมากเกินไป  มีฐานะซับซ้อนเกินไป  ถ้าไม่อยู่ใต้ปีกของต้าอ๋องไม่มีทางมีจุดจบที่ดี”

เหลียนอันสุ่ยเงียบไปอีกครา  ในหัวย้อนคิดไปถึงการพบกันเมื่อหลายวันก่อนของเขากับสตรีที่ไม่รู้จักนามนางหนึ่ง  ระหว่างทางกลับจากหอตำราหลวง

แรกเริ่มเป็นนางส่งยิ้มให้เขา  ส่วนเขาแม้จดจำชื่อนางไม่ได้ แต่จดจำใบหน้านางได้  นางเป็นหนึ่งในบรรดาอดีตนางบำเรอของฉีเซี่ยงหยวนที่มาเยี่ยมคารวะเขาในคราวนั้นเอง
 ‘...ขออภัยที่ทำให้พระมาตุลาต้องลำบากใจ  ซ้ำยังเกิดข่าวที่ไม่ค่อยดีขึ้นมา  ความจริงวันนั้นข้าไม่ได้คิดจะไปรบกวนท่าน  แต่สุดท้ายยิ่งฟังหลันเซียงก็ยิ่งหักห้ามความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไว้ไม่ได้...ต้าอ๋องไม่เคยโปรดปรานบุรุษมาก่อน’ ประโยคสุดท้ายกล่าวไปก็หน้าแดงขึ้นมาวูบหนึ่ง  น้ำเสียงแผ่วค่อยขณะบอกเหตุผล

เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วชะงักไป  แต่มิได้แปลกใจอะไรมากนัก  เพราะพอคาดเดาได้รางๆว่าบุปผาเหล่านั้นล้วนมาเพราะหลันเซียง  ส่วนตอนนี้ยิ่งไม่แปลกใจ  หากหลันเซียงเป็นสายข่าวของแคว้นหนานเหมิน  การกระจายข่าวสารนางย่อมชำนาญอย่างยิ่ง

เขาถามนามของอีกฝ่าย  แต่สตรีนางนั้นเพียงแย้มยิ้ม ตอบว่า
‘ข้ากำลังจะไปแล้ว  ไปถึงที่นั่นไม่แน่ว่าเปลี่ยนนามใหม่  มีวาสนาได้พบพานคราหนึ่ง  ถึงมิทราบนามจะเป็นไร’
คนฟังนิ่งอึ้งอย่างงงงัน  สตรีที่ทีรอยยิ้มเหมือนรุ้งบนขอบเมฆเช่นนี้  ฉีเซี่ยงหยวนถึงกับขับไล่ไสส่งนางไป ?
ได้ฟังความคิดของเขานางก็หัวเราะ  ตอบว่า
‘ท่านเข้าใจผิดแล้ว  นี่เป็นข้าขอร้องต่อเขาเอง  ชาตินี้ข้ากับเขาสิ้นสุดวาสนาต่อกัน  ถูกกักขังมาสิบกว่าปีที่ปรารถนาคืออิสระที่ได้เห็นโลกกว้าง  ว่ากันว่าน้ำตกของแคว้นโหยวเฉิงงดงามนัก  ข้าฝันจะได้เห็นกับตามาโดยตลอด’
เห็นแววตาอีกฝ่ายยังคงไม่ใคร่เข้าใจ  นางจึงอธิบายต่อว่า
‘ตั้งแต่หมดสิ้นเยื่อใย  ต้าอ๋องก็มิได้รั้งพวกเราไว้  พวกเราทุกคนต่างมีอิสระที่จะจากไป  มีคนที่อยากอยู่อย่างมีหน้ามีตา  ต้าอ๋องที่ตอนนั้นยังเป็นองค์ชายสี่จึงยกนางให้กับผู้อื่น  ส่วนแม่นางอี้ที่ฟื้นฟูเยื่อใยกับอดีตคนรักก็แต่งงานจากไปแล้ว  พวกที่ยังอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นมิอาจหักใจจากไป  บางคนหวาดกลัวสายตาคนอื่น  หลายคนไม่ยอมรับความพ่ายแพ้สูญเสีย  และก็มีบ้างที่ยังติดชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยในวัง  ส่วนข้าเพียงอยากเริ่มต้นใหม่  ชีวิตของผู้หญิงในหอนางโลมเพียงหวังอยากจะเริ่มต้นใหม่’

ดวงตาของนางเจือความเศร้า  แต่รอยยิ้มยังคงงดงามพร่าพรายเหมือนสายรุ้ง  หากที่นางกล่าวเป็นความจริง  ทั่วทั้งสามแคว้นคงมีฉีเซี่ยงหยวนคนเดียวที่ให้ทางเลือกกับอดีตนางบำเรอของตัวเองมากมายปานนี้ !?
‘...ท่านไม่เจ็บปวดที่เขาทอดทิ้งท่าน ?’
สตรีนิรนามสบสายตากับเขาแล้วก็กล่าวช้าๆ
‘พวกเราทุกคนต่างเคยได้เลือก ทั้งๆที่รู้ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างนี้แต่ข้าก็ได้เลือกแล้ว  และอย่างน้อยก็มีช่วงหนึ่งที่ต้าอ๋องรักข้าจริงๆ  ผู้หญิงเช่นข้าไม่เคยมีผู้ชายเป็นของตัวเอง  แต่ตอนนั้นเขาก็เป็นของข้าคนเดียวจริงๆ  ถึงให้เลือกใหม่อีกครั้งข้าก็ยังคงเลือกแบบเดิม  แลกกับหลังจากนี้ได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง  พลาดรักซักครั้งจะเป็นไรไป’

นางช่างเป็นผู้หญิงที่มองโลกในแง่ดีอย่างยิ่ง  บางทีอาจเพราะมองโลกเช่นนี้  จึงผ่านวันเวลาเลวร้ายที่ถูกกักขังในหอนางโลมมาได้โดยไม่สูญเสียแสงอันอบอุ่นในจิตใจ  เหลียนอันสุ่ยรู้แต่ว่าตัวเองไม่มีทางลืมรอยยิ้มของนาง  สตรีนางหนึ่งที่มีใบหน้าไม่ถึงกับโดดเด่น  หากเมื่อแย้มยิ้มโลกทั้งโลกล้วนต้องเหม่อมอง  เพราะรอยยิ้มของนางเป็นความหวังที่หวานละมุน  สตรีแต่ละนางของฉีเซี่ยงหยวนล้วนพิเศษนัก

‘ท่านอย่าได้คิดว่าพวกเราผ่านชะตากรรมอันเลวร้าย  ยิ่งไม่ต้องเวทนาสงสาร  พวกเราที่อยู่ที่นี่แม้รักต้าอ๋อง  แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เจ็บปวดเพราะเขา  ชีวิตของคนเรามีเหตุผลอื่น  และหลายคนก็มิได้ยึดถือมันจริงจังเหมือนเช่นหลันเซียง’...

ความคิดในหัวจางไปช้าๆ  เหลียนอันสุ่ยพูดเหมือนรำพึงกับตัวเองว่า
“คิดไม่ถึงบุปผาแต่ละดอกของเขาต่างมีเรื่องราวมากมายปานนี้” 
สองคนที่เฝ้ารอดูปฏิกิริยาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก  ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็เอ่ยอะไรออกมาบ้างแล้ว หลังเงียบไปนานจนพวกเขากระสับกระส่าย 
ต้วนจินกล่าวอย่างจริงจังว่า
“พระมาตุลาอย่าได้เข้าใจผิด  ปรกติพวกนางแม้เป็นอดีตของต้าอ๋อง  แต่ก็ไม่เคยมาก้าวก่ายระราน  แต่ละเรือนแยกออกจากกัน  ส่วนครั้งนั้นที่มาเยี่ยมเยือนท่านจนครบเป็นฝีมือการยุยงของแม่นางหลันเซียง”

“ช่างเป็นวิธีการปัดความรับผิดชอบที่น่าสนใจนัก” เสียงของพระภาดาหานญื่อหลัวดังแทรกขึ้นมา  ตัวคนตอนนี้ยืนพิงกับกรอบประตู  คนคุ้มกันทั้งสองได้ยินเสียงก็หันขวับไปทันใด
ต้วนจินกล่าวขึ้นเรียบๆว่า
“เรื่องปัดความรับผิดชอบสับรางเห็นจะไม่มีใครช่ำชองยิ่งไปกว่าพระภาดา  ต้าอ๋องอาจจะเคยมีคนรักมาแล้วไม่น้อย  แต่ไม่เคยคบหาเกี้ยวพาคราวละหลายๆคนเช่นท่าน” หม่าหลงรู้สึกว่าคำพูดของต้วนจินไม่เหมาะสมไปบ้าง  แต่ก็มิได้ห้ามปราม

หานญื่อหลัวกลับตัดบทอย่างไม่สนใจด้วยบุคลิกปรอดโปร่งดุจเดิมว่า
“ตอนนี้ข้าต้องการสนทนากับพระมาตุลาแค่สองคน”
หม่าหลง ต้วนจินจำต้องล่าถอยออกไปอย่างไม่ยินยอม
 
หานญื่อหลัวเพ่งตามองพระมาตุลาแคว้นเหลียนด้วยความเป็นห่วง  พลางถามขึ้น
“ทำไมท่านถึงส่งตัวเด็กรับใช้คนนั้นกลับมา ?”  เด็กรับใช้คนนั้นพ้นตำหนักได้ไม่ถึงวัน  ฉีเซี่ยงหยวนก็บุกรุกเข้าตำหนักชุนเกอ
เหลียนอันสุ่ยเงียบไปอึดใจหนึ่ง  ก็ตอบเสียงแผ่วเบาว่า
“เพราะมันไม่มีประโยชน์  ข้า...ขาดเขาไม่ได้แล้ว”
ดวงตาของหานญื่อหลัวทอแววตกตะลึง  ฉับพลันดวงตาสีฟ้าก็วาวโรจน์
“ข้าจะไปสั่งสอนเขา !” พูดจบก็ผลุนผลันจะจากไป 
เหลียนอันสุ่ยรีบยึดท่อนแขนอีกฝ่ายไว้  ส่ายหน้าช้าๆ โดยไม่เอ่ยอะไร
 “คนผู้นั้นเอาบ้านเกิดมาข่มขู่ท่าน!  บีบบังคับท่าน  ใช้วิธีการต่ำช้ากับท่าน  นี่ท่านยังอภัยให้เขาอีกหรือ ? ” หานญื่อหลัวถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เหลียนอันสุ่ยมิได้มองคู่สนทนา  สายตาจับอยู่ที่กรอบประตู  รอจนเงาของคนคุ้มกันทั้งสองห่างออกไปจนพ้นขอบเขตสายตา  จึงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบทีละคำว่า
“ท่านยังไม่ทราบ  ...คืนแรกที่กลายเป็นของเขา...ข้าถูกวางยา”
ดวงตาของคนฟังเบิกกว้าง  อึ้งจนพูดไม่ออก
“และท่านก็ยังไม่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนไม่เพียงใช้แคว้นเหลียนมาข่มขู่ข้า  ชีวิตของบุตรชายข้าก็อยู่ในกำมือเขา” กล่าวจบก็เบือนหน้ากลับมาสบตากับคู่สนทนา
“...ทำไมท่านไม่เกลียดเขา” เรื่องราวเหล่านี้เพียงพอจะให้คนสองคนแค้นกันจนเข้ากระดูกดำ 
“เมื่อวานข้าก็ถามคำถามนี้กับตัวเอง  เหตุใดจึงยังไม่เกลียดเขา...” แววตาของเหลียนอันสุ่ยล่องลอยไปไกล เวลาทั้งวันล้วนหมดสิ้นไปกับการไถ่ถามตัวเอง
“ท่านใจกว้างเกินไปแล้ว”

เหลียนอันสุ่ยได้ยินก็หลุบตาลง  คำพูดคำนี้ดันไปเหมือนกับคนๆนั้นเสียได้  พลางส่ายหน้า  กล่าวว่า
“การให้อภัยของคนมีขีดจำกัด  เรื่องราวบางเรื่องมิใช่เรื่องที่สามารถให้อภัยกันได้  ...แต่ถ้าหากท่านสามารถอภัยให้กับคนๆหนึ่งได้ทุกเรื่องราว  สาเหตุมีเพียงหนึ่งเดียวคือท่านรักคนๆนั้นอย่างลึกซึ้ง” แววตาของเหลียนอันสุ่ยแม้หม่นหมองอยู่บ้าง  แต่ก็ใสกระจ่างอ่อนโยน  มุมปากปรากฏรอยยิ้มฝืนๆอย่างอับจนปัญญา

“...ดังนั้นไม่ว่าเขาจะทำอะไรล้วนไม่สำคัญ  เพราะว่าข้าได้รักเขาไปแล้ว”
---------------------
กิ่งท้ออ่อนไหวเบาๆ คล้ายกับมีความเศร้าอาลัย  แต่ก็แฝงลักษณะหลุดพ้นชนิดหนึ่ง
เหลียนอันสุ่ยนั่งอ่านรายงานที่ผู้เป็นอาจารย์เขียนถึงการเรียนของบุตรชาย  ในหัวกลับมิอาจปล่อยวางคำพูดของหานญื่อหลัวที่กล่าวหลังอารมณ์ทั้งหมดสงบลง

‘...ถ้าท่านรักเขาจริงก็วางใจเถอะ  คนคุ้มกันสองคนนั้นไม่ได้โกหก  ถึงพวกเขาจะวิจารณ์ ‘การให้เกียรติและให้โอกาสซึ่งกันและกัน’ ของข้าผิดไป  แต่คำว่าฉีเซี่ยงหยวนรักคนทีละคนเดียวเป็นเรื่องจริง  ถ้าเขาให้ความสำคัญกับท่าน  ก็จะทุ่มเททั้งหมดของเขาให้กับท่าน  ...และตราบใดที่คนคุ้มกันสองคนนั้นยังไม่ไปไหน  ใจของฉีเซี่ยงหยวนก็จะอยู่ที่ท่าน  เพราะในบรรดาองครักษ์ทั้งหมดของฉีเซี่ยงหยวน  หม่าหลง ต้วนจินเพียงเป็นรองจากหลิวฉางเฟย  อันที่จริงข้ายังไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ข้างกายใครอื่นนอกจากฉีเซี่ยงหยวน’...!?

คำพูดพวกนี้แทบสะกดเหลียนอันสุ่ยจนนิ่งอึ้งไป  เพียงวันเดียวเขาได้รับทราบฐานะที่แท้จริงของบุคคลสามคน  ได้รู้ถึงความจริงหลายประการที่ตัวเองไม่เคยรู้ 

ในคราก่อนที่ฉีเซี่ยงหยวนจงใจหมางเมินเขา  เหลียนอันสุ่ยเพียงรู้สึกว่าฉีเซี่ยงหยวนยังไม่ถึงกับไม่ใส่ใจโดยสิ้นเชิง  เพราะยังทิ้งคนคุ้มกันของตัวเองไว้  จนวันนี้เหลียนอันสุ่ยถึงได้เข้าใจว่าทำไมหานญื่อหลัวจึงมั่นใจนักหนาว่าฉีเซี่ยงหยวนไม่มีทางปล่อยมือไปจากเขาง่ายๆ
‘...ท่านเป็นคนสำคัญของข้า’ 
เมื่อคำพูดนี้ดังก้องขึ้นมามือที่พลิกม้วนไม้ไผ่ก็หยุดชะงัก  เหลือบมองของว่างที่อิ๋งฮวายกมาตั้งไว้ให้เสียนานแล้ว...ขนมกลีบบัว  ของว่างเลื่องชื่อของแคว้นเหลียน  จากนั้นสายตาก็เลื่อนไปหยุดอยู่ที่ม้วนหนังสือตรงขอบโต๊ะโดยมิได้ตั้งใจ...หนังสือเหล่านั้นล้วนหยิบยืมมาจากหอตำราหลวง  สถานที่ที่เขาได้รับทราบในภายหลังว่าเข้มงวดกวดขันอย่างยิ่ง

ท่านยังทำอะไรเพื่อข้าไปอีก ?
เงาร่างของผึ่งผายองอาจชัดเจนขึ้นมาในบรรยากาศที่ว่างเปล่า  ความรู้สึกหวานซึ้งที่ไม่ทราบที่มากลับชัดเจนอยู่ในหัวใจ  ทั้งๆที่เด่นชัดถึงเพียงนี้เหตุใดจึงเพิ่งมารู้สึก  เหตุใดจึงต้องรอจนไม่มีปัญญากลับไปเริ่มต้นใหม่จึงได้ไหวตัวว่าตัวเองรัก ‘เขา’  ความรู้สึกลึกล้ำในตอนนี้จะทำลายทิ้งก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว

...ต้นไม้ที่ชื่อว่าความรักต้นนี้งอกขึ้นมาอย่างเงียบเชียบเกินไป  มีรากที่แข็งแกร่งเกินไป  แม้ปลูกอยู่ไม่ถูกที่  แต่กลับยึดครองพื้นที่ทั้งหมดในจิตใจ...

ฉีเซี่ยงหยวนเอย ข้าควรทำเช่นไรกับท่านดี ?

========
เห็นมีคนเรียกร้องมาเรื่องรวมเล่ม 
คนเขียนเองก็อยากจะรวมอะนะ  แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ายังแต่งไม่จบ :katai1:
ดังนั้นเอาไว้แต่งจบแล้วจะแจ้งอีกทีนะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 27-08-2014 16:57:22
รอรวมเล่ม ชอบๆ :pig4: นักเขียน
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 30 .......................................27/08/57
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 27-08-2014 18:24:21
 o13
 :L1:
สู้ๆนะ

ซื้อแน่นอนค่ะ
รักเรื่องนี้ที่สุด


รอจนทรมาน เป็นเรื่องแรกที่แอบรอขนาดนี้ ติดขนาดนี้
แต่เข้าใจว่านักเขียนเรียนหนัก แถมเนื้อเรื่องกำลังเข้มข้น
เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 30 .......................................27/08/57
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-08-2014 20:45:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 31
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 31-08-2014 11:33:50

บทที่ 31 มึนงงเหมือนอยู่ในหมอกควัน

ใต้เปลือกนอกอันสงบเยือกเย็น  ฉีเซี่ยงหยวนมีความกระสับกระส่ายกังวล  หวั่นเกรงว่าประตูบานนั้นจะมีแต่ความมืดมิดลอดผ่านออกมาอีกครา  เมื่อวานเหลียนอันสุ่ยรีบดับไฟเข้านอนเพื่อไล่เขา  ส่วนวันนี้ไฟในห้องยังสว่างอยู่  แต่ไม่ทราบว่าเจ้าตัวจะยินยอมพบเขาหรือไม่

อิ๋งฮวายืนอยู่ข้างประตูตรงที่ประจำของนางพลางรายงานเข้าไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจอยู่บ้างว่าเป่ยชางอ๋องมาถึง 
เสียงรายงานเงียบหายไปนานจึงค่อยมีเสียงตอบกลับมาว่า
 “เชิญต้าอ๋องเข้ามา”
ประตูเปิดออก  เสียงหนึ่งดังออกมา
 “พระมาตุลาแคว้นเหลียนคารวะเป่ยชางอ๋อง”
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วหนาววาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า  คนคารวะคารวะได้อย่างถูกต้องตามแบบแผน  แต่เส้นแบ่งระหว่างพวกเขาทั้งสองคล้ายชัดเจนยิ่งกว่าเวลาใดๆ

เหลียนอันสุ่ยมิได้สนใจบุรุษที่ยืนชาค้างอยู่ตรงหน้าเขา เหลือบมองท้องฟ้าที่เพิ่งจะมืดได้ไม่นาน  ทราบว่าหลังเลิกประชุมขุนนางที่ยืดเยื้อฉีเซี่ยงหยวนคงรีบรุดมาทันที  ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงหันไปกล่าวกับหัวหน้าหญิงรับใช้ของตัวเองว่า
“ให้คนยกอาหารเข้ามาเถอะ”
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ  นี่...นี่ใช่กำลังลองใจอะไรเขาหรือไม่  ไม่ทันที่เป่ยชางอ๋องหมาดๆจะสามารถหาคำตอบให้กับตัวเอง  เบื้องหน้าก็ปรากฏอาหารที่ดูพิถีพิถันสามจาน 
เหลียนอันสุ่ยเชิญเขานั่งลง  ฉีเซี่ยงหยวนก็นั่งลง  มองชามข้าวที่มีเพียงชามเดียวแต่ตะเกียบกลับมีสองคู่ตรงหน้าตัวเองอย่างงงงัน
ตะเกียบคู่หนึ่งตกไปอยู่ในมือเรียวยาวได้สัดส่วน  เหลียนอันสุ่ยใช้มือข้างหนึ่งจับชายแขนเสื้อ  อีกมือคีบกับให้อีกฝ่าย  ปากกล่าวว่า
“ต้าอ๋อง  อาหารทั้งสามอย่างล้วนปรุงแบบชาวเป่ยชาง  แต่คนปรุงเป็นชาวเหลียน  รสชาติอาจแตกต่างไปบ้าง”
“...อะ อืมม์” ฉีเซี่ยงหยวนมองชามข้าวที่ถูกเลื่อนมาอยู่ตรงหน้า  มองเนื้อที่วางอยู่บนข้าว  พลันรู้สึกคล้ายเข้าใจ  คล้ายสับสนงุนงง  บุคคลที่ชาญฉลาดตลอดมาขบคิดอยู่เป็นนานจึงค่อยๆยื่นตะเกียบออกไป...

“ท่านไม่จำเป็นต้องเกรงใจ  พ่อครัวท่านนี้เป็นท่านเชื้อเชิญมา  รับประทานได้อย่างเต็มที่” เสียงที่สงบนุ่มนวลทำให้ฉีเซี่ยงหยวนต้องเงยหน้ามองคนกล่าววาจา  แต่เหลียนอันสุ่ยยังคงไม่มองเขา  คีบกับอีกคำใส่ลงในชาม

บรรยากาศที่แปลกประหลาดดำเนินต่อไป  ในความเป็นจริงฉีเซี่ยงหยวนรับประทานมาแล้ว  แต่อิ่มแค่ครึ่งท้อง  เพราะรีบร้อนรับประทานลวกๆเพื่อที่จะรีบรุดมาตำหนักเสียงวสันต์  หากถึงจะเป็นเช่นนั้นรสชาติอาหารก็ยังคงไม่สามารถซึมซาบเข้าไปในประสาทการรับรู้ของต้าอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้  เหลียนอันสุ่ยคีบกับใส่ชามคำหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนก็รับประทานลงไปคำหนึ่ง  ในใจมีแต่ความอึ้งงันที่วุ่นวาย...เอาเป็นว่าตัวเป่ยชางอ๋องเองยังไม่แน่ใจว่าตกลงตัวเองอึ้งงันจนคิดอะไรไม่ออก  หรือวุ่นวายใจจนคิดอะไรไม่ออก 

ฉีเซี่ยงหยวนขบคิดถึงสภาพการเผชิญหน้าระหว่างพวกเขาไว้สารพัดรูปแบบ  แต่ละแบบล้วนตระเตรียมวิธีรับมือมา  แต่สภาพที่เกิดขึ้นจริงกลับไม่ตรงกับที่เขาคาดเดาไว้ซักอย่าง  มือไม้จึงอดปั่นป่วนอยู่บ้างไม่ได้
เมื่อชามข้าวว่างเปล่า  เหลียนอันสุ่ยก็สั่งให้คนมาเก็บออกไป  จากนั้นหันมากล่าวว่า
“ต้าอ๋อง ข้าให้คนเตรียมน้ำไว้แล้ว  ท่านไปอาบน้ำเถอะ” 

แน่นอนว่าครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนก็ได้แต่ปฏิบัติตามอย่างว่าง่ายเช่นกัน...
---------------------
วิกาลที่มืดมิด  สายตาของฉีเซี่ยงหยวนเหลือบมองร่างสูงโปร่งของบุรุษที่นอนอยู่ข้างกาย  ไม่แน่ใจว่าตัวเองได้รับการให้อภัยแล้วหรือยัง  ยิ่งไม่เข้าใจท่าทีในวันนี้ของเหลียนอันสุ่ย  หลังตัดสินใจอยู่เป็นนาน  มือใหญ่ก็ค่อยๆยื่นเข้าไปใกล้มือเรียวทีละน้อย  ลังเลแล้วลังเลอีก  สุดท้ายจึงค่อยกอบกุมมืออีกฝ่ายไว้ด้วยท่าทีไม่แน่ใจอยู่บ้าง  คล้ายหวาดกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ  หัวใจเต้นถี่เร็วจนตัวเองรู้สึกได้ 

มือของเหลียนอันสุ่ยขยับเล็กน้อย  แต่มิได้สลัดออก  ในความรู้สึกของฉีเซี่ยงหยวนราวกับตัวเองกลายเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งมีความรักครั้งแรก  ไม่มั่นใจแต่ก็แอบคาดหวัง  ...บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรกจริงๆที่ห้องหัวใจอบอุ่นถึงเพียงนี้  ไม่ว่าเหลียนอันสุ่ยจะยังตื่นอยู่หรือไม่  ฉีเซี่ยงหยวนเพียงภาวนาให้วันพรุ่งนี้ท่าทีของอีกฝ่ายอย่าได้พลิกผันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเลย
---------------------
คืนนั้นฉีเซี่ยงหยวนหลับสนิทยิ่ง  หลับลึกจนคล้ายไม่อยากตื่นจากความฝันอันสวยงาม  แต่กลับมีมือข้างหนึ่งเขย่าตัวเขาเบาๆ
“ต้าอ๋อง  ตื่นเถอะ  แม่ทัพหลิวรอคอยจนกระวนกระวายแล้ว”  เสียงนี้จะคุ้นก็คุ้น  จะไม่คุ้นก็ไม่คุ้น  เหลียนอันสุ่ยไม่เคยปลุกเขามาก่อน  ฉีเซี่ยงหยวนลืมตาช้าๆ  เหลียนอันสุ่ยเห็นอีกฝ่ายรู้สึกตัวแล้วจึงค่อยดึงมือออกมาจากการยึดกุม 

ฉีเซี่ยงหยวนอดกำมือเข้าหากันไม่ได้  อาลัยอาวรณ์กับความอบอุ่นที่เพิ่งผละจากไป  ความอบอุ่นที่เขากอบกุมมาตลอดทั้งคืน...
---------------------
หลิวฉางเฟยรอจนกระวนกระวายแล้วจริงๆ  ข้างตัวมีหญิงรับใช้คนหนึ่งซึ่งประคองชุดว่าราชการเต็มยศของเป่ยชางอ๋องเอาไว้ในมือ  ดีที่ว่าในที่สุดประตูบานนั้นก็เลื่อนเปิด  ปรากฏร่างสูงใหญ่ก้าวออกมา
ยังไม่ทันที่ชุดว่าราชการจะถูกคลุมลงบนร่างของฉีเซี่ยงหยวน  เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นว่า
“แม่ทัพหลิวไปจัดการเรื่องอาหารเช้ากับขบวนเสด็จเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทัน  ตรงนี้ข้าจัดการเอง”
หลิวฉางเฟยไม่แน่ใจว่าวันนี้หูของตัวเองใช่ใช้การได้ตามปรกติหรือไม่  แต่ก็บอกให้หญิงรับใช้ส่งชุดสูงค่าให้กับพระมาตุลาแคว้นเหลียน  เหลือบมองต้าอ๋องแวบหนึ่ง  แล้วทั้งหลิวฉางเฟย ทั้งหญิงรับใช้ก็พากันล่าถอยออกไป

เหลียนอันสุ่ยยังคงมิได้รวบผม  สวมชุดให้อีกฝ่ายด้วยท่าทีละเอียดถี่ถ้วน  ฉีเซี่ยงหยวนแข็งทื่อไปทั้งร่าง  บุรุษที่รับมือสถานการณ์มาทุกรูปแบบ  ทั้งรู้จักฉวยโอกาสเป็นที่สุด  มาจนตอนนี้กลับทำอะไรไม่ถูก  ไม่อยากเสี่ยงกับอะไรทั้งนั้น  ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คนผู้นี้สำคัญจนเกินไป  สำคัญจนหวาดกลัวที่จะสูญเสีย  กลิ่นหอมอ่อนๆของเหลียนอันสุ่ยครอบคลุมอยู่รอบตัวเขา  กลายเป็นอาภรณ์ชั้นหนึ่งที่ห่มคลุมจิตใจของเขา  ดวงตาสับสนของฉีเซี่ยงหยวนอ่อนแสงลง  ดูท่าเช้านี้...แท้จริงแล้วเขายังมิได้ตื่นจากฝัน...
---------------------
เขา...ทำถูกหรือไม่นะ
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าจิตใจตัวเองมิได้แข็งแกร่งอย่างที่เคยเป็น  ยิ่งมิได้มั่นคงอย่างที่เคยเป็น 
ที่น่าแปลกประหลาดก็คือถึงแม้ฉีเซี่ยงหยวนจะนำพาความเจ็บปวดมากมายมาให้กับเขา  ความหาในใจกลับไม่พบความโกรธเคืองอยู่เลย  ไม่ว่าเรื่องที่อภัยกันได้  หรือเรื่องที่อภัยมิได้  ล้วนอภัยให้อีกฝ่ายไปจนหมดสิ้น  ที่แท้เวลาคนเรารักใครคนหนึ่งก็เป็นไปได้ถึงเพียงนี้
เหวินจี  ข้าขอโทษ  แต่ข้าหลอกตัวเองต่อไปไม่ได้แล้ว  ...เจ้าวางใจเถอะ  สุดท้ายข้าจะชดใช้ทุกอย่างให้กับเจ้า  ขอแค่เวลานี้...ให้ข้าได้รักเขา...
เพราะการขัดขืนความรักไม่มีประโยชน์  เนื่องจากมันยังคงถูกเขียนไว้ในหัวใจของท่าน  ยิ่งพยายามผลักไส  ก็ยิ่งยัดเยียดความเจ็บปวดให้กับตัวเอง
---------------------
    วันแรกเหลียนอันสุ่ยดับไฟไล่เขา  วันที่สองกลับดีกับเขาจนเหมือนฝันไป  วันที่สามนี้ฉีเซี่ยงหยวนยังคาดเดาไม่ออกว่าตัวเองจะเจอเข้ากับอะไร 
บนโต๊ะอาหารยังคงเป็นเช่นเดิม  คือข้าวหนึ่งถ้วยกับตะเกียบสองคู่  ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้ว  ขณะจะร้องสั่งให้คนเอาข้าวมาเพิ่มอีกถ้วย  เหลียนอันสุ่ยกลับห้ามปรามไว้  กล่าวว่า
“ท่านรับประทานเถอะ  ข้ารับประทานกับจิ้งเต๋อไปแล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนลมหายใจขาดห้วงไปครู่หนึ่งเพราะความรู้สึกเจ็บลึกที่ผุดวาบขึ้นมา  ข้าวยังคงอุ่นร้อนแต่กลับมีรสชาติของความโดดเดี่ยวอ้างว้างอันขมฝาด
ที่แท้...ท่านไม่เคยมองข้าเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวท่านเลย

เหลียนอันสุ่ยไม่ทันเห็นแววตาที่เปลี่ยนไป  ยิ่งไม่ทราบว่าเมื่อตัวเองหลับใหลไปแล้ว  กลับถูกบุรุษผู้หนึ่งดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด  จมูกของฉีเซี่ยงหยวนจรดลงกับผิวกายละเอียด  สัมผัสคลอเคลียแผ่วเบาแฝงเยื่อใยอาลัยอาวรณ์  ดวงตาที่แม้มีแววเจ็บปวดแต่กลับมีแววรักใคร่ลุ่มหลงจนหมดหัวใจหลับลงอย่างแช่มช้า

ท่านดีต่อข้าทั้งๆที่ในใจกลับไม่เคยนับข้าเป็นคนสำคัญ  ใจของข้าแม้เจ็บปวดแต่ก็ยังปิติยินดี  ข้าคุ้นชินเสียแล้วกับการที่มีคนเข้าหาเพราะหวังผลตอบแทน  ยิ่งคุ้นชินก็ยิ่งโดดเดี่ยวนัก  ข้าเพียงหวังให้ท่านดีต่อข้าเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ 
ใช่แล้ว...แค่ท่านดีต่อข้าก็พอ  อื่นๆข้าล้วนไม่สนใจ 
---------------------
เหลียนอันสุ่ยตื่นนอนด้วยความงุนงงเล็กน้อย  ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตัวเองกลายไปอยู่ในอ้อมกอดของร่างสูงใหญ่ได้  ...ยิ่งไม่คุ้นชินกับความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยที่เกิดขึ้น 
ขณะเหลียนอันสุ่ยช่วยอีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้า  ฉีเซี่ยงหยวนก็หลุดคำถามหนึ่งออกมาโดยมิได้ตั้งใจ
“ข้ากินมื้อเช้าที่นี่ได้หรือไม่...” หลังหลุดคำพูดออกไปก็ได้แต่สำนึกเสียใจ  ขณะจะกล่าวกลบเกลื่อน  เหลียนอันสุ่ยที่นิ่งคิดอยู่กลับหันไปเอ่ยกับบานประตูว่า
“อิ๋งฮวา  ให้คนจัดชามตะเกียบเพิ่มอีกชุด  ...แล้วก็ไปตามจิ้งเต๋อมาได้แล้ว  เป็นเด็กเป็นเล็กไม่สมควรหัดตื่นสาย”
“เจ้าค่ะ” เสียงรับคำดังออกมาจากด้านนอก
ฉีเซี่ยงหยวนรับฟังจนชะงักค้างไป  รู้สึกว่าตัวเองถูกผลักเข้าไปในห้วงหมอกควันอันคลุมเครืออีกครา  ไม่อาจเข้าใจเหตุและผลของเรื่องที่เกิด  คาดเดาตอนต่อของเรื่องราวไม่ออก    รู้สึกหมิ่นเหม่ราวสามารถร่วงหล่นลงไปได้ทุกเมื่อ 
---------------------
เหลียนจิ้งเต๋อกระพริบตาปริบๆมองพ่อแท้ๆกับพ่อบุญธรรมที่นั่งเคียงกันตรงหน้า  สับสนมึนงงราวถูกผลักเข้าไปในห้วงหมอกควันอันหนาทึบเช่นกัน  ทำไมพ่อบุญธรรมถึงโผล่มาที่นี่เอาตั้งแต่เช้าป่านนี้ ?  ยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านพ่อจึงยอมให้อีกฝ่ายร่วมโต๊ะอาหาร  ท่านพ่อมิใช่ไม่ชอบพ่อบุญธรรมที่เขารับมาโดยพลการคนนี้เอามากๆหรอกหรือ ?

แน่นอนว่าสงสัยก็ส่วนสงสัย  จะถามขึ้นมาทำลายบรรยากาศก็ออกจะเป็นการโง่เขลาจนเกินไป  อันที่จริงเหลียนจิ้งเต๋อไม่สบายใจเรื่องที่ท่านพ่อของเขาเกลียดพ่อบุญธรรมมาโดยตลอด  ...อีกอย่างมีพ่อบุญธรรมร่วมโต๊ะด้วยก็ไม่ใช่จะไม่ดี  อาหารเช้าที่แต่ก่อนมักมีน้อยอย่าง  วันนี้ถึงกับงอกมาอีกห้าอย่างด้วยกัน !

แน่นอนว่าเมื่อเป็นอาหารที่จัดให้เป่ยชางอ๋อง กลิ่น สี และรสชาติจึงล้วนสูงล้ำทั้งสิ้น  เหลียนจิ้งเต๋อมองจนตาเป็นประกาย  มิได้สนใจกระทั่งบรรยากาศแปลกๆรอบตัว ‘ท่านพ่อ’ ทั้งสอง  ตะเกียบในมือสู้รบกับอาหารทั้งห้าจานอย่างดุเดือด
ความจริงบนโต๊ะมีคนมีความสุขจนสุดประมาณอยู่อีกคนหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนแม้รู้สึกว่าตัวเองยังอยู่ในหมอกควัน  แต่ก็รู้สึกว่าเป็นหมอกควันที่ดียิ่ง  ทั้งเบาสบาย ทั้งหวานละมุน  ปากที่ชมชอบเหยียดสนิทจนเป็นนิสัย ขณะนี้กลับมีรอยยิ้มอ่อนบาง  รสชาติของความสุขอบอวลอยู่เต็มคำ  เกรงว่าต่อให้รสชาติอาหารย่ำแย่กว่านี้  เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนก็จะยังคงรู้สึกว่ามันยอดเยี่ยมที่สุดในหล้าอยู่ดีนั่นเอง

ที่แท้...เหลียนอันสุ่ยก็มิได้เห็นเขาเป็นคนห่างไกล
---------------------
สรุปก็คือวันนั้นฉีเซี่ยงหยวนอารมณ์ดีไปทั้งวัน  ไม่ว่าเรื่องใหญ่น้อยใดๆล้วนไม่อาจทำให้เขาโมโหได้ทั้งสิ้น  ส่วนหลิวฉางเฟยตอนเช้าแม้ขอบคุณเหลียนอันสุ่ย  แต่เมื่อคล้อยบ่ายกลับเกิดอาการหัวร่อไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ขึ้นมา

งานที่เป่ยชางอ๋องต้องรับทราบมีมากมายอย่างยิ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนเพราะรีบร้อนไปตำหนักเสียงวสันต์เมื่อวานจึงสุมงานไว้กองใหญ่  แต่ถึงแม้จะมีงานกองสูงเท่าหัวบุคคลที่สมควรรับผิดชอบกลับพานคิดซ้ำๆอยู่เรื่องเดียว คือจะปลีกตัวไปหาพระมาตุลาแคว้นเหลียนได้อย่างไร...

“ต้าอ๋อง  งานกองซ้ายสุดเร่งด่วนจนไม่อาจเร่งด่วนมากไปกว่านี้  ไม่ว่าอย่างไรภายในวันนี้ก็ต้องมีคำสั่งลงไป  คนรับไปปฏิบัติจึงจะปรับแก้ได้ทัน” คำพูดของหลิวฉางเฟยสงบราบเรียบ  แต่นับเป็นคำขาด  ฉีเซี่ยงหยวนฟังคำเตือนแล้วขมวดคิ้ว คิดเพียงครู่เดียวก็กล่าวว่า
“งั้นยกทั้งกองไปให้หลี่กวงเว่ยเถอะ”
เส้นเลือดบนขมับของหลิวฉางเฟยเต้นตุบ  กล่าวท้วงอย่างอดทนว่า
“ต้าอ๋อง  งานของใต้เท้าหลี่มีมากอย่างยิ่ง  ตั้งแต่ท่านยัดเยียดตำแหน่งขุนนางให้เขา  เกรงว่าไม่มีวันไหนที่ได้นอนเกินสองชั่วยาม” ความหมายคือท่านอย่าได้คิดเพิ่มงานให้เขาอีก!
ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้วอีกครา  หลังคิดอยู่นานก็กล่าวว่า
“งั้นเจ้าก็ให้คนยกอะไรที่เจ้าบอกว่าต้องทำภายในวันนี้  แล้วตามข้ามา” พูดจบคนพูดก็เดินตัวปลิวออกไปแล้ว
หลิวฉางเฟยรู้สึกหางตากระตุกอยู่หลายครั้ง  ปวดหัวจนอยากจะไปเกิดใหม่ เอาเถอะ...บางทีต่อหน้าพระมาตุลาผู้นั้น  นายเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่ของเขาอาจไม่สามารถอู้งานตามใจชอบก็เป็นได้
---------------------
เหลียนอันสุ่ยไปหอตำราหลวงมา  เส้นทางขากลับกลับรู้สึกว่าบรรยากาศภายในตำหนักตัวเองเปลี่ยนไป  เสียงร้องสดใสที่จดจำได้แม่นยำว่าเป็นของบุตรชายดังแว่วมา
ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี  หาได้เหตุผลอันสมเหตุสมผลสุดประมาณที่จะมาเยือนตำหนักเสียงวสันต์...สอนดาบให้บุตรบุญธรรมมีอันใดไม่ถูกต้อง ?
เกรงว่าต่อให้คนคิดหาคำครหาก็หาไม่ได้  เหลียนอันสุ่ยยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะไล่เขาไปเพราะมาเยือนก่อนเวลาอันควรเด็ดขาด
...คิดไม่ถึงว่าการดับไฟเข้านอนปฏิเสธการพบหน้าในครั้งนั้น  จะทำให้ฉีเซี่ยงหยวนฝังใจหวาดวิตกมาจนบัดนี้ 

ในความเป็นจริงเหลียนอันสุ่ยมิได้ตั้งใจจะเย็นชา  เพียงแค่ต้องการเวลาในการตกลงใจว่าจะปฏิบัติกับบุรุษผู้นี้อย่างไร  ฉีเซี่ยงหยวนกลับตีความคลาดเคลื่อนไปกันใหญ่  ผลก็คือบุรุษที่แต่ก่อนมาไม่เคยต้องมองสีหน้าใคร  ตอนนี้กลับเกรงใจตัวประกันที่มีศักดิ์ฐานะต่ำกว่าตัวเองผู้นี้เป็นอย่างมาก  ยิ่งเหลียนอันสุ่ยดีต่อเขา  ใจก็ยิ่งไม่ต้องการจะสูญเสีย

เหลียนอันสุ่ยมองคนตัวโตกับคนตัวเล็กที่ประดาบบนลานหน้าตำหนัก  เสียงดาบฟังสูสี  แต่เหลียนจิ้งเต๋อดูฝืนจนเห็นได้ชัด ส่วนต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางกลับมีท่าทีแทบไม่ต่างจากยามปรกติ  กระทั่งลมหายใจยังไม่เปลี่ยนแปลง  ด้านข้างมีเด็กผู้ชายกุมดาบรอจังหวะอยู่ไม่ไกล  เป็นเด็กคนนั้นเอง  บุตรบุญธรรมอีกคนของฉีเซี่ยงหยวน  บุตรชายเพียงคนเดียวของรัชทายาทองค์ก่อน  หลังจากพบหน้าในคราวนั้นเหลียนอันสุ่ยก็ได้ยินมาว่าฐานะของเด็กคนนั้นเลื่อนขั้นเป็นรัชทายาทแล้ว

ชมดูอยู่นานจึงเข้าใจ นี่เป็นการประมือแบบสองรุมหนึ่งโดยแท้  ตอนแรกเด็กทั้งสองแม้ผลัดกันเข้าไป  ภายหลังกลับกลายเป็นฉีเซี่ยงหยวนต้องรับมือทั้งซ้ายขวาด้วยดาบเล่มเดียว 
ความสามารถของรัชทายาทวัยเยาว์แคว้นเป่ยชางยังเหนือกว่าเหลียนจิ้งเต๋ออีก  ท่าทีสุขุมรอบคอบ  รู้จักงำประกายของเขาทำให้เหลียนอันสุ่ยคิดถึงเหลียนอ๋อง  บุตรบุญธรรมของฉีเซี่ยงหยวนคนนี้วัดภาวะทางจิตใจแล้วโตกว่าเหลียนจิ้งเต๋อมากมายทีเดียว
“พระมาตุลา” มีเสียงเรียกดังมา  เหลียนอันสุ่ยหันไปก็พบเห็นหลิวฉางเฟย  คนสนิทของเป่ยชางอ๋องผู้นี้ดูไปคล้ายมีเรื่องไม่สบายใจ
---------------------
เสียงดาบบนลานเงียบไปแล้ว  คนอู้งานขณะนี้จำต้องนั่งสะสางราชกิจอย่างเรียบร้อยบนโต๊ะตัวใหญ่ในตำหนักเสียงวสันต์  ในคราแรกฉีเซี่ยงหยวนแทบจะจับคนสนิทไปถ่วงน้ำ  แต่พอเหลียนอันสุ่ยจัดการเรื่องราวของเด็กทั้งสองเสร็จ  โผล่มาฝนหมึกให้กับเขา  อาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของฉีเซี่ยงหยวนก็ปลาสนาการหายไปอย่างรวดเร็ว  ลอบร้องชมเชยว่าหลิวฉางเฟยทำได้ดีอย่างยิ่ง
เมื่อมีครั้งที่หนึ่งย่อมต้องมีครั้งต่อไป  หลังจากนี้ขนงานมาทำที่ตำหนักเสียงวสันต์ย่อมเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้แล้ว
อันที่จริงจิตใจของฉีเซี่ยงหยวนปลอดโปร่งเกินจะถือโทษหลิวฉางเฟยเป็นจริงเป็นจัง  การรับประทานอาหารอย่าง ‘พร้อมหน้า’ เมื่อเช้าเท่ากับเป็นการอนุญาตให้เขาพูดคุยกับเหลียนจิ้งเต๋อ  ทุกคนต่างทราบว่าเหลียนอันสุ่ยรักบุตรชายคนนี้มากมายเพียงใด  นั่นจึงแสดงว่าฐานะของฉีเซี่ยงหยวนในใจของพระมาตุลาแคว้นเหลียนไม่ได้จัดอยู่ในทางเลวร้ายอีกแล้ว

กลิ่นของน้ำหมึกฟุ้งจางๆ  ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองถูกหลอมจนอ่อนโยนลง  ดวงตาอดมิได้ที่จะเหลือบมองคนข้างกาย  รูปลักษณ์ของเหลียนอันสุ่ยสงบสันติยิ่ง  ดูราวไม่แปดเปื้อนตลอดกาล  ความรู้สึกละอายกลับเข้มข้นขึ้นมาในหัวใจ  ฉีเซี่ยงหยวนรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเหลียนอันสุ่ยเลย  หยกที่สูงค่าชิ้นนี้ของแคว้นเหลียนถูกเขาทำลายจนแปดเปื้อนแล้ว  หากมิใช่ศักดิ์ฐานะของเขาสูงกว่าอีกฝ่ายจนทาบไม่ติด  หากมิใช่แคว้นเหลียนถูกกลืนจนล่มสลายไปแล้ว  เหลียนอันสุ่ยไหนเลยจะมาฝนหมึกให้กับเขา  ด้วยความสามารถของบุรุษผู้นี้คู่ควรจะมาฝนหมึกให้กับเขาที่ไหนกัน

ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินตัวเองกล่าวออกไปว่า
“ด้วยความสามารถของท่าน...ตำแหน่งขุนนางในแคว้นเป่ยชาง  ถ้าท่านไม่รังเกียจว่าต่ำต้อย  ข้าสามารถเสาะหาให้ท่านได้”
แท่งหมึกในมือของเหลียนอันสุ่ยชะงักไป
“ต้าอ๋อง...ข้าเพิ่งรอดพ้นจากวังวนอำนาจมาได้รอบหนึ่ง  ตอนนี้ไม่ต้องการจะไปเกี่ยวข้องอีก”
ฉีเซี่ยงหยวนขบคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วกล่าวว่า
“ที่โรงหมอของแคว้นเป่ยชาง  หมอที่มียังคงไม่เพียงพอ  หากวันเวลาในตำหนักแห่งนี้น่าเบื่อเกินไป  ท่านสามารถไปที่นั่นได้”
จากท่าทีของเหลียนอันสุ่ยเห็นได้ชัดว่าถูกข้อเสนอนี้ชักจูงจนหวั่นไหวใจ
เหลียนอันสุ่ยเป็นพระมาตุลา  แต่ละวันเคยมีงานกองสุมไม่ต่างจากเขา  คุ้ยเคยกับชีวิตที่ไม่มีกิจธุระในตำหนักเสียงวสันต์ที่ไหนกัน  ฉีเซี่ยงหยวนยังนึกภาพวันที่ตัวเองไม่ต้องทำงานไม่ออก  เขาพรากหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินไปจากบุรุษตรงหน้า  ความรู้สึกผิดนี้ฝังลึกในใจฉีเซี่ยงหยวนมาโดยตลอด  ครุ่นคิดเพียงแต่ว่าจะชดเชยให้บุรุษตรงหน้าอย่างไร
“เหลียนอันสุ่ยขอบพระทัยต้าอ๋อง”
คิ้วของฉีเซี่ยงหยวนขมวดมุ่นลง  สับสนจนเอื้อมมือออกไปคว้าตัวบุรุษข้างกายเข้ามา  จ้องลงไปในดวงตาที่แฝงแววแตกตื่นของอีกฝ่าย
‘ทำไมท่านถึงให้อภัยข้า  ท่านที่แท้ให้อภัยข้าหรือไม่ ? ’
อยากถามเหลือเกิน  แต่ไม่มีความกล้าที่จะถามออกไป  กลัวไปขุดตะกอนที่ท่านฝังไปแล้วขึ้นมาอีก  กลัวจะทำให้ท่านเจ็บปวดใจ
“ต้าอ๋อง  พวก...พวกเด็กๆยังอยู่ด้านนอก” เสียงทักท้วงแผ่วเบา  หน้าแดงไปจนถึงใบหู  เหลียนอันสุ่ยกลับเข้าใจจิตเจตนาของอีกฝ่ายผิดไป
ลมหายใจของฉีเซี่ยงหยวนขาดห้วง  ดวงตาทอแววตกตะลึง
“ท่าน...อภัยให้ข้าแล้วหรือ?”
เหลียนอันสุ่ยใช้เวลาพักใหญ่จึงเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร  ดวงตาคู่งามมองแววสับสนไม่มั่นใจของบุรุษตรงหน้า  ใจอ่อนลงโดยไม่รู้สาเหตุ  สุดท้ายจึงรับคำแผ่วเบาว่า
“อืมม์”
ฉับพลันนั้นความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงก็เกิดขึ้นในดวงตาของฉีเซี่ยงหยวน  ในอารมณ์ทั้งหมดทั้งมวลความละอายกลับเด่นชัดเป็นพิเศษ  เหลียนอันสุ่ยกลับตอบแทนวิธีการชั่วร้ายเห็นแก่ตัวของเขาด้วยวิธีที่เจ็บแสบที่สุด  นั่นคือการให้อภัย  เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉีเซี่ยงหยวนคาดหวังให้ตัวเองเป็นคนดีกว่านี้  ได้ยินเสียงอีกฝ่ายดังขึ้นว่า
“ต้าอ๋อง  งานของท่าน...” พูดไม่ทันจบประโยคกลีบปากนุ่มละมุนก็ถูกครอบครองด้วยจูบอ่อนเบา 
ใจของฉีเซี่ยงหยวนขมวดเกร็ง  ทั้งละอายทั้งปวดร้าวจนบอกไม่ถูก  หากมือทั้งคู่ของเหลียนอันสุ่ยกลับเลื่อนขึ้นไปโอบรอบลำคอหนา  คนประทับจูบชะงักไปวูบหนึ่งเพราะคาดไม่ถึง...ก่อนจูบนั้นจะเปลี่ยนเป็นแนบแน่นด้วยความรู้สึก...ลึกซึ้งด้วยรอยอารมณ์ 
มันยังคงเป็นแค่ริมฝีปากประทับแตะกัน  มิได้ล่วงล้ำ  หากสิ่งที่ถ่ายทอดกลับเหนือกว่าคำพูดนับพัน

สำหรับกับฉีเซี่ยงหยวน ในวินาทีที่เหลียนอันสุ่ยใช้มือโอบรอบลำคอเขา  หัวใจก็จมดิ่งลงไปใน ‘สายน้ำ’ สายนี้จนงมไม่ขึ้นแล้ว  เพิ่งเข้าใจในตอนนั้นว่าอะไรคือรักจนลุ่มหลงงมงาย

เหลียนอันสุ่ยหลับตาลงช้าๆ  ยินยอมให้อีกฝ่ายจูบสักพักก็ขืนตัวออก เนื่องเพราะสำนึกได้ว่าบรรดาบุตรชายของพวกเขา...เอ้อ  ไม่  ไม่ใช่...เด็กๆพวกนั้นยังอยู่ด้านนอก
“ต้าอ๋องงานของท่านไม่อาจรอช้า  ข้า  ข้าจะไปดูว่าเด็กพวกนั้นพากันไปไหนแล้ว  อีกไม่นานอาหารน่าจะใกล้เสร็จ  พวกเขาสมควรอยู่แถวๆนี้” พูดจบเหลียนอันสุ่ยก็ผละจากไป
ฉีเซี่ยงหยวนสูดลมหายใจลึก  รู้สึกเพียงอยากจะหยุดช่วงเวลานี้ไว้ตลอดกาล...
---------------------
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 32
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 31-08-2014 11:37:19
บทที่ 32 การชดใช้กับความรับผิดชอบ

บุปผชาติงามล้ำ  แต่คนในอุทยานกลับไม่มีผู้ใดที่ปลอดโปร่งแจ่มใส
“ท่านต้องการให้ข้าเลิกยุ่งเกี่ยวกับเขา?” เสียงของหลันเซียงไม่ค่อยไม่ดังสะท้อนอยู่ในหมู่พฤกษา
“มิผิด  คนที่มีบัญชีติดค้างไม่อาจสะสางกับเจ้าคือข้า  ไม่เกี่ยวกับเขา”
หลันเซียงหัวเราะแล้ว แต่ในเสียงหัวเราะกลับมีแววเย้ยหยันที่ไม่ทราบว่าเย้ยหยันผู้อื่นหรือตัวเอง
“ข้ากลับลืมไปเสียได้  ว่าต้าอ๋องคนใหม่ของพวกเรามีนิสัยเดิมที่ขี้หึงอย่างยิ่ง” ปากกล่าวเช่นนี้  แต่จากพฤติกรรมของนางย่อมมิได้ ‘ลืม’ ไปจริงๆ  ดวงตาคู่งามมีแววเจ็บปวดริษยาเจือความอำมหิตผุดขึ้นมาอย่างเลือนราง

ฉีเซี่ยงหยวนมองผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยชมชอบกลับกลายเป็นเช่นนี้  แทบไม่อาจหักใจชมดูต่อไป  เหตุใดความรักจึงน่ากลัวปานนี้  เปลี่ยนคนๆหนึ่งเสียจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม  ...หรือบางทีนางอาจจะไม่เคยเปลี่ยนไป  แต่เป็นตัวเขาเองที่เปลี่ยนแปลง
“หลันเซียง  ทำไมเจ้าต้องทำลายตัวเองเช่นนี้  ข้าคู่ควรให้เจ้าทำลายตัวเองเช่นนี้หรือ?”
“ท่านย่อมไม่คู่ควร!  คนอย่างท่าน...คนอย่างท่านเคยมีหัวใจเสียที่ไหน  เคยรักใครจริงเสียที่ไหน!  ข้าเกลียดท่าน  ทั้งๆที่ข้ารักท่านอย่างยิ่ง  แต่ท่านกลับหักหลังข้าได้อย่างเลือดเย็นเป็นที่สุด  เพราะอะไร  ท่านตอบข้ามาซิ  เพราะอะไรท่านถึงได้ทอดทิ้งข้า!” คำถามที่ถามซ้ำมาเป็นพันหนแต่ไม่เคยได้รับคำตอบถูกถามขึ้นมาอีกคราด้วยเปลวอารมณ์ที่คล้ายกำลังลุกพล่านเป็นเปลวไฟ  หลันเซียงพึมพำกับตัวเองว่า “ท่านเคยชอบข้ามากมิใช่หรือ  เพราะอะไรกัน...”
ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวช้าๆว่า
“มิผิด  ข้าเคยชอบเจ้ามาก  แต่ข้าเองก็อยากถามเจ้า ว่าเพราะอะไร  ...ทำไมเจ้าต้องทำเรื่องที่เจ้าก็รู้ว่าข้าจะไม่มีวันให้อภัย !”
ดวงหน้าของหลันเซียงแปรเปลี่ยนเป็นเผือดขาว  นางไม่เคยเห็นฉีเซี่ยงหยวนโมโหถึงระดับนี้  เขายังคงยืนนิ่ง  แต่แววตากลับเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าลมพายุตอนคลุ้มคลั่ง  ภายในนั้นนางเห็นความผิดหวังร้าวราน  สังหรณ์ร้ายในใจของหลันเซียงร้องเตือนอย่างเร่งร้อน 
“ท่าน...หรือว่าท่าน...รู้ ?” ความลับที่นางปกปิดเขามาตลอด  ความลับที่จะให้เขารู้ไม่ได้เป็นอันขาด
“เจ้าไม่ควรคิดฆ่า ‘นาง’ ”  แต่ละคำที่เค้นออกมากระแทกเข้าไปในจิตใจของหลันเซียง  ทำร้ายนางจนเข่าอ่อนล้มลงไปกองกับพื้น  พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“แม่นมตู้เลี้ยงข้ามา  นางเป็นยิ่งกว่ามารดาข้า  เจ้า...แค่นางไม่ชอบหน้าเจ้า  เจ้ากลับจะให้นางตาย !  เจ้าทำให้ข้าผิดหวังเกินไปแล้ว  ทำไมเจ้าต้องทำให้ข้าไม่อาจมองหน้าเจ้า  ทำไม...” เสียงพูดแผ่วเบาลง  ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนผิดหวังจนพูดไม่ออก  ความจริงเขาไม่ต้องการจะเปิดเผยเรื่องนี้  คิดจะให้หลันเซียงเดินจากไปในฐานะของ ‘ผู้เสียหาย’  แต่นางกลับบีบบังคับให้เขาต้องพูด ให้เขาทำลายกระทั่งความหวังดีสุดท้ายระหว่างคนทั้งคู่จนขาดสะบั้นลง

ชีวิตของฉีเซี่ยงหยวนไม่มีบิดา  มารดาก็แทบไม่มีความทรงจำใดๆ  คนเพียงคนเดียวที่พอจะนับว่าหวังดีต่อเขาอย่างแท้จริงคือแม่นมตู้  แต่ผู้หญิงที่เขาพาเข้าบ้านมากลับมีเจตนาทำร้ายนางจนถึงแก่ชีวิต!  ใครกันที่หักหลังผู้อื่นได้อย่างเลือดเย็นที่สุด 
ฉีเซี่ยงหยวนเบือนหน้าหนี  ยังจำความรู้สึกตอนที่ตัวเองได้รับรายงานเรื่องนี้ได้แม่นยำ

สายลมให้อุทยานโกรกพัดรุนแรงขึ้น  เสียงกิ่งไม้เปราะหักดังแว่วมา  ดุจเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างคนที่ไม่มีหนทางประสานคืน
มีดสั้นเล่มหนึ่งถูกทิ้งลงบนพื้น  เสียงของฉีเซี่ยงหยวนดังแว่วอยู่ในสายลม
“ถ้าเจ้าแค้นข้านักก็ฆ่าข้าซะ  เหลียนอันสุ่ยไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้  ไม่ต้องดึงเขาเข้ามาพัวพัน”
หลันเซียงมองมีดตรงหน้านางอย่างตะลึงงัน  หัวสมองแปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าขาวโพลน  ชั่วขณะนั้นนางกลับไม่ทราบว่าตัวเองสมควรทำอย่างไร  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้จากไปไหน  ยังคงยืนนิ่งรอคอยให้นางหยิบมีดไปแทงให้หายแค้น  ใบหน้าคมคายที่เจือด้วยแรงอารมณ์เมื่อครู่นี้สงบลงจนเป็นเฉยชา 
หนี้รักรายนี้ทำร้ายคนมามากพอแล้ว สมควรจะจบลงเสียที  ฉีเซี่ยงหยวนเคยคิดจะรอให้แผลของหลันเซียงจางลงจนสามารถพูดคุยกันรู้เรื่อง  จนตอนนี้จึงค่อยรู้สึกว่าตัวเองทำผิดพลาดไปอย่างใหญ่หลวง  บาดแผลรายนี้ยิ่งทิ้งเวลา  ก็ยิ่งบาดลึก

น้ำตาของหลันเซียงไหลออกมาไม่หยุด  พูดอะไรไม่ออก  ที่หลุดออกมามีแต่เสียงสะอื้นแผ่วเบาเหมือนจะขาดใจ  เพิ่งจะรับรู้ในตอนนั้นว่าคนที่ทำให้นางสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างแท้จริงคือตัวนางเอง  นางไม่ได้ตั้งใจ  นางแค่  แค่อับจนหนทาง  ท่าทีแข็งกร้าวของผู้หญิงคนนั้นบีบให้นาง...  นางอยากจะร้องตะโกนออกไป  อยากจะแก้ตัว  แต่ดูเหมือนว่าฉีเซี่ยงหยวนจะไม่มีวันฟังคำพูดนางอีกแล้ว  ทางที่พวกเขาเดินมาไกลเกินกว่าจะกลับไปเริ่มต้นใหม่  ดวงตาของหลันเซียงไม่เหลือประกาย  ดูราวกับบุปผาที่โรยราดอกหนึ่ง  พึมพำว่า
“ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่าน  ไปให้พ้น”
สภาพน่าสังเวชของนางในตอนนี้หลันเซียงไม่ยินดีให้ผู้ใดมาเห็น  แต่เมื่อฉีเซี่ยงหยวนเก็บมีดแล้วหันหลังจากไปจริงๆ  ...หัวใจนางกลับแหลกสลาย

ดวงตาของหลันเซียงยังคงไม่ละไปจากพื้นที่มีใบไม้แห้งหล่นเกลื่อนกล่น  ในห้วงอารมณ์เหม่อลอยซึมเซา  มีดเล่มนั้นคล้ายยังคงถูกทิ้งอยู่เบื้องหน้า  ค่อยๆแทงเข้าไปในหัวใจของนางอย่างเลือดเย็น  คำบริภาษของตัวเองย้อนกลับมา
‘คนอย่างท่าน...คนอย่างท่านเคยมีหัวใจเสียที่ไหน  เคยรักใครจริงเสียที่ไหน !...’
นางเข้าใจผิดแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนมิได้ไม่มีหัวใจ  ...แต่เขา...แค่มิได้มอบมันให้กับนาง
เจ็บปวดจนแทบไม่อยากจะหายใจ  รวดร้าวจนกลายเป็นเคียดแค้น  ด้วยระลึกได้ว่าฉีเซี่ยงหยวนทำทั้งหมดนี้เพียงเพื่อคนผู้หนึ่ง  หึ  นางทำตัวน่าขยะแขยงถึงเพียงนี้มีหรือที่ต้าอ๋องผู้ยิ่งใหญ่จะทำทั้งหมดนี้ไปเพื่อนาง
เหลียนอันสุ่ย
น่าขำนัก  คนที่เป็นต้าอ๋องถึงกับยอมใช้ชีวิตตัวเองมาปกป้องตัวประกันสงคราม !
---------------------
นั่นเป็นเรื่องของวันก่อน  ฉีเซี่ยงหยวนมิได้เห็นแววตาสุดท้ายของหลันเซียง  มีเพียงลางสังหรณ์ที่คล้ายกำลังกระซิบกระซาบความใดแก่เขา  น่าเสียดายที่เสียงแผ่วเบาจนจับความไม่ได้ 

ขณะนี้สายลมยามดึกโชยชายเบาๆ พัดผ่านระหว่างคนทั้งคู่  โต๊ะตัวใหญ่กลางห้องเป็นฉีเซี่ยงหยวนจับจองท่ามกลางกองฎีกาที่สะสางไม่หมดไม่สิ้นมาตั้งแต่บ่าย  บนเก้าอี้เอนเป็นเหลียนอันสุ่ยนั่งอ่านตำราแพทย์อยู่เงียบๆ  แสงจากตะเกียงน้ำมันจรดฝีเท้าแผ่วเบาทิ้งเงารางไว้ท่ามกลางบรรยากาศสงบผ่อนคลาย 

ทุกการกระทำเรียบง่ายถึงเพียงนั้น  เป็นธรรมชาติถึงเพียงนั้น  ราวตั้งแต่แรกเริ่มมามันก็สมควรเป็นเช่นนี้...ราวกับแรกเริ่มมาพวกเขาก็สมควรอยู่เคียงข้างกัน  ความจริงแฝงกายแนบเนียนจนยากจะจับสังเกต  อาจบางทีมีเพียงแสงจันทร์นอกหน้าต่างที่แจ่มชัดในความนัย
 “ดึกมากแล้ว  ท่านไปนอนเถอะ” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวขึ้นขณะเงยหน้าจากกองฎีกา 
เหลียนอันสุ่ยม้วนเก็บม้วนไม้ไผ่  นวดเปลือกตาเล็กน้อยพลางกล่าวถาม
“ท่านเล่า?”
ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจ
“ข้ามิใช่ไม่อยากนอน  แต่เกรงว่าพรุ่งนี้หน้าของหลิวฉางเฟยจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวไป”
เหลียนอันสุ่ยคิดถึงท่าทางกลัดกลุ้มกังวลของหลิวฉางเฟยเมื่อกลางวัน  อดมิได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ  สักพักจึงรู้สึกว่าตัวเองเสียกิริยา  ก้มหน้าลง ทำทีเป็นเดินไปเก็บหนังสือใส่ชั้นวาง

ฝ่ายฉีเซี่ยงหยวนกลับมองภาพนั้นอย่างตกตะลึง  รู้สึกว่าหัวใจตัวเองบีบรัดจนเจ็บปวด  เป็นครั้งแรกที่ฉีเซี่ยงหยวนเห็นเหลียนอันสุ่ยหัวเราะ  เห็นได้ชัดว่าบุรุษตรงหน้าเขาไม่คุ้นชินกับการหัวเราะเอาเสียเลย  นี่จึงเป็นครั้งแรกเช่นกันที่ฉีเซี่ยงหยวนนึกเกลียดชังวัฒนธรรมที่สงบสำรวมของแคว้นเหลียน  นึกเกลียดชังบรรยากาศในราชสำนักที่ชวนให้ผู้คนหัวเราะไม่ออกเหล่านั้น  ยิ่งเกลียดชังตัวเองที่บีบคั้นคนจนเจ็บปวดหม่นหมอง 

บางทีก่อนเหลียนอันสุ่ยจะเข้าใจความหมายของเสียงหัวเราะก็รู้จักคำว่าสูญเสีย  เหตุใดจึงลืมเลือนไปว่าอีกฝ่ายก็เป็นเช่นเดียวกับเขา  เคยยืนหยัดอยู่ท่ามกลางมรสุมแห่งอำนาจมาโดยลำพัง  คุ้นชินกับการใช้ตัวเองปกป้องคุ้มครองผู้อื่น
ชั่วขณะนั้นความรู้สึกอยากปกป้องอย่างแรงกล้าพลุ่งพล่านรุนแรง  ความเจ็บปวดในอดีตของท่านข้าย้อนกลับไปแก้ไขให้ไม่ได้  แต่หลังจากนี้ภาระที่ท่านแบกรับไว้ข้าจะแบกรับแทนท่านเอง  เพียงแต่ว่า...

“เหลียนอันสุ่ย รับปากข้า  อย่าไปพบกับ ‘นาง’ อีก” น้ำเสียงอ่อนโยนมีแววโน้มน้าววิงวอน 
ดวงตาคู่งามชะงักนิ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนเรียกชื่อเขา?  เพิ่งรู้ที่แท้นามของคนผู้หนึ่งสามารถถูกเรียกให้น่าฟังได้เพียงนี้
“...อืมม์”
ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินอีกฝ่ายรับคำก็คลี่ยิ้ม  รอยยิ้มที่อบอุ่นแผ่ลามไปจนถึงดวงตา  เพียงเท่านี้ก็สามารถปกป้องเอาไว้ได้แล้ว  มันจะเกิดขึ้นไม่ได้อีกเป็นอันขาด ฉีเซี่ยงหยวนย้ำกับตัวเอง พลางกล่าว
“ท่านไปนอนเถอะ  คืนนี้อากาศหนาว  อย่าลืมห่มผ้าด้วย” พูดจบคนพูดก็ก้มหน้าลงจัดการงานของตัวเองต่อ  สักพักเหลียนอันสุ่ยจึงได้ยินเสียงพึมพำแผ่วๆดังแว่วมาอย่างจนใจว่า
“งานนี้ความจริงมิใช่ของข้า  ไปแย่งชิงตำแหน่งผู้อื่นมา  ตอนนี้ก็ได้แต่ชดใช้แล้ว”
มุมปากของพระมาตุลาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม  เดินเข้าไปหยิบเสื้อนวมตัวหนาออกมาตัวหนึ่ง
“คืนนี้อากาศหนาว  หากต้าอ๋องไม่รังเกียจก็สวมเสื้ออีกชั้นเถอะ”
สายลมโชยชายเฉียดปลายกระเบื้องหลังคาเป็นเสียงครางแผ่วๆ  อากาศหนาวเย็น  แต่ใจคนไม่หนาวเหน็บ
---------------------
วันเวลาผ่านไปหลายวัน  ฉีเซี่ยงหยวนยังคงอาศัยขนงานมาทำที่ตำหนักเสียงวสันต์อยู่เสมอ  ทำงานจนดึกดื่นเที่ยงคืนไม่ยอมนอน  เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะกลัวตัวเองจะเผลอ ‘ทำร้าย’ เหลียนอันสุ่ยอีก  ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งย่อมเป็นเพราะงานของเป่ยชางอ๋องมีมากมายจนเกินไป 

แคว้นอันยิ่งใหญ่  แต่ความรับผิดชอบทั้งหมดกลับขึ้นตรงกับคนเพียงคนเดียว  ความหนักหนาของมันสุดที่ใครจะจินตนาการออกได้  บางครั้งฉีเซี่ยงหยวนก็หวังให้ตัวเองยังคงเป็นองค์ชายสี่  ภาระหน้าที่ในตอนนั้นแม้ไม่จัดว่าน้อย  แต่กลับทาบไม่ติดกับตำแหน่งเป่ยชางอ๋อง  มิน่าเล่าในประวัติศาสตร์จึงมีเจ้าแคว้นที่ไม่สนใจการปกครอง  ภาระหน้าที่มหาศาลเหล่านี้  หากต้องการจะทำให้ได้ดี  ไม่เพียงต้องมีความสามารถ  ยังต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจจนเหือดแห้ง  กลางวันปวดหัว  กลางคืนไม่ได้นอน  ลำบากลำบนชนิดต่อให้เป็นคนที่มีปณิธานแกร่งกร้าวก็ไม่แน่จะทนทานรับไหว

ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยที่นอนตะแคงอยู่บนเตียงจับจ้องแสงไฟที่ลอดออกมาจากห้องชั้นนอกอย่างเหม่อลอย  วันที่เท่าไหร่แล้วที่ยังคงเป็นเช่นนี้  ไม่ทราบเพราะเหตุใดเมื่อคิดว่าคนผู้นั้นเหน็ดเหนื่อยเพื่อแคว้นเป่ยชาง ใจของเหลียนอันสุ่ยก็เกิดระลอกคลื่นที่ไม่สงบ  ผู้คนต่างกล่าวขานถึงฝีมือร้ายกาจของฉีเซี่ยงหยวน  แต่มีซักกี่คนที่ทราบว่าบุคคลที่ไม่ว่าใครต่างไม่มั่นใจว่าจงรักภักดีต่อแคว้นเป่ยชางผู้นี้ทุ่มเททำอะไรไปบ้างเพื่อแผ่นดินที่เขาเกิด

ใจของฉีเซี่ยงหยวนอาจไม่เคยเป็นของใครอย่างแท้จริง  แต่หากจะมีสิ่งหนึ่งที่ผูกมัดเขาไว้ได้ตลอดกาลสิ่งนั้นต้องเป็นแคว้นเป่ยชาง  ความรู้สึกอับจนปัญญามาพร้อมกับความภาคภูมิใจชนิดหนึ่ง  ตัวตนของท่านยิ่งมาก็ยิ่งรัดข้าแน่นจนดิ้นไม่หลุด  ข้าเพียงคาดหวังให้ท่านเป็นเช่นนี้ตลอดไป  อย่าให้เส้นทางที่วกวนทำลายหลักการของท่าน  อย่าให้อำนาจทำลายหัวใจของท่าน  หัวใจที่ด้านชาไม่มีทางหล่อเลี้ยงสิ่งใดให้งอกงาม  แต่ท่านกลับมีหัวใจที่อบอุ่นดวงหนึ่ง  ถึงท่านจะไม่เคยเชื่อว่าตัวเองมีมันอยู่เลยก็ตาม...
---------------------
ปัญหาในราชสำนักบ้างผิวเผินบ้างซับซ้อน  ฉีเซี่ยงหยวนเพียงนึกก่นด่าสาปแช่งพวกที่เรื่องมากเหล่านั้น  ปัญหาบางเรื่องทางออกง่ายดายชัดๆยังจะไปทำให้มันยุ่งยากขึ้นมา  ด้วยความอารมณ์เสีย  เป่ยชางอ๋องจึงทิ้งโต๊ะทำงานชั่วคราว  พาตัวเองเข้ามาอยู่ในห้องที่ปราศจากแสงไฟ

ห้องไม่มีแสงไฟ แต่ในห้องมีคนผู้หนึ่ง คนที่อบอุ่นยิ่งกว่าโคมตะเกียงใดๆ เหลียนอันสุ่ยหลับไปแล้ว  บางครั้งฉีเซี่ยงหยวนก็จินตนาการกับตัวเองว่าเหลียนอันสุ่ยรอคอยเขาจนหลับไป  เพราะรสชาติของการรู้ว่ามีคนรอคอยให้กลับไปเป็นความหวานซึ้งชนิดหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยหวังว่าตัวเองจะมี ‘บ้าน’   ‘บ้าน’ ของเขาเป็นแค่แคว้นเป่ยชางก็เพียงพอแล้ว  แต่นึกไม่ถึงว่าตอนนี้กลับมีความคาดหวังขึ้นมา  ซ้ำยังเป็นความคาดหวังที่ละโมบโลภมากต้องการครอบครองตลอดไป คิดพลางกุมมืออีกฝ่ายไว้

“งานของท่านเสร็จแล้วหรือ ?” หนึ่งคำถามดังในความเงียบ  พาให้คนที่จับจ้องผู้อื่นอย่างเคลิบเคลิ้มชะงักไป  ดวงตาที่สงบกระจ่างคู่หนึ่งลืมขึ้นมาจ้องร่างสูงที่ยืนทาบเงาอยู่ข้างเตียง  พลางชันตัวขึ้นนั่ง
“ข้าไม่ควรเข้ามารบกวนท่าน” ฉีเซี่ยงหยวนพึมพำ
เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า กล่าว
“ข้ายังไม่หลับ” จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “งานเหล่านั้นทำจนตายก็ไม่หมดไม่สิ้น  ถ้าท่านไม่รักษาสุขภาพตัวเอง  เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาผู้ใดจะสะสางแทนท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งไปครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมา  จงใจกล่าวอย่างไม่จริงจังว่า
“หากให้นอนลงไปตอนนี้  เกรงว่าคนที่ไม่ได้พักจะกลายเป็นท่านแล้ว” คำพูดแฝงนัยกรุ้มกริ่มที่ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจว่าเหลียนอันสุ่ยจะต้องรีบดึงมือออกแล้วเลิกสนใจเขาแน่นอน  กลับทำให้มือที่กุมกันอยู่กระชับแน่นเข้า  เหลียนอันสุ่ยกล่าวออกมาเบาๆว่า
“นั่นก็ช่างเถอะ”
ฉีเซี่ยงหยวนรับฟังจนตะลึงลานไป  ส่วนเหลียนอันสุ่ยเมื่อขบคิดอีกครั้งว่าตัวเองกล่าววาจาใดออกไปก็หน้าแดงก่ำ  หากฉับพลันนั้นสีแดงก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวด้วยความเจ็บปวดอับอาย  ไม่มีทางลืมเลือนว่าคืนสุดท้ายตัวเองทำตัวได้น่ารังเกียจขนาดไหน  ดึงมือที่กอบกุมกันไว้ออก  สายตาเบือนหลบไปอีกทาง  ร่างสั่นระริกขึ้นมาโดยห้ามไม่อยู่  ปรารถนาจะสาปตัวเองเป็นก้อนเล็กๆยิ่งกว่าฝุ่นผง  คนน่าขยะแขยงเช่นข้า  ท่านอย่ามองอีกเลย

ฉีเซี่ยงหยวนมองภาพนั้นแล้วรู้สึกเหมือนถูกคนบีบเค้นเลือดทุกหยดออกมาจากหัวใจ  ยังคงเป็นเขาอีกแล้วที่ทำร้ายเหลียนอันสุ่ย  คนที่น่ารังเกียจต่ำช้าคือข้าต่างหาก  ไม่ใช่ท่านเลย  ไม่เคยเป็นท่านเลย
มือใหญ่ประคองใบหน้าของคนที่เบือนหลบไปให้หันกลับมา  ดวงตาทรงอำนาจมีแววเจ็บปวดเสียใจท่านไม่ควรรังเกียจตัวเอง  คนที่ท่านรังเกียจควรเป็นข้า!

ดวงตาหวาดหวั่นขลาดกลัวของเหลียนอันสุ่ยซ้ำเติมจนฉีเซี่ยงหยวนแทบยืนไม่ไหว  เพราะทราบว่าเหลียนอันสุ่ยหวาดกลัวตัวเองที่เปลี่ยนไป  กับคนที่ควบคุมตัวเองตลอดมา  การที่อยู่ๆวันหนึ่งก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองเป็นเรื่องที่น่ากลัวเกินไปแล้ว  เป็นบาดแผลที่ฝังลึกจนยากจะลบหาย  ทำอย่างไรดี  ทำอย่างไรจึงจะลบบาดแผลนี้ได้...

“ให้ข้ารับผิดชอบท่าน”
ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยเบิกค้างอย่างตะลึงลาน
“...ท่าน  ไม่จำเป็นต้อง...” ปฏิเสธไม่ทันจบประโยคก็ถูกแทรกว่า
“มิใช่ไม่จำเป็น  แต่มันเป็นความต้องการของข้าเอง” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนอ่อนเบา แต่จริงจังหนักแน่น  ยื่นมือออกไปประคองใบหน้าที่ถูกคลอเคลียอยู่ด้วยกรอบของเส้นผม  กระซิบบอกอีกฝ่ายอย่างจริงจังเว้าวอนว่า
“ข้าอยากรับผิดชอบท่านไปชั่วชีวิต”
ใจของเหลียนอันสุ่ยสับสนว้าวุ่น  เรือนกายกำยำที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ให้ความรู้สึกคล้ายถูกคุกคาม  คล้ายได้รับการปกป้องคุ้มครอง  ราวมีอารมณ์ท่วมท้นบางอย่างกำลังโหมซัดอยู่ข้างใต้  ปากที่อ้าออกกลับไม่สามารถกล่าวคำปฏิเสธออกไป  เผลอไผลรับคำแผ่วเบาไปโดยไม่รู้ตัว 
ฉีเซี่ยงหยวนสูดลมหายใจลึก ใช้วิธีที่เรียบง่ายที่สุดบอกสิ่งที่อยู่ในหัวใจ
ขณะฉีเซี่ยงหยวนจูบเขาเหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าตัวเองกำลังแหลกสลาย  ในห้วงอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนมีเสียงหัวใจที่แข็งแกร่งดวงหนึ่งเต้นเป็นจังหวะอันมั่นคง  ราวกำลังสื่อสารว่า...ข้าไม่มีทางรังเกียจท่าน

รู้สึกตัวอีกคราเหลียนอันสุ่ยก็พบว่าตัวเองเอนพิงอยู่กับแผ่นอกกว้าง  อ้อมแขนที่มีพลังคู่นั้นโอบประคองอยู่รอบแผ่นหลัง  และพบว่าตัวเองยังมิได้แหลกสลายไป  บางที...สิ่งที่พังทลายลงคงเป็นกำแพงในจิตใจเขา
ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปช้าๆ  บางเรื่องราวกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา  รู้สึกว่าตัวเองเข้าใจคนๆหนึ่งอย่างลึกซึ้ง  และเชื่อใจคนๆหนึ่งอย่างลึกซึ้ง


===========
ทุกคนต่างกำลังชดใช้ให้กับอดีตของตัวเองอยู่เสมอ
เรื่องที่ท่านต้องพบเจอต้องแบกรับในวันนี้ล้วนเป็นผลมาจากวันวาน
รับผิดชอบเป็นคำของคนที่ตระหนักในสิ่งที่ตัวเองแบกรับ
ส่วนคำว่าข้าอยากรับผิดชอบท่านไปชั่วชีวิตเป็นคำขอแต่งงาน(ฮา)

ขอบคุณทุกคนสำหรับทุกกำลังใจฮ้าบบบบ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 30 .......................................27/08/57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 31-08-2014 11:55:16
 :mew1: ต้าอ๋องเหลียนเหลียน

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 32 .......................................31/08/57
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 31-08-2014 17:49:52
 :กอด1: ขอบคุณจ้า
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 32 .......................................31/08/57
เริ่มหัวข้อโดย: Cressent ที่ 31-08-2014 22:44:17
ล้ำลึก นุ่มนวล ลงตัว

ถ้ามีรวมเล่มอุดหนุนแน่นอนค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 33
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 03-09-2014 16:55:34

บทที่ 33 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางเหมือนเดิม

ประตูใหญ่เปิดกว้าง  เนื่องจากเช้านี้ไม่มีประชุมขุนนาง  ผู้สัญจรเข้าออกราชสำนักจึงบางตากว่าเมื่อวาน  ลึกเข้าไปด้านในผ่านหมู่ตำหนักที่เรียงรายอยู่สองฟาก  หญิงรับใช้ยังคงเดินกันขวักไขว่อยู่เช่นเดิม  แต่ละนางสวมเสื้อผ้าไม่หนาไม่บางท่าทางกระฉับกระเฉง  เหลียนอันสุ่ยก้มลงมองชุดกันหนาวบนร่างตัวเองแล้วยิ้มเล็กน้อย  คนเป่ยชางทนความหนาวเย็นได้ดีกว่าชาวเหลียนจริงๆ 
ขณะนี้แต่ละตำหนักต่างปล่อยม่านซึ่งทำจากซี่ไม้ลงเพื่อกันแดดจ้าสาดเข้ามา  เวรขัดถูทำความสะอาดง่วนอยู่กับหน้าที่ประจำ  คนเพิ่งกลับถึงตำหนักเดินเลยเข้าไปในห้องส่วนตัวของตัวเอง  ใช้ฝีเท้าแผ่วเบาตรวจดูว่าเตาผิงทุกตัวยังคงอุ่น  ป้องกันไม่ให้อากาศหนาวเย็นไปรบกวนคนที่กำลังหลับใหล  จากนั้นเปิดฝากระถางกำยานเติมผงสมุนไพรที่ช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลายสองสามชนิดซึ่งหยิบติดมือกลับมาด้วยลงไป 

เหลียนอันสุ่ยแวะไปโรงหมอมาเรียบร้อยแล้วสำหรับเช้านี้  แต่คนบนเตียงยังคงไม่ตื่น ฉีเซี่ยงหยวนฟังคำเตือนของเขา  มิเช่นนั้นถึงเช้านี้จะไม่มีประชุมขุนนาง  เจ้าตัวก็คงจะดิ้นรนออกไปใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุดอยู่ข้างนอกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง  อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนตื่นมาแล้วรอบหนึ่งเพื่อสั่งงานบางส่วนกับหลิวฉางเฟย  แล้วจึงกลับมานอนต่อชดเชยที่เมื่อคืนกว่าหัวถึงหมอนก็ค่อนสว่าง

เหลียนอันสุ่ยเดินไปเดินมาสุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ข้างเตียง  มองแสงสว่างจับลงบนใบหน้าคมคายจนดูชัดเจน  ...ราวกับใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ  หว่างคิ้วที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าผ่อนคลายลงมากแล้ว  แนวคิ้วหนายังคงมั่นคงเด็ดเดี่ยว  แววตาของเหลียนอันสุ่ยอ่อนละมุนลงเมื่อพบว่าอีกฝ่ายยังคงหลับลึก  การมองท่านในแสงตะวันเช่นนี้ดูแตกต่างจากโครงหน้าที่สว่างจากตะเกียงน้ำมันในวันอื่น  คิดๆดูแล้วระหว่างเรามักเป็นเช่นนี้เสมอ  ได้อยู่ร่วมเพียงยามราตรี...ดุจเดียวกับความสัมพันธ์กับความในใจที่ทำได้เพียงซุกซ่อนไว้อย่างมิดชิดในเงาจันทร์

‘ข้าอยากรับผิดชอบท่านไปชั่วชีวิต’
เขารู้ตัวรึเปล่าว่าเมื่อวานพูดอะไรออกมา...
ในห้วงความคิดที่พาให้คนเหม่อลอย  เงาซึ่งบดบังลงมาทำให้แนวเปลือกตาของฉีเซี่ยงหยวนขยับเล็กน้อย  เหลียนอันสุ่ยมาสะดุ้งวาบเอาตอนที่ดวงตาเจิดจ้าทรงอำนาจลืมขึ้นมาจับจ้อง

“ที่แท้ก็มีวันที่ท่านแอบมองข้าเวลาหลับ” มุมปากของฉีเซี่ยงหยวนมีรอยยิ้ม  มือใหญ่เลื่อนขึ้นมาทาบบนโครงหน้ากระจ่าง
“ข้าแค่  เอ่อ  แค่...ดูว่าท่านยังหลับสนิทอยู่หรือไม่” เหลียนอันสุ่ยตอบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
นิ้วโป้งของฉีเซี่ยงหยวนไล้ผิวแก้มอีกฝ่ายเบาๆ  พลางกล่าว
“ข้าชอบความเป็นห่วงที่สะท้อนอยู่ในแววตาของท่าน”
“...” เหลียนอันสุ่ยพลันไม่รู้จะตอบอะไรดี  ใบหน้าร้อนผ่าว  นึกอยากจะเคลื่อนถอยห่างกว่านี้แต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะทราบความรู้สึกปั่นป่วนที่เกิดขึ้น
“ท่านตัวร้อน”
“...” ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยร้อนจัดกว่าเดิม
“ข้าจูบท่านได้ไหม ?”
...สวรรค์  ทำไมวันนี้คำพูดของบุรุษตรงหน้าจึงร้ายกาจเป็นพิเศษ  เหลียนอันสุ่ยอ้าปากคิดจะกล่าวอันใด  แต่อ้าอยู่นานก็นึกหาคำพูดไม่ออก  ราวกับสมองจู่ๆก็หยุดทำงานไปเฉยๆ  มือไม้ปั่นป่วนไปหมด  ฉีเซี่ยงหยวนจึงเข้าใจไปเองว่าอีกฝ่ายยินยอม  จึงค่อยๆลิ้มรสริมฝีปากเนียนอย่างตั้งใจ  ยิ่งจูบก็ยิ่งลึกล้ำ  ก่อกวนจนเหลียนอันสุ่ยมึนงงตาลาย  ร่างสองร่างยิ่งมายิ่งไม่เหลือระยะห่าง
รอยจูบผละออกอย่างแช่มช้าอ้อยอิ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตามองคนหอบหายใจที่ทาบทับอยู่บนตัวเขา  รู้สึกว่าตัวเองลืมเลือนความจริงที่สำคัญไปข้อหนึ่ง  มัวแต่กลัวจะทำร้ายอีกฝ่าย  กลับลืมเลือนไปว่าเหลียนอันสุ่ยขาดเขาไม่ได้

ขณะฉีเซี่ยงหยวนพยายามเค้นหัวหาวิธีที่จะให้อีกฝ่ายยอมรับโดยไม่ละอายตำหนิตัวเอง  เหลียนอันสุ่ยก็ดูเหมือนจะนึกเรื่องนั้นขึ้นมาได้เช่นกัน  เท้าคิดจะผละหนี  แต่จนใจที่ฉีเซี่ยงหยวนรั้งเอวเขาเอาไว้ไม่ปล่อย
“สีหน้าเช่นนี้ของท่านใช้มองข้าได้แค่คนเดียวเข้าใจหรือไม่”
ดวงตาที่กำลังจะเจือด้วยแววละอายถูกคำพูดอีกฝ่ายทำจนปรากฏเค้างงงันขึ้นมาแทน
“...เพราะมันยั่วใจคนเกินไป”
เหลียนอันสุ่ยได้ยินแล้วถึงกับทำหน้าไม่ถูก  หัวใจเต้นถี่เร็ว  ในอกเต็มไปด้วยความประหม่าขลาดกลัว  ไม่ทราบสมควรวางตัวอย่างไร  ตัวตนของฉีเซี่ยงหยวนคล้ายมีความสามารถขุดคุ้ยตัวตนลึกๆที่ขนาดเหลียนอันสุ่ยเองก็ไม่ทราบว่าตัวเองมีอยู่ออกมา
ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจ  กล่าว
“ท่านไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดขนาดนี้  ยิ่งไม่จำเป็นต้องตื่นกลัวขนาดนี้  เพราะข้าจะไม่บีบบังคับให้ท่านทำในสิ่งที่ท่านไม่ยินยอม”
“...ข้าไม่ได้ไม่ยินยอม” กล่าวออกไปแล้วเหลียนอันสุ่ยพลันนึกเสียใจ  อยากตะครุบคำพูดกลับคืนมา  แย่แล้ว  ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้น   เขาก็ถูกเล่นงานจนปากกับความคิดไปกันคนละทิศคนละทาง  พูดจาไม่กลั่นกรอง  ทำเรื่องยุ่งเหยิงไปกันใหญ่
“จริงนะ ?”
“ขะ ข้า คือ ข้าว่าท่านหิวแล้ว  ดะ เดี๋ยวข้าจะออกไปให้คนยกอาหารเข้ามา”
“ข้ายังไม่หิว  ตอนนี้ข้าอยากรู้แค่ว่าท่านพูดจริงรึเปล่า” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง  ขณะดันไหล่อีกฝ่ายออกห่างเพื่อเพ่งมองใบหน้าหมดจดให้ชัดๆ  ค้นหาคำตอบแท้จริงที่แฝงอยู่ในแววตา
“...” อยากจะหาเหตุผลมากลบเกลื่อน  แต่กลับรู้สึกว่าสายตาตัวเองมิอาจซุกซ่อนปิดบังความจริงอีกต่อไป  เพราะมันมากมายเกินไป  ปิดบังมาเนิ่นนานเกินไป และกำแพงที่เคยก่อมาปิดไว้ก็ไม่คงอยู่อีกแล้ว  เหลือเพียงผ้าบางๆผืนหนึ่งที่ถูกสายตาเจิดจ้าคู่นั้นสาดมองทะลุเข้ามา
ฉีเซี่ยงหยวนจูบแผ่วเบาลงบนเรือนผมดำสนิท  กล่าวเบาๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ผ่อนคลาย  แล้วเชื่อใจข้า”

เหลียนอันสุ่ยขบริมฝีปากอย่างไม่มั่นใจ  รู้สึกว่าแสงตะวันคล้ายกับสว่างจนเกินไป  รู้สึกว่าไม่สมควรปล่อยให้เป็นเช่นนี้  รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ  รู้สึกอีกมากมายหลายอย่าง  แต่ลึกๆแล้วกลับอับจนปัญญา  จะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่อทั้งร่างกายและจิตใจต่างก็ปรารถนาคนผู้นี้ ?
---------------------
วันนั้นกว่าฉีเซี่ยงหยวนจะได้รับประทานอาหารเช้าก็เลยเที่ยงไปแล้ว  อ้อยอิ่งอยู่นานจึงค่อยผละจากตำหนักเสียงวสันต์ไปเพื่อประชุมขุนนางรอบบ่าย  เมื่อเท้าของเป่ยชางอ๋องพ้นประตูไป  พระมาตุลาแคว้นเหลียนที่นั่งตัวเกร็งอยู่ตลอดเวลาจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆด้วยความโล่งอก
 
ปรกติสายตาของฉีเซี่ยงหยวนก็ชวนให้ผู้คนทำตัวไม่ถูกอยู่แล้ว  วันนี้กลับเพิ่มความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างชัดเจนขึ้นมาอีก  ...ราวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่มีทางเป็นเหมือนเดิม  ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยร้อนวูบวาบ  เพราะรู้ได้ว่าบางอย่างเปลี่ยนไปแล้ว 

ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายอ่อนโยนกับเขา  ยิ่งไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายทะนุถนอมเอาใจใส่เขาเป็นพิเศษ  เหลียนอันสุ่ยมิใช่ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้และรู้ด้วยว่าฝ่ายที่ได้รับคือตัวเอง  ไม่ใช่เขา ‘ปรนนิบัติ’ ฉีเซี่ยงหยวน  แต่เป็น...เอ่อ...ตรงกันข้าม  หากสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปกลับเป็นความหมายที่แอบแฝงอยู่ในสัมผัสลึกซึ้งนั่น  คล้ายเป็นพันธะสัญญา  และก็คล้ายเป็นบ่วงพันธนาการคน
ที่ฉีเซี่ยงหยวนสัมผัสไม่ใช่ร่างกายเขา  แต่เป็นวิญญาณเขา  ที่ฉีเซี่ยงหยวนครอบครองก็ไม่ใช่ร่างกายเขา  แต่เป็นวิญญาณเขา  ดูเหมือนเขาจะทำความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ลงไปอีกแล้ว  มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆ  ความหมายของมันผิดกันจนไกลลิบ  มิใช่สนองความต้องการทางร่างกาย  แต่เป็น...

‘ข้าอยากรับผิดชอบท่านไปชั่วชีวิต’

เหลียนอันสุ่ยเข่าอ่อน  ดูเหมือนฉีเซี่ยงหยวนจะไม่ใช่แค่พูดไปตามสถานการณ์  แต่คิดจะทำมันจริงๆ !
จากนั้นก็คล้ายสวรรค์กลั่นแกล้งคน  เมื่อเหลียนอันสุ่ยพลันนึกออกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยรวมคล้ายกับอะไร  ส่งผลให้แตกตื่นจนใบหน้าซีดขาว  เพราะมันคล้ายกับ...คล้ายกับ...คืนแรกที่เขาเข้าหอกับภรรยา
ยิ่งคิดก็ยิ่งว้าวุ่น ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน  ตัดสินใจเดินออกไปสงบจิตใจด้านนอก  หากเมื่อเท้าพ้นประตูออกไป  กลับพบอิ๋งฮวาเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้ามาหา
“นายท่าน  บ่าวไม่เข้าใจ  ทำไมท่านยังให้อภัย ‘เขา’ อีก” เสียงของอิ๋งฮวา  ทำให้เหลียนอันสุ่ยสะดุ้งวาบ  หลุดออกจากภวังค์ความคิดที่ชักจะเลยเถิดออกไป  ทวนคำว่า
“เขา ?”
อิ๋งฮวาเห็นนายท่านทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจก็รุ่มร้อนหนัก  ทนเงียบต่อไปไม่ไหว  เมื่อสิ่งที่นางเข้าใจว่าจบไปแล้วกลับทำท่าว่าจะเริ่มต้นใหม่กลับเข้าสู่วงจรเดิม  จึงโพล่งออกไป
“ก็เป่ยชางอ๋องที่น่ารังเกียจผู้นั้นอย่างไรเล่า!  เขาทำเรื่องต่ำช้ากับท่าน  ทรมานท่านครั้งแล้วครั้งเล่า  วันนี้ทำไมท่านยังให้คนจัดเตรียมอาหารให้เขาอีก”
“ทรมานข้า ?” เหลียนอันสุ่ยทวนคำ  เห็นอิ๋งฮวาที่แม้เปลือกนอกจะนอบน้อม แต่แท้จริงกล้าพูดทุกเรื่องราวพลันหน้าแดงก่ำกระดากปากจนพูดไม่ออก  ก็ค่อยๆเข้าใจว่าเป็นเรื่องราวอะไร  ใบหน้าก็พลอยแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย  อิ๋งฮวาเป็นคนเก็บห้องของเขา  บางทีนางคงเห็นสภาพเตียงจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
“เจ้าไม่เข้าใจ  ...มัน...ไม่สามารถอธิบายได้ง่ายๆ อย่างนั้น”
“แต่เขาล่วงเกินท่านอีกแล้ว!” จะอย่างไรนางก็เป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน  พูดประโยคนี้จบก็ต้องหน้าแดงอีกคำรบหนึ่ง

เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก  หลับตาลง  รู้สึกยากลำบากอยู่บ้างที่จะอธิบายให้นางเข้าใจ  เมื่อลืมตาขึ้นก็กล่าวช้าๆว่า
“เรื่องแบบนั้นคนที่ชอบกันก็ไม่จำเป็นต้องชอบมันเสมอไป  คนที่ไม่ชอบกันก็ไม่จำเป็นต้องไม่ชอบมันเช่นกัน  ไว้เจ้าออกเรือนแล้วก็จะเข้าใจเอง...จริงๆแล้วกับเรื่องนั้นเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรกับข้ามากมาย    เจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจ...แต่ข้ามีความสุขนะอิ๋งฮวา” และที่ข้าเจ็บปวดก็เพราะว่าข้าไม่สมควรมีความสุข

เหลียนอันสุ่ยยอมรับมานานแล้วว่าตัวเองไม่ได้รังเกียจสัมผัสของฉีเซี่ยงหยวน  ความจริงแล้วฉีเซี่ยงหยวนเป็นคู่นอนที่เอาใจใส่มากคนหนึ่ง  บุรุษผู้นั้นมิได้มีนิสัยชอบตักตวงเอาฝ่ายเดียวแบบทายาทตระกูลใหญ่  สมควรบอกว่าฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเรื่องราวเช่นนั้นคือการมอบให้และรับมา  ที่เหลียนอันสุ่ยรังเกียจคือตัวเองที่นับวันยิ่งปล่อยตัวปล่อยใจ  บางทีเขาควรจะใจกว้างให้ได้ซักครึ่งหนึ่งของฉีเซี่ยงหยวน  ยอมรับว่าเรื่องราวเหล่านั้นคือธรรมชาติของมนุษย์

อิ๋งฮวายังคงมีสีหน้าคลางแคลง  คล้ายคิดเอ่ยแย้ง  แต่ไม่ทราบว่าจะเริ่มเอ่ยแย้งจากตรงไหนดี  เมื่อหลายชั่วยามก่อนเสียงของนายท่านคล้ายทรมานมากและก็คล้ายจะขาดใจ  แต่ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดนางยิ่งฟังก็ยิ่งหน้าแดง  จำต้องเดินหลบออกมาจนไกล  นางทั้งไม่เข้าใจตัวเองและยิ่งไม่เข้าใจนายท่าน
เหลียนอันสุ่ยเห็นท่าทีคลางแคลงของอีกฝ่ายก็ยิ้มบางๆ  พลางกล่าวว่า
“ดูท่าข้าสมควรหาคู่ครองดีๆให้กับเจ้าซักคน”
หา  ตาของอิ๋งฮวาเบิกโต  เหตุใดกลายเป็นวกเข้าเรื่องนี้ได้ !
สีหน้าของเหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนเป็นจริงจัง  กล่าวว่า
“เจ้าติดตามข้ามานาน อายุก็ไม่น้อยแล้ว ต้องตำหนิข้าเป็นนายเลอะเลือน  ความจริงสมควรหาคนดีๆ...”
อิ๋งฮวายิ่งฟังก็ยิ่งแตกตื่น  คุกเข่าโครมลงกับพื้น  ละล่ำละลักว่า
“บ่างคิดแต่ติดตามนายท่าน  เรื่องอื่นไม่สนใจ  หากไม่มีคนชอบพอก็ไม่คิดแต่งให้กับใคร  วิงวอนนายท่าน  เรื่องหาคู่ให้บ่าวเป็นเรื่องไม่จำเป็น”
เห็นนางแตกตื่นจนหน้าถอดสี  เหลียนอันสุ่ยก็ถอนหายใจ  ตัดสินใจเลิกพูดถึงเป็นการชั่วคราว
---------------------
ล่วงเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วง  งานของเป่ยชางอ๋องยังคงมากมายอย่างสม่ำเสมอ  แต่ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองกลับทำงานน้อยลง  นี่มิใช่เพราะว่าเขาเกียจคร้าน  แต่เป็นยิ่งเข้าใจงานก็ยิ่งรู้วิธีกระจายงานออกไปอย่างเหมาะสม  ประกอบกับขุนนางในราชสำนักยิ่งมาก็ยิ่งให้ความร่วมมือ  เพราะต่างก็เริ่มทราบแล้วว่ากับเจ้าแคว้นผู้นี้วิธีการดื้อแพ่งไม่มีประโยชน์ 
หากขณะเหล่าขุนนางค่อยๆยอมรับนายเหนือหัว  ความวิตกกังวลบางอย่างก็ยังวนเวียนอยู่ 

ตำหนักหลังว่างเปล่า  และไม่มีท่าทีว่าจะมีใครมาเติมเต็ม เอาเถอะ บางทีคงยังมิใช่ช่วงนี้  ทุกคนต่างเข้าใจไปเช่นนั้น  หาทราบไม่ว่ามีคนผู้หนึ่งตกลงใจอยู่นานแล้วว่าจะให้มันเป็นเช่นนี้  และคนผู้นั้นก็มั่นใจอย่างยิ่งด้วยว่าใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องดังกล่าว  เพราะคนผู้นั้นคือเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน

ฝ่ายพระมาตุลาแคว้นเหลียนพักหลังๆก็วนเวียนเข้าออกโรงหมอกับหอตำรา  แม้ไม่ได้มีฐานะเป็นหมอ  แต่ก็ช่วยงานอย่างจริงจัง  เหลียนอันสุ่ยทำตามที่รับปากไว้กับฉีเซี่ยงหยวน  มิได้พบเจอกับหลันเซียงอีก  จนกระทั่งมีข่าวเงียบๆ ออกมาว่าอดีตนางบำเรอคนโปรดของฉีเซี่ยงหยวนผู้นี้กำลังจะไปจากแคว้นเป่ยชาง...
---------------------
หอสักการะสูงเสียดฟ้า  บันไดร้อยกว่าขั้นทอดตัวยาวลงมา  แต่ละขั้นใหญ่โตแข็งแกร่งดุจเดียวกับภาพลักษณ์ของแคว้นเป่ยชาง
“นี่เป็นที่แรกที่ข้าได้พบกับเขา  ตอนนั้นเขายืนอยู่บนแท่นประกอบพิธี  เป็นตัวแทนของอดีตเป่ยชางอ๋องสักการะฟ้าเพื่อให้พืชผลบริบูรณ์” ดวงตาของหลันเซียงทอดไปยังวันวานอันแสนไกล

 “แม่นางหลันเซียงจะจากไปจริงๆหรือ?” เสียงอบอุ่นนุ่มนวลดุจลมวสันต์ถามขึ้น
หลันเซียงก้มหน้ารับคำเบาๆ  ดวงตาเหลือบมองบุรุษที่มีบุคลิกเมตตาการุณย์อย่างใจลอย  เอ่ยถามขึ้นเบาๆ
“ท่านจากไปพร้อมกับข้าดีหรือไม่  อยู่ที่นี่ไปจิตใจรังแต่เศร้าหมอง  อิสระเสรีเป็นสิ่งที่เราต้องไขว่คว้ามาด้วยตัวเอง  ท่านเคยบอกข้าเช่นนี้ไม่ใช่หรือ”
มุมปากของเหลียนอันสุ่ยปรากฏรอยยิ้มที่แทบจะมองไม่เห็นขณะมองหญิงงามตรงหน้า  อิสระเสรีแท้จริงคือจิตใจ  ในที่สุดนางก็รู้จักปล่อยวางบ้างแล้ว  คิดพลางส่ายหัวช้าๆ
“ข้าไปไม่ได้  แต่ว่าเจ้าไม่เหมือนกัน  ใช้ชีวิตของเจ้าให้ดี  วันเวลาเป็นสิ่งมีค่า  เจ้าเองก็มีค่านัก  อย่าทำลายคุณค่าในตัวเอง  ถ้ามีวาสนาคงได้พบกัน...”อีก  คำว่าอีกยังไม่ทันหลุดจากปาก  ร่างของหลันเซียงที่ยืนหมิ่นเหม่อยู่ตรงริมบันไดก็ทำท่าจะร่วงหล่นลงไปแล้ว !
ตั้งแต่เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า  แววตาสงบราบเรียบของหลันเซียงก็แปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดคลุ้มคลั่ง    หัวใจที่แหลกสลายไปแล้ว  เหมือนถูกบดขยี้จนกลายเป็นเศษผง  ไม่ไป?  ภาพของบุรุษหนึ่งสงบนุ่มนวลหนึ่งยิ่งใหญ่ทรงอำนาจที่ยืนเคียงกัน  พาให้สติรับรู้ของหลันเซียงกรีดเสียงร้องอย่างโกรธเคือง  ประเสริฐมาก!  ในเมื่อไม่คิดจะไปเอง  ข้าจะทำให้พวกท่านจากกันตลอดกาล
เท้าของนางขยับเข้าใกล้ริมบันไดก่อนใครจะทันสังเกต  ดวงตาหลุบต่ำสาดแววแข็งกร้าว

‘มองให้ดีเถอะฉีเซี่ยงหยวน  ข้าจะจบทุกอย่างตรงที่มันเริ่มต้นขึ้น  ข้าจะไม่ทิ้งเขาไว้ให้ท่าน  แต่จะพาเขาไปกับข้าด้วย ! ’

เหลียนอันสุ่ยโถมตัวเข้าไปอย่างเร่งร้อน  คว้าร่างบอบบางที่ส่ายโงนเงนตรงหน้าเข้ามาโดยไม่ต้องคิด  หลันเซียงที่คิดจะยกมือดึงฝ่ายตรงข้ามลงไปด้วยกันถูกแรงฉุดคว้านี้ผลักจนถลาไปเกาะกับราวบันไดด้านข้าง  แต่คนที่ช่วยเหลือผู้อื่นกลับไม่มีปัญญาช่วยเหลือตัวเอง 
หลันเซียงเบิกตากว้าง  มองบันไดแต่ละขั้นกระแทกเข้ากับร่างสูงของพระมาตุลาแคว้นเหลียน  หัวใจที่เคยคิดว่าแหลกสลายไปแล้วกลับแหลกสลายอีกครา 
ในวินาทีที่อีกฝ่ายร่วงหล่นลงไป  หัวใจของนางเพียงกรีดร้อง...ว่านาง...ไม่อาจสูญเสียเขา
---------------------
พายุใหญ่กระหน่ำซัดจนตำหนักเสียงวสันต์แทบพังทลาย  โทสะของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนผนึกแข็งบรรยากาศในวังหลวง  ขุนนางผู้น่าสงสารส่วนใหญ่ย่อมไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ  ส่วนต้นสายปลายเหตุที่กองรวมอยู่ที่ตำหนักเสียงวสันต์ขณะนี้ย่อมเผชิญคราเคราะห์ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า

“ข้าเคยสั่งแล้วใช่หรือไม่ว่าห้ามเหลียนอันสุ่ยพบกับนางอีก” รังสีอำมหิตเฉียบขาดของบุคคลกลางห้องกดหนักลงบนบ่าของหม่าหลงกับต้วนจินที่พากันคุกเข่าอยู่กับพื้น
ดวงตาทั้งสองคู่ของผู้ใต้บังคับบัญชาปรากฏแววละอายใจ  ไม่มีคำพูดจะแก้ตัว  มันเป็นความผิดพลาดของพวกเขาที่ไม่เฝ้าพระมาตุลาให้ดี 
หม่าหลงกับต้วนจินไม่ทราบว่าเหลียนอันสุ่ยจะไปพบหลันเซียงที่หอสักการะ  เพื่อการนี้พระมาตุลาแคว้นเหลียนถึงกับใช้แผนการทำให้พวกเขาคลาดสายตาไป  หันกลับมาอีกคราคนก็ไม่อยู่แล้ว  ขณะจะออกตามหากลับได้รับรายงานในเรื่องที่หวั่นเกรง
ฉีเซี่ยงหยวนมิใช่ไม่ทราบว่าคนของตัวเองถูกพระมาตุลาเดินอุบาย  และคนที่เดินอุบายเสแสร้งแสดงละครอย่างสมจริงอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดก็คือหลันเซียง  แต่ด้วยฝีมือของสองคนนี้หากไม่ประมาทความผิดพลาดไม่สมควรเกิดขึ้น
เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนกล่าวต่ออย่างแช่มช้าด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“หาก ‘เขา’ เป็นอะไรไป...”
“พวกเราจะขอชดใช้ด้วยชีวิต!” หม่าหลงกับต้วนจินกล่าวโดยพร้อมเพรียงหนักแน่น
---------------------
ส่วนคนที่ทราบว่าเหลียนอันสุ่ยจะไปหาหลันเซียงที่หอสักการะ  ตอนนี้ย่อมโทษตัวเองอย่างหนักหน่วง  หวังเชียนไม่ทราบโฉมหน้าที่แท้จริงของหลันเซียง  สิ่งที่เขาทำไปคือทำตามความต้องการของผู้เป็นนาย  ตอนนี้กลับรู้สึกเสียใจที่ตัวเองไม่เชื่อสัญชาตญาณของอิ๋งฮวาที่เคยบอกว่าผู้หญิงคนนี้มีจุดประสงค์ไม่ดี

คนที่โทษตัวเองยังมีพระภาดาหานญื่อหลัวที่รีบรุดมาทันทีหลังเกิดเรื่อง  และแน่นอนว่าก่อนจะได้เห็นหน้าพระมาตุลาพยัคฆ์กับสุนัขป่าก็ต้องเกิดสงครามปะทะคารมไปรอบครึ่ง  ขณะนี้สงบสติอารมณ์รอฟังผลจากหมอหลวงกันอยู่คนละมุมห้อง

“เจ้าบอกว่าเหลียนอันสุ่ยรู้อยู่แล้วว่าหลันเซียงไม่ได้มาดีมาตั้งแต่ต้น ?” คำถามนี้เป็นของฉีเซี่ยงหยวน
“มิผิด  แต่นึกไม่ถึงว่าแม้จะรู้อยู่แล้ว ‘เขา’ ก็ไม่ได้ระวังตัวขึ้นเท่าไหร่เลย” รู้ทั้งรู้ว่าเหลียนอันสุ่ยกำลังเล่นกับไฟ  เขาควรจะห้ามอีกฝ่ายหนักแน่นกว่านี้ถึงจะถูก  หานญื่อหลัวคิดพลางลอบสำนึกเสียใจ
ฉีเซี่ยงหยวนสบถออกมาสองสามคำ  ภัยร้ายนี้เขาเป็นต้นเหตุ  รู้ทั้งรู้ว่าคนผู้นั้นเอะอะเป็นต้องให้อภัยผู้อื่น  ทำไมจึงไม่เฉลียวใจให้เร็วกว่านี้ว่าจะเกิดเรื่อง  ยิ่งคิดถึงผลที่อาจเป็นไปในทางเลวร้าย  เป่ยชางอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ก็นั่งไม่ติดที่
ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว  แต่ช่วงเวลาแห่งความกระวนกระวายกลับผ่านไปอย่างเชื่องช้า...
ในที่สุดหมอหลวงก็เดินออกมา  หลังฟังอธิบายอาการอย่างละเอียด  คนที่ร้อนใจทั้งคู่ก็พอจะสงบลงได้บ้าง
“...ข้าห้ามเลือดกับประคบยาไปแล้ว  อาการไม่มีอะไรอันตรายอีก  ไม่นานพระมาตุลาคงจะฟื้น  ตอนนี้ทางที่ดีอย่าไปรบกวน...เขา” เงยหน้าขึ้นมาอีกครา หมอหลวงอาวุโสก็เห็นเพียงเงาหลังของคนเป็นเป่ยชางอ๋อง
“ฉางเฟยส่งท่านหมอกับพระภาดาด้วย”
คำสั่งไล่หลังมาทำให้หานญื่อหลัวที่กำลังจะรีบก้าวตามไปทั้งฉุนทั้งขัน  มองหม่าหลง ต้วนจินที่ก้าวเข้ามาขวาง  นึกอยากจะต่อยหน้าคนบางคนซักหมัด  ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนนับว่าไวกว่าเขาก้าวหนึ่ง  แต่ก็...  มุมปากของหานญื่อหลัวปรากฏรอยยิ้ม  หากแววตากลับแปลกประหลาด

หมอหลวงอาวุโสมองบุรุษที่มีตำแหน่งไม่ธรรมดาทั้งสอง  อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขณะเดินตามหลิวฉางเฟยออกจากตำหนักไป  ต้าอ๋องที่เยือกเย็นไม่เยือกเย็น  พระภาดาผู้น่าคบหาตอนนี้กลับดูน่าหนีไปให้ไกลเป็นที่สุด  นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ !

ฝ่ายหานญื่อหลัวมองปราการมนุษย์ที่ขวางอยู่เบื้องหน้า  ทราบดีว่าดึงดันฝ่าเข้าไปมีแต่จะเกิดเสียงดังรบกวนคนเจ็บ  ดวงตาสีฟ้าหรี่ลง  การกระทำนี้ทั้งสมกับเป็นฉีเซี่ยงหยวนและไม่สมกับเป็นฉีเซี่ยงหยวนเลย  ต้าอ๋องผู้ยิ่งใหญ่  ฉีเซี่ยงหยวนผู้เยือกเย็น  ไม่ทราบหายไปที่ไหนแล้ว  นึกถึงแววตากระวนกระวายของบุรุษผู้นั้น  หานญื่อหลัวก็แทบอยากหัวเราะออกมา  แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกอยากหัวเราะตัวเองมากกว่าอย่างอื่น  ที่อาการก็ดูจะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่

นั่งลงช้าๆ  รินชาให้กับตัวเองถ้วยหนึ่ง  บุคลิกค่อยๆกลับคืนสู่ความปลอดโปร่ง  นานๆครั้งหานญื่อหลัวจะทำตัวใจร้อนวู่วาม  แต่เมื่อครู่โดยไม่ทันได้ไตร่ตรองขาก็ก้าวออกไปก่อนแล้ว  หานญื่อหลัวมองชาในจอก  ไม่สนใจองครักษ์ที่ยืนขวางอยู่หน้าบานประตู  รู้ว่าตัวเองจะเข้าไปแน่  แค่ยังไม่ใช่ตอนนี้  ดวงตาสีฟ้าที่ปลอดโปร่งเยือกเย็นมีแววขำเจืออยู่ลึกๆ
ฉีเซี่ยงหยวน  จอกนี้ข้าดื่มให้ท่าน  โรคที่ท่านเป็นอยู่เกรงว่าจะหนักหนาสาหัสจนรักษาไม่ได้แน่แล้ว

เพราะต่อให้หมอเทวดาก็ไม่มีปัญญาถอนฤทธิ์ของความรักฝังใจไปจากใจคน
---------------------
ทุกผู้คนต่างไม่ทราบ  คนที่ปวดร้าวใจอย่างลึกซึ้งที่สุดกลับเป็นสตรีที่มีนามว่าหลันเซียง  นางคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักเสียงวสันต์เป็นเวลาหลายชั่วยามท่ามกลางสายลมหนาวสะท้าน  เท้าทั้งสองข้างแข็งชาจนขยับไม่ได้  แต่ใจนางกลับเจ็บปวดยิ่งกว่า  วิงวอนต่อสวรรค์ให้พรากชีวิตของนางไปแทน

ความรักที่นางมีต่อฉีเซี่ยงหยวนเป็นความฝังใจที่ตัดไม่ขาด  ไฟแค้นที่นางมีต่อฉีเซี่ยงหยวนบดบังหนึ่งความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ  มิน่าเล่าสิ่งที่นางตัดสินใจจึงมิใช่ฆ่า ‘เขา’ ให้ตาย  แต่เป็นพาเขาไปกับนางด้วย  ที่แท้ในหัวใจของนางกลับมีคนผู้หนึ่งซุกซ่อนอยู่โดยไม่รู้ตัว  คนที่นางรักมิใช่ฉีเซี่ยงหยวนมาพักใหญ่แล้ว  แต่นางกลับใช้ความแค้นกับความฝังใจที่เข้าใจผิดว่าเป็นความรักมาทำร้ายบุรุษที่หวังดีต่อนางอย่างแท้จริง
 
‘...ใช้ชีวิตของเจ้าให้ดี  วันเวลาเป็นสิ่งมีค่า  เจ้าเองก็มีค่านัก  อย่าทำลายคุณค่าในตัวเอง...’
นางนับเป็นบุคคลที่โง่เขลาที่สุดในหล้า  เพิ่งรู้ถึงคุณค่าของความหวังดีในตอนที่กำลังจะสูญเสียมันไป...
---------------------
ตั้งแต่เหยียบเท้าก้าวเข้ามาเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนก็ปราดไปที่เตียง  คนบนเตียงยังคงยังคงไม่ได้สติ  ศีรษะมีผ้าพันไว้  เหลียนอันสุ่ยหมดสติไปตั้งแต่ถูกช่วยขึ้นมาในสภาพมีโลหิตอาบย้อมไปครึ่งหน้า  แขนข้างซ้ายถูกกระแทกหัก  มีรอยฟกช้ำไปทั่วทั้งตัว 
ฉีเซี่ยงหยวนมองสีแดงเข้มที่ซึมผ่านทะลุผืนผ้าสีขาวออกมา  สีสันอันจัดจ้านบาดลึกลงในหัวใจเขา  กรีดรอยแผลเป็นทางยาวตั้งแต่มุมหนึ่งไปจรดอีกมุมหนึ่งของหัวใจจนขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี 

ตกบันไดหน้าหอสักการะสี่สิบกว่าขั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น  ถ้าหาก  ถ้าหากบันไดทั้งร้อยกว่าขั้นไม่มีชานพัก  ถ้าหากเหลียนอันสุ่ยร่างกายอ่อนแอกว่านี้  ถ้าหากที่กระแทกมิใช่หัวไหล่ มิใช่ลำตัว แต่เป็นลำคอ...  ฉีเซี่ยงหยวนไม่กล้าคิดต่อ  เป็นครั้งแรกที่หวาดกลัวจนไม่กล้าคิดต่อ  อ้อมกอดที่โอบคนบนเตียงไว้กระชับแน่นเข้า  สั่นสะท้านโดยไม่อาจระงับ

หนี้รักที่เขาก่อขึ้นกลับเป็นเหตุทำร้ายคนสำคัญสองคนของเขาจนเกือบถึงแก่ชีวิต  พอแล้ว  พอแล้วจริงๆ  ฉีเซี่ยงหยวนวิงวอนต่อสวรรค์  หากต้องการให้เขาชดใช้  ขออย่าได้เรียกคืนไปด้วยวิธีนี้  เขาไม่อาจสูญเสียคนผู้นี้ไป  ไม่อาจเด็ดขาด!  เพียงแค่คิดว่าชีวิตหลังจากนี้จะไม่มีคนตรงหน้า  หัวใจทั้งดวงก็เย็นเยือกราวกับหล่นลงไปในหล่มน้ำแข็งแห่งความอ้างว้าง

อ้อมกอดที่กระชับแน่นเข้าปลุกคนที่อยู่ในรอยต่อเลือนรางของการสลบไสลขึ้นมา  เปลือกตาของเหลียนอันสุ่ยกระพริบถี่  ลืมขึ้นมาอย่างแช่มช้า  พอเห็นว่าเป็นใครก็เรียกขานออกไป
“ต้าอ๋อง...?”
ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินเสียงอันคุ้นเคยโทสะก็ลุกโหม
“ท่านเคยรับปากข้าว่าจะไม่พบกับนางอีก  แล้วนี่มันอะไรกัน! หานญื่อหลัวบอกว่าท่านรู้แต่แรกว่านางไม่เคยมาดี  แต่ก็ยังไปพบนางอยู่เรื่อย  ท่านต้องการให้คนทั้งหล้าล้วนติดค้างท่านหรืออย่างไร !”  อภัยให้ผู้อื่นครั้งแล้วครั้งเล่า  พาตัวเองไปเดือดร้อนครั้งแล้วครั้งเล่า  สิ่งที่พระมาตุลาผู้นี้ทำพาให้ฉีเซี่ยงหยวนทั้งปวดหัวทั้งมีโทสะ  ที่น่าขำก็คือตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เหลียนอันสุ่ยให้อภัยมาโดยตลอด
“ท่านเคยคิดถึงเหลียนจิ้งเต๋อบ้างหรือไม่  หากไม่มีท่านเด็กคนนั้นจะอยู่ได้อย่างไร!” น้ำเสียงต่อว่าแต่จิตใจกลับปวดร้าว  อำนาจของข้าแม้เพียงพอจะปกป้องท่าน  แต่ถ้าท่านไม่ให้ความร่วมมือ  ทุบทำลายปราการออกไปเอง  แล้วข้าจะปกป้องท่านได้อย่างไร !
เหลียนอันสุ่ยฟังน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ด้วยความนิ่งอึ้ง  ยังไม่ทันจะรู้สึกตัวตื่นเต็มที่  ริมฝีปากก็ถูกบดขยี้ราวกับคนฝากรอยประทับมีความคับแค้นอันยิ่งใหญ่  อวี้เฉียนคงต้องเคยแทบคลั่งใจตายเพราะบุรุษผู้นี้เป็นแน่  ไม่ว่าใครที่มาหลงรักพระมาตุลาแคว้นเหลียนนับว่าชีวิตถูกลิขิตมาให้เดือดร้อนเป็นกังวล  กับคนที่ดูแลผู้อื่นดีอย่างยิ่ง  แต่กลับไม่ดูแลตัวเองเอาเสียเลย!

“ถ้าครั้งหน้าท่านยังปล่อยให้คนอื่นทำร้ายตัวเองอีก  ดูซิว่าข้าจะลงโทษท่านยังไง !” ถ้อยคำข่มขู่ดังอยู่ข้างหู  ในความงงงันเหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าบางอย่างในตัวเขากำลังสั่นคลอน...
---------------------

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 34
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 03-09-2014 17:07:50

บทที่ 34 เพียงพอ

หน้าตำหนักเสียงวสันต์
 “แม่นางหลันเซียง  คุกเข่าอยู่ตรงนี้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร  ท่านกลับไปเถิด”
“แม่ทัพหลิว  ‘เขา’ ฟื้นหรือยัง  เขา...เขาจะฟื้นใช่หรือไม่” น้ำเสียงของหลันเซียงเบาหวิว  ดวงตาบวมช้ำเต็มไปด้วยคราบน้ำตามีแววสิ้นหวังเลื่อนลอย  ปราศจากความงามอันสามารถทำให้ผู้คนหลงใหลคลั่งไคล้ราวแปรเปลี่ยนเป็นคนละคน
หลิวฉางเฟยเห็นท่าทีของหลันเซียง  ใจแม้เวทนาอยู่บ้าง  แต่ก็ทราบว่าสตรีนางนี้อาจมีลูกไม้อื่นอีก  สุดท้ายจึงกล่าวว่า
“ไม่ว่าเขาจะฟื้นหรือไม่ฟื้นก็ไม่มีประโยชน์  ต่อให้เขาฟื้นแล้วท่านก็ไม่มีทางได้พบเขาอีก  กลับไปเถิด”

ดวงตาที่คล้ายแช่แข็งอยู่ในความสิ้นหวังของหลันเซียงค่อยๆมีประกายขึ้นทีละน้อย  สภาพนางในตอนนี้เหมือนคนกำลังจะจมน้ำ  ขอเพียงได้ยินความหวังเพียงใยเดียว ก็จะรีบคว้ากุมไว้โดยไม่สนใจทุกสิ่ง
 “ท่านว่าเขาฟื้นแล้ว? เขาฟื้นแล้วใช่หรือไม่...ข้าจะไปดูเขา!” น้ำเสียงของนางมีแววยินดี  คิดโถมเข้าไป  แต่ขาทั้งคู่ที่คุกเข่าอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นเสียดกระดูกมาเป็นเวลานานกลับทนทานไม่ไหว  ต้องเสียหลักทรุดล้มลงไปกองกับพื้น
สีหน้าของหลันเซียงปรากฏแววร้อนรน  ยังคิดกระเสือกกระสนเข้าไป  แต่กลับถูกองครักษ์คุมตัวไว้อย่างแน่นหนา

“ปล่อยข้า!...ได้โปรด  ข้ารู้พระมาตุลาไม่อยากเห็นหน้าข้า  แต่ข้าต้องเห็นเขา!  ข้าต้องเห็นว่าเขาฟื้นแล้ว  ขอแค่นิดเดียว  แค่นิดเดียว...” น้ำเสียงของนางเจือแววสะอื้น  น้ำตาที่เพิ่งแห้งไปของใหม่ไหลมาทับถมกับของเก่า  ราวตะกอนแห่งความเศร้าเสียใจที่ไม่มีทางจางหายไปกับกาลเวลา 
นางนั่งอยู่กับพื้น  สูญเสียความถือตัวที่เคยมี  ต่ำต้อยและอับจนหนทาง  ในใจมีแต่ความสับสนเจ็บปวด  หลันเซียงหันไปคว้าชายเสื้อหลิวฉางเฟย  กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านว่า
“แม่ทัพหลิว  ข้ารู้  ข้าเป็นผู้หญิงไม่ดี  ข้ามันคนไม่ดี แต่ขอแค่ครั้งเดียว  ให้ข้าได้เห็นเขา  แล้วข้าจะไม่มายุ่งกับชีวิตพวกเขาอีกเลย  ข้าวิงวอนท่าน...วิงวอนท่าน  หลังจากข้าได้เห็นเขาฟื้นแล้วพวกท่านจะฆ่าข้าเลยก็ได้  ให้ข้าทำอะไรก็ได้  แต่ข้าต้องเห็นเขา...ข้าต้องเห็นเขาจริงๆ”
“แม่นางหลันเซียง  มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้  ข้าจะให้คนพาท่านกลับไป”
“ไม่!  ข้าไม่ไป  ปล่อยข้า!  พวกท่านปล่อยข้า  ข้าไม่ไป” ยื้อยุดกันอยู่เช่นนั้น  หลันเซียงดิ้นรนสุดกำลัง  แต่ร่างกายของนางอ่อนแรงจากการถูกลมหนาวพัดโกรกมาหลายชั่วยาม  สุดท้ายทำได้เพียงห่อตัวลง  ซบใบหน้ากับพื้นหินเย็นเฉียบ รู้สึกราวตัวเองเป็นใบไม้ที่แห้งกรอบในฤดูสารท 

นางเพียงหวังตัวเองสามารถเป็นใบไม้  ใบไม้ไม่มีจิตใจ  ไม่มีหัวใจก็ไม่ต้องชิงชัง  ไม่ชิงชังก็จะไม่ทำร้ายผู้อื่น  กับคนที่ไขว่คว้าความรักมาชั่วชีวิต  ตอนนี้นางเพียงอยากตายไปเงียบๆ  เป็นใบไม้ใบหนึ่งที่ไม่มีน้ำหนักพอจะทิ้งรอยจำไว้ในหัวใจใคร  เพราะนางสกปรกเกินกว่าจะทิ้งรอยไว้ในหัวใจของ ‘เขา’
---------------------
ด้านในตำหนักเสียงวสันต์มีบรรยากาศที่เงียบสงบ
ฉีเซี่ยงหยวนมองเหลียนอันสุ่ยที่ซบอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างว่าง่าย  โทสะกับความปวดร้าวจางหายไปไม่น้อย  โอบกอดอย่างระมัดระวัง ไม่ให้กระทบให้คนเจ็บระบมหนักกว่าเดิม  ซึมซับเสียงลมหายใจเพียงเพื่อจะย้ำกับตัวเองว่ายังมิได้สูญเสียไป  ในชั่วขณะนั้นฉีเซี่ยงหยวนพลันพบว่าตัวเองไม่ต้องการสิ่งใดอีก  แค่เหลียนอันสุ่ยยังอยู่กับเขา  ยังอยู่ข้างกายเขาก็พอ

อ้อมแขนแข็งแกร่งมั่งคงถ่ายทอดความห่วงใย  ดวงตาของพระมาตุลาแคว้นเหลียนมีแววสับสนน้อยๆ  แต่ก็ยินยอมปล่อยตัวเองให้จมไปในความรู้สึกปลอดภัยนี้ 
‘ข้าอยากรับผิดชอบท่านไปชั่วชีวิต’
ไม่จำเป็นหรอก  ไม่จำเป็นเลย  เพียงแค่อ้อมกอดนี้ของท่าน  เพียงแค่ความห่วงใยนี้ของท่าน  ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองได้รับมาจนเพียงพอแล้ว

“หลันเซียง  นาง...เป็นอย่างไรบ้าง?”
“...นางไม่ได้เป็นอะไร  ปลอดภัยดี  ตอนนี้ท่านสมควรห่วงตัวเองมากกว่าอย่างอื่น” ท่าทีฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้กรุ่นโกรธเหมือนเมื่อครู่แต่ปลายเสียงยังติดห้วนสั้น  เห็นได้ชัดว่ามีแววไม่ยินดีกับหัวข้อสนทนา

 “ต้าอ๋อง  แต่ข้าไม่สบายใจจริงๆ  นางถึงกับตัดสินใจจะละทิ้งชีวิตตัวเองไปกับข้า  คนต้องเจ็บปวดระดับใดกัน สิ้นหวังระดับใดกัน  จึงตัดสินใจละทิ้งชีวิตตัวเอง” น่ากลัวบาดแผลในใจหลันเซียงยังหนักหนากว่าบาดแผลบนร่างเขามากนัก ยิ่งขบคิดทบทวนเหลียนอันสุ่ยก็ยิ่งแน่ใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุบัติเหตุ

ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง  อารมณ์ที่พยายามกดลงไปเพราะไม่ต้องการใส่อารมณ์กับคนตรงหน้าพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างชัดเจน  ไม่บ่อยนักที่ฉีเซี่ยงหยวนจะต้องสะกดคำว่าอดทน  คนที่เขาเกรงใจมีไม่มาก  คนที่เขาใส่ใจยิ่งมีน้อยลงไปอีก  คนส่วนใหญ่เพียงกลัวตอแยเขามีโทสะ  แต่ดูเหมือนจะมีคนไม่หวาดกลัวอยู่ผู้หนึ่ง  และคนผู้นั้นพาลเป็นคนที่เขาใส่ใจยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง
หัวร่อไม่ออกร้องไห้ไม่ได้  หากยังคงไม่อาจใส่อารมณ์กับคนข้างกาย  ได้แต่กล่าวด้วยคำพูดช้าๆชัดๆคล้ายพยายามปลุกให้ใครบางคนตื่นเสียที

“นางใช้ชีวิตตัวเองแลกกับชีวิตท่าน!  จงใจทำให้ข้าดู  ต้องการให้ข้าจดจำไปชั่วชีวิต  ให้ข้าสำนึกเสียใจไปชั่วชีวิต !” ความเจ็บปวดที่หลั่งไหลออกมาจากร่างสูงทำให้เหลียนอันสุ่ยอึ้งงันไป  ได้แต่มองแววตาดำสนิทคู่หนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยถ้อยคำนับหมื่นพัน  ปลายนิ้วสากลูบคลำใบหน้าหมดจดสั่นระริกแผ่วเบา  เกือบไปแล้ว  นางเกือบทำสำเร็จไปแล้ว  เหลียนอันสุ่ย  ท่านไม่เข้าใจจริงๆหรือ  ว่าข้า...

น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนสงบราบเรียบ  แต่กลับทำให้ใจของคนฟังรู้สึกราวกับมีเข็มนับพันค่อยๆทิ่มแทงเข้ามาทีละเล่ม 
“ท่านมองด้านนี้ของนางไม่ออกข้าไม่โทษว่าท่าน  ข้อแรกเพราะท่านไม่รู้จักนางเท่าข้า  ข้อที่สองเพราะท่านไม่เห็นแก่ตัว  แต่ทั้งข้าทั้งนางต่างเป็นคนเห็นแก่ตัว  เราทั้งคู่ต่างทราบดีว่าจะทำให้คนที่เราชิงชังเจ็บปวดไปจนวันตายได้อย่างไร” ไม่มีใครซาบซึ้งกับความเหี้ยมโหดของหลันเซียงดีไปกว่าฉีเซี่ยงหยวนอีกแล้ว  การใช้ชีวิตชำระหนี้แค้น  สลักรอยจำที่ลึกที่สุดเอาไว้ในหัวใจคน  สำหรับกับนางแล้วทางเลือกนี้เดินไม่ยากเลย  คุ้มค่าอย่างยิ่ง  เจ็บปวดและเด็ดขาดสมเป็นผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยหลงใหล
ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวต่อว่า
“ที่ข้าไม่ให้นางเข้าใกล้ท่าน เป็นเพราะกลัวนางทำร้ายท่าน  เพราะนางต้องทำแน่  ที่นางแค้นคือข้าไม่ใช่ท่าน  ที่นางทำร้ายท่านก็เพื่อทำร้ายข้า  หรือท่านยังไม่เข้าใจว่าตัวเองสำคัญต่อข้าขนาดไหน ?”

เหลียนอันสุ่ยสะท้านขึ้นคราหนึ่ง  ก้มหน้าลง  เป็นครั้งแรกที่รู้สึกแตกตื่นทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง มองเห็นแต่ความเจ็บปวดของหลันเซียง  แต่กลับละเลยคนๆหนึ่งไปโดยไม่รู้ตัว  เขาไม่ได้คิด  อันที่จริงไม่กล้าแม้แต่จะคิด  ว่าบุรุษตรงหน้ารู้สึกอย่างไรต่อเขากันแน่  ยินยอมปล่อยให้มันคลุมเครือต่อไป  จะได้ไม่ต้องสมหวังหรือผิดหวัง  ไม่ต้องครุ่นคิดกังวลอะไรทั้งนั้น  รู้เพียงตัวเองรู้สึกอย่างไรกับอีกฝ่ายก็พอ

ฉีเซี่ยงหยวนมองพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ลอบถอนหายใจ  ทราบว่าถ้าหากไม่ให้เหลียนอันสุ่ยพบหลันเซียง  คนที่ชอบเป็นห่วงผู้อื่นคนนี้  ไม่ว่าอย่างไรก็คงยังไม่สบายใจอยู่ดีนั่นเอง ใจแม้ไม่เห็นด้วยแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าจะให้ท่านพบนางก็ได้  แต่เป็นครั้งสุดท้าย  และต้องมีข้าอยู่ด้วย”

เหลียนอันสุ่ยที่ซบอยู่กับบ่าหนาเงยหน้าขึ้นมาทันที  ดวงตาเจือแววยินดีที่ปิดไม่มิด
ฉีเซี่ยงหยวนเบือนหน้าหนี  ไม่ต้องการจะมองแววยินดีที่ไม่ได้มีเพื่อเขา  ทราบว่าตัวเองสามารถถูกความสามารถเฉพาะตัวในการห่วงผู้อื่นแต่ไม่ห่วงตัวเองของเหลียนอันสุ่ยกระตุ้นให้โมโหอีกครา  หลีกเลี่ยงได้ก็ควรจะหลีกเลี่ยงเสียให้มาก  หันไปออกคำสั่ง
“ฉางเฟย  นางยังคุกเข่าอยู่ด้านนอกหรือไม่  ...ให้นางเข้ามา”

“ท่าน...ให้นางคุกเข่าหรือ? ” คำถามของเหลียนอันสุ่ยมีแววไม่แน่ใจ  อากาศในห้องขนาดมีเตาผิงยังเย็นเยือก    อากาศข้างนอกต้องหนาวเหน็บยิ่งกว่าคมดาบ  ผู้หญิงตัวคนเดียวจะทนทานได้อย่างไร !
“ข้าไม่ได้ให้นางคุกเข่า  นางคุกเข่าของนางเอง  ให้คนพาตัวกลับไปก็ไม่ยินยอม  ต้องการจะพบหน้าท่านให้ได้” ฉีเซี่ยงหยวนอธิบายตามตรง ใจเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะใส่ใจด้วยซ้ำว่าเหลียนอันสุ่ยเชื่อถือคำพูดเขาหรือไม่  ...เจ้ายังไม่เหนื่อยอีกหรือหลันเซียง กับการทำร้ายกันและกันเช่นนี้

มือเรียวยาวข้างที่ยังใช้การได้ดีสอดเข้าไปกุมมือใหญ่  เขาไม่ควรถามคำถามเมื่อครู่ บางทีคนที่เจ็บปวดกับเรื่องนี้ที่สุดแต่ไม่เคยแสดงออกเลยคือบุรุษตรงหน้าเขานี่เอง  หลันเซียงทำร้ายคนผู้นี้มากมาย  อาจมากกว่าที่เหลียนอันสุ่ยเคยรู้เสียอีก  ความเคียดแค้นรุนแรงเป็นยิ่งกว่าโรคภัยเรื้อรัง  เมื่อสบโอกาสเป็นต้องกรีดทำร้ายเป้าหมายของมันคราหนึ่ง  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่เคยบอกเล่าหรือบริภาษนางแรงๆให้เขาได้ยินแม้แต่ครั้งเดียว  ...เพราะฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่คนเช่นนั้น  เขาไม่ควรใช้อวี้เฉียนมาตัดสินฉีเซี่ยงหยวน  เพราะคนสองคนนี้แท้จริงไม่เหมือนกันเลย

มือข้างนั้นคล้ายกำลังบอกเบาๆว่า ‘ข้าขอโทษ’   บอกเบาๆให้เขาใจเย็นๆ  แฝงความเชื่อใจบางเบาที่ไม่ได้เอ่ยออกมา  ฉีเซี่ยงหยวนพบว่าตัวเองสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ  มุมปากถึงกับแทบมีรอยยิ้มเมื่อรู้สึกได้ว่าพระมาตุลาผู้นี้มักสามารถใช้วิธีง่ายๆที่ทำให้ผู้คนยกโทษให้กับเขาได้ทุกเรื่องราว  ตอนนี้ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจแล้วว่าตัวเองกำลังเดินซ้ำรอยอวี้เฉียนขุนพลใหญ่แคว้นเหลียนที่เขาฆ่าตายกับมือผู้นั้นหรือไม่  เพราะมันธรรมดาเหลือเกินที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อคนเช่นนี้  คนที่เข้าใจเขาได้อย่างง่ายดาย  คนที่ไม่ค่อยจริงใจกับตัวเองแต่มักจริงใจกับผู้อื่นเหลือเกิน
------------------
 “พระมาตุลา” เสียงสั่นๆของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น
ฉีเซี่ยงหยวนปล่อยตัวเหลียนอันสุ่ย  ยืนขึ้นช้าๆ  ใช้ร่างตัวเองขวางระหว่างหลันเซียงที่อยู่หน้าประตูกับเหลียนอันสุ่ยที่นั่งอยู่บนเตียง
หลันเซียงไม่ได้มองท่าทีปกป้องอย่างชัดเจนของฉีเซี่ยงหยวน  จิตใจนางจดจ่ออยู่กับบุรุษผู้เดียว  หลิวฉางเฟยกับหม่าหลงยึดแขนนางเอาไว้คนละข้างกันนางก่อเหตุอะไรขึ้นมาอีก  ส่วนหวังเชียนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกมาโดยตลอดก็เดินตามเข้ามาด้วย  จับตาดูร่างบอบบางด้วยระยะห่างออกไปสองก้าว  เขาจะไม่ผิดพลาดซ้ำอีกเด็ดขาด

ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยมองผมเผ้ายุ่งเหยิงกับดวงตาบวมช้ำของหลันเซียง  เมื่อพบว่าบนร่างของนางไม่ได้มีบาดแผลอื่นอีกก็วางใจไปเปลาะหนึ่ง  ถึงแม้สภาพของนางไม่ดีนัก  แต่เหลียนอันสุ่ยก็ทราบว่านี่นับว่าดีมากแล้ว  แววอำมหิตในดวงตาฉีเซี่ยงหยวนเมื่อครู่น่ากลัวอย่างยิ่งจริงๆ จนเหลียนอันสุ่ยเกรงว่าหากสติไม่ได้ยั้งอีกฝ่ายไว้  ไม่ว่าอะไรก็คงถูกกวาดพัดจนพินาศไปทั้งแถบ
ส่วนหลันเซียงกลับเหม่อมองผลงานตัวเองที่ทิ้งรอยไว้เป็นผ้าพันแผลกับรอยฟกช้ำ  จิตใจราวกับถูกฟาดโบยด้วนแส้เส้นหนึ่งที่เรียกว่าความรู้สึกผิด  ชีวิตนางทำเรื่องไม่ดีมาไม่น้อย  แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางเสียใจกับความเหี้ยมโหดของตัวเอง  หลันเซียงรู้ตัวว่าไม่ใช่คนนิสัยสะอาดบริสุทธิ์  แต่ไม่เคยนึกชิงชังตัวเองเท่านี้มาก่อน  นางนับว่าน่าชิงชังอย่างแท้จริง  สมควรแล้วที่จะไม่มีใครรัก  ...นางเป็นอะไรไปแล้ว  เดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ?  ทำตัวน่ารังเกียจขนาดนี้ได้อย่างไร ?

หากความรู้สึกผิดเป็นแส้เส้นหนึ่งที่สามารถเรียกสติคน  ความรักก็เป็นแส้เส้นหนึ่งที่ฟาดโบยผลักดันคนๆหนึ่งไปจนสุดปลาย
ดวงตาของหลันเซียงพร่ามัว  ริมฝีปากสั่นระริก
“ท่านฟื้นแล้ว...ดีเหลือเกิน  ดีจริงๆ” ดีจริงๆที่ท่านยังไม่ถูกผู้หญิงต่ำช้าคนนี้คร่าเอาอะไรไป  เรียวปากเหยียดเป็นรอยยิ้ม  หยาดน้ำตาแห่งความยินดีร่วงรินลงมา
ทุกคนในห้องอึ้งงันไปกับท่าทีของหลันเซียง  ไม่แน่ใจว่านางกำลังเสแสร้งอยู่หรือไม่  เพียงแต่รอยยิ้มของนางครั้งนี้กลับไม่น่าดูเลย  มีความโล่งใจ  มีความขมขื่น  มีความพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ ทำให้มันดูบิดเบี้ยวไม่สวยงาม  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับสัมผัสความยินดีจากรอยยิ้มของนางได้เป็นครั้งแรก  หลันเซียงแม้เคยยิ้มอยู่หลายครั้ง  แต่รอยยิ้มเหล่านั้นไม่เคยออกมาจากหัวใจ  ความรู้สึกที่แท้จริงบางครั้งก็ไม่สวยงามเท่ากับการเสแสร้งแกล้งดัด  เพียงแต่มันมีความหมายยิ่งกว่า

เมื่อพบว่าสายตาของพระมาตุลายังจับจ้องตัวเอง  ดวงตาของหลันเซียงพลันหลุบลง  ไม่อาจสบตาเหลียนอันสุ่ยอีกต่อไป  ตั้งแต่นางก้าวเข้าใกล้ขอบบันไดก้าวนั้น  หลันเซียงก็รู้ว่าชั่วชีวิตนี้นางไม่มีทางกล้าสบสายตากับเขาอีกต่อไป  ขบริมฝีปาก  ไหล่ห่อลงด้วยความละอาย ราวพยายามปิดบังความน่ารังเกียจในตัวเอง  เขาคงรู้แล้ว  เขาต้องรู้แล้วแน่ๆ  ตัวตนที่แท้จริงของนาง...

“ท่าน  ท่านไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ใบหน้างามก้มต่ำ  มือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ  เมื่อครู่นางตะเกียกตะกายจนเล็บครูดถลอกเลือดออกซิบทั้งมือเพื่อเข้ามาในนี้  แต่ตอนนี้หลันเซียงกลับเหลือเพียงความรู้สึกอยากหนีหน้าไป  พูดต่อด้วยน้ำเสียงเบาหวิว “ข้าควรกลับไปเสียที...ควรกลับไป...” พูดจบก็หมุนตัวยินยอมให้หม่าหลงพาตัวออกไป

ราวอากาศขาดห้วง  ทุกคนในห้องต่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น  ได้แต่มองตำแหน่งที่เคยเป็นที่ยืนของหลันเซียงซึ่งบัดนี้ว่างเปล่าอย่างตะลึงงัน  หัวใจหนักอึ้งอย่างประหลาด  ราวตะกอนแห่งความเศร้าโศกยังตกค้างอยู่บนนั้น  ไม่มีใครพูดอะไรออกอยู่พักใหญ่
“...คิดไม่ถึง  แค่ได้เห็นหน้าท่านนางก็ยินยอมจากไปจริงๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้น  หานญื่อหลัวที่ใครก็ไม่ทราบว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เป็นคนกล่าววาจา  ท่าทีกอดอกนิ่งเปลี่ยนเป็นเดินเข้ามาหา  ฉีเซี่ยงหยวนคิดเข้าไปขวางไว้  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับเรียกอีกฝ่ายเสียก่อน
“พระภาดา  ท่านก็มาหรือ ?”
“ย่อมต้องมา  อย่างน้อยท่านก็เป็น...เพื่อนข้า” พูดพลางเหลือบมองไปทางร่างกำยำทรงอำนาจที่คล้ายกับมีรังสีไม่เป็นมิตรแผ่ออกมา  ตอนแรกกะใช้คำว่า ‘คนสำคัญ’  แต่ไม่ดีกว่า  หากยั่วโมโหมากเกินไปอาจมีคนสติแตกได้
“ขอโทษที่ทำให้ยุ่งยาก” เหลียนอันสุ่ยพูดอย่างจริงใจ
“จะขอโทษทำไม  คนกันเอง” หานญื่อหลัวพูดพลางยิ้มน้อยๆ ด้วยท่วงท่าสง่างาม  หากหานญื่อหลัวให้ความสนใจฉีเซี่ยงหยวนซักหน่อยจะได้เห็นคนกัดฟันกรอดแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนเริ่มเห็นด้วยกับบุรุษอื่นๆในแคว้นเป่ยชาง  โฉมหน้านี้ของหานญื่อหลัวใช่หล่อเหลาจนเกินพอดีไปหน่อยหรือไม่ !
---------------------
เสียงฝีเท้าดังก้องไปทั้งตำหนักเสียงวสันต์  ประตูถูกผลักเปิดออกอย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อออออ!  ท่านบาดเจ็บหรือ  ท่านวางใจ  ท่านต้องไม่เป็นไร  จิ้งเอ๋ออยู่นี่แล้ว!” เสียงดังนำมาก่อน  เจ้าของเสียงตามมาถึงก็พรวดพราดไปทีเดียวถึงขอบเตียง  แม้ท่าทีจะตื่นตระหนก  แต่คำพูดนับว่าคัดลอกมาอย่างถูกต้องทุกกระบวนความ  ทำให้คนบนเตียงที่ชันตัวขึ้นอย่างตกใจอดขำไม่ได้  เห็นได้ชัดว่าบุตรชายเขาจดจำคำพูดเมื่อตอนที่เขาใช้ปลอบตัวเองตอนป่วยไข้ได้แม่นยำทีเดียว

“ท่านพ่อของเจ้าบาดเจ็บ  กระทบกระเทือนมากไม่ได้” เสียงเรียบนิ่งดังมาจากเก้าอี้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล  ทำให้เหลียนจิ้งเต๋อที่กำลังคว้ามือของบิดาขึ้นมาเขย่าชะงักไป  หันขวับก็เห็นบิดาบุญธรรมผู้ทรงอำนาจที่ถูกเขามองข้ามหัวไปโดยสมบูรณ์แบบกำลังนั่งอ่านฎีกาอยู่อีกด้านเงียบๆ  บางทีคงจะเงียบเกินไปเมื่อครู่สายตาเหลียนจิ้งเต๋อจึงเห็นอีกฝ่ายกลมกลืนไปกับเสามุมห้องเสียนี่  เหลียนจิ้งเต๋อรีบยกมือคารวะ  คารวะเสร็จก็ไม่สนใจอะไรอีก  เบียดตัวเองนั่งขึ้นไปบนเตียงสอบถามอาการบิดาอย่างใกล้ชิด
รัชทายาทแคว้นเป่ยชางที่เดินตามหลังสหายเข้ามาเสียอีกที่ชะงักไปนาน  พระบิดาบุญธรรม?  ประคองมือคารวะ  สอบถามอาการคนป่วยสองสามประโยค  จากนั้นรัชทายาทวัยเยาว์ก็ไปยืนสงบรอเพื่อนร่วมเรียนอยู่อีกด้านอย่างรู้มารยาท...อันที่จริงเขาคงไม่สามารถถามได้มากกว่านั้นด้วย  เพราะสหายที่ดีย่อมไม่แย่งสหายกล่าววาจา  ตั้งแต่เหลียนจิ้งเต๋อเข้ามาในห้องก็ถาม ถาม ถาม ไม่หยุด  ท่านพ่อจับตะเกียบสะดวกหรือไม่  ยกกาน้ำชาได้หรือไม่  ขึ้นบันไดลำบากไหม  เปลี่ยนชุดเองยังได้อยู่หรือเปล่า  สารพัดคำถามนู่นนี่  ละเอียดจนคล้ายละเอียดเกินไปแล้ว

ฉีเซี่ยงหยวนรับฟังจนขมวดคิ้ว  คำถามมากมายเหล่านั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วงแต่กลับไม่ครอบคลุมซักนิด  ถ้ายังปล่อยให้ถามต่อไปเรื่อยๆ สามวันสามคืนเกรงว่าไม่หมดสิ้น  เขาไม่ต้องการให้ใครมารบกวนเหลียนอันสุ่ย  แต่เมื่อเหลือบขึ้นไปเห็นแววตาที่มีความสุขของคนบนเตียงก็ตัดสินใจปล่อยไปอีกซักพัก  ดวงตาทรงอำนาจวกกลับมาสบกับสายตาสงสัยคู่หนึ่งซึ่งลอบจับตามองเขาอยู่นานแล้ว

รัชทายาทวัยเยาว์รีบหลุบตาลงต่ำเมื่อถูกจับได้ว่าแอบมอง  หากเมื่อความสนใจของพระบิดาบุญธรรมย้อนกลับไปที่ฎีกา  คนลอบมองก็แอบมองอีกครั้ง  คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย  พระบิดากับพระมาตุลาเหตุใดจึง...

เสียงโหวกเหวกดังอยู่ทางด้านหนึ่ง  อีกด้านกลับเป็นการลอบจับสังเกตอย่างเงียบเชียบ  ภาพที่ตัดกันอย่างรุนแรง  ศักดิ์ฐานะที่ตัดกันอย่างรุนแรง  คนเดียวที่รู้ทุกอย่างแต่ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจคือฉีเซี่ยงหยวน  ซักพักบุคคลที่ทรงศักดิ์สูงสุดในห้องจึงกล่าวขึ้นว่า
“ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิดพวกเจ้ามีเรียนมิใช่หรือ  ยังไม่รีบไปตอนนี้จะสายแล้วนะ” คำเตือนนิ่งๆขณะดวงตาเรียบเฉยยากจะอ่านยังจับอยู่ที่อักษรบนฎีกา  รัชทายาทซึ่งเฉลียวฉลาดตลอดมารีบกระตุกชายแขนเสื้อสหายร่วมอาจารย์เดียวกัน  แล้วเด็กสองคนก็พากันออกไป
ฉีเซี่ยงหยวนเองก็ลุกขึ้น  เขายังมีงานต้องไปทำ  แต่ที่นั่งอยู่คือรอจัดการให้เด็กทั้งสองออกจากห้องไปก่อนจึงจะวางใจ  ดวงตาดำสนิทหันไปมองเหลียนอันสุ่ยพลางกล่าวช้าๆว่า
“เมื่อครู่ข้าไตร่ตรองดูแล้ว  ในเมื่อท่านไม่อยากให้ข้าฆ่านาง  ท่านแขนซ้ายหัก  ก็หักแขนของนางข้างหนึ่งแล้วค่อยปล่อยไปแล้วกัน”
“นั่นจะได้อย่างไร !”
“มีอะไรไม่ได้  นางทำร้ายคนสำคัญของข้าสองครั้งแล้ว  นางสมควรได้รู้ว่านางไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนเฉียบขาด
“แต่นางเป็นคนรักเก่าของท่าน”
“หากไม่คิดถึงข้อนั้น  และหากนางไม่ใช่อิสตรี  ข้าให้นางตายไร้ที่ฝังกลบไปนานแล้ว” พูดพลางโน้มใบหน้าจ้องลงไปในดวงตาคู่งาม  กล่าวต่อช้าๆว่า “ข้าไม่ใช่คนสามารถอภัยให้กับคนอื่นได้ง่ายๆเช่นท่าน  เป่ยชางเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน  วิธีลงทัณฑ์เช่นนี้ไม่นับว่าโหดร้าย”
ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยไม่มีความหวาดกลัว  เขาเพียงกำลังเจ็บปวดใจเพื่อผู้อื่น  เป็นคนสองคนที่ความจริงไม่สมควรโหดเหี้ยมต่อกันและกันได้ถึงเพียงนี้
“ทำไมระหว่างพวกท่านจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”
“ท่านอยากรู้จริงหรือ ?” ท่าทีนิ่งรอของคนฟังทำให้ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวต่อว่า “นาง...คิดฆ่าแม่นมของข้า”
ที่แท้คนสำคัญที่ท่านพูดถึงก็คือ...
“หลันเซียงเข้าใจว่าแผนการไม่ใครล่วงรู้  หาทราบไม่ว่าที่จริงเป็นเพราะข้าทราบอยู่ก่อนจึงไม่เปิดโอกาสให้นางลงมือ”
 “ทำไม...”
“...นางกับแม่นมตู้ไม่ถูกกัน  แม่นมตู้คัดค้านเรื่องนางมาโดยตลอด”
มิใช่ ทำไม...นางจึงขุดหลุมฝังตัวเองเช่นนี้ !  เหลียนอันสุ่ยแทบไม่อาจทนฟังต่อไป  บางที่หลันเซียงคงรู้สึกว่าสถานะของนางไม่มั่นคง  แต่นางกลับไม่รู้เลย...วิธีการเช่นนี้ไม่เพียงไม่ได้มา  ทั้งยังต้องสูญเสียไป

“เมื่อหลันเซียงคิดฆ่าแม่นมของท่าน  ที่นางสูญเสียไปคือท่าน  ที่นางจ่ายออกไปคือความเชื่อถือที่ท่านมีต่อนาง  ครั้งนี้หลันเซียงคิดฆ่าข้า  ท่านเห็นแววตาของนางหรือไม่  ที่นางสูญเสียไปคือตัวนางในสายตาของนางเอง  เซี่ยงหยวน พอเถอะ  ข้าไม่ต้องการให้ท่านเจ็บปวดเพราะนางไปมากกว่านี้  นางเองก็เจ็บปวดไม่น้อยแล้ว  นางทำร้ายท่าน  ท่านทำร้ายนาง  ติดค้างกันไปชดใช้กันมา  เมื่อใดจะจบสิ้น” น้ำหนักของทุกคนที่ท่านฆ่าล้วนแบกรับอยู่ในหัวใจของท่าน  ข้าไม่อยากเห็นท่านเจ็บปวดเพราะนางอีกแล้ว  มือเรียวยาวโน้มใบหน้าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้  เรียวปากบางเลื่อนขึ้นไปแตะแก้มสากแผ่วเบา  ลมหายใจอุ่นไล้ดวงหน้าเครียดขรึมขณะกล่าว
“ท่านเคยบอกว่าข้าเป็นคนสำคัญของท่าน  ถ้าอย่างนั้น...เห็นแก่ข้าได้ไหม  ปล่อยนางไปเถอะ”

ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งงันไป  สุดท้ายถอนหายใจยาว  ใช้ปลายนิ้วกร้านสางผมนุ่มสลวย
“ท่านมีวิธีได้ในสิ่งที่ท่านต้องการเสมอเลยหรือ” ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าตัวเองพ่ายแพ้ตั้งแต่ได้ยินคำว่า ‘เซี่ยงหยวน’ แล้ว...อยากจะฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นร้อยเป็นพันรอบก็ไม่เบื่อหน่าย
“ก็ได้  ข้ารับปากท่านก็ได้” น้ำเสียงมีแววอ่อนใจ  คิดขึ้นด้วยรู้สึกกึ่งๆประชดประชันกึ่งๆอับจนปัญญา  บางทีหลันเซียงอาจจะรู้สึกผิดจริงๆอย่างที่ว่า    เพราะนางรับรองไม่เคยเจอคนประเภทเหลียนอันสุ่ยมาก่อน  ตัวเองถูกผู้อื่นทำร้ายแท้ๆ  ยังมีกะใจเป็นห่วงผู้อื่นอีก    คนอย่างท่านนี่มัน...  พวกเราคล้ายกับถูกลิขิตมาให้แพ้ทางคนอย่างท่านอยู่เสมอ

เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าตัวเองทำตัวไม่สำรวมอยู่บ้าง  ใช้วิธีขี้โกงไปเล็กน้อย  แต่ว่า...ถือว่าเห็นแก่ข้าเถิด  เพราะว่าข้ารู้  ว่าถึงจะทำเช่นนั้นไป  ท่านก็ไม่มีทางสบายใจเลย

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 34 (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 03-09-2014 17:15:05

หลันเซียงนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางสายลมแห่งกาลเวลาที่พัดผ่านไปอย่างไร้น้ำใจไมตรี 
สิ่งเหล่านี้...ล้วนเพื่ออะไรกัน  เพื่อให้เป่ยชางอ๋องผู้นั้นหันกลับมา?  ย่อมไม่ใช่แน่  พฤติกรรมเช่นนี้สามารถเรียกความรักกลับคืนมาได้เสียที่ไหน  เพื่อทำร้ายเขา  เพื่อให้เขาจดจำนางต่างหาก  แต่นี่นางทำร้ายใครกันแน่  คนที่ถูกทำร้ายจนอเนจอนาถดูเหมือนจะเป็นตัวนางเอง  ยิ่งทำร้ายเหลียนอันสุ่ย  นางก็ยิ่งเห็นความรู้สึกลึกซึ้งที่ฉีเซี่ยงหยวนมีให้พระมาตุลาผู้นั้น...ปกป้องจนออกนอกหน้า  จะให้ผู้ชายที่ไม่มีเยื่อใยให้นางซักนิดจดจำนางไปทำไมกัน  คุณค่าในตัวเองของนางหายไปไหนแล้ว  ...หรือแท้จริงนางไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีมันอยู่เลย  จึงหลับหูหลับตาตะเกียกตะกายคว้าเอามา

นางจะไม่ทำตัวแบบนั้นอีกแล้ว  ความผิดพลาดเช่นนี้ในชีวิตครั้งเดียวก็เกินพอ  หลันเซียงใช้กรรไกรตัดผ้าเช็ดหน้าที่ฉีเซี่ยงหยวนเคยให้นางเป็นชิ้นๆ  ตัดทุกความสัมพันธ์ที่เป็นได้อย่างมากที่สุดก็แค่อดีตทิ้งไป  นางจะไม่เอาตัวเองไปผูกกับคนผู้นั้นอีกแล้ว  และจะไม่ยอมให้ความรู้สึกดำมืดครอบงำบงการอีก

แต่เมื่อเหลือบสายตาไปมองถ้วยชา  นางพลันคิดถึงชาที่อุ่นร้อนถ้วยนั้น  และคิดถึงคนผู้หนึ่ง...เหลียนอันสุ่ย  หัวใจก็เจ็บปวดขึ้นมาอีกระลอก  ทำอย่างไรดี  กับคนผู้นี้นางไม่อาจลืมเขา และไม่อยากลืม  ความรู้สึกผิดเอ่อล้นอยู่เต็มหัวใจ 

แต่แรกมานางชิงชังพระมาตุลาจนเข้ากระดูก  หากเมื่อรู้จักตัวตนจริงๆของเขานางกลับเกิดความละอายในตัวเอง  นางไม่เคยซาบซึ้งในความหวังดีของเขา  ล้วนรู้สึกว่าเป็นการเสแสร้ง  แต่เมื่อต้องสูญเสียมันไปนางกลับทนทานรับไม่ได้ เคยควานหาความจริงในใจเขา  ต้องการจะทราบว่าแท้ที่จริงฉีเซี่ยงหยวนเป็นอะไรสำหรับเขากันแน่  ปรารถนาจะตีแผ่ว่าเขาและนางแท้จริงไม่แตกต่างกัน  แต่พักหลังๆมานี่นางกลับไม่ต้องการจะรับรู้อีกแล้ว  ลึกๆภาวนาให้พวกเขาไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน  ไม่ต้องพบหน้ากันอีกเลยจึงประเสริฐที่สุด  แต่สวรรค์กลับลงทัณฑ์นางอย่างโหดร้าย

หลันเซียงหวนนึกถึงความทรงจำสุดท้าย  ท่าทีของบุรุษที่นางเคยรักปกป้องคนอีกคนอย่างชัดแจ้ง  ส่วนท่าทีของเหลียนอันสุ่ยในอ้อมกอดของเป่ยชางอ๋องกลับตอบคำถามที่นางสงสัยมานาน  เป็นธรรมชาติเหลือเกิน  เชื่อใจและวางใจอย่างลึกล้ำ  ที่แท้นางไม่ได้มองผิดไป  คนที่อยู่ในใจของพระมาตุลาคือฉีเซี่ยงหยวนจริงๆ หลันเซียงหลับตาลงอย่างเจ็บปวด  รู้สึกราวถูกหักหลัง  ขมขื่นอยู่บ้างที่จะยอมรับความจริงว่าใจของพวกเขานางต่างไม่มีทางได้มา  น่าขำ  เหตุใดนางจึงมักหลงรักคนที่ไม่สมควรรักอยู่ร่ำไป
ตอนนี้พระมาตุลารู้ธาตุแท้ของนางแล้ว  ภายนอกแม้ยังห่วงใยแต่ภายในคงชิงชังนางไม่น้อย  ดังนั้นนางควรจะจากไปได้แล้ว  อย่าอยู่ให้เขาขัดหูขัดตาอีกเลย

หลันเซียงมองใบไม้ใบสุดท้ายที่ปลิดขั้วจากต้น  มือลูบปิดกระดาษที่ตั้งใจซื้อหามา  กระดาษแหละดีแล้ว  ไม่นานก็แห้งกรอบเสียสภาพไปจากความทรงจำ  พระมาตุลาไม่ต้องจำนางหรอก  แค่ให้นางจดจำเขาก็พอ  แต่...จะจดจำอะไรเล่า  จดจำว่าเขารักฉีเซี่ยงหยวนอย่างนั้นหรือ? ...คงต้องเป็นอย่างนั้นตลอดไป  จดจำความหวังดีของเขา  เจ็บปวดละอายเพราะเขา  ก้าวต่อไปกับความจริงที่ว่าเส้นทางของเขาและนางไม่มีวันบรรจบกัน  แต่ยังคงไม่อยากลืมเลือน

ลมหายใจเย็นเยือกพัดมาแต่ความเจ็บปวดอ้างว้าง  ฤดูสารทกำลังจะลาจาก  นางเองก็กำลังจะลาจาก  ลาจากความขมขื่นและความไม่สมหวัง  ลาจากความทรงจำอันสวยงามที่มิใช่ของนาง  พวกเขาต่างมิใช่ของนาง
‘...ใช้ชีวิตของเจ้าให้ดี  วันเวลาเป็นสิ่งมีค่า  เจ้าเองก็มีค่านัก  อย่าทำลายคุณค่าในตัวเอง...’
นางมิใช่คนมีค่าเลย  แต่...

“ข้ารับปากท่าน” นางจะพยายาม  นางไม่เชื่อถือในความดีงาม  เพราะโลกที่นางเติบโตนอกจากการหลอกลวงและความโหดเหี้ยมก็ไม่มีอย่างอื่นอีก  แต่นางเชื่อเขา  นางอาจไม่มีวันเข้าใจเหลียนอันสุ่ย  ชีวิตนี้ไม่มีทางกล้าพอจะอยู่เคียงข้างเขา  แต่นางจะพยายามใช้ชีวิตของนางให้ดีที่สุด
---------------------
“นางจากไปแล้ว” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวขึ้นในตอนสายของวันหนึ่ง  พลางวางจดหมายฉบับหนึ่งลงบนโต๊ะข้างเตียง
ดวงตาคู่งามของเหลียนอันสุ่ยมองจดหมายฉบับนั้นเป็นเชิงถาม
“จดหมายของนางถึงท่าน  ขอโทษด้วย ข้าแกะอ่านไปก่อนแล้ว” สำหรับฉีเซี่ยงหยวนการระวังป้องกันไม่อาจไม่มี
เหลียนอันสุ่ยเลื่อนมือไปหยิบจดหมายขึ้นมา  ได้ยินเสียงทุ้มกล่าวถามว่า
“โกรธหรือ  ที่ข้าไม่บอกท่านก่อนหน้านี้”
เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า  พลางกล่าว
“ข้ากับนางไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก  พบหน้ากันก็มีแต่กระอักกระอ่วนไม่สบายใจเปล่าๆ”
เปิดจดหมายออก  อักษรเป็นระเบียบก็ปรากฏแก่สายตา

พระมาตุลา
ข้าคงไม่มีคำพูดใดจะกล่าวนอกจากคำว่า ‘ข้าเสียใจ’  ข้าจะไม่ขอให้ท่านยกโทษให้ข้า  ขอบคุณสำหรับความเมตตาที่มีให้ตลอดมา  ข้ารับปากท่าน  ข้าจะพยายามใช้ชีวิตของข้าให้ดี 
สุดท้ายนี้ฝากท่านบอก ‘เขา’ ด้วยว่าไม่ต้องให้คนติดตามข้า  ทุกข้อมูลที่ข้ารู้จะตายไปพร้อมกับข้าและผู้หญิงที่ชื่อหลันเซียงตายไปแล้ว  นางทรยศบ้านเกิด  ทรยศคนที่นางรัก  ไม่มีที่ใดให้กลับไปอีก  มีเพียงร่อนเร่ไปจนสุดหล้า  ใช้ลมหายใจที่คนผู้หนึ่งต่อให้มาให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่นางจะทำได้

หลันเซียง

“ท่านเปลี่ยนนางได้จริงๆ”
เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า  กล่าวว่า
“ข้าไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงผู้ใด  เดิมทีนางไม่ใช่คนเช่นนั้น  นางเพียงกลับเป็นตัวของนางเอง” ตอบพลางก้มมองกระดาษในมืออย่างสะท้อนใจ  สตรีที่รู้หนังสือมีไม่มากเลย
ฉีเซี่ยงหยวนเองก็สะท้อนใจ ดวงตาจมดิ่งลงสู่ความทรงจำ

หลันเซียงเป็นสายของหนานเหมินที่ถูกส่งตัวมาอยู่ที่แคว้นเป่ยชาง  เพราะนางมีทั้งความสามารถและกล้าตัดสินใจ  แต่เมื่อนางหลงรักฉีเซี่ยงหยวนความรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกลับเปลี่ยนนิสัยของนางจนโหดเหี้ยมอำมหิต    เพราะรักมากเกินไป  ยึดติดมากเกินไป  ความรักจึงทำลายคน 

ความรักที่รุนแรงแต่ไม่รู้จักถนอมวันเวลามีแต่ทำลายคน  ความรักที่หลงลืมคุณค่าในตนเองไม่มีทางเป็นความรักที่ดีกับใครทั้งสิ้น   
---------------------
พยายามจะยัดใส่ตอนที่แล้ว แต่อักษรเกิน เลยมาในสภาพนี้
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 35 .......................................03/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 03-09-2014 17:22:09
 :pig4: นักเขียน
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 35
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 05-09-2014 17:36:05

บทที่ 35 วีรกรรมเก่าก่อน

พระอาทิตย์ขยับตัวขึ้นสูงอย่างเอื่อยเฉื่อย  เวลาสายกรายเข้ามาอย่างแช่มช้า  ฉีเซี่ยงหยวนเดินฝ่าบรรดาหญิงรับใช้ที่พากันยอบกายคารวะตรงไปหาคนที่ไม่น่าจะยินดีคารวะเขาเท่าไหร่...อิ๋งฮวา
“นายท่านของเจ้าเล่า ?”
อิ๋งฮวาที่ควบคุมการทำงานปัดกวาดของหญิงรับใช้คนอื่นอยู่ขมวดคิ้ว  จำใจต้องก้มหัวคารวะด้วยท่าทีอ่อนน้อม  ตอบ
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
แววตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนหรี่ลง  หญิงรับใช้ผู้นี้นี่นับวันก็ยิ่ง...กำเริบเสิบสาน  แต่เห็นได้ชัดว่าทางที่นางขวางอยู่โดยไม่รู้ตัวคือทางไปห้องหนังสือ
“ห้องหนังสือ ?” รอบนี้ฉีเซี่ยงหยวนเป็นฝ่ายขมวดคิ้วบ้างแล้ว “ข้าบอกให้เขาพักผ่อนนี่” พูดจบก็สาวเท้าก้าวเร็วๆเข้าไป 
อิ๋งฮวาเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเหมือนจะไปคิดบัญชีใครความรู้สึกอยากปกป้องนายก็พากันพลุ่งพล่านขึ้นมา  รีบวางงานในมือผลุนผลันตามไปติดๆ  ต้าอ๋องที่น่ารังเกียจผู้นี้ยังจะมาสร้างความลำบากอะไรให้นายท่านของนางอีก  เจ็บตัวไปแล้วยังไม่นับว่าเพียงพออีกหรือไง!
---------------------
ยาในถ้วยเย็นชืด  เนื่องจากคนที่ควรกินมันมันลงไปขณะนี้จิตใจกำลังหมกมุ่นอยู่กับอย่างอื่น  พู่กันในมือขยับรวดเร็วแต่มักติดขัดในลักษณะการขีดแบบเดิมๆ  คนไม่สบายทำอะไรก็ไม่สะดวก  เหลียนอันสุ่ยนับว่าได้รับทราบอย่างลึกซึ้งว่าเหตุใดคนป่วยจึงมักจะหงุดหงิดกับอาการป่วยของตัวเอง  แต่เขายังคงค่อยๆทำ ติดขัดอะไรก็แก้ไขด้วยความอดทนใจเย็น

“ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่  ข้าบอกให้ท่านพักผ่อนมิใช่หรือ ?”
พู่กันในมือเหลียนอันสุ่ยชะงักไป  สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงทุ้มหนักของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน
“ที่จริงแล้วอาการข้าไม่ได้หนักหนาอะไรมาก...” แม้แต่เหลียนอันสุ่ยก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าเหตุใดรูปประโยคออกจะเหมือนคนร้อนตัวเวลาทำอะไรผิดอยู่บ้าง  กล่าวไม่ทันจบคำถามของฉีเซี่ยงหยวนก็แทรกขึ้นมาก่อน
“ทำไมท่านไม่กินยา” มือใหญ่หยิบถ้วยยาขึ้นมาแล้วก็ขมวดคิ้ว “ยานี่ทิ้งไว้นานจนเย็นชืดกินไม่ได้แล้ว  ...เจ้าไปเททิ้งแล้วต้มมาใหม่” พูดพลางยื่นถ้วยยาใส่มืออิ๋งฮวาที่เดินตามหลังมา
หัวหน้าหญิงรับใช้รับถ้วยยามาอย่างงงงัน  ลังเลใจว่าสมควรทำอย่างไร  ใจหนึ่งไม่อยากทำตามคำสั่งของฉีเซี่ยงหยวน  แต่ยาถ้วยนี้นางทนมองมานานมากแล้วจริงๆ  เตือนไปแล้วหลายคราแต่นายท่านกลับจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่มากเกินกว่าจะใส่ใจ
“ยาถ้วยนี้ใช้เงินทองก็ไม่แน่ว่าจะซื้อหามาได้  เททิ้งออกจะสิ้นเปลืองเกินไป ส่งมาให้ข้าเถอะ  เย็นชืดนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก” เหลียนอันสุ่ยพูดพลางยื่นมือออกมา  แต่ก่อนอิ๋งฮวาจะตกลงใจว่าจะส่งถ้วยยาออกไปหรือไม่...

“ท่านสมควรทราบดีกว่าข้าอีกว่ายาที่ตั้งทิ้งไว้สรรพคุณมันจะไม่เหมือนเดิม  ถ้าท่านไม่ต้องการให้สิ้นเปลืองทางที่ดีคือรีบรับประทาน” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวอย่างจริงจัง  แล้วจึงหันไปย้ำอิ๋งฮวาให้ไปต้มมาใหม่

อิ๋งฮวากระพริบตา ประหลาดแท้  ต้าอ๋องผู้นี้ก็พูดคำอื่นนอกจากคำข่มขู่เป็นเหมือนกัน  นางเพิ่งเคยเห็นนายท่านจนด้วยคำพูดเป็นครั้งแรก  หันหลังกลับ ยกถ้วยยาออกไป  นางแม้ยังไม่ชอบขี้หน้าฉีเซี่ยงหยวนอยู่เหมือนเดิม  แต่รอบนี้นางเห็นด้วยกับเขา  จะอะไรก็ได้  ขอให้นายท่านกินยาเป็นพอ

ลับหลังอิ๋งฮวาไม่ทันไร  เหลียนอันสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เห็นด้วยว่า
“ยาเทียบนั้นเป็นของท่านหมอลั่ว  หมอประจำพระองค์เป่ยชางอ๋อง  ท่านให้เขามาตรวจข้าได้อย่างไร”
ฉีเซี่ยงหยวนกลับตัดบทว่า
“เลือกหมอที่ดีที่สุดให้กับคนที่ข้ารักมันผิดตรงไหน  ตอนนี้ข้ามีทางเลือกให้ท่านสองทาง  หนึ่งคือให้ข้าพยุงท่านกลับห้อง  สองคือให้ข้าอุ้มท่านกลับห้อง”
น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนไม่มีแววล้อเล่น  ทำให้เหลียนอันสุ่ยที่นิ่งอึ้งอยู่กับที่ไม่มีเวลานิ่งอึ้งนานนัก  ด้วยเกรงว่าจากมีทางให้เลือกจะกลายเป็นถูกผู้อื่นเลือกให้  จำต้องยินยอมให้ฉีเซี่ยงหยวนช่วยพยุงแต่โดยดี
ระหว่างทางสายตาลอบมองของหญิงรับใช้ทำให้เหลียนอันสุ่ยเกร็งไปทั้งร่าง  หากไม่กล้าผลักไสคนข้างตัวออกห่าง  ด้วยเกรงว่าจะไปทำให้ไฟโทสะของคนบางคนปะทุขึ้นมา  จึงได้แต่พยายามทำเป็นมองไม่เห็นสายตาเหล่านั้นสุดความสามารถ  หูได้ยินเสียงทุ้มกล่าว
“ท่านต้องการอ่านอะไรก็ให้หม่าหลงกับต้วนจินยกไปให้ที่ห้อง  แต่อย่าเดินออกมาอีก  ท่านเดินไม่สะดวก  เท้าลงน้ำหนักมากไม่ได้  ห้องหนังสืออยู่ไกลถึงเพียงนี้  คราวหน้าอย่าให้ข้าเห็นว่าท่านเดินมาที่ถึงนี่อีก”

“...อืมม์  ตำราแพทย์พวกนั้นยังเขียนไม่เสร็จดี  ท่านให้คนยกมาด้วยกันเถอะ” เสียงแผ่วเบาสงบนุ่มนวลเหมือนอย่างเคย  ดวงตาใสกระจ่างที่จับจ้องมองมากลับทำให้ฉีเซี่ยงหยวนคิดอยากเอามือกุมขมับ  กล่าวขัดด้วยน้ำเสียงชัดเจนจนไม่อาจชัดเจนไปกว่านี้
“ไม่ได้  อ่านหนังสือได้แต่ไม่อนุญาตให้เขียน  ท่านบาดเจ็บที่ข้อมือใช้งานมากอาการจะหนักกว่าเดิม ...ดูท่า ข้าสมควรจะใส่กุญแจห้องหนังสือไว้จริงๆ”
พระมาตุลาผู้นี้ก็รู้อาการของตัวเองดี  ยังจะมาต่อรองอีก  มือขวาบาดเจ็บที่ข้อมือไม่สมควรใช้พู่กัน  มือซ้ายเข้าเฝือกอยู่เขียนอะไรก็ไม่ถนัดยังจะดันทุรังเขียนอักษร  ท่าทางคำที่เหลียนอันสุ่ยสะกดไม่เป็นเอาเสียเลยคือคำว่า ‘ห่วงตัวเอง’  ซ้ำยังรู้สึกว่าการไม่สนใจดูแลตัวเองเป็นเรื่องถูกต้องชอบด้วยเหตุผลไปเสียด้วย !
ฉีเซี่ยงหยวนตัดสินใจในตอนนั้นว่านิสัยเช่นนี้ของเหลียนอันสุ่ยสมควรได้รับการปรับแก้อย่างจริงจังเสียที

เมื่อเอาคนป่วยกลับเข้าไปอยู่ในที่ๆเหมาะสมเสร็จเรียบร้อย  ฉีเซี่ยงหยวนก็เอ่ยขึ้นว่า
“ช่วงนี้ไปโรงหมอไม่ได้  ถ้าท่านตำหนิว่าอยู่ว่างจนเกินไป  ข้าจะให้เด็กสองคนนั่นมาทำให้ท่านไม่ว่างเอง” ที่แท้ที่เหลียนจิ้งเต๋อหายหน้าหายตาไปไม่ได้โผล่มารบกวนเท่าที่ควรเป็นเพราะฉีเซี่ยงหยวนจัดการให้อาจารย์ซึ่งถวายการสอนจัดตารางจนแน่นเอียด  มิเช่นนั้นด้วยนิสัยทำอะไรโผงผางของเหลียนจิ้งเต๋อประตูห้องนี้รับรองถูกเหยียบจนสึกไปแต่แรกแล้ว 

ประการสำคัญคือเหลียนจิ้งเต๋อไปทางซ้ายก็ต้องลากคนผู้หนึ่งไปทางซ้ายด้วย  ต่อให้อีกฝ่ายปฏิเสธก็ยังคงลากไปจนได้อยู่ดีนั่นเอง  ดังนั้นเด็กที่จะช่วยมาเหยียบประตูห้องนี้จึงต้องนับรวมบุตรชายของพี่ชายเขาเข้าไปด้วยแน่นอน  ฉีเซี่ยงหยวนทราบดีว่าแม้ตัวเองจะได้ชื่อว่ามีลูกบุญธรรมถึงสองคน  แต่แท้จริงกลับแทบไม่ได้ดูแลเอาเสียเลย  หากถึงอย่างไรก็ไม่คิดยัดเยียดให้เป็นภาระดูแลของผู้อื่น  ยิ่งไม่ต้องการให้เด็กคนนั้นมารบกวนเหลียนอันสุ่ยมากเกินไป  เพียงแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ต้องไปคิดอะไรพรรค์นั้นแล้ว  ตอนนี้สมควรหาอะไรมายัดเยียดให้เหลียนอันสุ่ยไม่มีเวลาว่างไปทำให้ตัวเองลำบากกว่านี้เป็นดีที่สุด

“ที่จริงเด็กสองคนนั้นก็ไม่ได้รบกวนอะไร” เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆ ดวงตามีแววเอื้อเอ็นดู
ฉีเซี่ยงหยวนสั่นศีรษะ
“นั่นเป็นเพราะว่าท่านโชคดียังไม่เจอพวกตัวแสบ...แบบข้า”
คิ้วเรียวยาวของเหลียนอันสุ่ยเลิกขึ้นน้อยๆ
“แบบท่าน ?”
คนเป็นต้าอ๋องหัวเราะหึๆ แววตาท่าทางดูไปกลับคลับคล้ายคนชั่วร้ายที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่หลายส่วน
“ท่านไม่รู้อะไร  ตอนเด็กถ้านับชื่อเสียงความร้ายกาจรับรองไม่มีใครเกินข้า  งานหลักของผู้อื่นคือร่ำเรียนหนังสือเรียนรู้หลักปกครองบ้านเมือง  ส่วนงานหลักของข้าคือหาหนทางกลั่นแกล้งอาจารย์กับเอาคืนพี่รอง”
เหลียนอันสุ่ยพ่นเสียงหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง  นับว่าไม่แปลกใจแล้วว่านิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของคนผู้นี้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ตอนไหน

ฉีเซี่ยงหยวนลดเสียงลงต่ำขณะบอกเล่าวีรกรรมสารพัดของตัวเองในวัยเยาว์ เหลียนอันสุ่ยเท้าคางมองคนที่พูดออกมาได้เป็นฉากๆ  ดวงตาทอแววเหลือเชื่อ  ปากแทบอ้าค้างไป  หากเหลียนอันสุ่ยนับเป็นบุตรชายตัวอย่างที่ทำตัวอยู่กับร่องกับรอยที่สุด  ฉีเซี่ยงหยวนก็นับว่าหลงออกจากคำๆนั้นไปไกลจนสุดกู่  เกรงว่าคำว่ากรอบกับขอบเขตที่ต้าอ๋องผู้นี้เคยวาดไว้ให้ตัวเองในวัยเยาว์  คงจะเป็นกรอบที่เกินกว่าคนอื่นไปมากมายหลายเท่าตัว 

ฉีเซี่ยงหยวนเอนตัวพิงพนักด้วยท่าทีสบายๆ บุคลิกทรงอำนาจแม้ยังไม่หายไปไหน  แต่ดูไปกลับไม่เหมือนการวางตัวของคนเป็นเจ้าแคว้นแม้แต่น้อย  ประโยคสนทนาง่ายๆที่ออกรสออกชาติเหล่านั้นกลับดึงหัวใจสองดวงเข้าใกล้กันมากกว่าที่เคยเป็น 

ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้เล่าหรอกว่าตอนเด็กเขาถูกพี่รองกลั่นแกล้งเหยียดหยามอย่างไรบ้าง  บุตรที่ไม่เคยเป็นที่โปรดปรานและมารดาไม่มีอำนาจเช่นเขาการถูกดูถูกเป็นเรื่องธรรมดา  และไม่ได้เล่าว่าเมื่อเขาเอาคืนพี่รองครั้งแรกถึงกับถูกสั่งให้คุกเข่าสำนึกผิดกลางสายฝนเย็นเฉียบหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ทำให้หลังจากนั้นฝีมือการเอาคืนของเขายิ่งมาก็ยิ่งสูงส่งคือทำอย่างไรก็ได้แต่ต้องไม่เหลือร่องรอย  ...กับอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับฉีเซี่ยงหยวนมันคือสิ่งที่หล่อหลอมให้เขาเป็นเขา  เขาอาจมิได้ยินดีกับมันนัก  แต่เมื่อหวนคิดถึงกลับมิได้เจ็บปวดขมขื่นเจียนตายอีก  นี่มิใช่เพราะมันเป็นเรื่องเล็กน้อย  แต่เมื่อท่านเติบโตขึ้นและเข้มแข็งพอที่จะมองย้อนกลับไป  มุมมองของท่านจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง 

เพราะความทรงจำสร้างใหม่ได้เสมอ จุดประสงค์ของฉีเซี่ยงหยวนขณะนี้เพียงต้องการได้ยินเสียงหัวเราะของคนตรงหน้า...คนที่มีความหมายต่อเขายิ่งกว่าใคร

ช่วงเวลาทุกช่วงในชีวิตของคนเราไม่สามารถคงอยู่ตลอดไป  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับทราบดี  ช่วงเวลาที่มีความหมายมีความเป็นนิรันดร์ในตัวมันเองอยู่แล้ว  ขอเพียงท่านรู้จักคว้ากุมไว้ก็พอ...
---------------------
อิ๋งฮวาประคองชามยาอุ่นร้อนเข้ามา  คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากห้องด้านใน  นายท่านไม่ได้หัวเราะมานานมากแล้ว  เป็นต้าอ๋องผู้นั้นหรือที่ทำให้คนซึ่งไม่ช่างหัวเราะอย่างนายท่านหัวเราะได้ ? 

หลังจากนั้น  หากมีเวลาว่างฉีเซี่ยงหยวนเป็นต้องหาเรื่องแวะเวียนมาตรวจดูว่ามีคนหักโหมทำงานโดยร่างกายไม่เอื้ออำนวยหรือไม่  หลังจากยั่วเย้าให้อีกฝ่ายหัวเราะออกมาบ้างจึงยินยอมจากไป  คิ้วของอิ๋งฮวายิ่งมาจึงยิ่งขมวดหนัก  เริ่มพิจารณาอย่างจริงๆจังๆว่านางสมควรมองบุรุษชาวเป่ยชางผู้นั้นใหม่หรือไม่  เสียงหัวเราะของนายท่านสัปดาห์นี้สัปดาห์เดียว แทบจะมากกว่าปีก่อนๆสามเดือนรวมกัน  ยังจะความเห็นอีก  พักนี้ไม่รู้เป็นอย่างไรนางจึงมักเห็นด้วยกับเป่ยชางอ๋องผู้นั้นโดยไม่ได้ตั้งใจทุกทีสิน่า

และด้วยความสามารถของฉีเซี่ยงหยวนนิสัยในการชอบหาภาระมาสุมใส่บ่าตัวเองของเหลียนอันสุ่ยนับว่าถูกสะสางจนแผลงฤทธิ์ไม่ได้ไปชั่วคราว  นี่จึงเป็นครั้งแรกในรอบชีวิตสามสิบเอ็ดปีที่เหลียนอันสุ่ยได้พักรักษาตัวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวหลังเจ็บป่วย
ประตูห้องหนังสือถูกใส่กุญแจ  ส่วนหน้าประตูห้องนอนมีหม่าหลงต้วนจินผลัดเวรกันเฝ้า  เหลียนอันสุ่ยจึงได้แต่อ่านหนังสือกับโต๊ะตัวเล็กที่ถูกยกขึ้นมาไว้บนเตียงอย่างว่าง่าย  เวลานี้เด็กทั้งสองติดเรียนห้องจึงนับว่าได้ความสงบคืนกลับมาพักหนึ่ง  ชุดสีเขียวหยกบนร่างขับใบหน้าที่เคยซีดเซียวดูมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย  ฉีเซี่ยงหยวนมองสภาพร่างกายที่ค่อยๆฟื้นตัวของเหลียนอันสุ่ยด้วยสีหน้าพอใจยิ่ง  ยิ่งเห็นเหลียนอันสุ่ยนั่งอยู่บนเตียงที่ฉีเซี่ยงหยวนนับไปแล้วว่าเป็นพื้นที่ของตัวเองก็ยิ่งพอใจ

“จะว่าไปแล้ว...ข้าก็เคยฝันอยู่เหมือนกัน ว่าจะขังท่านไว้บนเตียง  ให้ท่านเป็นของข้าแค่คนเดียว”
ลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยสะดุดไปช่วงหนึ่งกับคำพูดที่อยู่ดีๆก็ถูกกล่าวขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย  ร่างแข็งทื่อแต่ทำทีราวไม่ได้ยินสิ่งใด  พยายามเพ่งมองอักษรตรงหน้าสุดความสามารถ    หากมือเรียวงามที่จับม้วนไม้ไผ่กลับสั่นระริกเล็กน้อย
ฉีเซี่ยงหยวนมองใบหน้ามีเลือดฝาดที่เปลี่ยนเป็นซีดขาวของคนตรงหน้า  กับท่าทีที่พยายามทำเป็นไม่ได้ยิน  ดวงตาคมลึกล้ำพลันปรากฏรอยยิ้ม  นั่งลงบนเตียงโอบกอดร่างแข็งทื่อของอีกฝ่ายไว้  เอ่ยช้าๆพลางหลับตาลง
“ท่านนี่แตกตื่นง่ายเสียจริง  ข้าเพียงรู้สึกว่า...มีท่านอยู่ข้างๆเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน”
ร่างแข็งทื่อของเหลียนอันสุ่ยอ่อนลง  นิ่งงันไปพักใหญ่  ปล่อยให้กลิ่นอายเฉพาะตัวอันสุขุมมั่นคงของอีกฝ่ายกลบกลืนตัวเขา  มิผิด  ความรู้สึกที่มีท่านอยู่ข้างๆเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน...
---------------------
เหลียนจิ้งเต๋อชมชอบหอบการบ้านมาทำข้างกายบิดา  โดยเฉพาะวิชาจริยธรรมที่เขาไม่ถนัดเป็นพิเศษ  ท่านพ่อนับเป็นตำราเล่มโตที่เปิดง่ายกว่าม้วนไม้ไผ่ที่มากมายจนล้นชั้นในหอตำราเหล่านั้น  ทั้งยังครบถ้วนสมบูรณ์ถ้ารู้จักงัดแงะให้ถูกทาง  เพียงแต่วันนี้คำตอบดูจะหลุดออกมาง่ายดายเป็นพิเศษจนน่าฉงน

พระมาตุลาแคว้นเหลียนยอมรับว่าตัวเขาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  เหตุใดคนผู้หนึ่งที่รอบคอบมากแผนการกลับมีด้านที่ตรงไปตรงมาได้ถึงเพียงนั้น 
‘...ข้าเพียงรู้สึก...ว่ามีท่านอยู่ข้างๆเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน’
‘เลือกหมอที่ดีที่สุดให้กับคนที่ข้ารักมันผิดตรงไหน…’
 ‘ท่านเป็นคนสำคัญของข้า’
ไม่ว่าคำพูดไหนๆล้วนหลุดปากออกมาง่ายดาย  ไม่ว่าคำพูดไหนๆล้วนกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนปากหวานอย่างนั้นหรือ ?  ...ไม่ใช่แน่  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ชมชอบคำประจบ  แม้จะเคยมีคนรักมามากมายแต่คำพูดเอาใจผู้อื่นเหล่านั้นอย่างมากก็เพียงกล่าวเพื่อผลประโยชน์  ที่ฉีเซี่ยงหยวนกล่าววาจาส่วนใหญ่เป็นเพราะเจ้าตัวพึงพอใจจะกล่าว
 
เหลียนอันสุ่ยรู้ดีว่า เขาทำไม่ได้  ตั้งแต่แรกมาสิ่งที่เขาอิจฉาฉีเซี่ยงหยวนมาโดยตลอดคือการซื่อตรงกับตัวเอง  สิ่งนั้นดึงดูดเขาเข้าไป  การแสดงออกที่ชัดเจนของอีกฝ่ายยิ่งต้อนเขาจนจนมุมทีละน้อย  นับวันก็ยิ่งใจอ่อน  นับวันก็ยิ่งคิดถึงจนยากจะเอ่ยปาก
เหลียนอันสุ่ยมองใบหน้าเยาว์วัยของรัชทายาทแคว้นเป่ยชาง  หลุดถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

“พระบิดาบุญธรรมของท่าน ที่แท้เป็นคนเช่นไรกันแน่ ?”
อีกฝ่ายดูราวตกใจที่ถูกถามเช่นนี้  นิ่งไปนานจนเหลียนอันสุ่ยเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบแล้ว  ก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาอย่างแช่มช้าจริงจังว่า
“...พระบิดาเป็นคนปรีชาสามารถ  ใจกว้างแต่คำนึงถึงผิดถูก  เด็ดขาดแต่มีเมตตา  ไม่ว่าผู้ใดก็ยากจะเปรียบเทียบด้วยได้” คำตอบนี้ทำให้เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป  ดวงตาที่ว้าวุ่นสงบลง  เหลือบมองบุคคลที่อายุก็ไม่จัดว่ามากเท่าใดแต่ความรอบคอบรู้จักระวังตัวกลับก้าวล้ำไปไกล 
“...อย่างนั้นหรือ”
คำตอบเมื่อครู่พอดีจนถึงที่สุด  ทั้งไม่ยกย่องจนขาดความจริงใจ  ทั้งไม่ใช่คำวิจารณ์ที่ผู้อ่อนวัยกว่าไม่ควรกล่าว  รู้จักวางตัวจนดูราวกับไม่ใช่เด็กอายุเท่ากับที่เขาเป็น  ที่สำคัญคือสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความจริง  เด็กคนนี้มองบิดาบุญธรรมของเขาออกในมุมมองที่ลึกมาก  เพียงแต่เขายังเยาว์วัยเกินกว่าจะงำประกายของตัวเองได้อย่างหมดจด

ดวงตาที่สงบกระจ่างสร้างความรู้สึกยากจะอ่านให้กับรัชทายาทแคว้นเป่ยชาง  ความรู้สึกที่พระบิดาบุญธรรมมีต่อคนผู้นี้ชัดเจนยิ่ง  หลังจากคลุกคลีมาหลายวันเขาก็ยิ่งไม่แปลกใจ  คนที่พระบิดาหลงใหลเป็นคนธรรมดาได้หรือ  ไม่มีทางเด็ดขาด  บุคลิกของอีกฝ่ายทำให้เขานึกถึงต้นไผ่สีเขียวหยก  ในรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากชาวเป่ยชางมีความน่ามองชนิดหนึ่ง  เพียงแต่ว่าความคิดกับสติปัญญาของคนผู้นี้กลับลึกล้ำจนน่ากลัว  เหตุใดคนที่มีความคิดระดับนี้จึงมีบุตรชายที่ใสซื่อตรงไปตรงมาผู้หนึ่ง  เขาไม่เข้าใจ  และไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเอง

มุมปากของเหลียนอันสุ่ยมีรอยยิ้มบางๆขณะละสายตาจากไป  เด็กคนนี้ระแวดระวังไปเสียทุกด้าน  ฉีเซี่ยงหยวนเอย  บุตรบุญธรรมของท่านคนนี้ทำให้ข้าประหลาดใจเสียจริง  น่ากลัวกระทั่งเหลียนอ๋องก็ยังเทียบเขาไม่ได้
---------------------
หลังจากวันนั้นเหลียนอันสุ่ยก็เอ่ยเรื่องนี้กับฉีเซี่ยงหยวน
“...ข้าว่าท่านให้พวกเขาเรียนด้วยกันคงไม่ค่อยจะเหมาะกระมัง”
“ทำไมเล่า หรือว่าท่านคิดจะอ้างเรื่องศักดิ์ฐานะอะไรนั่นอีก  ขอบอกให้รู้ไว้ว่าลูกบุญธรรมของฉีเซี่ยงหยวนทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน  หากข้ามีอีกคนก็ต้องเอามาเรียนพร้อมกับพวกเขาแน่นอน” ฉีเซี่ยงหยวนชิงตัดบท  เขาไม่ชอบที่สุดเวลาเหลียนอันสุ่ยเอ่ยถึงเรื่องความเหมาะสมอะไรเหล่านั้น  คนที่ทำอะไรตามใจตัวเองเช่นเขาขอแค่มีความชอบธรรมก็นับว่าใช้ได้  เรื่องยุ่งยากมากความอันใดล้วนไม่ต้องเอ่ยถึงเป็นดีที่สุด

เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า  ไม่ทราบเป็นความระอาหรือต้องการปฏิเสธ กล่าว
“ข้าเพียงรู้สึกว่าเอาเด็กคนนั้นมาเรียนพร้อมกับจิ้งเอ๋อจะเป็นการถ่วงความสามารถของเขาเกินไป”ถึงเหลียนจิ้งเต๋อจะเป็นเด็กหัวไว  แต่รัชทายาทแคว้นเป่ยชางกลับมีความคิดอ่านลึกซึ้งกว่าเขามากนัก 

“คิดจะเป็นผู้นำ  ประการแรกคือต้องรู้จักก้าวไปพร้อมผู้อื่นก่อน  ถ้ากระทั่งเรื่องนี้ยังไม่เข้าใจก็มิใช่ลูกชายพี่ใหญ่ข้าแล้ว” ฉีเซี่ยงหยวนตอบง่ายๆ แล้วหยิบรายงานด้านข้างมาพลิกเปิด
เหลียนอันสุ่ยที่ยืนนิ่งค้างรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเข้าใจอะไรบางอย่าง  ถัดมาจึงเป็นความรู้สึกอยากจะหัวร่อ  ก้มหน้าลงมองจึงเห็นว่ามือตัวเองถูกมือใหญ่กุมไว้  ฉีเซี่ยงหยวนเงยหน้าขึ้นมา กล่าว
“ความจริงหัวข้อสนทนานี้ก็ไม่เลว  อย่างไรพวกเราก็นับว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
---------------------
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 35 .......................................05/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: HydrA ที่ 07-09-2014 13:52:43
ในที่สุดก็ตามอ่านทัน ติดงอมแงมเลย อยากบอกผู้เขียนว่า สนุกมากกกก เลยค่ะ
อ่านแล้วก็เชียร์เหลียนอันสุ่ย อยากเห็นเค้ามีความสุข เค้าทำเพื่อคนอื่นมามาก
พออ่านถึงตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนรู้ตัวว่ารักเหลียนอันสุ่ยแล้วแบบว่ากรี๊ดเลย
อยากให้รักกันๆตลอดไปเลย มาต่ออีกนะค่ะ รออ่านทูู้กวัันเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 36
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 08-09-2014 22:19:37

บทที่ 36 ปัญหาที่ยังไม่มีข้อสรุป

ท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ของแคว้นเป่ยชางบรรจุขุนนางอำมาตย์จนลานตา  เหล่าขุนนางสำคัญล้วนมากันพร้อมหน้า  ตำแหน่งที่ยืนแบ่งแยกตามกรมกอง สะท้อนความสูงต่ำของศักดิ์ฐานะ  กอปรขึ้นเป็นภาพรวมที่ใช้ขับเคลื่อนแว่นแคว้น  นี่คือประชุมขุนนางของแคว้นเป่ยชาง  กฎถูกตราไว้อย่างเข้มงวดชัดเจน  หากไม่มีเหตุจำเป็นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจขาด  ภาพอันยิ่งใหญ่นี้จึงเป็นภาพอันเจนตาที่ต้องได้เห็นอย่างน้อยสัปดาห์ละสามครั้ง

บนพื้นที่ยกสูงเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของเป่ยชางอ๋อง  ฉีเซี่ยงหยวนเท้าแขนข้างหนึ่งลงบนโต๊ะเตี้ย  แววตาคมปลาบลึกล้ำจนดูไร้ก้นบึ้งจับมองคนปากกล้าเบื้องล่าง  บรรยากาศกดดันพากันถาโถมลงมาราวกับเงื้อมเงาของชายผาอันสูงชัน  บีบคั้นทุกคนในห้องโถงจนหายใจไม่ทั่วท้อง
“ต้าอ๋อง ตำแหน่งพระชายาไม่อาจว่างเปล่า  นี่เกี่ยวพันกับความมั่นคงของบ้านเมือง  ขอต้าอ๋องทรงพิจารณาไตร่ตรองด้วย” คนปากกล้าคนที่สองแล้ว...  ฝ่ามือใหญ่ของฉีเซี่ยงหยวนกำแน่นเข้าหากัน  ใบหน้ายังคงเฉยชาสนิท เอ่ยช้าๆ

“ข้าไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องสำคัญถึงขนาดจะต้องเอามาเป็นประเด็นถกเถียง  ประเด็นเร่งด่วนเรื่องภัยพิบัติยังไม่มีข้อสรุป เหตุใดพวกท่านจึงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากลางคัน  หรือประชาราษฎร์เดือดร้อนเป็นเรื่องที่ละเลยได้  แต่การแก่งแย่งอำนาจในวังหลังไม่อาจไม่มีเด็ดขาด !” เสียงแช่มช้ากระด้างจับจิต  หลี่กวงเว่ยกับมู่ซางที่อยู่ด้านข้างเหลือบมองกัน  ทราบว่าต้าอ๋องตระเตรียมเล่นงานคนแล้ว
“กระหม่อมไม่บังอาจ  แต่เรื่องนี้ก็เรื้อรังมานานโดยไม่มีข้อสรุปเช่นกัน  เนื่องจากกระหม่อมไม่มีบุตรี  ส่วนได้ใดๆจึงยากจะมีได้  แต่ส่วนเสียกลับมีแน่นอนและผลเสียนี้มิได้เป็นของกระหม่อมคนเดียว  แต่เป็นของประชาราษฎร์ทุกคนในแผ่นดินเป่ยชาง  สุขทุกข์ของพวกเขาล้วนผูกพันอยู่กับความมั่นคงของแว่นแคว้น  พวกเขารอคอย...”

“จางจื่อหยู!” ดวงตานิ่งสงบของฉีเซี่ยงหยวนดูราวจะมีเปลวไฟพลุ่งออกมา  ปัญหากำลังจะจบแต่กลับมีคนเอาคานมาสอดเสียแล้ว  ซ้ำยังสอดอย่างถูกจังหวะบังคับผลักให้สถานการณ์ไปข้างหน้าอย่างยากจะถอยหลังกลับมาประนีประนอม  จางจื่อหยูกำลังใช้ขุนนางทั้งท้องพระโรงนี้มาบีบเขา  ให้เขาต้องชั่งน้ำหนักว่าจะยินยอมสูญเสียอะไรไปกันแน่  ตาแก่นี่เข้าใจว่าเขาไม่กล้าแตกหักอย่างนั้นหรือ

เห็นสถานการณ์กลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างต้าอ๋องกับขุนนางคนสนิท  ขุนนางอื่นรีบสงบปากสงบคำชมดูอยู่ด้านข้าง  ต่างคนต่างมีความมุ่งมาดในใจต่างกันไป
ใบหน้าของหลี่กวงเว่ยกลับกลายเป็นเคร่งเครียด  หมากตานี้หักโหมเกินไปแล้ว  จางจื่อหยูถึงกับยินยอมปะทะซึ่งหน้ากับต้าอ๋องก็ต้องพูดเรื่องนี้ให้ได้  หลี่กวงเว่ยทราบดีว่าจะปล่อยให้ต้าอ๋องแตกหักกับขุนนางใหญ่ผู้นี้ไม่ได้เป็นอันขาดไม่เช่นนั้นรากฐานอำนาจที่ยังไม่มั่นคงดีต้องปั่นป่วนแน่  ดังนั้นเขาจึงก้าวออกมาด้านหน้า...
---------------------
“ใต้เท้าจางข้าล่ะนับถือท่านจริงๆ  คำพูดประโยคเดียวกลับเปลี่ยนสถานการณ์กลายเป็นรูปนี้ได้” มู่ซางพูดพลางปรายตาเข้าไปในท้องพระโรง
จางจื่อหยูที่กำลังเดินลงบันไดแค่นเสียงคำหนึ่ง  ไม่สนใจคำพูดที่มีนัยเสียดสีของมู่ซาง  สะบัดหน้าจากไป
หลี่กวงเว่ยที่ยืนอยู่อีกด้านมองท่าทีของจางจื่อหยูแล้วหันไปมองเหล่าขุนนางที่ทยอยกันเดินออกมา  การประชุมจบแล้ว  แต่...
‘ปัญหายังไม่จบ  ทั้งท่านทั้งข้าต่างรู้ดี ‘เขา’ จะหนีจากมันได้นานเท่าไหร่กัน’ คำพูดที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของจางจื่อหยูคล้ายดังอยู่ริมโสต  หลี่กวงเว่ยส่ายหน้าช้าๆ ดวงตามีแววหนักใจ 

เสียงของมู่ซางลอยมาราวกับทราบความในใจของอีกฝ่าย
“ก็แค่คนหัวดื้อสองคน...  ข้ายังเดาไม่ถูกเลยว่าสุดท้ายแล้วใครจะหัวดื้อกว่ากัน” กล่าวพลางยักไหล่เล็กน้อย 
คนผู้หนึ่งติดนิสัยทำอะไรตามใจตัวเอง  ส่วนอีกคนกลับจะลากคนๆนั้นเข้ามาในกรอบเสียให้ได้...ไม่ทะเลาะกันสิแปลก  นี่มิใช่ครั้งแรก  และจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายด้วย 
---------------------
เสียงโยนม้วนฎีกาลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์  ฉีเซี่ยงหยวนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตาแก่นั่นจงใจทำลายแผนการของเขา  แม้ไม่ถึงกับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง  แต่ก็ประสบผลน้อยลงกว่าที่ตั้งใจไว้ไปโข 

 ‘ท่านคิดจะผัดผ่อนไปจนถึงเมื่อไหร่กัน’  เฮอะ ตาแก่ที่ชมชอบยุ่งมากความเอ๊ย

หลิวฉางเฟยเก็บม้วนฎีกาบางส่วนที่ถูกกระแทกจนตกจากโต๊ะขึ้นมา  เข้าใจอารมณ์ของนายเหนือหัวโดยตลอด  ความจริงหากจางจื่อหยูไม่สอดคำขึ้นมา  ประเด็นเรื่องแต่งตั้งพระชายารับรองไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึงไปอีกพักใหญ่ เพราะข้อหามุ่งหวังอำนาจในตำหนักในนับว่าหนักหนาสาหัสอย่างยิ่งจริงๆ  และหนักเป็นพิเศษกับพวกขุนนางที่ทราบดีแก่ใจว่าตัวเองมีเจตนาไม่บริสุทธิ์
“จุดมุ่งหมายของตาแก่นั่นทำไมข้าจะไม่เข้าใจ” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวขณะดวงตาที่มีแววไม่พอใจหรี่ลง  อำนาจในแคว้นเป่ยชางไม่มีทางมั่นคงตราบใดที่ฉีเซี่ยงหยวนยังไม่มีบุตรชายเป็นของตัวเอง  เพียงแต่จางจื่อหยูมีความคิดแบบหนึ่ง  ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองกลับตกลงใจเอาไว้อีกอย่างหนึ่ง

‘ถ้าท่านยังไม่คิดมีชายา  สุดท้ายท่านจะปกป้อง ‘เขา’ เอาไว้ไม่ได้’  เสียงของจางจื่อหยูยังตามมาหลอกหลอนเขา  จางจื่อหยูไม่เคยสนับสนุนเรื่องเหลียนอันสุ่ยหากคำพูดนี้กลับเป็นความจริง  ความจริงที่ฉีเซี่ยงหยวนขำไม่ออกเลยซักนิด  ฉีเซี่ยงหยวนรู้แค่ว่าขุนนางแคว้นเป่ยชางคนไหนกล้าแตะต้องตำหนักเสียงวสันต์  มันผู้นั้นรับรองไม่ได้ตายดี !
---------------------
“ท่านอารมณ์ไม่ดี” เสียงน่าฟังกระจ่างเหมือนสายน้ำ  น้ำชาในกาถูกรินลงถ้วยช้าๆ
“ข้าอารมณ์ไม่ดีเพราะท่านไม่ดูแลตัวเอง” พูดพลางจับแขนขวาของอีกฝ่ายไว้  รอยช้ำที่ข้อมือยังไม่จาง  ในขณะที่แขนซ้ายกับขาที่ต้องเข้าเฝือกไม้ไผ่กลับหายดีไปก่อน  ปลายนิ้วโป้งสากไล้เบาๆตรงรอยแดงๆนั้น  หลังจากแขนซ้ายใช้การไม่ได้มือข้างนี้ก็ทำงานไม่หยุดมือ  ที่ควรหายก่อนจึงยังไม่หายสนิทดี  เลื่อนขึ้นไปช้าๆจึงเห็นรอยช้ำเล็กๆที่ยังดูใหม่...  เหลียนอันสุ่ยรีบร้อนดึงมือออก  ฉีเซี่ยงหยวนยิ้มเล็กน้อย  ยินยอมปล่อยมือแต่โดยดี

“ดูเหมือนเมื่อคืนข้าจะรุนแรงกับท่านไปหน่อย  วันนี้แก้ตัวใหม่แล้วกัน”
เหลียนอันสุ่ยร้อนเห่อไปทั้งหน้า  รีบยกกาน้ำชาหาเรื่องหลบออกจากห้องไปโดยมีเสียงหัวเราะทุ้มๆดังตามไล่หลัง 
ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าตัวเองนับวันจะยิ่งนิสัยเสีย  เหลียนอันสุ่ยเอย  เหตุใดท่านไม่ถือสาเสียบ้าง  นับวันข้ายิ่งติดใจชมชอบรังแกท่านแล้ว

ในห้องเก็บใบชา  เหลียนอันสุ่ยวางกาน้ำชาลงช้าๆ  สรุปแล้วก็ยังไม่รู้ว่ากาน้ำชาที่ยกออกมาตกลงจะเอาไปทำอะไรกันแน่  สีหน้าสับสนเหม่อลอย  มันเริ่มขึ้นจากตรงไหนกันหนอ...
‘ร่างกายท่านหายสนิทดีหรือยัง ?’ เหลียนอันสุ่ยสะดุ้งเล็กน้อย  จำได้ว่าตอนนั้นเขาตอบไป...ตอบไปว่า
‘ท่านหมอลั่วบอกว่าถอดเฝือกได้แล้ว  ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีก’
‘อย่างนั้นหรือ’ เหลียนอันสุ่ยเข้าใจว่าจะได้ยินคำอนุญาตให้ใช้ห้องหนังสือ  แต่กลับกลายเป็นว่ามือที่โอบกอดเขาอยู่กลับเริ่มมีการเคลื่อนไหว
‘ท่านหมอลั่วบอกว่าถึงแม้จะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็ไม่ควรเคลื่อนไหวมาก’ คำพูดที่กล่าวออกมารวดเดียวอย่างรีบร้อนทำให้เหลียนอันสุ่ยรู้สึกหายใจหายคอไม่ทันอยู่บ้าง  ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆที่ข้างหู  ใบหน้าคมสันซบลงกับซอกคอของเขา  มือใหญ่กลับมาโอบเขาไว้อย่างสงบเช่นเดิม
‘ข้ารอได้  ต่อให้ต้องรอทั้งชีวิตก็รอได้’ ขอแค่ท่านยินยอมพร้อมใจก็พอ
เหลียนอันสุ่ยกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝือ เป็นเขาผิดพลาดเอง คำพูดว่า ‘ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง’ ในสถานการณ์แบบนั้น...ฟังยังไงก็เป็นการเชิญชวนผู้อื่นทางอ้อมชัดๆ

แล้วเหลียนอันสุ่ยก็พบว่าอีกไม่กี่วันต่อมาตัวเองก็ใจอ่อนจนได้  อันที่จริงสมควรบอกว่าเขาใจอ่อนไปนานแล้วเพียงแต่ปากแข็งไม่ยอมรับ  คำว่า ‘รอ’ ของฉีเซี่ยงหยวนสุดท้ายก็ไม่ถึงกับต้องรอไปจนชั่วชีวิต...
---------------------
เพราะขาหายดีแล้วพระมาตุลาแคว้นเหลียนจึงออกมาเดินชมอุทยานด้านนอก  บรรยากาศสดชื่นพาให้จิตใจปลอดโปร่ง  สวนของตำหนักเสียงวสันต์แห่งนี้มองไปกลับมีเค้าคลับคล้ายตำหนักเดิมที่แคว้นเหลียนของเขาอยู่หลายส่วน  เป็นความเอาใจใส่ของคนผู้หนึ่ง 
ด้านในตำหนักเป็นฝีมือของอิ๋งฮวา  ส่วนด้านนอก...ในใจเหลียนอันสุ่ยวูบไหวอย่างประหลาด  รายละเอียดเล็กน้อยถึงเพียงนี้คู่ควรให้คนที่มีศักดิ์ฐานะเช่นฉีเซี่ยงหยวนให้ความสนใจที่ไหนกัน

กำแพงของตำหนังเสียงวสันต์อาจเป็นกรงขังที่ยากจะดิ้นหลุด  แต่สิ่งที่มันขังเอาไว้กลับเป็นโลกที่สงบสันติใบหนึ่ง เหลียนอันสุ่ยทราบดีว่าการสร้างโลกเช่นนี้ขึ้นมาแห่งหนึ่งในรั้วกำแพงวังที่มีแต่การใช้ประโยชน์แก่งแย่งชิงดีเป็นเรื่องยากเย็นเพียงใด  ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบมากมายเพียงไหน  รวมถึง...อิทธิพลที่เพียงพอจะกั้นแบ่งฟ้าดิน

เหลียนอันสุ่ยมอบโลกเช่นนี้ให้กับเหลียนจิ้งเต๋อ  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับมอบโลกเช่นนี้ให้กับตัวเขา  สายตาสงบลึกซึ้งมองหม่าหลงกับต้วนจินที่เดินตามอารักขาอยู่ห่างๆ
มันคือการกักขัง  หรือแท้จริงคือการปกป้องคุ้มครอง?  เหลียนอันสุ่ยไม่ทราบ  ทราบเพียงตัวเขากลับหวั่นไหวนัก

หลายเดือนผ่านไปสร้างสรรค์ต้นท้อจนสูงใหญ่แปลกตา  เหมือนได้ยินเสียงตัดพ้อของเหวินจีดังมา
‘ท่านรักเขา’
ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยจับกิ่งท้อกิ่งหนึ่ง  มิได้กล่าวปฏิเสธออกไป  รอยยิ้มของเหวินจีหม่นหมองลงขณะพึมพำ
‘ทั้งๆที่รู้ว่ารักนี้ไม่มีทางยืนยาว แต่ท่านก็ยังรักเขา’
ศีรษะของเหลียนอันสุ่ยผงกน้อยๆ  พึมพำว่า ‘ขอโทษด้วย’   ก้าวผละออกมาช้าๆ  หากเสียงในหัวยังคงไม่จางหาย  และคราวนี้มิใช่เสียงของเหวินจีแต่เป็นเสียงของเขาเอง
‘เหลียนอันสุ่ย  เจ้าก็รู้ดีว่าเจ้าไม่สามารถยอมแลกทุกอย่างเพื่อที่จะรักเขา’
“ถูกแล้ว  ข้าไม่สามารถ...” แต่ข้าก็ไม่สามารถที่จะไม่รักเขาได้เช่นกัน
เมื่อความรักมาเยือนตัวท่าน  หัวใจกลับกลายเป็นสิ่งที่ควบคุมบงการไม่ได้  ในนั้นไม่มีทั้งความเหมาะสม  ไม่มีทั้งความระแวดระวัง  ไม่สนใจกระทั่งวันพรุ่งนี้  มีเพียงแค่คนผู้หนึ่ง...ครอบครองไว้จนหมดสิ้น
---------------------
ฟากฟ้าไม่มีเมฆหมอก  อากาศหนาวเย็นลงทุกที  ตำหนักเก่ายังคงความสวยงามของมันเอาไว้ราวกับอดีตที่ไม่ยินยอมจางหายไปอย่างเงียบงัน  ขณะนี้ฉีเซี่ยงหยวนอยู่ที่ตำหนักเก่าเนื่องจากอดีตเป่ยชางอ๋องต้องการจะพบเขา
สุ้มเสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างแช่มช้า
“เจ้าเป็นต้าอ๋องที่ดี  จัดการเรื่องราวต่างๆได้ดียิ่ง” กล่าวพลางเหลือบมองออกไปด้านนอก  กาลเวลาล่วงเลย ใบไม้ร่วงโรยไปจนหมดสิ้น  ทุกอย่างไม่หวนคืนมาแล้ว...

ฉีเซี่ยงหยวนมองสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงของอีกฝ่าย  ใจวูบหายอย่างประหลาด  เวลาเพียงไม่กี่เดือน  คนกลับชราภาพไปมากมาย  อดมิได้ต้องเอ่ยถาม
“สุขภาพของพระบิดาช่วงนี้...”
อดีตเป่ยชางอ๋องตัดบทว่า
“คนแก่ย่อมมีโรคของคนแก่  สุขภาพข้าเป็นเช่นนี้มานานมากแล้ว...” นิ่งงันไปพักใหญ่จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เจ้าตำหนิข้าใช่หรือไม่ ที่เมื่อก่อนไม่ค่อยได้ดูแลเจ้า...”
ฉีเซี่ยงหยวนส่ายหน้า  ยังคงเงียบงัน  คล้ายไม่ทราบจะกล่าววาจาใดดี  พวกเขาคือบิดากับบุตร  แต่สภาพการพบหน้าแต่ละครากลับห่างเหินชืดชาจนดูราวคนแปลกหน้า  มันเป็นเช่นนี้มานานเกินไป  นานจนยากจะปุบปับเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าสิ่งต่างๆรอบตัวจะแปรเปลี่ยนไปเป็นเช่นไรก็ตาม

ได้ยินเป่ยชางอ๋องกล่าวต่อ
“ทั้งหมดเป็นความผิดข้าเอง  จะย้อนกลับไปแก้ไขก็ไม่ทันแล้ว  แต่ดูที่เจ้าเป็นอยู่ตอนนี้ข้าก็วางใจ  ...บางทีคงเป็นสวรรค์ลิขิตมาตั้งแต่ต้นว่าเจ้าเหมาะสมกับภาระนี้  คิดไม่ถึงข้ามีบุตรชายห้าคนสุดท้ายกลับเหลือแค่สอง  ข้าได้แต่หวังว่าหลังจากนี้พวกเจ้าจะอยู่อย่างรักใคร่กลมเกลียวกัน...  ไปเถอะ  ไปทำงานของเจ้าให้ดี  ให้สมกับที่ฟ้ามอบหมาย  ประชาราษฎร์คาดหวัง  ข้าจะคอยมองแผ่นดินเป่ยชางของเจ้า  มันจะต้องดียิ่งกว่าแผ่นดินเป่ยชางของข้ามากมายนัก” พูดจบก็หันหลังกลับไป  จบบทสนทนาลงเพียงแค่นั้น 
ฉีเซี่ยงหยวนมองเงาหลังสูงที่งองุ้มลงบางส่วน  ลมหนาวพัดโกรกเข้าไปถึงหัวใจ  นี่เป็นการพบหน้ากันครั้งแรกของเขากับพระบิดาหลังจากรับมอบบัลลังก์มา...ข้าเข้าใจแล้ว
ที่แท้ท่านเรียกข้ามา...ก็เพราะเรื่องน้องห้า

ฉีเซี่ยงหยวนหันหลังจากไปช้าๆ  ในเมื่อข้าเป็น ‘ต้าอ๋องที่ดี  จัดการเรื่องราวต่างๆได้ดียิ่ง’  ย่อมไม่สมควรเหี้ยมโหดกับน้องชายในสายเลือด  ที่ท่านชมข้ามาทั้งหมดจุดประสงค์เพียงแค่ขอเมตตาให้กับบุตรชายที่ท่านรักใคร่ห่วงใยคนนั้น 
รู้สึกอยากหัวร่อ  แต่มุมปากกลับแข็งค้าง  เพราะลิขิตสวรรค์แล้วท่านไม่อาจฝืนใช่หรือไม่  ไม่เช่นนั้นบัลลังก์นี้เมื่อไม่มีพี่ใหญ่ก็ต้องเป็นของน้องห้า  ไม่มีทางเป็นข้าอย่างเด็ดขาด    ท่านไม่มีทางเลือกข้าเลย 

ขณะก้าวผ่านธรณีประตูลมเย็นวูบหนึ่งที่กรรโชกมาทำให้ชายเสื้อสีดำปลิวสะบัดขึ้น  พัดพาเอาความหวังที่เกิดขึ้นและตายจากครั้งแล้วครั้งเล่าให้ตายจากไปอีกครั้ง  น่าขำยิ่ง  ที่แท้ลึกๆแล้วข้าก็ยังคาดหวังให้ท่านยอมรับข้าบ้าง  พระบิดาท่านรู้หรือไม่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ท่านชมข้า  แต่ทั้งหมด...กลับเพื่อน้องห้า 

ข้าเข้าใจแล้ว...เข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่ง  ...ท่านไม่เหลือทางเลือกให้ข้าเลย
ตาแก่จางจื่อหยูมองเรื่องราวทะลุปรุโปร่งแต่แรก  สุดท้ายแล้วตัวข้าก็ต้องยอมรับว่าอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่สุดที่สามารถสั่นคลอนบัลลังก์กลับเป็นน้องชายเพียงคนเดียวซึ่งอายุห่างกันมากกว่าสิบปี  ไม่ผิด  หากนับตามลำดับศักดิ์คนที่ควรเป็นรัชทายาทในตอนนี้คือน้องห้า  แต่พระบิดา...ข้าคงต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้ว  ข้าไม่อาจ ‘รักใคร่กลมเกลียว’ กับน้องห้า  ยิ่งไม่อาจให้ตำแหน่งสำคัญใดแก่เขา  เพราะข้าไม่ต้องการฆ่าเขา

บางครั้งข้าก็อยากถามท่านคำถามหนึ่ง...ว่าหากข้ามีบุตรชายของตัวเองขึ้นมาจริงๆอย่างที่จางจื่อหยูมุ่งหวัง  พระบิดา ท่านจะฆ่ากระทั่งหลานของตัวเองด้วยหรือไม่ 

ท่านจะเคย...นับข้าเป็นบุตรชายบ้างหรือไม่...หรือแท้จริงระหว่างเราเป็นได้แค่คนแปลกหน้าไปตลอดกาล...
ความมุ่งหวังของพระบิดา  ความมุ่งหวังของจางจื่อหยู  ความมุ่งหวังของประชาราษฎร์ทั่วหล้า  และความมุ่งหวังของตนเอง ต่างบีบคั้นเข้ามาทีละก้าว  เส้นทางเบื้องหน้าชัดเจนอย่างยิ่งในจิตใจ  แต่กลับเหนื่อยล้าจนยากจะก้าวต่อ
---------------------
ลมหายใจของฉีเซี่ยงหยวนอวลกลิ่นสุราเข้มข้นจนเหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้ว  ในใจทราบว่าอีกฝ่ายไปกองทัพมา  แม้จะมีตำแหน่งเป็นถึงต้าอ๋องแต่คนผู้นี้กลับมิได้ละทิ้งกิจวัตรเดิมๆที่ต้องหาเวลาไปซ้อมมือกับเหล่าทหารในกองทัพ  ซ้อมเสร็จจึงค่อยดื่มสุราสรวลเสเฮฮากัน
ทว่าถึงฉีเซี่ยงหยวนจะคอแข็งอย่างยิ่ง  กลับมิได้ชมชอบกรอกตัวเองด้วยสุราปริมาณมากๆ และมิได้ชมชอบการเมามาย  การร่วมดื่มกับแม่ทัพนายกองแต่ละครั้งมีจุดประสงค์เพียงต้องการให้บรรยากาศครึกครื้นเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีต่อกัน  การดื่มในงานเลี้ยงยิ่งไม่เคยปล่อยให้ตัวเองดื่มจนขัดขวางการใคร่ครวญไตร่ตรอง  ครั้งเดียวที่เหลียนอันสุ่ยเคยเห็นฉีเซี่ยงหยวนตั้งใจดื่มสุราเป็นจริงเป็นจังคือคืนนั้นที่เมืองอู๋เล่ย...ที่ฉีเซี่ยงหยวนใช้สุราระงับความเจ็บปวด

ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนสงบอย่างยิ่ง  เค้าท่าทีไม่มีความเมามาย  คล้ายกำลังหมกมุ่นครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่าง  และก็คล้ายเหนื่อยล้ากับเรื่องราวบางประการ 
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ถามเพราะมีความรู้สึกว่าฉีเซี่ยงหยวนไม่ต้องการเอ่ยอะไรทั้งสิ้น  เพียงฝนหมึกให้อีกฝ่ายเงียบๆ  ฝนเสร็จก็จุ่มพู่กันส่งให้  แล้วจึงขอตัวออกมา...
---------------------
เหลียนจิ้งเต๋อหอบตำรามาตามทางด้วยท่าทีคึกคักแจ่มใส  เข้ามาในห้องเจอแต่พ่อบุญธรรมก็ขมวดคิ้ว ถาม 
“พ่อบุญธรรม ท่านพ่อเล่า ?”
“เห็นบอกว่าจะไปดูในครัว” ฉีเซี่ยงหยวนเงยหน้าขึ้นมาตอบ
เหลียนจิ้งเต๋อทำเสียงอ๋อแล้วจัดการวางการบ้านกองใหญ่ที่ตัวเองหอบมาลงบนโต๊ะข้างๆ พลางกล่าว
“ใช่แล้วๆ  ท่านพ่อสัญญากับข้าว่าถ้าข้าตอบคำถามในตำราจริยธรรมได้หมดวันนี้จะเข้าครัวเอง  งั้นพ่อบุญธรรม  การบ้านวันนี้ของข้าคงต้องพึ่งพาท่านแล้ว” พูดจบก็เบียดเข้ามาอีกหน่อย กางม้วนไม้ไผ่ออก  เพราะวันนี้คู่หูไปเยี่ยมมารดา  เหลียนจิ้งเต๋อจึงประสบภาวะขาดคนช่วยทำการบ้าน
ฉีเซี่ยงหยวนชะงักไป  เข้าครัวเอง?  เสียงอ่านโจทย์ดังๆข้างหูดังกลบความคิดขึ้นมากะทันหัน
“ความเป็นผู้นำ ความเป็นกลาง  ความสามารถ  ท่านว่าสามข้อนี้สำหรับนักปกครองอะไรสำคัญที่สุด”

ฉีเซี่ยงหยวนก้มลงมองเด็กที่ครอบครองทุกอย่างที่เขาไม่เคยมี  ถามขึ้นว่า
“เจ้าอยากเป็นนักปกครอง ?” ...ทราบหรือไม่ว่าการยืนอยู่เหนือผู้อื่นต้องจ่ายสิ่งใดออกไปบ้าง
“ข้าอยู่ของข้าดีๆเหตุใดต้องไปอยากปกครองผู้อื่น  ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหตุใดอาจารย์ถึงจะให้ข้าตอบโจทย์ข้อนี้ให้ได้  ท่านดู  โจทย์มากมายถึงเพียงนี้  ไม่มีคนช่วยทำจะเสร็จได้อย่างไร” พูดจบก็จัดการกางออกมาทั้งหมด  เรียงจนชวนให้คนตาลาย ซ้ำยังเบียดที่ขยับกองฎีกาของฉีเซี่ยงหยวนไปห่างๆอีกด้วย
คำตอบที่ตรงไปตรงมา  ประโยคที่ควรกล่าวและไม่ควรกล่าวล้วนถูกกล่าวออกมาจนหมดสิ้น  ทำให้ใบหน้าที่กระด้างเย็นชาของฉีเซี่ยงหยวนคล้ายกับมีรอยยิ้ม  น่าแปลกที่เหลียนจิ้งเต๋อไม่มีแม่ชัดๆ  แต่เด็กคนนี้กลับไม่เคยขาดอะไรเลย  เหลียนอันสุ่ยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขา
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
“ ‘ช่วยทำการบ้าน’ ประโยคนี้เจ้ากลับกล่าวออกมาได้อย่างคล่องปากยิ่ง”
เหลียนจิ้งเต๋อชะงักไป  รีบเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า
“พ่อบุญธรรม ท่านยังไม่ตอบคำถามข้า” คำถามนี้คนอื่นไม่รู้ได้  แต่พ่อบุญธรรมต้องทราบแน่นอน
ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนมีแววครุ่นคิด  ตอบอย่างจริงจังว่า
“สำหรับข้าสิ่งที่สำคัญที่สุดของนักปกครองคือรู้จักแยกแยะ  เมื่อรู้จักแยกแยะจึงสามารถตัดสินใจ  เมื่อรู้จักแยกแยะจึงสามารถวางตัวเป็นกลาง  การแยกแยะอย่างกระจ่างชัดเป็นความสามารถประการหนึ่ง  และการรู้จักแยกแยะเมื่อประกอบกับความเป็นผู้นำจึงสามารถทำให้คนยอมรับนับถือ”

เหลียนจิ้งเต๋อฟังพลางอ้าปากค้างพลาง  สุดท้ายร้องออกมาว่า
“พ่อบุญธรรม...ท่าน...ตอบไม่ตรงคำถามนี่ !”
ฉีเซี่ยงหยวนมองสีหน้าอีกฝ่ายแล้วก็หัวเราะ  ในวันที่ตัวเขาไม่คิดว่าจะหัวเราะได้กลับหัวเราะออกมาในที่สุด
---------------------
“...นักปกครองคือคนที่วางตัวเองอยู่สูงขึ้นไป ในมือกุมความเป็นอยู่ของคนนับร้อยไว้  แต่คนนับร้อยความคิดเห็นมีนับพันนับหมื่น  เจ้าย่อมมิอาจเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งโดยง่าย  ทางที่ดีที่สุดแต่กระทำจริงได้ยากเย็นที่สุดคือวางตัวเป็นกลาง  เช่นนี้จึงได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย  เช่นนี้จึงสามารถได้ยินความเห็นที่แตกต่าง 
สำหรับข้าในใจของนักปกครองทุกคนสมควรมีกระจกอยู่บานหนึ่ง  กระจกบานนี้ไม่ได้ส่องประชาราษฎร์ทั่วหล้าเพราะหากเจ้ามีดวงตาที่ไม่มืดบอดเจ้าย่อมมองเห็นพวกเขาเหล่านั้นอยู่แล้ว  ที่เจ้ามองไม่เห็นคือตัวเอง  แต่ถ้าเจ้าไม่อาจรักษาความเป็นกลางไว้  สุดท้ายเจ้าจะสูญเสียกระจกบานนี้ไป  และหลังจากนั้นสิ่งที่เจ้ามองเห็นจะไม่ใช่ทั่วหล้า  แต่เป็นความเห็นของคนเพียงฝ่ายเดียว”
เหลียนจิ้งเต๋อหน้านิ่วคิ้วขมวด
“นักปกครองมิใช่ต้องตัดสินใจหรือ  แล้วในเมื่อต้องตัดสินใจสุดท้ายก็ต้องเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ดี  แล้วจะเป็นกลางได้อย่างไร”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะหึหึ  ตอบว่า
“เรื่องเช่นนี้ย่อมมีวิธีการอยู่  บางครั้งในใจเจ้าอาจตัดสินใจไปแล้วตั้งแต่ต้น  แต่ภายนอกย่อมมิใช่  รอให้บรรดาขุนนางของเจ้าอภิปรายจนพึงพอใจทั้งสองฝ่าย  สุดท้ายค่อยให้ขุนนางที่เป็นแขนขาของเจ้าผลักดันให้เจ้า ‘ต้อง’ ตัดสินใจ”

“อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว  นักปกครองต้องรู้จักสร้างภาพนี่เอง”

ฉีเซี่ยงหยวนสำลักจนต้องกลบเกลื่อนด้วยการกระแอมไอ  รู้สึกว่าตัวเองยิ่งพูดยิ่งเลยเถิด  หากบิดาแท้ๆของเหลียนจิ้งเต๋อมาได้ยินเขาชี้นำบุตรชายตัวเองไปในทางที่ผิดเช่นนี้  ไม่ทราบจะทำหน้าอย่างไร  คิดพลางกล่าวสรุปด้วยสีหน้าที่ปั้นให้เคร่งขรึมจริงจังว่า
“เพียงแต่ถึงจะทำเช่นนี้เจ้าก็ต้องหมั่น ‘ส่องกระจก’ สำรวจตนเอง  เปิดใจรับฟังผู้อื่น  เฉลี่ยการตัดสินใจแต่ละครั้งให้เหมาะสมมิให้ทุกคราล้วนเอียงไปด้านเดียวกันหมด  กับ ‘ความสามารถ’ ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถชดเชยให้เจ้าได้  จำไว้ คนเราทุกคนไม่สามารถเก่งกาจไปทุกด้าน  ส่วน ‘ความเป็นผู้นำ’ ที่เจ้าเอ่ยถึง  หากมีเพียงข้อนี้ข้อเดียว  นำไปทางเดียวอย่างสุดโต่ง  นักปกครองเช่นนี้ไม่มีเป็นดีที่สุด” กล่าวสรุปเสร็จฉีเซี่ยงหยวนก็ก้มหน้าหางานของตัวเองที่เมื่อครู่ถูกมือเล็กผลักไปไกลสุดปลายโต๊ะ

อันที่จริงบิดาแท้ๆของเหลียนจิ้งเต๋อยืนฟังบทสนทนาอยู่นอกประตูนานแล้ว และสีหน้าของเขาก็มิใช่สีหน้าที่คนในห้องจะคาดเดาออกตลอดกาล  มันเป็นความอบอุ่นหวานละมุนชนิดหนึ่ง  ความจริงเหลียนอันสุ่ยตั้งใจจะเรียกคนทั้งสองไปกินข้าว  แต่ความคิดดังกล่าวกลับถูกเสียงหัวเราะของฉีเซี่ยงหยวนชะออกไป...ไว้อีกซักพักเถิด 
“ข้อต่อไปโจทย์คือ...”
“ไม่ต้องอ่านให้ข้าฟัง  ข้อต่อไปเจ้าทำเอง”
“อ้าว  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า!” เหลียนจิ้งเต๋อร้องเสียงหลง
“หากช่วยเจ้าทุกข้อนี่ก็มิใช่การบ้านเจ้าแล้ว  แต่เป็นการบ้านข้า”
เหลียนอันสุ่ยที่นอกประตูหลุดขำออกมา  คำกล่าวนี้นับว่ากล่าวได้อย่างถูกต้องจริงๆ  ดูเหมือนฉีเซี่ยงหยวน...จะไม่เป็นไรแล้ว

ลึกๆแล้วในใจของเหลียนอันสุ่ยมีความเชื่อมั่นว่าบุรุษผู้นี้จะไม่เป็นไรแน่นอน  ความแข็งแกร่งของฉีเซี่ยงหยวนคือการที่เขาสามารถล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ได้เสมอ  ไม่จมอยู่ในเงาของอดีต  ไม่กลบฝังตัวเองอยู่ในความล้มเหลว  ไม่ยินยอมให้ความเจ็บปวดขัดขวางหนทางที่ต้องก้าวเดินไป  วางแผ่นดินไว้ในมือคนเช่นนี้ ยังจะมีอะไรไม่วางใจอีก

อาจบางทีในบั้นปลายของชีวิต อดีตเป่ยชางอ๋องก็ไม่อาจหนีไปจากความจริงที่ว่าในบรรดาเรื่องที่ตัวเขากระทำเพื่อแคว้นเป่ยชางทั้งหมด  ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกลับเป็นการที่เขาให้กำเนิดบุตรชายคนที่สี่... 
บุตรชายที่เขาไม่เคยมองอย่างเต็มตาซักครั้ง  บุตรชายที่เขายึดถือเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้ามาสามสิบเอ็ดปีเต็ม

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 35 .......................................05/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 08-09-2014 22:45:44
เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนค่ะ
หลงความคึกคักแจ่มใสของเหลียนจิ้งเต๋อจัง
อ่านกี่รอบก็น่ารักนะตอนช่วยทำการบ้านเนี้ย


ใจจริงแอบจิ้นเหลียนจิ้งเต๋อผู้สดใสร่าเริงสุดใสซื่อกับรัชทายาทผู้ปราดเปรื่องล้ำลึกนั่นจัง หึๆ คู่เล็กก็ดูจะแซบไม่น้อย


สู้ๆค่ะ  อยากบอกว่าเป็นเรื่องที่อ่านวนได้หลายรอบมากจริงๆ
เกือบทั้งเรื่องอ่านเกินห้ารอบแล้ว เชื่อมั้ย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 36 .......................................08/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: HydrA ที่ 08-09-2014 23:37:01
อย่านะอย่ามาบีบบังคับให้เลือกชายานะ ขุนนางพวกนี้นี่เดี๋ยวจับตีเลย
ยังไม่อยากเห็นเหลียนอันสุ่ยเสียใจน๊า
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 37
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 11-09-2014 17:33:18

บทที่ 37 ทูตจากแคว้นเหลียน

เสียงกระซิบกระซาบดังเป็นระลอกๆไม่หยุดพักราวกับริ้วน้ำที่กระเพื่อมกระทบฝั่ง  เขตเรือนพักนับเป็นทางระบายออกของหญิงรับใช้ทุกคนที่ทำงานอย่างสงบเสงี่ยมสงบปากสงบคำจนจะช้ำในตายมาตลอดทั้งวัน  อิ๋งฮวาส่ายหัวอย่างจนใจเพราะทราบว่าการปรามของนางสามารถทำให้ลดน้อยลงได้  แต่ก็ไม่มีทางทำให้หายขาดไปอย่างเด็ดขาด

“นี่ๆ พวกเจ้ารู้หรือไม่  ทูตแคว้นเหลียนที่จะมาเยือนคราวนี้เป็นผู้ใด”
เจ้าของคำพูดย่อมเป็นหญิงรับใช้ชาวเป่ยชาง  ในตำหนักเสียงวสันต์แห่งนี้มีหญิงรับใช้ที่เป็นชาวเหลียนทั้งหมดเพียงห้าคน  อิ๋งฮวาชะงักเท้าลงช้าๆ 
“เป็นใต้เท้าเหวิน พ่อตาของพระมาตุลาที่พวกเรารับใช้อยู่อย่างไรเล่า...”
‘เพล้ง’ ชามในมืออิ๋งฮวาร่วงลงสู่พื้น  เสียงชามกระเบื้องกระแทกเข้ากับกรอบประตูจนแตกเป็นเสี่ยงดังสะท้านไปทั่วบริเวณ
---------------------
หลายวันต่อมา
“...ท่านดูเปลี่ยนไปไม่น้อย  เอาเถอะ  เวลาเปลี่ยนผู้คนก็ยากจะคงเดิม  จะมีซักกี่คนที่สามารถเป็นเช่นเดียวกับวันวาน” คำพูดดูราวจะแฝงความหมายล้ำลึกบางอย่าง  ดวงตาของผู้สูงวัยกว่าพิจารณาใบหน้าของ ‘บุตรเขย’ ที่ไม่ได้เห็นมานาน
“ท่านพ่อตาเดินทางมาไกลคงลำบากไม่น้อย  เชิญนั่งเถิด”
เหวินเถียนหรี่ตาลง  มารยาทของบุรุษผู้นี้ไม่เคยบกพร่องมาแต่ไหนแต่ไร  ใช่ สุภาพเรียบร้อย...และปราศจากพิรุธ
เหวินเถียนกล่าวขึ้น
“ที่ข้ามาคราวนี้ความจริงมีทั้งเรื่องบ้านเมืองและเรื่องส่วนตัว  จิ้งเต๋อเล่า ?”
ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของเหลียนอันสุ่ยชะงักไปวูบหนึ่ง  ในใจเหมือนมีบางอย่างว่างโหวงขึ้นมาฉับพลัน  เงยหน้ามองผู้มากวัยกว่าช้าๆ...
---------------------
บนทางเดินคดเคี้ยวเคียงสระน้ำใสกระจ่าง  ก้อนกรวดตามรายขับเน้นสนเขียว  สนเขียวขับเน้นเรือนไม้  เหวินเถียนเดินพลางพิจารณารอบข้างของตำหนักเสียงวสันต์ไปพลาง มิได้รีบร้อนจะจากไป  ปากพึมพำว่า
“ถึงแม้ชาวเป่ยชางจะไร้รสนิยม  แต่ที่นี่จัดตกแต่งได้ไม่เลวเลย  แคว้นเป่ยชางนับว่าดีกับเชลยทางการเมืองไม่น้อยทีเดียว”
น้ำเสียงเสียดสีที่เขาใช้ทำให้อิ๋งฮวาที่เดินตามออกมาส่งใจไม่ค่อยดี  มีบางอย่างผิดปกติ  ผิดปกติเป็นอย่างมาก  นี่ไม่เหมือนท่าทีที่ใต้เท้าเหวินมีต่อนายท่าน 

ปกติใต้เท้าเหวินนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา  เอ็นดูคุณชายน้อยอย่างยิ่ง  ถือเป็นญาติสนิทที่สุดของสองพ่อลูก  ไม่มีทางมีท่าทีขุ่นมัวห่างเหินราวกับคนไม่ชอบหน้ากันเช่นนี้เป็นอันขาด  ท่าทีที่ไม่เหมือนเดิมนี้ทำให้อิ๋งฮวาแทบจะไม่เชื่อว่าบุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางจะเป็นใต้เท้าเหวินจริงๆ
เหวินเถียนไม่สนใจท่าทีครุ่นคิดของหญิงรับใช้ที่เดิมตามหลังมา  สายตาเขาไปสะดุดเอากับหญิงรับใช้นางหนึ่งซึ่งเช็ดถูอยู่ริมหน้าต่าง
“นั่นมันเม่ยเอ๋อมิใช่หรือ  อิ๋งฮวา  เจ้าไปบอกพระมาตุลาว่าข้าขอยืมตัวนางสักครู่  ข้าไม่ได้สนทนาเรื่องลูกสาวมานานเหลือเกินแล้ว”
ใบหน้าของอิ๋งฮวาเผือดขาวราวกับกระดาษ  นางก็ไม่ทราบว่าตัวเองกำลังหวาดกลัวสิ่งใด  ลางสังหรณ์ร้องเตือนอย่างเลวร้ายขึ้นทุกขณะ  อาจบางทีเพราะเรื่องที่ถูกปกปิดไว้มีมากมายจนเกินไป
---------------------
ที่แคว้นเหลียน
ตำหนักเก่าที่ปลูกแต่ดอกเบญจมาศยังคงปลูกแต่ดอกเบญจมาศ  เสียงหัวเราะแหลมสูงที่ฟังดูเสียดหูจนหนาวไปถึงกระดูกเสียงหนึ่งจู่ๆก็ดังขึ้นมา มุมปากของคนในห้องมีรอยยิ้ม  นางรอคอย...ตั้งหน้าตั้งตานับวันรอคอยชมดูความพินาศของคนสองคน  ฝันที่วาดฝันมานานนับว่าใกล้เป็นจริงแล้ว

“เจ้าเป็นกังวลหรือ ?...ไม่เลย  ไม่ต้องกังวลเลย  หากจะมีคนผู้หนึ่งสามารถขุดคุ้ยความลับทุกอย่างจากตำหนักพระมาตุลาได้  คนผู้นั้นก็คือเหวินเถียน” นางเอ่ยกับบ่าวรับใช้และก็คล้ายกำลังเอ่ยเพื่อปลอบประโลมจิตใจเคียดแค้นของตัวเองด้วย

เหลียนอันสุ่ยเมตตาบ่าวไพร่  บ่าวไพร่ในตำหนักล้วนจงรักภักดี  ทุกคนต่างรู้ว่าการจะขุดคุ้ยเรื่องราวเพื่อทำร้ายเขานับเป็นเรื่องลำบากยากเย็น  แต่ทุกคนต่างก็รู้เช่นกันว่าบ่าวไพร่สกุลเหวินที่ติดตามไปรับใช้เหวินจีหลังแต่งงานก็มีไม่น้อยเลยจริงๆ
ดวงตาของสตรีผู้เป็นเจ้าของวาววาบ ปรารถนาใคร่ได้ยินข่าวคราวจากแคว้นเป่ยชางโดยไว  น่าเสียดายที่กว่าข่าวคราวจะมาถึงก็ช้ากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงไปครึ่งเดือน  ช้าเหลือเกิน นางทนรอแทบไม่ไหวแล้ว...
   ---------------------
หากต้นไม้ในสวนสามารถใช้เป็นเชื้อไฟ  โทสะของเหวินเถียนก็คงแผดเผามันจนกลายเป็นเถ้าไปนานแล้ว  ท่าทีสงบของเหลียนอันสุ่ยทำให้เหวินเถียนมีความหวังขึ้นมาวูบหนึ่ง  หวังว่าทุกประการจะเป็นเพียงข่าวโคมลอย  แต่ความหวังเพียงวูบเดียวนั้นก็ถูกดับสนิทจนไม่มีเหลือด้วยฝีมือของหญิงรับใช้ที่คุกเข่าตัวสั่นอยู่เบื้องหน้า  แรงโทสะผลักดันให้เหวินเถียนหันหลังย้อนกลับไป  บุกรุกเข้าสถานที่ที่เมื่อครู่เพิ่งจะก้าวขาออกมา

เสียงกราดเกรี้ยวนำมาก่อน
“เหลียนอันสุ่ย  เสียทีที่ลูกสาวข้ารักท่าน!  ชีวิตของนางท่านปกป้องเอาไว้ไม่ได้  ความรักของนางท่านก็เอามาย่ำยีเช่นนี้เองหรือ!  ที่แท้เรื่องมันก็ไม่ได้ต่างจากที่นางแพศยานั่นพูดแม้แต่น้อย !”
เหลียนอันสุ่ยที่เดินออกมาเพราะได้ยินเสียงความวุ่นวายนิ่งค้างไปอย่างตกตะลึง
เหวินเถียนมองสภาพตำหนักรอบตัวด้วยท่าทีเหยียดหยาม  ขณะกล่าว
“หึ  ตำหนักเชลยที่หรูหราโอ่อ่า  เรื่องพรรค์นี้มันมีที่ไหนกัน!  ความสัมพันธ์สกปรกน่ารังเกียจนี้ไม่ทำให้ท่านนึกรังเกียจตัวเองบ้างเลยหรือ  เหลียนจิ้งเต๋อไม่ควรนับท่านเป็นบิดา  หลานข้าเทิดทูนคนผิดไปแล้ว  ข้าเองก็มองคนผิดไปแล้ว  ท่านไม่คู่ควรกับลูกสาวข้าเลยซักนิด !”
ดวงตาที่แสดงความชิงชังรังเกียจโดยเปิดเผย ทิ่มแทงเหลียนอันสุ่ยจนแทบล้มทั้งยืน 

อิ๋งฮวาที่ถลาเข้ามาได้แต่มองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความตะลึงงัน  ใบหน้าไม่มีสีเลือดหลงเหลือแม้แต่เฉดเดียว  ต้วนจินที่คิดเข้ามาขวางกลับถูกหม่าหลงกระชากตัวไว้  ไม่ได้!  เรื่องนี้พวกเขาเข้าไปยุ่งแล้วสถานการณ์จะสาหัสกว่าเดิม  ส่วนหวังเชียนกันหญิงรับใช้อื่นๆออกไป  มองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยแววตาร้อนรน

“ท่านพ่อตา  ท่านพูดเรื่องอะ...”
เหวินเถียนไม่ฟังคำแก้ตัวตัดบทว่า
“ไม่ต้องมาเรียกข้าเป็นพ่อตา  ท่านรู้หรือไม่ก่อนมานี่หญิงแพศยานั่นเชิญข้าไปพบ  บังคับให้ข้าฟังเรื่องราวสกปรกของพวกท่าน  ตอนนั้นข้าไม่เชื่อ  คิดไม่ถึง  คิดไม่ถึง...” โมโหจนหน้ามืดเลือดลมตีกลับ  น่าชังแทบตายแล้ว  เรื่องพรรค์นี้ยังกระทำออกมาได้! 
เหลียนอันสุ่ยรีบเข้าไปช่วยพยุงแต่กลับถูกเหวินเถียนผลักออกแรงๆอย่างไม่ยินยอมรับไมตรี  แค่นเสียงหนักๆกล่าวว่า

“ท่านจะปฏิเสธก็ได้  แต่ฟ้ารู้ดินรู้  ตัวเองรู้อยู่แก่ใจ  เรื่องราวผิดหลักฟ้าดินเช่นนี้  ไม่เพียงใต้หล้าไม่ยอมรับ  สวรรค์ก็ตำหนิติเตียน  เว้นเรื่องนี้ไม่พูด  ท่านจำไม่ได้หรือว่าฉีเซี่ยงหยวนเหยียบย่ำแผ่นดินแคว้นเหลียนอย่างไร  ที่แคว้นเหลียนกลายเป็นเช่นนี้ก็เพราะมัน  ซากศพโลหิตที่หลั่งไหลออกไปทั้งหมดก็เพราะมันเป็นต้นเหตุ  แค่ท่านญาติดีกับมันก็เป็นการทรยศแคว้นเหลียนแล้ว !”
“บังอาจ  คำพูดสามหาวเช่นนี้พูดได้หรือ” ต้วนจินทนเงียบไม่ไหวอีกต่อไป
“หวังเชียน  พาตัวต้วนจินออกไป” เหลียนอันสุ่ยออกคำสั่งด้วยไม่ต้องการให้เกิดการปะทะกันระหว่างคนทั้งคู่  ในเปลือกนอกที่พยายามควบคุมให้เยือกเย็นมีความร้อนรุ่มเจ็บปวดระคนหวั่นกลัว  เหลียนอันสุ่ยแทบจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเคยหวั่นกลัวถึงเพียงนี้เป็นเมื่อไหร่กัน

“ไม่จำเป็น  หากเป็นคำสั่งท่าน  ข้าย่อมต้องออกไปอยู่แล้ว” ต้วนจินกล่าวจบก็เดินออกจากห้องไปด้วยตัวเอง
“คิดไม่ถึง  ทหารแคว้นเป่ยชางจะเชื่อฟังท่านขนาดนี้  ถูกพวกมันหลอมกลืนไปแล้วหรืออย่างไร  คงไม่ต้องให้ข้าย้ำเตือนกระมังว่าท่านเป็นเชื้อพระวงศ์แคว้นเหลียน” น้ำเสียงเสียดสีอย่างไม่ไว้หน้ากรีดซ้ำลงบนความรู้สึกผิดเดิม
 
เหลียนอันสุ่ยหูลั่นอึงอล  คิดจะกล่าววาจา แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงจะกล่าวออกไป  จนด้วยคำพูดนิ่งงันอยู่เช่นนั้น  และประโยคต่อมาของเหวินเถียนก็ทำให้ความหวาดกลัวของเหลียนอันสุ่ยกลายเป็นความจริง
“ข้าตัดสินใจแน่นอนแล้ว  ท่านจะทำอะไรข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยว  พวกเราขาดกัน  แต่หลานของข้าข้าจะพาเขาไป ต้องพาไปแน่นอน  เพราะข้าจะไม่ทิ้งเขาไว้ซึมซับความต่ำช้าไร้ทั้งสำนึกทั้งยางอายของท่านเป็นอันขาด!” ชี้หน้ากล่าวจบก็จากไป ราวไม่ต้องการเห็นหน้าอีกฝ่ายอีกแม้ชั่วครู่ยาม

ไม่  ท่านจะเอาเด็กคนนั้นไปจากข้าไม่ได้  ข้า...
เหลียนอันสุ่ยสั่นสะท้านไปทั้งร่าง  เบิกตามองความว่างเปล่าตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย  พึมพำแผ่วเบาว่า
“ข้าทำผิดไป  เป็นข้าที่ทำผิดไป  ที่แท้ข้า...ทำอะไรลงไปกันแน่...”
“นายท่าน  ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดไป  ความผิดนี้ไม่ใช่ของท่าน  เป็นของผู้หญิงต่ำช้าคนนั้น  เป็นของเป่ยชางอ๋องคนนั้น !  อิ๋งฮวาวิงวอนนายท่าน อย่าโทษตัวเอง  อย่าโทษตัวเองเช่นนี้...”
เหลียนอันสุ่ยก้มลงมองอิ๋งฮวาที่ถลามาเบื้องหน้าเขา  จากดวงตาที่สับสน  สุดท้ายเหลือเพียงรอยยิ้มที่หม่นหมอง

อิ๋งฮวามองสีหน้าเขาด้วยความหวาดประหวั่นพรั่นพรึง  นายท่านไม่เห็นด้วยกับนาง  นายท่านไม่ได้โทษว่าคนพวกนั้น  เขาเพียงโทษว่าตัวเอง  เข่าของอิ๋งฮวาคุกโครมลงกับพื้น
“เป็นอิ๋งฮวาไม่ดี  ไม่ควรปล่อยให้ใต้เท้าเหวินคุยกับเม่ยเอ๋อ” นางก้มลงโขกศีรษะซ้ำๆ  รู้สึกถึงฝ้าน้ำตาที่ค่อยๆก่อตัว  แต่กลับเห็นเท้าของนายท่านเดินจากไป  น้ำเสียงที่ทิ้งไว้ของเขาสงบราบเรียบ
“ลุกขึ้นเถอะ  นางเป็นคนบ้านสกุลเหวิน  ย่อมไม่อาจปิดบังท่านพ่อตา  นี่ไม่ใช่ความผิดของนางและไม่ใช่ความผิดของเจ้าด้วย” ความผิดนี้...เพียงเป็นของข้า
น้ำตาของอิ๋งฮวาทะลักออกจากเบ้า  หัวใจกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
ในม่านน้ำตาที่พร่ามัวผืนนั้น  แผ่นหลังสูงโปร่งที่เคยแบกรับทุกเรื่องราวไว้ตลอดมา  คราวนี้กลับดูไม่มั่นคงเช่นดังเดิม

อิ๋งฮวา  ข้าขอโทษ  เจ้าต้องร้องไห้เพราะข้าอีกแล้ว  ...บางคราวข้าก็สงสัย  เพราะข้าไม่อนุญาตให้ตัวเองร้องไห้ใช่หรือไม่  จึงเป็นเจ้าอยู่ตลอด...เป็นเจ้าที่ร้องไห้แทนข้า
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนได้รับรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว  แต่ตัวเขากลับติดอยู่ระหว่างประชุมขุนนาง  อยากจะรีบรุดไปตำหนักเสียงวสันต์แต่โซ่อันหนาหนักที่มองไม่เห็นเส้นหนึ่งกลับล่ามตัวเขาเอาไว้กับบัลลังก์อย่างแน่นหนา  ลมหายใจที่สงบตลอดมาหนักหน่วงกระวนกระวาย  ความปวดร้าวทรมานในจิตใจเหมือนถูกกักขังอยู่ในเตาอัคคี  เพียรกดความรู้สึกนั้นลงไป  บังคับให้จิตใจจดจ่ออยู่กับแผนการจัดการภัยพิบัติตรงหน้า

เขาไม่อาจไป  ความรับผิดชอบนี้เป็นของเขา  คนเป็นเรือนพันกำลังไม่มีที่อยู่ เจ็บปวดเดือดร้อน  เขาไม่อาจไป  และไม่อาจรีบร้อน  จะให้ขุนนางพวกนี้สนใจการคงอยู่ของเหลียนอันสุ่ยไม่ได้  จะให้ผู้คนเหล่านี้ล่วงรู้ความสำคัญของคนผู้นั้นภายในใจเขาไม่ได้!
‘ไม่เช่นนั้น  ท่านจะไม่มีทางปกป้องเขาเอาไว้ได้อีกเลย’ ราวกับเสียงของจางจื่อหยูกระซิบอยู่แผ่วเบา
---------------------
อากาศแห้งๆแทรกตัวอยู่ในทุกมุมห้อง  ความรู้สึกแห้งผากกลับแทรกซึมล้ำลึกอยู่ในหัวใจ 
เหลียนอันสุ่ยเอย  เจ้าทำอะไรลงไปกันแน่ เหตุใดสิ่งที่เข้าใจว่าไตร่ตรองดีแล้วจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้  ไม่ยินยอมพร้อมใจใช่หรือไม่  หวาดกลัวที่จะสูญเสียไปใช่หรือไม่  เหตุใดจึงไม่คิดบ้าง...ว่าตัวเจ้าเองมิได้คู่ควรกับสิ่งเหล่านี้เลย  เด็กคนนี้เจ้ายังทำร้ายเขาไม่พออีกหรือ  เพราะทางที่เจ้าเลือกทำให้เขาต้องสูญเสียมารดา  และครั้งนี้ก็เพราะทางที่เจ้าเลือกอีกที่ทำให้เขาต้องสูญเสียบิดา  หากเจ้ายังรั้งเด็กคนนั้นไว้ก็มีแต่ทำร้ายเขามากขึ้นเท่านั้น  ตัดสินใจไปแล้วแต่หักใจทำไม่ลงนี่ไม่คล้ายตัวเจ้าเลย

เสียงเปิดประตูช้าๆ เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง  เมื่อลืมตาใหม่อีกคราดวงตาที่เคยอบอุ่นอ่อนโยนก็กลายเป็นเคร่งขรึมเย็นชา
“ท่านพ่อ  เหตุใดพี่อิ๋งฮวาจึงตาแดงๆเหมือนร้องไห้เลยเล่า  ใครกันที่กล้ารังแกนาง  นางออกจะแกร่งขนาดนั้นแท้ๆ...” คำสัพยอกหยอกล้อที่เหลียนจิ้งเต๋อตั้งใจจะเอามาผ่อนคลายบรรยากาศที่ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงหนักอึ้งเป็นพิเศษเงียบหายไปกลางคัน...เมื่อเห็นแววตาของบิดา
“เจ้าออกไปเที่ยวเล่นมาอีกแล้ว ?”
เหลียนจิ้งเต๋อเสียวสันหลังวาบ  ร้อนตัวรีบกล่าว
“การบ้านข้ากะทำเย็นนี้อย่างไรเล่า  ท่านพ่อ นานๆครั้งหรอกที่ข้าจะได้มีวันหยุดเรียนกับเขาบ้าง”
เหลัยนอันสุ่ยตัดบทว่า
“เจ้าคุยกับท่านตาแล้วหรือยัง”
“ท่านตา... ท่านพ่อ ข้าไม่กลับแคว้นเหลียนนะ” คำพูดโพล่งออกมาทันทีที่นึกได้
“เหตุใดจึงไม่โตเสียที  เจ้าเข้าใจว่าการได้กลับแคว้นเหลียนเป็นเรื่องที่ง่ายดาย?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าการจะพาเจ้ากลับแคว้นเหลียนต้องใช้ความพยายามมากเท่าไหร่  ท่านตาอุตส่าห์มาหาเจ้าถึงที่นี่  เจ้ายังปฏิเสธอีกหรือ”
“ข้า...” เหลียนจิ้งเต๋อเจอคำตำหนิของบิดาเข้าไปถึงกับพูดไม่ออก

“ไปเก็บของได้แล้ว  อีกไม่กี่วันท่านตาก็จะจากไปแล้ว  อย่ามัวเอาแต่เที่ยวเล่น”
“แต่ข้าไม่อยากไปจากท่านพ่อนี่!” เหลียนจิ้งเต๋อพูดออกมาอย่างดื้อรั้น
“เจ้าอายุสิบขวบแล้วยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรอีกหรือ  คิดจะทำตัวดื้อรั้นเช่นนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่  บางทีพ่อคงตามใจเจ้ามากเกินไป  อีกไม่กี่ปีเจ้าก็จะเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวสมควรยืนด้วยตัวเองได้แล้ว  อย่าทำให้พ่อผิดหวังมากกว่านี้  ไปเก็บของซะ” ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยเคร่งขรึมจริงจัง
ลำคอของเหลียนจิ้งเต๋อแห้งผาก  เกิดอะไรขึ้น  ทำไม  ทำไมท่านพ่อเจอหน้าก็จะไล่เขาไป...
เหลียนอันสุ่ยเห็นสีหน้าของบุตรชายก็เบือนหน้าหนี  กลัวตัวเองเผลอใจอ่อนจนทำให้เสียเรื่องขึ้นมา

“ท่านพ่อ...ลูกถามท่านได้หรือไม่ว่าเพราะอะไร...”
“คำถามนี้ความจริงไม่จำเป็นต้องตอบ  มีเหตุผลมากมายที่เจ้าสมควรกลับไป  ไปตั้งใจใคร่ครวญดูก็จะกระจ่างชัด  เหลียนจิ้งเต๋อจำคำพ่อได้หรือไม่  ที่ว่าทุกคนล้วนมีที่ที่ตัวเองควรอยู่  มีหน้าที่ที่ตัวเองควรทำ  ต่อจากนี้เชื่อฟังท่านตา  ตั้งใจฝึกฝนตนเอง  อย่าให้เสียทีที่พ่อตั้งใจเลี้ยงเจ้ามา”

เหลียนจิ้งเต๋อฉุดดึงแขนเสื้อของบิดา  สีหน้าย่ำแย่ ไม่อาจตกลงใจ
เหลียนอันสุ่ยก้มมองมือเล็กที่จับชายแขนเสื้อเขาเอาไว้  ความทรงจำย้อนทวนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน  เด็กชายตัวน้อยในวันวานก็เคยฉุดดึงแขนเสื้อของเขาเช่นนี้...  เหลียนอันสุ่ยดึงชายเสื้อกลับมาช้าๆ เดินเข้าห้องชั้นในโดยไม่กล่าววาจาใดอีก

ฝ่ามือของเหลียนจิ้งเต๋อสุดท้ายก็คว้าไว้ได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่า  เด็กชายวัยสิบขวบมองมือข้างนั้น  รู้สึกเหมือนร่างกำลังร่วงหล่นลงไปในหลุมที่ไม่มีวันปีนป่ายขึ้นมา  วินาทีที่ท่านพ่อหันหลังให้เขาโลกทั้งโลกของเหลียนจิ้งเต๋อก็คล้ายกลายเป็นโลกที่เขาไม่รู้จักอีกต่อไป...
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 38
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 11-09-2014 18:02:07

บทที่ 38 คุกเข่า

ร่ำสุรา ชมเบญจมาศ  มีความสุขสุนทรีย์ถึงเพียงนั้น  น่าเสียดายในกลิ่นสุราอ่อนจางกลับมีรสชาติของความแค้นอันเข้มข้น  ความสุขนี้จึงเป็นความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น...

“เหวินเถียนนิสัยตรงเป็นไม้บรรทัดไม่มีทางทนทานรับเรื่องน่าขยะแขยงเช่นนี้ได้อย่างเด็ดขาด  เป็นอย่างไรเล่าตาแก่สกปรก  ลูกไม้นี้ของข้าทำให้ท่านกระอักเลือดด้วยความโมโหไปแล้วหรือยัง” น้ำเสียงที่อ่อนหวานอย่างเสียดสีเต็มไปด้วยความสะใจ  ลูกรัก  คนเลวพวกนั้นกำลังชดใช้ให้เราแล้ว  ชีวิตของเจ้าพวกเขาพรากเอาไป  แม่จะไม่ให้คนเหล่านั้นใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเด็ดขาด
“ด้วยนิสัยของพระมาตุลาไม่มีทางรั้งบุตรชายเอาไว้กับเขา หรือเป้าหมายที่แท้จริงของนายหญิงคือ...” ดวงตาของหญิงรับใช้เหลือบมองผู้เป็นนาย  ภายในนั้นสื่อความหมายที่มีเพียงทั้งคู่ที่เข้าใจ
“ใช่  คนที่นิสัยเสียสละไปซะทุกอย่างทำตัวเป็นคนดีจอมปลอมเช่นเขาต้องเลือกที่จะเสียสละอยู่แล้ว  เขาทำให้ข้าสูญเสียบุตรชาย  ตัวเขาก็สมควรได้รู้จักความสูญเสียนี้เช่นกัน”
“บ่าวเกรงว่าเรื่องราวจะไม่ง่ายดาย  นายหญิง ท่านอย่าลืมว่าเหลียนจิ้งเต๋อมีฐานะเป็นบุตรบุญธรรมของเป่ยชางอ๋อง  ถ้าเป่ยชางอ๋องผู้นั้นยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว เรื่องราวไม่แน่ว่าจะลงเอยในแบบที่เราคาด”
จอกในมือของสตรีสูงวัยยื่นออกไปให้หญิงรับใช้เติมสุรา  ดวงตาหรี่ลง  ขณะกล่าวตอบ
“ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชาง  จริงสิ  ยังมีคนผู้นี้อยู่...  หึ  คิดไม่ถึงคนที่เอาตัวเหลียนอันสุ่ยไปจะกลายเป็นมีตำแหน่งใหญ่โตปานนี้ได้  พระมาตุลานั่นมีเสน่ห์อะไรนักหนา  อวี้เฉียนก็คนหนึ่งแล้วที่ลุ่มหลงมันจนโงหัวไม่ขึ้น  น้องสาวมันสวยจับใจ  แต่พี่ชายที่รูปโฉมดาษดื่นกลับมีคนต้องการไม่หยุด...” พูดถึงตรงนี้ก็ต้องดื่มสุราลงไปอย่างไม่สบอารมณ์

หญิงรับใช้ที่ด้านข้างแม้เข้าข้างเจ้านายตัวเองเต็มที่ยังมีความรู้สึกว่าประโยคนี้ผิดไปเล็กน้อย สมัยอายุสิบเจ็ดสิบแปด เหลียนอันสุ่ยกับน้องสาวได้รับการขนานนามเป็นคู่พี่น้องหยกสลัก  แม้รูปโฉมของเหลียนอันสุ่ยจะธรรมดากว่าน้องสาวอยู่โข  ก็เกรงว่าจะไม่สามารถนำคำว่า ‘ดาษดื่น’ มาใช้อธิบายได้  เพราะเหลียนอวี้เสวี่ยงดงามเกินไป  งดงามจนสามารถทำให้ผู้หญิงทั้งแคว้นเหลียนกลายเป็นอัปลักษณ์ไปจนหมดสิ้น  ขณะครุ่นคิดถึงเรื่องราวเก่าก่อนนางก็ได้ยินนายหญิงของตัวเองกล่าวต่อ

“...ข้อนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป  อย่างไรเสียคนดึงดันเช่นเหวินเถียนก็ไม่มีทางยอมรามือง่ายๆ  กับคนที่รังเกียจยิ่งไม่เคยไว้หน้ามาก่อน  ถ้าความเห็นสวนทางกับเป่ยชางอ๋อง  รับรองว่าตาแก่นั่นสามารถดึงดันทำจนตัวเองถูกประหาร  ...และไม่ว่าสุดท้ายเรื่องจะลงเอยแบบไหนพ่อตาลูกเขยคู่นี้นับว่าไม่มีทางคืนดีกันได้ตลอดชาติ” เหลียนอันสุ่ย  คนที่เคยอยู่เคียงข้างท่าน  ข้าจะพรากมันไปทีละคน
ดอกเบญจมาศสั่นไหวแผ่วเบา  คล้ายกำลังหวาดหวั่นต่อสิ่งที่ได้ยิน 
...เพราะความเคียดแค้นรุนแรงเป็นยิ่งกว่าโรคภัยเรื้อรัง  เมื่อสบโอกาสเป็นต้องกรีดทำร้ายเป้าหมายของมันคราหนึ่ง...ประโยคนี้เหลียนอันสุ่ยนับว่าซาบซึ้งกับมันอย่างยิ่ง
---------------------
“ไม่ต้องพูดแล้ว  ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อนุญาต” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนเฉียบขาด  คิ้วหนาขมวดแน่นขณะมองบุรุษตรงหน้า  เหลียนอันสุ่ยดูซูบซีดอิดโรยจนเขาเจ็บปวดใจ  ไอ้บ้านั่นมันเป็นใครกัน  กล้าดีอย่างไรมาใช้วาจาทำร้ายคนของเขา  ยิ่งคิดก็ยิ่งเดือดดาล  ถ้าไม่ติดว่าเหวินเถียนเป็นบิดาแท้ๆของเหวินจี  ฉีเซี่ยงหยวนรับรองว่าจัดการโยนตาแก่กระดูกผุนั่นใส่คุกไปแต่แรก

รสชาติขมจัดที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนฉีเซี่ยงหยวนอีกครั้ง  เป็นความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเขาอีกแล้วที่ทำร้ายเหลียนอันสุ่ย  ฉุดดึงคนที่ไม่เคยทำอะไรต้องละอายต่อฟ้าดินลงมาเกลือกกลั้วกับสายตาไม่ยอมรับของผู้อื่น  ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ทุกครา  เรื่องที่เขาเป็นคนก่อชัดๆ  แต่คนรับกรรมกลับเป็นเหลียนอันสุ่ย   ผู้อื่นกริ่งเกรงไม่กล้าล่วงเกินเขา  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับถูกดูถูกเหยียดหยามซึ่งหน้า  ทั้งๆที่เหลียนอันสุ่ยไม่เคยเป็นเช่นดั่งเขา ไม่เคยทำอะไรเหลวไหล  ยิ่งไม่ใช้วิธีสกปรกต่ำช้า  คนที่อยู่ในแสงสว่างตลอดมา  บริสุทธิ์สะอาดตลอดมา  จะทนทานรับการถูกปฏิบัติเช่นนี้ได้อย่างไร 

 ฉีเซี่ยงหยวนยินดีแลกฐานะเป่ยชางอ๋องกับบุรุษที่อยู่ตรงหน้า  คำพูดร้ายกาจเหล่านั้นทำอะไรเขาไม่ได้  คุ้นชินเสียแล้วกับการเผชิญหน้ากับเสียงวิจารณ์ด่าทอ  แต่ในใจของฉีเซี่ยงหยวนเพียงมีคำถามที่ไม่เข้าใจ  ร่ำร้องต้องการคำตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า  มันเป็นความผิดจริงๆหรือที่พวกเขาจะรักกัน  ความรักเป็นแค่เรื่องของคนสองคนมิใช่หรือ  ผู้คนมากมายเหล่านั้นเกี่ยวข้องอะไรด้วย  ใช้อะไรมาตัดสิน!  มีสิทธิ์อะไรมาตัดสิน!

 “ต้าอ๋อง  แคว้นเหลียนเป็นบ้านเกิดของเด็กคนนั้น  เรื่องที่ข้าปกปิดเขาไม่ทราบปกปิดไว้ได้ถึงเมื่อไหร่  จะให้จิ้งเอ๋อรู้ความจริงไม่ได้  วิธีนี้ดีที่สุดและดีต่อทุกฝ่าย  ขอต้าอ๋องยินยอมอนุญาตด้วย”
ตอนนี้เหวินเถียนแม้จะชิงชังเขาเข้ากระดูก  แต่เหลียนอันสุ่ยทราบว่าเหลียนจิ้งเต๋อจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี  เพราะเหลียนจิ้งเต๋อเป็นหลานคนโปรดของอีกฝ่ายมาโดยตลอด  ใช่แล้ว ชีวิตของเด็กคนนั้นจะต้องดีอย่างยิ่ง  ราบรื่นอย่างยิ่ง  ถ้าเพียงแค่ไม่มีเขา  คนที่ไม่ดีพอจะเป็นบิดาของเจ้าอีกแล้ว

เป่ยชางอ๋องสูดลมหายใจแรง  ดีต่อทุกฝ่าย!  ท่านกล่าวคำเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร  ทั้งๆที่คนที่เจ็บจนเจียนตายก็คือท่าน  เด็กคนนั้นเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของท่าน  ท่านถึงกับยอมสูญเสียไปอีกแล้ว  ไม่ได้  เขาไม่อนุญาต   ฉีเซี่ยงหยวนเบือนหน้าหนี 

แต่เหลียนอันสุ่ยกลับทำในสิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนคิดไม่ถึง  ร่างสูงโปร่งคุกเข่าช้าๆลงกับพื้น
ฉีเซี่ยงหยวนเบิกตามองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา 
“ข้าขอร้องท่าน  ได้โปรดปล่อยเด็กคนนั้นไป  เหลียนจิ้งเต๋อไม่สมควรอยู่ที่นี่  และไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่  ต่อให้ไม่มีเด็กคนนั้นข้าก็ยินยอมอยู่ข้างกายท่านไปจนวันตาย  ตั้งแต่แรกมาคนที่ท่านต้องการก็มีแค่ข้ามิใช่หรือ  ปล่อยเด็กคนนั้นไปเถิด” อย่าให้เขาต้องถูกคนตราหน้าว่ามีบิดาเช่นข้า อย่าให้เขาทราบสิ่งที่พวกเราปิดบังเขาไปตลอดกาล  เซี่ยงหยวน ข้าวิงวอนท่าน

ความปวดร้าวในแววตาของเหลียนอันสุ่ยทำให้ฉีเซี่ยงหยวนหายใจไม่ออก ร่างกายสั่นสะท้านจนตัวเองรู้สึกได้  คำวิงวอนที่มั่นคงถึงเพียงนี้  ความโศกเศร้าที่ลึกล้ำถึงเพียงนี้  ทำลายเจ้าของมันไปเท่าไหร่แล้ว  เหมือนสวรรค์กำลังลงทัณฑ์  ฉีเซี่ยงหยวนกลับคิดไปถึงวันที่ตัวเองใช้เหลียนจิ้งเต๋อมาเอารัดเอาเปรียบอีกฝ่าย  ใช่  เขารู้แต่แรกว่าเพื่อเด็กคนนั้นเหลียนอันสุ่ยยินยอมทำทุกอย่าง  เขาใช้วิธีนี้เองครอบครองสิ่งที่แท้จริงไม่ใช่ของเขา  ฉีเซี่ยงหยวนทราบดี ‘สูญเสีย’ สองคำนี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนถ้าเขาอนุญาตออกไป  เหลียนอันสุ่ยจะไม่ยอมพบหน้าบุตรชายอีก  นั่นไม่ต่างอะไรกับการสูญเสียบุตรชายเพียงคนเดียวไปตลอดกาล
ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวขึ้นช้าๆ
“เหลียนอันสุ่ย  ท่านรู้หรือไม่ว่าการเดินไปข้างหน้าให้อยู่ในลู่ทางทั้งๆที่ตัวเองไม่ทราบหนทางเป็นเรื่องยากเย็นเพียงใด  การล้มและลุกขึ้นมาโดยไม่มีคนจับพยุงแต่ละครั้งต้องใช้ความกล้ามากมายแค่ไหน  เด็กคนนั้นเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของท่าน  และท่านก็เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเด็กคนนั้น  เหลียนจิ้งเต๋อเหลือท่านแค่คนเดียว  ท่านเข้าใจว่าเหวินเถียนสามารถแทนที่ท่านได้อย่างนั้นหรือ?  ข้าสามารถตอบท่านได้ว่า ‘ไม่มีทาง’  ตั้งแต่เกิดมาเหลียนจิ้งเต๋อก็ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าไม่เคยมี  ข้าจะไม่ยอมให้เด็กคนนั้นต้องสูญเสียมันไป” กล่าวพลางทรุดตัวลงประคองร่างที่คุกเข่าอยู่กับพื้นขึ้นมา  พึมพำว่า

“อย่าทำแบบนี้  ท่านคนเดียวเท่านั้นที่ข้าไม่ต้องการให้คุกเข่าเบื้องหน้าข้า  ต้องการอะไรก็แค่เอ่ยปากขอมา  ไม่ต้องทำแบบนี้”
แววตาของเหลียนอันสุ่ยสับสนจนสุดระงับ  การยืนขึ้นล้วนพึ่งพาแรงประคองของฝ่ายตรงข้าม  ศีรษะซบลงกับบ่ากว้าง  หลับตาพึมพำด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“ข้าสมควรทำอย่างไรดี  ควรทำอย่างไรดี...” ทำอย่างไรจึงจะไม่ผิดพลาด
---------------------
แววตาของฉีเซี่ยงหยวนสงบเคร่งขรึมขณะเดินออกมา  หากไม่ทันพ้นประตูกลับเจอกับสายตาเกลียดชังที่ลุกวาวคู่หนึ่งของอิ๋งฮวา  ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าหัวหน้าหญิงรับใช้ผู้นี้ชิงชังเขาจับใจ  แต่กลับไม่เคยใช้สายตาเช่นนี้จ้องเขาตรงๆมาก่อน

“ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะท่าน!  ท่านกับผู้หญิงแพศยาคนนั้นดีแต่ทำร้ายนายท่าน  ทั้งๆที่นายของข้าไม่เคยทำอะไรให้พวกท่านแม้แต่น้อย” น้ำเสียงของอิ๋งฮวาชัดถ้อยชัดคำ  ท่าทีอ่อนน้อมที่เคยเป็นตลอดมาสูญหายหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลงขมวดคิ้ว
“หญิงแพศยา?  เจ้าหมายถึง...หลันเซียง?”
“หลันเซียงเป็นเภทภัยที่ท่านก่อขึ้น แต่อาศัยนางหรือจะทำอะไรนายท่านได้  ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านไม่รู้จัก ‘นาง’  ท่านมิใช่สนิทสนมกับเฉินเสียลิ่วล้อของผู้หญิงแพศยาคนนั้นหรอกหรือ  บอกข้ามานะ  พวกท่านรวมหัวกันมาใช่หรือไม่ !”
ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนลุกวาบ  ได้ยินอิ๋งฮวาพูดต่อว่า
“ผู้หญิงคนนั้นจองเวรนายท่านไม่เลิกรา  ครั้งนี้ยุยงจนใต้เท้าเหวินกับนายท่านแตกหักกัน  พรากคุณชายน้อยไปจากนายท่านจนได้  สาสมใจพวกท่านแล้วสินะ  ท่านเป็นต้าอ๋องเข้าใจว่าตัวเองมีอำนาจยิ่งใหญ่มากกระมัง  แต่อำนาจยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่มีทางยิ่งใหญ่ไปกว่าฟ้าดิน  ข้าจะรอดูวันที่พวกท่านถูกฟ้าดินลงทัณฑ์ !”

“เจ้าพูดใหม่อีกครั้งซิ  นางเป็นใคร  ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร” ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนสาดแววอำมหิต  ที่แท้เรื่องนี้มีเบื้องหลัง
อิ๋งฮวาเข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่พอใจที่นางใช้คำว่า ‘หญิงแพศยา’  ความเกลียดชังยิ่งมายิ่งเข้มข้นกว่าเดิม
“เฮอะ  ถึงองค์หญิงจินผิงจะเป็นองค์หญิง  แต่พฤติกรรมของนางแม้แต่อสรพิษยังไม่อำมหิตเท่า  นางไม่คู่ควรแม้แต่จะเป็นคนด้วยซ้ำ!”
“...บางทีนางอาจจะเหมาะจะเป็นผีมากกว่า” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนเหี้ยมเกรียมจนคนฟังสะท้านเยือก  อิ๋งฮวาชะงักไป  ไม่ถูกต้อง  เมื่อครู่ต้าอ๋องที่น่าชังนี่พูดอะไรนะ  เห็นฉีเซี่ยงหยวนที่ตอนแรกทำท่าว่าจะจากไปกลับหาที่นั่งนั่งลงเสียตรงนั้น
“เจ้าต้องบอกข้า  ที่แท้เรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่”
สีหน้าของอิ๋งฮวามึนงง  ลมหายใจกระชั้น  ยามกะทันหันสมองประมวลผลไม่ทัน  นะ นี่  นี่คือ...?
---------------------
“...ที่แท้เรื่องเป็นเช่นนี้” การตัดสินใจของฉีเซี่ยงหยวนยิ่งมายิ่งหนักแน่น  เขาจะไม่ให้เหลียนจิ้งเต๋อกลับแคว้นเด็ดขาด  หากเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความจริง  เหลียนจิ้งเต๋อกลับแคว้นเหลียนโดยไม่มีเหลียนอันสุ่ยเป็นเกราะกำบังเกรงว่าจะมิใช่แค่การพรากจากทั้งๆที่อยู่ในภพชาติเดียวกัน  แต่จะเป็นตายจากไปคนละภพชาติจริงๆ  !

“อันที่จริงมีอีกเรื่องที่แปลกๆ  ต้าอ๋องยังจำเรื่องที่เคยให้ข้าน้อยไปสืบได้หรือไม่  เกี่ยวกับการตายของเหวินจี”
ฉีเซี่ยงหยวนหันไปจ้องหน้าหลิวฉางเฟย  อิ๋งฮวาไม่ได้บอกทั้งหมดที่นางรู้ให้กับเขา  สาเหตุครึ่งหนึ่งเป็นเพราะถูกเจ้านายกำชับไว้  สาเหตุอีกครึ่งหนึ่งเป็นเพราะยังไม่ไว้ใจเขา  เพียงแต่แค่ได้ชื่อมามีหรือฉีเซี่ยงหยวนจะสืบต่อเองไม่ได้

หลิวฉางเฟยรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจังสงบราบเรียบว่า
“มีบันทึกว่านางตายจากโรคประจำตัว  แต่โรคประจำตัวทำไมจู่ๆจึงกำเริบกลับไม่มีบันทึกเอาไว้”
“เจ้าหมายความว่ามีคนจงใจปกปิดเพื่อกลบเกลื่อนบางอย่าง...เป็นไปไม่ได้  ต่อให้องค์หญิงจินผิงในช่วงมีอำนาจมากที่สุดก็ไม่มีทางมากไปกว่าเหลียนอันสุ่ย  อีกอย่างเหลียนอันสุ่ยมีความรู้ทางการแพทย์ไม่มีทางมองสาเหตุไม่ออก  นอกเสียจากว่า...” คนที่ต้องการให้ปกปิดจะเป็นเหลียนอันสุ่ยเสียเอง

ดวงตาสองคู่มองสบกัน  สุดท้ายฉีเซี่ยงหยวนจึงสรุปว่า
“เช่นนั้นการตายของเหวินจีคงมีเบื้องหลังบางอย่าง”
“เรื่องเบื้องหลังข้าน้อยไม่มั่นใจ แต่องค์หญิงจินผิงผูกใจเจ็บแค้นล้ำลึกกับใต้เท้าเหวินและพระมาตุลาโทษว่าว่าเป็นความผิดของคนทั้งสองมาตลอดที่ทำให้นางสูญเสียบุตรชาย  ส่วนพระชายาเหวินจีกลับเป็นคนสำคัญของคนทั้งคู่  ข้าน้อยเกรงว่าสองเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องกัน”
ทุกผู้คนในแคว้นเหลียนล้วนทราบดีถึงข้อบาดหมางระหว่างพระมาตุลากับองค์หญิงจินผิง  สมัยยังมีชีวิตบุตรชายขององค์หญิงจินผิงขึ้นชื่ออย่างมากเรื่องการวางอำนาจบาตรใหญ่  การทุจริตฉ้อโกงยิ่งกระทำอย่างเปิดเผย  ท้าทายอำนาจราชสำนักมาโดยตลอด  หากจะสาวถึงสาเหตุต้องโยงไปถึงสายเลือด  อย่างที่ทุกคนทราบดีเหลียนอ๋ององค์ก่อนคัดมาจากญาติลำดับห่างยิ่งเพราะพระญาติใกล้ชิดล้วนเป็นสตรี  สำหรับสตรีแคว้นเหลียนถือธรรมเนียมว่าแต่งออกไม่แต่งเข้า  ทำให้เหลียนอันสุ่ยที่มีสายเลือดใกล้ชิดเป็นอย่างมากกลับมิได้มีสิทธิ์ในบัลลังก์  บุตรชายขององค์หญิงจินผิงผู้นี้ก็เจอกรณีเช่นเดียวกัน  แม้จะไม่ใกล้ชิดถึงระดับเดียวกับเหลียนอันสุ่ย  แต่ก็ยกตัวเองว่าเหมาะสมจะนั่งอยู่บนบัลลังก์มากกว่าคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์  สุดท้ายกลับถูกเหวินเถียนเปิดโปงตั้งข้อหา  ร่วมมือกับพระมาตุลายัดเชื้อพระวงศ์ผู้จริงๆไม่นับเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้นี้ใส่ตารางไปคราหนึ่ง
 
สมัยนั้นฐานะในแคว้นเหลียนของเหลียนอันสุ่ยแม้ไม่ถึงกับเรียกลมเรียกฝนได้แต่ก็พอดีจะทำให้ไม่เกิดกรณีช่วยคนชั่วพ้นผิด  การคุมขังครั้งนี้จึงทำครบจำนวนวันโดยไม่มีลดหย่อน  อันที่จริงเหลียนอันสุ่ยนับว่าเห็นแก่องค์หญิงจินผิงมากแล้ว  หากขุดทุกความผิดออกมาจริงๆเกรงว่าชั่วชีวิตบุตรชายคนนี้ของนางคงไม่มีวันได้ออกจากคุก  เจตนาของเหลียนอันสุ่ยกับเหวินเถียนคือสั่งสอนคนให้รู้สำนึกเสียบ้าง  น่าเสียดายที่สองปีหลังจากนั้นเกิดโรคระบาด  สภาพเป็นอยู่ในคุกย่อมมิได้ดีนัก  บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนคนนั้นของนางติดโรคระบาดภายในคุกเสียชีวิต  หลังจากนั้นองค์หญิงจินผิงก็ไม่เคยร่วมงานเลี้ยงใดๆที่เกี่ยวข้องกับเหลียนอันสุ่ยหรือตระกูลเหวินอีกเลย  กระทั่งงานแต่งงานของเหลียนอันสุ่ยหรือพิธีแต่งตั้งพระอัครชายาในเหลียนอ๋องนางล้วนไม่เข้าร่วมทั้งสิ้น
“ถ้าตัวการเป็นองค์หญิงอะไรนั่นจริง  เหลียนอันสุ่ยจะปกปิดให้นางทำไม” ฉีเซี่ยงหยวนกังขา
มุมปากของหลิวฉางเฟยคล้ายกับมีรอยยิ้ม  ขณะกล่าว
“ต้าอ๋อง ท่านยังไม่เข้าใจพระมาตุลาผู้นั้นของท่านอีกหรือ”

ฉีเซี่ยงหยวนมุมปากกระตุก  ขณะได้ยินหลิวฉางเฟยกล่าวต่อไปว่า
“เท่าที่สืบย้อนดูองค์หญิงจินผิงแม้จะตอบโต้พระมาตุลาอยู่หลายครั้งแต่ข่าวกลับเงียบอย่างยิ่ง  หลักฐานส่วนใหญ่ที่หลงเหลือมีเพียงจำพวกข่าวลือ  ทำให้ในการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียดครั้งก่อนถึงกับถูกละเลยไป  หากพระมาตุลาไม่ต้องการปิดเงียบหลักฐานจะหลงเหลืออยู่แค่นั้นได้อย่างไร”

สวรรค์   ปกปิดความผิดให้ศัตรู !...ในใต้หล้านี้คงมีเหลียนอันสุ่ยคนเดียว  ไม่แบกรับความรู้สึกผิดซักเรื่องได้หรือไม่  ไม่อภัยให้ผู้คนซักรายรับรองไม่ทำให้ท่านใจกว้างน้อยลงหรอก  มือของฉีเซี่ยงหยวนกำเป็นหมัดแน่น

ส่วนหลิวฉางเฟยที่มองนายเหนือหัวของตัวเองอยู่ห่างๆก็ทำได้เพียงส่งสายตาเห็นใจ  จำได้ว่าฉีเซี่ยงหยวนเคยวิจารณ์ข้อเสียของคู่ชีวิตดีงามไว้มากมาย  ประการหลักๆคือน่าเบื่อหน่ายเกินไป  ต้องใช้ความรับผิดชอบมากมายเกินไป  นี่เรียกว่าไม่ต้องการอย่างไรแทบจะได้อย่างนั้นทั้งสิ้น  แถมคนที่ฉีเซี่ยงหยวนรักปักใจผู้นี้ถึงกับเป็นเทพเจ้าแห่งความดีงามในผู้คนดีงามทั้งปวง  ฉีเซี่ยงหยวนอาจจะยังไม่รู้ตัว  แต่แค่ท่าทีต่อต้านการแต่งตั้งพระชายาหลิวฉางเฟยก็พอจะมองออกแล้วว่าความรับผิดชอบที่ฉีเซี่ยงหยวนตั้งใจจะให้เหลียนอันสุ่ยนั่นถึงขั้นจะทำตัวเป็นบุคคลตัวอย่างเลยทีเดียว  ...บางทีก่อนหน้านี้ฉีเซี่ยงหยวนคงสร้างวีรกรรมด้านความรักมามากเกินไปกระมัง  สวรรค์จึงคิดจะให้เขาชดใช้คืนชนิดทบต้นทบดอก

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 38 .......................................11/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 11-09-2014 18:25:05
 :pig4: นักเขียน ติดตามอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 38 .......................................11/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-09-2014 19:24:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 38 .......................................11/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-09-2014 18:33:26
วางไม่ลงเลยเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 39
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 12-09-2014 19:03:43

บทที่ 39 ความหลังใต้แสงดาว(1)

เพราะเหลียนอันสุ่ยไม่มีศักดิ์ฐานะใดๆในแคว้นเป่ยชาง  ไม่สะดวกจะเคลื่อนไหว  จึงได้แต่ให้หม่าหลงออกไปสืบข่าว  และในที่สุดข่าวที่หวาดกลัวจะได้ยินก็มีมาจริงๆ  ใต้เท้าเหวินขอเข้าเฝ้าเป่ยชางอ๋องเป็นการส่วนพระองค์ !

หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานก็เห็นอยู่แน่ชัดว่าความคิดเห็นของสองคนนี้ไปกันคนละทาง  ฉีเซี่ยงหยวนไม่มีทางรับปากคำขอของท่านพ่อตา  แต่ที่เหลียนอันสุ่ยหวาดกลัวไม่ใช่จุดนั้นแต่เป็นหลังจากนั้นต่างหาก  เพราะรู้จักความดึงดันของเหวินเถียนดี  จะออกปากขอร้องฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่กล้า  ได้แต่ตกลงใจว่าหากเหวินเถียนต้องโทษใดขึ้นมาค่อยหาหนทางแก้ไข
---------------------
หลังถูกปฏิเสธอย่างหนักแน่น  การเจรจาที่เหวินเถียนเตรียมมาเป็นอันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง  โทสะที่อัดอยู่ในอก  ความเกลียดชังของผู้สูญเสียจึงปะทุออกมา  คำเสียดสีล้วนเฉียดไปมาอยู่กับเรื่องของเหลียนอันสุ่ย  แต่ความเกลียดชังกลับก่อรากมาจากการที่ฉีเซี่ยงหยวนเหยียบย่ำแคว้นเหลียน

ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็ทราบแล้วว่านิสัยโผงผางตรงไปตรงมาของเหลียนจิ้งเต๋อลอกแบบมาจากใคร  ในใจสะกดความอดทนเป็นรอบที่สิบขณะฟังเหวินเถียนพูดจาแบบไม่ไว้หน้า ถ้ามิใช่เพราะกลัวเหลียนอันสุ่ยเป็นกังวล  ตาแก่นี่ต้องได้ไปลองนอนในคุกเล่นซักคืนสองคืนแน่นอน 

หลิวฉางเฟยที่รับฟังอยู่ด้านข้างรับฟังจนปาดเหงื่อ  อดรู้สึกเหลือเชื่อที่นายเหนือหัวยังสามารถข่มใจไม่สั่งให้ทหารด้านข้างลากตัวขุนนางสามหาวผู้นี้ไปตัดหัว  เหวินเถียนยังไม่รู้จักฉีเซี่ยงหยวนดีจึงกล้ากระทำเรื่องที่ไม่ว่าขุนนางตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหนในแคว้นเป่ยชางก็ไม่มีวันกล้าคิด  สร้างเป็นประวัติศาสตร์ใหม่ที่หลิวฉางเฟยต้องจดจำไปอีกนาน

เหวินเถียนสั่งสอนคนจนสาแก่ใจ  มองสีหน้าฉีเซี่ยงหยวนที่เขียวคล้ำลงก็ยิ่งสาแก่ใจ  แต่เมื่อมองอีกครากลับไม่แน่ใจเสียแล้ว  ถูกด่าทอต่อหน้าไปถึงเพียงนั้น  เหตุใดยังนิ่งเฉยได้อีก 

ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนมีแววเยียบเย็นแล่นผ่านขึ้นมาเป็นริ้ว ขณะกล่าว
“เจ้าไม่รักศีรษะตัวเองแล้วกระมังจึงกล้ามาพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้า  บุตรบุญธรรมของข้าคนนั้นหากข้าไม่อนุญาตใครก็พาไปไม่ได้!  ถ้าข้าได้ยินเจ้าพูดเรื่องนี้อีกคำหรือกล้ากล่าววาจาล่วงเกินข้าอีกคำ  ความเมตตาที่ข้าเคยมีให้กับแคว้นเหลียนข้าจะพับเก็บไว้”
คนไม่กลัวฟ้าเกรงดินเช่นเหวินเถียนเมื่อเจอคำพูดประโยคนี้ของอีกฝ่ายสุดท้ายก็จำต้องกลืนวาจาสามหาวเหล่านั้นลงไปในท้อง  อย่างน้อยเหวินเถียนก็ยังพอระลึกได้ว่าตัวเองมาในฐานะทูต...แม้จริงๆก่อนหน้านั้นเขาจะมิได้ทำตัวเหมาะสมกับตำแหน่งทูตเลยก็ตาม
---------------------
“ใต้เท้าเหวินเข้าเฝ้าเสร็จสิ้น  เพิ่งออกจากท้องพระโรงมาเมื่อครู่” เสียงของหม่าหลงทำให้เหลียนอันสุ่ยที่นั่งไม่ติดที่มาตั้งแต่เมื่อครู่รีบผุดลุกขึ้นถาม
“...เกิด...เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด  รู้สึกอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกว่าตัวเองปราศจากอำนาจใดอยู่ในมือ  ไม่สามารถควบคุมเรื่องราวใดที่จะเกิดขึ้น
หม่าหลงนิ่งไปอึดใจ  สุดท้ายกล่าว
“...ต้าอ๋องบอกให้ท่านแยกคุณชายน้อยออกจากพ่อตาของท่านบ้าง  นิสัยโผงผางกับฝีปากเหลือร้ายเรียนรู้มากไม่ดีนัก”

เหลียนอันสุ่ยนิ่งอึ้งไปพักใหญ่  สุดท้ายค่อยทรุดกายลงนั่ง  ความรู้สึกเหมือนสายธนูที่ถูกขึงตึงจนล้าในที่สุดก็ผ่อนคลายลง  อยากหัวเราะแต่ความรู้สึกตื้นตันบางอย่างกลับจุกแน่นอยู่ในลำคอ  เป่ยชางอ๋องผู้นั้น...เป่ยชางอ๋องผู้นั้น...
“บอกต้าอ๋องว่าเป็นพระกรุณาอันยิ่งใหญ่  เหลียนอันสุ่ยซาบซึ้งยิ่งแล้ว”
นี่มิใช่ครั้งแรกที่มีคนกระทำเรื่องราวเพื่อเขา  เพียงแต่คนผู้หนึ่งที่เคยอดกลั้นต่อทุกเรื่องราว  เมื่อก้าวขึ้นสู่จุดที่ไม่จำเป็นต้องอดกลั้นต่อสิ่งใดอีกต่อไปกลับอดกลั้นเพราะท่าน  มิใช่เรื่องง่ายดาย 

แววตาของหม่าหลงแปลกประหลาด  พระมาตุลายังไม่ทราบว่าต้าอ๋องไม่เพียงไม่ลงโทษวาจาสามหาวของเหวินเถียน  ยังยินยอมรับฟังจนจบ  โทสะของคนผู้หนึ่งหากอัดแน่นอยู่ในใจ สุดท้ายก็ต้องหาเป้าหมายระบายออกมา  ต้าอ๋องเพียงไม่ต้องการให้เป้าหมายนั้นกลับกลายเป็นบุรุษตรงหน้า
---------------------
คืนนี้ตัวเหลียนอันสุ่ยไม่อยู่ในห้อง  หม่าหลงรายงานว่าพระมาตุลาอยู่ในสวน  หญิงรับใช้ที่ด้านข้างรีบปลดตะเกียงลงมาดวงหนึ่ง  ส่องนำทางอาคันตุกะผู้ยิ่งใหญ่ที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนจุดหมายกะทันหัน

บนทางเดินน้อยสายหนึ่งฉีเซี่ยงหยวนได้พบกับอิ๋งฮวา  ดวงตาที่มีชีวิตชีวาของนางกับชายเสื้อที่กระพือพลิ้วเปลี่ยนบรรยากาศที่เงียบงันวังเวงให้มีสีสันขึ้นไม่น้อย  นางย่อมมิใช่หญิงรับใช้ที่งดงามที่สุด  แต่เป็นหญิงรับใช้ที่จงรักภักดีต่อเหลียนอันสุ่ยอย่างไม่มีผู้ใดเทียบเท่า  ในเมื่ออิ๋งฮวาอยู่ที่นี่  เส้นทางเบื้องหน้าย่อมต้องมีเหลียนอันสุ่ยอยู่แน่นอน

อิ๋งฮวาถือตะเกียงดวงหนึ่ง  ค้อมหัวกล่าวกับฉีเซี่ยงหยวนว่า
“นายท่านต้องการความสงบ  ขอต้าอ๋องตามมาคนเดียว  บ่าวจะนำทางเอง”

ผู้ติดตามคนอื่นๆจึงได้แต่หยุดเท้าอยู่ตรงนั้น  หลิวฉางเฟยกับหม่าหลงหันไปมองหน้ากัน  นายบ่าวคู่นี้วางอำนาจเกินไปแล้ว  เป่ยชางอ๋องศักดิ์ฐานะสูงส่ง  ไม่มีเหตุผลจะต้องเป็นฝ่ายเดินตามหาด้วยตัวเอง...จากนั้นเสียงถอนหายใจสองเสียงก็ดังขึ้นพร้อมกันอย่างจนใจ  ช่างเถอะ  อย่างไรพวกเขาก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
---------------------
ทางเดินทอดยาวไม่สิ้นสุด  แสงโคมที่นำอยู่เบื้องหน้ากับตะเกียงเล็กๆตามรายทางวูบไหวแช่มช้าราวกำลังนำพาเรื่องราวไปสู่อดีต  ฉีเซี่ยงหยวนหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา 
       ตะเกียงเล็กดวงที่หนึ่ง เหลียนอันสุ่ยที่วางท่าทีต่อต้านเขา 
       ตะเกียงเล็กดวงที่สอง เหลียนอันสุ่ยที่หัวเราะเบื้องหน้าเขา
       ตะเกียงเล็กดวงที่สาม เหลียนอันสุ่ยที่คุกเข่าให้กับเขา...

“นายท่านของเจ้าเป็นเช่นนี้เสมอเลยหรือ  ไม่ว่าใครทำผิดใดต่อเขาล้วนไม่เก็บเอามาใส่ใจ”
อิ๋งฮวาชะงักไปกับคำถามที่จู่ๆ ก็ถามขึ้นมา  สุดท้ายตอบว่า
“นายท่าน...ชมชอบให้โอกาสผู้อื่น” ให้โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลง
ฉีเซี่ยงหยวนเหยียดปากส่ายหน้าเบาๆ พลางกล่าว
“ให้โอกาสผู้อื่น  แต่ไม่ให้โอกาสตัวเอง”
อิ๋งฮวาสะอึก เถียงไม่ออก  นางไม่เคยยินยอมให้ผู้อื่นกล่าวว่านายท่านแต่คราวนี้...ฉีเซี่ยงหยวนพูดถูก  ได้ยินอีกฝ่ายกล่าววาจาต่อไปว่า
“เหลียนอันสุ่ยเองก็เป็นคน  ในเมื่อเป็นคนก็ทำผิดพลาดได้ทั้งนั้น  จะแบกรับความรู้สึกผิดมากมายขนาดนั้นไปทำไม”
“อ้อ  หรือไม่ต้องรู้สึกผิดอันใดเลยเช่นท่านจึงจะดี” อิ๋งฮวาอดไม่ได้ต้องเหน็บแนม

“บังอาจ” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าว  แต่น้ำเสียงไม่มีวี่แววของโทสะ  ดวงตาไม่ได้ให้ความสนใจอิ๋งฮวา  เพียงทอดมองเส้นทางเบื้องหน้า  ทราบว่าอิ๋งฮวาจงใจพาเขาเดินอ้อมเป็นวงใหญ่  และก็ทราบด้วยว่าเส้นทางนี้จะไปบรรจบลงตรงไหน  ความจริงตั้งแต่หม่าหลงรายงานว่าพระมาตุลาอยู่ในสวน  ฉีเซี่ยงหยวนก็ทราบแล้วว่าเหลียนอันสุ่ยอยู่กับ...เหวินจี  ใกล้แล้วสินะ  วันครบรอบวันตายของนาง
“นายหญิงของเจ้าตายเพราะองค์หญิงจินผิงใช่หรือไม่”
อิ๋งฮวาเบิกตากว้าง
“ท่านไปเอา...ไปเอาเรื่องเช่นนี้มาจากที่ใด” สีหน้าของอิ๋งฮวาสับสนงงงวยอย่างเห็นได้ชัด  หรือกระทั่งนางก็ไม่ทราบ  หรือเหวินจีป่วยตายจากโรคภัยจริงๆ ? 
“ถ้าไม่ใช่  แล้วนายหญิงของเจ้าตายได้อย่างไร”
“ตั้งแต่นายหญิงคลอดคุณชายน้อยสุขภาพก็ไม่ดี  พอโรคเก่ากำเริบก็เลย...ก็เลย...” ประโยคตอนท้ายกลืนหายไปในลำคอ  สีหน้าเผือดขาว  เท้าหยุดชะงักไปโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าเจ้าหวังดีต่อพระมาตุลาจริง  ทราบอะไรก็พูดออกมา  องค์หญิงจินผิงผู้นี้เลือดเย็นอำมหิต  ไม่มีทางยอมรามือง่ายๆ  เจ้าอาจไม่ไว้ใจข้า  แต่ขอให้รู้ว่าข้าไม่ยอมให้เหลียนอันสุ่ยเป็นอะไรไปเด็ดขาด”

ดวงตาของอิ๋งฮวาเหลือบมองอีกฝ่าย  คิ้วขมวดนิ่ว  ใคร่ครวญอยู่พักใหญ่จึงตัดใจเอ่ย
“วันที่นายหญิงจากไป  นางมีไปพบองค์หญิงจินผิงครั้งหนึ่ง  นายหญิงหวังมาตลอดว่าจะสามารถคลี่คลายความแค้นที่องค์หญิงมีต่อนายท่าน  สลายความรู้สึกผิดที่นายท่านแบกรับไว้  แต่บ่าวยืนยันได้ว่านายหญิงไม่ได้ตายจากยาพิษ  หมอหลวงเป็นคนวินิจฉัยเอง  ไม่ผิดพลาดเด็ดขาด” นางไม่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนต้องการทราบเรื่องราวเหล่านี้ไปทำอะไร  แต่นางยินดีจะเดิมพัน  เพราะลึกๆอิ๋งฮวามองเห็นมานานแล้วว่าระหว่างต้าอ๋องผู้นี้กับนายท่านของนางคล้ายมีสายสัมพันธ์บางประการเชื่อมโยงกันอยู่
---------------------
ต้นท้อยังคงอยู่  แต่คนไม่อยู่แล้ว  ขวบปีที่เพิ่มขึ้นของเหลียนจิ้งเต๋อคอยย้ำกับเขาอยู่เสมอว่าเรื่องราวเหล่านั้นผ่านมานานแค่ไหน  อีกไม่กี่วันจะเป็นวันครบรอบวันตายของเหวินจี  การจัดเตรียมทุกประการเรียบร้อยแล้ว  แต่สำหรับเหลียนอันสุ่ยไม่ว่าจะกระทำอันใดล้วนไม่สามารถชดเชยสิ่งที่เหวินจีต้องสูญเสียไปเพราะเขา

ทุกอย่างยังกระจ่างชัดถึงเพียงนั้น  ภาพเหวินจีที่มองเขาอย่างเอียงอายในวันแรกที่พบกัน  ภาพเหวินจีที่แย้มยิ้มให้กับเขาอย่างอ่อนเพลียขณะส่งของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดให้กับมือบอกว่านางตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่าเหลียนจิ้งเต๋อ  นางปักผ้าไม่เก่งแต่อุตส่าห์ไปเรียนกับเยี่ยนจื่ออยู่ช่วงใหญ่เพื่อจะปักปลอกหมอนให้กับเขา  นางรักเขาถึงเพียงนั้น  รักอย่างจริงใจ  แต่สุดท้ายกระทั่งหัวใจ  เขาก็ไม่ได้มอบมันให้นาง...

เหลียนอันสุ่ยหัวเราะอย่างขมขื่น  หากไม่มีฉีเซี่ยงหยวนเขาจะไม่มีวันได้รู้เลย  หากไม่รู้ความจริงข้อนี้จะดีแค่ไหนกันหนอ  เหวินเถียนพูดถูกทุกอย่าง  เขาไม่คู่ควรกับนางแม้แต่น้อย  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ชอบให้เขามองต้นท้อ  คนผู้นั้น...เป่ยชางอ๋องผู้นั้น...เขากลับไม่มีปัญญาลืมเลือนไปจากใจ  เวลาเหวินจียิ้มแย้มกับผู้อื่นเขาเพียงมีความสุขที่เห็นนางยินดี  แต่เวลาฉีเซี่ยงหยวนยิ้มแย้มกับผู้อื่นเขากลับเจ็บปวดใจ  ทำไมต้องเป็นเช่นนี้ ?

เหลียนอันสุ่ยห่อตัวลง  ลมฤดูเหมันต์ในแคว้นเป่ยชางสะกดจนเขาขยับตัวไม่ได้  อีกไม่นานคงมีหิมะ  หิมะที่หนาวเหน็บเหมือนหัวใจของเขาในคืนที่นางจากไป  ฝันร้ายที่เคี่ยวกรำมานานปีก็ผุดขึ้นมาทีละฉาก...ปกป้องเอาไว้ไม่ได้ 

เหวินจีจากไปในอ้อมแขนของเขา  จากไปโดยเขาไม่มีปัญญาฉุดรั้งไว้  เข้าใจในตอนนั้นว่าอะไรคือไร้ความสามารถ  ความรู้ที่เขามียังคงไม่เพียงพอ  การระแวดระวังป้องกันที่เขามียังคงไม่เพียงพอ  เหลียนอันสุ่ยจำได้ว่านางร้องไห้  นางแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ร้องไห้ด้วยซ้ำแต่กลับฝืนยื่นมือมาปิดตาเขาไว้พึมพำว่า ‘อย่ามอง’  คำพูดไม่เป็นประโยคจากลมหายใจขาดเป็นห้วง  นางไม่อยากให้เขาเห็นสภาพย่ำแย่สุดทนดูของนาง  นางเพียงต้องการให้เขาจดจำภาพที่นางงดงามที่สุด  จนนาทีสุดท้ายนางยังคงรักสวยรักงามอยู่ดีนั่นเอง  จากนั้นเด็กสาวที่รักสวยรักงามเรียบร้อยเอียงอายผู้นั้นก็จากไปตลอดกาล

มีคนน้อยมากที่ทราบว่าเหวินจีแพ้อาหารทะเลอย่างรุนแรง  โชคดีที่แคว้นเหลียนห่างไกลทะเลจึงไม่ค่อยมีคนนำอาหารทะเลเข้ามาขายและไม่นิยมรับประทาน    เหลียนอันสุ่ยไม่ทราบว่าองค์หญิงจินผิงทราบความลับนี้ได้อย่างไร  แต่อาหารมื้อนั้นของนางกลับมีอาหารทะเล  เหวินจีรับไมตรีเพื่อหวังให้ตัวเขาฟื้นฟูความสัมพันธ์กับองค์หญิงจินผิง  หาทราบไม่ว่าอาหารมื้อนั้นกลับคร่าชีวิตของนางไป  หลังคลอดร่างกายของเหวินจีก็ไม่แข็งแรง  เจอสิ่งที่ไม่ต่างกับยาพิษสำหรับนางเข้าไปก็ทนทานไม่ไหวต้องจากไปอย่างทุกข์ทรมาน 

หลังการตายของเหวินจีตัวเขาที่เคยแยกขาวดำออกจากกันอย่างชัดเจนก็เปลี่ยนเป็นสุขุมเยือกเย็นขึ้น  ไตร่ตรองละเอียดรอบคอบมากขึ้น  ผู้คนมักบอกว่าหลังผ่านความสูญเสียผู้คนจะเติบโต  โลกในสายตาของเขาเปลี่ยนไปมากมาย  ความแค้นในสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปมากมาย  ความผิดพลาดทำให้คนเราปรับปรุงตัวเอง 

กล่าวถึงที่สุดวิธีการที่เขาใช้จัดการกับบุตรชายขององค์หญิงจินผิงก็ออกจะขาดความละมุนละม่อมไปบ้าง  ตัวเขาในตอนนั้นยอมหักไม่ยอมงอ  ลืมเลือนไปว่าต่อให้องค์หญิงจินผิงให้ท้ายบุตรชาย  เลี้ยงดูตามใจ  แต่ความห่วงใยของนางก็เป็นความรักที่แม่มีต่อลูก บริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ ไม่อาจดูแคลนได้  อย่างน้อยตอนนั้นถ้าเขาอนุญาตให้หมอหลวงไปคอยดูแลอาการบุตรชายของนางตามที่นางร้องขอ  ความสูญเสียทั้งหมดก็อาจไม่เกิดขึ้น...

อดีตทยอยพรั่งพรู ดูราวกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากสายหนึ่ง  ไม่มีปัญญาหยุดยั้งได้  เหลียนอันสุ่ยเพียงหวังว่าการเผชิญหน้ากับอดีตในคราวนี้จะทำให้ตัวเขาสามารถกระจ่างชัดกับตัวเอง  ว่าที่แท้สมควรกระทำอย่างไร
---------------------
โคมดวงน้อยพยายามต้านความมืดมิดที่สาดเทลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบน  คนต้านทานความหนาวเหน็บเพียงเดียวดาย  หวังเชียนซ่อนตัวอยู่ในเงามืดตรงปากทาง ขับเน้นความเดียวดายของเหลียนอันสุ่ยใต้แสงดาวกระจ่าง  บรรยากาศเงียบงันจนคล้ายเวลาสามารถหยุดนิ่งและไหลผ่านไปเช่นนั้นชั่วนิจนิรันดร์

ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจว่าหวังเชียนล่าถอยออกไปแล้วหรือยังและมิได้ใส่ใจว่าอิ๋งฮวายังคงเดินตามมาหรือไม่  มองร่างสูงโปร่งที่ห่อเข้าหากันเล็กน้อย แล้วจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกคลุมลงบนบ่าที่ชมชอบแบกรับเรื่องราวมากมายคู่นั้น
เสื้อคลุมหนาหนักที่คลุมลงมาสะกิดให้เหลียนอันสุ่ยรู้สึกตัว  กลิ่นของผ้าที่ผ่านการซักล้างอย่างพิถีพิถันเจือกลิ่นของผู้เป็นเจ้าของ  เสื้อตัวนี้...เขารับไว้ไม่ได้

“ไม่ต้องถอด  ข้าชินกับความหนาวเย็นแต่ท่านไม่ใช่” คำพูดดักคอถูกกล่าวออกมาก่อนที่เหลียนอันสุ่ยจะทันมีปฏิกิริยาใด  สายตาของฉีเซี่ยงหยวนจับนิ่งอยู่ที่ต้นท้อ  มือทั้งสองข้างไพล่หลัง  เนิ่นนานจึงถามขึ้นว่า
“ท่านคิดถึงนาง ?”
“...อืมม์” เหลียนอันสุ่ยรับเบาๆ ดวงตามองแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่าย  อดมิได้ต้องถามตัวเองแผ่วเบา  คิดถึงนางหรือคิดถึงผู้อื่น ?
จู่ๆ ฉีเซี่ยงหยวนก็หันกลับมา  สบตาอีกฝ่ายพลางถาม
“ท่านรักนางขนาดนี้  เหตุใดยังปล่อยองค์หญิงจินผิงไว้ ? ”
คำถามนี้ทำให้เหลียนอันสุ่ยสะท้านไปเฮือกหนึ่ง  เบิกตากว้าง  อึ้งไปนานจึงเอ่ย
“...ท่านพูดเรื่องอันใด” การปกปิดนี้ทำได้ไม่แนบเนียนเลย  ท่าทีของเหลียนอันสุ่ยตอบฉีเซี่ยงหยวนไปแต่แรกว่าหลิวฉางเฟยคาดเดาไม่ผิด  การตายของเหวินจีเกี่ยวพันกับองค์หญิงจินผิงจริงๆ
เสียงของฉีเซี่ยงหยวนไม่ดัง  แต่ในสวนที่ไม่มีผู้อื่นกล่าววาจากลับชัดเจนไม่น้อย  ทำให้อิ๋งฮวากับหวังเชียนที่กำลังเดินห่างไปอีกด้านชะงักเท้าลงทั้งคู่
คำถามของฉีเซี่ยงหยวนยังคงไม่หมดสิ้น
“การกระทำของคนเราล้วนมีเหตุผลเป็นของตนเอง  เหลียนอันสุ่ย  เหตุผลของท่านคืออะไร”
“...สายของท่านคือใครกันแน่” เหตุใดกระทั่งเรื่องเมื่อสิบสองปีก่อน...ความรู้สึกตื่นตระหนกค่อยๆครอบงำเหลียนอันสุ่ยอย่างแช่มช้า
“เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางลบหายไปได้อย่างหมดจด”
“ท่านรู้...ทุกเรื่อง ?” สายของแคว้นเป่ยชางในแคว้นเหลียนที่แท้มีจำนวนมากมายขนาดไหน !
“ข้ารู้เรื่องที่ข้าต้องการรู้” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ

เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจแรง  มองใบหน้าที่ก้มต่ำลงมา    ลืมเลือนไปได้อย่างไรว่าเบื้องหน้าเขาคือบุรุษที่มีอิทธิพลล้นฟ้า  ลืมเลือนไปได้อย่างไรว่าคนผู้นี้อันตรายแค่ไหน  รู้สึกราวถูกจับจ้องทุกฝีก้าวด้วยสายตาคู่หนึ่งซึ่งมองเห็นทุกสิ่ง  หัวใจย้ำกระชั้น ความกลัวคลี่ปีกโผเข้ามาประชิด 
ถลำลึกลงไปได้อย่างไรกับคนที่น่ากลัวขนาดนี้  ความหวาดกลัวครั้งเก่าความหวาดหวั่นครั้งใหม่ผสมปนเปจนเหลียนอันสุ่ยพูดไม่ออก
“มือท่านเย็นหมดแล้ว” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวพลางใช้สองมือใหญ่กอบกุมมือเรียวยาวทั้งสองข้างไว้  สายตามองปลายนิ้วสั่นระริกที่ซีดขาวจนเขียวพลางส่ายหน้าเบาๆอย่างระอา  ต้องเตือนอีกกี่คราท่านจึงรู้จักดูแลตัวเองบ้าง
ความอบอุ่นที่ปลายนิ้วสลายความหวาดกลัวไปช้าๆ  หวนนึกถึงเรื่องของเหวินเถียนเมื่อเช้า  บางทีคงไม่เหมือนกัน...ไม่เหมือนกัน
“คำถามของข้าตอบยากนักหรือ ? ” ฉีเซี่ยงหยวนยิ้มเล็กน้อย  ท่าทีไม่มีแววบีบคั้นบังคับ
เหลียนอันสุ่ยหลบสายตา  กล่าว
“ท่านเก่งกาจขนาดนี้เหตุใดไม่ไปสืบเอาเอง” จากนั้นถอนหายใจยาว  มือที่กอบกุมมือเขาคู่นั้นให้ความรู้สึกเหมือนไม่มีทางหนีพ้น...อันที่จริงคนเราหรือจะสามารถหนีจากอดีตของตัวเอง “...ความแค้นไม่ก่อให้เกิดอันใดนอกจากความสูญเสีย  แต่สาเหตุที่ข้าปกปิดเรื่องขององค์หญิงจินผิงมิใช่เพื่อปกป้องนาง  แต่เป็น 227 ชีวิตในสกุลเหอ  ข้าไม่อาจทนเห็นอวี้เฉียนโหดเหี้ยมไปมากกว่านี้อีกแล้ว”

รอยยิ้มของฉีเซี่ยงหยวนสลายไป  ที่องค์หญิงจินผิงแต่งเข้าคือสกุลเหอ   227 ชีวิตคือไม่ละเว้นบ่าวไพร่  คิดไม่ถึงคำตอบของเหลียนอันสุ่ยกลับเป็น...อวี้เฉียน ขุนพลแคว้นเหลียนคนนั้น 
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 40
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 12-09-2014 19:46:47

บทที่ 40 ความหลังใต้แสงดาว(2)

“...ความแค้นไม่ก่อให้เกิดอันใดนอกจากความสูญเสีย  แต่สาเหตุที่ข้าปกปิดเรื่องขององค์หญิงจินผิงมิใช่เพื่อปกป้องนาง  แต่เป็น 227 ชีวิตในสกุลเหอ  ข้าไม่อาจทนเห็นอวี้เฉียนโหดเหี้ยมไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
รอยยิ้มของฉีเซี่ยงหยวนสลายไป  ที่องค์หญิงจินผิงแต่งเข้าคือสกุลเหอ   227 ชีวิตคือไม่ละเว้นบ่าวไพร่  คิดไม่ถึงคำตอบของเหลียนอันสุ่ยกลับเป็น...อวี้เฉียน ขุนพลแคว้นเหลียนคนนั้น

เหลียนอันสุ่ยยังคงพูดต่อไปราวไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย  บางทีในสายตาของพระมาตุลาแคว้นเหลียนสิ่งที่เขามองเห็นในขณะนี้มีเพียงอดีตเมื่อหลายปีก่อน
“ข้ารู้จักอวี้เฉียนตั้งแต่เขาเริ่มรับใช้กองทัพ  เขาก้าวหน้ารวดเร็วเหลือเกิน  โหดเหี้ยมอำมหิตมากขึ้นทุกที  ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงฝังใจในตัวข้าอย่างลึกล้ำ  ยังดีที่อวี้เฉียนเคารพเหวินจี  จึงไม่เคยสร้างความลำบากใจให้พวกเรามาก่อน  แต่ใครที่กล้าล่วงเกินข้าไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหนบทสรุปกลับน่ากลัวนัก  หลังจากเหวินจีตายไปข้างกายข้าก็ว่างเปล่ามาโดยตลอด  ผู้คนเข้าใจว่าข้าตัดรักเดิมไม่ขาด  ก็ถูก  ข้าไม่ต้องการแต่งงานใหม่  และแต่งงานใหม่ไม่ได้ด้วย”
เพราะอวี้เฉียนไม่มีทางยินยอมให้มันเกิดขึ้น...ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจแล้ว  อวี้เฉียนไม่กล้าแตะต้องเหลียนอันสุ่ย  แต่ก็กันไว้เป็นของๆเขาคนเดียว  ส่วนเรื่องที่อวี้เฉียนรู้จักเหลียนอันสุ่ยมานานปีฉีเซี่ยงหยวนพอรู้มาก่อนแล้ว  ฟังว่าตำแหน่งแรกของอวี้เฉียนเหลียนอันสุ่ยเป็นผู้ออกปากให้กับเขา

“ท่านดูถูกข้าใช่หรือไม่ ที่ไม่ยอมปฏิเสธให้เด็ดขาด  ข้ายอมรับว่าข้าไม่กล้า  หลังมีอำนาจอวี้เฉียนแม้ไม่ฟังใคร แต่ยังพอฟังข้าอยู่บ้าง  ข้าไม่อาจเสี่ยงให้อวี้เฉียนกลายเป็นไม่ฟังผู้ใดไปจริงๆ  ไม่เช่นนั้นแคว้นเหลียน... ” พูดถึงแค่นั้นเหลียนอันสุ่ยก็ไม่อาจพูดต่อ
“ท่าทีที่ท่านมีต่อเขาจึงคล้ายมีเยื่อใยคล้ายไร้เยื่อใยมาโดยตลอด?” ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนมีแววที่อ่านไม่ออกขณะกล่าวประโยคนี้  เหลียนอันสุ่ยไม่เคยเอ่ยถึงอวี้เฉียนให้เขาได้ยิน  แต่ในค่ำคืนนี้อดีตกลับคล้ายหวนคืนมาทั้งหมด   
เหลียนอันสุ่ยพยักหน้ารับเงียบๆ
ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจ
“คิดไม่ถึงเขารักท่านปานนี้  สุดท้ายกลับกลายเป็นทำร้ายท่าน” รู้สึกถึงมือสั่นสะท้านในอุ้งมือ  มือใหญ่จึงกุมกระชับแน่นเข้า
ดวงตาคู่งามของเหลียนอันสุ่ยมองใบหน้าคมคายใต้แสงดาวที่สงบสุขุม โดดเด่นทรงอำนาจ  สุดท้ายยิ้มบางๆ ส่ายหน้าช้าๆ กล่าวว่า
“ความรักที่เขามีให้ข้า  ที่ทำร้ายมีเพียงตัวเขาเอง...ท่านเข้าใจว่าอวี้เฉียนจงใจมาหาที่ตายในวังหลวงจริงๆหรือ ?” ไม่ทันที่ฉีเซี่ยงหยวนจะตอบคำเหลียนอันสุ่ยก็กล่าวต่อ “เขาเข้าวังมาพบข้า  ความจริงเขาสามารถหลบหนีจากไป  แต่เป็นข้าที่รั้งเขาไว้”
ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนเบิกกว้าง  มองเหลียนอันสุ่ยคล้ายไม่เคยเห็นคนตรงหน้ามาก่อน  พูดอันใดไม่ออก
เหลียนอันสุ่ยยังคงกล่าวต่อ
 “ท่านอย่าได้เข้าใจว่าข้าเป็นคนดี  ข้าเพียงมีวิธีการของข้าเท่านั้น” กล่าวพลางถอดเสื้อคลุมของอีกฝ่ายออกจากบ่า  วางพาดไว้บนโต๊ะหิน  คล้ายคิดจากไปแล้ว

ความคิดของฉีเซี่ยงหยวนวิ่งวนไม่หยุด  มิน่าเล่า เขาถึงสามารถจับตัวอวี้เฉียนได้อย่างง่ายดาย  จำได้ว่ากระทั่งตัวเขาเองยังนึกไม่ถึงว่าเส้นทางที่อวี้เฉียนจะไปไม่ใช่หลบหนีออกนอกเมืองเพื่อซ่องสุมกำลังรอกลับมาใหม่  แต่เป็นหาที่ตายในวังหลวง  เหลียนอันสุ่ยเคยบอกเขาว่าเกลียดสงครามและหมายความตามนั้นทุกประการ !

“...เช่นนั้นข้าก็สมควรขอบคุณท่านที่ช่วยลดทอนเรื่องยุ่งยากไปมากหลาย” ไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายจากไป  สองมือดึงรั้งร่างสูงโปร่งมาข้างกาย  ฉีเซี่ยงหยวนทรุดกายลงนั่ง  บังคับโอบกอดร่างสั่นสะท้านที่ไม่ทราบเป็นเพราะหนาวของอากาศภายนอกหรือเย็นเยือกจากความอ้างว้างภายในใจ  เหลียนอันสุ่ยกำลังขัดขืนเขา  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับมีความรู้สึกว่าเหลียนอันสุ่ยในตอนนี้เปราะบางยิ่งกว่าช่วงเวลาใดๆ 

ท่าทีขัดขืนของเหลียนอันสุ่ยสงบลงช้าๆ  กล่าวคำพูดที่ไม่ว่าใครก็ไม่สมควรกล่าวออกมาตรงๆ
“ข้ายืมมืออวี้เฉียนเพื่อจัดระเบียบราชสำนักแคว้นเหลียน  ข้าบอกเขาว่าข้าต้องการให้เขามาพาข้าไปเพื่อจะส่งเขาไปตาย  ต้าอ๋องท่านไม่กลัวข้าจะใช้ประโยชน์จากท่านหรือ ? ”
ริมฝีปากของฉีเซี่ยงหยวนกลับขบลงบนซอกคอละเอียด  กล่าวว่า
“คิดจะใช้ประโยชน์จากข้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน...”

ริมฝีปากที่ประกบแนบกับผิวกายเริ่มต้นเนิบช้า แต่ยิ่งมายิ่งดูดดื่ม  เหลียนอันสุ่ยหอบหายใจ  สติและความรู้สึกต่อต้านคล้ายถูกจุมพิตนี้สูบหายไป  มือใหญ่ของฉีเซี่ยงหยวนเชยคางอีกฝ่ายขึ้นมาสบสายตากับเขา  เอ่ยอย่างจริงจังว่า
“และถ้าข้าก้าวไปถึงขั้นเลวร้ายจนท่านคิดกำจัดทิ้ง ก็กำจัดเถอะ” สายตาของฉีเซี่ยงหยวนไม่มีวี่แววหวาดกลัว  แต่คนที่หวาดกลัวกลับกลายเป็นเหลียนอันสุ่ย
“ต้าอ๋อง  ท่านอย่าเดิมพันเช่นนี้กับข้า  เพราะข้าทำได้อย่างแน่นอน” ไม่ว่าข้าจะรักท่านหรือไม่  ข้าก็ทำได้อย่างแน่นอน !
แววตาของฉีเซี่ยงหยวนมีรอยยิ้ม  มุมปากก็มีรอยยิ้ม  ถอนหายใจพลางกล่าว
“ข้าทราบว่าท่านทำได้  คนใจแข็งเช่นท่านข้านับว่าจนปัญญาแล้วจริงๆ...ผู้อื่นบอกว่าท่านนุ่มนวลยิ่งกว่าสายน้ำ  ข้ากลับไม่เคยเห็นใครใจแข็งเท่าท่านมาก่อน  ท่านหลอกใช้อวี้เฉียน  ท่านเจ็บปวดเพราะท่านหลอกใช้อวี้เฉียน  แต่ท่านก็ยังคงหลอกใช้อวี้เฉียน  ข้ารักท่านขนาดนี้  ปิดประตูไม่พบหน้าท่านยังทำได้ลงคอ  เพียงแค่สองประการนี้ผู้อื่นก็นับว่าทำไม่ได้แล้ว”

เหลียนอันสุ่ยนิ่งอึ้ง  ตอนแรกฟังดูเป็นเหตุเป็นผลดี  เหตุใดตอนท้าย...  เป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยนึกอยากตะโกนบางประโยคออกมาดังๆ
ที่ผู้อื่นปิดประตูใส่ท่านไม่ได้ก็เพราะว่าท่านมีอำนาจล้นฟ้าอย่างไรเล่า !

ฉีเซี่ยงหยวนเห็นสีหน้าที่คล้ายอยากพูดอะไรแต่พูดไม่ออกของอีกฝ่ายก็หัวเราะเบาๆ  หยิบเสื้อคลุมซึ่งเหลียนอันสุ่ยวางพาดไว้กับโต๊ะขึ้นมาห่ม  เหลียนอันสุ่ยที่ถูกท่อนแขนแข็งแรงข้างซ้ายโอบเอวไว้จึงพลอยถูกห่มไปด้วย  จัดการเสร็จเรียบร้อยฉีเซี่ยงหยวนจึงกล่าวว่า
“ข้าไม่รับปากท่านว่าข้าจะไม่ใช้วิธีการของอวี้เฉียนมาจัดการองค์หญิงจินผิง  นางทำร้ายท่านมาหลายครั้งเกินไป  ซ้ำยังกล้าใช้ข้าเป็นเครื่องมือ  บุคคลเช่นนี้สมควรเจอดีเสียบ้าง” สัมผัสของฉีเซี่ยงหยวนยังคงอ่อนโยน  แต่น้ำเสียงที่ใช้พูดกลับชวนหนาวเหน็บยิ่งกว่าบรรยากาศรอบด้าน 
“...ใช้ท่านเป็นเครื่องมือ ?”
“เฉินเสีย” คำตอบที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีความใดต่อท้าย กลับทำให้เหลียนอันสุ่ยก้มหน้าลง พึมพำ
“ที่แท้เรื่องนี้ท่านก็คาดเดาออกแล้ว...” ว่าที่เราเจอกันแท้จริงมิใช่เพราะเฉินเสีย

ฉีเซี่ยงหยวนแนบริมฝีปากเบาๆลงบนหน้าผากเนียน  ดวงตาเจือแววรักเวทนา  ความเคียดแค้นขององค์หญิงจินผิง  ความโฉดเขลาของเฉินเสีย  กลับมอบหยกที่งามละเอียดชิ้นนี้ให้กับเขา  ชะตาในใต้หล้ายากหยั่งคาดได้อย่างแท้จริง
“เซี่ยงหยวน  ข้าเหนื่อยกับความแค้นรายนี้เหลือเกิน  เลิกแล้วต่อกันไม่ดีหรือ  อย่างไรนางก็ไม่มีหนทางทำอะไรในแคว้นเป่ยชางได้อีก  ไม่จำเป็นต้องจัดการแทนข้าหรอก”
“มาอีกแล้ว  เหวินจี เหวินเถียน  เหลียนจิ้งเต๋อ ตัวท่านเอง  นางทำร้ายมาครบทุกคนแล้วท่านยังจะขอร้องให้นางอีก”
ฟังแล้วดวงตาของเหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป  สุดท้ายถอนหายใจออกมา กล่าว
“ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นข้าที่ทำร้ายบุตรชายของนาง  ลากนางเข้าสู่บ่วงแค้นที่สลัดไม่หลุดรายนี้...”
ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวอย่างจริงจังว่า
“ท่านอยากช่วยนาง  แต่ปล่อยให้นางทำร้ายคนต่อไปก็ไม่มีทางมีอะไรดีขึ้น  ข้าเข้าใจท่าน  สำหรับท่านความผิดครั้งหนึ่งต้องแบกรับชั่วชีวิต  เพราะท่านทำลายที่พึ่งในยามแก่เฒ่าของนางไป  เปลี่ยนชะตาของนางไปทั้งชีวิต  แต่การแบกรับไม่จำเป็นต้องทำด้วยวิธีนี้  ขอเพียงใจท่านไม่ลืมเลือน สำหรับข้านั่นเพียงพอแล้ว  การชดใช้ทำพอสมควร  หากทำมากไปสุดท้ายท่านจะติดค้างผู้อื่นอีก”  เหมือนเช่นคราวนี้ที่ท่านเกือบติดค้างเหลียนจิ้งเต๋อ  เขาไม่เกี่ยวข้อง  ท่านอาศัยอะไรผลักไสเขาไปจากบิดา  ข้าไม่อยากให้สุดท้ายท่านต้องมานึกเสียใจในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป

เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วจมลงในภวังค์ครุ่นคิด  ขณะที่ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวต่อ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“อันที่จริงตั้งแต่ตอนท่านสูญเสียเหวินจีหนี้ที่ท่านติดค้างองค์หญิงจินผิงเท่ากับชดใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว  เรื่องที่นางใช้ข้าเป็นเครื่องมือ  ถือว่าข้ายกให้เพราะมันทำให้ข้าได้พบกับท่าน  แต่สำหรับเรื่องบุตรบุญธรรมของข้าคราวนี้นางนับว่าประกาศตัวเป็นศัตรูกับข้าชัดๆ  ดีที่ยังคงกระทำไม่สำเร็จ  เพียงทำร้ายท่านจนเจ็บปวดสาหัส  ก็ได้ ถือว่าท่านไม่ถือสา  บวกกับนางเป็นผู้หญิง  เป็นญาติท่าน  เป็นแม่ม่ายสูญเสียบุตรชาย คราวนี้ข้าจะแค่ส่งคำเตือนไปให้ก่อน  ถ้ายังมีครั้งหน้าอย่าได้โทษว่าข้าไม่ยั้งมือไว้ไมตรี !”
ฉีเซี่ยงหยวนแบ่งแยกบุญคุณความแค้นกระจ่างชัด  ครั้งนี้ที่เขายอมยั้งมือเพียงไม่ต้องการให้เหลียนอันสุ่ยยึดถือเขาเป็นเช่นเดียวกับอวี้เฉียน  ความโหดเหี้ยมของอวี้เฉียนทิ้งเงาไว้ในจิตใจของพระมาตุลาผู้นี้สาหัสนัก  แต่มิได้หมายความว่าฉีเซี่ยงหยวนยอมรามือ  เพราะฉีเซี่ยงหยวนมั่นใจ องค์หญิงจินผิงไม่มีทางยอมจบแน่  และคราวหน้าเหลียนอันสุ่ยก็จะไม่สามารถออกปากให้กับนางอีกแล้ว  ดวงตาคมกริบหลุบต่ำซ่อนประกายอันน่ากลัวที่ผุดขึ้นมาวูบหนึ่ง 

ฝ่ายเหลียนอันสุ่ยดวงตาปรากฏแววโล่งใจ  ความรู้สึกราวกับมีปมที่ขมวดแน่นในใจสลายคลายไปไม่น้อย  กล่าวไปกล่าวมาฉีเซี่ยงหยวนยังคงไม่ทำอะไรรุนแรง  องค์หญิงจินผิงกับเขาแม้เจอหน้ากันไม่บ่อยนัก  แต่ก็นับเป็นญาติมีลำดับอาวุโสมากกว่าอยู่หนึ่งรุ่น  ความจริงเหลียนอันสุ่ยให้ความเคารพนางมาโดยตลอด  คิดไม่ถึงเรื่องราวในภายหลังส่งผลให้ความสัมพันธ์กลายสภาพเป็นดุจน้ำกับไฟ 

หลายครั้งที่เหลียนอันสุ่ยนึกถึงอดีต  ผลให้มองปัจจุบันด้วยรู้สึกสะทกสะท้อนใจ  ผู้คนที่รู้จักกันในวันนี้ไม่ทราบภายภาคหน้าจะกลับกลายมีสภาพเป็นเช่นไร  ความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นเพียงของเล่นของโชคชะตา  และโชคชะตาคือสิ่งที่คาดเดาไม่ได้มากที่สุด  ใครจะไปนึกว่าเด็กหนุ่มที่เอาจริงเอาจังคนนั้นสุดท้ายกลับพ่ายแพ้จนยับเยิน  ความพ่ายแพ้ที่แท้จริงของอวี้เฉียนมิใช่การทำสงครามกับฉีเซี่ยงหยวน  แต่เป็นการพ่ายแพ้ต่อสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ  เป็นการพ่ายแพ้ต่อตัวเอง  อวี้เฉียนพ่ายแพ้อยู่ก่อนแล้ว  ต่อให้ไม่มีฉีเซี่ยงหยวนสุดท้ายแล้วก็ยังคงต้องล้มลงมา 

เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองฉีเซี่ยงหยวน  บุรุษที่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่นผู้นี้ใช่จะมีวันเปลี่ยนแปลงเพราะอำนาจ  ใช่จะมีวันพ่ายแพ้เหมือนกันหรือไม่  ความรู้สึกบีบคั้นที่เจ็บปวดกระแสหนึ่งห่อหุ้มหัวใจ  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้ในตอนนั้นว่าความรู้สึกที่ตัวเขามีต่อฉีเซี่ยงหยวนถลำลึกจนไม่อาจเยียวยา  อย่าเปลี่ยนแปลงเพราะอำนาจ  และอย่าเปลี่ยนแปลงเพราะข้า  ข้ายินยอมให้ตัวเองไม่ดำรงคงอยู่ดีกว่าท่านต้องเปลี่ยนแปลงเพราะข้า

เหลียนอันสุ่ยบอกตัวเองว่าฉีเซี่ยงหยวนไม่เหมือนกับอวี้เฉียน  ไม่กระทำเรื่องราวตามอารมณ์โดยโยนสติทิ้งไป  ยิ่งไม่เห็นการฆ่าคนเป็นเรื่องเล็กน้อย...ด้วยสาเหตุอันใดไม่ทราบเหลียนอันสุ่ยกลับสะท้านขึ้นเยือกหนึ่ง 
หลังจากนั้นอีกหลายปีเหลียนอันสุ่ยจึงได้ทราบ...ว่าหากให้อำมหิตฉีเซี่ยงหยวนยังน่ากลัวกว่าอวี้เฉียนเป็นร้อยเท่า  เพราะฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจจุดอ่อนของคน
 
คนไม่กระทำเรื่องราวตามอารมณ์มิได้หมายความว่าจะปล่อยผ่านเรื่องราวที่ทำให้เขาไม่พอใจไปง่ายๆ  และคนที่ใจกว้างก็มิใช่สามารถอภัยให้ผู้อื่นได้ทุกเรื่องราว  อย่าว่าแต่เรื่องคราวนี้คนที่องค์หญิงจินผิงทำร้ายเป็นคนสำคัญชนิดที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้ของฉีเซี่ยงหยวน

ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางมองอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่เห็นท่าทีที่ผ่อนคลายลง  คางคมสันจึงพยักเพยิดขึ้นไปบนฟ้า
“อย่ามัวแต่นั่งคิด  ท่านดู ดึกขนาดนี้แล้ว  ยังไม่เข้าไปข้างในอีก”
เหลียนอันสุ่ยรีบเงยหน้าขึ้นไป  เอาศีรษะเกยกับบ่าแกร่งโดยไม่รู้ตัว  ถามด้วยน้ำเสียงที่เจือความสนใจอย่างชัดเจน
“ท่านใช้ดวงดาวบอกเวลาหรือ ? ”
“อืมม์  ข้าเป็นต้าอ๋องกระหายสงคราม  ชอบยกทัพต่อยตีกับผู้อื่นเวลากลางคืน  ถ้าดูเวลาจากดาวไม่เป็นก็นัดหมายกันไม่ถูกแล้ว”
ได้ฟังคำตอบคิ้วของเหลียนอันสุ่ยก็กดมุ่นลงเล็กน้อย  แต่แสงดาวคืนนี้สวยงามมากจริงๆ  ไม่มีพระจันทร์  ดาวจึงโดดเด่นจับตา  ครอบแผ่นฟ้า คลุมผืนดิน 

อากาศหนาวเย็นขึ้นทุกทีแต่เหลียนอันสุ่ยกลับไม่อาจหักใจลุกจากไป  ตัวเบียดอยู่ระหว่างแผงอกอุ่นจัดกับเสื้อคลุมที่บุขนแกะ  จิตใจเบาสบายลงทีละน้อยจนคล้ายสามารถล่องลอยไปแตะสัมผัสดวงดาว  บางทีอาจเป็นเพราะฟากฟ้าสวยงามยิ่ง  บางทีอาจเป็นเพราะเสียงทุ้มที่สอนวิธีดูดาวข้างหูเขา  หรือบางทีอาจเป็นเพราะความผิดบาปที่ค้างคาใจมานานได้ถูกกล่าวออกไป
 
เสียงพูดคุยสะท้อนไปมาในความสงัดงันแห่งห้วงรัตติกาล  ในตอนท้ายเหลียนอันสุ่ยได้ยินฉีเซี่ยงหยวนบ่นอุบอิบว่าทำไมจึงต้องมาอยากดูดาวในฤดูหนาว  จากนั้นสัญญาว่าคราวหน้าจะพาไปดูดาวฤดูใบไม้ผลิในที่ที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่ผืนฟ้า  ได้ยินตัวเองหัวเราะแย้งกลับไปเบาๆว่านั่นคงต้องเป็นทะเลทรายแล้ว  จากนั้นเหลียนอันสุ่ยก็ไม่ได้ยินอะไรอีก...
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้วมองคนที่หลับไปดื้อๆ  เมื่อเห็นหว่างคิ้วที่แฝงความเหนื่อยล้าสีหน้าก็อ่อนโยนลง  ดวงตาผุดแววเวทนารักใคร่  ใช้เสื้อคลุมห่อตัวอีกฝ่ายไว้  ค่อยๆโน้มตัวลงไปโอบอุ้มร่างสูงโปร่งขึ้นมา  หลายวันมานี้ความคิดและสติของเหลียนอันสุ่ยขึงตึงจนเหนื่อยล้า  ถูกอุ้มขึ้นมายังคงไม่รู้สึกตัว  ขาของฉีเซี่ยงหยวนก้าวยาวๆไปที่ปากทาง พอเงยหน้าขึ้นมองดีๆก็เห็นอิ๋งฮวากับหวังเชียนที่คล้ายคิดจะหลบแต่หลบไม่ทัน  ฉีเซี่ยงหยวนมิได้พูดอันใด เดินนำไปด้านหน้า  อิ๋งฮวาที่ยืนอยู่นานหนาวเหน็บจนแทบจะขดตัวเป็นก้อนในเสื้อหนาวรีบฉุดดึงหวังเชียน ตามไปติดๆ

ดวงตาของหวังเชียนมองแผ่นหลังกว้างที่อยู่ตรงหน้า...น่าแปลกที่เพียงแค่แผ่นหลังของคนผู้หนึ่งเหตุใดสามารถบันดาลให้เกิดความรู้สึกทรงอำนาจถึงเพียงนี้  ราวกับแผ่นฟ้าที่ปกครองดวงดารานับหมื่นพัน  สายตาเลื่อนลงไปมองร่างในอาภรณ์ที่สีขาวที่อยู่ในมืออีกฝ่าย  เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ช่างชัดเจนอย่างยิ่ง  หวังเชียนคิดว่าเขาเห็น...ความรัก  บุรุษที่ทระนงองอาจผู้นี้คิดไม่ถึงกลับเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความรัก  ดวงตาของหวังเชียนจมลงในม่านหมอก  นี่เองคำอธิบายที่สมเหตุสมผลในการกระทำของฉีเซี่ยงหยวน  เพราะเมื่อมีความรักก็มักไม่มีความสมเหตุสมผลใดๆ  แต่หากเป็นเช่นเมื่อครู่...เขาก็วางใจ

อิ๋งฮวาถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะเร่งฝีเท้าตามคนขายาวทั้งคู่ให้ทัน  นายท่านไว้ใจเป่ยชางอ๋องผู้นี้เหลือเกิน  กระทั่งบอกความลับที่ไม่เคยเอ่ยแม้แต่กับนางและหลับใหลไปโดยปราศจากความระมัดระวังเช่นนี้  บางทีนางคงต้องยอมรับว่าตั้งแต่มีฉีเซี่ยงหยวน  คนที่เข้าใจนายท่านที่สุดก็มิใช่นางอีก  สิ่งที่อวี้เฉียนไม่เคยแม้แต่จะเฉียดใกล้กลับเป็นบุรุษตรงหน้าที่ได้ไปจนหมดสิ้น
ฉีเซี่ยงหยวนเดินผ่านประตูเข้าไปในห้องของเหลียนอันสุ่ย  หวังเชียนหยุดแค่หน้าประตู  ส่วนอิ๋งฮวาตามเข้าไปดับไฟ 

ขณะที่ฉีเซี่ยงหยวนวางร่างเหลียนอันสุ่ยลงบนเตียงก็กล่าวขึ้นว่า
“ข้าจะไม่ค้างที่นี่  พอนายท่านของเจ้าตื่นขึ้นมาก็ฝากบอกเขาด้วยว่าหลายวันหลังจากนี้ข้าจะไม่ค้างที่นี่และจะไม่มีการให้เหวินเถียนเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวอีก  ดังนั้นเรื่องของเหวินเถียนขอให้เขาวางใจ”
อิ๋งฮวารับคำ  เหลือบมองอีกฝ่ายในใจขมวดจนยุ่งเหยิง  คนผู้นี้คล้ายกับทราบอยู่เสมอว่านายท่านคิดอันใด  ไม่สิน่า  จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ?  รอจนร่างสูงใหญ่ออกจากห้องไปนางก็ดับตะเกียง  ห้องจมอยู่ในความมืดสนิทที่สงบง่วงงุน
---------------------
ในแคว้นเป่ยชางอำนาจของฉีเซี่ยงหยวนเพียงพอจะกำหนดกระทั่งอาทิตย์ขึ้นอาทิตย์ตก  คำปฏิเสธอันหนักแน่นเพียงคำเดียวของเขาไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจไม่ปฏิบัติตาม  เหวินเถียนเพียรพยายามจะแอบพาตัวเหลียนจิ้งเต๋อไป แต่ไม่ว่าอย่างไรยังคงไม่สำเร็จอยู่ดีนั่นเอง
เพียงแต่องค์หญิงจินผิงพันคำนวณหมื่นคาดการณ์กลับตกหล่นคนไปคนหนึ่ง  คนๆนี้สลายความดึงดันของเหวินเถียน  แก้ปัญหาตรงต้นเหตุที่มันเกิด  คนๆนี้คือเหลียนจิ้งเต๋อ
“ท่านตา จิ้งเต๋อได้ไปไตรตรองมาดีแล้ว  จิ้งเต๋อไม่ต้องการกลับแคว้นเหลียน” กล่าวพลางคุกเข่าลงกับพื้นอย่างแน่วแน่  เหวินเถียนเบิกตากว้าง  ชั่วขณะนั้นเหลียนจิ้งเต๋อที่เคยเป็นเพียงเด็กน้อยที่สนใจแต่เล่นซุกซนคล้ายแปรเปลี่ยนเป็นคนละคน

“เจ้ายังเด็กนัก  หรือเจ้าเข้าใจว่าที่เป่ยชางอ๋องพาเจ้ามาที่นี่  รับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมเป็นเพียงเพราะความเอ็นดู?  ตาจะบอกเจ้า  ตั้งแต่แคว้นเหลียนพ่ายแพ้ต่อแคว้นเป่ยชาง  ในสายตาของชาวเป่ยชางเหล่านี้พวกเราเป็นเพียงแค่เชลย  เป็นเพียงข้าทาสที่อยู่ใต้อำนาจบัญชาของเขาเท่านั้น  อยู่ที่นี่ต่อไปไม่มีทางดีต่อเจ้าอย่างเด็ดขาด” ผู้ใดที่เคยเห็นเหวินเถียนด่าทอผู้คนอย่างเผ็ดร้อนล้วนคาดไม่ถึงว่าเขาจะมีด้านที่อดทนใจเย็นต่อหลานรัก  ในการอดทนอธิบายยังมีความหม่นเศร้าของผู้ชรา  กับขุนนางที่ยืนหยัดอยู่ในแคว้นเหลียนมาเป็นเวลานานเช่นเขาการพ่ายแพ้ของแคว้นเหลียนเป็นความสูญเสียที่ไม่อาจเรียกคืนกลับมา

“ข้อนั้นหลานทราบดี  พวกเราเป็นเชลยทางการเมือง  เป็นตัวประกัน  แต่จำได้ว่าท่านตาเคยสอนว่าลูกผู้ชายมีเรื่องที่พึงกระทำและไม่พึงกระทำ  หลานตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลับแคว้นเหลียน  อย่างน้อยตอนนี้จิ้งเต๋อก็ไม่อาจอกตัญญูทิ้งท่านพ่อไว้ที่นี่คนเดียว  ยิ่งไม่สามารถจากไปโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อแคว้นเหลียน”
เหวินเถียนโกรธจนหนวดกระดิก  แทบจะร้องออกไปว่า
‘เจ้ากตัญญู  แต่ไปถามบิดาเจ้าซิ  ว่าทำอะไรเคยคำนึงถึงเจ้าซักคราหรือไม่!  กับบิดาแบบนั้น...บิดาแบบนั้น...ฮึ่ม’ สุดท้ายยับยั้งตัวเองไว้  เพียงกล่าวออกไปว่า
“เจ้าไม่ต้องคำนึงเรื่องมากมายเหล่านั้น  เชื่อว่าบิดาของเจ้าต้องยินดีให้เจ้าจากไปอย่างแน่นอน” ลองไม่ยินดีดูสิ  ถ้ายังกล้าไม่ยินดีอีกอย่าหาว่าเขาไม่คำนึงถึงไมตรีเก่าก่อน
เหลียนจิ้งเต๋อสั่นหัว  กล่าว
“ไม่ว่าอย่างไรหลานก็มีศักดิ์เป็นบุตรบุญธรรมของต้าอ๋องแคว้นเป่ยชาง  มีแต่อยู่ที่นี่จึงสามารถช่วงชิงโอกาสให้กับแคว้นเหลียน  เพาะสร้างความสัมพันธ์กับเชื้อพระวงศ์  ชาวเป่ยชางจึงจะเห็นแก่หน้าพวกเราบ้าง”

เหวินเถียนมองหลานชายเพียงคนเดียวตาค้าง  เด็กคนนี้โตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  ฉับพลันนั้นเหวินเถียนรู้สึกราวตัวเองแก่ชราลงหลายปี  ความละอายระคนอับจนปัญญากระแทกเข้ามาอย่างจัง  ไม่อาจไม่ยอมรับว่าเหลียนจิ้งเต๋อกล่าวถูกต้อง  ตัวเขาคิดแต่จะพาตัวหลานชายกลับไปอย่างเห็นแก่ตัว  ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของแคว้นเหลียน  ไม่คำนึงว่าเรื่องราวที่กระทำจะเป็นการยั่วโทสะเป่ยชางอ๋อง  เป็นแค่ความดิ้นรนอยากจะเอาชนะในความพ่ายแพ้  เป็นความโง่เขลาที่ยึดถือเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง
 
นึกไม่ถึงว่าคนที่เตือนสติเขากลับเป็นหลานชายอ่อนวัยกว่าหลายสิบปี   เด็กเติบใหญ่แต่ผู้ใหญ่กลับเลอะเลือน  ยึดติดแต่ความคิดของตัวเอง  คนเราเติบโตขึ้นจริงหรือกำลังเดินเข้าสู่กรอบที่เต็มไปด้วยความยึดติดในอีกรูปแบบหนึ่งกันแน่ ? 

มองเหลียนจิ้งเต๋อที่คุกเข่าอยู่กับพื้น  ก้มลงมองดูตัวเอง  มือรวบกำแน่น  สุดท้ายทำได้เพียงถอนหายใจ...
---------------------
ทูตแคว้นเหลียนจากไปอย่างเงียบๆ การรายงานเรื่องการเก็บเกี่ยวกับการส่งเสบียงเข้าคลังหลวงแคว้นเป่ยชางเป็นไปด้วยดี บนกำแพงวังมีเพียงแค่เหลียนจิ้งเต๋อที่มาส่งท่านตา  ละทิ้งไปเสียแล้วโอกาสที่จะได้กลับไปที่ ‘บ้าน’  ช่างเถอะ  สำหรับเขาไม่ว่าที่ไหนที่มีท่านพ่อที่นั่นก็คือบ้าน 

อันที่จริงสาเหตุหลักที่เหลียนจิ้งเต๋อไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมไปคือท่านพ่อ  เหลียนจิ้งเต๋อสัมผัสได้ว่าท่านพ่อมีปัญหาที่ไม่อาจสะสางแต่ไม่ยอมบอกเขา  มีความเหนื่อยล้าที่เกาะกินไปถึงกระดูก  ตัวเขาแม้ทำอะไรยังไม่ได้มาก  แต่มีเขาอยู่ก็ดีกว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆท่านพ่อกระมัง  หากท่านแม่ยังอยู่ก็คงต้องเลือกเช่นนี้  แต่ท่านพ่อไม่มีท่านแม่แล้วเขาจึงได้แต่กระทำแทน  ครอบครัวพวกเขามีกันอยู่แค่สองคน  ถ้าเขาไปอยู่กับท่านตาท่านพ่อจะยิ่งโดดเดี่ยว  และความโดดเดี่ยวนี่...ก็ไม่ดีเลย

ส่วนคำที่เขาบอกท่านตาความจริงครึ่งหนึ่งเป็นคำโกหก  เหลียนจิ้งเต๋อเกลียดการใช้ประโยชน์จากผู้อื่น  ดังนั้นการคบหากับผู้คนเพื่อหวังผลประโยชน์จึงไม่มีทางอดทนกระทำได้  แต่ที่พูดไปเช่นนั้นเพราะทราบดีว่าหนึ่งเดียวที่สามารถเปลี่ยนความคิดของท่านตาได้มีแต่เรื่องของแคว้นเหลียน  ท่านตารักแคว้นเหลียนเหลือเกิน  ท่านพ่อก็รักแคว้นเหลียนเหลือเกิน  เหลียนจิ้งเต๋อรู้สึกว่าตัวเองก็รักแคว้นเหลียนแต่ไม่ทางได้ครึ่งหนึ่งของพวกเขา

บางทีเมื่อเติบใหญ่ขึ้นกว่านี้เหลียนจิ้งเต๋อจะได้รู้ว่าสิ่งที่ท่านพ่อกับท่านตารักเป็นมากกว่าแผ่นดินผืนหนึ่ง  มันมิใช่เพียงเม็ดดินที่มารวมกัน  มันคือชีวิต  คือความผูกพัน  คือรากฐานและความภูมิใจ  และจะได้รู้ว่าความอดทนบางทีมันก็คุ้มค่า  เมื่อความอดทนของท่านสามารถแลกมาซึ่งความเป็นอยู่ของผู้คนนับร้อย
---------------------
ไม่นานหลังจากนั้นผู้สำเร็จราชการที่ประจำอยู่ที่แคว้นเหลียนก็ถวายผังการปรับโครงสร้างทหารอารักขาในวังต่อเหลียนอ๋อง  การรักษาความปลอดภัยเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งมากขึ้นตามลักษณะมีระเบียบวินัยของแคว้นเป่ยชาง  แต่เชื้อพระวงศ์แคว้นเหลียนส่วนใหญ่ยังคงมองว่าเป็นการจับตาดู  ที่น่าแปลกก็คือในการปรับครั้งนี้ตำหนักเก่าที่เกือบจะร้างทหารอารักขาเช่นตำหนักเบญจมาศจู่ๆก็เพิ่มจำนวนทหารอารักขาขึ้นมาเฉยๆ  แต่ผู้คนยังคงไม่ให้สนใจอะไรมากนัก  ตำหนักเบญจมาศเป็นเหลียนอ๋ององค์ก่อนๆประทานให้องค์หญิงจินผิง  การเพิ่มลดทหารประจำการไม่มีผลใดๆต่อภาพรวมราชสำนักและเรื่องนี้ก็ถูกกลืนหายในไปทันทีเมื่อประกาศปรับโครงสร้างขุนนางที่อึกทึกครึกโครมยิ่งกว่ามาถึง 

สำหรับการรับขุนนางใหม่แคว้นเป่ยชางกระทำอย่างจริงจังกว่าแคว้นเหลียนมานานแล้ว  ภายใต้อิทธิพลของแคว้นเป่ยชางราชสำนักแคว้นเหลียนจึงถูกปรับสภาพไปไม่น้อย  สรุปได้เป็นสองประโยคง่ายๆ ‘ลดขุนนางเก่า เพิ่มการรับขุนนางใหม่’  ซึ่งในจำนวนนี้ขุนนางที่มีความสามารถโดดเด่นยังได้รับโอกาสเข้ารับราชการในแคว้นเป่ยชางอีกด้วย  แคว้นเป่ยชางในตอนนี้ไม่ต่างกับตะวันกลางฟ้า  ทุกผู้คนล้วนทราบว่านี่เป็นโอกาสที่ได้มาไม่ง่ายดาย  แน่นอนว่ากระแสของการปรับเปลี่ยนย่อมต้องมีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ  แต่เกรงว่าคงไม่มีใครมีสภาพเหมือนขุนนางใหญ่เฉินเสียที่เสียวสันหลังเหงื่อตก  เพราะดูไปดูมา นับไปนับมา ขุนนางเก่าที่ถูกปลดไปมีไม่น้อยที่มีความสัมพันธ์กับองค์หญิงจินผิง  เฉินเสียอยากโอดครวญหาความยุติธรรมแต่มีสิบปากก็ไม่กล้าเอ่ย  ได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม

ในแผนการส่วนรวมกลับแฝงแผนการส่วนตัวไว้อย่างแนบเนียนสมเหตุสมผล เพิ่มการจับตาดูคือคำเตือนประการแรกของฉีเซี่ยงหยวนที่ส่งถึงองค์หญิงจินผิง  การลดจำนวนคนที่นางสามารถใช้สอยก็คือคำเตือนประการที่สอง  ทั้งสองประการล้วนไม่ต่างกับเชือกที่มัดคนจนไม่อาจลงมือวาดแผนการใดออกมาอีก  ความหมายแฝงกระจ่างชัด...หากฉีเซี่ยงหยวนต้องการเล่นงานคนก็สามารถทำได้อย่างแนบเนียนสมเหตุสมผลเช่นกัน !
======

กลัวคนอ่านค้างเลยรีบมาต่อให้ก่อน 
ยอมรับว่าเรื่องบางช่วงมันเข้าใจยาก  แต่เห็นไม่มีใครถามใครสงสัยเลยไม่แน่ใจว่าเข้าใจกันจริงป่าว555 
ชอบไม่ชอบยังไงบอกได้นะคะ 
รู้สึกอยู่เหมือนกันว่าสำนวนเรื่องมันจีนไปหน่อย  ถ้าไม่คุ้นจะอ่านลำบาก 
แต่คนแต่งบ้านิยายแปล  รู้สึกว่าถ้าไม่ใช้สำนวนแบบนี้แต่งยังไงมันก็ไม่จีน55 

สำหรับพระเอกนายเอก สองคนนี้ต่างคนต่างมีคาแรกเตอร์ของตัวเอง  มีอดีตของตัวเอง 
ดังนั้นการจะเดินไปถึงปลายทางที่เรียกว่าความรักความเข้าใจก็ต้องเรียนรู้กันและกันต่อไป ;)
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 40 .......................................12/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: ณยฎา ที่ 12-09-2014 20:25:06
ชอบมาก ติดตามอยู่ตลอด ภาษาสวย อ่านแล้วรู้สึกสนุก ร้อยเรียงเรื่องราวได้อย่าลงตัว มีแง่คิด ^^
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 40 .......................................12/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-09-2014 22:16:58
กลัวจะจบเศร้าจัง สัญญาได้ไหมว่าจะไม่เศร้า ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 41
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 17-09-2014 23:05:06

บทที่ 41 คำบอกรัก

กลิ่นสมุนไพรหลากหลายชนิดลอยปนผสมกันอยู่ในอากาศ  ตู้เก็บสมุนไพรที่สูงจรดเพดานมีคนพาดบันไดปีนขึ้นไปเพื่อเอื้อมหยิบ  ตู้ด้านข้างจัดเก็บเม็ดยาลูกกลอน  ไกลออกไปสองช่วงโต๊ะเป็นเตาที่จัดวางหม้อต้มยา  เวลายังเช้าอยู่มากแต่บางเตากลับมีควันกรุ่นขึ้นเป็นสายแสดงว่าเริ่มใช้งานแล้ว  เด็กต้มยาโบกพัดเพื่อควบคุมระดับไฟในเตาอย่างเอาใจใส่  ตั้งแต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับมาจากแคว้นเหลียนตู้เก็บยาก็มีการต่อเติมออกไป  ตำรายาแคว้นเหลียนที่ถูกคัดลอกมาวางห่างๆอยู่ในแคร่ไม้ไผ่

เหลียนอันสุ่ยล้างมือเช็ดมือจนแห้ง แล้วจึงเริ่มเดินดึงลิ้นชักเพื่อตรวจสอบสภาพสมุนไพร  ผู้จดบันทึกทะเบียนยารีบเดินตามพร้อมพู่กันจุ่มหมึกหมาดกับม้วนไม้ไผ่ในมือ 

เช้านี้เปิดประตูห้องออกมาก็เจอเหลียนจิ้งเต๋อคุกเข่ายืนยันหนักแน่นว่าที่ไม่กลับแคว้นเหลียนเป็นการไตร่ตรองดีแล้ว  หากท่านพ่อเห็นเป็นความผิดก็ยินดีรับโทษ พลางประคองไม้เรียวยื่นส่งออกมา  เหลียนอันสุ่ยจำได้ว่าเขาใช้สายตาเรียบเฉยมองไม้เรียวอันนั้นพลางกล่าว ‘ยังคงดื้อรั้นไม่เปลี่ยนแปลง...หากคิดจะอยู่ที่นี่ก็ต้องขยันให้มาก  อย่ามองเรื่องราวง่ายดายจนเกินไป  และอย่าให้พ่อเห็นเจ้าเกียจคร้าน’
ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยมองสมุนไพรเหล่านั้น  ถอนหายใจ  ไม่แน่ใจว่าตัวเองใจร้ายเกินไปหรือไม่  แต่จะอยู่แคว้นเป่ยชางก็มิอาจไม่เติบโต ภัยอันตรายรอบด้าน  ตัวเขาเองก็ไม่แน่ว่าจะมีอำนาจเพียงพอจะปกป้องอะไรได้อีก

ไล่มาจนถึงลิ้นชักริมสุด  กลิ่นที่แปลกไปทำให้เหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้ว  ม้วนแขนเสื้อขึ้นพลางก้มลงกอบสมุนไพรแห้งจำนวนหนึ่งขึ้นมา
“อบแห้งกันอย่างไร  เหตุใดจึงชื้นจนมีรา” อากาศแห้งถึงเพียงนี้  ตู้ไม้ก็เป็นไม้อย่างดีไม่อมความชื้น  แสดงว่าความผิดพลาดมาจากขั้นตอนการอบแห้งที่กระทำลวกๆ
“เฮอะ  ตอนนี้ถึงขั้นเหิมเกริมวางท่าตำหนิผู้อื่นแล้วหรือ  เข้าใจว่าตัวเองเป็นใครกัน” เสียงไม่พอใจของใครคนหนึ่งดังขึ้น เป็นหย่งเผิงน้องชายของใต้เท้าหย่งนั่นเอง  สมัยเรียนทั้งในสำนักศึกษาและโรงหมอหย่งเผิงต่างทำคะแนนได้ดีเยี่ยม  ตอนนี้ทระนงตนว่ามีประสบการณ์มาก  ในโรงหมอแห่งนี้เกรงใจก็เพียงหมออาวุโสไม่กี่คน  คำว่า ‘วางท่าเหิมเกริม’ ความจริงสมควรเป็นของเขา

“ไม่ว่าของเก่าหรือของใหม่ล้วนต้องทิ้งทั้งลิ้นชัก  เพิ่มยาตัวนี้ในรายชื่อที่ต้องขึ้นเขาไปเก็บด้วย” เหลียนอันสุ่ยหันไปกล่าวกับผู้บันทึก  หย่งเผิงที่กอดอกพูดลอยๆเมื่อครู่หน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ  แม้เมื่อครู่หย่งเผิงจะพูดลอยๆแต่จุดประสงค์ย่อมมิได้ต้องการให้มันเป็นเพียงคำพูดลอยๆแน่  เจ้าคนแคว้นเหลียนกล้าไม่ฟังกระทั่งคำพูดของข้าเชียวหรือ !

‘ปัง’ เสียงกำปั้นทุบลงบนตู้ยาในระยะประชิดทำให้เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมา  คนจดบันทึกที่ด้านข้างเห็นสถานการณ์ไม่ดีรีบถอยห่างออกไป  หย่งเผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักที่เจือความกรุ่นโกรธระคนถือดีไว้ ว่า
“ข้าไม่สนว่าคนหนุนหลังเจ้าจะเป็นใคร  เจ้าก็แค่คนอ่อนแอชั้นต่ำ  ชาวเหลียนเช่นเจ้าความจริงสมควรเป็นแค่ขี้ข้า  สมควรเจียมตัวเสียบ้าง  ไปบดยาทำงานใช้แรงงานตรงนู้นไป” พยักเพยิดไปที่กลุ่มเด็กฝึกงานที่ก้มตัวใช้หินบดยาอยู่อีกฝั่ง  ทุกคนที่คิดมาร่ำเรียนจากโรงหมอตำแหน่งต่ำสุดก็คือเริ่มจากบดตัวยาง่ายๆตามคำสั่ง  สำหรับหย่งเผิงที่ถือตัวว่าเป็นหมอใหญ่ย่อมห่างไกลจากหน้าที่ดังกล่าวไปจนไกลลิบ

เลี่ยฝูที่เดินมาด้วยกันแทบจะทั้งฉุดทั้งลากให้เจ้าเพื่อนคนนี้ไปกล่าววาจาที่อื่น  เลี่ยฝูเป็นศิษย์คนโปรดของท่านหมอลั่ว แพทย์ประจำพระองค์เป่ยชางอ๋อง  หน้าที่คือติดตามอาจารย์เข้าออกราชสำนักกับตรวจนับทำความสะอาดเข็มประจำตัวอาจารย์ทุกเช้า  วันนี้ยังไม่ทันได้ไปทำหน้าที่เจ้าเพื่อนตัวดีก็หาเรื่องจะเอาหัวไปพาดบนเขียงเสียแล้ว
 
หย่งเผิงหัวดี  ชาติตระกูลก็ดี  นิสัยหยิ่งทระนง  เกลียดเรื่องราวที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอน  ยิ่งเกลียดคนไม่มีความสามารถแต่คิดจะเผยอเทียบเทียมกับเขา  ตั้งแต่เหลียนอันสุ่ยเข้ามาที่โรงหมอก็ไม่ได้เริ่มจากตำแหน่งต่ำแล้วไต่เต้าขึ้นสูง  แม้มิได้มีหน้าที่เป็นหมอตรวจรักษาคนโดยตรงแต่ก็สามารถวินิจฉัยคนไข้ให้คำแนะนำการรักษา  หย่งเผิงเห็นว่าความอวดดีเช่นนี้เกินจะรับไหว  ต่อให้ร่ำเรียนวิชาแพทย์จากแคว้นเหลียนแล้วเป็นอย่างไร  เป็นหมอหรือก็ไม่ใช่  มาที่แคว้นเป่ยชางก็สมควรร่ำเรียนใหม่อย่างต่ำสองปีจึงจะถูก  หาทราบไม่ว่าเลี่ยฝูติดตามหมอหลวงใหญ่ไปๆมาๆทราบแน่ชัดว่าคนผู้นี้ล่วงเกินไม่ได้เป็นอันขาด  เหลียนอันสุ่ยเจ็บป่วยครั้งที่แล้วตอนที่ท่านหมอลั่วถวายการรักษาเลี่ยฝูก็อยู่ที่นั่นด้วย  ส่วนคนหนุนหลัง...สวรรค์  มิใช่แค่พระภาดาหานญื่อหลัวยังมีเป่ยชางอ๋อง !

มิน่าเล่าคราวที่แล้วเด็กฝึกใหม่ทำผิดพลาดแล้วป้ายสีเหลียนอันสุ่ยโดยจงใจ  สุดท้ายกลับกลายถูกจับได้ถูกขับออกจากโรงหมอโดยถาวร  หย่งเผิงเข้าข้างคนแคว้นเดียวกันเห็นว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเพราะเส้นสาย  ความไม่พอใจยิ่งมายิ่งเพิ่มพูน
   ...อันที่จริงหย่งเผิงก็มิได้เข้าใจผิดพลาด  หากเหลียนอันสุ่ยไม่ได้มีเบื้องหลังที่มิอาจล่วงเกิน  คำว่าความยุติธรรมในเรื่องที่พยานรู้เห็นเข้าข้างคนแคว้นเดียวกันบางทีก็เกิดขึ้นได้ยาก 

เหลียนอันสุ่ยมองตามสายตาของหย่งเผิงพลางรู้สึกโชคดีที่ก่อนหน้านี้เห็นว่าการมีคนคุ้มกันเดินตามเอิกเกริกและขัดขวางการทำงานยิ่ง  จึงไม่ให้หม่าหลงกับต้วนจินติดตามเข้าโรงหมอ  มิเช่นนั้นเรื่องอาจบานปลายใหญ่โตไปโดยใช่เหตุ  ปากเอ่ยช้าๆว่า
“ท่านกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูก  การบดยาเป็นการเริ่มต้นเรียนรู้  ต่อให้เป็นหมอที่เก่งกาจก็ต้องเริ่มต้นจากง่ายไปยาก  อย่าว่าแต่หากเป็นตัวยาที่ต้องกะแรงบดให้พอดีกระทั่งหมอใหญ่ๆยังกระทำด้วยตัวเอง”

มียอกย้อน  หย่งเผิงสลัดแขนเสื้อออกจากแรงฉุดลากของอดีตเพื่อร่วมเรียน  หรี่ตาลง กล่าว
“กล่าววาจาเหมือนรู้ดี  ความสามารถไม่แน่ว่ามีเพียงพอ  หากมีคนป่วยเป็นอะไรไปเพราะความอวดฉลาดโดยไม่คำนึงว่าตัวเองมีความสามารถไม่ถึงของเจ้า  ข้าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดแน่  แคว้นเหลียนยกตัวเองว่าการแพทย์เป็นอันดับหนึ่ง  แล้วข้าจะรอดู...”

“พระมาตุลา วันนี้ท่านก็มาเช้าอีกแล้ว” สุ้มเสียงแก่ชราที่ยังสดใสกังวานเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามา
เหลียนอันสุ่ยค้อมหัวลง
“ท่านหมอลั่ว  เมื่อวานมีคนบอกข้าว่าท่านอยู่จนดึกดื่น  แต่กลับมาเช้าถึงเพียงนี้  แล้วเหลียนอันสุ่ยจะกล้าเกียจคร้านได้อย่างไร”
“อาจารย์” เสียงเรียกโดยพร้อมเพรียง  ดวงตาของหย่งเผิงผุดแววไม่พอใจ  ไม่เข้าใจ  แต่ก็มิได้กล่าวออกมา  ทักทายผู้เป็นอาจารย์จบก็สะบัดหน้าจากไป
เจ้าของตำแหน่งหมอหลวงใหญ่ถอนหายใจ  ศิษย์คนนี้...  จากนั้นเงยหน้าขึ้นถาม
“การบาดเจ็บครั้งที่แล้วของท่านยังเหลืออาการตกค้างใดๆ หรือไม่”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆพลางส่ายหน้า  ขณะนั้นนางกำนัลผู้หนึ่งก็วิ่งกระหืดหระหอบเข้ามาในโรงหมอ  ร้องว่า
“ที่ฝ่ายร้องรำฝึกซ้อมท่าต่อตัวมีคนร่วงหล่นลงมา  บาดเจ็บ 6 คน  ท่านหมอ  ท่านรีบไปดูอาการเร็วเข้า!”
ได้ยินคำว่า ‘ฝ่ายร้องรำ’ เหลียนอันสุ่ยจึงรีบกล่าวลาหัวหน้าหมอหลวง  สมทบกับหมออีกสองสามคนรุดไป

สตรีที่เป็นเครื่องบรรณาการจากแคว้นเหลียนส่วนที่เป็นของฉีเซี่ยงหยวนทั้งหมดล้วนยกให้กับฝ่ายร้องรำ  ด้วยความสัมพันธ์ของฉีเซี่ยงหยวนกับเสิ่นชิงอีไม่ว่าใครก็ไม่กล้าทักท้วงมากความ  เหลียนอันสุ่ยกังวลว่าในหกคนนี้จะมีสตรีแคว้นเหลียนรวมอยู่ด้วย  เมื่ออยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็จำเป็นต้องดูแลกันและกัน  ประโยคนี้หากท่านต้องประสบชะตากรรมพรากจากบ้านเกิดจะเข้าใจกระจ่างชัด
---------------------
ในหกคนที่บาดเจ็บมีสตรีชาวเหลียนสองคน  ดีที่นอกจากฟกช้ำอย่างร้ายแรงที่สุดก็คือกระดูกหัก  เลือกออกไม่มากและมิได้ถึงชีวิต 
“เท่าที่ดูคงไม่เป็นอะไรมากแล้ว  พระมาตุลาเชิญทางนี้เถิด  ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน” เสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้น 
ราวสายฝนที่พรมโปรยลงบนกลีบบุปผาแรกผลิบาน  พาให้หัวใจคนสดชื่นอ่อนหวานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  รูปโฉมที่งดงามถึงเพียงนี้ทำให้เหลียนอันสุ่ยทราบในทันทีว่านางคือ เสิ่นชิงอี  อันที่จริงตัวเขาก็คิดอยู่ก่อนแล้วว่ามาคราวนี้คงได้พบหน้านาง
 
เสิ่นชิงอีแย้มยิ้มเล็กน้อยพลางเลิกม่านอีกด้านขึ้นเป็นเชิงเชื้อเชิญอีกฝ่าย  จากนั้นเงาหลังงามล้ำก็เดินลึกเข้าไปด้านใน  ที่ติดตามเสินชิงอีคือจือหลันที่เขาไม่ได้เห็นหน้ามานาน  นึกไม่ถึงจือหลันเมื่อเทียบกับเสิ่นชิงอียังถูกแย่งชิงความโดดเด่นไป

เสิ่นชิงอีไม่มีความงามอย่างร้อนแรงเช่นหลันเซียง  แต่กลับสามารถดึงทุกสายตาออกมาจากความโดดเด่นเฉิดฉันนั่น  คล้ายกับเมื่อมีสตรีผู้นี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถมีสายตาไปมองสตรีอื่น  ...เช่นเดียวกับเหลียนอวี้เสวี่ย  เหลียนอันสุ่ยเคยชินมานานกับสายตาตกตะลึงเป็นสิบๆคู่ที่มองตามน้องสาวของเขา  นึกไม่ถึงว่าฉีเซี่ยงหยวนจะมีหญิงงามปานนี้อยู่ข้างกายมาโดยตลอด

“เรื่องที่ข้าอยากพูดกับท่าน  คือไม่ว่าก่อนหน้านี้หรือหลังจากนี้ถ้ามีข่าวอะไรเกี่ยวกับข้าและต้าอ๋อง  ขอพระมาตุลาอย่างเชื่อถือเพราะมันมิใช่เรื่องจริง  ข้ากับเขาเป็นเพียงสหายกันเท่านั้น”
“...ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านจึงเอ่ยเรื่องนี้กับข้า  แต่ข้า...”
“ท่านเข้าใจ  ข้ารู้ว่าท่านเข้าใจ...ต่อให้ท่านคิดว่าตัวเองไม่เข้าใจก็รับฟังคำของข้าหน่อยเถิด” เสิ่นชิงอีตัดบทด้วยรอยยิ้มน้อยๆ 
เหลียนอันสุ่ยมองลงไปในแววตาที่กระจ่างยิ่งกว่าน้ำค้างฤดูเหมันต์คู่นั้น  ประกายที่คล้ายรับทราบทุกอย่างทำให้เหลียนอันสุ่ยต้องทำทีเป็นมองเลยผ่านไป  กล่าวเปลี่ยนเรื่องว่า
“ขอบคุณแม่นางเสิ่นที่ดูแลพวกนางมาโดยตลอด” เหลียนอันสุ่ยหมายถึงสตรีแคว้นเหลียนเหล่านั้น
“พวกนางล้วนงดงามจนชวนตะลึง  การร่ายรำเฉลิมฉลองปีใหม่คราวนี้ข้าคงได้รับคำชมมาอีก  ดังนั้นคนที่ขอบคุณจึงควรเป็นข้า  อีกอย่างจือหลันก็เป็นเพื่อนคุยที่ถูกใจข้ามาก  ท่านไม่ต้องเป็นห่วง  มีข้าอยู่พวกนางจะได้รับการดูแลอย่างดี”
ก่อนกล่าวลาเสิ่นชิงอียังย้ำว่า
“สำหรับเรื่องจือหลัน  เอาไว้เถี่ยเจิ้งสร้างผลงาน  ต้าอ๋องย่อมมีเหตุผลที่จะประทานนางให้กับเขา  กับเรื่องนี้ท่านก็วางใจได้”
ดวงตาของเสิ่นชิงอีมองตามเงาร่างสูงโปร่งที่จากไปเป็นประกายครุ่นคิด  ถามสตรีข้างตัวเบาๆว่า
“ได้ยินว่าน้องสาวของเขางดงามที่สุดในแผ่นดิน  เทียบกับข้าแล้วเจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
คิ้วเรียวงามของจือหลันขมวดนิ่ว
“...พระอัครชายากับท่านล้วนมีรูปโฉมที่โดดเด่น  ยากจะกล่าวว่าใครเหนือกว่าใคร” สำหรับจือหลันครั้งแรกที่นางได้เห็นเสิ่นชิงอีกระทั่งนางยังตกตะลึง  พระอัครชายาคือบุปผาน้ำแข็งบนภูเขาสูง หยิ่งทระนง ล้ำค่า  จือหลันเข้าใจมาตลอดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้เห็นเป็นคนที่สองอีก  คิดไม่ถึง...  ทำได้เพียงถอนหายใจ  นางมิได้กล่าววาจาเพื่อเอาใจแต่ตัดสินไม่ได้จริงๆ ทั้งคู่ล้วนเป็นหญิงงามที่ในแผ่นดินมีจำนวนเพียงนับคนได้

“เจ้าไม่จำเป็นต้องจริงจังถึงเพียงนี้  ข้าเพียงถามดูเพราะอยากรู้  อีกอย่างด้วยศักดิ์ฐานะข้าหรือจะเทียบชั้นกับนางได้” ในใจของเสิ่นชิงอีมิได้สนใจเหลียนอวี้เสวี่ยที่เป็นน้องสาว  แต่เป็นพี่ชายที่สุขุมอ่อนโยนคนนั้น  นี่เองคนที่ฉีเซี่ยงหยวนปักใจรัก  บุคลิกยังเหนือกว่าที่นางคาดเอาไว้อีก  ไม่จำเป็นต้องเอาไปเปรียบเทียบกับใคร  เพราะผู้ใดล้วนไม่อาจเปรียบเทียบกับเขา  เช่นเดียวกับฉีเซี่ยงหยวน  ดูไปแล้วเป็นคนที่น่าทึ่งสองคนจริงๆ
---------------------
หากความคิดถึงคือการสาวไหมพันธนาการตัวเอง  ฉีเซี่ยงหยวนมีความรู้สึกว่าตัวเขาคงเป็นดักแด้ที่หมดหนทางจะดิ้นหลุดเพื่อกลายเป็นผีเสื้อ  ยับยั้งความคิดถึงครั้งแล้วครั้งเล่า  รอคอยให้ตาแก่ปากเสียแคว้นเหลียนเดินทางกลับแคว้นของตัวเองไปเสียก่อน  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ต้องการให้เหลียนอันสุ่ยลำบากใจ  ยิ่งไม่ต้องการให้ตาแก่นั่นมีเรื่องไปพ่นวาจาร้ายกาจใส่คนสำคัญของเขา  ฉีเซี่ยงหยวนจึงได้แต่รอคอย  นี่คงเป็นเรื่องที่น่าขบขันที่สุดในหล้า  ต้าอ๋องหนึ่งในสามแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกลับทำได้เพียงรอคอย  แต่นั่นก็ช่างเถิด หากการรอคอยของเขาสามารถแลกมาซึ่งความสบายใจของคนช่างกังวลคิดมากคนนั้น

บางครั้งคำว่ารักก็สอนให้คนที่ไม่เคยต้องรอใคร รู้จักการรอคอย  สอนให้คนที่เห็นแก่ตัว รู้จักมองคนอื่นก่อน  สอนให้คนที่จิตใจหยาบกระด้างที่สุดเข้าใจความอ่อนโยน  มันก็พิเศษเช่นนี้เอง  ทรมานแต่หวานล้ำเช่นนี้เอง

ในวินาทีที่ฉีเซี่ยงหยวนโอบกอดร่างสูงโปร่งไว้  เขาพลันรู้สึกว่าทุกอย่างที่จ่ายออกไปล้วนคุ้มค่าอย่างยิ่ง
ประตูยังไม่ทันปิดดี  เหลียนอันสุ่ยก็ถูกลำแขนแข็งแรงคู่หนึ่งโอบกอดเอาไว้  กลิ่นอายอันคุ้นเคยทำให้เหลียนอันสุ่ยยื่นมือออกไปหับบานประตูให้สนิท   ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควรแต่กลับยินยอมรับความใกล้ชิดเช่นนี้ 

ตำหนักเสียงวสันต์แม้เงียบสงบอย่างยิ่ง  สุขสงบจนเหลียนอันสุ่ยรู้สึกซาบซึ้งกับความทุ่มเทของคนที่อยู่เบื้องหลัง  แต่เหลียนอันสุ่ยเข้าออกตำหนักบ่อยครั้ง  ทำไมจะไม่ทราบว่ามีเรื่องราวใดกำลังเคลื่อนไหว 
ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าที่เกยกับบ่าเขาช้าๆ  ดวงตาคู่งามหลุบต่ำ  ภายใต้ท่าทีสงบเยือกเย็นบางอย่างในอกกลับดิ้นรนจนรู้สึกเจ็บปวด  ดิ้นรนอย่างรุนแรงภายใต้พันธนาการที่เรียกว่า...ความจริง  สิ่งนั้นผลักดันให้เหลียนอันสุ่ยหันกลับไปใช้สองมือกอดร่างสูงใหญ่ไว้  ริมฝีปากกดประทับลึกล้ำกับเรียวปากคู่หนึ่งซึ่งเคยเอ่ยวาจา ‘อยากรับผิดชอบท่านไปชั่วชีวิต’   ข้าทราบ...บุรุษผู้นี้เป็นของแคว้นเป่ยชาง  และข้าจะคืนให้  ขอแค่ชั่วเวลานี้...ให้ข้าได้รักเขา
มันเป็นจูบที่เนิ่นนาน  เนิ่นนานจนคล้ายพวกเขาต้องการจะจูบกันไปจนวันสุดท้ายของโลก 

มือใหญ่ของฉีเซี่ยงหยวนรวบร่างสูงโปร่งขึ้น  รู้สึกราวกำลังดำรงอยู่ในห้วงฝัน  ริมฝีปากของทั้งคู่ผละห่างในตอนที่แผ่นหลังของเหลียนอันสุ่ยสัมผัสกับเตียง
มือเรียวรั้งใบหน้าคมคายเข้ามาใกล้กว่าเดิม  ชั่วขณะนี้ฉีเซี่ยงหยวนเพียงมองแต่เขา  ชั่วขณะนี้ข้าสามารถหลอกตัวเองได้ว่าท่านเป็นของข้า  มุมปากของเหลียนอันสุ่ยหยักเป็นรอยยิ้มขณะแนบจุมพิตอีกครา  หากว่าข้ามิใช่พระมาตุลาแคว้นเหลียน  และหากว่าท่านมิใช่เป่ยชางอ๋อง...มันจะดีแค่ไหนกันหนอ?  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้คิดต่อ  เรื่องราวพวกนั้นเพ้อฝันเกินจริง  และหลอกลวงตัวเองจนเกินไป  เพราะมันไม่มีวันนั้นเด็ดขาด  เหลียนอันสุ่ยเองก็มิได้หวังให้มีวันนั้นด้วย  ชาวเป่ยชางทุกคนต้องการท่าน  พวกเราต้องการท่าน  ข้าไม่มีทางวางใจวางแคว้นเหลียนไว้ในมือผู้ใดนอกจากท่าน  แต่ความเห็นแก่ตัวบางเบาในหัวใจของข้ากลับปรารถนาท่านนัก  ทำอย่างไรดี...ทำอย่างไรดีหนอ  ที่จะยืดเวลาที่ข้าเหลืออยู่นี้ให้นานที่สุด...

ฉีเซี่ยงหยวนชะงักไปวูบหนึ่งเมื่อพบว่ามีมือข้างหนึ่งแทรกเข้าไปในเสื้อเขา  ริมฝีปากของเหลียนอันสุ่ยยังคงจูบเขา  ขณะมือข้างนั้นเริ่มเลิกคอเสื้อสีดำ...  ฉีเซี่ยงหยวนจูบเรียวปากนุ่มคู่นั้นหนักหน่วงกว่าเดิม
จนจังหวะที่เหลียนอันสุ่ยเปลื้องเสื้อตัวนอกของอีกฝ่ายออกเป็นผลสำเร็จ  ผละออกหอบหายใจ  ใช้ดวงตาคู่งามมองฉีเซี่ยงหยวนผ่านแพขนตาที่หลุบต่ำ  ใบหน้าที่หายใจไม่ทันแดงเรื่อขับเน้นผิวกายขาวละเอียด
เป็นดวงตาคู่นี้ใช่หรือไม่ที่ดึงดูดเขามาตั้งแต่ต้นจนจบ  ดวงตาที่คล้ายซุกซ่อนความในใจเอาไว้นับพันนับหมื่นโดยไม่ยินยอมเอื้อนเอ่ย  เหลียนอันสุ่ยใช้ดวงตาคู่นั้นมองเขา  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับมีความรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นมิได้มองอย่างละเอียดเท่าไหร่  ใจของเหลียนอันสุ่ยต่างหากที่กำลังมองเขา
ริมฝีปากของทั้งคู่เคลื่อนเข้าหากันอีกครา  เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง  ยินยอมให้อีกฝ่ายสัมผัสความโหยหาที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ  สัมผัสความรักที่ถูกซุกซ่อนอยู่ลึกยิ่งกว่าความโหยหา  เกลียวคลื่นปรารถนาบิดตัวขึ้นสูง  พัวพันคนสองคนไม่เลิกรา...

 “ข้ารักท่าน” เสียงทุ้มของฉีเซี่ยงหยวนกล่าวเบาๆ  ได้ยินลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยสะดุดเล็กน้อยแต่มิได้ตอบคำ  ซุกเข้าไปในอ้อมกอดของเขากว่าเดิม  ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ กล่าว
“ไม่เป็นไร  ต้องมีซักวันสิน่าที่ท่านจะบอกรักข้า”
เหลียนอันสุ่ยพยายามบังคับตัวเองไม่ให้สั่นสะท้าน  มีเพียงตัวเขาเองที่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนจะไม่มีวันได้ยินคำนั้น  เพราะเขาจะไม่มีทางพูดออกมา  คำว่ารักเป็นเพียงบ่วงที่พันธนาการคนจนดิ้นไม่หลุด  ข้าจะไม่พันธนาการท่านไว้กับข้า  ให้เป็นข้า...ให้เป็นข้าคนเดียวเถิดที่เป็นฝ่ายไม่อาจลืมเลือนท่านไปจากใจ
...ข้ารักท่าน  ฉีเซี่ยงหยวน...
---------------------
หิมะค่อยๆผนึกแข็งถนนหนทาง  ฤดูหนาวแสดงอานุภาพของมันอย่างเต็มที่  แต่กลับไม่อาจผนึกแข็งกระแสคึกคักกระแสหนึ่ง  ในที่สุดข่าวการแต่งตั้งพระชายาที่เงียบหายไปพักใหญ่ก็เริ่มมีเค้ารางอีกครา  และคราวนี้เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธบอกปัดอีกแล้ว 

แม้ว่าข่าวการคัดเลือกพระชายาจะแว่วมาจากกรมพิธีการ  แต่บุคคลที่ทุกคนเงี่ยหูฟังจับตาดูกลับเป็น ‘ตู้ฮูหยิน’  ในวังหลวงขณะนี้หากจะมีสตรีที่ทุกคนต้องไว้หน้าสามส่วน  หัวหน้านางกำนัลสิบแปดตำหนักใหญ่เมื่อพบต้องยอบกายคำนับ  คนผู้นี้ต้องเป็นตู้ฮูหยิน  เพราะเป่ยชางอ๋องคนปัจจุบันเป็นนางเลี้ยงขึ้นมากับมือ  นายหญิงตำหนักไป่เหอที่ล่วงลับไปซึ่งเป็นพระมารดาแท้ๆของต้าอ๋องเชื่อถือนางที่สุด  ‘ตู้ฮูหยิน’ เป็นคำที่ทุกคนใช้เรียกนางด้วยความเคารพ
 
ทุกข่าวที่แว่วออกมาต่างระบุเป็นเสียงเดียวกันว่านางเป็นคนอยู่เบื้องหลังการคัดเลือกนางกำนัลใหม่และแน่นอนเป็นตัวแปรสำคัญในการคัดเลือกพระชายาด้วย  ชั่วขณะนั้นบรรดาคุณหนูในหอห้องรวมถึงญาติของเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายที่พอจะมีความหวังได้รับคัดเลือกต่างห่วงพะวงอยู่กับข่าวคราวของตัวเอง  คนที่เชื่อเสียงย่ำแย่  ที่พอจะปกปิดได้ก็พยายามกลบฝังให้หมดจด

และนั่นก็คือเหตุผลที่แม้เหวินเถียนจะจากไปพักใหญ่  แต่อาการปวดหัวของฉีเซี่ยงหยวนก็มิได้ดีขึ้น  สุดท้ายขุนนางพวกนั้นก็ไปเชิญอดีตแม่นมของเขาออกมาจนได้  ในบรรดาผู้หญิงในวังหลวงที่เขากริ่งเกรงก็มีแต่นาง  ข่าวล่าสุดที่รายงานมายิ่งทำให้ใบหน้าของฉีเซี่ยงหยวนปั้นยากจนสุดจะบรรยาย  ดูเหมือนขณะนี้บรรดาคุณหนูตระกูลสูงจะเริ่มมีการเข้ามาพบปะเป็นการส่วนตัวกับตู้ฮูหยินแล้ว
“ตู้ฮูหยินเชิญต้าอ๋องไปดื่มน้ำ...”
“หลิวฉางเฟย  เจ้าเงียบไปเลยนะ ! ...บอกนางไปว่าข้าไม่ว่าง” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนหงุดหงิดหนักเมื่อมองดูคนสนิทที่รายงานไปแต่ท่าทางเหมือนกำลังกลั้นยิ้มที่มุมปาก
“ทราบแล้ว  ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้  แต่นางบอกว่าท่านก็ทราบดีว่านางทำเช่นนี้ทำไม” กล่าวจบหลิวฉางเฟยก็เดินออกไป  ดวงตาที่มองนายเหนือหัวมีแววเห็นใจอยู่ลึกๆ  ทราบว่าคราวนี้ต้าอ๋องได้ลำบากใจจริงๆแน่  คำเชิญนี้ถูกปฏิเสธเป็นรอบที่ห้าแล้ว  จะปฏิเสธไปได้อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้

ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจ  ทำไมทุกคนจึงต้องมาพยายามหวังดีต่อเขา  ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าตู้ฮูหยินเปลืองสมองไปไม่น้อยในการคัดกรองสตรีเหล่านั้น  ที่นางเชิญเข้าไปดื่มน้ำชาเพราะอยากให้เขาได้เห็นหน้า  ได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง  วิธีนี้ไม่น่าเกลียดและนางก็ทำอย่างเงียบที่สุด  แต่ปัญหาคือเขาไม่ต้องการผู้หญิงพวกนั้น  ส่วนคนที่เขาต้องการ...นางก็ไม่มีทางเห็นด้วยอย่างเด็ดขาด  และไม่มีทางมีชื่อในรายชื่อยาวเหยียดนั่นด้วย  จะบอกนางได้อย่างไรว่าคนที่เขา...ที่เขาชอบ...กลับเป็น... 

ที่แย่กว่านั้นคือคราวนี้ขุนนางในราชสำนักกลับลอบดำเนินแผนสูงอีกทาง  แต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นโหยวเฉิง...อย่าให้เขารู้เชียวว่าตัวบัดซบตัวไหนเป็นคนต้นคิดแผนการนี้!
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 40 .......................................12/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: lookfa ที่ 17-09-2014 23:26:56
ชอบมากๆๆๆๆๆ เลยค่ะ
รอติดตามผลงานนะค่ะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 42
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 17-09-2014 23:41:05
บทที่ 42 ล่าสัตว์(1)

ฤดูหนาวค่อยๆล่วงเลย  แต่ฉีเซี่ยงหยวนยังคงยืนกรานปฏิเสธ  หลบหน้าก็แล้ว  หางานมาสุมใส่ตัวเองก็แล้ว  ในที่สุดก็ยืดเย้อจนใกล้เข้าสู่ช่วงหิมะกำลังจะละลาย  อันที่จริงฤดูหนาวครั้งนี้ก็นับว่าช่วยฉีเซี่ยงหยวนเอาไว้พอสมควร  ลมหนาวที่มาเยือนอย่างดุเดือดทำให้แต่ละบ้านดีที่สุดคือไม่ต้องออกจากประตู  การไปมาหาสู่ลำบากยากเย็น  เรื่องที่ควรจะเสร็จสิ้นไปจึงยังคาราคาซัง
เป่ยชางเผชิญฤดูหนาวที่โหดร้ายยาวนานทุกปี  ดังนั้นการเตรียมตัวรับฤดูหนาวแต่ละครั้งล้วนชำนาญรอบคอบ  สายเลือดอันทรหดอดทน  น้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูล  นับว่าแสดงเด่นชัดในช่วงนี้เอง  เพียงแต่ฤดูหนาวอันโหดร้ายสำหรับฉีเซี่ยงหยวนกลับเป็นฤดูที่อบอุ่นฤดูหนึ่ง  เพราะลมหนาวอาจแช่แข็งราชสำนักให้ขับเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า  แต่กลับมอบเวลาที่มากขึ้นให้ฉีเซี่ยงหยวนได้ใช้กับคนสำคัญของเขา  ความรักที่เพาะมาตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงจึงเพิ่งมาแตกกิ่งก้านในฤดูหนาวนี้เอง
...แตกกิ่งก้าน  หยั่งรากฝังลึก...
เหลียนอันสุ่ยแม้ยังคงไม่ยอมบอกรักเขาอยู่เหมือนเดิม  แต่ในประกายตา  ในทุกการกระทำ  ฉีเซี่ยงหยวนกลับรู้สึกอยู่เสมอว่าเขาได้รับความรักนั้นแล้ว  เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าชีวิตช่างสมบูรณ์พร้อมยิ่ง  มีบุตรบุญธรรมสองคน  และมีคนที่เขารักอยู่ข้างกาย  สำหรับฉีเซี่ยงหยวนนั่นเพียงพอแล้วจริงๆ 

เพียงแต่ชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมยากจะรักษาไว้ได้นาน  หลบเลี่ยงมาเนิ่นนานสุดท้ายก็ต้องเผชิญหน้ากับ ‘ความจริง’  คำๆนี้ไม่เคยสวยงามเลย  แต่ถ้าท่านไม่ยอมเผชิญหน้า  สิ่งที่ท่านคว้าได้ก็เป็นเพียงแค่ ‘ความฝัน’ ตลอดกาล
---------------------
ชีวิตคนเรามิใช่แค่เจอะเจอคนที่รัก  ได้อยู่ร่วม  แล้วจะจบลงอย่างสวยงาม  มันเป็นแค่จุดเริ่มต้น  การอยู่ร่วมเป็นแค่จุดเริ่มต้น  เมื่อมีคำว่า ‘ความผูกพัน’ คนเราจึงเข้าใจ ‘การพรากจาก’

เหลียนอันสุ่ยพบว่าเมื่อเขาไม่ต่อต้าน  ปล่อยให้ทุกประการเป็นไปตามธรรมชาติ  ความโหยหาที่ร่างกายเขามีต่อฉีเซี่ยงหยวนก็ดูเหมือนจะลดน้อยลง  เพียงแต่ความโหยหาทางกายน้อยลง ความโหยหาทางใจกลับเพิ่มมากขึ้น 

ก่อนหน้านี้เขาพยายามหักห้ามไม่ให้ตัวเองคิด  กลับกลายเป็นยิ่งหมกมุ่นกังวล  หักห้ามไม่ให้ปรารถนา  กลับกลายเป็นคอยย้ำเตือนตัวเองอยู่ตลอดว่าสัมผัสของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร  สัมผัสของฉีเซี่ยงหยวนยากลืมเลือนก็จริง  แต่เป็นตัวเขาเองที่ซ้ำเติมตัวเองจนย่ำแย่  โชคดีที่ว่าในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว  แต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ  ยิ่งมาเหลียนอันสุ่ยก็ยิ่งรู้สึกว่า ‘การปล่อยมือ’ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก  ฤดูหนาวนี้เพาะสร้างความผูกพันขึ้นมามากมายเกินไป
...แตกกิ่งก้าน  หยั่งรากฝังลึก...
หิมะที่กำลังละลายละลายเอาฤดูเหมันต์ที่สวยงามที่สุดไปกับมันด้วย  ฤดูเหมันต์ที่ไม่มีทางละลายหายไปจากใจเขา  เหลียนอันสุ่ยไม่รู้ว่าไม่เพียงฤดูเหมันต์  ฤดูใบไม้ผลิที่ตามมาก็ยังคงยากลืมเลือน 
...อันที่จริงทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคนที่รักล้วนเป็นช่วงเวลาที่ยากลืมเลือนทั้งสิ้น
---------------------
หิมะละลายลงเป็นธารเล็กๆสายหนึ่ง  ธารเล็กๆสายนี้กลับบรรจุภาพสะท้อนของกองทัพม้าที่ยิ่งใหญ่สง่างาม  อันที่จริงนี่มิใช่การยกทัพทำศึกแต่อย่างใด  เป็นเพียงขบวนไปล่าสัตว์ของต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางเท่านั้น  เพียงแต่ม้าทุกตัวตั้งแต่หัวขบวนจรดท้ายขบวนล้วนมีสัดส่วนปราดเปรียวองอาจ  บุคลิกของนักรบที่มีระเบียบวินัยฉายชัดในตัวเองทำให้ขบวนไปล่าสัตว์ของแคว้นเป่ยชางแม้มิได้หรูหราอลังการ แต่กลับดูน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่

เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ขี่ม้ามาพักใหญ่แล้ว  เพราะสำนึกในฐานะของตัวเองดี  ไม่ต้องการตอแยเรื่องยุ่งยากโดยไม่จำเป็น  ตั้งแต่มาถึงแคว้นเป่ยชางจึงทำตัวสงบเงียบที่สุด  ไม่ได้ไปขี่ม้าและไม่ได้ออกนอกเขตวังหลวง  ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนยืนกรานว่าให้ติดตามมาด้วย    เหลียนอันสุ่ยทราบว่าอีกฝ่ายหวังดี  แต่ว่าเขา...  ความคิดถูกขัดจังหวะด้วยท่าทีของสิ่งมีชีวิตใกล้ตัว  ฝ่ามือเรียวตบลงข้างคอม้าเบาๆ  สัมผัสนั้นเจือความคิดถึงอยู่บ้าง  มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางๆ  เจ้าเหรียญทองตื่นเต้นดีใจเมื่อได้ถูกขี่โดยนายของมันอีกครั้ง  หากมิใช่ถูกเหลียนอันสุ่ยปรามให้เงียบไว้คงส่งเสียงร้องอย่างคึกคักออกมาแต่แรก 
เมื่อได้อยู่บนหลังม้าที่คุ้นเคยจิตใจของเหลียนอันสุ่ยก็ปลอดโปร่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว  แววตามีความผ่อนคลายแทรกเข้ามาช้าๆ  อาการบริสุทธิ์สดชื่นที่สูดเข้าไปราวกับมีกลิ่นอายของอิสระและรสชาติของความทรงจำ

ฉีเซี่ยงหยวนอยู่บนม้าตัวโปรดของเขา  เยื้องไปทางด้านหลังย่อมต้องเป็นหลิวฉางเฟยที่ตามอารักขาใกล้ชิด 
หลิวฉางเฟยปวดหัวนิดหน่อยตอนจัดขบวน  จะให้เหลียนอันสุ่ยอยู่ใกล้ต้าอ๋องเกินไปก็ไม่เหมาะ  จะให้อยู่ห่างเกินไปก็คงมีคนไม่ยินยอม  เจ้าของปัญหาซึ่งก็คือคนที่ไม่ยินยอมคนนั้นตกลงใจไม่ได้และตัดสินใจแต่แรกว่าจะไม่ตกลงใจแต่ให้ลูกน้องเป็นฝ่ายปวดหัวแทน  ดังนั้นมันจึงกลายเป็นหน้าที่ของหลิวฉางเฟยที่ต้องตัดสินใจ 

...อันที่จริงหลิวฉางเฟยรู้สึกขึ้นมาตงิดๆว่าหากมิใช่เกรงข่าวจะไปถึงหูเหลียนจิ้งเต๋อ นายเหนือหัวที่ไม่เคยสนใจขี้ปากชาวบ้านมาก่อนคงจัดการเอาเหลียนอันสุ่ยมาผูกติดอยู่กับตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องคิดและตัดสินใจใดๆ
---------------------
ป่าตรงเชิงเขาของเป่ยชางอุดมสมบูรณ์  แฝงกลิ่นอายอันตรายและไม่ต้อนรับอยู่บ้าง  แต่สำหรับชาวเป่ยชางนั่นไม่ใช่ปัญหาและไม่เคยเป็นปัญหา ป่าที่ไม่ใช่ป่าสำหรับพวกเขาล่าสัตว์ไปก็ไร้รสชาติ  ดังนั้นชายป่าแถบตะวันตกจึงถูกฝีเท้าม้าที่เกิดจากการไล่ล่าทำจนปั่นป่วนไปทั้งผืน  นกกาที่อยู่อย่างเงียบสงบมานานโผปีกขึ้นด้วยความตื่นตระหนก  สัตว์บนผืนพิภพตื่นตระหนกยิ่งกว่าเพราะมันไม่มีปีก  เอาเป็นว่าหลังสร้างความวุ่นวายจนพออกพอใจ  ได้ของติดไม้ติดมือกลับมาจนพออกพอใจ  ก็ถึงเวลาตั้งกระโจมสร้างที่พักพิงชั่วคราวซึ่งปลอดภัยแน่นอนเพราะสัตว์ป่าทั้งละแวกหนีหายไปกันหมดไม่มีเหลือ

เหลียนอันสุ่ยแปรงขนม้าอยู่ที่อีกฟากของคอกที่สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ  ไกลออกไปเป็นม้าสีดำตัวใหญ่ปราดเปรียวที่ถูกผูกอยู่ตัวเดียวโดดๆ  เพราะเจ้าของที่ควบคุมมันได้ไม่อยู่  เจ้าร้อยราตรีจึงกลายเป็นม้าที่มีอาณาเขตเป็นของตัวเอง  ไม่ว่าครูฝึกคนไหนก็ไม่กล้าเข้าใกล้มันง่ายๆ
ตอนนี้จึงเป็นการล่าสัตว์ของจริงที่ไม่ได้กระทำบนหลังม้า  ม้าเป็นสัตว์ที่ตื่นตระหนกง่ายและเลือกที่จะหนีมากกว่าต่อสู้  ถึงแม้ม้าศึกส่วนใหญ่จะละนิสัยนี้ได้บางส่วนแล้วก็ตาม  แต่ฝีเท้าของมันยังคงดังเกินไปแม้กับดินที่อ่อนนุ่มของฤดูใบไม้ผลิ  นั่นจะทำให้ป่า ‘ตื่น’  ฉีเซี่ยงหยวนต้องการจะล่าสัตว์ใหญ่  ดังนั้นเดินเท้ากลับเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
 
การล่าสัตว์ของเจ้าแคว้นส่วนใหญ่ใช้วิธีให้คนต้อนสัตว์เข้ามาในอาณาเขต  ส่วนคนล่าเพียงกะจังหวะเล็งธนู  ยึดถือเป็นเกมกีฬาอย่างหนึ่ง  แต่การล่าสัตว์ของแคว้นเป่ยชางกลับทำให้เหลียนอันสุ่ยได้เปิดหูเปิดตาเพราะมันต้องใช้ฝีมือมากกว่านั้น  ใช้ความระมัดระวังและท้าทายกว่านั้น  ตัวเหลียนอันสุ่ยจริงๆเพียงต้องการขี่ม้าเล่น  ไม่ได้พิสมัยการล่าสัตว์  กระทั่งธนูคู่กายก็ไม่ได้หยิบมาด้วย  จึงมิได้ติดตามไป
แสงแดดสาดลงมาไม่แรงนัก  อากาศเริ่มชื้นขึ้นเล็กน้อย  ลมเย็นถูกไอแดดแผดใส่จนกลายเป็นความพอเหมาะ  ชวนให้ผู้คนรู้สึกเกียจคร้าน  แต่บรรยากาศที่น่ารื่นรมย์ถึงเพียงนี้คงไม่ทำให้ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางเกียจคร้านไปด้วยแน่  เสียงรายงานผลดังมาแว่วๆ  ฉีเซี่ยงหยวนได้กระต่าย 7 ตัว  กวาง 5 ตัว  หมูป่าอีกหนึ่ง  ส่วนหานญื่อหลัวได้เท่าฉีเซี่ยงหยวนทุกประการเพียงแต่หมูป่าตัวเล็กกว่าและกระต่ายน้อยกว่าอยู่ 2 ตัว  ตรวจนับกันไปได้อีกซักพัก  ไม่ว่าฉีเซี่ยงหยวนจะล่าเพิ่มมาได้อีกกี่ตัว  ระยะห่างยังคงเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  เห็นได้ชัดว่ากระต่ายสองตัวเป็นหานญื่อหลัวจงใจเว้นไว้ให้  เพราะหากล่าได้มากกว่าเป่ยชางอ๋องนั่นก็เป็นเรื่องบังอาจมากแล้ว 

เหลียนอันสุ่ยยิ่งฟังก็ยิ่งสั่นหัว  นี่เองสาเหตุที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่เลิกราคว้าธนูเข้าป่าไป  คิดไม่ถึงหานญื่อหลัวที่สุภาพมีมารยาทจะมีนิสัยชมชอบเอาชนะถึงเพียงนี้  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนสมควรใช้คำว่าชมชอบเอาชนะมาแต่กำเนิด  ซ้ำยังไม่ยินยอมด้อยกว่าคนที่เหม็นหน้าอย่างเด็ดขาด  เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายหากไม่มีใครยอมแพ้ก็คงไม่จบไม่สิ้น  มันอาจเป็นการปะทะกันของศักดิ์ศรี  หรืออาจเป็นเพราะหานญื่อหลัวจงใจยั่วโทสะของฉีเซี่ยงหยวน  แต่สุดท้ายที่ลงเอยคือความโชคร้ายของสิ่งมีชีวิตในป่าทุกชนิด

“นี่เอง ม้าของพี่สี่” เสียงที่ดังแว่วมาเป็นเสียงที่เหลียนอันสุ่ยไม่เคยได้ยิน  เหลือบตามองไปที่ไกลๆมีคนกลุ่มใหญ่แต่งตัวเห็นชัดว่าฐานะไม่ธรรมดาเดินเข้าใกล้คอกม้าชั่วคราวส่วนตัวของเจ้าร้อยราตรี  คนดูแลม้าที่ด้านข้างรีบเข้าไปรับหน้า  ท่าทีเหมือนทัดทานอะไรบางอย่าง  คิ้วเรียวยาวของเหลียนอันสุ่ยขมวดแน่น  หวังให้คนกลุ่มนั้นเชื่อวาจาล่าถอยไปเอง  จากปากของฉีเซี่ยงหยวน เจ้าร้อยราตรีนิสัยอันตรายอย่างมาก  เข้าใกล้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เด็ดขาด  มือของเหลียนอันสุ่ยยังคงใช้แปรงแปรงขนของเจ้าเหรียญทองไปช้าๆ  หูเงี่ยฟังสถานการณ์

“เป็นม้าที่ดี  สัดส่วนดีมาก  น่าเสียดายที่ม้ายิ่งดีเลิศยิ่งยากจะหาเจ้าของที่คู่ควร” วาจาดังในระยะประชิด  เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่มองม้าของเขาตาเป็นประกาย  และทราบในตอนนั้นว่าถึงแม้ตั้งใจจะไม่ตอแยเรื่องยุ่งยาก  แต่เรื่องยุ่งยากก็เหมือนมีความสามารถที่จะวิ่งมาหาเขาเอง
สั้งหู่ยิ่งมองก็ยิ่งพึงพอใจ  สายตาค่อยวกไปมองคน  กวาดขึ้นลงอยู่ซักพักค่อยทราบว่าตัวเองมองผิดไป  คนที่ม้วนแขนเสื้อทำความสะอาดม้ามิใช่เด็กเลี้ยงม้าอย่างที่เข้าใจในตอนแรก  เมื่อมองใกล้ๆจึงเห็นลายจางๆบนแขนเสื้อของอีกฝ่ายดูเป็นของมีราคา  แต่ว่า...ชาวเหลียน?  ดวงตาพลันปรากฏแววเหยียดหยามขึ้นมาวูบหนึ่ง
“ม้าตัวนี้เป็นของท่าน ? ”
“ใช่” เหลียนอันสุ่ยตอบเรียบๆ  จากนั้นหันกลับไปสนใจงานที่ทำอยู่เดิม
“ท่านซื้อมาเท่าไหร่” สั้งหู่ตัดสินได้ในตอนนั้นว่าบุคคลตรงหน้าคงเป็นแค่ชาวเหลียนร่ำรวยที่อาศัยความมั่งคั่งซื้อม้าชั้นดีเอาไว้อวดผู้คน  เหอะ  ขี่ยังไม่แน่ว่าจะขี่เป็น
“...ขออภัย  แต่ข้าไม่ขาย” ม้าตัวนี้เหลียนอันสุ่ยเลือกมากับมือตั้งแต่สมัยมันยังเป็นลูกม้า  ยิ่งโตคุณสมบัติยิ่งโดดเด่น  สายพันธุ์ที่ดีเยี่ยมทำให้แม้จะซื้อตั้งแต่ตอนเด็กราคายังคงสูง  แต่ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำเหลียนอันสุ่ยก็ไม่เคยมีความคิดจะขายต่อ

“ข้ายังคงยืนยันคำเดิม  ม้าชั้นดีความอยู่กับเจ้าของทีรู้ค่าของมัน  ส่วนท่าน...” กวาดตามองขึ้นลง แล้วพูดต่อ “ต้องขออภัยที่ข้าต้องพูดตามตรง  แต่ท่านดูแลม้าตัวนี้ไม่ได้หรอก  ท่านเห็นม้าสีดำตัวนั้นหรือไม่ ท่านอาจจะดูไม่ออก  แต่นั่นเป็นม้าชั้นเลิศในม้าชั้นเลิศ  ตัวของท่านยังนับว่าห่างไกล  ท่านเอาไปขายที่อื่นก็ไม่แน่ว่าจะได้ราคางามเท่านี้  ข้านับว่าหยิบยื่นโอกาสให้ท่านอย่างมากแล้วนะ” คำพูดสวยงาม แต่กลับฟังน่าขัดหูจนบอกไม่ถูก  หม่าหลงกับต้วนจินที่ถูกเหลียนอันสุ่ยบอกให้ช่วยแปรงขนม้าตัวอื่นดีกว่าอยู่เปล่าๆรับฟังจนขมวดคิ้ว  เหลียนอันสุ่ยกลับไม่สนใจ  มองตามสายตาของอีกฝ่ายไปยังม้าร้อยราตรี แล้วเอ่ยว่า
“ข้าเห็นพวกท่านมาด้วยกัน  คงรู้จักกับพวกเขาอยู่บ้าง  ม้าสีดำตัวนั้นกำลังหงุดหงิด  ท่านบอกพวกเขาอย่าเข้าใกล้มันจะดีกว่า” กลุ่มเด็กหนุ่มพวกนั้นที่เด็กสุดอายุสิบห้าสิบหก  ที่โตสุดอายุราวยี่สิบปลายๆ  ส่วนบุรุษตรงหน้าเขาสมควรเป็นคนที่อายุมากที่สุดในกลุ่ม  บางทีทั้งหมดอาจพอฟังคำพูดของอีกฝ่ายบ้าง

“ม้าตัวนั้นก็ดูหงุดหงิดตลอดเวลาอยู่แล้ว  ม้าป่าที่มากพยศก็เป็นแบบนี้ทุกตัว  ท่านไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวแทนพวกเขาหรอก” ยิ่งฟังวาจาเหลียนอันสุ่ยท่าทีของสั้งหู่เริ่มไม่เก็บงำความเหยียดหยาม “ชาวเหลียนเช่นท่านอาจไม่คุ้นชินกับม้า  แต่พวกเราไม่เหมือนกัน  นั่นเป็นสาเหตุที่ไม่ว่าอย่างไรแคว้นเหลียนก็ต้องพ่ายแพ้ต่อแคว้นเป่ยชางแน่...”
เสียงของสั้งหู่หายไปกลางคัน  เมื่อเสียงร้องโอดโอยที่ดังกว่าแทรกขึ้นมากะทันหัน

“เข้าหาม้าทางสะโพกม้าได้อย่างไร  ต่อให้มันกินหญ้าอยู่ก็ไม่มีทางมองไม่เห็น!” เหลียนอันสุ่ยพึมพำอย่างตื่นตระหนก  คนบาดเจ็บเป็นเด็กอายุสิบเจ็ดที่ไม่ควรจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ถึงเพียงนี้  เพียงแต่บุคคลกลุ่มนี้มีครึ่งหนึ่งเป็นลูกผู้ดีมีอันจะกิน  ต่อให้เป็นชาวเป่ยชางก็ไม่แน่ว่าจะได้คลุกคลีอยู่กับม้าซักเท่าไหร่ 

สั้งหู่ก็หันไปมองอย่างตกใจ  เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าร้อยราตรีส่งเสียงร้องยาวอย่างสะใจ  มันถูกผูกจนรู้สึกหงุดหงิด  แถมเจ้านายของมันยังทิ้งมันไปสนุกคนเดียว  ตอนนี้ได้ทำร้ายคนนับว่าได้แก้แค้น  ค่อยรู้สึกปลอดโปร่ง 
คนที่ถูกดีดกระเด็นออกมาเจ็บปวดจนเลือดขึ้นหน้า  แส้ม้าที่อยู่ในมือสะบัดขวับออกไปก่อนที่ใครจะทันทักท้วง  ฟาดเปรี้ยงลงบนตัวม้า 
เจ้าร้อยราตรีร้องเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวด  ท่าทีหงุดหงิดเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว  หันขวับถลาเข้าไป  แต่เพราะติดเชือกที่ล่ามไว้จึงได้แต่กระทืบเท้าตะกุยขาหน้า  ดิ้นรนอยากหลุดออกไปทำร้ายคนที่ทำให้มันเจ็บปวด  ดวงตากราดเกรี้ยว  ถ้ามันหลุดออกไปตอนนี้  ต้องไปกระทืบเด็กอายุสิบเจ็ดคนนั้นจนถึงตายแน่นอน

ความจริงตั้งแต่มันมาอยู่กับฉีเซี่ยงหยวนนิสัยพยศดุร้ายก็ลดทอนลงไปมากแล้ว  เมื่อครู่ที่มันดีดคนเป็นเพียงการระบายอารมณ์เล่น  แต่ไม่ได้กะให้ถึงตาย  แต่คราวนี้มันนับว่าเลือดขึ้นหน้าแล้วจริงๆ  ขนาดฉีเซี่ยงหยวนตอนฝึกมันยังไม่เคยใช้แส้ทำร้ายมันมาก่อน  เพราะฉีเซี่ยงหยวนทราบว่ากับม้าตัวนี้ยิ่งลงแส้ก็ยิ่งดุร้าย  ม้าตัวอื่นเจอสิ่งน่ากลัวจะหลบไป  แต่ม้าตัวนี้หากมันโกรธเกรี้ยวอยู่ไม่ว่าอะไรมันก็พุ่งเข้าใส่
เหลียนอันสุ่ยตัดสินใจในตอนนั้น  ทิ้งแปรงในมือ  เหวี่ยงตัวขึ้นบนหลังม้า  เจ้าเหรียญทองถูกนายของมันสะกิดทีเดียวก็กวดฝีเท้าพุ่งออกไป  ยามพุ่งตัวรวดเร็ว  หมุนเลี้ยวยิ่งปราดเปรียว  แต่เวลาถูกสั่งให้หยุดก็หยุดได้โดยทันทีเช่นกัน  เหลียนอันสุ่ยพลิกตัวลงจากหลังม้า  อิริยาบถที่ต่อเนื่องตามกันโดยไม่สะดุดนี้หยุดลงเมื่อร่างสูงโปร่งประจันหน้ากับม้าสีดำสนิท  ทุกคนในบริเวณล้วนอึ้งงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น 

แต่พอเหลียนอันสุ่ยก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง  คนฝึกม้าที่ถลาเข้ามาทันทีที่เกิดเหตุก็รีบฉุดรั้งไว้  ส่ายหน้าเป็นความหมายว่าอย่าเข้าไปในรัศมีของมัน  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้มองคนฝึกม้า  สายตาสงบกระจ่างของเขาจับนิ่งอยู่ที่ดวงตาสีดำที่สาดแววกรุ่นโกรธคู่นั้น  กล่าวเสียงเรียบชัดเจนว่า
“ร้อยราตรี  พอได้แล้ว”
เจ้าร้อยราตรีดูเหมือนจะจำไม่ได้  แม้ว่าช่วงเดินทางกลับแคว้นเป่ยชางเหลียนอันสุ่ยจะพอใกล้ชิดกับมันอยู่บ้าง  แต่ตั้งแต่ถึงแคว้นเป่ยชางเหลียนอันสุ่ยก็ไม่ได้เจอมันอีก  เท้าหน้าของมันยังคงย่ำตะกุยอย่างข่มขู่

หนึ่งม้าหนึ่งคนยืนจ้องตากันอยู่นานมาก  จนหม่าหลง ต้วนจินและสั้งหู่วิ่งตามมาถึงแล้วก็ยังคงจ้องกันอยู่อย่างนั้น  เห็นท่าทีของเจ้าร้อยราตรีสงบลงเล็กน้อย  สายตากวาดไปรอบตัวอย่างไม่กระโตกกระตาก  ทุกคนที่กลั้นหายใจดูอยู่คล้ายกับผ่อนลมหายใจออกมาเป็นจังหวะเดียวกัน  แต่ผ่อนได้ครึ่งหนึ่งก็ต้องชะงัก เบิกตาค้าง  เพราะเหลียนอันสุ่ย...เดินเข้าไปแล้ว
เหลียนอันสุ่ยเดินเข้าหามันตรงๆ  มือทั้งสองข้าไม่มีอาวุธใดๆ  ฝีเท้ามั่นคง  ไม่ช้าแต่ก็ไม่รวดเร็ว
“พระมาตุลา!” หม่าหลงกับต้วนจินตะโกนเป็นเสียงเดียวอย่างร้อนใจ  จะเดินเข้าไปรั้งไว้  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับเอ่ยว่า
“ไม่ต้อง  ถ้าพวกเจ้าเข้ามาข้าจะมีอันตราย” ตอนนี้เหลียนอันสุ่ยไม่ต้องการให้ม้าตรงหน้าเกิดความระแวงใดๆทั้งนั้น  ม้าที่เพิ่งถูกทำร้ายมีความระแวงที่สูงพออยู่แล้ว  แต่ตอนนี้ในใจคนคุ้มกันชาวเป่ยชางทั้งสองเพียงไม่ต้องการให้บุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าเป็นอะไรไป  ทั้งคู่ต่างลอบกลืนน้ำลาย  เข้าไปดี...หรือไม่เข้าไปดี?  ถ้าพระมาตุลาบาดเจ็บขึ้นมาหัวพวกเขาได้หลุดจากบ่าแน่คราวนี้

เจ้าร้อยราตรีเอียงคอน้อยๆ  คล้ายพยายามเพ่งมองให้ชัดขึ้น    ...ทุกคนในบริเวณสูดลมหายใจเข้าไปเป็นเสียงเดียวกัน
จังหวะที่มันพ่นลมหายใจออกมาพรืดหนึ่ง  ...ใจของทุกคนก็ไปกองรวมกันอยู่ที่ตาตุ่ม

ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อ  เพราะหลังจากนั้นม้าที่พยศจนมีชื่อเสียงโด่งดังกลับยืดคออกไปข้างหน้า  สูดจมูกเบาๆ  แล้วแตะจมูกกับมือของเหลียนอันสุ่ยที่ยื่นออกมา  ...อาการพูดไม่ออกมาเยือนทุกคนในบริเวณโดยพร้อมเพรียง

เหลียนอันสุ่ยยิ้มออกมาอย่างโล่งอก  มือลูบไปตามใบหน้าและลำคอของมันช้าๆ  คนที่โล่งอกกว่าคือหม่าหลงกับต้วนจิน  หม่าหลงก้าวขึ้นหน้าทำท่าจะเดินเข้าไป  แต่เจ้าร้อยราตรีหันขวับ  ดวงตาแวววาวจ้องร่างสูงใหญ่ของคนคุ้มกันชาวเป่ยชางเขม็ง  ทำให้หม่าหลงจำต้องหยุดอยู่แค่นั้น
เจ้าร้อยราตรียืนนิ่งๆให้เหลียนอันสุ่ยลูบอยู่ครู่หนึ่งก็สะบัดศีรษะไปด้านหลัง  คล้ายจะบอกให้อีกฝ่ายแก้เชือกให้มันหน่อย  เหลียนอันสุ่ยหัวเราะเบาๆบอกว่า ‘ไม่ได้’  เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น  เป็นเจ้าเหรียญทองที่ยืนดูอยู่นานเดินเข้ามา  เหลียนอันสุ่ยเห็นมันจึงนึกขึ้นมาได้ว่ายังแปรงขนให้ม้าของตัวเองไม่เสร็จ  แต่จะผละไปเจ้าร้อยราตรีกลับไม่ยินยอม  มันกวาดมองไปรอบตัวอย่างไม่ไว้ใจ  คล้ายกับบอกว่าให้เหลียนอันสุ่ยอยู่กับมันก่อน
“ไม่เป็นไรแล้ว  คนพวกนี้ไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
เจ้าร้อยราตรีพ่นลมหายใจออกมาพรืดหนึ่ง  คล้ายไม่เชื่อถือ...บางที  เหลียนอันสุ่ยคิดว่าบางทีมันอาจจะไม่ได้หมายความแบบนั้นก็ได้  ไม่เช่นนั้นมันก็ออกจะฉลาดเกินไปหน่อย
=======
Happy ending รึเปล่า?
แหมคำถามนี้แอบตอบยาก 
เพราะจบแฮปปี้ของแต่ละคนคำจำกัดความมันไม่เหมือนกัน555 
เอาเป็นว่าสุดท้ายสองคนนี้สมหวังในรักละกัน 
แต่แน่นอนว่าคำว่าสมหวังไม่ได้หมายความว่ามันสมบูรณ์พร้อม 

ยังไม่ได้เขียนตอนจบ แต่คิดไว้คร่าวๆแล้ว  แต่ถ้าใครเขียนนิยายจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรแน่นอนจนกว่าจะพิมพ์ออกมา :katai4:
เอาเป็นว่าลุ้นไปพร้อมกันละกันนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 42 .......................................17/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 18-09-2014 19:29:46
ขอแค่ให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในตอนจบก็พอค่ะ

ขอแค่นี้จริงๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 42 .......................................17/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: urmein ที่ 21-09-2014 20:16:50
นิยายเรื่องนี้คือ......เลอค่าาาาา
อ่านมาตั้งแต่เช้า เป็นสำนวนการเขียนที่สุดยอดมากๆค่ะ
อ่านแล้ววางไม่ลงจริงๆ เสียน้ำตาไปก็หลายฉาก คือรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของตัวละครค่ะ
บางตอนอ่านแล้วก็อยากจับพระมาตุลามาตีก้น ใจร้ายบ้างก็ได้ค่าาาา
ขอเป็นแฟนคลับและติดตามเรื่องนี้อีกคนนะคะ ><
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 43
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 22-09-2014 16:38:31

บทที่ 43 ล่าสัตว์(2)

ศึกระหว่างคนกับม้าจบลงอย่างมึนงง  แต่เรื่องระหว่างคนกับคนดูคล้ายจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น

เมื่อครู่ทุกคนล้วนถูกเจ้าร้อยราตรีกับคนที่หยุดมันสะกดเอาไว้  ตอนนี้เรื่องราวผ่านพ้นไปแล้ว  บุรุษชาวเป่ยชางกลุ่มนั้นยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเสียหน้า อดไม่ได้ต้องตวาดโดยยกฐานะเข้าข่ม
“บังอาจ!  เมื่อครู่กล้าใช้คำว่า ‘คนพวกนี้’ เรียกองค์ชายห้าเชียวหรือ  เจ้า...” พูดไม่ทันจบก็ถูกสายตาคู่หนึ่งปรามหนักๆ
เจ้าของสายตายิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า

“ที่แท้ท่านคือพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ข้าชื่อฉีเซี่ยงอวิ๋น  ขอบคุณที่ช่วยเพื่อนร่วมเรียนที่ไม่รู้ความของข้าไว้” คนกล่าววาจาเป็นเด็กหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม  แต่เขากลับเป็นผู้นำของทั้งหมด  น้องชายเพียงคนเดียวของฉีเซี่ยงหยวน...องค์ชายห้า
 
เค้าใบหน้าขององค์ชายห้าไม่ค่อยเหมือนฉีเซี่ยงหยวนนัก  เหลียนอันสุ่ยเคยเห็นองค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิงจากที่ไกลๆก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้าลานประหาร  เทียบกันแล้วฉีเซี่ยงหยวนยังเหมือนฉีเซี่ยงหมิงมากกว่า  บางทีอาจเป็นเพราะเด็กคนนี้เพิ่งอายุแค่สิบหกปี  ฉีเซี่ยงอวิ๋นมีใบหน้าที่อ่อนโยนกว่าฉีเซี่ยงหยวน  ดูเป็นมิตรกว่าท่าทีเด็ดขาดทรงอำนาจชวนครั่นคร้ามของพี่ชาย  จมูกที่เป็นสันตรงแบบเดียวกันเมื่ออยู่บนใบหน้าของฉีเซี่ยงหยวนดูยากตอแยแต่โดดเด่น  แต่พอมาอยู่บนใบหน้าฉีเซี่ยงอวิ๋นกลับให้ความรู้สึกกลมกลืนแต่แฝงความดื้อรั้นน้อยๆ

สรุปแล้วเหลียนอันสุ่ยไม่แน่ใจว่าสายตาของเขามีปัญหาหรือมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ  ฉีเซี่ยงอวิ๋นมีรูปลักษณ์ที่ดูดีกว่าฉีเซี่ยงหยวนชัดๆ  แต่ยิ่งมองกลับยิ่งรู้สึกถึงคำว่า ‘ทาบไม่ติด’ อย่างหนึ่ง

บางครั้งบุคลิกก็เป็นสิ่งที่ยากอธิบาย  มันไม่เกี่ยวกับว่าหน้าตาหล่อเหลาหรือไม่  มันเพียงเป็นผลจากประสบการณ์ที่หล่อหลอมให้ท่านเป็นท่าน !
---------------------
กระโจมใหญ่ถูกเลิกขึ้น  เสียงคนในกระโจมดังลอดออกมา
“ตามหมอมาดูคนเจ็บแล้วใช่หรือไม่  บอกให้เขารีบพักรักษาตัว  อาญาจะตามมาแล้ว  เขาไม่ควรลงมือกับม้าของพี่สี่เลย...สั้งหู่เล่า?” ฉีเซี่ยงอวิ๋นเอ่ยถามเมื่อกวาดมองทั่วๆแล้วหาคนไม่พบ
ทุกคนสั่นศีรษะเป็นความหมายว่าไม่ทราบ
“ข้าเห็นเขาหงุดหงิดถือธนูออกไป  คาดว่าคงไปหาที่ระบายอารมณ์” คนผู้หนึ่งตอบ
พวกเขากำลังดื่มชาดับกระหายในกระโจมชั่วคราว  แน่นอนว่าส่วนหนึ่งใช้เพื่อสาดรดชำระล้างความรู้สึกเสียหน้าครั้งใหญ่ภายในใจด้วย
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่พอใจ  แต่อย่าให้ข้าเห็นใครไปตอแยเชื้อพระวงศ์ชาวเหลียนผู้นี้” จู่ๆฉีเซี่ยงอวิ๋นก็ใช้น้ำเสียงเด็ดขาดที่ไม่เข้ากับใบหน้าของเขาเอ่ยขึ้นมา
“เหอะ แคว้นก็สิ้นไปแล้ว  ยังจะเป็นเชื้อพระวงศ์อะไรอยู่อีก  เราไม่เห็นต้องเกรงใจ...”

“บิดาของเจ้าอำนาจยิ่งใหญ่นักหรือ?  หรือเจ้าไม่เห็นว่าคนที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาคือหม่าหลงกับต้วนจิน?”
บรรยากาศชะงักค้างไปวูบหนึ่งกับคำพูดขององค์ชายห้าแห่งแคว้นเป่ยชาง  คนส่วนใหญ่ย่อมต้องเคยได้ยินชื่อหม่าหลงกับต้วนจินมา  แต่มีไม่มากที่เคยเห็นหน้าและจดจำได้
“ดังนั้นอย่าให้ข้ารู้ว่าใครกล้าขัดคำสั่ง  เพราะข้ายังไม่ต้องการเป็นศัตรูกับเป่ยชางอ๋อง” ฉีเซี่ยงอวิ๋นกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย  พลางดื่มน้ำชาในมือลงไป  สีหน้าท่าทางไม่ได้ใส่ใจนัก  แต่เนื้อหาในคำพูดกลับสะกดคนทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
---------------------
บางทีอาจเป็นโชคชะตากำหนดมาแล้วว่าต้องเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น  สั้งหู่ที่อารมณ์เสียอย่างหนักเดินเข้าป่าไปๆมาๆกลับเจอเหลียนอันสุ่ยที่ริมธารน้ำตก

ด้านหลังของเหลียนอันสุ่ยยังคงติดตามด้วยหม่าหลงกับต้วนจิน  หวังเชียนไม่ได้มาในการล่าสัตว์ครั้งนี้เพราะชาวเหลียนหลายคนเกินไปเป็นจุดเด่นได้โดยง่าย  ริมธารน้ำตกใสเย็น  เหลียนอันสุ่ยพาเจ้าเหรียญทองออกมาหาน้ำสะอาดกินด้วยไม่ต้องการอยู่ฟังคำพึมพำต่างๆนานาที่เกิดจากเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อครู่  ภาพม้าสีน้ำตาลกับคนในชุดสีครามสะท้อนเงาลงบนผิวน้ำ  ดูสงบสุขผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก  แต่สั้งหู่กลับยิ่งมองก็ยิ่งขัดตา  ต้องเดินออกไปหาเรื่องรังควาน

“ที่แท้ท่านมีศักดิ์ฐานะเป็นถึงพระมาตุลา  คราวแรกข้ากลับมองเห็นเป็นคนเลี้ยงม้าไปซะได้” คำพูดคล้ายกล่าวล้อเล่นแต่ใจความกลับฟังขัดหูอีกแล้ว
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆไม่ได้ตอบคำ  เขามิใช่คนชอบต่อปากต่อคำกับผู้อื่นด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้
“ว่าแต่ท่านมาล่าสัตว์หรือมาดูแลม้ากันแน่  ทำไมไม่เห็นท่านพกพาธนูเล่า?” สั้งหู่หาคิดหนทางกู้หน้าคืนได้  สีหน้าจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อยขณะเอ่ยวาจา
“สัตว์ล้วนถูกพวกท่านล่าไปหมดแล้ว  เอาธนูมาก็คงไม่มีประโยชน์” เหลียนอันสุ่ยไม่อยากตอแยเรื่องยุ่งยากจึงกล่าวเป็นเชิงยกยออีกฝ่าย
จริงดังคาดสั้งหู่มีสีหน้าพึงพอใจ  แต่กลับยังคงไม่เลิกดึงดัน  กล่าว
“มีประโยชน์แน่นอน  เพราะข้าอยากพนันกับท่านเรื่องหนึ่ง  เห็นฝีมือท่านจัดการกับม้าข้าก็...เลื่อมใสนัก  เชื่อว่าฝีมือธนูของท่านคงไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน  ข้าอยากพิสูจน์ฝีมือของตัวเองมานานแล้ว  พอดีได้ท่านมาเป็นคู่มือที่สมน้ำสมเนื้อ  ส่วนเดิมพันก็ใช้ม้าตัวนั้นของท่านเป็นอย่างไร  หากข้าแพ้จะยอมยกม้าคู่ใจของข้าให้ท่านเช่นกัน” คำว่า ‘เลื่อมใส’ สั้งหู่กัดฟันทำใจอยู่นานค่อยเอ่ยออกมา  ม้าของเหลียนอันสุ่ยตัวนี้ตอนแรกสั้งหู่แม้อยากได้มา  แต่ตอนนี้กลายเป็นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอามาให้ได้  จึงพอจะชดเชยความรู้สึกเสื่อมเสียหน้าที่ได้รับ

เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป เดิมพันนี้เขาไม่ต้องการ  ปัญหาคือจะหลบเลี่ยงอย่างไร
“ขอโทษด้วย  ข้าไม่ได้เอาธนูมา  เกรงว่า...”
“ท่านสามารถใช้ธนูของข้าได้  พวกท่านชาวเหลียนคงมิใช่กระทั่งยิงธนูก็ยิงไม่เป็นหรอกนะ  เช่นนั้นออกจะเป็นที่น่าผิดหวังของผู้คนแย่” พอเห็นสีหน้าลำบากใจของอีกฝ่ายสั้งหู่ก็ตีความไปเอง “...หรือว่าท่าน...จะยิงไม่เป็นจริงๆ ? ” กล่าวพลางเลิกคิ้วสูง  ในใจของสั้งหูเพิ่มพูนความมั่นใจว่าฝีมือธนูของเหลียนอันสุ่ยต้องใช้การไม่ได้จึงไม่กล้าพนัน  ดังนั้นเขาจึงยิ่งต้องไล่ต้อนอีกฝ่ายด้วยอารมณ์สะใจ

ต้วนจินทนไม่ไหวคิดเอ่ยปาก  แต่กลับถูกสายตาของเหลียนอันสุ่ยปรามไว้
“เอ่ยถึงม้าคู่ใจตัวนั้นของแม่ทัพสั้งข้าเองก็อยากได้มิใช่น้อย  ในเมื่อพระมาตุลาไม่มีธนู  ให้ข้าพนันแทนเป็นอย่างไร?” เสียงที่สั้งหู่จวบจนตายก็ไม่ลืมเลือนดังขึ้น  เป็นเจ้าหนอนน่ารังเกียจปากร้ายแซ่มู่ !

เมื่อมู่ซางปรากฏตัว  สั้งหู่ก็มีสีหน้าขาวจนเขียว  เขียวแล้วเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ  สั้งหู่มักรู้สึกว่าตัวเองมีไหวพริบมากแผนการ  แต่เจ้าคนแซ่มู่กลับกลอกกลิ้งกว่าเขาอยู่ขั้นหนึ่ง  สั้งหูเป็นแม่ทัพที่มีฝีมือโดดเด่นไม่น้อย  แต่ปัญหาคือมู่ซางยิ่งมายิ่งก้าวหน้า  เอาเป็นว่าถึงแม้ชาติตระกูลของสั้งหู่จะเหนือกว่า  อายุก็มากกว่า  แต่ถ้ายังมีเจ้าเด็กแซ่มู่ขวางทางอยู่ตำแหน่งดีๆที่เขาสมควรได้รับก็ถูกคนตรงหน้ากวาดไปจนเรียบ

หากไม่ว่าจะเกลียดชังถึงขั้นไหน  สั้งหู่ก็รู้ดีว่าเดิมพันนี้ไม่อาจเปลี่ยนเป็นมู่ซาง  ถึงแม้ทุกเรื่องที่มู่ซางเหนือกว่าเขาสั้งหู่จะโทษว่าเป็นเพราะความกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์  แต่ฝีมือยิงธนูของมู่ซางเป็นของจริง  ทั้งกองทัพไม่มีใครเทียบได้  ถ้าพนันกันม้าคู่ใจตัวนี้ของเขาต้องสูญเสียไปแน่นอน

“เรื่องแบบนี้จะแทนที่กันได้อย่างไร  ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่ได้เห็นฝีมือของคนแคว้นเหลียนน่ะสิ  ข้าเชื่อนะว่าชาวเหลียนถึงจะไม่ได้ดีเด่นในเรื่องพวกนี้แต่ก็น่าจะพอมีคนมีฝีมืออยู่บ้าง” คำพูดของสั้งหู่สุดทนฟังมากขึ้นเรื่อยๆ  เหลียนอันสุ่ยไม่ชอบมีเรื่องกับคนอื่น  แต่พอได้ยินคำว่า ‘ชาวเหลียน’ ทีก็ต้องกำมือแน่นเข้า  สำหรับเหลียนอันสุ่ยดูถูกเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่  แต่วาจาทำลายศักดิ์ศรีของแคว้นเหลียนเป็นสิ่งที่ยากทนทานได้  หม่าหลงที่สงบนิ่งอยู่ด้านข้างนึกอยากใช้ด้ามดาบกระแทกปากคนขึ้นมา  ดีที่ว่ามู่ซางเอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน...

“ข้าว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับเป็นคนแคว้นไหน  ฝีมือยิงธนูดีก็คือตั้งใจฝึกฝน  ฝีมือยิงธนูดีมากแบบข้าคือพรสวรรค์  ส่วนพวกที่ฝึกฝนแทบตายแต่ยังฝีมือใช้ไม่ได้...บางทีคงเป็นเพราะความโชคร้ายกระมัง” ตอนพูดคำว่า ‘ฝึกฝนแทบตายแต่ยังฝีมือใช้ไม่ได้’ สายตาของมู่ซางจรดลงบนตัวสั้งหู่อย่างชัดเจน  ประโยคนี้ไม่ได้ด่าคนตรงๆซักครึ่งคำ...แต่ด่าตรงๆบางทีอาจเจ็บน้อยกว่า
“ช่างเถอะ  ข้าจะพนันกับท่าน” คำพูดนี้กลับกล่าวออกมาจากปากของเหลียนอันสุ่ย  เหลียนอันสุ่ยไม่ทราบว่าทำไมบุรุษที่เขาไม่รู้จักผู้นี้จึงกล่าววาจาแทนเขา  แต่นิสัยของเหลียนอันสุ่ยไม่ต้องการให้ใครตอแยเรื่องยุ่งยากเพราะเขาเสมอมา

“...” มู่ซางกระพริบตา  ในเมื่ออีกฝ่ายไม่รับน้ำใจ  เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว 
ส่วนสีหน้าของสั้งหู่กลับลอบลิงโลดอยู่ในใจ  หมายมั่นว่าต้องเอาคืนจนเหลียนอันสุ่ยรู้สึกอับอายขายขี้หน้าในฝีมืออันต่ำต้อยของตัวเอง
---------------------
เพียงแต่คราวนี้สั้งหู่นับว่าตอแยผิดคนผิดเรื่องอีกแล้ว

ทั้งหมดย้ายออกมาเพื่อหาทำเลเหมาะๆประลองฝีมือยิงธนู  รอบของสั้งหู่ยิงออกไปก่อน  แม่นยำอย่างยิ่ง  ถูกเป้าหมดสิ้น  ยืนมองอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง...แต่รอยยิ้มกลับพลันแข็งค้างอยู่แค่นั้น
‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ’ ผลไม้สุกงอมที่อยู่ไกลออกไปลิบๆซึ่งกำหนดเป็นเป้าธนูถูกสอยร่วงลงมาจนหมดสิ้น 
สั้งหู่เองก็ยิงได้สามลูกไม่มีพลาด  เพียงแต่เขากะเล็งแล้วก็ยิงอยู่พักหนึ่ง  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับยิงต่อเนื่องตามกันถูกเป้าโดยไม่ลำบากกินแรง  สีหน้าท่าทางสงบราบเรียบเป็นอย่างมากราวไม่ได้กระทำเรื่องยิ่งใหญ่อันใด  การพาดธนูขึ้นสายแต่ละครั้งชำนาญอย่างยิ่ง  การยิงแต่ละครั้งก็แม่นยำอย่างยิ่ง  มู่ซางชมดูจนตาเป็นประกาย
 
‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ’ ไม่ทันที่สั้งหู่จะได้หายตื่นตกใจ  ธนูในมือของเหลียนอันสุ่ยก็ยิงออกไปอีกแล้ว  คราวนี้เป็นผลไม้ที่อยู่ห่างออกไปอีกห้าศอก 

“...ไม่ต้องแข่งขันแล้วกระมัง ข้าว่าได้ผู้ชนะแล้ว” มู่ซางเอ่ย
“แค่ไกลกว่าใช่สามารถตัดสิน  ข้าเองก็สามารถ...”
“แค่ไกลกว่าอะไร  ตัวท่านเล็งผลไม้  แต่พระมาตุลากลับเล็งที่ขั้ว  ความต่างชั้นยังไม่ชัดเจนอีกหรือ  ฝีมือเช่นนี้ท่านทำได้หรือ ?”
“ขั้วอะไรกัน  เป็นไป...” ไม่ได้  สั้งหู่พูดไม่จบประโยคเพราะเริ่มมีความไม่มั่นใจ  ทุกคนต่างทราบว่าการจะมีฝีมือยิงธนูที่ดีต้องมีสายตาแหลมคมด้วย  สายตาของมู่ซางมองได้ไกลชนิดที่ว่ามีข่าวลือว่าเวลามองใกล้มู่ซางกลับมองได้ไม่ชัดเจนเท่า

เมื่อต้วนจินเก็บผลไม้ที่ถูกยิงกลับมา  ทั้งหมดก็พิสูจน์ยืนยันความจริงข้อนี้  ผลไม้ของสั้งหู่มีลูกธนูปักอยู่  แต่ผลไม้ของเหลียนอันสุ่ยกลับถูกตัดที่ขั้วทุกผล !
เหลียนอันสุ่ยส่งธนูคืนให้กับเจ้าของ สั้งหู่รับธนูมาด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ  รู้สึกพ่ายแพ้อย่างยับเยิน  พระมาตุลาที่เขาเข้าใจว่ารังแกง่ายผู้นี้  ไหนเลยมีเรื่องที่รังแกได้  แต่ยังอดมิได้ต้องร้องดังๆออกไป
“ยิงต้นไม้ผลไม้มีประโยชน์อะไร  ในสนามรบใช้จริงไม่ได้ซักอย่าง!”
เหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้ว  เขาไม่ชอบฆ่าสัตว์  แต่คนผู้นี้เหตุใดยิ่งมาก็ยิ่งพาล  ขณะจะกล่าวอะไรมู่ซางก็สะกิดเขา  กล่าวว่า
“ใช้ธนูข้า  ธนูคนอ่อนปวกเปียกพรรค์นั้นยิงไปก็ไม่ถึงหรอก” พูดจบก็พยักเพยิดไปยังนกสองตัวที่บินอยู่บนฟ้าอย่างแตกตื่น  คาดว่าเสียงธนูกับเสียงคนเมื่อครู่คงทำมันขวัญกระเจิง
“ข้าไม่...” เหลียนอันสุ่ยคิดจะกล่าวปฏิเสธ
“ท่านคิดจะให้คนบางประเภทหุบปาก  ทางที่ดีคือป้อนเขาให้อิ่มหนำ  นกพิราบสองตัวนั้นพอดีทำกับข้าวได้จานหนึ่ง” คำพูดล้อเล่นของมู่ซางทำให้เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจ  เอาเถอะล่ามาเป็นอาหารยังดีกว่าล่าสัตว์เป็นการละเล่น
เหลียนอันสุ่ยง้างคันธนูได้ครึ่งหนึ่งก็ต้องอุทานเบาๆว่า “คันธนูที่ดี”
มู่ซางยิ้มรับคำชมนั้น  ทั้งคู่คล้ายไม่ร้อนใจที่นกสองตัวนั้นบินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
‘ฟุบ’ คราวนี้เป็นเสียงเดียว  แต่ธนูกลับถูกยิงออกไปสองดอกจากคันธนูเดียวกัน  และถูกเป้าหมายโดยไม่ผิดพลาด  ฝีมือนี้หมดจดยิ่งกว่า  เพียงพอจะให้ตื่นตะลึงได้จริงๆ

สั้งหู่มองคนสองคนตรงหน้า  ดวงตาทอประกายคั่งแค้นจากการถูกหักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ธนูลอบพาดสายอย่างเงียบเชียบ  ความคิดชั่วร้ายประการหนึ่งผุดขึ้นมา  หากเขาคิดยิงกวางแต่พลาดไปโดนตัวประกันแคว้นเหลียนคนหนึ่ง  นั่นต้องเป็นเรื่องช่วยไม่ได้...
‘ฟุบ’ ธนูพุ่งออกไปแล้ว  ทุกคนล้วนไม่ทันระวังคาดไม่ถึง
ในชั่วขณะนั้นคนเป็นเป้าธนูกลับถูกแรงหนึ่งกระชากตัวไปทางซ้าย  เงาร่างสีดำสูงใหญ่บดบังสายตาจากทุกสิ่ง  เสียงอุทานของคนกลุ่มใหญ่ที่ตามหลังมาดังโดยพร้อมเพรียง
“ต้าอ๋อง!!”
หยดเลือดหยดหนึ่งหยดลงบนพื้นช้าๆ  ป่าทั้งป่ากลายเป็นสงัดงัน
เหลียนอันสุ่ยถูกแขนขวาอันทรงพลังของฉีเซี่ยงหยวนกระชากเข้ามาในอ้อมแขน  ตัวของฉีเซี่ยงหยวนบังอยู่เบื้องหน้า  ธนูดอกนั้นกลับปักอยู่บนแขนซ้ายที่ยกขึ้นป้อง
‘โครม’ เสียงสั้งหู่ทรุดลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นแล้ว  ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีวันนึกถึงว่าธนูดอกนั้นจะกลายเป็นความผิดฐานประทุษร้ายเป่ยชางอ๋องไปได้!

ฉีเซี่ยงหยวนหักหางธนูทิ้งไปอย่างไม่ใยดี  มองคนบนพื้นด้วยสีหน้าเยียบเย็น  ตอนเขาได้รับรายงานว่าเจ้าร้อยราตรีอาละวาดและคนที่หยุดมันได้เป็นพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็รีบร้อนกลับมา  ถึงทุกคนจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเหลียนอันสุ่ยไม่ได้รับอันตรายใดๆแต่เขายังคงไม่วางใจต้องเห็นด้วยตัวเอง  คิดไม่ถึงออกมาตามหากลายเป็นพบว่า...สายตาของฉีเซี่ยงหยวนเย็นเฉียบลงจนคล้ายแผ่นน้ำแข็งบางๆที่พร้อมจะปะทุออกมาเป็นเปลวเพลิง

หน้าผากของสั้งหู่แนบสนิทกับพื้นไม่กล้าเงยขึ้นมา  ร้องว่า
“ข้าน้อยไม่ทราบว่าต้าอ๋องผ่านมาทางนี้  ข้าน้อยเพียงเห็นกวาง...”
“อ้อ  หมายความว่าเป็นความผิดของข้าที่เข้ามาขวางทางธนูของเจ้าเองสินะ” หึ เห็นกวาง...ตั้งใจจะยิงคนเสียมากกว่า
“ข้าน้อยไม่กล้า  ข้าน้อย...”

ไม่ว่าจะแก้ตัวอย่างไรความผิดฐานบังอาจทำร้ายพระวรกายเป่ยชางอ๋องก็ไม่อาจลบล้างไปได้  ต่อให้เป็นความไม่ตั้งใจ  เป็นความบังเอิญ  ก็ต้องชดใช้!
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 44
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 22-09-2014 17:04:39

บทที่ 44 ทำแผล

‘กฎเกณฑ์มีไว้ว่าอย่างไรตัดสินโทษตามนั้น’ คำกล่าวของฉีเซี่ยงหยวนกล่าวอย่างชัดเจน  ได้ยินโดยทั่วกัน
 
โทษของคนที่ขโมยของในเขตพระราชฐานคือตัดมือ  โทษของคนที่ประทุษร้ายเป่ยชางอ๋องคือตัดหัว  แม้มิได้เจตนายังคงต้องถูกตัดหัวอยู่ดี  เพียงแต่หากเจตนาเรื่องจะใหญ่ลามไปจนถึงประหารล้างตระกูล  กฎอันนองเลือดเฉียบขาดนี้มีเพียงเมตตาของเป่ยชางอ๋องจึงพอบรรเทาได้  น่าเสียดายที่เมตตาของเป่ยชางอ๋องในคราวนี้จะไม่เกิดขึ้นเป็นอันขาด  แค่คิดว่าธนูดอกนั้นอาจปลิดชีวิตเหลียนอันสุ่ย  ฉีเซี่ยงหยวนก็โมโหจนอยากจะฆ่าคนแล้ว  คำทัดทานอ้อนวอนใดจึงไม่มีประโยชน์
---------------------
กระโจมหลักของเป่ยชางอ๋องกินพื้นที่กว้างราวกระโจมทั่วไปสามกระโจมรวมกัน  ภายในมีฉากไม้กั้นแบ่งออกเป็นสัดส่วน  หากยกฉากกั้นทั้งหมดออกไปสามารถใช้แทนท้องพระโรงสำหรับการประชุมย่อย  นี่แสดงขนาดอันไม่ธรรมดาของมันเป็นอย่างดี  ในกระโจมทั้งหมดที่เรียงรายอยู่ด้านนอกมีเพียงกระโจมรวมตรงกลางซึ่งใช้งานไม่ต่างกับท้องพระโรงเคลื่อนที่เป็นกระโจมหนึ่งเดียวที่ใหญ่กว่า  เย็บขึ้นจากหนังสัตว์มากกว่าร้อยผืนด้วยฝีมือช่างในรัชสมัยก่อน

หมอหลวงประจำพระองค์ของเป่ยชางอ๋องมาถึงอย่างรวดเร็ว  กำลังถอนหัวธนูออกจากบาดแผล  ความจริงหากท่านหมอลั่วมาช้ากว่านี้เพียงก้าวเดียว  ฉีเซี่ยงหยวนคงจัดการถอนลูกธนูออกเองไปแล้ว  การถูกธนูปักแค่ดอกเดียวสำหรับฉีเซี่ยงหยวนเรียกได้ว่าเล็กน้อยเป็นอย่างมาก  เคยเจอมาจนคุ้นชินเป็นอย่างมาก  ตอนที่ใช้มีดกรีดเสื้อออกเพื่อให้ทำความสะอาดแผลได้ง่าย  แผลเป็นทุกรอยที่ปรากฏบนร่างแกร่งล้วนหนักหนากว่าแผลธนูแผลนี้ทั้งสิ้น

หัวธนูชุ่มเลือดถูกวางลงบนถาดไม้  เลี่ยฝูที่ติดตามมาช่วยอาจารย์เช่นเคยรีบหยิบผ้าสะอาดส่งให้ผู้เป็นอาจารย์เช็ดมือ  น้ำสะอาดที่จะใช้ล้างแผลยังไม่เสร็จดี  เพราะเหลียนอันสุ่ยยืนยันให้เติมเกลือลงไปอีกเล็กน้อย  เนื่องจากชาวเหลียนมีความเชื่อว่าเกลือสามารถทำให้บาดแผลสะอาดได้  เดือดร้อนหลิวฉางเฟยต้องรีบรุดไปเอามา

คนเป็นเป่ยชางอ๋องมองคนนู้นที  คนนี้ที  ต่างคนต่างดูยุ่งวุ่นวายกับบาดแผลเล็กน้อยของตัวเขา 
 “ได้ยินว่าพระมาตุลาไปช่วยงานที่โรงหมอ  ไม่ทราบพอจะช่วยงานท่านได้บ้างหรือไม่”
ท่านหมอลั่วที่เพิ่งเช็ดมือเสร็จ  กำลังส่งถาดใส่หัวธนูให้เลี่ยฝูผู้เป็นลูกศิษย์ยกออกไป  เงยหน้าขึ้นมาก็เจอกับคำถามนี้ของเป่ยชางอ๋องพอดี  จึงตอบว่า
“ความรู้ทางการแพทย์ของแคว้นเหลียนลึกล้ำไพศาล  พระมาตุลาช่วยได้อย่างมากจริงๆ  ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติล้วนแปลกใหม่ได้ผล” หมอหลวงใหญ่อายุอานามไม่น้อยแล้ว  สายตาย่อมลึกล้ำไม่ธรรมดา  ทำไมจะมองไม่ออกว่า  บุรุษสูงศักดิ์สองคนที่อยู่กันคนละแคว้นตรงหน้ามีระดับความสนิทสนมที่เหนือธรรมดา  ดีไม่ดีเป็นฉีเซี่ยงหยวนเองนั่นแหละที่ฝากเหลียนอันสุ่ยเข้ามาช่วยงานที่โรงหมอ  ถึงเบื้องหน้าเหลียนอันสุ่ยจะถูกผู้อื่นแนะนำมาก็เถอะ

ผู้ถูกเอ่ยถึงยิ้มบางๆพลางตอบว่า
“ท่านหมอหลวงใหญ่ยกยอไปแล้ว  เพียงความรู้ของเป่ยชางก็กว้างขวางยิ่ง  และเหลียนอันสุ่ยไหนเลยจะมีความสามารถปานนั้น”
“ท่านมักถ่อมตัวเสมอ  อันที่จริงถึงท่านจะบอกว่าเรียนมาเพียงเล็กน้อย  แต่ความสามารถของท่านไม่มีทางด้อยกว่าแพทย์ฝึกหัดคนหนึ่งเด็ดขาด” กล่าวขณะใช้ผ้าอีกผืนซับที่บาดแผลที่ใช้น้ำเกลือล้างไปเมื่อครู่อย่างเบามือ

ฉีเซี่ยงหยวนซึ่งเปิดประเด็นมา  รอคอยจังหวะอยู่แล้ว  ได้ทีกล่าวขึ้นว่า
“เช่นนั้นแผลเล็กน้อยแค่นี้  การเปลี่ยนผ้าพันแผลแต่ละครั้งก็ให้เขาทำแทนท่านเถอะ”
หา  ทุกคนที่ก้มหน้าทำงานของตัวเองเงยขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย

“นี่...” หัวหน้าหมอหลวงคิดเอ่ยปากแย้ง  แต่กลับถูกประโยคที่ตามหลังมาของฉีเซี่ยงหยวนทับไปอย่างรวดเร็ว
“แผลนี้ข้าได้มาเพราะเขา  ให้เขารับผิดชอบก็สมควรอยู่  อีกอย่างเขาเป็นสหายสนิทของข้า ให้เขาทำจะสะดวกข้ามากกว่า  ท่านหมอหลวงใหญ่เองก็จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมากับงานเล็กน้อยที่สิ้นเปลืองฝีมือของท่านอย่างยิ่ง  ท่านเองก็รับรองความสามารถของเขากับข้าแล้ว  เรียกได้ว่าต่างวางใจ”

แล้วกัน  ตำแหน่งแพทย์ประจำพระองค์ของเขาเอาไว้ทำอันใด  มิใช่รักษาคนตรงหน้าหรอกหรือ  หมอหลวงใหญ่อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา  ไม่มีปัญญาจะเอ่ยแย้ง
ฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยอย่างจริงจังว่า
“ในโรงหมอมีราษฎรที่อาการหนักอีกมากมาย  พวกเขาล้วนต้องการท่านมากกว่าข้า  การให้ท่านเทียวไปเทียวมารักษาข้าแต่เพียงผู้เดียวเป็นกฎเกณฑ์ที่เห็นแก่ตัว  กับกฎเกณฑ์เช่นนี้ท่านอย่ายึดติดนักเลย”
สีหน้าของหัวหน้าหมอหลวงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  ดวงตาชราภาพมีแววชื่นชมจากใจจริง  ต้าอ๋องที่ใจกว้างเข้าใจความเป็นจริงเช่นนี้  นับเป็นความโชคดีใหญ่หลวงของราษฎร

แน่นอนว่าความใจกว้างก็ส่วนหนึ่ง  ในใจของฉีเซี่ยงหยวนยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่อีกส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน  มองหมอหลวงใหญ่ปาดพอกยาลงบนบาดแผลของเขา หางตาเหลือบมองสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกของเหลียนอันสุ่ย  ในหัวขบคิดแผนการขั้นต่อไป
จนถึงตอนที่เลี่ยฝูกางแถบผ้าพันแผลออก  ฉีเซี่ยงหยวนก็เอ่ยขึ้นว่า
“ข้ามีเรื่องสำคัญบางอย่างต้องเอ่ยกับพระมาตุลา  พวกท่านออกไปรอด้านนอกก่อนเถิด”
เลี่ยฝูจึงได้แต่ส่งผ้าแถบนั้นให้กับเหลียนอันสุ่ย  ทั้งหัวหน้าหมอหลวงทั้งผู้เป็นศิษย์ต่างล่าถอยออกไปรอที่ด้านนอกของฉากกั้น  หลิวฉางเฟยก็ติดตามออกไปด้วย  ปล่อยให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง

เหลียนอันสุ่ยเดินเข้ามาพันแผลให้กับอีกฝ่ายช้าๆ  คิดจะเอ่ยปากขอความเมตตาให้กับสั้งหู่ด้วยความเคยชิน  แต่พอเหลือบเห็นแผลบนต้นแขนแกร่งกลับมิได้เอ่ยอันใดออกไป  แผลธนูนี้แม้ไม่ใหญ่  แต่ลูกธนูหนึ่งดอกสามารถปลิดชีวิตคนได้จริงๆ  ฉีเซี่ยงหยวนเอาตัวเข้ามาป้องกันเขา  ไม่ว่าผู้ใดก็บอกไม่ได้ว่าธนูดอกนี้จะแล่นไปปักเข้าที่ตรงไหน  ถ้าเกิด...  มือของเหลียนอันสุ่ยพลันไม่นิ่งขึ้นมา  เอ่ยเบาๆว่า
“ท่านไม่ควรทำเช่นนี้”
“...” ฉีเซี่ยงหยวนมองท่าทีสงบของอีกฝ่ายกับระลอกสั่นไหวในแววตา  ใบหน้าคมคายยังคงมีรอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี  จับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง
เหลียนอันสุ่ยกล่าวแต่ละคำพูดออกมาจากลำคออย่างยากลำบากว่า
“ต้าอ๋อง  ท่านเป็น ‘ต้าอ๋อง’  ในมือท่านคือแคว้นเป่ยชาง  แต่ชีวิต...ถ้าไม่มีแล้ว  ไม่ว่าอันใดก็ไม่มีเลย  ดังนั้นจะทอดทิ้งไปง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร” จะเลือกเช่นนี้ได้อย่างไร  ระหว่างแคว้นเป่ยชางกับข้า...
“ข้าไม่เป็นอะไรเสียหน่อย  ไม่ต้องคิดมากไปขนาดนั้น”
แต่สีหน้าของเหลียนอันสุ่ยไม่มีแววล้อเล่นด้วย  ขณะผูกปมผ้าพันแผลอย่างชำนาญ ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจพลางกล่าวว่า
“บางทีถ้ามีเวลาไตร่ตรองมากกว่านั้น  ข้าอาจไม่เลือกทำเช่นนี้ก็ได้  แต่ตอนนั้นทุกอย่างกะทันหันยิ่ง  และแขนขาของข้าก็ดูจะขยับไปเอง”
สีหน้าของเหลียนอันสุ่ยดีขึ้น  ในใจกลับมีความรู้สึกอื่นมากมายที่อธิบายไม่ถูก
แต่ลึกๆในใจของฉีเซี่ยงหยวนกลับปรากฏความน้อยใจ  กล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่นว่า
“ข้าตอบเช่นนี้ท่านพอใจรึยัง  เหลียนอันสุ่ย  บางคราวข้าก็สงสัยว่าในใจท่านจะมีซักครั้งหรือไม่ที่ข้ามิใช่เป่ยชางอ๋อง  เทียบกับแคว้นเป่ยชาง  ฉีเซี่ยงหยวนคงมีคุณค่าน้อยกว่ามันอีกกระมัง” ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับแคว้นเหลียนเพราะทราบดีว่าคงเทียบไม่ได้อย่างเด็ดขาด  พระมาตุลาผู้นี้ที่แท้เคยมีใจให้ ‘ตัวเขา’ จริงๆบ้างหรือไม่

ทุกคำสนทนาล้วนแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ  เพราะที่อีกฟากหลังฉากกั้นยังคงมีหมอหลวงใหญ่รอคอยอยู่  หัวหน้าหมอหลวงจะเป็นคนตรวจความเรียบร้อยขั้นสุดท้าย  หลังเหลียนอันสุ่ยพันแผลเสร็จสิ้นต้องออกไปตามเขาเข้ามา  หากตอนนี้เหลียนอันสุ่ยพันแผลเรียบร้อยแล้วแต่กลับมิได้เดินออกไป  ร่างสูงโปร่งโผลงกอดบุรุษที่มีเพียงหนึ่งเดียวในแผ่นดิน  แขนรัดรอบลำคอหนา  ใบหน้าซบลงกับบ่ากว้าง  ทั้งหมดนี้มันมากเกินไป  เหลียนอันสุ่ยไม่เคยคิดว่าฉีเซี่ยงหยวนจะยอมแลกชีวิตตัวเองกับชีวิตเขา  อย่ารักข้ามากขนาดนี้  อย่าให้ความสำคัญกับข้าขนาดนี้  มีคนเคยตายเพื่อเขามามากมาย แต่ฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนสุดท้ายที่เหลียนอันสุ่ยหวังให้เป็น  แค่คิดว่าคนๆนี้จะตายจากไป  หัวใจก็วูบหาย  ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

ท่าทีของฉีเซี่ยงหยวนอ่อนลง  รั้งอีกฝ่ายให้นั่งลงบนตัก  หวนนึกว่าหากสลับบทบาทกัน  คนที่รับลูกธนูแทนเป็นเหลียนอันสุ่ย  บางทีตัวเขากระทั่งซาบซึ้งก็อาจไม่ซาบซึ้ง  มีแต่โมโหจนอยากฆ่าคน  เริ่มจากตัวต้นเหตุนั่นแหละดี  แล้วค่อยมาไล่คิดบัญชีกับคนที่จ่ายชีวิตออกไปอย่างง่ายดายเกินไป

เพราะความรักไม่ใช่สิ่งที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้น  ไม่อาจใช้หนึ่งชีวิตทดแทนหนึ่งชีวิตได้โดยที่ทั้งสองฝ่ายจะเต็มใจ  บางทีผู้ที่ถูกเลือกให้อยู่ต่อก็คือผู้ที่สูญเสียมากที่สุดอย่างแท้จริง  และคนที่เสียสละบางครั้งก็เป็นความเห็นแก่ตัว

เหลียนอันสุ่ยแตะเบาๆ ลงบนผ้าพันแผลที่ต้นแขนซ้าย  ริมฝีปากเลื่อนลงไปจูบเบาๆเหนือรอยแผลนั้น  ก่อนจะเงยหน้าขึ้น  เลื่อนสายตาไปที่บาดแผลอื่นบนร่างบึกบึน  อันที่จริงเหลียนอันสุ่ยจดจำได้ทุกบาดแผล  บนต้นขาข้างขวายังมีรอยฟันที่กรีดลึกมากอยู่อีกรอย  เหนือสะโพกที่ด้านหลังมีรอยถูกหอกแทงเฉียดไป  ทุกรอยแผลคือจารึกเกียรติยศ  คือจารึกของความผิดพลาด  คือชัยชนะและความพ่ายแพ้  คือชีวิตและความตาย
 
เหลียนอันสุ่ยไม่ต้องเดาก็ทราบได้ว่าคนที่ฝากรอยเหล่านั้นครึ่งหนึ่งคือคนที่ตายไปแล้ว  อาวุธที่จมลึกลงในบาดแผลมักเปิดเส้นทางไปยมโลกให้กับเจ้าของของมันเอง  รอยฟันที่ลึกขนาดนั้นย่อมต้องเปิดโอกาสให้ฉีเซี่ยงหยวนปลิดชีวิตอีกฝ่ายในจังหวะเดียวกัน  สงครามเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ  ไม่ใช่ท่านตายก็เป็นเราสิ้น  ไม่มีพื้นที่สำหรับความเมตตาปรานี  หากถึงแม้ตำแหน่งของฉีเซี่ยงหยวนในตอนนี้จะเป็นเป่ยชางอ๋องที่ส่วนใหญ่ไม่ต้องยกทัพออกทำศึกด้วยตัวเอง  แต่พื้นที่บนบัลลังก์ก็มักไม่ใช่ท่านตายก็เป็นเราสิ้นเช่นกัน
---------------------
หลังจากทุกประการเรียบร้อยแล้ว  เหลียนอันสุ่ยก็ไม่สะดวกจะรั้งอยู่อีก  ติดตามหมอหลวงใหญ่กับเลี่ยฝูจากไป 

นอกกระโจมของฉีเซี่ยงหยวนมีเท้าหลายคู่ย่ำไปย่ำมา  ขุนนางทั้งหลายในแคว้นเป่ยชางต่างให้ความสำคัญกับอาการบาดเจ็บของนายเหนือหัว  รอคอยข่าวคราวอยู่เนิ่นนานจนชักจะรอคอยต่อไปไม่ไหว  ดีที่ในที่สุดหลิวฉางเฟยก็ออกมาประกาศว่าบาดแผลของต้าอ๋องไม่มีอะไรหนักหนา  ขณะนี้ได้รับการเยียวยารักษาเรียบร้อยแล้ว  เหล่าคนฟังทั้งหลายคิดจะโถมเข้าไปแสดงความห่วงใยกังวลเป็นรายแรก  แต่หลิวฉางเฟยกลับบอกว่าต้าอ๋องทรงเหนื่อยล้ามาก  ต้องการพักผ่อน  ไม่อนุญาตให้ใครเข้าเฝ้า  ดังนั้นข้าราชบริพารทั้งหลายจึงได้แต่หอบเอาความผิดหวังจากไป

ความจริงแล้วขณะนี้เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนห่างไกลคำว่าพักผ่อนนัก  หลังจากบัญชาให้ไปตัวมู่ซางมา  ก็เริ่มการ ‘สอบปากคำ’ ขุนนางคนสนิทที่มีอายุน้อยที่สุดผู้นี้
มู่ซางเข้ามาจากทางด้านหลังของกระโจมเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นพบเห็น  มองนายเหนือหัวที่เอนพิงสบายๆอยู่บนเก้าอี้ยาว  แล้วคุกเข่าลงกับพื้นอย่างทราบธรรมเนียม
ดวงตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนเหลือบมองคนสนิทบนพื้นด้วยท่าทีเรียบเฉย  ถามขึ้นว่า
“เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่”
มู่ซางมองนายเหนือหัว  จากนั้นก็หันไปมองหม่าหลงที่อยู่ด้านข้าง  เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย  ทราบว่าอีกฝ่ายคงทราบมาละเอียดกว่าตัวเขาอีกจากปากหม่าหลง  แต่ก็ยังคงบอกเล่าเรื่องราวออกไป  แน่นอนว่าเรื่องนี้พอออกมาจากปากมู่ซางย่อมต้องแปรสภาพไปเล็กน้อย

“เรื่องดูเหมือนจะเริ่มจากสั้งหู่อวดดีอยากได้ม้าของพระมาตุลาจึงท้าประลองธนู  คิดใช้ฝีมือของตนบังคับให้อีกฝ่ายส่งมอบม้าออกมา  ข้าน้อยบังเอิญผ่านไปตอนนั้นพอดี  ได้เอ่ยปากยับยั้งด้วยเกรงว่าฝีมือธนูของสั้งหู่จะทำให้แคว้นเป่ยชางขายหน้า  อีกทั้งยังทนดูไม่ได้กับการทำตัวระรานผู้อื่นเกินขอบเขตของสั้งหู่  แต่แม่ทัพสั้งกลับไม่ฟังคำทัดทาน  ดึงดันจะประลองให้ได้  สุดท้ายปรากฏว่าเพราะฝีมือไม่สู้ดีแต่ยังหลงลำพองไปเองทำให้พ่ายแพ้อย่างอนาถ  กระทบถึงหน้าตาเป่ยชางเรา  สั้งหู่โทสะบังตาคิดฆ่าคนปิดปากจึงยิงธนูใส่พระมาตุลา  โชคดีที่ต้าอ๋องผ่านมา  เห็นแก่...มิตรภาพระหว่างสองแคว้นจึงได้เข้าช่วยเอาไว้” ประโยคสุดท้ายเว้นช่วงอย่างมีนัยยะ

ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลงเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่ออก  พลางกล่าว
“ตัด ‘กระทบถึงหน้าตาเป่ยชางเรา’ ออก  ประโยคนี้ยั่วยุเกินไป  เชื่อว่าคนฟังต้องอยู่ไม่สุข  ก่อเรื่องปั่นป่วนวุ่นวาย”
ปั่นป่วนวุ่นวายจริง  รับรองว่าปั่นป่วนวุ่นวายไปท้าประลองถึงตำหนักเสียงวสันต์  มู่ซางฟังพลางหัวเราะในใจไปสามรอบอย่างอดไม่อยู่  รีบก้มหน้าลงรับคำว่า “ทราบแล้ว”

“หลังจากนี้คงมีคนมากมายคิดสอบถามเรื่องนี้จากปากเจ้า  เจ้าทราบอยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร”
“ข้าน้อยจะบอกเล่าตามที่ได้กล่าวกับต้าอ๋อง  เติมเครื่องเคียงลงไปอีกเล็กน้อย  แล้วก็...”
คนเป็นนายเหนือหัวกลับไม่สนใจฟังเพราะทราบว่าหน้าที่ประโคมเรื่องให้ใหญ่โต  ผลักสถานการณ์ให้เป็นไปตามอย่างที่อยากให้เป็น  มู่ซางนับว่าชำนาญอย่างยิ่งจนยากจะหาใครเทียบ  ตอนนี้ฉีเซี่ยงหยวนกำลังสนใจเรื่องอื่น  จึงพูดตัดตรงกลางประโยคว่า
“เจ้า ‘บังเอิญ’ ผ่านไปตอนนั้นพอดี?  ช่างประจวบเหมาะยิ่ง”

มู่ซางกระพริบตา  เรียวปากยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม  ตอบว่า
“ข้าน้อยก็รู้สึกว่ามันช่างประจวบเหมาะยิ่ง”
ในลำคอของฉีเซี่ยงหยวนคล้ายกับมีเสียง ‘เหอะ’ แค่นๆเสียงหนึ่ง  เคยชินกับนิสัยโกหกโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
“เรามาพูดกันตามตรง  มู่ซาง”
“ได้ตามที่รับสั่ง  ...ข้าน้อยทราบว่าต้าอ๋องค่อนข้างจะทั้งห่วงทั้งหวงพระมาตุลาแคว้นเหลียนผู้นี้อยู่เอาการ”
คนฟังกลับรับคำโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีว่า
“ไม่ผิด  ในเมื่อเจ้าก็ทราบว่าข้าทั้งห่วงทั้งหวงเขา  ดังนั้นอยู่ใกล้ให้น้อย  อยู่ห่างให้มาก”
มู่ซางหัวเราะออกมาแล้ว  หัวเราะจนหยุดไม่ได้  อันที่จริงตั้งแต่ฉีเซี่ยงหยวนเข้ามารับธนูแทน  มู่ซางก็ทราบแล้วว่าประโยคนี้ของตัวเองไม่ผิดพลาด  แถมระดับความสัมพันธ์ยังเกินคำว่าห่วงไปมากมายนัก

“เจ้ามันตัวก่อเรื่อง” ฉีเซี่ยงหยวนไม่ขำไปด้วย
“ถ้าแค่เรื่องข้าชอบก่อเรื่องอย่างเดียวคงไม่ต้องสั่งเฉียบขาดขนาดนี้กระมัง  ข้ารับรองได้ว่าพระมาตุลาไม่สนใจข้าหรอก  สายตาเขามีแต่ท่านคนเดียว” ประโยคสุดท้ายล้อเลียนอย่างเปิดเผย  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับยิ้มเช่นกัน  กล่าว
“ข้าว่าแถวพรมแดนที่เราต่อกับหนานเหมินมีศึกวุ่นวายไม่หยุดหย่อน  นับว่าต้องการความสามารถทางกลยุทธ์ของเจ้าพอดี  ให้เจ้าไปอยู่ซักสิบปีคงสงบเรียบร้อยขึ้น”

“... ” มู่ซางหุบปากลงทันที  กระทั่งเสียงหัวเราะก็ไม่มีหลุดรอดออกมา  ท่าทางเหมือนกลืนยาขมลงไปหนึ่งถ้วยใหญ่
“เจ้าว่าความคิดนี้ไม่ดีหรือ  มู่ซาง” รอยยิ้มของฉีเซี่ยงหยวนร้ายกาจ  เสียงหัวเราะยิ่งน่าขนลุกเข้าไปใหญ่
“...เกรงว่าไม่ค่อยดีนัก  ขุนนางจงรักภักดี  ต้าอ๋องควรเก็บไว้ใกล้ตัว”
“ข้ารู้แต่ว่าชายแดนเป็นเขตเปราะบาง  ต้องใช้ขุนนางภักดี  ในเมื่อเจ้าภักดีเช่นนั้นก็เหมาะ”
มู่ซางชะงัก  จะปฏิเสธว่าไม่ภักดีก็คงไม่ได้  แต่มู่ซางยังคงเป็นมู่ซาง  คิดหาคำพูดได้โดยไว
“แต่ต้าอ๋องก็ทราบว่าความภักดีของข้าค่อนข้างจำกัด  กับคนที่ความภักดีมีขีดจำกัดเช่นนี้  ให้อยู่ไกลหูไกลตาแล้วจะรับใช้ได้อย่างไร”
“ไม่ต้องมาพยายามย้ำว่าตัวเองยังมีประโยชน์  แต่เอาเถอะ  ประโยคเมื่อครู่นับว่าสัตย์ซื่อจริงใจที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมาเลยทีเดียว  เห็นแก่ความสัตย์ซื่อนานทีปีหนนี้ของเจ้า  ตำแหน่งที่ชายแดนคงยังต้องรอไปก่อน”
“พระเมตตาต้าอ๋อง  มู่ซางจะจดจำไม่ลืมเลือน”   

ฉีเซี่ยงหยวนปรายตามองร่างที่คุกเข่าอยู่บนพื้น  รู้สึกคันเท้าอยากถีบคนขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าอยากให้เจ้าจำประโยค ‘อยู่ให้ห่าง’ ของข้าเอาไว้มากกว่า  ...ไปทำงานได้แล้ว  เก็บกวาดเอาประโยคสรรเสริญที่น่าสยดสยองแต่ไม่มีความจริงใจพวกนั้นของเจ้าไปด้วย  อย่าให้มันรกอยู่ในกระโจมของข้า”

เห็นท่าทีไล่แขกอย่างชัดเจนของฉีเซี่ยงหยวน  มู่ซางก็ล่าถอยออกมา  ความจริงยังคันปากอยากกล่าว ‘ประโยคสรรเสริญที่น่าสยดสยอง’ อีกซักสองสามประโยค  หากเกรงว่าตำแหน่งว่างที่ชายแดนจะเปลี่ยนเป็นไม่ว่างขึ้นมา  จึงทำได้แค่กัดประโยคดังกล่าวเอาไว้ในปากอย่างทรมานยิ่ง
---------------------
หลังจากมู่ซางกลับถึงกระโจมตัวเองก็ถูกมือดีคว้าตัวไปสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างสนใจใคร่รู้  มือดีคนแรกถามจบได้รับคำตอบ  เดินจากไปอย่างอิ่มเอม  มือดีคนที่สองก็โผล่มาสอบถามเรื่องเดียวกัน  เป็นเช่นนี้จนมู่ซางเล่าเรื่องดังกล่าวเป็นรอบที่ร้อย เติมเครื่องเคียงลงไปอีกเล็กน้อยตามสูตร  ข่าวลือก็ลือกันไปลือกันมาจนทุกคนที่ได้รับฟังล้วนเห็นพ้องต้องกันว่าสั้งหู่ทำความผิดสมควรตาย  ทำเรื่องโฉดเขลาอย่างสมควรตาย  และมีแต่สั้งหู่ตายเท่านั้นแคว้นเป่ยชางจึงพอจะรักษาหน้าเอาไว้ได้บ้าง

นี่คืออานุภาพของข่าวลือ  ความจริงแล้วลมปากคนก็มีคมไม่ต่างจากหอกดาบ  สามารถเชือดเอาชีวิตปลิดเอาวิญญาณคนได้เช่นกัน
======
วันนี้นั่งไล่อ่านคอมเมนท์  บวกเป็ดให้ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน 
ถ้าจะบอกว่านักอ่านชอบอ่านนิยาย  นักเขียนก็เป็นสิ่งมีชีวิตชอบอ่านคอมเมนท์555 
ขอบคุณมากจริงๆที่เดินทางด้วยกันมาค่อนเรื่องแล้ว :กอด1:


หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 44 .......................................22/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: ณยฎา ที่ 22-09-2014 17:38:06
ชอบเรื่องนี้มาก ถึงขนาดตามไปอ่านอีกเว็บเลย ใจจดใจจ่อมาก ยิ่งอ่านยิ่งลุ้น มาต่อไวๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 44 .......................................22/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: _himura_ ที่ 22-09-2014 17:48:09
ตามมาให้กำลังใจจากเด็กดีค่ะ ไม่ค่อยได้เม้นในนั้นเท่าไหร่ แต่บอกตรงๆเลยเราอ่านนิยายเพื่อความสนุก ไม่เคยคิดจริงจัง แต่พอมาเจอเรื่องนี้ บอกเลยว่ารักเรื่องนี้มากมากมาก ทั้งลึกซึ้งถึงแก่นของจิตใจ ทั้งภาษาบาดใจ ไม่เคยคิดจะซื้อหนังสืออะไรไปเปลืองพื้นที่ห้อง(ก็ห้องมันเล็กอะ 55+) แต่เรื่องนี้แม้แต่ยังไม่จบยังอดใจที่จะซื้อมาเก็บไว้ไม่ได้ มันสุดยอดจริงๆ ถ้าคนแต่งมีนิยาเรื่องอื่นนอกจากนี้ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ

รักคนแต่ง สู้สู้นะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 44 .......................................22/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 24-09-2014 10:14:44
ชอบมากเลย สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 44 .......................................22/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 24-09-2014 18:00:37
โอ๊ยสนุกมาก ตัวละรมีมิติมีความเป็นมนุษย์มาก

ภาษาก็ดี โอ๊ย ชอบมากๆค่ะ ผูกเรื่องดีงามมาก
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 45
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 24-09-2014 21:57:54

บทที่ 45 ดวงดาราไร้คำตอบ

เหยี่ยวตัวหนึ่งบินฝ่าอากาศด้วยความเร็วปานลมกรด  ปรกติการสื่อสารทั่วไปมักใช้พิราบมากกว่าเหยี่ยว  เพราะพิราบฝึกได้ง่ายกว่าและเหยี่ยวมีค่ามากกว่า  ที่สำคัญคือเหยี่ยวต้องมี ‘นาย’ กับข่าวอันตรายที่ไม่ต้องการให้ตามสืบสาวถึงต้นตอได้การใช้นกพิราบจึงมีความเสี่ยงน้อยกว่า  เพียงแต่ข่าวคราวรอบนี้สำคัญเกินไป  จำเป็นต้องส่งไปอย่างเร่งด่วนและจำเป็นต้องถึงมือผู้รับ  เหยี่ยวที่ได้รับเลือกจึงเป็นตัวที่แข็งแกร่งที่สุดและบินได้รวดเร็วที่สุด

ที่ชายแดน  เทพสงครามแห่งแคว้นเป่ยชางทุบกำปั้นลงกับสันกำแพงหิน  แต่ในใจของเขา ปรารถนาจะทุบกำปั้นนี้ใส่ศีรษะอวดดีอย่างไม่รู้จักไตร่ตรองของสั้งหู่  อวดดีเกินไปแล้ว  อวดดีจนได้เรื่อง  ตระกูลสั้งเป็นขุนนางที่จงรักภักดีกับอดีตเป่ยชางอ๋อง  ดังนั้นจึงถือหางฝั่งองค์ชายห้า  บิดาของสั้งหู่มีตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก  ส่วนสั้งหู่เองก็เคยเป็นลูกน้องมีฝีมือใต้บังคับบัญชาของหยงเซี่ย  ตอนนี้ได้รับมอบหมายให้ติดตามอารักขาองค์ชายห้า  พิทักษ์อดีตเป่ยชางอ๋องในเมืองหลวง 

แต่ทั้งๆที่มีภาระอันยิ่งใหญ่อยู่บนบ่า ต้องแบกรับหน้าที่อารักขาผู้อื่น  มีอย่างที่ไหนไปตอแยเรื่องราวจนตัวเองตกอยู่ในอันตราย  เช่นนี้ไม่เพียงอารักขาไม่สำเร็จ  ยังอายุสั้นกว่านาย  ทั้งยังหาเรื่องเดือดร้อนให้กับนายเหนือหัว  นับเป็นองครักษ์ที่ใช้ไม่ได้จนถึงที่สุด  หยงเซี่ยอ่านสาส์นในจดหมายจบถึงกับพึมพำว่า
“ถูกตัดหัวก็นับว่าสมควรแล้ว!”
ที่หนักคือเรื่องที่สั้งหู่ก่อ ทำจนผู้เป็นบิดาอับอายจนไม่มีหน้าอยู่ในราชสำนัก  มิผิด  เป่ยชางอ๋องถึงกับได้โอกาสกำจัดเสี้ยนหนามสำคัญไปคนหนึ่ง  ตำแหน่งนี้ของบิดาสั้งหู่เป็นถูกบีบให้ออกด้วยวาจา  ทุกคนกระทั่งอดีตเป่ยชางอ๋องต่างทราบว่าไม่อาจยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว  เพราะถ้าอาศัยวาจาอ้อมค้อมไม่เชื่อฟัง  เป่ยชางอ๋องจะมีพระบัญชาลงมาโดยตรง  ผลสุดท้ายไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ต่างกัน
นับว่าพวกเขาเลอะเลือนไปเองที่มอบหมายหน้าที่สำคัญให้กับคนอย่างสั้งหู่ !
---------------------
“อุตส่าห์มีเหยี่ยวบินไปถึงชายแดนเลยหรือ  ฝ่ายนั้นนับว่ากังวลสนใจต่อชีวิตสั้งหู่ไม่น้อย  แม่ทัพใหญ่หยงมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร” น้ำเสียงของต้าอ๋องแห่งแคว้นเป่ยชางมีแววประหลาดใจในตอนแรกและสนใจใคร่รู้ในตอนท้าย  แน่นอน  ประโยค ‘กังวลสนใจชีวิตสั้งหู่’ ทุกคนล้วนทราบดีว่าฉีเซี่ยงหยวนย่อมไม่ได้หมายถึงสั้งหู่จริงๆ  สิ่งที่ฝ่ายนั้นกังวลคือจะมีผลกระทบไปถึงองค์ชายห้าหรือไม่ต่างหาก

“นั่นเกรงว่ามีแต่ตัวเขาที่ตอบได้  แต่หลังทราบข่าวแม่ทัพใหญ่หยงไม่มีความเคลื่อนไหวอันใด” หลิวฉางเฟยรายงาน
“หยงเซี่ยนับว่าเลอะเลือนจริงๆ  มอบหมายหน้าที่สำคัญนี้ให้กับสั้งหู่ได้อย่างไร” เสียงของมู่ซางดังขึ้น

วันนี้ในคนสนิททั้งห้าของฉีเซี่ยงหยวนอยู่พร้อมหน้ากันถึงสามอย่างหาได้ยาก  ขาดเพียงหลี่กวงเว่ยที่ยุ่งจนหัวหมุนอย่างไรก็ยังหัวหมุนอยู่อย่างนั้นกับขุนนางชราจางจื่อหยูที่ติดนัดหมายเดินหมากกับใต้เท้าต้วน  แน่นอนว่าการเดินหมากเป็นเพียงข้ออ้าง  จางจื่อหยูกำลังหยั่งท่าทีของใต้เท้าทั้งหลายในราชสำนักที่มีต่อการออกจากตำแหน่งและตัดหัวในครั้งนี้

“มู่ซาง  เจ้าเคยเห็นฝีมือในการบัญชาทัพของหยงเซี่ยหรือไม่  ตำแหน่งเทพสงครามมิใช่สิ่งที่จะได้มาโดยเลื่อนลอย”
มู่ซางเหลือบมองฉีเซี่ยงหยวนที่เป็นคนกล่าววาจาเมื่อครู่ซึ่งนั่งอยู่บนยกพื้นสูงขึ้นไป  ปากกล่าวว่า
“ก็ใช่  ข้าไม่เคยทำศึกใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพใหญ่หยง  แต่ข้าว่าในแคว้นเป่ยชางมีคนผู้หนึ่งที่มีฝีมือบัญชาทัพสูงส่งกว่าเขา  ซึ่งคนๆนั้นตอนนี้นั่งอยู่เบื้องหน้าข้า”
ฉีเซี่ยงหยวนส่ายหน้า
“จริงอยู่  ด้านกลยุทธ์ข้าอาจพลิกแพลงกว่า  แต่คำว่าเทพสงครามเป็นของเขาเพียงคนเดียว ในสมรภูมิหยงเซี่ยไร้ผู้ต้านติดอย่างแท้จริง  ทั้งหมดมิใช่แค่ความสามารถ  ยังมีเกียรติยศและศักดิ์ศรีที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้  ข้าเติบโตมากับความยิ่งใหญ่ของเขา  ทั้งยังเคยเป็นแม่ทัพใต้ร่มธงของเขา  ในแคว้นเป่ยชางแม่ทัพที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ล้วนเคยเป็นแม่ทัพใต้ร่มธงของเขามาแล้วทั้งสิ้น  เพียงแต่การนำทัพกับเกมการเมืองมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน  สั้งหู่มีฝีมือไม่เลว  ทั้งยังจงรักภักดี  ไม่แปลกที่แม่ทัพใหญ่หยงจะเลือกใช้เขา  แต่สำหรับการเมืองแล้วสั้งหู่มิใช่ตัวเลือกที่เหมาะเลย”
“เอาเป็นว่าข้าเด็กเกินไป  มาทีหลังจึงไม่ได้มีโชคไปอยู่ใต้ร่มธงของเขา  แต่คนผู้นี้วางตัวเป็นศัตรูกับเราอยู่ชัดๆ  ต้าอ๋องจะไปกล่าวยกย่องเขาอีกทำไมกัน” มู่ซางกังขา

แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับตอบว่า
“แม่ทัพใหญ่หยงไม่ใช่ศัตรูของเรา  และถ้าเขาไม่ได้ทำตัวเช่นนี้  ข้าคงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขาปานนี้แล้ว  จริงอยู่ที่ข้าเป็นต้าอ๋องของเขา  แต่แม่ทัพใหญ่หยงเคยรับใช้พระบิดาของข้ามาก่อน  ภักดีต่อแคว้นเป่ยชาง  ภักดีต่อสายเลือดของเป่ยชางอ๋อง  ดังนั้นชีวิตของพระบิดากับชีวิตของน้องห้าที่พระบิดาใส่ใจยิ่งกว่าชีวิตตัวเองเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจไม่ใส่ใจได้  ส่วนตัวข้าในตอนนี้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในวังหลวง  ดูอย่างไรก็มิใช่ฝ่ายที่ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต  ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลให้เขาตัดสินใจทำเช่นนี้”
มู่ซางแบะปาก  กล่าวว่า
“ท่านช่างเข้าใจหยงเซี่ยอย่างลึกซึ้งถึงแก่น  ข้าอยากจะรู้นักว่าถ้าเขากรีฑาทัพหลายหมื่นของเขาเข้ามาเอาศีรษะท่าน  ท่านยังจะกล่าววาจาเข้าอกเข้าใจเขาเช่นนี้อยู่หรือไม่”
ฉีเซี่ยงหยวนได้ฟังก็หัวเราะเบาๆ  พลางกล่าว
  “ข้าบอกได้ว่าถ้าพระบิดาคิดกำจัดข้าแม่ทัพใหญ่หยงจะเป็นคนแรกที่ออกปากคัดค้าน  และถ้าพระบิดายังไม่ยอมล้มเลิกเขาก็จะเป็นคนแรกอีกเช่นกันที่เข้าวังมาคุ้มกันข้าด้วยตัวเอง  เขาคุกเข่าให้ข้าแล้ว  และการคุกเข่าของหยงเซี่ยไม่ใช่เรื่องล้อเล่น  ข้าเป็นนายที่แท้จริงของเขา  และข้าคือคนที่เป็นเป่ยชางอ๋อง  สำหรับหยงเซี่ยแล้วแคว้นเป่ยชางต้องมาก่อนเสมอ  ส่วนในอนาคตถ้าข้ากลายเป็นอดีตเป่ยชางอ๋องเขาก็จะให้ความคุ้มครองข้าเช่นเดียวกับที่เขาให้กับพระบิดาในตอนนี้  นี่คือความภักดีของเขาที่ไม่เคยสนใจว่าใครจะวิจารณ์อย่างไรตลอดมา”
คู่กัดตลอดกาลของมู่ซางอย่างฝงเป่าได้ทีต้องเอ่ยเสริมว่า
“สำหรับคนที่สะกดคำว่า ‘จงรักภักดี’ ไม่เป็นอย่างเจ้านะ มู่ซาง  ต้าอ๋องพูดไปเจ้าก็คงไม่เข้าใจเป็นส่วนมาก  นี่เป็นสาเหตุที่ไม่ว่าอย่างไรชนชั้นเช่นเจ้าก็ไม่มีทางยิ่งใหญ่ได้ถึงครึ่งหนึ่งของแม่ทัพใหญ่หยง”

“น้อยๆหน่อย  ต้าอ๋องด่าข้าได้  แต่ยังไม่ถึงรอบของเจ้า  อีกอย่างข้าไม่เห็นอยากจะเป็นคนยิ่งใหญ่ตรงไหน  คนแบบนั้นไปไหนมาไหนก็ต้องแบกป้ายคำว่ายิ่งใหญ่ไปตลอดทาง  ยุ่งยากออกจะตาย  ข้าเป็นกุนซือตัวเล็กๆของข้าก็ดีอยู่แล้ว  ผู้ยิ่งใหญ่อย่างหยงเซี่ยต้องลำบากลำบนเสียสละเฝ้าอยู่ที่ชายแดน  ส่วนขุนนางตัวเล็กๆอย่างข้าได้นอนเตียงนุ่มๆเอกเขนกอยู่ในเมืองหลวง  ดูใต้เท้าหลี่ผู้มากความสามารถของพวกเราสิ  เพราะมีความสามารถมากเกินไปตอนนี้จึงได้แต่ทำงานหัวหมุนอยู่บนโต๊ะ  ในขณะที่ข้าความสามารถไม่เท่าเขาจึงสบายกว่าเขาตั้งมากมาย  อีกอย่างนะฝงเป่า  คนอย่างเจ้าพยายามแทบตายก็ไม่มีวันได้ถึงครึ่งของแม่ทัพใหญ่หยงเหมือนกันนั่นแหละ”
ประโยคสุดท้ายเหยียบลงไปบนหางของฝงเป่าอย่างจัง  การเป็นให้ได้อย่างหยงเซี่ยคือความฝันชั่วชีวิตของฝงเป่ามาโดยตลอด...และนั่นก็อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มู่ซางไม่ค่อยนึกยกย่องหยงเซี่ยมาแต่ไหนแต่ไร

หลิวฉางเฟยมองคู่กัดที่จับนั่งแยกคนละฟากโต๊ะก็ยังอุตส่าห์ทะเลาะกันข้ามโต๊ะได้อีกอย่างปวดหัว  ต้องกล่าวเสียงดังตัดบทว่า
“ต้าอ๋องฟังพวกเจ้ากัดกันจนรำคาญแล้ว  เมื่อไหร่จะเข้าเรื่องเสียที” น้ำเสียงของหลิวฉางเฟยเห็นชัดว่าก็รำคาญเช่นเดียวกัน  มู่ซางจึงเริ่มรายงานด้วยท่าทีจริงจัง
“ตามข่าวล่าสุดนอกจากหยงเซี่ยที่ไม่มีความเคลื่อนไหว  องค์ชายห้ากับอดีตเป่ยชางอ๋องก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวเช่นกัน  ส่วนประกาศลาออกของใต้เท้าสั้งบิดาของสั้งหู่เป็นที่รู้กันทั่วทั้งราชสำนัก  นับว่าเข้าใจวาจาสองประโยคที่ต้าอ๋องกล่าวกับเขาก่อนหน้านี้เป็นอย่างดี  แต่ข้าได้ยินมาว่าเขายังคงวิ่งเต้นหาหนทางช่วยชีวิตบุตรชายเพียงคนเดียวด้วยการพยายามบอกว่าความผิดของสั้งหู่เป็นความประมาทแต่ไร้ซึ่งเจตนา  แถมหาว่าข้าปั้นน้ำเป็นตัวใส่ร้ายบุตรชายของเขา  เฮอะ  ข้าแค่เสริมเติมแต่งเล็กน้อย  หากคิดปั้นน้ำเป็นตัวจริงตระกูลสั้งทุกคนยังจะมีหัวไว้ประดับบ่าได้อีกหรือ”

“ไม่เป็นไร  ให้เขาวิ่งเต้นไป  เรื่องนี้จางจื่อหยูกำลังจัดการให้กับเรา  ส่วนหัวของลูกชายเขาข้าเกรงว่าไม่อาจละเว้นได้” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวเป็นการสรุปทุกอย่างอย่างไร้ข้อโต้แย้ง  ทั้งหลิวฉางเฟยและมู่ซางต่างทราบว่าสาเหตุที่ต้าอ๋องประหารสั้งหู่  ข้อแรกเป็นเพราะพระมาตุลา  ส่วนข้อที่สองเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู  ปรามคนที่คิดอยู่ฝ่ายองค์ชายห้าให้คิดดีๆเข้าไว้
---------------------
ตำหนักส่วนพระองค์ของเป่ยชางอ๋องที่ไม่ค่อยได้ใช้งานเนื่องจากผู้เป็นเจ้าของมักไปขลุกอยู่ที่ตำหนักเสียงวสันต์วันนี้คึกคักเป็นพิเศษ
องค์ชายห้าขอเข้าเฝ้าเป่ยชางอ๋อง  ฉีเซี่ยงหยวนอนุญาตให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวที่ตำหนักเยี่ยอวิ๋น  ซึ่งความจริงแล้วการอนุญาตเช่นนี้มีความนัย  ปรารถนาจะย้ำเตือนให้อีกฝ่ายสำนึกในฐานะของตัวเอง
องค์ชายห้าฉีเซี่ยงอวิ๋นมองความหรูหรายิ่งใหญ่ของตำหนักเยี่ยอวิ๋นด้วยสายตาเรียบเฉย    เข้ามาก็ถวายบังคมพลางกล่าวขอขมาที่คนของตัวเองไปทำร้ายม้าประจำพระองค์ของเป่ยชางอ๋องอย่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง  หากไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่สั้งหู่ล่วงเกินพระมาตุลาแม้แต่คำเดียว

ฉีเซี่ยงหยวนจับตามองน้องชายคนสุดท้องนิ่ง  ทุกคนต่างทราบดีว่าคำว่าอวิ๋นในชื่อของฉีเซี่ยงอวิ๋นเป็นอดีตเป่ยชางอ๋องจงใจใช้ตัวอักษรเดียวกับชื่อตำหนักแห่งนี้มาตั้งให้  ความมุ่งหมายเป็นที่ทราบได้  ที่น่าขำก็คือพี่สามชื่อฉีเซี่ยงเยี่ย  ส่วนน้องห้าชื่อฉีเซี่ยงอวิ๋น  ชื่อฉีเซี่ยงอวิ๋นทั้งๆที่ชื่อนั้นความจริงสมควรเป็นของเขา  บุตรชายลำดับสี่เช่นเขาในสายตาของพระบิดามีตัวตนอยู่ก็เหมือนไม่มี  พี่ใหญ่คือฟ้า  พี่รองคือความรุ่งโรจน์  ชื่อของทั้งคู่ประกอบกันเป็นความรุ่งเรืองแห่งรัชกาลใหม่  เป็นความมุ่งหวังของพระบิดา  ส่วนตัวเขาแท้จริงพระมารดาเป็นคนตั้งชื่อให้  ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน  แต่ฉีเซี่ยงหยวนปัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป  ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า
“ที่แท้เป็นเรื่องนี้  ข้าลงโทษโบยไปสิบไม้  และให้เขาเก็บกวาดคอกม้าหลวงสองเดือนเต็ม  หวังว่าน้องห้าจะเห็นด้วยกับการลงโทษเช่นนี้”
“ต้าอ๋องทรงพระปรีชายิ่ง”
หนึ่งนิ่งเฉย  หนึ่งนอบน้อม  ประกอบกันเป็นภาพที่ชวนอึดอัดใบหนึ่ง  และเป็นภาพที่ชวนสะท้อนใจใบหนึ่ง  เพราะอายุห่างกันมากถึงสิบห้าปีระหว่างพวกเขาจึงไม่มีคำว่าคลุกคลีใกล้ชิด  อย่าว่าแต่ฉีเซี่ยงอวิ๋นคือแก้วตาดวงใจของอดีตเป่ยชางอ๋อง  ตั้งแต่เด็กคนนี้เกิดมาอดีตเป่ยชางอ๋องก็ระแวดระวังอยู่ทุกทางไหนเลยจะเปิดโอกาสให้พี่ชายซึ่งไม่แน่ว่าจะหวังดีทั้งหลายได้เฉียดใกล้น้องชายคนนี้เกินความจำเป็น

“ตอนแรกข้ายังเข้าใจว่าเจ้ามาเพราะเรื่องสั้งหู่เสียอีก” ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดจะยอมปล่อยไปโดยง่ายดาย
 “สั้งหู่ล่วงเกินพระมาตุลาที่เป็นแขกของต้าอ๋อง  ประทุษร้ายต้าอ๋อง  โทษประหารถือว่าสาสมกับความผิด  เซี่ยงอวิ๋นไม่มีความเห็นเป็นอื่น” ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเห็นด้วยออกมาทันที  ผู้เป็นพี่ก็หรี่ตาลง  รู้จักเอาตัวรอดนัก  ในเมื่อทราบแน่แก่ใจว่าไม่มีหนทางช่วยเหลือการไม่ดึงดันนับเป็นทางเลือกที่ฉลาด  แต่เข้าใจว่าหลบพ้นหรือ ?
“เจ้าไม่มีความเห็นเป็นอื่นก็ดี  เพียงแต่ลูกน้องทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้  ผู้เป็นนายใช่สมควรมีความผิดด้วยหรือไม่ ? ”
“กับลูกน้องคนนี้เซี่ยงอวิ๋นไม่ได้สนิทด้วยนัก  แต่ก็ใช่  เซี่ยงอวิ๋นเป็นนายไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้  ขอต้าอ๋องโปรดเมตตาเปิดโอกาสให้เซี่ยงอวิ๋นทำความดีชดใช้ความผิด”
“ถ้าข้าไม่เมตตาเล่า” ฉีเซี่ยงหยวนถามอย่างเฉยชา
“นั่นก็ต้องสุดแท้แต่ต้าอ๋อง  เซี่ยงอวิ๋นยินดีรับบทลงโทษทุกประการ”
คิ้วหนาของฉีเซี่ยงหยวนเลิกขึ้นเล็กน้อย  ยินยอมอ่อนข้อให้ถึงเพียงนี้เชียว?  ฉีเซี่ยงหยวนยอมรับว่าเขาไม่มีความเข้าใจในตัวน้องชายต่างมารดาผู้นี้นัก
“บทลงโทษของข้ามีอยู่สองข้อ  ข้อแรก  ข้าจะเปิดโอกาสให้เจ้าทำความดีลบล้างความผิดตามที่ขอ  ข้าคิดจะสร้างสำนักศึกษาที่หัวเมืองทางตะวันออก  เช่นเดียวกับที่เรามีในเมืองหลวงและทางใต้  งานนี้ข้าจะมอบหมายให้เจ้าไปควบคุมดูแลในนามของข้า  ทำได้ใช่หรือไม่”
ความจริงต่อให้ไม่มีเรื่องของสั้งหู่  ฉีเซี่ยงหยวนก็ตั้งใจจะมอบหมายงานนี้ให้อีกฝ่ายอยู่แล้ว  นั่นเท่ากับบังคับให้ฉีเซี่ยงอวิ๋นต้องออกจากเมืองหลวง  แต่ไม่ไปอยู่ไกลหูไกลตาจนเกินไป  เมืองทางตะวันออกแม้ไม่ใหญ่นัก  แต่ก็เจริญไม่น้อย  หากเป็นคนไม่มีความทะเยอทะยาน  นี่ก็นับว่าเป็นหน้าที่ที่มีความสุขดี

การให้น้องห้าไปอยู่เมืองที่ไม่มีความสำคัญทางทหารและมอบหมายหน้าที่ที่ไม่มีความสำคัญให้คงทำให้พระบิดาไม่พอใจ  แต่นี่คือความเมตตาที่สุดของฉีเซี่ยงหยวนแล้ว  เงินและทหารคือสองสิ่งที่มีอำนาจ  คิดทำลายคนๆหนึ่งไม่มีวิธีใดที่ง่ายไปกว่าเอาอำนาจใส่ลงในมือของเขาอีกแล้ว
 
หากฉีเซี่ยงหยวนคิดกำจัดน้องชายคนนี้จริงจะมอบกำลังทหารบางส่วนแก่เขา  แต่ปกครองเมืองที่มีเสบียงไว้  จะมอบอำนาจในเงินตราบางส่วนแก่เขา  แต่ไม่ให้เส้นทางขนส่งสินค้าสำคัญจำพวกเกลือ  จากนั้นค่อยส่งคนเข้าไปปลุกปั่นความทะยานอยากของอีกฝ่าย  รดน้ำพรวนดินให้มันเติบโต  รอคอยจังหวะที่อีกฝ่ายก้าวพลาด  แล้วรวบเก็บอำนาจทั้งหมดกลับมาในมืออย่างชอบธรรม  ความผิดพลาดมิใช่สิ่งยากเย็นเลย  โดยเฉพาะเมื่อมีคนมุ่งหวังให้มันเกิดขึ้น  และความผิดพลาดนั้นย่อมจะทำหน้าที่ของมันในการส่งฉีเซี่ยงอวิ๋นไปปรโลก 
ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่ต้องการกระทำ  และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าน้องชายคนนี้จะรู้วิธีสะกดข่มความทะเยอะทะยานที่คงมีคนมากมายมุ่งหวังจะให้มันงอกรากในจิตใจของเขา

ฉีเซี่ยงอวิ๋นรับคำอย่างง่ายดาย  พลางถามถึงบทลงโทษอย่างที่สอง
ผู้เป็นเป่ยชางอ๋องเดินลงไปนั่งยังอีกฟากของห้อง  พลางผลักสุราหนึ่งกาใหญ่บนโต๊ะไปเบื้องหน้า  กล่าวว่า
“ช่วยข้าดื่มสุรา  แล้วข้าจะถือว่าบทลงโทษอย่างที่สองไม่ต้องทำ”
องค์ชายห้าฉีเซี่ยงอวิ๋นมองกาสุราอย่างลังเล  แต่สุดท้ายก็ยืนขึ้น  เอื้อมมือมารินไป
ลมของยามเย็นโชยพัดมา  หอบกลิ่นสุราฟุ้งกระจาย
ฉีเซี่ยงอวิ๋นคอไม่แข็ง  พยายามดื่มอย่างจำกัดเนื่องจากไม่ต้องการให้ตัวเองเมามาย  แต่สุรานี้ฉีเซี่ยงหยวนจงใจเลือกให้ฤทธิ์แรงเป็นพิเศษ  เพียงกาเล็กๆก็ทำให้คนเมาหัวทิ่มได้  สุดท้ายคนที่พยายามจะไม่เมาก็ยังคงเมาตามที่ฉีเซี่ยงหยวนต้องการอยู่ดี  องค์ชายอายุสิบหกผู้นี้ดื่มจนหน้าแดง  ร่างส่ายโงนเงน  หน้าแทบก้มลงไปแนบชิดสนิทสนมกับพื้นโต๊ะ
เมื่อคนเมา  วาจาก็ไม่สำรวม  กล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไปอย่างง่ายดาย
“พี่สี่...ท่าน...ท่านที่แท้เป็นคนอย่างไรกันแน่”
“...” ฉีเซี่ยงหยวนมองน้องชายที่จู่ๆก็ชันตัวขึ้นมาชี้หน้าเขา  เลิกคิ้วเล็กน้อย  คำว่า ‘พี่สี่’ ของอีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่าเมาจนควบคุมสติไม่อยู่แล้ว
ถึงฉีเซี่ยงหยวนจะไม่ตอบอีกฝ่ายก็ดูจะไม่สนใจ  พล่ามต่อไปว่า
“พี่รองเป็นคนโหดเหี้ยม  ...แต่ข้า...อึก...ข้ามักรู้สึกว่าท่านเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด  ตอนเด็กๆพระมารดาบอกว่าไม่ให้ข้ายุ่งกับท่าน...ไม่ให้ยุ่งกับพวกท่านทั้งหมดเลย  บอกว่าพี่ชายข้าไม่มีใครชอบข้าซักคน  ข้าผิดตรงไหน  ข้า...ข้า  แค่ตามมาทีหลัง...ก็เลยดูเป็นของไม่เข้าพวก  พวกท่านเป็นพวกเดียวกันมีแต่ข้าที่ไม่ใช่  นั่นมัน...นั่นมันไม่เห็นยุติธรรมซักนิด”

ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วหัวเราะเบาๆ พลางตอบว่า
“เจ้าคิดมากไปแล้ว  พวกข้าไม่เห็นเป็นพวกเดียวกันตรงไหน  เจ้าไม่รู้หรือว่าคนที่พี่รองเกลียดที่สุดก็คือพี่ใหญ่  ส่วนในบรรดาพี่น้องทั้งหมดที่ไม่เข้าพวกที่สุด...ก็คือข้า” พระบิดาแทบไม่เคยนับข้าเป็นลูกชายของเขาด้วยซ้ำ 
สำหรับคนที่น่ากลัวที่สุด  ถ้าเป็นฉีเซี่ยงหยวนในตอนเด็กคงจะตอบว่าเป็นพี่รอง  แต่ถ้าถามตัวเขาในตอนนี้คนๆนั้นคือพี่ใหญ่ 

“ข้ารู้  แน่นอนว่า  ข้า...รู้  ส่วนท่านไม่ชอบพี่รอง  ไม่ชอบข้าด้วย  ท่านกำจัดพี่รองไปแล้ว  ตอนนี้  ตอนนี้ก็เหลือ...ข้า  ข้ารู้ว่าข้าจะเป็นรายต่อไป...  ท่าน...จะหัวเราะกลบเกลื่อนไปทำไม  พูดกันตรงๆไปเลย  ข้าไม่อยาก...ปั้นคำพูดอีกแล้ว  อึก” โบกไม้โบกมือ  หน้าทิ่มลงไปกับโต๊ะอีกครั้ง
ฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่ายขำๆ  น้องชายผู้นี้ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนคิดถึงตัวเองตอนยังเยาว์วัยกว่าที่เป็น  ตรงไปตรงมาและเต็มไปด้วยเลือดของวัยหนุ่ม  เมื่อครู่คงสำรวมจนอัดอั้นตันใจยิ่งกระมัง  แต่ฉีเซี่ยงหยวนค่อนข้างมั่นใจว่าเมาจนหัวโขกโต๊ะนี่เขาไม่เคยเป็น  ปรกติตอนเขาเริ่มกรึ่มๆทุกคนรอบตัวมักจะเมาจนเป็นซากไปแล้ว  ดังนั้นท่าทางเมามายแบบไหนๆเขาล้วนเห็นจนเคยชิน  คิดพลางพึมพำว่า
“พูดกันตามตรง  ข้าไม่ได้อยากกำจัดเจ้าแม้แต่น้อย  พระบิดาก็ด้วย”
แต่คนฟังกลับเงยหน้าขึ้นมาจากจอกเหล้าทันควัน  ร้องว่า
“โกหก!  ทั้งท่าน...ทั้งพี่รอง...ไม่มีใครชอบข้า  พวกท่านสองคนสู้กัน...ไม่ว่าใครชนะ...คนตายก็คือข้า  ข้ารู้ดีอยู่แล้ว  รู้มาตั้งแต่แรก  แต่...แต่อย่าฆ่าพระบิดา  เขาไม่...ไม่ใช่แค่พระบิดาของข้า  ยังเป็นของท่านด้วย  เขาเป็นคนดี  ดีต่อข้ามาก  อึก  เอาที่พวกท่านทั้งสามคนดีต่อข้ารวมกันยังเทียบไม่ได้กับที่เขาดีต่อข้า”

ฉีเซี่ยงหยวนฟังคำที่เสียดแทงลงไปในจิตใจของเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉย  เขาเป็นพระบิดาของข้าด้วย...จริงหรือ?  ทราบว่าถ้าพี่รองอยู่ตรงนี้ด้วยจะต้องเถียงด้วยน้ำเสียงเหยียดหยันว่าพระบิดาไม่ใช่คนดี  แต่เป็นคนร้ายกาจที่สุดต่างหาก  อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งทราบในคืนที่พวกเขาคุยกันในคุกว่าในท่าทีสนิทสนมใกล้ชิดพี่รองซ่อนความเกลียดชังขนาดหนักที่มีต่อพระบิดาเอาไว้  สำหรับตัวฉีเซี่ยงหยวนเองพระบิดาเป็นคนเย็นชา  น่าแปลกที่พวกเขาสามคนมองพ่อแท้ๆของตัวเองไม่เหมือนกันซักคน  ถ้าเป็นพี่ใหญ่...ก็คงบอกว่าพระบิดาเป็นคนดีกระมัง  เขาไม่แน่ใจ  พี่ใหญ่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้

“บัลลังก์น่ะ...ถึงแม้ว่าพระบิดาจะบอกว่ามันเป็นของข้า  แต่ถ้าท่านอยากได้ก็เอาไปเถอะ  ขอแค่ท่าน...ไม่ฆ่าพระบิดาก็พอ”
ประโยคสามหาวดังกล่าวจุดโทสะให้ลุกโชนขึ้นมาในใจของฉีเซี่ยงหยวนวูบหนึ่ง  จากนั้นก็มอดดับไปด้วยความรู้สึกแห้งผาก  มันไม่ผิดหรอกที่น้องห้าจะรู้สึกเช่นนี้  เพราะพระบิดาตั้งใจจะมอบบัลลังก์ให้น้องห้าจริงๆ  ในความเป็นจริงฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าสิ่งที่ลุกโชนขึ้นมาในใจไม่ใช่ความโกรธ  มันเป็นแค่...ความเจ็บปวด  เป็นแค่ความเจ็บปวดเท่านั้น  เขาต้องทุ่มเทอะไรไปมากมายเหลือเกินเพื่อที่จะขึ้นมายืนตรงจุดนี้   ส่วนคนตรงหน้าเขากลับอาศัยแค่ความรักของพระบิดาก็มีสิทธิ์ในบัลลังก์  ง่ายดายเกินไปหรือไม่  โชคชะตาใช่ลำเอียงเกินไปหรือไม่  ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าเขาน่าจะเริ่มเมานิดหน่อยแล้ว  เพราะอารมณ์ทั้งหลายลุกโชนแรงเหลือเกิน  แต่ยังคงคว้าสุรามาดื่มอีกอึก

“พี่สี่  ทำไมเราต้องเป็นศัตรูกันด้วย  ทำไมครอบครัวเราต้องมาฆ่ากันเอง  พี่ใหญ่ตายไปแล้ว  พี่รองที่เกลียดพี่ใหญ่ก็ตายไปแล้ว  พี่สามที่ข้าไม่รู้จักก็ตายไปเหมือนกัน  ยังมีพระอัครชายาที่ข้าไม่รู้จักอีกคน  พระมารดาข้าตายไปแล้ว  พระชายารองที่ฆ่าพระมารดาข้าก็ตายไปแล้ว  พระมารดาท่านที่ข้าเคยเห็นเพียงแค่ครั้งเดียวก็ตายไปแล้วเหมือนกัน  ทำไมข้ากับท่านถึงยังอยู่กันนะ  เรา...เราอยู่เพื่อทำอะไร” กล่าวพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า  ท่าทางพยายามจะคิดแต่คิดไม่ออก  ได้แต่กุมๆหัวแบบปวดๆ

“นั่นสินะ  เราอยู่เพื่ออะไรกันแน่ ? ” ในเสียงพึมพำมีใยแห่งเศร้าโศกที่ตัดไม่ขาด  ฉีเซี่ยงหยวนเงยหน้าขึ้นถามฟากฟ้าเบื้องบน  ชาวเป่ยชางมีความเชื่อว่าเมื่อคนตายไปแล้วดวงวิญญาณจะไปสถิตย์อยู่กับดวงดารา  แต่ทว่า...

ฟากฟ้าเงียบสนิท  ดวงดาราไม่มีคำตอบ
---------------------
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 46
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 24-09-2014 22:38:07

บทที่ 46 พระสหายสนิท

สั้งหู่ตายแล้ว  แต่ความสนใจของผู้คนยังไม่จางไป  สายตาทุกคู่ล้วนพุ่งเป้าให้ความสนใจกับพระมาตุลาแคว้นเหลียนที่เป็นพระสหายสนิทหมาดๆผู้นี้  บ้างก็ว่าต้าอ๋องทำเช่นนี้เพื่อมิตรภาพระหว่างสองแคว้น  บ้างก็ว่าทั้งคู่รู้จักสนิทสนมกันมานานมากแล้ว  บ้างก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้ออกจะมากเกินไปจนน่าสงสัยว่าจะมีเหตุผลอื่นใดแอบแฝงอยู่ 

จากการขุดคุ้ยสืบสาวอย่างเป็นจริงเป็นจังยังพบว่าต้าอ๋องของพวกเขารับบุตรชายของพระมาตุลาเป็นบุตรบุญธรรม  นี่เป็นข่าวใหญ่อย่างยิ่ง  แต่เพราะไม่ได้จัดพิธีรับบุตรบุญธรรมอย่างเป็นทางการ  ซ้ำเหตุการณ์ยังเกิดที่แคว้นเหลียน  ทำให้ข่าวใหญ่ข่าวนี้ซุกตัวอยู่ในมุมหนึ่งของวังหลวงอย่างเงียบงัน  หลังจากถูกขุดคุ้ยอย่างพอเหมาะจึงค่อยทำตัวเป็นข่าวใหญ่สมฐานะของมัน
ต่างคนต่างพากันตั้งข้อสงสัยว่าเพราะรับบุตรบุญธรรมจึงเกิดเป็นความสนิทสนม หรือเพราะสนิทสนมจึงรับเป็นบุตรบุญธรรมกันแน่  หากไม่ว่าเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก่อน  เรื่องดังกล่าวก็แสดงความสนิทสนมอันเหนือธรรมดา  สรุปคือฐานะ ‘แขกกึ่งๆตัวประกัน’ ของเหลียนอันสุ่ยได้ยกระดับเป็น ‘พระสหายสนิท’ โดยสมบูรณ์

ที่เคยนอบน้อมก็นอบน้อมกว่าเดิม  ที่ไม่เคยประจบเอาใจก็รีบมาประจบเอาใจ  หากสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเหล่านี้กลับทำให้เหลียนอันสุ่ยเกิดความไม่สบายใจ  จนออกปากขอให้อยู่ห่างกันซักพักโดยให้เหตุผลว่า
“ตอนนี้ผู้คนจับตามอง  ข้าเกรงว่าเรื่องที่พวกเราปกปิดเอาไว้  ยากจะมิดชิดได้เท่าเดิม”
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วกลับกระพริบตาเล็กน้อย  กล่าวว่า
“ข้าเกรงว่าเรื่องห่างกันซักพักคงกระทำไม่ได้  เพราะข้าปล่อยข่าวออกไปแล้วว่าเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิต  ท่านคิดติดตามรับใช้ข้าสามเดือนเต็ม”
“...” เหลียนอันสุ่ยอ้าปากค้าง  พูดไม่ออก  เขา...คิด?  ตัวเขาไปคิดตอนไหนไม่ทราบ  นี่คือครั้งที่สองในชีวิตที่เหลียนอันสุ่ยนึกอยากตะโกนบางประโยคออกไปดังๆ
“ทีนี้เราจะอยู่ใกล้กันคาดว่าคงไม่มีปัญหาแล้ว  ถึงแม้ข้ารู้สึกว่าบุญคุณช่วยชีวิตกับติดตามรับใช้สามเดือนมันไม่ค่อยเท่าเทียมกันเท่าไหร่  แต่หลังจากสามเดือนไว้ค่อยคิดว่าท่านจะทำอะไรอีกเพื่อข้าได้บ้าง  ท่านวางใจข้าย่อมสามารถคิดหาวิธีที่สมเหตุสมผลมาอธิบายความสนิทสนมของเราสองคน”
“...” คนผู้นี้ถึงกับคิดทางออกเอาไว้อย่างเสร็จสรรพ  วิธียังเป็นวิธีที่ตัวเองได้ประโยชน์อย่างเสร็จสรรพ  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าเขาไม่มีอะไรจะพูด  แถมนอกจากสามเดือนนี้ยังมีตามมา ‘อีก’   สะ  สวรรค์  เหมาเอาเองทั้งนั้นว่าเขาจะเห็นด้วย
 
เหลียนอันสุ่ยคิดจะเอ่ยปากแย้งว่าวิธีนี้ไม่มีทางจะทำให้เรื่องเงียบลงมีแต่จะให้ผลในทางตรงกันข้าม  แต่ติดขัดที่คำว่า ‘บุญคุณช่วยชีวิต’   ไม่ผิด  ฉีเซี่ยงหยวนมีบุญคุณต่อเขาจริงๆ  ดังนั้นผู้อื่นน้ำท่วมปากกล่าววาจาไม่ได้  ส่วนเหลียนอันสุ่ยเป็น ‘บุญคุณ’ ท่วมปากแย้งไม่ออก  ทราบดีแก่ใจว่าฉีเซี่ยงหยวนแค่ไม่ต้องการให้ความจริงเปิดเผย  ส่วนเรื่องรอบตัวจะเงียบหรือไม่เงียบไม่ได้ให้ความใส่ใจแม้แต่น้อย

ฉีเซี่ยงหยวนมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของอีกฝ่าย  มองริมฝีปากที่เผยอค้างอย่างเย้ายวนคู่นั้น  อดไม่ได้ต้องประทับลงไปอย่างปลอดโปร่ง
เหลียนอันสุ่ยเบิกตาค้างกว่าเดิม  ยืนตัวแข็งนิ่งอยู่ตรงนั้น
ฝ่ายฉีเซี่ยงหยวนหลังจากจูบจนพอใจก็เดินฮัมเพลงเลี้ยวเข้าห้องทำงานไปอย่างปลอดโปร่งสบายใจ  พร้อมกับความฝันที่จะใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบของเหลียนอันสุ่ยที่แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ  หลังจากนี้เหลียนอันสุ่ยเลือกได้เพียงสองอย่าง  คือเป็นคนที่มีชื่อเสียงกับเป็นคนที่มีชื่อเสียง ‘มาก’ เท่านั้น
---------------------
สายของวันถัดๆมา  ฉีเซี่ยงหยวนมีเวลาว่างจึงแวะเข้าไปหาเสิ่นชิงอีที่ฝ่ายร้องรำ  เห็นนางมือถือกลอนบทหนึ่งเอื้อนเบาๆอยู่ริมหน้าต่าง  จือหลันที่คอยติดตามรับใช้ด้านข้างเสมอมาวันนี้กลับไม่อยู่  คาดว่าไปทำธุระให้นางที่ด้านนอก
“กลอนบทนี้เป็นของบิดาเจ้า”
เสียงของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เสิ่นชิงอีรีบลุกขึ้น  ยอบกายคำนับ  จากนั้นกล่าวตอบว่า
“ตอนยังมีชีวิตท่านพ่อรักกลอนบทนี้มาก  เนื้อหาสำเนียงสละสลวยกินใจ  ข้าคิดจะเอามาใส่ในเพลงที่แต่งขึ้นใหม่” บิดาของเสิ่นชิงอีเป็นบัณฑิตมีชื่อที่ได้รับการกล่าวขานไปทั่วทั้งสามแคว้น  ถือเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ได้รับราชการที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง  ตัวนางเองเรียนรู้จากบิดาจึงมีความรู้ทั้งการเขียนอักษรและการดนตรี

“ไฟไหม้เมืองหลวงครั้งนั้นนับเป็นความสูญเสียของแคว้นเป่ยชาง  โชคดีที่ยังมีเจ้า  งานอันทรงคุณค่าเช่นนี้จึงได้รับการคัดลอกขึ้นมาใหม่อีกครา”
“ไฟไหม้ในครั้งนั้นถ้าบิดาไม่ฝ่าเข้าไปช่วยข้าออกมา  ความจริงคนรอดชีวิตสมควรเป็นเขา  นั่นจึงเป็นความโชคดีแคว้นเป่ยชาง”
“ชิงอี  เจ้ายังรู้สึกว่าเป็นความผิดของตัวเองอยู่อีกหรือ”
“ไฟไหม้มายามดึกเผาทุกอย่างไปจนสิ้น  ตำราสามารถคัดลอกขึ้นใหม่  บทกลอนสามารถเรียกคืนมาจากความทรงจำ  แต่คนกลับไม่อาจหวนคืนตลอดกาล  ท่านแม่เสียชีวิตเพราะคลอดข้า  ท่านพ่อตายเพราะช่วยเหลือข้า  ข้าจะไม่หลอกตัวเองในเรื่องนั้น  ต้าอ๋อง  ท่านมาที่นี่คาดว่าคงไม่คิดจะมาสนทนาอดีตกับข้ากระมัง” นางกล่าวประโยคสุดท้ายออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
นางยังคงไม่เปลี่ยนไปเลย  หลังจากบิดาของเสิ่นชิงอีตายไป  บรรดาญาติห่างๆก็เข้ามาโดยคิดจะหาผลประโยชน์จากสิ่งที่เหลืออยู่  ดีที่อดีตเป่ยชางอ๋องยังจดจำการแต่งกลอนหน้าพระพักตร์ของบิดานางได้  รับอุปถัมภ์นางเข้าเป็นนางรำฝึกหัดในฝ่ายร้องรำ  นับว่าหลบพ้นคราวเคราะห์ไปได้คราหนึ่ง 

ฉีเซี่ยงหยวนยังจำได้ว่าตอนที่นางเข้าวังมาตอนอายุหกขวบนางก็บอกเขาว่านางจะไม่ลืมเลือน    นางต้องจดจำสิ่งที่พวกเขาเสียสละให้นาง  นางต้องจดจำความรักที่พวกเขามีให้นาง  น้ำตายังคงนองหน้า  แต่คำพูดของนางกลับกล้าหาญจนตัวเขาที่อายุสิบสี่เกิดความละอายในตัวเอง  หลังจากนั้นเด็กกำพร้าตัวจริงกับเด็กที่มีสภาพเหมือนกำพร้าทั้งๆที่พ่อแม่ยังอยู่ครบก็กลายเป็นมิตรสหาย
บางทีชิงอีอาจเป็นชิ้นส่วนสำคัญชิ้นหนึ่งที่ผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้าโดยไม่หยุดยั้ง  นางยิ่งเติบโตก็ยิ่งงดงามจนเกินไป  แต่เขากลับบอกตัวเองว่าจำเป็นต้องปกป้องนางดังนั้นจึงได้แต่แข็งแกร่งขึ้น  แข็งแกร่งยิ่งกว่าใครๆจึงสามารถปกป้องสหายในวัยเยาว์ตรงหน้า

“เรื่องทางฝั่งแม่นมตู้เป็นอย่างไรบ้าง” ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็เข้าจุดประสงค์ของการมาในวันนี้
“ตู้ฮูหยินเชิญข้าไปพบสามครั้งแล้ว  ครั้งล่าสุดดูเหมือนนางจะคัดจนเหลือแค่ข้ากับผู้หญิงอีกสี่คน  ข้าไม่แน่ใจว่านางจะคัดต่ออีก  หรือจะแต่งตั้งทีเดียวห้าคน”
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วเลือดลมเหมือนจะไหลย้อนกลับ  ห้าคน !  นางคงหวังจะให้เขาโปรดปรานซักหนึ่งในห้ากระมัง  ให้ตัวเลือกเสียมากมาย  ความหวังดีนี่ทำร้ายเขาไม่น้อยเลยทีเดียว
“แม่นมตู้ชอบเจ้าที่สุด  เจ้าเกลี้ยกล่อมนางให้หน่อยว่าข้ายังราชกิจมากมายไม่ควรรีบมีชายา  อีกอย่างรับทีเดียวห้าคนมากเกินไปอาจทำให้เกิดการทะเลาะแย่งชิงในวังหลังได้”
“คนที่ตู้ฮูหยินรักที่สุดคือท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนรับฟังพลางขมวดคิ้ว  กล่าวอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยนักว่า
“เจ้าหมายความว่าข้าควรไปเกลี้ยกล่อมนางเอง ? ” กลัวแต่ว่าไม่เพียงเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จยังถูกนางจัดการดักคอจนดิ้นไม่หลุดเสียล่ะมาก
“เรื่องที่ข้าช่วยพูดให้ท่านได้  ล้วนพูดไปจนหมดแล้ว  ดังนั้นต้าอ๋องท่านควรไปพูดกับนางเอง  อย่าหลบหน้านางอีกเลย”...
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนกลับมาถึงตำหนักเมฆาราตรี(เยี่ยอวิ๋น)  เหลียนอันสุ่ยรอคอยเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาอยู่แล้ว 
ตั้งแต่ถูกฉีเซี่ยงหยวนใช้แผนการผูกติดไว้กับตัวอย่างขี้โกงยิ่ง  กระทั่งงานที่โรงหมอของเหลียนอันสุ่ยยังต้องพักไว้เป็นการชั่วคราว  ส่วนหอตำราหลวงก็ได้แต่อาศัยช่วงที่อีกฝ่ายไปว่าราชการเข้าไปหยิบยืมตำราออกมา  อย่างอื่นนอกเหนือจากนี้  กระทั่งตอนฉีเซี่ยงหยวนเรียกพบเหล่าขุนนางเป็นการส่วนตัว  เหลียนอันสุ่ยยังทำได้เพียงรอคอยอยู่ที่ห้องด้านนอก  ไม่อาจผละจากไป 
ฉีเซี่ยงหยวนทำงานจนดึกดื่น  เหลียนอันสุ่ยต้องรอคอยฝนหมึกให้อยู่ที่ด้านข้าง  พอดึกมากเข้าเป่ยชางอ๋องผู้นี้ก็ทำเป็นกล่าวอย่างใจกว้างว่าควรยกเตียงเล็กหนึ่งเตียงมาไว้ที่ห้องด้านข้าง  พระมาตุลาจะได้ไม่ต้องลำบากดึกดื่นจากไปเช้าตรู่รีบมารับใช้  แน่นอนว่าในความเป็นจริงเตียงเล็กเตียงนั้นก็เพียงยกมาตั้งไว้เฉยๆ  ทุกเช้าที่เหลียนอันสุ่ยเห็นบ่าวไพร่จัดเก็บเตียงเล็กที่ถูกรื้อให้ยุ่งก็ทำได้เพียงถอนหายใจ  เปลืองแรงงานเปล่าดายโดยแท้

ในทั้งหมดทั้งมวลคนที่ยุ่งวุ่นวายที่สุดคือเหลียนจิ้งเต๋อ  ทุกวันต้องหาข้ออ้างมาพบพ่อบุญธรรมเพื่อเหยียบเข้าตำหนักเยี่ยอวิ๋น
เหลียนอันสุ่ยเกรงข่าวลือจะลุกโหมรุนแรง  จนใจที่วันๆแทบไม่ได้ออกจากตำหนักเมฆาราตรี  จะไปรับรู้ข่าวสารได้จากที่ใด  อีกใจหนึ่งก็พอจะเดาได้ว่ากระแสข่าวน่าจะเดือดพล่านหนักหน่วงจึงไม่ค่อยปรารถนาจะทราบอยู่บ้าง

ดวงตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนมองพระมาตุลาแคว้นเหลียนที่เก็บหีบยาวางบนหลังตู้  คำพูดของเสิ่นชิงอีแว่วย้อนกลับมา
‘...ในเมื่อต้าอ๋องสามารถรับธนูแทนเขา  เหตุใดจึงไม่กล้ากล่าววาจากับตู้ฮูหยินเล่า? ’ เสิ่นชิงอีถามยิ้มๆ  ข่าวนี้โด่งดังอย่างยิ่งจริงๆ  กระทั่งนางยังทราบเรื่องในเวลาอันสั้น

มุมปากของฉีเซี่ยงหยวนพลันปรากฏรอยยิ้มบางๆ  ดวงตาที่เฉียบขาดอยู่เป็นนิจปรากฏแววอ่อนโยน  ฉีเซี่ยงหยวนเองก็ทราบว่าการหลบหน้าอาจทำให้ตู้ฮูหยินเสียใจ  แต่เขามีวิธีการของเขา  และสิ่งที่หนักหนาที่สุดไม่ใช่ตู้ฮูหยิน  แต่เป็นหน้าที่อันหนักอึ้งซึ่งกดทับอยู่บนบ่า  เขาจะไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งที่เรียกว่ากฎบัญญัติและโชคชะตา  กฎบัญญัติเกิดจากมือคน  โชคชะตาก็เป็นสิ่งที่เขียนโดยมือคน  ฉีเซี่ยงหยวนเชื่อเช่นนั้น
 
เงาร่างหนึ่งซึ่งเขาไม่มีวันลืมเลือนไปจากใจ  เขาจะสลักเอาไว้ที่ข้างกายไปตลอดกาล
...ไม่มีวันปล่อยมือ...
---------------------
ความจริงแล้วสายสัมพันธ์แม่ลูกเหนียวแน่นยิ่งกว่าสิ่งใด  แต่การกระทบกระทั่งจากความเห็นที่ไม่ตรงกันก็มักจะพบเห็นได้อยู่เสมอ  วันนี้เองก็เกิดเรื่องขัดแย้งจากความเห็นไม่ตรงกันรายหนึ่ง  ของแม่ลูกที่มีศักดิ์ฐานะไม่ธรรมดาคู่หนึ่ง
รัชทายาทวัยสิบเอ็ดปีของแคว้นเป่ยชางผลุนผลันเข้ามาในห้องด้วยฝีเท้าที่เร่งรีบอยู่บ้าง

“ท่านแม่  ข้าได้ยินว่าวันนี้ท่านไปดักรอพบพระมาตุลาที่หน้าหอตำราหลวง  เป็นความจริงหรือ”
เสียงแผ่วช้าของสตรีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างใจเย็นว่า
“ดักรอพบอันใด  พูดเสียไม่น่าฟัง  แม่ก็แค่บังเอิญพบเขาเท่านั้น”
ผู้เยาว์วัยกว่าฟังแล้วถอนหายใจ  ก้าวเข้าไปนั่งข้างๆ  แล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่จริงจังว่า
“ปรกติท่านวันๆไม่ออกจากตำหนัก  เพียงเท่านี้ก็ดูผิดสังเกตแล้ว  ท่านพูดอะไรกับเขาบ้าง”
“ก็ไม่มีอะไรพิเศษ  แค่ฝากฝังให้เขาช่วยดูแลลูกเท่านั้น”
องค์รัชทายาทเหลือบมองมารดาแท้ๆด้วยสายตาหนักใจ  ทำไมเขาจะเดาไม่ได้ว่าข่าวลือเรื่องความสนิมสนมไว้เนื้อเชื่อใจของพระมาตุลากับพระบิดาบุญธรรมผลักดันให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
“ท่านแม่  ถือว่าลูกขอร้อง  คราวหน้าคราวหลังอย่าดำเนินการโดยไม่ปรึกษาลูกก่อน”

“เจ้าไม่พอใจอะไร  ที่แม่ทำก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น” ชายาในอดีตรัชทายาทเพิ่มน้ำหนักในน้ำเสียงด้วยความไม่พอใจ  ปรกตินางเป็นคนใจเย็น  แต่ถ้าเป็นเรื่องของลูกชายมักไม่อาจปล่อยผ่านไปโดยง่ายดาย  ลูกคนนี้อายุยังไม่เท่าไหร่ก็คิดจะสั่งสอนแม่แล้วหรือ  เห็นบุตรชายนิ่งไม่ตอบคำแต่สีหน้าไม่มีแววคล้อยตาม  อารมณ์ไม่พอใจก็ทบทวี  วางงานปักในมือลง  มองประตูห้องที่ปิดสนิท  แล้วหันมามองหน้าบุตรชาย  พลางกล่าวว่า
“บัลลังก์นี้ความจริงเป็นของบิดาเจ้า แม่ไม่ได้ทำอะไรผิด  แค่จะทำให้เจ้าได้ในสิ่งที่เจ้าสมควรได้”
ผู้เยาว์วัยกว่ากลับกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ท่านแม่  หากท่านยังทำเช่นนี้ต่อไป  กระทั่งตำแหน่งรัชทายาทข้าก็น่ากลัวจะรักษาไว้ไม่ได้”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น พระบิดาบุญธรรมของเจ้าคนนี้ก็ออกจะไม่รู้คุณคนเกินไปแล้ว  แม่เห็นกับตา  จดจำได้แม่นยำในใจ  ว่าท่านพ่อของเจ้าดีต่อเขาแค่ไหน”
“ท่านแม่  นี่มันไม่เกี่ยวข้องกัน  ท่านก็ทราบว่าพระบิดาบุญธรรมดีต่อเราสองแม่ลูกไม่น้อยแล้ว  ถ้าไม่มีเขา  ทั้งชีวิตและฐานะของพวกเราในวันนี้ไหนเลยยังสามารถรักษาไว้  ข้าไม่คิดว่าต้าอ๋องติดค้างอะไรท่านพ่อของเราอีก  ส่วนตำแหน่งรัชทายาท  มีแต่งตั้งได้ก็ถอดถอนได้  ทั้งหมดล้วนขึ้นกับความประพฤติของลูก  ท่านแม่ทำเช่นนั้นไม่มีประโยชน์อื่นใดนอกจากเปิดเผยความคิดภายในใจให้ผู้อื่นรับรู้” ท่านเข้าใจว่าพระบิดาบุญธรรมจะมองไม่ออกหรือ  ข้าเกรงว่ากระทั่งพระมาตุลายังคาดเดาจิตเจตนาของท่านได้  คนสองคนนั้น  คนหนึ่งเป็นฟากฟ้าที่ไม่อาจหยั่งคำนวณ  อีกคนเป็นสายน้ำที่ไม่อาจหยั่งความลึก  คิดเล่นลูกไม้ต่อหน้าพวกเขาเป็นเรื่องที่โง่เขลาและอันตรายยิ่ง

ชายาในอดีตรัชทายาทไม่ได้สนใจแววตาซับซ้อนของลูกชาย นางยังคงจมอยู่กับความสำเร็จในการค้นพบของตัวเอง  กล่าวว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระมาตุลาเคยเป็นคนข้างกายของขุนพลใหญ่แคว้นเหลียนอวี้เฉียน  เวลานี้ที่ต้าอ๋องไม่แต่งตั้งพระชายาบางทีอาจเป็นเพราะเขา  หากเป็นเช่นที่แม่คาดเดา  การสนับสนุนเหลียนอันสุ่ยนับเป็นเรื่องที่ถูกต้อง” ขอเพียงฉีเซี่ยงหยวนไม่มีลูก  ตำแหน่งของบุตรชายนางก็ถือว่ามั่นคงในระดับหนึ่ง

รัชทายาทวัยเยาว์ตื่นตระหนกยิ่ง 
“ท่านแม่  ท่านไปเอาความคิดอันตรายเช่นนี้มาจากไหน ! ”  ‘คนข้างกายของอวี้เฉียน’ คำพูดนี้กระทั่งกล่าวยังกล่าวไม่ได้
“เจ้าไม่เห็นต้องตื่นตระหนกถึงเพียงนี้  แม่ไม่เคยบอกการคาดเดาของแม่กับใคร  เจ้าเองก็เป็นเพื่อนร่วมเรียนของบุตรชายพระมาตุลา  รู้จักมักคุ้นกับพระมาตุลาผู้นั้นไม่น้อย  ทางที่ดีคือรักษาสภาพเป็นมิตรนี้ไว้  ทำให้เหลียนอันสุ่ยเอ็นดูเจ้า สนับสนุนเจ้า  รวมทั้งส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาให้เป็นไปโดยราบรื่น”

คนฟังลุกขึ้นช้าๆ  รู้ว่าเรื่องที่เกิดไปแล้ววิตกก็เปล่าประโยชน์  จึงไม่คิดจะทุ่มเถียงต่ออีก  เพียงรับคำแผ่วเบาด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก  เดินออกไปถึงหน้าประตู  แล้วจึงชะงักเท้าลงครู่หนึ่ง  ในจังหวะที่ชะงักเท้านี้ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้
“ท่านแม่วางใจเถอะ  ไม่จำเป็นต้องให้ข้าส่งเสริม  สำหรับพระบิดาบุญธรรม  พระมาตุลาผู้นั้นอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีใครแทนที่ได้นานแล้ว” กล่าวจบก็เปิดประตูเดินออกไป

ชายาในอดีตรัชทายาทนิ่งงันอยู่กับที่  เมื่อตั้งสติได้ก็รีบโถมกายเข้าไปคิดคว้าตัวบุตรชายมาสอบถามให้รู้เรื่อง
“นี่แสดงว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว  ทำไมไม่เห็นเคยบอกแม่ ! ” เอื้อมมือคว้าออกไป  แต่นอกประตูไหนเลยจะมีคน

ตอนที่นางนิ่งงันอยู่บนเก้าอี้  บุตรชายของนางก็ก้าวจากไปไกลแล้ว
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 46 .......................................24/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-09-2014 11:03:56
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 46 .......................................24/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-09-2014 20:55:43
เป็นเด็กที่ฉลาดจริงๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 47
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 27-09-2014 18:59:39

บทที่ 47 คนที่ยากจนที่สุดในหล้า

กลิ่นดอกไม้หอมเย็นซึมซ่านอยู่ในสายลม  ผสมอยู่ในความเย็นชื่นของน้ำค้างยามดึก  ในสวนเล็กระหว่างตัวเรือนสองฟาก  ที่ด้านข้างโต๊ะหมากล้อม  โคมไฟส่องทางเดินภายในตำหนักเผื่อแผ่แสงสว่างมาถึง  ในสวนจุดโคมเล็กอีกสี่ดวงส่องจนเม็ดหมากขาวดำบนกระดานเรื่อแสงไฟ

“ข้าได้ยินว่าวันนี้ท่านได้พบกับพี่สะใภ้  คุยกันพักใหญ่  ไม่ทราบคุยเรื่องอะไรบ้าง”
“นางแค่ขอบคุณที่ข้าช่วยดูแลบุตรชายของนาง” เหลียนอันสุ่ยตอบพลางยิ้มบางๆ  พอทราบอยู่แล้วว่าชายาในอดีตรัชทายาทมีจุดประสงค์ใดแต่ไม่คิดกล่าวเปิดโปง
ฉีเซี่ยงหยวนมองรอยยิ้มนั้นกับแววตาสงบลึกซึ้ง  พลันกล่าวขึ้นมาอย่างแช่มช้าว่า
“พี่สะใภ้ความจริงมีนิสัยรักสงบ  แต่บางครั้งก็ห่วงใยเรื่องของบุตรชายนางจนเกินไปบ้าง  ตั้งแต่พี่ใหญ่จากไปนางก็หวังจะชดเชยทุกอย่างที่เด็กคนนั้นควรได้ให้กับเขา  ข้าหวังว่าท่านจะไม่ถือสา”
“คนเป็นแม่ก็แบบนี้  อีกอย่างข้าเข้าใจความรู้สึกของนาง  ข้าเองก็ทำหลายอย่างให้กับจิ้งเต๋อเพื่อทดแทนในส่วนของเหวินจีเช่นกัน” การที่คนๆหนึ่งตายไป  อีกคนได้แต่รับช่วงสานต่อ ทำในสิ่งที่คนผู้นั้นไม่อาจทำได้  นี่คือการร่วมชีวิต  และนี่คือสิ่งที่เรียกว่าความรัก

  ดวงตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนจึงหลุบมองกระดานหมาก  นางกำนัลชาวเหลียนปากมากในตำหนักพี่สะใภ้คนนั้นบางทีอาจสมควรเรียนรู้การพูดให้น้อยลงเสียบ้าง  พึมพำว่า
“ท่านมักเข้าใจคนอื่นอยู่เสมอ  และก็มักไม่ถือสาคนอื่นอยู่เสมอ...  พี่สะใภ้เพียงเป็นกุลสตรีที่ดี  ที่นางเรียนรู้ส่วนใหญ่ก็เป็นวิชาของสตรี  คนที่น่ากลัวในตำหนักนั้นไม่ใช่นาง  แต่เป็นคนที่อ่อนวัยกว่านางอยู่หลายปี  คนที่รู้ทุกอย่างแต่ไม่เคยเปิดปากพูด  คนที่ในใจแอบมุ่งหวังสิ่งใดก็ไม่เคยเปิดเผย  อายุน้อยแค่นี้ก็ริอ่านมีความลับกับพ่อบุญธรรมเสียแล้ว”

เหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้ว  พูดอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่า
“ท่านหมายถึง...รัชทายาท?”
“เขานั่นแหละ  เด็กคนนี้ซุกซ่อนความทะเยอทะยานของตัวเองมิดชิดทีเดียว  แต่ท่านอย่าได้เผลอถูกรูปลักษณ์นิ่งๆเงียบๆภายนอกหลอกเอาเชียว  เขาคิดปกปิดข้าไม่ว่า  แต่ปกปิดให้ได้ตลอดแล้วกัน” ฉีเซี่ยงหยวนพูดพลางหัวเราะหึหึ  สีหน้าท่าทางร้ายกาจจนบอกไม่ถูก  เหมือนคนสุมแผนการร้ายไว้เต็มหัวใจ

“เด็กฉลาดไม่ใช่ความผิด  รอบคอบรู้จักระวังตัวก็ไม่ใช่ความผิด  ท่านนี่มัน...  ลูกบุญธรรมตัวเองยังจะแกล้งอีก!”
ฉีเซี่ยงหยวนยักไหล่  พิจารณาดูตัวหมากขาวดำที่ห้ำหั่นกันอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า
“ข้าแพ้แล้ว”
“วันนี้ท่านไม่มีสมาธิเลย” เหลียนอันสุ่ยกล่าวพลางรินน้ำชาส่งให้
ฉีเซี่ยงหยวนรับชามาจิบ  กล่าวว่า
“ช่วงนี้ท้องพระโรงทุ่มเถียงอย่างหนักเรื่องการส่งน้องห้าไปควบคุมดูแลการสร้างสำนักศึกษาที่หัวเมืองตะวันออก  ดีที่ว่าในที่สุดก็ได้ข้อสรุปแล้ว  น้องห้าจะออกเดินทางพรุ่งนี้  ดำเนินแผนการไปมากมายก็ต้องเหน็ดเหนื่อยบ้างเป็นธรรมดา”
“แล้วทำไมท่านไม่บอกก่อน  ข้าจะได้ไม่ชวนท่านเดินหมาก”
น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยกระจ่างราวระลอกน้ำสะอาดใสกระทบผาน้ำตก  ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าตัวเองราวกับดำรงอยู่ระหว่างสองโลกที่แตกต่าง  หนึ่งสงบสันติ  หนึ่งมุ่งมั่นไขว่คว้า  ดวงตาคมของฉีเซี่ยงหยวนยังคงจดจ่อกับกระดานหมากที่ปรากฏผลแพ้ชนะเบื้องหน้า  พึมพำว่า
“เหตุใดคนเราจึงมักคิดว่าการชนะเป็นสิ่งที่ดีเสมอ  มุ่งหวังชัยชนะ  มุ่งหวังจะได้มา  ขนาดกระดานหมากเล็กๆแค่นี้คนเรายังคิดว่าการชนะเป็นสิ่งที่ดีกว่า  เหตุใดต้องเป็นเช่นนั้น”
เหลียนอันสุ่ยรับฟังจนขมวดคิ้ว  เอ่ยถามอย่างจริงจังว่า
“ท่านเสียใจในสิ่งที่ท่านได้มาอย่างนั้นหรือ ? ”

“ข้าได้อะไรมา  จนบัดนี้ข้ายังไม่แน่ใจว่าข้าได้มาจริงๆหรือไม่  เพราะข้าจ่ายออกไปมากเหลือเกิน  แต่ข้าไม่ได้เสียใจ  ข้าเพียงหมายถึงเด็กสองคน  ลูกบุญธรรมข้าคนหนึ่ง  น้องชายข้าคนหนึ่ง  และคนอื่นๆรอบตัวเขา  รวมถึงบรรดาขุนนางรอบตัวข้าด้วย”
“เวลาเดินหมากคนเรามักมุ่งหวังชัยชนะเพราะมันได้มายากกว่า  เดินหมากโดยไม่มีแพ้ชนะใยมิใช่ไร้แก่นสารยิ่ง  ไร้รสชาติยิ่ง  ชีวิตคนก็เป็นแบบนี้  ท่านรังเกียจที่พวกเขามีความทะเยอทะยานหรือ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องรังเกียจตัวเองก่อน  คนไม่มีความทะเยอทะยานจะย่ำอยู่กับที่  คนที่ความทะเยอะทะยานมากเกินไปมักฉุดตัวเองลงเหว  แต่เอาเป็นว่าข้าไม่ถือสาที่พวกเขามีความทะเยอทะยาน  ข้าแค่รู้สึกว่าเหตุใดคนเราจึงมักรู้สึกว่าตัวเองยังมีไม่พออยู่เรื่อย” พวกเราทุกคนล้วนเหมือนกัน  ไม่ว่าในมือมีอยู่แล้วมากมายแค่ไหน  ใจยังคงมีสิ่งอื่นที่มุ่งมาดปรารถนา

“เพราะชีวิตคนเราไม่เต็มเปี่ยมจึงจมอยู่ในการแสวงหา  ขณะที่เท้าจำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา” เหลียนอันสุ่ยกล่าวพลางเก็บเม็ดหมากล้อมใส่กระปุกจนเต็ม  เก็บเรียบร้อยจึงเงยหน้าขึ้นมากล่าวยิ้มๆว่า “คิดไม่ถึงวันนี้จะได้สนทนาปรัชญากับต้าอ๋อง  ท่านบอกว่าตัวเองเหน็ดเหนื่อยยิ่งแต่กลับกล่าววาจาซ่อนความนัยมากมายถึงเพียงนี้  สมองของท่านแจ่มใสอย่างยิ่งชัดๆ”
ฉีเซี่ยงหยวนพลอยหัวเราะไปกับอีกฝ่าย  เท้าแขนลงกับโต๊ะหิน  กล่าวอย่างเห็นด้วยว่า
“เป็นไปได้  บางทีคงเป็นเพราะสมองบรรจุเรื่องราวมากเกินไปจึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยสับสน  แต่คำว่า ‘คิดไม่ถึง’ ของท่านออกจะดูแคลนข้าไปหน่อยแล้ว  ชีวิตข้าแม้เกี่ยวพันอยู่กับสนามรบ  แต่จะมากจะน้อยก็เป็นองค์ชาย  ถึงเวลาเรียนส่วนใหญ่จะหมดไปกับการหาวิธีกลั่นแกล้งอาจารย์  กับเรื่องที่ต้องเรียนข้าก็ยังเรียนเข้าใจอยู่”

เหลียนอันสุ่ยส่ายหัวด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“ท่านเป็นคนเก่งจริงๆนั่นแหละ  เก่งจนน่ากลัว”
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้ว ถาม
“ท่านกลัวข้า?”
เหลียนอันสุ่ยยิ้ม  แล้วตอบว่า
“ข้าไม่กลัวท่าน”
“ท่านไม่กลัวข้าก็เพียงพอแล้ว  คนอื่นคิดอย่างไรข้าไม่สนใจ”
รอยยิ้มของเหลียนอันสุ่ยจางไป  เหลียนอันสุ่ยยังคงจำได้ดีว่ายามที่องค์ชายห้ากวาดมองเห็นว่าเบื้องหลังเขาเป็นหม่าหลงกับต้วนจินมีสีหน้าเป็นอย่างไร  มันเป็นการรับรู้อะไรบางอย่างที่แฝงไว้ด้วยความกริ่งเกรง  น้องชายเพียงคนเดียวของฉีเซี่ยงหยวนหวาดกลัวพี่ชายของเขา 
อันที่จริงเหลียนอันสุ่ยเห็นมานานแล้วว่าสายตารอบตัวฉีเซี่ยงหยวนส่วนใหญ่มักเจือไปด้วยความกริ่งเกรง  ยิ่งหลังจากฉีเซี่ยงหยวนรับตำแหน่งเป่ยชางอ๋องสายตาเช่นนี้ก็ยิ่งชัดเจน  ให้เกียรติเป็นสิ่งที่ดี  แต่การให้เกียรติก็เป็นสิ่งที่สร้างระยะห่างขึ้นมาด้วย  หรือนี่คือชะตากรรมของคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด  เหลียนอันสุ่ยไม่เคยลืมคำพูดของฉีเซี่ยงหยวนในกระโจมหลังนั้น

‘ศัตรูของข้าเพิ่มขึ้นทุกวัน  ในขณะที่มิตรสหายกลับค่อยๆเหินห่างออกไป...การอยู่เหนือผู้อื่นมันก็ไม่ดีเช่นนี้เอง’

ไม่ดีเช่นนี้เอง  กระทั่งสายตาของรัชทายาทที่เป็นบุตรบุญธรรมของฉีเซี่ยงหยวนนอกจากความเคารพรักยังคงเจือไว้ด้วยความกริ่งเกรง  คนที่คุ้นชินกับสายตาที่มองมาด้วยความเชื่อถือไว้วางใจเช่นเหลียนอันสุ่ย  กระทั่งนึกภาพยังนึกภาพไม่ออกว่าคนๆหนึ่งจะทนทานอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปได้อย่างไร !
ได้ยินฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยว่า
“คนเรามักรู้สึกว่าตัวเองยังขาดอะไรไปจริงๆนั่นแหละ  ยาจกยากไร้ปรารถนาเงินทอง  เศรษฐีก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองยากไร้  น้องห้าคาดหวังความรักระหว่างพี่น้อง  ทั้งๆที่รอบตัวเขานอกจากสิ่งนี้แล้วก็มิได้ขาดสิ่งอื่นใดอีกเลย  ส่วนข้ากระทั่งการมีบิดามารดารสชาติเป็นอย่างไรยังไม่เคยรู้จัก” ถอนหายใจแผ่วเบา  เรียวปากมีรอยยิ้มแต่กลับสั่นศีรษะ “น่าเสียดายที่สิ่งที่เขาคาดหวัง  ข้าไม่มีจะให้เขา”
ลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยชะงักไปวูบหนึ่ง  ทวนคำว่า
“พระมารดาของท่าน ? ” เหลียนอันสุ่ยแทบไม่เคยได้ยินฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยถึงพระมารดาของเขามาก่อน  สตรีที่เขาพูดถึงบ่อยที่สุดคือแม่นมตู้
“ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าคนที่เลี้ยงข้ามาคือแม่นมตู้  ส่วนพระมารดาแท้ๆ แม้ช่วงที่นางยังมีชีวิตจะอยู่ตำหนักเดียวกัน  แต่ก็แทบไม่ได้พบหน้า” มองดวงตาเบิกกว้างของคนฟัง  มือใหญ่ก็เอื้อมไปกุมมือเรียว   ตบเบาๆคล้ายจะปลอบว่าไม่เป็นไร  อธิบายว่า
“ระหว่างพระมารดาข้ากับพระบิดาเป็นแค่ความห่างเหินและความเจ็บช้ำ  ไม่มีความรัก  พวกเขาแต่งงานกันเพราะต้องแต่ง  ส่วนตัวข้าความจริงคือสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดมาได้  เป็นความบังเอิญที่หัวเราะไม่ออกเรื่องหนึ่ง  ...ตอนเด็กที่ข้าเกลียดพี่รองบางทีอาจมีความอิจฉาอยู่แฝงด้วย  พระชายารองรักบุตรชายของนางเป็นอย่างมาก  รักมากอย่างยิ่งจริงๆ” ...รักจนวาระสุดท้ายของชีวิต

มือของเหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนฝ่ายกุมมืออีกใหญ่ไว้  กล่าวเบาๆว่า
“ต้าอ๋อง  ท่านยังเหลือน้องชายอยู่อีกคนหนึ่ง  ยังมีพระบิดาของท่าน  ความรักเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ  ที่ท่านต้องทำมีเพียงแค่เปิดใจ  ไม่จำเป็นต้องทำให้พวกเขาหวาดกลัวท่าน  ไม่จำเป็นต้องส่งน้องชายตัวเองไปไกลถึงหัวเมืองตะวันออก  ท่านเคยบอกข้าว่าน้องชายของท่านสนใจแค่ชีวิตของอดีตเป่ยชางอ๋อง  มิได้สนใจบัลลังก์มิใช่หรือ”

ฉีเซี่ยงหยวนยิ้มแล้ว ค่อยๆอธิบายเรื่องราวอย่างอดทนว่า
“ประโยคนั้นของน้องห้าเพียงหมายถึงในใจเขาชีวิตของพระบิดามีความสำคัญกว่าบัลลังก์  ดังนั้นตราบใดที่พระบิดายังมีชีวิตอยู่  น้องห้าจะไม่แย่งบัลลังก์กับข้า  แต่ถ้าหลังพระบิดาตายไป  นั่นเป็นเรื่องไม่แน่แล้ว  ในใจของน้องห้ามีความเห็นว่าบัลลังก์เป็นของเขาโดยชอบธรรม  ความเห็นนี้ดูผิวเผินไม่มีอะไร  แต่แท้จริงอันตรายอย่างยิ่ง  ต่อให้ตอนนี้เขาไม่มีกระทั่งความทะเยอทะยาน  แต่ใจคนเป็นสิ่งไม่แน่นอน  อนาคตไม่ว่าเรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้  ที่ข้าไม่เชื่อใจคืออำนาจ  คนที่อยู่ในฐานะเช่นพวกเรามักไม่เป็นตัวของตัวเอง  และข้าได้เรียนรู้มานานแล้วว่าบางครั้งความหวาดกลัวกริ่งเกรงก็ให้ผลที่ดีกว่าความเข้าใจ”
พูดจบก็ถอนหายใจคราหนึ่ง  กล่าวต่อว่า
“ถ้าข้ายังเป็นองค์ชายสี่อาจบางทีคงลองคิดดูอย่างที่ท่านว่า  น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้าเป็นเป่ยชางอ๋อง  ความเชื่อใจคือความโง่เขลา  ความไม่เชื่อใจก็คือความโง่เขลา  ความรักยิ่งเป็นความโง่เขลา  ข้าไม่อาจเพิ่มจุดอ่อนมากไปกว่าที่ข้ามีอยู่  อีกอย่างในระหว่างพวกเราพี่น้องไม่ว่าจะรักกันหรือไม่  สุดท้ายสิ่งที่คงอยู่คือคำว่าไม่อาจเชื่อใจ  น้องห้าไม่ใช่เด็กแล้ว  เขาสมควรเข้าใจความจริงข้อนี้  และเข้าใจหน้าที่ของเขา”

ฉีเซี่ยงหยวนพูดไม่ผิด  อายุสิบหกไม่ใช่เด็กอีกแล้ว  ได้ยินว่าตอนฉีเซี่ยงหยวนอายุสิบหกก็นำทัพพิชิตชนเผ่าทางเหนือ  สิบแปดเริ่มกลืนกินซีเฮ่อ  แม้ช่วงแรกคนรับผิดชอบหลักจะเป็นองค์ชายใหญ่  แต่หลังจากองค์ชายใหญ่จากไปก็เป็นฉีเซี่ยงหยวนที่รับช่วงต่อ  ตอนนี้ฉีเซี่ยงอวิ๋นยังมีพระบิดายืนค้ำฟ้าให้อยู่เบื้องหลัง  ในขณะที่ฉีเซี่ยงหยวนในตอนอายุสิบหกไม่ได้โชคดีอย่างนั้น  ถ้าฉีเซี่ยงอวิ๋นยังยืนด้วยตัวเองไม่ได้  ด้วยตำแหน่งที่เขาเป็นอยู่  ด้วยสายเลือดที่เขาเป็นอยู่  ก็ออกจะน่าผิดหวังเกินไป  เกิดมาเป็นองค์ชายต่อให้ไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็มีหน้าที่ๆต้องทำ

“...ข้ากลับดูไม่ออกเลย  ว่าจริงๆแล้วท่านเป็นคนเข้มงวดถึงเพียงนี้  มิน่ากองทัพใต้บัญชาของท่านจึงถือเป็นกองทัพที่มีวินัยที่สุดในแคว้นเป่ยชาง”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจคำชมดังกล่าว  แต่กลับกล่าวอย่างจริงจังว่า
“ตอนนี้เขาเป็นขุนนางของข้า เป็นข้าที่จ่ายเบี้ยหวัดให้กับเขา  เป็นราษฎรที่จ่ายส่วยจ่ายภาษี  ข้าจะไม่เลี้ยงคนที่ไร้ประโยชน์  ราษฎรเองก็คงไม่ต้องการจ่ายส่วยจ่ายภาษีให้กับคนที่วันๆไม่ทำอะไรเลย”

เหลียนอันสุ่ยเงียบไปนาน  สุดท้ายเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“มิน่าเล่าท่านจึงใจดีกับบุตรบุญธรรมสองคนไม่เท่ากัน  ตอนแรกข้ายังเข้าใจว่าเป็นการจงใจกลั่นแกล้งเสียอีก”
เหลียนจิ้งเต๋อมักจะมีเวลาก่อเรื่องวุ่นวาย  แต่เพื่อนร่วมเรียนของเขากลับมีการบ้านที่ต้องฝึกฝนตั้งแต่เช้าจรดบ่าย  องค์ชายมีงานขององค์ชาย  รัชทายาทมีงานของรัชทายาท  ลูกบุญธรรมเฉยๆมีงานของลูกบุญธรรมเฉยๆ  ลดหลั่นกันตามอายุ  ลดหลั่นกันตามลำดับชั้น  แจกแจงได้ชัดเจนหมดจดทีเดียว

ฉีเซี่ยงหยวนตอกย้ำความเข้าใจของเหลียนอันสุ่ยด้วยประโยคที่ว่า
“ข้าจะไม่มอบบัลลังก์ให้กับคนที่ไม่ต้องการมัน  และข้าจะไม่มอบแคว้นเป่ยชางให้กับคนที่ไร้ความพยายาม  ไม่ว่าใครที่อยากได้บัลลังก์ในมือข้าก็ต้องใช้ความสามารถของเขามาเอาไป” ประโยคนี้ของฉีเซี่ยงหยวนไม่เพียงหมายถึงองค์รัชทายาท  ยังรวมถึงน้องชายเพียงคนเดียวของเขาด้วย
ถ้าปรารถนาชีวิตสงบปลอดภัยก็อย่าทะเยอทะยานให้มาก  ถ้าปรารถนาชีวิตบนบัลลังก์ก็ต้องทำตัวเองให้มีความสามารถเพียงพอจะดูแลมันได้
ในบางครั้งฉีเซี่ยงหยวนก็เข้มงวดไม่ผ่อนปรนอย่างนี้เอง  จวบจนวาระสุดท้ายกับกฎเกณฑ์ข้อนี้ฉีเซี่ยงหยวนก็ยังคงยึดมั่นไม่เปลี่ยนแปลง
“พูดถึงเรื่องผู้สืบทอดของท่าน  ข้าได้ยินว่าราชสำนักกำลังคัดเลือกพระชายา  แต่ท่านกลับยืนกรานปฏิเสธ  ต้าอ๋อง  ตำแหน่งพระชายาสำคัญแค่ไหนท่านก็รู้  ยังมีตำแหน่งอัครชายาของท่านอีก  หากท่านลังเลเพราะข้านั่นก็ไม่จำเป็นต้องลังเลเลย” ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็พูดออกไป  คำพูดคล้ายลูกธนูดอกหนึ่ง  กรีดผ่านบรรยากาศของความกลมเกลียวเข้าอกเข้าใจ

ฉีเซี่ยงหยวนหันขวับมาทันใด  น้ำเสียงเจือแววไม่อยากจะเชื่อ
“นี่ท่านกำลังเกลี้ยกล่อมให้ข้ารับชายาอย่างนั้นหรือ ? ”
 “ต้าอ๋อง  ท่านใจเย็นก่อน  เรื่องชายาของท่านจะช้าจะเร็วอย่างไรก็ต้องมี  ทั้งท่านทั้งข้าต่างรู้ดี”
ฉีเซี่ยงหยวนผุดลุกขึ้นยืน ราวกับมีเปลวเพลิงแผดเผาไปทั่วทั้งร่าง  เป็นไฟโทสะที่มาพร้อมความเจ็บปวด  เขาขบคิดแผนการมากมายเพื่อหลบเลี่ยงการแต่งตั้งพระชายา  ทำทุกหนทางเพื่อคนตรงหน้า  แต่คนผู้นี้กลับเอ่ยปากผลักไสเขาไปหาผู้อื่นอย่างง่ายดาย  เท่านี้เองหรือ  ง่ายดายปานนี้เองหรือ  แล้วที่เขาทำมาทั้งหมดล้วนเพื่ออะไรกัน ?

เหลียนอันสุ่ยเห็นฉีเซี่ยงหยวนโมโหจนสาวเท้าพรวดๆคิดจากไปโดยใบหน้าไม่แม้แต่จะหันมามอง  ก็ผุดลุกขึ้นเช่นกันอย่างตื่นตระหนก
“ต้าอ๋อง  ข้าแค่อยากให้ท่านมีครอบครัว”
ร่างที่ก้าวเดินไปถึงชานบันไดขึ้นเรือนหยุดชะงักไว้  ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวสวนโดยไม่หันมามองว่า
“ข้ามีท่าน”
“นั่นมันไม่เหมือนกัน  ข้ามีลูกให้ท่านไม่ได้”
“ข้ามีลูกแล้วสองคน”
เสียงของเหลียนอันสุ่ยขยับมาใกล้
“พวกเขาล้วนมิใช่ลูกที่แท้จริงของท่าน  ไม่อาจทดแทนกัน” ตอนจบประโยคปลายนิ้วเรียวยาวแตะลงบนแขนที่กำแน่นจนกล้ามเนื้อเขม็งเกร็ง  น้ำเสียงทั้งโน้มน้าวเกลี้ยกล่อม  ทั้งเจือด้วยความปวดร้าวเว้าวอน
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบคำ  ได้ยินเหลียนอันสุ่ยกล่าวต่อว่า
“มาคิดดูแล้วข้าความจริงไม่ควรแต่งงานกับเหวินจีเลย  แต่ข้าไม่เคยเสียใจ  ครั้งแรกที่ข้าอุ้มจิ้งเต๋อ  ความรู้สึกนั้นไม่มีอะไรเทียบได้  ต้าอ๋อง  ทั้งหมดนี้มันมากเหลือเกิน  ท่านไม่ควรต้องสูญเสียมันไปเพราะข้า”

ภายในลมหายใจหนักหน่วง  ความคิดของฉีเซี่ยงหยวนคล้ายค่อยๆเปลี่ยนจากเปลวเพลิงเป็นบางสิ่งบางอย่างที่มีตัวตน  อยากจะโมโหให้หนักๆ  แต่กลับทำไม่ได้  ยื่นมือออกไปฉุดดึงร่างสูงโปร่งเข้ามาหาตัว  มองใบหน้าตกใจแต่กลับแฝงความปวดร้าวหม่นหมองอย่างลึกล้ำใบนั้น  ทำไมท่านจึงกลับมามีสีหน้าเช่นนี้อีก  ความปวดร้าวของท่านไม่ใช่เจือจางเบาบางไปนานแล้วหรอกหรือ  ปลายนิ้วสากไล้ช้าๆไปตามผิวแก้มหมดจด  พึมพำว่า
“...ท่านโทษตัวเองอีกแล้ว  ทำไมท่านต้องทำเช่นนี้อยู่เรื่อย” สายตาของฉีเซี่ยงหยวนมีแววเจ็บปวดอ่อนใจ  ทั้งยังแฝงอารมณ์หวนรำลึกอยู่บ้าง
“ข้า...” พูดได้เพียงพยางค์เดียวปลายนิ้วสากก็เลื่อนมาทาบทับริมฝีปากไว้  เมื่อปลายนิ้วเลื่อนออกริมฝีปากร้อนผ่าวก็ตามติดลงมา
รอยจูบลึกล้ำยาวนาน  คล้ายเปี่ยมไปด้วยส่วนผสมของอารมณ์ที่ซับซ้อนหลากหลาย  แต่ที่สัมผัสได้ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความรู้สึกประการหนึ่ง...รัก  เพียงแค่รู้สึกรักก็เท่านั้น  ความเจ็บปวดนี้  ความไม่เข้าใจนี้ล้วนเกิดเพราะ ‘รัก’ เพียงประการเดียว

ฉีเซี่ยงหยวนถอนริมฝีปากออกมาช้าๆ  หลังจากถูกจูบเหลียนอันสุ่ยมักเป็นเช่นนี้เสมอ  มึนงงน้อยๆ  หายใจไม่ทันอยู่บ้าง  สิ่งที่พูดกับสิ่งที่คิดคล้ายต้องใช้เวลาพักหนึ่งเพื่อที่จะประกอบเป็นสิ่งเดียวกัน  ฉีเซี่ยงหยวนชมชอบทั้งหมดนั่น  ขณะค่อยๆละเลียดภาพดังกล่าวอย่างแช่มช้า  ก็เอ่ยว่า
“ความจริงแล้วทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะท่าน  ข้าไม่เคยคิดจะมีลูกมาตั้งแต่แรก  ไม่ว่าข้ารักใครล้วนมีผลลัพธ์เช่นเดียวกัน  ท่านไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง”
คำพูดนี้คล้ายค้อนหนักๆที่ทุบจนเหลียนอันสุ่ยมีสติแจ่มใสขึ้นมาหลังจากถูกริมฝีปากของอีกฝ่ายก่อกวน  อุทานอย่างตื่นตระหนกว่า
“ทำไมท่านจึงตัดสินใจเช่นนี้!”
“บิดาข้ามีลูกชายห้าคน  แต่ทั้งหมดล้วนเข่นฆ่ากันเอง  ตอนนี้เหลือแค่ข้ากับน้องห้า  องค์ชายแย่งชิงอำนาจ  ที่ทุกข์ร้อนคือปวงประชา  ที่ทำลายคือแว่นแคว้น  ผู้คนมักบอกว่าการที่ผู้ปกครองแคว้นมีผู้สืบทอดหลายคนเป็นสิ่งที่ทำให้แว่นแคว้นมั่นคง  แต่ในความเห็นข้า  ยิ่งมีผู้สืบทอดหลายคนยิ่งเป็นหายนะโดยแท้” ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยอารมณ์เย้ยหยันอยู่บ้าง  แต่ละคำพูดแช่มช้าชัดเจน
“แต่ต้าอ๋อง...ท่านมีลูกสาวได้  กระทั่งลูกชายก็สามารถมีได้  ถ้าท่านมีลูกชายเพียงคนเดียว  ที่ท่านกังวลก็จะไม่เกิดขึ้น  เพราะสิทธิชอบธรรมจะตกเป็นของเด็กคนนี้  ไม่มีใครสามารถแย่งชิงโต้แย้งกับเขา”

ฉีเซี่ยงหยวนหันมายิ้มให้คนหวังดีที่ข้างกายที่พยายามหาหนทางให้กับเขา  กล่าวว่า
 “ถ้าเช่นนั้นเด็กคนนี้ก็น่ากลัวจะไม่ได้เกิดแล้ว  เพราะพระบิดาของข้าคงไม่ยินดีจะมีหลานคนนี้แน่” และต่อให้เด็กคนนั้นสามารถเกิดมา  ทุกค่ำเช้าก็จะวนเวียนอยู่กับความเสี่ยงที่เรียกว่าความเป็นความตาย
เหลียนอันสุ่ยพิจารณาความหมายของสิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนพูดออกมาและไม่ได้พูดออกมา  นิ่งงันไปพักใหญ่  ...ถ้านั่นจะเกิดขึ้นจริง  อดีตเป่ยชางอ๋องก็อำมหิตเหลือเกิน 

เหลียนอันสุ่ยพูดไม่ออก  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับหัวเราะเบาๆ  กล่าวว่า
“ข้าไม่แน่ใจในความคิดของพระบิดา  แต่ข้าแน่ใจในตัวเอง  สิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลงอีก  ข้าไม่ได้แต่งตั้งลูกบุญธรรมเป็นรัชทายาทเพราะข้าไม่มีลูกเป็นของตัวเอง  แต่ข้าจงใจเลือกเด็กคนนั้น  ข้าติดค้างพี่ใหญ่มามากเกินไปจึงได้แต่ชดใช้คืนด้วยวิธีนี้” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวอย่างจริงจัง  จากนั้นพึมพำกับตัวเองว่า
“ท่านมีลูกไม่ได้ก็ดีเหมือนกัน  หากข้าสามารถมีลูกกับท่านจริง  บางทีการตัดสินใจนี้ของข้าอาจถูกความเห็นแก่ตัวของตัวเองทุบทำลายไปในท้ายที่สุด...ลูกของท่านกับข้า  ความคิดนี้กลับดีไม่น้อย  รู้สึกดีจนข้าไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถต้านทานความเย้ายวนของมันได้”
เหลียนอันสุ่ยทำได้เพียงเบิกตากว้าง
ที่แท้ฉีเซี่ยงหยวนจงใจไม่มีลูกเพราะต้องการให้ลูกบุญธรรมมีสิทธิ์ในบัลลังก์ ! 
ขอเพียงฉีเซี่ยงหยวนมีลูกชายตำแหน่งรัชทายาทโดยชอบธรรมไม่มีทางตกไปถึงมือลูกชายองค์ชายใหญ่  ลูกเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่เสมอ  เพื่อพี่ชายคนนั้นฉีเซี่ยงหยวนถึงกับยอมเสียสละความภาคภูมิใจชั่วชีวิต

อันที่จริงถ้านับตามกฎเกณฑ์ที่ถูกต้องของการสืบบัลลังก์  ตำแหน่งรัชทายาทต้องเป็นขององค์ชายห้าจนกว่าฉีเซี่ยงหยวนจะมีทายาทที่แท้จริง  แต่ฉีเซี่ยงหยวนรับบุตรชายขององค์ชายใหญ่เป็นบุตรบุญธรรม  ใช้ฐานะนี้มาคัดง้าง  ใช้อิทธิพลที่สามารถกำหนดฟ้าดินมาแต่งตั้ง  แม้ไม่ถึงกับถูกต้องนัก  แต่ก็ไม่ถึงกับผิดจนทำไม่ได้  สิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนมอบให้กับบุตรบุญธรรมผู้นี้คือโอกาสอันยิ่งใหญ่  นี่คือค่าตอบแทนที่ฉีเซี่ยงหยวนใช้ทดแทนบุญคุณ !

คนมีศักดิ์เป็นพระมาตุลากลืนน้ำลาย  น้ำลายคล้ายฝืดคอเป็นพิเศษ  และก็คล้ายกับมีรสขม  คิดจะถามออกไปว่า ‘การเสียสละเช่นนี้ใช่มากมายเกินไปหรือไม่’   แต่สุดท้ายยังคงมิได้ถามออกไป
จากอดีตที่ฉีเซี่ยงหยวนเคยเล่าให้เหลียนอันสุ่ยฟัง  ในนั้นเจือเงาร่างของพี่ชายคนโตคนนี้อย่างเข้มข้น  เข้มข้นจนเหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าในหลายอย่างที่ฉีเซี่ยงหยวนเป็นย่ำอยู่ในเงาขององค์ชายใหญ่โดยไม่รู้ตัว  ฉีเซี่ยงหยวนทั้งรักทั้งเคารพพี่ชายคนนี้เหลือเกิน  พี่ชายเพียงคนเดียวที่พอจะนับเป็นพี่น้อง  พอจะสามารถนับเป็นครอบครัว

เทพสงครามหยงเซี่ยเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ทำให้เหล่าต้นไม้เล็กๆหวังจะเจริญรอยตาม  เป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าผู้ที่เคยได้ยินได้ฟังตำนานของเขา  แต่ในใจของฉีเซี่ยงหยวน องค์ชายใหญ่ฉีเซี่ยงเทียนเป็นอะไรที่จับต้องได้กว่ามาก  อาจบางทีสำหรับฉีเซี่ยงหยวน พี่ชายคนโตที่อายุมากกว่าเขาสี่ปีคนนี้เป็นตัวแทนของทั้งพ่อและพี่ชาย  มีความสำคัญต่อฉีเซี่ยงหยวนอย่างยากจะหาใครเทียบได้
เหลียนอันสุ่ยยังคงมีคำถามที่ไม่เข้าใจ  คิดจะทำให้บรรยากาศที่หนักอึ้งดีขึ้น  จึงขมวดคิ้วถามยิ้มๆออกไปว่า
“ท่านมีพี่ชายที่ดีต่อท่านถึงเพียงนี้  เหตุใดจึงบอกว่าระหว่างพวกท่านพี่น้องสิ่งที่คงอยู่คือคำว่าไม่อาจเชื่อใจเล่า”
คำถามนี้ถามอย่างไม่เจตนา  แต่ปฏิกิริยาของฉีเซี่ยงหยวนกลับทำให้เหลียนอันสุ่ยชะงักไป  เหตุใดในวูบหนึ่งของแสงโคมที่ส่องต้องดวงตาดำสนิทจึงสาดให้เห็นรอยของความโศกเศร้าบางเบา  เขาดูผิดไปใช่หรือไม่  รอยยิ้มบนริมฝีปากของเหลียนอันสุ่ยสลายหายไปกับวูบหนึ่งของแสงไฟนั้น

ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบคำ  ภาพในหัวฉายเป็นเรื่องราวเมื่อหลายเดือนก่อน  คืนนั้นในคุก เขากับพี่รองคุยกันมากมายหลายเรื่อง...หลายเรื่องอย่างยิ่งจริงๆ  ประโยคเหล่านั้นยังคงชัดเจน 
นั่นเป็นหลังจากพี่รองถามเขาว่าเขายังรับบุตรชายของพี่ใหญ่เป็นบุตรบุญธรรมอยู่หรือไม่ 
เขาพยักหน้า  พี่รองเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะ  กล่าวว่า
‘ดูๆไปแล้วข้าก็ต้องยอมรับว่าเขาร้ายกาจ  ข้าแข่งกับเขามาค่อนชีวิตสุดท้ายยังคงพ่ายแพ้แก่เขา  พ่ายแพ้ทั้งๆที่เขาตายไปตั้งสี่ปีที่แล้ว’ พูดจบก็ดื่มสุรา  เหลือบสายตาขึ้นมามองหน้าเขา  เหยียดยิ้มแล้วกล่าวต่อ
‘เจ้าเป็นคนมีน้ำใจจริงๆ  เขาดูคนไม่ผิดพลาด  ผู้ชายคนนั้นเหมือนพระบิดาทุกอย่าง  มีแต่สายตาที่เหนือชั้นกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่าต่อกี่เท่า’
เสียงพึมพำต่อจากนั้นของพี่รองคล้ายกับเป็นประโยคที่ว่า คิดไม่ถึงตระกูลเลือดเย็นของเรา  คนที่ได้ชื่อว่าเลือดเย็นที่สุดกลับเป็นคนที่มีน้ำใจที่สุด  แต่ตัวฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ตั้งใจฟังเสียแล้ว 

ในหมู่พี่น้องพี่ใหญ่เป็นคนที่หน้าตาคล้ายคลึงกับพระบิดาที่สุด  แต่พี่รองย่อมมิได้หมายถึงความเหมือนในจุดนี้  ประโยคเหล่านั้นของพี่รองแม้คนกล่าววาจาจะไม่อยู่แล้ว  แต่เนื้อความกลับไม่ยินยอมจางหายไป  เพราะลึกๆแล้วฉีเซี่ยงหยวนรู้ดีว่ามันซ้อนทับกับความเป็นไปได้ประการหนึ่ง...ความเป็นไปได้ที่เขาไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองไปครุ่นคิดถึง
 
เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังคงติดค้างพี่ใหญ่มากมายเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 46 .......................................24/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 27-09-2014 19:13:21

บทที่ 48 คนที่ยากจนที่สุดในหล้า(2)

“...เซี่ยงหยวน  ฉีเซี่ยงหยวน”
เสียงเรียกทำให้ฉีเซี่ยงหยวนตื่นจากภวังค์  พบว่าตัวเองเดินมาจนถึงห้องนอนแล้ว  เหลียนอันสุ่ยที่เดินมาด้วยกันกำลังมองมาที่เขาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไร  แค่คิดถึงเรื่องเก่าก่อนขึ้นมา” ฉีเซี่ยงหยวนตอบเบาๆ
“เรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้ท่านหมกมุ่นครุ่นคิดถึงขนาดนี้” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยเคร่งเครียดจริงจัง
ฉีเซี่ยงหยวนก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป  เดินไปได้ครึ่งทางจึงค่อยตอบว่า
“พี่รองเคยบอกว่าการฝากฝังบุตรชายของพี่ใหญ่  เป็นการจงใจใช้ประโยชน์จากบุญคุณที่พี่ใหญ่มีต่อข้า” ไม่ใช่แค่เพียงให้ดูแล...แต่ยังหมายถึงสิทธิในบัลลังก์
ม้วนไม้ไผ่ที่เพิ่งหยิบขึ้นมาในมือของเหลียนอันสุ่ยหล่นลงไปบนชั้นดัง ‘ตุบ’  ยังไม่ทันกล่าวอะไรออกไป  ฉีซี่ยงหยวนก็สรุปออกมาเอง
“ช่างเถิด  พี่รองก็เป็นแบบนี้  ชอบกล่าววาจาเสียดสีทำร้ายผู้อื่น  ข้าไม่โทษเขา  ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อถือเป็นจริงเป็นจังไป”
น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนผ่อนคลาย  ท่าทีก็ผ่อนคลาย  หากเป็นคนทั่วไปคงถูกชักจูงจนเชื่อถือไปแล้ว  แต่เหลียนอันสุ่ยคุ้นเคยกับบุรุษผู้นี้เกินกว่าจะเชื่อว่าเรื่องราวไม่มีอะไรจริงๆ...ฉีเซี่ยงหยวนทราบดีว่าประโยคที่พี่รองเขากล่าวเป็นความจริง  ถึงภายนอกจะปฏิเสธแต่ลึกลงไปกลับทราบดี...บางทีอาจทราบดีมาโดยตลอด

เหลียนอันสุ่ยดับตะเกียงน้ำมันในห้อง  ล้มเลิกความตั้งใจที่จะอ่านตำราก่อนเข้านอน  มองฉีเซี่ยงหยวนที่เอนกายอยู่บนเตียง  แล้วเดินเข้าไปนั่งที่ขอบเตียง  ในทุกๆอิริยาบถนี้สมองของเหลียนอันสุ่ยมีระลอกของความคิดไหลผ่านไม่หยุดยั้ง  ความจริงอันน่ากลัวเรื่องหนึ่งค่อยๆเผยตัวออกมาอย่างเงียบงัน

เด็กชายอายุเยาว์ผู้หนึ่งซึ่งไม่มีทั้งบิดามารดาให้พึ่งพา  แต่กลับมีศักดิ์ฐานะเป็นถึงองค์ชาย  ศักดิ์ฐานะที่จะทำให้คนโดดเดี่ยวสุดจะเปรียบปาน  ขอเพียงมีมือข้างหนึ่งยื่นออกไป  ทั้งมือข้างนั้นยังเป็นมือของคนในครอบครัว  เป็นมือของพี่ชาย  พี่ชายคนนั้นจะต้องเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขา  เพราะนั่นคือการยอมรับเพียงหนึ่งเดียว  คือครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว

ฉีเซี่ยงหยวนมักเอ่ยถึงความสามารถของพี่ชายคนโต  แต่ในความเป็นจริงตัวเขาเองนั่นแหละที่มีความสามารถจนทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนก  ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดคนที่มีความสามารถน่ากลัวที่สุดก็คือเขา    เด็กชายเยาว์วัยที่บิดาหมางเมินมารดาไม่สนใจผู้หนึ่งที่มีประกายแหลมคมจนยากจะปกปิด  ขอเพียงได้รู้จักใกล้ชิด  องค์ชายใหญ่ที่โตกว่าถึงสี่ปีไม่มีทางมองไม่ออกว่าเด็กคนนี้จะมีประโยชน์มหาศาลในภายภาคหน้า  บางทีทั้งหมดนั่นคงเป็นความจริงใจที่เคลือบแฝงอยู่ในการหวังใช้ประโยชน์
 
จริงใจกี่ส่วน  หวังใช้ประโยชน์กี่ส่วน  นานวันเข้ายากแยกแยะได้ชัดเจน  พวกเขาอยู่ด้วยกันมาหลายปีเกินไป  เวลาหลายปีเช่นนี้ไม่เพียงสามารถเพาะสร้างเป็นบุญคุณ  ยังทำให้เราเข้าใจคนๆหนึ่งอย่างลึกซึ้ง เข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องที่แท้จริงไม่ต้องการเข้าใจแม้แต่น้อย 
องค์ชายใหญ่ฉีเซี่ยงเทียนเองก็คงรู้จักนิสัยของฉีเซี่ยงหยวนดี  ต้องรู้จักดียิ่งกว่าที่ฉีเซี่ยงหยวนรู้จักเขามากมายนัก  เพราะฉีเซี่ยงเทียนมีอายุมากกว่าถึงสี่ปี  ดังนั้นเรื่องที่เวลาฉีเซี่ยงหยวนรักคนผู้หนึ่งสามารถทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนผู้นั้นฉีเซี่ยงเทียนก็ต้องทราบกระจ่าง  ยิ่งการตอบแทนบุญคุณ ตอบแทนความเชื่อมั่นที่ผู้อื่นมีต่อเขา ฉีเซี่ยงหยวนยิ่งไม่เคยทำให้ผู้คนต้องผิดหวังเลย  การฝากฝังครอบครัวให้กับน้องชายคนที่สี่จึงไม่เพียงเป็นเรื่องที่ถูกต้องยิ่ง  ยังเป็นเรื่องที่ได้กำไรอย่างยิ่งด้วย

ตำแหน่งรัชทายาทอันล้ำค่าฉีเซี่ยงหยวนถึงกับมอบให้บุตรชายขององค์ชายใหญ่อย่างง่ายดาย  เพราะในใจของฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกอยู่เสมอว่าเจ้าของบัลลังก์ที่แท้จริงคือพี่ชายคนโตที่เขาสูญเสียไปแล้วคนนั้น

บางทีองค์ชายใหญ่คงมิได้มั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองคาดการณ์ไว้มากนัก  แต่ต้องวางใจเป็นอย่างมาก  เพราะเดิมพันนี้มีแต่ได้กับได้สถานเดียว  เหลียนอันสุ่ยสะท้านไปเยือกหนึ่งกับความคิดที่โยนความเป็นมนุษย์ทิ้งไปของตัวเอง  ถ้ามองว่าทุกอย่างเป็นเพียงหมากกระดานหนึ่งเรื่องราวอาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ  เหลียนอันสุ่ยหวังว่ามันจะไม่ใช่  หวังว่าจะคาดเดาผิดพลาดไป  แต่ทว่า... ‘ข้าไม่โทษเขา’  ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็เข้าใจ ประโยคนั้นของฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้หมายถึงพี่ชายคนรอง  แต่เป็นพี่ชายคนโต
หักกลบลบล้างกันแล้วไม่ว่าอย่างไรฉีเซี่ยงหยวนยังคงรู้สึกว่าเขาติดค้างบุญคุณ  หักกลบลบล้างกันแล้วฉีเซี่ยงหยวนยังคงไม่นับเรื่องที่พี่ชายคนโตอาจหลอกใช้เขา

บางครั้งฉีเซี่ยงหยวนก็เป็นเช่นนี้เอง  กับเรื่องราวที่ซับซ้อนและเจ็บปวดสามารถปล่อยวางให้มันผ่านไป  กับสิ่งที่เป็นอดีตก็สามารถยึดถือมันเป็นเพียงแค่อดีต  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยยอมให้อดีตมาทำลายปัจจุบันของเขา
บุตรชายที่บิดาไม่เคยนับเป็นสายเลือด  บุตรชายที่มารดากระทั่งเห็นหน้าก็ไม่ต้องการเห็นหน้า  มีพี่ชายคนโตหวังใช้ประโยชน์  มีพี่ชายคนรองที่กลั่นแกล้งเหยียดหยาม  มีน้องชายคนสุดท้องที่แย่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น  นี่เองคือสภาพในอดีตของฉีเซี่ยงหยวน  นี่เองคือสภาพที่แท้จริงที่ฉีเซี่ยงหยวนมักจะใช้คำพูดที่เบากว่ามาอธิบายให้เหลียนอันสุ่ยฟังอยู่เสมอ  และคนผู้นี้ต้องเผชิญทั้งหมดนั่นในกรงอันเลือดเย็นที่อิทธิพลอำนาจมีความสำคัญกว่าความรู้สึก  อดีตที่เว้าแหว่งไม่มีชิ้นดีเช่นนี้ยากจะเชื่อว่าเป็นของบุรุษที่ประสบความสำเร็จตรงหน้า  ยิ่งยากจะเชื่อว่าในสภาวะเช่นนั้นฉีเซี่ยงหยวนยังสามารถรักษาตัวตนให้เป็นอย่างที่เขาเป็น
เหลียนอันสุ่ยอิงใบหน้ากับแผ่นอกกว้าง  ปรารถนาจะให้บรรดาคนที่ไม่ได้รับความรักแล้วท้อแท้หมดอาลัย  ถูกทรยศความรู้สึกแล้วเก็บเป็นปมแค้นเคืองอาฆาตเหล่านั้นมาเห็นบุรุษชาวเป่ยชางผู้นี้  ถ้าฉีเซี่ยงหยวนเป็นเช่นเดียวกับคนพวกนั้นตอนนี้คงทำได้เพียงโทษว่าโชคชะตา  ทำร้ายผู้อื่น  สงสารตัวเองต่อไป  แต่เพราะฉีเซี่ยงหยวนมิใช่!  จึงสามารถกอบกุมสิ่งที่คนพวกนั้นได้แต่ฝันถึงเอาไว้ในกำมือ 
เปลี่ยนจากคนที่ไม่เคยมีอะไรเป็นของเขาอย่างแท้จริง  กลายเป็นคนที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นของเขา...รวมทั้งความสุขด้วย  ใช่  ผู้ชายคนนี้มีอดีตที่ไม่มีความสุข  แต่ผู้ชายคนนี้มีชีวิตที่มีความสุข  บางครั้งอดีตก็ไม่ใช่สิ่งที่กำหนดทุกอย่างเสมอไป  ทุกอดีตมีทางแยกในตัวของมันเอง  ขึ้นอยู่กับว่าท่านเลือกเดินทางไหน

เหลียนอันสุ่ยทราบว่าเขาไม่จำเป็นต้องสงสารบุรุษผู้นี้เลย  เพราะฉีเซี่ยงหยวนเองก็ไม่ได้สงสารตัวเอง  ชีวิตของฉีเซี่ยงหยวนแม้มีหลายเรื่องที่ไม่สมหวัง  มีหลายเรื่องที่เจ็บปวด  แต่ก็มีหลายเรื่องที่มีความสุข  ที่มีความภาคภูมิใจเช่นกัน  ชีวิตคนเราความจริงก็ประกอบด้วยหลายสิ่งหลายอย่างมากมายเช่นนี้เป็นธรรมดา
จากนั้นเหลียนอันสุ่ยพลันคิดไปถึงตอนถกเรื่องบทกวีเปรียบเทียบความรักของแคว้นต่างๆกับพระภาดา  หานญื่อหลัวเคยกล่าวถึงความรักของชาวเป่ยชางไว้ประโยคหนึ่ง
‘รักด้วยทั้งหมดของหัวใจ  ไม่เสียใจจนวันสุดท้ายของชีวิต’
รักนี้ไม่จำกัดเพียงรักของชายหญิง  ต่อให้เป็นมิตรภาพระหว่างเพื่อนพ้องก็เป็นดุจเดียวกัน  ความรักที่อดีตเป่ยชางอ๋องมีต่อพระมารดาขององค์ชายห้าเป็นเช่นนี้  ความรักที่พระชายารองมีต่อองค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิงก็คงเป็นเช่นนี้  ความรักฉีเซี่ยงหยวนมีต่อพี่ชายคนโตก็เป็นเช่นเดียวกัน

ฉีเซี่ยงหยวนมักรักคนรอบตัวเขาในแบบของเขาเอง  ไม่เคยตัดพ้อตำหนิ  และไม่เคยเสียใจที่ได้รัก  ความจริงคำว่า ‘เปิดใจ’ ของเหลียนอันสุ่ยไม่จำเป็นเลย  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้เกลียดชังน้องชายคนที่ห้าที่แย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขา  พอๆกับที่ไม่ได้เกลียดชังบุตรชายของพี่ชายคนโตที่อาจหลอกใช้เขา  เพียงไม่อนุญาตให้คนเหล่านั้นทราบความคิดภายในใจเขา  เพราะคนแบบฉีเซี่ยงหยวนความหวาดกลัวทำอะไรเขาไม่ได้  แต่ความเข้าใจมีอันตรายถึงชีวิต  ความเชื่อใจยิ่งสามารถฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น
และทั้งหมดนั่นก็ทำให้เหลียนอันสุ่ยเข้าใจ  ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เคยได้รับความรักมาแล้วค่อยส่งมอบความรักนั้นต่อผู้อื่น  แต่ต่อให้คนที่ยากจนความรักที่สุดในหล้าก็ยังคงสามารถมอบความรักออกไป
ในเรื่องของความรัก  ไม่เคยมีคำว่ายากจนจนเกินไป  มีแค่จะมอบให้หรือไม่เท่านั้น

คิดมาถึงช่วงสุดท้ายอย่างง่วงงุน  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าฉีเซี่ยงหยวนกอดเขาแน่นขึ้น  เปลี่ยนท่าเป็นเอาคางเกยกับศีรษะของเขา  คนผู้นี้ชอบเอาตัวเองมาเบียดกับเขาจนติดนิสัย...เหลียนอันสุ่ยสะท้านทั้งร่างจากประโยคหนึ่งที่ร่วงหล่นลงมากระแทกให้เขาตื่นเต็มตา
‘รักด้วยทั้งหมดของหัวใจ  ไม่เสียใจจนวันสุดท้ายของชีวิต’

เขาคู่ควรกับความรักเช่นนี้หรือ  สวรรค์  เขาจะปล่อยมือจากคนผู้นี้ได้อย่างไร  จะหักใจโหดร้ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร !
  ---------------------
แสงแดดฤดูใบไม้ผลิสาดส่องลงมา  มู่ซางเดินถือม้วนไม้ไผ่สองสามม้วนด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจ  ช่างเป็นวันดีที่อากาศพอเหมาะเสียนี่กระไร
แต่แล้วบรรยากาศที่มองดูแล้วสดชื่นไปถึงหัวใจนี้กลับถูกเสียงฝีเท้าหนักๆฉีกทำลายเป็นชิ้นๆ  ไหล่ถูกคว้าหมับด้วยมืออันใหญ่โตทรงพลัง  เมื่อเหลือบหางตาไปมองมู่ซางก็เห็นใบหน้าแตกตื่นของฝงเป่า
“มู่  มู่ซาง...เจ้า...รู้ข่าวรึยัง” ท่ามกลางเสียงหอบหายใจฝงเป่าก็ละล่ำละลักถามออกมา  เด็กบ้านี่หาตัวยากเสียจริง!  เขาวิ่งวุ่นหาอยู่ค่อนวันค่อยพบตัวคนบนทางเดินกำลังชมนกชมไม้สบายอารมณ์  หารู้ไม่ว่าภัยอันน่ากลัวได้กรายมาถึงแล้ว !
มู่ซางเลิกคิ้วเล็กน้อย  ถาม
“ข่าวอะไร”
ฝงเป่ามองซ้ายมองขวา  อ้ำๆอึ้งๆอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจกระซิบข้างหูอีกฝ่ายว่า
“ข้าได้ข่าวมาว่าตอนนี้...ตอนนี้  ต้าอ๋องเปลี่ยนเป็นชอบผู้ชาย!”
มู่ซางหางตากระตุก  เงียบไปอึดใจก็กล่าวอย่างขอไปทีว่า
“...เจ้าคิดมากไปแล้ว” 
“เรื่องพวกนี้ข้าไม่กล้าคิดขึ้นมาเองหรอกน่า  เมื่อวานนี้ข้าไปดื่มเหล้ากับเพื่อนที่เป็นราชองครักษ์  ตอนเจ้านั่นเมาบอกข้าว่าช่วงก่อนหน้านี้ต้าอ๋องแทบจะไม่เคยค้างที่ตำหนักเยี่ยอวิ๋น  แต่ไปค้างที่ตำหนักเสียงวสันต์ของพระมาตุลาแคว้นเหลียน!  สวรรค์  ดึกดื่นค่อนคืนไปค้างยังจะเป็นอะไรได้อีก”
ฝงเป่ากล่าวจบก็รอปฏิกิริยาของคนข้างตัว  รออยู่นาน  สุดท้ายมู่ซางก็เปิดปากกล่าวออกมาคำหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า
“อ้อ”
ฝงเป่าเห็นอีกฝ่ายไม่ร้อนใจก็ยิ่งร้อนใจขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ  ร้องว่า
“มู่ซางทำไมเจ้ายังเฉยอยู่อีก  นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ  เจ้าลองคิดดู  สมัยก่อนเรานอนกระโจมเดียวกับต้าอ๋องออกบ่อยไป  ทั้งยังเคยอาบน้ำร่วมกัน  คิดไม่ถึง...คิดไม่ถึง...” พูดถึงตรงนี้สีหน้าก็สยดสยองจนไม่อาจพูดต่อได้
มู่ซางมองชายร่างใหญ่ที่ยืนกระมิดกระเมี้ยนด้วยท่าทีหวาดกลัวหวงตัวสุดประมาณตรงหน้า  พลันรู้สึกว่ามุมปากกระตุกไม่หยุดยั้ง  อดรนทนไม่ไหวต้องด่าออกไปว่า
“ต่อให้โลกนี้ไม่หลงเหลือผู้หญิงแม้แต่คนเดียว  ผู้ชายค่อนโลกตายจนหมดสิ้น  ต้าอ๋องก็ไม่มีทางสนใจเจ้าหรอก  ข้ารับประกันได้  ดังนั้นอย่ามายืนกระบิดกระบวนอยู่ตรงนี้  ข้าเห็นแล้วจะอาเจียน”

“หนอย  บุคลิกข้าห้าวหาญองอาจถึงเพียงนี้  ต่อให้ต้าอ๋องสนใจข้า  ข้าก็ไม่มีทางสนใจเขา!”
มู่ซางกวาดตามองคนที่สูงยิ่งกว่ายักษ์  หน้าตาท่าทางหยาบกร้านถึงขีดสุดขึ้นๆลงๆอยู่นาน  กล่าว
“รอให้หน้าตาเจ้าได้ครึ่งหนึ่งของพระมาตุลาก่อน  ค่อยวิตกกังวลเถอะ”
ฝงเป่ากระชากเสียงว่า 
“มู่ซาง  สีหน้าเฉยเมยเช่นนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร  เจ้าเห็นเภทภัยของเพื่อนฝูงในกองทัพเป็นไม่สำคัญหรือ  เจ้าเข้าใจว่า...”
มู่ซางไม่เพียงไม่ฟังวาจาของฝงเป่าที่ดังกระแทกกระทั้นอยู่ข้างหู  ยังหันหน้าไปอีกฟาก  ประสานมือคารวะคนผู้หนึ่ง
“พระมาตุลา”
เหลียนอันสุ่ยที่เดินหอบตำรามาพร้อมกับหม่าหลงและหวังเชียน  เงยหน้าขึ้น  ยิ้มให้น้อยๆ  ทักว่า
“ที่แท้เป็นใต้เท้ามู่”
ทักทายกันและกัน  เดินสวนจากไป  ฝงเป่าที่เมื่อครู่ยังเอ่ยวาจาเสียงดังตอนนี้คล้ายกลายเป็นใบ้  อ้าปากพะงาบๆแต่ไม่มีเสียงออกมา
มู่ซางเหลือบมองฝงเป่าเล็กน้อย  เห็นว่าอีกฝ่ายหุบปากเสียได้ก็สบายหูขึ้นมาไม่น้อย  สาวเท้าก้าวจากไปอย่างไม่สนใจ
ฝงเป่าได้สติ  เห็นเงาหลังของมู่ซางเดินจากไปก็รีบถลาไปคว้าตัวกลับมา  กระชากคอเสื้อถามว่า
“เจ้ารู้จักพระมาตุลา ? ”
มู่ซางมีสีหน้าเหนื่อยหน่าย  ตอบว่า
“เขาเป็นคนสำคัญของต้าอ๋อง  ข้าย่อมต้องเสนอหน้าไปทำความรู้จักอยู่แล้ว”
“อะ  อะไรนะ  เจ้า!  ที่แท้เจ้ารู้อยู่แล้ว”
มู่ซางดึงคอเสื้อตัวเองออกมาจากมืออีกฝ่าย  ปัดๆรอยยับ  พลางตอบว่า
“ใช่  ข้ารู้  พอใจรึยัง  แล้วเจ้าก็เลิกตื่นตูมเกินกว่าเหตุได้แล้ว  คิดจะกระจายข่าวไปให้ทั่วราชสำนักหรืออย่างไร” การที่ฝงเป่ารู้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ  เพราะในหมู่ราชองครักษ์มีสหายของฝงเป่ามากมาย  แต่ดูเหมือนว่าข่าวคราวภายนอกเองก็ยังไม่นิ่ง  สาเหตุมีอยู่แค่สองอย่างคือมีคนจงใจปล่อยข่าว...หรือไม่ก็มีใครบางคนไม่ยอมควบคุมข่าว  มู่ซางคิดเช่นนั้นก็หรี่ตาลง
“เป็น  เป็นไปไม่ได้กระมัง” บุรุษผู้นี้น่ะหรือ ที่เป็น  เอ้อ  เป็น...
“เจ้านี่ท่าทางจะสมองมีปัญหา  เมื่อครู่ข้าก็บอกอยู่หยกๆว่าใช่” พูดจบมู่ซางก็เดินจากไป  เสียงพึมพำที่ดังมาคล้ายกับเป็นคำว่า ‘เสียเวลา’ กับคำว่า ‘ไร้สาระ’
ฝงเป่ายืนงงงวยอยู่ตรงนั้น  ไม่ทันได้ยินว่ามู่ซางพึมพำว่าอะไร  ในจินตนาการของฝงเป่าบุรุษที่รักชอบบุรุษจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดพิกลที่น่าสยดสยองจนถึงที่สุด  แต่ทว่า...
รอยยิ้มอบอุ่นดุจลมวสันต์  บุคลิกสูงสง่าสบายตาสบายใจจนถึงที่สุด  นับเป็นแบบอย่างของบุคลิกที่ฟ้าประทานลงมาชัดๆ  ฝงเป่าเพิ่งเคยเห็นหน้าเหลียนอันสุ่ยเป็นครั้งแรก  แต่ไม่ว่าโยงอย่างไรก็ไม่อาจโยงภาพพระมาตุลาเข้ากับคำว่า ‘ประหลาดพิกลน่าสยดสยอง’ ได้   นี่...นี่ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่
‘รอให้หน้าตาเจ้าได้ครึ่งหนึ่งของพระมาตุลาก่อน  ค่อยวิตกกังวลเถอะ’
คำพูดเก่าของมู่ซางกระแทกเข้ามาอย่างเจ็บแสบ  หนอย  เขาก็หล่อเหลาในแบบของเขาเฟ้ย
  ---------------------
ข่าวคราวในวังไม่นิ่งจริงๆ  การเป็นคนมีชื่อเสียงหมายความว่าอดีตของท่านจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป  เรื่องอะไรที่ขุดคุ้ยได้ล้วนถูกพลิกขุดขึ้นมาทุกอย่าง  ในที่สุดเรื่องความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างขุนพลแคว้นเหลียนอวี้เฉียนกับพระมาตุลาก็เริ่มถูกซุบซิบกันในวังหลวงของแคว้นเป่ยชาง 

เรื่องนี้ความจริงไม่จัดเป็นความลับอันใด  ขอเพียงหยิบนางกำนัลคนไหนในแคว้นเหลียนขึ้นมาสอบถามเก้าในสิบส่วนก็สามารถอธิบายเป็นเรื่องเป็นราวได้ทั้งนั้น  แม้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นควานหาดูแล้วอาจมีมูลความจริงอยู่ไม่ถึงครึ่งก็ตาม  นี่คือลักษณะของข่าวลือ  จุดเริ่มต้นที่วาจาหนึ่งประโยค  เมื่อลือออกไปสามารถพลิกเปลี่ยนขยายตัวเองได้เป็นสารพัน

เมื่อมีข่าวลือเรื่องอวี้เฉียน  ทุกคนก็เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันสนิทสนมจนเกินธรรมดาระหว่างต้าอ๋องกับพระมาตุลาต่างแคว้น  เรื่องราวใช่กำลังเดินซ้ำรอยเดิมหรือไม่  คนทั้งคู่ที่แท้เป็นแค่ ‘สหาย’ แน่หรือ ?
เพียงแต่ข้อสงสัยนี้ตั้งกันได้อย่างลับๆเท่านั้น  อันตรายร้ายแรงถึงขั้นหัวหลุดจากบ่า ดังนั้นถึงแม้ว่าหลังจากหมอหลวงใหญ่ไปตรวจอาการต้าอ๋องแล้วยืนยันว่าแผลใกล้หายสนิท  ฉีเซี่ยงหยวนจึงปล่อยตัวให้เหลียนอันสุ่ยไปทำงานที่โรงหมอบ้างก็ตาม  เหลียนอันสุ่ยก็ยังคงไม่ได้ยินข่าวคราวใด  เพียงรู้สึกว่าคนรอบตัวมองเขาแปลกๆ  ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เผลอไปรบกวนเขาเข้าก็ต้องขอโทษขอโพยเป็นเรื่องใหญ่โต  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจว่าเป็นสาเหตุจากฐานะ ‘พระสหายสนิท’ อะไรนั่น  จึงไม่ได้ติดใจสงสัย  เพียงลำบากใจอยู่บ้าง
จนกระทั่งวันหนึ่ง  บังเอิญไปได้ยินคำพูดของหย่งเผิงที่กล่าวกับผู้อื่นลับหลังเขาเข้า...
  ---------------------
‘ข้าว่าแล้วเชียวว่าต้องมีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง  ที่แท้เป็นคนข้างหมอนของเจ้าชีวิต  มิน่าเหลียนอันสุ่ยถึงไม่เห็นใครอยู่ในสายตา’
เหลียนอันสุ่ยจับจ้องมองอักษรแถวหนึ่งบนม้วนไม้ไผ่อย่างเลื่อนลอย  จับจ้องมานานแล้วก็ยังอ่านไม่ออกแม้แต่ตัวเดียว  สีหน้าซีดขาวราวหิมะเหมันต์  ลมหายใจที่สงบเยือกเย็นเสมอมาทอดอย่างหนักหน่วงกระสับกระส่าย  เห็นได้ชัดว่าการหยิบตำรามาอ่านระหว่างรอฉีเซี่ยงหยวนกลับมาจากประชุมขุนนางมิได้ช่วยให้จิตใจหายฟุ้งซ่านได้อย่างที่ตั้งใจไว้
“เกิดอะไรขึ้น”
เหลียนอันสุ่ยสะดุ้ง  เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงทุ้มก็เห็นใบหน้าที่คุ้นตาของบุรุษที่ทรงอำนาจสูงสุดในแผ่นดินเป่ยชาง
“ทำอย่างไรดี  ตอนข้าอยู่แต่ในตำหนักเยี่ยอวิ๋นไม่รู้ข่าวคราวใด  ข้างนอกนั่นก็เหมือนเริ่มเกิดข่าวลือขึ้นมาแล้ว  ตอนนี้ถึงขั้นมีคนสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา ! ”
มือใหญ่เอื้อมมาตบบ่าของร่างสูงโปร่งเบาๆ เหมือนจะบอกให้ใจเย็นๆ  ฉีเซี่ยงหยวนทรุดกายลงนั่งช้าๆ  ขบคิดด้วยสีหน้าจริงจังพักหนึ่ง  แล้วจึงตอบว่า
“ในเมื่อข่าวลือก็ลือไปแล้ว  เราควรสนใจเรื่องการหาหนทางจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นหลัก  คิดดับไฟไม่ง่ายนัก  ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปิดปากทุกคนในวังหลวง  อีกอย่างการปกปิดก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี  ยิ่งพยายามปกปิดก็ยิ่งดูมีพิรุธน่าสงสัย  ข้าคิดว่าอย่างแรกที่ท่านควรทำคืออธิบายเรื่องของเรากับจิ้งเต๋อ”

เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วนิ่งงันไป  สติค่อยๆกลับมา  บางสิ่งบางอย่างค่อยๆชัดเจนขึ้น 
“ท่านไม่ได้คิดจะปกปิดมาตั้งแต่แรก !” เหลียนอันสุ่ยหันไปจ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง  ราวต้องการยืนยันความจริง “ท่านรู้ว่าการเอาข้ามาผูกไว้กับท่านหลังเกิดเรื่องแบบนั้นมีแต่จะเกิดข่าวลือ  ท่านจงใจใช้ข่าวลือมาบีบข้า!” ที่แท้สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นแผนการของบุรุษตรงหน้า  ไม่จำเป็นต้องเสียแรงอะไรมากมาย  แค่นิ่งเฉยปล่อยให้ข่าวลือลุกโหมด้วยตัวของมันเอง 
ฉีเซี่ยงหยวน  นี่ท่าน...ถึงกับใช้แผนการกับข้า
ฉีเซี่ยงหยวนประสานสายตากับอีกฝ่ายโดยไม่หลบเลี่ยง  พูดเสียงหนักว่า
“ท่านควรบอกเขา  ควรบอกตั้งนานแล้ว  หรือท่านไม่เคยคิดถึงอนาคตที่เราจะมีร่วมกัน”
เหลียนอันสุ่ยสะอึกไป  หลับตาลง  หายใจแรง  ทุกอย่างข้าล้วนเชื่อท่าน  ไม่เคยระแวงท่านเลย  แต่ท่านกลับ...
รู้สึกว่าอีกฝ่ายเคลื่อนกายมาจนชิดติดแผ่นหลัง  มือใหญ่สอดเข้ามากุมเอวเพรียวไว้  เหลียนอันสุ่ยพยายามสงบสติอารมณ์  แต่ดูเหมือนอารมณ์รุนแรงที่เขาไม่คุ้นชินยังคงไหลบ่ามาเรื่อยๆ  ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยช้าๆที่ข้างหูว่า
“เหลียนอันสุ่ย  ท่านไม่เคยนึกถึงมันจริงๆหรือ  ข้ารักท่านก็คือข้ารักท่าน  ข้าไม่เคยล้อเล่นกับความรู้สึกที่ข้ามีต่อท่าน  ท่าน...” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนมีความเจ็บปวดจนพูดไม่ออก 

เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วสะท้านวาบไปทั้งตัว  จับมือที่โอบกอดตัวเขาแน่น  คล้ายคิดจะง้างออก  และก็คล้ายคิดจะบังคับให้อีกฝ่ายโอบกอดเขาไว้อย่าปล่อยมือ  หลับตาลงอย่างแช่มช้า  พูดออกไปอย่างยากลำบากว่า
“เซี่ยงหยวน  เรื่องระหว่างเราไม่เคยมีคำว่า ‘วันพรุ่งนี้’   ไม่เคยมีมาตั้งแต่แรก...แล้วจะพูดถึงอนาคตได้อย่างไร”
ความฝัน  ความหวัง  ความคิดคำนึงร้อยพัน  ล้วนถูกความจริงประโยคนี้เฉือนทิ้งเป็นเศษผง  พลิกเปิดเรื่องราวให้กลายเป็นโฉมหน้าของความเป็นจริง  ในที่สุดก็ไม่อาจหลบหนีอีกต่อไป

ฉีเซี่ยงหยวนคล้ายกลายเป็นรูปสลักศิลา  หากเป็นรูปสลักศิลาจริงๆคงไม่รู้สึกรู้สา  น่าเสียดายที่ฉีเซี่ยงหยวนในตอนนี้รู้สึกแต่ความเจ็บปวด  เรียวปากเผยอขึ้น  คล้ายมีเสียงหัวเราะลอดออกมาเบาๆอย่างขมขื่น  เขาคาดเดาถูกอีกแล้ว  แต่ในความเป็นจริงฉีเซี่ยงหยวนกลับหวังว่าตัวเองจะคาดเดาผิดพลาด  เหลียนอันสุ่ยยังคงเป็นเหลียนอันสุ่ย  สายตาของท่านที่แท้มองไปถึงไหนแล้ว  เขาคิดไม่ผิดจริงๆ  ถ้าไม่ใช้แผนการเขาไม่มีทางได้คนผู้นี้มา  เพราะคำว่า ‘อนาคต’ ในหัวใจของอีกฝ่าย...ไม่เคยมีเขา
“ทำไมท่านไม่ให้โอกาสตัวเอง  ไม่ให้โอกาสเรื่องของเรา  หรือท่านไม่รู้สึก...ว่าที่เป็นอยู่เช่นนี้ดีมากหรอกหรือ”
เสียงทุ้มที่ข้างหูคล้ายเสียงโน้มน้าวของปีศาจร้าย  ชักจูงให้เหลียนอันสุ่ยขบคิดถึงความสุขทุกความสุขที่พวกเขาผ่านมันมาด้วยกัน 
‘ข้าเพียงรู้สึกว่า...มีท่านอยู่ข้างๆเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน’
ลมหายใจของพระมาตุลาแคว้นเหลียนทอดสับสน  พึมพำว่า
“ไม่ได้  มันไม่...ไม่ถูกต้อง  ท่านทำเช่นนี้มีแต่หลอกตัวเอง...”

“หลอกตัวเองอันใด  สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น  ขอเพียงท่านพูดให้เหลียนจิ้งเต๋อเข้าใจก็พอ  สายตาคนอื่นข้าไม่เคยสนใจและไม่มีความสำคัญ  พวกเขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินเรา  ความรักไม่ใช่ความผิด    หรือแค่ข้ารักท่านก็ผิดด้วย ? ” เสียงจริงจังของฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆสะท้อนก้องเข้าไปในใจของเหลียนอันสุ่ยทีละคำ  ทีละคำ
“มันผิด  ท่านไม่สมควรรักข้า  ท่านจะรักข้าไม่ได้...”
“แต่ข้ารักไปแล้ว” ฉีเซี่ยงหยวนตัดบท  ไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายพูดต่อ
ดวงตาคู่งามของเหลียนอันสุ่ยสับสน  กลอกไปมาไม่หยุด  คล้ายพยายามหาเหตุผลมาคัดง้าง

ฉีเซี่ยงหยวนจูบเบาๆลงบนเรือนผมเงางาม  ดวงตาก็เงาวาวเช่นกัน  ในนั้นมีประกายแน่วแน่  เหลียนอันสุ่ยถูกเขากล่อมจนมึนงง  น้ำเสียงมีเค้ารางของความหวั่นไหว  ขอแค่อีกฝ่ายมีความหวั่นไหวแม้เพียงเล็กน้อย  ขอแค่ฐานความคิดที่มั่นคงเสมอมามีร่องรอยของช่องโหว่  เขาก็มีหนทางเปลี่ยนความคิดของพระมาตุลาแคว้นเหลียน

ใช่แล้ว  เวลาหลายเดือนนั่นสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นความจริง  ต่อให้เหลียนอันสุ่ยมีสายตากระจ่างชัดกว่านี้ก็ไม่มีทางลบมันหายไปได้
======
เห็นมีคนถามว่าแต่งนิยายเรื่องอื่นรึเปล่า  คำตอบคือแค่เรื่องเดียวก็จะเอาตัวไม่รอดแล้วจ้า TT-TT

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 48 .......................................27/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 28-09-2014 00:06:35
ชอบอ่า ยาวดีจัง ความรักต่างเมืองอีก
ต้าอ๋องรักพระมาตุลามากเลยนะ อย่าเสียสละรักนี้ให้กับคำคนเลย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 48 .......................................27/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: mkyok5 ที่ 28-09-2014 00:40:18
 :L1: :L1: :L1:  ชอบมากคะเป็นกำลังใจให้นะคะ :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 48 .......................................27/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 28-09-2014 02:07:21
แอบแว้บไปอ่านในเด็กดีมมแต่ก็แวะมาให้กำลังใจในนี้ด้วยค่ะ


 :pig4: :L1: :3123:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 48 .......................................27/09/57
เริ่มหัวข้อโดย: zazoi ที่ 28-09-2014 13:16:39
ชอบเรื่องนี้มากค่า ตอนนี้สงสัยว่าจะเป็นแผนบีบให้ยอมมาเป็นพระชายาหรือเปล่าเนี่ย

รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 49
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 01-10-2014 23:35:19

บทที่ 49 ภัยร้ายจากถ้วยน้ำชา

“ท่านพ่อ  ท่านไม่ไปตำหนักเยี่ยอวิ๋นแล้วหรือ  จิ้งเอ๋อไปตามหาท่านที่นั่นไม่เจอ  ดีที่นึกขึ้นได้ว่าท่านพ่ออาจจะกลับตำหนักเสียงวสันต์เลยแวะมาดู”
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมาจากกระดานหมาก  เห็นบุตรชายไม่เพียงไม่สนใจกระดานทั้งๆที่เป็นตาของตัวเองยังเอาคางพังพาบกับพื้นโต๊ะเสียอย่างนั้น  จึงขมวดคิ้ว  พูดว่า
“เจ้าเข้ามาก็ท้าพ่อเดินหมาก  แต่ตอนนี้กลับไม่เดิน  คนเราทำการณ์อันใดถ้ามีความมุ่งมั่นไม่ตลอด  งานก็ยากจะสำเร็จ  เจ้ามีความมุ่งมั่นเป็นพักๆเช่นนี้  ช่างใช้ไม่ได้”

ได้ยินบิดาตำหนิ  เหลียนจิ้งเต๋อก็ทำหน้ามุ่ย 
“ถ้าข้าเล่นชนะก็คงตั้งใจเล่นหรอก  ความจริงข้าคิดจะให้ท่านพ่อสอนข้าต่างหาก  พักนี้ไม่รู้เป็นอะไรเล่นกับใครก็แพ้  ข้าเล่นกับองค์รัชทายาทไม่เคยชนะซักตา  ครั้งก่อนเล่นกับพ่อบุญธรรมตอนแรกเหมือนจะเสมอ  สุดท้ายกลับแพ้อีก  เล่นกับท่านพ่อ  ถ้าท่านไม่ต่อให้ข้าก็แพ้  ขนาดเล่นกับพี่อิ๋งฮวาพี่เยี่ยนจื่อพวกนางยังเอาแต่ต่อให้ข้า  เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อว่าข้าจะมีสามารถเอาชนะพวกนางได้  เฮ้อ  ตอนแรกข้าได้ยินว่าปรกติว่างๆท่านพ่อกับพ่อบุญธรรมชอบเดินหมากกัน  คิดจะท้าให้พ่อบุญธรรมเล่นหมากกับข้า  ถ้าข้าชนะจะให้เขาสอนดาบสองมือให้ข้าต่อ  ที่ไหนได้  ดูจากฝีมือข้าตอนนี้...คงแพ้อีกแหงๆ” เหลียนจิ้งเต๋อบ่นออกมายาวเหยียดด้วยสีหน้าท้อแท้ห่อเหี่ยว

ไม่มีใครรู้ว่าประโยค ‘ได้ยินว่าปรกติว่างๆท่านพ่อกับพ่อบุญธรรม...’ สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับเหลียนอันสุ่ยมากเพียงใด  ดีที่เนื้อความตอนจบมิได้เป็นอย่างที่หวาดกลัว  รู้สึกคล้ายมีบางอย่างขมวดเกร็งในท้อง  ระบายลมหายใจไม่สะดวก  กำมือเข้าหากันแน่น  เหลียนจิ้งเต๋อพูดคำว่าพ่อบุญธรรมทีก็คล้ายกระแทกเข้าไปในใจของเหลียนอันสุ่ยที  คิดไม่ถึงว่าหลบหนีมาถึงที่นี่ตัวตนของอีกฝ่ายก็ยังตามรังควานเขาไม่เลิกรา 

อันที่จริงที่เหลียนอันสุ่ยหลบมาอยู่ตำหนักชุนเกอเป็นเพราะไม่ต้องการฟังคำโน้มน้าวของบุรุษชาวเป่ยชางผู้นั้น  ตั้งแต่กลับมาอารมณ์ของเขาก็ไม่นิ่ง  เดี๋ยวตึงเครียด  เดี๋ยวเหม่อลอย  เดี๋ยวกระสับกระส่ายหวาดกลัว  ความคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ...

 เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก  กดข่มความหวาดหวั่นในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงลงไป  กล่าวกับบุตรชายว่า
“เขาไม่เต็มใจสอนให้  เจ้าก็อย่าไปรบกวนเขาเลย  เดี๋ยวพ่อหาอาจารย์ดาบสองมือให้กับเจ้าเอง”

เหลียนจิ้งเต๋อโบกไม้โบกมือปฏิเสธ  กล่าวว่า
“พ่อบุญธรรมไม่ได้ไม่เต็มใจสอนให้ข้า  เขาเพียงแต่มีงานมากเกินไป  ข้าเลยกำลังหาหนทางดึงความสนใจของเขามาอยู่  อีกอย่างจะหาคนมีฝีมือพอๆกับพ่อบุญธรรมเป็นเรื่องยาก  แถมข้าเรียนกับพ่อบุญธรรมได้ครึ่งทางแล้ว  ถ้าไปเรียนกับอาจารย์คนอื่นอาจต้องเริ่มใหม่อีก” เหลียนจิ้งเต๋อแจงเหตุผลสารพัน  แค่ฟังเหลียนอันสุ่ยก็ทราบแล้วว่าเจ้าตัวปักใจจะเรียนวิชาดาบสองมือกับพ่อบุญธรรมให้ได้  มือที่กำอยู่ของเหลียนอันสุ่ยกำแน่นกว่าเดิม
“เจ้า...ชอบพ่อบุญธรรมขนาดนี้เลยหรือ”
เหลียนจิ้งเต๋อกระแอม  เลียนเสียงอาจารย์วิชาจริยธรรมทำท่าเป็นจริงเป็นจังกล่าวว่า
“แบบนี้มิได้เรียกว่า ‘ชอบ’  เรียกว่า ‘เลื่อมใส’ ...ข้าคิดออกแล้ว  เดินหมากนี่ไม่ต้องฝึกหรอก  ใช้วิธีอื่นดีกว่า” ประโยคตอนท้ายกล่าวอย่างลิงโลด  กลับคืนสู่ความเป็น ‘เหลียนจิ้งเต๋อ’ ขนานแท้  มือกวาดเม็ดหมากเข้ามา  กอบใส่กระปุกเคลือบ  เสียงเม็ดหมากกระทบกระปุกเคลือบกลับทำให้เหลียนอันสุ่ยมือสั่นระริก

เสียงอันคุ้นเคย  เหลียนจิ้งเต๋อพูดไม่ผิด  พวกเขามักเดินหมากกัน  จำได้ว่าหมากกระดานแรกของเขากับฉีเซี่ยงหยวนเดินที่แคว้นเหลียน  ในวันเดียวกับที่เขาพบว่าตัวเอง...เริ่มหวั่นไหว
เรื่องราวเหล่านั้นคล้ายห่างไกลเหลือเกิน  แต่ก็แจ่มชัดไม่จางหาย  เข้าใจว่าตัวเองน่าจะลืมเลือนไปแล้ว  แต่กลับยังคงจดจำได้ดีอยู่  รักคนผู้หนึ่งที่แท้ยากลำบากถึงเพียงนี้  คิดลืมคนผู้หนึ่งยากลำบากยิ่งกว่า  ความจริงตั้งแต่คืนนั้นที่เขาพบว่าตัวเองหวั่นไหวก็สมควรตัดความรู้สึกที่ไม่มีทางเป็นไปได้นั้นทิ้งไปเสีย  ตัดตั้งแต่ตอนนั้นอาจบางทีไม่เจ็บปวดเท่านี้  แต่ว่า...ตัดตั้งแต่ตอนนั้น  เหลียนอันสุ่ย  เจ้ายินยอมพร้อมใจหรือ ?
คำถามไม่มีคำตอบ  มีแต่ภาพความทรงจำที่โถมซัดเข้ามา

ถ้าตัดตั้งแต่ตอนนั้น  จะไม่มีคนสองคนที่ควบม้ากวดไล่กันไปตลอดเส้นทางของสายน้ำอันยาวเหยียดที่มีนามว่าเหอสุ่ย
ถ้าตัดตั้งแต่ตอนนั้น  คืนที่เมืองอู๋เล่ยจะไม่มีผู้ชายคนหนึ่งที่เปิดเผยความอ่อนแอของตัวเองออกมา  พวกเราคงได้แต่เสแสร้งทำเป็นเข้มแข็งต่อไป  โดยไม่มีใครเข้าใจพวกเราอย่างแท้จริง
ถ้าตัดตั้งแต่ตอนนั้น  จะไม่มีฤดูเหมันต์อันน่าจดจำตลอดหลายเดือนที่แท้จริงควรหนาวเหน็บ
ถ้าตัดตั้งแต่ตอนนั้น  หมากกระดานหนึ่ง  คำพูดปรัชญากองหนึ่ง  กับห้วงอดีตทั้งหมดของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง  คงถูกกองรวมไว้แค่ในห้วงคำนึง
ยินยอมพร้อมใจแน่หรือ ?

“ท่านพ่อ  เย็นนี้เชิญท่านพ่อบุญธรรมมากินข้าวด้วยกันดีรึเปล่า  เชิญองค์รัชทายาทด้วย  ทีนี้ก็สี่คนพร้อมหน้า  ข้าชอบแบบนั้นที่สุดเลย”
เหลียนอันสุ่ยสะท้านตื่นจากห้วงคิด ทวนคำเสียงเบาว่า
“กินข้าวด้วยกัน...”
“ใช่แล้ว  ถ้าเป็นท่านเชิญ  บอกว่าจะทำอาหารชาวเหลียนให้กิน  รับรองว่าพ่อบุญธรรมต่อให้งานยุ่งแค่ไหนก็ไม่ปฏิเสธแน่  ครั้งที่แล้วเขายังชมว่าอาหารตำหนักเราอร่อยอยู่เลย  ทีนี้ข้าก็จะได้โอกาสขอให้เขาสอนดาบสองมือ...” เหลียนจิ้งเต๋อวาดฝันเอาไว้อย่างสวยงาม  ตามตรรรกะของเขาคิดจะให้ผู้อื่นทำอะไรให้  ประการแรกต้องให้คนผู้นั้นอารมณ์ดีก่อน  คนอารมณ์ดีจะเปลี่ยนเป็นมีจิตใจกว้างขวางขึ้นมาก  ประจบเอาใจเรียบร้อยจึงค่อยร้องขอ  เช่นนี้จึงเป็นแนวทาง ‘รบร้อยครั้ง  ชนะร้อยครา’

เหลียนอันสุ่ยมองบุตรชายเท้าคางวาดความคิด  สีหน้าคล้ายสะเทือนใจอย่างมากแต่ไม่ยินยอมแสดงออก  เหลียนอันสุ่ยทราบว่าคำชมอาหารอร่อยบางทีอาจเป็นแค่คำพูดไปอย่างนั้นเพื่อหาโอกาสแวะมาของฉีเซี่ยงหยวน  ใช่  ต่อให้งานยุ่งแค่ไหน  คนผู้นั้นก็จะหาโอกาสแวะมาอยู่เสมอ
...สี่คนพร้อมหน้า...
ครอบครัวบิดเบี้ยวเช่นนี้น่ะหรือ
...ข้าชอบแบบนั้นที่สุดเลย...
...พวกเขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินเรา...
ลมหายใจปั่นป่วนวุ่นวาย  สิ่งที่เข้าใจว่าไตรตรองดีแล้วฟุ้งกระจายขึ้นมาอีกครา  ไตร่ตรองดีแล้วแน่หรือ  ทางที่เขาเลือกถูกต้องจริงหรือ
...ทำไมท่านไม่ให้โอกาสตัวเอง  ไม่ให้โอกาสเรื่องของเรา...
“ท่านพ่อ  ข้าจะให้คนไปบอกพ่อบุญธรรมนะ  ตกลงตามนี้  ท่านให้คนจัดอาหารเพิ่มอีกซักสี่อย่าง  คัดอันที่อร่อยเป็นพิเศษ  กับเรื่องนี้ข้าต้องพึ่งท่านแล้ว” เหลียนจิ้งเต๋อรีบเข้ามากุมมือบิดาอย่างขอความร่วมมือ  ไม่ทันได้สังเกตว่ามืออีกฝ่ายสั่นระริกก็คลายมือออก  ผละจากไปอย่างร่าเริง 
ใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐานวัดแล้วเหลียนจิ้งเต๋อเห็นว่าอาหารหลายจานปานนี้ต้องทำให้พ่อบุญธรรมพอใจเป็นอย่างมาก  แผนการนี้นับว่าหมดจดรอบคอบมีประสิทธิภาพยิ่ง

เหลียนอันสุ่ยมองตามเงาหลังของบุตรชาย  ใบหน้าสั่นกระตุกราวหน้ากากเรียบเฉยที่สวมไว้กำลังจะพังทลายลงมา  เหลียนจิ้งเต๋อยังคงไม่ทราบ  ทุกๆวันของเด็กคนนั้นยังคงสดใสและสวยงาม  เขาสมควรทำอย่างไรดี
เหลียนอันสุ่ยเอนหลังพิงพนักเก้าอี้  นิ้วมือเรียวยาวลูบไปตามร่องของกระดานหมาก  ทราบดีว่าชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางหาฉีเซี่ยงหยวนคนที่สองได้อีก  ฉีเซี่ยงหยวนมีเพียงคนเดียว  และหัวใจของเขาก็ไม่อาจรองรับใครอื่น
ทุกช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันช่างล้ำค่าถึงเพียงนั้น  เหลียนอันสุ่ยเก็บถนอมเอาไว้ในหัวใจอย่างระมัดระวังเสมอมา  เพราะทราบดีว่าความสุขเช่นนี้ไม่ยืนยาว 
เพียรย้ำกับตัวเองเสมอว่าอย่าโลภมาก  ความรักที่คาดหวังมากเกินไปสุดท้ายจะเป็นเช่นเดียวกับหลันเซียง  ทุรนทุรายไม่ยินยอมปล่อยมือ  แต่สุดท้ายก็กอบกุมไว้ได้แค่ความเจ็บปวด  ชีวิตคนเป็นสิ่งที่ยาวไกลนัก  ความรักมีจืดจาง  เสน่หามีห่างเหิน  คนที่รักที่สุดไม่จำเป็นต้องได้มาเดินร่วมทางกันเสมอไป  ชีวิตคนเรามีสิ่งอื่น  มีเงื่อนไขร้อยพันที่ผูกมัดจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตา  เขามีทางเดินของเขาในฐานะพระมาตุลาแคว้นเหลียนและบิดาของเด็กคนหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนก็มีทางเดินของตัวเองในฐานะต้าอ๋องแคว้นเป่ยชาง  การที่มีช่วงเวลาหนึ่งที่ทางเดินนั้นมาบรรจบกันก็สมควรพอใจได้แล้ว

อย่าโลภมาก

น่าเสียดายที่ความสุขเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงให้ความโลภเติบโตขึ้นในใจคนได้อย่างง่ายดายที่สุด
‘ข้ารักท่าน’  คำๆนี้ยิ่งต่อเติมความหวังให้ขยายตัวออกไป  ชัดเจนเหลือเกินว่าในหัวใจของเขา...
ไม่อยากปล่อยมือ
จะมีซักครั้งได้หรือไม่ที่จะขอทำตามหัวใจของตัวเอง  จะมีซักครั้งได้หรือไม่ที่จะปล่อยให้ความโลภเติบโตกลืนกิน 
...ให้โอกาสความรักของเรา...
ใช่แล้ว  ให้โอกาสความรักของเรา  บางทีเรื่องทั้งหมดอาจไม่จำเป็นต้องมีบทสรุปที่เลวร้ายอย่างที่คิด  บางทีเรื่องทั้งหมดอาจมีหนทางของมัน  บางทีพวกเราสี่คนอาจสามารถเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’
เหลียนอันสุ่ยตัดสินใจในตอนนั้นว่าเขาจะต้องหาเวลาพูดคุยกับเหลียนจิ้งเต๋อ
  ---------------------
ห้องทำงานของหลี่กวงเว่ย
จางจื่อหยู ขุนนางเก่าแก่แห่งราชสำนักพูดคุยกับเจ้าของห้องมาตั้งแต่เช้า  จนตอนนี้ล่วงเข้าบ่ายแก่  แสงอาทิตย์จัดจ้านอยู่เหนือช่องหน้าต่างบานใหญ่  ข่าวที่กระเพื่อมไหวไม่หยุดรอบนอกในที่สุดก็ผลักดันในบรรดาคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวนหันหน้าเข้าหากัน  ปรึกษาหารือเกี่ยวกับแนวทางที่จะเป็นไป  ในทั้งหมดต้องนับใต้เท้าจางมีความกระตือรือร้นเดือดร้อนกับเรื่องราวมากที่สุด  เดือดร้อนจนมู่ซางเอาไปค่อนขอดลับหลังว่า ‘ทำราวกับเป็นข่าวฉาวของตัวเอง’

ส่วนหลี่กวงเว่ยยังคงเยือกเย็นอย่างยิ่ง  เก็บเกี่ยวผลจากสิ่งที่หว่านออกไปแล้วอย่างละเอียดรอบคอบ  การประชุมครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวานนี้  ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าวิธีระงับข่าวเรื่องความสัมพันธ์คลุมเครือระหว่างพระมาตุลากับต้าอ๋องที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือแต่งตั้งพระชายา  กระทั่งตัวฉีเซี่ยงหยวนเองก็ไม่อาจหาวิธีที่ดีกว่านี้มาคัดง้าง  คำถามถัดมาจึงเป็น...ใคร?  ใครควรจะเป็นตัวเลือกนี้  รายชื่อของสตรีที่มีคุณสมบัติเหมาะสมถูกวางทาบเปรียบเทียบกัน  แต่จนสิ้นสุดการประชุมยังคงมิได้ข้อยุติจากปากนายเหนือหัว

“สวรรค์  ใต้เท้าจาง  นี่ท่านยังอยู่อีกหรือ” มู่ซางเปิดประตูเข้ามาพลางร้องอุทาน  ยกมือกุมหน้าผากคล้ายไม่อาจตัดสินใจว่าจะเข้าไปดีหรือไม่เข้าไปดี
จางจื่อหยูหางคิ้วกระตุก  กล่าวเสียงแข็งว่า
“ข้าอยู่แล้วจะทำไม” จากนั้นหันไปกล่าวกับหลี่กวงเว่ย “ใต้เท้าหลี่ เอาไว้เราค่อยมาหารือกันต่อวันหลัง  เด็กนี่มาทีใด  ข้าเห็นแล้วปวดหัวหนักกว่าเก่า” พูดจบก็รวบกองม้วนไม้ไผ่ขึ้นมา  ผุดลุกขึ้น  เดินสวนออกไป
มู่ซางยักไหล่  เห็นได้ชัดว่าคำค่อนขอดลับหลังของเขาจะดังไปถึงหูเจ้าตัวแล้ว  คิดพลางขยับเท้าก้าวเข้าห้องที่แม้พยายามจัดให้เป็นระเบียบก็ยังดูแคบเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับบรรดางานที่วางกองอยู่บนโต๊ะแต่ละตัว

“ต้าอ๋องยังไม่ยอมตกลงหรือ ? ” มู่ซางเอ่ยถามขึ้น
“จะช้าจะเร็วก็ต้องยอมตกลง  ต้าอ๋องทรงเข้าใจเรื่องผลประโยชน์ต่อภาพรวมเป็นอย่างดี เขาเป็นคนแยกแยะได้” หลี่กวงเว่ยตอบ  หน้ายังไม่เงยจากหนังสือบนโต๊ะ
มู่ซางพิจารณามองอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่งจึงกล่าวว่า
“ท่านนี่เป็นคนเหลือเชื่อจริงๆ  ชิงปรึกษาเรื่ององค์หญิงแคว้นโหยวเฉิงกับบรรดาขุนนางก่อน  ค่อยใช้ขุนนางพวกนั้นมาบีบต้าอ๋อง ทั้งแคว้นเป่ยชางคงมีท่านแต่คนเดียวที่แม้รู้เบื้องหลังทั้งหมดก็ยังกล้าเล่นกับเรื่องนี้  ไม่เพียงมีวิธีการ  ยังทั้งกล้าหาญทั้งรอบคอบ” หลี่กวงเว่ยเป็นคนคิด  ส่วนคนที่เอาข้อเสนอนี้ไปกระจายสู่หูของใต้เท้าทั้งหลายคือจางจื่อหยู  พอข้อเสนอถูกพูดถึงและมีคนเห็นด้วยมากๆเข้าเรื่องนี้ย่อมต้องถูกเสนอขึ้นในที่ประชุม  นับเป็นการยืมมือคนอื่นถวายฎีกาได้อย่างแนบเนียน
 
เพราะหลี่กวงเว่ยมองออกอย่างกระจ่างชัดว่าเรื่องนี้มิใช่ความชอบแต่เป็นหายนะ  ข้อเสนอนี้แม้ดีมาก  แต่ค่าตอบแทนของคนที่เสนอเรื่องคือเป้าระบายโทสะของเป่ยชางอ๋อง  ดังนั้นทางที่ดีคือที่มาของข้อเสนอควรจะคลุมเครือเข้าไว้  ให้บรรดาใต้เท้าที่ไม่รู้อะไรกระหยิ่มยินดีไปเถิดว่าตัวเองคิดเรื่องที่หลักแหลมได้ต้องได้รับการชมเชยอย่างแน่นอน

“ข้าเชื่อมั่นในตัวนายเหนือหัวที่ข้าเลือกจะรับใช้” หลี่กวงเว่ยตอบเรียบๆ
“ก็ถูกต้าอ๋องเป็นคนเข้าใจว่าอะไรคือเรื่องใหญ่  แต่บางครั้งนายเหนือหัวที่ท่านเลือกรับใช้คนนี้ก็หัวแข็งได้อย่างที่ท่านคาดไม่ถึงเชียวล่ะ  นิสัยนี้ข้ารู้ดี  เพราะข้าเองก็เป็น”
ในที่สุดสายตาของหลี่กวงเว่ยก็เหลือบมองมู่ซาง  กล่าวว่า
“ท่านและข้าต่างรู้จักคำว่า ‘แต่งงานแค่ในนาม’  ต้าอ๋องไม่มีทางไม่เข้าใจ”
มู่ซางพลิกๆดูบรรดาเอกสารบนโต๊ะอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ  พลางกล่าวว่า
“หลี่กวงเว่ย  ข้านับถือท่านจริงๆ  ในชีวิตข้ามู่ซางมีอยู่ไม่กี่คนที่ข้ายอมรับ  แต่ท่านเป็นหนึ่งในนั้น  องค์หญิงแคว้นโหยวเฉิงจะทำทุกวิถีทางให้ต้าอ๋องโปรดปรานนาง  รักนาง  เพราะนั่นคือหน้าที่ของนาง  นางต้องกุมหัวใจของต้าอ๋องไว้ให้มั่น  แล้วมันจะเป็นหลักประกันที่จะคุ้มครองนางจากเภทภัยทุกอย่าง  ทำให้นางได้ในทุกสิ่ง  แต่ท่านกล้าเสนอแผนการนี้เพราะท่านรู้ดีว่านางจะไม่มีวันได้ไป...” หยุดอยู่แค่นั้นด้วยสายตามีเลศนัย
คนฟังกลับกล่าวต่อให้ง่ายๆว่า
“เพราะหัวใจของต้าอ๋องเป็นของผู้อื่น  ดังนั้นแผนการนี้จึงปลอดภัยมาก”
หลี่กวงเว่ยทราบดีว่าไม่อาจปิดบังบุคคลตรงหน้าได้  คนที่ชอบมู่ซางแม้มีไม่มาก  แต่เรื่องที่มู่ซางรู้กลับมีมากมายนัก ดังนั้นแทนที่จะดึงดันอมพะนำไป  สู้พูดให้หมดจดเสียทีเดียวจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า  รอบนี้มู่ซางตั้งใจจะมาพิสูจน์ยืนยันข้อสันนิษฐานของตัวเองชัดๆ ถ้ายังพิสูจน์ยืนยันไม่ได้  รับรองไม่ยินยอมปล่อยให้เขาได้อยู่สงบๆ หลี่กวงเว่ยเป็นคนฉลาดเสมอมา  ดังนั้นเวลาผ่านไปเพียงไม่นานก็สามารถกำจัดผู้มาเยือนคนนี้ออกจากห้อง
  ---------------------
มู่ซางได้คำตอบจากหลี่กวงเว่ยแล้ว  ก็เดินเอ้อระเหยไปรบกวนนายเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่ของตัวเองต่อ
ว่ากันตามจริงงานหลักของมู่ซางอยู่ในสนามรบ  ส่วนงานอื่นๆที่สามารถปัดให้พ้นตัวได้  มู่ซางก็หาหนทางจัดการปัดไปให้ผู้อื่นเสีย  จึงนับเป็นคนที่มีเวลาว่างมากที่สุดในบรรดาคนสนิททั้งห้าของฉีเซี่ยงหยวน

ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะยาวตัวหนึ่ง  ในหัวกำลังครุ่นคิดถึงคำว่า ‘แต่งงานแค่ในนาม’ แต่ข้อติดขัดมีมากเกินไป  จึงยังไม่อาจตกลงใจได้  ที่น่าหงุดหงิดคือบรรดาขุนนางที่เร่งรัดจะเอาคำตอบให้ได้  เฮอะ  อาศัยข่าวฟุ้งเล็กน้อยก็เป็นเดือดเป็นร้อนกันจริงเชียว  หวาดกลัวเขาจะเปลี่ยนเป็นชมชอบบุรุษขนาดนี้  ถ้าได้ทราบความจริงทั้งหมดจะไม่กระอักเลือดตายหรือ  คิดถึงตรงนี้มู่ซางก็พอดีเสนอหน้าเข้ามา  ฉีเซี่ยงหยวนเหลือบมองเงาร่างสูงเพรียวของตัวกวนประสาทอันดับหนึ่ง  จากนั้นหันไปด้านข้าง  รินชาดื่มเองโดยไม่สนใจผู้มาใหม่

บนโต๊ะยาวจัดวางฎีกาจำนวนหนึ่งกับรายงานด้านสภาพข่าวสาร  ตรงกลางโต๊ะเป็นม้วนภาพที่ทำจากกระดาษซึ่งไม่ได้พบเห็นบ่อยนักในแคว้นเป่ยชางสามสี่ม้วน  มู่ซางเดินมาถึงก็อดไม่ได้ที่จะต้องชะโงกหน้าเข้าไปดูสักหน่อย  เห็นในม้วนภาพเป็นรูปหญิงสาว  ใต้ภาพมีอักษรเขียนนามกับข้อมูลคร่าวๆกำกับไว้

“ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลบัณฑิตอันดับหนึ่งของแคว้นเป่ยชางอย่างนั้นหรือ...  ได้ยินว่าคนตระกูลนี้ไม่รับราชการ  ไม่มีอำนาจ  ไม่ร่ำรวย  แต่มีเกียรติ  มีชื่อเสียง  มีความรู้  ช่างเป็นตระกูลที่มีคำนิยามอันโอหังนัก” ประโยคสุดท้ายเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกกึ่งๆทึ่ง กึ่งๆหมั่นไส้   ลูบคาง  ทอดถอนใจแล้วกล่าวต่อว่า
“น่าเสียดายที่รุ่นนี้ไม่มีลูกชาย  แต่ก็ถือว่าปิดท้ายอย่างอลังการไม่น้อย  คนพ่อเป็นบัณฑิตที่โด่งดังในรอบร้อยปี  คนลูกเป็นโฉมสะคราญที่เลื่องลือไปทั้งสามแคว้น  ข้าว่านะต้าอ๋อง  เสิ่นชิงอี  ตัวเลือกนี้ไม่เลวทีเดียว  ได้สาวงามแบบไม่ธรรมดามานอนแนบข้างทุกวัน  ถึงตอนนี้ใจของท่านจะไม่ได้อยู่ที่หญิงสาวก็เถอะ”
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วสำลักน้ำชา  หรี่ตามองคนที่แทนที่จะช่วยสะสางปัญหากลับยียวนกวนประสาทไม่เลิก  เขวี้ยงถ้วยชาในมือออกไป  ถ้ามู่ซางไหวตัวไม่ทันหัวคงโดนกระแทกไปแล้วอย่างถนัดถนี่

มู่ซางร้องโวยวาย  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับนวดขมับด้วยความรำคาญ  ตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี  ถ้าจะไม่ช่วยคิดก็ไสหัวไป  บางทีสีหน้าของฉีเซี่ยงหยวนคงแสดงออกอย่างชัดเจนมาก  มู่ซางจึงยกนิ้วขึ้นมากล่าวแจกแจงให้ฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่า
“ต้าอ๋อง  ตอนนี้ข่าวเริ่มจะเลยเถิดไปใหญ่  ถ้าท่านคิดจะช่วยพระมาตุลา  จะต้องแต่งตั้งพระชายา  ตัวเลือกที่น่าสนใจมีทั้งหมดสามตัวเลือก  ตัวเลือกแรกคือเสิ่นชิงอี  ตัวเลือกนี้ถือเป็นคนรู้จักคุ้นเคย  เป็นคนที่เข้าใจท่าน  สามารถเพาะสร้างเป็นความสัมพันธ์อันยั่งยืนต่อกัน...” ถ้วยน้ำชาใบที่สองถูกเขวี้ยงเข้ามาอย่างแม่นยำ  ดีที่มู่ซางตั้งตัวอยู่ก่อนจึงหลบได้ 
คนถูกโจมตีร้องว่า “ทราบแล้วๆ ตอนนี้ท่านมีความรักต่อคนอีกคน  ไม่มีใจมาเพาะสร้างความสัมพันธ์กับนาง  แต่นี่ข้าพูดจริงๆนะ  คนเราไม่จำเป็นต้องรักคนๆเดียวตลอดไป  และข้าเห็นคู่แต่งงานหลายคู่ไม่จำเป็นต้องรักกันดูดดื่มก็สามารถมีวันเวลาดีๆด้วยกันได้ ขอแค่มีความเข้าใจให้เกียรติกันและกันก็พอ  ความรักที่ลึกซึ้งเกินไปเป็นความยึดติดอย่างหนึ่ง  ยึดติดมากๆเข้าก็กระทบกระทั่งกันได้ง่าย”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง  กล่าวถามว่า
“เจ้าไปเอาคำพูดของใครมา”
“อ้าว  ข้าก็พูดเรื่องลึกซึ้งเป็นนะท่านนี่” แต่ฉีเซี่ยงหยวนมีสีหน้าไม่เชื่อถืออย่างเด่นชัด มือใหญ่เอื้อมไปหยิบถ้วยน้ำชาใบที่สาม...  มู่ซางเห็นก็ตาเหลือกร้องว่า
“ข้าจะเข้าเรื่องแล้ว  อะแฮ่ม  ตัวเลือกแรกคือเสิ่นชิงอี  ตัวเลือกนี้ท่านไม่เพียงรู้สึกดีๆกับนาง  นางยังไม่ใช่คนของขั้วอำนาจใด  ถ้าท่านแต่งกับนาง  นางจะเป็นคนเดียวที่เป็นคนของท่านอย่างแท้จริง  การแต่งตั้งนางเป็นอัครชายาจะไม่ทำให้ขั้วอำนาจเสียสมดุลและไม่เพาะสร้างขุมอำนาจใหม่ที่อาจสร้างความปวดหัวให้ในภายภาคหน้า  อีกอย่างคือนางเป็นชาวเป่ยชาง  ดังนั้นจะไม่เปิดโอกาสให้แคว้นอื่นแทรกมือเข้ามายุ่งย่ามกับเรื่องภายในแคว้นเรา” ก้มลงดื่มน้ำชาแก้กระหายอึกหนึ่ง  เหลือบสายตาไว้อาลัยให้กับซากถ้วยชาสองซากที่แตกละเอียดอยู่ที่พื้น  จากนั้นกล่าวต่อว่า

“ตัวเลือกที่สอง  คือธิดาของใต้เท้าต้วน  คุณหนูต้วนคนนี้ก็เป็นชาวเป่ยชางโดยกำเนิด  ดังนั้นจึงมีข้อดีที่กันอำนาจของแคว้นอื่นออกไปไกลๆเช่นกัน  เพียงแต่การแต่งตั้งนางจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนตระกูลต้วนสามารถยุ่งวุ่นวายกับราชสำนักแทน  ตระกูลต้วนเป็นตระกูลใหญ่  ประมุขตระกูลเป็นใต้เท้าตำแหน่งใหญ่โต  มีแม่ทัพที่กุมกำลังทหาร  ร่ำรวยไม่ธรรมดา  สามารถช่วยงานพวกเราได้มาก  แต่การเพิ่มอำนาจให้พวกเขาก็เป็นเรื่องอันตราย  ดีไม่ดีจะกลายเป็นตระกูลสือตระกูลที่สอง” ตั้งแต่ฉีเซี่ยงหยวนกวาดล้างตระกูลสือไปตอนองค์ชายรองคิดกบฏ  บรรดาตระกูลน้อยใหญ่ทั้งหลายก็มุ่งหวังจะเข้าแทนที่อำนาจคนตระกูลสือ  กลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งรองลงมาจากเชื้อพระวงศ์สืบแทน  เฮอะ  คิดเป็นเช่นตระกูลสือหรือไม่กลัวจะลงเอยเช่นเดียวกัน
“ตัวเลือกที่สาม  คือองค์หญิงแคว้นโหยวเฉิง  ถ้าท่านเลือกตัวเลือกแรกตู้ฮูหยินจะพอใจ  ถ้าท่านเลือกตัวเลือกที่สองใต้เท้าต้วนจื้อผิงก็คงหัวเราะอย่างอิ่มเอม  แต่ถ้าท่านเลือกตัวเลือกที่สามหลี่กวงเว่ยคงยินดีนัก...” มู่ซางไม่ทันเห็นสีหน้าที่มืดทะมึนลงของฉีเซี่ยงหยวน  หลี่กวงเว่ย  ดี  ดีมาก  เขาควานหาตัวบัดซบที่เสนอแผนการนี้อยู่เป็นนานให้ที่สุดก็หาตัวได้แล้ว  พวกบรรดาคนสนิทของเขาที่ช่วยกันปกปิดก็ต้องโดนด้วยอย่างครบถ้วนเช่นกัน 

คนสาธยายไม่ทันสังเกตว่าตัวเองตอแยเภทภัยครั้งใหญ่ให้กับผู้อื่นแล้ว...หรือบางทีอาจจะแค่เป็นความจงใจที่ไม่ต้องการเห็นโลกหล้าสงบสุขจนเกินไป  ยังคงก้มหน้าสาธยายต่อ
“...องค์หญิงแคว้นโหยวเฉิงเอ่ยถึงศักดิ์ฐานะนับว่าอยู่สูงกว่าตัวเลือกทุกคนก่อนหน้านี้  แต่งตั้งนางเป็นการสร้างไมตรีระหว่างสองแคว้น เพียงแต่ก็เป็นการเปิดโอกาสให้แคว้นโหยวเฉิงสอดมือเข้ามาได้  ในทางกลับกันพวกเราเองก็สามารถอาศัยความใกล้ชิดนี้สอดมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องราวภายในของแคว้นโหยวเฉิงเช่นกัน  ถ้าคิดกลืนสามแคว้นเป็นหนึ่งนี่เป็นตัวเลือกที่ดียิ่ง  ถ้าสุดท้ายท่านยึดแคว้นโหยวเฉิงมาเป็นของเราได้  ลูกชายของท่านที่เป็นส่วนผสมระหว่างสองแคว้นจะทำให้ชาวโหยวเฉิงยอมรับผู้ปกครองใหม่ได้ง่ายขึ้น  แหม  ใต้เท้าหลี่นี่อัจฉริยะตัวจริงแผนการเช่นนี้ยังคิดออกมาได้”

ใช่  แผนการเช่นนี้ยังคิดออกมาได้!  มือของฉีเซี่ยงหยวนกุมที่เท้าแขนเก้าอี้แน่นจนเห็นเป็นเส้นเขียว
 มู่ซางเงยหน้าขึ้นมาสรุปราวกับพ่อค้ารายใหญ่หลังแจกแจงคุณภาพสินค้าว่า
“สำหรับตัวเลือกอื่นข้าตัดทิ้งไปให้แก่ท่านแล้ว  เพราะทราบว่าแค่แต่งตั้งคนเดียวท่านก็กล้ำกลืนจะแย่  เพียงแต่ถ้าจะแต่งตั้งตำแหน่งเดียวตำแหน่งนี้ต้องเป็นอัครชายา  บรรดาตัวเลือกที่ข้าไม่ได้เอ่ยถึงล้วนให้ประโยชน์น้อยกว่าสามตัวเลือกนั้นอย่างเทียบกันไม่ติด  ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปขบคิดแล้ว”
---------------------
วันต่อมาขุนนางผู้ช่วยของหลี่กวงเว่ยเดินเท้าเข้ามาถึงห้องทำงานก็ต้องสะดุ้งโหยง  นั่นมันอะไรกัน  เขาดูผิดไปใช่ไหม  ม้วนไม้ไผ่ที่กองเต็มจากโต๊ะจนถึงคางสองโต๊ะนั่นมาจากไหน ! 
หลี่กวงเว่ยที่ทำงานอย่างสงบอยู่ด้านข้างเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงอุทานของลูกน้อง  อธิบายด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบว่า
“ไม่ต้องตกใจ  แค่การเอาคืนของคนบางคนน่ะ”  เสร็จแล้วก็ชี้โต๊ะประจำตัวของผู้ช่วยคนนั้นเป็นความหมายให้ไปนั่งแล้วเริ่มทำงาน
ขุนนางผู้ช่วยผู้นั้นดันขากรรไกรล่างที่อ้าค้างกลับเข้าที่  เดินไปที่โต๊ะตัวเองด้วยฝีเท้าที่ไม่ค่อยมั่นคง  เลื่อนเก้าอี้ด้วยมือที่สั่นระริก  ปรกติงานของฝ่ายเขาก็มากจนต้องสะสางถึงดึกไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันอยู่แล้ว  แต่ไม่เคยถึงขั้นกองสูงเท่าคางสองโต๊ะเต็มมาก่อน  นี่เป็นการแก้แค้นของผู้ใดกัน  ช่างโหดเหี้ยมอำมหิตนัก  อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา  มองภูเขาสูงสองลูกนั้น  เริ่มต้นลงมือทำงาน
ช่างเป็นภูเขาสูงชะโงกเงื้อมที่ยากข้ามผ่านอย่างแท้จริง
---------------------
ผู้ประสบเคราะห์ภัยแผ่ขยายเป็นวงกว้าง  หลายคนคล้ายจู่ๆงานอันหนักหน่วงก็งอกขึ้นมาจนล้นมือ  งานที่เคยกระจายอย่างสมดุลถ่ายเทไปทางเดียว  บางฎีกาถวายขึ้นไปแล้ว ฉีเซี่ยงหยวนอ่านดูก็เห็นว่าไม่จำเป็นต้องแก้แล้ว  แต่เมื่อเห็นชื่อคนที่ส่งขึ้นมา  กะนับเวลาว่ายังไม่เร่งด่วนมากนัก  ก็จัดส่งลงไปให้แก้ไขใหม่  แก้ครั้งที่หนึ่งไม่พอใจ  ครั้งที่สองแก้อีก  แก้ไปแก้มาสุดท้ายกลับได้ฎีกาฉบับเดิม  นี่มันเป็นเรื่องราวใดกัน ? 

ขุนนางอยากร้องไห้มีมากมาย  แต่ขุนนางเอ่ยประท้วงกลับไม่มีแม้แต่คนเดียว  เพราะทุกคนที่โดนเช่นนี้ล้วนทราบดีแก่ใจว่าเคยสุมหัวประกอบเรื่องราวใดไว้  เหลียวไปทางซ้ายเห็นภูเขางานในห้องของหลี่กวงเว่ย  เหลียวไปทางขวามองหน้ากันเข้าใจซึ้งกระจ่าง  ฉีเซี่ยงหยวนเคยลั่นวาจาไว้กับเหล่าคนสนิททั้งหลายอย่างชัดเจนแล้วว่าถ้ารู้ว่าใครเสนอเรื่ององค์หญิงแคว้นโหยวเฉิงขึ้นมาจะจัดการเรียงตัว  ถ้ามีคนปกปิดให้ก็จะจัดการเรียงตัวเช่นกัน  แผนการใหญ่ที่เกี่ยวกับต้าอ๋องอย่างเข้มข้นเช่นนี้เสนอเข้าที่ประชุมโดยไม่รายงานก่อนถือเป็นความผิดมหันต์  รู้ทั้งรู้ว่าฉีเซี่ยงหยวนเกลียดการบีบบังคับแต่งงานก็ยังอาจหาญเสนอขึ้นไปยิ่งเป็นความผิดมหันต์  ถ้ามีเวลาว่างขนาดสามารถสุมหัวกันคิดแผนการออกมาเป็นขั้นเป็นตอนขนาดนี้ลับหลังเขาได้ก็ทำงานชดใช้ความผิดไปเถอะ!
ส่วนมู่ซางคนที่ตอแยเคราะห์ภัยให้กับเหล่าเพื่อนฝูง  คิดไม่ถึงการชิงบอกมิได้สร้างความดีความชอบใด  ฉีเซี่ยงหยวนยังคงไม่ได้ละเว้นเขา  เวลาว่างทั้งหมดของมู่ซางจึงถูกลบหายไปด้วยประการฉะนี้  สรุปคือรู้ดีแต่ไม่รู้จักรายงานก่อนฉีเซี่ยงหยวนก็นับเป็นความผิดเช่นกัน
เป็นเวลาหลายวันที่จะได้เห็นผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นทำงานกันจนตาเหลือก  เมื่อดำเนินไปจนจบครบวันที่สามทัณฑ์ทรมานเช่นนี้จึงค่อยสิ้นสุดยุติ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 49 .......................................01/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: lookfa ที่ 02-10-2014 02:46:38
55555สมน้ำหน้า  ยุให้แต่งตั้งชายาดีนัก  :hao3:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 50
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 03-10-2014 23:08:28

บทที่ 50 เรื่องชกต่อยของเด็ก เรื่องปิดบังของผู้ใหญ่(1)

วันนี้เหลียนจิ้งเต๋อกลับถึงตำหนักชุนเกอตั้งแต่หัววัน จากเด็กที่ร่าเริงสดใสกลายเป็นเด็กที่บูดบึ้งไม่ยอมพูดคุยกับใคร  บ่าวรับใช้ที่เดินตามมาตัวลีบเท้าเหยียบตำหนักก็คุกเข่าลงกับพื้น  รายงานตะกุกตะกักต่อเหลียนอันสุ่ยว่า วันนี้คุณชายน้อยมีเรื่องทะเลาะผิดใจถึงขั้นลงไม้ลงมือกับสหายที่สำนักศึกษา  ส่วนสาเหตุไม่ว่าอาจารย์จะถามอย่างไรก็ไม่ยอมตอบ 

เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ตำหนิบ่าวรับใช้ผู้นั้น  เพียงเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ  อันที่จริงตั้งแต่เห็นหน้าบุตรชายเหลียนอันสุ่ยก็ทราบแล้วว่าอีกฝ่ายมีเรื่องชกต่อยมา  เพราะบนใบหน้าขาวผ่องอ่อนเยาว์มีรอยเขียวช้ำอันเป็นหลักฐานมัดตัวแปะหราอยู่อย่างเด่นชัด

ปรกติเหลียนจิ้งเต๋อกับองค์รัชทายาทจะมีพระอาจารย์มาถวายการสอนถึงภายในวังเนื่องจากเป็นบุตรบุญธรรมของเป่ยชางอ๋อง  แต่มีบางวิชาจะไปร่ำเรียนร่วมกับเพื่อนที่สำนักศึกษาหลวง  ที่ทำเช่นนี้เพราะฉีเซี่ยงหยวนมีความเห็นว่าเด็กควรรู้จักการสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น  และควรมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันบ้าง  ซึ่งเหลียนจิ้งเต๋อในวันปกติก็จะกลับมาด้วยสีหน้าแช่มชื่นเบิกบาน  เพราะไม่ว่าเบื้องหลังจะมีหลักการลึกซึ้งใด  สำหรับเหลียนจิ้งเต๋อการไปเรียนที่สำนักศึกษาคือการได้เล่นกับเพื่อนกลุ่มใหญ่และได้ออกไปเที่ยวนอกเขตวัง  จึงนับเป็นสองวันในสัปดาห์ที่เฝ้ารอคอย 

แต่วันนี้เหลียนจิ้งเต๋อกลับหอบเอาใบหน้าหงุดหงิดเต็มกำลังกลับมาที่ตำหนัก  บ่าวไพร่ที่พบเห็นล้วนหันไปมองหน้ากันด้วยความมึนงงกับเหตุการณ์ประหลาดที่นานทีปีหนจะเกิดขึ้น
---------------------
ในห้องของเหลียนจิ้งเต๋อ  เหลียนอันสุ่ยกำลังห่อตัวยาที่ใช้ประคบบาดแผลฟกช้ำใส่ผ้าสีขาวผืนบาง  ส่วนเจ้าของห้องนั่งหน้าบึ้งกอดอกไม่พูดไม่คุยอยู่อีกฟาก
เหลียนอันสุ่ยห่อตัวยาสำหรับใช้ประคบเรียบร้อย  ก็เหลือบสายตามองบุตรชาย  เห็นอีกฝ่ายยังไม่ใจเย็นลงก็ไม่ได้พูดอะไร  แต่เหลียนจิ้งเต๋อเสียอีกที่ทนเงียบมานานทั้งๆที่ข้างในเดือดเป็นฟืนเป็นไฟพอเห็นว่าห้องมีแต่ท่านพ่อ  ก็พูดขึ้นมาเสียงห้วน
“ท่านจะตักเตือนข้าเรื่องอย่าใช้กำลังแก้ปัญหาใช่รึเปล่า”
เห็นบุตรชายเชิดปากสูง  สีหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจคล้ายระเบิดที่รอเวลาปะทุ  เหลียนอันสุ่ยก็ลอบยิ้มขำ  ยังคงไม่ได้พูดอะไรเหมือนเดิม
เหลียนจิ้งเต๋อสะกดใจไม่ได้ร้องออกมาว่า
“แค่นี้ยังน้อยเกินไป  จริงๆข้าควรจะต่อยมันอีกสองสามหมัดจึงจะสาสม  ปากสกปรก  กล่าววาจาได้เหม็นยิ่งกว่าเสียงผายลม!”ครั้งนี้คำหยาบก็พูดออกมาแล้ว
เหลียนอันสุ่ยยังคงไม่ได้กล่าวตำหนิ  แค่ทรุดนั่งลง  ประคบยาให้รอยเขียวช้ำบนใบหน้าของบุตรชาย  นี่เป็นสมุนไพรสำหรับลดอาการฟกช้ำ  มีคุณสมบัติทำให้หลอดเลือดหดตัว
“โอ๊ย” ถึงแม้เหลียนอันสุ่ยจะเบามือแล้ว  แต่เหลียนจิ้งเต๋อยังคงเจ็บจนหน้าเบ้
“พ่อทำเจ็บ  งั้นเจ้าประคบเอง”
เหลียนจิ้งเต๋อรับมาประคบเอง  แต่ก็ยังเจ็บจนสูดปากเป็นระยะ  หากปากกลับไม่ยินยอมอยู่นิ่งเฉย  พ่นวาจาออกมาเป็นชุด
“เจ้าบ้านั่นกล้าด่าท่านพ่อ บอกว่าท่านยั่วยวนผู้ชาย  มีรสนิยมวิปริต  วาจาเหลวไหลทั้งนั้น  หาความจริงไม่ได้แม้แต่ส่วนเดียว ! ”
เหลียนอันสุ่ยสะท้านทั้งร่าง 

เหลียนจิ้งเต๋อยังคงพึมพำกับตัวเองต่อไป
“เจ้าคนรับประทานอาจมปากเหม็น  ท่านพ่อของข้าจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร  มันน่านัก  ฮึ่ม ”
ปรกติเหลียนจิ้งเต๋อแม้นิสัยคะนองซุกซน  แต่ไม่ใช่ประเภทชมชอบทะเลาะต่อยตี  ครั้งนี้ที่ทนทานไม่ได้เป็นเพราะอีกฝ่ายกล้าด่าบิดาของเขา  ชีวิตของเหลียนจิ้งเต๋อโตมากับท่านพ่อ  คนที่รักผูกพันที่สุดก็คือท่านพ่อ  ท่านพ่อเป็นครอบครัวของเขาไม่อนุญาตให้ใครมากล่าวร้ายทั้งนั้น
ถ้าผู้อื่นด่าเขาสำหรับเหลียนจิ้งเต๋ออย่างมากด่าคืนก็จบกันไป  แต่ถ้าผู้อื่นกล้าดูถูกบิดาของเขาแม้แต่ครึ่งคำ  เขาจะต้องให้ฝ่ายนั้นสำนึกเสียใจ!

แต่ตอนนี้คนที่สำนึกเสียใจกลับเป็นเหลียนอันสุ่ย
‘...ท่านพ่อของข้าจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร...! ’
เมื่อหลายชั่วยามที่แล้ว เขาเอาแต่คิดว่าจะบอกกล่าวเรื่องราวกับบุตรชายอย่างไร ความคิดหมกมุ่นอยู่แต่กับตัวเอง  ที่คำนึงมีแต่ความเห็นแก่ตัว  ความผิดของผู้ใหญ่อาศัยอะไรให้เด็กร่วมแบกรับ
เด็กที่กล่าววาจาใส่หน้าเหลียนจิ้งเต๋อ  คาดว่าคงมาจากการได้ยินได้ฟังจากบทสนทนาของผู้ใหญ่  ข่าวภายนอกพัดโหมรุนแรงเพียงใด  เหลียนอันสุ่ยทราบกระจ่างดี
เหลียนอันสุ่ยอายุไม่น้อยแล้ว  วาจาแค่ลมปากทำอะไรเขาไม่ได้  แต่เหลียนจิ้งเต๋อไม่เหมือนกัน  เขาจะให้ลูกของเขาเติบโตมากับข่าวเช่นนี้หรือ?  จะให้เหลียนจิ้งเต๋อโตมากับการดูถูกเช่นนี้หรือ?
เขาจะต้องถูกความโลภชักนำจนฟั่นเฟือนไปแล้วจึงคิดกระทั่งว่าจะอยู่ข้างกายฉีเซี่ยงหยวนตลอดไป  ‘เมื่อมีความรักคนเราจะเห็นแก่ตัว’ นับเป็นความจริงโดยไม่ผิดเพี้ยน
เหลียนอันสุ่ยใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆลงบนรอยช้ำบนหน้าของบุตรชาย  สายตาเต็มไปด้วยความละอายเศร้าเสียใจ
เหลียนจิ้งเต๋อเห็นบิดาใช้สายตาย่ำแย่ถึงเพียงนั้นมองดูเขาก็รีบพูดว่า
“ท่านพ่อ  ท่านไม่ต้องเสียใจไป  คำพูดพวกนั้นไม่ใช่ความจริง  ไม่ว่าจะพูดอีกกี่ร้อยกี่พันครั้งก็ไม่มีวันเป็นความจริงไปได้  ท่านอย่าใส่ใจเลย”
เจ็บปวด เหลียนอันสุ่ยไม่เคยเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อนในชีวิต  คมดาบที่เรียกว่าความละอายกรีดแทงลงมาอย่างหนักหน่วง  ในแววตาของเหลียนจิ้งเต๋อคือความรักและเทิดทูนที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ  เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับบิดาทุกในโลกหล้า  และเป็นสิ่งที่หนักหน่วงที่สุดสำหรับบิดาทุกคนในโลกหล้าเช่นกัน  คิดจะแบกรับมันไว้ต้องจ่ายด้วยทั้งหมดของชีวิต  เพราะเมื่อสูญเสียมันไปแล้วก็ยากจะได้กลับคืนมา

เหลียนอันสุ่ยยื่นมือออกไปดึงเด็กชายวัยสิบขวบเข้ามา ใบหน้าซบลงกับบ่าเล็กๆนั่น  หลับตาลง  ร่างสั่นสะท้านไม่หยุดยั้ง
“ท่านพ่อ  ท่านเป็นไรไปแล้ว!” น้ำเสียงของเหลียนจิ้งเต๋อแตกตื่นอย่างแท้จริง  พยายามจะใช้สองมือผลักบิดาออกไปเพื่อจะมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดๆ แต่เหลียนอันสุ่ยกลับไม่เปิดโอกาสนั้น
หวาดกลัวเหลือเกินว่าเด็กคนนี้จะเห็นความละอายที่ซุกซ่อนอยู่  หวาดกลัวเหลือเกินว่าเด็กคนนี้จะล่วงรู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ปิดบังไว้

หากไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้  ก็อย่าทำ

น่าเสียดายที่เหลียนอันสุ่ยทำลงไปแล้ว  ทำลงไปแล้วอย่างผิดมหันต์  คำพูดที่ไม่ใช่ความจริง พูดอีกกี่ร้อยกี่พันรอบก็ไม่มีทางทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมาได้  แต่เรื่องที่เป็นความจริง ต่อให้ใช้คำโกหกเป็นร้อยเป็นพันคำก็ไม่อาจลบมันหายไป
ต่อให้ไม่พูดถึงก็ไม่อาจเป็นดั่งไม่เคยเกิดขึ้น...เพราะท่านย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ
---------------------
เคยมีซักครั้งไหม  เพื่อปกป้องคนที่ควรปกป้อง  จึงได้แต่ทำร้ายคนที่สำคัญต่อเราเช่นกัน
ในเมื่อต้องทำร้ายซักคนหนึ่ง  จึงได้แต่เลือกคนที่เข้มแข็งกว่า
ความผิดนี้เป็นของใครหรือ ?
ของคนที่ได้รับการปกป้อง  หรือของคนที่เลือก...ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นคนที่เข้มแข็งคนนั้น  เพราะเขาเข้มแข็งเกินไปจึงมักเป็นฝ่ายที่ถูกเลือกที่จะละทิ้งเสมอ
ชั่งน้ำหนักความสำคัญในใจคนเที่ยงตรงมากแค่ไหน ?
แต่การเลือกเช่นนี้ เหลียนอันสุ่ยไม่ได้เลือกคนที่สำคัญกว่า  เขาแค่เลือกปกป้องคนที่ควรจะถูกปกป้องไว้  คนหลายคนเมื่อเผชิญทางเลือกเช่นนี้มักเอาหัวใจมาชั่งตวงวัด  แต่คนแบบเหลียนอันสุ่ยเมื่อเจอทางเลือกเช่นนี้จะเอาผลสุดท้ายมาชั่งตวงวัด  ชีวิตคนมิได้มีเพียงความรักความชัง  มันยังมีความผูกพัน  หน้าที่และความรับผิดชอบ    บุญคุณและการเสียสละ
เรื่องรักใครมากกว่าเป็นเพียงการคำนึงถึงแบบเด็กๆ  โลกของผู้ใหญ่ซับซ้อนกว่านั้น  เหลียนอันสุ่ยทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนจะต้องเข้าใจ  เหลียนอันสุ่ยหวังว่าฉีเซี่ยงหยวนจะต้องเข้าใจ  น่าเสียดายที่ฉีเซี่ยงหยวนในเวลานี้ยังคงไม่ทราบอันใดทั้งสิ้น

ก่อนจะเกิดเรื่องชกต่อยที่สำนักศึกษา  เหลียนอันสุ่ยได้ให้ต้วนจินไปบอกฉีเซี่ยงหยวนว่าเขาจะลองพูดเรื่องทั้งหมดกับเหลียนจิ้งเต๋อดู  ตั้งแต่ต้วนจินมาถ่ายทอดคำพูดดังกล่าว  ฉีเซี่ยงหยวนในที่ประชุมขุนนางก็เอาแต่นับชั่วยามรอคอยให้การประชุมเลิก  เนื้อหาที่หารือในวันนี้เป็นฝ่ายการคลังแจกแจงที่มาที่ไปของงบประมาณชุดใหญ่  กว่าจะเสร็จสิ้นลงได้จึงล่วงเข้าเวลาดึกดื่น
ทันทีที่การประชุมเลิก  ฉีเซี่ยงหยวนก็วางท่ากลับตำหนักเยี่ยอวิ๋นอย่างไม่รีบไม่ร้อน  พอเท้าเหยียบตำหนัก  สายตาทุกคู่ของเหล่าขุนนางละไปแล้ว  ก็หันหลังกลับแล่นตรงไปยังตำหนักเสียงวสันต์

ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าการจะพูดเรื่องเช่นนี้ต้องใช้กำลังใจ  ถึงแม้เขาจะไม่สามารถพูดแทนอีกฝ่ายได้เพราะเหลียนอันสุ่ยคงจะไม่ยินดี  แต่เขาจะไม่ละทิ้งให้เหลียนอันสุ่ยต้องเผชิญกับผลของมันโดยลำพัง
กลางคืนในตำหนักเสียงวสันต์วังเวงอยู่บ้าง  ดอกไม้ใบหญ้าที่งอกขึ้นใหม่ดูเป็นเงาตะคุ่มใต้แสงจันทรา  ฉีเซี่ยงหยวนเดินฝ่าเข้าไปถึงตัวตำหนักด้านใน  พบหน้าเหลียนอันสุ่ยก็เอ่ยถามว่า
“ท่านได้พูดกับเหลียนจิ้งเต๋อรึยัง ?”
เหลียนอันสุ่ยได้ยินน้ำเสียงผ่อนคลายกับแววตาเจิดจ้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเชื่อมั่นต่ออนาคตของอีกฝ่าย  ยามกะทันหันพูดอันใดไม่ออก
ฉีเซี่ยงหยวนเห็นอีกฝ่ายหน้าเสียไปก็กล่าวปลอบว่า
“ไม่เป็นไร  ยังไม่มีจังหวะพูดวันนี้  ไว้ค่อยพูดวันหลังก็ได้” สำหรับฉีเซี่ยงหยวน  ขอแค่เหลียนอันสุ่ยรับปากว่าจะพูดก็ต้องพูด  หาทราบไม่ว่าเรื่องราวเกิดเหตุพลิกผันขึ้นแล้ว  หลังจากเกิดเรื่องชกต่อยของเหลียนจิ้งเต๋อ  สำหรับเหลียนอันสุ่ย...ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“ข้า...” จะไม่บอกเรื่องนั้นกับจิ้งเอ๋อ  สีหน้าลำบากยากจะกล่าวของพระมาตุลาแคว้นเหลียนทำให้คนเป็นเป่ยชางอ๋องเข้าใจผิดไป  จึงรีบกล่าวว่า
“ถ้ามันยากมากให้ข้าช่วยท่านหรือไม่  ตอนแรกข้าคิดว่าท่านน่าจะอยากจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง  จึงพยายามไม่ก้าวก่าย  แต่บางทีถ้าให้ข้าเป็นคนเกริ่นๆเรื่องมันอาจจะง่ายขึ้น  แล้ว...”
“ไม่” เหลียนอันสุ่ยปฏิเสธออกไปทันทีอย่างแตกตื่น
ฉีเซี่ยงหยวนมองใบหน้าหมดจดนิ่งอย่างชั่งใจ  สุดท้ายก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า
“ไม่ก็ไม่  ข้าเคารพการตัดสินใจของท่าน” วางมือบนไหล่  โอบบ่าอีกฝ่ายพลางกล่าวต่อว่า “อย่าบีบคั้นตัวเอง  ไม่ต้องรีบร้อน  ถ้ากังวลเรื่องข่าวลือวันนี้ข้าจัดการให้แล้ว  แสดงฉากโมโหไปคราหนึ่ง  คิดว่าน่าจะทำให้ข่าวนิ่งได้ซักพัก ท่านค่อยๆบอกเขาเถิด  ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าข้ารอได้  ต่อให้ต้องรอทั้งชีวิตก็รอได้  ขอแค่ท่านยังอยู่ที่ข้างกายข้าก็พอ” คำพูดแผ่วเบา  เช่นเดียวกับจูบที่แตะลงบนเรียวปากบางหลังจากนั้น
คำพูดทุกคำของเหลียนอันสุ่ยยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปากมิได้กล่าวออกไป  เพราะเหลียนอันสุ่ยสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในรอยยิ้มนั้นของฉีเซี่ยงหยวนมีสิ่งที่เรียกว่าความสุข
พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนหายใจแรง
ฉีเซี่ยงหยวน  ข้าจะบอกท่านอย่างไรดี...ว่าข้าเปลี่ยนใจแล้ว  ว่าข้า...ไม่อาจอยู่ข้างกายท่านตลอดไปดั่งเช่นที่ท่านเข้าใจ 
เป็นข้าไม่ดีเอง  ข้าไม่ควรใจอ่อนมาตั้งแต่แรก  ความใจอ่อนของข้าทำร้ายท่าน  ส่วนตอนนี้ข้าก็ได้แต่ทำร้ายท่านอีกครั้ง...และหวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย
จังหวะที่เหลียนอันสุ่ยซึ่งเงียบงันไปนานเผยอเรียวปากขึ้น  ฉีเซี่ยงหยวนที่มองดวงจันทร์ที่นอกหน้าต่างก็หันมากล่าวว่า
“ข้ายังมีงานต้องสะสาง  ตอนนี้ดึกมากแล้ว  ท่านนอนก่อนเถิดนะ” หลังมือสากไล้ใบหน้าหมดจดเบาๆอย่างรักใคร่  ริมฝีปากเด็ดขาดตอนนี้มีรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก  สายลมพัดมาหอบหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนผละจากไป

ในคราแรกเหลียนอันคิดเรียกรั้งไว้  เพื่อคุยเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องบอกให้เสร็จสิ้น  แต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายยังมีงาน  ก็ไม่อาจเอ่ยอะไร  ถ้าพูดเรื่องนั้นขึ้นมาตอนนี้งานที่สะสางไม่เสร็จของฉีเซี่ยงหยวนคงไม่ได้สะสางแน่  รอไปอีกซักหน่อยแล้วกัน  รอให้ฉีเซี่ยงหยวนทำงานให้เสร็จแล้วค่อยสะสางเรื่องส่วนตัวเถอะ
---------------------
เตียงไหวยวบแผ่วเบา  ตามด้วยเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เจือด้วยความเหน็ดเหนื่อยเสียงหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งจะจัดการงานที่คั่งค้างเสร็จ  ร่างสูงใหญ่ล้มตัวลงนอน  มือเอื้อมออกไป  ควานหาพบร่างสูงโปร่งที่นอนอยู่อีกฟากของเตียงก็ดึงมากอดไว้  หลับตาลง  ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ
ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็ได้คำตอบแล้ว  ว่าเหตุใดหลายคราที่ตื่นขึ้นมามักพบตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของร่างแกร่ง  ทุกการเคลื่อนไหวทั้งเรียบง่าย ทั้งคุ้นชิน  เป็นปรกติธรรมดาจนถึงที่สุด  ฉีเซี่ยงหยวนมักสามารถแสดงความรักของตัวเองออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติเสมอ 
ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง  ไม่จำเป็นต้องบ่ายเบี่ยงปิดบัง  รักก็คือรัก  อยากทำอะไรให้ถ้าใคร่ครวญว่าดีแล้วก็ทำเลย  สนใจไปใยว่าอีกฝ่ายจะเห็นค่าหรือไม่  สนใจไปใยว่าตัวเองได้กำไรหรือขาดทุน  เนื้อแท้ของความรักมิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว 
ใช้การเคลื่อนไหวง่ายๆเท่านี้บอกว่า ‘ชีวิตของข้าต้องการท่าน’   
ใช้ความสำคัญของเรื่องราวที่บอกเล่าออกมาบ่งบอกว่า ‘ข้าไว้วางใจท่าน’   
ใช้คำถามไม่กี่คำบ่งบอกว่า ‘ความเห็นของท่านมีความหมายต่อข้า’   
ใช้การให้เกียรติแทนคำพูดว่า ‘ท่านมีคุณค่าสำหรับข้าเสมอ’

แล้วข้า...ตอบแทนอะไรท่านได้บ้างนอกจากความเจ็บปวด  คำมั่นสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้าง ข้าให้ท่านไม่ได้  คำว่ารักข้าก็ให้ท่านไม่ได้  คงมีแค่หัวใจข้าที่จะเป็นของท่านตลอดไป
เหลียนอันสุ่ยยังไม่หลับ  แต่ไม่ได้ขัดขืน  เพียงทำราวกับหลับใหลไปแล้ว  ซบใบหน้าแนบกับแผ่นอกกว้าง  ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเนิบช้าหนักแน่น
ก่อนหน้านี้เหลียนอันสุ่ยพูดไม่ออก  ตอนนี้ยังคงไม่อาจใจร้ายพอจะปลุกบุรุษที่เพิ่งจะได้พักผ่อนจากความเหน็ดเหนื่อยทุ่มเทขึ้นมาสนทนา  ให้เขาพักผ่อนเถิด  ให้คนผู้นี้มีความสุขอีกคืนหนึ่งเถิด  เพราะวันพรุ่งนี้เหลียนอันสุ่ยจะฉีกทุกภาพมายาให้เป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง
อาจบางที...เขาเพียงต้องการยืดเวลาให้ตัวเองอีกเล็กน้อย  ให้ความฝันที่สวยงามนี้ยืนยาวไปอีกคืนหนึ่ง...
---------------------
เหลียนอันสุ่ยตั้งใจไว้แล้วว่าเมื่อฉีเซี่ยงหยวนกลับมาจากการตรวจเยี่ยมกองทัพในวันนี้  เขาจะบอกการตัดสินใจของตัวเองต่ออีกฝ่าย  นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยเจ็บปวดอย่างแท้จริงเมื่อได้เห็นใบหน้าของบุรุษที่เขารัก
ฉีเซี่ยงหยวนเดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม  ท่วงท่าองอาจงามสง่าเช่นเดียวกับปรกติ  เข้ามาถึงด้านในก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก  เอ่ยขึ้นว่า
“วันนี้ข้าไปดูการฝึกทหารใหม่ในกองทัพ  เถี่ยเจิ้งท่านเคยแนะนำให้ข้าใช้การได้ดีทีเดียว  อาศัยความสามารถของเขาอีกไม่นานคงสามารถสร้างผลงานใหญ่ให้แคว้นเป่ยชาง  เพียงแต่ก่อนจะถึงขั้นนั้นคงต้องใช้เวลาซักพักให้เขาเรียนรู้ระบบทหารของเป่ยชางเสียก่อน  ข้าจึงค่อยวางใจได้”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป  เถี่ยเจิ้งคือแม่ทัพชาวเหลียนที่เขาเคยเสนอชื่อให้กับฉีเซี่ยงหยวน  เป็นคนรักของสตรีที่เป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการนามจือหลัน  คิดไม่ถึงอีกฝ่ายยังคงจดจำได้...
“...ท่านทำได้อย่างที่พูดจริงๆ” เสียงพึมพำลอดออกมาจากริมฝีปากของพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ในนั้นผสมไว้ด้วยความหลากใจ  เลื่อมใส ไม่อยากจะเชื่อนัก  ฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนพูดเองว่าต้องการเปิดโอกาสให้ชาวเหลียนทำงานให้กับแคว้นเป่ยชางอย่างเท่าเทียม  เพียงแต่ความยากของคำว่า ‘เท่าเทียม’ นี้  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจกระจ่างยิ่งกว่าผู้ใด  ใจไม่ได้คาดหวังมากนัก  เพียงรับไว้ใช้งานก็พึงพอใจมากแล้ว  แต่จากคำของฉีเซี่ยงหยวนบ่งบอกว่าจะเปิดโอกาสให้แม่ทัพแคว้นเหลียนได้สร้างผลงาน  คิดไม่ถึงว่าคำพูดที่เป็นแค่ลมปากฉีเซี่ยงหยวนกลับมีใจเป็นกลางถึงขั้นทำได้อย่างที่พูดจริงๆ
การผสานรวมเป็นหนึ่งของแว่นแคว้นต้องการสิ่งนี้เอง...การยอมรับในกันและกัน
เหลียนอันสุ่ยคุกเข่าลงช้าๆ  กล่าวว่า
“เหลียนอันสุ่ยขอเป็นตัวแทนชาวเหลียน ขอบพระทัยต้าอ๋อง  น้ำพระทัยอันกว้างขวางนี้จะทำให้สองแคว้นรวมเป็นหนึ่งได้ในเร็ววัน” ขอเพียงฉีเซี่ยงหยวนมีจิตใจเช่นนี้  หลังจากนี้ไม่ว่าตัวเขาจะอยู่หรือไม่ก็คงจะไม่เป็นไรแล้ว
เมื่อเช้า  ฉีเซี่ยงหยวนให้หม่าหลงรายงานต่อเหลียนอันสุ่ยว่า เหลียนอันสุ่ยพอใจจะอยู่ที่ไหนก็สามารถอยู่ที่นั่น  หากลำบากใจเพราะข่าวลือก็ไม่จำเป็นต้องคอยไปรับใช้ที่ตำหนักเยี่ยอวิ๋นอีก  ส่วนการตอบแทนคุณสามเดือน  ฉีเซี่ยงหยวนแก้ไขให้แล้วด้วยบัญชาประโยคนี้
‘ตอนนี้อาการบาดเจ็บจากลูกธนูของข้าทุเลาลงมากแล้ว  ไม่ต้องการการดูแลใกล้ชิดอีก  จากการบาดเจ็บในครั้งนี้ทำให้อดมิได้ต้องคิดถึงเหล่าคนที่ป่วยไข้ในโรงหมอ  วันคืนของพวกเขาคาดว่าคงหวังจะได้หายดีเช่นกัน  บุญคุณช่วยชีวิตที่ยังชดใช้ได้ไม่หมดสิ้น  ให้เหลียนอันสุ่ยตอบแทนด้วยการช่วยงานในโรงหมออย่างเต็มความสามารถ  เพราะการช่วยชีวิตราษฎรของข้าก็เท่ากับได้ตอบแทนบุญคุณของข้าแล้วเช่นกัน’
ฉีเซี่ยงหยวนกลับเข้าใจความลำบากใจของเหลียนอันสุ่ยเป็นอย่างดี  และมีวิธีตามใจอีกฝ่ายในแบบของเขา  เหลียนอันสุ่ยไม่อาจไม่ยอมรับว่าฉีเซี่ยงหยวนมีวิธีการจัดการเรื่องราวจริงๆ  ยิ่งอยู่ข้างกายต้าอ๋องผู้นี้นานวันเข้าก็ยิ่งไว้วางใจในความสามารถของเขา
หัวใจที่หนักอึ้งของเหลียนอันสุ่ยเบาสบายขึ้นอย่างประหลาด  เหลียนอันสุ่ยเชื่อมั่นว่าตัวเองเลือกได้ถูกคนแล้ว  แคว้นเหลียนได้ผู้ปกครองที่ดีที่สุดคนหนึ่ง  แคว้นเป่ยชางเองก็ได้ต้าอ๋องที่ปรีชาสามารถที่สุดผู้หนึ่ง  เขาจะไม่อยู่เป็นตัวถ่วงความก้าวหน้าของบุรุษผู้นี้  พญาอินทรีจะผายเรียวปีก  ส่วนเขา...ขอชมดูความตระการตานั่นจากที่ไกลๆก็พอ
เพื่อฉีเซี่ยงหยวน  เพื่อเหลียนจิ้งเต๋อ  เพื่อตัวเขาเอง  ...เขาต้องจากไป

ฉีเซี่ยงหยวนเห็นอีกฝ่ายคุกเข่าลงไปก็รีบรั้งตัวขึ้นมา  คิ้วขมวดยุ่ง  บอกแล้วว่าไม่ต้องคุกเข่า  เหตุใดไม่เคยฟังเสียบ้าง
“ถ้าคิดจะขอบคุณข้าจริงๆ  ข้าชอบคำขอบคุณแบบนี้มากกว่า” กล่าวจบก็ยื่นหน้าเข้ามา  ชิงหอมแก้มอีกฝ่ายไปฟอดใหญ่
เรียวปากของเหลียนอันสุ่ยเผยอค้าง  หัวใจที่หนักอึ้งซึ่งกำลังค่อยๆเบาสบายลงว่างเปล่าไปชั่วขณะ  แก้มค่อยๆแดงระเรื่อขึ้นมา  ก้าวถอยหลังไป  คิดไม่ถึงกลับถูกมือใหญ่กระตุกทีหนึ่ง  ร่างสูงโปร่งปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้าง
ฉีเซี่ยงหยวนจูบหนักๆลงบนเรียวปากของคนที่คิดจะบ่ายเบี่ยงปฏิเสธ
“ข้ากระทำความดีความชอบ  ตอนนี้มารับรางวัล  ท่านคิดบ่ายเบี่ยงคดโกงหรือ”
คำของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหลียนอันสุ่ยเบิกตาโต  คดโกงหรือ...ใครกันแน่ที่คดโกง
มีเรียวผลักร่างของคนขี้โกงออกไป  แต่คนขี้โกงผู้นี้มีเรี่ยวแรงมหาศาลยิ่ง  ปากสามารถเบือนหลบแต่ไม่อาจหลบหนีจากจุมพิตที่เคลื่อนไหวลงมาตามเรียวคอ
“ฉีเซี่ยงหยวนข้ามีเรื่องต้องพูดกับท่าน” เหลียนอันสุ่ยละล่ำละลักออกมาอย่างร้อนใจ
“อืมม์” รับคำแต่มือใหญ่กลับไม่เรียบร้อยกว่าเดิม
“ต้าอ๋อง  ท่านหยุดสิ”
“อืมม์ของข้าคือเอาไว้ก่อน” กว่าจะหลบสายตาของขุนนางพวกนั้นมาไม่ใช่เรื่องง่าย  กว่าจะมีเวลาว่างก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีก  ช่วงนี้งานของฉีเซี่ยงหยวนมากมายอย่างยิ่งจริงๆ  อะไรที่กองทิ้งไว้ในฤดูหนาวสุมทับลงมาทั้งหมด  ทุกคืนได้แค่ปีนขึ้นเตียง  เป่าตะเกียง  แล้วก็หลับใหลไปเท่านั้น  วันนี้ค่อยมีโอกาสได้รับประทานขนมหอมหวานที่วางอยู่ตรงหน้าทุกคืนแต่ไม่อาจแตะต้องชิ้นนี้
เหลียนอันสุ่ยเองก็ทราบว่าพักนี้อีกฝ่ายไม่ค่อยมีเวลาว่างมาทำตามใจตัวเอง  ...ก่อนจะเข้าหน้ากันไม่ติด  ขอให้ข้าได้อยู่ในอ้อมกอดของท่านอีกซักครั้งเถอะ  คิดได้ดังนั้นเหลียนอันสุ่ยจึงไม่ได้ขัดขืนอีก 
เมื่อไม่ได้ขัดขืนจึงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเขาคิดถึงสัมผัสของอีกฝ่ายมากมายแค่ไหน  นานมากแล้วที่เรื่องระหว่างพวกเขาไม่ใช่เพียงแค่ความใคร่  มันเป็นความยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย  ตั้งแต่คืนที่อีกฝ่ายบอกว่าอยากจะรับผิดชอบเขาไปชั่วชีวิตฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่เคยบีบบังคับเขาอีก 

ผู้ชายคนนี้แม้ชอบทำตามอำเภอใจและติดนิสัยขี้โกง  แต่กลับเป็นคนที่รู้จักควบคุมตัวเองคนหนึ่ง  หากฉีเซี่ยงหยวนเพียงต้องการคนมาตอบสนองความต้องการของเขา  ด้วยอิทธิพลอำนาจที่เพียงพอจะเรียกลมเรียกฝนเรียกอีกกี่คนมาปรนนิบัติรับใช้ก็ย่อมได้  ด้วยศักดิ์ฐานะที่อยู่เหนือคนทั้งแผ่นดินผู้ใดสามารถบังคับให้ฉีเซี่ยงหยวนเหน็ดเหนื่อยทำงานจนไม่มีเวลาว่าง  บุรุษที่เปลือกนอกปล่อยตัวตามสบายผู้นี้แท้จริงวางเรื่องบ้านเมืองอยู่เหนือตัวเองเสมอ  และเพราะฉีเซี่ยงหยวนรักเขา  จึงต้องการเขา  ดวงตาที่เข้มจัดด้วยแรงปรารถนาคู่นั้นมีเงาร่างของเขาเสมอ

ความสัมพันธ์บนเตียงช่างเป็นเรื่องที่แปลกเหลือเกิน  มันสามารถเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุด ต่ำช้าที่สุด เมื่อเกิดจากการบีบคั้นบังคับ  และก็สามารถเป็นเรื่องที่สวยงามที่สุดได้เช่นกัน  มันสามารถไม่ใช่อะไรเลยเมื่อทั้งหมดมีแค่ความใคร่  และสามารถเป็นมากกว่านั้นหลายสิบเท่าเมื่อมันเป็นสื่อแทนของความรัก

ข้ารักท่าน  ฉีเซี่ยงหยวน  ถ้าจะถามใจจริงของข้า ข้าอยากจะเป็นของท่านตลอดไป
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าเบ้าตาตัวเองร้อนผ่าวอย่างไม่มีเหตุผล  เขายังคงไม่ได้ร้องไห้  แค่ยกมือโอบกอดคนที่เขารักเอาไว้  โอบเอาไว้ให้แน่น...ก่อนจะต้องปล่อยมือตลอดกาล
เหลียนอันสุ่ยทราบว่าอารมณ์ของฉีเซี่ยงหยวนจะผ่อนคลายที่สุดหลังการร่วมรัก  และเป็นช่วงที่รับปากเรื่องราวต่างๆได้ง่ายดายที่สุดด้วย  พระมาตุลาแคว้นเหลียนไม่เคยคิดจะใช้วิธีนี้มาก่อน  แต่สำหรับเรื่องในครั้งนี้ เขาจำเป็นต้องให้ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจและรับปากว่าจะปล่อยเขาไป
เซี่ยงหยวน  ถ้าข้าไม่อาจให้อะไรท่านได้นอกจากความเจ็บปวด  อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่ข้าสามารถให้ท่านได้  ก็คือตัวข้าในตอนนี้  ให้ข้าเป็นความสุขของท่านอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เรื่องระหว่างเราจะหลงเหลือแค่ความเจ็บปวดได้หรือไม่ 
จับจ้องมองใบหน้าคมคายอย่างลึกซึ้ง  จากนั้นร่างสูงโปร่งจึงสะท้านเบาๆเมื่อพบว่าถูกดันจนติดโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่กลางห้อง  รีบร้อนยื่นมือออกไปยันร่างอีกฝ่ายไว้
“ต้าอ๋อง นี่มันห้องหนังสือ  ต้องไปห้องนอน...”
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้ว
“มีตำราไหนบอกท่านหรือว่าเรื่องเช่นนี้ต้องทำบนเตียงเท่านั้น ? ”
เหลียนอันสุ่ยเถียงไม่ออก  หน้าแดงก่ำ 
ฉีเซี่ยงหยวนโน้มตัวลงมา  เหลียนอันสุ่ยรีบขยับร่างหนีพยายามรักษาระยะห่างเอาไว้  คิ้วของฉีเซี่ยงหยวนจึงเลิกสูงกว่าเดิม  กล่าวถาม
“ท่านกลัวคนอื่นเห็นหรือ  แต่นี่ยังไม่เที่ยงด้วยซ้ำเหลียนจิ้งเต๋อยังไม่กลับมาหรอก” กว่าเหลียนจิ้งเต๋อจะเลิกเรียนก็เกือบเย็น  เจ้าตัวยิ่งชอบเถลไถลอยู่นอกตำหนัก  บางครั้งกลับมาก็คือกินข้าวเย็นเลย
“...ที่นี่ไม่ได้มีแต่เหลียนจิ้งเต๋อ  ยังมีอิ๋งฮวา  นางเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน  จะให้นางมาเห็นภาพเช่นนี้ไม่ได้” ถึงแม้ชื่อของเหลียนจิ้งเต๋อจะทำให้เหลียนอันสุ่ยชะงักไปวูบหนึ่ง  แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้ว  และเรื่องทั้งหมดกำลังจะจบลงแล้ว  เหลียนอันสุ่ยก็ไม่ได้คำนึงมากความ  เพราะทราบว่าคนที่เขาต้องชดเชยให้แท้จริงคือฉีเซี่ยงหยวน...บุรุษที่เคยกระทำเรื่องราวมากมายสุดคณาเพื่อเขา
เห็นท่าทีเดือดร้อนของเหลียนอันสุ่ย  และเมื่อครุ่นคิดถึงคำว่าอิ๋งฮวา  ฉีเซี่ยงหยวนก็กล่าวออกมาหนึ่งคำ
“อ้อ” ผู้หญิงดุร้ายคนนั้นแต่งไม่ออกไม่น่าแปลกใจแม้แต่น้อย  หรี่ตาลง  โน้มตัวลงไปข้างหน้ามากกว่าเดิมอย่างชั่วร้าย  นางเห็นก็ดีไม่เห็นก็ช่าง  ฉีเซี่ยงหยวนเองก็อยากจะเห็นอยู่เหมือนกันว่าใบหน้าเอาจริงเอาจังที่ชอบตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับเขาพอแดงขึ้นมาแล้วจะมีสภาพเป็นเช่นไร

เหลียนอันสุ่ยเห็นอีกฝ่ายประชิดเข้ามาก็รีบผละห่างออกไปอีก  ยังคงไม่ทราบว่าตัวเองได้ไปชี้ช่องทางแก้แค้นให้กับใครบางคนเข้าแล้ว  เพราะเอนหนีครั้งแล้วครั้งเล่า แผ่นหลังของเหลียนอันสุ่ยจึงไม่ได้ตั้งฉากกับพื้นโต๊ะอย่างที่ตัวเองเข้าใจ  พอฉีเซี่ยงหยวนวางมือทาบลงบนโต๊ะจึงได้ทราบว่าตัวเองแทบจะเกยซ้อนอยู่บนโต๊ะทั้งตัว  นิ้วเรียวยาวรีบยึดขอบโต๊ะไว้อย่างตื่นตระหนก
ปมของสายรัดเอวยังคลายออกไม่หมด  ชุดที่เคยรัดกุมแลดูหลวมกว้างไม่เรียบร้อย  ลมหายใจกับกลิ่นกายหอมอ่อนๆสร้างเป็นบรรยากาศอันพิเศษเฉพาะที่เย้ายวนใจสุดบรรยาย

ฉีเซี่ยงหยวนใช้ริมฝีปากของตัวเองควานหาริมฝีปากของอีกฝ่าย  มือใหญ่สอดเข้าไปตามเรียวขา  ร่างโน้มไปข้างหน้าเบียดให้แผ่นหลังสูงโปร่งแนบติดกับพื้นโต๊ะ  อาภรณ์สีดำบนร่างของฉีเซี่ยงหยวนแนบทับลงบนอาภรณ์สีขาวบนร่างของเหลียนอันสุ่ย  ราวรัตติกาลดำมืดกำลังหลอมลงไปในสายธารสีเงินอันใสเย็น
สัมผัสของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหลียนอันสุ่ยครวญครางออกมาเบาๆ
สติของคนทั้งคู่ผละลอยไปไกล  ผละไปไกลทั้งๆที่ไม่ควรเลย

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 51
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 03-10-2014 23:15:12

บทที่ 51 เรื่องชกต่อยของเด็ก เรื่องปิดบังของผู้ใหญ่(2)

เสียงตึงตังดังใกล้เข้ามา  ประตูถูกผลักออก  น้ำเสียงที่ลอดผ่านเข้ามามีแววยินดี
“ท่านพ่อ...” ภาพตรงหน้าสะกดจนเหลียนจิ้งเต๋อชะงักค้าง “นี่พวกท่าน...กำลังทำอะไรกัน ! ”
พริบตานั้นโลกหล้าพลันพลิกตลบ

รัก ชอบ เกลียด ชัง เศร้าโศก ยินดี  อารมณ์ทั้งหมดนี้ต่างเป็นอารมณ์ที่อยู่สุดปลายของอีกอารมณ์หนึ่ง  พริบตานั้นอารมณ์ทั้งหมดก็พลันพลิกตลบเช่นกัน
---------------------
เหลียนจิ้งเต๋อมีเรียนคาบบ่าย  แต่อาจารย์ที่สอนวิชาคำนวณเพราะป่วยอยู่เดิมแต่ยังดันทุรังมาสอน  พอสอนจบคาบเช้าก็ไข้ขึ้นสูง  คาบบ่ายของเหลียนจิ้งเต๋อจึงถูกงดไปด้วยสาเหตุนี้ 
ความบังเอิญบางครั้งก็เป็นเรื่องน่าขำชนิดหนึ่ง  และบางคราก็เป็นเรื่องที่ขำไม่ออก

เหลียนจิ้งเต๋อกลับถึงตำหนักด้วยอารมณ์ปลอดโปร่งยินดีตั้งแต่ยังไม่เที่ยง  การที่ครึ่งวันไม่ต้องเรียนเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งโดยแท้  เข้าเขตตำหนักก็วิ่งปร๋อไปเสาะหาท่านพ่อตามความเคยชิน  เวลานี้ท่านพ่อน่าจะอยู่ที่ห้องหนังสือ
ความจริงทางไปห้องหนังสือมีอิ๋งฮวากับหลิวฉางเฟยเฝ้าอยู่  แต่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆเด็กคนหนึ่งจะโผล่พรวดพราดขึ้นมาตรงหน้า  ดังนั้นเหลียนจิ้งเต๋อจึงสามารถอาศัยจังหวะที่คนทั้งสองตื่นตกใจจนชะงักค้างวิ่งผ่านไปได้โดยสะดวก  แน่นอนว่าสำหรับคุณชายน้อยผู้กระตือรือร้นของตำหนักชุนเกอคำเอ่ยห้ามใดที่ดังขึ้นล้วนไม่ต่างกับลมพัดผ่านหู  วูบเดียวคนก็ปราดถึงหน้าประตูแล้ว
มือเล็กที่คล่องแคล่วทั้งสองผลักบานประตูเปิดออก  ร้องทักความเคยชินว่า
“ท่านพ่อ...”
แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นภาพที่เหลียนจิ้งเต๋อไม่มีทางคิดมาก่อนว่าจะได้พบเจอ
ท่านพ่อเป็นคนสูงโปร่ง  ส่วนท่านพ่อบุญธรรมเป็นคนแข็งแกร่งล่ำสัน เหลียนจิ้งเต๋อเคยเอาคนทั้งคู่มาเทียบกันแล้วรู้สึกว่าท่านพ่อบุญธรรมน่าจะหนักกว่าอยู่โข  เวลานี้ความต่างยิ่งชัดเจนเมื่อร่างสูงใหญ่ของพ่อบุญธรรมทาบทับอยู่เหนือร่างของท่านพ่อ  เฉดสีขาวดำที่ตัดกันสะท้อนเข้าไปในแววตาเบิกกว้างของเหลียนจิ้งเต๋อ  ให้ความรู้สึกแทบจะเป็นคุกคาม

เสื้อผ้าของคนทั้งคู่ยับยุ่งไม่เรียบร้อย  คอเสื้อสีขาวหลวมกว้าง  ส่วนบุรุษในอาภรณ์สีดำใช้เรียวปากประกบแนบกับริมฝีปากของท่านพ่อของเขา  ผ่ามือที่เคยกุมด้ามดาบจนหยาบกร้าน  ฝ่ามือที่เขาเคยนับถือเลื่อมใส  ในยามนี้กลับสอดหายเข้าไปในชายเสื้อสีขาว  สัมผัสนั้นคล้ายกับสร้างความทรมานบางอย่าง  ร่างสูงโปร่งของท่านพ่อจึงสั่นสะท้านไม่หยุดยั้ง  ใบหน้าแหงนเงยไปด้านหลัง  ครวญครางออกมาเบาๆ

เหลียนจิ้งเต๋อไม่เคยเห็นท่านพ่อเป็นอย่างนี้มาก่อน  ปรกติบุคลิกของท่านพ่อสูงศักดิ์จนยากจะเอื้อมถึง  เหลียนจิ้งเต๋อแทบจะไม่เคยเห็นท่านพ่อในสภาพที่สวมเสื้อไม่เรียบร้อย  อย่าว่าแต่ท่าทางปั่นป่วนควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้  เรียวคอที่แหงนไปด้านหลังวาดเป็นเส้นโค้งที่เย้ายวนเส้นหนึ่ง  สีแดงซ่านที่ปรากฏบนใบหน้ายิ่งมองยิ่งแฝงอารมณ์ไม่สำรวม
เหลียนจิ้งเต๋อได้ยินตัวเองตะเบ็งเสียงตะโกนออกไปว่า
“นี่พวกท่าน...กำลังทำอะไรกัน ! ”
สิบขวบแม้จะยังเด็ก  แต่มิได้เด็กถึงขนาดไม่เข้าใจว่าที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องราวใด
เมื่อตะโกนออกไปแล้วเหลียนจิ้งเต๋อจึงเห็นเงาร่างสูงโปร่งของบิดาสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง  คนทั้งคู่ผละจากกัน  แต่สายไปเสียแล้วสำหรับคำอธิบายใด  เพราะเมื่อแยกออกจากกันทุกสิ่งทุกอย่างก็ยิ่งชัดเจนสำหรับเหลียนจิ้งเต๋อ  ว่าคนตรงหน้าของเขาคนหนึ่งคือท่านพ่อ  ส่วนอีกคน...คือท่านพ่อบุญธรรม!
---------------------
เหลียนอันสุ่ยผลักตัวฉีเซี่ยงหยวนออกไป  ผวาร่างขึ้นมาจากโต๊ะ  มองใบหน้าซีดเผือดของบุตรชาย  หัวสมองกลับกลายเป็นว่างเปล่า  รีบร้อนจะก้าวเข้าไปอธิบาย  เสื้อผ้าแม้ไม่เรียบร้อยนักแต่โชคดีที่ยังไม่ได้ขาดชิ้นใด
เมื่อเห็นร่างของท่านพ่อก้าวเข้ามา  ร่างเล็กของเหลียนจิ้งเต๋อกลับถอยห่างออกไปหนึ่งก้าว  ใบหน้าอ่อนเยาว์ส่ายไม่หยุดยั้ง  พึมพำซ้ำๆว่า ‘ไม่จริง’  เมื่อเห็นบิดายังไม่หยุดก้าวเหลียนจิ้งเต๋อก็ตะเบ็งเสียงออกไปอย่างเสียขวัญว่า
“อย่าเข้ามานะ!”
เหลียนอันสุ่ยหยุดก้าว  แต่พยายามยื่นมือออกไปแทน  พูดเสียงแหบพร่าเหมือนคนไม่เคยรู้จักวิธีการพูดมาก่อนในชีวิตว่า
“จิ้งเอ๋อ  พ่อ...”
เหลียนจิ้งเต๋อกลับถอยกรูด  ปฏิเสธว่า
“ท่านไม่ใช่!  ท่านไม่ใช่ท่านพ่อของข้า  ไปให้พ้น!  อย่าเอามือของท่านมาแตะต้องตัวข้า” พูดจบก็หันหลังวิ่งหนีไป  ราวกับการวิ่งหนีจะสามารถปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่าง
เหลียนอันสุ่ยยืนนิ่ง  แข็งค้างอยู่ตรงนั้น
‘...ท่านไม่ใช่ท่านพ่อของข้า...’
เหลียนอันสุ่ยฟังออกถึงความเสียขวัญ เจ็บปวด ไม่ต้องการจะเชื่อ และหมดศรัทธา  ที่สะท้อนออกมาจากคำพูดประโยคนั้น  คำว่าไปให้พ้นของเหลียนจิ้งเต๋อเป็นการพยายามจะไล่ตัวตนของคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จัก  ดวงตาที่เบิกกว้างเรียกร้องให้คืนท่านพ่อของเขามา...ท่านไม่ใช่
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นฉีกทุกภาพมายาให้กลายเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง
สิ่งที่เขาปิดบังมาทั้งหมดในที่สุดก็ไม่มีประโยชน์แล้ว  ขาของเหลียนอันสุ่ยไม่มีแรง  ทรุดล้มลง  แต่มือแข็งแกร่งคู่หนึ่งกลับสอดเข้ามาประคองรับไว้  แผ่นหลังของเหลียนอันสุ่ยถูกดึงให้พิงลงกับแผ่นอกกว้าง  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยไม่มีประกาย  หัวเราะออกมาแผ่วเบา  พร้อมกับน้ำตาหยดหนึ่งที่ไหลออกมาอย่างแช่มช้า

เป็นความโลภมากของเขาเองที่ทำลายทุกอย่าง  พยายามต่อเวลา  บ่ายเบี่ยงให้กับตัวเอง  ขอแค่อีกวันเดียวอันใด...อีกวันเดียวทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว  ถ้าเขายินยอมเด็ดขาดสักหน่อย  จบเรื่องราวตั้งแต่เมื่อวาน  เรื่องเลวร้ายเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น  ถ้าเขามีความยับยั้งชั่งใจตัวเองสักหน่อย  เรื่องเลวร้ายเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
สวรรค์  ท่านต้องการลงโทษความโลภมากของข้าใช่หรือไม่  ...ที่แท้อีกแค่วันเดียวก็ไม่ได้ 
“ในที่สุดก็ไม่ต้องปกปิดอีกต่อไปแล้ว...ในที่สุดการปกปิดก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว  ที่แท้การพยายามปกปิดทั้งหมดล้วนกระทำไปอย่างสูญเปล่า  ...เพราะข้าเอง...เป็นเพราะข้าเอง...” เสียงพึมพำเบาๆยังคงเจือด้วยเสียงหัวเราะ  เป็นเสียงหัวเราะที่ปวดร้าวขมขื่น  ในเสียงหัวเราะเจือรอยของหยาดน้ำตา  แววตาว่างเปล่ายังคงอ่อนโยนสุดประมาณ  แต่ว่างเปล่าปราศจากสิ่งใด  และแววตานี้กรีดเป็นแผลลึกในใจของเป่ยชางอ๋อง
ปลายนิ้วสากของฉีเซี่ยงหยวนปาดเช็ดหยาดน้ำตาออกจากใบหน้าของอีกฝ่ายแผ่วเบา  ปลายนิ้วสั่นระริก  แต่น้ำเสียงกลับมั่นคงหนักแน่น
“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของท่าน  เป็นข้าที่เริ่มเรื่องทุกอย่าง  เป็นข้าที่ประมาทขาดความยับยั้งชั่งใจ  ...เป็นข้าที่ทำร้ายท่าน” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนมีแววเศร้าเสียใจอย่างแท้จริง 
เหลียนอันสุ่ยยังคงไม่มีปฏิกิริยาใด
ฉีเซี่ยงหยวนจึงโน้มใบหน้าลงมาช้าๆ  กระซิบที่ริมหูอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงปลอบโยนว่า
“เหลียนอันสุ่ย  ไม่เป็นไร  ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนไม่เป็นไร...ข้าจะคืนเขาให้ท่าน”
เทียบกันแล้วสติของฉีเซี่ยงหยวนกลับคืนมาเร็วกว่าเหลียนอันสุ่ยมาก  บางทีคงเป็นเพราะได้รับการกระทบกระเทือนไม่มากเท่า  ขณะที่เหลียนอันสุ่ยพูดคุยกับบุตรชายฉีเซี่ยงหยวนแม้หาจังหวะแทรกเข้าไปไม่ได้  แต่ในใจได้ลอบตกลงใจจะกระทำเรื่องราวประการหนึ่ง
ปลอบเหลียนอันสุ่ยอยู่พักใหญ่  ใบหน้าซึมเซาของเหลียนอันสุ่ยยังคงไม่โต้ตอบอะไร  น้ำตาไม่ได้ไหลออกมาอีก  ท่าทีสงบลงบ้าง  ฉีเซี่ยงหยวนก็ผละจากไป  เขายังมีเรื่องที่ต้องไปทำ...
---------------------
ห้องของเหลียนจิ้งเต๋ออยู่ที่ปีกฝั่งตะวันออกของตำหนักชุนเกอ
เสียงเปิดประตูดัง ‘ปัง’
ทำให้เหลียนจิ้งเต๋อที่นั่งอยู่ในห้องตวาดออกไปทันทีโดยไม่หันไปมองว่า
“ไปให้พ้น  ไม่ว่าใครก็ไสหัวไปให้พ้น!”
“ไสหัวไป?  เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาให้ข้าไสหัวไป” เสียงเย็นเยือกที่เจือแววขำเสียงหนึ่งดังมา
เหลียนจิ้งเต๋อที่นั่งก้มหน้าอยู่บนเตียงเงยหน้าขึ้นมาทันควัน  เห็นคนเข้ามาเป็นพ่อบุญธรรมก็ร้องว่า
“ท่านนั่นแหละไสหัวไปซะ”
สายตาของฉีเซี่ยงหยวนกวาดมองไปทั่วๆ  ท่าทางไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด  กล่าวตอบว่า
“ตำหนักนี้เป็นของข้า  ชีวิตของพวกเจ้าทุกคนก็เป็นของข้า  มีแต่ข้าจึงสามารถใช้คำว่าไสหัวไป” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนแช่มช้าชัดเจน
เหลียนจิ้งเต๋อกระชากเสียงว่า
“ชีวิตข้าไม่ใช่ของท่าน  ท่านไม่ใช่พ่อบุญธรรมของข้าอีกแล้ว  คนต่ำทรามแบบพวกท่าน...”
ไม่รอให้เหลียนจิ้งเต๋อเอ่ยจบ  ฉีเซี่ยงหยวนก็หัวเราะ เอ่ยสวนว่า
“ชีวิตของเจ้าน่ะหรือไม่ใช่ของข้า  ชีวิตเจ้าน่ะมีค่านักเชียว  ถ้าไม่มีชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือข้าบิดาของเจ้าก็คงไม่ว่าง่ายปานนี้  อันที่จริงข้าก็ไม่ได้อยากเป็นพ่อบุญธรรมของเจ้านัก  เพราะเจ้าไม่ใช่เป้าหมายของข้ามาตั้งแต่แรก  แต่ใครใช้ให้เหลียนอันสุ่ยเห็นชีวิตเจ้าสำคัญยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง  ดังนั้นเพื่อให้ได้ตัวเหลียนอันสุ่ย  ข้าก็ต้องได้เจ้ามาก่อน”
ดวงตาของเหลียนจิ้งเต๋อเบิกกว้าง  ร้องว่า
“แก  แกทำอะไรท่านพ่อ!”
“ข้าทำอะไรบิดาของเจ้า  เจ้าคงไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดไม่เข้าใจกระมัง  วันนี้ข้าไม่ได้ต้องการมาอธิบายอะไรให้เจ้าฟัง  เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของข้า  แต่ข้ามาเพื่อสั่งและเจ้าต้องฟัง  ทำตัวเป็นเด็กดีอยู่เงียบๆของเจ้าไป  ทุกเรื่องราวข้าจะเป็นคนกำหนดเอง  อย่าทำอะไรนอกลู่นอกทาง  อ้อ  เรื่องที่ข้าจะเป็นพ่อบุญธรรมของเจ้าหรือไม่เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสิน  เข้าใจหรือไม่ลูกบุญธรรมตัวน้อยของข้า” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนเผด็จการอย่างร้ายกาจ  ราวกับยึดถือว่าตัวเองสามารถบงการฟ้าดิน  เผยตัวตนอีกด้านที่เหลียนจิ้งเต๋อไม่เคยได้เห็นออกมาจนหมดสิ้น

 “แกมันชั่วช้า  วิปริตที่สุด!  เรื่องแบบนั้น...แกบังคับท่านพ่อ!” เหลียนจิ้งเต๋อชี้หน้าอีกฝ่าย  แววตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
ฉีเซี่ยงหยวนเห็นดังนั้นก็เหยียดยิ้ม
“อ้อ  ตอนนี้มาทำตัวกตัญญูแล้วหรือ  แล้ววาจาอกตัญญูก่อนหน้านี้เอาไปทิ้งไว้ที่ไหนเสียเล่า  ข้าอยากจะให้บิดาของเจ้ามาได้ยินเสียจริง  ว่าเด็กที่เขายอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องไว้  เรียกหาเขาเป็นคนต่ำทราม”
เหลียนจิ้งเต๋อตวาดด้วยเสียงแทบจะเป็นคำราม
“คนต่ำทรามคือแก  ไม่เกี่ยวกับท่านพ่อ  แกมันชั่วร้าย” พูดพลางถลาเข้ามาจะทุบตีคนเลว  น่าเสียดายที่เพิ่งจะทุบไปได้แค่คราเดียวก็ถูกมือใหญ่หิ้วคอเสื้อขึ้นมา  เหลียนจิ้งเต๋อยังคงดิ้นรนจะไปทำร้ายคนตรงหน้า  แต่หมัดกับเท้าเล็กๆนั่นดูจะไม่ได้ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนสะทกสะท้าน  มือใหญ่พลิกร่างเล็กกดลงกับพื้น  มืออีกข้างรวบแขนที่ฤทธิ์มากบิดไพล่หลัง  เหลียนจิ้งเต๋อพยายามจะตีขาขึ้นมา  แต่ไม่อาจฟาดโดนผู้ใด
คนที่เหนือกว่าอย่างทาบไม่ติดโน้มตัวลงไป  หัวเราะในลำคอพลางกล่าวว่า
“คิดจะทำร้ายข้า  เจ้าต้องมีฝีมือมากกว่านี้  เอาไว้วันไหนฝีมือเจ้าเทียบชั้นข้าได้  แล้วค่อยมาท้าสู้กับข้าเถอะ”
พูดจบมือใหญ่ก็คลายออก  มองเหลียนจิ้งเต๋อที่ตะเกียกตะกายลุกขึ้นได้ก็ถอยไปตั้งหลักไกลหลายก้าว  พลางผุดลุกขึ้นตาม 
สีหน้าของเหลียนจิ้งเต๋อระแวดระวังอย่างเต็มพิกัด  แต่ฉีเซี่ยงหยวนดูเหมือนจะไม่สนใจ  ลุกขึ้นได้ก็เดินไปที่ประตู
“นั่นแกจะไปไหน”
คิ้วหนาของฉีเซี่ยงหยวนเลิกขึ้น  จากนั้นดวงตาก็ปรากฏแววร้ายกาจ
“ข้าไปไหนไม่มีความจำเป็นต้องรายงานเจ้า  พฤติกรรมแย่ๆของเจ้าเอาไว้ข้าค่อยไปคิดบัญชีจากบิดาของเจ้าแล้วกัน  ตอนนี้ไม่รู้ว่าบิดาเจ้า...”
ยังไม่ทันจบประโยค  เจ้าของห้องวัยสิบขวบก็วิ่งถลาผ่านหน้าไปแล้ว
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนเดินตามด้วยฝีเท้าไม่ช้าไม่เร็วตรงไปที่หน้าห้องนอนของเหลียนอันสุ่ย  ที่เดียวกับที่เขาทิ้งอีกฝ่ายไว้
ไม่ผิดจากที่คาดยังไม่ทันเปิดประตูเข้าห้องไปก็เจอเด็กคนหนึ่งขวางไว้ก่อน  สีหน้าที่กระหืดกระหอบวิ่งมายังไม่หายเหนื่อยนั้นเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง  ให้ตายก็ไม่ยินยอมให้ผ่านไป
“หลบไป” ฉีเซี่ยงหยวนออกคำสั่ง
“ข้าไม่หลบ!” เหลียนจิ้งเต๋อตอบ 
เถียงกันอีกพักใหญ่  เหลียนจิ้งเต๋อก็ยังไม่ยอมถอย  มือใหญ่เอื้อมออกมาจะผลักประตูก็ถูกมือเล็กคว้าไปกัดจนจมเขี้ยว  ฉีเซี่ยงหยวนต้องใช้แรงจากมืออีกข้างจึงสามารถผลักร่างเล็กกว่าออกไปห่างๆจากมือเขาได้
เสียงเอะอะดังไปถึงห้องด้านใน  เหลียนอันสุ่ยรีบร้อนเปิดประตูออกมา  พบบุตรชายอยู่หน้าห้องก็มีสีหน้าตะลังงันไป  แม้เสียงที่ลอดเข้าไปจะเป็นเสียงบุตรชายแต่เหลียนอันสุ่ยก็ยังไม่กล้าเชื่อ  จนเมื่อภาพดังกล่าวปรากฏแก่สายตาจริงๆ
“จิ้งเอ๋อ”
เหลียนจิ้งเต๋อหันขวับไปเห็นท่านพ่อก็รีบกางมือออก  ใช้ร่างตัวเองดันร่างท่านพ่อเข้าไปด้านใน  ปากกล่าวว่า
“ท่านพ่อ  ท่านอย่าออกมา  เจ้าคนสารเลวนั่นจะทำร้ายท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ  กล่าวว่า
“เจ้าเข้าใจว่าอาศัยเจ้าก็ขวางข้าได้ ? ”
“อยากมากก็แค่ตาย  ข้าไม่กลัวท่านหรอก”
“ถือว่าเจ้าโชคดีเพราะข้ายังมีงานอื่นต้องไปทำ  แต่ถ้าเจ้าเข้าใจว่าเฝ้าหน้าห้องได้ตลอดก็เฝ้าไป” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวจบ  เหลือบสายตามองเหลียนอันสุ่ยคราหนึ่ง  แล้วก็ผละจากไป
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนจากไปพักใหญ่แล้ว  แต่เหลียนจิ้งเต๋อยังคงไม่เข้าไปในห้อง  พูดให้ถูกคือเท้าปักหลักไม่ก้าวไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว
“จิ้งเอ๋อ  เข้ามาด้านในเถอะ”
“ไม่ได้  ไม่รู้ว่าเจ้าคนชั่วนั่นจะมาเมื่อไหร่” เหลียนจิ้งเต๋อตอบบิดา
“จิ้งเอ๋อ  พ่อ...พ่อมีเรื่องต้องพูดกับเจ้า”
“ท่านไม่ต้องพูดอะไรข้าเข้าใจหมดแล้ว  เจ้าคนบ้านั่นใช้ชีวิตข้ามาข่มขู่ท่าน  ดังนั้นไม่ว่าท่านจะทำอะไรผิดไปล้วนทำเพื่อข้า  ข้าไม่โกรธท่านหรอก  จิ๋งเอ๋อขอโทษที่วาจาก่อนหน้านี้กล่าวออกไปอย่างอกตัญญู  แต่ท่านพ่อวางใจตราบใดที่มีข้าอยู่จะไม่มีใครทำร้ายท่านได้อีก  ตอนแรกเป็นท่านปกป้องข้า  ครั้งนี้ข้าจะเป็นคนปกป้องท่านเอง!”
เหลียนอันสุ่ยมองแผ่นหลังเล็กที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา  ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดท่าทีของเหลียนจิ้งเต๋อจึงคล้ายกลายเป็นคนละคน
‘...ข้าจะคืนเขาให้ท่าน’ คนผู้หนึ่งกล่าวไว้เช่นนี้
---------------------
บทบาทคนดีเป็นของเหลียนอันสุ่ย  ส่วนบทบาทชั่วร้ายไม่มีใครถนัดไปกว่าฉีเซี่ยงหยวน  อันที่จริงระหว่างพวกเขาตัวตนภายนอกก็ตัดกันดุจเดียวกับสีอาภรณ์ขาวดำ

ฉีเซี่ยงหยวนแม้เอ็นดูเหลียนจิ้งเต๋ออยู่ไม่น้อย  แต่เขายอมแลกความเลื่อมใสที่เด็กคนนั้นมีต่อเขากับการคืนบุตรชายเพียงคนเดียวให้กับเหลียนอันสุ่ย เพราะมันคุ้มค่านัก 
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ปั้นเรื่องขึ้นมาเอง  แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ  เขาบังคับเหลียนอันสุ่ย  ใช้เหลียนจิ้งเต๋อมาข่มขู่เหลียนอันสุ่ย  เหลียนอันสุ่ยไม่ใช่คนผิดมาตั้งแต่แรก  หากจะมีคนหนึ่งที่ผิดคนๆนั้นก็คือเขา  และฉีเซี่ยงหยวนรับผิดชอบทุกการกระทำของตัวเองตลอดมา
ในหัวของฉีเซี่ยงหยวนปรากฏภาพเหลียนจิ้งเต๋อกางแขนขวางหน้าประตู  มุมปากปรากฏรอยยิ้มจางๆ
บางทีตอนนี้เหลียนจิ้งเต๋อก็ยังคงเฝ้าอยู่  คำพูดอกตัญญูทั้งหมดที่เคยกล่าวใช้ความทุ่มเทนี้ของเจ้าลบล้างมันไปเถิด
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 51 .......................................03/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: BlueHoney ที่ 05-10-2014 20:40:50
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 51 .......................................03/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 07-10-2014 21:09:14

 :L2: :L2:
เวลาว่างๆ จะเลือกเอาตอนใดตอนนึงในเรื่องนี้มาอ่าน
บอกได้เลยว่า ไม่ว่าอ่านตอนไหน กี่รอบก็สนุก
ยิ่งอ่าน ก็ได้ค้นพบบางความหมาย และเข้าใจบางอย่างมากขึ้น
เพราะเรารู้จักพวกเค้าหมดแล้ว จำได้แล้ว
พอได้ละเลียดอ่าน ยิ่งรู้จักพวกเค้า ความซับซ้อนในตัวตนความมีชีวิต
แบบว่าบางบรรทัด อ่านแล้วก็ได้แต่คิดว่า หลงรักเรื่องนี้จัง ดีใจจังที่ได้อ่าน


ตอนสองสัปดาห์นั่น ทำเราร้องไห้มาทั้งสามรอบที่อ่าน คุณแน่มาก o13
รักเรื่องนี้เหมือนเดิม

เป็นกำลังใจให้นะคะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 51 .......................................03/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 08-10-2014 20:11:05
เฉียงหยวนเสียใจอีกแล้ว T_T
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 51 .......................................03/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: _himura_ ที่ 09-10-2014 13:16:47
มาเป็นกำลังใจให้ค่ะื  รักเรื่องนี้มากๆ ทุกๆอย่างของเรื่องนค้สึนสุดยอด จนไม่รู้จะอธิบายยังไง มาต่อไวไวนะคะ o13
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 52
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 09-10-2014 15:08:48
บทที่ 52 ช่วงวันอันไม่อาจลืมเลือน...ชุนเกอ

ฉีเซี่ยงหยวนกลับสู่ตำหนักเยี่ยอวิ๋นด้วยท่าทีครุ่นคิด  คิดไม่ถึงต้าอ๋องที่มีอำนาจล้นฟ้าเช่นเขาก็มีวันไม่มีที่ไปจนต้องกลับตำหนักตัวเองเหมือนกัน  แต่ฉีเซี่ยงหยวนตัดสินใจแล้วว่าช่วงนี้เหลียนอันสุ่ยเพิ่งได้บุตรชายคืนมา  คงต้องการเวลาใกล้ชิดกันซักพัก  ส่วนความบาดหมางระหว่างเขากับเหลียนจิ้งเต๋อย่อมต้องมีวันที่สะสางได้  ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน  ตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่สมควรไปเยือนตำหนักเสียงวสันต์  สิ่งที่สมควรทำคือสะสางปัญหาอื่น

ที่ตำหนักเยี่ยอวิ๋น  ฉีเซี่ยงหยวนได้พบแม่นมตู้
ตู้ฮูหยินมาถึงพักใหญ่แล้ว  นั่งรอคอยบุรุษที่นางเลี้ยงมากับมือด้วยสีหน้าอันมุ่งมั่นเยือกเย็น  วันนี้นางจำเป็นต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง  จะไม่ยอมให้หลบหน้าอีก
ฉีเซี่ยงหยวนชะงักแต่ไม่ได้แปลกใจ  เพราะทราบว่าข่าวที่วนเวียนอยู่รอบนอกต้องทำให้อีกฝ่ายมาขอเข้าเฝ้าเขาแน่นอน
ตู้ฮูหยินอายุจะห้าสิบปีแล้ว  มือขวากุมไม้เท้าที่จัดทำอย่างประณีตด้ามหนึ่ง  บนใบหน้าชราเหี่ยวย่นยังคงเปี่ยมด้วยสง่าราศีที่น่าเกรงขาม  ในแววตาสุขุมเรียบเฉยตอนนี้มีความกังวลฉายชัด
ฉีเซี่ยงหยวนลอบกลืนน้ำลาย  เขาเพิ่งด่าเหลียนจิ้งเต๋อกล่าววาจาอกตัญญู  แต่ดูเหมือนตัวเขาก็ทำตัวอกตัญญูเหมือนกันที่จงใจปล่อยให้สตรีตรงหน้าเป็นกังวล  แต่นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้  การที่ตู้ฮูหยินได้ยินได้ฟังข่าวมาก่อนจะทำให้ทำใจรับความเป็นจริงได้ง่ายขึ้น...อย่างน้อยฉีเซี่ยงหยวนก็หวังไว้เช่นนั้น
“มาเข้าเฝ้าโดยพลการ  ขอต้าอ๋องโปรดประทานอภัย” นางถึงกับลุกจากเก้าอี้  ถวายบังคมเต็มพิธีการ
ฉีเซี่ยงหยวนรีบร้อนเข้าไปประคอง 
“ท่านแม่นมอย่าทำแบบนี้  หลังท่านไม่ค่อยดี  นั่งเก้าอี้เถิด”
เรียวปากของผู้สูงวัยปรากฏรอยยิ้มวูบหนึ่ง  ดวงตามีแววเต็มตื้น  เหลือบตาขึ้นมองบุรุษผู้ยิ่งใหญ่  ที่ในวันวานเคยเป็นทารกตัวน้อยบนตักนาง
ฉีเซี่ยงหยวนกลับมีสีหน้าหนักใจ  ตู้ฮูหยินเริ่มมาก็ดำเนินแผนทรมานตัวเอง  เห็นได้ชัดว่าเรื่องในคราวนี้จะไม่ยอมรามือโดยง่ายดาย
“ต้าอ๋อง  หญิงชรามักเลอะเลือน  ช่วงนี้ข้ากลับเลอะเลือนจนถึงขั้นได้ยินข่าวคราวอันเหลวไหลมา  ข้าทราบว่ามันไม่มีทางเป็นความจริงเพราะข้ารู้จักท่านดี  แต่คนภายนอกไม่เป็นเช่นนั้น  ท่านควรแต่งตั้งพระชายาในเร็ววัน  ข่าวลือที่ไม่ดีนี้จะได้ซาลงไปเอง”
ตู้ฮูหยินไม่เชื่อข่าวลือไร้สาระเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบุรุษตรงหน้ากับพระมาตุลาต่างแคว้น  แต่ข่าวลือที่ไร้สาระถึงขั้นนี้  แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นมาโดยปราศจากมูลเหตุ  ในความไม่เชื่อจึงยังมีความระแวงแฝงอยู่บ้าง  แต่จุดประสงค์หลักของนางในวันนี้คือเกลี้ยกล่อมให้ฉีเซี่ยงหยวนแต่งตั้งพระชายา
ลมหายใจของฉีเซี่ยงหยวนสะดุดไปเล็กน้อย ทราบว่าคำว่า ‘เลอะเลือน’ เป็นอีกฝ่ายประชดเพื่อตักเตือนเขา  การที่เหล่าสตรีทั้งหลายในวังหลวงกริ่งเกรงตู้ฮูหยินมิใช่ไม่มีสาเหตุ  ตู้ฮูหยินมิใช่สตรีที่ชมชอบพูดมาก  แต่วาจาของนางแฝงความหมายเสมอ  น่าเสียดายที่ครั้งนี้เขาต้องทำตัว ‘เลอะเลือน’ จริงๆแล้ว
“ข่าวอันเหลวไหลไม่ใช่ข่าวอันเหลวไหล  เรื่องระหว่างข้ากับพระมาตุลาแคว้นเหลียนเป็นความจริง  หวังว่าท่านแม่นมจะเข้าใจ”

ดวงตาของผู้มากวัยกว่าเบิกค้าง  รู้สึกเหมือนจะหน้ามืดกะทันหัน  ตู้ฮูหยินภูมิใจตลอดมาที่แม้หลังของนางจะไม่ดี  แต่สายตากับหูยังคงดียิ่ง  หากคราวนี้นางรู้สึกเหมือนหูตัวเองจะใช้การไม่ได้เสียแล้ว  จึงได้ยินผิดเพี้ยนไปถึงขั้นนี้ได้
เห็นมือที่กุมไม้เท้าอย่างมั่นคงของอีกฝ่ายสั่นระริก  ฉีเซี่ยงหยวนรีบกุมมือใหญ่ทับลงไปบนนิ้วมืออันเหี่ยวย่น   
ตู้ฮูหยินกำไม้เท้าแน่น  พยายามสงบสติอารมณ์  มือซ้ายยกขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย  กล่าววาจาออกมาอย่างยากลำบากว่า
“ที่...ที่แท้  สวรรค์  ไม่จริงใช่หรือไม่  ต้าอ๋อง  ท่าน...พลาดไปได้อย่างไร”
“ท่านแม่นม  มันไม่ใช่ความผิดพลาด  ข้ารักเขา  ตั้งแต่เล็กจนโตข้าทำตัวเหลวไหลมามากมาย  แต่ครั้งนี้ไม่ใช่  ไม่ว่าก่อนหน้านี้ข้างกายข้าจะเคยมีใครมากี่คน  แต่คนเหล่านั้นเทียบไม่ได้กับเหลียนอันสุ่ย  ใจของข้าไม่เคยทรมานเพราะใครขนาดนี้  และไม่เคยมีความสุขเพราะใครขนาดนี้  ยิ่งไม่เคยห่วงคำนึงถึงใครขนาดนี้”
หญิงชราผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแรง  พึมพำว่า
“เหลวไหล...” นางใกล้เป็นบ้าเต็มที  เหตุไฉนเหตุการณ์จึงออกมาเป็นรูปนี้  เด็กที่นางเลี้ยงมากับมือสุดท้ายกลับ...สุดท้ายกลับไปชมชอบบุรุษ  นางเกือบจะพูดออกไปแล้วว่ามันก็เป็นแค่ความหลงเหมือนกับครั้งก่อนๆ  เป็นแค่ความชอบพอเพราะรู้สึกว่าท้าทายที่ได้ทำลายกฎเกณฑ์  แต่ทว่า...
‘...ใจของข้าไม่เคยทรมานเพราะใครขนาดนี้  และไม่เคยมีความสุขเพราะใครขนาดนี้  ยิ่งไม่เคยห่วงคำนึงถึงใครขนาดนี้’
ตู้ฮูหยินหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้มาอ้อนวอนนางมาก่อน  กับเรื่องคนที่ชอบพอที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างมากก็มีปากเสียงกับนาง  คัดค้านจะทำให้ได้  แต่ในน้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนคราวนี้กลับมีความเจ็บปวดอย่างแท้จริง  ตู้ฮูหยินย่อมทราบ  ความรักแท้จริงคือความทรมานอย่างหนึ่ง  ยิ่งรักมากก็ยิ่งยึดติด  ยิ่งอยากไขว่คว้าเอามาก็ยิ่งทรมาน  ความรักในวังหลวงสุดท้ายมักมีจุดจบที่ความทรมานเสมอ  เพราะรักที่สมหวังในวังหลวงมีไม่มากเลย
ในที่สุดบุรุษที่ไม่เคยยึดติดกับอะไรมากมายผู้นี้  ก็มีวันทุกข์ทรมานเพราะความรักแล้ว

หญิงชราสูดลมหายใจลึก  พยายามตั้งสติ  เอ่ยว่า
“ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องมีชายา  ปัญหาเรื่องข่าวจริงข่าวเท็จเอาไว้ก่อน  ต้าอ๋อง  ท่านต้องเลือกแล้ว  แล้วหญิงชราผู้นี้จะช่วยเหลือท่านอีกแรงหนึ่ง”
“กับการคัดเลือกชายาข้าก็มีเรื่องที่ต้องขอร้องท่านแม่นม...”
หญิงชราเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่คนที่ชมชอบใช้คำว่าขอร้องบ่อยนัก  ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวต่อว่า
“...เสิ่นชิงอี  ตัดชื่อนางออกเสีย”
ตู้ฮูหยินสีหน้าเคร่งเครียด  คิ้วขมวดอย่างไม่เข้าใจ  ถามว่า
“เพราะอะไร ? ”
“เพราะนางมีค่ากว่านั้น  นางเป็นเพื่อนข้า  ส่วนข้าไม่มีทางรักนางได้  ข้าจะไม่ยอมให้นางต้องเอาวัยสาวมากลบฝังอยู่ในกรงขังที่มีชื่อว่าตำหนักใน  ดังนั้นในผู้หญิงเป็นร้อยเป็นพันข้างนอกนั่น  ตำแหน่งชายาอาจเป็นของใครก็ได้  แต่ต้องไม่ใช่ชิงอี” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนหนักแน่น
ท่าทีของตู้ฮูหยินสงบลง  หรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด  ไม่ได้กล่าวอะไร
ฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่ายแล้วกล่าวว่า
“ข้ารู้ว่านางเป็นตัวเลือกที่ดี  ไม่ว่าใครก็พูดเหมือนกันว่านางเป็นตัวเลือกที่ดี  แต่ข้าจะทำสิ่งเห็นแก่ตัวแบบนั้นกับนางไม่ได้  ใครก็ตามที่แต่งงานกับข้าจะเป็นได้แค่หมากตัวหนึ่งในกระดานของการเมือง  ไม่มีเรื่องของความรัก...เพราะข้ารักคนอื่นไปแล้ว”
---------------------
ชีวิตช่วงนี้ของเหลียนจิ้งเต๋อมีหลายวันที่ไม่อาจลืมเลือนได้โดยง่ายนัก
หนึ่งในนั้นคือวันที่เกิดเรื่องราวในห้องหนังสือ  ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพ่อบุญธรรมที่หลงเทิดทูนมาโดยตลอด  เย็นนั้นหลังเฝ้าอยู่หน้าห้องบิดาจนเหน็ดเหนื่อย  เหลียนจิ้งเต๋อก็ขดตัวนั่งลงบนพื้น  มือทั้งสองกอดเข่าแน่น  ร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ  เขากลับไม่เคยรู้มาตลอด  ไม่เคยรู้อะไรเลย! 
เห็นเพียงความเจ็บปวดของท่านพ่อ  แต่ไม่เคยสืบสาวหาสาเหตุอย่างจริงจัง  เข้าใจว่าอยู่ข้างๆก็เพียงพอ  หาทราบไม่ว่าเพราะมีเขาอยู่ข้างๆท่านพ่อจึงปราศจากทางเลือกอื่นใด  หาทราบไม่ว่าตัวเขาเองที่เป็นหนึ่งในต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด !

‘...ถ้าไม่มีชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือข้าบิดาของเจ้าก็คงไม่ว่าง่ายปานนี้...’

เหลียนจิ้งเต๋อซุกหน้าลงกับเข่าร่ำร้องท่ามกลางเสียงสะอึกสะอื้นอย่างทรมานว่า ‘ข้าผิดเอง  ข้าขอโทษ’ ซ้ำไปซ้ำมา 
คำทุกคำของฉีเซี่ยงหยวนกรีดแทงเป็นแผลลึก  คล้ายพลองด้ามหนึ่งที่หวดฟาดเข้ามาอย่างหนักหน่วง  บังคับให้เหลียนจิ้งเต๋อจดจำทุกถ้อยความ  ทุกความหมาย
ประตูไม่ได้ปิด  เหลียนอันสุ่ยที่หายเข้าไปหยิบเบาะรองนั่งรีบร้อนกลับออกมา  จับจ้องภาพดังกล่าวอย่างตะลึงงัน 
“จิ้งเอ๋อ!” อุทานอย่างตกใจ  นานมากแล้วที่เหลียนจิ้งเต๋อไม่ได้ร้องไห้หนักขนาดนี้  รีบก้าวเข้ามา นั่งลงข้างกัน  โอบบ่าร่างเล็กเอาไว้
เหลียนจิ้งเต๋อหันไปกอดคอบิดา  ร้องไห้แล้วกล่าวว่า
“เป็นจิ้งเอ๋อไม่ดี  ทำให้  ทำให้ท่านพ่อต้องมาเจอเรื่องแบบนี้  ท่านพ่อไม่อยากมีลูกอย่างจิ้งเอ๋อแล้วใช่หรือไม่  เด็กที่ไม่มีประโยชน์พรรค์นี้  เด็กที่  เด็กที่เอาแต่หาเรื่องแย่ๆมาให้ท่าน  ฮึก  จิ้งเอ๋อขอโทษ” พูดจบก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม
ใจของเหลียนอันสุ่ยเจ็บแปลบ  ใช้สองมือกอดครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวไว้  พึมพำว่า
“จิ้งเอ๋อไม่ผิด  เป็นพ่อเอง  เป็นพ่อที่ไม่ดี  จิ้งเอ๋ออย่าโทษตัวเอง...”
ฉีเซี่ยงหยวนท่านคืนเด็กคนนี้ให้ข้าก็จริง  แต่วาจาของท่านก็ฝังเป็นฝันร้ายอยู่ในจิตใจของเด็กคนนี้ด้วย  การรับทราบความจริงมิใช่เรื่องดีเสมอไป  เรื่องที่ข้าพยายามปกปิดท่านกลับพูดออกมาง่ายๆเช่นนี้เอง  เหลียนอันสุ่ยไม่ทราบว่าตัวเองสมควรจะโกรธบุรุษชาวเป่ยชางผู้นั้นหรือไม่  แต่ในใจกลับโกรธไม่ลง  เพราะทราบดีว่าเนื่องจากฉีเซี่ยงหยวนมีความเห็นว่าวิธีจัดการปัญหาที่ดีที่สุดคือเผชิญหน้ากับความเป็นจริง  ฉีเซี่ยงหยวนจึงเลือกเช่นเดียวกันให้กับผู้อื่นด้วย

หลังจากร้องไห้อย่างหนักในคืนนั้นเหลียนจิ้งเต๋อก็มิได้ร้องไห้อีก  ท่านพ่อเองก็ดูสงบลงมาก  มีบางช่วงเวลาที่จมอยู่ในการครุ่นคิด  บางวันก็ไปขลุกตัวอยู่ที่โรงหมอตั้งแต่เช้าจรดค่ำ  สายตาที่มองเขาไม่ได้หลบเลี่ยงหรือเจือด้วยความละอายเหมือนครั้งก่อนเก่า สำหรับเหลียนจิ้งเต๋อท่านพ่อกลับมาเป็นท่านพ่อคนเดิมก่อนเกิดสงครามระหว่างเป่ยชางกับแคว้นเหลียน  บางครั้งเหลียนจิ้งเต๋อจะเห็นท่านพ่อเดินหมากคนเดียว  สายตาเหมือนกำลังใคร่ครวญสิ่งใด  และบางครั้งเหลียนจิ้งเต๋อก็จะเห็นท่านพ่อมองกระดานหมากด้วยแววตาซับซ้อนที่คล้ายกับแฝงเร้นด้วยอารมณ์โหยหาเจ็บปวด
---------------------
ชุนเกอ...บทเพลงแห่งห้วงวสันต์  ลำนำแห่งบุปผา  ผลิบานตรึงตา  ร้อยเรียงสรรพสำเนียงเป็นหนึ่ง  นี่จึงเป็นตำหนักเสียงวสันต์ที่แท้จริง  ชุนเกอในฤดูใบไม้ผลิงดงามจนต้องทอดถอนอาลัย
ดอกไม้ผลิบานนอกชายคาเรือน  ความสวยงามในอดีตผลิบานในความทรงจำ
จากความผิดบาปครั้งนั้นล่วงเลยมาเกือบสามฤดู  เหลียนอันสุ่ยจึงสามารถวางมันลงเป็นครั้งแรก  เวลาค่อนปีที่ไม่อาจมองหน้าบุตรชายได้โดยสนิทใจสร้างเป็นระยะห่างช่วงหนึ่งซึ่งเหลียนอันสุ่ยเข้าใจตลอดมาว่ามันไม่อาจลบเลือนหายไปได้  แต่หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านพ้น  เขากลับเหมือนได้บุตรชายคืนมาอย่างแท้จริง  เป็นบุตรชายตัวน้อยเมื่อหลายปีก่อน

ตั้งแต่คำขู่ครั้งนั้นของฉีเซี่ยงหยวน  เหลียนจิ้งเต๋อก็แทบจะผูกติดอยู่กับเขา  เวลาต้องไปเรียนทีก็อิดออด  จนเหลียนอันสุ่ยต้องบอกว่า ‘หากไม่มีความรู้  วันหน้าย่อมไม่อาจวางใจพึ่งพา’  เด็กชายวัยสิบขวบจึงค่อยยินยอมไปเรียนอย่างว่าง่าย  พอเลิกเรียนก็รีบเผ่นแผลวกลับมา  ตอนกลางคืนถึงกับย้ายหมอนย้ายผ้าห่มเข้ามาขอส่วนแบ่งเตียง  แล้วคนที่เอ่ยปากอย่างมุ่งมั่นว่า ‘จะคอยเฝ้าพิทักษ์ท่านพ่อ’  หัวถึงหมอนไม่นานก็ไปเฝ้าพิทักษ์เทพเซียนบนสวรรค์

เหลียนอันสุ่ยมองเด็กที่หลับใหลบนเตียงเขาด้วยรอยยิ้มขัน  เด็กคนนี้หลับง่ายมาแต่ไหนแต่ไร  จำได้ว่าตอนช่วงเหลียนจิ้งเต๋อ 5-6 ขวบก็เป็นอย่างนี้  ชอบหอบหมอนหอบผ้าห่มมานอนที่ห้องเขา  ยิ่งคืนไหนฟ้าร้องฝนตกนอนไม่หลับก็ต้องมาปลุกให้ผู้อื่นไม่ได้หลับไม่ได้นอนไปด้วย  บางครั้งถึงกับแล่นไปเรือนคนรับใช้ลากตัวอิ๋งฮวากับเยี่ยนจื่อขึ้นมาจากเตียงเพื่อให้มาเล่นด้วยกัน  ขนาดหวังเชียนที่ยืนเฝ้าหน้าห้องเขาอย่างเคร่งครัดเงียบขรึมยังถูกลากเข้ามาร่วมวงด้วย  เหลียนจิ้งเต๋อชอบความครึกครื้นเสมอมา  ชอบบอกว่าในคืนที่ฝนพรำฟ้าผ่าก็ต้องหัวเราะให้ดังกว่าเสียงฟ้าผ่าจึงแสดงออกถึงความกล้าหาญปลอดโปร่งของผู้เหนือชั้น  แต่ ‘ผู้เหนือชั้น’ คนนี้พอฟ้าผ่าทีก็สะดุ้งทีเป็นประจำ  ไหนเลยมีภาพลักษณ์ของผู้กล้าหาญปลอดโปร่ง  ผู้ใหญ่ทั้งห้องย่อมไม่กล่าวเปิดโปง  มองดูเด็กชายตัวน้อยค่อยๆสะสมความกล้า กำจัดความกลัว และเติบโตขึ้น  ไม่นานหลังจากนั้นเหลียนจิ้งเต๋อก็สามารถหัวเราะคลอกับเสียงฟ้าผ่าได้จริงๆ

เมื่ออายุแปดขวบก็ละเลิกนิสัยชอบบุกรุกห้องนอนคนอื่นได้เด็ดขาด  เหลียนจิ้งเต๋อเห็นว่าตัวเองโตแล้วจึงไม่ควรทำตัวเป็นเด็กๆออดอ้อนบิดาอีก  อิ๋งฮวากลอกสายตาไปมาพอลับหลังก็เอ่ยว่า ‘คุณชายน้อยไม่มีทางทำได้จริงอย่างที่ปากพูดหรอก’   ไม่ทันขาดคำเด็กที่เห็นว่าตัวเองโตแล้วก็ดูเหมือนจะไปต้องตาม้าตัวหนึ่งในคอกเข้า  วิ่งถลาเข้ามาประจบบิดาขอม้าเป็นของตัวเอง  เหลียนจิ้งเต๋อในตอนนั้นรู้สึกว่านั่งอยู่บนหลังม้าควบทะยานนับว่าเป็นบุคลิกของวีรบุรุษ  เพื่อฝึกฝนเป็นวีรบุรุษในเร็ววันก็ต้องเริ่มจากหัดขี่ม้าให้เป็นก่อน อดีตเหล่านั้นเติมเต็มช่วงชีวิตที่ว่างเปล่าของเหลียนอันสุ่ยให้มีแต่รอยยิ้ม

แต่ความผิดบาปที่เกิดขึ้นในภายหลังกลับช่วงชิงมันไปจนหมดสิ้น  พระมาตุลาแคว้นเหลียนไม่เคยกล้าสู้หน้าบุตรชายอย่างแท้จริงอีกเลย  หากเหลียนอันสุ่ยไม่ได้โทษว่าว่าเป็นความผิดของฉีเซี่ยงหยวน  บางครั้งโชคชะตาก็มีท่วงทำนองของมัน  เส้นทางชีวิตสายหนึ่งสุขทุกข์ปะปน  คนเราย่อมไม่สามารถบังคับให้ทุกวันเป็นเหมือนเช่นวันวาน  เพราะชีวิตคนไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเปลี่ยนแปลง 
สงครามที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นพลิกผันทุกสิ่งทุกอย่าง  คนมีบ้านไร้บ้าน  คนมีแคว้นสิ้นแคว้น  คนมีครอบครัวเปลี่ยนเป็นกำพร้า  นั่นคือมูลค่าที่ต้องจ่ายของสงคราม
หลังจากสงครามครั้งนั้นตัวเขาก็จมลงสู่วังวนอันเจ็บปวดที่ดิ้นไม่หลุด  ทรมานเพราะความรู้สึกผิด  ปวดร้าวเพราะความหวั่นไหวที่ผิดบาป  พร้อมกับที่คนผู้หนึ่งได้ผ่านเข้ามาในชีวิต  ก้าวผ่านเข้ามาเพื่อที่จะผ่านไป  ก้าวผ่านเข้ามาเพื่อที่จะให้เขารัก...รักอย่างลึกซึ้ง
หากวังวนนั้นมีแต่ความเจ็บปวดก็คงดี  ความเจ็บปวดทำให้คนเหนื่อยล้าได้ง่าย  ละทิ้งได้ง่าย  แต่วังวนนั้นกลับมีความสุขด้วย  ตัวเขาจมลึกลงไปจนแทบจะลืมเลือนอดีต  ลืมเลือนว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเคยผ่านวันเวลามาอย่างไร
หากทุกอย่างสามารถย้อนทวนสู่จุดเริ่มต้น...ใช่จะดีกว่าหรือไม่ ? ...เหลียนอันสุ่ยตอบไม่ได้
---------------------
ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องในห้องหนังสือ  ฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่ได้เหยียบย่างเข้ามาในตำหนักเสียงวสันต์อีก  แต่ทุกครั้งที่เหลียนจิ้งเต๋อได้ยินผู้คนพูดถึงเป่ยชางอ๋องก็จะมีสีหน้าเกลียดชัง  จนเหลียนอันสุ่ยต้องเอ่ยปากถามว่า
“เหตุใดต้องเกลียดชังถึงเพียงนี้  เจ้ายิ่งเกลียดชังใจเจ้ายิ่งไม่สบาย  ทำร้ายตัวเองเพื่อสิ่งใด?”
สีหน้าบูดบึ้งของเหลียนจิ้งเต๋อยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  ขณะตอบบิดาว่า
“ท่านพ่อ คนเรามิใช่นึกอยากจะไม่เกลียดก็ไม่เกลียดได้  เรื่องของความรู้สึกห้ามกันได้เสียที่ไหน  ท่านต่างหากที่ประหลาด  เหตุใดจึงไม่เกลียดเล่า”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป  สุดท้ายตอบด้วยสายตาเหม่อลอยว่า
“จริงอยู่ความรู้สึกห้ามกันไม่ได้  แต่จิ้งเอ๋อ เจ้าทราบหรือไม่ว่าคนเรายังมีสิ่งที่หักห้ามยากกว่าความเกลียดชัง...นั่นคือรัก  บางทีที่พ่อไม่เกลียดเขาอาจเป็นเพราะพ่อรู้จักเขามากกว่าเจ้า”
ประโยคแรกเหลียนจิ้งเต๋อไม่เข้าใจ  ประโยคหลังเหลียนจิ้งเต๋อไม่เห็นด้วย  ท่านพ่อนั่นแหละที่ไม่รู้จักเจ้าคนสองหน้านั่นดีพอ  จึงยังหน้ามืดตามัวให้อภัยมันไปเสียได้!
---------------------
หลังจากนั้นสองวันเหลียนจิ้งเต๋อก็ได้พบคนหน้ามืดตามัวคนที่สอง...
เหตุการณ์เกิดตอนกำลังนั่งเขียนบทความเพื่อส่งอาจารย์ในวันรุ่งขึ้นกับรัชทายาทแคว้นเป่ยชาง 
สำหรับเหลียนจิ้งเต๋อรัชทายาทคนนี้นับเป็นผู้ประสบชะตากรรมเดียวกัน  เหลียนจิ้งเต๋อเดาเอาเองว่าอีกฝ่ายก็คงถูกเจ้าคนสองหน้านั่นหลอกลวงมาเป็นลูกบุญธรรม  ดังนั้นจึงไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจใดๆ

รัชทายาทแคว้นเป่ยชางเห็นเพื่อนร่วมเรียนหมุนพู่กันเล่น  เขียนบทความได้ตัวสองตัวก็เอาพู่กันวาดไปมาอยู่ในอากาศ  จึงกล่าวเป็นเชิงเตือนว่า
“ไม่เขียนบทความระวังจะโดนอาจารย์ลงโทษให้คัดหนังสือทั้งม้วนเหมือนคราวก่อน  ได้ยินว่าบทความนี้ถือเป็นรายงานความคืบหน้าด้านการเรียนที่ต้องส่งให้พระบิดาบุญธรรมอ่าน  ถึงเวลานั้นถ้ามีแต่ของข้าไม่มีของเจ้า  เจ้าคงต้องไปอธิบายกับพระบิดาบุญธรรมเองแล้ว” รัชทายาทที่อายุมากกว่าหนึ่งปีกล่าวเตือนด้วยเจตนาดี  ทราบว่าถ้างานไม่เสร็จไฟลนก้นเมื่อไหร่คนเดือดร้อนต้องเป็นตัวเขาแน่นอน  เพราะเหลียนจิ้งเต๋อไม่แคล้วต้องมาอ้อนวอนให้เขาช่วยเขียนอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำ

หาคาดไม่เหลียนจิ้งเต๋อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงฉีเซี่ยงหยวนโทสะก็ลุกโชน  เขวี้ยงม้วนไม้ไผ่ที่กำลังเขียนไปจนสุดโต๊ะ  โยนพู่กันไปอีกทาง  ร้องว่า
“เขียนให้เจ้านั่นอ่าน  เฮอะ  เช่นนั้นไม่เขียนแล้ว ! ”
ท่าทีเดือดจัดทำเอาเพื่อนร่วมเรียนตาค้าง  เห็นอีกฝ่ายมึนตึงมาหลายวันรัชทายาทยังจับจุดไม่ออก  ทดลองสอบถามหยั่งเชิงไปหลายครั้งไม่เป็นผลอันใด  คิดไม่ถึงครั้งนี้หวดเปะปะกลับไปโดนตาปลาของเหลียนจิ้งเต๋อเข้าให้
“ข้าเห็นเจ้าหงุดหงิดมาหลายวัน  ที่แท้มีเรื่องกับพระบิดาบุญธรรม...”
“บิดาบุญธรรมอันใด  ข้าไม่นับ  บิดาข้ามีคนเดียวไม่เกี่ยวกับคนสารเลวอย่างเจ้านั่น”
คนฟังขมวดคิ้ว  กล่าว
“เรื่องขัดแย้งล้วนสะสางกันได้  แต่วาจาที่กล่าวออกไปแล้วไม่อาจเรียกคืนกลับมา  คำพูดประโยคนั้นของเจ้าถ้าคนอื่นได้ยินเข้าโทษถึงตัดหัวเชียวนะ”
เหลียนจิ้งเต๋อยืนพรวดขึ้นทันใด
“ข้าไม่สน  ข้าจะไม่สะสางกับคนแบบนั้น  เจ้านั่นใช้ข้าข่มขู่เพื่อทำร้ายท่านพ่อของข้า  ฮึ  คนสองหน้า  เจ้าก็ถูกมันหลอกแล้ว!”
รัชทายาทวัยสิบเอ็ดปีฟังแล้วเงียบเสียงไป  นี่แสดงว่าเหลียนจิ้งเต๋อคงไปรู้เรื่องราวอันใดเข้าแล้ว 
“ข้ายังไม่ค่อยเชื่อ  พระบิดาบุญธรรมเป็นคนมีเหตุผล  เขาไปทำเรื่องอันใดไว้กับเจ้ากันแน่”
เห็นอีกฝ่ายยังหน้ามืดตามัว  เหลียนจิ้งเต๋อจึงต้องอธิบายให้ความสว่างกับคนตรงหน้าเสียหน่อย  ดังนั้นสุดท้ายรัชทายาทแคว้นเป่ยชางก็ได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดอย่างที่ต้องการสมใจ
“...เข้าใจแล้วหรือไม่  ข้าเห็นเจ้าเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันจึงเล่าให้ฟัง  เจ้าเองก็ระวังตัวไว้ให้ดีๆ  คนชั่วร้ายนั่นอาจกำลังหาประโยชน์ใดจากตัวเจ้าอยู่”
รัชทายาทวัยเยาว์ได้ยินคำเตือนด้วยความหวังดีของอีกฝ่ายก็หลุบตาลงต่ำ  กล่าวว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว  แต่ว่า...ข้าไม่เห็นด้วย”
เหลียนจิ้งเต๋อมีสีหน้าไม่พอใจทันที อ้าปากจะเอ่ยแย้ง  แต่อีกฝ่ายชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“หากพระบิดาบุญธรรมเป็นคนเลวจริง  เหตุใดต้องบังธนูให้บิดาเจ้า”
เหลียนจิ้งเต๋อสะอึก  นั่นเป็นหนึ่งในปัญหาที่เขาขบไม่แตก  แต่ยังคงเถียงว่า
“ใครจะไปรู้  เจ้านั่นคงคิดจะใช้ประโยชน์อะไรจากสถานการณ์นั้นอีกกระมัง”
“ธนูดอกหนึ่งยิงออกไป  เวลาขบคิดมากพอเสียที่ไหน  การใช้ชีวิตแลกชีวิตเหตุผลมีหนึ่งเดียวคือไม่ต้องการให้อีกฝ่ายตาย”
“ไม่ยอมให้ตายเพราะจะเก็บเอาไว้ทรมานอย่างไรเล่า  อย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร...”
“ใช่  ข้าไม่เข้าใจอะไร  ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าในเมื่อต้าอ๋องต้องการตัวบิดาเจ้า  แล้วทำไมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงไม่ได้ไปเหยียบตำหนักเสียงวสันต์อีกเลย  พระบิดาบุญธรรมทรงอิทธิพลที่สุดในแคว้น  อาศัยแค่เจ้าขวางเขาได้หรือ? ”
คำพูดของเพื่อนร่วมเรียนคล้ายแส้ที่ฟาดหนักๆ  ทำให้เหลียนจิ้งเต๋อสับสนเป็นอย่างมาก  โซเซกลับตำหนักเสียงวสันต์ไปอย่างมึนงง  ความไม่เข้าใจนี้ผู้ใดสามารถอธิบายให้กับเขา ?

ดวงตาเลื่อนลอยของเหลียนจิ้งเต๋อกวาดไปเห็นเงาหลังสูงโปร่งของท่านพ่อ
ท่านพ่อเดินหมากอีกแล้ว  ในมือเรียวยาวยังคงเป็นตัวหมากสีขาวเช่นเคย  เดินกับตัวเองช้าๆ  ราวกำลังรอคอยให้ใครอีกคนมานั่งฝั่งตรงข้าม...มาเดินหมากสีดำ
ในดวงตาที่มองกระดานหมากอย่างจดจ่อมีแววอ่อนโยน

เมื่อเดือนก่อนตอนทุกอย่างยังไม่เป็นแบบนี้  เหลียนจิ้งเต๋อจำได้ว่าเขาเคยเดินหมากแข่งขันกับรัชทายาท  เพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่า เขาจึงต่อรองจนได้พ่อบุญธรรมมาเป็นผู้ช่วย
เพื่อนร่วมเรียนของเขาอ้าปากจะเอ่ยแย้งแต่พูดไม่ออกเพราะพ่อบุญธรรมเป็นคนเสนอตัวเข้ามาช่วยเอง  วาจาของเป่ยชางอ๋องไม่อนุญาตให้คัดค้านเสมอมา  จึงได้แต่จำใจวางหมากในสภาพเสียเปรียบสุดๆ
เล่นไปได้พักหนึ่ง  เหลียนจิ้งเต๋อกำลังมีความสุขกับการได้ไล่ต้อนคนที่ชอบชนะเขาอยู่เรื่อย  ท่านพ่อก็เข้ามา ในมือถือน้ำชากาหนึ่ง  วันนี้ท่านพ่อเก็บห้องหนังสือ  พวกเขาไม่ต้องการไปรบกวนจึงสุมหัวกันอยู่อีกฟากห้อง  แต่ดูเหมือนท่านพ่อจะเก็บห้องหนังสือจนเบื่อหน่ายจึงเดินไปชงชามาให้หนึ่งกา
คิ้วเรียวยาวของเจ้าของตำหนักขมวดเข้าหากันเมื่อพบเห็นเหตุการณ์สองรุมหนึ่ง เดินเข้ามารินน้ำชาให้แต่ละคนที่มัวแต่สนใจตัวหมากขาวดำจนไม่มีเวลาไปมองอย่างอื่น  เอ่ยขึ้นลอยๆว่า
“ระวังหมากซ้ายกระดาน”
รัชทายาทที่กุมเม็ดหมากตัดสินใจไม่ได้อยู่นานพลันตากระจ่างวูบ  รีบวางหมากลงไป  ส่วนเหลียนจิ้งเต๋อได้แต่โห่ร้องอย่างเสียดายที่ไม่อาจลอบกินกองใหญ่เป็นผลสำเร็จ  ตอนนั้นพระบิดาบุญธรรมที่ยังญาติดีกันอยู่ยื่นหน้ามากระซิบว่าเดี๋ยวท่านพ่อก็ไปจัดหนังสือต่อ  คราวนี้ให้เล่นงานหมากสีขาวที่มุมกระดาน
ท่านพ่อไปจัดหนังสือต่อจริงๆ  แต่จัดเพียงครู่เดียวก็เดินกลับมาพร้อมม้วนไม้ไผ่ม้วนหนึ่ง  หาเก้าอี้นั่งลงด้านข้าง  ท่าทางดูเหมือนจะนั่งต่ออีกนาน
เขากับพ่อบุญธรรมยังคงกระซิบกระซาบปรึกษากันต่อไป  ผลัดกันเดินคนละตาอย่างคึกคัก
“ถ้าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเสีย  เลือกอันน้อย” จู่ๆท่านพ่อก็พูดขึ้นมา  แล้วกระดานหมากก็เกิดเหตุพลิกผันอีกครั้ง
“ท่านพ่อ  ทำไมท่านไปเข้าข้างผู้อื่นไม่เข้าข้างข้าเล่า” เหลียนจิ้งเต๋อร้องด้วยความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
“ผู้หนุนหลังเจ้ายิ่งใหญ่คับฟ้าอยู่แล้ว  จะเพิ่มพ่อเข้าไปด้วยอีกทำไม” พูดช้าๆ  ตากลับไปจับอยู่ที่ม้วนไม้ไผ่ในมือ
หลังจากนั้นความได้เปรียบของแผนการที่เขากับพ่อบุญธรรมอุตส่าห์ช่วยกันวางก็หายไปหมด 
ท่านพ่อไม่ได้พูดเยอะ  แต่พอรัชทายาทจะหลงกลคราวใด  เป็นต้องมีคำพูดลึกล้ำเข้าใจยากลอยมาประโยคหนึ่ง  เช่น
“มุมกระดานเป็นจุดอับ  กลางกระดานพลิกแพลงได้มากกว่า”
“เล่นกับคนฉลาดแบบพ่อบุญธรรมเจ้า ไม่สูญเสียบ้างแล้วจะได้มาได้อย่างไร”
“เวลาได้เปรียบหมากอันตรายไม่พึงเดิน”
เหลียนจิ้งเต๋อฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก  แต่เพื่อนร่วมเรียนของเขาดูเหมือนจะฟังเข้าใจทุกประโยค จนพ่อบุญธรรมต้องปรับเปลี่ยนแผนการไปมา  สองรุมหนึ่งที่ควรจะชนะอย่างง่ายดาย  แปรเปลี่ยนเป็นชนะอย่างยากเย็น  เหลียนจิ้งเต๋อมองหมากจนตาลาย  ฟังพ่อบุญธรรมเปลี่ยนแผนการจนหูชา  หลังจากนั้นไม่เฉียดเข้าใกล้กระดานหมากไปอีกหลายวัน
ถึงแม้เหตุการณ์จะออกมาในรูปนั้น  เหลียนจิ้งเต๋อก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนว่าในวันนั้นทุกคนมีหัวเราะ  สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในวันนั้นทุกคนมีความสุข...แล้วเหตุใดทุกประการจึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ?

ภาพเก่าซ้อนทับกับภาพเบื้องหน้าที่เป็นอยู่  สงบเหลือเกิน  แต่โดดเดี่ยวถึงเพียงนั้น  อ้างว้างถึงเพียงนั้น  นานเท่าไหร่แล้วที่ท่านพ่ออยู่ตัวคนเดียวตั้งอกตั้งใจเลี้ยงเขา  ท่านพ่อไม่เคยคิดจะแต่งงานใหม่  และเหลียนจิ้งเต๋อก็ไม่เคยอยากมีแม่เลี้ยง  พวกเขามีกันสองคนก็เพียงพอ...เมื่อไหร่กันที่ความคิดนี้เริ่มเปลี่ยนไป
...สี่คนพร้อมหน้า ข้าชอบแบบนั้นที่สุดเลย...
ท่านพ่อมองกระดานหมากอย่างจดจ่อ  ในดวงตามีแววอ่อนโยน  ราวกับที่มองมิใช่หมาก  แต่เป็นคนมีชีวิต
‘...สิ่งที่หักห้ามยากกว่าความเกลียดชังคือรัก...’
จู่ๆประโยคนี้ก็ผุดขึ้นมา  เหลียนจิ้งเต๋อสะดุ้งอย่างตกใจ

...ระหว่างท่านพ่อกับท่านพ่อบุญธรรมเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 53
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 09-10-2014 15:22:46
บทที่ 53 ช่วงวันอันไม่อาจลืมเลือน...เยี่ยอวิ๋น

จดหมายฉบับหนึ่งส่งมอบถึงมือเหลียนอันสุ่ย  เป็นหานญื่อหลัวที่ตอนนี้ไปตรวจราชการเมืองใหญ่ทางเหนือนั่นเอง  ตั้งแต่การแข่งขันล่าสัตว์ในครั้งนั้นเพราะฉีเซี่ยงหยวนรีบร้อนกลับมาเพื่อหาตัวเหลียนอันสุ่ยจึงเลิกราไปกลางคัน  ผู้ล่าได้มากกว่าจึงกลายเป็นหานญื่อหลัว  ภายนอกฉีเซี่ยงหยวนดูไม่ถือสาสนใจ  แต่ทันทีที่กลับถึงเมืองหลวงก็มีบัญชาแต่งตั้งลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ไปตรวจสอบการทำงานของขุนนางทางเหนือ  ‘มีความสามารถ  ภักดีสัตย์ซื่อ  คุ้นชินพื้นที่  ไว้วางใจได้’อาศัยคำชมสี่ประโยคก็สามารถส่งตัวอีกฝ่ายไปพ้นเมืองหลวงเป็นผลสำเร็จ  เหลียนอันสุ่ยจึงได้พบหน้าหานญื่อหลัวแค่ครั้งเดียวคือตอนเจ้าตัวมากล่าวลา ห่างหายการติดต่อไปนานก็ปรากฏจดหมายฉบับนี้  ในจดหมายมีข้อความว่า
‘ได้ยินว่าเกิดข่าวไม่ดี  ร้อนรุ่มกังวล  จนใจอยู่ไกล  จะเร่งกลับในเร็ววัน’ ตัวอักษรหวัดเล็กน้อย  แม้จะเร่งรีบเขียนก็ยังมีร่องรอยของรสนิยมสูงสง่าอันพิเศษเฉพาะ

เหลียนอันสุ่ยเดินเข้าไปในห้องหนังสือ  ฝนหมึก  หยิบพู่กัน  จรดข้อความตอบกลับไปว่า
‘มิใช่เรื่องใหญ่โต  ไม่ต้องเร่งรีบ  มิใช่เรื่องบ้านเมือง  ไม่ต้องรุ่มร้อนกังวล’  ลายพู่กันเป็นธรรมชาติ  นุ่มนวลและมั่นคง  ไม่มีความสับสนวุ่นวาย  เพราะในตอนนี้จิตใจของเหลียนอันสุ่ยสงบมั่นคงเป็นอย่างมาก
ระหว่างหานญื่อหลัวกับเหลียนอันสุ่ย  คือสหายผู้รู้ใจที่มีรสนิยมความชอบคล้ายคลึงกัน
แต่ระหว่างฉีเซี่ยงหยวนกับเหลียนอันสุ่ย...มันคือความรักที่ตัดไม่ขาด

ส่งจดหมายตอบกลับไปเสร็จ  เหลียนอันสุ่ยก็เดินกลับมาที่โต๊ะหมากที่เขาเล่นค้างไว้  มองดูอยู่นานก็วางหมากเติมไปอีกสองตำแหน่ง  เงยหน้าขึ้นมาพอดีเห็นต้วนจินที่กลับมาจากด้านนอก  แม้ฉีเซี่ยงหยวนจะมิได้โผล่มา  แต่หม่าหลงกับต้วนจินก็ยังเทียวไปเทียวมาระหว่างสองตำหนักมิได้ขาด  ซึ่งนั่นแสดงว่าฉีเซี่ยงหยวนยังคงห่วงใยกังวลในตัวเขา

ในห้องโถงใหญ่เงียบสนิท  จู่ๆเหลียนอันสุ่ยก็ถามขึ้นประโยคหนึ่ง
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง” วาจาที่เรียบง่ายประโยคนี้กลับแฝงไว้ด้วยความห่วงใยมากมาย  แฝงไว้ด้วยความหมายร้อยพันที่มิได้พูดออกมา
“ต้าอ๋องทรงสบายดี  ระยะนี้ราชกิจไม่มาก  เวลาพักผ่อนจึงมีเพียงพอ”
เหลียนอันสุ่ยไม่กล่าวอะไร  เพียงแค่พยักหน้าอนุญาตให้อีกฝ่ายออกไป  จากนั้นก้มลงเก็บเม็ดหมากที่วางอยู่เต็มกระดานทีละตัว  ทีละตัว อย่างตั้งใจ

ทั้งคู่หาทราบไม่ว่าหลังเสาต้นใหญ่มีร่างเด็กน้อยอยู่คนหนึ่ง  เด็กคนนี้ยืนแข็งค้างมาตั้งแต่เมื่อครู่  ความตั้งใจเดิมของเหลียนจิ้งเต๋อคือคิดจะมาสอบถามบิดาเพื่อไขความกระจ่างปัญหามากมายที่กองสุมอยู่ภายในใจ  แต่เรื่องที่ได้ยินเมื่อครู่กลับทำให้เหลียนจิ้งเต๋อสับสนไปกันใหญ่  เท้าถอยห่างออกมาช้าๆ  พอหันหลังกลับได้ก็วิ่งกลับเข้าห้อง

เหลียนจิ้งเต๋อไม่เข้าใจว่าทำไมท่านพ่อต้องห่วงคนแบบนั้น  ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมฉีเซี่ยงหยวนจึงต้องอ่อนข้อให้พวกเขาสองพ่อลูก  ในเมื่อทุกอย่างเกิดจากความเจ็บปวดแล้วรอยยิ้มในวันวานของท่านพ่อมาจากที่ไหนกัน  มันควรจะเป็นแค่รอยยิ้มที่ฝืนขึ้นมาทั้งหมด  แต่ในรอยยิ้มเหล่านั้นกลับมีรอยยิ้มที่แท้จริง
‘...สิ่งที่หักห้ามยากกว่าความเกลียดชังคือรัก...’
เหลียนจิ้งเต๋อยกมือปิดหู  ราวการกระทำดังกล่าวสามารถทำให้ไม่ได้ยินเสียงที่ดังในหัว  ประโยคที่เขาไม่เข้าใจที่มาของมัน 
คนที่น่าจะมีหัวใจเลวทรามทำไมต้องช่วยชีวิตผู้อื่น  คนที่ถูกทำร้ายทำไมถึงยังห่วงใยคนที่ทำร้ายตัวเอง  ...เพราะรักอย่างนั้นหรือ?  รักมันคืออะไรกัน...ไม่มีทาง!  ท่านพ่อจะไปรักคนต่ำช้าอย่างนั้นได้อย่างไร  เหลียนจิ้งเต๋อโบกไม้โบกมือไล่ภาพบุรุษชาวเป่ยชางที่เขาเกลียดชังที่สุด  แต่ภาพที่ปรากฏขึ้นมาแทนกลับเป็นภาพมือสองมือที่ยึดกุมกันโดยเข้าใจว่าเขามองไม่เห็น  ในวันวานเหลียนจิ้งเต๋อมิได้คิดอะไร  แต่ในวันนี้ภาพดังกล่าวกลับเฉลยไขทุกอย่าง  เหลียนจิ้งเต๋อมองผนังห้องตาลอย  เรื่องราวที่เกิดในช่วงหลายเดือนที่อยู่ในแคว้นเป่ยชางทยอยผุดขึ้นมาทีละฉาก  ทุกภาพเป็นภาพท่านพ่อของเขา...

“จิ้งเอ๋อ  ทำไมมาซุกตัวอยู่ที่นี่” ใบหน้าหัวเราะเบาๆของท่านพ่อในความทรงจำกลายเป็นสีหน้าประหลาดใจของท่านพ่อตัวจริงที่ยืนอยู่ข้างเตียง
เหลียนจิ้งเต๋อสะดุ้ง  คนเป็นพ่อขมวดคิ้ว
“ผ้าห่มเลอะหมดแล้ว  ไม่ถอดรองเท้าขึ้นเตียงได้อย่างไร”
เหลียนจิ้งเต๋อหน้าแดงด้วยความอับอาย  รีบร้อนตะกายลงมา  ตอนแรกเข้าใจว่าอยู่ในห้องตัวเองที่ไหนได้เท้าไม่รักดีของเขากลับพามาซุกตัวอยู่ในห้องท่านพ่อ  มิน่าก่อนท่านพ่อเข้ามาจึงไม่มีเสียงเคาะประตู
เห็นสีหน้ารู้สึกผิดของอีกฝ่ายเหลียนอันสุ่ยก็ส่ายหัว  กล่าวว่า
“ไม่เป็นไร  พ่อแค่มาชวนเจ้าไปกินขนมแกล้มน้ำชากับพ่อ  วันนี้ได้ชาดีมา  ขมไม่ธรรมดา  มาลองดูกันว่าเจ้าจะกินได้กี่ถ้วย”
เหลียนจิ้งเต๋อเม้มปาก  ก้มหน้ารวบรวมความกล้าอยู่เป็นนานจึงเงยหน้าขึ้นมา  ตัดใจเอ่ยว่า
“ท่านพ่อ  ข้าเกลียดต้าอ๋องคนนั้น  แต่ท่านไม่ต้องเกลียดเขาตามข้าหรอก  ข้าไม่เข้าใจว่าระหว่างพวกท่านเกิดอะไรขึ้นกันแน่  แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามท่านก็เป็นท่านพ่อของข้า...ไม่ใช่  ข้าหมายถึงว่าข้าจะพยายามเข้าใจ  ถึงวันนี้จะยังไม่เข้าใจ  แต่วันข้างหน้าต้องเข้าใจได้แน่  ดังนั้นตอนนี้ท่านจะชอบเขาข้าก็ไม่โกรธท่านหรอก  ข้าก็แค่เกลียดเขา  แต่ว่าเรากลับไปเป็นสี่คนเหมือนเมื่อก่อนก็ดีมากเหมือนกัน  ท่านพ่ออยู่คนเดียวมานานปานนี้  ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องเสียสละเพื่อข้าหรอก  ทำในสิ่งที่ท่านอยากทำเถอะ...”
---------------------
เยี่ยอวิ๋น...เมฆาราตรี  เมฆบัลดาลฝน  ฝนเป็นพรประทานของทวยเทพที่โปรยลงมาเพื่อดับความแห้งแล้ง  ความยากแค้นของทวยราษฎร์ล้วนพึ่งพาน้ำพระทัยของเจ้าแผ่นดิน  รัตติกาลของทวยราษฎร์คือความมืดบอดของเจ้าแคว้น  เยี่ยอวิ๋น สองคำนี้จารึกเพื่อเตือนใจต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางทุกรัชสมัย  ไม่ว่าผู้ใดนั่งบนบัลลังก์ก็จะได้รับมอบเยี่ยอวิ๋น
ท่านมีอำนาจบัลดาลฝนฟ้า  ผู้มีอำนาจพึงไม่มืดบอด
เหลียนอันสุ่ยมองตัวอักษรสองตัวที่สลักอยู่เหนือประตูด้วยความยอมรับนับถือ  เป็นอักษรที่หนักแน่นทรงพลังนัก  ผู้คนมักเลือกเอาคำที่รุ่งโรจน์โอ่อ่ามาจารึกเป็นชื่อตำหนัก  แต่ตำหนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแคว้นเป่ยชางกลับจำกัดความด้วยสองคำนี้  เนื่องจากชาวเป่ยชางล้วนเข้าใจดี  ว่าเพราะมืดมิดจึงเกิดแสงสว่าง  เพราะมีค่ำคืนจึงมีกลางวัน  เมฆหมอกคือปัญหา  หากเจ้าชีวิตยังมองไม่เห็นปัญหาแล้วใต้หล้าจะอาศัยพึ่งพาผู้ใด ?
พระมาตุลาแคว้นเหลียนก้าวเท้าผ่านประตูเข้าไป  มีวาจาหลายประโยคเขาต้องการกล่าวกับฉีเซี่ยงหยวนด้วยตัวเอง...

“ต้าอ๋อง  วันนี้จิ้งเอ๋อบอกข้าว่า ไม่ว่าระหว่างท่านกับข้าจะเป็นเรื่องเช่นไรเขาล้วนจะพยายามเข้าใจ  และบอกให้ข้าทำสิ่งที่ข้าอยากทำไม่จำเป็นต้องเห็นแก่เขา”
ฉีเซี่ยงหยวนชะงักไป  นิ่งอยู่นานจึงถอนหายใจ  ในเสียงถอนหายใจมีความโล่งใจ  และมีความปิติยินดี
“เหลียนอันสุ่ย  ถ้าเช่นนั้นข้ากับท่านก็...”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆ  พลางตอบว่า
“ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับได้ง่ายๆเช่นนี้  ถึงจะผ่านเรื่องราวมาพอดู  แต่ข้าภูมิใจในตัวเขายิ่ง” หยุดเล็กน้อยจึงพูดต่อว่า
“เพื่อข้า  เขาถึงกับยอมรับเรื่องที่ไม่มีวันยอมรับได้  การตัดสินใจของเขาทำให้ข้าสามารถตัดสินใจได้  ข้าเป็นบิดาของเขา  ข้าต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายทำเพื่อเขา  มิใช่เรียกร้องให้เขาเสียสละเพื่อข้า  ต้าอ๋อง  ข้าได้ยินว่าเมื่อสองวันก่อนมีนักพรตที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งมาเยือนเมืองหลวง  ในขากลับข้ากับลูกขอติดตามเขากลับไป  ให้ทุกสิ่งทุกอย่างย้อนทวนสู่หนทางดั้งเดิมของมัน หากต้าอ๋องยินยอมอนุญาตเหลียนอันสุ่ยจะสำนึกในพระคุณตราบจนวันตาย” คุกเข่าลงกับพื้นดั่งขุนนางคำนับเจ้าแคว้น  ดั่งประชาราษฎร์คุกเข่าแก่นายเหนือหัว
ฉีเซี่ยงหยวนชาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า  ดวงตาเบิกกว้าง  ไม่อาจกล่าวสิ่งใดไปชั่วขณะ  เค้นถามออกมาอย่างลำบากยากเย็นว่า
“เพราะอะไร ? ”
“แรกเริ่มมาพวกเราล้วนอยู่คนละแว่นแคว้น  แรกเริ่มมาพวกเราล้วนสามารถดำรงคงอยู่ด้วยตัวเอง  ต่างมีสังคม  ต่างมีความรับผิดชอบ  ต้าอ๋อง เหลียนอันสุ่ยเบื่อหน่ายการแก่งแย่งชิงอำนาจในวังหลวงเต็มทีแล้ว  และไม่ต้องการให้ลูกถูกม้วนเข้าสู่หนทางแห่งอำนาจอีก  ส่วนความรู้สึกของท่าน...เหลียนอันสุ่ยทำได้แค่มอบคืนกลับไป” รอยยิ้มบนเรียวปากแฝงแววโศกเศร้า  แต่ดวงตากลับใสกระจ่างอย่างยิ่ง 
ประโยคนี้ไม่ว่าฟังอย่างไรก็คือปฏิเสธความรักของฝ่ายตรงข้าม  หากในความเป็นจริงมันกลับแฝงความหมายที่มีเพียงเหลียนอันสุ่ยที่รู้ ท่านมอบหัวใจของท่านให้ข้า  ข้าก็ได้แต่มอบหัวใจทั้งดวงของข้าให้ท่านเช่นกัน 
ติดค้างกันและกันอย่างใหญ่หลวง   แต่หักกลบลบล้างแล้วกลับมิได้ติดค้างกันและกันอีก  บ่วงรักที่ตัดไม่ขาดบ่วงนี้  สมควรตัดต้องเสียที
ฉีเซี่ยงหยวนกระชากตัวอีกฝ่ายยืนขึ้น  กล่าวด้วยเสียงอันดังว่า
“ข้าไม่รับคืน!  เหลียนอันสุ่ย  ท่านพูดจาเหลวไหลอะไร  เหตุใดจึงบังคับเรื่องราวให้ก้าวขึ้นมาถึงขั้นนี้ ! ”
“ต้าอ๋อง  ท่านยังตามืดบอดอีกหรือ  ยังมองไม่ออกอีกหรือ  ว่าข้าคือจุดอ่อนถึงตายของท่าน  ท่านไม่ควรรับลูกธนูดอกนั้นแทนข้าเลย”
“ท่านอย่ามาใช้ข้ออ้างกับข้า  ข้าไม่เคยเสียใจที่รับลูกธนูดอกนั้น  มีจุดอ่อนเช่นท่านข้ายินยอม  ข้าไม่กลัวคนละโมบในอำนาจข้างนอกนั่น  พวกมันอยากจะใช้แผนการอะไรก็ให้พวกมันใช้มา”

“บนบ่าของท่านคืออะไร  ความเสี่ยงนี้ท่านแบกรับได้หรือ  เซี่ยงหยวน ท่านอย่าหลอกตัวเองอีกเลย  ข้าคือใคร?  ข้าคือพระมาตุลาแคว้นเหลียน  หากมิใช่เพราะกฎบัญญัติฐานะข้าเป็นเหลียนอ๋องได้ด้วยซ้ำไป  ถึงแคว้นเหลียนจะสิ้นไปแล้ว  แต่ข้าก็ยังมีเกียรติของเชื้อพระวงศ์ที่ต้องแบกรับ  ให้ไปเป็นคนข้างหมอนของท่านได้หรือ ? ”
“หากมิใช่ข้าแต่งตั้งท่านเป็นพระชายาไม่ได้  ข้าให้ท่านเป็นพระชายาของข้าไปแล้ว  ท่านต้องการตำแหน่งอะไร  ตำแหน่งอะไรจึงจะถือว่ามีเกียรติพอ  ข้าให้ท่านได้หมด”
“ต้าอ๋อง ท่านก็รู้ว่าตำแหน่งมิใช่ปัญหา  ปัญหาคือความสัมพันธ์ของพวกเราต่างหาก  ข้าจะเป็นตำแหน่งอะไรก็ได้  แต่ต้องไม่ใช่ตำแหน่งคนข้างหมอนของท่าน” ปลายเสียงของเหลียนอันสุ่ยหนักแน่น
“...” ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งเงียบไป  แต่มิใช่จนด้วยคำพูด  หากนิ่งเงียบไปเพราะความเดือดดาล

“เซี่ยงหยวน  ฐานะของข้าอยู่ข้างกายท่านต่อไปก็มีแต่จะทำลายท่าน  นี่ขนาดเป็นเพียงแค่ข่าวลือ  ถ้าข่าวลือกลายเป็นความจริงคลื่นใต้น้ำของมันจะไม่ใช่แค่นี้  ผู้คนจะบอกว่าเพราะข้าอยากเป็นเหลียนอ๋องแต่เป็นไม่ได้จึงคิดครอบงำท่าน  ใช้ท่านควบคุมแคว้นเป่ยชาง  แล้วหลังจากนั้นไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ทุกคนจะบอกว่านั่นเป็นการควบคุมบงการของข้า  พวกเขาจะพากันคัดค้าน  หากขุนนางต่างปฏิเสธบัญชาของท่าน  แล้วท่านจะบริหารบ้านเมืองได้อย่างไร  จะห้ามไม่ให้เกิดความกระด้างกระเดื่องได้อย่างไร  คนที่อยากได้บัลลังก์ในมือของท่านมีไม่น้อย  พวกเขากัดไม่ปล่อยแน่  ต้าอ๋อง  ท่านได้มองถึงขั้นนี้แล้วหรือยัง ! ”

ฉีเซี่ยงหยวนฟังอีกฝ่ายกล่าวจนจบ  จากนั้นหัวเราะเบาๆ  ในเสียงหัวเราะมีความขมขื่นเย้ยหยันตัวเอง  พึมพำว่า
“ท่านกลับมองได้กระจ่างชัดปานนี้  ท่านมองถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่  คงมิใช่ว่าตั้งแต่แรก...” ถ้อยคำหลังจากนั้นกลืนหายไปกับเสียงหัวเราะในลำคอ
“...” เหลียนอันสุ่ยมิได้ตอบ  เพราะตั้งแต่ความสัมพันธ์นี้เริ่มต้นขึ้น  เหลียนอันสุ่ยก็มองเห็นจุดจบของมันแล้ว
“เหลียนอันสุ่ยท่านอยู่ข้างกายข้าด้วยความรู้สึกแบบไหนกันแน่  ...ข้ายอมรับว่าข้ายังมองไปไม่ถึงขั้นนั้น  ความรักมักทำให้สายตาของผู้คนมืดบอด  แต่ท่าน...ท่านกลับยังคงมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง  ข้าถามท่าน  ท่านเคยรักข้าจริงๆซักครั้งหรือไม่!”

สายตาของฉีเซี่ยงหยวนปวดร้าวจนเหลียนอันสุ่ยต้องเบือนหน้าหนี  ยังคงไม่ตอบคำอยู่เช่นเดิม
 “ทำไมท่านไม่ตอบข้า  หรือว่าในใจท่าน ข้า...  หรือว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาตลอดมา” เสียงของฉีเซี่ยงหยวนแหบโหย  รู้สึกคล้ายกำลังจะหมดแรง
“...” เหลียนอันสุ่ยกำมือแน่นจนมือสั่นระริก  ข้าตอบท่านไม่ได้  อย่าคาดคั้นข้าอีกเลย  เพราะข้าไม่อยากทำร้ายท่านด้วยคำโกหก
ความเงียบที่น่าอึดอัดลอยอวลอยู่เป็นเวลานาน  สุดท้ายฉีเซี่ยงหยวนกลับทำลายมันด้วยเสียงหัวเราะที่เสียดแทงอารมณ์ความรู้สึกเสียงหนึ่ง  ดวงตาที่ทรงอำนาจตลอดมาดูราวกำลังแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ...ไม่มีวันสมบูรณ์อีกต่อไป 
ที่แท้ทุกอย่างที่ข้าทุ่มเทให้ท่านมันก็ไม่ได้มีค่าอะไรเลย  ข้าพยายามจะรักท่าน  ข้าพยายามทำดีต่อท่าน  พยายามเป็นคนดีมากกว่าที่ข้าเป็นอยู่  พยายามแล้วพยายามอีก  ทว่ายังคง...ไม่มากพอที่จะรั้งท่านไว้

เหลียนอันสุ่ยมองอีกฝ่ายแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง  ยืนยังยืนไม่ค่อยมั่นคงแล้ว  ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าตัวเขาจะทำร้ายอีกฝ่ายจนมีสภาพกลายเป็นเช่นนี้  ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนคมกล้าเสมอ  แต่ตอนนี้กลับมีแต่ความเจ็บปวดปราศจากประกาย  เหลียนอันสุ่ยขบริมฝีปากตัวเองเอาไว้สุดความสามารถ  หักห้ามมิให้ตัวเองกล่าวคำๆนั้นออกมาเด็ดขาด  เซี่ยงหยวน ท่านไม่จำเป็นต้องเสียใจเลย  เพราะท่านได้หัวใจข้าไปแล้ว  ชั่วชีวิตนี้ความรักของข้าเป็นของท่านแค่คนเดียว
 
...เซี่ยงหยวน  ถ้ามันเจ็บปวดขนาดนี้ก็ลืมข้าเสียเถิด  อย่าจดจำไว้อีกเลย

ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็กล่าวออกมาว่า
“ต้าอ๋อง  ท่านลืมข้าเสียเถิด  ชีวิตท่านยังอีกยาวไกลนัก  ข้าเป็นแค่เสี้ยนหนามเล็กๆที่ไม่คู่ควรจะเอ่ยถึง  ในภายภาคหน้าท่านจะต้องมีสตรีที่รักท่านมาก  จะต้องมีคนที่สามารถยืนอยู่เคียงข้างท่าน  จะต้องสามารถ...มีครอบครัวที่เป็นของท่านอย่างแท้จริงได้อย่างแน่นอน”
ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนกลับกราดเกรี้ยวไปด้วยอารมณ์สิ้นหวังอย่างรุนแรง  คำพูดจากใจจริงของเหลียนอันสุ่ยกลับซ้ำเติมให้ฉีเซี่ยงหยวนสิ้นหวังหนักกว่าเดิม
“ท่านไม่มีสิทธิ์  ต่อให้ท่านไม่รักข้าก็ไม่มีสิทธิ์เอาข้าไปยกให้กับผู้อื่น!  ท่านเองก็จะบีบให้ข้ามีชายา  ทุกคนล้วนยกอ้างบ้านเมือง  เคยถามใจข้าหรือไม่  ว่าข้าต้องการมันรึเปล่า  หรือเพราะข้าเป็นเป่ยชางอ๋องจึงต้องถูกกำหนดแน่นอนว่าไม่อาจมีความรัก  ต่อให้มีความรักก็ไม่อาจมีจุดอ่อน  ต่อให้มีความรัก ก็ไม่อาจครอบครองคนที่ตัวเองรักเอาไว้ข้างกาย  ถึงแม้ข้าจะเป็นต้าอ๋อง แต่ข้าก็เป็นคน  ข้าก็เจ็บเป็น  ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะบัลลังก์นี้ข้าสูญเสียอะไรไปแล้วบ้าง”
เหลียนอันสุ่ยสะท้านทั้งร่าง  เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นน้ำตาของบุรุษตรงหน้า
“ตั้งแต่ข้าเกิดมา  เพราะบิดาข้านั่งอยู่บนบัลลังก์  ข้าจึงไม่เคยมีบิดา  เพราะบิดาข้านั่งอยู่บนบัลลังก์  ข้าจึงไม่เคยมีพี่น้อง  บัลลังก์นี้ทำร้ายแม่ข้า  ทำร้ายทุกคนในครอบครัวของข้าทีละคน  ข้าบอกตัวเองว่าข้าจะไม่ยอมสูญเสียอะไรให้มันไปอีกแล้ว  ข้าจะควบคุมมัน  ข้าจะต้องทำได้  แต่สุดท้าย...ข้ากลับต้องสูญเสียท่านไปอยู่ดี  แม้ท่านอาจไม่ได้รักข้ามากพอจะร่วมเผชิญมรสุมอำนาจพวกนั้นไปกับข้า  แต่ข้าคิดว่าอย่างน้อยท่านก็น่าจะพอชอบข้าอยู่บ้าง  ถ้าข้าเป็นคนอื่น  ถ้าข้ามิใช่เป่ยชางอ๋อง  อาจบางทีท่านคงไม่ถึงขั้นตัดขาดไม่พบหน้าชั่วชีวิต  อาจบางทีสามารถตามตอแยท่านอีกเล็กน้อย...”

เหลียนอันสุ่ยก้าวถอยหลัง  ทนฟังต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว  หากยังมองภาพตรงหน้าต่อไปเขาต้องเป็นบ้าแน่  หัวใจเจ็บปวดเหมือนถูกบดขยี้ฉีกทึ้งแผลเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่ยอมให้เหลียนอันสุ่ยจากไป  กระชากร่างสูงโปร่งเข้ามาหา  รวบตัวอีกฝ่ายไว้กับอกไม่ยอมให้หนีไปไหน  ดวงตาที่สูญเสียประกายกลับมาแข็งกร้าวด้วยอำนาจอีกครั้ง  เอ่ยอย่างชัดเจนว่า
“ข้าไม่อนุญาตให้ท่านไป  ท่านอาจไม่เคยรักข้า  คนที่ท่านรักอาจมีแค่เหวินจี  แต่ท่านต้องอยู่ข้างกายข้าเท่านั้น ! ”
เหลียนอันสุ่ยถูกรวบมือรวบตัวจนขยับไปไหนไม่ได้  จึงหลับตาลงช้าๆ  พึมพำว่า
“ฉีเซี่ยงหยวน  ท่านจะดึงดันไปใย  เมื่อไร้วาสนาย่อมไม่อาจอยู่เคียงคู่  ท่านทำเช่นนี้มีแต่ทรมานตัวเอง”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบ แต่นั่งลง  แล้วดึงให้อีกฝ่ายนั่งลงบนตักเขา  ต่อให้เป็นความฝันแล้วอย่างไร  ต่อให้เป็นภาพมายาเขาก็จะโอบกอดไว้ให้แน่น
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ขัดขืน  เขาเพียงแต่รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง  ความสัมพันธ์นี้ทำให้เขาเหนื่อยล้านัก  แม้จะรักอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง  แต่ปัจจัยภายนอกที่ขวางอยู่ทุกทาง  ทำให้สุดท้ายแล้วต่อให้ความรักสามารถดำเนินต่อไปก็มีแต่จะสร้างความเจ็บปวดเหนื่อยล้าให้แก่กันและกัน 
เพราะความรักไม่อาจเรียกร้องมากเกินไป  มันมีขีดจำกัดของมัน  เขาขอแค่ได้รักอีกฝ่าย  ชีวิตนี้ได้เดินเคียงข้างกันช่วงหนึ่งก็พึงพอใจแล้ว
กลิ่นกายเย็นรื่นโชยมาแตะจมูก  ความพลุ่งพล่านของฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆบรรเทาลงบ้าง  เขาชมชอบโอบอีกฝ่ายไว้บนตักเช่นนี้  เหลียนอันสุ่ยแม้ตัวหนักไปบ้าง  แต่ก็มิได้หนักจนเกินไป  ยิ่งคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาฉีเซี่ยงหยวนก็ยิ่งถามตัวเอง...ว่าเหตุใดทุกประการจึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ?
พวกเขาต่างจมอยู่ท่ามกลางความเงียบ  ต่างจมอยู่ท่ามกลางความทรงจำ  ราวไม่ว่าใครล้วนไม่ต้องการเอ่ยอะไรขึ้นมาเพื่อยุติช่วงเวลาดังกล่าว  พวกเขาก็แค่รักกัน  เหตุใดเรื่องราวจึงยากเย็นเหลือเกิน
ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง  เสี้ยวหน้ายังคงเอนพิงกับบ่ากว้าง  กล่าวเบาๆว่า
“เซี่ยงหยวน  ท่านปล่อยข้าไปเถอะ  ข้าอาจจะบอกรักท่านไม่ได้  แต่ท่านจะเป็นความทรงจำที่ข้าจะไม่มีวันลืมเลือนตลอดไป”
ฉีเซี่ยงหยวนถามเสียงห้วน
“ทำไมท่านบอกรักข้าไม่ได้”
“...” เหลียนอันสุ่ยไม่ตอบอะไร  เพียงแค่ถอนหายใจอีกครา
ฉีเซี่ยงหยวนจึงกล่าวเสียงห้วนต่อว่า
“ข้าไม่ยอมเป็นแค่ความทรงจำของท่าน  ข้าจะให้ทุกวันของท่านมีแต่ข้า”
“ฉีเซี่ยงหยวน  ทำไมท่านนี่ชอบทำให้เรื่องราวมันยากขึ้นอยู่เรื่อย”
คนเป็นเป่ยชางอ๋องเชิดหน้าขึ้น  พบว่าการมีอีกฝ่ายอยู่ในอ้อมแขนทำให้ไม่อาจบันดาลโทสะได้  แต่ก็ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงหาเรื่องต่อไปว่า
“เพราะข้าเป็นคนมีหลักการ  ข้าจะไม่ถูกท่านโน้ม...” พูดต่อไปไม่ได้เพราะเรียวปากนุ่มเนียนกดประทับลงมา
เหลียนอันสุ่ยถอนริมฝีปากออกมาช้าๆ  ดวงตากระจ่างจับจ้องมองอีกฝ่ายแล้วกล่าวว่า
“เซี่ยงหยวน  พอเถอะ  ยิ่งตัดในภายหลังก็มีแต่จะยิ่งเจ็บมากขึ้น  ตัดตอนนี้เถิด”
ดวงตาคมกล้าของฉีเซี่ยงหยวนมองใบหน้าหมดจดที่อยู่ใกล้แค่คืบนิ่ง  เรียวปากสั่นระริก  สุดท้ายเค้นเสียงออกมาทีละคำว่า
“ท่านโหดเหี้ยมนัก”
ร่างสูงใหญ่ดันตัวอีกฝ่ายออกไปราวต้องของร้อน  ผุดลุกขึ้นแล้วถอยหลังไปหลายก้าว  เหลียนอันสุ่ยยื่นมือออกไปอย่างตกใจ  แต่กลับถูกมือใหญ่ปัดทิ้ง
“อย่าแตะต้องตัวข้า” เสียงตวาดแข็งกร้าวจนเหลียนอันสุ่ยต้องเก็บมือกลับมา  นิ่งอั้นกับสถานการณ์ที่พลิกเปลี่ยนในฉับพลัน
ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนเปี่ยมด้วยแววเชือดเฉือน  ขณะกล่าว
“ท่านบอกให้ข้าลืมท่านมิใช่หรือ  หากท่านยังสัมผัสข้าเช่นนี้แล้วข้าจะลืมท่านได้อย่างไร  ท่านช่างโหดเหี้ยมนัก  ข้าชอบทุกช่วงเวลาที่ได้จูบท่าน  แต่หลังจากนี้ทุกครั้งที่นึกถึงมันจะได้ยินประโยคที่ท่านบอกว่าจะจากไป  ทุกครั้งที่นึกถึงมันจะมีแต่ความเจ็บปวด  เหตุใดท่านต้องทำเช่นนี้  หรือต้องการทำลายความทรงจำดีๆระหว่างเราไปจนหมดสิ้น”
เหลียนอันสุ่ยตื่นตระหนกยิ่ง
“ข้า...” ไม่ได้ตั้งใจ  กลืนน้ำลายลงคอ  แววตาของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหลียนอันสุ่ยไม่อาจพูดต่อ  ใช่  เป็นข้าผิดเอง  ไม่ควรเลยที่จะใช้วิธีนี้มาโน้มน้าวท่าน  เป็นข้าที่ทำลายทุกอย่าง  จะโน้มน้าวเรื่องอะไรก็ได้  แต่เรื่องนี้กลับไม่ควรเลย

“พูดไม่ออกหรือ...  ช่างเถอะ  วันนี้เรื่องที่คนอื่นไม่มีทางพูดออกมาจากปากได้ท่านก็พูดออกมาหมดแล้ว  ดังนั้นไม่ต้องกล่าวอะไรแล้ว  อย่ากล่าวอะไรอีกเลย  ถ้าท่านกล่าวมากกว่านี้ข้าต้องถูกคุกคามจนเป็นบ้าแน่” เรียวปากของฉีเซี่ยงหยวนเหยียดเป็นรอยยิ้ม  คำพูดทุกคำเน้นย้ำชัดเจน
เหลียนอันสุ่ยขบริมฝีปาก  ก้มหน้าลง  พยายามสงบเยือกเย็น  ทั้งๆที่ในใจเจ็บปวดจนกรีดร้อง
“ฉางเฟย  ส่งพระมาตุลากลับตำหนัก  ข้าพูดกับเขาจบแล้ว” ขณะกล่าวดวงตาคมกริบยังคงสบกับอีกฝ่ายแน่วนิ่ง
ตอนที่หลิวฉางเฟยโผล่หน้าเข้ามาก็พอดีได้ยินประโยคที่ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวกับเหลียนอันสุ่ยว่า
“ข้าจะพยายามลืมท่าน...บางทีการพบหน้ากันน้อยๆคงจะทำให้ลืมได้เร็วขึ้น  ถ้าข้าลืมท่านได้เมื่อไหร่ข้าจะปล่อยท่านจากไปเอง”
---------------------
มาอัพช้าเพราะตอนนี้กับตอนต่อไปมีความต่อเนื่องกันสูง
เห็นในเซ็งเป็ดอวอร์ดมีคนโหวตให้เรื่องนี้ด้วยอ่า ปลื้มปริ่ม 
รักนะตัวเอง  :กอด1:
ถึงตอนนี้จะทิ้งท้ายได้ชวนช๊อคก็เถอะ555 :katai3:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 54
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 13-10-2014 23:18:39
บทที่ 54 เมื่อคนเราไม่เข้าใจกัน

เหลียนอันสุ่ยไม่ทราบหรอกว่ารอยจูบนั้นมีความหมายต่อฉีเซี่ยงหยวนมากแค่ไหน  เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยเป็นฝ่ายจูบเขา  เป็นฝ่ายจูบเขาอย่างแท้จริงมิใช่ใช้วิธีคดโกงเอามา 
จุมพิตนั้นหอมหวานนัก  แต่ในลมหายใจถัดมากลับเป็นวาจาตัดขาดความสัมพันธ์  เหมือนจู่ๆถูกดึงลงจากยอดเขาที่งดงามสุดบรรยายลงไปในหุบเหวนรกภูมิ  ที่ฉีเซี่ยงหยวนเจ็บปวดมากที่สุด  และถือสามากที่สุดคือการที่เหลียนอันสุ่ยใช้วิธีการนี้มาโน้มน้าวเขา  ใช้จุมพิตของท่านมาบังคับให้ข้าปล่อยมือ  ชั่วครู่แรกมีความสุขเพียงใดพริบตาถัดมาเจ็บปวดเท่านั้น  ...ท่านทำได้อย่างไร
---------------------
สรรพสำเนียงเงียบสงัด  สำหรับเหลียนอันสุ่ยสิ่งที่เขาได้ยินชั่วขณะนี้มีเพียงความคิดที่กรีดเสียงก้องอยู่ภายในหัวเท่านั้น
เขาทำลายฉีเซี่ยงหยวน  ใช้คำพูดของเขาเองทำร้ายอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม  เหลียนอันสุ่ยทราบเสมอมาว่าคิดจะโน้มน้าวฉีเซี่ยงหยวนต้องใช้ไม้อ่อนไม่อาจใช้ไม้แข็ง  แต่เขาผิดพลาดแล้ว  เพราะคำปฏิเสธเบื้องหลังจุมพิตหอมหวานเป็นดั่งทัณฑ์ทรมานอันโหดร้าย  เหมือนกับบังคับให้แยกจากแต่กลับบังคับให้อีกฝ่ายจดจำไม่ลืมเลือน
‘ท่านโหดเหี้ยมนัก’  ทุกพยางค์ดั่งคมมีดที่เฉือนบาดเข้าไปถึงขั้วหัวใจ
‘...ถ้าข้าลืมท่านได้เมื่อไหร่  ข้าจะปล่อยท่านจากไปเอง’
ท่านยังคงไม่ยอมปล่อยมือ...ไม่ว่าตอนนี้ในดวงตาท่านจะยังมีความรักอยู่หรือไม่  หรือมันแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังไปแล้ว  แต่ว่าท่านยังคงไม่ยอมปล่อยมือ  เหตุใดต้องเป็นเช่นนี้  ข้ายังทำร้ายท่านไม่พออีกหรือ  ข้าทำร้ายท่านไม่ไหวอีกแล้วได้โปรดปล่อยข้าไป!
เหลียนอันสุ่ยงอตัวลงเมื่อความทรงจำอันเจ็บปวดบิดม้วนโถมเข้ามา  ยังคงจำได้ติดตาว่าวาจาแต่ละประโยคของตัวเองค่อยๆทำร้ายฉีเซี่ยงหยวนอย่างไร  ข้าเคยปรารถนาให้ตัวข้ามีอำนาจเพียงพอจะลบเลือนทุกความเจ็บปวดที่ท่านเคยเผชิญมา  แต่สุดท้ายแม้แต่ตัวข้าเองก็กลับกลายเป็นความเจ็บปวดของท่าน  บางทีข้าอาจเป็นคนที่หักหลังท่านได้อย่างเลือดเย็นที่สุด  เพราะกล่าวถึงที่สุดข้ายังคงเห็นแก่ตัว  ถ้าเรื่องทั้งหมดจำเป็นต้องจบลง  ข้าอยากให้มันจบลงในขณะที่ท่านยังคงรักข้า  ข้าไม่ปรารถนาให้มันจบลงเพราะความสวยงามที่มันเคยมีถูกสภาพแวดล้อมและกาลเวลาบดขยี้ทำลายไป  ยิ่งไม่ต้องการให้มันกลายเป็นรอยแผลแห่งความผิดพลาดบนทางชีวิตของเราสองคน...เพราะข้ายังอยากจะจดจำมันไว้ตลอดไป

มือสั่นระริกของเหลียนอันสุ่ยลูบไปตามรอยพับของกระดาษจดหมายฉบับหนึ่ง...มันคือจดหมายของหลันเซียง  ข้าเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้เพื่อใช้เตือนตัวเอง  ทุกครั้งที่เห็นมันจะช่วยเตือนข้าให้อยู่กับความเป็นจริง  คนในใต้หล้างมงายในรัก  การตื่นแต่ละครั้งล้วนเจ็บปวดอย่างยิ่ง  เซี่ยงหยวน  ข้าไม่ใช่คนแรกของท่าน  และไม่ใช่คนสุดท้าย  ข้าควรปล่อยมือในขณะที่ข้าควรปล่อยมือ
เหลียนอันสุ่ยทอดสายตามองออกไปไกล  มองดวงดาวที่กระพริบพราวอยู่บนฟากฟ้า  เซี่ยงหยวน  ท่านรู้หรือไม่  บางทีข้าก็อิจฉาหลันเซียง  นางสามารถทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับความรัก  แต่ข้ากลับทำไม่ได้  กระทั่งบอกรักคนที่ตัวเองรัก  ข้ายังทำไม่ได้ !
เซี่ยงหยวน  ท่านโมโหคำวิพากษ์วิจารณ์ของท่านพ่อตา  แต่ท่านไม่มีทางทราบหรอกว่าแค่นี้ยังน้อยนักเมื่อเทียบกับสิ่งที่ข้าเคยเจอ  เคยหรือไม่คนที่รักใคร่เทิดทูนท่านพร้อมใจกันหันหลังให้กับท่าน  เคยหรือไม่คนที่ท่านนับถือเชื่อใจวันต่อมากลับใช้สายตาที่อ่านไม่ออกซึ่งแฝงความชิงชังรังเกียจจับจ้องมองท่าน  ในขณะที่ท่านตั้งใจทำงานเพื่อพวกเขา  เสียสละเพื่อพวกเขา  พวกเขากลับเอาแต่กล่าววาจาเหยียดหยามท่านลับหลัง  มันยากเหลือเกินที่จะไม่รู้สึกรู้สา  ได้แต่โทษว่ายุคสมัยอันคับแคบ  สังคมเราแท้จริงหาได้เปิดกว้างถึงเพียงนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับท่านไม่มีทางได้รับการยอมรับอย่างเด็ดขาด

ทุกผู้คนล้วนเห็นว่าเหลียนอันสุ่ยสงบอย่างยิ่งเสมอมา  มีผู้ใดทราบบ้างว่าความสงบเช่นนี้หลอมสร้างมาจากอะไร  สังคมในแคว้นเหลียนความจริงโหดร้ายกว่าแคว้นเป่ยชางมากนัก  กฎธรรมเนียมข้อบังคับล้วนมีมากมายเกินไป  ปากที่ชมชอบกำหนดบรรทัดฐานถูกผิดก็มีมากมายเกินไป  ฐานะของเหลียนอันสุ่ยสูงเลิศลอยไม่อาจกระทำผิดพลาดใดๆเด็ดขาด  ผู้คนล้วนเชื่อถือเหลียนอันสุ่ยอย่างมาก  เทิดทูนบูชาเหลียนอันสุ่ยอย่างมาก  แต่แล้วในที่สุดฐานะที่สูงส่งนี้ก็ถูกรอยด่างพร้อยทำลายไปจนได้  เป็นรอยด่างพร้อยที่เรียกว่า ‘อวี้เฉียน’
หากจะถามว่าคนที่ทราบความร้ายแรงของการเป็นบุรุษที่ชมชอบบุรุษมากที่สุดคือใคร  คนๆนั้นต้องเป็นเหลียนอันสุ่ย  ศักดิ์ฐานะของเหลียนอันสุ่ยในแคว้นเหลียนมั่นคงเพียงใด  กระทั่งวางอำนาจแล้วก็ยังเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง  แต่ภายในเดือนเดียว  เดือนเดียวเท่านั้นนับแต่ข่าวลือปรากฏหลักฐานสนับสนุนขึ้นมาฐานะดังกล่าวก็ถูกทำลายลงจนหมดสิ้น  สายตาที่ผู้คนใช้มองเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล 
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงเหลียนอันสุ่ยไม่ได้มีเยื่อใยใดๆต่ออวี้เฉียนด้วยซ้ำ  ทั้งๆที่คนใกล้ชิดรอบข้างรวมถึงเหวินเถียนที่เป็นพ่อตาต่างทราบดีว่าความจริงเป็นเช่นไรก็ไม่อาจหยุดยั้งการทำลายล้างของข่าวลือ  เพราะคนส่วนใหญ่ยังคงไม่เชื่อ 
ข่าวลือสามารถฆ่าคนทั้งเป็นได้อย่างไร  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ในตอนนั้นเหลียนอันสุ่ยสามารถวางเฉย  แต่วางเฉยไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ยิน  วางเฉยไม่ได้หมายความว่าไม่เจ็บปวด  เหลียนอันสุ่ยเจ็บอย่างยิ่ง  แต่เลือกที่จะไม่ตัดไมตรีกับอวี้เฉียน  ใช้ตัวเองค้ำจุนแคว้นเหลียนต่อไป  เพราะเหลียนอันสุ่ยคือเหลียนอันสุ่ย
ดังนั้นคำเหยียดหยามลับหลังในแคว้นเป่ยชางสำหรับเหลียนอันสุ่ยแล้วไม่นับว่าเป็นอย่างไร  ไม่ใช่เพราะข้ายืนตรงนี้ต่อไปไม่ไหว  แต่ข้าไม่ต้องการให้ท่านลิ้มรสประสบการณ์เดียวกันกับข้า  ทุกวันที่ข้ามีความสุขกับความรักที่ท่านมอบให้  ทุกคืนกลับตื่นขึ้นมาด้วยฝันร้ายที่ว่าการคงอยู่ของข้าได้ทำลายท่านไปอย่างไรบ้าง  ทุกครั้งที่ท่านดีต่อข้า  เมื่อลืมตาตื่นจากภาพเบื้องหน้าก็จะรับรู้ความเจ็บปวดของความเป็นจริง 
ความรักครั้งหนึ่งอาจกระชั้นสั้นเพียงไม่กี่วัน  อาจยาวนานชั่วชีวิต  เซี่ยงหยวน  ท่านอย่ายึดติดกับข้ามากไปเลย  ที่ท่านยึดติดถึงเพียงนี้เป็นเพราะท่านรู้สึกว่าท่านยังไม่ได้ข้าไปทั้งหมด  รู้สึกว่าข้ายังไม่ได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่าน  ซึ่งข้าให้ท่านไม่ได้ 
ตอนนี้ท่านรู้สึกว่าท่านรักข้ามาก  แต่หลังพ้นช่วงที่รักลึกล้ำดูดดื่มคือสิ่งใด?  คือความรักที่เจือจางเบาบางลง  อย่าเอาความรักเพียงช่วงหนึ่งของชีวิตไปแลกกับคำปรามาสเหยียดหยามตลอดชีวิตเลย  มันไม่คุ้มค่า  ข้าไม่ต้องการเป็นจุดอ่อนของท่าน  และไม่อยากเป็นจุดด่างพร้อยของท่าน  ดังนั้นท่านต้องปล่อยข้าไป

เหลียนอันสุ่ยไม่แน่ใจว่าตัวเขากำลังพยายามกล่อมใครกันแน่  กล่อมฉีเซี่ยงหยวนหรือกล่อมตัวเอง  เหตุผลเป็นเรื่องหนึ่ง  แต่กระทำจริงได้หรือไม่กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยสิ้นเชิง  เข้าใจส่วนเข้าใจ  แต่ห้ามหัวใจไม่ให้เจ็บปวดกลับทำไม่ได้  เพราะหากหัวใจคนเชื่อฟังเหตุผล  นั่นคงต้องเป็นตอนที่มันหยุดเต้นไปแล้ว

พระมาตุลาแคว้นเหลียนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหายใจไม่ออก  แววตาเชือดเฉือนของฉีเซี่ยงหยวนกรีดแทงวิญญาณของเขาซ้ำๆอย่างทารุณ  เขาควรจะเลือกอะไรกันแน่  เมื่อทางที่ถูกต้อง  ที่สมควรจะเป็น  กลับอยู่คนละฝั่งของหนทางที่หัวใจมุ่งหวังให้เป็น
ข้าเข้าใจแล้ว เหวินจี  ในที่สุดข้าก็ได้สัมผัสกับความรักในแบบที่เจ้ามอบให้ข้าด้วยตัวข้าเอง  คงเป็นสวรรค์ลงทัณฑ์  ข้าคดโกงผู้คนมาโดยตลอด  ขณะที่เจ้ามอบความรักที่แท้จริงให้ข้า  ข้ายังคงไม่ได้มอบกลับคืนไป  ขณะที่อวี้เฉียนมอบความรักที่แท้จริงของเขาให้ข้ามา  ข้ากลับหลอกใช้เขา  ทำให้ในเวลาที่ข้ารักคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริงมันกลับเป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้ !

ดวงตาเลื่อนลอยของเหลียนอันสุ่ยปรากฏภาพต้นท้อใหญ่ในความทรงจำ  เจ้าดูสิเหวินจี  ดูสภาพของข้าในตอนนี้  ข้ากำลังชดใช้คืนให้เจ้าแล้ว  จำได้หรือไม่ว่าข้าเคยขอเวลาช่วงหนึ่งเพื่อที่จะรักเขา  ตอนนี้เวลาช่วงนั้นในที่สุดก็จบลง  ...และข้ากำลังชดใช้ผลของมัน
---------------------
เหลียนอันสุ่ยปวดร้าวทุรนทุราย  ฉีเซี่ยงหยวนเองก็ไม่แตกต่างกัน  บางทีพวกเขาคงเคยชินกับการเก็บความรู้สึกมากเกินไป  เคยชินกับการทำตัวเยือกเย็นมากเกินไป  ในขณะที่เสียใจที่สุดกลับไม่อาจแสดงความเสียใจนั้นออกมาได้

แต่ละวันของฉีเซี่ยงหยวนผ่านไปอย่างมึนชา  นานๆครั้งจะถูกฉีกกระชากด้วยคำวิงวอนขอจากไปของเหลียนอันสุ่ย  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้อาละวาด  และไม่ได้ดื่มสุราอย่างหนัก  เขาเพียงสงบจนผิดปรกติ  เงียบขรึมจนผิดปรกติ  หัวใจที่ร้อนรุ่มตอนทะเลาะกันอย่างรุนแรง  ตอนนี้ยะเยือกจัดเหมือนถูกฝังในหล่มน้ำแข็ง  เหน็บหนาวอยู่บ้าง  อ้างว้างอยู่บ้าง

แต่ละวันที่ล่วงเลยกับความหวังที่ค่อยๆมอดดับ  ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบที่เลิกรอคอยไปเสียแล้ว  ในตอนแรกฉีเซี่ยงหยวนคาดหวังว่าจะมีข่าวประเภทเหลียนอันสุ่ยเข้าใจอะไรผิดไปหรือเหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนใจ ดังแว่วมาจากตำหนักเสียงวสันต์  หากแต่ละวันกลับผ่านไปอย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกับวันก่อนหน้า...เหลียนอันสุ่ยไม่ได้เปลี่ยนใจ

ความจริงฉีเซี่ยงหยวนตั้งใจไว้ว่าขอเพียงเหลียนอันสุ่ยยอมเปลี่ยนใจ  การทะเลาะกันที่บาดหมางจนมองหน้าไม่ติดเขาจะยอมเป็นฝ่ายผิดทุกอย่าง  ความรักทำให้คนอภัยได้ง่ายๆเช่นนี้เอง  ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรล้วนอภัยให้ได้ทุกสิ่ง
หลายวันที่ผ่านไป ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนคิดเรื่องน่าตลกออกมาได้เรื่องหนึ่ง
เหลียนอันสุ่ยบอกว่าเขาตามืดบอดเพราะรัก  บางทีคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ  เพราะหลังจากบอกให้ตู้ฮูหยินถอนชื่อเสิ่นชิงอี  เพียงสองวันถัดมาก็บอกท่านแม่นมตรงๆว่า  เขาไม่มีความคิดจะแต่งงานและไม่ต้องการแต่งตั้งพระชายา  ฉีเซี่ยงหยวนมักรู้สึกว่าในเมื่อเขาต้องการให้คนผู้หนึ่งรักแต่เขาเป็นของเขาคนเดียว  เขาก็ควรทำเช่นเดียวกันให้กับอีกฝ่ายด้วย 
ช่างเป็นความคิดที่น่าขำเหลือเกิน  ตอนนี้คนผู้นั้นไม่ได้ต้องการความคิดนี้ของเจ้าอีกแล้ว  ไม่ว่าเจ้าจะพยายามทำอะไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดภายในใจของเหลียนอันสุ่ยได้  เขาไม่ได้รักเจ้ามากมาย  เจ้าใยต้องคิดเพื่อเขาถึงเพียงนี้  เจ้าใยต้องเจ็บปวดเพื่อเขาถึงเพียงนี้อีก
เอาแต่คิดถึงเขา  แส่หาความปวดร้าวให้ตัวเอง  ทำเช่นนี้เพื่อสิ่งใด?
ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้มีน้ำตา  มันแค่แห้งผากอย่างยิ่ง  เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง  เอาแต่ไล่ตามไขว่คว้า  สุดท้ายที่คว้าได้คืออะไร  เหตุใดไม่เหน็ดเหนื่อยเสียบ้าง
ต่อให้เจ้าเป็นต้าอ๋อง  แต่ของบางชิ้นก็เป็นสิ่งไม่อาจได้มา  คนบางคนเจ้าไม่อาจครอบครอง เจ้าควรยอมรับได้แล้ว  และรู้จักปล่อยมือได้แล้ว
น่าเสียดายที่แม้เจ็บปวดถึงเพียงนี้มือก็ยังยึดกุมไว้แน่น  เพราะความจริงแล้วสิ่งที่ทำให้คนดื้อรั้นดันทุรังได้ถึงขีดสุดก็คือความรักนั่นเอง
---------------------
เวลาค่อยๆขยับทีละก้าว ทีละก้าว ถอยห่างจากไปอย่างเชื่องช้า  วันคืนที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหล่านี้ในที่สุดคนรอบข้างก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติ  หลิวฉางเฟยแน่ใจถึงความผิดปรกติในวันที่สาม  ส่วนอิ๋งฮวาแน่ใจก่อนหน้านั้นครึ่งวัน  นายท่านเหมือนเป็นคนละคนเวลามีคุณชายน้อยกับไม่มีคุณชายน้อย  ตอนเหลียนจิ้งเต่ออยู่ข้างกายนายท่านจะยิ้มแย้มพูดคุยปกติ  แต่ทันทีที่ลับหลังเหลียนจิ้งเต๋อพลังชีวิตในร่างสูงโปร่งคล้ายกับถูกสูบหายไปจนหมดสิ้น  เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง  อาหารที่ยกไปถูกแตะต้องเพียงเล็กน้อย  นายท่านกล่าวคำเดิมว่าไม่หิว  แต่คนเราไหนเลยจะไม่หิวติดต่อกันสามวัน !
นางไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่  แต่เย็นวันนั้นหัวหน้าหญิงรับใช้คุกเข่าหน้าห้องของผู้เป็นนายวิงวอนให้เขารับประทานอะไรบ้าง 
มื้อถัดไปอาหารพร่องไปมากขึ้น  ขณะที่นางกำลังจะวางใจลงพลันได้ยินเสียงอาเจียนดังมาจากในห้อง  พริบตานั้นอิ๋งฮวาไม่สนใจกฎเกณฑ์ธรรมเนียมของบ่าวรับใช้  ผลักประตูถลาเข้าไป  จากนั้นร่างบอบบางก็ถึงกับตะลึงลานเมื่อเห็นสภาพของคนในห้อง
เวลาเพียงไม่กี่วันนายท่านดูซูบเซียวไปมากมาย  อาเจียนจนใบหน้าซีดขาวฟุบล้มอยู่ที่มุมเตียง  นางเข้าไปพยุงอย่างลนลาน  แต่นายท่านกลับปฏิเสธมือที่นางยื่นให้พึมพำว่าแค่โรคเก่ากำเริบ ไม่จำเป็นต้องตามหมอ  จากนั้นค่อยๆยันกายขึ้นพิงร่างกับหัวเตียงอย่างอิดโรย  สั่งให้นางเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
นายท่านให้คนไปบอกทางโรงหมอว่าเขากำลังทุ่มเทเรียบเรียงตำราแพทย์ทั้งชุดจึงไม่อาจไปช่วยงานที่โรงหมอในช่วงนี้  แต่อิ๋งฮวารู้ดีว่านายท่านแค่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นสภาพย่ำแย่ของเขา  โชคดีที่ช่วงนี้คุณชายน้อยมุมานะเรียนหนักจึงย้ายกลับไปนอนห้องตัวเองทำให้เรื่องราวยังพอจะปกปิดไว้ได้

หลังจากนั้นเข้าสู่ช่วงองค์รักษ์เก่าปลดเกษียณ  องครักษ์ใหม่บรรจุเข้าประจำการแทน  ต้วนจินกับหม่าหลงจึงถูกเรียกตัวไปช่วยเสริมกำลังอารักขาเป็นครั้งคราว  ตำหนักเสียงวสันต์ว่างขึ้นเป็นบางเวลา  อาการปฏิเสธอาหารของนายท่านยิ่งมาก็ยิ่งหนักข้อ 
นายท่านมักสั่งให้นางแอบต้มยาให้กับเขา  แต่ก็มักจะครุ่นคิดเหม่อลอยจนลืมรับประทาน  ขนาดเหลียนจิ้งเต๋อที่เหลียนอันสุ่ยเพียรปกปิดไว้สุดความสามารถยังร้อนใจแล้ว  แต่ไม่ว่าใครล้วนหาสาเหตุของเรื่องราวไม่พบ  ทุกคนจึงเข้าใจว่าที่เป็นเช่นนี้มีสาเหตุมาจากการหักโหมทำงานไม่ได้พักผ่อนของเหลียนอันสุ่ย  ช่วงนี้พระมาตุลาแคว้นเหลียนจุดตะเกียงเรียบเรียงตำราถึงดึกดื่น  หลายครั้งดับไฟไปแล้วชัดๆ  แต่เมื่ออิ๋งฮวาเดินมาตรวจดูด้วยความห่วงกังวลกลับพบว่าในห้องหนังสือยังสว่างอยู่...นายท่านนอนไม่หลับ
หวังเชียนบอกนางว่านายท่านนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว  จนเวลานอนเบียดบังมายังตอนกลางวัน  อาการเผลอหลับตื้นๆไม่เป็นเวลาปรากฏถี่  ทั้งๆที่ฤดูใบไม้ผลิยิ่งมายิ่งสวยงาม  แต่นายท่านกลับตรงกันข้าม  ยิ่งมายิ่งดูสมวัยสามสิบเอ็ดปีของเขา
---------------------
เหลียนอันสุ่ยมองภาพสะท้อนบนผิวน้ำของตัวเอง  นิ่งงันไปพักใหญ่  ผู้คนมักบอกว่าเขาดูอ่อนเยาว์กว่าความเป็นจริง  ดูดีอย่างยิ่งในช่วงอายุของตัวเอง    แต่คำวิจารณ์เหล่านั้นยิ่งมาก็ยิ่งห่างไกล  มองภาพสะท้อน  ตระหนักในความเป็นจริงอีกข้อว่าจริงๆแล้วตัวเขาอายุก็ไม่ได้เหมาะกับฉีเซี่ยงหยวนเลย  ฉีเซี่ยงหยวนสมควรได้ภรรยาที่อ่อนวัยกว่าซักหลายปี  ภรรยาที่นุ่มนวลเอาใจ  อ่อนหวานและสามารถมีลูกให้กับเขา 
อายุของเหลียนอันสุ่ยมากกว่าฉีเซี่ยงหยวนห้าเดือน  ห้าเดือนนี้จะนับว่ามากไม่มาก  แต่อายุเป็นสิ่งที่ไม่มีวันกวดทันกันได้  อีกหลายปีข้างหน้า ภรรยาผู้อื่นเข้าสู่ช่วงวัยสาวจัดอันพราวเสน่ห์  แต่ตัวเขาเองเป็นได้แค่ชายวัยกลางคนที่แก่ชราลงตามวัย  ถึงตอนนั้น...ท่านจะยังรักข้าอยู่หรือไม่
เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง  ในใจกลับสามารถวาดภาพออกได้ว่าฉีเซี่ยงหยวนจะตอบคำถามนี้อย่างไร  คงเป็นคำตอบจำพวก...
‘ท่านแก่ชรา  ข้าเองก็แก่ชรา  เช่นนี้เรียกว่าแก่ชราไปด้วยกัน  มีอันใดไม่ดี...ไม่เพียงดีมากเท่านั้นยังยุติธรรมมากอีกด้วย’
ฉีเซี่ยงหยวนต้องพูดเช่นนี้แน่  เช่นนี้จึงจะสมเป็นฉีเซี่ยงหยวน  แต่ทว่า...
เหลียนอันสุ่ยยิ้มหมองๆ  ไม่มีทางแล้ว  ตอนนี้ท่านไม่แน่ว่าเกลียดข้าไปแล้ว
เหลียนอันสุ่ยคิดว่าเขาเห็นการพยายามค่อยๆปล่อยมือทีละน้อย  สุดท้ายต้วนจินกับหม่าหลงก็คงกลับไปอยู่ข้างกายท่านโดยสมบูรณ์  ในที่สุดท่านก็ตัดสินใจที่จะปล่อยมือแล้ว
ในใจของพระมาตุลาแคว้นเหลียนว่างโหวง  เป็นความโดดเดี่ยวหรือความโล่งอกกลับไม่ชัดเจนนัก  ที่ชัดเจนกว่าคือความรู้สึกสูญเสียที่ทรงอิทธิพลเหนือทุกสิ่ง   เรื่องราวก่อนเก่าสลักย้ำลึกล้ำนัก  คล้ายตัวตนของฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆซึมลึกเข้ามาในตัวเขา  กระทั่งหลับตาลงยังสามารถวาดภาพออกได้ว่าคนผู้นั้นจะตอบวาจาด้วยสีหน้าท่าทางเช่นไร...สูญเสียไปแล้วตลอดกาล
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้น  สูดลมหายใจลึก  ราวกับการกระทำเช่นนั้นจะทำให้เขาไม่หลั่งน้ำตา  ทราบว่าบุคคลเช่นฉีเซี่ยงหยวนเมื่อตัดสินใจว่าจะปล่อยมือ  จะไม่มีทางคว้ากุมไว้อีก  ปล่อยอย่างรวบรัดหมดจด

ต้นไม้ยังคงเป็นต้นไม้  กิ่งก้านที่เคยแห้งโกร๋นแตกใบผลิดอกเฉิดฉัน  ทุกอย่างภายในสวนราวกับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาจากฤดูหนาวอันโหดร้าย  แต่ตัวเขาเองกลับคล้ายทำชีวิตหล่นหายไปในฤดูหนาว  ไม่ปรารถนาให้ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอีกเลย
สายตาพร่ามัวลงทีละน้อย  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ห้ามเหลียนอันสุ่ยออกจากตำหนักเสียงวสันต์  แต่เหลียนอันสุ่ยรู้ดีว่ายังมีโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นล่ามข้อเท้าเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา  เขายังคงต้องอยู่ที่นี่  หนึ่งเดียวที่สามารถปลดปล่อยเขาเป็นอิสระคือความเมตตาของเป่ยชางอ๋อง...แต่เป่ยชางอ๋องดูเหมือนจะไม่เหลือเมตตาให้เขาอีกแล้ว 

พูดให้ถูกก็คือตัวตนของเขากำลังจะจางหายไปจากสายตาอีกฝ่ายตลอดกาล  ช่างเถอะ  ถ้าท่านไม่รักข้าแล้วการจากไปก็ไม่จำเป็นอีก  เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน  ข้าจะได้อยู่ข้างๆท่าน  มองท่านผ่านกรงขังเล็กๆนี่  ถึงแม้เราอาจไม่มีวันได้พบหน้ากันอีก  และข้าก็คง...ไม่มีวันมีตัวตนในสายตาของท่านอีกเลย
---------------------
หลิวฉางเฟยวางม้วนรายงานฉบับหนึ่งลงช้าๆ  พลางกล่าวว่า
“นี่เป็นรายงานจากตำหนักชุนเกอของหม่าหลง”
พู่กันในมือของฉีเซี่ยงหยวนลากปราดๆต่อไปราวกับไม่ได้ยิน  อิริยาบถไม่มีช่วงใดหยุดชะงัก 
หลิวฉางเฟยถอนหายใจมองม้วนไม้ไผ่ที่กองอยู่บนหลังตู้  พลางเดินเอาม้วนนี้ไปวางไว้บนสุด  ทั้งหมดเป็นรายงานจากตำหนักเสียงวสันต์  และทั้งหมดยังไม่ได้ถูกเปิดอ่าน  ฉีเซี่ยงหยวนเพียงบอกให้หลิวฉางเฟยกองรวมๆไว้เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปเผาทิ้ง 
หลักฐานที่จะทำให้ข่าวลือกระพือโหมเช่นนี้ต้องเผาทิ้งทุกฉบับ
---------------------
คืนนี้อากาศเย็นเล็กน้อยเพราะมีฝนตกปรอยๆก่อนค่ำ  เหลียนอันสุ่ยให้คนเช็ดม้านั่งในสวนไว้  ตกดึกคืนนั้นสวมเสื้อคลุมทับหนึ่งชั้นฝ่าอากาศชื้นจางๆเข้ามาในสวน  นั่งลงบนม้านั่งแหงนหน้าดูดวงดาวที่ร้อยเรียงอยู่เต็มแผ่นฟ้า
คนผู้หนึ่งเคยสัญญาไว้ว่าจะพาเขาไปดูดาวในฤดูใบไม้ผลิ  น่าเสียดายที่สัญญานั้นคงไม่อาจเป็นจริงได้แล้ว  หยาดน้ำหยดเล็กที่เกาะค้างอยู่ตามกิ่งใบ  ดูคล้ายหยาดน้ำตาที่ยังไม่แห้งเหือด  ราวกับฟากฟ้าก็สามารถร่ำไห้และปวดร้าว
คิ้วเรียวงามของเหลียนอันสุ่ยขมวดเข้าหากัน  ความรู้สึกเจ็บทำให้เขาเอามือกุมท้องคู้ตัวลง  มันเป็นตำแหน่งเดิมๆ  อาการเดิมๆ  ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เหลียนอันสุ่ยตื่นนอนกลางดึก  ไม่มีใครทราบว่าในช่วงหลายปีมานี้อาการดังกล่าวคล้ายกลับกลายเป็นโรคประจำตัวของพระมาตุลาแคว้นเหลียนไปเสียแล้ว  บางช่วงกำเริบหนัก  บางช่วงเว้นห่างไปเป็นหลายเดือนจนเข้าใจว่าหายสนิท  แต่พอจิตใจวิตกกังวลก็จะกลับมาเป็นใหม่
เหลียนอันสุ่ยแม้มีความรู้ทางการแพทย์และสามารถเขียนเทียบยาให้กับตัวเอง  แต่ตลอดชีวิตสามสิบเอ็ดปีหักโหมทำงานอยู่เรื่อยๆ  ซ้ำยังชอบแบกรับเรื่องราวหนักๆเอาไว้บนบ่า  สุขภาพที่ควรจะดีจึงไม่ได้ดีอย่างแท้จริง
 
ครั้งนี้อาการรุนแรงกว่าครั้งก่อนมาก  เหลียนอันสุ่ยเจ็บอยู่พักใหญ่จนบนขมับมีเหงื่อซึม  พยายามหายใจ  แต่ไม่อาจหายใจรุนแรงเกินไป  ปกปิดมานานเหลือเกิน  และเผชิญมันด้วยตัวคนเดียวตลอดมา  แต่ในเวลานี้เหลียนอันสุ่ยกลับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว  ดวงตาคู่งามพยายามเพ่งมองดวงดาว  อย่างน้อยใต้แสงดาวอันอ่อนโยนนี้ข้ายังคงรู้สึกถึงเงาร่างของท่าน...ท่านยังคงอยู่กับข้า  สายตาจับนิ่งราวยึดถือไว้เป็นที่พึ่ง  รอจนความเจ็บปวดบรรเทาลงเหลียนอันสุ่ยก็ลุกขึ้น  เดินด้วยฝีเท้าไม่มั่นคงอยู่บ้างกลับห้องไป
อย่างน้อยคืนนี้เหลียนอันสุ่ยก็หวังว่าเขาจะนอนหลับ  โรคที่เคยเป็นคล้ายกับพร้อมใจกันมากำเริบในช่วงนี้...รวมถึงโรคที่เกี่ยวกับความโหยหาที่เข้าใจว่าตัวเองทุเลาหายดีไปแล้วด้วย  ข้าไม่อยากให้ร่างกายปรารถนาท่านอีกเลย  เพราะแค่นี้หัวใจข้าก็ปรารถนาท่านมากพอแล้ว  และมันเจ็บปวดเหลือเกิน
---------------------
เช้าวันนี้เหลียนอันสุ่ยตื่นสายเกินไปอีกแล้ว  เหลียนจิ้งเต๋อเรียนตั้งแต่เมื่อครู่ก่อน  ตำหนักชุนเกอเงียบเหงาซึมเซา
อิ๋งฮวารีบร้อนยกอาหารเข้ามา  อาหารหอมกรุ่น  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับไม่รู้สึกอยากอาหาร  เหลือบเห็นสายตากังวลของหญิงรับใช้  นิ้วมือเรียวยาวตัดสินใจเลื่อนไปกุมตะเกียบ  รับประทานทีละคำอย่างเชื่องช้า  จนถึงคำที่สี่ก็ไม่อาจทนทานไหว  อาหารมื้อนี้เป็นอาหารแคว้นเหลียนอีกแล้ว  ที่เคี้ยวในปากมีแต่รสชาติของความทรงจำ  พูดให้ถูกคือทั้งตำหนักชุนเกอบุรุษชาวเป่ยชางผู้นั้นทิ้งร่องรอยเอาไว้เต็มไปหมด  หันไปทางไหนมีแต่ภาพที่ควรจะจมอยู่แค่ในความทรงจำผุดขึ้นมา  เหลียนอันสุ่ยฝืนใจรับประทานต่อไป แต่พอถึงคำที่สิบก็รู้สึกอยากอาเจียน  ดึงกระโถนออกมาอาเจียนลงไป  อาการอาเจียนนี้คล้ายเป็นปฏิกิริยาที่ห้ามไม่ได้  เมื่ออาเจียนคำแรกก็ต้องอาเจียนต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุด 

อิ๋งฮวาที่พยายามเข้ามาลูบหลังให้กับผู้เป็นนาย  ดวงตาปรากฏฝ้าน้ำตา  นายท่านอาเจียนอย่างทรมาน  รับประทานไปแค่สิบคำ  แต่อาเจียนครั้งนี้คล้ายกับพยายามเอาอาหารเมื่อวานออกมาด้วย
เหลียนอันสุ่ยอาเจียนจนหมดสิ้นก็เท้ามือกับโต๊ะ  หอบหายใจ  อิ๋งฮวาส่งน้ำชาสำหรับบ้วนปากให้  จากนั้นหัวหน้าหญิงรับใช้ก็เอื้อมมือไปที่กระโถน  จังหวะนั้นนางพลันได้กลิ่นคาวเลือด  นางก้มหน้าลงมองกระโถนในมือ  จากนั้นใบหน้าก็เผือดสี  ในอาเจียนผสมด้วยเลือดสดๆ  นายท่านอาเจียนเป็นเลือด !
นางหันหลังกลับจะไปตามหมอหลวง  แต่ถูกมือของนายท่านคว้าตัวไว้  พึมพำไม่ต่อเนื่องเพราะเสียงหอบหายใจว่า
“ไม่  ไม่ต้อง  กินยาซักเทียบก็ดีขึ้นแล้ว  เจ้าไปเอาพู่กันมาข้าจะเขียนเทียบยาให้เจ้าชุดหนึ่งไปจัดการ”
อิ๋งฮวาก้มหน้าลง  รับคำแผ่วเบา  ยกกระโถนเดินออกมาถึงหน้าห้องก็เห็นต้วนจินอยู่ห่างออกไปกำลังพยายามด้อมๆมองๆเข้ามาข้างใน  นายท่านสั่งให้ปิดเรื่องเป็นความลับ  และไม่อนุญาตให้บ่าวไพร่คนอื่นเข้าใกล้ห้องนอน  หม่าหลงกับต้วนจินจึงได้แต่ลอบมองมาจากภายนอกและพยายามถามไถ่เรื่องราวของนายท่านจากนาง
ต้วนจินที่ถูกจับได้ว่าแอบรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตหวงห้ามกำลังจะชักเท้าหลบไป  แต่อิ๋งฮวาเรียกรั้งไว้  ดวงตากลมโตของนางไม่มีประกายน้ำตาอีก  มีแต่ความแน่วแน่ชนิดหนึ่ง
“วันนี้นายท่านกินอาหารไม่ได้อาเจียนอีกแล้ว  ฝากท่านนำไปเทด้วย  ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องไปทำ” พูดจบก็ยัดกระโถนใส่มืออีกฝ่าย  แล้วหันหลังเดินจากไปด้วยสีหน้ามึนตึง
ต้วนจินมองกระโถนในมืออย่างมึนงง  แต่เมื่อพิจารณาดูดีๆแล้วใบหน้าก็ซีดขาวรีบร้อนก้าวจากไป
อิ๋งฮวาเดินไปหยิบม้วนไม้ไผ่ว่างเปล่าหนึ่งชุด  พู่กันจานฝนหมึกอีกหนึ่งชุด  เพื่อนำไปให้นายท่าน  ดวงตาของนางเย็นชาและแน่วแน่  ฉีเซี่ยงหยวน  ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าเคยเอ่ยอะไรเอาไว้
‘เจ้าอาจไม่ไว้ใจข้า  แต่ขอให้รู้ว่าข้าไม่ยอมให้เหลียนอันสุ่ยเป็นอะไรไปเด็ดขาด’
รับผิดชอบคำพูดของท่านด้วย !
อิ๋งฮวาแม้ไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นชัดเจน  แต่อาการนี้ของนายท่านเกิดอย่างประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่เป่ยชางอ๋องผู้นั้นหายหน้าไป  และนางทนทานเห็นนายท่านเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว
---------------------
ในที่สุดหินผาที่ตั้งตระหง่านอย่างสงบนิ่งเยียบเย็นก็ปรากฏรอยร้าวสั่นไหว
“เจ้าบอกว่า...เหลียนอันสุ่ยอาเจียนเป็นเลือด?” เป็นครั้งแรกที่ฉีเซี่ยงหยวนเงยหน้าขึ้นมาจากงานในมือ
ต้วนจินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นรายงานว่า
“กราบทูลต้าอ๋อง  พระมาตุลามีอาการรับประทานอาหารแล้วอาเจียนมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้  เพียงแต่ไม่ได้ตามหมอหลวงจึงไม่มีผู้ใดในตำหนักทราบ...”
“เหลวไหล  เจ็บป่วยไม่รู้จักตามหมอเอง หลิวฉางเฟยส่งคนไปที่โรงหมอ ตามหมอหลวงใหญ่ให้กับข้า  ถ้าตำหนักชุนเกอบ่ายเบี่ยงเกรงกลัวข่าวลือมากนักก็บอกไปว่า  อาคันตุกะที่เป่ยชางอ๋องเชิญมาไม่อนุญาตให้ป่วยตาย  เดี๋ยวผู้คนจะหาว่าแคว้นเป่ยชางรับรองแขกได้ไม่ดี เสื่อมเสียบารมีของข้า!”
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 55
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 13-10-2014 23:31:39
บทที่ 55 เพราะข้ารักท่าน

จู่ๆหมอหลวงใหญ่ก็มาเยือนถึงตำหนักเสียงวสันต์  ทำตำหนักที่ซึมเซาเงียบเหงาวุ่นวายปั่นป่วน

เหลียนอันสุ่ยมองหมอหลวงใหญ่อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา  แต่พออีกฝ่ายอธิบายเหตุผลการมาเสร็จสิ้นก็มีสีหน้าหมองลง 
ถ้าข้าตายจะเสื่อมเสียบารมีของท่านมากหรือ?   ฉีเซี่ยงหยวน  ท่านวางใจ ถึงแม้ตอนที่ท่านรักข้าไม่ยินยอมให้ข้าจากไป  ข้าเคยคิดกำหนดทางตายเป็นหนทางเลือกสุดท้ายให้ตัวเอง  แต่ตอนนี้ท่านไม่ได้รักข้าแล้ว  ดังนั้นการตายของข้าก็ไม่จำเป็นอีก  แม้การมีชีวิตจะเป็นเรื่องยากลำบากกว่าตาย  แต่ข้าก็ยังคงต้องมีชีวิตต่อไป  เพราะข้ายังอยากเห็นท่านนั่งบัลลังก์ต้าอ๋องอย่างมั่นคง
 
เหลียนอันสุ่ยรอคอยด้วยความหวังตลอดวัน  รอคอยด้วยความหวังที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่ทราบว่าต้องการให้เกิดสิ่งใด  บางทีเขาอาจเพียงต้องการจะบอกคำขอบคุณ  อาจแค่ต้องการเห็นหน้าสักชั่วขณะ  แต่จวบจนอาทิตย์ลับขอบฟ้า  เป่ยชางอ๋องก็ไม่ได้ปรากฏตัว
บางทีระหว่างข้ากับท่านคงยังเหลือไมตรีระหว่างมิตรสหายอยู่บ้างกระมังท่านจึงให้หมอหลวงใหญ่มาตรวจรักษาข้า  เพียงแต่ไมตรีนี้ไม่ได้มากอะไร  และข้ากับท่านก็คงไม่มีวันสามารถลาจากกันด้วยดี
เหลียนอันสุ่ยยกยาชามสุดท้ายขึ้นดื่ม  ยาขมจับใจ  แต่ในใจขมยิ่งกว่า  เตือนตัวเองให้ดับไฟเข้านอน...ไม่ต้องรอคอยอีกต่อไปแล้ว
---------------------
ไฟในห้องดับไป  พร้อมกับความหวังที่ดับมอดลง
ไกลออกไปหลายช่วงตำหนัก  ฉีเซี่ยงหยวนยังคงจุดตะเกียงทำงาน  ในห้องมีแสงสว่าง...แต่ในห้องไม่อบอุ่น 
ทั้งๆที่เป็นฤดูใบไม้ผลิ  แต่คืนนี้สำหรับพวกเขาทั้งสองกลับเป็นคืนที่หนาวเหน็บเสียดกระดูก

ในความมืดมิดเหลือแค่แสงจันทร์ซีดจางส่องสว่างเหนือแมกไม้  สายลมเสียดสีกับกรอบหน้าต่างเป็นท่วงทำนองอันเงียบเหงา  เพราะเรียนหนักและฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้แวะมาอีกแล้ว เหลียนจิ้งเต๋อเลยย้ายกลับไปนอนที่ห้องตัวเอง  ความจริงความคิดนี้เป็นของเหลียนอันสุ่ย  เนื่องด้วยไม่ต้องการให้บุตรชายกังวลกับสุขภาพที่ย่ำแย่ลงของเขา

ปิดบังทุกผู้คน  และปิดบังหัวใจตัวเอง  ชั่วชีวิตเหลียนอันสุ่ยปิดบังไว้มากมายนัก  และสิ่งที่เขาแบกรับเอาไว้เพียงคนเดียวก็มากมายนัก  ...มากมายจนเกินไป
เสียงถอนหายใจเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา  ขณะที่มือใหญ่ผลักปิดประตูโดยไร้เสียง  เตียงของแคว้นเป่ยชางใหญ่โตเกินไปสำหรับบุรุษชาวเหลียน  แต่เหลียนอันสุ่ยในวันนี้กลับขดตัวเองจนดูเล็กกว่านั้นอีก  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยคิดว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายอีกครั้งจะนำพาความเจ็บปวดมากมายถึงเพียงนี้มาให้กับเขา  ชุดนอนสีขาวที่หลวมกว้างดูหลวมกว้างกว่าปกติ  ใบหน้าซีดเซียวดูซีดจางยิ่งกว่าแสงจันทร์  บอบบางราวหากกระทบถูกโดยแรงก็จะแหลกสลายไป 

หมอหลวงใหญ่รายงานฉีเซี่ยงหยวนว่าอาการของเหลียนอันสุ่ยเกิดจากความเครียดสะสม  วิตกกังวล  และหักโหมทำงาน  จนร่างกายเกินขีดความสมดุล  ธาตุทั้งห้าแปรปรวนปั่นป่วน  หลังฝังเข็มและรับประทานยาสามารถทำให้อาการดีขึ้น  แต่หากไม่แก้ไขที่ต้นเหตุก็ไม่อาจรักษาให้หายขาด
ร่างสูงใหญ่เอนกายนอนลงบนเตียง  ไม่ได้กระทบถูกอีกฝ่าย  สายตาจับนิ่งอยู่บนร่างสูงโปร่งที่ซูบผอมลงกว่าเดิม  สภาพของเหลียนอันสุ่ยแม้ยิ่งมองก็ยิ่งเสียดแทงความรู้สึกแต่สายตากลับเหมือนถูกบังคับให้ตรึงแน่นอยู่เช่นนั้น 
ไม่ทราบมองดูอยู่นานเท่าไหร่ร่างสูงโปร่งก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น อยู่ๆเหลียนอันสุ่ยก็มีสีหน้าเจ็บปวด  ร่างขดงอเข้าหากัน  ร้องเบาๆออกมาคำหนึ่ง  ด้วยความตกใจฉีเซี่ยงหยวนจึงดึงร่างอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ โอบกอดไว้ด้วยความเคยชิน  เมื่อได้สติทั้งๆที่ควรปล่อยมือ  แต่กลับปล่อยมือไม่ลงเมื่อเห็นเหลียนอันสุ่ยใช้สองมือเกาะเขาแน่น  มุมปากกระตุกเมื่อความเจ็บปวดโถมตัวเข้ามาอีกระลอก  ความเจ็บปวดเกือบจะฉุดดึงให้เหลียนอันสุ่ยตื่นขึ้นมา  แต่เมื่อความเจ็บนั้นจางไป  ความเหน็ดเหนื่อยก็ทำให้จมลงในห้วงหลับใหลอีกครั้ง...จมลงลึกกว่าเดิม
ฉีเซี่ยงหยวนใช้ชายแขนเสื้อเช็ดหน้าผากมนที่มีเหงื่อฉาบเป็นชั้นบางๆ  คิดจะตามหมอหลวง  แต่เห็นอีกฝ่ายหลับไปแล้วจึงไม่ได้ตาม  คลายมือออกช้าๆ  ขยับห่างออกไปเช่นเดิม กลิ่นหอมอ่อนๆยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก  สัมผัสยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในความทรงจำ...ความทรงจำอันปวดร้าว
---------------------
ใบไม้ไหวเบาๆ  ลมยามเช้าระเรื่อยเอื่อยเฉื่อย  เหลียนอันสุ่นตื่นนอนช้าๆ  บนเตียงใหญ่มีเพียงเขาเช่นเคย  เตียงหลังนี้ใหญ่จนให้ความรู้สึกอ้างว้างนัก
อิ๋งฮวายกผ้ากับอ่างทองเหลืองเข้ามา  เหลียนอันสุ่ยรับมาล้างหน้าล้างตาอยู่ครู่หนึ่ง  จากนั้นหญิงรับใช้อีกคนที่ติดตามมาด้วยก็ประคองส่งน้ำชาสำหรับบ้วนปากมาให้  อิ๋งฮวาส่งอ่างทองเหลืองกับผ้าเปียกชื้นให้หญิงรับใช้ผู้นั้นนำออกไป  พลางสั่งให้ไปเร่งที่ครัวให้จัดส่งอาหารมาได้แล้ว
ในห้องหลงเหลือเพียงนายบ่าวเก่าแก่ที่อยู่ด้วยกันมาเกินสิบปี  อิ๋งฮวาเริ่มติดตามเหลียนอันสุ่ยตั้งแต่นางเป็นเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ  ปีนี้อายุครบยี่สิบห้า  ความจงรักภักดีไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาก่อน  เวลาทำงานหรือออกไปจัดการธุระด้านนอกคนที่ติดตามนายท่านคือหวังเชียน  แต่อิ๋งฮวาเป็นบ่าวรับใช้ที่อยู่เคียงข้างเหลียนอันสุ่ยมานานที่สุด  เช้านี้อิ๋งฮวาพยายามสังเกตสีหน้านายท่าน  แต่นายท่านยังคงเป็นเหมือนเดิม  เรียบเฉยและปราศจากชีวิตชีวา  หัวหน้าหญิงรับใช้ก้มหน้าลง  สุดท้ายตัดสินใจคุกเข่าลงกับพื้น
“นายท่าน  อิ๋งฮวามาขอรับโทษ  ที่เมื่อคืนขวางเป่ยชางอ๋องเอาไว้ไม่อยู่  ทำให้ต้าอ๋องผู้นั้นสามารถเข้าไปรบกวนการพักผ่อนของนายท่านกลางดึก”
เหลียนอันสุ่ยเบิกตาค้าง  หันไปมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ
“เมื่อคืนนี้...เมื่อคืนนี้  เป่ยชางอ๋อง...มาที่นี่ ? ”
อิ๋งฮวาพยักหน้ารับคำ  เหลียนอันสุ่ยซวนเซไปด้านหลัง  ยึดกุมหัวเตียงไว้  หายใจแรง
---------------------
หลังจากคืนหนึ่งผ่านไปสิ่งใดตามมา?  สิ่งนั้นย่อมเป็นคืนถัดไป  กฎเกณฑ์ธรรมดาสามัญ  แต่เหลียนอันสุ่ยไม่เคยรู้สึกรอคอยกฎเกณฑ์ธรรมดาสามัญมากมายถึงเพียงนี้มาก่อน 
ไม่กล้าหวังว่าฉีเซี่ยงหยวนจะมาเยือนอีก  แต่ก็ไม่อาจหักห้ามความรู้สึกรอคอย  แม้นอนนิ่งอยู่เป็นเวลานานแต่สำนึกยังคงตื่นอยู่  ...ไม่อาจหลับใหล  และไม่ผ่อนคลาย  เวลาหนักอึ้งเคลื่อนผ่านอย่างยากเย็น  ความโดดเดี่ยวอ้างว้างราวไร้จุดสิ้นสุด  ในช่วงสุดท้ายที่รอคอยจนใกล้จะถอดใจกลับได้ยินเสียงประตูเคลื่อนไหวแผ่วเบา
ทุกสัดส่วนขมวดเขม็งเกร็ง  ไม่กล้าลืมตา  ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ  นอนนิ่งสุดความสามารถ  หวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นแล้วจะจากไป
เหลียนอันสุ่ยทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนจงใจเลือกเวลานี้เป็นเพราะไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเขา  และไม่ต้องการได้ยินได้ฟังวาจาใดๆ  หากพบว่าเขายังตื่นอยู่จะต้องสะบัดหน้าจากไปแน่นอน
‘...เรื่องที่คนอื่นไม่มีทางพูดออกมาจากปากได้ท่านก็พูดออกมาหมดแล้ว  ดังนั้นไม่ต้องกล่าวอะไรแล้ว  อย่ากล่าวอะไรอีกเลย...’
รสชาติขมจัดแผ่ออกมาจรดปลายลิ้น  แต่เหลียนอันสุ่ยยังคงเตือนตัวเองซ้ำๆไม่ให้เคลื่อนไหว  รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายตะแคงลงบนเตียง  เว้นระยะห่างออกไป  ร่างกายไม่ได้สัมผัสถูกกัน
ราวกับคนแปลกหน้าสองคน
ใจที่โลดแรงถี่กระชั้นแผ่วเบาเชื่องช้าลง  ตัวเขาหวังอะไรกันแน่  มิใช่ว่าตัดขาดไปแล้วหรือ  เหลียนอันสุ่ย  ที่แท้เจ้าเป็นคนไม่เด็ดขาดถึงเพียงนี้ 

ความจริงแล้วคนที่ผิดไม่ใช่เหลียนอันสุ่ยแต่เป็น ‘ความรัก’  หากความรักตัดขาดได้ง่ายดาย  นั่นต้องไม่ใช่ความรักแล้ว  ‘ความรัก’เป็นต้นไม้ที่แปลกประหลาดชนิดหนึ่ง  ท่านห้ามมัน  ไม่รดน้ำให้มัน  มันยังคงเติบโต  ท่านถอนรากมันจนถึงโคน  แต่เมื่อมีความหวังรินรดเพียงเล็กน้อย  มันกลับสามารถดันทุรังมีชีวิตขึ้นมาใหม่  ความเจ็บปวดไม่ได้ทำให้ท่านรักเขาน้อยลง  และการละทิ้งก็ไม่อาจทำให้คนลืมเลือน

เหลียนอันสุ่ยรอคอยเป็นเวลานาน  รอคอยจนแน่ใจว่าฉีเซี่ยงหยวนหลับใหลไปแล้วจึงค่อยชันกายขึ้นนั่ง  มองเงาร่างที่ฝังอยู่ในความคิดคำนึงของเขาตลอดหลายวันมานี้เงียบๆ  แพขนตาสั่นระริกแผ่วเบา  ใกล้แค่เอื้อมมือ  แต่ในความเป็นจริงกลับห่างไกลจนไม่อาจไขว่คว้ามา  เหลียนอันสุ่ยค่อยๆขยับไปใกล้ร่างหนา  ดวงตาไม่อาจละจากไปคล้ายต้องการให้รูปหน้านี้สลักลึกลงในใจ  เพราะเหลียนอันสุ่ยรู้...มันอาจเป็นครั้งสุดท้าย  ที่เขาจะได้อยู่ใกล้ถึงเพียงนี้  อยากจะจุดตะเกียงให้เห็นใบหน้านั้นชัดขึ้น  แต่สะกดกลั้นไว้สุดความสามารถ  แสงไฟทำลายมนต์ขลังแห่งความฝันเสมอ  และสำหรับฝันครั้งนี้ของเขาแสงไฟจะพรากเอาไป 
เคยหรือไม่  ที่วาดหวังให้รุ่งอรุณไม่มาเยือนตลอดกาล
มือเรียวยาวยื่นออกไป  ปรารถนาจะสัมผัสใบหน้านั้นอีกครั้ง  แต่ในช่วงจังหวะสุดท้าย...
‘อย่าแตะต้องตัวข้า’
ทั้งๆที่ปลายนิ้วห่างอีกเพียงไม่ไกล  แต่เหลียนอันสุ่ยไม่มีปัญญาขยับมือเข้าใกล้กว่านั้น  เก็บมือกลับมา  หัวใจปวดร้าวจนสุดทนทาน  พร่ำบอกตัวเองว่าเป็นเช่นนี้ดีแล้ว  สมควรเป็นเช่นนี้จึงจะถูก  อย่าแตะต้องอีกเลย  หากแตะต้องอีกครั้งเหลียนอันสุ่ยกลัวตัวเองจะไม่ยินยอมปล่อยมือ  หัวใจที่ไม่เชื่อฟังกลับกรีดร้องซ้ำๆว่าไม่ต้องการบทลงเอยเช่นนี้

เพียงแต่...ไม่ยินยอมแล้วสามารถทำอย่างไรได้  เจ้าเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เจ้าเป็นได้หรือ  เจ้าห้ามไม่ให้เกิดผลเลวร้ายพวกนั้นได้หรือ  ทางที่ไม่สามรถบรรจบกัน  ย่อมไม่สามารถบรรจบกัน  ดื้อรั้นไปใย  ดันทุรังยืนกรานไปใย เจ็บปวดทรมานไปใย  ทั้งหมดนี้ล้วนไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้ทั้งสิ้น
คนเรามักพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าเหตุผล  แต่ในบางครั้งเหตุผลก็เป็นเพียงแค่เหตุผล  ไม่อาจยับยั้งอารมณ์ใดๆที่เกิดขึ้น
เหลียนอันสุ่ยโน้มร่างลงไป  ชิดใกล้จนริมฝีปากเกือบแตะสัมผัสกัน  ชิดใกล้จนไม่อาจชิดใกล้ไปมากกว่านี้  รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวกาย  ใกล้จนลมหายใจสองสายสอดประสานเป็นจังหวะเดียว  หยุดชะงักไว้แค่นั้น  หลับตาลงช้าๆ  ซึมซับสัมผัสที่ใกล้ที่สุดที่เขาจะทำได้  เนิ่นนาน...น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาทางหางตาพร้อมกับที่ตัดสินใจถอยห่างออกไป
‘อย่าแตะต้องตัวข้า’
น่าแปลกที่คนสำคัญทั้งสองคนของเขา เมื่อหมดสิ้นเยื่อใยคำที่เลือกใช้กลับเป็นคำเดียวกัน
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ปาดเช็ดน้ำตา  แค่ปล่อยให้มันรินไหลออกมาเรื่อยๆ  ร่างสูงโปร่งตะแคงหันหลังให้บุคคลที่เขาไม่อาจครอบครอง  ซุกหน้าลงกับหมอน  ข่มกลั้นเสียงสะอื้นเบาๆที่ลอดออกมา  มีเพียงชั่วขณะนี้ที่เหลียนอันสุ่ยยินยอมให้ตัวเองอาลัยอาวรณ์ 
เหตุใดตอนนั้นทั้งๆที่รู้ดีว่าสุดท้ายจำเป็นต้องปล่อยมือ  แต่กลับยินยอมให้มันสลักในหัวใจอย่างลึกล้ำ ?...
ในตอนหลังเหลียนอันสุ่ยไม่ได้ร้องไห้อีก  เพียงหลับใหลไปอย่างเหนื่อยล้า  ทุกประการเป็นเขาแส่หาเอง  ไม่อาจโทษว่าผู้ใด
คงมีเพียงดวงดาวนอกหน้าต่าง ที่เห็นร่างสูงใหญ่ที่ควรจะหลับใหลไปแล้วขยับเคลื่อนไหว  ดวงตาคมกริบมองแผ่นหลังสูงโปร่งที่หันให้กับเขาด้วยแววตาซับซ้อน  สุดท้ายก้มหน้าลง  ใช้ปลายนิ้วสากปาดเช็ดคราบน้ำตาที่ทิ้งรอยเอาไว้บนผิวแก้มเนียน  ร่องรอยที่เป็นดั่งหลักฐานว่าทุกเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นเพียงเขาหูแว่วไปเอง...
---------------------
แสงแดดสาดเข้ามาตามหน้าต่างบานเดิม
เหลียนอันสุ่ยยันร่างขึ้นช้าๆอย่างงัวเงีย ดวงตากวาดไปเห็นร่างสูงใหญ่ของใครอีกคนก็เบิกตากว้าง  ความง่วงงุนหายไปในชั่วพริบตา  ฉีเซี่ยงหยวนบิดร่างไล่ความเมื่อยขบ  เหลือบสายตาขึ้นเป็นท่าทีตกใจของคนเพิ่งตื่นก็ขมวดคิ้ว  กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
 “เหตุใดต้องทำหน้าแปลกใจ  ข้าไม่เชื่อว่าเมื่อวานหญิงรับใช้ไม่ได้รายงานต่อท่านว่าข้ามาที่นี่”
พูดจบร่างที่นั่งอยู่บนเตียงก็ลุกขึ้นยืน  หยิบเสื้อตัวนอกสีดำที่พาดไว้ขึ้นมาสวม  เหลียนอันสุ่ยยื่นมือออกไปคิดจะช่วยสวมให้ตามความเคยชิน  แต่สุดท้ายก็รั้งมือกลับมา  มองอีกฝ่ายสวมเสื้อตัวนอกเสร็จก็เบือนสายตาไปทางอื่น  มือทั้งสองบีบกันแน่น  ยังคงจดจำประโยค ‘อย่าแตะต้องตัวข้า’ ได้
ฉีเซี่ยงหยวนเห็นอีกฝ่ายยืนหันหลังให้กับเขา ก็เปิดประตูเดินออกไปรับผ้าชุบน้ำหมาดๆมาเช็ดหน้าจัดการตัวเอง  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงจากไปแล้ว  หลังจากสูดลมหายใจเข้าออกอยู่ครู่หนึ่งก็เดินออกไปเพื่อรับประทานข้าวที่หลังตื่นนอนจะมีหญิงรับใช้ยกมาให้ที่ห้องชั้นนอก  แต่วันนี้โต๊ะตัวนั้นกลับมีร่างของฉีเซี่ยงหยวนปักหลักรับประทานมื้อเช้าอยู่ก่อน
เหลียนอันสุ่ยเห็นดังนั้นก็ชะงัก  นึกลังเลใจว่าสมควรทำอย่างไร  เพราะในความเป็นจริงศักดิ์ฐานะเขาไม่อาจร่วมโต๊ะกับเป่ยชางอ๋อง  ขณะยังลังเลใจก็ถูกมือใหญ่ลากให้นั่งลง  ยัดตะเกียบใส่มือ  กล่าวเสียงเรียบเป็นเชิงสั่งว่า
“กินข้าว  คิดจะจากไปแต่กลับดูแลตัวเองไม่เป็นเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
เหลียนอันสุ่ยก้มหน้า  รับประทานเงียบๆ  ท่ามกลางสายตาที่จ้องมาเหมือนจะกดดัน
 “ข้าจะให้โอกาสท่านอีกครั้ง  บอกข้าว่าท่านจะไม่จากไป  แล้วทุกเรื่องก่อนหน้านี้ข้าจะยกให้ไม่ถือสา”
“...ข้าจำเป็นต้องจากไป” ท่านยังไม่ตัดใจอีกหรือ  เหตุใดต้องบีบให้ข้าเป็นคนเอ่ยปากจบเรื่องราวครั้งแล้วครั้งเล่า  ท่านรู้หรือไม่  แต่ละครั้ง...มันเจ็บเจียนตาย
ฉีเซี่ยงหยวนมองคนใจแข็งที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างกาย  วางตะเกียบลง  ไม่มีอารมณ์จะรับประทานต่ออีก  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจว่าฉีเซี่ยงหยวนจะจากไปแล้ว  แต่ร่างสูงใหญ่ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ  เพ่งสายตามองเขา
“ไม่ว่าข้าจะถามท่านอย่างไร ท่านจำเป็นต้องตอบเช่นนี้ทุกครั้งเลยหรือ”
“...”
“นักพรตที่ท่านเคยเอ่ยถึงจะจากไปเมื่อไหร่ ? ”
“...อีกสองสัปดาห์” ตอบตามความเป็นจริง  ทราบว่าหากอีกฝ่ายคิดขัดขวาง เขาก็ไม่มีปัญญาจากไป
ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ
“...หากท่านจะจากไปต้องรับปากเงื่อนไขของข้าสองข้อ”
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมาทันที  ถามออกไปอย่างไม่แน่ใจว่าตัวเองจะได้ยินถูกต้องว่า
“ท่าน...ยินยอมให้ข้าจากไป”
“ไม่ยินยอมได้หรือ  ท่านเล่นทรมานตัวเองจนมีสารรูปเป็นเช่นนี้  หากข้าไม่ยินยอมท่านคงทรมานตัวเองต่อไปเรื่อยๆ”
“...” เหลียนอันสุ่ยมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ  ท่านไม่ได้เกลียดชังข้าแล้วหรือ  ทำไม...
“เงื่อนไขข้อแรกที่ท่านต้องรับปากคือดูแลตัวเอง  ถ้าในสองสัปดาห์นี้ข้ายังเห็นท่านทรมานตัวเองเช่นนี้อีกก็เลิกฝันไปได้เลย  ส่วนข้อที่สอง...ในเวลาสองสัปดาห์นี้  ข้าอยากให้ท่าน...เป็นคนรักของข้า  จะแสแสร้งขึ้นมาก็ได้  แต่ทำให้ข้าเชื่อว่าท่านรักข้าจริงๆ” ในเมื่อไม่อาจครอบคอรงไว้ตลอดชีวิต  ก็ขอเพียงช่วงสองสัปดาห์นี้...ที่ท่านจะเป็นของข้า
ระลอกปั่นป่วนในดวงตาของเหลียนอันสุ่ยกระเพื่อมไหวไม่หยุด  มองรอยยิ้มอย่างยอมรับชะตากรรมของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกนับร้อยพันที่ท่วมท้นขึ้นมาพร้อมกัน
ฉีเซี่ยงหยวนจูบเบาๆลงบนเรียวปากบางที่สั่นระริก  พึมพำว่า
“เหลียนอันสุ่ย  อย่างน้อยก็ทำให้ข้าเชื่อ...” ว่าท่านรักข้าจริงๆ  มือใหญ่รวบร่างอีกฝ่ายเข้ามาหา
เหลียนอันสุ่ยกลืนก้อนขมๆในลำคอลงไป  ยกมือขึ้นโอบกอดอีกฝ่ายไว้เช่นกัน  พริบตานั้นเหตุผลต่างๆไม่คงอยู่  เขาเพียงต้องการกอดไว้แน่นๆ  กอดไว้ให้นานๆ  สองมือเกาะบ่าหนา  ใบหน้าซบลงกับแผ่นอกกว้าง  พยักหน้าถี่ๆ  ดวงตากระพริบซ้ำๆเพื่อไล่ละอองน้ำที่ก่อตัว  พึมพำตอบว่า
“ได้  ข้าจะเป็นคนรักของท่าน  มันจะต้องเป็นสองสัปดาห์ที่ดียิ่ง...ดียิ่ง”
เหลียนอันสุ่ยขอบคุณสวรรค์ที่มอบช่วงเวลานี้มาให้กับเขา  ช่วงเวลาที่สามารถจากกันโดยดี
---------------------
เรื่องราวเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร  บางทีคงต้องให้ฉีเซี่ยงหยวนเป็นผู้ตอบ
สาเหตุของมันอาจเป็นหยดน้ำตาเมื่อคืน  หรือสองมือที่พยายามเกาะเกี่ยวเขาในคืนก่อนหน้า 
ที่ยืนยันกับเขาว่าในใจของเหลียนอันสุ่ยมิได้ไม่รู้สึกรู้สา  หัวใจที่เต็มไปด้วยปริศนาดวงนั้นก็มีความอาลัยอาวรณ์  และบางที...อาจจะมีความรัก  ไม่ได้มีเพียงเขาที่เห็นการปล่อยมือเป็นเรื่องยากเย็น  เหลียนอันสุ่ยก็เช่นกัน
ทำไมท่านจึงไม่เคยพูดออกมา  เพราะพูดไม่ได้อย่างนั้นหรือ  ฉีเซี่ยงหยวนคิดว่าเขาเข้าใจ  เหลียนอันสุ่ยเป็นคนประเภทที่เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ความรู้สึกเสมอ  เรื่องที่คนทั่วหล้าน้อยคนจะทำได้เหลียนอันสุ่ยกลับทำได้อย่างหมดจดนัก  แต่ร่างกายของเหลียนอันสุ่ยกลับทรยศผู้เป็นเจ้าของ  มันไม่ยินยอมพร้อมใจ  และแผลงฤทธิ์ในที่สุด 

ท่านเก็บเรื่องไว้กับตัวเองมากเกินไป  เศร้าเสียใจมากเกินไป  ความรู้สึกอันท่วมท้นเหล่านั้นกลับเพียรพยายามกดข่มเอาไว้ใต้ท่าทีสงบเยือกเย็น  อนุญาตให้ตัวเองอ่อนแอเพียงในชั่วขณะที่เข้าใจว่าในห้องไม่หลงเหลือผู้อื่น  ท่านเป็นเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว  พวกเราเป็นเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว  การเก็บความอ่อนแอไว้กับตัวเองไม่ได้ทำให้คนเข้มแข็งขึ้น  ท่านต้องวางมันให้ลง...แต่ว่าฉีเซี่ยงหยวนก็รู้ดี  ความรักมิใช่สิ่งที่นึกจะวางลงก็สามารถวางได้อย่างรวบรัดหมดจด  มันจำเป็นต้องใช้เวลา

เหลียนอันสุ่ยคาดเดาได้ถูกต้องว่าสาเหตุที่ฉีเซี่ยงหยวนเลือกช่วงเวลาที่ผู้คนต่างหลับใหล  เป็นเพราะไม่ต้องการฟังวาจาขอร้องจะจากไป  หลีกเลี่ยงการพบหน้าเพราะยิ่งมองก็ยิ่งปวดร้าว  ฉีเซี่ยงหยวนยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาพยายามหลีกหนี  โดยไม่รู้ตัวกลับเลือกที่จะหลีกหนีแทนการเผชิญหน้า  เพราะมันเจ็บปวดเกินไป  หวังว่าถ้าไม่ยุ่งเกี่ยวความเจ็บปวดนี้จะเบาบางลงไปเอง  แต่ในที่สุดอาการป่วยของเหลียนอันสุ่ยก็บีบบังคับให้เท้าฉีเซี่ยงหยวนต้องก้าวไปแตะตำหนักชุนเกอ  ยังคงไม่อาจ...ทิ้งขว้างไม่ใยดี 
บางทีเขาคงไม่เคยลืมเลือนได้มาก่อน  ที่มันดูเจือจางลงเป็นเพราะไม่ได้พบหน้า    แต่มันยังคงไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย
ฉีเซี่ยวหยวนตระหนักความจริงข้อนี้ในวินาทีที่เห็นสภาพของเหลียนอันสุ่ยแล้วความทุกข์ทรมานกระหน่ำแทงเข้ามาในหัวใจ  กระทั่งความมืดก็ไม่อาจบดบังสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงเพราะโรคภัย  ในตอนที่เหลียนอันสุ่ยเจ็บปวดอยู่ในอ้อมกอดเขาฉีเซี่ยงหยวนเพียงทราบว่าเขาไม่อาจปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ได้อีกต่อไป  พวกเขาทรมานกันและกัน  และก็ทรมานตัวเอง  การโอบกอดเหลียนอันสุ่ยไว้เป็นสิ่งที่เจ็บปวดเกินไป...เขาต้องปล่อยมือ

หลังคืนนั้นฉีเซี่ยงหยวนคิดว่าตัวเขาเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง  ถามตัวเองว่าเหตุใดจึงรักคนผู้นี้  คนที่ไม่เคยเห็นเขาเป็นความสำคัญอันดับแรก  คนที่ทรมานเขาซ้ำๆด้วยคำปฏิเสธ  คนที่ไม่เคยบอกรักเขาแม้แต่ครั้งเดียว  คนที่พร้อมจะเดินไปจากเขา  ทิ้งขว้างเขา  และฉีเซี่ยงหยวนก็ได้คำตอบ  ว่าเมื่อท่านรักคนผู้หนึ่งท่านจะรักทุกอย่างที่เขาเป็น  เขาอาจมีนิสัยที่ท่านไม่ชอบ  แต่ท่านจะผูกพันกับทั้งหมดที่เป็นเขา  คำตอบกลับง่ายดายแค่นี้เอง  ข้อเสียทั้งหมดนั่นกลับเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาหลงรักเหลียนอันสุ่ย  และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เขาไม่อาจครอบครองอีกฝ่ายตลอดกาล

ในเมื่อเหลียนอันสุ่ยเลือกที่จะไม่อยู่ข้างกายเขา เขาก็ควรเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย  นี่ต่างหากจึงเป็นทั้งหมดที่คนรักกันสามารถทำให้แก่กันได้  ในเมื่อท่านอยู่ข้างกายข้าแล้วไม่สบายใจ  ข้าจะไม่บังคับขังท่านไว้ที่นี่
ความรักจะคงอยู่ได้อย่างไร  หากไม่มีอิสระที่จะเลือก
บางทีคงมีสิ่งที่มีค่ากว่าข้าอยู่ข้างนอกนั่น  บางที่สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคนเรามิใช่ ‘ความรัก’แต่เป็น‘อิสระ’ต่างหาก  ท่านถูกฐานะตีตรวนมาชั่วชีวิต  ถูกกำแพงวังกักขังมาชั่วชีวิต  เผชิญมรสุมอำนาจซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่สิ่งเหล่านั้นต่างมิใช่ตัวท่านเลย  ตอนนี้ข้ามีอำนาจพอจะมอบอิสระให้กับท่าน  และข้าจะมอบมันให้ท่าน

เหลียนอันสุ่ย  ข้ารักท่าน  นี่คือความรักของข้า

กล่าวถึงที่สุดความรักมิใช่แผนการ  ท่านไม่สามารถรักคนผู้หนึ่งด้วยสมอง แต่ท่านต้องรักเขาด้วยหัวใจ  ไม่มีใครสามารถกำหนดได้ว่าความรักต้องเป็นอย่างนั้น  เป็นอย่างนี้  ทุกคนต่างมีความรักในแบบของตัวเอง  และมีวิธีแสดงความรักในแบบของตัวเองเช่นกัน
---------------------
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 53 .......................................09/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: panari ที่ 14-10-2014 21:45:50
ตามอ่านทันจนได้ เหมือนได้อ่านนิยายแปลจีน ละครฟอร์มยักษ์แก่งแย่งชิงอำนาจอะไรประมาณนั้นเลย ทั้งสำนวนทั้งการดำเนินเรื่องมันสุดยอดมากๆ อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก

ชอบอ่ะ ปกติชอบอ่านนิยายแปลจีนอยู่แล้ว มาเจอเรื่องนี้เข้าไปรักเลย ขอบคุณกระทู้เซ็งเป็ดอวอร์ดที่ทำให้เรารู้จักเรื่องนี้ พอดีเห็นมีคนโหวตเลยตามเข้ามาอ่าน ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ ขอบคุณนักเขียนมากๆ ค่ะ จะติดตามต่อไปเรื่อยๆ นะคะ

ปล. แอบถามหน่อย อันนี้ถึงครึ่งเรื่องรึยังคะ หรือเป็นไตรภาค หรือยังมีอีกหลายภาคคะ(แบบลำนำวิหคสวรรค์) >_<
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 55 .......................................13/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 14-10-2014 23:36:17
เพิ่งตามอ่านทัน สนุกมาก  เมื่อคืนอ่านแล้วนอนแทบไม่หลับ ก้อขอให้เป็น 2 สัปดาห์ที่ดี
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 56
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 15-10-2014 14:45:17

บทที่ 56 หนึ่งคำมั่น หนึ่งคำภาวนา

‘พบพาน’กับ ‘พรากจาก’  สองขั้วตรงข้ามที่อยู่คู่กันเสมอมาดั่งแสงและเงา

สองสัปดาห์คือเวลา 14 วัน  ในสิบสี่วันนี้ผ่านไปเช่นไรผู้อื่นอาจจดจำไม่ได้ แต่ตลอดช่วงชีวิตฉีเซี่ยงหยวนกับเหลียนอันสุ่ยต่างจดจำสิบสี่วันนี้ได้ดี
พวกเขาตัวติดกันตลอดหรือ ?  คำตอบคือมิใช่  ฉีเซี่ยงหยวนยังคงมีงานของเขา
บ่ายแก่กลางฤดูใบไม้ผลิ  เหลียนอันสุ่ยเอนพิงอยู่บนเก้าอี้ที่ถูกย้ายมาวางข้างหน้าต่าง  หลับตาเงี่ยฟังธรรมชาติด้านนอก  ได้ยินหมู่ไม้ไหวพะเยิบพะยาบ  ได้ยินเสียงลมพัดแผ่วๆผ่านห้วงน้ำ บุปผชาติหอมสะอาดกรุ่นกำจายอยู่เจือจาง  รอบกายปราศจากความเคลื่อนไหวอื่นใด
เหลียนอันสุ่ยอยู่ตัวคนเดียว  แต่ในใจเขายังคงมีใครอีกคน
เมื่อเช้าฉีเซี่ยงหยวนบังคับเขากินข้าวเสร็จก็ให้คนไปตามหมอหลวงมา  หมอหลวงตรวจอาการเสร็จจากไป  คนเป็นเป่ยชางอ๋องก็ลากเขาเข้าห้องด้านใน  ไม่พูดไม่จามือหนึ่งรวบเอวเขา  อีกมือผลักไหล่  ผลักร่างเขาลงไปบนเตียงอย่างรวบรัดหมดจด  เอ่ยวาจาสองคำ
“นอนซะ”
จำได้ว่าตัวเขาอ้าปากจะเอ่ยแย้ง  แต่แย้งไปได้แค่ ‘ข้า’ คำเดียวก็ต้องหยุดปาก  เพราะใบหน้าคมคายโน้มลงมาประชิด  สายตาคมกริบยิ่งย่นระยะก็ยิ่งให้ความรู้สึกกดดัน  ตอนแรกเหลียนอันสุ่ยเข้าใจว่าฉีเซี่ยงหยวนจะจูบเขา  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับชะงักในจังหวะสุดท้าย
ชิดใกล้จนไม่อาจชิดใกล้ไปมากกว่านี้
ดวงตาคู่งามของเหลียนอันสุ่ยเบิกกว้าง  ได้แต่ประสานสายตากับฝ่ายตรงข้าม  นี่  นี่มัน...
ความนิ่งเงียบคล้ายมีพลังอำนาจของมันเอง  ลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยทอดสับสน  ทั้งสองคนตกอยู่ในอากัปกิริยาเช่นนี้อยู่เป็นนาน  จนกระทั่ง...
“เมื่อคืนท่านได้นอนไปแค่นิดเดียว  เป็นคนป่วยอย่าอวดเก่ง  ไม่อย่างนั้นก็ลืมเรื่องที่จะจากไปได้เลย” คำพูดแผ่วเบาชัดเจน  คำแต่ละคำทำให้เรียวปากที่ประชิดติดกันเฉียดไปมาโดยผิวเผิน  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกลวนลามแต่กลับกล่าวได้ไม่เต็มปากนัก  หากในลมหายใจถัดมาเหลียนอันสุ่ยก็สามารถใช้คำว่า ‘ถูกลวนลาม’ ได้อย่างเต็มปากเมื่อเรียวปากที่ทาบอยู่ด้านบนกดประทับลงมาอย่างหนักหน่วง
เงาหลังของฉีเซี่ยงหยวนลับไปแล้ว  แต่เหลียนอันสุ่ยยังนิ่งค้างอยู่ที่เดิม
หรือว่าเมื่อคืนนี้...คนที่หลับช้ากว่าจะเป็นฉีเซี่ยงหยวน ?
เหลียนอันสุ่ยบนเก้าอี้รู้สึกเหมือนแผ่นดินไหวยวบโคลงเคลงจนต้องยึดที่เท้าแขนไว้มั่น  ไม่คุ้นชินเป็นอย่างมากที่มีคนมาพบเห็นความอ่อนแอของเขา  จริงอยู่เหลียนอันสุ่ยเห็นความอ่อนแอของผู้คนมานับไม่ถ้วน  แต่ไม่เคยอนุญาตให้ผู้ใดเห็นความอ่อนแอของเขา  หากผู้ชายคนนั้นกลับทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า  ซ้ำยังต้องบังเอิญมาพบเห็นผลของมันเข้าทุกครั้งไป  นี่มันเรื่องอันใดกันแน่ !
หน้าแดงก่ำด้วยความอับอายอยู่พักใหญ่  สุดท้ายทำได้เพียงถอนหายใจยาว  ช่างเถิด  ผู้ชายคนนั้นไม่เคยเข้ามาในชีวิตเขาด้วยวิธีธรรมดาๆอยู่แล้ว
ก่อนจะมานั่งอยู่ตรงนี้เหลียนอันสุ่ยได้คุยกับบุตรชาย  อธิบายเรื่องที่พวกเขาจะจากไปในสองสองอาทิตย์ข้างหน้า  เหลียนจิ้งเต๋อมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ดูงุนงงไม่เข้าใจอยู่บ้าง  แต่ก็รับคำแต่โดยดี  มอบทุกอย่างให้บิดาตัดสินใจตามคำที่เจ้าตัวเคยเอ่ยปากไว้
สายลมเย็นๆระลอกใหม่พัดเข้ามา  พร้อมกับเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคย  เหลียนอันสุ่ยขยับร่างจากพนักเก้าอี้  ในม่านสายตาปรากฏเงาร่างองอาจสูงสง่าร่างหนึ่ง  เรียวปากบางปรากฏรอยยิ้มยินดี  พึมพำว่า
“ท่านมาแล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนอึ้งไปเล็กน้อยที่ยังไม่ทันก้าวข้ามธรณีประตูก็พบพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ตอนแรกเข้าใจว่าเหลียนอันสุ่ยกำลังนั่งอ่านหนังสือ  แต่กวาดมองจนทั่วก็ยังไม่พบเห็นม้วนไม้ไผ่  จึงขมวดคิ้ว  กล่าวว่า
“ท่านมานั่งทำอะไรริมห้องโถงใหญ่  คิดจะนอนก็สมควรไปนอนให้เป็นเรื่องเป็นราวบนเตียง”
เหลียนอันสุ่ยลังเลเล็กน้อย  แต่สุดท้ายตอบไปตามความจริง
“ข้าไม่ได้นอน  ข้าแค่...รอท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนชะงัก  เหลียนอันสุ่ยปกติงานยุ่งทั้งวัน  ต่อให้ไม่มีงานก็ต้องหางานหาภาระให้แก่ตัวเอง  แต่ตอนนี้กลับแค่...รอท่าน  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้แจ้งว่าเขาจะมาเมื่อไหร่  เพราะเวลาเลิกประชุมของเขาไม่แน่นอน  วันนี้โชคดีเลิกไวกว่าปกติสองชั่วยาม  นี่ท่านตั้งใจจะนั่งรออยู่ตรงนี้ไปอีกนานแค่ไหน
ที่แท้เหลียนอันสุ่ยก็เป็นดุจเดียวกัน  ไม่ต้องการสูญเสียช่วงเวลาสิบสี่วันนี้ไปแม้แต่ชั่วขณะเดียว
ฉีเซี่ยงหยวนมองรอยยิ้มยินดีที่เผื่อแผ่ไปถึงดวงตาของเหลียนอันสุ่ย  รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหายใจไม่ออก  เหลียนอันสุ่ยไม่เคยยิ้มให้เขาเช่นนี้
...รอท่าน...บางทีชั่วชีวิตนี้ข้าคงรอคอยท่านมาโดยตลอด
---------------------
“พรุ่งนี้ไม่มีประชุมขุนนางพวกเราไปขี่ม้านอกเมืองกัน”
คนผู้หนึ่งลั่นวาจาเอาไว้
ในเมื่อเวลาเหลือไม่มากก็จำเป็นต้องใช้ให้คุ้มค่า  ฉีเซี่ยงหยวนฝันอยู่ตลอดว่าจะไปเหลียนอันสุ่ยไปรู้จักทุกซอกทุกมุมในแคว้นเป่ยชาง  ฉีเซี่ยงหยวนภูมิใจใน ‘บ้าน’ หลังนี้เสมอมา  น่าเสียดายที่แผ่นดินกว้างใหญ่เกินไปและเวลาน้อยเกินไป  ฝันทั้งหมดของเขาจึงพอจะเป็นจริงได้เพียงส่วนเดียว  หากนั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อันใด
พวกเขาขี่ม้าเคียงข้างในทุ่งหญ้า  เก็บเกี่ยวความรู้สึกทุกชั่วขณะที่มีให้แก่กันและกัน
ม้าสีดำกับสีน้ำตาลวาดเงาระหว่างผืนหญ้าสีเขียวและแผ่นฟ้าสีคราม  โดดเด่นสะดุดตาราวน้ำหมึกสองสายจากปลายพู่กันของจิตรกรเอก
---------------------
เหรียญทองก้มลงเล็มหญ้าอ่อนเขียวขจี  ร้อยราตรีกลับไม่ใคร่สนใจอาหารบนพื้นเท่าไหร่  เอาใบหน้าถูๆไถๆกับไหล่ของเหลียนอันสุ่ยที่ยืนกอดอกพิงต้นไม้สูงชะลูดต้นหนึ่ง  เหลียนอันสุ่ยหัวเราะเบาๆ  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนกลับเหยียดปากอย่างหมั่นไส้  เจ้าม้าตัวนี้ตั้งแต่เหลียนอันสุ่ยเอาไปลองขี่ก็ดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าเจ้านายจริงๆของตัวเองเป็นใคร  นั่น  ประจบเข้าไป  อยากเปลี่ยนเจ้านายก็บอกมาตรงๆเถอะ!
ฉีเซี่ยงหยวนเดินเข้าไปหยิบกระบอกใส่น้ำที่ห้อยไว้ข้างตัวม้าของตัวเอง  ได้โอกาสก็ผลักหัวสีดำของมันออกไป
“ห่างหน่อย” พูดพลางเอาตัวไปแทรกแทน  เลียนเยี่ยงคนข้างกายเอนพิงกับต้นไม้ต้นเดียวกัน  ยกกระบอกไม้ไผ่ในมือขึ้นดื่ม
“ม้าของท่านตัวนี้วิ่งเร็วดีจริง  ห้อมาตั้งไกลขนาดนี้ยังดูไม่เหนื่อยเลย”

“อย่าไปชมมันมาก  แค่นี้มันก็หลงตัวเองจะแย่” ฉีเซี่ยงหยวนปรายตามองเจ้าตัวร้ายที่พอเห็นเขาแทรกอยู่ตรงกลางก็สะบัดหน้าไปเล็มหญ้ากับพวกพ้องเผ่าพันธุ์เดียวกัน  พูดต่อว่า “ม้าของท่านเสียอีกที่ดีกว่า  นานๆทีข้าจะเจอม้าฝีเท้าจัดที่เชื่องได้ขนาดนั้น”
 “แต่เราให้ม้าวิ่งเร็วเกินไปกระมัง  ผู้ติดตามท่านหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้” เหลียนอันสุ่ยพูดขึ้นอย่างกังวล

“เหอะ  ตามไม่ทันก็ดี  ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อเช้าหลิวฉางเฟยจะยัดเยียดให้ข้าเอาองครักษ์มาตั้งสามสิบคน  พอข้าถามว่าคิดจะให้ทั้งเมืองหลวงรู้หรือไงว่าข้าอยู่ไหน  จึงยอมลดเหลือสิบหก  กว่าจะเถียงกันจนได้สิบหกนี่แทบแย่  ตอนแรกข้ารู้สึกว่าสิบหกมากเกินไป  แต่หมอนั่นเล่นคุกเข่า บอกว่าถ้าน้อยกว่านี้ถือว่าตัวเองจัดกำลังอารักขาบกพร่อง มีโทษสมควรตาย”
“ท่านก็เลยยินยอมเอามาสิบหกคน ? ”
“เปล่า  ข้าก็เลยบอกว่าถ้าจัดทันก็จัดมาเพราะข้าจะออกเดี๋ยวนี้  ตอนแรกข้ากะว่าหมอนั่นต้องเรียกมาได้ทันอย่างมากแค่เก้า  ที่ไหนได้เปิดประตูออกไปเห็นองครักษ์สิบห้านายยืนเรียงแถวเรียบร้อยอยู่หน้าประตูตำหนัก”
เหลียนอันสุ่ยหลุดหัวเราะออกมา  รู้สึกว่าแม่ทัพหลิวช่างมีวิธีรับมือกับนายเหนือหัวของตัวเองจริงๆ

ใบไม้แต้มเงาเป็นจุดๆ ลงบนพื้น  เสียงหัวเราะสะท้อนเบาๆเหนือยอดหญ้า  ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนหวานที่เบาสบายชนิดหนึ่งพัวพันหัวใจคนสองคนไม่เลิกรา
---------------------
กองไฟห้ากองจุดไว้โดยรอบ  คนคุ้มกันสิบหกคนนั่งกระจายล้อมคนทั้งสอง  ให้การอารักขาอยู่ไกลๆ 
ดวงดาวดารดาษเต็มฟ้า  ฉีเซี่ยงหยวนทำตามสัญญาพาเหลียนอันสุ่ยมาดูดาวในฤดูใบไม้ผลิ
เหลียนอันสุ่ยวางกระบอกธนูไว้ในระยะเอื้อมถึง  ลูบเบาๆไปตามเสื้อคลุมหนาที่ฉีเซี่ยงหยวนเตรียมมาเพื่อปูรองนอนโดยเฉพาะ 
เหลียนอันสุ่ยเพิ่งรู้ว่าฉีเซี่ยงหยวนเองก็มีฝีมือธนูไม่เลวเช่นกัน  ตอนบ่ายคล้อยชักชวนเขาเข้าไปในป่าล่าเอากระต่ายกับกวางมาอย่างละตัว  ขณะที่ทหารสองสามคนชำแหละกวางย่างกระต่าย  พวกเขาก็เอนกายลงกับผืนหญ้า  นอนคุยกันท่ามกลางกลิ่นเครื่องเทศเครื่องปรุงที่หอมอวลมาเป็นระยะ  เหลียนอันสุ่ยนึกแปลกใจที่เมื่อเป็นฉีเซี่ยงหยวนคนที่ไม่ค่อยพูดมากอย่างเขากลับมีเรื่องให้พูดคุยได้ไม่รู้เบื่อ  ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจสายตาคนอื่นถือวิสาสะกุมมือเขาเอาไว้  พวกเขาไม่ได้พูดกันถึงเรื่องที่จะต้องแยกจาก  และไม่ได้พูดถึงว่าหลังสิบสี่วันนี้จะทำอะไรบ้าง

มันไม่สำคัญหรอกว่าหลังจากนี้ท่านจะทำอะไร  ที่สำคัญคือชั่วขณะนี้ท่านกำลังทำอะไร

คนเรามักทำสิ่งต่างๆเผื่ออนาคต  เผื่อจนบางครั้งกลับหลงลืมไปว่าเราเพียงมีชีวิตอยู่ใน ‘ขณะนี้’
ท่านไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในอนาคตหรือในอดีต  ท่านเพียงสามารถมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น
“เหลียนอันสุ่ย  ข้าเชื่อเสมอว่าวันพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้  แต่ข้ากลับนึกไม่ออกเลยว่าจะมีวันไหนดีไปกว่าวันนี้ได้”

กว่าจะรับประทานมื้อเย็นเสร็จ  ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีเสียแล้ว  ผลัดกลางวันเป็นกลางคืน  ผลัดตะวันเป็นพระจันทร์และดวงดาว คืนนี้เมฆบางเบา  ท้องฟ้าปลอดโปร่งกระจ่าง
เหลียนอันสุ่ยแอบอิงกับร่างสูงใหญ่  เงยหน้าขึ้นมองดาว  ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่สนใจดวงดาว  เพราะดาวอีกร้อยปีพันปีก็มีให้ดู  แต่คนข้างกายเขากลับอยู่ตรงนี้เพียงแค่สิบสี่วัน
เสียงกองไฟแตกปะทุดังแผ่วเบา  ราวคีตาแห่งความหวังอันอบอุ่นท่ามกลางความมืดอนธกาลที่ยาวนานนิจนิรันดร์
“ข้ารักท่าน” จู่ๆฉีเซี่ยงหยวนก็กล่าวคำพูดนี้ออกมา
เหลียนอันสุ่ยหันไปมองอย่างไม่เข้าใจ  แต่กลับถูกแววตาคมกริบที่อ่อนโยนคู่นั้นดึงดูด
มือใหญ่ไล้ช้าๆไปตามผมนุ่มสลวยที่เหลียนอันสุ่ยปล่อยลงมาเพราะอากาศเย็นลง  เหลียนอันสุ่ยยังคงไม่ชินกับอากาศทางเหนือ  โอบกระชับร่างสูงโปร่งเข้ามาขณะกล่าวว่า
“ข้าคิดไว้แล้ว  ว่าจะบอกรักท่านให้มาก  ดีกับท่านให้มาก  ให้ท่านไม่มีปัญญาลืมเลือนข้าตลอดไป” ฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่คนชอบเป็นฝ่ายอ่อนข้อ  แต่ไม่เคยรู้สึกว่าการปากแข็งกับความรักจะมีประโยชน์เลย
ลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยชะงักไปวูบหนึ่ง  เงยหน้าขึ้น  กล่าวอย่างจริงจังว่า
“...ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้  เพราะข้าไหนเลยสามารถลืมเลือนท่าน” ไม่ว่าท่านจะดีต่อข้า  หรือไม่ดีต่อข้า  ข้าล้วนต้องการจะจดจำไว้
“ท่านสัญญาแล้วนะ” คนบางคนโมเมไปเองว่าเป็นคำมั่น
“ข้าสัญญา” แต่เหลียนอันสุ่ยกลับภาวนากับตัวเองในใจ  หวังให้ฉีเซี่ยงหยวนสามารถลืมเลือนเขา ยิ่งลืมเร็วเท่าไหร่  ความเจ็บปวดก็จะไม่อยู่กับคนนานนัก
...ข้าหวังให้ท่านมีความสุข  ต่อให้หลังจากนี้ใจท่านจะไม่มีข้าก็ตาม
แท่งไม้เขี่ยไฟคุโชน  สะเก็ดไฟปลิวกระจายขึ้นไปดุจละอองดาว  ลมราตรีพัดแผ่ว  หอบเอาละอองดาวดังกล่าวไปพร้อมกับคำภาวนาและสัญญาในความเงียบ
---------------------
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 57
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 15-10-2014 15:16:48
บทที่ 57 ถุงหอม

วันนี้เองก็เป็นวันหนึ่งในช่วงสองสัปดาห์ที่เปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วเหลือแสน

ตำหนักชุนเกองามเฉิดฉันดุจโฉมสะคราญในวัยสาวสะพรั่ง  ในความสวยงามนี้ไม่ทราบแฝงความลับไว้มากมายเท่าใด  ไม่มีใครทราบว่าที่นี่ไม่เพียงเป็นที่ๆฉีเซี่ยงหยวนมาเยือนบ่อยที่สุด  ยังเป็นที่ๆปลอดภัยที่สุดด้วย  หากไม่นับบ่าวไพร่จากแคว้นเหลียนไม่กี่คน  ที่เหลือทั้งหมดล้วนเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวน  ความเข้มงวดกวนขันไม่แน่ว่าเหนือกว่าตำหนักเยี่ยอวิ๋นอีก

เพราะที่นี่คือบ้านของเขา  คือที่พักใจของเขา  ไม่อนุญาตให้ใครบุกรุกแทรกซึมเข้ามาเด็ดขาด  ดังนั้นทุกครั้งที่มาที่นี่ฉีเซี่ยงหยวนจะทิ้งผู้ติดตามทั้งหมดเอาไว้ด้านนอก  เดินเข้ามาคนเดียวอย่างสบายใจ

หากสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดนี้ กลับมีคนไม่ประสงค์ดีต่อฉีเซี่ยงหยวนคนหนึ่งเล็ดรอดเข้ามาได้  ทั้งยังเล็ดรอดเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย ฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งจะเลี้ยวเข้าประตูตำหนักก็เจอเข้ากับผู้ไม่ประสงค์ดีคนนี้
เหลียนจิ้งเต๋อขมวดคิ้วนิ่วทันทีเมื่อพบว่าบังเอิญเจอเข้ากับผู้ใด  ตอนแรกคิดจะสะบัดหน้าไปอีกทาง  เมินเสียดั่งมองไม่เห็น  แต่คิดอีกทีทำเช่นนี้อีกฝ่ายไม่แน่ว่าจะได้ใจ  จึงเชิดหน้าขึ้น  เดินตรงเข้าไปเช่นเดิม
ผู้ใหญ่หนึ่ง เด็กหนึ่ง จึงพอดีมาประจันหน้ากันกลางทางเดิน
“ท่านมาทำอะไร” คำถามห้วนสั้น  ไม่มีขึ้นต้นและลงท้าย
ฉีเซี่ยงหยวนมองคนที่ตัวสูงแค่เอวเขาแต่พยายามวางท่าน่าเกรงขามอย่างขบขัน  พลางตอบว่า
“ข้ามาทำอะไรเกี่ยวอันใดกับเด็กน้อยอย่างเจ้า”
เหลียนจิ้งเต๋อหน้าเปลี่ยนสี  น่าชังนัก  เขาอุตส่าห์ใจกว้างตั้งใจจะไม่ขัดขวางเพราะเห็นแก่ท่านพ่อ  แต่บุรุษผู้นี้เปิดปากก็หาเรื่องเสียแล้ว  ท่านพ่อไปหลงชอบคนพรรค์นี้ได้อย่างไรกันนี่!
อันที่จริงเหลียนจิ้งเต๋อเกลียดผู้อื่นเรียกเขาเป็น ‘เด็กน้อย’ ที่สุด  มักรู้สึกว่าตัวเองโตแล้ว  ได้ยินเช่นนี้โทสะจึงพุ่งสูงปรี๊ดในพริบตา  ขณะจะอ้าปากตอบโต้ 
สหายร่วมเรียนที่เพิ่งกวดตามมาทันก็รีบเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ลูกคารวะพระบิดาบุญธรรม” คู่กรณีทั้งสองหันมามองผู้มาใหม่
ฉีเซี่ยงหยวนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้  มองเด็กทั้งคู่ แล้วก็เดินผ่านเข้าไปด้วยบุคลิกที่เหลียนจิ้งเต๋อเห็นว่าจองหองจนน่าหมั่นไส้
ปากเล็กๆของเหลียนจิ้งเต๋อพึมพำก่นด่า
“เจ้าคนแซ่ฉีจอมโอหังลำพอง  ข้าจะ...”
“เจ้าด่าข้าหรือ” รัชทายาทวัยเยาว์ถามขึ้น
“โอ๊ะ  ข้าลืมไปว่าเจ้าก็แซ่ฉี” เหลียนจิ้งเต๋อตบบ่าสหาย
ผู้เป็นสหายส่ายหัว  หากมีวันที่เหลียนจิ้งเต๋อไตร่ตรองก่อนด่าคน  วันนั้นพระอาทิตย์จะต้องขึ้นทางทิศตะวันตกแน่นอน
“เจ้าจะไปจริงๆหรือ”
เหลียนจิ้งเต๋อก้มหน้ารับคำว่า ‘อืมม์’  สิ่งที่ทำให้เหลียนจิ้งเต๋อไม่ค่อยอยากจากไปเท่าไหร่ก็คือเพื่อนร่วมเรียนคนนี้  พี่น้องคนนี้เขาได้มาอย่างยากเย็น  ไม่กี่เดือนก็ต้องสูญเสียไปเสียแล้ว  แต่เหลียนจิ้งเต๋อก็คือเหลียนจิ้งเต๋อซึมได้ชั่วขณะก็ตบบ่าสหาย  กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นคุณธรรมน้ำมิตรเต็มเปี่ยมว่า
“เป็นสหายกันวันหนึ่ง ก็ถือเป็นสหายตลอดชีวิต  ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเสียใจไป”

แววตาของคนมากวัยกว่ามีแววครุ่นคิด  ถ้าพระมาตุลาคิดจะไป  และขนาดพระบิดาบุญธรรมยังยอมให้ไป  เขาคงไม่มีปัญญาเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้  ได้แต่ถือว่าความได้เปรียบที่เพียรสร้างขึ้นมาคงต้องไปเริ่มสร้างกันใหม่
...อันที่จริงรัชทายาทแคว้นเป่ยชางมีความรู้สึกว่าหลังจากนี้ชีวิตเขาคงเงียบสงบขึ้นมากทีเดียวเมื่อไม่มีเหลียนจิ้งเต๋อ

ฝ่ายเหลียนจิ้งเต๋อเห็นอีกฝ่ายเงียบเสียงไปนาน  เข้าใจว่าเพื่อนกำลังซึม จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“วันนี้เจ้าจะทำถุงหอมที่มีสรรพคุณทางสมุนไพรให้ท่านแม่ของเจ้าไม่ใช่หรือ เรื่องนี้ท่านพ่อช่วยเจ้าได้  เดี๋ยวให้ท่านพ่อดูเรื่องส่วนผสมให้แล้วค่อยไปเจียดมาจากโรงหมอ  ตัวถุงนี่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง  พี่เยี่ยนจื่อฝีมือเย็บปักเป็นหนึ่งในใต้หล้า  ทั้งเสื้อผ้าข้าและเสื้อผ้าท่านพ่อข้าทุกตัวล้วนเป็นฝีมือของนาง  ท่านแม่เจ้าเป็นเป็นคนชอบเย็บปักรับรองเห็นแล้วต้องถูกใจ  วันเกิดปีนี้จะต้องปลาบปลื้มยิ่งกว่าปีไหนๆ...” เหลียนจิ้งเต๋อสาธยายไปตลอดทาง  มาสะดุดหยุดกึกเอาตอนที่ผลักประตูเข้าไปแล้วเห็นบุรุษที่ยัดเยียดตัวเองมาเป็นบิดาบุญธรรมของเขากำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่ม  ส่วนท่านพ่อกำลังเก็บอุปกรณ์ชงชา

ดวงตากลมโตของเหลียนจิ้งเต๋อหรี่ลง  เขาควรจะนึกได้แต่แรกว่าคนผู้นี้จะต้องมีเป้าหมายมารบกวนท่านพ่อเขาแน่นอน  มือเล็กลากแขนสหายพรวดเดียวไปยืนตรงหน้าบิดาตัวเอง ขวางกึ่งกลางพอดี  แย่งความสนใจมาเป็นผลสำเร็จ  เอ่ยว่า
“ท่านพ่อ  องค์รัชทายาทจะทำของขวัญวันเกิดให้ท่านแม่ของเขา  เพราะท่านแม่เขาสุขภาพไม่ค่อยดี  นอนไม่ค่อยหลับ  จึงคิดจะทำถุงหอมที่มีสรรพคุณทางยา  ข้าเห็นท่านเคยศึกษาเรื่องใช้กลิ่นสมุนไพรบำบัดโรคอยู่ช่วงหนึ่ง  เลยพาเขามาขอให้ท่านช่วย”
เหลียนอันสุ่ยเลิกคิ้ว  มองเด็กอีกคน  สุดท้ายเอ่ยว่า
“ข้าจะร่างสิ่งที่จำเป็นให้  แต่พวกเจ้าควรจะเอาไปให้นักปรุงเครื่องหอมประจำราชสำนักตรวจดูสักรอบ”...
มหกรรมปรุงเครื่องหอมจึงเริ่มขึ้น  เหลียนอันสุ่ยแนะนำให้ไปทำที่โรงหมอจะได้เบิกหญ้าหอมสะดวกๆ  ที่สำคัญคือที่นั่นมีเตาเล็กสำหรับเครื่องหอมที่ต้องเผาไฟจึงได้กลิ่น  แต่เหลียนจิ้งเต๋อกลับส่ายหน้า ส่ายนิ้วชี้ไปมา กล่าวว่า
“ท่านพ่อนี่ไม่รู้อะไร  ทำเช่นนั้นเอิกเกริกแย่  แล้วคนรับจะประหลาดใจได้อย่างไร”  เหลียนอันสุ่ยส่ายหัว  แต่ก็ยินยอมไปหยิบมีดเล็กที่ใช้ฝานเครื่องหอมกับหินบดออกมา
ม้วนไม้ไผ่จดบันทึกสัดส่วนที่ต้องใช้ของสมุนไพรแต่ละตัวถูกวางแผ่หลา  เด็กสองคนชะโงกหัวไปๆมาๆกะปริมาณของที่ต้องใช้วุ่นวายไปหมด  โดยมีมือบดเครื่องหอมที่ถูกตามตัวมาคอยให้คำแนะนำอยู่ด้านข้าง
การทำของขวัญเน้นที่ความจริงใจ  สำหรับเหลียนจิ้งเต๋อความจริงใจก็คือลงแรงทำเองกับมือ  จึงตกลงกับสหายว่าขั้นตอนที่ไม่ใช่เย็บปักพวกเขาต้องมีส่วนร่วมทั้งหมด
เยี่ยนจื่อ หญิงรับใช้ที่เหลียนจิ้งเต๋อโอ้อวดสหายไว้ว่าฝีมือเย็บปักเป็นหนึ่งในใต้หล้านั่งอยู่ที่มุมห้อง  กำลังเลือกด้ายที่เหมาะสมกับแบบที่ค่อนข้างจะเข้าใจลำบากเพราะเคยแก้ไขหลายรอบด้วยฝีมือเด็กสองคนที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องเย็บปักสักเท่าใด
“พี่สะใภ้ชอบสีเหลือง” เป่ยชางอ๋องออกความเห็น
“ท่านแม่ชอบลายดอกไม้  อืมม์  ต้องมีใบด้วย  ดอกอย่างเดียวท่านแม่ไม่ชอบ” เจ้าของผลงานตัวจริงกล่าว
“ข้าว่าผ้าผืนนี้สวยกว่าผืนที่เจ้าเลือกนะ” เหลียนจิ้งเต๋อบอกสหาย
“แต่พ่อว่าผืนที่เจ้าเลือกอ่อนไป  ปักด้วยสีเหลืองแล้วจะดูกลืนไปหมด” เหลียนอันสุ่ยท้วงบุตรชาย
ความเห็นสารพัดของบุรุษสี่คนที่มิได้รับรู้ความยากลำบากของลวดลายที่ปรากฏบนแบบและไม่เคยปักผ้ามาก่อนถกเถียงกันไปมา  เยี่ยนจื่อนวดขมับ  ตกลงจะปรับแก้อีกปรือไม่  ถ้าไม่ปรับแก้แล้วนางจะได้เลือกด้ายแล้วเริ่มปักเสียที
ฉีเซี่ยงหยวนมองเครื่องหอมอย่างสนใจ  หยิบๆจับๆลองสูดดมทีละอย่าง
“นี่  พวกข้ายุ่งมาก  ท่านอย่ามารบกวนสิ” เหลียนจิ๋อเต๋อโวยวาย  คนทั้งห้องชะงักโดยพร้อมเพรียง  เห็นบุรุษที่ทรงศักดิ์สูงสุดไม่ว่าอะไร  ปัดมือเล็กออก  ฉวยเครื่องหอมขึ้นมาดมต่อ  เหลียนจิ้งเต๋อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ  จนเหลียนอันสุ่ยต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยบอกให้บุตรชายไปช่วยเพื่อนบดเครื่องหอมอีกด้าน
เหลียนอันสุ่ยใช้มีดเล็กฝานสมุนไพรอย่างชำนาญ  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนที่ไม่มีอะไรจะทำก็ถือโอกาสแย่งงานเดิมของเหลียนจิ้งเต๋อมาทำเองคือชั่งตวงสัดส่วนวัตถุดิบแต่ละชนิด
“ต้าอ๋อง  มากไปแล้ว” นานๆครั้งจะมีเสียงจากคนที่ชำนาญกว่า
“ถ้าผลสุดท้ายออกมาแล้วกลิ่นประหลาดๆ ต้องเป็นเพราะท่านเลยเชียว” นานๆครั้งก็จะมีคำโวยวายดังมาจากบุตรชายของผู้ชำนาญการ
“เจ้าดูที่เจ้าบดด้วยสิ  แหลกไปหมดแล้ว” นานๆครั้งเจ้าของผลงานตัวจริงจะส่งเสียงเพื่อดึงความสนใจของเหลียนจิ้งเต๋อกลับไปที่เดิม
มันเป็นวันธรรมดาที่พิเศษ  บางทีคงเป็นเพราะเวลาเหลือน้อยนักวันธรรมดาๆเช่นนี้จึงดูพิเศษขึ้นมา  พวกเขาสี่คนไม่อาจจัดเป็นคำว่า ‘กลมเกลียว’  ยิ่งไม่อาจพูดว่าเป็น ‘ครอบครัวเดียวกัน’ ได้อย่างเต็มปาก  แต่มันสำคัญตรงไหนหรือ  ฉากในชีวิตคนเรามีกี่ฉากที่สมบูรณ์พร้อม  เพียงทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มีคุณค่าพอจะหวนคิดถึงก็พอแล้ว

น่าสะทกสะท้อนที่วันเช่นนี้ไม่ยืนยาว  ดวงตางามกระจ่างของเหลียนอันสุ่ยจับจ้องทุกภาพที่เกิดขึ้น หลักการบางอย่างกลับโยกไหวจนน่ากลัว  เหลียนอันสุ่ยถามตัวเอง  ในเมื่อเวลาเหลือน้อยปานนี้  เหตุใดจึงไม่อาจรักคนผู้หนึ่งให้เต็มที่  ...หากยังลังเลหรือจะไม่สำนึกเสียใจไปชั่วชีวิต?
---------------------
ฟ้าข้างนอกมืดลง 
ฉีเซี่ยงหยวนจมร่างอยู่ในอ่างอาบน้ำ  กำลังครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย  มีเสียงผลักประตูเข้ามา  ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจว่าเป็นหญิงรับใช้มาเติมน้ำร้อนจึงกล่าวโดยไม่หันกลับไปมองว่า
“ไม่ต้องเติมน้ำร้อนหรอก  ข้าจะขึ้นแล้ว...” พูดถึงตรงนี้กลับพบว่ามีแขนคู่หนึ่งเอื้อมมาโอบร่างเขาจากทางด้านหลัง  ผิวแก้มเนียนละเอียดแนบกับข้างแก้มเขา  คนที่เพิ่งเข้ามาถามเบาๆว่า
“คืนนี้ท่านจะไม่ค้างที่นี่หรือ”
มือของฉีเซี่ยงหยวนเลื่อนไปกุมมือเรียวอย่างแปลกใจ  ขณะตอบว่า
“...ไม่ค่อยดีกระมัง  เหลียนจิ้งเต๋อเห็นข้ามาที่นี่  อย่างน้อยก็ควรจะให้เขาเห็นข้ากลับออกไป”
เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจ
“ไม่เป็นไรหรอก  จิ้งเอ๋อทราบนานแล้วว่าท่านชอบมาค้างกับข้า  ดังนั้นคืนนี้ไม่ต้องกลับตำหนักเยี่ยอวิ๋นหรอก”
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้ว  หันไปมองใบหน้าหมดจดที่อยู่แค่คืบ  เห็นดวงตาของเหลียนอันสุ่ยฉายแววจริงจัง
“เจ้าของตำหนักอนุญาต เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ” ดวงตาคมกริบมีประกายล้อเลียน  หันใบหน้าเข้าไปใกล้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งให้อีกคนต้องถอยหนี  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับจูบเบาๆที่ข้างแก้มเขา
“ตำหนักเป็นของท่าน  ข้าเองก็เป็นของท่าน  ไม่ต้องคิดมากหรอก” พูดพลางหยิบผ้าเช็ดตัวที่ด้านข้างส่งให้กับอีกฝ่าย
ฉีเซี่ยงหยวนมองใบหน้าก้มต่ำที่เรียบเฉยเป็นปกติ  ติดแต่ว่าผิวของเหลียนอันสุ่ยขาวเกินไป  เมื่อมันแดงขึ้นมาจึงยากปกปิดกลบเกลื่อน
“งั้นท่านเช็ดตัวให้ข้าหน่อย” ในเมื่อบอกไม่ต้องคิดมาก  ฉีเซี่ยงหยวนก็เลยไม่คิดมากจริงๆ  ความจริงแล้วไอ้เรื่องไม่เกรงใจเอารัดเอาเปรียบเหลียนอันสุ่ยนี่เขาถนัดที่สุด
เพียงแต่คิดไม่ถึง เหลียนอันสุ่ยกลับยินยอมเช็ดตัวให้เขาจริงๆ
---------------------
ร่างกำยำของฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่บนเตียง  สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว  เหลียนอันสุ่ยอยู่บนเตียงเช่นกัน  คุกเข่าข้างร่างสูงใหญ่  กำลังทำหน้าที่ลำดับสุดท้าย  ค่อยๆสางผมแล้วใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดผมที่เปียกชื้น  เพราะฉีเซี่ยงหยวนตัวสูงกว่าเขา  เหลียนอันสุ่ยจึงต้องยืดตัวขึ้นทิ้งน้ำหนักลงบนเข่าทั้งสองข้าง

ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนอยู่พอดีกับระดับของปลายคางมน  เลื่อนช้าๆลงมาตามเรียวคอขาว  มือข้างหนึ่งโอบอยู่รอบเอวเพรียว  มืออีกข้างขยับเนิบนาบไปตามสาบเสื้อที่ไม่ใช่ของตัวเอง  ราวกำลังลูบคลำสิ่งของที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต

เหลียนอันสุ่ยผอมไปมากจนฉีเซี่ยงหยวนเจ็บปวดใจ  อาการป่วยของเหลียนอันสุ่ยแม้ดีขึ้นแล้ว  แต่ทุกครั้งที่โอบกอดเหลียนอันสุ่ยไว้ฉีเซี่ยงหยวนพอจะมองเห็นความทุกข์ในจิตใจที่อีกฝ่ายต้องเผชิญมา  หากไม่รักใยต้องทุกข์ใจถึงเพียงนี้  หากสามารถปล่อยวางใยจึงยังปวดร้าว  ท่านรักข้าใช่หรือไม่  ข้ารู้ว่าท่านรักข้า  ที่ข้าไม่เคยมั่นใจตลอดมาไม่ใช่เพราะท่านไม่เอ่ยปาก แต่ที่จริงเป็นเพราะข้านึกไม่ออกว่าท่านจะรักข้าได้อย่างไร  ข้าทำเรื่องเลวร้ายกับท่านไปมากเพียงใดข้าล้วนทราบดี  ท่านให้อภัยข้าไปกี่ครั้งข้าล้วนทราบดีเช่นกัน  ใจข้ายังคงดึงดันไม่อยากปล่อยท่านไป  แต่เมื่อข้าเห็นท่านที่เป็นแบบนี้ข้ากลับไม่อาจไม่ปล่อยท่านไป 
เพราะข้าเห็นแล้วว่าสิ่งที่ท่านหักห้ามไม่ให้ตัวเองแสดงออกมาโดยตลอดมากมายแค่ไหน  ข้าไม่เคยมองเห็นเลยว่าฐานะที่ข้าเป็นอยู่กดดันท่านหนักหนาถึงเพียงนี้  สิ่งเหล่านั้นที่ข้าเห็นว่าไม่สำคัญไม่ต้องคำนึงถึงกลับเป็นสิ่งที่ท่านให้ความสำคัญคำนึงถึง  ข้าพยายามยัดเยียดให้ท่านมองโลกอย่างที่ข้ามอง  แต่ตัวเองกลับไม่เคยมองในมุมของท่านมาก่อน

ฉีเซี่ยงหยวนก้มหน้าลงให้เหลียนอันสุ่ยเช็ดโคนผมเขา  สันจมูกโด่งจรดลงกับผิวกายละเอียด  ละเลียดความอ่อนหวานที่เหลียนอันสุ่ยมีให้เขาคนเดียว  อารมณ์อาวรณ์ที่ทำให้คนหัวใจสลายครอบงำไออุ่นที่แอบอิงกัน  เหลียนอันสุ่ยเองก็เหมืองจะสัมผัสได้ว่าฉีเซี่ยหยวนรู้สึกอย่างไร  ดวงตาคู่งามทอแววอ่อนโยน  ยังคงเช็ดผมให้กับอีกฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ  ...ปล่อยให้ความเงียบจรดจารึกทุกความทรงจำเอาไว้อย่างประณีตที่สุด 

ฉีเซี่ยงหยวนหลับตาลง  ซึมซับความรู้สึกที่มือเรียวเช็ดผมให้เขาอย่างเบามือ  ความอ่อนโยนของท่านทำให้หัวใจข้าอบอุ่น  ความเข้มแข็งของท่านทำให้หัวใจข้าลุ่มหลง  ท่านไม่เคยเอ่ยปากเรียกร้องสิ่งใดจากข้า  แต่หัวใจของท่านกลับร่ำร้องต้องการคนที่จะเข้าใจท่านมาโดยตลอด  ข้ารู้สึกได้  รู้สึกได้อย่างชัดเจน  ชีวิตของท่านที่ทุกคนต่างคิดว่าสมบูรณ์พร้อม  แต่นั่นเป็นเพียงด้านเดียวที่พวกเขามองท่าน  เรียกร้องเอาจากท่าน  คนๆหนึ่งไหนเลยสามารถสมบูรณ์พร้อมในทุกด้านได้  ท่านเองก็เป็นคน  เคยทำสิ่งที่ผิดพลาด  เคยสำนึกเสียใจ  มีความอาลัยและความยึดติด  ข้ารักท่านที่เป็นอย่างนี้  ข้าอยากให้ความยึดติดของท่านมีส่วนหนึ่งที่เป็นพื้นที่ของข้า 
ข้าคงเห็นแก่ตัวอย่างมาก  ถึงแม้จะทราบว่าเราไม่อาจอยู่ร่วมกัน  แต่กลับหวังให้ท่านไม่อาจลืมเลือน...ไม่อาจลืมเลือนตลอดไป  ดังเช่นหัวใจข้าที่ไม่อาจลืมเลือนท่าน

ผมดำสนิทถูกเช็ดจนแห้งหมาด  เวลาที่เคลื่อนผ่านเปี่ยมคุณค่าความหมายในตัวมันเอง

มือใหญ่ดึงผ้าผืนเล็กออกมาจากมือเรียว  มืออีกข้างดึงร่างสูงโปร่งเข้ามาในอ้อมอก  เหลียนอันสุ่ยเกาะบ่าหนาเพื่อพยุงตัว  ดวงตาคู่งามสบประสานกับด้วงตาคมกริบทรงอำนาจ...แล้วทั้งคู่ก็จูบกัน
ให้ความรักใคร่ลุ่มหลงแทรกซึมลงไปในเลือดทุกหยด  ให้ความอาลัยจารจำในกระดูก  ให้ความเศร้าโศกและปิติยินดีทรงอานุภาพในความทรงจำ  ท่านเป็นของข้า  อย่างน้อยในชั่วขณะนี้ท่านก็เป็นของข้า  ...และข้าเป็นของท่าน  เป็นของท่านเพียงคนเดียว
ริมฝีปากนุ่มนวลของเหลียนอันสุ่ยขยับไล้ไปตามเรียวปากร้อนผ่าว  ลิ้มรสชาติของอีกฝ่าย  และปล่อยให้อีกฝ่ายลิ้มรสชาติของเขา
ผ้าเช็ดผมร่วงหล่นลงบนพื้น  แต่ทั้งคู่ไม่ได้สนใจมัน  พวกเขาสนใจแค่กันและกัน
ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกถึงปลายนิ้วเรียวยาวที่ขยับไปตามลาดไหล่  แผ่วเบาถึงเพียงนั้น  สะกิดหัวใจจนคันยิบๆ  ฉีเซี่ยงหยวนชอบความรู้สึกเวลาปลายนิ้วเหล่านั้นจิกลึกลงบนร่างเขาเวลาเจ้าของของมันไม่อาจควบคุมตัวเอง  ยิ่งชอบเวลาที่มันไล้กรอบหน้าเขา  ทะนุถนอมเขาราวกับเขาเป็นสมบัติล้ำค่า

พวกเขา ‘ร่วมเตียง’ และ ‘ร่วมรัก’  ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องถูกต้อง  แต่ขณะที่ร่างแข็งแกร่งจรดกายเข้ามาในร่างเขา  เหลียนอันสุ่ยกลับรู้สึกถึงความเต็มสมบูรณ์และถูกต้อง  รู้สึกเปลือยเปล่าและไม่มีหนทางเก็บซ่อนความอาลัย
ถึงไม่พูดออกมาแต่พวกเขากลับรู้ดี  ถึงไม่เคยนับออกเสียงแต่ทราบอยู่โดยตลอดว่าหลงเหลืออีกกี่วัน  บางทีพวกเขาก็นับเป็นชั่วยาม  เพื่อหวังจะให้มันดูยาวนานขึ้น  แต่มันก็ยาวนานได้แค่เท่าที่มันเป็น

เหลียนอันสุ่ยไม่คิดจะปิดบังสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเขาอีกต่อไป  ยินยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับบุรุษผู้นี้  ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเวลาที่พวกเขาเหลืออยู่  ปากแข็งกับความรัก  เอียงอายกับความรัก  เรื่องเหล่านั้นเอาไว้คู่รักที่มีเวลาเหลือเฟือค่อยๆละเลียดมันเถอะ  พวกเขาไม่อาจ 
ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของมัน  ปล่อยให้หัวใจโลดแล่นโบยบิน
ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกถึงรักใคร่อาลัยจากร่างสูงโปร่งได้อย่างชัดเจนขณะที่พวกเขาเป็นหนึ่งเดียว  ความรู้สึกนั้นรุนแรงจนเกือบเป็นความโหยหา  ร่างกายของเหลียนอันสุ่ยรู้วิธีตอบสนองเขา  ยั่วยวนเขา  รักใคร่เขา  และปลอบประโลมเขา 
ความเร่าร้อนอ่อนหวานซึมลึกเข้าไปถึงหัวใจ  ทำให้ห้องหัวใจที่เคยว่างเปล่าของเขาสัมผัสกับความละโมบที่ไร้จุดสิ้นสุด  เขาต้องการมากกว่านี้  ต้องการทั้งหมด  ทั้งหมดของคนผู้นี้  ทั้งร่างกายและวิญญาณ  ทั้งความรักและความเกลียดชัง
วิธีที่ฉีเซี่ยงหยวนเรียกร้องเอาจากเขาทำให้เหลียนอันสุ่ยสั่นสะท้าน  มีคนมากมายเคยเรียกร้องหลายสิ่งหลายอย่างจากตัวเขา  แต่ในความเป็นจริงมีฉีเซี่ยงหยวนเพียงคนเดียวที่มีสิทธิ์  เพราะฉีเซี่ยงหยวนเป็นเจ้าของวิญญาณเขา  เป็นมานานก่อนที่เหลียนอันสุ่ยหรือใครจะรู้  และจะเป็นไปจนวันตาย 
สุขทุกข์ของฉีเซี่ยงหยวนคือสุขทุกข์ของเขา  คนสองคนที่ใจสื่อถึงกัน  ในความเป็นจริงพวกเขาคือคนคนเดียวกัน
 
ฉีเซี่ยงหยวนเคยอยากรู้มานานแสนนาน  ว่าเมื่อพระมาตุลาผู้สงบเยือกเย็นคนนี้มอบกายใจให้กับคนผู้หนึ่งจะมีสภาพเป็นเช่นไร  แต่ตอนที่ได้รับทราบคำตอบของมัน  ฉีเซี่ยงหยวนกลับตะลึงลาน
ในชั่วขณะนั้นพวกเขาราวกับเป็นคนรักที่รักใคร่กันอย่างดูดดื่ม  ราวกับเป็นคู่ชีวิตที่จะไม่แยกจากกันชั่วชีวิต  ใบหน้าที่แหงนไปด้านหลังของเหลียนอันสุ่ยครวญครางเรียกชื่ออีกฝ่ายไม่ขาดปาก  ฉีเซี่ยงหยวนสั่นสะท้าน  ราวคำพร่ำเรียกแต่ละคำบีบคั้นหัวใจของเขา  เขากลับได้รับคำตอบของคำถามนี้ในช่วงเวลาสุดท้ายที่พวกเขาสามารถอยู่ร่วมกัน

มือเรียวยาวของเหลียนอันสุ่ยเลื่อนมากุมมือใหญ่  ดวงตาคมซึ้งมองแววตาคมกล้าที่สะท้อนเงาของเขาเพียงคนเดียว  อารมณ์กระหน่ำซัดรุนแรง  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับบังคับให้ดวงตาของตัวเองจับจ้องมองอีกฝ่าย
เซี่ยงหยวน  ข้าเต็มใจเป็นของท่าน  และไม่เคยเสียใจที่ชีวิตนี้ได้พบกับท่าน

ฉีเซี่ยงหยวนครางต่ำ  แทบจะเป็นความรู้สึกรวดร้าวยามรับรู้ว่าตัวเองปรารถนาอีกฝ่ายแค่ไหน  ร่างกายขมวดเกร็งไปทุกส่วน  เหลียนอันสุ่ยที่ถูกจองจำอยู่ใต้ร่างเขากลับแลดูมีอิสระกว่าเขา  ราวกับสามารถวางสิ่งที่เรียกว่ากรอบประเพณี  วางสิ่งที่เรียกว่าความผิดบาปละอาย  วางเงื่อนไขเป็นร้อยเป็นพันที่เคยร้อยรัดไว้  หลงเหลือเพียงคำว่ารักเพียงหนึ่งเดียว 
เหลียนอันสุ่ยที่เป็นเช่นนี้กลับทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกหมดทางเลือก  ถูกต้อนเข้าไปถึงทางตัน  ถูกจองจำด้วยความทรงจำที่ไม่อาจลบเลือนไปชั่วชีวิต 
ร่างหนาฟุบลงกับไหล่มน  ในชั่วขณะนั้นความสุขสมกับความเจ็บปวดกลับแยกกันไม่ออก  ฉีเซี่ยงหยวนตระกองกอดบุรุษหนึ่งเดียวที่เขาปรารถนา  พึมพำถามว่า
“ท่านไม่ไปไม่ได้หรือ” ในตอนที่ถามคำถามนี้ออกไป  ใจของฉีเซี่ยงหยวนกลับรับรู้อย่างสิ้นหวังว่า...เขาจะปล่อยอีกฝ่ายไป


========
ตอนนี้ดำเนินมาถึงประมาณ3/4ของเรื่องแล้วนะคะ 
กำลังอยู่ในช่วงสำคัญที่ต้องจัดการเก็บปมทั้งหมด 
และวางทางไปทั้งหมดเพื่อเข้าสู่ช่วงสุดท้าย 
เรื่องนี้ไม่ใช่ไตรภาคและไม่มีภาคต่อ 
ตั้งใจไว้ให้มันจบสมบูรณ์ในตัวเอง 

หลังๆอาจอัพช้านิดหน่อยเพราะการเก็บพล๊อตเป็นเรื่องยุ่งยากเรื่องหนึ่ง  ไม่อยากให้เยิ่นเย้อ  และไม่อยากให้ห้วนสั้นเกินไป 
ปล.ขอโทษที่ทำให้อ่านแล้วนอนไม่หลับนะคะ(รู้สึกผิด :mew2:แต่ตอนนี้อ่านจบไปคงหลับยากกว่าเดิม 555)

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 57 .......................................15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 16-10-2014 01:23:17
ทั้งๆที่เป็นช่วงที่ทั้งคู่มีความสุขแท้ๆ แต่อ่านแล้วหน่วงตลอดเวลาเลย
หรือกลายเป็นเราแล้วที่กังวลจนเกินไป  :mew2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 57 .......................................15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 16-10-2014 08:54:48
ความุขที่รู้ว่าไม่มีพรุ่งนี้นี่ทำร้ายจิตใจดิฉันเหลือเกินค่ะ  :ling2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 57 .......................................15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 16-10-2014 13:42:04
ตอนนี้สวยงาม แต่หน่วงหนัก หวังแค่ให้จบแฮปปี้ก็ดีใจแล้วค่ะ
ตอนหน้าจะได้น้ำตาซึมมั้ยเนี่ย เพราะตอนนี้มันดีเกินไป
แต่สิ่งต่างๆก็ต้องดำเนินไป รอลุ้น ฮือ

รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 57 .......................................15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 16-10-2014 21:24:32
 :mew4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 57 .......................................15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 17-10-2014 07:32:40
ท่านรักข้าใช่หรือไม่  ข้ารู้ว่าท่านรักข้า  ที่ข้าไม่เคยมั่นใจตลอดมาไม่ใช่เพราะท่านไม่เอ่ยปาก แต่ที่จริงเป็นเพราะข้านึกไม่ออกว่าท่านจะรักข้าได้อย่างไร  ข้าทำเรื่องเลวร้ายกับท่านไปมากเพียงใดข้าล้วนทราบดี
 :hao5:

เห็นเชียงหยวนเจ็บปวดขนาดนี้ ยกโทษให้กับความร้ายกาจที่ทำกับอันซุ่ยช่วงแรกอย่างสนิทใจแล้ว จริงสินะอันซุยรักเจ้าคนร้ายกาจนี้ได้ยังไง ขนาดตัวคนถูกรักยังไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่แปลกที่เชียงหยวนจะหลงรักทุกอย่างของเหลียนๆ แต่คงไม่คิดว่าเหลียนๆจะรักตนขนาดนี้เช่นกันสินะ แทบไม่กล้าจะใช้อำนาจที่มีมากักขังอีกฝ่ายไว้อีกแล้ว ฮืออออ อย่างให้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ แต่ก็ไม่กล้าใช้อำนาจบังคับใจอีกฝ่าย ท่านรักเหลียนอันซุ่ยจนหมดใจแล้วจริงๆ  :hao5:

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 57 .......................................15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 17-10-2014 19:48:40
สนุกมากกกกกกกก เห็นเรื่องนี้มานานแล้วในอีกบอร์ด ไม่กล้าอ่าน สุดท้ายเห็นมาลงที่เล้าอดไม่ได้ สนุกอย่างที่คิดจริงด้วย นิยายเลอค่ามากฮ่ะ!
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 57 .......................................15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: rk ที่ 18-10-2014 21:47:53
เรื่องนี้ชอบมากกกกกกกกก  :katai2-1:  :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 57 .......................................15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 19-10-2014 22:44:42
เครียด -*-
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 58
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 20-10-2014 20:14:07
บทที่ 58 สัปดาห์ที่สอง(1)

ห้วงเวลาดำเนินไปเช่นนี้  ราวมีกฎที่รับรู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายว่าจะไม่เอ่ยถึงการแยกจากที่คืบใกล้เข้ามาทุกที  มีเพียงครั้งเดียวที่ฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยถามเหลียนอันสุ่ยเกี่ยวกับช่วงวันหลังพ้นสิบสี่วันนี้ไป 
นั่นเป็นตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนโอบกอดเหลียนอันสุ่ยไว้  แนบใบหน้ากับช่วงคอละเอียด  เพ่งมองลงไปในสระน้ำ  มองระลอกน้ำที่วาดเป็นวง  วงแล้ววงเล่าแผ่กระจายออกไปราวการตัดบรรจบของอดีตและปัจจุบัน
“หลังจากนี้ท่านจะไปไหน  เรา...จะได้พบกันอีกหรือไม่”
แต่เหลียนอันสุ่ยกลับตอบเขาว่า
“ในเมื่อตัดใจแยกจากแล้วก็อย่าพบกันอีกเลย” ยิ่งพบหน้า  ก็ยิ่งตัดไม่ขาด  พบหน้ากันอีกครารังแต่เพิ่มความทรมานขึ้นเท่านั้น...
---------------------
ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็ยินยอมรับความจริงที่ว่าเขาต้องปล่อยเหลียนอันสุ่ยไป  ปล่อยไปโดยไม่มีวันได้กลับคืนมา  แต่คนผู้หนึ่งกลับยังไม่ยินยอมให้ฉีเซี่ยงหยวนละทิ้งความหวัง  ในแง่ของความเป็นเพื่อนแล้วเสิ่นชิงอีไม่ได้ด้อยไปกว่าสหายคนใดของฉีเซี่ยงหยวนเลย
เรือนไม้เล็กกะทัดรัดแยกตัวออกมาจากเรือนพักรวมของเหล่านางรำ  เป็นพื้นที่ส่วนตัวของหัวหน้าฝ่ายร้องรำที่มีรูปโฉมเลื่องลือไปทั่วสามแคว้นผู้นี้  เหลียนอันสุ่ยรอคอยอยู่หน้าเรือนอย่างมีมารยาท  ตอนแรกที่เสิ่นชิงอีเชิญเขามาพบ  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจว่าสาเหตุเกี่ยวกับนางรำจากแคว้นเหลียน  แต่เมื่อเสิ่นชิงอีเอ่ยปากจึงได้ทราบว่าแท้จริงเป็นเรื่องของฉีเซี่ยงหยวน

เสิ่นชิงอีชมชอบชาดอกไม้  เวลานี้นางกำลังละเลียดชาดอกไม้ในมือ  เอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยนุ่มนวล
“ได้ยินว่าท่านจะจากไป”
เหลียนอันสุ่ยรับคำ  ขณะนึกแปลกใจ  สตรีตรงหน้าแค่ท่าจิบชายังงามจนชวนให้คนลุ่มหลง  เหมือนธรรมชาติที่บริสุทธิ์งดงามโดยไม่ต้องการคนมาแต่งเติม  นางงามขนาดนี้  ฉีเซี่ยงหยวนอยู่ข้างๆมาเป็นปีๆ  เหตุใดจึงไม่รู้สึกหวั่นไหว
“ข้าภูมิใจในแคว้นตัวเองตลอดมา  คิดไม่ถึงว่าแคว้นเป่ยชางไม่อาจทำให้ท่านประทับใจ  อย่างที่ข้าประทับใจ”
“ไม่  แคว้นเป่ยชางมีสเน่ห์อย่างยิ่ง”
“ถ้าเช่นนั้นที่ทำให้ท่านไม่ประทับใจคงเป็นคน”
เหลียนอันสุ่ยส่ายหัว  ตอบว่า
“คนก็ดีอย่างยิ่ง”
“ไม่จริงกระมัง  อย่างน้อยสมควรมีคนผู้หนึ่งที่ทำให้ท่านไม่พอใจ  ทำผิดต่อท่านแต่ไม่เคยรู้ตัว  ข้าบอกได้แค่ว่าคนผู้นั้นรักท่านมาก  แต่เขาไม่เคยรู้ตัวจริงๆว่าทำให้ท่านไม่พอใจในเรื่องใด”
“แม่นางเสิ่นเข้าใจผิดแล้ว  เขาไม่ได้ทำผิดต่อข้า  และที่ข้าจะจากไปก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากที่เราทะเลาะกัน  เราไม่ได้มีปัญหากัน  อย่างน้อยก็ไม่ได้มีปัญหาในแบบที่ท่านเข้าใจ”
“ปัญหาก็คือปัญหา  ต้องหาทางแก้ไข  มิใช่หันหลังให้กัน  ท่านบอกมาเถิด  เผื่อข้าจะช่วยได้”
เหลียนอันสุ่ยมองใบหน้างามสะคราญที่เอ่ยปากอย่างจริงใจ  เรียวปากเขามีรอยยิ้มบางๆ  ไม่ได้เอ่ยอะไรอยู่พักหนึ่ง
ผู้ชายคนนี้มีรอยยิ้มที่น่ามองนัก  และมีดวงตาที่ใสกระจ่างราวกับรู้ซึ้งในทุกสิ่ง บัลดาลให้คนทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง  เสิ่นชิงอีก้มหน้าลง  ดื่มชาดอกไม้อีกหนึ่งอึก  รอคอยให้อีกฝ่ายตอบคำ
“ท่านว่าถ้าข้าจากไปจะเกิดอะไรขึ้น” จู่ๆเหลียนอันสุ่ยก็ถามคำถามนี้ขึ้นมา
เสิ่นชิงอีตอบทันทีว่า
“จะต้องมีคนผู้หนึ่งเสียใจมาก  ทุกข์ใจมาก”
เหลียนอันสุ่ยยังคงยิ้มบางๆ  หลุบตาลงต่ำ  สูดกลิ่นชาหอมจรุง  พลางตอบว่า
“เสียใจนั้นเสียใจ  ทุกข์ใจนั้นทุกข์ใจ  แต่ความเสียใจทุกข์ใจไม่ได้อยู่กับคนตลอดไป  หลายเดือนให้หลังความเสียใจทุกข์ใจย่อมต้องเบาบางไปเอง”
เสิ่นชิงอีแย้ง
“มีความเสียใจบางประเภทไม่อาจเลือนหายไปตามกาลเวลา  ข้าเห็นว่าเรื่องนี้เป็นความเสียใจประเภทนี้”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป  สุดท้ายกล่าวว่า
“สามเดือน” เห็นดวงตาอีกฝ่ายทอแววไม่เข้าใจ  เหลียนอันสุ่ยจึงพูดต่อว่า “ไม่เกินสามเดือนท่านจะได้ต้าอ๋องคนเดิมของท่านกลับมา”
ดวงตาคู่งามของเสิ่นชิงอีหรี่ลง  กล่าวอย่างจริงจังว่า
“ท่านดูถูกความรักที่ต้าอ๋องมีให้ท่านเกินไปแล้ว  ข้าไม่เคยเห็นเขารักใครเท่าท่านมาก่อน  เขาไขว่คว้ามาชั่วชีวิต  คนเช่นนี้มีหรือที่จะไม่กล้า  แต่เขากลับบอกข้าว่าเขาไม่กล้ารั้งท่านไว้  ตอนข้าได้ยินครั้งแรกยังแทบไม่อยากจะเชื่อ  ข้ายังคิดไม่ออกเลยว่าถ้าท่านทิ้งเขาไป  เขาจะมีสภาพเป็นเช่นไร”
เหลียนอันสุ่ยเหลือบตาขึ้นมาสบกับโฉมงามตรงหน้า  กล่าวช้าๆว่า
“ท่านต่างหากที่ดูถูกต้าอ๋องของท่านเกินไป  ชีวิตของเขาผ่านเรื่องหนักหนากว่านี้มามากนัก แค่เรื่องของข้าไม่อาจโค่นล้มเขาลงได้หรอก  ข้าบอกท่านได้ว่าไม่เกินสามเดือน  ไม่ว่าความเสียใจหรือความทุกข์ใจล้วนไม่อาจทำร้ายเขาอีก  เพราะฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนเช่นนั้น”...และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้ข้ารักเขา 
ประโยคสุดท้ายเหลียนอันสุ่ยไม่ได้พูดออกมา  แต่ทุกพยางค์กลับแจ่มชัดอยู่ในแววตา  สิ่งที่เหลียนอันสุ่ยยอมรับว่าตัวเขาไม่มีทางเทียบชั้นกับฉีเซี่ยงหยวนได้ก็คือการปล่อยวางอดีต
เสิ่นชิงอีนิ่งอึ้งพูดอันใดไม่ออกไปชั่วขณะ  ได้ยินเหลียนอันสุ่ยกล่าวต่อว่า
“ข้าคือคนที่ทำให้เขาไม่แต่งตั้งพระชายา  ดังนั้นถ้าข้าจากไปสิ่งที่เกิดขึ้นคือแคว้นเป่ยชางจะได้อัครชายา”
“...เขาไม่มีทางลืมท่านได้ง่ายๆหรอก”
“มันไม่เกี่ยวกับว่าเขาลืมข้าหรือไม่ลืม  ท่านรู้จักเขามาอย่างยาวนาน  สมควรรู้ความปรารถนาที่จะรวมสามแคว้นเป็นหนึ่งของเขา  ดูภายนอกเขาแทบไม่เอ่ยถึง  และไม่ได้รีบร้อน  เพราะเขารู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้จะรีบร้อนไม่ได้  ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่รีบร้อนหรือไม่  แต่อยู่ที่การรู้จักคว้ากุมโอกาส  ตอนนี้โอกาสที่ดียิ่ง  ละมุนละม่อมยิ่ง มาถึงมือเขาแล้ว  เขาเพียงปฏิเสธมันเพราะข้า  หากไม่มีข้า  ตำแหน่งอัครชายาจะต้องเป็นขององค์หญิงแคว้นโหยวเฉิงแน่นอน”
มือที่กุมถ้วยชาของเสิ่นชิงอีนิ่งค้าง  นางรู้จักฉีเซี่ยงหยวนมาเกินสิบปีเหตุใดจะไม่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนมุ่งหมายจะรวมสามแคว้นเป็นหนึ่งมาโดยตลอด  แต่นางกลับไม่เคยนึกถึงประเด็นนี้มาก่อน 
นิ่งเงียบไปนาน  สุดท้ายเสิ่นชิงอีก็ถามว่า
“ท่านจากไปครั้งนี้  คือตั้งใจจะกลับแคว้นเหลียนหรือ? ” อย่างน้อยนางก็สมควรจะหาเบาะแสในภายภาคหน้าของพระมาตุลาให้กับฉีเซี่ยงหยวน
เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า
“แคว้นเหลียนอยู่ในมือต้าอ๋องของท่านแล้ว  ข้าวางใจอย่างมาก  ข้าเพียงคิดจะพาจิ้งเอ๋อติดตามท่านนักพรต  ไปถึงที่ใดก็ไปถึงที่นั่น  ชีวิตใยต้องมุ่งหมายมากมาย  ไม่ว่าจะอยู่บนแว่นแคว้นใดใยมิใช่แผ่นดินผืนเดียวกัน”
เสิ่นชิงอีมองเข้าไปด้านใน  ถอนหายใจคราหนึ่ง
ตอนที่นางเดินออกมาส่งพระมาตุลาถึงหน้าเรือนเล็กนางก็ถอนหายใจอีกครา  ใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลใสกระจ่างยิ่งกว่าหยาดน้ำค้างบนพรมหญ้าเอ่ยว่า
“พระมาตุลา  มีความเสียใจบางประเภทไม่อาจเลือนหายไปตามกาลเวลา  ข้าหวังว่าท่านจะไม่ต้องเจอกับความเสียใจประเภทนี้”
เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วนิ่งงัน 
ขณะเสิ่นชิงอีจะหันหลังกลับไป  กลับได้ยินคำถามแผ่วเบาประโยคหนึ่ง
“แล้วท่านเล่า  ที่ท่านทำอยู่มิใช่ความเสียใจประเภทนี้หรอกหรือ  หลายปีที่ผ่านไปท่านรอคอยใครอยู่กันแน่”
เงาหลังอ้อนแอ้นบอบบางของเสิ่นชิงอีชะงัก  หันหน้ามาช้าๆ  เผยรอยยิ้มบางๆแล้วตอบว่า
“ที่ข้ารอคอยมิใช่ใคร  ข้าเพียงรอคอยวันที่จะเป็นอิสระ...ไม่ใช่สิ  บางทีคงต้องบอกว่าข้ารอคอยคนแบบท่าน  น่าเสียดายที่ท่านจะจากไปแล้ว”
“ข้ากำลังจะจากไปแล้ว  ดังนั้นหลังจากนี้ ‘เขา’ เป็นของท่าน  ฝากท่านดูแลเขาด้วย” อายุยี่สิบสองถือว่ามากเกินไปสำหรับวัยออกเรือนของผู้หญิงคนหนึ่ง  และยิ่งมากเกินไปสำหรับผู้หญิงที่งามสะคราญถึงขั้นนี้    เหตุใดนางจึงยังไม่แต่งงาน  นางรอคอยผู้ใดอยู่กันแน่  เหลียนอันสุ่ยคิดว่าเขาพอจะตอบได้  เพราะว่าเขามองเห็นแล้ว  เวลาสตรีพูดถึงบุรุษที่นางรักจะไม่มีทางเหมือนเวลาที่นางพูดถึงบุรุษผู้อื่น  โฉมงามนางหนึ่งอยู่เคียงข้างบุรุษที่โดดเด่นผู้หนึ่งมาอย่างยาวนาน  ความในใจของนางผู้ใดสามารถทราบได้
แต่เสิ่นชิงอีฟังที่อีกฝ่ายพูดแล้วกลับแย้มยิ้มกว้างกว่าเดิม  กล่าวช้าๆว่า
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว  ‘เขา’ เป็นของท่าน  ไม่ว่าวันนี้หรือหลังจากนี้เขาก็เป็นของท่าน”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งขึงไป 
“พระมาตุลา  ข้ารู้จักเขามาเกินสิบปี  ถ้าเขาจะรักข้าก็คงรักไปนานแล้ว  ในเมื่อข้ามิอาจเป็นคนที่เขารัก  ข้าจะไม่เอามิตรภาพที่สามารถยืนยาวชั่วชีวิตไปแลกกับการเหลือบแลชั่วครั้งชั่วคราวจากเขาหรอก  แต่ท่านไม่เหมือนกัน  ดังนั้นข้าหวังว่าท่านจะไม่จากไป  เพราะข้าอยากตัดใจให้ได้อย่างเด็ดขาดเสียที”
เสิ่นชิงอีหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ขณะกล่าวประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงจริงจังนุ่มนวล
“...บางครั้งหัวใจคนเรามันก็ดื้อด้าน  แม้จะตัดใจไปแล้วก็ยังคงห่วงพะวงถึง  แต่ถ้าเขามีคนที่เขารักอยู่เคียงข้าง  ข้ามั่นใจว่าข้าจะตัดใจได้”
---------------------
เหลียนอันสุ่ยจากไปด้วยท่าทีเหม่อลอย  ส่วนเสิ่นชิงอีเดินกลับเข้าเรือนของตัวเอง
หยิบถ้วยน้ำชาออกมาอีกถ้วย  รินชาดอกไม้ลงไป  ขณะเอ่ยเชื้อเชิญ
“ต้าอ๋อง  ท่านยังไม่ได้ดื่มชา  วันนี้เป็นชาดอกมะลิ  ข้าต้องให้คนอบกลิ่นตั้งนานกว่าจะหอมได้ขนาดนี้”
ผ้าม่านบางเบาของห้องชั้นในถูกเลิกขึ้น  เงาร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งเดินออกมา  กลับเป็นผู้ที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่...เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน
“ข้าบอกเจ้าแล้ว  ว่าเจ้าโน้มน้าวเขาไม่สำเร็จหรอก”
“เซี่ยงหยวน  มีผู้ชายไม่กี่คนหรอกนะที่ปฏิเสธคำวิงวอนของข้าได้  อีกอย่างข้าก็แค่อยากช่วย  ข้าไม่เคยเห็นท่านเป็นแบบนี้”
ฉีเซี่ยงหยวนเดินมา  รับน้ำชาดอกไม้ไปสูดกลิ่น พลางเอ่ยว่า
“...ขอบคุณ” ทั้งเรื่องชาและทุกเรื่อง
ดวงตาของเสิ่นชิงอีทอแววเป็นห่วงขณะถาม
“แล้วท่าน...จะปล่อยเขาไปง่ายๆแบบนี้”
รอยยิ้มบนเรียวปากของฉีเซี่ยงหยวนเจือความขม  กล่าวด้วยน้ำเสียงจนใจว่า
“ชิงอี  ข้ายังทำอันใดได้อีกหรือ  คิดไม่ถึงเขากลับเข้าใจข้ากระจ่างปานนี้  กระจ่างจนข้าจะหาข้อโต้แย้งยังหาไม่ได้เลย”

ได้ยินคำพูดนี้เสิ่นชิงอีก็พลอยรู้สึกจนใจไปด้วย  นางพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดฉีเซี่ยงหยวนถึงหลงรักพระมาตุลาผู้นี้  ความจริงสมควรกล่าวว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่ฉีเซี่ยงหยวนจะไม่หลงรักพระมาตุลาผู้นี้  ในเมื่อทุกความรู้สึกนึกคิดของฉีเซี่ยงหยวนเหลียนอันสุ่ยล้วนเข้าใจกระจ่างยิ่งกว่าใคร  ฉีเซี่ยงหยวนอยู่ในกำมือพระมาตุลาผู้นี้มาตั้งแต่แรกแล้ว
---------------------
 ‘...ข้าหวังว่าท่านจะไม่จากไป...’
พระมาตุลาแคว้นเหลียนไล้มือไปตามกิ่งใบของต้นไม้ในอุทยานหลวง  จดหมายอำลาที่เขียนให้หานญื่อหลัวยังเขียนไม่เสร็จดี  วันนี้เขามีนัดสนทนากับท่านนักพรต  แต่เวลายังเช้าอยู่มากจึงมาเดินเล่นในอุทยานหลวงซึ่งพอดีตั้งอยู่ไม่ไกลนักจากที่ที่แคว้นเป่ยชางจัดให้นักพรตผู้มากชื่อเสียงผู้นี้พำนัก
ประโยคของเมื่อวานยังคงยึดครองความคิดในจิตใจเขา
‘...เขาเป็นของท่าน  ไม่ว่าวันนี้หรือหลังจากนี้เขาก็เป็นของท่าน’
เสิ่นชิงอีกลับสามารถวางความรักของนางได้อย่างสง่าผ่าเผยนัก  สตรีผู้นี้คู่ควรกับฉีเซี่ยงหยวนอย่างไม่ต้องสงสัย  แต่ชะตากลับเล่นตลกบันดาลให้คนที่ฉีเซี่ยงหยวนรักกลับเป็นตัวเขา  เรื่องราวทุกอย่างผิดทำนองคลองธรรมไปเสียหมด

‘...มีความเสียใจบางประเภทไม่อาจเลือนหายไปตามกาลเวลา  ข้าหวังว่าท่านจะไม่ต้องเจอกับความเสียใจประเภทนี้’
เขาเองก็หวังว่าตัวเองจะไม่เจอกับความเสียใจประเภทนี้จึงยินยอมเป็นฝ่ายจากไป...

“ต้นไม้ถูกจำกัดกรอบในอุทยาน  คนจำกัดกรอบตัวเองออกมาจากธรรมชาติ  แบ่งเขาแบ่งเรา  ทั้งๆที่แท้จริงสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียว  ฟ้าดินไพศาลใยต้องจำกัดกรอบตัวเอง” เสียงสงบเรื่อยเฉื่อยเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า 
เหลียนอันสุ่ยหันหน้ากลับไปก็เห็นชายชราเคราขาวในอาภรณ์เรียบง่ายผู้หนึ่ง
“ที่แท้ท่านนักพรตก็มาเดินเล่นอุทยาน”
“เป็นความเมตตาของอดีตพระสนม  ข้ามาเดินอุทยานเพราะไม่คุ้นชิน  ข้าไม่ค่อยพำนักในเมืองนานขนาดนี้”
ฟังว่าอดีตพระสนม  พระมารดาขององค์ชายสาม  ตั้งแต่สูญเสียบุตรชายก็นิยมเลื่อมใสฝักใฝ่ทางพรต  ครั้งนี้เป็นเพราะนางเชื้อเชิญ  เต้าหยินผู้มีชื่อเสียงผู้นี้จึงได้พำนักในวังหลวง
ผู้มากวัยกว่ามองประเมินบุรุษชาวเหลียนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า  เหลียนอันสุ่ยนิสัยไม่แสวงหาลาภยศ  ไม่มุ่งมั่นครอบครอง  ความจริงเหมาะสมกับมรรคาแห่งเต๋าไม่น้อย  มีแต่เข้าใจชีวิต  ปล่อยวางชีวิต  จึงสามารถคืนสู่ความสงบและบริสุทธิ์  น่าเสียดายขั้นตอนที่เรียกว่า ‘การปล่อยวาง’ นี้  ดูไปแล้วพระมาตุลาแคว้นเหลียนยังทำได้ไม่หมดจดนัก
“รู้จักกรอบรู้จักขอบเขตจึงทำให้คนเป็นคน  เหลียนอันสุ่ยเคยได้ยินมาเช่นนี้  หวังให้ท่านนักพรตช่วยชี้แนะด้วย”
ผู้มากวัยกว่ายิ้ม  บุคลิกสงบน่าเลื่อมใส  ชวนให้ผู้พบเห็นเกิดความรู้สึกนิยมยกย่อง
“กรอบกฎเกณฑ์ล้วนเป็นภาพลวงตา  คงมีแต่มนุษย์ที่สร้างภาพลวงตานี้ขึ้นมาเอง  แล้วก็หลงเชื่อเป็นจริงเป็นจัง  ท่านดูหนองบึง  ถึงแม้เราท่านจะเห็นว่ามันมีขอบเขตอันเด่นชัด  แต่แท้จริงหนองบึงล้วนเชื่อมโยงกับฟ้าดิน  รับน้ำจากฟ้า  แทรกซึมสู่ผิวดิน  อาณาเขตไหนเลยจำกัดเพียงตาเห็น  ได้มาหรือสูญเสียไปไหนเลยต้องยึดติด  ในเมื่อไม่นำพาต่อการได้มาและสูญเสีย กรอบกฎเกณฑ์ไหนเลยมีอิทธิพลต่อท่านอีก”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป  นักพรตชราลูบเครายาว  มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเมตตา  พลางกล่าวว่า
“ใกล้เวลาแล้ว  ข้าจะไปรอท่านที่เดิม  ท่านค่อยๆคิด  ค่อยๆเดินตามมาก็ได้  เวลาเหลืออีกไม่กี่วัน  ข้าอยากให้เมื่อถึงตอนที่ท่านจากไปสามารถจากไปอย่างปลอดโปร่งปล่อยวาง  แต่ละก้าวที่เดินตามข้าไปเป็นความสมัครใจและหลุดพ้นอย่างแท้จริง”
---------------------
ท่านรู้หรือไม่  ไม่ว่าวันคืนจะยาวนานเพียงใด  แต่วันสุดท้ายย่อมต้องมีวันมาถึง
ในที่สุดสองสัปดาห์ที่ประกอบไปด้วยวันที่แสนพิเศษและวันที่แสนจะธรรมดาก็ดำเนินมาจนถึงหนึ่งวันสุดท้าย

คืนนี้พวกเขาควรจะได้อยู่ด้วยกันก่อนแสงตะวันจะมาทำให้ผู้คนต้องลาจาก  น่าเสียดายที่ความรักครั้งนี้คล้ายเป็นความรักที่ฟ้าไม่ส่งเสริมมาตั้งแต่ต้น  ในวันสุดท้าย  คืนสุดท้าย  เหตุปั่นป่วนวุ่นวายในเมืองหลวงก็เกิดขึ้น

มีคนวางเพลิงเผาจุดสำคัญในเมืองหลวง  เพลิงกองใหญ่ลุกโชนขึ้นฟ้า  อาบย้อมรัตติกาลจนเรื่อแสงสีแดงน่าพรั่นพรึง
เขตทิศใต้เชื่อมต่อถึงประตูวังเกิดไฟผลาญขวางกั้นการสัญจร  ผู้คนคาดเดาสาเหตุไปต่างๆนานา  บ้างก็ว่าข้าศึกจู่โจม  บ้างก็ว่าพรรคพวกกบฏขององค์ชายรองก่อเหตุเตรียมฉวยจังหวะบ้านเมืองปั่นป่วน  ไฟลามแทบถึงบ้านเสนาบดีตระกูลต้วน  แถบบ้านผู้ดีมีอันจะกินหนีตายกันจ้าละหวั่น  สาเหตุยังไม่อาจสรุป  หากที่ยากกว่าคือดับไฟในคืนที่ลมโหมแรงอากาศแห้งจัดเช่นนี้  ได้แต่โทษว่าฤดูร้อนปีนี้ที่มาถึงก่อนกำหนด  ไม้แต่ละต้นที่สร้างเป็นเสาเรือนจึงมีสภาพพร้อมติดไฟ

ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดว่านี่จะเป็นผลงานของข้าศึกหรือกบฏ  แต่ถ้าภายในคืนนี้ยังดับไฟไม่ได้  ปล่อยให้ลุกลามเข้าเขตที่อยู่อาศัยหนาแน่น  เมืองหลวงของแคว้นเป่ยชางจะถูกเผาไปหนึ่งในสี่ในพริบตาซ้ำรอยเหตุเพลิงไหม้เมื่อหลายปีก่อน  ซึ่งหลังจากนั้นไม่เพียงท้องพระคลังต้องร่อยหรอ  ข้าศึกที่หลายคนคาดหมายคงได้จังหวะฉวยโอกาสกันจริงๆแล้ว
ตอนที่ข่าวนี้มาถึงเหลียนอันสุ่ยกับฉีเซี่ยงหยวนเหลือบตาขึ้นมองกัน  ต่างเห็นความเจ็บปวดในแววตาฝ่ายตรงข้าม  คืนสุดท้ายของพวกเขาต้องถูกไฟเผาไปในลักษณะนี้หรือ ?

เหลียนอันสุ่ยคว้าเสื้อคลุม กล่าวว่า
“ข้าจะไปช่วยท่าน”
แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับสั่นศีรษะ  เอื้อมมือขึ้นมาลูบใบหน้าหมดจดอย่างอาลัย  พลางกล่าวว่า
“ถ้าควบคุมเพลิงได้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว  พรุ่งนี้ท่านต้องจากไปแต่เช้า...นอนเถอะ  หลังจากนี้ไม่รู้ว่าจะได้นอนเตียงดีๆแบบนี้อีกหรือไม่  ดังนั้นคืนนี้ท่านต้องหลับให้สนิทรู้ไหม  ข้าไปไม่นานหรอก  จัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้วจะรีบกลับมา”
นิ้วมือเรียวยาวของเหลียนอันสุ่ยทาบลงไปบนฝ่ามือใหญ่ที่วางอยู่บนผิวแก้มเขา  พึมพำว่า
“ท่านต้อง...ต้องรีบกลับมา”
ฉีเซี่ยงหยวนยิ้ม  พลางตอบคำ
“แน่นอน  ข้าจะรีบกลับมา” อย่างน้อยข้าต้องกลับมาเห็นหน้าท่านเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากไป
ไม่ต้องลังเลใจ  และไม่ต้องรวบรวมความกล้า  เหลียนอันสุ่ยยื่นหน้าออกไปจูบบุรุษเพียงหนึ่งเดียวที่ฝังลึกอยู่ในใจเขา  หลังจูบเร็วๆหนึ่งครั้ง  ฉีเซี่ยงหยวนก็กระพริบตา  กล่าวว่า
“จูบลาหรือ  ไม่ละเมียดละไมเลย  ไว้ข้าจะกลับมาจูบลาแบบจริงๆให้ท่านดู”
คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหลียนอันสุ่ยหัวเราะ  แต่ในใจกลับรู้สึกว่างโหวง  ‘จูบลา’...  พวกเขาต่างพยายามทำเหมือนมันไม่มีอะไร  กลบเกลื่อนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติธรรมดา  ที่จะจากไปและพบหน้ากันใหม่
ฉีเซี่ยงหยวนพยายามจะไม่นึกถึงชั่วยามที่ต้องสูญเสียไปเพราะเปลวไฟกองนี้  หักใจก้าวจากไป
ทั้งคู่โกหกใครก็ได้  แต่ไม่อาจโกหกตัวเอง  เปลวเพลิงที่เดือดร้อนถึงต้าอ๋องจะดับได้เพียงไม่กี่ชั่วยามจริงหรือ  เวลาของพวกเขาน่ากลัวไม่เหลืออีกแล้ว

เหลียนอันสุ่ยทรุดตัวลงบนเตียงช้าๆ  เมื่อการจากลาที่แท้จริงมาถึง  มันกลับ...กะทันหันถึงเพียงนี้  นึกอยากจะวิ่งออกไปช่วยเหลืออยู่ข้างกายบุรุษผู้นั้น  แต่ฐานะของตัวเขาไหนเลยสามารถทำเช่นนั้น  ลู่ทางในแคว้นเป่ยชางก็รู้จักอยู่ไม่มากถึงดันทุรังไปก็ไม่แน่ว่าจะเกะกะขึ้นมา
‘...หลังจากนี้ไม่รู้ว่าจะได้นอนเตียงดีๆแบบนี้อีกหรือไม่  ดังนั้นคืนนี้ท่านต้องหลับให้สนิทรู้ไหม...’
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆ  ล้มตัวลงนอนบนเตียง  พยายามระงับความเหน็บหนาวปวดร้าวอันแผ่ซ่านขึ้นมาจากกระดูก  แม้จะบอกว่าช่วงเวลาสิบสี่วันนี้ทำสิ่งที่อยากทำไปหมดแล้ว  แต่เวลาเพียงสิบสี่วันไหนเลยเพียงพอ  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนในวินาทีที่ฉีเซี่ยงหยวนหันหลังเดินไปจากเขา  ว่ายังมีเรื่องอีกมากมายที่อยากทำร่วมกับบุรุษผู้นี้  และรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสำหรับบุรุษผู้นี้...บางทีต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตร่วมกันก็ไม่แน่ว่าจะรู้สึกเพียงพอ

เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง  และหวังว่าคืนนี้ตัวเองจะฝันถึงฉีเซี่ยงหยวน

แต่เหลียนอันสุ่ยก็รู้อีกเช่นกันว่าคืนนี้เขาไม่แน่ว่าจะนอนหลับ  ในตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนหันหลังจากไป ใจของเขากลับลิ้มรสความเจ็บปวดรวดร้าวชนิดไม่เคยพบเจอมาก่อน  คนผู้หนึ่งหลังลิ้มรสความเจ็บปวดระดับนั้น  คิดหลับให้ลงนับเป็นเรื่องที่ยากเย็น
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 59
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 20-10-2014 20:58:42
บทที่ 59 สัปดาห์ที่สอง(2)

เปลวเพลิงวาดสีอย่างฉูดฉาดบาดตา  นี่เป็นเรื่องของคนหัวใจสลายเรื่องหนึ่ง...และเป็นเรื่องที่ชวนแค้นใจเรื่องหนึ่ง
ฉีเซี่ยงหยวนกระหืดกระหอบกลับมาในตอนเช้า  นานๆครั้งผู้คนจะเห็นต้าอ๋องผู้เยือกเย็นผู้นี้รีบเร่งจนกระหืดกระหอบ  แต่วันนี้ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจว่าตัวเองจะดูรีบร้อนแค่ไหนก็ต้องมาถึงตำหนักชุนเกอก่อนฟ้าสางให้จงได้  เดินผ่านห้องโถงชั้นนอกเห็นหีบสัมภาระยังจัดวางอยู่ที่เดิม  ใจที่ห้อยแขวนอยู่กลางอากาศค่อยสงบลงได้บ้าง
ในห้องนอนมืดสนิท  คนที่ควรอยู่บนเตียงก็ยังอยู่บนเตียง  เหลียนอันสุ่ยนอนไม่หลับมาค่อนคืน  สุดท้ายมาเผลอหลับเอาช่วงเช้า
ฉีเซี่ยงหยวนมองหน้าต่างที่เริ่มเปลี่ยนจากสีดำเป็นสลัวมัวซัว  พลันเกิดความเห็นแก่ตัววูบหนึ่ง  ถ้าเขาไม่ปลุกไม่แน่ว่าพระมาตุลาที่หลับลึกผู้นี้จะไปไม่ทันแล้ว  ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจ  แต่มือใหญ่กลับเอื้อมไปเขย่าคนบนเตียงเบาๆ

เมื่อท่านรักคนผู้หนึ่งท่านจะไขว่คว้าเพื่อให้ได้เขามาไว้ข้างกาย  แต่เมื่อท่านรักคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริง  สุดท้ายท่านจะปล่อยเขาไป  เพราะเมื่อถึงตอนนั้นความรู้สึกของตัวท่านเองจะไม่สำคัญอีก  ที่สำคัญกว่า...คือความรู้สึกของเขา

“เหลียนอันสุ่ย  ตื่นเถอะ  ท่านไม่ตื่นตอนนี้จะล้างหน้าแต่งตัวไม่ทันแล้วนะ”
เหลียนอันสุ่ยสะท้านตื่นขึ้นมา  เห็นหน้าฉีเซี่ยงหยวนคำถามแรกที่ถามคือ
“ท่านกลับมาแล้ว ? ”
“อืมม์” ตอบพลางเรียกให้หญิงรับใช้เอาน้ำล้างหน้าเข้ามา
“แล้วเพลิงไหม้ ? ”
“ดับได้แล้ว  โชคดีที่คนวางเพลิงเลือกเขตผู้ดีมีอันจะกิน  แต่ละหลังมีกำแพงกั้น  ไม่ประชิดติดกันเท่าไหร่  ไฟจึงลามได้ไม่เร็ว”
“คนวางเพลิงเป็นใคร”
ฉีเซี่ยงหยวนดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นนั่ง  มือค่อยๆสางผมที่ยุ่งเหยิง  ตอบคำว่า
“เป็นคนใจสลายผู้หนึ่ง” คำว่า คนใจสลาย กลับทำให้หัวใจของเหลียนอันสุ่ยหดรัดจนเจ็บปวด  เงยหน้าขึ้นเห็นฉีเซี่ยงหยวนมองมาด้วยแววตาอ่อนโยนสุดประมาณ  เรียกผู้อื่นเป็นคนหัวใจสลาย  ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองใยมิใช่เป็นคนหัวใจสลายเช่นกัน

“คนวางเพลิงเป็นบ่างของสกุลเซียว  หลงรักคุณหนูตระกูลเซียว  แต่นางรักใคร่หมั้นหมายกับผู้อื่นอยู่ก่อนแล้ว  ชีวิตบ่าวไพร่ถูกคนสกุลใหญ่ดูถูกเหยียดหยาม  นานวันฝังเป็นความแค้น  เพราะหัวใจสลายจึงผลักดันให้คิดสั้น  ใช้เพลิงเผาผู้อื่นและคร่าชีวิตตัวเอง” บุรุษประชดรักผู้นี้กลับเลือกเอาวันสุดท้ายที่พวกเขาสามารถอยู่ด้วยกันมาก่อการ  ตัวเองหัวใจสลายไปแล้วเหตุใดต้องพาลขัดขวางความรักของผู้อื่นด้วย  ความประจวบเหมาะนี้ทำให้คนที่ไม่เชื่อถือฟ้าดินเช่นฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าฟ้าดินกำลังเอาคืนเขาอย่างโหดร้าย
“เซี่ยงหยวน  ขอบคุณที่ปลุกข้า” ดวงตาคู่งามของเหลียนอันสุ่ยจับจ้องลงไปในแววตาของอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง  ราวพยายามหาคำตอบบางอย่างจากดวงตาเจิดจ้าคู่นั้น
ฉีเซี่ยงหยวนสูดลมหายใจลึก  ระงับอารมณ์ความรู้สึกที่ประเดประดังเข้ามา  เอ่ยว่า
“ท่านรีบแต่งตัวเถิด  เหลือเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามแล้ว  ท่านควรเผื่อเวลาไปตรวจดูสัมภาระตัวเองด้วยว่าครบถ้วนหรือไม่”
เหลียนอันสุ่ยจับจ้องใบหน้าคมคายนิ่ง  ราวไม่เคยเห็นบุรุษผู้นี้มาก่อน 
ประตูเปิดออก  บ่าวรับใช้ยกอ่างน้ำเข้ามา  ฉีเซี่ยงหยวนรอจนเหลียนอันสุ่ยล้างหน้าเสร็จแล้ว  จึงค่อยส่งผ้าสะอาดผืนเล็กไปให้  เหลียนอันสุ่ยรับผ้าจากมือใหญ่  เพ่งมองดูอยู่ครู่หนึ่งก็ยกขึ้นซับน้ำบนใบหน้า พลางกล่าวว่า
“เมื่อคืนท่านไม่ได้นอน  อย่าลืมพักผ่อนให้มาก”
ฉีเซี่ยงหยวนช่วยเหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนเสื้อผ้า หัวเราะแล้วตอบว่า
“คาดว่าคงยังไม่ได้พัก  วันนี้ข้ามีประชุมขุนนาง  ...ข้าแวะกลับมาส่งท่านก่อน  หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วค่อยไปที่ท้องพระโรง”
“...” เหลียนอันสุ่ยพูดอันใดไม่ออก  หันหลังให้กับฉีเซี่ยงหยวน  ทำเป็นยกเสื้อคลุมตัวนอกขึ้นสวม  ซ่อนประกายน้ำตาในแววตา  แต่แผ่นหลังโปร่งกลับถูกโอบกอดไว้  มือใหญ่รัดรอบเอวเขา  เจ้าของมือพึมพำว่า
“เหลียนอันสุ่ย  อย่าเพิ่งหันหลังให้ข้า  ไว้ตอนที่ท่านจะไปแล้วค่อยหันหลังให้ข้าได้หรือไม่”
เหลียนอันสุ่ยรีบหมุนตัวกลับไป  มองเค้าใบหน้าของบุรุษที่เขาไม่อาจลืม  ขบริมฝีปาก  เอ่ยออกไปอย่างยากลำบากว่า
“เซี่ยงหยวน  ท่าน...ท่านต้อง...รักข้ามากขนาดนี้เลยหรือ  ท่าน...” เหลียนอันสุ่ยไม่อาจกล่าวจนจบ  เพราฉีเซี่ยงหยวนก้มลงจูบเรียวปากเขาอย่างดูดดื่ม  จูบอย่างรักใคร่  จูบด้วยหัวใจทั้งหมด  เพราะมันคือ...จุมพิตอำลา
ฉีเซี่ยงหยวนถอนเรียวปากออกไป  พึมพำด้วยน้ำเสียงพร่าต่ำว่า
“ใช่ข้าแวะกลับมาส่งท่าน  และก็แวะกลับมาจูบลาท่านด้วย  ข้าหวังว่าหลังจากนี้ท่านจะถนอมตัว...ถนอมตัวเองให้ดี  ดูแลตัวเองให้ดี  เข้าใจหรือไม่” เห็นเหลียนอันสุ่ยพยักหน้าก็พูดว่า “ไปเถอะ  ได้เวลาแล้ว  ข้าจะไปส่งท่าน” มือใหญ่กุมมือเรียวทำท่าจะพาเดินไป
“ท่าน...ไม่ต้องไปส่งข้าก็ได้  ข้า...” เห็นท่าทีฉีเซี่ยงหยวนแล้วเหลียนอันสุ่ยกลับไม่อาจทรมานอีกฝ่ายไปมากกว่านี้
แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับกล่าวสั้นๆประโยคเดียวว่า
“ข้าไม่วางใจ”
เหลียนอันสุ่ยมองสองมือที่กุมกัน  ดวงตาคู่งามมีประกายเหม่อลอย  แต่ก็แฝงแววตัดสินใจแน่วแน่  ขานเรียกหญิงรับใช้ประจำตัว
“อิ๋งฮวา”
“เจ้าคะ” เสียงขานรับพลางผลักประตูเข้ามา
“ของในหีบสัมภาระที่ห้องโถงทั้งหมด  ฝากเจ้าเอาเข้าที่ด้วย”
สีหน้าของอิ๋งฮวานิ่งอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด
“นายท่าน  ท่านมิใช่จะไป...”
“ไม่ไปแล้ว” ตอบพลางถอนหายใจเบาๆ  รู้สึกได้ว่ามือใหญ่ที่กุมมือเขาเกร็งจนแข็งค้างไปแล้ว
“...เจ้าค่ะ” นิ่งเงียบไปพักหนึ่งอิ๋งฮวาก็รับคำ  ล่าถอยออกไป
“เหลียนอันสุ่ย  ท่าน...!?”
เมื่อท่านรักคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริงท่านจะปล่อยเขาไป  และก็เพราะปล่อยเขาไป...ท่านจึงได้มา
---------------------
มีของบางอย่างเมื่อท่านปล่อยมันไป  ท่านจึงได้มา
ความรักเป็นเช่นนั้น  น้ำใจเป็นเช่นนั้น  ความสุขก็เป็นเช่นนั้น  เพราะของเหล่านี้ความจริงไม่ใช่สิ่งที่ต้องดิ้นรนไขว่คว้า  ไม่สามารถบังคับเอามา  มันอยู่เพียงเอื้อมมือ 
หากมันมีอยู่...มันก็มีอยู่  แต่หากมันไม่มี  ท่านจะไปหามันมาจากที่ใด?
---------------------
จะว่าความรักครั้งนี้เป็นความรักที่ฟ้าไม่ส่งเสริมกลับไม่ถูกต้อง  ความจริงแล้วทั้งฟากฟ้า ทั้งคน ต่างเอาใจช่วยลุ้นจนตัวโก่ง 
ท่านรู้หรือไม่  ความเจ็บปวดที่สุดของการพรากจากคืออะไร ?
คือการคำนึงถึงช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน

ในคืนที่เปลวไฟแผดเผาลามเลีย  เหลียนอันสุ่ยได้ลิ้มรสความเจ็บปวดชนิดนี้  ความเจ็บปวดที่แท้จริงของการพรากจากที่แท้จริงซึ่งไม่อาจบังเอิญได้พบหน้าอีกตลอดกาล 
ความทรงจำเมื่อหลายวันก่อน  ความทรงจำเมื่อหลายเดือนก่อน  ทุกช่วงเวลาที่เหลียนอันสุ่ยพับเก็บไว้ในลิ้นชักอย่างเรียบร้อยถูกรื้อขึ้นมาในคืนเดียว  ในคืนก่อนหน้านั้นเหลียนอันสุ่ยไม่กล้าเปิดลิ้นชักๆนี้  หวาดกลัวตัวเองไม่ยินยอมจากไป  แต่คืนนี้เหลียนอันสุ่ยปรารถนาให้ฉีเซี่ยงหยวนอยู่กับเขา  อยู่กับเขาไปจนรุ่งสาง  อย่างน้อยแค่ตัวตนในความคิดคำนึงก็ยังดี
เป็นครั้งแรกที่พระมาตุลาแคว้นเหลียนพบว่าตัวเขายึดติดผูกพันกับบุรุษชาวเป่ยชางผู้นั้นถึงเพียงนี้  เขาพยายามซุกซ่อนทุกสิ่งทุกอย่าง  ซุกซ่อนจนตัวเองหลงเชื่อไปจริงๆ  ว่าสามารถหักใจได้  ว่าสามารถเดินจากไปอย่างปลอดโปร่ง  แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย
ความทรงจำที่หมุนวนนำพาเหลียนอันสุ่ยไปที่จุดเริ่มต้นและดำเนินไปถึงจุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์  ช่วงเวลาสิบสี่วันทุกอย่างพิสูจน์ชัดเจนยิ่ง  ที่แท้การมีอิสระที่จะรักใครคนหนึ่งก็มีรสชาติเช่นนี้เอง  มุมปากของเหลียนอันสุ่ยมีรอยยิ้มเมื่อนึกถึงคืนวันเก่าๆ  เขาเพิ่งเคยรู้ว่าชีวิตสามารถใช้แบบนี้ก็ได้ด้วย  ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสามารถเป็นเช่นนี้ก็ได้ด้วย  ไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผลและความเหมาะสมมากความ  ซื่อตรงกับหัวใจตัวเอง  เซี่ยงหยวน ขอบคุณที่ทำให้ข้ารู้จักรสชาติเช่นนี้  ข้าอยากจะให้สิบสี่วันยาวนานอีกซักหน่อย  แต่ช่วงเวลาสิบสี่วันนี้ท่านก็ให้ข้ามาหลายอย่างแล้วจริงๆ

ความทรงจำที่หมุนวนนำพาเหลียนอันสุ่ยไปที่จุดเริ่มต้นและดำเนินไปถึงจุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์  ที่แท้เมื่อเลือกบ้านเมืองกับเขา  ฉีเซี่ยงหยวนยังคงเลือกบ้านเมือง  ช่วงเวลาสิบสี่วันทุกอย่างพิสูจน์ชัดเจนยิ่ง  เหลียนอันสุ่ยแม้เสียใจที่คืนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน  แต่ไม่ได้เสียใจที่ฉีเซี่ยงหยวนเลือกบ้านเมืองไม่เลือกเขา  หากความรักนี้ทำลายตัวตนที่ฉีเซี่ยงหยวนเคยเป็น  ตัวตนที่ทำให้เขาภาคภูมิใจในตัวอีกฝ่ายตลอดมา  ตัวตนที่ทำให้เขาหลงรัก  ความรักที่มีฤทธิ์น่ากลัวปานนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้อีกแล้ว 
แต่ทว่าท่านยังคงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้  รอยยิ้มบางๆของเหลียนอันสุ่ยกระจ่างชัดกว่าเดิม  รู้สึกพึงพอใจและเบาสบายไปทั้งตัว  เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยมองเห็นความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา
รอยยิ้มบนเรียวปากของเหลียนอันสุ่ยสลายหายไป

‘พระมาตุลา  มีความเสียใจบางประเภทไม่อาจเลือนหายไปตามกาลเวลา  ข้าหวังว่าท่านจะไม่ต้องเจอกับความเสียใจประเภทนี้’
เหลียนอันสุ่ยเคยถามตัวเองเป็นพันครั้งว่าเขาควรไปจากฉีเซี่ยงหยวนหรือไม่  แต่นี่เป็นครั้งแรกที่คำตอบดูเหมือนจะเปลี่ยนไป
‘กรอบกฎเกณฑ์ล้วนเป็นภาพลวงตา  คงมีแต่มนุษย์ที่สร้างภาพลวงตานี้ขึ้นมาเอง  แล้วก็หลงเชื่อเป็นจริงเป็นจัง...’
บางทีเขาคงขังตัวเองอยู่ในนั้น  เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกับกรอบระเบียบและเหตุผล

 ‘ความรัก’ กับ ‘อำนาจ’ เป็นเรื่องอันตรายสองประการที่ยากจะคงอยู่ร่วมกัน  แต่หากคิดจะให้มันอยู่ร่วมกัน  นั่นต้องเป็นความท้าทายประการหนึ่ง  บางทีในใจเขาคงปฏิเสธความท้าทายเช่นนี้มาตลอด  เพราะหวาดกลัวที่จะสูญเสียไป  เพราะเดิมพันราคาแพงเกินไป
การรักบุรุษที่โดดเด่นผู้หนึ่งอาจแลกมาซึ่งความเจ็บปวดขมขื่นตลอดชีวิต  การรักบุรุษที่สูงศักดิ์ผู้หนึ่ง  ต้องแลกมากับความพยายามและการยอมรับได้ทุกอย่างเพื่อที่จะทำให้ตัวเองสามารถยืนอยู่เคียงข้างเขา  การรักบุรุษที่เป็นเจ้าของแผ่นดินยิ่งทำให้เขาไม่มีวันเป็นของท่านคนเดียว  เขาไม่สามารถทำเพื่อท่านคนเดียว  ระหว่างท่านกับเขาจะมีผู้คนนับพันนับหมื่นคั่นอยู่ตรงกลาง  ความสัมพันธ์เช่นนี้เปราะบางสุดประมาณ  เปราะบางจนเหลียนอันสุ่ยไม่กล้าเสี่ยงตลอดมา
แต่ทว่า...
‘...ได้มาหรือสูญเสียไปไหนเลยต้องยึดติด...’
เหลียนอันสุ่ยถามตัวเอง  เดินจากไปในลักษณะนี้หรือจะไม่สำนึกเสียใจไปชั่วชีวิต  ฉีเซี่ยงหยวนทำเพื่อเขามามากมาย  ท้าทายแทบทุกกรอบกฎเกณฑ์เพื่อเขา  กับแค่เอื้อมมือออกไปคว้าไว้  เหตุใดจึงยังไม่มีความกล้าอีก
เหลียนอันสุ่ยตกลงใจจะให้โอกาสความรักของพวกเขาครั้งหนึ่ง  และตกลงใจจะเดิมพันประการหนึ่ง  เดิมพันกับความรักที่ฉีเซี่ยงหยวนมีต่อเขา
เหลียนอันสุ่ยรู้ดี  สิ่งที่ยากที่สุดของฉีเซี่ยงหยวนคือการปล่อยมือ  หากฉีเซี่ยงหยวนยินยอมปล่อยเขาไป  หากในชั่วขณะนี้ฉีเซี่ยงหยวนรักเขามากพอ  ทุกกรอบเหตุผลจะไม่มีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอีก

ดังนั้นตั้งแต่วินาทีที่ฉีเซี่ยงหยวนกุมมือเขาแล้วบอกให้เขาจากไป  เหลียนอันสุ่ยก็ทราบแล้วว่าตัวเองจะไม่ไปไหน  ไม่ว่าหลังจากนี้ฉีเซี่ยงหยวนจะปฏิบัติต่อเช่นไร  ไม่ว่าความรักนี้จะคงอยู่ได้ยาวนานแค่ไหน เหลียนอันสุ่ยก็ไม่สนใจอีก  เพราะเขาได้ ‘เลือก’ แล้ว  เลือกที่จะรักด้วยทั้งหมดของหัวใจ 

แม้ความรักที่ดีจะเป็นความรักที่มีเหตุผล  แต่แก่นแท้ของความรักกลับมิใช่เหตุผล  ท่านไม่สามารถรักคนผู้หนึ่งด้วยสมอง  แต่ท่านต้องรักเขาด้วยหัวใจ...ทั้งหมดของหัวใจ
---------------------
ในชั่วขณะของความตะลึงงันนั้น  หัวสมองของฉีเซี่ยงหยวนว่างเปล่า  เบิกตามองร่างสูงโปร่งตรงหน้า  ได้ยินเหลียนอันสุ่ยสั่งอิ๋งฮวาเสร็จก็ไม่อาจนิ่งเฉยอีกต่อไป  มือที่กุมรอบมือเรียวฉุดร่างอีกฝ่ายเข้ามาหา  บังคับให้เหลียนอันสุ่ยสบตากับเขา  พลางกล่าวทีละคำว่า
“เหลียนอันสุ่ย  อย่าทำแบบนี้  นี่เป็นโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้ายที่ข้าให้ท่านได้  ถ้าท่านไม่เดินจากไปตอนนี้  หลังจากนี้เกรงว่าข้าคงไม่อาจใจกว้างพอจะปล่อยท่านไปอีกแล้ว” คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนจริงจังอย่างยิ่ง
เหลียนอันสุ่ยมองใบหน้าคมคาย  มุมปากกลับปรากฏรอยยิ้มบางๆ ขณะกล่าวว่า
“หลังจากนี้ต่อให้ท่านยินยอมปล่อยข้าจากไป  ต่อให้ท่านไม่ต้องการข้าอีกแล้ว  ข้าก็จะอยู่ข้างกายท่าน  ไม่ไปจากท่านชั่วชีวิต”
ลมหายใจของฉีเซี่ยงหยวนติดขัด  ยามกะทันหันพูดอะไรไม่ออก

“เซี่ยงหยวน  ขอโทษที่ข้าไม่อาจปล่อยมืออย่างที่ปากว่า  ทั้งๆที่ทำแบบนั้นจะดีกับท่านมากกว่า  พวกเขากล่าวกันมาไม่ผิดเลย  ความรักทำให้คนเห็นแก่ตัว  ข้าปล่อยมือจากท่านไม่ได้  วันนี้ปล่อยไม่ได้  พรุ่งนี้ก็เกรงว่าไม่อาจปล่อยได้อีกแล้ว  ข้าขอโทษที่กลับคำ ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องเจ็บปวด  ขอโทษที่ไม่เคยบอกท่านเลยว่าในใจข้าท่านสำคัญแค่ไหน  ต้าอ๋อง  ข้ารักท่าน  ไม่ว่าท่านจะเป็นฉีเซี่ยงหยวนหรือเป็นเป่ยชางอ๋องข้าก็รักท่าน  ไม่ว่าท่านจะเป็นฉีเซี่ยงหยวนหรือเป็นเป่ยชางอ๋องข้าก็ไม่อยากปล่อยมือทั้งนั้น”
ข้ารักท่าน  คำสามคำที่ฉีเซี่ยงหยวนคิดว่าชาตินี้คงไม่มีวันได้ยินจากปากเหลียนอันสุ่ย ตอนนี้ถูกกล่าวออกมาแล้ว
 “ข้าขอโทษ  ที่ก่อนหน้านี้เอาแต่หวาดกลัวว่าจะสูญเสียท่านไป  ข้าขอโทษที่ก่อนหน้านี้เอาแต่คิดถึงเหตุผลแต่กลับมองข้ามความสำคัญของความรู้สึกที่ท่านมีให้  ข้าขอโทษที่ไม่เคยมีความกล้าเพียงพอจะบอกรักท่าน  ขอโทษที่ไม่เคยทำอะไรเพื่อความรักของเราเลย...” น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ารินออกมาจากหางตาของเหลียนอันสุ่ย  ขณะพูดต่อด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“ขอบคุณทุกความรู้สึกที่ท่านมีให้ข้า  ขอบคุณสำหรับทุกเรื่องราวที่ท่านทำเพื่อข้า  ขอบคุณทุกความพยายามที่ท่านมีให้กับความรักของเรา...ขอบคุณจริงๆ ”

ฉีเซี่ยงหยวนใช้ริมฝีปากจูบซับน้ำตาบนใบหน้าเนียน  จูบซับเรื่อยมาจนถึงผิวแก้ม  พึมพำว่า
“ท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า  เพราะข้าขอบคุณโชคชะตาตลอดมาที่ทำให้ข้าได้มาเจอท่าน” ไม่ว่ามันจะเป็นความเจ็บปวดหรือความสุข  ข้าล้วนยินดีที่ท่านก้าวเข้ามาในชีวิตของข้า

รู้สึกถึงเรียวปากร้อนผ่าวที่เคลื่อนลงสู่เรียวปากเขา  เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง  จูบด้วยความรู้สึกที่พลุ่งพล่านอยู่เต็มหัวใจ  มันคือความรักที่ไม่อาจกดข่มไว้ได้อีกแล้ว  มันคือความรักที่เป็นอิสระจากพันธนาการใดๆ  ปลายลิ้นทั้งสองรุกเร้าพัวพัน  การแตะสัมผัสแต่ละครั้งคือความโหยหา  รสชาติขมฝาดของน้ำตากลืนไปกับรสชาติอีกประการที่ติดตราตรึงยิ่งกว่า...รสชาติของการได้อยู่ร่วมไม่พรากจากชั่วชีวิต
ไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น  พวกเขาจะอยู่ด้วยกัน

ความรักมักสามารถทำสิ่งที่น่าเหลือเชื่อเสมอ  มันทำให้คนที่คิดแต่จะไขว่คว้า  รู้จักที่จะปล่อยมือ  และทำให้คนที่ไม่เคยดิ้นรนแสวงหา  รู้จักที่จะคว้ากุมไว้  ตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิตเหลียนอันสุ่ยก็ไม่เคยไปจากข้างกายของฉีเซี่ยงหยวน
แม้พวกเขาจะพัวพันกันอยู่เนิ่นนาน  แต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นกลับลึกซึ้งเกินกว่าจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ทางกาย  มันมากกว่านั้น  หากมันจะเป็นความปรารถนา  มันก็เป็นความปรารถนาของสิ่งที่ขาดหายไปในวิญญาณคน...และมันได้รับการเติมเต็มแล้ว

เหลียนอันสุ่ยซบอยู่ในอ้อมกอดของฉีเซี่ยงหยวน  ความรู้สึกต่างๆยังอ้อยยิ่งไม่จาง กล่าวเบาๆว่า
“ข้าต้องไปบอกท่านนักพรตว่าข้าไม่ไปแล้ว  ท่านเองก็ต้องเข้าราชสำนัก  เอาไว้ข้าจะกลับมารอท่านที่นี่...” เหลียนอันสุ่ยพูดไม่ทันจบคำ  ฉีเซี่ยงหยวนก็ขัดขึ้นมาทันที
“ไม่มีทาง!  ข้าไม่ให้ท่านไปไหนทั้งนั้น  เรื่องนักพรตผู้นั้นส่งคนไปบอกก็พอแล้ว” เป็นครั้งแรกที่หวาดกลัวถึงเพียงนี้  ไม่ต้องการสูญเสียไป  และไม่อาจเสี่ยงที่จะสูญเสียไปอีกครั้ง
เหลียนอันสุ่ยรับรู้ถึงความหวาดกลัวในถ้อยคำนั้น  ใช้สองมือประคองใบหน้าคมคาย  กล่าวอย่างจริงจังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“ทำแบบนั้นมันขาดความจริงใจ  เซี่ยงหยวน  ท่านต้องเชื่อใจข้า  ข้าบอกว่าไม่ไปจากท่านก็คือไม่ไปจากท่าน  ไม่ไปจากท่านอีกแล้ว  ต่อให้สุดท้ายท่านจะอยากให้ข้าไปให้พ้นๆก็เถอะ”
จับจ้องมองอีกฝ่ายอยู่นาน  สุดท้ายใบหน้าเครียดขรึมก็หัวเราะ  พึมพำว่า
“ตกลง  ข้าจะเชื่อใจท่าน”
---------------------
ในความเป็นจริงแล้ว  คนแรกที่พระมาตุลาแคว้นเหลียนไปพบไม่ใช่นักพรตชรา  แต่เป็นบุตรชายของตัวเอง
เหลียนจิ้งเต๋อเมื่อได้ฟังว่าบิดาจะไม่ไปแล้วก็ตื่นเต็มตา  ร้องว่า
“แย่แล้ว  ข้าต้องรีบไปบอกองค์รัชทายาท  เดี๋ยวเขาจะเศร้าเสียใจไปเปล่าๆ” พูดไม่ทันจบประโยคดีคนก็วิ่งตัวปลิวจากไปแล้ว  ทิ้งผู้เป็นบิดาให้ยืนอึ้งอยู่กับที่ 
สุดท้ายเหลียนอันสุ่ยหัวเราะออกมาเบาๆ  ในเสียงหัวเราะมีความโล่งใจเจืออยู่เจือจาง
---------------------
จากนั้นเหลียนอันสุ่ยจึงค่อยไปหาท่านนักพรต 
ตอนที่ได้ยินคำปฏิเสธจากปากพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ดวงตาของนักพรตชราปรากฏแววงงงัน
“...คิดเรียนรู้มรรคาแห่งฟ้าต้องเริ่มจากการปล่อยวาง  น่าเสียดายที่เหลียนอันสุ่ยยึดติดมากเกินไป  เป็นความยึดติดที่แก้ไม่หาย  สุดท้ายก็ไม่อาจจากไปอย่างปลอดโปร่งได้  เหลียนอันสุ่ยขอให้การเดินทางของท่านนักพรตราบรื่น  และรู้สึกขอบคุณยิ่งสำหรับคำชี้แนะอันทรงคุณค่า  ถึงแม้ข้าและลูกจะไม่มีวาสนาได้ติดตามท่าน  แต่เหลียนอันสุ่ยจะจดจำคำสอนของท่านตลอดไป”

ในดวงตาของผู้มากวัยกว่ามีแววเสียดาย  ซึ่งหากนักพรตชราทราบที่มาที่ไปของเรื่องราวคงจะต้องนึกเสียดายหนักกว่านี้  เพราะคำพูดที่เขาหวังให้อีกฝ่ายสามารถปล่อยวางเมื่อคราวก่อน  กลับเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เหลียนอันสุ่ยล้มเลิกความคิดที่จะจากไป
---------------------
ห้องชั้นนอกเงียบสงบ
ร่างสูงโปร่งใช้ศอกข้างหนึ่งเท้าแขนเก้าอี้  หลังมือเท้าคาง  ตรวจทานอักษรในม้วนหนังสืออย่างจดจ่อ  ชายอาภรณ์สีฟ้าเทาดูราวหมอกควันที่คลี่คลุมผืนฟ้า  เส้นผมครึ่งศีรษะรวบไว้หลวมๆด้วยปิ่นหยกขาวมันแพะ  หยกขาวกระจ่างดั่งปลายเมฆา  เส้นสายหมดจดบนใบหน้าละมุนตา  เท้าเปลือยเปล่าทั้งคู่วางอยู่บนพรมขนสัตว์หนานุ่มผืนหนึ่ง  เหลียนอันสุ่ยในรูปลักษณ์เรียบง่ายเช่นนี้ให้อารมณ์ผ่อนคลายปล่อยตัวตามธรรมชาติ  นี่กลับเป็นภาพที่งดงามที่สุดในชีวิตของฉีเซี่ยงหยวน

เป่ยชางอ๋องที่สามแคว้นต่างครั่นคร้ามหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู  หวาดกลัวว่าภาพดังกล่าวจะเป็นเพียงหมอกควัน  ฉีเซี่ยงหยวนเคยนึกฝันถึงช่วงเวลานี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ปรารถนาจากส่วนลึกของหัวใจให้ทุกวันหลังจากนี้ของเขาสามารถมีเหลียนอันสุ่ย
เมื่อมันเป็นจริงขึ้นมามันกลับดูเหมือนความฝันจนยากจะเชื่อ

ที่แท้รสชาติของการมีคนรอคอยให้กลับไปก็เป็นรสชาติเช่นนี้เอง  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยคาดหวังว่าสักวันตัวเองจะมี ‘บ้าน’  แต่ในวินาทีนั้น  ฉีเซี่ยงหยวนกลับภาวนาให้ที่แห่งนี้เป็น ‘บ้าน’ ของเขาตลอดไป
---------------------
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นเห็นฉีเซี่ยงหยวนก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“ต้าอ๋อง  เมื่อคืนท่านไม่ได้นอน  วันนี้ในเมื่อกลับมาเร็วก็นอนให้มากหน่อย  หลับซักตื่นหนึ่งก่อนเถอะ” เหลียนอันสุ่ยยังจำท่าทีอิดโรยในตอนย่ำรุ่งของฉีเซี่ยงหยวนได้
หากวินาทีถัดมาพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็ตกใจจนทำม้วนตำราในมือตกพื้น  เมื่อท่อนแขนกำยำช้อนร่างเขาขึ้นมาจากเก้าอี้
ร่างสูงโปร่งถูกวางลงบนเตียงใหญ่  ร่างสูงใหญ่ทาบทับลงมา  ใบหน้าคมคายฝังลงกับซอกคอละมุน  กลิ่นหอมอ่อนจางราวกับมิได้ดำรงอยู่จริง  ราวกับเป็นเพียงความฝันของเขาเท่านั้น  มือใหญ่เลื่อนลงไปตามเอวเพรียว  เพื่อยืนยันกับตัวเองว่าอีกฝ่ายมีตัวตน  ท่าทีของร่างสูงทำให้หัวใจของเหลียนอันสุ่ยบีบรัด  แนบริมฝีปากเข้ากับใบหูของฝ่ายตรงข้าม  กล่าวอย่างจริงจังว่า
“ท่านใยต้องรีบร้อน  ในเมื่อระหว่างเรายังมีเวลาอีกชั่วชีวิต” น้ำเสียงปลอบประโลมโน้มน้าว  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างที่คร่อมอยู่เหนือร่างเขาผ่อนคลายลง  แต่ยังไม่ยอมขยับไปไหน  เพียงทิ้งน้ำหนักค่อนมาทางด้านข้าง  ทำให้เป็นกึ่งๆเกยกึ่งๆตะแคง  มือใหญ่รวบเอวของเขาเอาไว้
ปิ่นหยกขาวหลวมจนเลื่อนหลุดลงมา  ฉีเซี่ยงหยวนดึงมันออกจากเกลียวผม วางไว้บนโต๊ะด้านข้าง
เหลียนอันสุ่ยกลับมิได้คิดจะสลัดอีกฝ่ายออก  เพียงใช้ปลายนิ้วเรียวยาวไล้ปอยผมที่ระใบหน้าคมคายไปทัดที่หลังใบหู  ยิ้มบางๆ กล่าวถามเบาๆว่า
“ข้านอนเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่”
“...ดี” เมื่อมีข้อเสนอเช่นนี้ในที่สุดร่างสูงก็ยอมเลื่อนตัวห่างออกไปด้านข้างอีกหน่อย  เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่อึดอัด
 “แต่ก่อนหน้านั้นท่านต้องถอดกวานก่อน” จู่ๆเหลียนอันสุ่ยก็เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา
ฉีเซี่ยงหยวนกระพริบตา  เพิ่งนึกได้ตัวเองลืมอะไร  หัวเราะเบาๆแล้วหันหลังกลับไป  ยินยอมให้เหลียนอันสุ่ยปลดรัดเกล้าออกจากศีรษะเขา
เส้นผมสีดำสนิท  ครอบกวานสีทองเจิดจ้า  ปิ่นเสียบสีทองเช่นกัน  ปลายนิ้วเรียวยาวขาวสะอาดดึงปิ่นอันนั้นออกอย่างแช่มช้า  ปล่อยเส้นไหมสีดำให้เป็นอิสระ  และปล่อยหัวใจคนจากกรงขัง
บ่ายวันนั้นกลิ่นอายแดดสดชื่นเป็นพิเศษ
======

ในที่สุดก็พ้นช่วงที่เนื้อหาต่อเนื่องเป็นพืด  หลังจากนี้จะอัตรการอัพจะเปลี่ยนเป็นอาทิตย์ละครั้ง  ครั้งละสองตอนนะคะ

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 59 .......................................20/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 20-10-2014 22:43:59
เย่ พ้นช่วงหน่วงหัวใจเสียที แต่เรื่องชายา ท่านอ๋องจะทำงายเนี่ย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 59 .......................................20/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 21-10-2014 16:11:05
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 59 .......................................20/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 23-10-2014 02:46:10
เรากลัวเรื่องขั้วอำนาจจังค่ะ  :ling2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 59 .......................................20/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: _himura_ ที่ 24-10-2014 08:01:20
มาให้กำลังใจค่ะ รักเรื่องนี้ รักคนแต่ง มาต่อไวๆนะคะ
 o13 :3123:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 59 .......................................20/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 25-10-2014 11:24:57
ในที่สุดเขาก็ได้รักกันเสียที

ยังเหลือเรื่องสนมสินะ...
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 59 .......................................20/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-10-2014 17:30:20
หวานละมุนดีจริงๆ อยากอ่านต่อแล้ววว
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 59 .......................................20/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 25-10-2014 19:51:00
ดีใจที่เหลียนอันสุ่ยตัดสินใจแบบนี้
แต่ก็นึกถึงเรื่องพระอัครชายา การมีอำนาจเหนือแคว้นต่างๆ
ทำให้หดหู่ต่ออีก กลัวว่าจะไม่แฮปปี้เอนดิ้ง
อ่านแล้วชอบสำนวนแบบนี้จริงๆค่ะ
ขอบคุณมากๆที่เขียนเรื่องดีๆภาษาสวยๆให้ได้อ่านกัน

รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 60
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 25-10-2014 23:44:44
บทที่ 60 ราชทูตแคว้นโหยวเฉิง(1)

สามวันถัดมา  พระภาดาหานญื่อหลัวกลับถึงเมืองหลวง
“ตอนมีข่าวว่าท่านจะจากไป  ข้าก็รีบเร่งเดินทางกลับ  คิดว่าจะไม่ทันเสียแล้ว  คิดไม่ถึงยังคงได้พบหน้าท่าน”
เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วยิ้ม  ข่าวของหานญื่อหลัวกลับไม่เคยล่าช้าเลย  คนที่เมืองหลวงของหานญื่อหลัวทำงานอย่างขยันขันแข็งไม่น้อย
“ความจริงตอนนั้นข้าตั้งใจจะทิ้งจดหมายอำลาไว้ให้ท่านฉบับหนึ่ง  แต่สุดท้ายในเมื่อไม่ได้จากไป  เลยเผาทิ้งไปแล้ว”
หานญื่อหลัวหัวเราะ  พึมพำว่า
“ดีแล้วที่ท่านไม่ไป  ไม่เช่นนั้นข้ากลับมาคงพอดีช่วงมรสุมเข้า” พูดพลางลูบพิณในมือ 
อันที่จริงหานญื่อหลัวอิจฉาฉีเซี่ยงหยวนอยู่บ้าง  คิดไม่ถึงฉีเซี่ยงหยวนที่งานยุ่งกว่าเขา  กลับได้พบคนรู้ใจเร็วกว่าเขา
เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง  ฟังเสียงลมและเสียงพิณที่เนิบช้าสง่างาม  คิดไม่ถึงเพลงที่เชื่องช้าปานนี้หานญื่อหลัวยังคงเรียบเรียงมันออกมาได้ไม่น่าเบื่อเลย  เสียงและความเงียบลงตัวอย่างที่สุด

หานญื่อหลัวปล่อยนิ้วมือไปตามอารมณ์  มองบุรุษเบื้องหน้า  ในใจอดรู้สึกเสียดายจางๆ  เหลียนอันสุ่ยกับฉีเซี่ยงหยวนเป็นส่วนผสมที่ลงตัวกันได้อย่างน่าประหลาด  คนหนึ่งมุ่งมั่นแสวงหา  อีกคนปล่อยวางไร้การกระทำ  ทั้งที่อยู่สุดปลายแต่กลับเข้าใจกันและกันอย่างลึกซึ้ง
มุมปากของหานญื่อหลัวปรากฏรอยยิ้ม  ลูกพี่ลูกน้องที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อสิ่งใดของเขาในที่สุดก็พ่ายต่อสิ่งที่เรียกว่าความรักจนได้  ตอนที่ได้ยินว่าฉีเซี่ยงหยวนปล่อยให้พระมาตุลาแคว้นเหลียนจากไป  หานญื่อหลัวยิ่งฟังยิ่งไม่เชื่อ  ฉีเซี่ยงหยวนที่ไม่เลือกวิธีการ  ฉีเซี่ยงหยวนที่มีแผนการสารพัด  ฉีเซี่ยงหยวนที่มีอำนาจเพียงพอจะพลิกฟ้าดิน  กลับกลายเป็นสามัญธรรมดาถึงเพียงนี้  น่าแปลกที่เมื่อเผชิญหน้ากับความรักไม่ว่าบุคคลโดดเด่นปานใดก็จะแปรเปลี่ยนเป็นเช่นเดียวกับคนสามัญธรรมดา  ต้องรู้จักที่จะก้าวถอย  รู้จักที่จะประนีประนอมต่อความรัก  เข้าใจและให้เกียรติ  อภัยและซื่อตรง 
...บางทีหากฉีเซี่ยงหยวนไม่ยินยอมปล่อยมือคงไม่มีวันได้รู้เลย  ว่าแม้จะเลือกได้เหลียนอันสุ่ยจะยังคงอยู่ข้างกายเขา
---------------------
ชีวิตหลังจากนี้ของพวกเขาราบรื่นหรือไม่...คงไม่อาจใช้คำว่าราบรื่นได้เต็มปากนัก
เหลียนจิ้งเต๋อยังคงตั้งตัวเป็นศัตรูกับพ่อบุญธรรมของตัวเอง  เพียงแต่เมื่อมีท่านพ่อมาเป็นตัวแปรหนึ่ง  ความขัดแย้งเบื้องหน้าก็แปรสภาพเป็นสงครามเบื้องหลัง
ช่วงก่อนค่ำไม่นาน  ที่ตำหนักชุนเกอ
เหลียนอันสุ่ยกำลังเช็ดผมให้กับฉีเซี่ยงหยวนอยู่ในห้องตัวเอง  ตั้งแต่เช็ดผมให้ในคราวนั้นเป่ยชางอ๋องผู้นี้ก็ดูเหมือนจะติดใจ  ไม่ค่อยยินยอมเช็ดผมเอง  บรรดาหญิงรับใช้ก็ไม่ยอมให้แตะ  อาศัยให้พระมาตุลาแคว้นเหลียนรับเป็นธุระประจำวัน  เหลียนอันสุ่ยได้แต่ส่ายหัว  รู้สึกเหมือนตัวเองเลี้ยงเด็กสองคน  จำได้ว่าแต่ก่อนเขาก็ต้องเช็ดผมให้เหลียนจิ้งเต๋อ  มาตอนนี้กลับต้องมาเช็ดผมให้เด็กโข่งตัวโต
เพิ่งเช็ดไปได้ครึ่งเดียว  เหลียนจิ้งเต๋อก็โผล่มา  ร่ำร้องโอดโอยว่าปวดหัว
“ท่านพ่อ  ท่านพ่ออยู่ไหน  จิ้งเอ๋อปวดหัวเหลือเกิน...”
ได้ยินเหลียนอันสุ่ยก็ตกใจ  ยัดผ้าใส่มือฉีเซี่ยงหยวน  รีบร้อนลุกขึ้นอังมือกับใบหน้าของบุตรชาย  ไม่ทันเห็นสีหน้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของคนตัวโต  ฉีเซี่ยงหยวนกำผ้าในมือแน่น  และกำแน่นยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นสายตาเหนือกว่าที่ลอบส่งมาจากลูกบุญธรรมของตัวเอง
---------------------
“ฉางเฟย  บอกพระอาจารย์รัชทายาท  ว่าข้าว่าเขาให้การบ้านเหลียนจิ้งเต๋อน้อยไปแล้ว  จึงได้มีเวลาว่างก่อเรื่องวุ่นวายมากขนาดนี้”
ไม่ทันพ้นวัน  เหลียนจิ้งเต๋อก็แทบถูกการบ้านทับตาย  รีบร้อนกลับตำหนักเสียงวสันต์  บ่นโอดครวญกับบิดา
ตอนฉีเซี่ยงหยวนเปิดประตูเข้ามา  ก็พบว่าห้องของเหลียนอันสุ่ยกระจายเต็มด้วยม้วนไม้ไผ่  เหลียนจิ้งเต๋อนั่งอยู่ท่ามกลางม้วนไม้ไผ่เหล่านั้น  ส่วนเหลียนอันสุ่ยนั่งอยู่ข้างกายเขา  อธิบายอย่างเอาใจใส่

แน่นอนว่าการบ้านมากมาย  คนที่ช่วยได้ก็คือบิดากับสหาย  เย็นนั้นในห้องส่วนตัวของเหลียนอันสุ่ยจึงมีคนปักหลักอยู่ถึงสี่คน  รัชทายาทเหลือบมองสายตาขวางๆของพระบิดาบุญธรรมเป็นพักๆ  อยากจะหาข้ออ้างหลบไปเต็มแก่  แต่เหลียนจิ้งเต๋อก็หาสารพัดวิธีมาหน่วงเหนี่ยวกำลังสำคัญที่จะช่วยทำการบ้านผู้นี้เอาไว้สุดความสามารถ  เหลียนอันสุ่ยยิ่งมิได้ปฏิเสธบุตรชาย  เหลียนจิ้งเต๋อสงสัยอะไรก็จะเงยหน้าถาม  ผูกขาดบทสนทนาไว้แต่เพียงผู้เดียว
สรุปแล้ววันนั้นฉีเซี่ยงหยวนก็ได้รู้ว่า  แม้เหลียนจิ้งเต๋อจะไม่ถนัดแผนการลึกล้ำ  แต่ความสามารถในการปรับตัวกลับเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า
---------------------
พระจันทร์กลมโตกระจ่างราวโคมดวงหนึ่งที่แขวนประดับเหนือน่านฟ้า
เหลียนจิ้งเต๋อเอนกายอยู่บนเตียงบิดา  ลิ้มรสชาติของชัยชนะ 
วันนี้เขาใช้ข้ออ้างว่าเมื่อวานฝันร้าย  ฝันว่าสูญเสียท่านแม่  แล้วสุดท้ายยังสูญเสียท่านพ่อไปอีก  ตื่นขึ้นมาเสียขวัญไม่วางใจ  จึงต้องมาเฝ้าด้วยตัวเอง  ท่านพ่อได้ยินชื่อท่านแม่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ  สรุปแล้วข้ออ้างนี้นับว่าใช้ได้ผล
เสียงเปิดประตู  ร่างสูงใหญ่ของเป่ยชางอ๋องเดินเข้ามา  เมื่อเห็นว่าบนเตียงมีใครจับจองอยู่ก็หรี่ตาลง
เหลียนจิ้งเต๋อไม่สะทกสะท้าน  กล่าวขึ้นว่า
“ท่านเอาชนะข้าไม่ได้หรอก  ท่านพ่อรักข้าที่สุด” อาศัยแค่ข้อได้เปรียบข้อนี้  ท่านก็เทียบไม่ได้แล้ว
แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง  ถามขึ้นว่า
“พรุ่งนี้เจ้าไปเรียนที่สำนักศึกษา  ไม่อยากเที่ยวที่นอกวังหน่อยหรือ”
คนเยาว์วัยกว่าชะงัก  จ้องอีกฝ่ายเขม็ง  เห็นฉีเซี่ยงหยวนยิ้มที่มุมปากแล้วกล่าวว่า
“ข้าอนุญาตให้ได้นะ  เที่ยวสัปดาห์ละสองครั้ง  ไม่เลวเลยใช่หรือไม่  เรา...จะไม่ทำข้อตกลงกันหน่อยหรือ?”
ข้อเสนอนี้เย้ายวนสุดบรรยาย  เหลียนจิ้งเต๋อกลอกตาวุ่นวาย  สุดท้ายลุกขึ้นนั่ง  กระแอมหนักๆกล่าวว่า
“อันที่จริงพวกเราก็โตๆกันแล้ว...  เห็นแก่ที่ท่านพ่อรักท่านมาก  ข้ายอมสงบศึกกับท่านก็ได้”
“วาจาลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ? ”
เหลียนจิ้งเต๋อผงกศีรษะ  ตอบอย่างหนักแน่น
“วาจาลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ! ”
ตบมือทำสัญญา  ข้อตกลงสำเร็จลุล่วง
---------------------
ประตูวังอันแข็งแกร่งมั่นคงของแคว้นเป่ยชางเปิดออกจนสุดบานไม่บ่อยนัก  ทหารม้าเรียงรายสองฟาก  คุ้มกันอารักขาอย่างเป็นระเบียบ  ทางเดินหินแกร่งกว้างขวาง  ต้อนรับราชทูตแคว้นโหยวเฉิงสู่ศูนย์กลางอำนาจแห่งแคว้นเหนือ
เหยี่ยวตัวใหญ่กรีดร้องก้องฟ้า  ขับเน้นความน่าเกรงขามอันเงียบกริบ  แคว้นเป่ยชางไม่หรูหราแต่กลับยิ่งใหญ่จนกดข่มคนให้เหลือตัวนิดเดียว  ไม่ว่าใครที่ลอดใต้ประตูวังของแคว้นเป่ยชางเข้ามามักมีความรู้สึกราวกับผ่านพ้นอดีตอันอลังการช่วงหนึ่งเข้าสู่โลกอันไม่คุ้นเคยที่กว้างใหญ่เหลือคณา
ราชทูตแคว้นโหยวเฉิงมาคราวนี้  เบื้องหน้าเชื่อมสัมพันธไมตรี  ลึกลงไปหวังผูกเป็นทองแผ่นเดียวกัน  หัวหน้าคณะทูตมีศักดิ์ฐานะเป็นถึงองค์ชาย  โหยวเฉิงอ๋องส่งโอรสมาเอง  เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญกับการนี้เป็นอย่างมาก

ผู้มาเยือนทอดมองกองทหารม้าอันทรงอานุภาพ  ในดวงตาขององค์ชายแคว้นโหยวเฉิงพลันปรากฏแววยอมรับนับถือระคนวาดหวัง  หากได้รับการสนับสนุนจากแคว้นเป่ยชาง  แคว้นโหยวเฉิงยังต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกหรือ
แคว้นโหยวเฉิงหวังใช้ประโยชน์จากแคว้นเป่ยชาง  หรือแคว้นเป่ยชางจะไม่หวังใช้ประโยชน์จากแคว้นโหยวเฉิงเช่นกัน  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ปรารถนาการอภิเษกเชื่อมสัมพันธไมตรี  แต่การมาถึงขององค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงกลับเป็นที่สบอารมณ์ของเขา

ใต้หล้ากว้างใหญ่  ใจคนยากจะหยั่ง  ในสายลมแผ่วจาง  พายุเริ่มก่อหวอด
---------------------
มีคนบอกว่า  รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งมิพ่าย
เรารู้จักเขามากเพียงใด  เขารู้จักเรามากแค่ไหน  และเรารู้จักตัวเองมากแค่ไหน  นี่เป็นคำถามที่ฉีเซี่ยงหยวนมักถามตัวเอง  รับมือเหล่าขุนนางฉีเซี่ยงหยวนมีวิธี  รับมือคณะทูตคนที่ต้องคิดหาวิธีก็คือเหล่าขุนนาง  ทุกประการล้วนมีเหตุผล  แต่ละคนล้วนมีความมุ่งหมาย ทำความเข้าสถานการณ์โดยรวมให้กระจ่างชัดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
หลายสัปดาห์ก่อน  ขุนนางใกล้ชิดร่วมกันถวายฎีกา  คุกเข่าโดยพร้อมเพรียง  ฉีเซี่ยงหยวนกลับกวาดมองแต่ละคนด้วยรอยยิ้มบางๆ  วางฎีกาลงบนโต๊ะช้าๆ  กล่าวขึ้นว่า
“เรื่องใหญ่ในชีวิตของข้า  ต้องให้ทุกท่านเป็นกังวลแล้ว”
เหล่าขุนนางฟังแล้วกลืนน้ำลาย  รีบกล่าวว่า
“พวกกระหม่อมไม่บังอาจ  ราชทูตแคว้นโหยวเฉิงเดินทางมาคราวนี้มีความตั้งใจอันดี  คิดสานสัมพันธไมตรีด้วยการแต่งงาน  พวกกระหม่อมจึงมีความเห็นว่าการณ์นี้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย...”
“พวกท่านล้วนเป็นขุนนางที่ข้าไว้ใจ  แต่อัครชายาตำแหน่งนี้คิดแต่งตั้งคนพอใจควรเป็นข้า  ขอถามพวกท่าน  แคว้นเป่ยชางเราจำเป็นต้องประจบเอาใจแคว้นโหยวเฉิงหรือ ? ” ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้บันดาลโทสะ  แต่วาจากลับคล้ายดาบที่ถูกลับจนคมกริบ
สุดท้ายขุนนางขุนนางชั้นผู้น้อยผู้หนึ่งก็กล่าวขึ้นว่า
“กราบทูลต้าอ๋อง  สามแคว้นใหญ่ศักดิ์ฐานะเท่าเทียม  พวกเราทำอันใดไม่จำเป็นต้องรอดูสีหน้าพวกเขา”
“แล้วเหตุใดข้าจะต้องอภิเษกชายาที่ข้าไม่พอใจ  เพื่อความพอใจของแคว้นโหยวเฉิงด้วยเล่า  พวกท่านล้วนทราบดี  ความยิ่งใหญ่ของแคว้นเป่ยชางเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแคว้นโหยวเฉิง  อีกไม่นานแคว้นโหยวเฉิงต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายพึ่งพาเรา  คอยดูสีหน้าเรา”…!
บรรยากาศเงียบกริบ  เหล่าขุนนางมองสบกันไปมาด้วยความกังขา  มีเพียงหลี่กวงเว่ยที่ไม่สบตากับใครแต่หลุบตามองพื้น  เพราะเขาคาดเดาออกแล้วว่าฉีเซี่ยงหยวนจะล้มแผนการทั้งหมดของเขาด้วยวิธีไหน
“ใต้เท้าหลี่  ข้าได้ยินว่าท่านศึกษาสถานการณ์ของแคว้นโหยวเฉิงมาอย่างลึกซึ้ง  ข้าอยากให้ท่านแจกแจงต่อปวงขุนนางทั้งหลาย” คิดไม่ถึงหลี่กวงเว่ยสงบปากสงบคำอยู่ด้านข้าง  นายเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่กลับไม่ยอมละเว้นเขา
หลี่กวงเว่ยประสานมือ  แจกแจงด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
 “โหยวเฉิงอ๋องชราภาพมากแล้ว  โอรสกลับมีหลายคนเกินไป  สภาพอำนาจของแคว้นโหยวเฉิงไม่มั่นคงเท่าแคว้นหนานเหมิน  อีกไม่กี่ปีต้องมีสงครามภายในแน่นอน”
เหล่าขุนนางรับฟังพลางเห็นด้วยในใจ  นี่เป็นจังหวะที่ทุกผู้คนปรารถนาจะฉกฉวย  หากตอนนั้นแคว้นโหยวเฉิงกับแคว้นเป่ยชางเป็นทองแผ่นเดียวกันทุกประการจะยิ่งง่าย
 
ท่าทีของฉีเซี่ยงหยวนลึกซึ้งจนยากจะอ่าน  ขณะเอ่ยช้าๆ
“พวกเราต่างรู้กันดีว่าสภาพอำนาจในแคว้นโหยวเฉิงไม่มั่นคง  องค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงที่จะมาถึงผู้นี้เป็นพี่ชายแท้ๆขององค์หญิงที่ได้ชื่อว่ารูปงามที่สุด  มีศักดิ์ฐานะคู่ควรกับข้าที่สุด  เขาเดินทางมาด้วยตัวเองเช่นนี้ไม่ต้องบอกพวกท่านคงทราบได้ว่าเขาอยากให้ข้าอภิเษกองค์หญิงองค์ไหน  ในใจเขาวาดฝันอะไรไว้  แม้ข้าจะไม่ต้องการแต่งงานกับน้องสาวเขา  แต่สัมพันธไมตรีระว่างสองแคว้นข้ายังคาดหวังให้มันเป็นไปด้วยดี  ความฝันครั้งนี้ของเขาพวกเราใยไม่ช่วยส่งเสริม  วกอ้อมเป็นวงกว้างไม่สู้ลงมือกับความแตกแยกภายใน”
พี่ชายเจรจาการแต่งงานให้น้องสาวความจริงเป็นเรื่องธรรมดา  แต่เรื่องธรรมดาเช่นนี้เมื่อเกิดในราชวงศ์มักไม่เคยสิ้นสุดที่ความวาดหวังธรรมดาๆ  ดังนั้นราชทูตคณะนี้พวกเขาต้องต้อนรับขับสู้ให้ดี
---------------------
งานเลี้ยงต้อนรับราชทูตแคว้นโหยวเฉิงดำเนินถึงดึกดื่น  จัดอย่างยิ่งใหญ่  คนได้รับเชิญมีมากมาย  พระมาตุลาแคว้นเหลียนเองก็ได้รับเชิญเข้าร่วมด้วย
ดวงตาคู่งามมองจอกเหล้าอย่างเหม่อลอย  ในหัวยังคงเป็นคำพูดเก่าของฉีเซี่ยงหยวน
‘ท่านไม่ต้องกังวล  ข้าจะแสดงให้ท่านเห็นว่าข้าปฏิเสธแคว้นแคว้นโหยวเฉิงอย่างไร’ 
เหลียนอันสุ่ยส่ายหัว  ความจริงแล้วเขาไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้  เพียงในใจท่านมีข้าก็เพียงพอแล้ว
ราชทูตแคว้นโหยวเฉิงนั่งฝั่งซ้าย  ขุนนางเป่ยชางนั่งฝั่งขวา กั้นกลางด้วยเวทีใหญ่บรรจุนางรำเพริดแพร้วละลานตา  เป่ยชางอ๋องนั่งบนแท่นยกสูง  โต๊ะยาวแต่ละตัวจัดวางสุราอาหาร  ขุนนางลำดับชั้นสูงนั่งติดหน้าเวที  ที่ตำแหน่งต่ำกว่ากระจายออกไปด้านหลังเป็นชั้นๆ  ที่นั่งของเหลียนอันสุ่ยอยู่ใกล้พระภาดาหานญื่อหลัว  แต่วางอยู่ในมุมที่ไม่สลักสำคัญมุมหนึ่ง

ราชทูตจากแดนไกลสนทนากับเป่ยชางอ๋องที่ตำแหน่งประธาน  ที่น่าแปลกคือวันนี้ฉีเซี่ยงหยวนกลับดูเป็นมิตรอย่างยิ่ง  คนผู้นั้นคงกำลังเดินแผนการอีกแล้ว  ผู้คนในงานเลี้ยงล้วนใส่หน้ากากเข้าหากัน  จริงใจกี่ส่วน  แผนการแอบแฝงกี่ส่วน  เหลียนอันสุ่ยไม่ปรารถนาจะแยกแยะ  ที่คนพวกนี้เดิมพันคือบ้านเมือง  ไม่ถึงผลสุดท้ายไม่อาจตัดสินแพ้ชนะ

เหลียนอันสุ่ยฟังคำปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม  ฟังคำสัญญาเกี่ยวกับความร่วมมือ   แคว้นเป่ยชางยินดีจะเป็นพี่น้องกับแคว้นโหยวเฉิง  เป่ยชางอ๋องพูดคุยถูกคอกับองค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงเป็นอย่างมาก  เห็นได้ชัดว่าแคว้นเป่ยชางตกลงใจจะสนับสนุนองค์ชายสามแล้ว  แม้เจรจาเรื่องงานอภิเษกไม่ประสบผล  แต่ได้แคว้นเป่ยชางหนุนหลัง  องค์ชายจากแดนไกลเบิกบานกว่าใคร  หัวเราะพูดคุยไม่ขาดปาก  เพียงแต่เขาชิงแผ่นดินให้ตัวเอง  หรือชิงแผ่นดินให้ผู้อื่น ?

เกรงว่ามีเพียงบทสรุปในภายภาคหน้าที่ตอบได้

มีอยู่ช่วงหนึ่ง  ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นในงานเลี้ยง  เหลียนอันสุ่ยกวาดมองไปพอดีสบกับสายตาคมกริบคู่นั้น  ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลพอสมควร  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับสามารถคาดเดาความหมายที่ปรากฏในแววตาฝ่ายตรงข้ามได้ 
‘ไม่ต้องแต่งตั้งอัครชายา ข้าก็มีวิธีกลืนกินแคว้นโหยวเฉิงในแบบของข้าเอง’
เหลียนอันสุ่ยเบือนสายตากลับมา  ไม่คิดจะจับจ้องนานเกินไป  มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ  สั่นหัวช้าๆ  แค่แผนการขั้นแรกสำเร็จ  จำเป็นต้องลำพองใจถึงเพียงนี้เลยหรือ
เหลียนจิ้งเต๋อที่ดึงดันขอติดตามมาชมดูความสนุกสนาน  นั่งอยู่ข้างกายบิดา  กำลังง่วนอยู่กับการเทสุราให้เข้าจอกด้วยวิธีพิสดาร  เทไปเทมากาสุราหลุดจากมือ  ปลิวฉิวออกไป  จังหวะที่กระแทกร่วงหล่นกระฉอกใส่หน้าคนผู้หนึ่ง
เป็นโชคดีของเหลียนจิ้งเต๋อที่คนส่วนมากกำลังสนใจการร่ายรำบนเวที  เสียงพูดคุยเสียงดนตรีจอแจครึกโครม  เสียงกาสุราแตกจึงไม่ดังเท่าไหร่
จั่วชิวถูลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยดน้ำ  รู้สึกถึงความซวยของตัวเองอย่างชัดเจน 
ความจริงจั่วชิวถูเดินทางมากับคณะทูตแคว้นโหยวเฉิง  ตามเหตุผลควรได้ที่นั่งฝั่งซ้าย  แต่จั่วชิวถูความจริงเป็นพ่อค้าชาวเป่ยชาง เดินทางไปมาหลายแว่นแคว้น  รู้จักมักคุ้นกับขุนนางของแคว้นเป่ยชางไม่น้อย  เมื่อออกปากจึงได้รับการเจียดที่นั่งให้ด้วยความเต็มใจ
จุดประสงค์ของจั่วชิวถูคือตั้งใจจะสืบหยั่งท่าทีของแคว้นเป่ยชางให้กับคณะทูตโหยวเฉิง  คิดไม่ถึงไม่ทันจะสืบหยั่งได้ความที่ต้องการก็เปียกไปทั่วทั้งหน้า  ขณะหรี่ตาลงอย่างกรุ่นโกรธ  ก็เห็นเด็กหน้าตาน่ารักคมคายผู้หนึ่งวิ่งปราดมาประสานมือขอโทษขอโพย
พ่อค้าผู้ทรงอิทธิพลกระพริบตา  รู้สึกเจิดจ้าอยู่บ้าง  เด็กคนนี้ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายราวกับแสงอาทิตย์  โตอีกไม่กี่ปีรับรองต้องเป็นหนุ่มน้อยที่น่าดูคนหนึ่ง
ตอนแรกเหลียนจิ้งเต๋อยังรู้สึกผิด  ต่อมาถูกสายตาเล็กหยีของฝ่ายตรงข้ามจับจ้องมองจนตะครั่นตะครอไปทั่วร่าง  ปรารถนาจะถอดรองเท้ากระแทกใส่ดวงตาคู่นั้น น่าเสียดายที่บิดาสั่งสอนมาดีเกินไป  จึงกล่าวขอโทษไปอีกสองคำก็เผ่นกลับที่
หนุ่มน้อยมีราคาค่างวดของหนุ่มน้อย  แม้ปรกติจั่วชิวถูจะชอบประเภทที่โตกว่านี้สักหน่อย  แต่สินค้าชั้นนี้ก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายดาย  กิจการของจั่วชิวถูกว้างขวางทั่วสามแคว้น  รสนิยมกลับพิเศษเฉพาะ  ชมชอบบุรุษไม่ชอบสตรี  คิดไม่ถึงราชสำนักแคว้นเป่ยชางกลับโผล่หนุ่มน้อยชาวเหลียนขึ้นมาคนหนึ่ง

เหลียนจิ้งเต๋อพบว่าสายตาน่าขนลุกนั่นยังกวาดตามมา  ก็ย้ายหลบไปนั่งอีกฝั่งของบิดา  ท่าทีร้อนรนนี้เหลียนอันสุ่ยมองแล้วเข้าใจว่าอีกฝ่ายหลบหนีความผิดมา  จึงหันกลับไป  ตั้งใจจะสะสางเรื่องราวแทนบุตรชายที่ไม่รู้ความของเขา
จั่วชิวถูมองตามร่างเล็กที่หลบพ้นไปอย่างเสียดาย  เงยหน้าขึ้นก็พอดีสบสายตากับเหลียนอันสุ่ยที่ประสานมือขอขมาอยู่นานแล้ว  พริบตานั้นจั่วชิวถูทำได้แค่นิ่งงันอยู่กับที่  เค้าไปหน้าที่คล้ายคลึงทำให้จั่วชิวถูคาดเดาออกว่าคนผู้นี้ต้องเป็นบิดา  คิดไม่ถึงบิดาของเด็กคนนั้นจะน่าดูปานนี้  จนเหลียนอันสุ่ยหันหลังไปแล้ว  จั่วชิวถูยังคงไม่อาจถอนสายตากลับมา

บิดากับบุตรชายมีบรรยากาศรอบกายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  คนเป็นบุตรรูปงามนัก  แต่คนเป็นบิดากลับทำให้พ่อค้าที่สนิทสนมกับองค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงผู้นี้หวั่นไหวใจ  วัยของเหลียนอันสุ่ยไม่อ่อนเยาว์แล้ว  แม้จะยังอ่อนกว่าเขาแต่ต้องไม่จัดเป็นคนอายุน้อยเด็ดขาด  หากเหลียนอันสุ่ยกลับมีเสน่ห์อันลุ่มลึกที่คนเยาว์วัยกว่านี้ล้วนไม่อาจมีได้  เป็นครั้งแรกที่จั่วชิวถูถามตัวเองว่าการที่เขาเอาแต่มองหาบุรุษที่อายุไม่เกินยี่สิบปีใช่เป็นความผิดพลาดมาโดยตลอดหรือไม่
สายตาของจั่วชิวถูวนเวียนอยู่กับร่างเหลียนอันสุ่ย  สำรวจไปทั่วแผ่นหลังสูงโปร่ง  หาทราบไม่ว่ามิใช่เขาคนเดียวที่จับจ้องมองคนผู้นี้
‘เป๊าะ’
เป่ยชางอ๋องบนบัลลังก์บีบตะเกียบไม้จนหักคามือ  จอกสุราในมือขององค์รัชทายาทชะงักไปขณะเหลือบสายตามองตามพระบิดาบุญธรรม  ตัวหานญื่อหลัวที่นั่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากกว่าขมวดคิ้ว  รู้สึกถึงสายตาแปลกๆมาตั้งแต่เมื่อครู่  หันหลังไปมองก็หมดความรู้สึกอยากอาหาร  ...มีคนหาเรื่องตายอีกแล้ว
นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองคนบนบัลลังก์  เห็นสายตาที่แฝงคำบัญชาอย่างชัดเจนก็ตัดสินใจสะกิดให้เหลียนอันสุ่ยสลับที่นั่งกับเขา  พระมาตุลาแคว้นเหลียนงุนงงอยู่บ้าง  แต่ก็ยินยอมสลับที่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังของอีกฝ่าย  หานญื่อหลัวจ้องไปด้านหลังเขม็ง  บีบบังคับให้จั่วชิวถูต้องถอนสายตากลับคืนไป
นับว่ายังพอรู้ความ  หากยังไม่เลิกอีกน่ากลัวคนที่เจรจาการทูตอยู่จะลงมาจัดการด้วยตัวเองแน่นอน

“...ต้าอ๋อง  ท่านว่าแบบนี้ดีหรือไม่” ฉีเซี่ยงหยวนดึงความสนใจกลับมาก็พอดีได้ยินประโยคนี้
มุมปากของบุรุษที่อยู่เหนือทุกผู้คนในแผ่นดินเป่ยชางขยับเป็นรอยยิ้ม  ตอบกลับไปอย่างเยือกเย็นไม่ลนลานว่า
“เรื่องนี้ยังต้องหารืออีกซักพัก  เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นก่อนไม่ดีหรือ”

“...ไม่ผิด  คุยเรื่องอื่นน่าจะเหมาะสมกว่า  ข้า  เอ่อ  ข้าเลื่อมใส่ในระเบียบวินัยของกองทัพแคว้นเป่ยชางมาก  ไม่ทราบขอไปเยี่ยมชมการฝึกฝนระหว่างวันได้หรือไม่” องค์ชายแคว้นโหยวเฉิงไม่กล้าขัดใจรีบเออออเปลี่ยนไปอีกเรื่องในทันที  ในใจลอบทบทวนว่าตัวเองพูดอันใดผิดไปหรือไม่  เหตุใดเป่ยชางอ๋องที่เมื่อครู่อารมณ์ดีๆจึงแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์ไม่ดีไปเสียได้

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 61
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 25-10-2014 23:56:54
บทที่ 61 ราชทูตแคว้นโหยวเฉิง(2)

ตอนขุนนางทั้งหลายทยอยออกจากงานเลี้ยง  เหลียนอันสุ่ยเตรียมเสื้อไว้ตั้งใจจะให้คนที่ถูกเหลียนจิ้งเต๋อทำจนเลอะเทอะได้ผลัดเปลี่ยน  จึงชะงักเท้าไว้คิดจะส่งมอบให้ด้วยตัวเอง  แต่หานญื่อหลัวกลับดึงเสื้อดังกล่าวมาถือไว้เอง  รุนหลังให้เหลียนอันสุ่ยก้าวต่อไป  กล่าวว่า
“หากคืนนี้ท่านไม่ต้องการให้มีคนตาย  ทางที่ดีควรรีบไปรอที่ตำหนักเสียงวสันต์  เรื่องเหลียนจิ้งเต๋อ เดี๋ยวข้าขอโทษเขาแทนท่านเอง”
เหลียนอันสุ่ยเห็นว่าช่วยชีวิตคนเรื่องใหญ่  แม้ไม่ค่อยเข้าใจ  แต่ก็เร่งเท้าจากไป
หานญื่อหลัวมองแสงดาว  เอนพิงเสาบันได  รอจนจั่วชิวถูเดินออกมาก็ส่งชุดสำหรับผลัดเปลี่ยนให้
“คนก่อเรื่องไม่ได้ตั้งใจ ขอท่านอย่าถือสา”  หานญื่อหลัวรู้สึกแปลกๆนิดหน่อย  คิดไม่ถึงว่าเขากับลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ลงรอยกันตลอดมาจะมีวันร่วมมือกันเพราะเรื่องพระมาตุลาแคว้นเหลียน

“แล้ว...พวกเขาเล่า ? ” จั่วชิวถูพยายามสอดส่ายสายตาหาคนที่เขาปรารถนาจะรู้จัก
“ถ้าข้าเป็นท่านจะไม่ถามคำถามนี้  ของบางอย่างท่านอย่าอยากจะได้จะดีกว่า  เพราะความคิดเช่นนั้นรังแต่นำพาความโชคร้ายมาให้” รอยยิ้มบนใบหน้าของหานญื่อหลัวเยียบเย็น  แม้มันจะทำให้เขาหล่อเหลายิ่งขึ้น  แต่กลับมิได้ทำให้เขาดูน่าเข้าใกล้แม้แต่น้อย
จั่วชิวถูมองอีกฝ่ายเต็มตาแล้วแทบสำลัก  ผู้ชายคนนี้รูปงามจัดจนทำให้ผู้คนรู้สึกหมดคุณค่าในตัวเองได้เลยทีเดียว 
เมื่อครู่จั่วชิวถูเห็นแล้วว่าคนที่เขาถูกใจนั่งข้างพระภาดาหานญื่อหลัว  และคนที่บังคับให้เขาเก็บสายตากลับไปก็คือพระภาดาหานญื่อหลัว  หานญื่อหลัวขึ้นชื่อเรื่องรูปงามมาแต่ไหนแต่ไร  แต่จั่วชิวถูมีความเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนมารปีศาจมากกว่าคน  ดวงตาสีฟ้าจัดสะท้อนแสงจันทร์ยิ่งดูน่าขนลุกเป็นพิเศษ
ปรกติจั่วชิวถูภูมิใจตลอดว่าว่าเขาดูแลหน้าตาตัวเองได้ไม่เลวนัก  แม้วัยจะใกล้เลขสี่และดวงตาหยีเล็กไปบ้าง  แต่โดยทั่วไปคนวัยแบบเขา  ฐานะระดับเขา  ไม่อ้วนลงพุงก็นับว่าหาได้ยาก  หากเมื่อเจอกับคนที่หล่อเหลามาแต่กำเนิดยังคงรู้สึกว่าฟ้าดินช่างอยุติธรรม  ยิ่งมองความไม่มั่นใจก็ล้นปรี่ขึ้นมา
---------------------
แต่ถามว่าใบหน้าที่ทั้งสุภาพราวเทพบุตร  เยียบเย็นราวปีศาจสามารถทำให้จั่วชิวถูตัดใจได้หรือไม่  คำตอบคือไม่ 
พ่อค้าผู้ทรงอิทธิพลผู้นี้กลับถึงที่พักตัวเองก็เรียกคนมาปรนนิบัติ  แต่กระทั่งชายบำเรอที่เคยโปรดปรานที่สุดก็ยังรู้สึกขัดตา 
สมัยก่อนจั่วชิวถูเป็นชนชั้นอันต่ำต้อย  ชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบาก  ปัจจุบันจึงชมชอบคบหากับเชื้อพระวงศ์  หลงใหลรสนิยมอันสูงสง่าของพวกเขา  คนที่โปรดปรานนอกจากหน้าตาผิวพรรณยังเลือกที่บุคลิกการวางตัว  น่าเสียดายที่ชายบำเรอที่เขามีกลับบุคลิกเทียบเหลียนอันสุ่ยไม่ได้แม้แต่คนเดียว

เมื่อพบเหลียนอันสุ่ยจั่วชิวถูจึงได้เข้าใจ  ผู้สูงศักดิ์ที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องวางท่าอยู่เหนือผู้อื่น  แต่แค่อากัปกิริยาเรียบง่ายเช่นยกมือวางเท้า  เหลียนอันสุ่ยก็สามารถกระทำออกมาได้อย่างน่ามอง
---------------------
กว่าจะมีวันนี้จั่วชิวถูใช้ความเพียรพยายามไม่น้อย  ปลูกฝังนิสัยไม่ล้มเลิกอะไรง่ายๆ  แม้ทราบแน่แก่ใจว่าอีกฝ่ายเกี่ยวของกับพระภาดาหานญื่อหลัวก็ยังไม่ยอมตัดใจ  เพียรสอบถามหาข้อมูล  ใต้เท้าที่สนทนาถึงเรื่องนี้แทบพ่นสุราออกจากปาก  ร้องว่า
“ท่านคงมิใช่สนใจพระมาตุลาแคว้นเหลียนกระมัง  นี่ท่านเสียสติอยากหาที่กลบฝังตัวเองแล้วหรือ”
“ข้าทราบว่าเขาเป็นคนของพระภาดาหานญื่อหลัว  แต่ข้า...”
คู่สนทนาสอดคำขึ้น
“เขาเป็นสหายของพระภาดา  แต่ไม่ใช่คนของพระภาดา” เหลือบตามองประตูให้แน่ใจว่าปิดสนิทดี  กลืนน้ำลายอึกใหญ่  ตัดสินใจโน้มตัวไปกระซิบข้างใบหูอีกฝ่ายว่า “...เขาเป็นคนของเป่ยชางอ๋อง”
จั่วชิวถูหูลั่นอึงอล  ตอนแรกที่ได้ยินว่าเหลียนอันสุ่ยมีศักดิ์ฐานะเป็นตัวประกัน ความหวังในใจก็ขยับขยาย  เชื้อพระวงศ์ที่ฐานะไม่มั่นคงย่อมต้องพึ่งพาชนชั้นพ่อค้า  แต่ตอนนี้ดูเหมือนความหวังในใจเขาจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว
---------------------
ทว่าความหวังกลับเป็นสิ่งที่ทำให้โลกสวยงามเสมอ  และความหวังในใจคนบางคนก็เป็นสิ่งที่ดื้อด้าน
 
จั่วชิวถูทำกิจการแพรไหม  ในตอนที่ร้านสาขามีกำหนดส่งผ้าให้กับในวังจงใจหอบไปด้วยตัวเอง  หวังจะได้พบหน้าเหลียนอันสุ่ยซักครา  ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น  จั่วชิวถูได้พบจริงๆ  ซ้ำยังได้สนทนาไปหลายประโยค  แค่หลายประโยคก็เพียงพอจะชุ่มชื่นหัวใจ  แต่แค่หลายประโยคก็เพียงพอจะทำให้หัวใจของบุรุษผู้หนึ่งลุกเป็นไฟ
ในวันนั้นไม่ทันออกจากตำหนักเสียงวสันต์  จั่วชิวถูจึงได้รับเสด็จเป่ยชางอ๋องอย่างใกล้ชิด

ฉีเซี่ยงหยวนกำลังพยายามเตือนตัวเองว่าชายตรงหน้าเป็นสหายกับองค์ชายแคว้นโหยวเฉิงที่เขาจำเป็นต้องผูกมิตรด้วย  องค์ชายสามคิดการณ์ใหญ่  พ่อค้าอย่างจั่วชิวถูก็คือแหล่งเงินทุน  หากฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่สามารถลบภาพแล่เนื้อเถือหนังอีกฝ่ายออกไปจากใจเขาได้  และไม่สามารถเค้นรอยยิ้มออกมาแม้แต่กระผีกเดียว  เหลียนอันสุ่ยก็เหลือเกินความรู้สึกอย่างอื่นละไวเชียว  แต่ตัวเองถูกผู้อื่นใช้สายตาลวนลามกลับไม่ค่อยจะรู้สึก!
---------------------
เย็นวันนั้นพ่อค้าที่บุกบั่นทำการค้ามาตั้งแต่เหนือจรดใต้นั่งรถม้ากลับที่พักด้วยท่าทีซึมเซา 
แม้แผนการชิงอำนาจขององค์ชายสามจะมีความสำคัญ  เพียงพอจะพลิกเปลี่ยนสถานภาพชั่วชีวิตของเขา  แต่จั่วชิวถูยังคงไม่มีแก่ใจจะไปครุ่นคิด  ความคิดคำนึงทั้งหมดมีเพียงประการเดียว...เหตุใดความรักแรกพบของเขาจึงมีจุดจบรวดเร็วปานนี้
วันนี้เป็นวันแรกที่เขาได้รู้จักพูดคุยกับเหลียนอันสุ่ย  และเป็นวันสุดท้ายสำหรับความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้น

หานญื่อหลัวที่เขารู้สึกว่ารูปลักษณ์เหมือนปีศาจร้าย  ความน่ากลัวกลับเทียบไม่ได้กับเป่ยชางอ๋อง  ชั่วชีวิตของจั่วชิวถูไม่เคยเจอคนที่ทรงอำนาจถึงเพียงนี้มาก่อน  และไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นมดแมลงอันต่ำต้อยมากขนาดนี้มาก่อน
ในต้าอ๋องแคว้นใหญ่ทั้งสาม  หนานเหมินอ๋องลึกซึ้งที่สุด  แต่ความลึกซึ้งมากเล่ห์กลับทำให้เขาขาดบุคลิกอันงามสง่า  โหยวเฉิงอ๋องมีภาพลักษณ์ของราชาที่ทรงธรรม  น่าเสียดายที่ปราศจากความมั่นใจและเด็ดขาด  เป่ยชางอ๋องอายุเยาว์ที่สุด  แต่กลับเป็นคนที่มีบุคลิกกดดันน่าครั่นคร้ามที่สุด
ราวกับเกิดมาเพื่อจะกอบกุมอำนาจที่สามารถใช้สอยบงการผู้อื่น  ราวกับมีพลังอันสามารถพลิกผันฟ้าดินของบุรุษวัยฉกรรจ์อยู่เต็มเปี่ยม  ตั้งแต่ตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนปรากฏตัว  จั่วชิวถูก็ทราบว่ารักแรกพบครั้งนี้ของเขาไม่มีความหวังอีกต่อไป

เขาไม่อาจเป็นศัตรูกับเป่ยชางอ๋อง  พอๆกับไม่มีปัญญาดึงสายตาของพระมาตุลาแคว้นเหลียนออกมาจากต้าอ๋องผู้นั้น  ที่น่าเจ็บปวดที่สุดคือเมื่อยืนคู่กัน  คนคู่นี้กลับเป็นเหมือนความแตกต่างที่เกิดมาเพื่อกันและกัน
---------------
ในห้องหนังสือตั้งฉากบังลมเอาไว้ข้างเตียงเล็กที่เหลียนอันสุ่ยใช้งีบหลับระหว่างวัน  บนฉากบังลมเป็นภาพทิวเขาทอดยาวต่อเนื่องสลับซับซ้อน  ให้อารมณ์กวีอันสูงสง่า  โครงไม้สีเข้มขับเน้นอย่างกลมกลืน
บนเตียงเล็กมีคนนั่ง  ข้างฉากบังลมก็มีคนยืนอยู่
“เหลียนอันสุ่ย  ท่านไม่เห็นสายตาสกปรกที่พ่อค้านั่นใช้มองท่านหรือ!”
เหลียนอันสุ่ยที่ข้างฉากบังลมกระพริบตาปริบๆ  มองคนบันดาลโทสะตรงหน้า  คาดเดาอย่างไม่แน่ใจว่า
“ต้าอ๋อง  นี่ท่าน...หึงหรือ ? ”
ฉีเซี่ยงหยวนหันขวับมาตอบทันควันตรงประเด็นว่า
“ใช่  ข้าหึง  ไม่ใช่แค่หึงยังหวงมากด้วย” คำพูดชัดถ้อยชัดคำไม่บ่ายเบี่ยงแม้แต่น้อย
เหลียนอันสุ่ยอึ้งไปครู่ใหญ่  สุดท้ายวางมือลงบนบ่าหนา  พูดปลอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“ข้ากับเขาต่างเป็นบุรุษ...”
“หรือข้ากับท่านมิใช่ ? ” มีคนถามสวนขึ้นอีก
เหลียนอันสุ่ยมองใบหน้าคมคาย  สายตาอ่อนโยนกว่าเดิม  ตอบตามตรงว่า
“ท่านไม่เหมือนกัน  ท่านเป็นคนที่ข้ารัก  ดังนั้นท่านใยต้องคิดมากด้วย”
ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินประโยคนี้ก็มีท่าทีอ่อนลง  ยินยอมให้เหลียนอันสุ่ยใช้สองมือโอบกอดเขาไว้ 
เหลียนอันสุ่ยซบใบหน้าลงกับบ่ากว้างอย่างคุ้นชิน  พึมพำว่า
“เขาทำให้ข้านึกถึงอวี้เฉียน  เพียงแต่อวี้เฉียนไม่เคยใช้สายตาแบบนี้มองข้า”
“เขาใช้สายตาแบบไหนมองท่าน” ฉีเซี่ยงหยวนหมายถึงอวี้เฉียน  แต่เหลียนอันสุ่ยไม่ตอบคำ  กลับพึมพำว่า
“ข้าทำร้ายเขาไปมากเหลือเกิน  ไม่ว่าใครที่รักข้าล้วนถูกข้าทำร้าย...ท่านก็ด้วย”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ 
“ท่านก็เป็นของท่านแบบนี้  ภายนอกอ่อนโยนนุ่มนวล  เวลาตัดสินใจอะไรกลับใจแข็งเหนือธรรมดา  ข้าว่าเขาก็เป็นเหมือนข้า  ไม่ว่าอย่างไรก็เต็มใจถูกท่านทำร้ายดีกว่าไม่ได้รักท่าน  เป็นพวกเราส่งมอบหัวใจออกไปง่ายดายเอง  หาใช่ความผิดของท่าน  ท่านใยต้องคิดมากด้วย” ใช้คำของเจ้าตัวมาย้อนเจ้าของ
“...ท่านไม่หึงอวี้เฉียน ? ” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยแปลกใจ
ฉีเซี่ยงหยวนตอบอย่างจริงจังว่า
“ข้าใยต้องหึงเขา  ในเมื่อข้ายังมีเวลาอีกทั้งชีวิตที่จะใช้กับคนที่ข้ารัก  ในขณะที่เขาไม่มีแล้ว” คนตายจากไป  ไม่ว่าอะไรก็ไม่มีแล้วทั้งนั้น
เหลียนอันสุ่ยผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ  จริงๆแล้วฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่ได้ขี้หึงขนาด...
“ข้าไม่หึงคนตาย  แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่ถือสาคนเป็น  ถ้าท่านอยากให้ข้าไม่ถือสาจั่วชิวถู  ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าทำให้เขาเป็นคนตายไปเสียก่อน  เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว”
...เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว  เหลียนอันสุ่ยพูดไม่ออก  ฉีเซี่ยงหยวนกลับกล่าวเรื่องกุดหัวคนออกมาได้อย่างปลอดโปร่ง  ...อันที่จริงสายตาเมื่อครู่ของฉีเซี่ยงหยวนแค่มองก็รู้แล้วว่าอยากฆ่าคนเต็มแก่
“พรุ่งนี้ท่านมีนัดเล่นพิณกับหานญื่อหลัวอีกแล้ว ? ”
เหลียนอันสุ่ยพยักหน้า  คิ้วเรียวยาวขมวดเล็กน้อยอย่างแปลกใจที่อีกฝ่ายจู่ๆก็พูดถึงเรื่องนี้
“ท่านไม่พบเขาได้หรือไม่  ข้าไม่ชอบเลยเวลาท่านอยู่กับเขา” เสียงบ่นอุบอิบดังอยู่ริมหู
“อย่าบอกนะ...ว่านี่ท่านก็หึง” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยไม่อยากจะเชื่อ
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบ
“ต้าอ๋อง  คุณชายหานเป็นเพื่อนข้า”
“อ้อ  ตอนนี้ถึงกับเรียกหาเป็นคุณชายหานอย่างสนิทสนม”
เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจ  บางครั้งต้าอ๋องผู้นี้ก็ทำตัวขี้น้อยใจเหมือนเด็กๆ
“เซี่ยงหยวน  เพื่อนก็คือเพื่อน  ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้  ...หรือว่าท่านอยากจะเป็นอย่างเขา  เป็นแค่เพื่อนกับข้า”
ฉีเซี่ยงหยวนนึกถึงภาพคนหนึ่งดีดพิณคนหนึ่งเป่าขลุ่ยที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ  ถอนหายใจเช่นกัน  กล่าวอย่างเสียใจว่า
“ข้าขอโทษที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างมาอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
เหลียนอันสุ่ยกลับไม่เคยถือสาเรื่องนั้น  ตัวเขาสมัยก่อนไม่แน่ว่าทำตัวเองจนไม่มีเวลาว่างยิ่งกว่าบุรุษตรงหน้าอีก  กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“เอาไว้วันหลังท่านหาเวลาว่างมาช่วงหนึ่ง  ข้ากับเขาจะเล่นเพลงให้ท่านฟังดีหรือไม่”
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งคิดอยู่นาน สุดท้ายยินยอมตอบตกลง
---------------------
หานญื่อหลัวกำลังเทียบขลุ่ยเซียวของเหลียนอันสุ่ยกับขลุ่ยเซียวของตัวเอง  สีหน้าท่าทางครุ่นคิด  เมื่อได้ยินว่าอีกหลายวันข้างหน้าฉีเซี่ยงหยวนจะมาฟังพวกเขาบรรเลงก็ผุดสีหน้าประหลาดใจ  ถามขึ้นว่า
“เขาทนได้หรือ  มองข้าเล่นเพลงกับท่านเนี่ยนะ  ความจริงแค่ทนมานานขนาดนี้ก็เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมากแล้ว”
เหลียนอันสุ่ยชะงัก  เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย  ในมือยังถือขลุ่ยผิวของทางเหนือที่หานญื่อหลัวนำมาให้เขาดูโดยเฉพาะ  ได้ยินเสียงทุ้มกล่าวว่า
“ลูกพี่ลูกน้องของข้าคนนี้ขี้หึงมาแต่ไหนแต่ไร  ด้วยนิสัยของเขาต้องอยากกำจัดข้าออกไปเต็มที  ที่ไม่ทำก็เพราะเขาเห็นแก่ท่าน  เห็นได้ชัดว่าเขารักท่านมาก”
เหลียนอันสุ่ยวางขลุ่ยไม่ไผ่ในมือลงทันที 
“ท่านรู้อยู่แล้ว  แต่ก็ชอบมาตอนเขากำลังจะไปทุกที  นี่ท่าน...นี่ท่านจงใจยั่วโมโหเขาชัดๆ”
หานญื่อหลัวยิ้มบางๆ  ถามว่า
“เขาโมโหใส่ท่านหรือ”
เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า  พูดว่า
“ท่านนั่นแหละระวังตัวไว้เถอะ  ล่วงเกินใครไม่ล่วงเกิน  ต้องเจาะจงมาท้าทายคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบเขา”
หานญื่อหลัวหัวเราะ  มองเหลียนอันสุ่ยด้วยดวงตาสีฟ้าที่พราวระยับ  มุมปากยกเป็นรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์  ใบหน้าหล่อเหลายิ่งมองก็ยิ่งปฏิเสธไม่ลง  ขณะกล่าวว่า
“ท่านเริ่มเห็นข้อเสียของเขาแล้วใช่หรือไม่  คนๆนี้ขี้หึง  ขี้หวง  กับเรื่องพรรค์นี้ยิ่งชอบคิดเล็กคิดน้อย  ทั้งยังเล่นงานคนลับหลัง...” ถอนหายใจเฮือกอย่างเสแสร้ง “ตอนนี้ท่านยังพอเปลี่ยนใจทัน  เปลี่ยนใจมาชอบข้ารับรองว่าข้าใจกว้างมากพอ”
เหลียนอันสุ่ยเลิกคิ้ว  ถาม
“นี่ท่านกำลังหว่านเสน่ห์ใส่ข้าหรือ  ...พวกท่านสองคนจำเป็นต้องแข่งกันให้ได้ทุกเรื่องเลยใช่หรือไม่” พูดพลางคิดถึงเหตุการณ์ตอนล่าสัตว์
หานญื่อหลัวรับขลุ่ยของตัวเองคืนมา  ยิ้มพลางกล่าวว่า
“เป็นความเคยชินประการหนึ่ง  ตั้งแต่จำความได้ฉีเซี่ยงหยวนก็เขม่นหน้าข้ามาโดยตลอด  ทุกครั้งที่ข้าลงมาเยี่ยมท่านลุง  ไม่ว่าอะไรเขาก็จะต้องหาหนทางทำให้ได้เหนือกว่า  ตอนเด็กข้าแม้ไม่เกลียดเขา  แต่เห็นว่าในเมื่อเขาอยากแข่งนักก็แข่งสิ  ใช่ว่าข้าจะกลัวเขา  แน่นอนว่าข้าไม่ใช่ประเภทอยู่เฉยๆยอมให้เขามาชนะได้ง่ายๆ  มาคิดดูตอนนี้ข้าคิดว่าข้าเข้าใจเขา  ถ้าข้าเป็นเขาก็ต้องเกลียดลูกพี่ลูกน้องตัวเองอย่างแน่นอน”
หานญื่อหลัวกล่าวอย่างมั่นใจ  พลางยิ้มน้อยๆ  จากนั้นหลุบสายตามองขลุ่ยในมือ  ลูบช้าๆไปตามรูแต่ละรูของขลุ่ยไม้ไผ่ที่จัดทำอย่างปราณีต  พลางกล่าวว่า
“ตั้งแต่เด็กท่านลุงก็ลำเอียงรักแต่ข้า  บางครั้งขนาดข้ายังรู้สึกว่าท่านลุงทำเกินไป  ท่านไม่เคยเห็นสายตาที่ท่านลุงใช้มองเขา  ข้าว่าเด็กคนไหนก็ทนไม่ได้ทั้งนั้น  มัน...เหมือนกับ...ไม่มีตัวตน”
พูดจบก็วางขลุ่ยไม้ไผ่ลง หยิบขลุ่ยเซียวของตัวเองขึ้นมาเป่าบรรเลงท่อนหนึ่ง  ขลุ่ยเซียวแผ่วทุ้ม  ขลุ่ยผิวแหลมสูง  แคว้นทางใต้นิยมเป่าเซียว  เหลียนอันสุ่ยเป่าเป็นแต่ขลุ่ยเซียวเท่านั้น 
“ท่านเป่าเก่งกว่าข้าอีก” เหลียนอันสุ่ยเลิกแปลกใจในความสามารถทางดนตรีของพระภาดาผู้นี้ไปนานแล้ว

“ข้าอยากให้ท่านลองฟังเทียบกับเสียงขลุ่ยผิว  ขลุ่ยสองชนิดนี้น้ำเสียงแตกต่างกันมากทีเดียว” ยกขลุ่ยไม้ไผ่พาดเฉียงๆกับเรียวปาก  ทำนองกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาช่วงหนึ่งขับไล่บรรยากาศหดหู่ไป 
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกแปลกตา  ขลุ่ยเซียวเป่าจากปลาย  ขลุ่ยผิวกลับเป่าทางด้านข้าง  หานญื่อหลัวในรูปลักษณ์เช่นนี้ดูไปกลับดูเหมือนคุณชายผู้กรุ้มกริ่มงามสง่าผู้หนึ่ง
“ทั้งๆที่ท่านไม่ได้เกลียดเขา  ทำไมตอนนี้ยังต้องแข่งกับเขาให้ได้ทุกเรื่องอีก”

หานญื่อหลัวลดขลุ่ยลง  ยักไหล่พลางกล่าวว่า
“ข้าบอกแล้วว่ามันเป็นความเคยชิน  อีกอย่างแข่งกันแบบนี้ก็สนุกดี  ข้าเชื่อว่าฉีเซี่ยงหยวนก็มีความเห็นต่อเรื่องนี้ไม่ต่างกัน”
“...” บางทีลูกพี่ลูกน้องคู่นี้คงรู้สึกว่าใต้หล้ายังยุ่งเหยิงไม่พอ
---------------------
กล่าวตามความจริงฉีเซี่ยงหยวนเป็นต้าอ๋อง  ส่วนหานญื่อหลัวเป็นขุนนางใต้บัญชาเขา  เป็นขุนนางจอมกวนโมโหที่ชอบมาตีสนิท  แต่งกลอน  เล่นดนตรี  ดื่มชา  สนทนา  เขียนอักษรกับคนรักของเขา  ฉีเซี่ยงหยวนแม้ไม่เคยชอบใจและบ่นอุบอิบอยู่หลายครั้ง  แต่กลับไม่ได้ลงมืออย่างจริงจังเพราะทราบดีว่าเหลียนอันสุ่ยจำเป็นต้องมีเพื่อน 

การที่ฉีเซี่ยงหยวนเคารพการตัดสินใจของเหลียนอันสุ่ยเช่นนี้ ทำให้พระภาดาหานญื่อหลัวแปลกใจไม่น้อย  ดูๆไปลูกพี่ลูกน้องที่นิสัยไม่ค่อยดีของเขาก็มีข้อดีอยู่หลายประการทีเดียว
---------------------
ตำหนักชุนเกอเกือบจะเป็นที่นอนถาวรของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน  ตัวตำหนักยังคงความเรียบง่าย  ตั้งแต่สัญญาสงบศึก  แม้ตำหนักเสียงวสันต์จะวุ่นวายเพราะเหลียนจิ้งเต๋ออยู่บ่อยครั้ง  แต่ไม่เคยวุ่นวายเพราะเรื่องทะเลาะกันระหว่างพ่อลูกบุญธรรม  ทุกอย่างดูสนิทสนมกลมเกลียว...อย่างน้อยก็ ‘ดูเหมือน’ สนิทสนมกลมเกลียวไม่น้อย

ชานด้านนอกมีหลังคาเป็นฟากฟ้ายามเย็น  สีชมพูระบายทับสีม่วงจาง เหลียนอันสุ่ยชอบชงชาด้วยตัวเองเวลานี้จึงไม่อยู่  ทิ้งคนสำคัญทั้งสองของเขาเอาไว้ให้นั่งหันหน้าจ้องตากัน
ลับหลังบิดาไปหลายชั่วอึดใจ  เหลียนจิ้งเต๋อก็เปิดบทสนทนา
“ทำไมวันนี้ท่านมาอีกแล้ว”
“ทำไมวันนี้ข้ามาไม่ได้”
“ต้าอ๋อง  ท่านกับข้าต้องมาคุยกันให้รู้เรื่อง  ท่านพ่อข้าไม่ได้แข็งแกร่งทนทายาดเหมือนอย่างท่าน  หักโหมไม่ได้นอนเหมือนกับท่านทุกวันไม่ไหวหรอกนะ  ท่านมาได้อย่างมากวันเว้นวันเท่านั้น  วันนี้กลับไปได้แล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกโชคดีที่เขายังไม่ได้ดื่มชา  ไม่อย่างนั้นต้องสำลักน้ำชาแน่นอน  กลั้นหัวร่อสุดความสามารถ  มองคนที่วางท่าเคร่งขรึมจริงจัง  แล้วกล่าวว่า
“เหลียนจิ้งเต๋อ  ข้าไม่เคยบังคับท่านพ่อของเจ้า”
คราวนี้เหลียนจิ้งเต๋อถึงกับลุกขึ้นชี้หน้า
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้  ท่านพ่อรักท่านมาก  ไม่ต้องใช้วิธีบังคับท่านพ่อข้าก็ใจอ่อนกับท่าน  ไม้นี้ข้าใช้ประจำ  ท่านไม่ต้องมาบ่ายเบี่ยง”
“อ้อ” ฉีเซี่ยงหยวนลากเสียงยาว  ดวงตามองไปด้านหลังของเหลียนจิ้งเต๋อ  เห็นคนผู้หนึ่งมือถือถาดใส่น้ำชา  ยืนกุมถาดไม้หน้าแดงอยู่ตรงนั้น
เหลียนอันสุ่ยก้มหน้าลง  วางถาดไม้ลงกับโต๊ะด้วยสีหน้าปกติ  ทำราวกับเมื่อครู่ไม่ได้ยินสิ่งใด  เอ่ยกับเหลียนจิ้งเต๋อว่า
“องค์รัชทายาทรออยู่ด้านนอก  อีกครึ่งชั่วยามก็จะถึงเวลาอาหารเย็น  กลับมาให้ทันด้วย”
เหลียนจิ้งเต๋อจากไปแล้ว  เหลียนอันสุ่ยยังคงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
ฉีเซี่ยงหยวนรับถ้วยน้ำชามาหมุนเล่น  เอียงคอ  ยิ้มน้อยๆที่มุมปาก เอ่ยว่า
“จิ้งเอ๋อบอกว่าข้าทรมานท่าน  เขาใช้คำว่า...เอ้อ ‘หักโหม’ ” ฉีเซี่ยงหยวนทำหน้าครุ่นคิดนิดหน่อย  ราวกับต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งเพื่อนึกคำเมื่อครู่ให้ออก
เหลียนอันสุ่ยทำเป็นไม่ได้ยินคนที่มีจุดประสงค์ต้องการแกล้งเขาโดยเฉพาะ  แต่คนผู้นั้นยังคงพูดต่อว่า
“เขาไม่รู้ว่าบางคืนพวกเราก็แค่นอนข้างกันเฉยๆ  ท่านว่าข้าสมควรไปหาเขา  แก้ไขความเข้าใจผิดนี้หรือไม่”
“ไม่ต้อง” เหลียนอันสุ่ยปฏิเสธทันควัน
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ  ที่แท้เหลียนอันสุ่ยมาทันได้ยินทุกคำ  ใช้มือรั้งร่างสูงโปร่งเข้ามาใกล้  กล่าวว่า
“เขาว่าท่านรักข้ามาก  ใจอ่อนกับข้าอยู่เรื่อย  ข้อนี้ข้าว่าเขาค่อนข้างพูดได้ถูกทีเดียว” พูดจบก็หอมแก้มอีกฝ่ายไปฟอดหนึ่ง 
เหลียนอันสุ่ยจนปัญญาจะรับมือกับบุรุษผู้นี้  เวลาฉีเซี่ยงหยวนโมโหเหลียนอันสุ่ยไม่เคยหวาดกลัวเพราะมั่นใจว่าจัดการได้  แต่เวลาฉีเซี่ยงหยวนออดอ้อน  ตัวเขายิ่งมาก็ยิ่งไม่มีวิธีรับมือ
---------------------

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 61 .......................................26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 26-10-2014 01:10:07
ยิ่งอ่านยิ่งเกลียดพ่อเฉียงหยวน เฮ้อ...

เนื้อเรื่องมาหวานๆ แต่อ่านแล้วเหมือนหน่วงๆ (เอ๊ะยังไง)
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 61 .......................................26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: zazoi ที่ 26-10-2014 09:01:20
ชอบเรื่องนี้มากค่า อ่านจาก Dek-D แล้ว มาเห็นลงที่นี่ก็มาเริ่มตามอ่านใหม่อีก อ่านกี่รอบก็สนุกค่ะ

หลังจากที่เค้ารักกันแล้ว หวังว่าจะไม่มีอุปสรรคใดๆที่หนักหน่วงอีกนะคะ สงสารทั้งสองคนมาก รอวันที่แต่งตั้งเหลียนอันสุ่ยเป็นอัครชายานะคะ เราว่าพระเอกของเราทำได้ ไม่สนใจขุนนางแน่ๆอ่ะ 5555


ปล. ชอบเวลาเค้าหึงหวงกัน น่ารักอ่ะค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 61 .......................................26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-10-2014 10:45:09
เขินตัวบิดแล้วเรา ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 61 .......................................26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 26-10-2014 17:50:40
อ่านครึ่งแรกมาจากเด็กดีค่ะ อ่านต่อจากที่นี่ คือเห็นอัพหลายตอนแล้วแหละ แต่จด ๆ จ้อง ๆ อยู่เพราะตอนนั้นมันยังหน่วง ๆ อยู่ รู้ล่วงหน้าว่าต้องอินจัดแน่ ๆ  เลยรอหลาย ๆ ตอนก่อน  ได้จังหวะพอดี หายใจหายคอคล่องหน่อย สองคนเคลียร์หัวใจกันแล้ว เป็นโมเม้นท์ที่ดีงาม ่ชอบบบบบบบ  คือเรื่องนี้มันดีงาม ไม่รู้จะอธิบายยังไงได้อีก มันเป๊ะไปซะทุกอย่างเลย
ประโยคเด็ดของเหลียน ๆ ยกให้คำนี้เลย "ไม่ไปแล้ว"  อ่านปุ๊บหัวเราะลั่นแทบกรี๊ด เด็ดมาก บอกรักกันละด้วยในที่สุดวันนี้ก็มาถึง :man1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 61 .......................................26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 26-10-2014 18:48:59
น่ารักอะ ชอบมากเลย อ่านไปด้วยใจหวาดหวั่นแอบกลัวมาม่าต้มยำ 555
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 61 .......................................26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: mutoo ที่ 26-10-2014 19:14:46
ชอบตอนจิ้งเต๋อทะเลาะกับพ่อบุญธรรม
แหมๆๆ ใครจะไปรู้ใจคุณพ่อสุดที่เลิฟมากไปกว่าลูกชายสุดที่เลิฟได้ล่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 61 .......................................26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 26-10-2014 21:15:50
จิ้งเต๋อไม่ค่อยเลยนะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 61 .......................................26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 27-10-2014 08:11:06
อ่านแล้วชอบครับ รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 61 .......................................26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 27-10-2014 09:56:37
 :pig4: ขอบคุนคะ ชอบมาก
อ่านมารธอน สองวันไม่นอน
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 61 .......................................26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 27-10-2014 20:40:40
อย่าหักโหมกันนักซิ จิ้งเต๋อเป็นห่วง   :z1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 61 .......................................26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 27-10-2014 20:42:24
 :impress2: :-[ :o8:
อ่านแล้วฟินนนนนนนนนนนนนนนน ชอบช่วงเวลาแบบนี้จัง
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 61 .......................................26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: ~มือวางอันดับ1~ ที่ 28-10-2014 21:10:01
สุดยอด... :heaven
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 62
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 03-11-2014 16:50:30
บทที่ 62 นี่มันชักจะเกินไปแล้ว(1)

สถานะของเหลียนอันสุ่ยไม่ธรรมดา  ในโรงหมอไม่มีผู้ใดกล้าหาเรื่องตอแย  แต่ก็มักถูกนำไปซุบซิบลับหลัง
กลิ่นยาลอยฟุ้ง  โรงหมอค่อนข้างเงียบสงบ  อย่างน้อยวันนี้ก็ยังไม่มีคนใหญ่คนโตป่วยเป็นอะไร  หมอส่วนหนึ่งถูกตามออกไปตรวจนางกำนัลที่ล้มป่วยตามตำหนัก
 
เหลียนอันสุ่ยสุภาพนุ่มนวล  ความจริงเหล่านางกำนัลชมชอบมาให้เขารักษาไม่น้อย  แต่หลังจากมีข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเป่ยชางอ๋อง  คนส่วนใหญ่ล้วนไม่กล้าใช้เขาทำงาน  เหลียนอันสุ่ยทราบว่าสภาพนี้ยากแก้ไข  วันเวลาส่วนใหญ่จึงวุ่นวายอยู่กับการศึกษาหาข้อเชื่อมโยงระหว่างการแพทย์ของแคว้นเป่ยชางกับแคว้นเหลียน  เพียงแต่วันนี้กลับมีคนเจาะจงตามตัวเขาไปตรวจรักษา  นี่นับเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เหลียนอันสุ่ยเดินตามนางกำนัลอายุเยาว์ไปเงียบๆ  ตอนแรกคิดจะให้หมอผู้อื่นตามมาด้วยอีกคนเพราะเขาไม่ช่ำชองวิธีการตรวจรักษาแบบชาวเป่ยชาง  แต่หมอทุกคนที่สบตาด้วยกลับหลบตาเขาเป็นพัลวัน  มองนางกำนัลน้อยผู้นี้ด้วยท่าทีหวาดๆยำเกรง
สิ่งปลูกสร้างเบื้องหน้าอยู่ในเขตนางกำนัล  แต่กลับเป็นเรือนแยกออกมาต่างหาก  นางกำนัลที่มีเรือนเป็นของตัวเองความจริงมีไม่มากเลย  พระมาตุลาแคว้นเหลียนครุ่นคิดคาดเดาศักดิ์ฐานะของผู้ที่ตามตัวเขามาตรวจรักษา  ขณะที่หญิงรับใช้เปิดประตูให้ 
แสงบางๆสาดเข้าไปด้านใน  สายตาเย็นชาคู่หนึ่งจับจ้องมองออกมา  เงยหน้าขึ้นเหลียนอันสุ่ยก็เห็นหญิงชราผมสีดอกเลาผู้หนึ่งกุมไม้เท้านั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีที่เท้าแขนด้วยท่วงท่าน่าเกรงขาม  นางกำนัลที่พาเขาเข้ามาหลบออกไป  ในขณะที่เหลียนอันสุ่ยเริ่มจะคาดเดาศักดิ์ฐานะของสตรีตรงหน้าออก
“หมอชาวเหลียนไม่ได้ชอบจับชีพจรหรือ” ตู้ฮูหยินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย  นางวางมือกับที่เท้าแขน  หงายมือขึ้นเล็กน้อย
ระหว่างที่เหลียนอันสุ่ยจับชีพจรตู้ฮูหยินก็จ้องบุรุษข้างกายนางเขม็ง  ความจริงรูปลักษณ์ของเหลียนอันสุ่ยธรรมดากว่าที่นางคาด  แต่บุคลิกสุภาพนุ่มนวลของเขาทำให้นางหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด 
บุรุษผู้นี้มิได้พินอบพิเทา  แต่ก็ไม่ได้เย่อหยิ่งถือตัว  สมควรบอกว่าเขาปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนน้อมเหมือนปฏิบัติต่อญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง  เหลียนอันสุ่ยสอบถามอาการของนางอย่างละเอียด  ถามไปถึงเรื่องปวดหลังที่คงได้ยินได้ฟังมาจากผู้อื่น  เห็นได้ชัดว่าคาดเดาฐานะของนางออกแล้ว 
เขาจำเป็นต้องฝังเข็มให้นาง  แต่บางจุดบางตำแหน่งกลับไม่สะดวกอยู่บ้าง  และยิ่งไม่สะดวกมากขึ้นเมื่อนางไม่ให้ความร่วมมือ  นางมองวิธีแก้ปัญหาของเขา  บุรุษผู้นี้คือคนที่ขโมยเด็กที่นางรักยิ่งกว่าลูกในไส้ไป  ความไม่ชอบหน้าและอคติยังคงอยู่  แต่ในใจกลับอดไม่ได้ที่จะนึกชื่นชมอยู่บ้าง  ความจริงแล้วบุรุษผู้นี้ก็เป็นคนที่ใช้ได้คนหนึ่ง  และเป็นหมอที่ละเอียดรอบคอบคนหนึ่ง
กดจุดและฝังเข็มทำให้อาการปวดหลังของนางดีขึ้นไม่น้อย  ตู้ฮูหยินผ่อนคลายขึ้น  แต่ความไม่ชอบหน้าไม่ได้ลดน้อยลงไป
“ท่านทราบว่าข้าเป็นใครใช่หรือไม่”
“ก่อนเข้ามาไม่ทราบ  ตอนนี้พอจะทราบแล้ว”
“ข้าคือตู้ฮูหยิน  ต้องวานให้เชื้อพระวงศ์แคว้นเหลียนมาตรวจอาการให้นางกำนัลเล็กๆอย่างข้า  นับว่าลำบากท่านแล้ว”
เหลียนอันสุ่ยทราบแล้วว่าสายตาคมกริบและวาจาที่คมกริบยิ่งกว่าของฉีเซี่ยงหยวนลอกเลียนมาจากใคร  ขณะตอบว่า
“ฐานะนั้นความจริงเป็นอดีตไปแล้ว  จริงอยู่ที่สายเลือดนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในตัวข้า  แต่เราท่านต่างทราบว่าแคว้นเหลียนไม่ได้ดำรงอยู่อีกต่อไป”
ตู้ฮูหยินหรี่ตาลง  นางจงใจใช้วาจาเสียดสีสถานการณ์เหยียดหยามเหลียนอันสุ่ย  แต่เมื่อเขายอมรับง่ายๆเช่นนั้นนางกลับรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง  ตู้ฮูหยินก็เป็นเช่นเดียวกับฉีเซี่ยงหยวนภูมิใจในแผ่นดินที่นางเกิด  หากเมื่อใคร่ครวญดูอีกครั้ง  ใจกลับเกิดความยอมรับนับถือบางเบา  เพราะสภาพที่เหลียนอันสุ่ยเป็น  สิ่งที่ต้องทำคือเผชิญหน้ากับความจริงอย่างกล้าหาญ
“ท่านเป็นคนที่พิเศษมาก  ท่านต้องการอะไรจากแคว้นเป่ยชางกันแน่”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆ  ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายระแวงเขา  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าขอเพียงเขาเป็นอันตรายต่อฐานะของฉีเซี่ยงหยวนแม้เพียงเล็กน้อย  สตรีตรงหน้าก็พร้อมจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อกำจัดเขาทิ้งไป  เซี่ยงหยวน  ถึงแม้ท่านจะมีบิดามารดาที่ไม่รักท่าน  แต่ท่านมีสตรีผู้หนึ่งที่รักท่านมาก
“ข้าเพียงต้องการอยู่เคียงข้างเขา” รอยยิ้มบางๆของเหลียนอันสุ่ยสงบลึกซึ้ง  ทั้งยังแฝงความหม่นหมองอยู่บ้าง  แต่ใบหน้าเช่นนี้ของเขากลับกอปรเป็นบุคลิกที่จับหัวใจคน

ตู้ฮูหยินฟังแล้วนิ่งอึ้งไป  ตอนแรกนางมองไม่ออกว่าฉีเซี่ยงหยวนลุ่มหลงบุรุษตรงหน้าได้อย่างไร  แต่ตอนนี้ดูๆไปกลับยิ่งพบว่ายากจะละสายตาจากไป  ในน้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยมีแววขอร้องอยู่ชัดเจน  แววตาของตู้ฮูหยินกลับคืนสู่ความเย็นชา
“ท่านเป็นบุรุษที่โดดเด่นผู้หนึ่ง  ตอนนี้แม้ตกอับ  แต่คิดจะประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก  เหตุใดต้องเลือกทางเช่นนี้  ท่านไม่จำเป็นต้องเลือกทางเช่นนี้เลย”
“ตู้ฮูหยิน  ข้าทราบว่าฐานะเช่นนี้ไม่มีทางให้อะไรกับข้านอกจากคำเหยียดหยาม  แต่อย่างน้อยมันก็ให้ฉีเซี่ยงหยวนกับข้าซึ่งนั่นเพียงพอแล้ว”
“บังอาจ!  ต้าอ๋องไม่ใช่ของท่าน  ไม่วันใดก็วันหนึ่งเขาจะต้องอภิเษกพระชายา  มีบุตรธิดาสืบทอดต่อไป  ท่านใช้ความรักที่เห็นแก่ตัวขนาดนี้มาผูกมัดเขาเอาไว้  มันไม่เกินไปหน่อยหรือ”
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว  เรื่องเขาต้องแต่งตั้งพระชายาข้าเข้าใจดี  เรื่องเขาต้องมีบุตรธิดาข้าเองก็หวังให้เป็นเช่นนั้น  ข้าทราบสถานภาพของตัวเองและไม่คิดเรียกร้องอะไรทั้งนั้น”
ตู้ฮูหยินโกรธจนตัวสั่น
“ท่านต่างหากที่ผิดแล้ว  สิ่งที่ท่านเรียกร้องนั้นแพงมาก  แพงจนข้าไม่คิดว่าแคว้นเป่ยชางจะจ่ายไหว  เพราะท่านเรียกร้องหัวใจของเขา  เด็กคนนี้ไม่ว่าจะรักใครล้วนรักจนถึงที่สุด  เวลาดีกับใครก็ดีจนถึงที่สุดเช่นกัน  หากแคว้นเป่ยชางต้องล่มจมเพราะท่าน  ข้าจะไม่มีวันให้อภัยท่านเลย ! ”
เหลียนอันสุ่ยมองความโกรธของสตรีตรงหน้าอย่างตะลึงลาน  สุดท้ายกล่าวว่า
“ความรักไม่ใช่สิ่งที่สามารถควบคุมบังคับได้  วันนี้เขารักข้า  พรุ่งนี้เขาไม่รักข้า  ข้าล้วนไม่สามารถควบคุมบงการทั้งนั้น  เพราะหากข้าสามารถควบคุมบงการได้นั่นก็แสดงว่าที่เขารักเป็นเพียงเปลือกนอกของข้า  มิใช่แก่นแท้ในตัวข้า  แล้วความรักแค่เปลือกเช่นนี้คู่ควรให้ท่านกลัดกลุ้มกังวลหรือ” ถ้าเป็นแบบแรกทั้งท่านทั้งข้าต่างเปลี่ยนมันไม่ได้  ถ้าเป็นแบบหลังท่านใยต้องยึดถือเป็นอารมณ์ด้วย
ตู้ฮูหยินฟังแล้วนิ่งไป  สายตาเย็นชาหรี่ลง  แต่ให้ความรู้สึกทิ่มแทงคนกว่าเก่า
“...นับว่าข้าดูถูกท่านเกินไป  ท่านสามารถกล่าววาจาเช่นนี้ให้กับตัวเอง  ข้านับว่าไม่แปลกใจแล้วว่าต้าอ๋องหลงรักท่านได้ยังไง” มองดูท่าทีสงบใจเย็นของบุรุษตรงหน้า  รู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยที่ตัวเองไม่อาจควบคุมอารมณ์  แต่ลึกๆกลับพึงพอใจวิธีแสดงออกของเหลียนอันสุ่ยไม่น้อย
ฉีเซี่ยงหยวนนิสัยเหมือนนาง  เวลาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟถ้อยคำจะยิ่งแหลมคม  ไม่เคยมีใครรับมือได้มาก่อน  พระมาตุลาแคว้นเหลียนกลับเย็นเป็นน้ำ  สงบมั่นคงและกระจ่างชัดถึงเพียงนั้น  ด้วยความลำเอียงนางยังคงเห็นว่าบุรุษที่นางเลี้ยงมายอดเยี่ยมกว่า  แต่ก็ยอมรับว่าบุคคลตรงหน้าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
“ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนคนแก่สักครู่ได้ไหม”
เหลียนอันสุ่ยไม่เข้าใจ  แต่ก็ตอบตกลง

พื้นที่เรือนปลูกต้นไม้เป็นสัดส่วน  ระแนงไม้ที่ลาดเทเป็นทรงลงมาเหมือนหลังคาปลูกไม้เถาออกดอกกลิ่นหอมรวยริน  ตู้ฮูหยินไม่ยอมให้เหลียนอันสุ่ยช่วงพยุง พอใจจะใช้ไม้เท้าก้าวไปเอง  นางช่วยตัวเองตลอดมา  เข้มงวดกวดขันตลอดมา  ไม่ว่าจะวัยสาวหรือวัยชราล้วนขึ้นชื่อว่าดุจนนางกำนัลเล็กๆหวาดผวา
“ท่านชอบต้นไม้อะไร” จู่ๆตู้ฮูหยินก็ถามขึ้น
“ข้าชอบต้นไผ่”
“ไผ่เป็นไม้ที่เอนลู่ตามลม” ตู้ฮูหยินวิจารณ์ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ข้ากลับคิดว่าไผ่เป็นไม้ที่ลำต้นตรงไม่คดงอ  เติบโตขึ้นอย่างแจ่มชัดในตัวเอง  รู้จักยืดหยุ่นและรู้จักยืนหยัด  เป่ยชางฤดูหนาวยาวนาน  ท่านสมควรทราบดีว่าในฤดูที่หนาวเย็นที่สุด  ต้นไผ่ก็ยังเขียวขจีและยืนหยัดไม่ต่างจากฤดูอื่น”
“ในฤดูหนาวยังมีต้นสนและดอกเหมย  ท่านไม่ชอบพวกมันหรือ”

“สนเป็นไม้ใหญ่  ไม้ใหญ่มักต้านลม  คนที่ไม่รู้จักยืดหยุ่น  สุดท้ายต้องสำนึกเสียใจ  ดอกเหมยงามเฉิดฉัน  แต่โดดเด่นทระนงเกินไป  สุดท้ายก็บานได้ไม่นาน  ข้าชอบความเรียบง่ายของต้นไผ่  กลิ่นไผ่ไม่ฉุนแรง  แต่กลับทำให้คนรู้สึกสะอาดสดชื่น  หากทั้งหมดก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของข้า  มีคนอีกมากมายที่ประทับใจต้นสนและดอกเหมยเหมือนกับที่ข้าประทับใจต้นไผ่”
“ท่านจะบอกว่าท่านเป็นต้นไผ่ ? ” พระมาตุลาผู้นี้มีแนวคิดที่น่าสนใจไม่น้อย  แต่ตู้ฮูหยินอดรู้สึกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังว่ากระทบตัวนาง
“พูดให้ถูกคือข้าอยากเป็นให้ได้แบบต้นไผ่  ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้จักยืดหยุ่น  สุดท้ายก็ต้องสำนึกเสียใจ” เหลียนอันสุ่ยไม่ได้มองแววตาตู้ฮูหยินจึงไม่เห็นแววตาอ่อนลงของนาง
ชั่วชีวิตของตู้ฮูหยินมีเพียงสามคนที่ไม่หวาดกลัวนาง  คนแรกคือมารดาของฉีเซี่ยงหยวน  คนที่สองคือฉีเซี่ยงหยวน  ส่วนคนที่สาม...คือบุตรชายที่จากไปแล้วของนาง  นางตั้งครรภ์ปีเดียวกับนายหญิงตำหนักไป่เหอจึงถูกคัดเลือกให้เป็นแม่นม  หากบุตรชายของนางไม่ได้จากไปตอนอายุได้ยี่สิบ  ตอนนี้เขาสมควรอยู่ในวัยเดียวกับฉีเซี่ยงหยวน...วัยเดียวกับบุรุษตรงหน้า
“ในโลกนี้มีใครไม่เคยเสียใจบ้าง  ความผิดพลาดทำให้คนเข้มแข็ง  ท่านเองก็อายุไม่น้อย  สมควรผ่านเรื่องราวมากมาย  ได้ยินว่าท่านเคยมีชายาคนหนึ่ง  มีบุตรชายคนหนึ่ง”
เหลียนอันสุ่ยรับคำ
“เช่นนั้นท่านสมควรทราบดีว่าการมีบุตรชายเป็นเรื่องที่ชวนปลาบปลื้มประโลมใจแค่ไหน  คำพูดก่อนหน้านี้ของท่านที่บอกว่าท่านหวังให้เขามีลูกเป็นความจริงหรือ ? ”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มแล้วตอบว่า
“การที่เขาไม่มีลูกเป็นเรื่องที่ข้ารู้สึกผิดต่อเขาอย่างมาก  ดังนั้นท่านต้องการให้ท่านช่วยเหลือในเรื่องนี้อย่างไรก็บอกมาเถิด  ข้าจะไม่ขัดขวางอย่างแน่นอน”
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าเหลียนอันสุ่ยถูกตู้ฮูหยินเรียกไปตรวจอาการก็ถามถึงอย่างเป็นห่วง  แต่เหลียนอันสุ่ยบอกเขาว่าไม่มีอะไร  หลายวันหลังจากนั้นงานที่โรงหมอของเหลียนอันสุ่ยเพิ่มกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งคือต้องแวะไปตรวจอาการให้ตู้ฮูหยิน  ตอนแรกฉีเซี่ยงหยวนกังวลเล็กน้อย  แต่เห็นไม่เกิดเรื่องอะไรก็เบาใจขึ้น  หากเบาใจได้ไม่นานก็ชักจะรู้สึกแปลกๆ

ปกติหญิงรับใช้ในตำหนักเสียงวสันต์ไม่เคยเปลี่ยนคน  แต่ช่วงนี้ฉีเซี่ยงหยวนกลับพบว่ามีหญิงรับใช้หน้าใหม่เพิ่มเข้ามาหลายคนทีเดียว  คนหลังๆที่เพิ่มเข้ามาสวยกว่าคนก่อนหน้า  ยิ่งเวลาผ่านไปตำหนักเสียงวสันต์แทบจะกลายเป็นแดนสวรรค์ไปแล้ว  มีแต่เทพธิดาเดินไปเดินมา 
ฉีเซี่ยงหยวนยิ่งมองกลับยิ่งรู้สึกหงุดหงิด  เหลียนอันสุ่ยคือคนที่อยู่ตำหนักบ่อยกว่าเขา  เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าทุกวันๆล้วนต้องทนมองเทพธิดาเหล่านี้เดินเวียนไปเวียนมาหรอกหรือ  เพียงแค่คิดฉีเซี่ยงหยวนก็รู้สึกว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้  ขณะกำลังหงุดหงิดเหลือแสน  ก็ได้ยินเสียงพิณกับเสียงขลุ่ยดังลอยมา  อารมณ์โมโหยิ่งพุ่งสูงเทียมฟ้า 
ตอนเหลียนอันสุ่ยเป่าขลุ่ยเสร็จกลับเข้ามา  ฉีเซี่ยงหยวนจึงประชดด้วยการเลือกจะให้ความสนใจแต่หญิงรับใช้คนที่งดงามที่สุด  ตอนแรกฉีเซี่ยงหยวนอยากจะเห็นเหลียนอันสุ่ยเดือดร้อนใจ  แต่ปรากฏว่าเหลียนอันสุ่ยกลับหลบฉากไปง่ายๆ  ปล่อยให้หญิงรับใช้ผู้นั้นยกน้ำชามาให้เขา
ตอนกลางวันไม่พอ  ตอนกลางคืนหนักข้อกว่าเดิม  ฉีเซี่ยงหยวนปักหลักทำงานสีหน้าบูดบึ้งอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่  คนที่เดินเข้ามาฝนหมึกให้เขากลับเป็นหญิงรับใช้ที่งามราวกับบุปผาคนนั้นอีกแล้ว!
“เจ้ามาทำไม” คำถามห้วนสั้น
“พระมาตุลาให้ข้ามาฝนหมึกให้กับท่าน” เจ้าของเสียงพยายามข่มความหวาดหวั่นต่อสายตาคมกริบที่สาดมองมา
ทันใดนั้นฉีเซี่ยงหยวนก็คาดเดาจุดประสงค์ของเรื่องทั้งหมดออก  หลังจากเข้าใจแจ่มแจ้งโทสะที่ไม่ได้ผ่อนคลายลงเลยตลอดทั้งวันก็เลยพ้นขีดการควบคุมไปไกล
ที่แท้เทพธิดาพวกนี้เหลียนอันสุ่ยล้วนเตรียมไว้ให้เขา !
ประเสริฐมาก  ประเสริฐมากจริงๆ 
ยิ่งครุ่นคิดสีหน้าก็ยิ่งเหี้ยมเกรียม  ฉีเซี่ยงหยวนพลันอยากทราบว่าขณะนี้เหลียนอันสุ่ยกำลังทำอะไร  ผุดลุกเดินออกไป  เสาะหาไม่นานก็พบ ‘ตัวต้นเหตุ’ กำลังนั่งอ่านม้วนตำราอยู่ที่เรือนด้านหน้า  เห็นได้ชัดว่าเหลียนอันสุ่ย ‘เปิดทาง’ ให้ด้วยความเต็มใจยิ่ง
ได้ยินเสียงผลักประตู  พระมาตุลาแคว้นเหลียนก็เงยหน้าขึ้น
“ท่าน  ทำไมถึง...” เหลียนอันสุ่ยพูดไม่ทันจบประโยคดีข้อมือก็ถูกฉุดลากให้เดินตามไป 
ถึงห้องหนังสือ  ปลายนิ้วของฉีเซี่ยงหยวนชี้ไปที่หญิงรับใช้ผู้นั้น  ถามเสียงเกรี้ยวกราดว่า
“ท่านจัดนางมาให้ข้าใช่หรือไม่!”
“ท่านไม่ได้...ถูกใจนางหรอกหรือ” เห็นดวงตากระจ่างมองกลับมาอย่างไม่เข้าใจ  ฉีเซี่ยงหยวนก็แสยะยิ้ม
“อ้อ  นี่ท่านกำลังรอให้ข้าถูกใจซักคนแล้วค่อยจัดการยกข้าให้กับผู้อื่นอย่างนั้นสิ”
“ต้าอ๋อง  ข้าคิดว่า...ข้าคิดว่าท่านน่าจะเบื่อ  มีพวกนางช่วยปรนนิบัติท่านข้าก็วางใจ  อีกอย่างพวกนางล้วนเป็นกุลสตรีดีงามที่แม่นมตู้คัดเลือกให้ท่านด้วยตัวเอง...” พูดไม่ทันจบคำก็ถูกลากตัวออกไป
มือใหญ่ของฉีเซี่ยงหยวนกำรอบมือเรียวแน่นราวกับปลอกเหล็ก  กล่าวเสียงเย็นโดยไม่หันไปมองว่า
“เจ้าก็ตามมาด้วย”
หญิงรับใช้ที่หวาดกลัวจนตัวสั่นผู้นั้นได้แต่ก้าวตามไป
ปกติฉีเซี่ยงหยวนหึงหวงแค่ไหนก็ไม่เคยเอามาลงกับเหลียนอันสุ่ย  แต่คราวนี้เกินไปจริงๆ  หากยังทนทานได้ก็เป็นรูปสลักศิลาแล้ว !
ผลักร่างเหลียนอันสุ่ยลงบนเตียง  หันไปออกคำสั่งกับหญิงรับใช้ผู้นั้นว่า
“หันหลังไป!”
เหลียนอันสุ่ยตื่นตระหนกเมื่อเห็นระดับความโทสะที่เต้นระริกอยู่ในแววตาฝ่ายตรงข้าม  ทราบว่าครั้งนี้เขาเดินแผนผิดพลาดจนเป็นเรื่องขึ้นมาแล้ว  ยังไม่ทันถอยหนีไปไหนก็ถูกกักเอาไว้ใต้ร่างแกร่ง
“เหลียนอันสุ่ย  ท่านคิดปัดความรับผิดชอบหรือ  หน้าที่ปรนนิบัติข้าเป็นของท่านคนเดียวไม่อนุญาตให้ท่านเที่ยวแจกจ่ายให้คนอื่น  อ้อ  หรือท่านคิดทำตัวเป็นอัครชายาที่ดี  แต่ดีถึงระดับนี้ข้ากลับไม่ต้องการ”
เหลียนอันสุ่ยพยายามสงบเยือกเย็น  แต่ก็เยือกเย็นไม่ไหวเมื่ออีกฝ่ายเริ่มลงมือเปลื้องอาภรณ์เขา  สีหน้าซีดเผือด  หันไปมองร่างบอบบางที่ยืนหันหลังให้พวกเขาห่างออกไปอีกหกก้าวอย่างกระวนกระวาย
“ต้าอ๋อง  ท่านโมโหข้า  ข้าเข้าใจ  แต่นางไม่มีความผิด  ท่านต้องปล่อยนาง...”
สีหน้าของฉีเซี่ยงหยวนเย็นเยียบ
“ปล่อยนาง?  ท่านมิใช่ต้องการให้นางมาเป็น ‘หญิงรับใช้ข้างเตียง’ ของข้าหรอกหรือ” หญิงรับใช้ข้างเตียงความหมายที่แท้จริงคือปรนนิบัติบนเตียง  เหลียนอันสุ่ยมีลูกให้ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้  จึงหวังให้ฉีเซี่ยงหยวนสามารถมีลูกกับผู้อื่น  แต่เห็นท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของอีกฝ่ายก็ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

ริมฝีปากถูกจุมพิตอย่างดุดัน  ร่างหนาทาบทับลงมาอย่างถือสิทธิ์  มือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วเปลื้องเสื้อผ้าเขาออกทีละชิ้น  ทีละชิ้น 
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าช่วงขาของตัวเองเปลือยเปล่าในตอนที่มือใหญ่ผลักหัวเข่าบังคับให้เรียวขาทั้งคู่แยกออกจากกัน  ฉีเซี่ยงหยวนสอดมือเข้าไปลูบไล้เอวเพรียว  ริมฝีปากขบหนักๆลงบนซอกคอขาวเหมือนจะลงโทษ  เหลียนอันสุ่ยแนบหน้าด้านข้างเข้ากับหมอนพยายามสะกดกลั้นเสียงหอบหายใจ  ทราบว่าต้าอ๋องผู้นี้กำลังคิดบัญชีทบต้นทบดอก

แต่เมื่อชายเสื้อร่นขึ้นมาถึงเอว  และริมฝีปากร้อนผ่าวเลื่อนลงสู่เรียวขาของเขา  เหลียนอันสุ่ยก็สั่นสะท้าน  ร้องว่า
“ต้าอ๋อง  ไม่เอา  ไม่เอาแบบนี้” ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็ทราบแล้วว่าฉีเซี่ยงหยวนคิดจะทำอะไร  แต่การร่วมรักแบบนี้เขาไม่ชอบ  เหลียนอันสุ่ยไม่ชอบความรู้สึกที่ไม่อาจควบคุมตัวเอง  หากฉีเซี่ยงหยวนในคราวนี้ดูจะไม่ฟังคำปฏิเสธของเขา  เรียวปากร้อนจัดละเลียดเรียวขาด้านในอย่างจงใจ
“เซี่ยงหยวน  ท่าน  ท่าน  ปล่อยปละละเว้นข้าเถอะ” เหลียนอันสุ่ยพยายามอ้อนวอน
“ปล่อยปละละเว้นท่าน?  มาพูดตอนนี้ไม่รู้สึกสายเกินไปหน่อยหรือ” ก่อเรื่องอะไรเอาไว้  ยังไม่ยอมชดใช้ให้ข้าเงียบๆอีก  เห็นดวงตาวาวโรจน์  เหลียนอันสุ่ยก็เม้มริมฝีปากอย่างทราบความผิด
แต่เมื่อริมฝีปากของอีกฝ่ายแตะต้องร่างกายของเขาอีกครั้ง  เหลียนอันสุ่ยก็บิดร่างอย่างปั่นป่วน  ความรุ่มร้อนที่ฉีเซี่ยงหยวนบังคับจุดขึ้นในกายเขาแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว  กลืนกินร่างกายเขาให้ค่อยๆจมดิ่งลงไป  เหลียนอันสุ่ยพยายามซุกหน้าเข้ากับหมอน  หวังให้เสียงครวญครางที่หลุดลอดออกไปแผ่วเบาที่สุด

แต่บุรุษที่อยู่เหนือร่างเขาคล้ายพยายามทำสงครามกับเขา  ปลายลิ้นยิ่งมากลับยิ่งช่ำชอง  เหลียนอันสุ่ยทนทานไม่ไหว  ยื่นมือออกไป  คิดผลักศีรษะอีกฝ่ายที่ก้มอยู่เหนือหว่างขาเขาให้ห่างออก  สุดท้ายกลับทำได้แค่สอดมือเข้าไปในกลุ่มผมสีดำสนิท  ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสัมผัสเร่าร้อนที่อีกฝ่ายมอบให้
ผู้ชายคนนี้รู้จักทุกซอกทุกมุมของร่างกายเขาดีเกินไป  ควบคุมบงการให้เขาทรมานและสุขสม  บังคับให้เขาเผชิญหน้ากับความปรารถนาของตัวเองอย่างไม่มีหนทางหลบหนี

พระมาตุลาแคว้นเหลียนหายใจหอบหนัก  ถูกอีกฝ่ายปลุกปั่นจนอ่อนระทวยไปทั้งร่าง  เข้าใจว่าเคราะห์กรรมผ่านพ้นไปแล้ว  แต่เมื่อมือใหญ่ช้อนใต้ร่างเขา  รวบตัวของเขาขึ้นมา   เหลียนอันสุ่ยก็ทราบว่าความทรมานนี้ยังไม่สิ้นสุดยุติ

หญิงรับใช้ผู้น่าสงสารกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ  ร่างบอบบางสั่นสะท้านราวใบไม้กลางสายลมสารท  หวาดกลัวอย่างลึกล้ำในสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังนาง  เสียงเสียดสีของเสื้อผ้าและผิวกาย  เสียงหอบหายใจดูราวกับดำเนินไปไม่จบสิ้น  ใบหน้างามของนางแดงซ่านทุกครั้งที่มีเสียงครวญครางหลุดรอดออกมา  นางย่อมไม่ใช่ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น  แต่ไม่อาจจินตนาการพระมาตุลาผู้สุภาพอ่อนโยนเข้ากับเสียงครวญครางที่แทบจะเลาะกระดูกคร่าวิญญาณคน

เหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าฉีเซี่ยงหยวนจงใจกลั่นแกล้งเขา  ให้เขาไม่มีทางเข้าหน้ากับหญิงรับใช้ผู้นั้นติดอีกเลย  เหลียนอันสุ่ยยกมือขึ้นปิดปากตัวเองขณะที่ร่างสูงใหญ่ครอบครองเขา  แต่มือหนากลับเอื้อมมาดึงมือเขาออก  ร่างแกร่งเคลื่อนไหวอย่างชั่วร้ายกว่าเดิม

พริบตานั้นพระมาตุลาแคว้นเหลียนรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นกวางตัวหนึ่ง  ถูกพยัคฆ์กลืนกินตั้งแต่หัวจรดเท้า
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 61 .......................................26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 03-11-2014 18:28:53
 ลงโทษได้สาสมกับความผิดมากค่ะต้าอ๋อง


แม่ยกปลื้มปริ่มจริงๆ
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 63
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 03-11-2014 22:44:17
บทที่ 63 นี่มันชักจะเกินไปแล้ว(2)

เสื้อคลุมสีดำตัวหนึ่งถูกคลุมทับลงมาบนร่างสูงโปร่ง  ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็รู้สึกได้ว่าอารมณ์ของฉีเซี่ยงหยวนสงบลงแล้ว  ได้ยินเสียงทุ้มต่ำกล่าวขึ้น
“เจ้าไปยกอ่างน้ำกับผ้าสะอาดเข้ามา”
คำสั่งมาถึงโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้หญิงรับใช้โฉมงามผู้นั้นสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ  ลนลานออกไป  พริบตาเดียวก็กลับมาพร้อมอ่างทองเหลืองกับผ้าหนึ่งผืน  เดินเข้ามาเห็นสภาพภายในห้องก็รีบหลุบตาต่ำอย่างหวาดกลัว
หากไม่อาจลบภาพที่เพิ่งเห็นออกไปได้  บุรุษที่เป็นประมุขสูงสุดแห่งแคว้นเป่ยชางดุดันน่าเกรงขาม  ส่วนพระมาตุลาอยู่ในอ้อมกอดของเขา  มือที่กำขอบอ่างสั่นระริกเมื่อรู้สึกได้ว่าสายตาน่ากลัวจับจ้องมองมา   ใบหน้าก้มต่ำจนคางแทบจรดอก  เห็นเพียงชายเสื้อสีดำที่คลุมอยู่บนร่างสูงของพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ใบหน้างามแดงซ่านขึ้นมาอีกครั้งเมื่อภาพเมื่อครู่ปรากฏซ้ำขึ้นมาในหัว  นางมองได้ไม่ชัดเจนนัก  รู้แต่เหลียนอันสุ่ยในตอนนี้เย้ายวนจนยากบรรยาย  ราวกับตัวตนที่สุภาพอ่อนโยนเป็นเพียงเปลือกนอกที่ห่อหุ้มเสน่ห์อันเย้ายวนสูงศักดิ์ของเขาเอาไว้  ลมหายใจแผ่วๆที่ดังอย่างอ่อนเพลียของเขายิ่งฟังก็ยิ่งทำให้คนฟุ้งซ่าน
มือใหญ่ฉวยอ่างน้ำไปจากมือนาง  ออกคำสั่งว่า
“ไปได้แล้ว...ยังไม่ไปอีก!” ประโยคหลังดุดันกว่าประโยคแรก  หญิงรับใช้ผู้บอบบางหาเท้าตัวเองเจอก็รีบวิ่งหนีจากไป

“นางกลัวท่านแล้ว” เสียงนุ่มนวลของเหลียนอันสุ่ยดังขึ้น
“ข้าสนใจแค่ว่าพรุ่งนี้ท่านต้องกำจัดหญิงรับใช้ที่หน้าตาราวกับเทพธิดาพวกนั้นออกไปให้หมด!” ออกคำสั่งพลางเลิกชายเสื้อสีดำ  เช็ดไปตามผิวเนียนที่ชื้นเหงื่อ  เหลียนอันสุ่ยหลับตาลงรู้สึกไม่มีแรงจะขยับตัว  ปล่อยให้มือคู่นั้นใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆทำความสะอาดร่างกายให้เขา  ได้ยินเสียงทุ้มกำชับว่า
“ห้ามทำแบบนี้อีกเข้าใจหรือไม่  ถ้าครั้งหน้าข้าจับได้รับรองว่าไม่มีการให้ ‘หันหลังไป’ ซ้ำสอง” ฉีเซี่ยงหยวนรู้ดีว่าคนที่ดื้อที่สุดความจริงคือบุรุษในอ้อมกอดเขา  หากไม่บอกกล่าวให้ชัดเจนรับรองต้องมีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
สำหรับเหลียนอันสุ่ยมีไม่กี่เรื่องที่สามารถทำให้เขาหวาดกลัวไม่กล้าทำ  แต่คำขู่นี้ของฉีเซี่ยงหยวนกลับใช้ได้ผลจริงๆ  มีเสียงยอมรับคำดังมาแผ่วเบา
---------------------
คนต่อไปที่ฉีเซี่ยงหยวนไปคิดบัญชีคือแม่นมตู้  แต่กับแม่นมตู้ฉีเซี่ยงหยวนก็มีวิธีรับมือกับนางในแบบของตัวเอง

“ได้ยินว่าท่านไล่หญิงรับใช้พวกนั้นออกมาจากตำหนักชุนเกอทั้งหมด” พบหน้าตู้ฮูหยินก็เปิดประเด็นอย่างเย็นชา  นางเป็นคนกล้าทำกล้ารับ  อย่าว่าแต่เรื่องนี้นางเห็นว่านางไม่ได้ทำอะไรผิด
“ท่านแม่นม  นี่ท่านตั้งใจจะให้ข้าถูกเหลียนอันสุ่ยเขี่ยทิ้งในเร็ววันใช่หรือไม่”
“ว่าอะไรนะ!” ตู้ฮูหยินหันขวับมาขมวดคิ้ว
“ท่านรู้หรือไม่เขาทิ้งขว้างข้ามากี่ครั้งแล้ว  เขาเคยกระทั่งคิดจากไป  พาลูกของเขาจากไปด้วย”
ตู้ฮูหยินโกรธแล้ว
“เหลวไหลสิ้นดี  ท่านเป็นต้าอ๋อง มีแต่ท่านที่ทิ้งเขา  เขาอาศัยอะไรมาทิ้งขว้างท่าน”
“ข้าก็อยากรู้ว่าเขาอาศัยอะไรมาทิ้งขว้างข้า  เขารักข้าชัดๆ  แต่กลับเหี้ยมโหดพอจะสะบั้นทุกความสัมพันธ์กับข้าอยู่ตลอด  แถมท่านยังจะไปส่งเสริมเขาอีก  เช่นนี้เขาก็หาเรื่องหลบหน้าข้าได้ง่ายกว่าเดิม  ดังนั้นหญิงรับใช้พวกนั้นไม่กำจัดไม่ได้”
“ท่านก็อย่าไปสนใจเขา  ต้าอ๋อง  เชื่อข้า  ท่านยังหาคนที่ดีกว่าเขาได้อีกมาก...”
“ให้ข้าเสาะหาคนอื่นก็คือให้ข้าอยู่กับคนที่ข้าไม่ได้ชอบ  ส่วนเขารู้จักคำว่าหึงหวงเสียที่ไหน  นอกจากจะยอมถอยอย่างเต็มใจแล้ว  อย่างมากก็เจ็บปวด  เห็นเขาเจ็บปวดคนที่เจ็บกว่าก็คือข้า  นี่มันการทรมานตัวเองชัดๆ”

ตู้ฮูหยินอึ้งไป  ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะเป็นเช่นนี้  มือเหี่ยวย่นกุมขมับ  รู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง  ผู้ส่งมอบหัวใจออกไปก่อนคือผู้ที่ถูกกำหนดให้พ่ายแพ้  ดูๆไปบุรุษที่นางรักยิ่งกว่าลูกในไส้ผู้นี้เสียเปรียบทั้งขึ้นทั้งล่อง  ผู้ใดใช้ให้เขารักอีกฝ่ายมากเกินไป  นางเองก็รู้สึกถึงความพ่ายแพ้ของตัวเองอยู่รำไร  ตอนนี้แม้สามารถแข็งกร้าว  แต่ลึกๆแล้วตู้ฮูหยินรู้ดีว่านางทนเห็นฉีเซี่ยงหยวนเจ็บปวดไม่ได้

เล่นเกมนี้กับเขา  สุดท้ายคนที่พ่ายแพ้ต้องเป็นนางแน่นอน...ผู้ใดใช้ให้นางรักเขามากเกินไป
---------------------
สถานะของฉีเซี่ยงหยวนสูงส่ง  กุมอำนาจมากมายอยู่ในมือ  แม้ฐานอำนาจจะยังไม่มั่นคงแข็งแรง  แต่ย่อมมีคนหวังประจบสอพลออยู่มากมาย  การประจบสอพลอเป็นศาสตร์แห่งการรู้จักปรับเปลี่ยนแผนพลิกแพลงให้เข้ากับยุคสมัยและอุปนิสัยของนายเหนือหัว  ในเมื่อสตรีคนใดล้วนถูกปฏิเสธ  ภายหลังเหล่าขุนนางจึงเริ่มจัดส่งบุรุษมา

ผู้คัดเลือกบ่าวรับใช้รับสินบน  ตำหนักเยี่ยอวิ๋นจึงมักโผล่บ่าวรับใช้หน้าใหม่  ที่ดูแล้วรูปงามจับตาขึ้นมาทีละคนสองคน  เรื่องนี้ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนโมโหจนพูดไม่ออก  ขุนนางพวกนั้นไม่ใช่ตู้ฮูหยินไม่สามารถติดต่อกับเหลียนอันสุ่ยหาทางส่งคนเข้าตำหนักเสียงวสันต์ก็จริง แต่ก็หาหนทางไม่หยุด  สุดท้ายสามารถหาหนทางจนเขาหงุดหงิดรำคาญได้
“โบยให้หนัก  แล้วลากตัวออกไป” ไม่ว่าบ่าวรับใช้คนไหนสับเปลี่ยนเข้ามาก็จะบังเอิญ ‘ทำเรื่อง’ ให้เป่ยชางอ๋องไม่พอใจ  ถูกลงโทษไม่เว้นแม้แต่รายเดียว  ทำเช่นนี้สองสามครั้ง  เปลี่ยนผู้คัดเลือกจัดสรรบ่าวรับใช้ใหม่ทั้งกรม ในที่สุดไม่ว่าใครก็อกสั่นขวัญแขวนไม่กล้าพาตัวเองมาพาดเขียง  และไม่กล้ารับสินบนโดยพลการ
เหลียนอันสุ่ยเคยทนดูไม่ได้  แต่ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยยอมให้อีกฝ่ายสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว 
“คนพวกนี้หนึ่งหวังประจบสอพลอ  สองหวังส่งคนมาสอดแนมข้างกายข้า  ไม่ลงโทษอย่างหนักจะมีคนกล้าเสนอหน้ามาอีก”
เหลียนอันสุ่ยมีชนักปักหลังจึงไม่กล้าพูดมากความ  ได้แต่กำชับให้คนจัดยาให้ตัวหมากที่น่าสงสารกลุ่มนั้น
“ท่านไม่เบื่อบ้างหรือ  ที่นี่มีแต่ข้า  บางทีมันก็ค่อนข้าง...จำเจ”
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้ว  ม้วนฎีกาที่อ่านเสร็จแล้ววางไว้ริมโต๊ะ  เงยหน้าขึ้นมาถามว่า
“ท่านเบื่อข้า ? ”
เหลียนอันสุ่ยรีบส่ายหน้า กล่าว
“ข้ารู้ตัวดี  ข้าใช้ชีวิตเรียบง่ายมาโดยตลอด  ส่วนท่านโลดโผนกว่าข้า  พวกเขาเองไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรีก็เข้าใจวิธีปรนนิบัติท่านมากกว่าข้า  ท่านไม่รู้สึกว่าข้า...ค่อนข้างจะไร้รสชาติหรอกหรือ” สีหน้าของเหลียนอันสุ่ยมีแววไม่มั่นใจในตัวเอง
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ  เอื้อมมือไปจับปลายคางมน  กล่าวว่า
“เหลียนอันสุ่ย ท่านไม่เคยมองตัวเองเวลาอยู่บนเตียงเลยใช่หรือไม่  ที่ข้าไม่อนุญาตให้ใครแตะต้องท่าน  ประการแรกเป็นเพราะว่าข้าหึงหวง  แต่ประการที่สองเป็นเพราะว่าข้าไม่ต้องการตอแยเรื่องยุ่งยาก  ไม่ว่าใครที่มีสัมพันธ์กับท่านรับรองไม่อาจลืมเลือนชั่วชีวิต”
เหลียนอันสุ่ยหน้าแดงซ่าน
“ท่านพูดเหลวไหล...”
“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล  ตั้งแต่ที่ข้ามีท่าน  ที่ข้าไม่ต้องการคนอื่นไม่ใช่เพราะสะกดอดกลั้น  แต่เป็นเพราะไม่ต้องการจริงๆ  ท่านเข้าใจว่าตัวเองไร้เดียงสาเหมือนตอนที่เราเจอกันครั้งแรกจริงๆหรือ”
คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนยิ่งมายิ่งสุดจะทนทานรับฟัง  เหลียนอันสุ่ยอายจนแทบจะแทรกเข้าไปในผืนพรม  คิดก้าวหลบออกไป  แต่ใครบางคนกลับลุกจากโต๊ะทำงานมารวบตัวเขาไว้จากทางด้านหลัง
“ความจริงแล้ว  ตอนนั้นข้าก็ว่าท่านมีเสน่ห์ดี  ข้าชอบเวลาตัวเองค่อยๆสอนท่าน...”
“ฉีเซี่ยงหยวน!” เรียกทั้งชื่อและแซ่  เห็นได้ชัดว่าเหลียนอันสุ่ยทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว
ฉีเซี่ยงหยวนมองใบหูที่แดงก่ำ  หัวเราะออกมาอีกครั้ง
---------------------
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 63 .......................................03/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 03-11-2014 23:47:00
เขินจริงวุ๊ย  :o8:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 63 .......................................03/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 04-11-2014 00:09:10
พระเอกเราได้ใจเจ๊มากค่ะ 5555
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 63 .......................................03/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 04-11-2014 01:10:34
 :hao7:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 63 .......................................03/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 06-11-2014 11:47:13
เป็นสำนวนจีนที่คุ้นเคย เพียงแต่ว่าจะชินกับเนื้อเรื่องแนวยุทธจักร รบราฆ่าฟันมากกว่า
เลยเวลาที่ผู้เขียนไม่ได้เจาะจงมากในฉากสงคราม การฆ่า การประหารชีวิต ซดยาพิษ ฉากโหดร้ายทั้งหลายแหล่
ทำให้รู้สึกไม่สะใจ ไปๆ มาๆ อ่านจนทัน ก็เลยคิดได้ เรากำลังอ่านโรแมนซ์-ดราม่า นี่น่า

งั้นก็ขอให้ตอนจบ จบแบบสมหวัง ครองคู่ เลยละกัน ^^
++ ka :L2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 63 .......................................03/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: ijuney ที่ 07-11-2014 14:25:32
สนุกมากอะ ต่อๆอีกนะ
ตอนเศร้า นี้เราร้องน้ำตาแตกเลย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 64
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 09-11-2014 17:26:20
บทที่ 64 ปฏิรูป(1)

เป็นเวลาเกือบสองปีกว่าตู้ฮูหยินจะยอมรามือจากเรื่องอัครชายาและทายาท  เหลียนอันสุ่ยแม้ไม่สามารถให้ความร่วมมือโดยเปิดเผย  แต่กลับไม่เคยขัดขวางมาก่อน  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนแม้ทราบดีว่าคนทั้งคู่ต่างหวังดีต่อเขา  แต่กลับไม่เคยให้ความร่วมมือเดินไปในหนทางที่ผู้อื่นจัดแจงให้แก่เขามาก่อน  ระหว่างที่วันเวลาผ่านไปเช่นนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย  นอกจากปัญหาน้อยใหญ่ที่ไม่เคยหมดสิ้นยังมีความรู้สึกผิดหนึ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของฉีเซี่ยงหยวน

“ข้าขอโทษที่ไม่อาจ...ให้ฐานะใดแก่ท่านได้” มิใช่ ‘ไม่สามารถ’  แต่เป็น ‘ไม่อาจ’  ดวงตาคมมองคนที่อยู่เคียงข้างเขาแต่ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเขาอย่างเสียใจ
เหลียนอันสุ่ยที่นั่งชมจันทร์เป็นเพื่อนอีกฝ่ายผินหน้ามา  กล่าวอย่างจริงจังว่า
“เซี่ยงหยวน  ข้าไม่ต้องการ” เพราะข้าเองก็ไม่อาจ...ยืนเคียงข้างท่านในที่สว่างได้  เกียรติของแคว้นเหลียนข้าไม่มีสิทธิ์เอามันมาเหยียบย่ำ
มือใหญ่คว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้
“แต่ข้าสมควรให้ท่าน  ไม่อย่างนั้นเรื่องระหว่างเราจะต้องอยู่แค่ในเงามืดตลอดไป  และท่านเองก็จะถูกดูถูก...”
“ฐานะนั้นให้อะไรข้าได้บ้าง  ทำให้ข้าสามารถยืนเคียงข้างท่านได้นานขึ้นหรือ...น่ากลัวจะมิใช่  ทำให้ข้ามีความสุขมากขึ้นหรือ...ก็น่ากลัวจะมิใช่อีก  ทำให้ท่านรักข้ามากขึ้นหรือ...นี่ก็ไม่ใช่เช่นกัน  ฐานะนั้นนำมาแต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า  ปัญหาที่ยุ่งยากยิ่งกว่า  ข้ารู้ว่าเหตุใดท่านจึง ‘ไม่อาจ’  และข้าก็อยากให้ท่านรู้ว่าข้าเองก็ ‘ไม่อาจ’ และไม่ถือสาด้วย  ต้าอ๋อง ฐานะเป็นแค่เปลือกนอกที่เอาไว้ให้คนมอง  ที่ผู้คนต้องการมันเพราะมันทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขามั่นคงมากขึ้น  แต่สำหรับพวกเราข้าไม่เคยรู้สึกว่ามันจำเป็น  เพราะข้าไม่กลัวเลย  ไม่ว่าจะเกิดอะไรหลังจากนี้ก็ไม่กลัวทั้งนั้น”

มือใหญ่ที่กำรอบมือเรียวกระชับแน่นเข้า  ความรู้สึกหลากหลายรัดพันหัวใจฉีเซี่ยงหยวนจนพูดไม่ออก  สุดท้ายเค้นออกมาเป็นน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“...ข้าจะรักท่านตลอดไป  ไม่มีวันทิ้งขว้างท่าน”
เหลียนอันสุ่ยกลับแย้มยิ้มบางๆ กล่าวอย่างจริงจังว่า
“ตลอดไปยาวนานเกินไป  ข้าไม่ต้องการคำว่าตลอดไป  ข้าแค่หวังให้ชั่วขณะนี้ท่านรักข้า”
“...ข้ารักท่าน” ใต้แสงจันทร์สีเงินยวง  บุรุษผู้หนึ่งเอ่ยคำที่อยู่ในหัวใจเขาซ้ำอีกครั้ง
ใต้ฐานะที่เป็นเพียงเปลือกนอก  ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองเป็นเช่นไร  ข้าและท่านทราบกระจ่างแก่ใจก็เพียงพอ
---------------------
ในปัญหาน้อยใหญ่เหล่านั้นพอจะมีปัญหาที่นับว่าโดดเด่นมากอยู่ปัญหาหนึ่ง

เวลาบ่ายแดดจัดจ้า  เหล่าขุนนางที่ทยอยเดินออกมาจากท้องพระโรงพากันเอามือป้องนัยน์ตาขณะก้าวลงบันได
วันนี้ในที่ประชุมต้าอ๋องมีดำริจะ ‘ส่งเสริมการเพาะปลูก’ เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนอาหารในหน้าแล้ง นอกจากเน้นพัฒนาวิธีการเกษตรแล้ว ผู้หักร้างถางพงเพื่ออยู่อาศัยจะได้รับการประทานที่ดิน ผู้ผลิตข้าวและผ้าทอให้ราชสำนักได้มากจะได้รับการยกเว้นภาษี  แรงจูงใจใหญ่หลวงไม่น้อย  เห็นได้ชัดว่าต้าอ๋องต้องการจะเพิ่มผลผลิตในคลังเสบียง 

บรรดาขุนนางใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจภาษีเล็กน้อยที่จะงดเว้นเหล่านั้น  และยิ่งไม่ได้สนใจที่ดินในเขตห่างไกล  พวกเขาเพียงสนใจว่านโยบายนี้ใช่มีนัยยะแอบแฝงหรือไม่  เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในการเดินทัพ...คือเสบียง

ขณะพวกเขายังรอดูท่าทีเดาไปเดามา นโยบายนี้ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก  เวลาเพียงไม่กี่เดือนคลังเสบียงก็บรรจุเพียบไปด้วยข้าว  อาณาเขตทางเหนือและตะวันออกของแคว้นเป่ยชางแผ่ขยายออกไป
---------------------
“มีคนบอกว่าท่านจะทำศึก ? ”เหลียนอันสุ่ยถามคำถามนี้ขึ้นมาในเย็นวันหนึ่ง 
ฉีเซี่ยงหยวนที่นั่งร่างความคิดของตัวเองอยู่บนโต๊ะเงยหน้าขึ้นมาอย่างแปลกใจ  นานๆครั้งเหลียนอันสุ่ยจะถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่
“ทำศึก?  เวลานี้อำนาจในแคว้นเป่ยชางยังไม่ลงตัวดีจะรีบร้อนทำศึกไปเพื่ออะไร  เหลียนอันสุ่ย  ท่านวางใจเถอะ  ข้ายังไม่คิดก่อสงครามในเร็วๆนี้”
ได้คำมั่นจากปากฉีเซี่ยงหยวนคนฟังค่อยผ่อนลมหายใจออกมาอย่างวางใจ  ยิ้มบางๆกล่าวว่า
“ข้าแค่ไม่คิดว่าท่านจะให้ความสำคัญกับการเพาะปลูกจริงๆ  ข้าคิดว่าท่านจะชอบเรื่องพวกกองทัพซะอีก” ถึงแม้เหลียนอันสุ่ยจะเคยเห็นกับตาว่าฉีเซี่ยงหยวนให้ความสนใจเกี่ยวกับการเก็บกักน้ำของแคว้นเหลียน  แต่มองอย่างไรพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็ยังมีความรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเข้ากันอยู่บ้าง

ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วหัวเราะ  วางพู่กันในมือลง  เล่าสาเหตุให้ฟังว่า
“ข้าแค่เข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่มีข้าวกินเท่านั้น  ตอนปราบพิชิตทางเหนือมีอยู่ครั้งหนึ่งถลำลึกเข้าไปในแดนศัตรู  เส้นทางลำเลียงเสบียงล้วนถูกตัดขาด  ไม่มีกินกันทั้งกองทัพ  ข้ายังจำได้ดีว่าความรู้สึกหิวโหยพอจะกินเนื้อคนมีสภาพเป็นเช่นไร  อากาศหนาวมาก  มองไปทางไหนมีแต่หิมะ  ข้าถึงกับมีความคิดเหลวไหลว่าหากหิมะกลายเป็นข้าวได้ก็คงจะดีไม่น้อย  โชคดีที่พี่ใหญ่มาถึงทันก่อนทั้งหมดจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหว  ชนเผ่าทางเหนือชอบเล่นแบบนี้  สภาพแวดล้อมของพวกเขาอันตรายมากพออยู่แล้ว เพียงพอจะทำให้ชนะได้โดยไม่จำเป็นต้องรบให้เหนื่อยเท่าไหร่เลย”
“...แต่สุดท้ายท่านก็ชนะพวกเขา”
“ใช่  สุดท้ายข้าชนะพวกเขา”   
---------------------
นโยบายช่วงแรกประสบความสำเร็จอย่างงดงาม  แต่กองทัพไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไร  ต้าอ๋องดำริจะดำเนินการต่อไปและเพิ่มการส่งเสริมให้มากขึ้น  โดยจัดสรรที่ดินทำกินให้เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะบุคคล  นั่นคือให้ราษฎรสามารถถือครองที่ดิน  นโยบายขั้นที่สองนี้เองที่ก่อให้เกิดกระแสปั่นป่วนไปขึ้นในราชสำนัก

เมฆขาวลอยเอื่อยอยู่บนฟ้า  ใต้เท้าสามคนมีกำหนดนัดเดินหมาก  ใต้เท้าต้วนนั่งฟังใต้เท้าเฝิงกับใต้เท้าอู่ถกกันไปมา  นิ้วมือไล้ขอบถ้วยชา  สายตามองหมากบนกระดานอย่างครุ่นคิด  พวกเขาทั้งสามต่างเป็นขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก  ติดตามรับใช้มาตั้งแต่รัชกาลก่อน  ขอบเขตอิทธิพลไม่จำเป็นต้องพูดถึง

“ต้าอ๋องจะให้พวกเราส่งรายการที่ดินที่ถือครอง  คิดจะทำอะไรกันแน่  ร้อยวันพันปีราชสำนักไม่เคยสนใจตรวจสอบเรื่องพวกนี้  เหตุใดครั้งนี้จึงดูเป็นจริงเป็นจังยิ่ง” ใต้เท้าเฝิงกล่าวพลางขมวดคิ้วแนบแน่น
“ต้าอ๋องจะจัดสรรที่ดินทำกินให้ราษฎร  ก็ต้องรู้ก่อนว่าที่ตรงไหนเป็นของใคร  ไม่เช่นนั้นจะเกิดความผิดพลาดได้”
“เฒ่าชราแซ่อู่นี่ท่านเชื่อจริงๆหรือหรือว่าต้าอ๋องคนนี้จะทำอะไรตรงไปตรงมาแบบนั้น” ใต้เท้าเฝิงเอ่ยค้านน้ำเสียงไม่วางใจ
คนถูกเรียกเป็นเฒ่าชราหัวเราะ  ไม่ได้ยอมรับหรือกล่าวปฏิเสธ  แค่วางหมากลงไป
ต้วนจื้อผิงที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยช้าๆว่า
“ท่านมีความเห็นอย่างไรกันแน่  พูดตามตรงข้าไม่ค่อยจะวางใจนัก  ต้าอ๋องไม่เชี่ยวชาญบริหาร  แต่ขุนนางใต้บัญชาเขามีหลายคนที่มองข้ามไม่ได้  ไม่รู้คราวนี้จะมาไม้ไหนอีก” กล่าวจบก็วางหมากเพราะวนมาถึงตาของเขา
อู่เส้าเทียนหัวเราะอีกครั้ง  ทวนคำ
“ไม่เชี่ยวชาญบริหาร ?  หรือท่านไม่เคยได้ยินคำว่าปราดเปรื่องทั้งบุ๋นบู๊”
ผู้ดำรงตำแหน่งประมุขตระกูลต้วนแจกแจงอย่างจริงจัง
“ต้าอ๋องเพิ่งกุมอำนาจได้ไม่นาน  ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าอ่อนประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมือง  จึงเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องง่าย  มองความยุ่งยากของปัญหาไม่ออก”
ใต้เท้าเฝิงฟังแล้วผงกศีรษะเห็นพ้อง  แต่อู่เส้าเทียนกลับแย้งว่า
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น  พวกท่านไม่รู้สึกหรือว่านโยบายส่งเสริมการเพาะปลูกเป็นแค่ฉากบังหน้า  สิ่งที่ต้าอ๋องตั้งใจจะทำจริงๆคือปฏิรูปที่ดินต่างหาก” …!

เงียบกันไปช่วงใหญ่  ใต้เท้าเฝิงก็แค่นหัวร่อ  กล่าวว่า
“เฮอะ  ปฏิรูปที่ดินอันใด  คิดการใหญ่โตไปหน่อยกระมัง  หากขุนนางทั้งราชสำนักต่างพร้อมใจกันไม่ส่งรายงานการถือครองที่ดิน  ต้าอ๋องยังจะทำอย่างไรพวกเราได้  หรือจะประหารให้หมดราชสำนัก?”
---------------------
ตอนจางจื่อหยูได้ยินนโยบายขั้นที่สองคราแรกก็ยังพยักหน้าคล้อยตาม  แต่เมื่อใคร่ครวญอย่างละเอียดขุนนางชราผู้นี้ก็นั่งไม่ติดที่  แล่นมาขอเข้าเฝ้าเป็นการด่วนถึงตำหนักเยี่ยอวิ๋น

“ต้าอ๋อง  นี่ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่  จะส่งเสริมการเกษตรไม่เห็นต้องสำรวจการถือครองที่ดินเลย  ทำแบบนี้ผลกระทบมันจะไม่ใช่น้อยๆ  ต้องมีขุนนางบางคนไม่ยอมอยู่เฉยแน่”
“ใต้เท้าจาง  เวลาเพาะปลูกมิใช่กระทำกันบนดินหรอกหรือ  ที่ดินยังไม่มีแล้วจะให้ราษฎรหว่านไถจากอะไร  ดังนั้นต้องตั้งต้นจัดการจากที่ดินก่อนจึงสามารถพัฒนาการเพาะปลูก”
“ต้าอ๋อง  สภาพอำนาจในแคว้นเป็นอย่างไร  ท่านสมควรทราบกระจ่างกว่าข้า  องค์ชายห้าแม้ไม่อยู่ในเมืองหลวง  แต่อิทธิพลของอดีตเป่ยชางอ๋องยังไม่หมดไป  ขุนนางในราชสำนักมีไม่น้อยที่ไม่ได้ยืนอยู่ฝ่ายเรา  ท่านยิ่งมีนโยบายแบบนี้ออกมา  พวกเขายิ่งหาพรรคพวกได้ง่ายขึ้น”
“เรื่องแบบนี้ไม่ว่าดำเนินการช่วงไหนก็ต้องเผชิญหน้ากับการคัดค้านทั้งสิ้น  ตอนนี้นโยบายช่วงแรกกำลังประสบความสำเร็จ  คิดสานต่อไม่มีจังหวะใดเหมาะสมไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว” เสียงของหลี่กวงเว่ยปรากฏพร้อมเจ้าตัวที่เดินหอบม้วนตำราเข้ามา
จางจื่อหยูยังคงยืนยันว่านี่มิใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม  สมควรรอคอยอีกสองสามปีให้บ้านเมืองมั่นคงกว่านี้จึงค่อยดำเนินการ  หากไม่ว่าพูดอย่างไรนายเหนือหัวกลับไม่คิดจะเปลี่ยนใจ  ก่อนจากไปจางจื่อหยูจึงกล่าวว่า
“ต้าอ๋อง  ตอนนี้สถานการณ์ยังสงบเพราะเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น  หากท่านคิดดำเนินการต่อไป  สมควรเตรียมวิธีรับมือการคัดค้านเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ  เพราะมันจะเกิดขึ้นแน่นอน”

เงาหลังผอมสูงลับหายไป  ฉีเซี่ยงหยวนก็มีรอยยิ้มที่มุมปาก  กล่าวว่า
“ความจริงจางจื่อหยูก็พูดถูกไม่น้อย  นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น”
หลี่กวงเว่ยที่ยืนอยู่เบื้องหลังร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำคุกเข่าลงกับพื้น  เสียงโขกศีรษะทำให้ฉีเซี่ยงหยวนหันกลับมา
“เจ้าโขกศีรษะให้ข้าทำไม”
“สัจจะวาจาของต้าอ๋อง  หลี่กวงเว่ยเลื่อมใสยิ่งนัก  ยินดีเป็นวัวเป็นม้าติดตามรับใช้ท่านไปจนวันตาย”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ
“วัวกับม้าข้ามีเยอะแล้ว  ข้าต้องการสมองของเจ้า  และข้าก็ไม่ต้องการความตายของเจ้า  ข้าต้องการความสำเร็จของเจ้า  ไม่ต้องโขกศีรษะให้ข้า  ข้าแค่ทำตามข้อตกลงที่ข้าเคยให้ไว้  เจ้ารู้ว่าข้าอยากเปลี่ยนอะไร  และข้าจะต้องทำให้ได้  แคว้นเป่ยชางมีโฉมหน้าแบบนี้มานานเกินไปแล้ว  หากยังไม่ปรับเปลี่ยนจะไม่มีวันก้าวล้ำกว่าแคว้นหนานเหมินได้เลย”
แววตาของฉีเซี่ยงหยวนเย็นจัดและแน่วแน่  ดุจเดียวกับวันที่พวกเขามีข้อตกลงระหว่างกัน  วันเดียวกับที่หลี่กวงเว่ยตัดสินใจรับใช้นายเหนือหัวผู้นี้

หากความใฝ่ฝันชั่วชีวิตของฝงเป่าคือการเป็นให้ได้อย่างเทพสงครามหยงเซี่ย  ความใฝ่ฝันชั่วชีวิตของหลี่กวงเว่ยก็คือการปฏิรูปแคว้นเป่ยชาง  นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขามาหาฉีเซี่ยงหยวนด้วยตัวเอง  และเป็นข้อตกลงระหว่างพวกเขานายบ่าว  เป้าหมายของพวกเขาสอดคล้องกัน

คนบางคนรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าในตอนที่ใช้ความสามารถของเขาเพื่อแผ่นดินที่เขาเกิด...หลี่กวงเว่ยเป็นคนประเภทนี้
---------------------
ในราชสำนักเรื่องการจัดสรรที่ดินถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง  กระแสต่อต้านเริ่มมีมากขึ้นเมื่อขุนนางใหญ่ๆต่างไม่ให้ความร่วมมือ 
ขุนนางที่มั่งคั่งเก้าในสิบส่วนล้วนเคยโกงกิน  ที่ดินไม่รู้กี่แปลงต่อกี่แปลงได้มาโดยมิชอบ  หากมีการจดบันทึกขึ้นมาจริงๆภาษีที่ต้องจ่ายย่อมต้องมหาศาลยิ่ง  อีกอย่างการที่ต้าอ๋องจัดสรรที่ดินให้ราษฎรเช่นนี้รายได้จากการให้เช่าที่นาของพวกเขาใยมิใช่หลุดลอยหายไปเปล่าๆ
ฉีเซี่ยงหยวนเดือดดาลจัดเมื่อพบว่าแค่แบ่งแปลงที่ดินให้ชัดเจนยังมีคนก่อกวนขัดขวาง  ขุนนางใหญ่ไม่ส่งรายงาน  ขุนนางเล็กๆล้วนถูกกดดันจนไม่กล้าส่งไปด้วย  กับเรื่องพวกนี้ล่ะพร้อมใจสามัคคีกันดีเหลือเกิน

“เห็นแก่ตัวกันจนเป็นนิสัย  เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นมานานถึงเพียงนี้ก็ยังหวังจะใช้วิธีเดิมๆมาเอารัดเอาเปรียบต่อไป  พวกมันให้คนเช่าที่นาจ่ายค่าเช่าเป็นผลผลิตคิดว่าข้าไม่รู้หรือ  เช่นนี้เท่ากับว่าภาษีที่ต้องส่งเป็นข้าวพวกมันนั่งๆนอนๆก็มีคนเก็บเกี่ยวหว่านไถให้  ส่วนราษฎรก็เหมือนต้องจ่ายภาษีสองชั้น  ส่วนหนึ่งจ่ายให้ขุนนางเจ้าของที่ดิน  อีกส่วนจ่ายให้ราชสำนัก  แล้วเช่นนี้จะไม่ยากจนจนต้องขายตัวเป็นข้าทาสได้อย่างไร!”

หลี่กวงเว่ยเหลือบตามองนายเหนือหัว  จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปมองตั้งรายงานที่มีอยู่ไม่กี่ฉบับอย่างหนักใจ  ใต้เท้าพวกนั้นเข้าใจว่ายืดเย้อเข้าไว้ก็สามารถหลบรอดได้หรือ  ถ้าคิดเช่นนั้นก็ออกจะตื้นเขินเกินไปแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่องค์ชายห้าที่แทบไม่เคยย่างเท้าออกจากเมืองหลวง  ก่อนดำรงตำแหน่งเป่ยชางอ๋องการที่องค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนไม่อยู่ในเมืองหลวงถือเป็นเรื่องปกติอย่างหนึ่ง
ในช่วงเวลาที่ใช้ไปกับกองทัพไม่ว่าเหนือใต้ออกตกของแคว้นเป่ยชางฉีเซี่ยงหยวนล้วนเคยได้ไปเหยียบไปเห็นมา  สภาพความเป็นอยู่แท้จริงเป็นอย่างไรในองค์ชายทั้งหมดฉีเซี่ยงหยวนคือคนที่ทราบดีที่สุด  เพราะเขาคือคนที่ได้รับการประคบประหงมในฐานะองค์ชายน้อยที่สุด
---------------------
ในท้องพระโรง
ใต้เท้าเฝิงประสานมือกราบทูล
“ทูลต้าอ๋อง  เรื่องจัดสรรที่ดินทำกิน  กระหม่อมมีความเห็นว่าแทนที่จะให้ราชสำนักต้องลงไปยุ่งวุ่นวาย  มิสู้ให้เจ้าเมืองจัดสรรกันเองในเขตรับผิดชอบจะสามารถทำได้ง่ายกว่า  และไม่จำเป็นต้องจัดทำรายงานการถือครองที่ดินที่กระทำได้ยากและจะทำให้นโยบายประสบความล่าช้าด้วย”
ในใจของฉีเซี่ยงหยวนมีรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม  เจ้าเมืองจัดสรรกันเองในเขตรับผิดชอบมิใช่เอื้อประโยชน์ต่อพวกท่านหรือไร  มีเจ้าเมืองกี่คนที่ไม่ใช่คนของขุนนางเหล่านี้  ทีนี้ยิ่งโกงกินง่ายดาย  รายการที่ดินก็ปัดไม่ต้องส่ง

“ในแคว้นเป่ยชางที่ดินแบ่งแปลงไม่ชัดเจน  ความจริงสมควรจัดระเบียบนานแล้ว  นี่เป็นปัญหาใหญ่  การริเริ่มจึงควรเริ่มจากให้ราชสำนักเป็นผู้ดำเนินการ  ในความเห็นกระหม่อมนโยบายนี้นอกจากเพื่อการเกษตร  ยังทำให้การถือครองที่ดินมีแบบแผนมากขึ้น  ดังนั้นรายงายฉบับนี้ไม่จัดทำไม่ได้  ส่วนความล่าช้ากระหม่อมคิดว่าอยู่ที่ความทุ่มเททำงาน  หากเหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนให้ความร่วมมือจะต้องสำเร็จลุล่วงในเวลาไม่นาน”
วาจาของหลี่กวงเว่ยส่งผลให้สายตานับสิบคู่หันไปจับจ้อง  ใต้เท้าใหญ่แต่ละคนหรี่ตาลง  ขุนนางเล็กๆผู้นี้คิดว่าต้าอ๋องหนุนหลังก็สามารถวางตัวเป็นปฏิปักษ์กับพวกเขาอย่างนั้นหรือ

“ถ้าเป็นเช่นนั้น  แล้วเหตุใดข้าถึงเห็นรายงานการถือครองที่ดินส่งขึ้นมาแค่ไม่กี่ฉบับ  หมายความว่าพวกท่านล้วนไม่ให้ความร่วมมือใช่หรือไม่  หรือยึดถือบัญชาข้าเป็นแค่ลมพัดผ่านหูที่พวกท่านจะไม่ปฏิบัติตามก็ได้!” คำพูดนี้ของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหล่าขุนนางต่างรีบร้อนคุกเข่าลงกับพื้น
ต้วนจื้อผิงประสานมือกล่าวว่า
“ต้าอ๋องโปรดระงับโทสะ  พวกกระหม่อมไม่ได้มีเจตนาไม่ให้ความร่วมมือ  แต่เพราะรายการที่ดินไม่เคยมีผู้จัดทำมาก่อนจึงต้องใช้เวลา  พวกกระหม่อมยังคงคิดว่าการให้เจ้าเมืองเป็นผู้จัดการเป็นวิธีการที่ได้ผลมากกว่า  ขอต้าอ๋องทรงพิจารณาด้วย”
“ขอต้าอ๋องทรงพิจารณาด้วย” คำประสานเสียงดังออกมาจากปากขุนนางถึงหนึ่งในสาม ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วหรี่ตาลง  คิดไว้ไม่ผิด  พรรคพวกของขุนนางเก่าพวกนี้มีไม่น้อยเลยจริงๆ

“แคว้นเป่ยชางเป็นแผ่นดินของข้า  ข้าไม่ควรมีสิทธิ์รู้หรือว่าตัวเองมีแผ่นดินที่ปกครองอยู่เท่าไหร่  ตอนนี้แคว้นเป่ยชางขยายออกไปไม่น้อย  หากไม่จดบันทึกแจกแจงให้ชัดเจนมีหรือจะไม่เกิดความสับสน  การที่ข้าคิดทำรายการการถือครองที่ดินก็เพื่อให้พวกท่านแต่ละคนสามารถเป็นเจ้าของที่ดินในมือโดยลายลักษณ์อักษร  ไม่เกิดการซ้อนทับอันจะนำมาซึ่งปัญหา  ที่สำคัญคือการทำเช่นนี้เป็นการวางรากฐานให้แคว้นเป่ยชาง  ไม่ว่าหนานเหมินหรือโหยวเฉิงล้วนมีการจัดการเรื่องแปลงที่ดินทั้งนั้น  หากพวกเรายังชักช้าล้าหลังก็ต้องถูกพวกเขาดูถูกต่อไป  หรือพวกท่านเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รับได้”

ท้องพระโรงเงียบกริบ

“ใต้เท้าเฝิงบอกว่าการทำรายการถือครองที่ดินเป็นเรื่องยาก  ส่วนใต้เท้าต้วนบอกว่าเพราะพวกท่านไม่เคยจัดทำมาก่อนจึงเกิดความล่าช้า เช่นนี้เถอะ  ข้าจะตั้งหน่วยงานขึ้นมาหน่วยหนึ่งเพื่อให้ความช่วยเหลือในการจัดทำรายการให้เป็นแบบแผนเดียวกัน  ใต้เท้าคนไหนคิดว่าอาศัยความสามารถตัวเองคงไม่อาจส่งรายงานตามเวลาก็สามารถให้ราชสำนักช่วยจัดทำได้”
เมื่อฉีเซี่ยงหยวนเล่นแบบนี้  บรรดาใต้เท้าที่ที่ดินมหาศาลต่างเร่งจัดการมือเป็นระวิงด้วยไม่ต้องการให้ราชสำนักสอดมือเข้ามา ‘ช่วยเหลือ’ จัดการให้ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการควบคุมดูแล

รายการถือครองที่ดินแต่ละฉบับส่งครบถ้วนทันเวลา  กองเป็นตั้งสูงในหน่วยงานจัดสรรที่ดินที่ตั้งขึ้นหมาดๆ  ทว่าเมื่อตรวจสอบดูรายงานพวกนั้นกลับมีไม่ถึงครึ่งที่ตรงตามความเป็นจริง

ฉีเซี่ยงหยวนจึงตัดสินใจคัดเลือกคนส่วนหนึ่งจากหน่วยงานดังกล่าว  แต่งตั้งหลี่กวงเว่ยเป็นผู้ควบคุมดูแล  มอบอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบบันทึกแปลงที่ดินให้ตรงกับที่มีอยู่จริง หากพบว่ามีรายการเท็จให้ปรับตามขนาดผืนที่ดิน  ศักดิ์ศรีเสมอกรมตรวจการ

ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนเปิดฉากทำสงครามยืดเย้อกับเหล่าขุนนางของตัวเอง  แผนการสารพัดต่างทุ่มเทออกมาใช้  ฝ่ายหนึ่งพยายามหลีกเลี่ยง  อีกฝ่ายพยายามกระทำให้สำเร็จ  งัดข้อกันครั้งแล้วครั้งเล่า
---------------------
สภาพดังกล่าวทำให้ในที่สุดหานญื่อหลัวต้องเอ่ยปากกับเหลียนอันสุ่ยว่า
“ท่านสมควรเตือนเขา  เขากำลังเล่นกับเรื่องที่อันตรายมาก  และข้าไม่คิดว่ามันจะจบแค่นี้”
“ท่านบอกว่าวันนี้ในท้องพระโรงมีเสียงคัดค้านอีกแล้ว”
“ครั้งนี้ไม่ใช่แค่คัดค้านธรรมดา  แต่ถึงกับดื้อแพ่งไม่ยอมจ่ายค่าปรับตามจำนวน  ข้ากลัวว่าต้าอ๋องจะใช้ไม้แข็ง  เรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่”
หลายวันมานี้ฉีเซี่ยงหยวนนอนนับชั่วยามได้  เมื่อมีเวลาว่างต้องเรียกประชุมขุนนางเพื่อร่างแผนการรับมือ  ความตึงเครียดจริงจัง เหลียนอันสุ่ยรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน  ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของเขาเหลียนอันสุ่ยทราบกระจ่างกว่าผู้ใด
“ขอบคุณที่บอกเรื่องนี้กับข้า”
หานญื่อหลัวจับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจริงจังพลางถามว่า
“เหตุใดท่านมักถามเรื่องพวกนี้กับข้า  ความจริงคนข้างกายท่านคนนั้นต่างหากที่ทราบสถานการณ์ดีที่สุด  ท่านไม่กลัวเขาถือสาที่ท่านถามข้าแต่ไม่ถามเขาหรือ”
“ปกติชีวิตเขาครึ่งหนึ่งก็จมอยู่ในเรื่องของบ้านเมืองอยู่แล้ว  ข้าไม่อยากให้ช่วงเวลาที่เขาอยู่กับข้าต้องคิดถึงเรื่องน่าปวดหัวพวกนั้นอีก  อีกอย่างการสนทนายากจะหลีกเลี่ยงการออกความเห็น  และยากจะหลีกเลี่ยงการทะเลาะ  ข้าไม่อยากทะเลาะกับเขาเพราะความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องพวกนี้”

“เหลียนอันสุ่ย  ข้าขอพูดตามตรง  ท่านเป็นคนฉลาด  ความจริงต้าอ๋องต้องการความเห็นของท่าน”
“คุณชายหาน  บางครั้งการไม่ออกความเห็นเป็นสิ่งที่ฉลาดกว่า  อย่างน้อยด้วยสถานะของข้าก็ไม่ควรออกความเห็น” เหลียนอันสุ่ยมีกรอบการวางตัวของเขาชัดเจน  ตั้งใจแน่วแน่จะไม่ก้าวก่ายการเมือง
“ท่านอาจกลัวคำครหา  แต่นั่นจะทำให้ความสามารถของท่านสูญเปล่า”
“การรู้จักบทบาทของตัวเองไม่ได้ทำให้ความสามารถของใครสูญเปล่า  ข้าจะทำแบบที่ท่านว่าถ้าข้าเป็นขุนนางของเขา  แต่ข้าไม่ใช่  ข้าเป็นคนรักของเขา  ที่ข้าควรทำคือรักเขาและไม่ให้ความรักของข้าทำลายเขา”
---------------------
เย็นวันนั้นกว่าฉีเซี่ยงหยวนจะสามารถปลีกตัวกลับมาที่ตำหนักเสียงวสันต์ได้ก็เป็นเวลาดึกมาก  ก่อนหน้านี้จึงได้ส่งคนมาบอกให้เหลียนอันสุ่ยเข้านอนโดยไม่ต้องรอเขา  ทว่าเมื่อมาถึงกลับพบคนผู้หนึ่งงีบหลับอยู่บนเก้าอี้  คาดว่าพระมาตุลาแคว้นเหลียนผู้นี้รอคอยเขานานจนตัวเองเผลอหลับไป

สีหน้าเคร่งเครียดของฉีเซี่ยงหยวนอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว  ความรู้สึกที่เขาไม่คุ้นเคยเอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจ  มันคล้ายกับเป็นความอบอุ่นและความตื้นตัน  รสชาติของการมีคนห่วงใย  และรสชาติของการมีคนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็รอคอยท่าน  ที่แท้พิเศษถึงเพียงนี้
เหลียนอันสุ่ยงัวเงียตื่นขึ้นมาตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนกำลังวางเขาลงบนเตียง
“เหตุใดวันนี้ท่านมาดึกยิ่ง”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบแต่กลับถามว่า
“ข้าบอกให้ท่านเข้านอนไปก่อนเลยมิใช่หรือ”
“ข้าไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่เลยคิดจะรอท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ พึมพำว่า
“อ้อ  ไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่เลยงีบหลับรอข้านี่เอง” เสียงพึมพำไม่เบาเลย  เหลียนอันสุ่ยรับฟังจนกระอักกระอ่วนที่ข้ออ้างดูไม่ค่อยแนบเนียน
ฉีเซี่ยงหยวนซุกใบหน้าลงกับเรือนกายสูงโปร่งในอ้อมกอด  ตักตวงมุมอ่อนหวานเล็กๆที่ผ่านเข้ามาในเส้นทางชีวิตหยาบกร้านของเขา  ชุดสีน้ำเงินอ่อนอันประณีตเรียบร้อยทำให้เหลียนอันสุ่ยดูราวกับผ้าไหมผืนหนึ่งที่เช็ดเอาความเหนื่อยล้าและความหงุดหงิดทั้งหมดออกไป
เหลียนอันสุ่ยจรดจมูกลงกับเรือนผมสีดำสนิท  พึมพำว่า
“ที่แท้ท่านอาบน้ำมาแล้ว” วิธีตรวจสอบเช่นนี้ออกจะพิเศษอยู่บ้างจริงๆ  ทำให้หัวใจของคนร้อนผ่าวขึ้นมา
“เหลียนอันสุ่ย  จูบข้า  ข้าอยากให้ท่านจูบข้า” คำร้องขอเอาดื้อๆของบุรุษชาวเป่ยชางทำให้เหลียนอันสุ่ยชะงักอยู่ครู่หนึ่ง  แต่ก็ค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปจูบเบาๆที่ข้างแก้มอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน 
ฉีเซี่ยงหยวนไม่แน่ใจว่าเขาชอบท่าทางตั้งอกตั้งใจในเวลานี้  หรือท่าสัปหงกงีบหลับเมื่อครู่มากกว่ากัน  รู้แต่ว่าคนๆนี้มักทำให้เขารู้สึกถึงการได้เป็นที่รัก  และมันเติมเต็มโลกของเขา
“ดีจริงๆที่มีท่าน” พึมพำพลางถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย

เหลียนอันสุ่ยไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่หานญื่อหลัวให้เขาเตือนฉีเซี่ยงหยวน  พอจะเดาออกว่าฉีเซี่ยงหยวนคิดจะทำอะไร  และเชื่อมั่นอย่างยิ่ง  ไม่ว่าหนทางที่ท่านเลือกจะอันตรายหรือยากลำบากแค่ไหน  ข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน  ก้าวเดินไปกับท่าน
---------------------
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 65
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 09-11-2014 18:10:40
บทที่ 65 ปฏิรูป(2)

สุดท้ายหลังยื้อยุดกันอยู่นาน  การจัดระเบียบที่ดินก็สามารถดำเนินการจนสำเร็จลุล่วง  ไม่ว่าขุนนางพวกนั้นจะดื้อด้านเพียรสกัดขัดขวางแค่ไหน  ฉีเซี่ยงหยวนก็จะทำตัวดื้อด้านกัดไม่ปล่อยยิ่งกว่า  เวลาและความยากลำบากทดสอบความอดทนแน่วแน่ของคน  สงครามประสาทที่ยืดเย้อเช่นนี้มีแต่คนที่มีความสามารถและแน่วแน่ไม่ยอมแพ้จึงสามารถเป็นผู้ชนะในขั้นสุดท้าย

การจัดระเบียบจากรากฐานมักยุ่งยากลำบากเสมอ  แต่การจัดระเบียบในครั้งนี้พลิกเปลี่ยนโฉมหน้าของแผ่นดินเป่ยชางไปตลอดกาล  เหล่าขุนนางที่เพียงเคยชินกับความเฉียบแหลมเด็ดขาดของนายเหนือหัว  ในที่สุดก็ได้รู้ซึ้งว่าต่อให้ปัญหาใหญ่เทียมฟ้าหากฉีเซี่ยงหยวนปรารถนาจะสะสางก็ต้องกระทำให้จงได้  ความมุ่งมั่นกับความอดทนของฉีเซี่ยงหยวนทำให้ขุมอำนาจเก่าหนาวเยือกกันไปทั้งแถบ  ผลดีระยะยาวยังไม่ทันปรากฏ  ผลร้ายระยะสั้นจึงแสดงตัวขึ้นก่อน

กระแสต่อต้านนายเหนือหัวถูกปลุกจนเชี่ยวกรากยิ่ง  การปฏิรูปที่ดินส่งผลใหญ่หลวงถึงระบบจัดเก็บภาษี  ที่ดินที่มีบันทึกการถือครองต้องจ่ายภาษีตามอัตรา  ที่ดินที่มีการครอบครองโดยมิชอบถูกเรียกกลับคืนเป็นของราชสำนัก  ไม่ว่าขุนนางคนไหนก็คิดไม่ถึงว่าแค่การส่งเสริมการเกษตรจะมีผลสุดท้ายกลายเป็นเช่นนี้ได้

การจัดสรรที่ดินทำกินยังส่งผลถึงระบบข้าทาส  มีคนจำนวนไม่น้อยกลายเป็นนายของตัวเอง  เพียงขึ้นกับราชสำนัก  ไม่ต้องพึ่งพิงเหล่าขุนนางเจ้าของที่ดินอีกต่อไป  ราชสำนักมั่งคั่ง  แต่ขุนนางกลับยากจนลง  เป้าหมายระบายโทสะแรกย่อมต้องเป็นหลี่กวงเว่ย

ไม่ว่าขุนนางใหญ่คนไหนต่างรู้สึกถึงภัยคุกคามของขุนนางที่ปรึกษาคนนี้   หากไม่มีคนแซ่หลี่คอยเสนอแผนการต่อนายเหนือหัวนโยบายไม่แน่ว่าล้มไปตั้งแต่แรกแล้ว  สิ่งที่อันตรายที่สุดของหลี่กวงเว่ยไม่ได้อยู่ที่ต้าอ๋องเชื่อถือเขา  และไม่ได้อยู่ที่มันสมองอันหลักแหลม  แต่อยู่ที่หลี่กวงเว่ยไม่หวั่นไหวกับสินบน  ไม่หวาดกลัวต่ออิทธิพลอำนาจ  ขนาดอู่เส้าเทียนที่คร่ำหวอดในราชสำนักมานานปียังออกปากว่า
“ที่จัดการยากที่สุด  และข้าเกลียดที่สุด  ก็คือคนที่เงินซื้อไม่ได้แบบมันนี่แหละ!”
หลี่กวงเว่ยเคยหวุดหวิดเฉียดตายอยู่สองสามครั้งในระหว่างที่พยายามดำเนินนโยบายนี้  น่าเสียดายที่เป่ยชางอ๋องปกป้องตัวหมากของตัวเองดีเกินไปหลี่กวงเว่ยจึงยังสามารถมีชีวิตอยู่เพื่อขัดหูขัดตาขัดลาภของพวกเขาต่อไป

นับเป็นโชคร้ายของอู่เส้าเทียนและพรรคพวกเนื่องจากฉีเซี่ยงหยวนยึดถือคติที่ว่า ‘หากคนที่ทำงานให้ท่านท่านล้วนปกป้องเอาไว้ไม่ได้  แล้วสุดท้ายจะเหลือผู้ใดขายชีวิตทำงานให้ท่านอีก’
หลี่กวงเว่ยมีไม้ใหญ่คุ้มครอง  เหล่าขุนนางที่รู้สึกว่าตัวเองทนเสียประโยชน์ต่อไปไม่ได้จึงเริ่มคิดอย่างจริงจังที่จะล้มต้นไม้ใหญ่เสียเลย
---------------------
“เมื่อตอนสายของวันนี้มีขุนนางคิดเข้าเฝ้าอดีตเป่ยชาวอ๋อง  แต่ต้าอ๋ององค์ก่อนอ้างสุขภาพไม่ดีปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ” หลิวฉางเฟยรายงาน
ตำหนักของอดีตเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนให้คนจับตาดูไว้อยู่ตลอด  ไม่ผิดจากที่คาด  การเสียประโยชน์ทำให้ขุนนางบางส่วนคิดหาที่พึ่งใหม่  ฉีเซี่ยงหยวนฟังคำของคนสนิทแล้วเหยียดยิ้ม
“พระบิดารู้ว่าข้าจับตาดูอยู่  ทำเช่นนี้แสดงว่าเขาไม่คิดจะเสี่ยง  อย่างน้อยตัวหมากตัวนี้ยังไม่มีค่าพอจะให้เขาเสี่ยง  บางทีเขาอาจกำลังรอคอยตัวหมากที่ใหญ่กว่านี้”
“ต้าอ๋อง  ข้าเตือนท่านแล้วว่านโยบายนี้จะทำให้สถานการณ์ยุ่งเหยิง” เสียงจางจื่อหยูแทรกเข้ามาทันที
“ใต้เท้าจาง  ดูเหมือนข้าจะลืมบอกท่านไปว่าเรื่องถัดไปที่ข้าจะทำสถานการณ์มันจะยุ่งเหยิงยิ่งกว่านี้อีก”
หา  จางจื่อหยูหันขวับ  อะไรนะ!
เห็นฉีเซี่ยงหยวนเท้าคางพูดเนิบๆว่า
“ความจริงแล้วจุดประสงค์ข้าไม่ได้ต้องการจัดระเบียบที่ดิน  แต่ข้าจะจัดระเบียบราชสำนัก”
ขุนนางชราฟังแล้วหวิดจะหน้ามืดเป็นลม  ต้องเท้าขอบโต๊ะเพื่อพยุงตัวเอง  สวรรค์ เป็นบ้ากันไปหมดแล้ว  เห็นได้ชัดว่าฉีเซี่ยงหยวนจะท้าทายขุมอำนาจเก่า  ต้องทำจนเกิดกบฏให้ได้ใช่หรือไม่!

...แต่จางจื่อหยูหลงลืมไปอย่างหนึ่ง  อำนาจเหนือกองทัพถูกฉีเซี่ยงหยวนรวบกุมไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด  หากขุนนางพวกนั้นคิดกบฏคงต้องใช้ความพยายามมากหน่อย
---------------------
ทว่าฉีเซี่ยงหยวนยังไม่ทันได้ลงมือจัดระเบียบราชสำนัก  ขุนนางที่ตกเป็นเป้าพวกนั้นก็ชิงลงมือก่อน  กล่าวหาว่าฉีเซี่ยงหยวนลุ่มหลงบุรุษจนเลอะเลือน  นโยบายที่ก่อความปั่นป่วนก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเพราะเหลียนอันสุ่ยเป่าหูชักจูงต้าอ๋อง  เชื้อพระวงศ์ชาวเหลียนผู้นี้เจตนาไม่ดีคิดแก้แค้นให้แคว้นเป่ยชางต้องล่มจมดุจเดียวกับแคว้นเหลียน

อำนาจในกองทัพของฉีเซี่ยงหยวนมั่นคงเกินไป  คิดทำลายเขาต้องทำลายความเชื่อมั่นที่ผู้อื่นมีต่อเขาก่อน  เหตุการณ์พลิกเป็นรูปนี้ซ้ำรอยในสิ่งที่เหลียนอันสุ่ยเคยหวาดกลัว  ความเป็นกันเองของเหลียนอันสุ่ยทำให้คนส่วนใหญ่ในโรงหมอเริ่มจะรู้สึกดีกับเขา  แต่พอเกิดปัญหานี้ทุกอย่างก็ดิ่งลงอีกครั้ง  และทำท่าว่าดิ่งลงเหวเลยทีเดียว

เนื่องจากมีเค้ามูลของความเป็นจริง  เสียงในราชสำนักจึงเริ่มคลางแคลง  นโยบายเพื่อการจัดระเบียบราชสำนักปรากฏคนไม่เห็นด้วยมากขึ้นจนไม่สามารถดำเนินการได้  ต้องเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด  ขุนนางเริ่มเรียกร้องให้ฉีเซี่ยงหยวนอภิเษกชายาเพื่อปฏิเสธข้อหาดังกล่าว  กำจัดความคลางแคลงให้หมดสิ้นไป  เสียงกดดันหนักข้อขึ้นทุกวันจนดูราวกับหากไม่อภิเษกชายาราชสำนักก็จะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้
---------------------
สถานการณ์ย่ำแย่แค่ไหน  กระทั่งหลิวฉางเฟยที่ไม่เคยพูดอันใดตลอดมายังออกปากห้ามปรามขอให้ฉีเซี่ยงหยวนไม่พบหน้าพระมาตุลาแคว้นเหลียนเป็นการชั่วคราว  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่ฟังคำเตือนมาเยือนตำหนักชุนเกอเป็นการลับ
“ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ถามเพราะรู้ดีว่าที่เหลียนอันสุ่ยต้องเผชิญไม่มีทางน้อยกว่าเขาเด็ดขาด
“ข้าไม่เป็นไร” เหลียนอันสุ่ยตอบพลางยิ้มบางๆ
ความเงียบครอบครองอยู่หลายชั่วอึดใจ  เหลียนอันสุ่ยก็กล่าวขึ้นช้าๆว่า
“ข้าได้ยินว่าท้องพระโรงเสียงกดดันหนักหน่วงมาก  ดังนั้นช่วงนี้ท่านอย่ามาที่นี่เลย”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้รับปาก  แต่กลับกล่าวว่า
“...ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านต้องมาเผชิญกับเรื่องพวกนี้”
“คนที่เลือกจะอยู่ข้างกายท่านคือข้า  ข้าเป็นคนเลือกเอง  ดังนั้นข้าต่างหากที่ต้องขอโทษท่าน  รู้สึกเสียใจแล้วใช่หรือไม่ที่ตอนนั้นออกปากรั้งข้าไว้  หากไม่มีข้า  ท่านก็ไม่ต้องเผชิญกับปัญหาน่าปวดหัวที่แก้ไม่ได้”
“ข้าไม่เสียใจ” มือใหญ่ใช้หลังมือไล้ผิวแก้มเนียน  กล่าวซ้ำอีกครั้งว่า “ไม่เคยเสียใจ”
ได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มบนเรียวปากบางก็ขยายกว้างกว่าเดิม  ในสายตาอ่อนโยนเจือด้วยความห่วงใย
“หลังจากนี้...ท่านคิดทำอย่างไร”
“ข้ากำลังคิด...ว่าบางทีข้าคงต้องพักบ้าง  ข้าทำงานหนักติดต่อกันมาเป็นเวลานาน  ตอนนี้ราชสำนักพอดีอยู่ในช่วงที่ไม่สามารถเดินหน้า  ได้พักบ้างก็ดีเหมือนกัน” พึมพำพลางใช้สองมือโอบรั้งคนเข้ามาไว้ในอ้อมอก  กอดไว้แน่น 
“จนวันนี้ข้าก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม  นั่นคือดีจริงๆที่มีท่าน”
เหลียนอันสุ่ยแนบฝ่ามือลงกับเสี้ยวหน้าคมคาย  รับรู้ถึงความเหนื่อยล้าอย่างลึกล้ำของฉีเซี่ยงหยวน  ไม่ทราบสมควรปลอบอย่างไรดี  หัวใจบีบรัดจนรู้สึกทรมาน
 
“เหลียนอันสุ่ย  ข้าทำอะไรผิดไปหรือ  ที่ข้าทำล้วนเพื่อให้แผ่นดินที่พวกเขายืนอยู่ดีกว่าที่มันเป็น  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยเห็นเลย  สูบเลือดสูบเนื้อจากไม้ใหญ่ที่แท้จริงแล้วพวกเขาล้วนต้องอาศัยพึ่งพิง  เมื่อสูบไปจนหมดสิ้นแล้วแคว้นเป่ยชางจะยืนหยัดอยู่ได้อย่างไร  หากไม้ใหญ่ที่ชื่อว่าเป่ยชางต้นนี้ต้องล้มลงไปจริงๆพวกเขาจะได้ประโยชน์ใด  ข้ากำลังต่อสู้กับอะไรอยู่กันแน่  หรือที่จริงข้าควรจะปล่อยให้มันเป็นอย่างที่มันเป็น  รูปแบบการดำรงอยู่เช่นนี้ดำเนินมาได้เป็นร้อยปี  ข้าจะเหน็ดเหนื่อยปฏิรูปไปทำไม  แส่หาคำประณามก่นด่าใส่ตัวไปเพื่ออะไร”

ปลายนิ้วเรียวยาวของเหลียนอันสุ่ยไล้ไปตามเรียวคิ้วหนา  ดวงตาคู่งามสบกับดวงตาสีดำสนิทราวห้วงมหรรณพที่กำลังปั่นป่วน  รับฟังเงียบๆโดยมิได้เอ่ยวาจา

“บางครั้งข้าถามตัวเองว่ามันคุ้มค่ากันแล้วหรือที่เพื่อจะทำเรื่องนี้ให้ได้  ข้ากลับต้องแลกด้วยความสุขของคนที่ข้ารัก  คนที่อยู่เคียงข้างข้าตลอดมา  ท่านดีต่อข้าถึงเพียงนี้ความจริงข้าสมควรดูแลท่านให้ดี  มอบความสุขที่เรียบง่ายให้กับท่าน  ให้ชีวิตที่สงบสันติกับท่าน  พาท่านออกไปจากกรงขังที่เรียกว่าวังหลวง  มิใช่ดึงท่านเข้ามาอยู่ในกรงขังเช่นเดียวกันกับข้า...”

“คนที่ท่านรักมีแค่ข้าเท่านั้นหรือ  แล้วนโยบายทั้งหมดนั่นท่านทำเพื่อใครกัน” เหลียนอันสุ่ยถามขึ้นช้าๆด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและจริงจัง
ฉีเซี่ยงหยวนเงียบไป
‘ผู้คนของท่าน  บ้านเมืองของท่าน  ท่านรักพวกเขา’
“ความยากลำบากของแผนการระยะยาวคือท่านต้องทำลงไปโดยดูเหมือนท่านไม่ได้อะไรกลับมา  การปฏิรูปที่ดินที่ท่านทำจนสำเร็จแต่ผลดีของมันท่านกลับไม่อาจรู้สึกได้  ข้ารู้ว่าท่านท้อ  แต่เรื่องแบบนี้มีวิธีรับมือแค่สองทาง  คือหยุดแล้วไม่ต้องพูดถึงมันอีก หรือทำมันให้ดีที่สุด”
“...ไม่ว่าข้าจะเลือกทางไหนท่านก็จะอยู่กับข้าใช่หรือไม่”
“อืมม์” เหลียนอันสุ่ยพยักหน้า
“แล้วถ้าข้าจะเป็นต้าอ๋องที่อู้งานเล่า” ฉีเซี่ยงหยวนถามโดยคาดเดาว่าคนที่ให้ความสำคัญกับบ้านเมืองอันดับแรกเช่นเหลียนอันสุ่ยจะต้องคัดค้าน  ทว่าเหลียนอันสุ่ยกลับตอบเขาว่า
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็เป็นต้าอ๋องที่อู้งานเถอะ  ท่านจัดการปัญหาของท่าน  ข้าจัดการปัญหาของข้า  ตกลงตามนี้”
---------------------
อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนไม่ค่อยจะรู้สึกตกลงด้วยเท่าไหร่  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับไม่ยินยอมให้ฉีเซี่ยงหยวนสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดรอบตัวเขา  ดังนั้นฉีเซี่ยงหยวนจึงได้แต่รอรายงานแต่ละฉบับจากหม่าหลงและต้วนจินอย่างอดทน
 
และแล้วฉีเซี่ยงหยวนก็ได้ค้นพบความจริงที่ว่าการปกป้องของเขาไม่ได้จำเป็นต่อเหลียนอันสุ่ยเลย

“ฉางเฟย  ตู้ฮูหยินฟังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่  เลื่อนขั้นเป็นคนโปรดไวเสียจริง” ฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยกับคนสนิทเมื่อในม้วนไม้ไผ่รายงานว่าวันนี้เหลียนอันสุ่ยไปปลอบแม่นมตู้ที่กำลังร้อนใจถึงตำหนัก
อ่านรายงานไปซักพักก็บ่นขึ้นอีกว่า
“ข้าอยากจะเชือดพวกมันทิ้งให้หมดนัก  ไม่เห็นต้องยุ่งยากถึงขนาดนี้เลย” เหลียนอันสุ่ยถนัดวิธีประนีประนอม แต่ฉีเซี่ยงหยวนแค่อ่านก็รู้สึกปวดหัวแทน
“ให้ตายเถอะวิธีแบบนี้ยังจะประสบความสำเร็จด้วย  เหลียนอันสุ่ยไปเอาความอดทนอดกลั้นมากมายขนาดนี้มาจากไหนกัน” อ่านไปก็บ่นไป  ทุกรอบที่มีรายงานฉบับใหม่มาจะต้องบ่น  แต่ก็ยังคงอ่านอย่างสม่ำเสมอ
แสงตะวันหลบไปอยู่หลังเมฆ  ฉีเซี่ยงหยวนปิดรายงานที่ต้วนจินเพิ่งส่งมาให้เขาลง  บิดร่างด้วยความเมื่อยขบ  ดื่มชาที่บ่าวรับใช้ยกมาให้  กล่าวกับหลิวฉางเฟยที่อยู่ข้างกายว่า
“ข้าชอบปกป้องเขา  แต่กลับหลงลืมไปว่าเรื่องการอยู่ร่วมกับความขัดแย้งเหลียนอันสุ่ยต่างหากที่ชำนาญกว่าข้า  ข้าทำให้คนหวาดกลัวได้  แต่เขากลับทำให้คนรักเขา  ไม่ว่าใครที่อยู่ข้างเขาล้วนถูกเขาเปลี่ยนแปลง  มิน่าเหลียนอันสุ่ยจึงไม่เคยยินยอมให้ข้าสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว”

มีเพียงครั้งเดียวที่ฉีเซี่ยงหยวนลงมือ  นั่นเป็นตอนที่อาจารย์ผู้หนึ่งในสำนักศึกษาใจกล้าเหยียดหยามลูกบุญธรรมของเขาเหลียนจิ้งเต๋อต่อหน้าคนทั้งชั้น  ลิ้นไม่รักดีสุดท้ายก็ถูกตัดออกมา  วาจาไร้สาระไม่ถูกกล่าวอีก  รอบตัวเหลียนจิ้งเต๋อเงียบสงบเป็นพิเศษ 
บางทีท่านคงกลัวว่าคนเหล่านั้นจะบังเอิญทำลิ้นตัวเองหายกระมัง  ฉีเซี่ยงหยวนขบคิดพลางหัวเราะเบาๆ
---------------------
นโยบายปฏิรูปอันใหม่ถูกพักไว้ชั่วคราว  ประชุมขุนนางกลับสู่อัตราปกติ  การเรียกประชุมเพิ่มแบบก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นอีก กระแสเรียกร้องเรื่องพระชายายังไม่หยุด  แต่ฉีเซี่ยงหยวนดูราวกับตั้งใจจะวางมือจากราชสำนัก  แทนที่จะใช้เวลาไปกับการประชุมขุนนาง  ฉีเซี่ยงหยวนกลับเริ่มออกไปตรวจสอบการปฏิรูปที่ดินถึงนอกวัง  การเดินทางไปมาบ่อยครั้งความจริงสมควรเป็นสภาพที่ล่อแหลม  น่าเสียดายที่ฉีเซี่ยงหยวนระวังตัวตลอดมา  มักไม่เปิดเผยแผนการล่วงหน้า  ทหารคุ้มกันในแต่ละคราวรัดกุมปราศจากช่องโหว่ 

เหล่าขุนนางฝ่ายคัดค้านต้าอ๋ององค์ปัจจุบันเห็นเป็นโอกาสดีที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่ค่อยอยู่ในวังหลวง  ทางหนึ่งพยายามหาทางเข้าเฝ้าอดีตเป่ยชางอ๋อง  ทางหนึ่งส่งสาส์นถึงองค์ชายห้าที่หัวเมืองตะวันออก  มีแต่เชื้อพระวงศ์ที่ศักดิ์ฐานะเท่าเทียมจึงสามารถทำให้กองทัพเกิดความเห็นที่แตกแยก  ทางที่ดีที่สุดคือกระตุ้นให้หยงเซี่ยเคลื่อนไหว  หยงเซี่ยเป็นเทพสงคราม  มีแต่เขาที่สามารถทำลายสภาพกุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหนือกองทัพของฉีเซี่ยงหยวนได้

ทว่าเมื่อลงมือทำจริงๆขุนนางเหล่านั้นกลับพบข้อติดขัดไปทุกทาง  ฉีเซี่ยงหยวนแม้ไม่อยู่วังหลวง  แต่การคุ้มกันในวังหลวงกลับไม่เคยหย่อนยานมาก่อน  ฉีเซี่ยงหยวนเคยเข้าเยี่ยมพระบิดาตัวเองครั้งหนึ่ง  หลังกลับออกมาก็ประกาศว่าอดีตเป่ยชางอ๋องทรงพระประชวรไม่อนุญาตให้ผู้ใดรบกวนทั้งนั้น
ฉีเซี่ยงหยวนเป็นเช่นนี้เอง  เวลาทำอะไรรวบรัดตรงประเด็น  ใช้การเคลื่อนไหวเล็กน้อยตรึงการเคลื่อนไหวทั้งหมด  การคงอยู่ของอดีตเป่ยชางอ๋องตรึงองค์ชายห้าไม่ให้เคลื่อนไหว  ทั้งอดีตเป่ยชางอ๋องและองค์ชายห้าไม่เคลื่อนไหวหยงเซี่ยยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะเคลื่อนไหว

ต้วนจื้อผิงยิ่งดำเนินการก็ยิ่งปาดเหงื่อ  ความพยายามของพวกเขาทำไปทำมาเหตุใดไม่มีความคืบหน้า  เหลียวมองออกไปนอกวัง  เห็นฉีเซี่ยงหยวนเพ่นพ่านอยู่ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ  เป่ยชางอ๋องลงไปด้วยตัวเอง  การจัดสรรที่ดินและการเก็บภาษีก็ยิ่งยากจะคดโกง  เวลาผ่านไปไม่นาน  ขุนนางในราชสำนักเหล่านั้นจึงเริ่มโอดครวญปรารถนาให้ฉีเซี่ยงหยวนกลับมายุ่งวุ่นวายในที่ประชุมตามเดิม

หลังออกจากวังหลายครั้ง  ฉีเซี่ยงหยวนก็เริ่มมองเห็นหนทางปฏิรูปจากรอบนอกสู่ภายใน  กำจัดการโกงกินระดับล่างก่อนแล้วค่อยสาวถึงตัวการใหญ่  รายชื่อขุนนางในบัญชีดำหนาขึ้นทุกวัน  ขุนนางใหญ่ที่นอนเล่นอยู่ในเมืองหลวงยิ่งมาก็ยิ่งนอนไม่หลับ
---------------------
“ข้าไม่อยู่เมืองหลวงสัปดาห์เดียว  ราชสำนักกลับกลายเป็นสนุกสนานถึงเพียงนี้  เคยได้ยินแต่ขุนนางหยุดงานประท้วงเจ้าชีวิต  ไม่เคยได้ยินเจ้าชีวิตหยุดงานประท้วงขุนนางมาก่อน  ช่างมีสีสันนัก ใต้เท้าจาง  ได้ข่าวว่าท่านเป็นคนต้นคิดเรื่องคุกเข่าวิงวอนให้ต้าอ๋องกลับมาสนใจราชสำนัก  ไม่ทราบเป็นความจริงหรือไม่” มู่ซางหันไปสะกิดถามจางจื่อหยู่ที่นั่งหน้าหงิกอยู่ด้านข้าง

จางจื่อหยูแค่นเสียงไม่ตอบคำ  ละครฉากนี้ไม่เล่นได้หรือ  เขาแค่กล่าวเสนอไปคำเดียว  บรรดาขุนนางที่เคยประกาศปาวๆต่อต้านต้าอ๋องก็รีบร้อนให้ความร่วมมืออย่างแข็งขัน  ทนทานกันไม่ไหวแล้วสิ  พวกเขาเองนั่นแหละที่ทำให้ต้าอ๋องออกไปเพ่นพ่านข้างนอก  นายเหนือหัวตัวแสบของเขาก็อีกคน  ทำเป็นวางมือจากราชสำนัก  แต่อำนาจทหารในมือกลับกุมไว้ไม่ยอมปล่อย  คนสติดีคนไหนจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์จากมือเขา  ดังนั้นสุดท้ายนอกจากคุกเข่าวิงวอนก็ไม่เหลือหนทางอื่นให้เดินอีก

สนุกกันพอหรือยัง  ฝ่ายหนึ่งก็ก่อเรื่องวุ่นวายไม่ยอมเสียประโยชน์  อีกฝ่ายก็จะแสดงอำนาจที่เหนือกว่า  ส่วนราชสำนักก็พอดีไม่ต้องเดินไปไหน  ให้ขุนนางที่ห่วงใยบ้านเมืองอย่างพวกเขากระวนกระวายไป  ประสาทชัดๆ

เหตุการณ์ที่ขุนนางทั้งราชสำนักแล่นไปคุกเข่าวิงวอนถึงหน้าพระพักตร์ให้เป่ยชางอ๋องกลับมาทรงงานในครั้งนั้นถูกจดบันทึกเป็นสีสันในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์  สะท้านสะเทือนไปทั่วสามแคว้น  หลังจากนั้นไม่มีขุนนางคนใดกล้าหยิบยกเรื่องส่วนตัวของต้าอ๋องขึ้นมาวิจารณ์โดยเปิดเผยอีกเลย
---------------------
เสียงวุ่นวายดังมาจากด้านนอก  ต้วนจื้อผิงที่นั่งกุมหัวอย่างเคร่งเครียดหันไปตวาดถามว่า
“คราวนี้มีเรื่องบ้าอะไรอีก”
ใต้เท้าเฝิงที่นั่งอย่างระทดท้ออยู่ด้านข้างพึมพำว่า
“นี่ใกล้ช่วงจ่ายภาษีอีกแล้ว  คนของทางการนอกจากมาตรวจนับแล้วยังจะมีอะไรได้”
“ข้าทนไม่ไหวแล้ว  ข้าจะส่งของกำนัลไปให้องค์ชายห้า  บอกให้เขาหาทางช่วยทำอะไรซักอย่าง  หากยังปล่อยให้ต้าอ๋องรีดไถต่อไปแบบนี้  อีกหน่อยข้าต้วนจื้อผิงคงต้องไปเพาะปลูกเลี้ยงชีพแล้ว”

“ข้าเตือนท่านแล้วว่าภาษีรอบนี้ติดสินบนไม่จ่ายไม่ได้  ช่วงนี้เรื่องการติดสินบนอันตรายมาก  อย่างดีถูกปรับ  อย่างร้ายต้องโทษประหาร  ท่านยังไม่ฟังกันอีก  ท่านคิดว่าองค์ชายห้าจะออกหน้าช่วยท่านหรือ  ข้าจะบอกให้ตอนนี้ตัวเขายังเอาตัวไม่รอด  เชื้อพระวงศ์ที่ไม่มีผลงานจะถูกลดเบี้ยหวัด  รอบนี้ต้าอ๋องกระทั่งเชื้อพระวงศ์ก็ไม่เว้นแล้ว  องค์ชายห้าไม่กล้าเสี่ยงยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องทุจริตของท่านหรอก” อู่เส้าเทียนสั่งสอน  ตัวเขาเองก็ปวดหัวไม่น้อยไปกว่ากัน  พึมพำต่อว่า
“พวกเราไหวตัวกันช้าเกินไป  ความจริงตั้งแต่แรกต้าอ๋องก็มีจุดประสงค์จะรื้อระบบขุนนาง กำจัดขั้วอำนาจเก่า  สะสางการโกงกิน  พวกเราต่างหากที่เป็นเป้าหมายที่เขาต้องการโค่นล้มให้ได้”

“มาพูดตอนนี้มีประโยชน์อะไร  หนึ่งเจ้าชีวิตหนึ่งชุดขุนนาง  หลังจากนี้เขาเดินหน้าก้าวหนึ่ง  พวกเราก็ได้แต่ถอยให้ก้าวหนึ่ง  ถอยได้เท่าไหร่ก็ถอยได้เท่านั้นแล้ว” ใต้เท้าเฝิงพูดพลางถอนหายใจ

การปฏิรูปที่ดินกัดกร่อนระบบข้าทาส  จุดประสงค์ที่แท้จริงคือทอนอำนาจเหล่าขุนนาง  ฉีเซี่ยงหยวนใช้การบริหารโค่นล้มอิทธิพลของขั้วอำนาจเก่าอย่างถาวร  หลังเหตุการณ์คุกเข่าอันเอิกเกริกในครั้งนั้นขุนนางใหญ่กลุ่มนี้ก็ทราบแล้วว่าพวกเขาไม่มีหมากเพียงพอจะต่อกรกับนายเหนือหัว  อำนาจของฉีเซี่ยงหยวนในแคว้นเป่ยชางเวลาผันผ่านยิ่งดุจตะวันกลางฟ้า  ไม่อาจโค่นล้มและไม่มีปัญญาต่อต้าน
 
การปฏิรูปส่งผลให้เห็นในระยะยาว  แผ่นดินแคว้นเป่ยชางเข้าสู่ยุคสงบมั่นคงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

================
ตอนนี้ในเล้ากับเด็กดีตามทันกันแล้วน้า 
ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องรอไปพร้อมกันแล้วเน้อ 
อัตราการอัพหลังจากนี้จะเปลี่ยนเป็นสัปดาห์ละตอนนะคะ 


ส่วนใครที่บอกว่าเรื่องนี้มันไม่ค่อยโช้งเช้งเลือดสาด  คือมันเป็นนิยายรักนะฮะ ท่องไว้ๆ555 
ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วจะไม่ให้เรื่องนี้มีวรยุทธ์ 
จะมีพวกเศรษฐกิจการเมืองนิดหน่อยเพราะเยอะไปกลัวคนอ่านเอียน  ของพวกนี้มันค่อนข้างน่าปวดหัว 
จะพยายามเขียนให้เข้าใจง่ายๆ
แต่ถ้าใครอ่านแล้วยังมีงงๆตรงไหนเมนท์ถามได้ค้าบบบ  เดี๋ยวคราวหน้ามาตอบ

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 65 .......................................09/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: SarA_note ที่ 09-11-2014 19:28:26
แรกๆก็สัปดาห์ล่ะหลายๆตอน ต่อมาก็สัปดาห์ล่ะสองตอน คราวนี้เหลือสัปดาห์หนึ่งตอน อีกหน่อยคงเหลือสองสัปดาห์ครึ่งตอนรึเปล่า
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 65 .......................................09/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 09-11-2014 20:20:50
อ่านกันตาแตกตาแฉะกันไปข้างหนึ่ง
ต่อไปสัปดาห์ละตอนแล้วมีลงแดงแน่ๆ  :hao5:

เอาเข้าจริงๆ แล้วชอบเรื่องการเมืองและสงครามนะฮับ มันสะใจดียังไงไม่รู้
แต่ก็ชอบอะไรที่เบาๆ เหมือนกัน ชิงไหวชิงพริบกันแบบนี้ก็สนุกไปอีกแบบ

เข้ามาเป็นกำลังใจ ปูเสื่อรอตอนต่อไป...
 :katai5:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 65 .......................................09/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: ~มือวางอันดับ1~ ที่ 09-11-2014 20:23:51
ชอบน่ะสนุกดี..แนวจีนโบราณ รื่นไหลดี...เริ่มแอบจิ้นลูกพระปิตุลากับองรัชทยาทน่ะนี้ :hao6:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 65 .......................................09/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 09-11-2014 21:05:29
สนุกมาก อ่านไปลุ้นไป ว่าต้าอ๋องจะจัดการยังไง  ประทับใจเหลียน ๆ เหมือนเคยเรื่องการวางตัว  บาลานซ์เพอร์เฟคมากค่ะ ณ จุดนี้
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 65 .......................................09/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: zazoi ที่ 09-11-2014 21:09:44
บอกได้แค่ว่าชอบเรื่องนี้มากค่ะ :กอด1: :กอด1:

อยากรู้ว่าเหลียนอันสุ่ยจะช่วยเป่ยชางอ๋องได้บ้างหรือไม่ และอยากอ่านเวลาเค้าสวีทกันค่ะ ชอบ อ่านทีเขินตลอด อิอิ :z1: :katai4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 65 .......................................09/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 09-11-2014 22:07:35
พระเอกเมพมากๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 65 .......................................09/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 09-11-2014 22:22:55
เข้ามาให้กำลังใจเช่นเคย
เก่งมากที่สามารถรวบทั้งความรักที่มั่นคงกับการเมืองที่หนักและซับซ้อนให้กลมกล่อมลงตัวได้ในตอนเดียว

สมัยอ่านมังกรคู่คือเรื่องการเมืองนี่ก็บรรยายาวมาก กว่าจะได้ฟินได้จิ้นนี่ลำบากสุดๆ แต่เรื่องนี้อ่านที่ไรก็ได้จิกหมอนทุกที มันลงตัวไปหมด ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆๆ สู้ๆนะเป็นกำลังใจให้ อาทิตย์ละตอนก็สุดยอดแล้ว เพราะสัมผัสได้ว่าทุกตอนกลั่นกรองมาอย่างดี แถมเรียนหนักด้วยใช่มั้ย สู้ๆนะ ขอบคุณมากๆที่แบ่งเวลามาเขียนนิยายดีๆแบบนี้
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 65 .......................................09/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 11-11-2014 01:40:07
อ่านถึงตอนนี้ เหมือนทุกอย่างเกือบจะเข้ารูปเข้ารอย
ปัญหาต่อไปที่จะเจอคืออะไรหนอ
ชอบคู่นี้มากๆ แต่ละคนก็มีวิธีจัดการปัญหาของตัวเองไม่เหมือนกัน
แต่ก็ได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ
รออ่านต่อนะคะ ยังไงก็หวังว่าเรื่องนี้จะไม่จบเศร้า
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 65 .......................................09/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: Wereena ที่ 11-11-2014 23:08:56
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ อ่านตอนแรกจบปุ๊บ ความรู้สึกนี้เลย
...นี่ฉันไปอยูไหนมาถึงพลาดเรื่องนี้...
เนื้อเรื่องสนุกมาก บีบหัวใจมาก อ่านแล้วลื่นไหลจนต้องอ่านรวดเดียวจนจบ ตั่งแต่เช้าจนตอนนี้เพิ่งจะตามทัน คืออยากบอกว่า คนเขียนเรื่องนี้บรรยายความรู้สึกของตัวละครได้ดีมากๆ อ่านปุ้บ เราจะมองตัวละครนั้นๆเหมือนเป็นคนจริงๆ มีชีวิตจริงๆ จับต้องได้
สรุปคือ ลึกซึ้งมากก ติดตามค่าาา :hao7:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 65 .......................................09/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 12-11-2014 17:51:46
อ่านตอนแรกก็ติดใจสำนวนแล้วค่ะ เหมือนนิยายจีนที่ชอบอ่าน (นิยายจีนที่ว่านี้มิใช่นิยายกำลังภายในนะคะ แต่เป็นนิยายชายรักชายที่เขาแปลเป็นไทยน่ะค่ะ สำนวนอ่านง่ายดี แล้วก็สวยงามในเวลาเดียวกัน ทำให้ได้บรรยากาศจีนๆ ^_^)

จะค่อยๆ ตามอ่านนะคะ เพราะเมื่อมาเจอเรื่องนี้ก็ได้ลงไปเยอะแล้ว อายุมาก สายตาไม่ค่อยดี ต้องอ่านทีละนิดค่ะ :sad4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 65 .......................................09/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: Jeyibee ที่ 12-11-2014 18:45:55
ชอบเรื่องนี้มากกกก คนเขียนเก่งเทพไปเลยค่ะ ลงตัวไปทุกอย่างทั้งการเมืองและความรัก นับถือเลยอ่ะ จะติดตามต่อไปแน่นอนน เห็นด้วยกับหลายๆความเห็นด้านบนนะคะ เป็นนิยานที่อ่านแล้วต้องอุทานว่าเห้ยย นี่เราไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมเพิ่งเจอเรื่องนี้ได้เนี่ย แล้วแนวการเขียนก็สนุกรื่นมากอ่านแล้วไม่มีติดขัดเลยแม้แต่น้อย ตัวละครก็มีมิติ คือดีค่ะเป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ เหมือนเขียนมหากาพย์เลย5555+ o13
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 65 .......................................09/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 16-11-2014 18:00:33
เนื้อหาแน่น น่าติดตาม
อ่านไปหายใจหายคอไม่ออกไป ลุ้นตลอดทุกตอน
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: แจ้งข่าวสำคัญ!!!
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 18-11-2014 20:54:14

ประกาศสำคัญ  อยากให้อ่านทุกคนนะคะ

ชี้แจงเรื่องการอัพ

ขอโทษที่ชี้แจงไม่ค่อยละเอียด ไม่ได้บอกเหตุผลเลยมีคนสงสัยว่าทำไมอัตราการอัพมันกลายเป็นแบบนี้
จริงๆเคยบอกไว้ตั้งแต่บทที่ 3 แล้วว่าหลังๆจะอัพได้ช้าลงเพราะยังแต่งไม่ไปไหน

อัตราการอัพปกติของเราคือ สองสัปดาห์หนึ่งตอน <<<ไม่ต้องตกใจ ใครตามในเด็กดีด้วยจะรู้ว่าอัตราเท่านี้จริงๆและเท่านี้มานานมากแล้ว เพราะเรียนหนักโคดดดดค่ะT^T

ก่อนหน้านี้ที่ในเล้าเป็ดลงทีละหลายๆตอนเพราะตั้งใจจะลงตามให้ทันกับที่อัพในเด็กดี 
ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วเช่นกันว่าหลังๆจะค่อยๆอัพถี่น้อยลง เพื่อไม่ให้ท่านผู้อ่านช๊อค ที่เคยอ่านสัปดาห์ละสี่ตอนเหลือสองสัปดาห์ตอนเดียว 
สาเหตุที่ค่อยๆลดนอกจากจะให้ค่อยๆปรับตัวเข้ากับอัตราการอัพปกติของข้าพเจ้าแล้ว
อีกสาเหตุคือคำนวณแล้วว่าถ้าอัพแบบนี้กว่าผู้อ่านในเล้าเป็ดจะต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้าย(ซึ่งก็คืออัตราการอัพฉบับปกติของเรา)ก็จะพ้นช่วงหลักของเรื่องไปแล้ว  จะเห็นได้ชัดเจนว่าเนื้อหาก่อนหน้านี้ต้องการความต่อเนื่องสูงมากๆ เลยไม่อยากให้ค้าง
 ดังนั้นทุกอย่างที่ทำเป็นความหวังดีจริงๆนะคะ
(ไม่อยากให้ต้องเจอแบบนักอ่านในเด็กดีที่ต้องรอสองสัปดาห์กว่าจะได้รู้ว่าสุดท้ายเหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนใจไม่จากไป)

แต่ตอนนี้เนื้อเรื่องทั้งสองที่ทันกันแล้ว ดังนั้นต้องรอไปพร้อมกันแล้วค่ะ
                ปัจจุบันในเล้าเป็ด 2ตอน =เด็กดี1ตอน
                 ดังนั้นที่นี่จะอัพ...สัปดาห์ละ1ตอน
                  ในเด็กดีจะอัพ...สองสัปดาห์1ตอน
เลือกอัตราที่ชอบได้ตามอัธยาศัย ว่าอยากค่อยๆทยอยอ่าน หรืออยากอ่านรวดเดียวยาวๆ

โดยตอนที่ลงในเล้าเป็ดส่วนใหญ่จะผ่านการตรวจทานละเอียดแล้วรอบหนึ่ง 
ส่วนของเด็กดีบางทีจะมาสดๆแบบยังไม่ได้ตรวจทานคำผิด 
(เพราะในเล้าเป็ดหลังอัพแล้วจะไม่ตามแก้คำผิดค่ะ เพราะมันต้องจัดหน้าใหม่หมด ไม่สามารถใช้ฉบับเดียวกับในเวิร์ด)

สำหรับสาเหตุที่ไม่สามารถอัพถี่กว่านี้เป็นเพราะ
1.) เรื่องนี้แต่งยากจริงๆ และไม่อยากแต่งชุ่ยๆ กว่าจะได้แต่ละหน้าคือความตั้งใจนะคะ
2.) ผู้แต่งเรียนหนัก  ปัจจุบันสอบทุกสองสัปดาห์ และทุกตัวที่สอบใหญ่หมด

 ตั้งใจว่าจะแต่งเรื่องนี้ให้จบก่อนขึ้นปีสี่ที่คงยุ่งจนไม่มีปัญญามาแต่งให้แล้ว  รักเรื่องนี้มากจนไม่อยากทิ้ง  สอบตัวใหญ่ที่สุดกำลังใกล้เข้ามาทุกที  สอบตัวนี้ต้องอ่านหนังสือเป็นเดือนเพราะมันกำหนดชีวิตกันเลยทีเดียว  ดังนั้นที่ตั้งใจไว้คือจะพยายามแต่งให้จบก่อนต้องอ่านสอบ  อยากให้รู้ว่าคนที่อยากอัพให้ได้คราวละมากๆที่สุดคือข้าพเจ้าเอง  ถ้าเกิดมีอัพช้าหรืออะไร  นั่นคือสุดๆแล้วจริงๆ  <<ออกตัวล่วงหน้าไว้ก่อนเลยนะคะ ถ้าหลังจากนี้มีอัพช้า อัพน้อย อย่าเพิ่งทวงเพราะนั่นคือข้าพเจ้ากำลังถูกหนังสือทับตายเลยมาอัพให้ไม่ได้

สรุปคือเอาใจช่วยไปด้วยกันเน้อ  ผู้อ่านที่รักทุกท่าน
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 66
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 18-11-2014 21:09:24
บทที่ 66 เมื่อสามแคว้นปั่นป่วน(1)

หลายปีผ่านไป 

ในที่สุดการตรึงอำนาจอย่างสงบของสามแคว้นใหญ่ก็ถูกทำลายลงด้วยการสวรรคตของต้าอ๋องแคว้นโหยวเฉิง  ตั้งแต่สุขภาพของโหยวเฉิงอ๋องเข้าสู่ช่วยป่วยกระเสาะกระแสะของวัยชรา  กระแสแย่งชิงอำนาจของเหล่าองค์ชายที่เป็นคลื่นใต้น้ำมาโดยตลอดก็เริ่มโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ  กระแสคลื่นบิดเกลียวเกรี้ยวกราดขึ้นทุกขณะ  หลังโหยวเฉิงอ๋องสวรรคตเพียงสองวันสภาพในวังหลวงก็เกิดการพลิกผันครั้งใหญ่
 
ผู้คนแบ่งออกเป็นสองฝ่ายนานแล้ว  คือฝ่ายสนับสนุนองค์รัชทายาทกับฝ่ายที่ยืนอยู่ฝั่งองค์ชายสาม  ฝ่ายขององค์ชายสามได้เปรียบเพราะนำกำลังทหารบุกเข้าวังหลวงก่อน  กุมตราอาญาสิทธิ์  แต่ฝ่ายองค์รัชทายาทกลับมีราชโองการแต่งตั้งอย่างถูกต้องของโหยวเฉิงอ๋องอยู่ในมือ  ประกาศฉบับนี้รวบรวมทหารได้มากมาย  แม้ช้าไปหนึ่งก้าวจนสูญเสียวังหลวง  สภาพตกเป็นรองกลับไม่จัดว่าห่างไกลเท่าใดนัก  ฝ่ายหนึ่งซ่องสุมกำลังที่นอกเมือง  อีกฝ่ายยึดกุมเมืองหลวงไว้แน่นหนา แยกเขี้ยวห้ำหั่นกันตลอดเวลา
น่าเสียดายที่องค์ชายผู้มุ่งหวังในบัลลังก์ทั้งสองกลับลืมเหลือบแลระมัดระวังเพื่อนบ้านรอบนอก  หนานเหมินอ๋องไม่เคยประพฤติตัวเป็นเพื่อนบ้านที่ดี  ทั้งยังเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่รู้จักฉกฉวยโอกาสที่สุดตัวหนึ่ง  ขณะที่พี่น้องแยกเขี้ยวใส่กัน  ทหารยี่สิบหมื่นของหนานเหมินอ๋องก็ประชิดหน้าประตูบ้าน!  กองทหารทรงอานุภาพราวน้ำหลากทะลวงผ่านหัวเมืองรอบนอกชั้นแล้วชั้นเล่า  ครั้งนี้หนานเหมินอ๋องออกศึกด้วยตัวเอง  นำแม่ทัพบุกทะลวงคู่ใจไปด้วย  เอ่ยถึงประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการบุกตีกระทั่งเทพสงครามแห่งแคว้นเป่ยชางยังเทียบคนผู้นี้ไม่ได้  แผ่นดินเหนือจรดใต้ของแคว้นหนานเหมินล้วนได้ฝีมือคนผู้นี้ไปฉกฉวยเอามา
องค์ชายที่เอาแต่กัดกันเองของแคว้นโหยวเฉิงมาตาสว่างเอาตอนที่ทัพหนุนอีกยี่สิบหมื่นของแคว้นหนานเหมินบุกถึงหัวเมืองรอบนอก  จำนวนทหารของหนานเหมินอ๋องคราวนี้สร้างความตื่นตระหนกให้ราชนิกูลที่ความเป็นอยู่สุขสบายของแคว้นโหยวเฉิงแล้วจริงๆ  เพิ่งได้รู้ว่าการปะทะกันครั้งก่อนระหว่างแคว้นหนานเหมินและแคว้นโหยวเฉิงสำหรับหนานเหมินอ๋องแล้วเป็นเพียงเรื่องเช่นเด็กเล่นเท่านั้น ครั้งนี้จึงเป็นศึกที่หวังกลืนบ้านกินแคว้นอย่างแท้จริง

องค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงที่ได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จากแคว้นเป่ยชางตลอดมาลนลานเขียนสาส์นถึงเป่ยชางอ๋องขอความช่วยเหลือโดยเร่งด่วน

กระทั่งฉีเซี่ยงหยวนที่ทราบอยู่แล้วว่าหนานเหมินอ๋องจะต้องเคลื่อนไหวยังเหลือเชื่อกับความเร็วในการทำลายล้างที่เกิดขึ้น  สมควรบอกว่าแคว้นหนานเหมินฝีมือไม่ตกเลย  หรือสมควรตำหนิแคว้นโหยวเฉิงที่แย่งชิงกันเองจนแนวป้องกันอ่อนปวกเปียกได้ถึงขั้นนี้  แต่ไม่ว่าอย่างไรในตอนที่สาส์นจากองค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงส่งถึงมือฉีเซี่ยงหยวน  ฉีเซี่ยงหยวนก็ยืนอยู่ในแนวป่าติดชายแดนของแคว้นหนานเหมินแล้ว

หากพึ่งพาสาส์นจากองค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงเพียงฝ่ายเดียวก็นับเป็นเรื่องโง่เขลาเกินไป  ความจริงเรื่องหนานเหมินอ๋องยกทัพแคว้นเป่ยชางยังทราบเร็วกว่าแคว้นโหยวเฉิงที่ตกเป็นเป้าหมายเสียอีก  หมากแต่ละตัวที่ฉีเซี่ยงหยวนวางเอาไว้ในแคว้นหนานเหมินล้วนถูกใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า

ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดจะยกทัพไปช่วยที่แคว้นโหยวเฉิง  เพราะนั่นจำเป็นต้องฝ่ากำลังคนของกลุ่มองค์รัชทายาทเข้าไป เกิดความสูญเสียโดยใช่เหตุและได้ประโยชน์เพียงเล็กน้อย  เขาตั้งใจจะโจมตีแคว้นหนานเหมินเพื่อกดดันให้หนานเหมินอ๋องไม่อาจไม่ถอยกลับมาป้องกันแคว้นตัวเอง  ทำแบบนี้ไม่เพียงทำลายแผนการยึดแคว้นโหยวเฉิงของหนานเหมินอ๋อง  ยังสามารถกลืนกินหัวเมืองของแคว้นหนานเหมินมาได้หลายเมือง
ทว่าฉีเซี่ยงหยวนเองก็คาดไม่ถึง...ว่ากระดูกชิ้นที่วางขวางทางเขาอยู่กลับเป็นชิ้นที่เคี้ยวยากที่สุด!

“สายภายในเพิ่งหาหนทางส่งข่าวออกมาได้  คนที่เฝ้าด่านเหวินถงคือเฮ่อสวิน”
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วถึงกับสบถว่า
“กระดูกแก่ชราเคี้ยวยากชิ้นนี้หนานเหมินอ๋องถึงกับไม่เอาไปด้วยหรือ”

ตั้งแต่สมัยยังหนุ่มหนานเหมินอ๋องมีแม่ทัพคู่ใจสองคน  คนหนึ่งถนัดบุกตี  อีกคนถนัดตั้งรับ  ฟังว่าเฮ่อสวินเฝ้าด่านต่อให้กำลังคนน้อยก็ยื้อได้เป็นปี  ขุนพลทั้งหมดในสามแคว้นมีเพียงหยงเซี่ยที่สามารถทะลวงฝ่าแนวป้องกันของเขาได้สองครั้ง  ซึ่งสองครั้งนั้นทำให้หยงเซี่ยกลายเป็นเทพสงครามที่สามแคว้นใหญ่ต่างครั่นคร้าม  ในยุคที่สับสนวุ่นวายไม่เคยขาดขุนพลเรืองนาม  แคว้นเป่ยชางเป็นแคว้นนักรบ  ส่วนแคว้นหนานเหมินครองตำแหน่งแคว้นที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมานานนับสิบปี  ต่างคนต่างมีหมากร้ายกาจให้ใช้สอย
“นี่ขนาดฉากหน้าข้ากับหยงเซี่ยแตกกันให้เขาดู  จิ้งจอกเฒ่านั่นยังรอบคอบขนาดนี้  ขี้ระแวงถึงขั้นสูงสุดจริงๆ  ทั้งยังทราบดีเสียด้วยว่าด่านเหวินถงคือจุดเปราะบางที่สุดในแนวชายแดนระหว่างเรากับหนานเหมิน”

แม้ว่าเมืองชายแดนที่แคว้นเป่ยชางกับแคว้นหนานเหมินตั้งประจันหน้ากันอย่างจริงๆจังๆคือเมืองที่หยงเซี่ยเฝ้ารักษาอยู่  แต่หากตีฝ่าจากจุดนั้นยิ่งเข้าลึกก็ยิ่งเจอกับเมืองที่คูเมืองกว้างกำแพงเมืองสูงชันตีฝ่ายากลำบาก  จุดที่กองทัพของฉีเซี่ยงหยวนวางอยู่ตอนนี้แม้ต้องเลาะป่ามาทั้งผืนแต่บุกฝ่าง่ายกว่ากันมาก  เป็นเส้นทางเดินทัพที่ฉีเซี่ยงหยวนเสาะหาไว้นานปี  เห็นได้ชัดว่าหนานเหมินอ๋องไม่ได้สนใจแต่หยงเซี่ยที่ฉีเซี่ยงหยวนจงใจตั้งไว้ให้ดู  แต่กลับมองจุดแข็งจุดอ่อนของบ้านเมืองตัวเองได้อย่างปรุโปร่ง

“ข้าเชื่อว่ากระดูกชิ้นที่หนานเหมินอ๋องวางไว้ขวางหยงเซี่ยแม้เทียบไม่ได้กับชิ้นที่อยู่ตรงหน้าข้า  แต่ต้องเคี้ยวไม่ง่ายเช่นกัน บวกกับชัยภูมิที่ได้เปรียบต้องยื้อได้ซักพักแน่นอน  รอบนี้หมากในมือมีอยู่เท่าไหร่  หนานเหมินอ๋องนับว่าทุ่มเทออกมาใช้หมดสิ้น  เห็นได้ชัดว่าหากไม่ได้แคว้นโหยวเฉิงรับรองไม่เลิกรา”
“ต้าอ๋องบอกว่าหนานเหมินอ๋องมีหมากในมืออยู่เท่าไหร่ล้วนทุ่มเทออกมาใช้จนหมดสิ้น  หรือต้าอ๋องก็มิใช่เช่นกัน” หลิวฉางเฟยกล่าวพลางมองไปทางมู่ซางกับฝงเป่าที่เปิดศึกทะเลาะกันอยู่ไม่ไกล
ฝงเป่าเพิ่งมาถึงยังไม่ทันลงจากม้าก็ทักด้วยน้ำเสียงอันดัง
“คนแซ่มู่  ไม่ได้เจอกันนาน  ยังดูน่าเหม็นหน้าไม่เปลี่ยน”
มู่ซางไหนเลยจะยอมสงบปากสงบคำ  สวนกลับไปทันที
“ได้ยินว่ายิ่งคนแก่ชรา  วาจาจะยิ่งเลอะเลือน  แต่ก่อนข้าไม่เชื่อ  ตอนนี้กลับพบว่าไม่ผิดจากความเป็นจริง”
ฝงเป่าพลิกตัวลงจากม้าด้วยความรู้สึกอยากแพ่นกบาลเจ้าเด็กปากร้าย  น่าเสียดายที่มู่ซางไม่เปิดโอกาสนั้นให้กับเขา

“ต้าอ๋อง  ข้าไปสำรวจชัยภูมิรอบนอกมาแล้ว  ตำแหน่งนี้ดีที่สุดจริงๆ  รุกได้ถอยได้  ไม่ห่างแหล่งน้ำจนเกินไป  ตรงข้ามยากสอดส่องความเคลื่อนไหว  เหมาะใช้ตั้งค่ายเพื่อซ่อนกำลังคนนับหมื่น” มู่ซางประสานมือรายงานอย่างนอบน้อม
“ระหว่างทางพบเห็นหน่วยสอบแนมลาดตระเวนของข้าศึกบ้างหรือไม่”
“หน่วยสอดแนมไม่พบ  พอแต่การลาดตระเวนตามปกติที่วนเวียนตรวจดูแนวชายป่า  ยังห่างไกลจากตำแหน่งตั้งค่ายของเรามากนัก”
ฉีเซี่ยงหยวนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ  ไม่หน่วยสอดแนมแสดงว่าฝ่ายตรงข้ามยังไม่ไหวตัวว่ามีกองทัพตั้งประจันอยู่เบื้องหน้า  แต่การศึกไม่หน่ายกลลวง  จะอย่างไรระมัดระวังไว้ปลอดภัยกว่า  ฉีเซี่ยงหยวนจึงหันไปสั่งการว่า
“เฮ่อสวินนิสัยรอบคอบ  ตอนนี้สายตาเขาอาจจะมัวเพ่งไปทางหยงเซี่ยที่เริ่มลงมือไปตั้งแต่หลายวันก่อน  แต่เพื่อความไม่ประมาทจัดหน่วยตรวจตราป้องกันเอาไว้ก่อนเป็นดี”

สายตาของเฮ่อสวินเพ่งไปทางหยงเซี่ยจริง  ตอนนี้สายตาของชาวหนานเหมินทุกคนล้วนกำลังเพ่งไปทางหยงเซี่ย  เพราะหยงเซี่ยลงมือได้เฉียบขาดยิ่ง  ตั้งแต่ตอนที่แม่ทัพและกำลังคนจากเมืองหลวงของแคว้นหนานเหมินเดินทางมาถึงเพื่อรับอำนาจในการบัญชาการ  เพิ่งเข้าเมืองในช่วงสาย  ช่วงเย็นหยงเซี่ยก็เปิดฉากโจมตี  ทุกคนที่รู้จักหยงเซี่ยต่างทราบว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ไม่ทำศึกที่ไม่ชนะ  ครั้งนี้เล่นงานจุดเปราะบางตอนเปลี่ยนถ่ายอำนาจ  ทัพที่เพิ่งเดินทางมาถึงยังอ่อนล้า  เกาะกุมโอกาสได้แม่นยำจนน่าตกใจ
กำแพงเมืองหลงฉีสมเป็นแนวป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด  แม้ระเบียบทหารในเมืองยังไม่พร้อมสรรพ  แต่กลับยันไว้ได้หลายวัน  แม้ตกอยู่ในสภาพเป็นรอง  แต่กลับยังไม่พังทลาย  เพียงหลายวันมานี้แม่ทัพทุกคนทหารทุกนายที่ประจำอยู่ในเมืองหลงฉีล้วนถูกหยงเซี่ยเคี่ยวกรำจนเหนื่อยสาหัส  ปกติการบุกตีเมืองทำเป็นรอบๆ  แต่การบุกตีของหยงเซี่ยกลับมีทั้งจริงทั้งลวง  ทัพรองและทัพหลัก  บีบบังคับให้ทหารเฝ้ารักษาเมืองต้องเตรียมพร้อมเต็มอัตราศึกอยู่ตลอดเวลา  แม้พยายามผลัดกันไปนอน  แต่ก็เหน็ดเหนื่อยจนแทบจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหว
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนที่มองแผ่นหนังที่วาดภาพชัยภูมิและการวางกำลังรบด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก  การประชุมเพื่อวางกลยุทธ์เสร็จสิ้นไปเมื่อครู่  แม่ทัพนายกองทยอยออกไปจนหมดสิ้นแล้ว  ทั้งกระโจมมีเพียงเขา  ฉีเซี่ยงหยวนกำลังรอคอยให้หน่วยทัพของเขามาจนครบ  และรอจังหวะโอกาสที่ศัตรูจะเปิดช่องโหว่ 

ฉีเซี่ยงหยวนรู้ดีว่าเฮ่อสวินต้องรุ่มร้อนใจยิ่งกว่าเขา  เพราะในแนวชัยภูมิของแคว้นหนานเหมินด่านเหวินถงที่เฮ่อสวินเฝ้ารักษาอยู่ไม่ได้ไกลจากเมืองหลงฉี  สามารถโยกทหารไปช่วยเหลือได้  หนานเหมินอ๋องวางเฮ่อสวินเอาไว้ในตำแหน่งนี้เท่ากับวางใจให้อำนาจในการบัญชาภาพรวมของการป้องกันในแนวชายแดนแถบนี้ทั้งหมด  ให้เฮ่อสวินสามารถโยกย้ายถ่ายเททหารได้โดยอิสระ

ซึ่งต่างกับแนวชัยภูมิทางฝั่งเป่ยชางที่แม้ระยะทางจะเท่ากัน  แต่ระหว่างหยงเซี่ยกับฉีเซี่ยงหยวนกั้นกลางด้วยผืนป่าแน่นขนัด  ไม่อาจยกทัพไปช่วยเหลือกันได้โดยสะดวก  ฉีเซี่ยงหยวนแม้ทราบดีว่าฝั่งของเขาดำรงอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายกว่า  แต่คิดช่วงชิงความมีเปรียบไม่อาจไม่เสี่ยงอันตราย  อย่าว่าแต่สำหรับเขากับหยงเซี่ยนี่ไม่ใช่การเสี่ยงอันตรายเท่าไหร่  เพราะพวกเขาต่างสามารถกำหนดการรุกถอยของตัวเองและป้องกันตัวเองได้  เพียงแต่การติดต่ออาจยากลำบากอยู่สักหน่อยเพราะต้องหาคนคุ้นชินพื้นที่ที่เชี่ยวชาญในการเดินป่า

“ต้าอ๋อง  สายที่ท่านส่งไปให้ลอบติดต่อกับสายที่วางไว้ในเมือง  ตอนนี้กลับมาแล้ว” เสียงรายงานเข้ามา
“นำตัวมาพบข้า” คำสั่งของฉีเซี่ยงหยวนเรียบเฉย  สายลับทุกคนล้วนต้องรายงานเขาโดยตรง  นี่เป็นข้อปฏิบัติที่ฉีเซี่ยงหยวนยึดถือตลอดมาตั้งแต่เป็นแม่ทัพ  กฎข้อนี้เป็นหยงเซี่ยปลูกฝังให้กับเขา  การทราบสภาพศัตรูเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
หวังว่าเฮ่อสวินจะคิดแบ่งกำลังพลไปช่วยเหลือเสียที  ทางที่ดีก็โยกตัวเองไปเสียด้วยเลยจะได้ไม่เกะกะขวางทาง 
แต่ฉีเซี่ยงหยวนก็ทราบว่าเฮ่อสวินเป็นคนที่อดทนยิ่งคนหนึ่ง  และมีความรับผิดชอบยิ่งคนหนึ่ง  แม้การเฝ้าด่านอยู่เฉยๆจะเป็นการดูถูกความสามารถของเขา  ในขณะที่ห่างออกไปไม่ไกลมีศัตรูที่คู่ควรให้เขารับมืออยู่  เฮ่อสวินก็ไม่มีทางทอดทิ้งด่านเหวินถงไปโดยพลการ 
เพียงแต่หากกำลังศัตรูลดลงไปได้ส่วนหนึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี  ศัตรูทุ่มเทความสนใจไปทางอื่นยิ่งเป็นเรื่องดีใหญ่  ฉีเซี่ยงหยวนหวังว่าข่าวคราวที่เขาจะได้รับรู้ในครั้งนี้จะเป็นไปในทางที่มันควรจะเป็น
---------------------
ใต้ฟ้าพร่างดาว  ทว่าในป่ายากจะเห็นแสงดาว  แสงที่เด่นชัดมีเพียงกองไฟที่จุดเพื่อให้ความอบอุ่นและไล่สัตว์ร้าย  ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกเหมือนตัวเองได้กลับบ้านอีกครั้ง  ก่อนจะมีเหลียนอันสุ่ยบ้านของฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่วังหลวง  แต่เป็นมิตรภาพที่อบอุ่นในกองทัพ
แม่ทัพนายกองที่คุ้นหน้าคุ้นตานั่งล้อมรอบกองไฟ  ย่างเนื้อและพูดจาสนทนากัน  เปลวไฟแลบเลีย  กลิ่นเนื้อหอมฉุย  ฉีเซี่ยงหยวนทรุดกายลงนั่งข้างแม่ทัพผิวคล้ำผู้หนึ่ง
“เนื้อสักหน่อย...” จานเนื้อยื่นเข้ามาก่อน  พอคนถือจานมองเห็นชัดๆว่ากำลังยื่นเนื้อไปตรงหน้าใครก็สะดุ้งโหยง  ลนลานคุกเข่าคำนับ
“ไม่ทราบว่าเป็นต้าอ๋อง  กระหม่อม...กระหม่อมเสียมารยาทแล้ว”
วงสนทนาเงียบกริบในทันที  ต่างคนต่างทำความเคารพโดยพร้อมเพรียง 
ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่สนใจคนที่พากันคุกเข่าให้กับเขา หยิบเนื้อในจานขึ้นมากัด กัดไปสองคำก็เอ่ยถามว่า
“เฒ่าเฉา  ท่านเป็นคนปรุงใช่หรือไม่  ตกลงนี่ท่านคิดเอาดีด้านกองทัพหรือตั้งใจจะเปิดร้านอาหารกันแน่”
ชายชราที่สวมเกราะอ่อนที่อยู่ห่างออกไม่ไกลไม่ทราบสมควรตอบอย่างไรดี
มีเสียงหัวเราะดังมา  พร้อมกับคำกล่าวว่า
“พวกเขาล้วนประจำตามหัวเมืองมานาน  ไม่ค่อยคุ้นชินกับบารมีต้าอ๋องของท่าน  ถ้าท่านอยากรับประทานเนื้อให้อร่อย  ก็บอกให้พวกเขาลุกขึ้นเถิด” คนกล่าววาจาเป็นชายไว้เคราที่ยังดูหนุ่มฉกรรจ์ผู้หนึ่ง
“ยังคงเป็นแม่ทัพกู่ที่เข้าใจต้าอ๋อง  นี่พวกท่านลุกขึ้นมาเถอะ  คุกเข่าอยู่แบบนั้นต้าอ๋องจะทรงอารมณ์เสียได้” ประโยคนี้เป็นของมู่ซาง  ขณะกล่าวมือก็พลิกหาเนื้อตำแหน่งที่ดีที่สุด  เพื่อเฉือนให้แก่ตัวเอง
ความจริงเรื่องนี้มิใช่แม่ทัพเหล่านี้ลนลานเกินกว่าเหตุ  ก่อนหน้านี้ที่พวกเขารู้จักเป็นเพียงองค์ชายสี่ผู้ไม่ถือตัวผู้หนึ่ง  พบหน้าอีกคราคนกลับมีศักดิ์ฐานะเป็นถึงต้าอ๋อง  ย่อมต้องเกิดอาการทำตัวไม่ถูก  ไม่ทราบต้องทำตัวเช่นไรจึงจะเหมาะสม

พอคนที่คุกเข่าเปลี่ยนเป็นนั่งแบบเดิมจนหมด  ฝงเป่าที่นั่งอยู่อีกฝั่งของกองไฟก็เอ่ยขึ้นว่า
“คิดไม่ถึงครั้งนี้ท่านจะเรียกระดมมาจนหมด  แต่เช่นนี้ก็ดี  พี่น้องได้กลับมาเจอหน้ากันอีกคราถือเป็นเรื่องดี เสียดายมีกฎห้ามดื่มเหล้า  ไม่เช่นนั้นโอกาสพบหน้าเช่นนี้สมควรดื่มสักหลายไห” ฝงเป่าพูดไปก็เหลือบมองมาทางฉีเซี่ยงหยวน

แต่ฉีเซี่ยงหยวนทำเฉยเสียราวกับไม่ทราบว่าอีกฝ่ายคาดหวังสิ่งใดจากเขา  กลับเป็นมู่ซางที่ไม่ปล่อยปละละเว้น
“เปิดปากก็คิดจะให้ต้าอ๋องยอมแหกกฎกองทัพ  คิดอะไรให้มันสร้างสรรค์กว่านี้หน่อยไม่ดีหรือ”
ฝงเป่าเลยจัดการเอาเนื้อยัดปากมู่ซางเพื่อให้เจ้าเด็กนี่หุบๆปากไปเสียที  คนอื่นหัวเราะครืน  คู่ปรับที่อายุห่างกันเกือบสิบปีคู่นี้นิสัยที่เข้ากันไม่ได้อย่างไรก็เข้ากันไม่ได้อยู่อย่างนั้น
ฉีเซี่ยงหยวนหันไปถามชายหนุ่มผิวคล้ำที่นั่งอยู่ข้างเขา
 “พี่ฟ่าน  เมียท่านคลอดหรือยัง  พอดีข้างานยุ่งเลยลืมให้คนส่งของบำรุงไปให้”
คนผู้นั้นย่อมไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยังเรียกหาเช่นนี้  อึ้งไปพักหนึ่งจึงตอบว่า
“คลอด...คลอดแล้ว...”
“ไม่เพียงคลอดแล้ว  ยังเป็นลูกชายเสียด้วย  ถ้ามีเหล้าข้าจะดื่มแสดงความยินดีให้ท่านซักจอก” บุรุษไว้เคราที่แซ่กู่กล่าว  ฝงเป่าได้ยินก็หัวเราะ  ตบบ่าอีกฝ่ายอย่างถูกใจ  พึมพำว่า 'นี่สิถึงจะเป็นเพื่อนแท้ '
ทว่าอีกคนกลับกล่าวสวนขึ้น
“ความจริงแล้วเมียคลอดลูกไม่แน่ว่าเป็นเรื่องดี  ตั้งแต่เมียข้าคลอดลูกวันๆก็เอาแต่กังวลว่าจะไม่สวยเหมือนเดิม  วิตกกังวลยังพอว่า  แต่ขี้หึงหวงนี่สิเรื่องใหญ่  ปกตินางก็ขี้หึงหวงจะแย่อยู่แล้ว  ตอนนี้เป็นมากกว่าเดิมจะให้ผู้คนทนทานได้อย่างไร  งานในกองทัพทำให้บางทีข้าก็ต้องอยู่นอกบ้านถึงดึกดื่น  แต่นางกลับเอาแต่หาว่าข้าเอางานมาบังหน้าที่จริงไปหาหญิงอื่น”
คนอื่นต่างหัวเราะ  กล่าวว่า 
“แต่งมาแล้ว  เลือกมาแล้ว  ก็ทนๆไปเถอะน่า  มีภรรยาใครบ้างไม่ขี้หึง”
มู่ซางที่เดินมาเติมน้ำ  ขณะเดินผ่านฉีเซี่ยงหยวนก็พึมพำให้ได้ยินกันสองคนว่า
“ต้าอ๋อง  อย่างน้อยท่านก็ไม่ต้องกังวลแบบพวกเขา  เพราะที่ท่านมีมิใช่ภรรยา” คนกล่าววาจาหัวเราะแล้วเดินจากไป  มีแต่ฉีเซี่ยงหยวนที่รู้ดีว่าสิ่งที่ตอนนี้เขารู้สึกคือคำว่าหัวร่อไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
ผู้อื่นเพียงกลัวภรรยาจะขี้หึงเกินไป  แต่ตัวเขากลับต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยความหวาดหวั่นว่าตัวเองจะถูกเอาไปยกให้กับผู้อื่นเมื่อไหร่ !
---------------------
เวลายิ่งดึก พวกเขาก็ยิ่งดูราวกับย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน  วันที่ต่างฝ่ายต่างยืนหยัดร่วมเป็นร่วมตายโดยไม่ตัดพ้อตำหนิ  ดั่งครอบครัว  และดั่งพี่น้อง  คนนอกบางทีไม่อาจเข้าใจ  ก็แค่คนไม่รู้จักที่อยู่ร่วมกันชั่วเวลาหนึ่งจะนับเป็นอย่างไรได้  แต่หากท่านเคยผ่านความเป็นความตาย  ยินยอมฝากชีวิตไว้ในกำมือผู้อื่น  และยินยอมเป็นฝ่ายช่วยเหลือในยามยากลำบากโดยไม่มีเงื่อนไข  มิตรภาพและช่วงเวลาที่หลอมสร้างขึ้นเช่นนี้ไม่อาจลืมเลือนโดยง่ายดาย  ฉีเซี่ยงหยวนดีใจที่เขายังไม่ได้สูญเสียมันไป

‘ข้ารู้ว่าที่นั่นเป็นที่ของท่าน  ไปทำในสิ่งที่ท่านอยากทำเถอะ  ทำให้เต็มที่  ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่  ขอแค่ย้อนคิดดูแล้วไม่สำนึกเสียใจก็เพียงพอ’ นี่เป็นคำอวยพรของเหลียนอันสุ่ย 
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ  ผู้อื่นมีแต่อวยพรให้สำเร็จดังหวัง  พระมาตุลาที่ชอบอยู่กับความเป็นจริงของเขากลับอวยพรมาเช่นนี้  แต่มันก็รู้สึกไม่ดาษดื่นดี  และไม่ต้องกดดันตัวเองจนเกินไป

ฉีเซี่ยงหยวนเลิกกระโจมเพื่อเดินเข้าไป  ในใจครุ่นคิด  ไม่ทราบตอนนี้เหลียนอันสุ่ยกำลังทำอะไร  คิดถึงเขาบ้างหรือไม่
---------------------
เงาบนพื้นทอดยาวตามโมงยามที่ผ่านไป  รถขนถ่ายเสบียงรอบสุดท้ายถูกคุ้มกันอย่างหนาแน่น  ในขบวนยังมีหมอประจำกองทัพชุดสุดท้ายที่จะตามไปสมทบกับชุดก่อนที่ออกเดินทางมาพร้อมกับทัพหน้า  ในจำนวนทั้งหมดนี้  กลับมีสามคนที่จริงๆไม่สมควรปรากฏตัวที่นี่

หม่าหลงกับต้วนจินในชุดเกราะเต็มยศหันไปมองหน้ากัน  แล้วก็ได้แต่ทอดสายตามองร่างสูงโปร่งเบื้องหน้าอย่างจนใจ

 
=============
เงาหลังของใครหว่า?
5555 เดาไม่ออกเลยนะเนี่ย
 
ปล.คือพระเอกไม่ให้ไปแหละ  แต่แน่นอนว่าคนว่านอนสอนง่ายแบบเหลียนเหลียนก็ต้อง...ไม่ฟัง 
จริงๆเหลียนอันสุ่ยนี่ดื้อติดอันดับทีเดียว  ตัดสินใจอะไรไปแล้วเคยสนที่ไหนว่าใครจะว่าอย่างไรบ้าง = = 
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 66 .......................................18/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: MaiSwifties ที่ 19-11-2014 16:18:07
หวายยย นิยายสนุกมาก แอบหวังให้คนเขียนเคยแต่งนิยายไว้หลายๆเรื่อง จะได้ไปตามเก็บ

แต่ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องนี้เหมือนเคยอ่านไปแล้วรอบนึง แต่อย่างไรไม่ทราบ เลิกไปก่อน

กลับมาอ่านใหม่ก็ได้แต่คิดว่า ทิ้งเรื่องดีๆอย่างนี้ไปได้ยังไง

ด้วยเป็นคนที่ ค่อนข้างจะติ่งจีน หนังจีน เพลงจีน นิยายจีนชอบหมด

พอได้มาอ่านนิยายที่กลิ่นอายความเป็นจีนชัดขนาดนี้ (หายาก)  ยิ่งรู้สึกปริ่ม :hao5:

อ่านแล้วเหมือนกำลังดูซีรีย์จีนสักเรื่องเลย ที่สำคัญคือ ภาษางามมาก ไม่มีติดขัด ประทับใจจริงๆ
 :mew6:
ติดตามผลงานต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 66 .......................................18/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-11-2014 22:39:45
มาให้กำลังใจถึงกองทัพเลยน๊าาาา
หุหุ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 66 .......................................18/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 20-11-2014 05:38:36
กำลังใจเขาดีจริงๆ

ต้าอ๋องจะว่ายังไงหล่ะนั่น
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 66 .......................................18/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: Jeyibee ที่ 20-11-2014 09:03:42
เราโอเคค่ะ เรื่องนานๆอัพไม่ใช่ปัญหาตราบใดที่ยังมาแต่งอยู่อย่างแน่นอน ส่วนตัวเชื่อว่าผู้เขียนจะไม่ทิ้งเรื่องนี้เพราะเห็นแต่งมานานมากกกก (เราเข้าไปตามอ่านในเด็กดีมาด้วยค่ะ><) ส่วนที่แต่งนานเราเห็นด้วยนะคะ ดีกว่าแต่งเร็วแต่เรื่องออกมาไม่ดีอยู่แล้ว เอาใจช่วยค่ะ ตอนนี้เอาใจช่วยทั้งผู้เขียนแล้วก็เหลียนเหลียนด้วยค่ะ 555+ พระเอกเรากลัวโดนยกให้คนอื่นแต่เราว่าเหลียนเหลียนเองก็รักนางมากอยู่นะคะ ถึงกับแอบตามมา  น่าสงสารท่านต้าอ๋องจริงๆเลย 555+
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 67
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 23-11-2014 21:12:58
บทที่ 67 เมื่อสามแคว้นปั่นป่วน(2)

การขนถ่ายเสบียงรอบสุดท้ายนี้เดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อเร่งให้ทันทัพหลัก  หลังได้เสบียงส่วนนี้ฉีเซี่ยงหยวนจะเปิดฉากโจมตีหลังรอเวลาสุกงอมมานาน  เพราะในที่สุดเฮ่อสวินก็ตัดสินใจส่งบางหน่วยทัพยกไปช่วยเหลือเมืองหลงฉีแล้ว  ตัวเฮ่อสวินเองยังคงไม่ได้ไปจากด่านเหวินถงตามคาด  แต่กำลังหนุนที่เดินทางมาสมทบหยงเซี่ยไม่ขาดสายซึ่งเป็นภาพที่หยงเซี่ยจงใจสร้างขึ้น  ทำให้เฮ่อสวินเข้าใจว่าแคว้นเป่ยชางวางแผนจะตีหักจากทางเมืองหลงฉี  หาคาดไม่ว่าศัตรูสำคัญกลับตั้งประจันอยู่เบื้องหน้าเขา  รอคอยมาครึ่งเดือนกว่า !
---------------------
ในตอนที่ขบวนเสบียงมาถึง  ฉีเซี่ยงหยวนกำลังนั่งใคร่ครวญแผนการอย่างละเอียดอีกรอบ
ในตอนที่หลิวฉางเฟยรายงานว่ามีคนพบเห็นหม่าหลงกับต้วนจินติดตามมากับขบวนเสบียง  ฉีเซี่ยงหยวนก็ชะงักไป  สายตาเยือกเย็นลง  เอ่ยเสียงราบเรียบว่า
“ไปตามเหลียนอันสุ่ยมาพบข้า”

พระมาตุลาแคว้นเหลียนที่มาโดยพลการผู้นี้เดินยิ้มบางๆเข้ามาด้วยท่าทีปลอดโปร่งสง่างามตามปกติ  ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าตัวเองกำลังโกรธอีกฝ่าย  แต่เมื่อเห็นหน้าเหลียนอันสุ่ยจริงๆความโกรธเคืองที่อีกฝ่ายติดตามมาเองโดยไม่บอกกล่าวกลับถูกความคิดถึงหลอมกลืน
“เหตุใดจึงไมส่งข่าวซักคำว่าจะติดตามมา” ฉีเซี่ยงหยวนเพ่งมองคนตรงหน้า  ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก
“ถ้าส่งข่าวมาก่อน  เกรงว่าคงไม่ได้มาถึงที่นี่”
“ท่านเข้าใจว่าข้าจะไม่อนุญาต”
“ท่านจะขัดขวาง” น่ากลัวว่าตั้งแต่เริ่มเก็บของก็ถูกขัดขวางแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ค่อยอยากให้เขามา  ย่อมต้องมีวิธีทำให้เขามาไม่ถึงที่นี่  ลูกไม้สารพัดของบุรุษผู้นี้เหลียนอันสุ่ยคุ้นชินแต่แรก
“ในค่ายอันตราย  ความเป็นอยู่ลำบาก  ข้าไม่ค่อยอยากให้ท่านอยู่ที่นี่” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวตามตรง
“แต่ตอนนี้ข้ามาแล้ว”
“ท่านเข้าใจว่าข้าส่งท่านกลับไปไม่ได้? ” ฉีเซี่ยงหยวนถามเสียงเฉียบ
“ส่งหมอคนหนึ่งกลับไปท่านจะใช้คนคุ้มกันกี่คน  สู้มีหมอในกองทัพเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งไม่ดีกว่าหรือ” คนคุ้มกันมากเกินไปไม่ดี  น้อยเกินไปท่านก็ไม่วางใจ
อ้อ  คำนวณมาละเอียดรอบคอบ  ความรู้สึกว่าตัวเองทำผิดเล็กน้อยก็ไม่มี
“เดินทางมาเองเช่นนี้เสี่ยงแค่ไหน  ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าข้าจะเป็นห่วง!” เสียงเข้มหนักอย่างไม่พอใจ
“ข้าคิดแล้วว่าถ้าให้ท่านรู้ว่าข้าเดินทางมาท่านก็จะเป็นห่วง”
สวรรค์  ฉีเซี่ยงหยวนอยากกุมขมับยิ่งนัก  และอยากบีบคอคนตรงหน้ายิ่งนัก  แต่ที่เขาทำจริงๆคือคว้าคนตรงหน้ามาจูบให้หนักๆ  แค่นเสียงลอดไรฟัน
“ท่านนี่มัน...” น่านัก !
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ขัดขืนอะไร  แค่รออีกผ่ายสงบลง  แล้วจึงบอกว่า
“เซี่ยงหยวน  ข้าคุ้มครองตัวเองได้  อีกอย่างที่นี่มีงานให้ข้าทำ  ข้าอยากทำในสิ่งที่ข้าทำได้”
ยอมอยู่ในอ้อมกอดฉีเซี่ยงหยวนไปอีกพักหนึ่ง  เหลียนอันสุ่ยก็ใช้มือดันร่างหนาออก
“ท่านปล่อยข้าได้แล้ว  อยู่ในค่ายทำตัวเรียบร้อยหน่อย  ไม่ต้องเป็นห่วงข้า  ข้าเคยเป็นหมอในกองทัพมาแล้ว  ทราบดีว่าต้องทำอย่างไรบ้าง”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตามองคนในอ้อมกอด 
ไม่ตามตัวมาก็ไม่คิดจะมารายงานตัว  ทำเรื่องให้คนอื่นเป็นห่วงก็ไม่รู้สึกผิด  เจอหน้ากันหน่อยเดียวก็จะหลบไปทำงานอีกแล้ว!  ...ฉีเซี่ยงหยวนเคยทำให้คนมากมายรู้สึกอยากโอดครวญกับสวรรค์  แต่ตอนนี้เป็นตัวเขาเองที่นึกอยากโอดครวญกับสวรรค์

ถึงแม้ฉีเซี่ยงหยวนจะทราบว่าเหลียนอันสุ่ยดีใจที่ได้เห็นหน้าเขา  แต่ก็ทราบเช่นกันว่าที่ถ่อเดินทางมาถึงแนวหน้านี่ไม่ได้ตั้งใจจะมาหาเขาเท่าไหร่  เหลียนอันสุ่ยตั้งใจจะมาทำงาน  วันมะรืนฉีเซี่ยงหยวนจะเปิดฉากฆ่าคน  ส่วนเหลียนอันสุ่ยตั้งใจจะมาช่วยคน

ขณะกำลังรู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจ  เหลียนอันสุ่ยก็ฉวยโอกาสจุมพิตลงบนเรียวปาก  เสียงใสกระจ่างกล่าวเบาๆว่า
“ข้าคิดถึงท่านนะ  ข้าอาจจะอยู่ข้างท่านไม่ได้  แต่ข้าอยู่กับท่านเสมอ  ข้าเคยสัญญากับตัวเองว่าจะก้าวเดินไปกับท่าน  ตอนนี้ท่านต้องสัญญากับข้าว่าสุดท้ายเราจะกลับไปด้วยกัน”

ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งอึ้ง  ข้าไม่ต้องการให้ท่านมาเสี่ยง  เพราะทั้งข้าและท่านต่างรู้ดีว่าถ้าเกิดอะไรที่สาหัสขึ้นมาจริงๆข้าเลือกท่านไม่ได้  แต่ข้ากลับลืมนึกไปว่าข้าต่างหากที่เสี่ยงกว่าท่าน  ซึ่งมันไม่ยุติธรรมกับท่านเลย 
ข้ายินดีเสี่ยงเพื่อความฝันของข้า  ส่วนท่านยินดีเสี่ยงเพื่อทำในสิ่งที่ท่านปรารถนา  ทั้งข้าและท่านล้วนเลือกแล้ว และเราจะไม่เปลี่ยนใจ  เพราะเราต่างรู้ดีว่าเราทำเพื่ออะไร
“ตกลง  ข้าจะพาท่านกลับไปแน่นอน”
---------------------
ที่พักในค่ายของเหลียนอันสุ่ยมีปัญหานิดหน่อย  ความจริงฉีเซี่ยงหยวนไม่วางใจอยากให้เหลียนอันสุ่ยพักที่กระโจมหลักของเขา  ทว่าแม่ทัพที่ไม่รักษากฎเกณฑ์  ไม่อาจทำให้ทหารเคารพกฎระเบียบ  ประเมินตามความเหมาะสมแล้วสรุปเหลียนอันสุ่ยก็ได้พักที่เดียวกับแพทย์ประจำกองทัพคนอื่นๆ
แต่ฉีเซี่ยงหยวนยื่นคำขาด  ต่อให้พักบริเวณเดียวกันก็ต้องเป็นกระโจมแยก  ประการแรกคือเหตุผลเรื่องความปลอดภัย  ประการที่สองคือเหตุผลเรื่องความหึงหวงไม่วางใจ  สุดท้ายแล้วเหลียนอันสุ่ยจึงเป็นหมอประจำกองทัพคนเดียวที่มีประโจมเป็นของตัวเอง  ทั้งยังเป็นหมอประจำกองทัพเพียงคนเดียวที่มีทหารตามประกบให้การอารักขาตลอดเวลา
---------------------
ชายป่าสงบเงียบ  ราวป่าทั้งป่ากำลังกลั้นหายใจ
กำลังพลกำลังค่อยๆจัดเรียงตามระบบระเบียบ  แผ่กระจายออกไปทั้งสองปีก  ฉีเซี่ยงหยวนบนหลังอาชาสีดำเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีทึมเทา 
หลิวฉางเฟยควบม้าตรวจตราเป็นรอบสุดท้าย  เหลือบมองไปทางมู่ซางกับฝงเป่าที่เป็นทัพหน้าซึ่งจัดทัพเสร็จสิ้นแล้ว  คู่กัดที่กัดกันทุกครั้งที่พบหน้าเช้านี้กลับสงบเป็นพิเศษ หลิวฉางเฟยรั้งสายตากลับมา  ไม่นึกแปลกใจที่ต้าอ๋องมอบหมายให้มู่ซางกับฝงเป่าทำงานร่วมกัน  คู่ปรับคู่นี้ความจริงมีอีกชื่อคือ ‘คู่ปราบพิชิต’  ทั้งๆที่ก่นด่ากันเป็นประจำแต่กลับเป็นคู่ที่ทำงานประสานกันได้อย่างไร้ที่ติที่สุด
บรรยากาศโดยรอบในความสงบมีความฮึกเหิมอยู่เต็มเปี่ยม  ในความตึงเครียดมีความแน่วแน่  ท่าทีของฉีเซี่ยงหยวนสงบเยือกเย็น  มีเพียงตัวฉีเซี่ยงหยวนเองที่ทราบว่าชั่วขณะนั้นความรู้สึกที่อัดแน่นในใจมากมายจนบ่งบรรยายไม่ถูก  เพื่อก้าวๆนี้เขาทุ่มเทไปมากเหลือเกิน  วางแผนมาเป็นแรมปี  ใตร่ตรองใคร่ครวญมาเป็นพันหน
 
อำนาจในแคว้นไม่มั่นคงก่อสงครามไม่ได้  คลังเสบียงร่อยหรอก่อสงครามไม่ได้  เงินในท้องพระคลังว่างเปล่ายิ่งก่อสงครามไม่ได้  ทหารฝึกฝนไม่ดีไม่อาจนำชัยชนะ  ชาวนาไม่เพาะปลูกสุดท้ายจะไม่มีเสบียงเลี้ยงแนวหน้า  สถานการณ์สามแคว้นไม่พร้อมสรรพก่อศึกคือดันทุรัง  ปัญหาทีละจุดค่อยๆปรับแก้  สะสมหมากในมือทีละน้อย  เพื่อเตรียมรับมือกับกงล้อแห่งอำนาจที่สุดท้ายต้องวนมาถึงความแตกแยก  เพื่อให้เมื่อสงครามปะทุขึ้นแคว้นเป่ยชางจะมีทุนรอนเพียงพอจะต่อกรกับแคว้นอื่น 

การศึกเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน  สงครามเป็นเรื่องที่ต้องลงทุนมหาศาล  ทั้งชีวิตและทรัพย์สินสิ้นเปลืองอย่างยิ่ง  ดังนั้นสิ่งที่มันแลกมาจะต้องคุ้มค่า  ศึกนี้ต้องชนะไม่อาจพ่ายแพ้ !

ความกดดันไหลบ่าถาโถมเข้ามา  ผลจากสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดกำลังจะปรากฏขึ้นตรงหน้า  น่าแปลกที่เมื่อแสงอาทิตย์แตะขอบฟ้าใจของฉีเซี่ยงหยวนกลับรู้สึกปลอดโปร่ง  เนื่องจากไม่จำเป็นต้องห่วงพะวงถึงสิ่งใดอีกต่อไป  สิ่งที่เขาต้องเผชิญหน้าในที่สุดก็ต้องเผชิญหน้าแล้ว

เสียงเป่าเขาสัตว์ดังยาว  สะท้อนไปทั่วชายป่า

แสงอรุณเบิกฟ้า  นำพาความตายมาเยือน

ตอนทหารรักษาด่านเหวินถงสะท้านตื่นก็เห็นทัพเป็นแผ่นผืนคุกคามมาจากแนวป่า  ราวกองทัพผีสางที่กำเนิดขึ้นเองจากหมอกควัน  ธงทิวปลิวสะบัดทัพหน้าสองปีกเคลื่อนไหวโดยพร้อมเพรียง  มือธนูของด่านเหวินถงยังไม่ทันพร้อม  ทัพหน้าข้าศึกก็ก็ล้ำเข้ามาในรัศมีที่เป็นอันตรายแล้ว 
ทหารหนานเหมินแตกตื่นขวัญเสีย  เฮ่อสวินที่เพิ่งมาถึงมีมีหน้าเคร่งเครียดเมื่อเห็นเครื่องมือบุกตีเมืองพร้อมสรรพถูกลำเลียงมา  ทราบดีว่าประตูและกำแพงของด่านเหวินถงไม่แข็งแกร่งพอจะต้านไว้ได้นาน  ตัดสินใจสั่งให้เปิดประตูเมือง  ส่งหน่วยทัพที่เพิ่งจัดเสร็จอย่างรีบร้อนออกไปรับมือ  กดดันให้ข้าศึกถอยร่นห่างออกจากแนวกำแพง
“ท่าน...ท่านแม่ทัพ  ทัพหนุนข้าศึก  ทัพหนุนข้าศึก จะ เจ็ดหมื่น!” นายทหารคนสนิทวิ่งมารายงาน  เฮ่อสวินเพ่งสายตามองออกไปอย่างตื่นตระหนก  เพราะโยกคนไปช่วยเมืองหลงฉีรับมือหยงเซี่ย ทหารที่ประจำในด่านเหวินถงจึงน้อยกว่าจำนวนข้าศึกอย่างไม่ต้องสงสัย  แต่ที่ทำให้เฮ่อสวินหนักใจคือขวัญทหารไม่เหลือแล้ว  กระทั่งทหารคนสนิทที่ปกติเยือกเย็นยังรีบร้อนจนกล่าววาจาไม่เป็นคำ  สภาพเช่นนี้รับมือทหารข้าศึกอีกเจ็ดหมื่นจะไหวหรือ...
“ไม่ไหวก็ต้องไหว  ทัพชุดที่สองจัดเสร็จรึยัง  คราวนี้ข้าจะนำทัพออกไปเอง” ต้องเรียกขวัญทหารกลับคืนมา จำนวนคนมิใช่ยื้อไม่ได้โดยสิ้นเชิง  แต่กำลังขวัญแบบนี้ต่อให้มีจำนวนมากกว่าข้าศึกสองเท่าก็ต้านไม่อยู่ !

น่าเสียดายที่ฉีเซี่ยงหยวนก็ทราบเช่นกันว่าถ้าเฮ่อสวินเรียกขวัญทหารกลับคืนมาได้ความได้เปรียบที่สร้างขึ้นจะสูญเสียไป  ดังนั้นคำสั่งที่มู่ซางได้รับก่อนเคลื่อนทัพจึงมีประโยคเดียว
‘ทุกหน่วยทัพที่ข้าศึกยกออกมาต้องตีให้แตก’
ทัพมู่ซางกับฝงเป่าในเวลานี้จึงมีสภาพเป็นเหมือนดาบสองเล่ม  ศัตรูยกออกมาเท่าไหร่ก็ถูกเฉือนแบ่งเป็นชิ้นๆ  โดยไม่ทันรู้ตัวทัพด้านหน้าและด้านหลังต่างกลายเป็นมิใช่พวกเดียวกัน  ทหารหนานเหมินกำลังใจย่ำแย่อยู่แล้ว  เจอแบบนี้ยิ่งกำลังใจหดหายความฮึกเหิมไม่มีเหลือ  รวมตัวกันอย่างสะเปะสะปะ  ถูกทหารเป่ยชางล้อมกำจัดสิ้น

สมาธิที่แน่วแน่เป็นทั้งหอกที่คมที่สุดและเป็นทั้งโล่ที่แข็งแกร่งที่สุด  น่าเสียดายที่หอกแคว้นเป่ยชางถูกลับจนคมกริบ  แต่โล่ของแคว้นหนานเหมินกลับเป็นโล่ชั้นเลว  ไม่อาจปิดป้องต้านรับ

ทว่าเมื่อเฮ่อสวินปรากฎตัวสถานการณ์ก็พลิกกลับกลาย  เฮ่อสวินระวังการเฉือนแบ่งของศัตรูอยู่ก่อนแล้ว  จึงสั่งให้ทหารรวมตัวกันเหนียวแน่น  ฝงเป่าเฉือนไม่สำเร็จ  ส่วนมู่ซางเริ่มยุ่งยากใจเมื่อพบว่าขวัญทหารฝ่ายตรงข้ามเริ่มกลับคืนมา  ในขณะที่ความฮึกเหิมของฝ่ายตัวเองกลับถูกลดทอนลง  นี่ต้องโทษเฮ่อสวินชื่อเสียงโด่งดังเกินไป  ภาพลักษณ์ของด่านที่เฮ่อสวินเฝ้ารักษาจึงดูราวกับไม่มีวันตีแตก  อย่างน้อยในใจชาวหนานเหมินก็รู้สึกเช่นนั้น

กำลังคนถูกเฮ่อสวินทะลวงเป็นช่องใหญ่  มู่ซางจึงสั่งให้คนโบกธงส่งสัญญาณให้ฝงเป่าซึ่งอยู่ใกล้กว่าเข้าไปอุด  ส่วนตัวเองสั่งให้ทหารจัดรูปขบวนที่สูญเสียไปเพราะเข่นฆ่าข้าศึกใหม่ 
เมื่อเจอกับด้านที่เป็นหัวหอกของกองทัพฝงเป่า  เฮ่อสวินก็ไม่สามารถทะลวงฝ่าได้ดั่งใจนึก จำเป็นต้องเปิดศึกติดพัน  ส่วนมู่ซางที่จัดรูปขบวนเสร็จสิ้นหรี่ตามองสภาพที่เกิด  เหนี่ยวธนูขึ้นสายช้าๆ  เขาย่อมหาจังหวะและหาโอกาสมานาน  ที่จะยิงธนูนัดเดียว  สอยร่วงทั้งทัพ
ในเสียงอุทาน ธนูดอกหนึ่งปักเข้าที่หัวไหล่ของเฮ่อสวิน !

มู่ซางเจ็บใจเสียดาย  ธนูดอกนั้นจริงๆควรเสียบทะลุลำคอ  แต่เฮ่อสวินเบี่ยงตัวหลบพอดีจึงไปโดนจุดไม่สำคัญ  เหนี่ยวธนูขึ้นสายอีกครั้ง
“ท่านแม่ทัพระวัง!” มีเสียงร้องเตือน  ธนูดอกที่สองจึงถูกเฮ่อสวินปัดได้  ทหารหนานเหมินเริ่มรุมล้อมเพื่อป้องกันแม่ทัพของตน
ฝงเป่าที่รู้จังหวะกันดีตะโกนเสียงก้อง
“เฮ่อสวินบาดเจ็บแล้ว !” มีเสียงทหารเป่ยชางรับต่อกันเป็นทอดๆ  กระจายไปยังทหารหนานเหมินที่อยู่ห่างออกไป  กำลังใจที่เพิ่งจะรวบรวมกลับมาได้อย่างยากลำบากสูญหายไปอีกครา  ร่ำร้องว่า
“คุ้มกันท่านแม่ทัพ”
ในความสับสนวุ่นวาย  มู่ซางฆ่าเฮ่อสวินไม่สำเร็จ  แต่ก็สอยรองแม่ทัพของเฮ่อสวินคนหนึ่งร่วงตกหลังม้า  ทัพหลักของฉีเซี่ยงหยวนตีกรอบเข้ามาถึง  ทหารแคว้นเป่ยชางยิ่งฮึกเหิม  แม้จะล้มตายไปบางส่วน  แต่ก็ฉุดลากศัตรูลงหลุมไปด้วยนับไม่ถ้วน  ทหารในสังกัดเฮ่อสวินโดยตรงต่อสู้อย่างห้าวหาญแต่ก็ตรึงสถานการณ์โดยรวมที่ระส่ำระสายถึงขีดสุดไว้ไม่อยู่

เฮ่อสวินมิใช่คนไม่รู้จักประเมินสถานการณ์  เดิมทีฝ่ายเขาก็เสียเปรียบมาตั้งแต่ต้นเพราะศัตรูปรากฏขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว  ตอนนี้ขวัญทหารยากกอบกู้กลับคืนมาแล้ว  ซ้ำจำนวนคนยังน้อยกว่า  ตัดสินใจถอยกลับเข้าด่าน  คิดอาศัยความได้เปรียบที่การตั้งรับง่ายกว่าบุกตียื้อสถานการณ์กลับมา  แต่ฝงเป่ากลับเกาะติดเขาไม่ปล่อย  เพราะฝงเป่าเองก็ทราบดีว่าการเข้าเมืองไม่มีอะไรสะดวกไปกว่าการเข้าทางประตูที่เปิดอยู่

ทหารหนานเหมินในด่านพยายามยิงธนูลงมาคุ้มกันให้ฝั่งตัวเองถอยกลับโดยราบรื่น  แต่การถอยกลับครั้งนี้ฉุกละหุกยิ่ง  ระยะทางจากนอกด่านถึงในด่านมีร่างทหารของฝ่ายศัตรูและฝ่ายตัวเองล้มตายเป็นเบือ
 
ในที่สุดประตูด่านก็สามารถปิดลง  ทว่าปิดได้ไม่นานก็ถูกกระทุ้งให้เปิดออกด้วยท่อนซุงใหญ่  อุปกรณ์บุกตีเมืองทำงานเต็มอัตรา
ในตอนที่เห็นทหารม้านับพันหลั่งไหลเข้ามาเฮ่อสวินก็ทราบแล้วว่าสถานการณ์สุดจะแก้ไข ต้องถอยร่นสถานเดียว  ในที่สุดจึงออกคำสั่งให้ถอยทัพ 
ทัพหน้ากับทัพหลักของข้าศึกรวมเป็นจำนวนมหาศาล  ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้การประสานงานแต่ละส่วนของฝ่ายศัตรูสอดคล้องลื่นไหลเป็นหนึ่งเดียว  เห็นได้ชัดว่านี่เป็นทัพที่ฝึกมาอย่างดี  ทั้งยังอยู่ในสภาพขวัญทหารถูกลับจนแหลมคมถึงขีดสุด  ทัพเช่นนี้ต้านไม่ได้  การไม่ยอมถอยมีแต่จะสูญเสียมากขึ้น  อย่าว่าแต่ทหารหนานเหมินมีกำลังแต่ไม่มีใจต่อสู้  เอาสภาพอ่อนแอของตัวเองไปปะทะกับความเข็มแข็งของข้าศึกเป็นเรื่องที่โง่เขลาชัดๆ  ตอนนี้หนึ่งเดียวที่เฮ่อสวินหวังคือทหารฝ่ายเขาจะสามารถถอนตัวไปตั้งหลักใหม่โดยไม่สะบักสะบอมมากนัก

เสียงเป่าเขาสัตว์  ข้าศึกแปรรูปขบวนอีกครั้ง

เฮ่อสวินไม่อาจรีบหลบหนีจากไปก่อน  ไม่เช่นนั้นทหารเฝ้าด่านทั้งสี่หมื่นจะต้องถูกสังเวยให้ศึกครั้งนี้จนหมดสิ้น  จำต้องกัดฟันรั้งท้ายเพื่อควบคุมการถอยทัพให้กำลังพลฝ่ายตัวเอง  การทำเช่นนี้ทำให้เขาได้เห็นอานุภาพของทัพเป่ยชางชัดถนัดตา  ความหนาวเยือกแผ่คุกคามมาตามแนวสันหลัง  หรือว่าผู้บัญชาทัพจะเป็นหยงเซี่ย  ทว่าเฮ่อสวินรับมือกับหยงเซี่ยมานับครั้งไม่ถ้วนทราบดีว่านี่มิใช่รูปแบบการบุกตีของหยงเซี่ย  สายตาของแม่ทัพชราเงยขึ้นเสาะหาธงบนผืนฟ้า ...เป่ยชางอ๋อง

ที่แท้คนนำทัพหลักคือเป่ยชางอ๋อง  ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางมาถึงชายแดนแคว้นหนานเหมินแล้ว

ศึกที่แท้จริงระหว่างแคว้นเป่ยชางกับแคว้นหนานเหมินเปิดฉากขึ้นในลักษณะนี้  ชื่อเสียงการเฝ้าด่านของเฮ่อสวินถูกทำลายลงเป็นครั้งที่สาม  และเป็นครั้งที่ยับเยินที่สุดในชีวิตของเขา
---------------------
ชัยชนะครั้งแรกได้มาโดยไม่เกินความคาดหมาย  เนื่องจากมันเกิดจากความรอบคอบและการวางแผนมาอย่างยาวนาน  ทว่าชัยชนะเพียงครั้งเดียวมิได้กำหนดผู้ชนะหรือพ่ายแพ้ที่แท้จริงในสงคราม  ด่านเหวินถงแตกได้ไม่นาน  เมืองหลงฉีก็ถูกกลุ้มรุมกระหนาบ  จนไม่อาจยันหยงเซี่ยไว้ได้อีกต่อไป   แนวป้องกันของแคว้นหนานเหมินถอยร่นเข้าสู่เมืองชั้นที่ไม่ได้ติดชายแดน  กำลังหลักแคว้นเป่ยชางก้าวล้ำเข้าสู่แคว้นหนานเหมินโดยสมบูรณ์  และเป็นก้าวแรกสู่อันตราย

การบุกลึกเข้ามาในเมืองข้าศึกความจริงเป็นเรื่องอันตรายเสมอ

การเคลื่อนไหวของแคว้นเป่ยชาง  ทำให้หนานเหมินอ๋องที่บุกลึกเข้าไปในแคว้นโหยวเฉิงเร่งบุกตียึดเมืองสำคัญ  หวังจบศึกโดยเร็วที่สุด
“ต้าอ๋อง  ทัพเป่ยชางรวมกำลังคนทั้งหมดเกือบสามสิบหมื่น  ปล่อยไว้เช่นนี้จะดีหรือ”
ทว่าหนานเหมินอ๋องกลับตอบแม่ทัพใต้บังคับบัญชาเขาด้วยเสียงแหบพร่าเยือกเย็นว่า
“คิดยึดแคว้นโหยวเฉิง  นี่เป็นโอกาสที่สุกงอมที่สุด  พวกเราก้าวมาได้ครึ่งทางแล้ว  หากถอยทัพกลางคันศึกนี้จะได้ไม่คุ้มเสีย  อีกอย่างพื้นที่ในเขตแผ่นดินแคว้นหนานเหมิน  เฮ่อสวินรู้จักดีกว่าฉีเซี่ยงหยวนมากนัก  แม้ศึกแรกศัตรูจะเดินอุบายจนชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ  แต่ความได้เปรียบนี้หลังเปิดเผยร่องรอยฉีเซี่ยงหยวนก็สูญเสียมันไปแล้ว”
---------------------
“หนานเหมินอ๋องไม่มีทางยอมถอยกลับมาโดยง่ายดาย  เพราะนี่เป็นศึกใหญ่ครั้งสุดท้ายในชีวิตเขา  ตาแก่นั่นหลับตาเป็นอยากได้แผ่นดินแคว้นโหยวเฉิง  คิดช่วยแคว้นโหยวเฉิงมีหนทางเดียวคือบุกลึกต่อไปให้สุดท้ายแล้วหนานเหมินอ๋องไม่อาจไม่ถอยกลับมา” นี่คือคำวิจารณ์ที่ฉีเซี่ยงหยวนมีต่อหนานเหมินอ๋อง

โชคชะตาคล้ายกำลังยื้อยุดกันอย่างสุดกำลัง  ว่าสรุปแล้วความปั่นป่วนนี้จะนำพาแคว้นเป่ยชางไปสู่ความยิ่งใหญ่  หรือนำพาแคว้นหนานเหมินไปสู่ตำแหน่งที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้  หากหนานเหมินอ๋องรวบกลืนแคว้นโหยวเฉิงได้ก่อน  รวมกำลังสองแคว้นเข้าด้วยกัน  จุดจบของแคว้นเป่ยชางจะอยู่อีกไม่ไกล  แต่หากแคว้นเป่ยชางบุกลึกจนกดดันให้หนานเหมินอ๋องต้องถอยทัพกลับมาก่อน  เมื่อเทียบความสูญเสียกับแคว้นอื่น  แคว้นเป่ยชางจะเป็นแคว้นที่ได้เปรียบที่สุด

ต้าอ๋องหนุ่มฉกรรจ์กับต้าอ๋องวัยแก่ชราคู่นี้  ในที่สุดก็เดินทางมาจนถึงตำแหน่งตั้งประจันหน้ากันอย่างเต็มรูปแบบ  แม้ไม่ได้ปะทะกันกลางสนามรบ  แต่ล้มหมากหนึ่งตัวส่งผลทั้งกระดาน  ทุกก้าวล้วนเป็นการช่วงชิงกันของไหวพริบและสติปัญญา 
หมากกระดานใหญ่ขีดช่องแบ่งตารางบนแผ่นดินของทั้งสามแคว้น  แข่งกับขีดความสามารถของตัวเอง  แข่งกับกันและกัน  และแข่งกับเวลา
---------------------


อาทิตย์หน้าติดสอบอัพให้ไม่ได้นะคะ  ตอนต่อไปน่าจะลงให้ได้ประมาณวันที่6 ธ.ค. ดึกๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 67 ........................................23/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-11-2014 22:23:15
ตื่นเต้น ไม่รู้ผลจะเป็นยังไง
ใจนึงก็เป็นห่วงเหลียนอันสุ่ยด้วยกลัวจะไม่ปลอดภัย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 67 ........................................23/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: ghostreader ที่ 24-11-2014 21:08:27
ข้าน้อยขอคารวะผู้แต่ง อ่านลื่นมาก อยากทราบมีผลงานอื่นๆอีกป่าวครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 67 ........................................23/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: _himura_ ที่ 25-11-2014 10:33:07
มาให้กำลังใจคนแต่งคนเก่งค่ะ ติดตามอยู่ตลอดนะคะ สู้ตาย ฮึ่บบบ  o13
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 67 ........................................23/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: real port ที่ 25-11-2014 15:01:32
เป็นกำลังใจครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 07-12-2014 00:57:21
บทที่ 68 อสูรร้าย

หลังจากทัพใหญ่ทั้งสองทัพได้รับชัยชนะกำลังคนของค่ายในป่าเขาก็ถูกโยกตามไปเป็นระลอก  สนามรบย้ายถัดเข้าไปทุกที  แน่นอนว่าหมอและเสบียงทัพก็ต้องโยกย้ายตามไป  ชีวิตในค่ายทหารไม่สุขสบาย  การขนย้ายที่เกิดขึ้นเรื่อยๆทำให้หมอในกองทัพมักเป็นหมอที่ยังมีเรี่ยวแรงเดินทางและสามารถทนทานความลำบาก  บรรดาหมอหลวงอายุมากต่างได้รับการงดเว้นไม่ต้องรับผิดชอบหน้าที่นี้
หากบอกว่าเหล่าทหารหาญล้วนต่อสู้อยู่กับความเป็นความตาย  หมอประจำกองทัพก็ต้องต่อสู้กับความเป็นความตายในรูปแบบที่แตกต่างออกไป  คำว่า ‘ทำงานหนัก’ ดูจะน้อยเกินไปเมื่อใช้อธิบายสภาพของแต่ละคน  เมื่อเรี่ยวแรงทุกหยาดหยดต่างถูกเค้นออกมาใช้  คนเราถึงได้ทราบศักยภาพทั้งหมดที่ตัวเองมี 
หลายครั้งที่การดำรงอยู่เช่นนี้ขึงตึงเกินไป  และหลายครั้งที่การดำรงอยู่เช่นนี้...เป็นการดำรงอยู่อย่างมีคุณค่า

ในที่สุดก็ถึงรอบของเหลียนอันสุ่ยที่ต้องเดินทางตามไปสมทบ  ทุกอย่างในกองทัพเป็นระบบระเบียบและรวดเร็วฉับไวไม่เว้นแม้กระทั่งเวลาเก็บของที่กะไว้ให้เพียงน้อยนิด  สองมือของเหลียนอันสุ่ยเก็บของใช้และเสื้อผ้า  ในใจทราบดีว่ากำลังจะก้าวเข้าใกล้บุรุษผู้นั้น  อันที่จริงสำหรับเหลียนอันสุ่ยพวกเขาไม่เคยอยู่ห่างกันมาก่อน  นี่มิใช่เพราะงานในค่ายวุ่นวายจนไม่มีเวลาอ้างว้าง  แต่เป็นเพราะเหลียนอันสุ่ยมักรู้สึกว่าฉีเซี่ยงหยวนอยู่ข้างกายเขาเสมอ 
เป็นครั้งแรกที่พบว่ากับความรักบางรูปแบบความคิดถึงกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นเลย  ฉีเซี่ยงหยวนอยู่ตรงนั้น  อยู่ตรงนั้นเสมอ  แนบสนิทอยู่ในเงาของเขา  ฝังลึกในกระดูกและวิญญาณ  ข่าวคราวของฉีเซี่ยงหยวนที่โอบคลุมอยู่รอบตัวเขา  ตัวตนของฉีเซี่ยงหยวนแจ่มกระจ่างอยู่ในใจเขา  กลายเป็นพลังอันน่าอัศจรรย์ที่ทำให้เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

ความรักทำให้คนอ่อนแอ  และหลายครั้งความรักก็ทำให้คนเข้มแข็งได้อย่างเหลือเชื่อ
---------------------
การสู้รบระหว่างแคว้นเป่ยชางกับแคว้นหนานเหมินผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่หลายครั้ง  เฮ่อสวินใช้ไปหลายกลอุบายก็ยังไม่อาจชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ  สุดท้ายตัดสินใจเลือกแผนการที่เด็ดขาดแผนหนึ่ง
ยิ่งบุกลึกเข้าเขตแดนศัตรู  ที่ยากเย็นคือการลำเลียงเสบียงทัพ...เฮ่อสวินตัดสินใจจะเล่นงานการลำเลียงเสบียงทัพของแคว้นเป่ยชาง
---------------------
เสียงล้อบดกับกรวดทรายดังต่อเนื่อง  รถลำเลียงเสบียงคันใหญ่บรรทุกกระสอบข้าวหนักอึ้ง  ม้าเทียมลาเทียมออกแรกเต็มกำลัง  เสบียงทัพคือหัวใจของการทำศึก  ไม่ว่าทัพจะยิ่งใหญ่แค่ไหน  ทหารจะห้าวหาญเพียงใด  หากปราศจากเสบียงทัพหล่อเลี้ยงก็ต้องพังทลายในเร็ววัน  ยิ่งทัพใหญ่จำนวนคนมากยิ่งพังทลายรวดเร็ว
เสียงโห่ร้องที่ดังมาจากทุกทิศทางทำให้เหลียนอันสุ่ยในรถม้าเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก  รถม้าคันนี้บรรทุกหมอประจำกองทัพรวมสี่คน  ทุกคนล้วนรู้สึกถึงเค้าลางของอันตราย  เหลียนอันสุ่ยเลิกม่านรถม้าก็ได้ยินเสียงต้วนจินรายงานว่า
“มีทัพซุ่ม”
หมอทั้งหลายฟังแล้วสีหน้าซีดเผือด  ทุกคนล้วนไม่คิดว่าการลำเลียงเสบียงครั้งนี้จะเกิดปัญหา  แม้การคุ้มกันขบวนเสบียงจะดำเนินการโดยรอบคอบเสมอมาเพราะต้าอ๋องให้ความสำคัญกับเสบียงทัพ  แต่แน่นอนว่าทหารคุ้มกันเสบียงย่อมไม่มีทางยันกับข้าศึกจำนวนมากโดยจะยังรักษาเสบียงเอาไว้ได้  ส่วนหมอที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองเช่นพวกเขาใยมิใช่มีสภาพถูกละทิ้งเช่นเดียวกับเสบียง
เหลียนอันสุ่ยกลับขบคิดกังวลถึงเรื่องอื่น  จุดสำคัญของการลำเลียงเสบียงอยู่ที่เส้นทางและช่วงเวลาต้องเป็นความลับ  แต่เหตุใดฝ่ายข้าศึกจึงสามารถจัดทัพซุ่มโดยกะนับเวลาได้แม่นยำเช่นนี้!
“พระมาตุลา  ข้าน้อยจะคุ้มกันท่านไปก่อน” เสียงหม่าหลงดังมาจากนอกรถม้า  ต้วนจินดึงเจ้าเหรียญทองที่เดิมทำหน้าที่แบกสัมภาระและหีบยามาเทียบ  กล่าวว่า
“เชิญพระมาตุลาขึ้นม้า” สำหรับพวกเขาสองคนหน้าที่อันดับแรกคือคุ้มกันเหลียนอันสุ่ยให้ปลอดภัย
หากเหลียนอันสุ่ยกลับกล่าวว่า
“ข้าได้ยินเสียงดาบ  ข้างนอกปะทะกันแล้วใช่หรือไม่  ขี่ม้าหลบหนีไปเช่นนี้เป็นจุดเด่นเกินไป”
เมื่อเหลียนอันสุ่ยกวาดสายตาไปโดยรอบก็พบว่าสภาพโดยรวมตกอยู่ในห้วงคับขัน  หลังธนูห่าใหญ่  ทหารหนานเหมินก็ตีกรอบเข้ามาทั้งสองด้าน  อาศัยความได้เปรียบของชัยภูมิกักพวกเขาไว้ทั้งหมด  เห็นได้ชัดว่ารถเสบียงอันอุ้ยอ้ายไม่มีทางฝ่าออกไปได้แน่แล้ว  ส่วนรถม้าของพวกเขาก็ประสบเข้ากับสถานการณ์เดียวกัน
---------------------
“กราบทูลต้าอ๋อง  หน่วยลำเลียงเสบียงของเราถูกโจมตีทั้งสองหน่วย  พวกกระหม่อมเกรงว่าหน่วยที่สามที่ออกเดินทางช้ากว่าก็น่าจะไม่รอดด้วยเช่นกัน”
มีเสียงทุบโต๊ะดัง ‘ปัง’
“พวกนั้นรู้ได้อย่างไรว่าเราจะลำเลียงเสบียงวันนี้  ความลับที่สำคัญขนาดนี้รั่วไหลออกไปได้อย่างไร” ดวงตาคมกริบกวาดมองทหารทุกนายอย่างกดดัน
“ทัพหนานเหมินช่ำชองชัยภูมิ หูตาของพวกเขามีอยู่เต็มไปหมด  เกรงว่าในทัพเราเองก็คงมีสายภายในของพวกเขาอยู่” มู่ซางวิเคราะห์ช้าๆ  สายตากวาดไปตามแผนที่เส้นทางเดินทัพอย่างครุ่นคิด
“หลิวฉางเฟยรับคำสั่ง  ทัพม้าเจ็ดพันเร่งเดินทางไปช่วยโดยเร็วที่สุด  เสบียงรอบสุดท้ายนี้เราจะสูญเสียมันไปไม่ได้เป็นอันขาด” เสบียงทัพหลงเหลืออยู่เท่าใดฉีเซี่ยงหยวนทราบกระจ่างแก่ใจดี
หลิวฉางเฟยรับบัญชา  อดรู้สึกแปลกใจที่ฉีเซี่ยงหยวนยังคงสามารถสั่งการอย่างเยือกเย็น  ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าเสบียงขบวนนนั้นคนที่เดินทางมายังมีเหลียนอันสุ่ยด้วย
“เสบียงรอบสุดท้ายออกเดินทางยามเหม่า(05.00-07.00น.)  เวลานี้สมควรอยู่ที่...นี่” สองนิ้วของมู่ซางวางลงบนจุดๆหนึ่ง  เงยหน้าขึ้นมากล่าวกับหลิวฉางเฟยว่า “ตำแหน่งนี้ลงมือสะดวกที่สุด  ทัพซุ่มของแคว้นหนานเหมินต้องเลือกซุ่มกำลังพลที่นี่แน่  อุดทั้งหัวท้าย  ต่อให้ปลาตัวเล็กที่สุดก็ไม่อาจหลุดรอดออกไป”
โดยไม่มีใครเห็นมือของฉีเซี่ยงหยวนรวบกำเป็นหมัดแน่น สภาพภายนอกที่สงบเยือกเย็น  ต่างกับความเดือดเนื้อร้อนใจที่เกิดขึ้นในใจเขาโดยสิ้นเชิง
---------------------
คำพูดจากปากมู่ซางกลับตรงกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจนน่าตกใจ  เสียงฟันดาบใกล้เข้ามา  บรรดาหมอในรถม้าเริ่มไม่อาจสงบสติอารมณ์  เหลียนอันสุ่ยเลื่อนมือเข้าไปในห่อสัมภาระดึงเอาคันธนูคันหนึ่งออกมา  มืออีกข้างล้วงหากระบอกลูกธนู  สายตาจับนิ่งอยู่ที่ร่างผึ่งผายของคนผู้หนึ่งนอกหน้าต่าง
กำลังของศัตรูแม้แยกตีเป็นหัวท้าย  แต่คนบัญชาการหลักกลับมีคนเดียว  ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็เสาะหาคนผู้นี้เจอแล้ว
แตกต่างกับความสงบนิ่งของเหลียนอันสุ่ย  หม่าหลงกับต้วนจินที่คุ้มกันอยู่รอบรถม้ากระวนกระวายจนใกล้เป็นบ้าแล้วเมื่อพบว่าเหลียนอันสุ่ยไม่มีท่าทีจะหลบหนีไป
ในเสียงดาบเสียดหู  เหลียนอันสุ่ยพาดธนูขึ้นสายอย่างเงียบเชียบ
นิ้วมือมั่นคงถึงเพียงนั้น  สายตาจรดนิ่งแน่วแน่  เสียงธนูแหวกอากาศไม่ดัง  แต่สิ่งที่ตามหลังมันกลับเป็นความโกลาหล
ธนูดอกนั้นเสียบทะลุเส้นเลือดใหญ่ที่คออย่างแม่นยำ  แม่ทัพที่กำลังยกอาวุธสั่งการกำลังพลยกอาวุธค้างอยู่กลางอากาศ  ร่างพลิกร่วงลงมาจากหลังม้า
เสียงศัตรูอุทานอย่างแตกตื่น  พยายามเข้าไปประคอง แต่ถูกเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดอาบย้อมจนเป็นสีแดงฉาน  สายธารแห่งชีวิตสุดท้ายก็แห้งขอด  ทหารหนานเหมินระส่ำระสายหนัก  ได้ยินเสียงรองแม่ทัพพยายามคุมสถานการณ์  แต่ไม่อาจสู้เสียงดังสับสนที่เกิดขึ้นรอบข้างได้  สภาพเป็นระบบระเบียบถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิง

ทว่าสภาพคับขันจวนเจียนของเหลียนอันสุ่ยกลับไม่ดีขึ้น  เมื่อรอบรถม้ามีศัตรูเข้ามาถึงมากเกินไป  หม่าหลงกับต้วนจินชักจะรับมือไม่หมดแล้ว  ทหารอีกสามคนพยายามเข้ามาช่วยเหลือ  แต่ก็ช่วยไม่ได้มากเท่าใด  ลูกธนูในกระบอกของเหลียนอันสุ่ยจึงถูกใช้อย่างต่อเนื่อง  แต่ละดอกแม่นยำไม่ผิดพลาด  สอดใต้เกราะ  เสียบทะลุจุดตาย  พยุงสถานการณ์จนไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาใกล้  บรรดาหมอที่นั่งอยู่ด้วยกันมองเหลียนอันสุ่ยฆ่าคนด้วยสีหน้าอ้าปากตาค้าง  กระถดร่างหนีไปอีกมุมรถ

สภาพเช่นนี้ดำเนินอยู่นานทีเดียว  จนในที่สุดก็มีเสียงร้องตะโกน
“ทัพม้าเป่ยชางยกมาช่วยแล้ว  พวกเราถอย” ทหารหนานเหมินส่งเสียงรับไม่เป็นศัพท์
สำหรับทหารเป่ยชาง  ไม่มียามใดที่เสียงกีบเท้าม้ากระทบกรวดหินฟังดูไพเราะถึงเพียงนี้  เพราะมันคือเสียงแห่งความหวัง  บางทีพวกเขา...อาจไม่ตาย
ตอนเหลียนอันสุ่ยได้ยินคำสั่งถอยถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก  ยิงธนูดอกสุดท้ายออกไป  มองทัพม้าของหลิวฉางเฟยที่เข้ามาคุมสถานการณ์  ทัพม้าของแคว้นเป่ยชางไม่เคยสร้างความผิดหวังให้ผู้คนเลย  วางคันธนูลงกับพื้นรถ  เหลียนอันสุ่ยก้มมองมือของตัวเอง  มือที่จับคันธนูอย่างมั่นคงเมื่อครู่ตอนนี้สั่นสะท้านไม่หยุด  เขาไม่ได้ใช้มือคู่นี้ฆ่าคนมานานแค่ไหนแล้วนะ

ทุกวันเหลียนอันสุ่ยจะต้องเจียดเวลาหนึ่งชั่วยามมาฝึกยิงธนู  การยิงธนูเป็นศิลปะของชนชั้นสูง  แต่สำหรับเหลียนอันสุ่ยการยิงธนูทำให้จิตใจของเขาสงบและทำให้มือของเขามั่นคง  ทว่าตอนที่เลือกจะติดตามมากับกองทัพ  นอกจากหีบยาและห่อเข็ม  เหลียนอันสุ่ยกลับหยิบคันธนูของเขามาด้วย  ไม่คิดจะหลอกตัวเองว่าวันเวลาในค่ายทหารจะผ่านไปโดยราบรื่น  เขาได้ตกลงใจไว้แล้ว  ตกลงใจที่จะฆ่าคน...เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องรอดกลับไป  ข้าจะไม่เป็นภาระให้กับท่าน
---------------------
หลังหลิวฉางเฟยควบคุมทุกอย่างจนสงบเรียบร้อยก็มีคำสั่งให้เร่งเดินทาง  เพราะไม่แน่ว่าศัตรูจะย้อนกลับมาอีก
“แล้ว...คนบาดเจ็บเล่า” เหลียนอันสุ่ยถาม  สายตากวาดมองสภาพสมรภูมิที่มีคนเจ็บคนตายทอดร่างอยู่กับพื้น
“บาดเจ็บน้อยให้ทยอยตามมา  แต่บาดเจ็บหนักเอาไปด้วยไม่ไหว”
เหลียนอันสุ่ยมองทหารที่พยายามคุ้มกันรถม้าเมื่อครู่จนบาดเจ็บสาหัสตัดสินใจกล่าวว่า
“พยุงคนเจ็บขึ้นรถม้าข้า  ระหว่างทางข้าจะรักษาเขาเอง”
แต่หลิวฉางเฟยกลับห้ามปรามไว้
“ระยะทางอีกยาวไกล  การเอาคนเจ็บขนาดนี้ไปด้วยมีแต่ทำให้ล่าช้า  พื้นที่แถวนี้ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นเขตศัตรูล่าช้าไม่ได้แม้แต่น้อย  อีกอย่างการให้คนบาดเจ็บพยายามเดินทางรังแต่เป็นการทรมานพวกเขา”
“แต่คนพวกนี้ล้วนมีโอกาสรอด...” หรือท่านจะทิ้งพวกเขาเอาไว้ที่นี่รอให้ผู้อื่นมาเชือดเฉือน
มีเสียงแผดร้องดังขัดจังหวะ  ทหารที่ถูกสั่งให้ตรวจดูจำนวนคนที่บาดเจ็บล้มตายคนหนึ่งถูกศัตรูที่บาดเจ็บแต่ยังไม่สิ้นใจแทงดาบทะลุชายโครง  หลังแผ่พิษสงศัตรูคนนั้นก็ถูกคนที่เขาทำร้ายเชือดศีรษะหลุดจากบ่า
“พระมาตุลา  ในสนามรบแห่งนี้ไม่ว่าใครก็มีโอกาสรอดและโอกาสตายทั้งนั้น  ที่ข้าทำได้คือทำให้มีคนตายน้อยที่สุด  ดังนั้นเราต้องเดินทางเดี๋ยวนี้ ถ้าเสบียงไม่อาจไปถึงจุดหมาย  นอกจากจะต้องมีคนถูกฆ่าตายเพิ่มขึ้นแล้ว  ยังจะมีคนต้องอดตายด้วย”
“ทหารที่ถูกแทงคนนั้น  ท่านก็จะทิ้งเขาไว้ที่นี่ ? ” เหลียนอันสุ่ยถามถึงเจ้าของเสียงแผดร้องเมื่อครู่
หลิวฉางเฟยผงกศีรษะ
“ถึงเขาจะบาดเจ็บเพราะทำงานให้ข้า  แต่ถ้าขึ้นม้าไม่ไหวก็ต้องทิ้งไว้ที่นี่  พระมาตุลา เชิญขึ้นรถเถอะ”
เหลียนอันสุ่ยก้าวขึ้นรถม้า  ม่านหน้าต่างเลิกขึ้นจนสุด  รถเคลื่อนไปข้างหน้า  สายตาของเหลียนอันสุ่ยกลับทอดมองไปยังบรรดาลมหายใจร่อแร่รวยรินที่ถูกเขาทิ้งไว้เบื้องหลัง  แม้ทราบดีว่าหลิวฉางเฟยพูดไม่ผิด  แต่ซากศพเหล่านี้เมื่อชั่วยามก่อนยังเป็นคนมีชีวิต  คนบาดเจ็บเหล่านี้มีมากกว่าครึ่งที่พอจะช่วยได้  แต่ตัวเขากลับทำได้เพียงหันหลังแล้วเดินจากมา  ช่างเป็นรสชาติที่สุดจะทนทานรับได้
ทว่าทุกคนที่ขี่ม้าอยู่รอบขบวนเสบียงล้วนมีสีหน้าเรียบเฉย  สงครามทำให้คนกลายเป็นอมนุษย์  ป่าเถื่อนโหดร้ายถึงขีดสุด  อำมหิตเฉยเมยเย็นชา  ปกติเหลียนอันสุ่ยทุ่มเทเวลาไปกับการช่วยคนบาดเจ็บในค่ายทหารให้กลับมามีชีวิต  ย่อมไม่มีทางคุ้นชินกับการปล่อยให้คนล้มตายเป็นเบือ  ไม่มีทางคุ้นชิน  และไม่ปรารถนาจะคุ้นชิน

เหลียนอันสุ่ยหลับตาลงช้าๆ  หัวใจเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง  ทราบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้จะติดอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดไป  ไม่มีช่วงเวลาไหนที่เหลียนอันสุ่ยเข้าใจฉีเซี่ยงหยวนยิ่งกว่าช่วงเวลานี้  มิน่าเล่าทุกครั้งที่ทำศึกท่านจึงบอกว่าตัวเองมีความดำมืดที่สกปรกน่าชิงชัง  คิดจะยืนหยัดท่ามกลางสงครามมีแต่ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นอสูรร้าย  มีแต่อสูรร้ายที่สามารถฆ่าคนเป็นเบือกับมือแล้วจะไม่รู้สึกรู้สา
---------------------
ในที่สุดหลิวฉางเฟยก็สามารถอารักขาเสบียงขบวนเดียวที่เหลืออยู่ให้รอดพ้นจนถึงที่ตั้งมั่นของกองทัพเป่ยชาง  สีหน้าทหารทุกคนตอนที่เปิดประตูเมืองต้อนรับขบวนเสบียงเป็นความปีติยินดีจากก้นบึ้งหัวใจ  เพราะนั่นหมายถึงว่าในช่วงเดือนนี้พวกเขาจะยังไม่อดตาย
ตอนนี้ทัพใหญ่ของแคว้นเป่ยชางยึดครองเมืองของแคว้นหนานเหมินที่อยู่ติดกับด่านเหวินถง  สภาพภายในเมืองถูกควบคุมเอาไว้ได้ทั้งหมด  เสบียงถูกขนถ่ายไปเก็บ  อาวุธถูกแจกจ่ายแทนที่หอกดาบซึ่งหักบิ่นไป  หมอในรถม้าทยอยกันเดินลงมา  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกเหมือนมีใครมองมาจากกำแพงเมือง  เมื่อเงยหน้าขึ้นไปจึงเห็นเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนเพ่งมองลงมาจากที่สูง
ดวงตาสองคู่ประสานสบกัน
‘ท่านยังปลอดภัย’
หัวใจของฉีเซี่ยงหยวนเต้นช้าลง  คิดลงไปหาแต่เหลียนอันสุ่ยหลังยิ้มให้เขาคราหนึ่งก็หันหลังหมุนตัวจากไป
---------------------
ห่อสัมภาระของเหลียนอันสุ่ยได้หม่าหลงจัดการเอาไปเก็บ ตัวเหลียนอันสุ่ยเองมาถึงก็ตรงดิ่งไปยังเรือนพักที่จัดเป็นโรงหมอชั่วคราว  คนบาดเจ็บเดิมมากมายอยู่แล้ว  รวมคนเจ็บที่มากับขบวนเสบียงจึงดูละลานตาไปหมด  แม้คนบาดเจ็บที่สามารถติดตามมาจะจัดเป็นพวกอาการไม่หนักหนา  และทหารส่วนใหญ่ก็บาดเจ็บบ่อยจนมีความสามารถที่จะปฐมพยาบาลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง  แต่งานของหมอที่มีรวมๆกันแล้วประมาณสิบกว่าคนก็ยังยุ่งวุ่นวายจนไม่มีใครว่างมือ
ไม่มีเวลาสำหรับหยุดพัก  เพราะพญามัจจุราชดูเหมือนจะไม่เคยหยุดทำงาน  ข้าหวังว่าพวกเขาจะรอดกับบ้านได้มากขึ้น  หวังจากใจจริง...
“หักโหมเกินไปแล้วกระมัง  ไม่รู้จักพักบ้างเกรงว่าพรุ่งนี้คงทำงานไม่ไหว  กลายเป็นตัวไร้ประโยชน์  เพิ่งเดินทางมาถึงมิใช่หรือ” เสียงไม่เป็นมิตรเสียงหนึ่งดังขึ้น  พร้อมกับผ้าห้ามเลือดที่ถูกดึงไปจากมือ
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมาจึงเห็นหย่งเผิง คู่กรณีประจำโรงหมอที่ชมชอบเสียดสีเขาทุกสถานการณ์
หย่งเผิงยังหนุ่มแน่น  ครั้งนี้อาสามาช่วยรักษาในกองทัพเอง  ทว่าคิดไม่ถึงเชื้อพระวงศ์ที่เขาเห็นขัดหูขัดตามาตลอด  ก็ยังตามมาขวางหูขวางตาถึงที่นี่!
เหลียนอันสุ่ยกวาดสามตาไปทั่วๆจึงพบว่าทั้งหมอทั้งคนที่ระดมมาช่วยหมอส่วนใหญ่ต่างหายไปหมดแล้ว  ที่แท้เขากลับทำงานจนลืมไปรับประทานมื้อเย็น
“ไปได้แล้ว  คนของแคว้นข้า  ข้ารักษาเองได้” คราวนี้หย่งเผิงออกปากไล่อย่างชัดเจน
ทว่าเหลียนอันสุ่ยกลับยิ้มบางๆ  กล่าวว่า
“ขอบคุณ”
เห็นรอยยิ้มกับวาจาเช่นนี้  หย่งเผิงถึงกับเลือดลมติดขัดกะทันหัน  แทบยกนิ้วชี้หน้า กล่าวว่า ‘เจ้าแน่มาก’  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยรับมือคำด่าของเขาด้วยท่าทีราวกับได้รับคำชื่นชมอวยพร  ซึ่งนั่นทำให้หย่งเผิงมีโทสะจนแทบอัดอกตาย  แต่พาลระบายออกมาไม่ได้  หมอนี่ต้องจงใจ...ต้องจงใจอย่างแน่นอน  คงหวังให้เขากระอักเลือดออกมาซักวันหนึ่ง

ทว่าในสายตาของเหลียนอันสุ่ยกลับเห็นเป็นว่าหย่งเผิงกำลังพยายามญาติดีกับเขา  ในใจที่หมองเศร้ากับเรื่องที่เกิดเบาสบายขึ้นมาบ้าง  ถึงแม้สงครามจะตีแผ่ด้านที่โหดร้ายของมนุษย์  แต่ก็ตีแผ่ด้านที่ดีงามด้วย  ล้างมือในอ่างน้ำจนสะอาดหมดจด  เดินออกมาพลางยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อบนใบหน้า  ทว่ากลับมีผ้าผืนหนึ่งยื่นออกมาซับเหงื่อให้เขาก่อน
เมื่อหันไปมอง  เหลียนอันสุ่ยจึงเห็นฉีเซี่ยงหยวน

เป่ยชางอ๋องผู้นี้ไม่ทราบมายืนอยู่ตามทางเดินแถวนี้ตั้งแต่เมื่อใด
“ให้ข้าเชือดมันให้ท่านดีหรือไม่  ได้ยินว่าชอบขวางทางท่านมาตั้งแต่อยู่ที่โรงหมอ”
เหลียนอันสุ่ยฟังวาจาอีกฝ่ายแล้วอึ้งไปครู่  จากนั้นก็หัวเราะ  โบกมือ  กล่าวว่า
“ไม่ต้องหรอก  ข้าเจอคนวาจาดีงามแต่ในใจเลวร้ายมาเยอะ  นานๆครั้งจะเจอประเภทปากเลวร้ายแต่ในใจไม่เลวทรามกับเขาบ้าง”
“อ้อ  ในใจไม่เลวทราม  แล้วที่มันวางแผนสารพัดจะขับท่านออกจากโรงหมอนี่เรียกว่าอะไร” สีหน้าและวาจาของฉีเซี่ยงหยวนไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน
“หย่งเผิงใจแคบไปบ้าง  ดูถูกคนต่างแคว้นมากไปหน่อย  แต่ข้ายังไม่เคยเจอใครอุทิศตัวทำงานให้โรงหมอมากเท่ากับเขา”
ขณะกล่าววาจามือของเหลียนอันสุ่ยก็ถูกคว้ากุมไว้
“ได้ยินว่าวันนี้ท่านเป็นคนฆ่าแม่ทัพของฝ่ายศัตรู...เป็นอะไรหรือไม่”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆพลางสั่นศีรษะ
ฉีเซี่ยงหยวนกวาดตามองสภาพของคนตรงหน้า  กล่าวว่า
“ข้าไม่อยากให้ท่านต้องเสี่ยงอันตราย  และไม่อยากให้ท่านต้องลำบากเลย  ให้ข้าส่งท่านกลับไปดีหรือไม่” เมื่อครู่ฉีเซี่ยงหยวนเห็นแล้วว่างานในกองทัพที่เหลียนอันสุ่ยทำอยู่หนักแค่ไหน อีกอย่างเขาไม่อยากให้มือคู่นี้ต้องเปื้อนเลือดอีก
“ข้ายังไม่อยากกลับไป  ไม่ใช่ตอนนี้  ต้าอ๋อง  ข้าไม่เป็นอะไรหรอก  ท่านอย่าลืมว่าข้าเป็นหมอต่อให้อยู่ในกำมือคนพวกนั้นพวกเขาก็จะไม่ฆ่าข้า” หมอประจำกองทัพมีคุณค่าเสมอในห้วงอเวจีเช่นนี้  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจความจริงข้อนี้ดี  ในห้วงอันตรายจึงยังสามารถสงบเยือกเย็น
“ท่านเป็นหมอที่มีความสามารถฆ่าคน  พวกเขาไม่ปล่อยท่านเอาไว้แน่”
“เซี่ยงหยวน  หมอทุกคนล้วนสามารถฆ่าคน พวกเราแค่ไม่ทำเท่านั้น” ในเมื่อเรียนรู้ที่จะช่วยชีวิต  ย่อมทราบกระจ่างว่าวิธีใดสามารถคร่าชีวิต  เหลียนอันสุ่ยแจกแจงความจริงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ท่านอยากอยู่ที่นี่จริงหรือ  ที่นี่มีแต่การฆ่าฟัน  มีแต่ความตาย”

“ข้าอยากเห็นในสิ่งที่ท่านเห็น  อยากเข้าใจในสิ่งที่ท่านเป็น  หัวเราะกับท่าน  ลำบากกับท่าน  อยู่ร่วมกันในชั่วขณะที่เราสามารถอยู่ร่วมกัน แคว้นเหลียนเป็นแคว้นของข้า  ในเมื่อตอนนี้แคว้นเหลียนเป็นของแคว้นเป่ยชาง  มีทหารชาวเหลียนจำนวนไม่น้อยที่ติดตามมาที่นี่  หรือข้าไม่มีสิทธิ์ทำเพื่อแผ่นดินของข้า  คนรักของข้าเป็นเป่ยชางอ๋อง  หรือข้าไม่มีสิทธิ์อยู่เคียงข้างเขา  ทำเรื่องที่ข้าทำได้เพื่อช่วยเหลือเขา”
ข้าไม่อยากให้เรื่องระหว่างเราเป็นแค่ความคิดถึงในวันที่ข้ายังสามารถอยู่เคียงข้างท่านได้

ฉีเซี่ยงหยวนเก็บคำขอร้องให้กลับไปไว้แค่ในใจเขา  ขณะก้าวช้าๆไปเคียงกัน  เรื่องที่จะส่งตัวเหลียนอันสุ่ยกลับแคว้นเป่ยชางฉีเซี่ยงหยวนมิได้เพิ่งมาคิดแค่วันเดียว  ทว่าภาพที่เหลียนอันสุ่ยช่วยคนเจ็บเมื่อครู่กลับทำให้เขาพูดไม่ออก  ขณะที่เขาต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกับเฮ่อสวิน  เหลียนอันสุ่ยก็กำลังต่อสู้ในสมรภูมิที่แตกต่างออกไป  สนามรบที่เขาไม่อาจก้าวก่าย  แต่กลับมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน  แล้วตัวเขาอาศัยอะไรไปตัดสินใจแทนคนที่ตัดสินใจแน่วแน่มาตั้งแต่แรก

==========
กว่าพิมพ์เสร็จล่วงเข้าวันถัดไปพอดี  เอาเป็นว่ามาช้าแต่พิมพ์ด้วยใจ  รักนะฮะ :mew1:

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 07-12-2014 08:45:31
 :mew1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 07-12-2014 10:21:42
 :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-12-2014 10:37:10
อบอวลไปด้วยความรักจริงๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: BBnuna ที่ 07-12-2014 11:32:15
ชอบสำนวนและอะไรหลายๆอย่างของเรื่องนี้มากค่ะ  :katai3: จากที่เมื่อก่อนเม้นไม่ทันคงได้เม้นบ่อยๆเพราะเรื่องนี้สตอกหมดแล้วสิน่ะค่ะ ฮือออ รู้สึกอยากอ่านนนนนนน :ling1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 07-12-2014 13:59:18
มาตามอ่านจ้า

เป็นกำลังใจให้จ้า
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: ~มือวางอันดับ1~ ที่ 07-12-2014 16:35:01
คิดถึงท่านปิตุลามากๆๆ :man1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Wereena ที่ 07-12-2014 20:08:15
สองคนนี้อยู่ด้วยกันทีไร รู้สึกมีความรักอบอวลอยู่รอบตัว อั้ยยะ หวานท่ามกลางสงคราม นี่สินะ หน้าที่คนรักของต้าอ๋อง :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 07-12-2014 20:31:33
คือมันดี ดีงามม
รักเหลียนๆมากขึ้นอีก ชอบวิธีคิด มุมมอง และการเข้าใจกันนึกถึงกันของสองคนนี้จริงๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 07-12-2014 21:53:42
มาตามอ่านอยู่จ้า

ยังอ่านไม่ทัน

เรื่องสนุกมากๆ

สู้ๆนะคนแต่ง
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 07-12-2014 23:19:12
ยังอ่านไม่ทัน

ขอตัวไปนอนก่อนจ้า
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 08-12-2014 00:44:50
เหลียนๆทั้งเข้มแข็งและอ่อนโยน ชอบทุกอย่างที่เขาคิดและทำไปซะหมดเลยจริงๆ
เปยซางอ๋องก็เด็จเดี่ยวมั่นคง เท่มากๆ และความรักของทั้งคู่ก็ยลึกซึ้งมากๆ

โอ๊ยยยย ลุ้นว่าเรื่องจะเดินไปทางไหน
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 08-12-2014 05:36:23
โอย เรื่องนี้แน่นมาก เข้มข้นมาก คนแต่งสู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 08-12-2014 09:43:02
ชอบเรื่องนี้มาก กรี๊ดกร๊าด จิกหมอนตลอด 5555
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 11-12-2014 02:00:27
ตามทันจนได้  สนุกมากๆเลย อ่านแล้วละมุนละไมไปหมด สู้ๆค่ะคุณคนเขียน :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Jeyibee ที่ 11-12-2014 06:58:25
ชอบบบบมากกก  ลงตัวมากก เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 11-12-2014 10:42:01
ในที่สุดก็อ่านจนทันแล้วค่ะ เป็นสองวันครึ่งที่ทั้งรู้สึกอึดอัด เศร้าใจ อบอุ่น และก็ยิ้มแก้มจะแตก แถมยังเก็บไปฝันด้วยค่ะ 555
ปกติียไม่อ่านแนวจีนโบราณเพราะเรื่องธรรมเนียมประเพณีค่ะ คือรุ้ว่ามันต้องดราม่าน้ำตาร่วงแน่นอน โดยเฉพาะถ้าพระเอกนายเอกมีใครสักคนเป็นอ๋อง มันจะเป็นอะไรที่อภิมหาโศกมาก
แต่สำหรับเรื่องนี้ ต้องบอกว่าโชคดีที่ได้หลงเข้ามาเลยค่ะ คือชอบบทบรรยายแบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ ชอบพระเอกร้ายหน่อยๆ นายเอกเข้มแข็ง ไม่ชอบอะไรที่มันเศร้าหรืออึดอัด แต่ช่วงที่เรื่องกำลังเข้ม ดราม่าจ๋า เราก็หยุดอ่านไม่ได้ไปแล้ว อ่านแล้วอินมาก รู้สึกเจ็บไปกะพระนายมาก โดยเฉพาะตอนช่วงสองอาทิตย์ก่อนจะจากกัน คุณคนเขียนทำให้เรารุ้สึกว่า ยังไงก็ต้องบ๊าบบายกันแน่ๆ แต่พอสุดท้ายเหลียนอันสุ่ยยอมอยุ่ เรานี่แทบจะกรี๊ดลุกมากระโดดโลดเต้นเลยค่ะ  แล้วพออ่านมาเรื่อยๆจนถึงช่วงปฏิรูป เราก็เลยรู้สึกได้ว่าโชคดีแล้วที่เหลียนอันสุ่ยไม่ไป ถึงแม้จะมีคำครหา ก็สามารถจับมือฝ่าฟันไปด้วยกันได้ มีทุกข์บ้าง แต่ช่วงเวลาที่ได้มีกันและกันเป็นอะไรที่มีความสุขมาก สุขทั้งพระนาย สุขทั้งคนอ่าน คือคู่นี้มุ้งมิ้งไม่บ่อย แต่คนอ่านรู้สึกอบอุ่นกิ๊วก๊าวเอามือจิกหมอนด้วยความอิจฉาเนืองๆ 555

ขอบคุณมากเลยที่เอามาลงในนี้ ป็นกำลังใจให้คุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Wereena ที่ 12-12-2014 18:59:56
เข้ามาเจิมกด+ เปิดซิงที่เพิ่งกดได้ให้คนเขียนเรื่องนี้เลย บอกตง ข้าน้อยขอคาราวะ :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68 ........................................07/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: beery25 ที่ 12-12-2014 19:10:55
ชอบมากๆคนแต่งเก่งมากๆ อ่านแล้วได้แนวคิดหลายอย่างเลย ตามอ่านตั้งแต่ใน เด็กดี เป็นิีกเรื่องที่ตามอ่านมายาวนาน o13
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 69
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 17-12-2014 18:56:19
บทที่ 69 ขาดเสบียง

ปัญหาเสบียงถูกปล้นชิงระหว่างการขนย้ายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก  แม้มีการเปลี่ยนเส้นทางลำเลียงเพื่อหลบเลี่ยงอยู่หลายครั้งแต่กลับไม่ค่อยได้ผล  ราวกับทุกฝีก้าวย่ำอยู่ในสายตาของแคว้นหนานเหมิน
เสบียงเก่าร่อยหรอ  เสบียงใหม่ไม่มาเติม  ในที่สุดทัพหลักของแคว้นเป่ยชางก็ประสบกับปัญหาขาดแคลนเสบียงทัพ  เห็นได้ชัดว่าเฮ่อสวินคิดอาศัยวิธีนี้กดดันให้เป่ยชางอ๋องต้องถอนทัพกลับไป 

การขอเสบียงจุนเจือจากทัพหยงเซี่ยงเป็นสิ่งที่ไม่อาจกระทำ เพราะทัพหยงเซี่ยเองก็ต้องเลี้ยงทหารเรือนหมื่น  และไม่มีผู้ใดรับประกันได้ว่าระหว่างการขนย้ายจะไม่ถูกปล้นชิงไปอีก
ทุกๆที่ที่ก้าวผ่านในแคว้นหนานเหมินล้วนเต็มไปด้วยขวากหนามอย่างแท้จริง  สายในกองทัพต่อให้ขุดรากถอนโคนทิ้งไปได้  แต่ยังคงมีชาวบ้านตามรายทางมากมายที่ยินดีเป็นหูตาส่งข่าวถึงเฮ่อสวิน  ระบบส่งข่าวอันยอดเยี่ยมที่เกิดจากการชำนาญพื้นที่  ความภาคภูมิทุ่มเทอย่างลึกซึ้งที่ชาวหนานเหมินมอบให้แผ่นดินเกิด  ทำให้แม้เป็นชาวบ้านธรรมดาก็ยังมีพิษสงก่อกวนจนฉีเซี่ยงหยวนปวดหัวได้
แคว้นเช่นนี้ตีแตกยากเย็น  คิดปกครองยากเย็นยิ่งกว่า  บารมีของหนานเหมินอ๋องนับว่าหลอมสร้างแคว้นหนานเหมินจนเป็นปึกแผ่นน่าดูชม  คิดกลืนกินแคว้นหนานเหมินในตอนนี้ถือเป็นความเพ้อฝันขนานใหญ่  ฉีเซี่ยงหยวนทราบแล้วว่ามันยังไม่ถึงเวลา  ความมุ่งหมายหลักในตอนนี้คือกดดันให้หนานเหมินอ๋องยอมวางมือจากแคว้นโหยวเฉิง ถอยทัพกลับมา เพียงแต่แม้คิดช่วยผู้อื่นหากตัวเองยังจะยากจะเอาตัวรอดได้
ถ้าทุกอย่างยังดำเนินไปเช่นนี้พวกเขามีสิทธิ์จะอดตายทั้งกองทัพ !
---------------------
ห้องกว้างเปิดหน้าต่างบางส่วนให้อากาศถ่ายเท และให้แสงอาทิตย์ยามกลางวันลอดเข้ามา  มีเหล่าหมอในกองทัพทำงานกันอย่างขะมักเขม้น  ทุกครั้งที่เปิดศึกจะมีคนไข้ใหม่เข้ามา  ส่วนคนไข้เก่าก็ยังไม่หายดีค้างคาอยู่เต็มโรงหมอชั่วคราวแห่งนี้  เสียงพูดคุยจอแจ  ช่วงสองสามวันนี้คนไข้ใหม่ยังไม่มี  มีแต่คนไข้เก่าที่นอนพักฟื้นข้างกันมาสามสี่วันจนก่อเป็นความรู้จักมักคุ้น

เหลียนอันสุ่ยเดินดูร่องรอยการบาดเจ็บของทหารที่ได้รับแผลเหวอะหวะขนาดใหญ่  เพื่อตรวจดูว่ามีแผลเน่าหรือไม่ เมื่อพบว่าไม่มีก็พันกลับคืน  แต่หากพบว่ามีก็จำเป็นต้องล้างทำความสะอาด  นาบด้วยความร้อน  หรือคิดถึงการตัดขาทิ้ง  เสียงพูดคุยจากทหารบาดเจ็บนอนบนเสื่ออยู่ไม่ไกลดังมาให้ได้ยิน  ปกติเหลียนอันสุ่ยจะชมชอบฟังพวกเขาคุยกันเรื่องสถานการณ์ในกองทัพ  เพราะมันจะทำให้เขาทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนกำลังเผชิญหน้ากับอะไร  ทว่าวันนี้สิ่งที่ได้ยินดูเหมือนจะมิใช่เรื่องธรรมดา

“จริงรึเปล่าที่ว่าทัพเราตกอยู่ในช่วงขาดแคลนเสบียง ? ”
“นี่เจ้าเสียงเบาๆหน่อย  ทราบหรือไม่ว่าปัญหาแบบนี้ห้ามพูดเพราะมันทำลายขวัญกำลังใจ”
“หา  อย่างนี้แสดงว่าเราจะอดตายกันจริงๆใช่หรือไม่  เรื่องเสบียงฝ่ายเราถูกปล้นชิงเป็นความจริงสินะ” เสียงอุทานดังไปหน่อย  คนรอบข้างจึงเริ่มหันมาให้ความสนใจ  แม่ทัพที่สูญเสียขาไปข้างหนึ่งกวาดสายตาคมกริบมาด้านนี้  ทำให้คู่สนทนาหุบปากฉับ  หันหน้าไปคนละทาง  ทำราวเมื่อครู่มิได้เอ่ยสิ่งใด
“...ท่านหมอ ท่านหมอ  จะให้ข้าน้อยพลิกตัวเขาหรือไม่ ท่านี้ดูแผลลำบาก”
เหลียนอันสุ่ยดึงสติกลับมาเนื่องจากได้ยินเสียงเรียกดังกล่าว  พยักหน้าให้กับทหารที่อาสามาช่วยงานโรงหมอออกแรงพลิกตัวทหารที่บาดเจ็บไม่ได้สติ
เหลียนอันสุ่ยทำหน้าที่ในส่วนของเขาจนเสร็จ  ล้างมือให้สะอาดเป็นขั้นตอนสุดท้าย  ก่อนจะเดินออกไปตักน้ำมาดื่ม  แต่ละวันเขาจะมีเวลาว่างเป็นช่วงดื่มน้ำสั้นๆที่เหลียนอันสุ่ยปล่อยให้ตัวเองคิดถึงเรื่องของฉีเซี่ยงหยวน

หลายวันมานี้ข่าวทำนองขาดแคลนเสบียงถูกพูดถึงบ่อยเหลือเกิน  ที่แท้แล้วข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรกันแน่

ปลายหางตาของเหลียนอันสุ่ยเหลือบเห็นเงาร่างคุ้นๆ  เดินไปที่เตียงของแม่ทัพที่เสียขาผู้นั้น  กลับเป็นเถี่ยเจิ้ง นายทัพจากแคว้นเหลียนที่เหลียนอันสุ่ยเคยสนับสนุนต่อฉีเซี่ยงหยวน  ...เหลียนอันสุ่ยทราบว่าเขาจะได้รับทราบสถานการณ์ที่แท้จริงจากคนผู้นี้



“ที่แท้เถี่ยเจิ้งเป็นพวกใช้ไม่ได้  ความลับทางทหารที่สำคัญเขากลับเอามาเปิดเผยต่อท่านง่ายๆ” คำพูดนี้ดังขึ้นเมื่อเหลียนอันสุ่ยเดินผ่านปลายเตียงของแม่ทัพแซ่กู่ผู้สูญเสียขาไปข้างหนึ่ง
เหลียนอันสุ่ยชะงัก  ดูเหมือนการสนทนาที่เขาเข้าใจว่ามิดชิดดีแล้วยังคงมีคนบังเอิญเห็น  ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวต่อว่า
“ข้าน่ะ  อย่างอื่นก็ปกติธรรมดา  มีเพียงหูคู่นี้ที่ดีเป็นพิเศษ  ข้าสังเกตมานานแล้วว่าท่านดูเหมือนจะอยากทราบความเป็นไปของกองทัพเราเหลือเกิน  นับว่าเป็นหมอที่ใส่ใจสถานการณ์บ้านเมืองจนน่าชื่นชม”

“...ท่านสงสัยว่าข้าเป็นไส้ศึก ? ” เหลียนอันสุ่ยพูดพลางเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ  มองชายไว้เคราที่ยังดูหนุ่มฉกรรจ์ตรงหน้า
“ข้าอยากฟังว่าท่านมีข้อแก้ตัวอะไร” ยกสองมือขึ้นกอดอก  เพ่งมองกลับนิ่งๆ
“แม่ทัพกู่” เสียงแทรกกะทันหันดังมาพร้อมกับการประสานมือคารวะของหม่าหลง  ส่วนต้วนจินที่เดินตามมาด้วยหันไปถามเหลียนอันสุ่ยว่า
“พระมาตุลา  มื้อเที่ยงข้าน้อยยกมาให้ท่านแล้ว  จะได้ไม่ต้องไปแย่งชิงกับผู้อื่น”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆพลางกล่าว
“ขอบคุณ” ทราบว่าต้วนจินเห็นว่าเขามักไปแย่งชิงไม่ทันเพราะมัวแต่ทำงานไม่ค่อยสนใจเวลาอาหารจึงตักมาให้ก่อน
“ท่านคือพระมาตุลาแคว้นเหลียน ? ” ชายไว้เคราบนเตียงถามขึ้นกะทันหัน
เหลียนอันสุ่ยพยักหน้า
“ความจริงท่านเรียกข้าเป็นท่านหมอแบบคนอื่นๆในโรงหมอก็ได้” กล่าวพลางทำท่าจะนั่งลงบนเก้าอี้ปลายเตียง  ทว่าผู้ป่วยเจ้าของเตียงกลับเอ่ยปากห้าม
“ถ้าท่านเป็นพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็อย่านั่ง  เก้าอี้ปลายเตียงข้ารับรองเชื้อพระวงศ์ระดับนี้ไม่ไหวจริงๆ  และตัวข้าเองก็ป่วยเกินกว่าจะรับมือพายุหึงของใครได้”
เหลียนอันสุ่ยอึ้งไป ส่วนหม่าหลงกับต้วนจินหันไปหัวเราะให้แก่กัน  เหลียนอันสุ่ยมองสายตาที่เพ่งพิจารณาเขาอย่างละเอียด  พลันทราบว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร  ใบหน้าจึงแดงซ่านขึ้นเล็กน้อย
“ข้าก็ว่าทำไมไม่เห็นพวกเจ้าอยู่ใกล้ๆต้าอ๋อง  ที่แท้มาทำงานเฝ้า ‘ของ’ อยู่แถวนี้เอง” ปกติเหลียนอันสุ่ยไม่ค่อยชอบความรู้สึกถูกเฝ้า  หม่าหลงกับต้วนจินจึงมักเฝ้าประจำการอยู่นอกโรงหมอแทน
เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แม่ทัพกู่จึงเลิกซักไซ้เหลียนอันสุ่ยไป  ทว่าคนที่ยังมีเรื่องจะถามกลับเป็นพระมาตุลาแคว้นเหลียน
---------------------
ลมยามเย็นพัดอย่างหงอยเหงา  บุรุษที่ทุกผู้คนเรียกติดปากเป็นว่าแม่ทัพกู่ใช้ไม้ค้ำพาตัวเองมาถึงนอกโรงหมอ  ได้ยินเสียงสงบนุ่มนวลเสียงหนึ่งถามขึ้นว่า
“สถานการณ์เรื่องเสบียงหนักหนาสาหัสเช่นที่พวกเขาพูดกันจริงหรือ” เหลียนอันสุ่ยเอ่ยปากถามเพราะทราบว่าคนตรงหน้าเขาไม่แน่ว่าทราบเรื่องราวละเอียดกว่าเถี่ยเจิ้งอีก  แม่ทัพกู่เป็นผู้บังคับบัญชาของเถี่ยเจิ้ง  ตอนที่เขาถูกฟันจนขาเป็นแผลเหวอะหวะคนที่พยุงเขาเข้ามาคือฝงเป่า  และเป็นแม่ทัพที่ทำให้เป่ยชางอ๋องมาเยี่ยมไข้ด้วยตัวเอง  ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่ตื้นเขินอย่างเด็ดขาด  และข่าวสารที่เขาทราบก็ต้องไม่ตื้นเขินอย่างแน่นอน

คนถูกถามเพ่งมองเหลียนอันสุ่ยอยู่ครู่หนึ่งก็ยินยอมอธิบายสถานการณ์คร่าวๆให้ฟัง  เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วใจหายวูบ  ทุกอย่างดูเหมือนจะคับขันกว่าที่เขาคิดเสียแล้ว
“ตอนอยู่ที่แคว้นเหลียนข้าเคยมีบุญคุณต่อเถี่ยเจิ้ง  เขาปฏิเสธไม่บอกข้าไม่ได้  ขอท่านอย่าถือสาเขา  ที่ข้าถามเขาเป็นเพราะข้า...เอ่อ...ข้า...”
ชายไว้เครามองสีหน้าคู่สนทนาแล้วหัวเราะ
“ท่านเป็นห่วงคนรักของท่านเป็นเรื่องที่เข้าใจได้  อีกอย่างข้าไหนเลยสามารถถือสาหาความเถี่ยเจิ้ง  ตอนนี้ข้าเป็นแบบนี้...งานในกองทัพได้แต่อาศัยเขารับช่วงต่อ” ก้มหน้ามองขาที่ถูกตัดทิ้งของตัวเอง  แค่นหัวเราะเบาๆ
ในเสียงหัวเราะนี้แฝงความเจ็บปวดไม่ยินยอมพร้อมใจ ทั้งๆที่บุรุษตรงหน้ายังหนุ่มแน่น  แต่อนาคตทางการทหารของเขาถูกพรากไปพร้อมกับขาข้างนี้แล้ว
ในความเจ็บปวดของบุรุษตรงหน้าเหลียนอันสุ่ยกลับมองเห็นความเจ็บปวดของฉีเซี่ยงหยวน  บัญชาครั้งนี้ของเขากลับทำลายอนาคตของสหายร่วมเป็นร่วมตายผู้นี้ตลอดกาล
ผู้ที่เข้าใจสงครามอย่างลึกซึ้งไม่มีผู้ใดปรารถนาจะก่อสงคราม  ฉีเซี่ยงหยวนอยู่กับสงครามมาเป็นเวลานาน  ไม่มีทางไม่ทราบรสชาติของความสูญเสีย  ทว่าสงครามครั้งนี้กลับไม่ก่อไม่ได้  หากปล่อยให้หนานเหมินอ๋องยึดแคว้นโหยวเฉิงไปตามใจชอบ  หลังจากนี้แคว้นเป่ยชางได้แต่นับเวลาถอยหลังรอคอยถูกกลืนกินสถานเดียว 

นับตามจำนวนคนแคว้นหนานเหมินใหญ่กว่าแคว้นเป่ยชางอยู่แล้ว  นับความเจริญแคว้นหนานเหมินก็เหนือล้ำกว่าแคว้นเป่ยชางมากนัก  นับเรื่องความเป็นปึกแผ่นแคว้นหนานเหมินแม้ด้อยกว่าแคว้นเป่ยชางแต่ในด้านอำนาจบารมีกลับเหนือกว่ามานานปี  หากฉีเซี่ยงหยวเคลื่อนทัพช้ากว่านี้นั่นคือความไม่ตระหนักรู้ตัว

การตัดสินใจของเป่ยชางอ๋องกอบกุมชะตาของแว่นแคว้นเอาไว้  ลิขิตชะตากรรมของผู้คนนับหมื่น  ผิดพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด  แรงกดดันนี้ชวนให้ผู้คนเหนื่อยล้านัก  ที่น่าเจ็บปวดคือไม่ว่าจะตัดสินใจผิดพลาดหรือไม่สุดท้ายก็ต้องมีผู้สูญเสีย  และการสูญเสียบางประการแม้ยังมีชีวิต  แต่นั่นเป็นยิ่งกว่าการฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น

เหลียนอันสุ่ยหาที่นั่งทรุดตัวลงช้าๆ
“ข้าจะไม่บอกว่ามันง่ายดาย  เพราะข้าไม่ได้ยืนอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับท่าน  แต่ข้าเคยเห็นคนไข้ขาพิการมากมาย  พวกเขาแม้สูญเสียความฝัน  แต่ก็ยังสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีคุณค่า  เพราะฝันในชีวิตคนเราไหนเลยจำกัดว่ามีได้เพียงหนึ่งเดียว  และข้าก็เคยเห็นคนที่พยายามจะทำตามความฝันนั้นต่อไปแม้จะต้องพยายามด้วยความยากลำบาก  สุดท้ายเขาก็สามารถทำตามความฝันนั้นของเขาได้จริงๆ  ท่านจะเหลือเชื่อถ้าท่านได้รู้ว่าคนพิการทำอะไรได้บ้าง  คนบางคนเกิดมาไม่มีแขนมีขา  แต่กลับสามารถลุกขึ้นยืนได้  ตีลังกาได้”
คนฟังส่งเสียงเหอะในลำคออย่างขมจัด พึมพำว่า
“บางทีพิการแต่กำเนิดอาจจะยังดีกว่า  อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องลิ้มรสของการได้มาแล้วสูญเสียไป” ซึ่งมันเจ็บปวดยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
“จะไปดีกว่าได้อย่างไร  เพราะอย่างน้อยท่านก็ยังเคยได้มา  แต่ตั้งแต่เกิดมาเขากลับไม่เคยได้ลิ้มรสชาติของการเป็นคนปกติ  ตั้งแต่เกิดมาก็ถูกตราหน้าว่าเป็นคนพิการ” เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก  ระงับความรู้สึกหดหู่ที่พลุ่งพล่านขึ้นมา  เหม่อมองออกไปไกลแสนไกลขณะพึมพำว่า “มีคนมากมายถูกกลบฝังอยู่ข้างนอกนั่น  อย่างน้อยท่านก็สมควรดีใจที่ท่านยังมีโอกาสได้กลับบ้าน  ในขณะที่พวกเขาไม่อาจมีแล้วชั่วนิรันดร์”
“...อย่างนั้นหรือ”
ตะวันของวันนี้ค่อยๆลับขอบฟ้าอย่างแช่มช้า 

เหลียนอันสุ่ยหวังว่าคำพูดของเขาจะพอช่วยอะไรได้บ้าง  ...ไม่ต้องให้คนผู้หนึ่งสิ้นหวังไปมากกว่านี้  ...และไม่ต้องให้คนอีกผู้หนึ่งรู้สึกผิดไปมากกว่านี้  อำนาจตัดสินเป็นตายของผู้อื่นหนักหนาเสมอ  วันที่เหลียนอันสุ่ยเกลียดที่สุดคือวันที่มีการปะทะกันในสมรภูมิ  เพราะในวันนั้นคนเจ็บจะมีมากมายเกินไป  ท่านเพียงสามารถเลือกช่วยได้แต่คนที่มีโอกาสรอดมากกว่า
 
การ ‘เลือก’ บางครั้งเจ็บปวดเหลือเกิน เพราะท่านรู้ดีว่าเมื่อท่านเลือกแล้วคนที่ไม่ถูกเลือกจะไม่มีโอกาสรอดอย่างเด็ดขาด

บางทีฉีเซี่ยงหยวนคงกำลัง ‘เลือก’ อยู่เช่นกัน  เลือกว่าจะทำอย่างไรต่อไป  ถ้าหากว่า...ถ้าหากว่าทางเลือกนั้นผิดพลาด  ถ้าหากว่า...ถ้าหากว่าทางออกนั้นไม่มีอยู่  ผู้รับผิดชอบคือชาวเป่ยชางทั้งแคว้น!

เหลียนอันสุ่ยเดินกลับเข้าไปในโรงหมอ  เริ่มต้นลงมือทำงานของเขา  แม้ใจเป็นห่วงเป็นอย่างมากแต่กลับทราบดีว่าหน้าที่ช่วยเหลือฉีเซี่ยงหยวนในการรบมิใช่ของเขา  การศึกมิใช่เรื่องของคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการนำทัพ แต่เป็นศาสตร์ที่มีรายละเอียดลึกล้ำกว้างขวางของมันเอง  เวลาที่เคยศึกษาส่งผลต่อความชำนาญ  หมอมีประสบการณ์ดูสีหน้าคนไข้ก็เดาอาการของโรคได้  แม่ทัพมีประสบการณ์ดูรอยฝุ่นทรายก็ทราบว่าทัพที่ยกมาเป็นทหารราบ  ทหารม้า  หรือรถศึก

ในมือฉีเซี่ยงหยวนมีคนมีความสามารถมากพออยู่แล้ว  ไม่จำเป็นต้องเพิ่มเขาเข้าไปอีกคนหนึ่ง  งานของเขาอยู่ที่นี่ต่างหาก  ส่วนหัวใจของเขา...อยู่กับอีกฝ่ายตลอดกาล
---------------------
เวลาใกล้พลบเป็นช่วงเวลารับแจกอาหาร  เหล่าทหารเดินเรียงแถวยื่นชามรับข้าวต้มที่ตักจากหม้อใหญ่ด้วยสีหน้ากังวลใจ  ข้าวต้มนับวันจะใสขึ้นทุกที  ใช้ช้อนควานจนทั่วชามช้อนได้เม็ดข้าวไม่กี่เม็ด

ข้างกระโจมใหญ่ นายกองสองคนที่เพิ่งเข้าไปประชุมรับมอบคำสั่ง  กำลังกวาดข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก  แม้ทางกองทัพจะพยายามหามันและผักที่ขึ้นในรัศมีรอบตัวเมืองมาชดเชยก็ยังไม่อาจทดแทนได้เพียงพอ  ทัพใหญ่ที่มีทหารหลายหมื่นอาหารการกินแต่ละมื้อสิ้นเปลืองอย่างยิ่ง
“ท่านว่าพวกเราต้องกินแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
“จนกว่าเสบียงรอบต่อไปจะมา”

“หวังว่าเสบียงรอบนี้จะไม่ถูกปล้นอีก” คู่สนทนาพึมพำ  แต่พวกเขาทั้งสองต่างทราบดีว่านี่เป็นเรื่องยาก  รถเสบียงอุ้ยอ้ายเทอะทะเดินทางได้ช้าเป็นเป้าที่จู่โจมง่าย  ต่อให้ศัตรูไม่มีความสามารถเอาชนะทหารที่คุ้มกันเสบียงก็ยังคงมีความสามารถเผาเสบียงทิ้ง  พวกเขาต้องทนฟังข่าวอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องถูกเผาไปคันรถแล้วคันรถเล่าด้วยสีหน้าเจ็บแค้น

อีกคนฟังคำสหายร่วมรบแล้วถอนหายใจ  กล่าวว่า
“กลัวแต่ว่ากินเช่นนี้ทุกวัน  ทหารจะเอาแรงที่ไหนไปรบกับข้าศึก”
“ข้าว่าสวรรค์คงแก้เผ็ดที่อยู่ที่บ้านข้าชอบกินทิ้งกินขว้างเลยต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
“บ้าน...เหอะ  พูดถึงบ้านแล้วพวกเราจะได้กลับไปรึเปล่าก็ยังไม่รู้” น้ำเสียงมีแววหวนคิดถึง
“ท่านมิใช่บอกว่าเมียที่บ้านตั้งแต่คลอดลูกก็ขี้หึงหวงจนน่ารำคาญมากหรือไร  ไฉนตอนนี้กลับมาทำสีหน้าเช่นนี้เล่า” คู่สนทนาสงสัย  เลยถูกผู้มากวัยกว่าตบกะโหลกไปหนึ่งที
“เจ้าเด็กนี่ชักจะลามปาม  ...แต่จะว่าไปนางบ่นอยู่ทุกวัน  หูชาอยู่ทุกวัน  ตอนนี้ไม่ได้ยิน...รู้สึกไม่คุ้นชินยังไงไม่รู้แฮะ”
“นั่นแน่  ที่แท้ท่านก็...โอ๊ย” ถูกถีบไปเต็มๆหนึ่งเท้าจึงจำต้องหยุดปากกะทันหัน
“ข้าคิดถึงบ้านโว้ย  มีใครไม่คิดถึงบ้านบ้าง”

คำโวยวายที่ดังลอดเข้ามาในกระโจมทำให้ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งงัน
...มีใครไม่คิดถึงบ้านบ้าง...
มือใหญ่กำแน่น  เขาควรตัดสินใจอย่างไรดี  เมื่อครู่มีข่าวสอบถามมาว่าจะให้เปลี่ยนเส้นทางการลำเลียงเสบียงอีกหรือไม่  และถ้าเป็นจะให้เปลี่ยนเป็นเส้นทางไหน  ตัวควรจะเลือกเส้นทางใดจึงจะไม่ลงเอยเช่นเดียวกับสองครั้งที่แล้ว  วินาทีนั้นฉีเซี่ยงหยวนหวังว่าตัวเขาจะสามารถรู้อนาคตล่วงหน้า  หากรู้ว่าแต่ละทางเลือกจะให้ผลเช่นไร  คงไม่จำเป็นต้องมานั่งลังเลตัดสินใจไม่ถูกอยู่เช่นนี้
รสชาติอาหารวันนี้ทำให้เขานึกถึงประสบการณ์ที่ไกลแสนไกล  ประสบการณ์ที่เกือบจะอดตายตอนยกทัพไปปราบแดนเหนือ 

ความหวาดประหวั่นต่อความตาย 
การพยายามกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด
ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่จะหวาดหวั่นพรั่นพรึงและไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะกระเสือกกระสน
...ไร้เรี่ยวแรงจะเอาชนะความหิวโหยที่เกิดขึ้น

หลังจากครั้งนั้นฉีเซี่ยงหยวนบังคับให้ตัวเขารับประทานเช่นเดียวกับเหล่าทหาร ลิ้มรสชาติเช่นเดียวกับกองทัพของเขา  นี่มิใช่การสร้างภาพเพื่อให้เกิดความยอมรับนับถือ  แต่เป็นการให้ตัวเองรู้จักมองจากมุมของทหารเหล่านั้น  ความรู้สึกที่ได้จากข้าวแต่ละคำบอกอะไรมากมายและหนึ่งในนั้นคือความจริงในหัวใจที่ไม่มีใครสามารถตีแผ่ออกมาได้หมด

ข้าววันนี้ไม่อร่อยเลย  จางอย่างยิ่ง  และยากจะอยู่ท้อง

มีข้อเสนอเรื่องหนทางแก้ไขมามากมายหลายอย่าง  แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือถอยทัพแคว้นหนานเหมินเพียงต้องการให้พวกถอยทัพดังนั้นสมควรไม่ตามตอแย  แต่ถ้าหากถอยทัพกลับการยกทัพมาครั้งนี้จะเป็นการสูญเสียโดยสูญเปล่า แต่หากยืนหยัดต่อไปปัญหาเสบียงสมควรแก้ด้วยวิธีใดจึงจะเหมาะสม
ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าที่เขายังลังเลตัดสินใจไม่ได้เป็นเพราะถูกความหวาดหวั่นครั้งเก่าก่อกวนจนไม่อาจสงบใจครุ่นคิด  ทางที่เขาหาได้ดูเหมือนจะยังมิใช่ทางแก้ที่ดีที่สุด 

กลัวว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด
 
กลัวว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นการส่งเหล่าคนที่เชื่อมั่นต่อเขาไปตายโดยไร้ค่า

เขาจะต้องหาทางเลือกที่ดีกว่านี้  เพียงแต่เมื่อคิดถึงปัจจัยที่ต้องคำนึงกลับรู้สึกท้อแท้อยู่บ้าง

ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนเหม่อมองแผนที่ที่ระบุชัยภูมิต่างๆ  ในห้วงเหม่อลอยนั้นมีประโยคหนึ่งแทรกเข้ามา

‘หลายสิ่งหลายอย่างที่ยากเย็นท่านล้วนผ่านมันมาได้  ครั้งนี้ท่านย่อมต้องผ่านมันไปได้แน่นอน  ไม่มีทางตนสำหรับผู้ที่คิดหาหนทาง  ข้าไม่กลัวสิ่งอื่นใดเพียงกลัวท่านท้อแท้’ คำเหล่านี้เหลียนอันสุ่ยเคยกล่าวตอนที่เขานั่งปวดหัวกับราชกิจ
ใช่แล้ว  ครั้งที่แล้วเขาผ่านมันมาได้  ครั้งนี้เขาโตขึ้นมากมายย่อมต้องผ่านมันไปได้เช่นกัน  ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนฉายประกายคมกล้า
อันที่จริงแล้วศัตรูของความสำเร็จมิใช่ความล้มเหลว  แต่คือความท้อแท้
---------------------
หลังประสบปัญหาขาดเสบียงอย่างหนัก  ในที่สุดกองทัพแคว้นเป่ยชางก็ตัดสินใจแก้ปัญหานี้ด้วยการบุกยึดเมืองที่เก็บเสบียงของแคว้นหนานเหมิน  ใช้เสบียงศัตรูจุนเจือกองทัพ!
นักรบแคว้นเป่ยชางทรหดอดทนที่สุดในหล้า ทัพม้าแคว้นเป่ยชางรวดเร็วยิ่งกว่าสายลม  ในขณะที่เฮ่อสวินเข้าใจว่าทหารเป่ยชางกำลังอดเสบียงจนกระปลกประเปลี้ยเมืองที่ยุ้งฉางใหญ่สามเมืองกลับถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว  ความจริงประจักษ์ชัด ต่อให้ระบบส่งข่าวของแคว้นหนานเหมินยอดเยี่ยมกว่านี้แต่หากไม่มีสายภายในก็ไม่มีปัญญาคาดการณ์การบุกตีของกองทัพม้าแคว้นเป่ยชางได้ทัน

ฉีเซี่ยงหยวนให้ทหารม้าใช้เกราะเบาทั้งหมด  พันธ์ม้าของแคว้นเป่ยชางปราดเปรียวจนเลื่องลือ  อาศัยความคาดไม่ถึงของศัตรูเป็นหลักกุมชัย
หลังแก้ปัญหาเรื่องขาดแคลนเสบียงได้ทัพเป่ยชางก็บุกตีติดต่อกัน  ยึดเอาเมืองไปได้หลายเมือง เฮ่อสวินแม้มีความสามารถตั้งรับได้ยอดเยี่ยม  แต่เฮ่อสวินมีเพียงคนเดียว  หัวเมืองของแคว้นหนานเหมินกลับมีมากเกินไป  ระวังป้องกันอย่างไรก็ยังคงระวังป้องกันได้ไม่หมด  อย่าว่าแต่ยังมีหยงเซี่ย  เฮ่อสวินตรึงฉีเซี่ยงหยวนไว้ได้  หยงเซี่ยก็เคลื่อนไหว  พอเฮ่อสวินหันไปจัดการหยงเซี่ย  ฉีเซี่ยงหยวนก็เคลื่อนไหว 
แม่ทัพใหญ่ของแคว้นหนานเหมินผู้นี้อาศัยการยินยอมปล่อยเมืองเล็กเมืองน้อยคุ้มกันเฉพาะเมืองที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญเอาไว้  และอาศัยการทราบชัยภูมิเส้นทางหลบหลีกมากกว่า  พยุงสถานการณ์เอาไว้อย่างลำบากกินแรงยิ่ง 
เรียกได้ว่าหากแคว้นหนานเหมินไม่มีเฮ่อสวินคิดหาหนทางกัดฟังยันไว้  สภาพจะต้องย่ำแย่ยิ่งกว่านี้มากนัก

รุกไล่หาช่องทางที่ศัตรูเปราะบางบุกทะลวงเข้ามาโดยตลอด  ในที่สุดทัพเป่ยชางก็เจอเข้ากับปราการแข็งของเมืองหน้าด่านที่ระยะทิ้งห่างกับเมืองอื่นพอสมควร  ฉีเซี่ยงหยวนตัดสินใจสั่งให้ตั้งค่าย  ส่วนหยงเซี่ยหยุดทัพไว้ในเมืองที่ห่างออกไป  รอคอยหนุนเสริมและตรึงให้บรรดาเมืองที่ยึดมาได้ไม่กล้าลุกฮือต่อต้าน

ในที่สุดจากสถานการณ์เสียเปรียบ  แคว้นเป่ยชางก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้ง


=========
เขียนตอนนี้จบแล้วรู้สึกว่าเหลียนอันสุ่ยกับฉีเซี่ยงหยวนเป็นคู่รักที่แปลกดี 
พวกเขาสามารถอยู่เคียงข้างกันโดยไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน 
เหมือนกับที่คนอ่านอยู่เคียงข้างคนเขียนตลอดมา  ฮิ้วววว  :-[

เห็นตั้งใจคอมเมนท์กันมากมาย  ปลื้มปริ่ม ตอนต่อไปจะพยายามปั่นมาให้ในเร็วๆนี้ :katai4:

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 69 ........................................1/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-12-2014 20:57:58
ดีใจที่ผ่านวิกฤตเสบียงขาดแคลนไปได้
แต่ตอนนี้อยากได้ฉากหวานๆ แล้วอ่ะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 69 ........................................1/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: ลาวาเนียน ที่ 19-12-2014 20:55:09
 FC เหลียนอันสุ่ย :กอด1:

แต่งดีมากๆ เลยครับ  o13

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 69 ........................................1/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 20-12-2014 08:51:27
แค่รู้ว่ายังมีกันอยู่ก็พอ ฮิ้ววววววว ไม่เจอหน้าแต่มีใจลอย แอบคิดถึงกันบ่อยๆ
คิดถึงตอนหวานๆ แต่ตอนเครียดงี้เราก็ชอบนะ  :hao7:

 :กอด1: คนเขียน

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 70
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 21-12-2014 15:54:15
บทที่ 70 ผู้บุกรุก

จันทร์เต็มดวงเคลียเคล้ายอดเมฆ  เปล่งรัศมีนุ่มนวลเยือกเย็นแตะจุมพิตยอดไม้

หมู่กระโจมนับร้อยนับพันเบื้องหน้ามองดูคล้ายภาพผืนใหญ่ที่ซ้อนทับสลับกันกินอาณาเขตออกไปไม่สิ้นสุด  กระถางไฟใส่ถ่านคุแดงไม่เคยมอดดับตลอดทั้งคืน  ดุจหยาดเหงื่ออันระอุอุ่นของผู้ภักดี  ดุจหัวใจอันแกร่งกร้าวไม่ผันแปรของทหารหาญที่เสียสละเพื่อแผ่นดินเกิด

เหลียนอันสุ่ยเพิ่งออกไปอาบน้ำมา  ตลอดรายทางเดินกลับกระโจมกวาดมองบรรยากาศอันพิเศษเฉพาะรอบตัว  จะไม่พิเศษได้อย่างไรในเมื่อหัวใจของทหารทุกคนที่เต้นอยู่ที่นี่ล้วนถูกตีขึ้นมาจากเหล็กกล้า  ผู้อื่นบอกว่าชาวเป่ยชางเป็นนักรบที่โหดเหี้ยม  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับมีความรู้สึกว่าคำว่าโหดเหี้ยมนี้บรรยายได้ไม่ครอบคลุมเอาเสียเลย  เพราะมันไม่อาจบรรยายถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่  การกัดฟันช่วยจับพยุงกันในวันที่ยากลำบากที่สุด  การติดตามมาในค่ายทหารครั้งนี้เหลียนอันสุ่ยคิดว่าเขาได้อะไรหลายอย่าง  เข้าใจในสิ่งที่แต่ก่อนไม่เคยเข้าใจ  เห็นในสิ่งที่แต่ก่อนไม่เคยนึกวาดภาพออก

นับถือในน้ำใจ  นับถือในฝีมือ  นับถือในความเชื่อมั่นไม่คลอนแคลน

ผู้คนบอกว่ากระดูกของชาวเป่ยชางสกัดมาจากหินผา  ข้อนี้เหลียนอันสุ่ยเห็นพ้องมากทีเดียว

เดินพลางครุ่นคิดพลางเหลียนอันสุ่ยก็พบว่าเดินเข้ากระโจมตัวเองมาเสียแล้ว  ทว่า...มีบางอย่างแปลกๆ  เหลียนอันสุ่ยแน่ใจว่าก่อนออกไปเขาไม่ได้ดับไฟ  ตอนนี้สมควรมีตะเกียงดวงหนึ่งถูกจุดอยู่  หากเบื้องหน้าเขากลับมีเพียงความมืดสนิท

ร่างสูงโปร่งหมุนกายหมายจะหลบออกไปตามคนเข้ามาดู  ทว่ามีแรงๆหนึ่งกระชากตัวเขาจากด้านหลัง  ฝ่ามือหยาบกร้านข้างหนึ่งตะปบปิดปากเขาไว้แน่นไม่เปิดโอกาสให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ  เหลียนอันสุ่ยปล่อยห่อเสื้อผ้าหลุดจากมือ  ถองไปด้านหลังเต็มแรงหมายสลัดให้หลุด  ศอกกระทบถูกถนัดถนี่จนคนที่รวบตัวเขาเอาไว้ต้องงอตัวออกห่าง  แต่มือที่ปิดปากเขาเอาไว้กลับยังปิดปากเขาไว้แน่น

เหลียนอันสุ่ยเลื่อนมือไปที่สายรัดเอวคิดดึงมีดที่เขาพกติดตัวไว้ออกมา  ทุกช่วงเวลาในกองทัพไม่อาจประมาทแม้ชั่วขณะเดียว  ดังนั้นเหลียนอันสุ่ยจึงไม่เคยไปไหนมาไหนโดยไม่มีมีดเล่มนี้  คราวนี้ผู้บุกรุกตัวใหญ่กว่าเขามากจำเป็นต้องใช้ของมีคม  แต่ยังไม่ทันกระชากมีดออกจากฝัก  ร่างก็ถูกกดให้คว่ำหน้าลงกับพื้น

อีกฝ่ายอาศัยช่วงที่เขาถูกการเปลี่ยนแปลงทำให้ตั้งตัวไม่ทันค้นร่างกายเขาอย่างละเอียด  ยึดเอาอาวุธเพียงหนึ่งเดียวไป  ทุกอย่างรวบรัดในไม่กี่อึดใจบ่งบอกถึงความชำนาญ  ดูเหมือนผู้บุกรุกของเขาคนนี้ต่อให้เป็นสายลับก็ต้องเป็นสายลับที่มีความสามารถในการป้องกันตัว

เหลียนอันสุ่ยบอกให้ตัวเองเยือกเย็นพลางใช้สติปัญญาคำนวณหาทางรอด

ผู้บุกรุกยามวิกาลหลังใช้ร่างกดเขาไว้กับพื้นก็โน้มตัวลงมา  เหลียนอันสุ่ยเดาว่าอีกฝ่ายคงคิดจะใช้วาจาข่มขู่  จริงดังคาดริมฝีปากของคนผู้นั้นเคลื่อนเข้าใกล้ใบหูเขา  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้จากลมหายใจร้อนที่รดอยู่ที่ต้นคอ  และรู้สึกได้ว่ามีที่ปิดปากเขาหลวมคลายขึ้นเล็กน้อย  ขณะกำลังจะร้องตะโกนออกไปกลับชะงักกึกเมื่อพบว่าผู้บุกรุกฉวยโอกาสกดริมฝีปากลงที่ตำแหน่งหลังใบหูเขา!  คนผู้นี้ถึงกับ...ถึงกับกล้าลวนลาม...  แผ่นหลังแนบสนิทกับแผ่นอก  กลิ่นอายของอีกฝ่ายครอบคลุมลงมา  หัวสมองของเหลียนอันสุ่ยพลันแปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า 

ขณะที่หัวสมองว่างเปล่าร่างก็ถูกพลิกกลับมา  ปากที่ถูกมือใหญ่ปิดไว้ถูกผู้บุกรุกปิดแทนด้วยริมฝีปากอย่างอุกอาจ
ประโยคแรกที่เหลียนอันสุ่ยกล่าวออกมาหลังพยายามหันหน้าหนีจนพ้นจุมพิตคือคำถามที่ว่า

“ท่านมาทำอะไรที่นี่”
“มาหาท่าน” คำตอบรวบรัดชัดเจน
“ทำไมมาแบบนี้  ข้าเกือบทำร้ายท่าน” ต่างฝ่ายต่างโต้ตอบด้วยคำพูดที่เบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ

ผู้บุกรุกยามวิกาลไม่ตอบคำแต่เลื่อนมือไปโอบเอวเพรียว  เหลียนอันสุ่ยจึงเพิ่งรู้สึกว่าที่แท้ตัวเองถูกกดลงบนพรมขนสัตว์หนานุ่มผืนหนึ่ง  ริมฝีปากร้อนจัดเลื่อนไปตามเปลือกตา  ผิวแก้ม  และปลายคาง

เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจ  กึ่งๆเคลิบเคลิ้มกึ่งๆอ่อนใจ ทราบว่าอีกฝ่ายดับตะเกียงเพราะไม่ต้องการให้คนนอกกระโจมมองเห็นเงาสองเงาในกระโจม  ...มิน่าเล่าเมื่อครู่เขาถึงเหมือนเห็นหลิวฉางเฟยอยู่แถวนี้
 
แม้รู้แน่แก่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังละเมิดวินัยทัพ  แต่หลังจากออกแรงผลักไปคราหนึ่งแล้วพบว่าร่างหนาไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือก็ไม่ได้ขัดขืนอีก  กล่าวตามความเป็นจริงคือเขาเป็นห่วง  และกล่าวตามความเป็นจริงก็คือเขาอยากได้ช่วงเวลาซักชั่วครู่ยามเพื่อที่จะอยู่ในอ้อมกอดของคนๆนี้ 

ฝ่ามือของเหลียนอันสุ่ยเลื่อนจากบ่าหนาขึ้นไปยังเสี้ยวหน้าคมสัน  วาดปลายนิ้วไปตามเส้นสายบนใบหน้า  เค้าโครงหน้าอีกฝ่ายก็กระจ่างขึ้นมาในใจ  รู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามเอียงหน้าเพื่อที่จะจูบเบาๆลงบนสันข้อมือ  มือใหญ่กุมแขนเขาเอาไว้หลวมๆขณะที่รอยจูบเคลื่อนผ่านใจกลางฝ่ามือไปยังปลายนิ้ว  ในความมืดที่ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วทั้งห้า  ความรู้สึกขณะที่ลิ้นกับฟันของอีกฝ่ายขบเบาๆลงมาเด่นชัดเป็นพิเศษ  ทีละนิ้ว  ทีละนิ้ว...

เหลียนอันสุ่ยคิดชักมือกลับมาแต่อีกฝ่ายออกแรงยึดไว้  ความรู้สึกเสียววาบแล่นขึ้นมาตามปลายนิ้วเมื่อรู้สึกได้ว่าเรียวลิ้นของอีกฝ่ายลากวนอย่างอ้อยอิ่ง  หลังทรมานเขาอยู่ครู่ใหญ่มือสากที่ยึดข้อมือเขาเอาไว้ก็คลายออกเล็กน้อยเพื่อที่จะเลื่อนขึ้นมาตามเรียวแขน  ปลายนิ้วโป้งสากคล้ายจงใจใช้ด้านที่สากเสียดสีกับท้องแขนของเขา  เหลียนอันสุ่ยพยายามควบคุมลมหายใจตัวเองให้สม่ำเสมอ  ต้องการจะดูว่าอีกฝ่ายจะอดทนอ้อยอิ่งไปได้อีกนานแค่ไหน  คนผู้นี้ชมชอบกลั่นแกล้งเขา และก็ชอบรังแกเขา  ขอเพียงให้เขาหอบหายใจหน้าแดงตาพร่าไปด้วยความปรารถนาได้ก็จะถือว่าประสบความสำเร็จ

มือของคนในความมืดเคลื่อนขึ้นมาตามท่อนแขน  เลิกชายแขนเสื้อขึ้นมาตลอดทาง  เชื่องช้ายิ่ง  จนจังหวะที่ถึงหัวไหล่มนทุกอย่างกลับเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
 
มือข้างหนึ่งโอบเอาข้างหนึ่งจับไหล่ดึงรั้งร่างของเขาเข้าไปในอ้อมกอด  กอดไว้แนบแน่นราวต้องการให้วิญญาณสองดวงแนบสนิทหนึ่งเดียว  ในเสียงถอนหายใจมีความคิดถึงที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด  เหลียนอันสุ่ยอึ้งงันไปเมื่อพบว่าจู่ๆอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นมีท่าทีเช่นนี้  หลังความอึ้งงันเรียวแขนของเหลียนอันสุ่ยก็ค่อยๆกอดตอบ  คิดถึงช่วงเวลาที่ฉีเซี่ยงหยวนกลั่นแกล้งเขา  และคิดถึงช่วงเวลาที่ฉีเซี่ยงหยวนรักใคร่เขา  ขอบตากลับร้อนผ่าวขึ้นมา  บางครั้งเรื่องอะไรก็ไม่ดีไปกว่าการพบว่าอีกฝ่ายยังอยู่ปกติสุข

มีเพียงเหลียนอันสุ่ยที่รู้ว่าแม้ตัวเขาจะวางท่าทีเยือกเย็น  แต่ทุกครั้งที่คนผู้นั้นนำทัพออกรบ  ทุกครั้งที่พยาบาลคนบาดเจ็บ  ทุกครั้งจะภาวนาขออย่าให้คนตรงหน้าเป็นฉีเซี่ยงหยวนเลย

พวกเขาต่างเป็นคนเข้มแข็ง  แต่ในชั่วขณะนี้พวกเขาอ่อนแอแล้ว  เพราะเขาอยู่ในอ้อมกอดของคนที่เขารักและไว้วางใจด้วยทั้งหมดของชีวิต

ริมฝีปากของบุคคลในความมืดจูบซ้ำๆลงบนผิวแก้มเนียน  ส่วนเหลียนอันสุ่ยจูบเบาๆลงบนผิวแก้มสาก  ฝังใบหน้าเข้าหากันอย่างคิดถึง  กอดรัดแนบชิดสนิทแน่น  ดังนั้นเมื่อฉีเซี่ยงหยวนพลิกกายหงายร่างลงบนพื้นเหลียนอันสุ่ยจึงสลับไปทาบทับอยู่ด้านบนร่างแกร่ง  ริมฝีปากของพวกเขาบดเบียดเข้าหากันในอากัปกิริยาเช่นนี้  ครั้งแล้ว...ครั้งเล่า...  เรียวปากกับปลายลิ้นพัวพันแผ่วเบา ผิวเผิน และลึกซึ้ง

เป็นห่วงเหลือเกิน  รักเหลือเกิน 
ปรารถนาท่าน  คะนึงหาท่าน

ฝ่ามือหยาบกร้านสัมผัสไปทั่วแผ่นหลังโปร่ง  ตั้งแต่แนวกระดูกสันหลังมาจบลงที่บ่า  แล้วใช้ปลายนิ้วโป้งเขี่ยขอบเสื้อผู้อื่น พึมพำว่า
“ถอดมันออก”
ในความเงียบที่กระทั่งเสียงลมหายใจยังได้ยิน  เสียงจากนอกกระโจมดังลอดเข้ามาย้ำเตือนว่าผ้ากระโจมผืนนี้กั้นขวางอยู่ระหว่างอะไร  เหลียนอันสุ่ยถอดเสื้อผ้าที่เขาเพิ่งสวมได้ไม่นานออกจากร่าง  ความมืดปิดบังอำพรางทุกอย่างไว้  ทว่าเหลียนอันสุ่ยยังคงรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง  ในความมืดฝ่ามือร้อนผ่าวคู่หนึ่งยื่นออกมาควานหาร่างเขาจนเจอ

รู้สึกตัวอีกทีเป็นตอนที่แผ่นหลังสัมผัสกับผืนพรมอ่อนนุ่ม  ขณะที่ผิวกายถูกประทับจูบไล่ลงมาตั้งแต่ซอกคอลากต่อไปยัง แผ่นอก  ลำตัว  ช่วงเอว  ต่ำลงไปจนถึงเรียวขาและข้อเท้า  จุมพิตละเอียดลออไม่ว่าจะเลื่อนไปที่ไหนผ่ามือร้อนผ่าวก็จะเลื่อนไปสอดประคองอยู่ใต้ส่วนนั้น  เหลียนอันสุ่ยไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเปลือยเปล่าเท่านี้มาก่อน  ทั้งๆอยู่ในความมืดอีกฝ่ายกลับทำให้เขารู้สึกเปลือยเปล่าได้อย่างน่าอัศจรรย์  ผิวกายคล้ายกับถูกห่อหุ้มด้วยอาภรณ์ร้อนผ่าวชั้นหนึ่งที่เรียกว่าจุมพิต  มันคงเป็นอาภรณ์ที่นุ่มนวลที่สุด  วาบหวามที่สุดเพราะมันคือจุมพิตของคนรัก

การมองไม่เห็นมีแต่ทำให้ทุกสัมผัสชัดเจนขึ้น  ในหัวของเหลียนอันสุ่ยว่างเปล่าราวกับนอกกระโจมก็เปลี่ยนเป็นเงียบสนิทไปด้วย  ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจของตัวเองกับเสียงลมหายใจหนักหน่วงของบุรุษที่อยู่บนร่างเขา มือใหญ่ที่จับค้างอยู่ที่ข้อเท้าคลึงเบาๆขณะดึงเรียวขาไปเกี่ยวไว้กับสะโพกสอบ  ในขณะที่มืออีกข้างสอดใต้เอวเพื่อดึงร่างของสูงโปร่งเข้ามาใกล้  การกระถดเข้าใกล้ของสะโพกทำให้เรียวขาเนียนงอพับขึ้น

เหลียนอันสุ่ยพยายามไม่นึกว่าขณะนี้พวกเขาอยู่ในท่วงท่าแบบไหน  เพียงวางฝ่ามือลงบนหัวไหล่บึกบึนเพื่อยันไม่ให้ร่างถูกดึงให้บดเบียดเข้าใกล้มากไปกว่านี้  ปลายนิ้วพอดีป่ายโดนสะเก็ดแผลเก่า  ฝ่ามือจึงเลื่อนไปตามรอยแผลแต่ละรอยอย่างเผลอไผล  อันที่จริงเหลียนอันสุ่ยจดจำทุกรอยแผลได้ขึ้นใจ  รอยธนูบนต้นแขนสะกิดความทรงจำหวานปนขมขึ้นมา  เหลียนอันสุ่ยดีใจที่ฝ่ามือของเขายังสามารถสัมผัสถึงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะหนักแน่นอยู่ใต้ผิวกายแข็งแกร่ง  เด็ดเดี่ยวและทรงพลัง  ที่สำคัญคือมันย้ำกระชั้นขึ้นเพราะเขา  พระมาตุลาแคว้นเหลียนยิ้มบางๆขณะขยับฝ่ามือไปยังหน้าท้องแข็งที่เกร็งขึ้นมาเมื่อถูกเขาสัมผัส
ผ่ามือของเหลียนอันสุ่ยไม่เรียบร้อย  ฝ่ามือของฉีเซี่ยงหยวนไม่เรียบร้อยยิ่งกว่า  ลูบไล้ซอกซอนไปทั่ว  ผิวของเหลียนอันสุ่ยสะอาด  ละเอียดเนียนมือตามสายเลือดของชาวเหลียน  แต่ที่ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนพึงพอใจคือร่างสูงโปร่งตอบสนองสัมผัสของเขาอย่างร้อนแรง  ทุกส่วนสัดล้วนปรารถนาการแตะต้องลูบไล้จากฝ่ามือของเขา

เหลียนอันสุ่ยสะท้านเยือก  ตอนที่อีกฝ่ายกดสะโพกลงมาเสียดสีกับเรือนกายเขาในตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจง  สะโพกเพรียวบิดโค้งอย่างไม่อาจทานทนไหว

มุมปากของฉีเซี่ยงหยวนขยับเป็นรอยยิ้มเมื่อพบว่าอีกฝ่ายกลับให้ความร่วมมือถึงเพียงนี้  มือใหญ่ยึดบั้นเอวเพรียว  ขณะที่เรือนกายค่อยๆเบียดแทรกเข้าไปในอารมณ์รักอันลึกล้ำ  ที่ๆเหลียนอันสุ่ยอยากให้เขาสัมผัสที่สุดเห็นจะเป็นตรงนี้

ถลำลึกลงในความปรารถนา  สะโพกเนียนถูกกดให้บดเบียดกับผืนพรมครั้งแล้วครั้งเล่า  ฉีเซี่ยงหยวนถูกความโหยหาอันเชี่ยวกรากพัดพาจนยากจะควบคุมบังคับ  ได้แต่ยินยอมให้ตัวเองถลำลึกลงไปเรื่อยๆ  พยายามจะอ่อนโยนแต่กลับรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ค่อยสำเร็จ
ในความรวดร้าวหวามไหว  การถูกเติมเต็มเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก 
ราวกับเป็นการระบายออกของความคิดถึง 
การระบายออกของความเครียด ความเป็นห่วง  และความกดดัน 

แน่นอนมันเป็นการระบายออกของความรักและความปรารถนาที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ
---------------------
เหลียนอันสุ่ยหัวเราะเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายจุมพิตซอกคอเขาอย่างหยอกล้อ  พยายามจะหลบคนขี้แกล้งที่รู้ทั้งรู้ว่าตอหนวดตัวเองระคายผิวเขา  แต่กลับถูกทับไว้จนไม่มีปัญญาหลบไปไหน  ทั้งๆที่คนทางเหนือนิยมไว้เคราแต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่ชอบไว้เครา  มักบอกว่ามันทำความสะอาดยากแล้วก็หาเรื่องโกนออก

“ฉีเซี่ยงหยวน นี่ข้าพูดจริงๆนะ  ถ้าคราวหน้าท่านมาแบบนี้อีก  ข้าอาจจะฆ่าท่านตายไปแล้ว”
คนฟังควานหามีดมายัดใส่มือคนพูด กล่าวว่า
“คืนมีดให้ท่าน  ข้าแค่อยากจะรู้ว่าท่านจะรับมือกับผู้บุกรุกยังไง  เลยเล่นจนเลยเถิดไปหน่อย  ท่านเล่นศอกมาซะเต็มแรงดีที่ข้าร่างกายแข็งแรงจึงยังพอกัดฟันทนรับไว้ได้”
...ไหนจะเพียงแค่กัดฟันทนรับไว้ได้เท่านั้น  เรี่ยวแรงเมื่อครู่มิใช่หลงเหลือมากมายหรอกหรือ 
แต่สิ่งที่เหลียนอันสุ่ยกล่าวออกไปกลับเป็นข้อความจริงจังที่ว่า

“ท่านอย่าทำเป็นเรื่องล้อเล่น  ถึงแม้ฝีมือและเรี่ยวแรงข้าจะสู้ท่านไม่ได้  แต่ตอนท่านได้มีดไปแล้วไม่ใช้มันกับข้า ข้าก็รู้แล้วว่าท่านไม่ได้มีจุดประสงค์จะฆ่าข้า  ท่านไม่ฆ่าข้า  แต่ข้ามีจุดประสงค์จะฆ่าท่าน  ดังนั้นท่านต้องตายแน่นอน  ยังดีที่ข้าจดจำได้ว่าเป็นท่านก่อน”
“...แค่บุกรุกเข้ากระโจมท่านนี่จะเล่นถึงตายเชียวหรือ”
เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจ  บอกกล่าวตามตรง
“แรงข้าสู้ท่านไม่ได้  นอกจากฆ่าท่านให้ตายแล้วไม่มีทางรอดอื่น  ผู้ใดใช้ให้ท่านทำตัวเหมือนศัตรูเล่า”

“ดูเหมือนข้าจะต้องขอบคุณสถานะองค์ชายสี่ของตัวเอง  ไม่เช่นนั้นปีนขึ้นเตียงท่านบ่อยปานนั้นคงถูกท่านฆ่าตายเข้าซักวัน”
“...” คนผู้นี้...คนผู้นี้...พูดจาสำรวมหน่อยไม่เป็นหรือไร  รู้สึกจนปัญญาจะจัดการ  ปกติเหลียนอันสุ่ยไม่ชอบฆ่าคนพร่ำเพรื่อ  แต่สภาพเมื่อครู่คับขันเกินไป  และเขาไม่ต้องการจะถูกจับตัวไปหรือเสี่ยงกับเรื่องอื่น  ...เพราะข้าไม่อยากเป็นภาระให้ท่าน
“ข้าดีใจที่ท่านเป็นห่วงตัวเองมากขึ้นเพราะข้า” เสียงพึมพำมาพร้อมกับจุมพิตที่ข้างแก้ม

น่าแปลกที่ความเครียดสะสมและความด้านชาลึกล้ำอันมีต่อการฆ่าฟันละลายหายไปเมื่อเขาได้ใช้เวลาร่วมกับเหลียนอันสุ่ย  คนผู้นี้เป็นมุมๆหนึ่งซึ่งงดงามและเป็นสุขที่สุดในชีวิตของเขา  ทั้งๆที่อยู่ท่ามกลางสนามรบที่ลุกเป็นไฟแต่กลับทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกถึงโลกที่สงบสันติ  มือของเหลียนอันสุ่ยแม้สามารถฆ่าคนแต่กลับเลือกที่จะช่วยคนและให้อภัยมาโดยตลอด 

มันอาจมิใช่มือที่สวยงามและสมบูรณ์แบบที่สุด  ไม่ใช่มือที่นุ่มนิ่มแบบคนไม่เคยทำงานหนัก  แต่เป็นมือเรียวยาวได้สัดส่วนที่มีความหมายต่อเขาเหลือเกิน  เพราะเหลียนอันสุ่ยใช้มือคู่นี้ฉุดดึงเขาขึ้นมาจากความเจ็บปวดเหนื่อยล้าครั้งแล้วครั้งเล่า

หลายครั้งที่เหลียนอันสุ่ยทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนมีเลือดเนื้อมิใช่มารร้ายที่ไร้หัวใจ

หลังเหลียนอันสุ่ยออกปากไล่อยู่หลายครั้ง  คนที่อิดออดอ้อยอิ่งจึงยอมขยับตัวสวมเสื้อผ้า  มีเสียงพึมพำดังสลับกับเสียงเสียดสีของเสื้อผ้าเหมือนจะเป็นคำว่า
“คิดถูกจริงๆที่ยืนกรานให้ท่านอยู่กระโจมแยก” เหลียนอันสุ่ยได้ยินไม่ถนัดนัก  แต่คิดว่าคำบางคำอย่าได้ยินถนัดชัดเจนจะดีกว่า
ก่อนจะออกไปฉีเซี่ยงหยวนกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
“ท่านจุดตะเกียงเถอะ  เดี๋ยวข้าจะให้ต้วนจินยกถังน้ำเข้ามาให้เช็ดตัว  จะได้ไม่ต้องออกไปอาบน้ำใหม่ข้างนอก”

หลังฉีเซี่ยงหยวนจากไป  ไฟในกระโจมเล็กก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง

จันทร์เต็มดวงลอยอยู่เหนือยอดกระโจมนับพัน  เปล่งรัศมีนุ่มนวลราวกับสัมผัสอันละเอียดอ่อนของคนรัก

=================

อันที่จริงต้องขอสารภาพว่าที่ช่วงการทหารมันยาวขนาดนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากอยากเขียนฉากในกระโจมฉากนี้ฉากเดียว 
และก็เพราะดันมีฉากนี้เลยเล่าเรื่องคร่าวไปไม่ได้ไม่งั้นจะดูแปลกๆ(ลงรายละเอียดอยู่ฉากเดียว)
ประเด็นอื่นก็เลยตามกันมาเป็นพรวนอย่างที่เห็น555 :katai5:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 70 .......................................21/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 21-12-2014 16:50:45
ชุ่มชื่นหัวใจจัง

อร๊าง  :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 70 .......................................21/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-12-2014 21:32:14
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
ขอแบบนี้บ่อยๆ ได้ไหม ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 70 .......................................21/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: GUNPLAPLASTIC ที่ 23-12-2014 07:19:29
อ่านตามทันเเล้วค่ะ จะเเวปไปที่เด็กดีต่อเลยนะเเต่ขอมาเม้นท์ก่อน
คุณคนเเต่งรู้ไหมค่ะ? นี้เป็นนิยายสำนวนจีนๆเรื่องเเรกที่เราอ่านเลย
เราเลี่ยงไม่อ่านนิยายพวกนี้มาตลอด เพราะไม่ชอบจำชื่อจีนที่มันยาก
เเต่เรื่องนี้เเบบ สุดยอดจริงๆ อ่านๆไปเราต้องไปหาสามก๊ก.pdf อ่านต่ออ่ะ กรีดร้อง
คุณคนเเต่งทำได้ยังไงค่ะ?เเต่งออกมาเเบบนี้จะไม่ให้เราหยุดอ่านได้ยังไง ฮื้อออ
ถามได้ไหมคุณคนเเต่งเรียนอยู่คณะอะไร ทำไมถึงใช้สำนวนได้เลิศเลอขนาดนี้
เราหลงรักเรื่องนี้เลยอ่ะ ที่สุด ตอนนี้เราคงต้องมองนิยายสำนวนจีนๆไหมเเล้ว
มาต่อเร็วๆนะค่ะ เรารออยู่น้า นี้เเอบเชียร์องค์รัชทายาทกับจิ้นเต๋อนะ น่ารัก 55555
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 70 .......................................21/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: manutty ที่ 23-12-2014 09:26:34
ช่างเป็นบทอัศจรรย์ที่ทำให้  :heaven  มากกกกกกกกกกกกกกก ไม่ต้องโจ่งแจ้ง โจ๋งครึ่ม ก็ทำให้รู้สึกราวกับเห็นภาพว่า ทั้งคู่ทำอะไรกันบ้าง มันยิ่งกว่าอีกนะ ขอบอก  :haun4: เป็นนิยายที่ให้ความรู้สึกสวยงามทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน มันชัดเจนมากในความรู้สึก ไม่ค่อยได้อ่านนิยายจีนแบบนี้ หายาก นอกจากเป็นนิยายแปลที่ทำออกมาเป็นเล่ม ส่วนตัวชอบนะมันละมุนละไม แต่บทจะเครียด ดราม่า ก็ทำเอาอารมณ์ตามไปด้วย :hao5:  ยิ่งอ่านก็ยิ่งหลงรักพระมาตุลามากๆ ไม่แปลกใจทำไมฉีเซียงหยวนถึงรักเหลียนอันสุ่ยมากขนาดนี้ และเหลียนอันสุ่ยก็รักฉีเซียงหยวนมากเช่นกัน เป็นคู่รักที่ไม่ต้องอยู่ด้วยกันก็ให้ความรู้สึกว่าอยู่เคียงข้างกันตลอดเวลา  :-[
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 70 .......................................21/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 23-12-2014 09:48:58
 :-[
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 70 .......................................21/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 23-12-2014 19:58:32
ฮื้ออออ ชื่นใจจจจ ชื่นใจๆๆๆๆ ชื่นใจที่่สุดเลยรู้มั้ยคะะะ
ชอบความสัมพันธ์ของสองคนนี้จริง ๆ  คือเชื่อมั่นเชื่อใจแม้จะปรารถนารุนแรง ชอบๆๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 70 .......................................21/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 23-12-2014 22:58:23
ในที่สุดก็ได้หวานกันแล้ว คนอ่านมดไต่กันเลยทีเดียว
ฉี่เซียงหยวนนิสัยไม่ดี ตั้งกฏแล้วดันแหกเองซะงั้น :laugh:  แต่คนอ่านฟินมาก ให้อภัยค่ะ หุหุหุ

 :L2:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 70 .......................................21/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: mm03 ที่ 29-12-2014 20:49:00
สนุกมากกกกกกกก
ปกติเราไม่ค่อยอ่านนิยายย้อนยุคค่ะ
แต่เรื่องนี้อ่านรวดเดียวเลย สนุกจนอยากรู้ว่าตอนต่อไปจะเป็นยังไง
เราชอบหมดเลยทั้งตอนดราม่า ตอนโรแมนติก ตอนชิงไหวชิงพริบ หรือมุขต่างๆ

ชอบเวลาที่บรรรยายถึงเหลียนอันสุ่ยในอิริยาบถแบบสบายๆ
อ่านแล้วรู้สึกถึงสเน่ห์อันเย้ายวนแบบไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเลย
ส่วนฉีเซี่ยงหยวนขอบอกว่าท่านเจ้าเล่ห์มากกกกกก
ถึงจะมากด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวยังไงแต่ทั้งหมดที่ทำไปก็เพราะความรัก

บวกเป็ดเป็นกำลังใจให้นะคะ อยากอ่านตอนต่อไปแล้ววว >.<
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 71
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 29-12-2014 23:30:16
บทที่ 71 รสชาติของการรอคอย

ฟากฟ้าลมพอเหมาะแดดแรง  ทว่าไม่ว่าฟ้าจะสีเจิดจ้าปานใดหัวใจของทุกคนในค่ายทหารล้วนจดจ่ออยู่กับเรื่องเพียงหนึ่งเดียว  นั่นคือพ่ายแพ้หรือชนะ
หลังดำเนินแผนไปมากมายเพื่อสร้างความได้เปรียบ  และหลบหลีกหูตาของฝ่ายตรงข้ามเป็นผลสำเร็จ  หน่วยทัพในค่ายก็ถูกยกออกไปเต็มอัตราศึก  ทีละหน่วย  ทีละหน่วย

ไม่มีใครรู้ว่าทหารหลายหน่วยนั้นจากไปที่ไหนบ้าง ทหารแต่ละคนเพียงทราบที่ๆตัวเองจะไปและหน้าที่ๆตัวเองต้องทำ  คงมีเพียงชนชั้นแม่ทัพที่ได้ทราบภาพรวมของสงครามทั้งหมด

เหลียนอันสุ่ยเห็นทหารราบเดินทางออกไปก่อน
หลายชั่วยามผ่านไปทหารม้าก็สวมเกราะขึ้นม้ายกออกจากค่ายไป 
ช่วงถัดมาทัพหนุนอีกทัพก็ยกตามไปอีก
ยามเช้าล่วงเข้ายามบ่าย  ทัพอีกสี่หน่วยพร้อมเครื่องยิงหินและอุปกรณ์บุกตีเมืองก็เคลื่อนออกจากค่าย  ทว่าทิศทางกลับอยู่ตรงกันข้ามกับทัพที่ยกออกไปเมื่อเช้า

ทหารในค่ายเหลือเพียงบางเบา  แต่ละคนสีหน้ากระสับกระส่าย  เงี่ยหูรอฟังข่าวการศึก

แดดแรงยามเช้าแรงขึ้นในช่วงบ่ายและอ่อนกำลังลงในตอนเย็น  ท้องฟ้ายังคงฟ้าจัดราวกำลังเสียดสี  เพราะวันนี้ท้องฟ้าจริงๆมิได้สีน้ำเงินคราม  แต่เป็นสีแดง...สีแดงของโลหิต

ประตูค่ายยังคงปิดสนิท ข่าวคราวที่ชัดเจนยังคงมิได้ถูกแจ้งมา  ...นี่คือรสชาติของการรอคอย
---------------------
กิ่งใบของต้นไม้ปกปิดร่องรอยผู้คน  ทัพซุ่มทั้งสองฟากซ่อนตัวเงียบเชียบ  มองหน่วยทัพของแคว้นหนานเหมินค่อยๆเคลื่อนผ่านไป 
“นี่ทัพของเฮ่อสวินจะพ้นช่วงที่เราดักซุ่มไปแล้วนะ  ทำไมพวกมือธนูยังไม่ลงมืออีก” นายกองผู้หนึ่งหันไปถามฝงเป่า  ความหมายของเขาคือหากฝ่ายนู้นยังไม่ลงมือฝ่ายเราใช่สมควรลงมือก่อนเพื่อมิให้สายเกินการณ์หรือไม่
แต่ฝงเป่ากลับส่งสัญญาณห้ามทั้งหมดมิให้เคลื่อนไหว 
“เถอะน่า  เรื่องแบบนี้เจ้าเด็กแซ่มู่มันไม่พลาดหรอก  คงหาจังหวะเหมาะๆอยู่  หาได้แล้วเดี๋ยวก็เปิดฉากยิงเอง”

ดวงตาหลายพันคู่จึงจับตามองต่อไปด้วยความกระสับกระส่ายว่าเหยื่อจะหลุดออกจากคันเบ็ด...นี่ก็คือรสชาติของการรอคอย

คอยอยู่ไม่นานนักเรื่องก็เป็นดังคาด  พลธนูในสังกัดมู่ซางเปิดฉากสาดฝนธนูเต็มท้องฟ้า 

ความเงียบกริบถูกฉีกทำลายลงโดยพลัน
---------------------
เวลาค่อยๆขยับผ่านไปอย่างเชื่องช้า  ท้องฟ้าล่วงเข้ายามใกล้พลบ  สีชมพูแดงกลืนกินสีน้ำเงินทั้งผืนไปจนสิ้น 

ค่ายทหารที่เงียบสงบถูกพลิกสภาพเช่นเดียวกับแผ่นฟ้า  ประตูค่ายเปิดกว้าง  หน่วยทัพต่างๆและการลำเลียงทหารบาดเจ็บทะลักเข้ามาไม่ขาดสาย  ผู้บาดเจ็บสำคัญรายแรกถูกบรรทุกมาบนหลังม้าส่งถึงโรงหมอตั้งแต่หนึ่งชั่วยามก่อน  ผู้บาดเจ็บผู้นี้คือฝงเป่า  ฝงเป่ามีธนูปักเต็มหลัง  แต่กลับมีสีหน้าอารมณ์เบิกบาน  เพราะในที่สุดแม่ทัพใหญ่เฮ่อสวินของแคว้นหนานเหมินก็สิ้นชื่อใต้เงื้อมมือเขา
สงครามครั้งนี้เป็นแผนซ้อนแผนที่เปิดฉากเกี่ยวโยงกับทัพฝั่งหยงเซี่ย  หนึ่งในเมืองที่หยงเซี่ยเฝ้ารักษามีการซ่องสุมภายในเมืองหวังก่อกบฏ  การยอมจำนนเป็นเพียงการเอาตัวรอดจากสถานการณ์เฉพาะหน้า  แท้จริงกลับลอบติดต่อกับเฮ่อสวินหาหนทางลุกฮือขับไล่ทหารต่างแคว้นออกจากเมืองมาโดยตลอด  โชคดีที่หยงเซี่ยจับตาดูใกล้ชิด  การติดต่อลับๆนี้ไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาของเขา  แคว้นเป่ยชางจึงดำเนินแผนซ้อนทับอีกชั้นหนึ่ง อาศัยการยกทัพมาช่วยกอบกู้เมืองของเฮ่อสวินชักนำขุนพลใหญ่ผู้นี้มาติดกับ

อำนาจในแคว้นหนานเหมินสลับซับซ้อน  เมืองหน้าด่านสำคัญที่เฮ่อสวินเฝ้ารักษาอยู่ในขณะนี้อำนาจการตัดสินใจมิได้อยู่ที่เขาคนเดียว  เมืองหน้าด่านเดิมเป็นเมืองที่หนานเหมินอ๋องมีบัญชาให้องค์ชายสามเฝ้ารักษาอยู่ก่อน  เฮ่อสวินสนิทสนมกับองค์ชายรองหลงอิ้งลึกลงไปแล้วจึงไม่ค่อยจะกลมเกลียวกับองค์ชายสามนัก  การยกทัพไปช่วยกอบกู้เมืองครั้งนี้องค์ชายสามเห็นว่าเสี่ยงเกินไป  ทุ่มเถียงเป็นเรื่องใหญ่โต 

เพราะความเห็นขัดแย้งกัน  เฮ่อสวินจึงสามารถต่อรองเอาทหารออกมาได้เพียงส่วนเดียวซึ่งเป็นส่วนที่ขึ้นตรงต่อเขามานานปี  น่าเสียดายที่แคว้นเป่ยชางจับตาดูอยู่ก่อนซ้ำการทุ่มเถียงครั้งนี้ยังไม่เงียบเลยเส้นทางและช่วงเวลาในการเดินทัพของเฮ่อสวินจึงอยู่ในสายตาของเป่ยชางอ๋องมาโดยตลอด  ทัพที่ยกออกจากค่ายของทัพเป่ยชางในช่วงเช้าจุดประสงค์คือดักซุ่มระหว่างทางจัดการเสียให้เรียบ 
เฮ่อสวินเจอทัพดักซุ่มไม่ทันตั้งตัว ถูกห่าธนูระดมยิง  ปะทะศัตรูเหยียบห้าหมื่น  ต้องแตกพ่ายไม่เป็นขบวน  ฝงเป่ารับหน้าที่เคลื่อนทัพอุดทางถอยของเฮ่อสวิน  จึงมีจังหวะที่ขุนพลทั้งสองต้องประมือกัน  เฮ่อสวินทราบว่าอีกฝ่ายยังหนุ่มกว่า  เรี่ยวแรงมากกว่า  ไม่คิดประมือนาน จังหวะชักม้าหลบจึงถูกฝงเป่าฟันใส่ถนัดถนี่บาดเจ็บสาหัส  ทัพหนานเหมินรวนถึงขีดสุดคิดเพียงหลบหนีถ่ายเดียวไม่คิดสู้อีก

ทัพที่แตกพ่ายของเฮ่อสวินมิได้ถอยทัพกลับโดยสะดวก  แต่ถูกทัพม้าของแคว้นเป่ยชางติดตามไล่ฆ่าตลอดทาง  เฮ่อสวินเป็นแม่ทัพที่ดวงแข็งยิ่งคนหนึ่ง  ด้วยบารมีของเขาทำให้เหล่าทหารหนานเหมินที่ร่วมเป็นร่วมตายกับเขามานานปีทุ่มเทคุ้มครองด้วยชีวิตอย่างเหนียวแน่น  ในที่สุดสามารถคุ้มครองแม่ทัพเฮ่อสวินในสภาพเป็นตายเท่ากันเพราะเสียเลือดมากถึงหน้าประตูเมืองหน้าด่านที่องค์ชายสามเฝ้ารักษาอยู่

ทัพเฮ่อสวินสูญเสียจนเหลือรอดไม่กี่คน  ทัพม้าแคว้นเป่ยชางที่ยกติดตามมาระหว่างทางยังสมทบกับทหารอีกสี่หน่วยที่ยกออกจากค่ายในช่วงบ่ายไล่ตามบดขยี้กระชั้นชิด  องค์ชายสามเห็นศัตรูจำนวนมหาศาลลงความเห็นว่าต้องรักษาเมืองก่อนเป็นอันดับแรก  ตัดสินใจไม่เปิดประตูเมืองรับทหารฝ่ายเดียวกันที่บาดเจ็บเข้าเมือง  เกรงชักนำเอาศัตรูหลายหมื่นเข้าเมืองมาด้วย  มีเพียงมือธนูบนกำแพงเมืองที่พยายามยิงธนูช่วยต้านแทนพรรคพวกข้างล่างอย่างสุดความสามารถ

สถานการณ์ในตอนนี้ในที่สุดชีวิตของเฮ่อสวินก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว  ทหารม้าเป่ยชางทุกคนได้รับหนึ่งบัญชา...หาโอกาสปลิดชีวิตเฮ่อสวินให้จงได้!

เครื่องยิงหินทุ่มหินใส่กำแพงเมือง  ทหารม้าหันปลายหอกดาบไปทางศัตรูที่ถูกพวกเดียวกันกักไว้หน้าประตู  ลูกธนูจากทหารหนานเหมินดังเม็ดฝนมีคมที่ปลิวลงมาคร่าชีวิต  กดดันให้ทหารเป่ยชางไม่อาจคืบใกล้ได้  ในที่สุดฝงเป่าตัดสินใจชักม้าเสี่ยงออกไปซัดหนึ่งหอก  หอกนี้เสียบแม่ทัพใหญ่ผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรมานานหลายปีสิ้นชื่อคาที่  แต่ตัวฝงเป่าเองก็ถูกห่าธนูจากกำแพงเมืองระดมยิงล่าถอยแทบไม่ทัน

การยึดเมืองหน้าด่านไม่ได้ไม่ได้เกินความคาดหมาย  หลังข่มขู่แคว้นหนานเหมินจนกลัวหัวหดฉีเซี่ยงหยวนก็ออกคำสั่งให้ถอยทัพ

นี่คือหัวข้อสนทนาทั้งหมดที่กำลังถูกพูดถึงดังสับสนอยู่ทุกซอกทุกมุมของค่ายทหาร  ตัวละครที่ถูกพูดถึงมากที่สุดแน่นอนว่าคือฝงเป่าที่ขณะนี้นอนคว่ำหน้าหมดท่าในสภาพมีผ้าพันแผลเต็มแผ่นหลัง 

เดิมฝงเป่าเป็นแม่ทัพที่มีฝีมือเป็นอันดับต้นๆของในสังกัดฉีเซี่ยงหยวนตั้งแต่เป็นองค์ชายสี่อยู่แล้ว  ประลองฝีมือตัวต่อตัวไม่ว่าใครก็ยากจะเอาชัยแม่ทัพร่างใหญ่ผู้นี้ได้  การฆ่าเฮ่อสวินทำให้ชื่อเสียงของฝงเป่าทะยานขึ้นสูงอีกเท่าตัว

ในบรรดาพวกพ้องที่แวะมาดูอาการทั้งหมดนับมู่ซางปากเสียที่สุด  จับๆแผลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นหน้าตาเฉยว่า

“ก็ไม่เป็นอะไรมากนี่  เห็นผู้อื่นตีโพยตีพายกันซะใหญ่โตเข้าใจว่าใกล้จะต้องหามลงโลงแล้วเสียอีก  เอาเป็นว่าอายุปูนนี้แล้วแผลเล็กน้อยอย่าทำใจเสาะ  ออกศึกคราวหน้าข้าจะเอาหัวคนที่สั่งระดมยิงมาให้  จะได้ชดใช้บุญคุณที่เคยติดค้างกันให้มันจบๆไป” พูดจบก็เดินออกจากห้องไปง่ายๆ จนคนบาดเจ็บชักจะสงสัยว่านี่มันตั้งใจจะมาดูแผลว่าตายรึเปล่าหรือตั้งใจจะมาแช่งเขากันแน่

“เด็กบ้าอะไรนิสัยบิดเบี้ยวสิ้นดี” ฝงเป่าพึมพำ  หลิวฉางเฟยที่ยืนกอดอกดูความวุ่นวายของโรงหมออยู่ข้างๆได้ยินก็กล่าวว่า
“นี่ยังมิใช่ฝีมือเจ้ากับต้าอ๋องช่วยกันสั่งสอนเลี้ยงดูมาหรอกหรือ”

ฝงเป่าจนด้วยถ้อยคำ  คำพูดของหลิวฉางเฟยทำให้ฝงเป่าย้อนคิดถึงตอนที่พวกเขาพบมู่ซางครั้งแรกท่ามกลางซากปรักหักพังของเมืองที่สมควรถูกเรียกเป็นเมืองร้างเพราะทุกชีวิตล้วนถูกประหารฆ่าสิ้น

ความจริงแล้วมู่ซางเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของแม่ทัพที่รับตำแหน่งเจ้าเมืองเฝ้าเมืองชายแดนให้แก่แคว้นเป่ยชาง  มีเรื่องขัดแย้งสู้รบกับชนเผ่าดุร้ายอยู่เนืองๆ  ครั้งนั้นเพราะทัพช่วยเหลือเดินทางมาถึงช้าเมืองถูกตีแตกไปก่อนที่สังเวยคือชีวิตของทหารและชาวบ้านที่กลายเป็นเครื่องระบายความโกรธแค้น   บิดาของมู่ซางต่อสู้จนตัวตาย  ครอบครัวของมู่ซางไม่มีใครรอดชีวิต  ตอนพวกฉีเซี่ยงหยวนกับฝงเป่าไปถึงที่พบมีเพียงเด็กเก้าขวบที่เล็งธนูมาด้วยดวงตาหมายจะเอาชีวิต

‘เหตุใดไม่มาถึงซักปีหน้า  ให้ศพพวกนี้ถูกหิมะกลบฝังไปให้หมดเสียก่อนเล่า’

อันที่จริงดูเหมือนสิ่งที่ทักทายพวกเขาจะมิใช่คำพูดเสียดสีประโยคนี้  แต่เป็นธนูดอกหนึ่งที่พุ่งเฉียดหน้าเขาไปเส้นยาแดงผ่าแปด  ก่อนเจ้าของธนูโผล่หัวออกมาเล็งข่มขู่อย่างโจ่งแจ้ง  เหตุที่มู่ซางยังวนเวียนไม่จากไปเป็นเพราะอารักขาความปลอดภัยให้กับผู้หญิงกลุ่มหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ซากเมืองที่โดนเผา  นับเป็นเรื่องน่าทึ่งที่เด็กเก้าขวบคนหนึ่งจะทำได้อย่างแท้จริง

มู่ซางเป็นเด็กหัวไว  เพราะเป็นลูกแม่ทัพจึงอ่านตำราพิชัยสงครามแต่เด็ก  ทั้งยังมีพรสวรรค์จนน่ากลัว  แต่กลับเป็นเด็กขวางโลกที่นิสัย...ไม่น่ารักเอาเสียเลย
ไม่รู้เหตุใดทั้งๆที่เจอกันครั้งแรกเป้าหมายที่ถูกเสียดสีด้วยความเกลียดชังจะเป็นฉีเซี่ยงหยวน  แต่คนที่มู่ซางยอมพูดคุยด้วยคนแรกกลับเป็นฉีเซี่ยงหยวนเช่นกัน  ฝงเป่าช่วยชีวิตเจ้าเด็กบ้านั่นหลายครั้งหลายหน  แต่คนถูกช่วยกลับไม่เคยทำตัวสำนึกบุญคุณ  มีแต่จะทำตัวน่าถีบขึ้นทุกวัน  กองทัพเป็นที่ๆไม่เหมาะสำหรับการเลี้ยงดูเด็กจริงๆเสียด้วย

ส่วนหลิวฉางเฟยกลับทราบดีกว่านั้นว่าสาเหตุที่มู่ซางยอมรับฉีเซี่ยงหยวนได้ง่ายดายกว่าคนอื่นเป็นเพราะพื้นฐานนิสัยที่ใกล้เคียงกัน  ฉีเซี่ยงหยวนอบรมสั่งสอนมู่ซางไม่สู้บอกว่าฉีเซี่ยงหยวนปลูกฝังนิสัยแย่ๆให้กับมู่ซางจะเหมาะกว่า  ส่วนใหญ่ที่สองคนนี้ร่วมมือกันไม่เห็นจะมีเรื่องดีซักเรื่อง 

มู่ซางคือคนที่ทั้งกองทัพยกให้เป็นขุมปัญญาและตัวปัญหา  แต่ฉีเซี่ยงหยวนคือคนที่ทั้งกองทัพไม่กล้าเรียกเป็น ‘ตัวปัญหา’ แต่ถ้าอยู่กันมานานพอก็ควรจะทราบว่าอะไรเป็นอะไร  ครั้งไหนที่ฉีเซี่ยงหยวนความเห็นสวนทางหรือเห็นว่าชักเกินไปก็จะปรามไว้  ส่วนอันไหนที่เห็นด้วย...หลิวฉางเฟยก็จะทราบว่าความวินาศของใครซักคนมาถึงแล้ว 

หลายวันถัดมามู่ซางเอาหัวทหารคนที่สั่งระดมยิงธนูมาให้จริงๆ  ส่งตรงมาพร้อมกับชามข้าวถึงโรงหมอ  เล่นเอาฝงเป่ากลืนข้าวไม่ลงไปอีกหลายวัน
---------------------
สถานการณ์ของกองทัพแคว้นเป่ยชางเป็นเช่นนี้  ส่วนสถานการณ์ของแคว้นหนานเหมินสาหัสกว่านั้น  เพราะทัพของเฮ่อสวินตายอย่างน่าอนาถเกินไป  องค์ชายสามจึงเจอกระแสต่อต้านไม่ฟังคำสั่งอย่างหนักจากเหล่าแม่ทัพนายกองที่สนิทสนมกับเฮ่อสวิน  ต่างบอกว่าเป็นความผิดของเขาที่ทำให้ทัพหนานเหมินสูญเสียแม่ทัพคนสำคัญ 

สุดท้ายองค์ชายสามทนแรงบีบไม่ไหว  ยกทัพส่วนหนึ่งกลับเมืองหลวง  เชื้อพระวงศ์ผิดใจกับเหล่าทหาร  ผลคือไม่อาจรักษาเมืองหน้าด่านเอาไว้ได้  ต่างฝ่ายต่างโทษว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายหนึ่ง  ความขัดแย้งฝังลึกลงทุกทีจนยากจะเยียวยา

การสูญเสียแนวรับที่เมืองหน้าด่านไปทำให้ทัพเป่ยชางบุกเข้าใกล้เมืองหลวงของแคว้นหนานเหมินโดยง่ายดาย  เดือนร้อนถึงหนานเหมินอ๋องที่เกือบจะตีเมืองหลวงของแคว้นโหยวเฉิงอ๋องแตกอยู่รอมร่อ  ต้องรีบถอยทัพกลับกลางคัน

ฝ่ายแคว้นโหยวเฉิงตอนที่ได้ข่าวว่าแคว้นเป่ยชางโจมตีแคว้นหนานเหมินก็พยายามกัดฟันยันข้าศึกไว้เต็มที่  หวังให้หนานเหมินอ๋องล่าถอยกลับไปเอง  ทว่าหนานเหมินอ๋องพาลไม่ยอมถอนทัพ  ยันจนสุดจะยัน  ยันจนเกือบจะถึงแนวป้องกันสุดท้าย  ในที่สุดก็มีข่าวว่าทัพหนานเหมินเก็บของเตรียมถอนทัพแว่วมา  ยิ่งกว่าหยาดฝนหยดลงบนแผ่นดินแห้งแล้ง  องค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงยินดีแทบคลุ้มคลั่ง

ชาวโหยวเฉิงเบิกตามองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกรของหนานเหมินอ๋องล่าถอยกลับไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยเชื่ออยู่บ้างว่ามันจะเกิดขึ้นจริง  ส่วนหนานเหมินอ๋องกลับทราบดีแก่ใจว่าเขาไม่มีปัญญาไม่ถอยทัพ  ข่าวแรกที่มาคือข่าวการตายของเฮ่อสวิน  ข่าวที่สองที่ตามมาคือข่าวเมืองหน้าด่านแตก  หากยังไม่ถอยอีกกระทั่งเมืองหลวงของตัวเองก็คงถูกแคว้นเป่ยชางยึดเอาไปด้วย

ทัพหนานเหมินเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อกลับมาแก้สถานการณ์ให้บ้านเกิด  ฉีเซี่ยงหยวนเห็นว่ากำลังหลักของแคว้นหนานเหมินโยกกลับมาหมดแล้ว  นับว่าสมควรแก่เวลาจึงสั่งถอนทัพ  ทว่าก่อนจากไปเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนนอกจากจะยึดเมืองของแคว้นหนานเหมินไปได้หลายเมืองแล้วยังทิ้งของขวัญชิ้นใหญ่เอาไว้ให้แก่ศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ของเขา  นั่นคือ...โรคระบาด

ปกติหลังเปิดฉากสมรภูมิไปแล้วก็ต้องมีพักรบเก็บกวาดกันบ้าง  ทว่าในการรบสองครั้งสุดท้าย  ฉีเซี่ยงหยวนกลับจงใจไม่ฝังไม่เผา  ทิ้งศพไว้เกลื่อน  เมื่อศพเริ่มเน่าโรคภัยจึงมาเยือน 

อันที่จริงโรคระบาดคือเงาตามตัวที่อยู่คู่กับสงครามเสมอ

ผู้จดบันทึกประวัติศาสตร์มักไม่ให้ความสนใจและไม่ลงบันทึก  ทว่าความสามารถในการทำลายล้างของมันกลับเหนือยิ่งกว่าใช้ทหารเป็นพันเป็นหมื่น

ครั้งนี้แคว้นหนานเหมินลงทุนไปมาก  และสูญเสียไปมหาศาล  เพราะการตัดสินใจถอนทัพที่ช้าเกินไปของหนานเหมินอ๋องและการเปิดศึกในช่วงเวลาที่ยังไม่สุกงอมพอ  โรคระบาดที่ตามมาซ้ำเติมในตำแหน่งใกล้เมืองหลวงทำให้แคว้นหนานเหมินต้องการการพักฟื้นระยะยาว

ทั้งหมดนี้ปูทางสู่ความตกต่ำของแว่นแคว้นที่เคยได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุด

=========
ในที่สุดก็ได้เขียนถึงอดีตของเด็กแสบมู่ซาง
เห็นมีคนถามว่าคนแต่งเรียนอะไร  จริงๆเรียนคณะสายวิทย์นะ
แต่วิชาโปรดที่คะแนนดีมาโดยตลอดคือสังคมกับภาษาไทย555
ชอบประวัติศาสตร์เป็นพิเศษ  งงอยู่เหมือนกันว่าไหงมาเรียนคณะนี้  แต่มันก็สนุกดีและเหนื่อยดี

เอาเป็นว่าHNYค่ะทุกคนพบกันใหม่ปีหน้า :กอด1:

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 71 .......................................29/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 30-12-2014 00:02:31
คนเขียนยังเด็กอยู่เลย แต่เขียนนิยายได้สนุก ลึกซึ้งดี เก่งมากๆ เลยค่ะ  o15
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 71 .......................................29/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 30-12-2014 07:28:52
สุดยอดทุกคนเลย อ่านแล้วขนลุก

มู่ซางไอ้เด็กแสบ น่าจะมีคนปราบพยศบ้างยะเนี่ย

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 71 .......................................29/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: mm03 ที่ 30-12-2014 09:27:03
อีกตัวละครที่ชอบก็มู่ซางนี่แหละค่ะ
เก่งกล้าทั้งฝีมือและฝีปาก 555
ช่างเป็นตัวละครที่น่าถีบสักทีจริงๆ 55555

สวัสดีปีใหม่ค่าาา :'D
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 71 .......................................29/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: manutty ที่ 30-12-2014 10:15:04
มู่ซางเป็นเด็กน่ารักจริงๆ แสบ แต่ เก่ง ด้วยสิ หาคู่ให้นางหน่อย  :hao6:  คิดถึงเหลียนอันสุ่ยอ่ะ ชอบอ่านฉากพระมาตุลากับฉีเซียงหยวน มากๆ ยิ่งเวลาฉีพูดหยอกเหลียนเหลียนแบบกรุ้มกริ่มนี่แบบ  :-[




ปล. คนเขียนเก่งมากเลยนะ อายุแค่นี้เขียนได้อย่างกับนิยายจีนแปล สุดยอด  o13
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 71 .......................................29/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: ghostreader ที่ 30-12-2014 21:39:46
สั้นๆ คนเขียนเก่งจังครับ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 71 .......................................29/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-12-2014 23:11:44
มู่ซางนี่เก่งจริงๆ ว่าแต่ฝงเปาจะเป็นคนปราบตัวแสบไหมน๊าา หุหุ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 71 .......................................29/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 31-12-2014 10:53:14
โถววววววน้องมู่  เห็นแสบๆแบบนี้  ชีวิตแต่ละคนล้วนผ่านเรื่องโหดร้ายมาสินะ ชอบนางางนะ ออกมาทีไรฮาทุกที สร้างสีสัน ยิ่งออกมากะฉีเซียงหยวนด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกถึงเรื่องป่วนๆที่จะเกิดขึ้นากการรวมหัวกันสร้างความวินาศ (ส่วนหลิวฉางเฟยนี่อารมณ์ประมาณคนตามเก็บกวาด) 5555

ตอนใหม่นี้แม้แต่ชื่อ เหลียนเหลียนของเราก็ยังไม่ได้ออกเลย 5555

เจอกันปีหน้า สุขสันต์ปีใหม่ค่ะ :z3:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 72
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 01-01-2015 18:13:40
บทที่ 72 กลับบ้าน

รสชาติของการได้กลับสู่แผ่นดินเกิดเป็นอย่างไร  คล้ายกับปีติตื้นตันอยู่ในอกจนพูดไม่ออก

เหลียนอันสุ่ยไม่สามารถบรรยายสีหน้าของพวกเขาเหล่านั้นขณะก้าวข้ามพรมแดนของแคว้นหนานเหมินสู่แคว้นเป่ยชาง  ทิวเขาที่ทอดไกลอยู่เบื้องหน้าราวกับละลายหน้ากากหนักแน่นเรียบเฉยของเหล่านักรบชาวเป่ยชางต่ละคนลงจนหมดสิ้น  สีหน้ามิได้เปลี่ยนแปลงมากเท่าใด  แต่แววตากลับไม่เหมือนเดิมอีก

ในใต้หล้านี้บางครั้งก็ไม่มีอะไรวิเศษไปกว่าการได้กลับ ‘บ้าน’
---------------------
เสียงพูดคุยกับเสียงดนตรีดังแข่งกัน  ทำนองเพลงพื้นเมืองอาบย้อมทุกหนทุกแห่งที่สว่างขึ้นจากกองไฟให้อบอุ่นคึกคัก

      คนหนุ่มผู้หนึ่งประกาศเสียงดังว่ากลับไปครั้งนี้เขาจะแต่งงาน
      คนหนุ่มคนที่สองบอกว่าเขาอยู่กองทหารม้า  ประกอบความดีความชอบไม่น้อย  ราชสำนักต้องปูนบำเหน็จให้บ้านที่ยากจนของเขา
      คนหนุ่มคนที่สามนั่งเหม่อลอยอยู่ข้างกองไฟ  พึมพำว่าเขาควรบอกที่บ้านว่าอย่างไร  มือหยาบกร้านลูบคลำหมวกเกราะของพี่ชายซ้ำไปมา  ดวงตาคล้ายกับมีแววน้ำตาเมื่อนึกถึงใบหน้ามารดากับพี่สะใภ้
      คนหนุ่มคนที่สี่ดื่มเหล้าอึกใหญ่  สีหน้าปีติยินดีราวตังเขากับไหสุราเป็นญาติเก่าแก่ของกันและกัน

ยังมีคนหนุ่มคนที่ห้าคนที่หก  ความในใจของพวกเขาย่อมแตกต่างกันออกไป  เหลียนอันสุ่ยเดินพลางได้ยินไปพลาง  หลายคำดังมากระทบหูเขาเอง  และหลายคำกลืนหายกับเสียงจอกแจกจอแจจนฟังไม่ได้ศัพท์  มีคนเรียกเขาเป็น ‘ท่านหมอ’ อยู่ตลอดทาง  ต้วนจินกับหม่าหลงยังคงเป็นเงาที่ไล่ไม่ไปติดตามอยู่เบื้องหลัง

อีกไม่กี่วันจะถึงเมืองหลวง  เศรษฐีใหญ่ของเมืองที่พวกเขาพำนักจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้เหล่าทหารที่นำชัยกลับมาเป็นพิเศษ  มันอาจมาจากความยินดีที่แท้จริง  หรือตั้งใจจะประจบเป่ยชางอ๋อง  แต่เศรษฐีใหญ่ของเมืองทั้งห้าคนล้วนได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดสมดังปรารถนา  ส่วนสุราอาหารที่ไม่ต้องเสียเงินเหล่าทหารทั้งหลายย่อมต้องน้อมรับเอาไว้ด้วยความยินดี  ผู้ที่เสียเปรียบที่สุดเห็นจะเป็นกลุ่มทหารที่ต้องอยู่เวรยามคืนนี้ เพราะนี่เป็นคืนเดียวที่ต้าอ๋องอนุญาตให้ดื่มเหล้า  ส่วนคนเฝ้ายามแน่นอนว่าต้องอดไป

เหลียนอันสุ่ยออกมาช้า  ตั้งใจจะเดินไปสมทบกับหมอประจำกองทัพคนอื่นๆ  แต่เหลือบเห็นแม่ทัพกู่เข้าเสียก่อน  วันนี้คนเจ็บทั้งหลายต่อให้ต้องกระเสือกกระสนสักหน่อยก็ต้องกระเสือกกระสนออกมาร่วมฉลองกับพรรคพวก  แม่ทัพกู่ออกมาก่อนเขาตั้งนาน  คิดไม่ถึงยังคงกระเผลกไปไม่ถึงจุดหมาย

เพ่งดูซักพักจึงเข้าใจ  แม่ทัพกู่ผู้นี้แม้สูญเสียขาไปข้างหนึ่งแต่ความทระนงยังคงสูงเทียมฟ้า ไม่ว่าผู้ใดคิดเข้ามาช่วยเขาล้วนถูกไล่ให้ไปดื่มกินต่อ  ดูท่าคงคิดจะใช้ความสามารถของตัวเองแม้จะต้องพักๆหยุดๆเป็นช่วงๆก็ต้องเดินไปถึงจุดหมายโดยไม่มีใครช่วย  เพียงแต่คนนั่งกินยืนกินหนาแน่นทีเดียว  คิดเดินฝ่าออกไปต่อให้มีสองขาก็ยังเป็นเรื่องลำบาก

“แม่ทัพกู่”
คนถูกเรียกหันกลับมา  ความหงุดหงิดยังคงตกค้างอยู่บนใบหน้า  หงุดหงิดความพิการของตัวเองเหลือจะกล่าว  เห็นเป็นเหลียนอันสุ่ยสีหน้าจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย  เอ่ยปากถาม
“พระมาตุลาก็ออกมาร่วมชมความครึกครื้นหรือ” กวาดตามองไปข้างหลังเหลียนอันสุ่ยแล้วก็หัวเราะเบาๆ “สองคนนั้นปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดจริงๆ  จนตอนนี้ก็ยังเดินตามท่านไม่ห่าง”
เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจยาว  หันไปกล่าวย้ำคำเดิมอีกครั้งว่า
“พวกเจ้าไปร่วมสนุกกับพวกองครักษ์เถอะ  อย่าเอาแต่เฝ้าข้าเลย”
ผู้ติดตามทั้งคู่ตอบพร้อมเพรียงกันคำเดิม
“ข้าน้อยมีหน้าที่อารักขาความปลอดภัยให้พระมาตุลา”

“ข้าจะเดินไปกับแม่ทัพกู่  พวกเจ้าสมควรไปได้แล้ว  แม่ทัพกู่อยู่ที่นี่รับรองไม่มีใครกล้าก่อเรื่องวุ่นวาย”
คนที่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยเงยหน้าขึ้นอย่างมึนงง  คิดไม่ถึงยืนอยู่เฉยๆกับต้องไปคั่นกลางระหว่างนายบ่าวสามคนตรงหน้า
“แต่ว่า...”ต้วนจินคิดจะแย้งแต่หม่าหลงชิงปรามไว้  ผงกศีรษะกล่าวว่า
“ไม่ว่าอย่างไรพวกท่านก็จะเดินไปทางเดียวกัน  เช่นนั้นพวกข้าไม่กวนแล้ว  ขออภัยที่ต้องสร้างความรำคาญให้กับพระมาตุลา  รบกวนแม่ทัพกู่ด้วย” เรื่องราวควรมีความพอเหมาะพอดี  ติดตามกระชั้นชิดทุกฝีก้าวไม่ว่าใครก็ต้องอึดอัด  จะอย่างไรโต๊ะของพระมาตุลาก็ถึงก่อน  ดังนั้นสมควรไม่มีปัญหา

เมื่อผู้ติดตามสองคนจากไป  เหลียนอันสุ่ยจึงค่อยระบายลมหายใจออกมา  หันมายิ้มให้คนที่ถูกลากเข้าไปยุ่งโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างขอโทษขอโพย
“ขอบคุณท่าน  ความจริงข้าแค่อยากให้พวกเขาได้ไปผ่อนคลายบ้าง  ไม่ใช่ต้องทำหน้าที่ติดตามข้าอยู่ตลอด”
คนฟังหัวเราะเบาๆ จากนั้นมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย  ก้มมองขาตัวเอง  กล่าว
“ท่านเดินนำไปก่อนก็ได้  ข้าคงเดินช้าหน่อย”
แต่เหลียนอันสุ่ยกลับลดระดับความเร็วลงมาเท่ากับเขา  เดินช้าๆไปเรื่อยๆให้บรรยากาศโหวกเหวกคึกคักกลบกลืนทุกแสงและเงา  สะกิดขอทางไปตลอดทาง 

ในที่สุดก็เดินมาถึงโต๊ะของหมอประจำกองทัพที่เต็มไปด้วยคนคุ้นหน้าที่ร่วมผ่านความลำบากมาด้วยกัน  ทว่าเหลียนอันสุ่ยกลับไม่นั่งลง  หันไปกล่าวกับผู้ที่เดินมาส่งเขาว่า
“ให้ข้าเดินไปเป็นเพื่อนท่านเถอะ  ตอบแทนที่ท่านช่วยข้าจัดการเรื่องยุ่งยาก” ถึงปากจะกล่าวเช่นนั้นแต่เหลียนอันสุ่ยเห็นแล้วว่าสาเหตุหลักที่แม่ทัพกู่กระเผลกอยู่นานก็ยังไปไม่ถึงไหนเป็นเพราะไม่ยอมออกปากขอทาง 

คนบางคนเคยเข้มแข็งมาตลอดพอตัวเองอ่อนแอลงกลับยอมรับไม่ได้  ความดื้อรั้นเช่นนี้บางทีก็ดีกว่าท้อแท้สิ้นหวัง  แต่ความดื้อรั้นเช่นนี้หากปล่อยให้เดินต่อไปเองคนที่ใกล้จะหายดีอาจถูกหามเข้าโรงหมอเป็นการเร่งด่วนเพราะหกล้มหัวแตกก็เป็นได้

ทว่าเหลียนอันสุ่ยกลับลืมเลือนไปอย่างหนึ่ง  ว่าแม่ทัพกู่เป็นสหายของฉีเซี่ยงหยวน 
ดังนั้นโต๊ะที่เขาตั้งใจจะเดินไปสมควรเป็นโต๊ะประธาน !
---------------------
โต๊ะตัวใหญ่วางอาหารไว้เต็มเพียบ  รินสุราไว้เต็มจอก
“ทำไมเจ้านั่นมาช้านัก” ฝงเป่าบ่น
“ก่อนจะบ่นเงยหน้าขึ้นดูบ้าง  มานู่นแล้ว” สิ้นเสียงของมู่ซางทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะล้วนหันไปมอง  มู่ซางมองดีๆอีกทีเห็นคนอีกคน  มือที่กำลังรินสุราให้ตัวเองก็ชะงักค้างไว้  ตาเหลือบมองไปยังนายเหนือหัว  เห็นสีหน้าฉีเซี่ยงหยวนเรียบเฉย  หันไปสั่งหลิวฉางเฟยสองสามคำแล้วก็ผุดลุกขึ้นยืน...  ฮ่า  ท่าทางเป็นเรื่องแล้ว  มู่ซางลอบหัวร่อในใจ  เอนหลังพิงพนักเตรียมรอชมดูเรื่องสนุก
        เป็นโชคร้ายขอแม่ทัพกู่แท้ๆที่ดันโผล่มาช้าเกินไป  เศรษฐีเอย เจ้าเมืองเอย ล้วนกล่าวอำลาจากไปหมดแล้ว  ดังนั้นต้าอ๋องจึงปราศจากข้อกริ่งเกรงอีก

เดินมาส่งถึงปลายทางเหลียนอันสุ่ยจึงพบว่าโต๊ะใหญ่ตัวนี้มีใครบ้างและตัวเองลืมเลือนเรื่องใหญ่อะไรไป  คิดจะหันหลังกลับ  มือข้างหนึ่งก็วางลงบนบ่าสูงโปร่ง
“ท่านมาแล้วก็จะไปเลยหรือ” เสียงอันคุ้นเคยถามขึ้น
เหลียนอันสุ่ยมองคนทั้งโต๊ะ  เห็นบรรดาแม่ทัพคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวนล้วนหันมามองเขา  รู้สึกถึงมือใหญ่บนบ่า  สีหน้าไม่ทราบสมควรทำอย่างไร
บุรุษแซ่กู่ที่เดินมาด้วยกันเลิกคิ้วสูง  เห็นว่าน่าสนุก  เสาะหาเก้าอี้ได้ก็รีบนั่งลง  ตั้งหลักเตรียมรับการโจมตีจากความหึงหวง
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้บันดาลโทสะอย่างที่มู่ซางคาด  แค่วางมือโอบบ่าเหลียนอันสุ่ยด้วยสีหน้าปกติ  เรียกให้คนยกเก้าอี้มาอีกตัว 
“มู่ซาง  คารวะพระมาตุลา” สิ้นเสียงมู่ซางทั้งโต๊ะเงียบกริบทันที  มองสีหน้าพวกเขาเหลียนอันสุ่ยพลันทราบว่าคนเหล่านี้เห็นทีจะรู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องราว  ร่างสูงโปร่งทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม

“ข้าจะแนะนำพวกเขาให้ท่านรู้จัก  คนผู้นี้คือ...” ฉีเซี่ยงหยวนแนะนำทีละคน  แต่แนะนำว่าอย่างไรบ้างเหลียนอันสุ่ยกลับได้ยินไม่ค่อยถนัด  ในหัวสับสนวุ่นวายไปหมด

ฝงเป่าที่นั่งอยู่ข้างฉีเซี่ยงหยวนคิดจะสละที่นั่งให้  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับกดร่างของเหลียนอันสุ่ยให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่ยกมาใหม่เสียก่อน  ร่างสูงใหญ่เดินกลับไปนั่งที่  กล่าวว่า
“คนกันเองทั้งนั้น  เฒ่าเฉาเล่าเรื่องของท่านต่อเถอะ”
มู่ซางกระพริบตาอย่างแปลกใจที่ตำแหน่งที่เหลียนอันสุ่ยนั่งไม่ใช่ตำแหน่งข้างนายเหนือหัว  แต่เป็นตำแหน่งตรงข้ามกันพอดี

เหลียนอันสุ่ยบีบมือเข้าหากันเพื่อข่มความประหม่า  คนบนโต๊ะนี้ส่วนใหญ่เขาไม่คุ้นเคย  การที่ฉีเซี่ยงหยวนไปนั่งเสียไกลยิ่งทำให้ใจเขาว่างโหวงแปลกๆ  ขณะบทสนทนาบนโต๊ะใหญ่ที่หยุดชะงักไปกลับมาดังอีกครา  เสื้อสีดำตัวหนึ่งก็ยื่นเข้ามาเบื้องหน้าเขา  หันกลับไปเหลียนอันสุ่ยจึงเห็นหลิวฉางเฟย
“ต้าอ๋องให้เอามาให้ท่าน”

เป็นเสื้อสีดำเรียบๆตัวหนึ่ง  เหลียนอันสุ่ยเอ่ยปากขอบคุณ  มองไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็เห็นคนยิ้มบางๆมาให้  อ้าปากพูดโดยไม่มีเสียงว่า ‘ใส่ไว้’
ยิ่งเข้าใกล้เมืองหลวงอากาศตอนกลางคืนก็ยิ่งเย็น  ฉีเซี่ยงหยวนจำได้ว่าเหลียนอันสุ่ยทนอากาศหนาวไม่ค่อยได้เลยให้หลิวฉางเฟยไปเอาเสื้อคลุมของเขามาจากกระโจม
หลังบอกให้ทำตัวตามสบาย  หลิวฉางเฟยก็เดินกลับไปนั่งที่ของเขา

ใจของเหลียนอันสุ่ยสงบลง  ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดฉีเซี่ยงหยวนถึงไปนั่งเสียไกล  ยอมรับว่าถ้าอีกฝ่ายนั่งข้างเขา  เขาจะต้องทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่านี้  และจะเป็นจุดเด่นยิ่งกว่านี้

จู่ๆฝงเป่าก็ตบไหล่แม่ทัพกู่  หันมากล่าวกับเหลียนอันสุ่ยว่า
“เจ้าหมอนี่ไปรบกวนท่านอยู่นาน  นับว่าเหนื่อยท่านแล้ว”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งอึ้งเมื่อพบว่าถูกพูดถึงกะทันหัน  ไม่ทันตอบคำมู่ซางก็กลอกตาพูดขึ้นก่อน
“ได้ข่าวว่าเมื่อไม่นานมานี้ใครบางคนก็บาดเจ็บโอดครวญอยู่ในกระโจมคนป่วยเช่นกัน”
“พวกเจ้าสองคนจะทะเลาะก็ไปทะเลาะกันที่อื่น  ข้าจะฟังเฒ่าเฉาเล่าเรื่องตอนถูกปล้นชิงเสบียง” แม่ทัพกู่สวนขึ้น

“พูดได้ดี  เอาล่ะทุกคนฟังข้า  นี่มันถึงตอนสำคัญคับขัน  ตอนนั้นทุกคนตระหนกกันใหญ่  มีแต่ข้าคนนี้ที่เยือกเย็น  ข้ามองศัตรูนับพันที่ปรากฏตัวเบื้องหน้าแล้วบอกพวกมันว่า เจ้าพวกสุนัขรับใช้  ข้าไม่กลัวพวกเจ้า  อยากได้ข้าวกี่กระสอบก็เอาชีวิตมาแลกไป  จากนั้นข้าก็...”
“เฒ่าเฉา  คนที่เรียกพวกมันเป็นสุนัขรับใช้คือข้า  อีกอย่างคนที่ตั้งสติได้คนแรกคือข้า  เจ้าอย่าทำเป็นเล่าข้ามไป” มีคนโวยวาย
“ข้าเห็นว่าเรื่องมันยาวก็เลยตัดส่วนที่ไม่สำคัญออก” คนแซ่เฉาพูดหน้าตาเฉย  ยักคิ้วให้อีกฝ่ายทีหนึ่งก็เล่าต่อ “ทีนี้กลับมาที่ตัวเอกของเรื่องอย่างข้า...”

เหลียนอันสุ่ยพยายามจะกลั้นขำตามมารยาท  แต่พยายามอยู่ซักพักก็ไม่อาจพยายามต่อไป  แม่ทัพตำแหน่งสูงพวกนี้นั่งเฉยๆก็ดูน่าเกรงขามดี แต่ต่างคนต่างทับถมแย่งชิงกันเป็นตัวเอก  แฉเรื่องตลกของฝ่ายตรงข้าม  เล่าเรื่องพลาดท่าเสียทีของทหารหนานเหมิน  คุยกันตั้งแต่ฉากสำคัญในสมรภูมิไปจนถึงญาติพี่น้องที่บ้าน  ราวไม่ถือสาแม้แต่น้อยว่ามีคนนอกอย่างเขานั่งฟังอยู่ 

หัวเราะอย่างเปิดเผย  ชนจอกกันไปมา  บางครั้งก็หันมาคารวะสุราให้  ทุกคนดูเป็นกันเองยิ่ง  ชาวเป่ยชางมักทำให้เหลียนอันสุ่ยรู้สึกไม่คุ้นชิน  พวกเขาสามารถเปิดเผยได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องเคร่งครัดกับธรรมเนียมอะไรมากมาย 

หากจะบอกว่าแคว้นเหลียนสุภาพมีมารยาท  สิ่งที่แคว้นเป่ยชางมีก็คือความเปิดกว้างจริงใจ

คำพูดคุยคล้ายไม่หมดสิ้นราวแต่ละคนสะสมความอัดอั้นมาเต็มที่ตอนที่อยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองและห้าเศรษฐีใหญ่  อากาศเย็นที่ลงทำให้เหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนจากเอาเสื้อคลุมคลุมบ่ามาเป็นสวมทับไว้หลวมๆ  ผ่านไปอีกซักพักก็เปลี่ยนจากสวมหลวมๆเป็นดึงสาบเสื้อให้แน่นเข้า  สอดมือเข้าไปในชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง กอดอกไว้  เปลวไฟเต้นระริกแต้มเงาอย่างมีชีวิตชีวา  บุรุษชาวเป่ยชางทั้งหลายที่นั่งอยู่รอบตัวเขาคล้ายไม่รู้สึกหนาวกันเลย  แต่ละคนสวมเสื้อไม่กี่ชั้น  เท้าแขนตามสบาย  เหลียนอันสุ่ยค่อยๆถูกเรื่องราวดึงดูดเข้าไป  ขณะนี้พวกเขากำลังสนทนาถึงวีรกรรมในอดีต  แน่นอนว่าในนั้นมีเรื่องของคนที่ตอนนี้เป็นต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางด้วย 

ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของเหลียนอันสุ่ยอยู่ในสายตาของฉีเซี่ยงหยวน  เมื่อครู่ฉีเซี่ยงหยวนใคร่ครวญดูแล้วว่าคนแถวนี้ล้วนดื่มสุรา  ให้เหลียนอันสุ่ยเดินกลับไปคนเดียวเขาไม่วางใจยิ่ง  มองเสื้อคลุมตัวเองอยู่บนร่างอีกฝ่ายรู้สึกพึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก  เสื้อคลุมสีดำทำให้เหลียนอันสุ่ยยิ่งดูโดดเด่นชัดเจนท่ามกลางบุรุษร่างใหญ่ผิวคร้ามแดดที่นั่งอยู่รายรอบ
 
อันที่จริงผิวของเหลียนอันสุ่ยดูเนียนมากเมื่อสวมชุดสีเข้ม  ทว่าคนที่นั่งอยู่แต่ละคนมองเพียงไม่นานเห็นเสื้อที่เหลียนอันสุ่ยสวมอยู่ก็ละสายตาจากไป  ฉีเซี่ยงหยวนชอบสวมชุดสีดำมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว  สีดำไม่มีลายแต่เก็บตะเข็บสองชั้นนั่นแหละใส่บ่อยที่สุด
เหลียนอันสุ่ยคิดดื่มสุราอีกอึกเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย  ทว่าก่อนนิ้วจะถึงจอก  ก็มีคนหยิบมันไปก่อน
“ท่านดื่มเยอะไปแล้ว” ที่นั่งข้างกายเหลียนอันสุ่ยกลายเป็นของฉีเซี่ยงหยวนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้  ดวงตาคมมองใบหน้าที่แดงระเรื่อน้อยๆ ทราบว่าอีกฝ่ายยังไม่เมา  แต่เท่านี้ก็ถือว่ามากเกินกว่าปกติที่เหลียนอันสุ่ยปล่อยให้ตัวเองดื่มแล้ว
“วันนี้ท่านมิใช่ให้ดื่มได้ไม่อั้นหรือ” มู่ซางถามขึ้นมา

“เจ้าอยากดื่มมากอย่างนั้นให้ข้าจับเจ้ากรอกสุราดีหรือไม่  ข้าว่าสุราหลายไหนี้เก็บไว้ในไหก็ออกจะดูธรรมดาเกินไป  เก็บไว้ในท้องเจ้าดีกว่า” แววตาของฉีเซี่ยงหยวนคมกริบเยือกเย็น  มู่ซางที่กำลังกรึ่มๆพลันได้สติ  รีบถอยห่าง  ต้าอ๋องกรอกสุรา  พูดเล่นกระมัง  ฉีเซี่ยงหยวนเคยลงโทษคนฝ่าฝืนกฎแอบต้มสุราในกองทัพด้วยการสั่งให้จับกรอก  นั่นแทบทำให้สำลักจนเอาชีวิตไม่รอดกันเลยทีเดียว
“เก็บสุราไว้ในท้องคนแซ่มู่ช่างเป็นการเหยียบย่ำสุราดีแท้ๆ” ฝงเป่าส่ายหน้าด้วยสีหน้าเสียดายอย่างเสแสร้ง
“แม่ทัพฝงวางใจสุราดีหลายไหนี้ข้าล้วนยกให้ท่าน  ไว้กลับถึงเมืองหลวงอยากดื่มเมื่อไหร่ก็ผ่าท้องคนเอาออกมา”
ฝงเป่าหัวเราะถูกใจเมื่อเห็นมู่ซางถูกขู่จนหน้าซีด  ทั้งกองทัพคนที่ข่มขู่มู่ซางได้มีแค่ฉีเซี่ยงหยวนคนเดียว

“ต้าอ๋อง  นิสัยชอบข่มขู่คนของท่านนี้ยังคงไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”
“เฒ่าเฉา  ท่านก็รู้ว่าถ้าต้าอ๋องเปลี่ยนชอบข่มขู่เป็นชอบลงมือทำจริงๆมันจะน่าสยดสยองแค่ไหน  ท่านอย่าปากหาเรื่องน่า”
“เออ  จริงด้วย” พูดอย่างนึกขึ้นได้เสร็จแล้วก็หุบปากฉับ
 
ฉีเซี่ยงหยวนหันไปถามเหลียนอันสุ่ยว่า
“ท่านง่วงรึยัง  ข้าเห็นท่านขยี้ตามาตั้งแต่เมื่อครู่  ให้ข้าส่งท่านกลับกระโจมดีกว่า”
เหลียนอันสุ่ยเห็นว่าดึกมากแล้วจึงเอ่ยปากขอตัวกับทุกคน  ตอนที่หันหลังจะเดินจากไปก็มีเสียงกระเซ้าอย่างไม่จริงจังดังมาว่า
“ไม่ต้องไปส่งถึงกระโจมก็ได้กระมัง  แค่เสื้อตัวนั้นของท่านก็รับรองได้ว่าพระมาตุลาต้องถึงกระโจมโดยปลอดภัย”

เหลียนอันสุ่ยก้มมองเสื้อที่ตัวเองสวม  ใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ  ได้ยินฉีเซี่ยงหยวนกระซิบข้างหูว่า
“ท่านไม่ต้องไปสนใจพวกเขา  พวกปากไม่สร้างสรรค์พวกนี้ไม่ได้ล้อเลียนคนต้องนอนไม่หลับ”
มีเสียงตะโกนดังมาอีกว่า
“ต้าอ๋อง  ส่งเสร็จแล้วก็รีบกลับมา  ข้ามีเรื่องขำๆของเฒ่าเฉา  รับรองว่าท่านต้องไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ฉีเซี่ยงหยวนหันไปรับคำ  ขณะหันกลับมาก็ใช้ปลายนิ้วดันหลังของเหลียนอันสุ่ยเบาๆให้อีกฝ่ายก้าวเดินไปพร้อมกับเขา

“แม่ทัพของท่านหลายคนข้าเห็นเขาเข้มงวดยิ่ง  ที่แท้ตัวตนจริงๆเป็นเช่นนี้” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยมีแววไม่ค่อยเชื่ออยู่บ้าง
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วหัวเราะ  ถามว่า
“ปกติข้าก็เป็นคนเข้มงวดยิ่ง  ท่านเห็นว่าตัวตนจริงๆข้าเป็นอย่างไรเล่า” มือใหญ่กุมมือเรียวเอาไว้  เดินช้าๆไปด้วยกัน  ผู้คนที่นั่งเกะกะต่างหลีกทางให้พวกเขา  ฉีเซี่ยงหยวนหันไปทักทายเป็นครั้งคราวแต่ไม่คิดจะปล่อยมือ  เพราะที่นี่ไม่ใช่วังหลวงแต่เป็นกองทัพ

เหลียนอันสุ่ยมองท่าทีปล่อยตัวตามสบายของบุรุษข้างกาย  พลันเข้าใจคำที่ผู้คนบอกว่าฉีเซี่ยงหยวนเติบโตมากับกองทัพ  กองทัพนับเป็นโลกของฉีเซี่ยงหยวนอย่างแท้จริง  อยู่ที่นี่เขาได้รับความภักดีโดยปราศจากเงื่อนไข  อยู่ที่นี่เขากุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไร้ข้อโต้แย้ง  แม่ทัพนายกองรักเขา  ทหารทุกนายเชื่อมั่นในตัวเขา  กฎทุกกฎเน้นใช้ได้จริงไม่จำเป็นต้องมีข้อหยุมหยิมมากความ 

ก้มลงมองมือที่จับกุมกัน  เหลียนอันสุ่ยพลันยิ้มออกมาเมื่อนึกได้ว่ากฎของกองทัพก็เป็นดุจเดียวกับตัวตนของนักรบชาวเป่ยชาง  เวลารักใครสามารถตรงไปตรงมาถึงเพียงนั้น  ยึดมั่นถึงเพียงนั้น  ชาวเหลียนมีความรักที่สวยงามราวบทกวี  มีความรักที่ถูกแบบแผนธรรมเนียม  แต่ชาวเป่ยชางกลับตกหลุมรัก
  เหลียนอันสุ่ยคิดว่าเขาชอบคำว่า ‘ตกหลุมรัก’ นี้มากทีเดียว
---------------------
ในวันที่ทัพเป่ยชางถึงเมืองหลวงผู้คนทั้งเมืองมารอแน่นขนัด  ดวงตาทุกคู่ทั้งยินดีทั้งร้อนรน  คล้ายกำลังเสาะหาเงาร่างที่คุ้นเคยจากทหารนับหมื่นที่เดินเรียงแถวเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ  ...เสาะหาด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจ

แน่นอนว่าการกลับมาครั้งนี้มีคนบางคนร้องไห้ด้วยความปีติยินดี  และบางคนร้องไห้ด้วยหัวใจที่แหลกสลาย  การได้กลับคืนมากับการสูญเสียไปตลอดกาลบางครั้งห่างกันเพียงเล็กน้อยจนน่าเจ็บปวด

นักรบที่หนักแน่นดุจขุนเขาเหล่านั้นเมื่อถอดหมวกเกราะออกพวกเขาก็เป็นแค่คนธรรมดา
      เป็นสามีที่มีภรรยา
      เป็นบิดาที่มีบุตรเยาว์วัย
      เป็นบุตรชายที่ต้องกตัญญูต่อมารดา
      เป็นคนรักของคู่หมั้นที่ยังไม่ได้แต่ง
      เป็นความหวัง เป็นเสาหลักของครอบครัว
      และมีบ้างบางคน...เป็นเสาหลักของบ้านเมือง  เป่ยชางอ๋องกลับถึงวังหลวง  รัชทายาทที่มีศักดิ์เป็นบุตรชายบุญธรรมของเขาพร้อมด้วยเหล่าขุนนางประสานมือรอรับเสด็จตั้งแต่หน้าประตูวัง

ทหารหลังรายงานตัวกับผู้บังคับบัญชาก็สามารถถอดหมวกเกราะแยกย้ายกันกลับไปหาครอบครัว  แต่คนเป็นเป่ยชางอ๋องทันทีที่มาถึงสิ่งที่รอเขาอยู่คือขุนนางที่รอคอยเข้าเฝ้า  ฉีเซี่ยงหยวนไล่ให้กลับไปทั้งหมด  เรื่องหารือไม่ว่าเร่งด่วนปานใดล้วนเอาไว้วันพรุ่งนี้ค่อยสะสาง  ตำหนักเยี่ยอวิ๋นกว้างใหญ่  คนที่ไม่ถูกไล่กลับไปมีเพียงรัชทายาท

รัชทายาทวันสิบห้าปีแจกแจงเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆระหว่างเขารักษาการณ์ร่วมกับเหล่าขุนนางอย่างเป็นลำดับขั้นตอน
“ฎีกาทั้งหมดลูกให้คนเก็บไว้รอให้พระบิดาทอดพระเนตร  เรื่องที่หารือในท้องพระโรงลูกให้คนจดบันทึกไว้  แต่ละเรื่องสะสางอย่างไรลูกเขียนสรุปเป็นรายงานคร่าวๆสี่ฉบับเกี่ยวกับหลักการและวิธีการ  หากพระบิดาต้องการทราบรายละเอียดในเรื่องใดลูกสามารถแจกแจงให้ฟังด้วยตัวเอง...”

ฉีเซี่ยงหยวนฟังถึงตรงนี้ก็โบกมือเป็นความหมายว่าพอ  ถามขึ้นยิ้มๆว่า
“รักษาการณ์แทนข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ปัญหามากมายยากสะสาง  ลูกนับถือพระบิดายิ่ง”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ  กล่าวว่า
“เท่าที่ดูเจ้าก็ทำได้ไม่เลว  แต่ดีไม่ดีอย่างไรไว้วันพรุ่งนี้ข้าค่อยตรวจดู  วันนี้เจ้ารับปากพี่สะใภ้ว่าจะไปกินมื้อเย็นกับนางรึเปล่า  ถ้ายังไม่ได้รับปากก็ตามข้ามา”
---------------------
เหลียนจิ้งเต๋อได้ยินว่ากองทัพเข้าเมืองมาแล้วก็ไปดักรอที่โรงหมอ  จริงดังคาดท่านพ่อมาถึงก็ดูแลให้คนจัดการเรื่องการจัดยาเบิกจ่ายยาแก่ทหารบาดเจ็บที่ครอบครัวมารับกลับไป  เหลียนจิ้งเต๋อเห็นเงาหลังบิดาก็รีบโผล่ไปช่วยเหลือ 
เหลียนอันสุ่ยตบบ่าบุตรชายเบาๆ  พึมพำด้วยรอยยิ้มว่า
“เจ้าสูงขึ้นอีกแล้ว”
---------------------
เย็นวันนั้นหลายครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า  โต๊ะอาหารตั้งเสร็จแล้ว  อิ๋งฮวาทำงานอย่างขยันขันแข็งเป็นพิเศษ 
เหลียนจิ้งเต๋อมองอาหารบนโต๊ะตาเป็นมัน  เงยหน้าขึ้นมาก็พอดีเห็นคนสองคน ขมวดคิ้วนิ่วหน้าแล้วกล่าวว่า

“รัชทายาท  ท่านจะมาก็ไม่เห็นต้องหนีบเอาบิดาบุญธรรมของท่านมาด้วยเลย”

เหลียนอันสุ่ยที่หลับตาสูดกลิ่นชาลืมตาขึ้นมาช้าๆ  พอเห็นว่าเป็นใครก็แย้มยิ้มออกมาบางๆ
---------------------
หลังจากนั้นหลายปี  หนานเหมินอ๋องพยายามตีชิงเมืองที่ถูกแคว้นเป่ยชางยึดคืนมา  ทว่าเพิ่งได้คืนไปไม่เท่าไหร่  เป่ยชางอ๋องก็มีบัญชาให้มู่ซางกับฝงเป่ายกทัพไปปราบ 

ในการศึกครั้งนี้คนที่สร้างชื่อกลับเป็นเถี่ยเจิ้งนายทหารแคว้นเหลียนที่เปล่งประกายโดดเด่นจับตาด้วยการใช้กำลังคนน้อยเอาชนะคนมาก  ตัดหัวแม่ทัพคู่ใจที่เชี่ยวชาญการบุกตีเมืองคนนั้นของหนานเหมินอ๋องมาได้  เป็นครั้งแรกที่ชาวเหลียนสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อแคว้นเป่ยชาง สะท้อนถึงการมองการณ์ไกลของเป่ยชางอ๋องที่เปิดโอกาสให้คนต่างแคว้นทำงานรับใช้ในตำแหน่งสำคัญ

ตอนที่หนานเหมินอ๋องได้รับข่าวการสูญเสียครั้งนี้ก็โรคเก่ากำเริบหมดสติไป 
หลังจากนั้นสุขภาพไม่เคยกลับมาดีได้อย่างเดิมอีกเลย

============
เปิดปีใหม่มาพร้อมกับเซอไพรส์ต้อนรับปี2015 
ในช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัว 
เลยตั้งใจจะเขียนตอนพวกเขาได้กลับบ้าน  เขียนไปเขียนมาสิบหน้าซะงั้น 
เอาเป็นว่าอยากให้ทุกคนกันยิ้มกว้างๆรับปีใหม่ปีนี้ค่ะ :)
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 72.......................................01/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 01-01-2015 19:29:07
ต้าอ๋องโรแมนติคเนอะ คอยดูแลกันไม่ขาดอย่างนี้รักตายเลย  เหลียนๆจูเนียร์ทำใจได้แล้วมั้ง ทุกวันนี้อาจจะแค่กัดตามความเคยชิน 555
รัชทายาทมาแป๊บเดียวแต่ดูปรีขาสามารถมากค่ะ เท่อะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 72.......................................01/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 01-01-2015 19:48:17
 :o8:กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัวกันแล้ว
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 72.......................................01/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: milky way ที่ 01-01-2015 20:38:18
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
ตอนใหม่ สนุก และดูทั้งคู่มีความสุขมาก
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 72.......................................01/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 01-01-2015 22:53:32
สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอบคุณสำหรับของขวัญน่ารักอบอุ่นตอนนี้นะคะ
อ่านตอนนี้แล้วละมุนละไม ยิ้มแก้มปริไปตลอด ชอบบรรยากาศระหว่างฉีเซียงหยวนกับเหลียนอันสุ่ยจริงๆ แล้วก็ชอบตอนกินข้างทังครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตานี่ล่ะ

รอตอนหน้าค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 72.......................................01/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-01-2015 00:11:22
หวานๆ ต้อนรับปีใหม่เลย ดีจัง ^^
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 72.......................................01/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: manutty ที่ 02-01-2015 09:30:42
ในที่สุดก็ได้กลับบ้านกันอย่างปลอดภัยสักที ดีใจกับฉีและเหลียน เขาจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขบ้าง เหรอ เห็นจิ้งเต๋อยังเหน็บบิดาบุญธรรมไม่เลิก  :laugh: เอาน่าอย่างน้อยจิงเต๋อก็ยอมให้สุดๆแล้ว บอกไว้เลยนะ ฉี อย่าทิ้งหรือนอกใจ เหลียนเหลียน เป็นอันขาด ไม่งั้นจิงเต๋อตัดขาดแน่  o18  จะว่าไป รัชทายาท กับ จิงเต๋อ ก็น่าจิ้นอยู่นา จะได้ดำเนินตามรอยพ่อทั้งสองไง  :hao6: ย้ำอีกหลายๆๆครั้ง ชอบโมเม้นท์ ฉี กับ เหลียน มากๆ  :-[


ปล. สวัสดีปีใหม่ ขอให้พอเจอแต่เรื่องดี ๆ สุขภาพแข็งแรง  จะได้เขียนนิยายดีๆให้อ่านอีกนะ  :mc4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 72.......................................01/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 02-01-2015 23:32:04
 :mew1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 72.......................................01/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 05-01-2015 18:57:43
ขอบคุณสำหรับของขวัญปีใหม่นะคะ

เวลาอ่านแล้วหัวใจมันอุ่นไปหมด เหมาะกับอ่านหน้าหนาวจริงๆ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 72.......................................01/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: lilowria ที่ 17-01-2015 03:17:14
ขอบคุณครับ
Fc เหลียนอันสุ่ย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 73
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 18-01-2015 17:48:42
บทที่ 73 ท่านอาใจดีกับท่านลุงใจโหด(1)

ต้นฤดูร้อนแผ่สีสันอันลานตาจากเหนือจรดใต้  ทุกคนที่สัญจรไปมาต้องแวะเข้าโรงน้ำชาจิบน้ำชาซักอึก

ณ โรงน้ำชาชื่อดังแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของแคว้นเป่ยชาง  คนผู้หนึ่งนั่งหันข้างให้กับบานหน้าต่าง  เสียงโหวกเหวกและความวุ่นวายของโรงน้ำชาคล้ายไม่สามารถกระทบถึงเขา 

บ่าวรับใช้ในโรงน้ำชาวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดทำงานอย่างคล่องแคล่ว  ควันร้อนจากน้ำชาแต่ละกาอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของชาเข้มข้น  ความจริงแล้วที่นั่งในโรงน้ำชาไม่แบ่งแยกชนชั้น  แต่บ่าวรับใช้มากไหวพริบย่อมต้องจัดที่นั่งที่ดูสงบสักหน่อยให้กับแขกที่ดูจะมาแสวงหาความสงบ  และจัดที่นั่งชั้นล่างให้กับลูกค้าที่อายุขัยไม่น้อยแล้วเพื่อที่จะไม่ต้องขึ้นลงบันได
 
ฐานะของคนที่มาเยือนโรงน้ำชาแห่งนี้มากมายหลากหลายยิ่ง  การจัดแจงที่ถูกต้องเหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น  สำหรับกลุ่มนายท่านที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างเหมือนจะมีรถม้าส่วนตัว  ที่มาของพวกเขาเกรงว่าคงจะไม่ธรรมดานัก  บ่าวรับใช้ประจำโรงน้ำชาเช็ดโต๊ะไปก็ครุ่นคิดไป  เหลือบมองก็ไม่กล้าเหลือบมองมากเกินไป  เพราะการจ้องลูกค้าด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นเป็นมารยาทที่ย่ำแย่ยิ่ง  กวาดดูคร่าวๆเหมือนโต๊ะนั้นจะมีนายท่านสองคน  สวมชุดสีดำคนหนึ่ง  สวมชุดสีฟ้าคนหนึ่ง  มีผู้ติดตามยืนข้างหลังอีกคนหนึ่ง  ไม่ทราบเป็นคนที่จ้างมาคุ้มกันหรือเป็นผู้ติดตามที่มีอยู่เดิม 

โต๊ะถัดไปเงียบกริบอยู่บ้าง  แม้จะมีผู้ชายตัวใหญ่นั่งอยู่ถึงสี่คน  แต่หลังจากสั่งน้ำชามากาหนึ่งก็มิได้เรียกสั่งอะไรอีก  พูดกันเป็นครั้งคราว  แต่เวลาส่วนใหญ่คือนั่งจิบน้ำชาอย่างสุภาพเรียบร้อย  เงยหน้าขึ้นกวาดมองความวุ่นวายของโรงน้ำชาอยู่เนืองๆ  ลูกค้าโต๊ะนี้มาถึงก่อนโต๊ะริมหน้าต่างเล็กน้อย  ขอที่นั่งเพิ่มไว้กล่าวว่าจะมีคนตามมาสมทบอีก

อันที่จริงนายท่านที่นั่งริมหน้าต่างไหนเลยจะแค่ ‘ไม่ธรรมดานัก’  เกรงว่าหากบอกฐานะออกไปคงทำให้ผู้คนแตกตื่นกันทั้งโรงน้ำชา  ฉีเซี่ยงหยวนมาถึงเมืองนี้ได้สองวันแล้ว  ว่าเจ้าเมืองยังคงไม่ทราบการมาถึงของเขา  นี่ย่อมเป็นความจงใจมาตรวจสอบการทำงานของเมืองใต้การปกครอง  ปกติหากมาถึงแล้งเจ้าเมืองยังไม่ทราบข่าวฉีเซี่ยงหยวนจะใช้เวลาสองสามวันศึกษาสภาพภายในเมืองก่อน  หลังจากนั้นค่อยส่งผู้ใต้บังคับบัญชาที่มิได้ปกปิดฐานะเข้าไปตรวจดูการทำงานของส่วนราชการ  สำหรับเมืองที่มีปัญหามากๆ  หรือเมืองที่ค่อนข้างใหญ่  บางครั้งฉีเซี่ยงหยวนจะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงเพื่อยื่นมือเข้าไปตรวจสอบอย่างเต็มที่  สางปัญหาเกี่ยวกับการทุจริตรับสินบนหรือการจัดแจงที่ไม่มีประสิทธิภาพ
 
ทั้งหมดนี้ย่อมมิใช่หน้าที่โดยตรงของเขา  ฉีเซี่ยงหยวนมีขุนนางหน่วยที่คอยตรวจสอบการทำงานและการปกครองตามเมืองต่างๆให้กับเขาอยู่แล้ว  การลงมาดูของเขาจึงเป็นเพียงการมาดูผลงานของขุนนางพวกนั้นต่ออีกทอดว่ามีประสิทธิภาพเชื่อถือได้แค่ไหน  และถือโอกาสแก้บางปัญหาที่สามารถแก้ได้ไปตอนนั้นเสียเลย  หลายครั้งที่รัชทายาทติดตามมาด้วย  ส่วนครั้งนี้คนที่มากับฉีเซี่ยงหยวนคือเหลียนอันสุ่ย

ช่วงสองสามปีมานี้ฉีเซี่ยงหยวนเดินทางบ่อยครั้งบ้างสั้นบ้างยาว  ไปเช้าเย็นกลับ  ค้างหนึ่งคืน  ค้างหนึ่งอาทิตย์  ค้างเป็นเดือนก็มี  บางครั้งจัดการเรื่องในท้องพระโรงสองเดือนเก็บปัญหาหลักๆให้เข้าที่เข้าทางแล้วก็ให้คนเตรียมรถม้า  บางครั้งอยู่ในเมืองหลวงครึ่งปีแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะไปไหน  เหลียนอันสุ่ยติดตามไปกับเขาไม่บ่อยนัก  เพราะโดยส่วนมากฉีเซี่ยงหยวนไปทำงานคือไปทำงานจริงๆ  หลังจากเสร็จตามเป้าหมายก็จะเร่งกลับเมืองหลวง  แต่ถ้าครั้งไหนตั้งใจว่าจะมีช่วงเวลาพักในเมืองสองสามวันก็จะพาเหลียนอันสุ่ยไปด้วย 

ทว่าครั้งนี้จุดหมายปลายทางแตกต่างออกไป  ฉีเซี่ยงหยวนตั้งใจจะไปเยี่ยมดูการปกครองของแคว้นเหลียนที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเหลียนเฉิง  และจุดหมายแอบแฝงเล็กๆข้อหนึ่งคือพาเหลียนอันสุ่ยกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด  เหลียนจิ้งเต๋อเองก็ติดตามมาด้วย 
ปกติเหลียนจิ้งเต๋อก็ออกมาตรวจดูงานกับฉีเซี่ยงหยวนไม่บ่อยนัก  เพราะฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้มาเที่ยวเล่น  ลูกบุญธรรมที่ติดตามเขาออกมาจะต้องได้รับการมอบหมายงานอย่างจริงจัง  ดังนั้นส่วนใหญ่จึงมักเกิดสภาพตรงข้าม  คือหากไม่ได้ออกปากบังคับเหลียนจิ้งเต๋อมักจะอิดออดหาเรื่องบ่ายเบี่ยง

“จิ้งเอ๋อไปไหนเสียแล้ว” เสียงใสกระจ่างดุจสายน้ำถามขึ้น
ได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะ  ตอบว่า
“นี่ยังต้องสงสัยอีกหรือ  คงหาเรื่องเที่ยวเล่นนั่นแหละ”
“...ขอโทษที่ต้องให้ท่านกลุ้มใจอีกแล้ว” เหลียนอันสุ่ยลูบชายแขนเสื้อสีฟ้าของตัวเอง  ถอนหายใจออกมาเบาๆ  หวนนึกถึงคราวนี้ฉีเซี่ยงหยวนจงใจทิ้งรัชทายาทให้รักษาการณ์แทนที่เมืองหลวงเป็นการทดสอบความสามารถและฝึกฝนความรับผิดชอบ  บุตรชายผู้อื่นอายุมากกว่าปีเดียวสามารถแบกรับงานใหญ่  แต่ลูกคนนี้ดูเหมือนเขาจะตามใจมากเกินไป  โตจนป่านนี้ก็ยังไม่อยากรับผิดชอบงานอะไรซักอย่าง

ทุกปีฉีเซี่ยงหยวนจะเพิ่มงานที่ต้องรับผิดชอบให้กับลูกบุญธรรมของเขา  หลายปีมานี้รัชทายาทมีบทบาทในราชสำนักไม่น้อย  นี่เป็นความจงใจของฉีเซี่ยงหยวนที่จะแบ่งอำนาจในมือออกไป  ฉีเซี่ยงหยวนกำลังฝึกฝนผู้สืบทอดของเขา  ส่วนเหลียนจิ้งเต๋อโวยวายเป็นประจำและอู้งานจนเคยชิน  มักมาโอดครวญกับบิดาอยู่เสมอๆ  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับไม่เคยออกปากขอให้ฉีเซี่ยงหยวนลดงานให้กับบุตรชายคนนี้  เพราะทราบดีว่าฉีเซี่ยงหยวนมอบหมายงานตามอายุ  ความสามารถ  สิ่งที่ควรจะรับผิดชอบอยู่แล้ว  เหลียนอันสุ่ยมีความเห็นว่าไม่มีความสุขสบายอะไรที่สามารถแลกมาด้วยการไม่ทำงาน  ในเมื่อไม่มีบิดาหนุนหลังเหลียนจิ้งเต๋อแม้กองงานจนเป็นนิสัย  แต่ถึงกำหนดส่งก็ยังต้องอดทนทำให้ทัน  แม้จะฉิวเฉียดมากก็ตาม

“จริงๆข้าว่าใช้ชีวิตได้อย่างเขาก็ดี  มิใช่สนุกสนานมีสีสันมากหรอกหรือ” ฉีเซี่ยงหยวนพึมพำด้วยรอยยิ้ม

เหลียนอันสุ่ยสั่นหัว  เหลียนจิ้งเต๋อมักบอกว่าพ่อบุญธรรมเข้มงวดและทำอะไรเป็นการเป็นงานอยู่เรื่อย  จริงๆถ้าเทียบกับรัชทายาทแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนอ่อนข้อให้เหลียนจิ้งเต๋อจนแทบจะเข้าขั้นลำเอียง  ฉีเซี่ยงหยวนเคยบอกว่าเด็กคนนี้มีชีวิตอย่างมีความสุข  ทำอะไรที่อยากทำ  ไม่ต้องเจ้าเล่ห์มากมาย  และไม่เคยสนใจว่าตัวเองต้องมีความสามารถเหนือล้ำกว่าใคร  แค่คิดจะใช้ชีวิตของเขาให้ดี  มุมมองแบบนี้ได้มาไม่ง่ายนัก  คนในราชสำนักมีประเภทชวนเครียดชวนหดหู่มากพออยู่แล้ว  ไม่จำเป็นต้องพยายามเปลี่ยนเหลียนจิ้งเต๋อให้กลายเป็นคนประเภทนั้นไปด้วย

“ท่านใยต้องกลุ้มใจ  อันที่จริงเด็กคนนั้นมิใช่คนไม่มีความสามารถ  เขาแค่ทุ่มเทให้กับสิ่งที่เขาสนใจ  ไม่ได้ทุ่มเทให้กับความก้าวหน้าและผลประโยชน์”
“จนตอนนี้เขาก็ยังไม่ชอบท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนยักไหล่กล่าวว่า
“ใช้คำว่าชอบไม่ลงมากกว่า  ข้าก็เป็นคนที่คนมักชอบไม่ลงอยู่แล้ว  ข้ายังสงสัยว่าท่านมาชอบข้าได้ยังไง”
เหลียนอันสุ่ยเหลือบมองไปโต๊ะข้างๆ เห็นบรรดาผู้ติดตามของพวกเขาที่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักกันยังคงดื่มชาด้วยท่าทีเป็นปกติ  ไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินบทสนทนาก็ลอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนแม้ขนคนมาไม่น้อย  แต่ขนขุนนางมาไม่มาก  การตรวจตราตามรายทางมิได้กระทำอย่างจริงจังเคร่งเครียดเท่าครั้งอื่นๆ  เพราะมันเป็นเพียงผลพลอยของคนที่ไม่ชอบอยู่โดยสูญเปล่าอย่างฉีเซี่ยงหยวนเท่านั้น  จุดหมายหลักยังคงเป็นเรื่องที่แคว้นเหลียน 

บางทีนี่อาจจะเป็นการเดินทางครั้งที่เร่งรีบน้อยสุดตั้งแต่ขึ้นรับตำแหน่งเป่ยชางอ๋องเป็นต้นมา  คล้ายกับฉีเซี่ยงหยวนจงใจเก็บเกี่ยวเวลาตามรายทางร่วมกับคนสำคัญของเขา  มันจึงออกมาในรูปแบบของสะสางราชการแผ่นดินไปด้วยผ่อนคลายและซึมซับกับอิสระที่หาไม่ได้ในวังหลวงไปด้วย  สัมผัสกับกลิ่นอายในแต่ละพื้นที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเขตปกครองของเขา  สัมผัสกับปัญหาในแต่ละพื้นที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเขตปกครองของเขา   ขณะนี้ฉีเซี่ยงหยวนกำลังยุ่งเกี่ยวกับปัญหาที่ไม่ค่อยใช่ปัญหาของเขาเท่าไหร่ปัญหาหนึ่ง

“ท่านว่าเด็กพวกนั้นถูกขังอยู่ที่ไหน” หลังจิบน้ำชาคำหนึ่งเหลียนอันสุ่ยก็ถามขึ้น
“นั่นต้องขึ้นอยู่กับว่าโจรลักพาตัวเด็กคิดประกอบการค้าขายโดยไม่สนใจกฎหมายพวกนี้เป็นผู้ใด  มีจุดประสงค์อะไร  พ่อค้าย่อมต้องหาหนทางส่งสินค้าไปยังปลายทาง  พวกเราคลำมาไม่ผิดหรอก” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนเย็นเยียบ  เชื่อมั่นในตัวลูกน้องของเขาที่ถูกส่งออกไปตามหาตามจุดต่างๆในเมืองว่าจะต้องไม่พลาดแน่  ต่อให้อาจจะมีปัญหาติดขัด  แต่ขั้นต่อไปฉีเซี่ยงหยวนจะเปิดเผยฐานะบางส่วนยืมใช้กำลังของทางการ  มีสถานะเป่ยชางอ๋องบีบอยู่รับรองว่าไม่มีใครกล้าปกป้องคนผิด

ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้จงใจยุ่งเกี่ยวกับคดีเล็กน้อยที่น่าจะมีผู้สอดส่องรับผิดชอบอยู่แล้วมากความ  แต่ผู้ใดใช้ให้ตลอดรายทางมานี้มีแต่คดีเด็กหาย  โจรชั่วที่อยู่เบื้องหลังของมีอิทธิพลไม่เบา  ขนาดลูกของชนชั้นผู้มีอันจะกินยังถูกลักพาตัวไป  นับเป็นความซวยขนานแท้ของตัวการใหญ่ที่เป่ยชางอ๋องถึงกับลงมาเล่นกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง  ต้องโทษความอุกอาจเหิมเกริมกล้าก่อกรรมทำชั่วเป็นวงกว้างที่ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนตัดสินใจสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว  ไม่ว่าความเป็นมาจะใหญ่โตปานใดก็ไม่มีทางใหญ่โตกว่าต้าอ๋อง  ฉีเซี่ยงหยวนคิดสาวไส้โจรชั่วออกมา  โจรชั่วเหล่านั้นย่อมไม่มีปัญญาดิ้นรนหลุดพ้นกำมือไปได้

เรื่องตัวการหลักฉีเซี่ยงหยวนพอจะทราบคร่าวๆมาบ้างแล้ว  ที่แท้เป็นพ่อค้าอันดับต้นๆของแคว้นเป่ยชาง  ขวัญกล้าบังอาจเพราะแอบอิงใช้บารมีเชื้อพระวงศ์  เนื่องจากตัวเขาเป็นคนส่งเงินส่งทองให้ลุงของรัชทายาทที่ใช้จ่ายมือเติบตลอดมา  พี่ชายของพี่สะใภ้ผู้นี้ไม่มีอะไรเอาอ่าว  ตั้งแต่ฉีเซี่ยงหยวนรู้จักมาความสามารถโดดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเขาคือการใช้จ่ายเงินทองโดยไม่ยั้งคิด  ก่อนหน้านี้พึ่งพาบารมีน้องสาวที่ได้เป็นชายารัชทายาท  ปัจจุบันพึ่งพิงบารมีหลานชายที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งรัชทายาท  ฉีเซี่ยงหยวนเคยลงมือตักเตือนไปคราหนึ่ง  ลดเบี้ยหวัดไปหลายครา  คิดไม่ถึงคราวนี้ต้องลงมือจัดการจริงๆจังๆอีกครั้ง
 
แน่นอนว่าแผนการซับซ้อนสุดที่ความสามารถของพระญาติผู้นั้นจะวาดออกมาได้  เพียงแต่โฉดเขลาจนถูกผู้อื่นเอาบารมีไปก่อกรรมทำชั่วได้  นับว่าหมดหนทางเยียวยา  มีแต่ต้องใช้มาตรการคุมความประพฤติอย่างเคร่งครัดเป็นทางออกสถานเดียว

ส่วนตัวการหลักที่วาดแผนใหญ่โตประกอบเรื่องสามานย์ต้องถอนรากถอนโคนสถานเดียว  ความจริงเมื่อทราบตัวการแล้วก็คาดเดาทางไปของเด็กเหล่านั้นได้ไม่ยากเลย  กิจการของพ่อค้าผู้นี้ที่รุ่งเรืองที่สุดก็คือหอนางโลม   อีกธุรกิจเบื้องหลังเกรงว่าเป็นการค้าทาสเถื่อนทั้งชายและหญิง ตอนนี้ตามจนใกล้เข้าทุกที  เด็กทั้งหมดต้องถูกซ่อนในเมืองนี้อย่างแน่นอน  หลังสืบพบที่ซ่อนเด็กก็ได้เวลารวบตัวการใหญ่แล้ว

บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งขึ้นบันไดขึ้นมาชั้นสอง  ค้อมหัวให้ฉีเซี่ยงหยวนทีหนึ่ง  แล้วจึงรายงาน
“พบที่ซ่อนของเด็กทั้งหมดแล้ว  จะให้ทำอย่างไรต่อไปขอรับ”
“ต้องช่วยเด็กออกมาก่อน” นี่เป็นเสียงเหลียนอันสุ่ย
“แต่ทำแบบนั้นตัวการใหญ่อาจไหวตัวหลบหนีกันหมด” ฉีเซี่ยงหยวนใคร่ครวญ
“ท่านทราบกระทั่งวิธีติดต่อของพวกเขา ใยไม่ใช้การเปิดโปงที่ซ่อนตัวของเด็กบีบให้พวกเขาต้องส่งข่าวเตือนภัยถึงกันและกัน  แบบนั้นท่านจะรวบคนที่เกี่ยวข้องและตัวการสำคัญได้ทั้งหมด”

ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าว่า “วิธีนี้ดีมาก  ข้าต้องไปพบเจ้าเมืองก่อน  ควบคุมการเข้าออกของคนได้ก็ควบคุมข่าวสารจากเมืองสู่เมืองได้” ส่วนการติดต่อลับของโจรชั่วอยู่ในกำมือหลิวฉางเฟยนานแล้ว  พวกเขาจะรู้ข่าวตอนที่ข้าต้องการให้พวกเขารู้
ร่างสูงใหญ่ยืนขึ้นช้าๆ  หลังโต๊ะริมหน้าต่างออกไปไม่นาน  โต๊ะที่อยู่ข้างกันที่นั่งด้วยชายฉกรรจ์สี่คนก็ลุกตาม  คนรับใช้ในโรงน้ำชาได้แต่มองหน้ากันด้วยความมึนงงว่าสรุปคนสี่คนนี้มาทำอะไรกันแน่  ทำไมดูยังไงก็ดูเหมือนจะมานั่งเฉยๆ  พวกเขาย่อมไม่ทราบว่าคนเหล่านี้มิใช่คนผ่านทางทั่วไปแต่เป็นองครักษ์ที่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยจุดประสงค์เดียวคือสอดส่องความปลอดภัยให้กับนายเหนือหัว
---------------------
เรื่องอึกทึกครึกโครมและฉูดฉาดเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในเมือง 
เด็กทั้งหมดถูกช่วยออกมาแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนเดินดูการจัดแจงของทหารใต้บังคับบัญชารู้สึกพึงพอใจยิ่ง  เด็กเหล่านี้ย่อมเป็นหน้าที่พนักงานบ้านเมืองที่จะนำพวกเขาส่งคืนกลับบ้าน  เด็กจำนวนมากถูกจับมาจากเมืองอื่นใช้วิธีตรวจเทียบประวัติกับบรรดาคำร้องเรื่องเด็กหายของแต่ละพื้นที่  เด็กส่วนใหญ่อยู่ในวัย7-8 ขวบ รู้เรื่องพอสมควร  หากสอบถามพบว่าพอจะจำได้ว่าตัวเองมาจากที่ใดก็ให้ส่งคืนไปตามนั้น    ส่วนคนที่ไม่สามารถหาเค้าลางประวัติก็ได้แต่ใช้วิธีประกาศข่าวออกไป  รอให้ข่าวไปถึงแล้วพ่อแม่เดินทางมารับตัวเด็กเอง  ทุกอย่างดูเรียบร้อยดี  ทว่ามีเด็กเจ้าปัญหาอยู่คู่หนึ่งที่หลังถูกช่วยมาได้ก็ทำเรื่องราวใหญ่โต...

“พี่ทหาร  ท่านช่วยตามหมอมาเร็วเข้า  น้องชายข้าไข้ขึ้นสูงจะไม่ไหวแล้ว”
อันที่จริงตามหมอมาแล้วก็น่าจะจบกันไป  การดื้อดึงไม่ยอมเคลื่อนย้ายทหารใต้บังคับบัญชาของฉีเซี่ยงหยวนย่อมต้องมีวิธีจัดการ  แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเหลียนอันสุ่ยโผล่หน้าเข้าไปเยี่ยมดูสภาพตอนเด็กเหล่านั้นถูกช่วยออกมาด้วย  เด็กแฝดคู่นั้นจึงกลายเป็นอยู่ในความดูแลของเหลียนอันสุ่ยโดยเจ้าตัวเป็นคนออกปากเอง

บุรุษที่อยู่เหนือแผ่นดินเป่ยชางขมวดคิ้ว  ขณะกอดอกมองคนที่ทำตัวเป็นหมอทันทีที่ได้ยินว่ามีเด็กป่วย  แฝดคนน้องป่วยหนักไข้ขึ้นสูงเพ้อไม่ได้สติอยู่บนเตียงด้วยท่าทางน่าสงสารยิ่ง  เหลียนอันสุ่ยกำลังเช็ดตัวให้กับเขา  ส่วนแฝดคนพี่เฝ้าอยู่ข้างตัวน้องชายไม่ยอมขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว  ขอร้องไม่หยุดปาก
“ท่านหมอ  ท่านต้องช่วยน้องข้าให้ได้นะ  คนเลวพวกนั้นไม่ยอมตามหมอบอกว่าจะมีคนจับได้  แต่น้องชายข้าป่วยมาหลายวันแล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น  ท่าน...ท่านต้องอย่าทิ้ง  อย่าปล่อยให้เขาตายนะ”
เหลียนอันสุ่ยปลอบประโลมจิตใจวิตกกังวลของเด็กคนนั้นด้วยการพยักหน้ารับคำเป็นมั่นเหมาะ

ฉีเซี่ยงหยวนที่ยืนฟังอยู่จึงเอ่ยปากเตือนความจำอีกฝ่ายด้วยความหวังดีว่า
“ไม่กี่วันพวกเราก็จะไปแล้ว  ท่านทิ้งเขาไว้ที่นี่  ข้าจะให้คนตามหมอคนอื่นมาตรวจดูอาการเขาแทนจะดีกว่า” เหมือนฉีเซี่ยงหยวนจะทำพลาดไปตรงที่ใช้คำว่า ‘ทิ้ง’ ในประโยค

เด็กแฝดคนพี่จึงหันมามองหน้ากับฉีเซี่ยงหยวนด้วยสีหน้าเจ็บแค้นราวอีกฝ่ายได้ฆ่าน้องชายเขาอย่างเลือดเย็นก็ไม่ปาน  มือเล็กขยุ้มชายเสื้อของเหลียนอันสุ่ยไว้แน่น  ดวงตามีน้ำตาคลอเบ้า  อ้อนวอนว่า
“ท่านหมอท่านอย่าใจร้ายทิ้งน้องชายข้าไปนะ  อย่าไปฟังคำของเขา  มีแต่คนไม่ดีที่อยากให้น้องชายข้าตาย  ท่านอย่าทิ้งพวกเราไปนะ  ตอนนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่อยู่  แต่ถ้าท่านอยากได้ค่ารักษา  ข้า...ข้าจะพยายามไปหามาให้”

เด็กคนนี้ดูเหมือนจะตีความผิดพลาดไปใหญ่แล้ว 
“ข้าไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งน้องชายเจ้าให้เผชิญกับชะตากรรม  ข้าแค่บอกว่าจะให้คนไปตามหมอคนอื่น...”
 “เราก็ยังอยู่ที่นี่อีกสองวันมิใช่หรือ  เอาไว้ไข้ของเขาลงแล้วเรื่องนี้ค่อยพูดกัน  ตอนนี้ให้ข้าดูแลเขาไปก่อน” เหลียนอันสุ่ยออกปากไล่เกลี่ย
---------------------
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 74
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 18-01-2015 18:36:37
บทที่ 74 ท่านอาใจดีกับท่านลุงใจโหด(2)

วันถัดมาไข้ที่ขึ้นสูงจัดก็ลงมาอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก  เหลียนอันสุ่ยเฝ้าคนทั้งคืน รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปที่ตอนที่เหลียนจิ้งเต๋อยังเล็กๆอีกครั้ง  ฝาแฝดคนพี่ดื้อดึงไม่ยอมนอน  ทุ่มเทเฝ้าอาการน้องชายสุดท้ายทนไม่ไหวสัปหงกไปตอนรุ่งเช้า
ถัดไปอีกวันไข้ยังไม่หายดี  แต่อาการดูไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากแล้ว  เด็กแฝดสองคนติดเหลียนอันสุ่ยแจเรียกหาเขาเป็นท่านอา  เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายทั้งคู่จึงกลายเป็นเด็กหวาดกลัวคนแปลกหน้า   ส่วนเหลียนอันสุ่ยคือคนแปลกหน้าเพียงคนเดียวที่พวกเขาไว้ใจ

หลังซักถามปรากฏว่าเด็กแฝดคู่นี้มาจากครอบครัวที่ฐานะไม่เลว  เพราะหลบพ่อแม่ออกมาเที่ยวเล่นในเมือง  คนร้ายเห็นทั้งคู่หน้าตาน่ารักจึงจับตัวมาคิดขายเป็นข้าทาสให้กับชนชั้นสูง  ตรวจสอบการบอกเล่าของเด็กทั้งสองพบว่าบ้านอยู่ในเมืองที่อยู่ใต้ลงไปอีก  และเป็นทางผ่านของพวกฉีเซี่ยงหยวนพอดี  ...เหลียนอันสุ่ยจึงเกิดความคิดที่ว่าจะให้เด็กทั้งสองติดตามไปกับพวกเขาเสียเลย
เหลียนจิ้งเต๋อเข้ากับเด็กแฝดคู่นี้ได้ไม่เลว  พบกันไม่นานเด็กสองคนนี้ก็เรียกเขาเป็น ‘พี่จิ้งเต๋อ’ ไม่ขาดปาก  คนที่เข้ากับแฝดคู่นี้ไม่ได้และไม่ค่อยเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเหลียนอันสุ่ยคือฉีเซี่ยงหยวน  เรื่องมันเริ่มจากตอนที่เด็กน้อยเพิ่งฟื้นมาได้ครึ่งวัน  ฉีเซี่ยงหยวนที่เดินคุยมากับพระมาตุลาแคว้นเหลียนจึงถือโอกาสเยี่ยมหน้ามาดูซักหน่อย

เดินเข้าห้องได้เพียงสองก้าว  ก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบที่ไม่ค่อยเบาเท่าไหร่นักดังมาจากบนเตียง
“ท่านพี่  คนผู้นี้หรือว่า...หรือว่าคือท่านลุงใจโหดท่านเคยพูดถึง  ที่บอกว่าตอนนั้นเขาจะทิ้งให้ข้าตาย”
“ไม่ผิด  เจ้าต้องอยู่ห่างเขาเอาไว้” กำชับอย่างเคร่งเครียดจริงจัง

เหลียนจิ้งเต๋อที่นั่งอยู่ในห้องด้วยรับฟังจนขำก๊าก  สอบถามที่มาแฝดคนน้องก็แจกแจงด้วยดวงตาใสแจ๋วน้ำเสียงใสซื่อว่า
“พี่จิ้งเต๋อ  ตอนข้าเพิ่งฟื้นท่านพี่บอกข้าว่าที่นี่มีคนสองคน  คนหนึ่งคือท่านอาใจดี  อีกคนคือท่านลุงใจโหด  ท่านอาใจดีเป็นหมอที่ช่วยข้า  ท่านลุงใจโหดเป็นเจ้าของห้องหับและรถม้า  คนแรกมีบุญคุณ  คนที่สองล่วงเกินไม่ได้  ให้ระวังมากๆ ท่านพี่บอกข้าเอาไว้อย่างนี้”
เหลียนจิ้งเต๋อฟังจบแล้วขำออกมาอีกรอบ  เหลียนอันสุ่ยเหลือบมองสีหน้าของบุรุษร่างสูงใหญ่ที่เดินมากับเขา  เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีพูดไม่ออกก็กลั้นหัวร่อไม่ไหวต้องหัวเราะออกมาเบาๆเช่นกัน

คนที่กล่าวอย่างฉาดฉานว่า ‘ล่วงเกินไม่ได้’  ดูเหมือนจะไปล่วงเกินฉีเซี่ยงหยวนเข้าเต็มเปา  ดังนั้นแฝดคนน้องที่ใสซื่อว่านอนสอนง่ายยิ่ง  สุดท้ายก็มีคดีกับฉีเซี่ยงหยวนเช่นกัน
---------------------
คืนนั้นฉีเซี่ยงหยวนมีเรื่องข้องใจ 
“ข้าอายุน้อยกว่าท่านชัดๆ  ทำไมท่านจึงเป็นท่านอา  แต่ข้าเป็นท่านลุงเล่า”
เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วหัวเราะ  อิงหน้าผากกับบ่ากว้าง  ไม่ได้ตอบคำ  ซักพักก็ได้ยินคนพึมพำ
“เด็กแฝดคู่นั้น  คนพี่ปัญหาเยอะ  คนน้องก็เอาแต่พูดว่าท่านพี่บอกว่าอย่างนั้น  ท่านพี่บอกว่าอย่างนี้  เชื่อฟังพี่ชายทุกอย่าง  อีกไม่นานคงต้องถูกพี่ชายชักนำจนเสียคนกลายเป็นเด็กไม่น่ารักแน่” ฟังฉีเซี่ยงหยวนบ่น  เหลียนอันสุ่ยก็เลิกคิ้วถามว่า
“สมัยเด็กท่านนิสัยน่ารักมากเลยหรือ”

ฉีเซี่ยงหยวนชะงัก  ย้อนคิดๆดูแล้วสมัยเด็กๆตัวเขาไม่เพียงหาคำว่าน่ารักไม่เจอแล้ว  ยังสมควรเติมคำว่าร้ายกาจสุดๆซ้ำเข้าไปอีกสี่คำ  บอกว่าผู้อื่นจะเสียคน  แต่ดูเหมือน...ตัวเขาจะเสียคนไปเรียบร้อยแล้ว

ฉีเซี่ยงหยวนเคยทำตัวเหลวแหลกสุดๆในวัยสิบห้า  ชีวิตช่วงนั้นใช้คำว่าบัดซบมาอธิบายได้สถานเดียว  เรื่องแหกกฎทุกอย่างขอให้ทำได้จะรู้สึกเหมือนตัวเองประสบความสำเร็จ  บางทีเขาคงแค่อยากจะให้พระบิดาหันมามองเขาบ้าง  ให้พระมารดาดุด่าเขาซักคำ  แต่ทำๆไปแล้วกลับมิได้มีอะไรดีขึ้น  ฉีเซี่ยงหยวนเพียงรู้สึกขยะแขยงตัวเอง  ขยะแขยงสังคมเหลวแหลกที่เขาจมปลักอยู่  ข้างในกลวงโบ๋ว่างเปล่า  มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกมีคุณค่าขึ้นมาเลย  แต่ตัวเขาในตอนนั้นกลับยังคงไม่รู้ 

สมัยนั้นเขามีนางโลมคนโปรดคนหนึ่ง  นางถามเขาว่า
‘ท่านมาแสวงหาอะไรที่นี่กันแน่  ผู้อื่นมาแสวงหาความสุข  แต่ตัวข้ากลับไม่เคยเห็นท่านยิ้มได้นานเลย  ท่านมากับพวกเขา  แต่ลึกๆแล้วสายตาของท่านกลับเหยียดหยามพวกเขา  ในเมื่อท่านเหยียดหยามพวกเขาแล้วใยต้องทำตัวเลียนอย่างพวกเขาด้วย’
บางทีนั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสงสัยเกี่ยวกับหนทางที่ก้าวเดินอยู่  และพยายามหาคำตอบว่าชีวิตที่กลวงว่างเปล่ามีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่  เขาทำตัวเหลวไหลสุดๆได้ก็สามารถลองทำตัวจริงจังสุดๆได้เช่นกัน  หลังจากนั้นเขาจึงเริ่มทุ่มเทกับการฝึกในกองทัพ  มิใช่ทำแค่พอผ่านๆอย่างที่แล้วมา กองทัพกลายเป็นชีวิตของเขา  กลายเป็นครอบครัวจริงๆของเขา 

บางทีชีวิตคนก็ต้องมีหลักยึด  มีเป้าหมายที่ตัวเองทุ่มเทให้  เขาก็แค่ย้ายจากการหาทางทำเรื่องร้ายกาจในสมัยเด็กมาเป็นการพยายามทำตัวให้สุดโต่งที่สุดในสมัยวัยรุ่น  และย้ายจากการทำตัวสุดโต่งในวัยรุ่นมาเป็นการพยายามพิชิตตำแหน่งหน้าที่ในกองทัพ  เส้นทางชีวิตเขาเป๋ไปเป๋มา  แต่ก็ยังดีที่ในที่สุดเขาก็สามารถหาเส้นทางของตัวเองจนเจอ

“...ก็ได้  ข้ายอมรับว่าต่อให้เด็กแฝดนั่นทำตัวแย่กว่านี้ก็ต้องนิสัยดีกว่าข้า  และขึ้นชื่อลือกระฉ่อนน้อยกว่าข้า  แต่ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านจึงเอ็นดูเด็กแฝดนั่นนัก  ไม่เห็นจะน่ารักเท่าไหร่  สู้อิ๋งอิ๋งของข้าก็ไม่ได้”

...เกรงว่าทั้งแผ่นดินคงจะหาคนสู้อิ๋งอิ๋งของท่านไม่ได้  เหลียนอันสุ่ยคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา  ‘อิ๋งอิ๋งของข้า’ เป็นใครนั้นเรื่องนี้ต้องเล่าย้อนกลับไปพอสมควร
---------------------
การที่ฉีเซี่ยงหยวนยกทัพบุกเข้าแคว้นหนานเหมินในครั้งนั้น  นายกองแคว้นเหลียนเถี่ยเจิ้งประกอบความดีความชอบไม่น้อย  เป่ยชางอ๋องจึงประทานหญิงงามให้กับเขานางหนึ่ง  หญิงงามผู้นี้ก็คือจือหลัน  ในที่สุดความรักที่ฝังรากลึกแอบรักกันมาเป็นสิบปีก็สามารถหาหนทางลงเอย 

ไม่นานหลังจากนั้นจือหลันก็ตั้งครรภ์  คลอดเป็นเด็กสาวที่น่ารักขอให้เหลียนอันสุ่ยตั้งชื่อให้  เด็กคนนี้เกิดมาได้เพราะเหลียนอันสุ่ย  ทั้งเถี่ยเจิ้งและจือหลันจึงคิดจะให้บุตรสาวถือพระมาตุลาเป็นบิดาบุญธรรม  เหลียนอันสุ่ยตั้งชื่อให้เด็กคนนี้ว่าอิ๋งอิ๋ง
ทว่าอิ๋งอิ๋งอายุได้ไม่เท่าไหร่เถี่ยเจิ้งก็ต้องออกไปทำศึกกับแคว้นหนานเหมิน  จือหลันที่ตอนนั้นเป็นเถี่ยฮูหยินแล้วห่วงกังวลอยู่ทุกวัน  มักหาข้ออ้างพาลูกมาที่ตำหนักชุนเกอเพื่อเยี่ยมพ่อบุญธรรมเพื่อหวังจะได้ยินข่าวคราวการศึกบ้าง  ซักนิดก็ยังดี  ในช่วงนั้นเถี่ยอิ๋งอิ๋งจึงกลายเป็นสมาชิกขาประจำของตำหนักชุนเกอ

วันหนึ่งฉีเซี่ยงหยวนเลิกประชุมขุนนางเร็ว  เหลียนอันสุ่ยเห็นอีกฝ่ายไม่เคยอุ้มเด็กมาก่อนจึงลองให้อุ้มดู  นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยได้เห็นต้าอ๋องที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็กล้าทำพยายามหาหนทางบ่ายเบี่ยงปฏิเสธ  เหลียนอันสุ่ยเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายกังวลอย่างจริงจังตอนที่ยกให้อุ้มแล้วเกร็งไปหมด

“ท่านรัดแน่นขนานนี้ไม่ได้  นางจะเจ็บ”
คนฟังมีสีหน้าเหยเก  รีบกล่าวว่า
“ท่านเอาคืนไปเถอะ  เดี๋ยวข้าทำนางตก” คนที่เป็นแต่จับหอกจับดาบมาหลายปีจู่ๆกลับต้องมาอุ้มสิ่งมีชีวิตเล็กๆแบบนี้นับว่ามือไม้ปั่นป่วนทำอะไรไม่ถูกจริงๆ
“ท่านอุ้มถูกท่าแล้ว  ให้นางพิงศีรษะกับตัวท่านไว้  มืออีกข้างประคองใต้คอนางด้วยก็จะดี”
ฉีเซี่ยงหยวนก้มมองเด็กน้อยในอ้อมแขน  เทียบกับท่อนแขนเขาแล้ว  นางดูตัวเล็กนิดเดียว  ดูเปราะบางและแตกหักง่ายถึงเพียงนั้น  เขาทำได้แค่มองนางด้วยความหลากใจ

วันนั้นอิ๋งอิ๋งอารมณ์ดี  เปลี่ยนคนอุ้มก็ไม่หือไม่อือ  แค่น้ำลายยืดใส่เสื้อคลุมสูงค่าของอีกฝ่ายซะเลย

เหลียนอันสุ่ยอยากให้ฉีเซี่ยงหยวนลิ้มรสชาติของการอุ้มชีวิตน้อยๆที่เพิ่งเกิดบ้าง  เผื่อจะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ เผื่อจะทำให้ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจอย่างแท้จริงว่าได้เลือกที่จะสูญเสียอะไรไป  ทว่าในตอนที่เห็นบุรุษสูงใหญ่กำยำผู้นี้โอบชีวิตเล็กๆเอาไว้ในอ้อมแขน  ตัวเหลียนอันสุ่ยเองกลับรู้สึกเหมือนมีก้อนจุกแน่นอยู่ในคอจนพูดไม่ออก  เป็นเพราะเขา...ตลอดหลายปีมานี้ฉีเซี่ยงหยวนถึงไม่เคยมีเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองอย่างแท้จริง
“ท่านน่าจะ...มีลูกซักคน”
ฉีเซี่ยงหยวนเงยหน้าขึ้นมา  จากนั้นหัวเราะเบาๆ
“เรื่องนี้พวกเราเถียงกันมากี่ครั้งแล้ว  ว่าแต่ข้าควรทำยังไง  ข้าไม่มีมือจะเช็ดน้ำลายให้นางแล้ว”
เหลียนอันสุ่ยเดินเข้าไปช้าๆ  ใช้ผ้าผืนเล็กซับน้ำลายให้ลูกสาวบุญธรรมของเขา  มองนางแล้วเหลือบตาขึ้นมองบุรุษที่เขารัก  ก็พบว่าอีกฝ่ายมองเขาอยู่ก่อน  มองด้วยสายตาที่อ่อนโยนยิ่ง

ตั้งแต่คราวนั้นแม้เหลียนอันสุ่ยจะได้ชื่อว่าเป็นพ่อบุญธรรม  แต่คนที่ตามใจอิ๋งอิ๋งมากที่สุดก็คือฉีเซี่ยงหยวน  ฉีเซี่ยงหยวนที่งานยุ่งวุ่นวายถึงกับหาเวลาว่างเพื่อจะมาหานาง  เล่นกับนางซักหน่อย  อุ้มนางซักหน่อย 

สุดท้ายเถี่ยเจิ้งปลอดภัยกลับมาประกอบความดีความชอบยิ่งใหญ่สามารถตัดหัวแม่ทัพข้าศึกจนได้ประทานยศเลื่อนขั้น  แต่กระทั่งแม่ทัพเถี่ยกับเถี่ยฮูหยินก็ยังต้องเกรงใจลูกสาวคนนี้  เพราะความโปรดปรานที่เป่ยชางอ๋องมีให้เถี่ยอิ๋งอิ๋งล้ำหน้าเกินธรรมดามากนัก  โชคดีที่เถี่ยอิ๋งอิ๋งไม่ใช่เด็กดื้อ  แต่เหลียนอันสุ่ยก็ยังออกปากเตือนฉีเซี่ยงหยวนว่าอย่าตามใจนางมากเกินไป  ส่วนเหลียนจิ้งเต๋อตั้งแต่ได้น้องสาวที่อายุห่างกันมากคนนี้มาก็ตื่นเต้นกระตือรือร้น  ร่วมด้วยช่วยกันตามใจอิ๋งอิ๋ง  นับเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่บิดาบุญธรรมกับบุตรชายบุญธรรมคู่นี้มีความเห็นตรงกัน 
...ซึ่งนั่นทำให้เหลียนอันสุ่ยปวดหัวมากทีเดียว
---------------------
สุดท้ายเด็กแฝดคู่นั้นก็สามารถกลับถึงบ้านโดยปลอดภัย  บิดามารดาที่ได้บุตรชายกลับมาดีใจจนร้องไห้  คุกเข่าโขกศีรษะให้กับเจ้าเมือง  ตัวเจ้าเมืองเองไม่กล้ารับการโขกศีรษะนี้ไว้  บอกว่าเป็นขุนนางตำแหน่งไม่เบาฝากมายังเขาอีกทอดหนึ่ง

“ท่านพ่อ  เมื่อครู่ท่านลุงเจ้าเมืองพูดผิดแหละ คนที่พาพวกข้ามาส่งที่นี่มิใช่ท่านลุงแก่ๆคนนั้นเสียหน่อย” แฝดคนพี่บอกบิดาขณะพวกเขาอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน
“ใช่ คนที่พาพวกเรามาคือท่านลุงกับท่านอาต่างหาก” แฝดคนน้องกล่าวพลางพยักหน้าหงึกหงัก
“ท่านลุงโหดๆคนนั้นสั่งให้ท่านลุงแก่ๆพาพวกเราไปหาเจ้าเมือง” เห็นว่าน้องชายกล่าวไม่ครบถ้วนจึงเอ่ยเสริม

บิดามารดาของสองแฝดหันไปมองหน้ากันอย่างพูดไม่ออก  ท่าทางคลางแคลงจนปิดไม่มิด
‘สั่ง’ อย่างนั้นหรือ  ท่านเจ้าเมืองมิใช่บอกว่าขุนนางที่ส่งตัวบุตรชายทั้งสองของพวกเขามามีตำแหน่งไม่ธรรมดาในเมืองหลวงหรอกหรือ  แล้วคนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นถูก ‘สั่ง’ ได้ใยมิใช่หมายความว่าคนสั่งมีอำนาจยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า !
...บางทีที่บุตรชายของพวกเขาพูดอาจเป็นวาจาเหลวไหล  แต่ทำไมเด็กทั้งสองจึงดูไม่เหมือนพูดโกหกเลยเล่า
---------------------
การเปิดโปงคดีใหญ่กลายเป็นหัวข้อถูกพูดถึงอยู่นาน  ทุกคนเพียงทราบว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการเปิดโปงถอนรากถอนโคนครั้งนี้ต้องมีศักดิ์ฐานะไม่ธรรมดา  กว่าจะทราบว่าเป็นการยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวของเป่ยชางอ๋องก็เป็นหลังจากฉีเซี่ยงหยวนกลับจากแคว้นเหลียนถึงเมืองหลวงแล้ว  เพราะฉีเซี่ยงหยวนไม่ต้องการให้การเดินทางของเขาเอิกเกริกนัก  เนื่องจากนั่นไม่ค่อยมีประโยชน์ใด  มีเพียงก่อผลเสียใหญ่ๆหลายเรื่อง  อาทิเช่น  การเดินทางเงียบๆของพวกเขาจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่โต  อาทิเช่น  บรรดาเจ้าเมืองจะต้องโผล่มาเข้าเฝ้าตลอดทางจนทำให้ถึงแคว้นเหลียนล่าช้า  อาทิเช่น  เรื่องความปลอดภัย  แม้เป่ยชางในยามนี้จะไม่ได้มีคลื่นใต้น้ำใด  แต่ฉีเซี่ยงหยวนเห็นว่ากันไว้มีประโยชน์กว่าคอยตามแก้ไขมากมายนัก

หลังจากชาวบ้านได้ทราบว่าบุตรธิดาที่หายไปของพวกเขากลับถึงบ้านโดยปลอดภัยด้วยอำนาจบารมีของเป่ยชางอ๋องก็แซ่ซ้องสรรเสริญเป็นการใหญ่  นั่นก็เป็นเรื่องหลังจากการกลับมาจากการเยือนแคว้นเหลียนแล้ว    การที่คดีใหญ่ถูกพลิกโฉมหน้าโดยเป่ยชางอ๋องมีผลให้หน่วยงานทางตุลาการทำงานอย่างแข็งขันมากขึ้น  ด้วยเกรงถูกตำหนิว่าทำหน้าที่หย่อนยาน  บ้านเมืองมีโจรผู้ร้ายน้อยลง ชีวิตประจำวันทวยราษฎร์สงบปลอดภัยมากขึ้น  นี่ล้วนเป็นผลที่จะตามมาหลังจากนั้นทั้งสิ้น 

ฉีเซี่ยงหยวนเองก็คิดไม่ถึงว่าการยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของเขาจะเป็นการสานต่อความรุ่งเรืองและร่มเย็นแคว้นเป่ยชาง
แต่แน่นอนว่านั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดหลังจากนี้อีกไกล  ช่วงเวลานี้ยังคงต้องเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดที่แคว้นเหลียนก่อน
---------------------

คิดมานานแล้วว่าจะเขียนฉีเซี่ยงหยวนกับเด็ก 
หมอนี่เป็นต้าอ๋องที่สามารถทะเลาะกับเด็ก 
และเป็นสิ่งมีชีวิตที่เวลารักใครหลงใครจะตามใจเข้าข้างแบบสุดๆ
(คนแรกคือเหลียนอันสุ่ย  คนที่สองคือเถี่ยอิ๋งอิ๋ง)

ปล.อาทิตย์ที่แล้วไม่ได้อัพ เพราะติดสอบ  อาทิตย์หน้าก็สอบอีก  ดังนั้นอาทิตย์นี้เอาไปสองตอนเลยฮะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 74.......................................18/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-01-2015 19:05:35
เหมือนใกล้จะจบแล้วรึเปล่าา
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 74.......................................18/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: ghostreader ที่ 18-01-2015 19:58:14
ช่วงรอตอนใหม่ อ่านซ้ำหลายรอบประทับใจไม่รู้ลืมครับ :impress:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 74.......................................18/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 19-01-2015 08:18:44
ฉีเซียงหยวน ทำไมท่านถึงได้น่าเอ็นดูขนาดนี้  :-[
ต้าอ๋องกะเด็กน้อย 5555 นึกว่าจะเป็นประเภทเกลียดเด็กซะอีก
ตอนนี้ก็หวานอีกแล้ว อิย๊าาาาาา ชอบๆๆๆๆๆบรรยากาศแบบนี้ อ่านแล้วรู้สึกความรักฟุ้งตลบอบอวลมากมาย ยิ่งอยู่นานยิ่งรักกัน ชอบที่ฉีเซียงหยวนจะทำอะไรก็คิดถึงเหลียนเหลียนเป็นอันดับแรก ต้าอ๋องน่ารักที่สุดอ่ะ! :laugh:

รอตอนอยู่แคว้นเหลียนค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 74.......................................18/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: manutty ที่ 19-01-2015 08:37:32
โอ้ยยยย ฉีฉี ทำไมน่าร๊ากกกกกกกกกกกกอย่างนี้ล่ะ ชอบที่พูดว่า น่ารักสู้อิ๋งอิ๋งของเขาก็ไม่ได้  :laugh:   นึกถึงหน้าคนเย็นชาพูดแบบนี้ มันน่ารักจริงๆนะ แต่ใจอยากให้พูดว่า น่ารักสู้เหลียนเหลียนของเขาก็ไม่ได้ มากกว่านะ  :-[
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 74.......................................18/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: lilowria ที่ 19-01-2015 17:30:50
ขอบคุณครับ เหลียนอันสุ่ยมาแล้ว~~~~~ ^_^
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 74.......................................18/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: wews ที่ 22-01-2015 23:22:16
ชอบภาษาที่ลื่นไหล เนื้อหาบีบหัวใจให้ลุ้นเป็นช่วงๆ(แต่ชอบที่ไม่ได้จากไป) :hao5:
และชอบมากๆคือฉากหวานๆ(ไม่เลี่ยน) :-[
ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆให้ทุกคนได้อ่าน
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 75
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 01-02-2015 20:33:28
บทที่ 75 เมื่ออดีตและปัจจุบันบรรจบกัน(1)

เป่ยชางอ๋องมาเยือน  เหลียนอ๋องนำเหล่าขุนนางต้อนรับถึงหน้าประตูเมือง 
การที่เป่ยชางอ๋องมาเยือนด้วยตัวเองทำให้ชาวเหลียนที่ขบคิดตลอดมาว่าตัวเองถูกลดระดับลงไปเป็นเพียงเมืองเล็กเมืองน้อย  รู้สึกน้อยใจตลอดมาว่าเพราะเชื้อสายที่แตกต่างจึงถูกละเลย  เปลี่ยนเป็นรู้สึกมีหน้ามีตานัก  แน่นอนว่าแคว้นเหลียนสามารถเตรียมต้อนรับได้อย่างอลังการเช่นนี้  ฉีเซี่ยงหยวนย่อมมิได้ใช้วิธีมาถึงหน้าบ้านค่อยเคาะประตูบอก  แต่ใช้วิธีเดินทางใกล้ถึงก็แจ้งบอกก่อน

“คารวะต้าอ๋อง  คารวะท่านลุง” ปีนี้เหลียนอ๋องอายุสิบแปดประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม  เวลาผ่านถึงหกปีได้พบพานอีกครั้ง  คนที่เคยเป็นองค์ชายสี่ตอนนี้กลับเป็นถึงต้าอ๋องที่น่าครั่นคร้ามที่สุดในแผ่นดิน  ส่วนท่านลุงของเขาที่เข้าใจว่าคงยากจะได้พบกันอีกเวลานี้กลับดูไม่ค่อยแก่ขึ้นเท่าไหร่เลย  ยังคงดูสูงศักดิ์และสุภาพนุ่มนวลเช่นเดียวกับวันที่จากไป

ระหว่างพูดจาทักทายตามธรรมเนียม  เหลียนอ๋องยังได้พบว่าลูกพี่ลูกน้องที่รู้จักกันผิวเผินในวัยเยาว์ก็กลับมาด้วยเช่นกัน  เมื่อหกปีก่อนพระมาตุลากับบุตรชายถูกพาตัวไป  ราชสำนักแคว้นเหลียนล้วนคาดเดาได้ว่าแคว้นเป่ยชางจงใจโดดเดี่ยวเหลียนอ๋องวัยเยาว์เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุม   เพราะถัดจากเหลียนอ๋องคนที่พอจะรับตำแหน่งต้าอ๋องแคว้นเหลียนได้ก็คือเหลียนอันสุ่ย  มองแง่หนึ่งคือภัยคุกคามบัลลังก์  มองในอีกแง่หากเหลียนอันสุ่ยสามารถขึ้นเป็นเหลียนอ๋องหรือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับราชสำนักมากเข้าคิดควบคุมเขาย่อมยากยิ่งกว่าควบคุมเด็กน้อยเยาว์วัยมากนัก  ดังนั้นหากคิดควบคุมแคว้นเหลียนให้ง่ายต้องกำจัดบทบาทในราชสำนักของพระมาตุลาเสีย

ตอนนี้เหลียนอ๋องอายุสิบแปดแล้ว  เข้าใจว่าสามารถขออิสรภาพให้ท่านลุงได้ใช้ชีวิตที่บ้านเกิดและเข้าใจว่าเป่ยชางอ๋องคงจะทรงอนุญาต  หาคาดไม่ว่าเมื่อกล่าวออกไปสถานการณ์กลับเหมือนชะงักค้างอยู่กลางอากาศ  เงียบกริบโดยถ้วนหน้า  คนที่ตั้งใจสังเกตยังเห็นว่าสีหน้าของเป่ยชางอ๋องถึงกับแปรเปลี่ยนไป

ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ  สายตาทั้งนิ่งทั้งเย็น  กล่าวเสียงราบเรียบว่า
“เหลียนอันสุ่ยเคยรับปากข้าว่าจะพัฒนาโรงหมอของแคว้นเป่ยชาง  ตอนนี้งานยังไม่สำเร็จไหนเลยสามารถคืนคำได้”
“กราบทูลต้าอ๋อง  กระหม่อมทราบดี  ทำงานยังไม่สำเร็จลุล่วง  ไม่ขอกลับคืนแคว้นเหลียน”
ได้ยินเหลียนอันสุ่ยประสานมือกล่าวเช่นนี้  สีหน้าของฉีเซี่ยงหยวนจึงค่อยผ่อนคลายลง
“ประเสริฐยิ่ง  นับว่ายังรักษาคำพูด” ...ท่านยังคงรักษาคำพูดที่ว่าจะอยู่เคียงข้างข้าตลอดไป
เหลียนจิ้งเต๋อที่รับฟังอยู่ด้านข้างกลอกตา  ทราบดีว่าชั่วชีวิตต้าอ๋องจอมบงการนั่นไม่มีทางยอมปล่อยบิดาเขาหรอก

หลังจากนั้นเหยียบเข้าท้องพระโรงดูเหมือนทั้งเป่ยชางอ๋องทั้งลูกพี่ลูกน้องที่เป็นเหลียนอ๋องของเขาจะเริ่มเปิดประเด็นเกี่ยวกับบ้านเมือง  เหลียนจิ้งเต๋อชิงประสานมือการทูลก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งลงกล่าวถึงราชกิจอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่าเขาขอตัวไปเยี่ยมท่านตาที่นอกวัง
 
เหลียนอันสุ่ยใจหนึ่งแม้อยากทราบความเป็นไปของแคว้นเหลียน  อีกใจกลับไม่ต้องการออกความเห็น  เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นประเด็นละเอียดอ่อนเกี่ยวพันหลายฝ่าย  หากเขายังนั่งอยู่ที่นั่นเกรงว่าคงถูกถามสองสามคำถาม  จึงตัดสินใจตัดไฟตั้งแต่ยังไม่ได้จุดขอตัวออกมาพร้อมกับบุตรชาย
---------------------
ท้องฟ้ากระจ่าง  นกการ่าเริง  แต่เหวินเถียนกลับไม่รู้สึกรื่นรมย์ซักเท่าไหร่  ถูกล่ะ  การที่ได้เจอหน้าหลานรักเป็นสิ่งที่ดีมาก  การที่หลานรักยังมีใจคิดถึงตาแก่ๆคนนี้ยิ่งเป็นเรื่องชวนปลาบปลื้มตื้นตัน  แต่ปัญหาคือหลานรักของเขากลับหนีบเอาบิดาที่เป็นลูกเขยของเขามาด้วย

ลูกเขยคนนี้มาถึงก็ทักทายอย่างสุภาพนอบน้อม  เหวินเถียนแม้ยังคงไม่ชอบขี้หน้าแต่เห็นว่าเรื่องราวผ่านมาหลายปี  ประกอบกับอยู่ต่อหน้าหลานชายจึงพยักหน้ารับไปคราหนึ่ง  ทีนี้เรื่องก็ยากเมื่อหลานชายของเขาเห็นว่าผู้เป็นตามิได้มีท่าทางเย็นชาจัดก็ตาเป็นประกาย  รีบทำตัวเป็นคนกลางหวังฟื้นฟูสัมพันธ์ระหว่างท่านพ่อกับท่านตาทันที

คำพวก ‘ท่านพ่อตั้งใจเอามาฝากท่านตา  ท่านพ่อคิดถึงท่านแม่มาก’ ถูกกล่าวออกมาไม่ขาดปาก  ส่วนลูกเขยของเขากลับนั่งรับคำยิ้มๆ  หนอย  คิดจะใช้บุตรชายตัวเองเป็นเครื่องมือล่ะสิ  แต่ว่า... เหลียนจิ้งเต๋อหน้าตามีเค้าของเหวินจีมากเกินไป  เหวินเถียนยิ่งฟังก็ยิ่งจนปัญญาจะรับมือ  คิดไม่ถึงตาแก่วัยปลดเกษียณที่ไม่ต้องเข้าราชสำนักเช่นเขาก็ยังมีเรื่องให้วุ่นวายใจ

ความจริงเรื่องมันก็นานมากแล้ว  อีกอย่างเหลียนอันสุ่ยมีเพียงบุตรสาวของเขาคนเดียวมาตั้งหลายปี  กระทั่งชายารองก็ไม่เคยคิดจะแต่งตั้ง  ใจของเหวินเถียนรู้สึกแก่ชราเกินกว่าจะไปเกลียดชังเป็นจริงเป็นจังอีก 

ทว่าจะให้เขายอมรับออกไป...นี่กลับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
---------------------
ต้นท้อใหญ่ยืนต้นอย่างเดียวดาย  เหลียนอันสุ่ยยังคงจำได้ดียามใบร่วงโรยจนเหลือแต่ดอกบานสะพรั่ง  และยามที่ดอกร่วงโรยจนเหลือเพียงกิ่งก้านเปล่าดาย  วนเวียนหมุนเปลี่ยนกี่ครั้งครา  เข้าใจว่าคนจะยังคงคงเดิม  ทว่าในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็ต้องยอมรับว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว  ไม่เหมือนเดิมมาตั้งแต่หลายปีก่อน

ฉีเซี่ยงหยวนมองเงาหลังสูงโปร่งที่แม้จะยืนอยู่เบื้องหน้าเขา  แต่กลับคล้ายจมหายไปในความทรงจำ  เหลียนอันสุ่ยกำลังอยู่ในอดีต  อดีตที่ไม่มีเขา  นั่นเป็นพื้นที่ที่เขาไม่อาจแตะต้องได้  และไม่ควรแตะต้อง  เขาควรจะให้เหลียนอันสุ่ยได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองซักพัก  ...ได้ใช้เวลาอยู่กับ ‘นาง’ ซักพัก
“ข้าจะไปดูความคืบหน้าในราชสำนักต่อ  ส่วนท่านอยู่ที่นี่เถอะ”

เหลียนอันสุ่ยพยักหน้า  ไม่ได้ตอบคำ  สายตายังคงตรึงอยู่ที่ต้นท้อที่มิได้เห็นมานาน  กลางฤดูร้อนดอกท้อไม่หลงเหลืออีกแล้ว...
เหลียนอันสุ่ยมองนาง  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนมอง ‘เขา’  มือใหญ่เอื้อมไปตบบ่าสูงโปร่งเบาๆ  คล้ายกับปลอบประโลม  และคล้ายกับให้กำลังใจ  ทว่าในใจของฉีเซี่ยงหยวนยามหันหลังจากไปกลับเป็นความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างประหลาด
 
อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนรู้ดีมาโดยตลอดว่าความรักที่เหลียนอันสุ่ยมีให้เขากับความรู้สึกที่เหลียนอันสุ่ยมีต่ออดีตชายาไม่เหมือนกัน  จะเหมือนกันได้อย่างไร ในเมื่อหนึ่งความสัมพันธ์เริ่มต้นอย่างบริสุทธิ์สะอาด  ส่วนอีกหนึ่งความสัมพันธ์กลับเริ่มต้นที่แผนการสกปรก  เป็นความรักที่เริ่มต้นมาจากความใคร่  หลายครั้งที่ฉีเซี่ยงหยวนหวังให้จุดเริ่มต้นระหว่างพวกเขาแตกต่างออกไป  แต่สิ่งที่คนที่ไม่ว่ามีอำนาจมากแค่ไหนก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้คืออดีต  เขาแก้อดีตไม่ได้  ให้มันเริ่มต้นสวยงามกว่านี้ไม่ได้  ที่เขาทำได้คือทำปัจจุบันให้ดีที่สุด  ฉีเซี่ยงหยวนหวังว่าตลอดชีวิตของเขาจะไม่ทำให้เหลียนอันสุ่ยต้องร้องไห้อีก

ร่างสูงใหญ่จากไปไกลแล้ว  ไม่ว่าคนคุ้มกันหรือบ่าวรับใช้ล้วนถอยห่างออกไปเช่นกัน  เปิดโอกาสให้เหลียนอันสุ่ยได้อยู่กับอดีตชายาของเขาตามลำพัง

“เขาโตมากแล้วนะ  ตอนนนี้จิ้งเอ๋อไม่ใช่เด็กตัวน้อยๆที่ต้องให้พวกเราคอยดูแลอีกแล้ว” เหลียนอันสุ่ยเอ่ยเบาๆ  แต่ดวงตากลับฉาบไว้ด้วยความเศร้าซึมหม่นหมองของการหวนรำลึก
ก้มหน้าลงพึมพำว่า
“ความจริงแล้วข้าไม่มีหน้ามาพบกับเจ้า  ...วันคืนที่ข้ามีเจ้าข้ามีความสุขนัก  เจ้าดีต่อข้าเหลือเกิน  ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใด...เหตุใด  ทั้งๆที่ข้าควรจะรักมั่นแต่เจ้าแต่หัวใจของข้ากลับมีเขา  เหวินจี  ข้าก็อยากให้มันถูกต้อง  แต่ข้าทำไม่ได้  ข้าไม่ควรรักเขา  แต่ข้าทำไม่ได้  ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเขาความจริงแล้วข้าสมควรมีต่อเจ้า  แต่ข้าก็ทำไม่ได้  ก็เหมือนกับทุกๆครั้งที่ข้าทำไม่ได้  ข้าปกป้องเจ้าเอาไว้ไม่ได้  ยื้อชีวิตเจ้าเอาไว้ไม่ได้  ข้าทำได้แค่สำนึกเสียใจ” เงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ที่เป็นดั่งตัวแทนของนาง 

“หากเรื่องราวที่ทอดต่อหลังความตายมีจริง  ไม่ว่าเจ้าต้องการให้ข้าชดใช้อย่างไรข้าจะชดใช้ให้เจ้าทุกอย่าง  ข้ามาเยือนแคว้นเหลียนครั้งนี้ความจริงตั้งใจจะมาลาเจ้า  ข้าคงไม่ได้มาที่นี่อีกแล้ว  เป็นอิสระจากข้าเถิดนะเหวินจี  ...ความจริงชีวิตเจ้าไม่น่าต้องมาเจอกับข้าเลย” หากมิได้เจอข้าวันนี้คงยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่แย้มยิ้มให้กับโลกหล้าด้วยความจริงใจ

ส่วนต้นท้อที่เป็นหน่อของท้อต้นนี้  ข้าจะขอเก็บมันเอาไว้ข้างตัว  เหมือนกับความทรงจำระหว่างเราที่ข้าจะไม่มีวันลืมเลือนตลอดไป  ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง  ขอบคุณจริงๆ

สายลมพัดแรง  เสียงใบไม้ลู่ลมฟังคล้ายเสียงพึมพำอื้ออึง  ในเสียงเสียดสีของธรรมชาติกลับมีสิ่งที่อยู่ไม่ถูกที่ถูกทางปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน  ใบไม้แห้งถูกลมหอบปลิวมาตกลงบนบ่า  เหลียนอันสุ่ยเบือนหน้าไปปัดออก  หางตากลับเหลือบเห็นประกายของคมมีดที่สะท้อนแสงแดดจนเจิดจ้า

ไวเท่าความคิดร่างสูงโปร่งกระชากตัวหลบ  คนร้ายที่หมายเอาชีวิตจึงแทงพลาดถลาเฉียดผ่านข้างกายเขาไป  มีดที่ยาวประมาณดาบสั้นคมกริบปักลึกเข้าไปในผิวต้นท้อ  จังหวะที่คนร้ายกระชากดึงออกมาเปิดโอกาสให้เหลียนอันสุ่ยร้องตะโกนเสียงดัง  ดังนั้นตอนที่คนร้ายหันกลับมาอีกที  ที่อยู่ตรงหน้าเขาจึงมิได้มีแค่เหลียนอันสุ่ย  แต่มีร่างสูงตระหง่านของหวังเชียนด้วย  ในบรรดาข้ารับใช้ที่ถอยห่างออกไปทั้งหมดหวังเชียนอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ที่สุด  เสียงเรียกของเหลียนอันสุ่ยจึงทำให้เขาปรากฏตัวทันท่วงที

คนร้ายยังคิดทำเรื่องให้บรรลุจุดประสงค์  กุมมีดไว้มั่นแล้วพุ่งเข้าหาเหลียนอันสุ่ยอีกครั้ง  แต่กลับถูกหวังเชียนถลันเข้ามาแทรกกลาง  แทงดาบสวนกลับไป  จนมือสังหารต้องถอยหลบเพื่อรักษาชีวิต 
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา  ขณะที่สถานการณ์อุตลุดขึ้นทุกที  คนร้ายถูกแทงไปสองแผลคว้าข้อมือหวังเชียนไว้มั่น  ขณะที่อีกมือพยายามปักมีดลงบนร่างกายศัตรู  หวังเชียนแก้ปัญหาด้วยการถีบร่างมือสังหารลงกับพื้น  ฝ่ายมือสังหารจึงยึดข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่นให้ทั้งแรงและน้ำหนักตัวกระชากให้อีกฝ่ายล้มตามลงมา  ขณะล้มลงหวังเชียนก็พลิกปลายดาบ  เสียบแทงมือสังหารได้อีกแผล  มือเท้าที่ทั้งว่างและไม่ว่างต่อสู้ยันกันดุเดือดจนผู้อื่นไม่อาจสอดมือเข้ามา 

หวังเชียนคิดจับเป็นคนผู้นี้  ดังนั้นทุกครั้งที่แทงดาบจงใจให้อีกฝ่ายสูญเสียความสามารถในการป้องกันตัวเองแต่ไม่ยอมให้บาดเจ็บถึงตาย  มีแต่จับเป็นคนร้ายจึงสามารถสาวลึกไปถึงตัวการใหญ่  ถอนรากถอนโคนให้หมดสิ้น  ทว่าคนหนึ่งคิดจับเป็น  ในขณะที่อีกคนคิดฆ่าเขา  เรื่องราวทุกอย่างจึงไหลไปในทางที่เกินความควบคุม

มีเสียงร้องดังขึ้นพร้อมกันสองเสียง  จากนั้นหยาดเลือดก็สาดกระเซ็น

หวังเชียนสามารถกระแทกคนร้ายหมดสติไป  แต่ตัวเขากลับถูกแทงเข้าอย่างถนัดถนี่  เลือดไหลทะลักอาบปากแผลไม่หยุด  เหลียนอันสุ่ยเห็นเข้าถึงกับหน้าซีด  เพราะตำแหน่งที่คนร้ายปักสุ่มไปแทงโดนกลับเป็นตำแหน่งของหลอดเลือดใหญ่ที่ลำคอ !
ร่างสูงโปร่งรีบเข้าไปห้ามเลือด  สั่งให้ทหารอารักขาคนอื่นแบกร่างหวังเชียนเข้าไปข้างใน  มือสังหารถูกจับมัดแน่นหนา

“ไปตามหมอหลวงใหญ่มา”เหลียนอันสุ่ยออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“นายท่าน  ไม่เป็นไร  ข้า...” หวังเชียนพยายามเอ่ยวาจา  เหลียนอันสุ่ยรีบหันไปสั่งเขา
“เจ้าไม่ต้องพูด  หายใจลึกๆ  เจ้าต้องพยายามหายใจ...”
“นายท่าน  อึก  ข้า  ข้ากลัวว่าถ้าไม่พูด  คงไม่ได้พูดแล้ว  คนร้ายนั่นยังไม่ตาย  ท่านสามารถ...สามารถ...” หวังเชียนยิ่งพยายามพูด  เลือดยิ่งไหลออกมาจากปากแผลของเขามากขึ้นทุกที

“ข้ารู้แล้วว่าข้าสามารถสืบสาวเรื่องราวจากเขา  แต่ตอนนี้ต้องเอาเจ้าให้รอดก่อน  เจ้าหยุดพูดเสียทีแล้วพยายามหายใจ”
หวังเชียนมองท่าทีที่แทบจะเป็นออกคำสั่งของอีกฝ่าย  นานๆครั้งนายท่านจะเป็นแบบนี้  ดูเหมือนเขา...คงยากจะรอดแน่แล้ว  ลมหายใจถี่กระชั้น  รู้สึกว่าเลือดไหลออกจากร่างกายไปเรื่อยๆ  ความรู้สึกนึกคิดพร่าเลือนไม่ชัดเจน
หวังเชียนพยายามดิ้นรนรวบรวมสติกลับมา  เค้นเสียงอย่างยากลำบากว่า
“นายท่าน  นี่เป็นข้าชดใช้คืนให้ท่าน  ท่านไม่ต้อง...ไม่ต้องรู้สึกผิด  ทั้งหมดนี้ข้าก็แค่  ก็แค่...ข้า...” วูบหนึ่งที่เกิดความลังเล  หลังจากนั้นแม้พยายามพูดก็พูดไม่ออกอีก  สติเลอะเลือนมึนงง  ขณะที่เรียวปากยังคงพยายามขยับเป็นคำบางคำที่ปราศจากเสียง
“หวังเชียนเจ้าต้องมีสติไว้  อย่ายอมแพ้เด็ดขาด  เข้าใจหรือไม่” เสียงจริงจังร้อนรนดังแทรกเข้ามา
เหมือนเหลือเกิน  เหตุใดทุกอย่างจึงดูราวกับวนซ้ำรอยเดิม  ดวงตาของหวังเชียนเลื่อนลอย  สติจมลึกลงในสายธารแห่งความทรงจำอันยาวไกล...อดีตที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง
---------------------
รถม้าคันหนึ่ง  มือสังหารบาดเจ็บที่กำลังหลบหนีผู้หนึ่ง
หวังเชียนซ่อนตัวอยู่ในรถม้า  เงี่ยหูฟังความปั่นป่วนวุ่นวานที่เขาเป็นคนก่อเบื้องนอก  ภารกิจสังหารขุนนางชั่วที่ข่มเหงราษฎรสำเร็จลุล่วง  ปัญหาเฉพาะหน้าคือต้องทำอย่างไรจึงจะหลบหนีไปจากที่นี่ได้  ด้านนอกทหารเต็มไปหมด  ต่างแตกตื่นกับงานเลี้ยงที่ถูกเขาแปรสภาพเป็นงานนองเลือด

ประตูรถม้าถูกเปิดออก  แสงโคมจากด้านนอกลอดเข้ามา  หวังเชียนเลื่อนมือไปกุมด้ามดาบ  รอคอยเวลา
มุมด้านในของรถม้ายังคงอยู่ในความมืดที่แสงสว่างส่องไปไม่ถึง  บ่าวรับใช้คิดยื่นส่งโคมเข้ามาส่องที่ทางให้  แต่เจ้าของรถม้ากลับขยับกายเข้ามาเสียก่อน  แสงโคมถอยห่างไป  ประตูรถม้าปิดลง  ผู้มาใหม่มิได้สังเกตเห็นเขา  แล้วรถม้าก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกอย่างแช่มช้า 

หวังเชียนนึกขอบคุณรัตติกาลที่แผ่ปกคลุมแผ่นฟ้าอยู่เบื้องนอก  รวบรวมเรี่ยวแรง  สติและความเฉียบคนทั้งหมด  ผุดลุกขึ้นในคราวเดียวก็พาดดาบสั้นกับลำคอของเจ้าของรถม้า
“ถ้าท่านร้องออกไป  ข้าจะฆ่าท่านเดี๋ยวนี้”
คนที่ถูกเขาใช้ดาบพากคอมีท่าทีตกใจ  หันกลับมามอง  แต่ความมืดอำพรางจนอีกฝ่ายไม่สามารถเห็นเขาถนัดชัดตา  มีเสียงรายงานดังมาจากด้านนอก
“คุณชาย  พวกทหารมาขอตรวจค้นรถม้า  พวกเขากำลังพยายามตามจับคนร้ายที่ก่อเรื่องในงานเลี้ยงเมื่อครู่”
หวังเชียนโน้มร่างไปกระซิบเสียงเบาอย่างข่มขู่
“บอกเขาว่าไม่ต้องค้น  ไม่อย่างนั้นชีวิตท่านก็ไม่ต้องเก็บเอาไว้อีกแล้ว”
คิดไม่ถึง ‘เหยื่อ’ ผู้นี้จะให้ความร่วมมือยิ่ง  เสียงสงบราบเรียบเสียงหนึ่งตอบกลับไป
“รถม้าของข้ายังจำเป็นต้องค้นด้วยหรือ  ข้ามีเรื่องรีบด่วนต้องไปทำ  บอกทหารพวกนั้นว่าอย่าได้ขวางทางข้า”
มีเสียงตอบโต้กันอยู่พักหนึ่ง  สุดท้ายทหารเหล่านั้นกลับไม่กล้าตรวจค้นจริงๆ  หวังเชียนลอบขอบคุณสายตาตัวเองที่เลือกรถม้าถูกคัน  เท่านี้เขาก็สามารถฝ่าออกไปได้อย่างราบรื่น

รถม้ากลับมาแล่นอีกครั้ง  หัวใจตื่นเต้นเครียดเกร็งของหวังเชียนก็ค่อยๆกลับมาสงบลง
“เจ้าคือคนที่สังหารใต้เท้าเจี่ยในงานเลี้ยง ? ” เหยื่อที่สงบปากสงบคำจู่ๆก็ถามขึ้น
“เป็นข้าแล้วทำไม  ไม่ใช่ข้าแล้วทำไม  ไม่ต้องพูดมาก”
รถม้าแล่นไปเรื่อยๆ  พ้นห่างจากความวุ่นวายของงานเลี้ยงไปทุกที
“เจ้าต่างหากที่ไม่ควรพูดมาก แล้วก็อย่าเปลืองแรงพากคมดาบข่มขู่ข้าเลย  ทหารพวกนั้นรับรองว่าไม่กล้าตามมาขวางทางรถม้าข้าอีก” คำกล่าวสงบราบเรียบยิ่ง  ราวกับผู้กล่าวมิได้มีความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
“ทุกคนที่ข้าฆ่าล้วนสมควรตาย ส่วนท่านถ้ายังปากมากอีก  จะให้กลบฝังไปพร้อมกับคนแซ่เจี่ย”
รถม้าตกอยู่ในความเงียบ
หวังเชียนได้ยินเสียงหอบหายใจของตัวเอง  หัวใจเต้นถี่แรงจนรู้สึกเหน็ดเหนื่อย  บ้าจริง!  เขาเสียเลือดมากเกินไปจนสติชักจะมึนงงแล้ว
“ฟังจากเสียงหายใจ   ดูเหมือนเจ้าจะบาดเจ็บ  ทั้งยังบาดเจ็บไม่เบาอีกด้วย  เหตุใดต้องพยายามถือดาบข่มขู่ข้าอยู่อีก  เจ้าวางใจเถอะ  ข้าไม่เรียกทหารมาหรอก  ความจริงใต้เท้าเจี่ยตายไปเช่นนี้ราชสำนักอาจจะสะอาดขึ้นมาบ้างก็ได้”
หวังเชียนคิดจะบอกให้เหยื่อพูดให้น้อยกว่านี้  แต่สมองของเขาเลือนรางจนประกอบเป็นคำไม่ได้  โดยไม่รู้ตัว  เขากลับสิ้นสติไป...

การมีชีวิตรอดกลับมาจากความตายทำให้หวังเชียนได้รู้ว่าคุณชายผู้นั้นพาตัวเขาเข้ามารักษาในวัง  วังหลวงทหารมากมายกว่าในงานเลี้ยงเป็นสิบเท่า  วิธีจัดการของอีกฝ่ายช่างยอดเยี่ยมเสียจริง  หวังเชียนขบคิดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

หวังเชียนหาอาวุธที่ซุกซ่อนอยู่ในตัว  แต่กลับพบว่าถูกคนจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเรียบง่ายที่สะอาดสะอ้านชุดหนึ่ง  ยังดีที่สายตาของเขาเหลือบไปเห็นอาวุธคู่ใจถูกวางไว้ที่หัวเตียง  หวังเชียนตกลงใจจะนอนลงไปเพื่อรอคอยเวลาเอาตัวรอด  คนที่พาเขาเข้ามาต้องเป็นคนพาเขาออกไป !

ดังนั้นเมื่อเหลียนอันสุ่ยเพิ่งเดินเข้ามาไม่กี่ก้าวก็ถูกทักทายด้วยดาบเล่มเดิมที่หันปลายดาบใส่เขาอย่างข่มขู่
“เจ้าคนไม่รู้คุณคน  คุณชายรักษาเจ้าทั้งคืน  เจ้ากลับตอบแทนเขาเช่นนี้หรือ!” เสียงของหญิงรับใช้ที่ยกผ้ากับน้ำติดตามเข้ามาด้วยร้องขึ้น  หลังจากนั้นนางก็ด่าเขาอีกชุดใหญ่  ด่าจนเขามึนงงขบคิดไม่ออกว่าเหตุใดเด็กหญิงที่อายุเพียงสิบเอ็ดขวบจึงมีวาจาที่ร้ายกาจเช่นนี้
“อิ๋งฮวา” ยังดีที่เหลียนอันสุ่ยออกปากปราม  นางจึงยอมหยุดปาก  กระแทกอ่างทองเหลืองลงบนโต๊ะ

หลังจากวันนั้นหวังเชียนจึงได้ทราบว่านายบ่าวคู่นี้ที่แท้อาศัยอยู่ในวังหลวง  ผู้เป็นนายแม้ถูกเรียกเป็นคุณชายแท้จริงกับเป็นเชื้อพระวงศ์  หวังเชียนไม่ได้มีทรัพย์สมบัติมากมาย  บุญคุณที่เขาติดค้างเหลียนอันสุ่ยได้แต่ใช้การติดตามรับใช้เป็นการตอบแทน
เหลียนอันสุ่ยช่วยเขาไว้หนึ่งชีวิต  ดังนั้นหนึ่งชีวิตนี้มอบคืนกลับไม่เห็นจะเป็นไร 

เพียงแต่ว่า...เหลียนอันสุ่ยช่วยคนไว้มากมายสุดคณา  บ่าวรับใช้ในตำหนักพระมาตุลามีกว่าครึ่งที่ติดค้างบุญคุณนายท่านผู้นี้  เช่นนี้แล้ว  การตอบแทนบุญคุณของเขาจะนับเป็นความสลักสำคัญอันใด  ...ก็เช่นเดียวกับความรู้สึกที่ไม่เคยบอกออกไปในใจเขาจะนับเป็นความสลักสำคัญอันใด

หลายปีที่ข้าเฝ้ามองความอ้างว้างจากการสูญเสียชายาของท่าน  หลายปีที่ข้าเฝ้ามองอวี้เฉียนหลงใหลท่าน  และอีกหลายปีที่ข้าเฝ้ามองท่านยิ้มให้แก่ ‘เขา’  ตอนนี้ข้าคงไม่อาจอยู่ปกป้องท่านได้อีกแล้ว  ทว่าก็ไม่เป็นไรแล้วเช่นกัน  เพราะตอนนี้ท่านมีเขา...ข้าวางใจอย่างยิ่ง 

ตอนมีชีวิตข้าเพียงอยู่ในเงาของท่าน  หลงจากที่ข้าตายไปข้าหวังเพียงตัวเองสามารถผนึกเป็นเงาของท่าน  แม้การอยู่เคียงข้างของข้าจะปราศจากความหมายใดต่อท่าน  แม้การอยู่เคียงข้างของข้าจะไม่อาจเติมเต็มความอ้างว้างในใจของท่าน  แต่ก็ขอให้ข้าอยู่เคียงข้างท่านเถอะ

นายท่าน  อย่าเสียใจ ...และไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด  เพราะชีวิตของข้าเป็นของท่านนานแล้ว 
...มือสังหารตายเพราะมือสังหารใยมิใช่ยุติธรรมอย่างยิ่ง 
---------------------
เหลียนอันสุ่ยทรุดกายไปด้านหลังอย่างหมดแรง  หมอหลวงใหญ่ไม่ทันมาถึง  ลมหายใจของคนกลับจางหายไปก่อน  ในช่วงตอนท้ายหวังเชียนไม่ได้รับรู้อะไรอีก  ลมหายใจแผ่วตื้นและค่อยๆจางหายไปเองดุจใบไม้ปลิดขั้วเมื่อฤดูหนาวมาเยือน
คำพูดที่หวังเชียนพยายามขยับปากแต่ปราศจากเสียงเป็นคำสารภาพประโยคหนึ่งที่มีเพียงสามคำ
‘ข้ารักท่าน’
ดวงตาของหวังเชียนปิดไม่สนิท  เหลียนอันสุ่ยเลื่อนมือไปปิดเปลือกตาให้กับเขา  พึมพำว่า
“ข้ารู้” รู้มาโดยตลอด  ขอโทษด้วยที่ข้า...ไม่อาจตอบแทนความรู้สึกของเจ้าได้  ขอโทษด้วยที่ข้า...ทำเป็นไม่ทราบมาโดยตลอด
หลังหมอหลวงมาถึงไม่นาน  เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนก็มาถึง  เหลียนอันสุ่ยยังคงนั่งอยู่ที่เดิม  มองคนที่ใช้ชีวิตตัวเองแลกกับชีวิตเขา  มือใหญ่วางลงบนบ่าของพระมาตุลาแคว้นเหลียน  บีบเบาๆคล้ายบอกว่าไม่เป็นไร  ได้ยินเหลียนอันสุ่ยพึมพำว่า
“มีคนตายเพื่อข้าอีกแล้ว” เหวินจี  อวี้เฉียน  หวังเชียน  แล้วยังท่าน  เหลียนอันสุ่ยยืนขึ้นช้าๆ หันหน้ากลับไปมองผู้มาใหม่  ...ท่านก็ด้วย

ดวงตาดำสนิทลึกล้ำของฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่ายนิ่ง  มือโอบรอบเอว  พยุงร่างอีกฝ่ายเอาไว้  สายตาของเหลียนอันสุ่ยมีแววเหม่อลอย  ส่วนสายตาของฉีเซี่ยงหยวนเบนไปมองร่างไร้ลมหายใจบนเตียงที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด 

ฉีเซี่ยงหยวนไม่ทราบว่าเหลียนอันสุ่ยทราบหรือไม่  แต่ในบางช่วงเวลาแววตาที่หวังเชียนใช้จับจ้องมองเขาแฝงปนความรู้สึกหนึ่งเอาไว้  อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนมองออกนานแล้วว่าบ่าวรับใช้ที่ติดตามคุ้มกันมาตั้งแต่แคว้นเหลียนผู้นี้หลงรักนายท่านของตัวเอง มันอาจเป็นสัญชาตญาณของคนสองคนที่จับจ้องจดจ่ออยู่ที่คนๆเดียวกัน 

น่าแปลกที่ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่เคยหึงหวงหวังเชียน  เพียงรู้สึกสงสารอยู่บ้าง  เพราะหวังเชียนไม่เคยวางตัวเป็นคู่แข่งของเขา  ในโลกของฉีเซี่ยงหยวนไม่มีเรื่องใดไม่สามารถลองพยายามดู  แต่ในโลกของหวังเชียนกลับมีเรื่องเช่นนี้อยู่  และพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็คือหนึ่งในนั้น

บางทีตลอดชีวิตหวังเชียนคงไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองคู่ควร  เพียงแอบรักเงียบๆ  พอใจจะปกป้องเงียบๆ  และเอาความรักนั้นกลบฝังไปกับเขาด้วย

ฉีเซี่ยงหยวนไม่เข้าใจว่าในเมื่อรักคนผู้หนึ่งเหตุใดจึงไม่อาจลองพยายามดู  แต่ฉีเซี่ยงหยวนก็เข้าใจว่าหวังเชียนมิใช่ตัวเขา  และตัวเขาก็มิใช่หวังเชียน  ไม่มีสิทธิ์เอามุมมองของตัวเองไปตัดสินผู้อื่น  อย่าว่าแต่ในเรื่องเช่นนี้หามีถูกผิด  มีแต่ทางที่ได้เลือกเดินแล้ว
ทั้งหวังเชียน  อวี้เฉียน  และตัวเขา  ต่างกำหนดทางเดินที่แตกต่างให้กับตัวเอง  แม้จะรักคนๆเดียวกัน  แต่กลับใช้วิธีที่แตกต่างกันมารักเหลียนอันสุ่ย

สายตาของฉีเซี่ยงหยวนเปลี่ยนจากอ่อนโยนมาเป็นเยียบเย็นเมื่อคิดถึงที่มาที่ไปของเหตุปองร้าย  ไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังมันจะเป็นใคร  แต่ในเมื่อมันกล้าทำร้ายเหลียนอันสุ่ยเขาจะให้มันชดใช้แน่นอน !
---------------------
ตอนนี้เปิดเผยความลับที่ถูกปกปิดมานาน  จริงๆสามารถใช้ชื่อตอนว่าหวังเชียน 
หากยังจำกันได้เคยมีอยู่ตอนหนึ่งชื่อว่า 'สุดเอื้อมแต่ไม่อาจไขว่คว้าไว้' 
ความจริงประโยคนี้คือคนสองคน  คือฉีเซี่ยงหยวนและหวังเชียน

ปล.ตอนนี้ยาวเพราะสองสัปดาห์ข้างหน้าผู้แต่งสอบอย่างหนักหน่วง  คงไม่ได้มาอัพนะคะ
ส่วนคนที่สงสัยว่าเรื่องนี้ใกล้จบรึเปล่า  ใช่ค่ะตอนนี้อยู่ในช่วงสุดท้ายของเรื่องแล้ว
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 74.......................................18/01/58
เริ่มหัวข้อโดย: ghostreader ที่ 01-02-2015 21:03:04
รอลุ้นว่าใครเป็นคนสั่งให้มาลอบสังหาร
...เข้ามารออ่านทุกวันเลย ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 75.......................................01/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 01-02-2015 21:06:46
ใครนะช่างกล้ามาก ให้อภัยคงไม่ได้แล้ว 

ชอบเรื่องนี้มากค่ะ อ่านหลายรอบมาก แต่เพิ่งได้เม้นท์ รอตอนต่อไปนะคะ  :3123:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 75.......................................01/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-02-2015 22:00:07
ใครกันกล้าลอบทำร้ายเหลียนอันสุ่ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 75.......................................01/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: zazoi ที่ 01-02-2015 22:36:08
สงสารหวังเชียนจัง อ่านแล้วน้ำตาจะไหลเลย

ใครจะลอบทำร้ายกันเนี่ย เพื่ออะไรอีก
หัวข้อ: พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 75
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 01-02-2015 22:52:50
แอบเศร้าออะ จริงๆ เราว่าเหลียนๆนี้แอบใจร้ายเป็นบางมุมจริงๆนะคะ รู้ว่าใครมีใจให้ไม่เคยให้ความหวังแต่ก็ไม่ได้บอกให้ตัดใจ
หวังเซียนน่าสงสารอะ  :hao5:ตายแทรเหลียนๆ แบบนี้เท่มากเลย ยกให้เป็นพระรองชัวคราว 55
  เบื้องหลังนี้ใช่องค์หญิงจินผิงหรือป่าวเนี่ย แหมม
อยากให้ฉีเซียงหยวนจัดการให้หนักเลยนะ อย่ายั้งมือละ  :z6:
 อยากให้เหลียนๆหยุดให้อภัยบ้างไรบ้างนะ ใจดีเกินไปก็ไม่ดีน๊าา
ปล สอบแล้วก็ขอให้ได้คะแนนเยอะนะคร้า ^.^ /
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 75.......................................01/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 03-02-2015 20:24:39
 เหวินจี  อวี้เฉียน  หวังเชียน ต่างรักเหลียนๆของเราหมดใจ และทั้งสามก็ได้ตายเพราะเหลียนๆ
(เราว่าอวีเฉียนน่าสงสารสุด หวังเชียน กับ เหวินจี ยังได้มีช่วงเวลายาวนานที่ได้ดูแลและอยู่ใกล้คนที่เรารัก)

ตอนเหลียนอันสุยบอก มีคนตายเพื่อข้าอีกแล้ว  มันคงเจ็บมาก และรู้สึกผิดมากๆเลย ยิ่งเป็นคนฉลาดแล้วก็ชอบไม่ให้อภัยตัวเองอีก มันเศร้าแต่หวานซึ้งมากๆเลย

ฉีเซี่ยงหยวนช่วยปลอบเหลียนๆในแบบของท่านที ขอร้องหละ

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 75.......................................01/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 03-02-2015 22:38:54
ตามจับต้นตอให้ได้นะ ลุ้นๆ
คิด ๆ แล้วท่านอ๋องนี่แน่จริง ๆ ที่มาจนถึงขนาดนี้ได้ เหลียน ๆ นี่ไม่ธรรมดาเลยนะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 75.......................................01/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 03-02-2015 23:28:46
ฮือออออ หวังเชียนนนน นายช่างเป็นพระรองที่แสนดีอะไรอย่างนี้  :sad4: ทำไม ทำไม ทำม้ายยยยต้องตายด้วย เจ็บปวดสุดๆเลยอ่าาาา :z3:
คนที่เป็นผู้บงการ จงใจลงมาที่เหลียนๆ หรือจะเป็นผู้หญิงคนนั้น(ลืม นานมาก จำชื่อไม่ได้ละ 555)
รอตอนถัดไป ตั้งใจสอบนะคะ สู้ๆ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 76
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 21-02-2015 14:26:21
บทที่ 76 เมื่ออดีตและปัจจุบันบรรจบกัน(2)

ในวังแคว้นเหลียนกำลังจะเกิดคลื่นม้วนเป็นระลอกใหญ่  ในใจคนผู้หนึ่งกลับไม่เคยสงบมาตั้งนานแล้ว  ทุกๆวันครุ่นคิดจมอยู่กับความคั่งแค้น  ทุกๆคืนนอนไม่หลับยังคงกล่อมตัวเองด้วยความชิงชังพยาบาท
องค์หญิงจินผิงกระวนกระวายใจจนนอนไม่หลับมาตั้งแต่ได้ยินว่าเหลียนอันสุ่ยจะกลับมาแคว้นเหลียน  นางทั้งดีใจทั้งเดือดดาล  บางครั้งหัวเราะ  บางคราวร่ำไห้  บางคราเกรี้ยวกราดอาฆาต  ในที่สุดสวรรค์ก็เห็นใจนาง  ส่งศัตรูที่หลุดพ้นเงื้อมมือนางไปกลับมาให้นางแก้แค้น
หลายปีมานี้นางขบคิดแผนการเอาไว้เป็นพันๆหมื่นๆแผนการ  นางได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกไม่บ่อยนัก  ดังนั้นเวลาทั้งหมดนางจึงได้แต่ขบคิดเท่านั้น  ขบคิดว่าจะแล่เนื้อเถือหนังเหลียนอันสุ่ยอย่างไรจึงจะสาสม  ในตอนที่ทราบว่าเหลียนอันสุ่ยจะมานางก็เลือกเอาหนึ่งแผนการในพันๆหมื่นๆแผนการนั้นออกมา

นางชรามากแล้ว  ไม่มีเวลารอดูความทรมานของคนอื่นอีก หากนางไม่กำจัดเหลียนอันสุ่ยก่อนนางจะตาย  ถ้านางตายไปผู้ใดจะจัดการเขา  ดังนั้นนางจะต้องให้เขาตายก่อนนาง

องค์หญิงจินผิงรู้ว่ามีอยู่ที่หนึ่งที่เหลียนอันสุ่ยจะอยู่คนเดียว  นั่นคือข้างกายชายาของเขา  ข้างต้นท้อต้นนั้น  ตั้งแต่เหลียนอันสุ่ยจากไปตำหนักพระมาตุลาก็เกือบจะร้าง  ส่งนักฆ่าเข้าไปซ่อนตัวไว้รอจังหวะคนหนึ่งพอจะกระทำได้ไม่ยากนัก  ขอเพียงนางสามารถจัดหานักฆ่ามา  นางจะให้เหลียนอันสุ่ยตายต่อหน้าชายาของเขา

ยอดเยี่ยม!  ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง  ชายาของเขานางเป็นคนฆ่า  เหวินจีตายต่อหน้าเขา  ส่วนคราวนี้นางก็ฆ่าเขาต่อหน้าชายาเขา  ให้เขาตายหน้าต้นท้อต้นนั้น  สะใจยิ่ง  สะใจจริงๆ  จากนั้นบุตรชายของเหลียนอันสุ่ยก็จะได้เห็นบิดาตัวเองนอนตายใต้ต้นท้อของมารดาที่จากไป  เด็กน้อยที่น่าสงสารเปลี่ยนเป็นกำพร้า  ส่วนทั้งพ่อทั้งแม่ของเด็กที่มีสายเลือดเลวทรามนั่นก็ถูกนางฆ่าเอง
คนที่เจ็บปวดที่สุดคือคนที่คงอยู่  นางน่าจะคิดวิธีนี้ได้ตั้งนานแล้ว  ต้องให้เหลียนจิ้งเต๋อเหลือเป็นคนสุดท้ายสิเหลียนอันสุ่ยถึงจะเจ็บปวดที่สุด ต่อให้เป็นผีมันก็ต้องเฝ้ามองบุตรชายของมันเศร้าโศกเสียใจ  ต่อให้เป็นผีมันก็ไม่มีวันได้อยู่สงบ  เหมือนกับที่นางได้แต่เศร้าเสียใจกับบุตรชายที่จากไปมาเป็นสิบปี!
---------------------
 ต่อให้ที่นี่เป็นแคว้นเหลียน แต่การสืบหาที่มาที่ไปของเรื่องราวไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉีเซี่ยงหยวน  สายของเขาที่ประจำสังเกตการณ์ที่นี่มีมากมาย  อย่าว่าแต่มือสังหารก็ยังมีชีวิตอยู่  ที่ยากที่สุดสำหรับฉีเซี่ยงหยวนคือกดอารมณ์ลงไปแล้วใคร่ครวญ  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้มีโทสะระดับนี้มานานมากแล้ว  เรื่องมือสังหารที่เกือบจะฆ่าเหลียนอันสุ่ยทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ปรากฏในใจเขาเป็นอารมณ์อำมหิตเลือดเย็น 

ชีวิตในสมรภูมิของเขา  เส้นทางสู่บัลลังก์ของเขา ฉีเซี่ยงหยวนฆ่าคนมามากมาย  แต่ในผู้คนเหล่านี้มีจำนวนเพียงน้อยมากที่เขาอยากจะให้ตายจริงๆ  การที่มีคนคิดฆ่าเหลียนอันสุ่ยฉุดดึงส่วนที่ดำมืดที่สุดในกมลสันดานของเขาออกมา

ส่วนที่ดำมืดที่สุดในกมลสันดานของมนุษย์คือการดิ้นรนเอาชีวิตรอด  และในคนบางคนส่วนที่ดำมืดที่สุดในกมลสันดานจะปรากฏออกมาในตอนที่คนสำคัญที่สุดของเขาถูกหมายเอาชีวิต

คิ้วหนากดมุ่น  สูดลมหายใจลึกยาว  บังคับให้ตัวเองใช้สติไม่ใช่ใช้อารมณ์  สิ่งที่ได้จากอารมณ์คือความสะใจ แต่สิ่งที่ได้จากสติคือความรอบคอบและความสมบูรณ์แบบ  ไม่แผนการแผนไหนปราศจากช่องโหว่ได้ถ้าคนคิดไม่มีสติ  กับเรื่องคราวนี้เขาจะต้องจัดการทุกคนที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน  และต้องไม่ให้มีผลกระทบมาถึงเหลียนอันสุ่ยเด็ดขาด
---------------------
คืนนั้นมีงานเลี้ยงอีกแล้ว  แต่ไม่ว่าใครล้วนคิดไม่ถึงว่าอาหารเลิศรสจะกลายมาเป็นฝืดคอจนยากจะกลืนลง  นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังคำเปรยประโยคหนึ่งของเป่ยชางอ๋อง
“ข้าเพิ่งจะทราบ  ว่าในวังแคว้นเหลียนกลับมีนักฆ่าปะปนเข้ามาง่ายดายถึงเพียงนี้  ทั้งเป้าหมายยังเป็นเชื้อพระวงศ์  ใช่อุกอาจเกินไปหรือไม่  เพียงแต่ไม่ทราบว่านักฆ่าผู้นี้ยังมีจุดประสงค์ต้องการจะฆ่าข้าด้วยรึเปล่า”
น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนสงบราบเรียบมาก  ดูไม่ได้ให้ความสลักสำคัญอะไรมากนัก  แต่ทุกคนในงานเลี้ยงกลับทำได้แค่ถือตะเกียบค้างไว้  หันไปมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก  ต่อให้ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ยึดถือเป็นจริงเป็นจัง  แต่คำพูดจากปากเป่ยชางอ๋องย่อมไม่อาจมองข้ามได้

เหลียนอ๋องรีบวางจอกสุรา  กล่าวว่า
“นี่เป็นไปไม่ได้  เมืองเหลียนเฉิงจงรักภักดี  ทั้งระหว่างเราก็มีความสัมพันธ์อันดีกันมาโดยตลอด  ข้าได้ยินว่ามีนักฆ่าหวังฆ่าท่านลุง  แต่อย่างไรคาดว่าน่าจะเป็นความขัดแย้งที่มีมาตั้งแต่เก่าก่อนในแคว้นเหลียน  ไม่มีทางเกี่ยวพันไปถึงต้าอ๋องเด็ดขาด  ยิ่งไม่มีทางกำเริบเสิบสานขนาดกล้าปองร้ายต้าอ๋องด้วย” ข้อหานี้แคว้นเหลียนไม่อาจรับไว้  หาไม่แล้วเกรงว่าผลสุดท้ายคงเลวร้ายสุดคณา  เหลียนอ๋องนึกเสียใจที่พระมาตุลาไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงด้วย  ไม่เช่นนั้นคงแจกแจงได้ง่ายกว่านี้

“เหลียนอ๋องพูดเช่นนี้ข้าก็วางใจ  แต่จะอย่างไรก็ควรสืบต้นสายปลายเหตุให้กระจ่าง  หากข้าสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเองเกรงว่าจะทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างสองแคว้น  เช่นนี้แล้วกัน  ถ้าผลเป้ฯความเข้าใจผิด  ข้ายินดีชดเชยให้แคว้นเหลียนโยการลดส่วยลดภาษีที่ต้องจ่ายในรอบนี้เป็นอย่างไร”

จุดประสงค์ของฉีเซี่ยงหยวนคือต้องการรวบอำนาจในการสืบสวนมาไว้ในกำมือทั้งหมด  คิดยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายในเรื่องที่จัดเป็นเรื่องภายในแคว้นของผู้อื่นจำเป็นต้องมีทั้งศิลปะและวิธีการ  ขุนนางที่จัดหานักฆ่าให้องค์หญิงจินผิงเป็นถึงขุนนางคนสำคัญของแคว้นเหลียน  หากให้แคว้นเหลียนสืบสาวเรื่องราวเอง  เกรงจะมีการปกปิดทำลายหลักฐานเกิดขึ้นในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง
 
เงื่อนไขที่ถูกเสนอขึ้นมานี้ทำให้เหลียนอ๋องนิ่งงัน  แม้จะไม่อยากให้อีกฝ่ายยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องภายในมากเกินไป  แต่เงื่อนไขลดส่วยและภาษีไม่ใช่ว่าจะมีมาบ่อยๆ  เหลียนอ๋องย่อมไม่ทราบว่านี้เป็นแผนการเดิมที่จะลดภาษีเพื่อกุมใจชาวเหลียนที่ถูกฉีเซี่ยงหยวนเอามาใส่ประโยชน์ส่วนตัวเข้าไปด้วย 

หลังพยายามใคร่ครวญหาหนทางที่ดีที่สุดให้แคว้นเหลียนอยู่นาน  เหลียนอ๋องก็กล่าวว่า
“ตกลง  เพื่อความสบายพระทัยของต้าอ๋อง  ข้ายินดีมอบอำนาจในการสืบสวนให้กับท่าน”

คำพูดนี้เท่ากับพิพากษาชะตากรรมของเหล่าผู้เกี่ยวข้องเอาไว้ล่วงหน้า  เพราะฉีเซี่ยงหยวนตั้งใจจะขุดออกมาทุกอย่าง  เมื่อหลักฐานความผิดพร้อมต่อให้ใครอยากช่วยใครก็ไม่อาจดำเนินการได้ทั้งสิ้น !
---------------------
การสืบสวนดำเนินการอย่างละเอียด  ระหว่างนั้นฉีเซี่ยงหยวนก็ไปเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งหนึ่งที่เขาไม่เคยเหยียบเท้าเข้าไปมาก่อน...นั่นคือตำหนักเบญจมาศ

กับตัวการหลักผู้นี้ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดจะใช้วิธีการธรรมดาๆมาจัดการนาง  เพราะข้อแรกนางอันตรายเกินกว่าจะทิ้งไว้รอให้หลักฐานปรากฏหมดสิ้นแล้วค่อยจัดการ  ข้อที่สองคือระหว่างนางกับเหลียนอันสุ่ยมีความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนยิ่ง

เหลียนอันสุ่ยไม่ใช่ไม่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนต้องไปหาองค์หญิงจินผิง  เนื่องจากมือสังหารสารภาพออกมาหมดสิ้นตั้งแต่ก่อนฉีเซี่ยงหยวนจะเอ่ยปากกับเหลียนอ๋องด้วยซ้ำ  ทว่าเหลียนอันสุ่ยไม่อาจออกปากขัดขวางได้อีก  ยังคงจำได้ดีว่าเมื่อหลายปีก่อนพวกเขาเคยมีข้อตกลงอะไรระหว่างกัน  ฉีเซี่ยงหยวนยอมละเว้นองค์หญิงจินผิงเพียงครั้งนั้นครั้งเดียว  ทุกข้อตกลงระหว่างพวกเขาเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน  เป็นความเชื่อถือตลอดหลายปีที่ผ่านมา  เหลียนอันสุ่ยแม้แน่ใจว่าฉีเซี่ยงหยวนสามารถอ่อนข้อให้เขาอีกครั้ง  ทว่าเป็นเหลียนอันสุ่ยเองที่ทำไม่ได้  การปล่อยปละละเว้นนางในครั้งนั้นกลับส่งผลถึงตายต่อชีวิตหวังเชียน  เหลียนอันสุ่ยไม่อาจปล่อยให้นางทำร้ายผู้คนไปมากกว่านี้อีกแล้ว

ฉีเซี่ยงหยวนเดินตัดผ่านข้างแปลงเบญจมาศ สายตาของเขาสงบราบเรียบสงบราบเรียบกระด้างเย็นชา  ทว่าสีหน้าท่าทางเช่นนี้กลับไม่ได้ทำให้องค์หญิงจินผิงหวาดกลัว  ตอนนางเห็นเขานางเพียงหัวเราะเสียงเยาะหยัน  ไม่ได้คารวะและไม่คิดจะก้มหัวให้แม้แต่น้อย
“ท่านก็คือเป่ยชางอ๋อง ? ”
ฉีเซี่ยงหยวนยากจะเชื่อว่าผู้หญิงที่ผ่ายผอมแห้งเหี่ยวจนดูราวกับรากไม้ปีศาจผู้นี้จะมีพิษสงสามารถก่อเรื่องราวครั้งแล้วครั้งเล่า มองดวงตาที่เคียดแค้นเย้ยหยันของนาง  ขณะได้ยินเสียงแหลมสูงถามว่า
“ท่านก็ดูน่าจะฉลาด  เหตุใดถึงไปหลงเสน่ห์จอมปลอมของมัน  กล้ำกลืนรับของเหลือใช้จากอวี้เฉียนด้วย” ในบรรดาคำพูดเหยียดหยามที่ชวนระคายหูทั้งหมด  คำพูดนี้นับว่ากล่าวออกมาได้อย่างน่าระคายหูที่สุด

ฉีเซี่ยงหยวนกลับยิ้มออกมา กล่าวช้าๆว่า
“อาศัยปากของเจ้าก็คู่ควรจะเอ่ยถึงเขาหรือ  อีกอย่างการอยู่กับเขาข้าไม่เห็นต้องใช้ความกล้ำกลืนซักนิด”

 “ที่แท้เป่ยชางอ๋องผู้ยิ่งใหญ่กลับมีรสนิยมชมชอบวิปริตเช่นนี้เอง  เรื่องน่าอดสูกลับพูดออกมาได้ไม่อายปาก  ช่างน่าขยะแขยงนัก  น่าขยะแขยงเช่นเดียวกับคนดีจอมปลอมแบบมันจริงๆ  ข้าไม่แปลกใจแล้วว่าเหตุใดจึงอยู่ด้วยกันได้  นับว่าสวรรค์สาปส่งมาได้อย่างเหมาะเจาะ”
มุมปากของฉีเซี่ยงหยวนยังคงมีรอยยิ้มเย็นชา  ไม่ได้เกรี้ยวกราดเดือดดาลไปตามคำพูดของนาง มองอีกฝ่ายด้วยสายตาสมเพช
ฝ่ายเดือดดาลจึงกลายมาเป็นองค์หญิงจินผิง  นางอยากจะควักดวงตาคู่นั้นออกมาเหลือเกิน  แต่นางไม่กล้าเข้าใกล้เขามากเกินไป ผู้ชายคนนี้แม้ยืนเฉยๆแต่กลับให้ความรู้สึกอันตราย  ในดวงตาเย็นชามีกลิ่นอายของความเหี้ยมโหด

“เรื่องข้ากับเขาเป็นอย่างไรใยต้องสนใจคำวิจารณ์ของผู้อื่น  ข้ารักเขาที่เป็นอย่างนี้  ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเดือดเนื้อร้อนใจแทน” เสียงทุ้มสงบราบเรียบ
ดวงตาขององค์หญิงจินผิงทอประกายคั่งแค้น  เหตุใดจึงเป็นแบบนี้อีกแล้ว  มีแต่คนรักมัน  เชื่อถือมัน  เห็นมันเป็นของล้ำค่า  ช่างน่าขย้อนของเก่าออกมาเหลือเกิน
“ทำไม  ท่านมาที่นี่คือจะมาจัดการข้าแทนมันหรือ  หรือว่าท่านไม่รู้สึกตัวซักนิดว่าถูกมันหลอกใช้มาตั้งแต่ต้นจนจบ  มันหลอกใช้คนทำเรื่องสกปรกมานับไม่ถ้วน  ในขณะที่มือของมันยังคงขาวสะอาดไม่แปดเปื้อนต่อไป  ล้วนมีแต่ตัวโง่งมทั้งนั้นที่ไปหลงใหลมัน”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ
“ต่อให้เขาหลอกใช้ข้าก็เต็มใจให้เขาหลอกใช้  อีกอย่างเขาใยต้องหลอกใช้ข้า  แค่พูดมาคำเดียวก็พอแล้ว  ครั้งที่แล้วเขาขอไม่ให้ข้าฆ่าเจ้า  ข้าแม้อยากฆ่าเจ้าแทบตายสุดท้ายก็ยังไม่ได้ลงมือ”

“เสแสร้งแกล้งทำกันเหลือเกิน  มันเสแสร้งแกล้งทำเช่นนี้ก็แค่เพื่อให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลง  ใช่แล้ว ข้านี่แหละที่ส่งคนไปข้ามัน  ท่านอยากฆ่าข้าก็ลงมือเถอะ  ฆ่าผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งไปคงสมศักดิ์ศรีต้าอ๋องของท่านมากทีเดียว” องค์หญิงจินผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดสี  นางหาได้พรั่นพรึงต่อความตาย  เพราะนางตายมานานแล้ว  ตายมาตั้งแต่สิบแปดปีก่อน

ฉีเซี่ยงหยวนกลับกล่าวว่า
“ข้าได้ยินว่าแคว้นเหลียนนิยมตั้งป้ายวิญญาณ  ฉางเฟย  หาป้ายวิญญาณของบุตรชายนางให้กับข้า  ตำหนักนี้กลิ่นอายอัปมงคลเข้มข้นนัก  เก็บป้ายวิญญาณไว้ที่นี่ไม่ค่อยจะดีซักเท่าไหร่”
องค์หญิงจินผิงได้ยินถึงกับกรีดร้อง  นางไม่กลัวความตาย  แต่จะพรากลูกไปจากนางไม่ได้
“เจ้าอย่าแตะต้องลูกข้านะ  เอามือสกปรกของพวกเจ้าออกไป  เจ้าพวกสารเลว  เจ้าฆ่าข้าได้แต่จะเอาลูกของข้าไปจากข้าไม่ได้ !”  ยื้อยุดไว้สุดความสามารถ  แต่สุดท้ายก็ถูกแย่งชิงไป

ฉีเซี่ยงหยวนยิ้มเย็น  สั่งหลิวฉางเฟยว่า
“ป้ายวิญญาณป้ายนี้ต้องเก็บให้ดีหน่อย  ปกติแคว้นเหลียนพิธีฝังศพฝังไม่เผา  แต่คนผู้นี้ยามมีชีวิตกดขี่ข่มเหงผู้อื่น  อาละวาดระรานราษฎร  ไม่สมควรได้นอนหลับอย่างสงบ  เอาไว้ข้าขุดกระดูกของเขาขึ้นมาเผาจนเป็นเถ้า  จากนั้นค่อยให้คนส่งมาอยู่ข้างกายเจ้าแทนป้ายวิญญาณที่เย็นชืดป้ายนี้ดีหรือไม่” ประโยคสุดท้ายหันไปถามคู่กรณี

องค์หญิงจินผิงชี้หน้าอีกฝ่ายปากคอสั่น
“เจ้าคนโหดเหี้ยม  เจ้าถึงกับ  ถึงกับ...จะเผาเขา  เจ้ามันชั่วช้า!  พวกเจ้ามันไม่ใช่คน!”

“ข้าไม่ใช่คนหรือ  แล้ววิธีการที่เจ้าใช้แต่ละวิธีโหดเหี้ยมน้อยกว่านี้หรือไม่  เจ้าฆ่าชายาของเหลียนอันสุ่ย  เหลียนอันสุ่ยสลักนามนางเอาไว้บนผิวต้นท้อ  ใช้เปลือกไม้ท้อต่างป้ายวิญญาณ  เจ้าก็ส่งนักฆ่าไปที่นั่นหวังจะฆ่าเขาต่อหน้านาง  เจ้าใช้เหวินเถียนมาเหยียดหยามเขา  ทั้งๆที่เรื่องอัปยศอดสูทั้งหมดของเขาล้วนเป็นเจ้าที่จัดฉากอยู่เบื้องหลัง  ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก  เพราะถ้าสังหารเจ้าเหลียนอันสุ่ยจะไม่สบายใจ  แต่คนสำคัญของเขาเจ้าทำร้ายมาครบทุกคน  ใยไม่คิดบ้างว่าคนสำคัญของเจ้าก็มีหนทางถูกผู้อื่นทำร้ายได้เช่นกัน”
องค์หญิงจินผิงหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง
“ข้าจัดฉากหรือ  แล้วคนที่ทำให้มันเป็นไปตามที่ข้าจัดฉากมิใช่ยืนอยู่ตรงหน้าข้านี่หรือไร  เจ้าเองก็ช่วยข้าทำลายเขา  ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี”
“ไม่ผิด  ข้าเองก็ทำร้ายเขา  เรื่องนั้นข้าชดเชยให้เขาวันหลังได้  แต่วันนี้ข้าต้องจัดการเจ้าก่อน  ฉางเฟย  ไปคุมตัวคนสนิทของนางมา  หญิงรับใช้ผู้นี้ช่วยเหลือนางก่อกรรมทำชั่ว  ต้องพาตัวไปรอรับโทษ”
“นายหญิง  ไม่  บ่าวไม่ไป นายหญิง  ช่วยด้วย...”
“จะเอาผิดอะไรก็มาลงที่ข้านี่!  นางไม่ผิด  ลูกของข้าก็ไม่ผิด  เขาตายไปแล้ว  พวกเจ้ากลับไม่ปล่อยปละละเว้นเขา  ข้าจะฆ่าเจ้า  ข้าจะฆ่าเจ้า!” ถลันตัวเข้าไป  แต่องครักษ์รอบกายฉีเซี่ยงหยวนไหนเลยยอมให้นางได้เข้าใกล้เป่ยชางอ๋อง

 ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนนิ่งเย็นขณะมองท่าทีทุรนทุรายของนาง  หันหลังกลับเดินจากไปอย่างไม่ใยดี  ได้ยินเสียงนางกรีดร้องว่า
“เจ้าพวกคนชั่ว  เอาลูกข้าคืนมา  พวกเจ้าจะเอาเขาไปไม่ได้...”

“ตำหนักเก่านี้กลิ่นอายอัปมงคลรุนแรงนัก  ปิดไว้ซักพักก็แล้วกัน  กักบริเวณไม่ต้องให้นางออกไปเพ่นพ่านที่ไหนอีก” ฉีเซี่ยงหยวนสั่งขณะก้าวข้ามธรณีประตู  ทหารยามที่ล้วนเป็นคนของเขารับคำโดยพร้อมเพรียง

ประตูตำหนักปิดลง  แต่หนึ่งเสียงโหยหวนยังไม่จางไป  เสียงนั้นคล้ายกรีดร้องซ้ำๆเป็นคำว่า

‘เอาลูกข้าคืนมา’
---------------------
หลิวฉางเฟยสังเกตสีหน้านายเหนือหัวอย่างระมัดระวังขณะถามว่า
“ต้าอ๋อง  เรื่องขุดสุสาน...”
“คนๆนี้ยามมีชีวิตก่อกรรมทำชั่วไว้ไม่น้อย  เจ้าก็บอกไปว่าเป็นการชำระสุสานตามวิธีของชาวเป่ยชาง  เพราะปกติพวกเราก็ฝังบ้างเผาบ้างอยู่แล้ว  ทำตามใจในเรื่องเล็กน้อยแค่นี้  ต่อให้มีคนข้องใจก็ไม่มีทางกล้ายื่นมือเข้ามาสอดเรื่องของข้า”
“ขอรับ”
ชาวเหลียนเชื่อว่าการเผาศพเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย  เท่ากับชาติภพหน้าจะไม่มีทางเกิดมาสมบูรณ์  ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนแม้ลงมืออย่างอำมหิต  แต่กลับขบคิดมาอย่างรอบคอบ  หลิวฉางเฟยเห็นว่าต้าอ๋องให้ความสำคัญกับความรู้สึกของพระมาตุลาไม่น้อยเลย  เฮ้อ  ความรัก  ช่างยุ่งยากลำบากแท้
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนหาตัวเหลียนอันสุ่ยพบในห้องหนังสือ  ร่างสูงโปร่งถือหนังสือไว้เล่มหนึ่ง  แต่ท่าทางแค่ดูก็รู้แล้วว่ากำลังเหม่อลอย
ดึงหนังสือออกมาจากมือคู่นั้น  เหลียนอันสุ่ยถึงเงยหน้าขึ้นมามอง  ถามว่า
“ท่านไป...ตำหนักเบญจมาศมาหรือ”
ฉีเซี่ยงหยวนม้วนหนังสือวางลงบนชั้น  รับคำว่า
“ใช่” จากนั้นเบนสายตาลงมาจับจ้องคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้  ถามช้าๆว่า
“ท่านโกรธข้า ? ”
คิ้วเรียวงามของเหลียนอันสุ่ยกดลงสะท้อนจิตใจที่ไม่อาจผ่อนคลาย  แต่กลับส่ายหน้ากล่าวว่า
“ต้องมีใครซักคนหยุดนาง...ขอโทษด้วย  ที่ทำให้มือของท่านต้องแปดเปื้อนกับเรื่องแบบนี้” ทั้งๆที่ทั้งหมดต่างควรเป็นความแปดเปื้อนของข้า  ใช้สองมือกุมมือใหญ่ไว้  มองฝ่ามือแกร่งกร้านอย่างเสียใจ  สีหน้าท่าทางเศร้าซึม

ฉีเซี่ยงหยวนใช้มืออีกข้างไล้ผิวแก้มเนียน  หัวเราะเบาๆพึมพำว่า
“ท่านมันพวกคิดมาก  ให้ท่านลงมือไม่รู้อีกกี่ปีจะเลิกจมกับความรู้สึกผิด  ข้าจัดการนั่นแหละดีแล้ว”
เหลียนอันสุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงสับสน
“ท่านมักจะ  มักจะ...เป็นเช่นนี้อยู่เสมอเลย  หรือไม่รู้สึกว่าข้าเอาเปรียบท่าน...ยืมมือท่านไปทำเรื่องไม่ดี”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเสียงดัง
“เรื่องไม่ดีที่ข้าทำเองยังเลวร้ายกว่านี้มากนัก  แต่ว่าท่านตื้นตันแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน  ไม่ทราบสำหรับเรื่องคราวนี้ท่านจะตอบแทนข้าอย่างไร” รวบผมอีกฝ่ายไปไว้ข้างหนึ่ง มือหยาบกร้านวางลงที่ต้นคอขาวเนียนที่เผยออกมาใช้แรงเบาๆ  บังคับให้ใบหน้าหมดจดเงยขึ้นมาสบตา
“ท่านต้องการให้ข้าตอบแทนอย่างไร”
“ข้าต้องการให้ท่านเลิกซึมกับเรื่ององค์หญิงจินผิงเสียที  ข้าเห็นแล้วรู้สึกหดหู่”
“นี่กลับ  นี่กลับ...ค่อนข้างจะยาก”
ได้ยินน้ำเสียงไม่มั่นใจฉีเซี่ยงหยวนก็หรี่ตาลง  ออกคำสั่งว่า
“ถึงยากก็ต้องทำให้ได้!”
---------------------
ตอนนี้เปิดเผยตัวร้าย  เห็นหลายคนเดาถูก 
ในคอมเมนท์มีคนบอกว่าเหลียนๆร้ายบางมุม 
สงสัยตอนที่แล้วจะเขียนให้หวังเชียนรันทดไปหน่อย555  แต่อันนี้บอกว่าเหลียนอันสุ่ยร้ายไม่ได้นะ 
อย่าลืมว่าหวังเชียนไม่เคยสารภาพรักเหลียนอันสุ่ยเลย  แล้วจะให้เหลียนเหลียนไปปฏิเสธเขาได้ยังไง
 
จริงๆเหลียนอันสุ่ยไม่เคยให้ความหวังหวังเชียนนะคะ 
ถึงแม้จะทำเป็นไม่รู้  แต่การกระทำของเหลียนอันสุ่ยชัดเจนมาก 
ชัดเจนจนหวังเชียนไม่กล้าอาจเอื้อม
ระหว่างนายบ่าวคู่นี้ไม่ได้มีแต่ความรักที่เก็บซ่อนไว้  แต่ยังมีสิ่งที่เรียกว่าบุญคุณ 
การที่หวังเชียนทำงานให้เหลียนๆเป็นการตอบแทนบุญคุณ 
และถือเป็นชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องฆ่าฟันที่เหลียนอันสุ่ยมอบให้แก่เขาด้วย 

คนที่ท่านเหลียนร้ายด้วยจริงๆคืออวี้เฉียน รายนั้นคือให้ความหวังของจริงและไม่มีทางสมหวังแน่ๆของจริง 
แต่ครึ่งหนึ่งก็เป็นเพราะพฤติกรรมที่อวี้เฉียนทำตัวเองด้วย 
ในบรรดาคนที่หลงรักเหลียนอันสุ่ยทั้งหมดคนที่ผู้แต่งสงสารที่สุดคือหวังเชียน  แต่ถ้าถามว่าใครรันทดที่สุดคนๆนั้นคืออวี้เฉียน  ใครที่เสียน้ำตาให้หวังเชียน  ถ้าเจอตอนที่ผู้แต่งเขียนให้อวี้เฉียนอาจน้ำตาหมดเป็นปี๊บได้555


หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 76.......................................21/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: manutty ที่ 21-02-2015 14:38:04
คนอย่างองค์หญิงชะนีจินผิง สมควรแล้วจะโดนตอบโต้แบบนี้ เหลียนเหลียนเชื่อฉีฉีเถอะ อย่าไปซึมเพราะชะนีตนนี้เลย วิธีการแต่ล่ะอย่างโหดเหี้ยมทั้งนั้น  :beat:  ชอบเวลาฉีฉีปลอบเหลียนเหลียน ไม่ว่าจะนุ่ม จะขรึม แต่มันก็จะแฝงไปด้วยความรักเสมอ  :-[
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 76.......................................21/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 21-02-2015 15:00:59
เรื่องความเด็ดขาดที่ติดจะโหดไม่มีใครเกินเป่ยชางอ๋อง  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 76.......................................21/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: zizits ที่ 21-02-2015 17:41:33
เพิ่งตามอ่านจนครบถึงตอนนี้ ชอบจัง ให้อารมณ์นิยายแปลจีนเลย คนเขียนเก่งฝุดๆ
รวมเล่มเมื่อไหร่ดีคะ ?เก็บตังรอนะ ชอบมากต้องเอาเป็นเล่มมมาเก็บให้ได้55555
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 76.......................................21/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 21-02-2015 18:15:26
ต้าอ๋องพึ่งพาได้ที่สุดฮ่ะ วิธีนี่เข้าขั้นโหดเลย คือทำอะไรนางไม่ได้ไง ก็บีบเอาจนนางดิ้นได้ สงสารที่อยู่กับความแค้นอะไรจะขนาดนี้ เสียดายไม่มีจิตแพทย์ช่วยบำบัดให้
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 76.......................................21/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: beery25 ที่ 21-02-2015 18:28:42
อยากตอนของอวี้เฉียนขึ้นมาทันที ท่านแม่ทัพจะเป็นคนยังไง
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 76.......................................21/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: GUNPLAPLASTIC ที่ 21-02-2015 20:15:37
อย่าเพิ่งจบเลยนะค่ะ ขอคู่ลูกอีกคู่เถอะค่ะนี้ลุ้นคู่รัชทายาทนานมากนะค่ะ
เห็นใจเเม่ยกอย่าเราด้วยนะค่ะ พลีสสสสสส
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 76.......................................21/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 21-02-2015 22:53:06
 :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 76.......................................21/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-02-2015 05:09:36
สปอยมาแบบนี้ อยากอ่านของอวี้เฉียนขึ้นมาเลย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 76.......................................21/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 23-02-2015 01:33:48
ม่ายยยหวังเฉียน คนนี้เป็นคนโปรดเราเลย

ชอบใครกี่เรื่องตายหมด  :ling2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 76.......................................21/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: monster_narak ที่ 01-03-2015 19:46:53
แต่ในที่นี้ที่อ่านมาอวี้เฉวียนน่าสงสารจริงๆคะน่าสงสารสุด

ถูกให้ความหวังแล้วก็รู้ว่าไม่สมหวัง ตอนที่จะตายก็มาหาเหลียนๆที่วังเลยถูกพ่อพระเอกฆ่า

ไม่รู้ว่ามาทำไมแต่ที่แน่ๆถ้ามีมาให้อ่านนี้น้ำตาท่วมแน่ค่ะ

ความจริงใครมารักเหลียนๆนี่ชอกช้ำทุกคนแต่พ่อพระเอกชีถึกสุดเลยได้ใจไป55555

ให้กำลังใจคะนี่ตามมาจากเดกดีและจะเปนกำลังใจให้ต่อไปอิอิ

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 76.......................................21/02/58
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 02-03-2015 00:51:59
จินผิงร้ายกาจจริงจังนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 77
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 02-03-2015 21:48:04
บทที่ 77 ชะตาไม่ปล่อยปละละเว้นคน

กลางท้องพระโรงอันเลิศหรูของแคว้นเหลียนกลับเป็นที่ที่ใช้พิพากษาความเป็นความตายของคน
ขุนนางใหญ่ที่คุกเข่าอยู่กับพื้นหวนคิดไปถึงวันที่องค์หญิงจินผิงส่งหญิงรับใช้ของนางมาพยายามติดต่อกับเขา  ไม่ควรเลย...ไม่ควรไปหานางเลย

‘ท่านปฏิเสธเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร  บุญคุณใหญ่หลวงที่สวามีข้ามีต่อท่านหรือว่าลืมเลือนไปหมดสิ้นแล้ว ! ’

เขาย่อมมิได้ลืมเลือน  แต่การช่วยนางจัดหานักฆ่ามาทำร้ายเชื้อพระวงศ์เช่นนี้ออกจะเป็นการสุ่มเสี่ยงเกินไป

‘สวามีข้ามีลูกชายคนเดียว  แต่ลูกชายคนเดียวของเขากลับถูกเหลียนอันสุ่ยฆ่าตาย  ท่านว่าข้าไม่สมควรแก้แค้นหรือ’

ในสายตาของเขาท่าทางของนางคลุ้มคลั่งยิ่ง  คล้ายกับถูกความเคียดแค้นเคี่ยวกรำจนสาหัส  เขาไม่ต้องการรับปาก  แต่นางถึงกับชักมีดออกมา  ข่มขู่ว่าหากเขาปฏิเสธจะยินยอมตายอยู่เบื้องหน้า  นางเป็นเหมือนพี่สะใภ้ของเขา  แม้ตอนนี้จะดูคลุ้มคลั่งอาฆาต  แต่เห็นแก่พระคุณของพี่ใหญ่เขาไม่อาจปล่อยให้นางตาย  สุดท้ายเขาจัดหานักฆ่าให้นางคนหนึ่ง  หาทางส่งเข้าไปตามที่นางต้องการ  บุญคุณที่เขาติดค้างพี่ใหญ่ถือว่าหักกลบลบล้างกันไป

เขาเข้าใจว่าอาศัยฐานะยิ่งใหญ่ของตัวเองต่อให้เรื่องถูกเปิดโปงก็ไม่มีวันสาวมาถึง  แต่เขาเข้าใจผิดแล้ว...ผิดอย่างใหญ่หลวง
เหลือบมองขึ้นไปด้านบน  เห็นร่างองอาจสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำมองลงมาด้วยสายตาเย็นชัด  คิดไม่ถึง  คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนสืบสาวเรื่องราวจะกลับกลายมาเป็นเป่ยชางอ๋อง  การเงยหน้าครั้งนี้เขาเห็นเหลียนอ๋องเช่นกัน  ดวงตาของเหลียนอ๋องก็เย็นชาไม่แตกต่าง  เขาทราบ  แม้เขาจะเป็นขุนนางเหลียน  แต่เหลียนอ๋องจะไม่ออกปากขอละเว้นโทษให้กับเขาเด็ดขาด  เพราะความผิดที่เขาทำคือการพยายามปองร้ายเชื้อพระวงศ์
---------------------
ประมุขตระกูลซุยคิดปองร้ายเชื้อพระวงศ์  ความไว้เนื้อเชื่อใจที่เหลียนอ๋องมีต่อตระกูลซุยจางหายไปตลอดกาล  ป้ายลายพระหัตถ์คำว่า ‘คุณธรรม’ ที่ตระกูลซุยเคยได้รับพระราชทานมาตั้งแต่รัชกาลก่อนถูกเรียกกลับคืน  ลูกหลานตระกูลซุยถัดไปสี่รุ่นถูกปลดจากตำแหน่งขุนนาง  ประมุขตระกูลต้องโทษประหาร  แต่ที่ทำให้เขาเสียใจที่สุดคือเกียรติยศที่บรรพชนสั่งสมมากลับถูกทำลายลงในรุ่นของเขา

ประมุขตระกูลซุยไม่ยอมให้การซัดทอดองค์หญิงจินผิง  ก้าวสู่ความตายด้วยความรู้สึกผิดต่อบรรพชนและลูกหลาน
 
คนที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเกียรติยศ  ฉีเซี่ยงหยวนพรากเกียรติยศไปจากเขา  คนที่ให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมและพรากจาก  ฉีเซี่ยงหยวนทำให้พวกเขาพรากจากกันตลอดกาล  การพิพากษาครั้งนี้สะบั้นชีวิตคนไปไม่มาก  แต่ไม่อาจบอกได้ว่าไม่อำมหิต  ...เพราะการมีชีวิตบางครั้งยากลำบากกว่าตาย  เหลียนอันสุ่ยทราบดีทุกอย่างแต่ไม่อาจตำหนิ  ฉีเซี่ยงหยวนละเว้นโทษตายให้คนตระกูลซุย  ฉีเซี่ยงหยวนละเว้นโทษตายให้องค์หญิงจินผิง  ทั้งหมดล้วนเพราะเห็นแก่เขา  ขบคิดแทนเขา

เรื่องราวคล้ายกำลังจะจบลง  ทว่าก่อนฉีเซี่ยงหยวนจะให้คนขุดกระดูกบุตรชายองค์หญิงจินผิงขึ้นมา  เรื่องไม่คาดฝันเรื่องหนึ่งก็เกิดขึ้นก่อน

องค์หญิงจินผิงกลายเป็นบ้าแล้ว

ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะไม่มีใครทราบว่านางกดดันตัวเองด้วยความแค้นมาถึงสิบแปดปีเต็ม  ยิ่งไม่มีผู้ใดทราบว่าเมื่อเร็วๆนี้นางได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างใหญ่หลวง

นางมิได้คลุ้มคลั่งแค่บางเวลาอย่างแต่ก่อนอีก  ชั่วขณะนี้ช่วงที่นางพูดจารู้เรื่องยังน้อยยิ่งกว่าช่วงเวลาที่นางเกรี้ยวกราดอาละวาด  บางทีร้องไห้เสียใจอย่างหนักหน่วง  ถัดมาก็หัวเราะพูดคุยกับคนที่ไม่มีอยู่จริง  หลังจากหัวเราะก็คิดฆ่าคน  บางครั้งบ่าวรับใช้ยังพบว่านางพยายามทำร้ายตัวเอง  ไม่ว่าบ่าวรับใช้คนไหนล้วนไม่ต้องการถูกส่งไปที่ตำหนักเบญจมาศ  ขนาดองครักษ์ที่มีหน้าที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักยังอดไม่ได้ต้องจับจ้องมองไปข้างในด้วยความรู้สึกขนหัวลุก

ตอนเหลียนอันสุ่ยได้ยินข่าวสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือด  พึมพำว่า
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”

ดังนั้นสุดท้ายแล้วฉีเซี่ยงหยวนจึงไม่ได้ขุดกระดูกของบุตรชายนางขึ้นมา  เพราะนางไปอยู่ในโลกที่เขาไม่อาจทำร้ายได้อีกแล้ว  หลังจากนี้ที่ทำร้ายนาง...มีแต่ตัวนางเอง

“ท่านตำหนิข้า ? ” ฉีเซี่ยงหยวนถามเหลียนอันสุ่ยขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้มองหน้าเขา  คล้ายจมอยู่ในความคิดของตัวเอง  พึมพำว่า
“ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องราวจะกลับกลายมาเป็นเช่นนี้  ดังนั้นมันมิใช่ความผิดของท่าน” คนสติดีผู้หนึ่งไหนเลยสามารถถูกคำพูดไม่กี่คำคุกคามจนเป็นบ้าได้  เหลียนอันสุ่ยนึกภาพไม่ออกว่าตลอดหลายปีมานี้ความเคียดแค้นกัดกร่อนทำลายนางไปอย่างไรบ้าง 
นิ่งไปพักใหญ่เหลียนอันสุ่ยก็กล่าวขึ้นว่า

“วันนี้ข้าไปเยี่ยมอาจูที่เป็นบ่าวรับใช้ของนางมา  เพิ่งทราบว่าที่แท้องค์หญิงจินผิงมีอาการทางจิตประสาทมาซักพักหนึ่งแล้ว  ...ท่าน...ส่งบ่าวรับใช้คืนให้นางไปเถอะ  นางในตอนนี้ทำร้ายใครไม่ได้อีกแล้ว” บ่าวคนอื่นล้วนไม่เต็มใจจะดูแลนาง  นี่เป็นเรื่องสุดท้ายที่เขาพอจะทำให้นางได้แล้ว

“ตกลง” ฉีเซี่ยงหยวนพยักหน้ารับคำ

ทว่าคำพูดของเหลียนอันสุ่ยผิดพลาดแล้ว องค์หญิงจินผิงยังมีความสามารถที่จะทำร้ายคน !

ในความเงียบของตำหนักเบญจมาศเสียงแหลมสูงดังขึ้นมาอย่างน่ากลัว
“เจ้าเป็นใคร!  หรือว่า...เจ้าก็คือเหวินจี  ใช่แล้ว  เจ้าก็คือเหวินจีที่ข้าฆ่าไป  ทำไมจะตามมาเอาชีวิตข้าหรือ” จบประโยคด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“นายหญิง  ข้าคืออาจู...” คิดก้าวเข้าไปหา แต่องค์หญิงจินผิงกลับถอยหลังตวาดออกมา
“หุบปาก!  เจ้าไม่ใช่อาจู  เจ้าคือเหวินจี  เมื่อวานเจ้าอาฆาตว่าจะมาล้างแค้นข้า  ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก  ตอนเจ้ามีชีวิตข้าฆ่าเจ้าได้  ตอนเจ้าตายกลายเป็นผีข้าก็แค่ฆ่าเจ้าอีกครั้ง” กล่าวจบก็ชักมีดเล่มหนึ่งออกมา
อาจูถึงกับหน้าถอดสีเมื่อเห็นผู้เป็นนายพุ่งเข้ามา  ตะเกียกตะกายหลบหนี  แต่ถูกคว้าตัวไว้มั่น
“นายหญิง  อย่า!” ถัดจากเสียงนี้ก็เป็นเสียงกรีดร้องที่ปนไปกับเสียงคลุ้มคลั่งสะใจขององค์หญิงจินผิง
“ข้าจะฆ่าเจ้า  ฆ่าเจ้าให้ตาย  ฆ่าเจ้าให้ตาย” คมมีดเสียบแทงครั้งแล้วครั้งเล่า  ตอนทหารด้านนอกได้ยินเสียงวิ่งเข้ามาก็สายเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใด
บ่าวผู้ซื่อสัตย์ทำได้เพียงมองนายหญิงของตัวเองด้วยความหวาดกลัวน้ำตานองหน้า  พึมพำด้วยเสียงอ่อนระโหยว่า
“นายหญิง  อย่า  บ่าวคือ...อาจู  บ่าวคือ...” คล้ายกับเสียงอ่อนระโหยนี้ฉุดดึงสติใยสุดท้ายขององค์หญิงจินผิงกลับมา  ดวงตาคลุ้มคลั่งของนางถูกแทนที่ด้วยสีหน้าสับสนทำอะไรไม่ถูก  ก้มลงมองคนที่อยู่ใต้คมมีด
“เจ้าก็คือ...อาจู  ทะ ทำไมเจ้าเลือดออกเยอะอย่างนี้!”

อาจูไม่ได้ตอบ  เพราะนางไม่อาจตอบอีกแล้ว...ชั่วนิรันดร์

‘เคร้ง’ มีดหลุดจากมือ  จ้องมองมือที่เปื้อนเลือดสั่นระริกของตัวเอง  ตัวนางก็สั่นสะท้านเช่นกัน  กรีดร้องว่า
“อาจู  เจ้าจะตายไม่ได้  อาจู  อย่าทิ้งข้าไป  ไม่!” ยกมือปิดหน้าร้องไห้ออกมา  พึมพำซ้ำว่า “ข้าฆ่าเจ้าไปแล้ว  ข้าฆ่าเจ้าไปแล้ว” เงยหน้าเห็นทหารที่อยู่รายรอบองค์หญิงจินผิงก็ถอยกรูด

“พวกเจ้า  พวกเจ้าก็คือทหารของเป่ยชางอ๋อง  พวกเจ้าจะทำร้ายข้า  ไม่  นั่นพวกเจ้า...พวกเจ้าพาใครมา  พวกเขาล้วนเป็นคนตาย  พวกเขาล้วนเป็นคนตาย” ในสายตาขององค์หญิงจินผิงเบื้องหลังทหารเหล่านั้นยังมีเงาของบุคคลที่นางเคยฆ่า  นางกระเสือกกระสนไปด้านหลัง  พึมพำว่า

“อย่าเข้ามา...อย่าเข้ามา” ขดตัวเองอยู่กับพื้นตัวสั่นสะท้าน “ลูกแม่  ช่วยแม่ด้วย  อาจู  ช่วย  ช่วยข้าที  เอาพวกมันออกไป  บอก...บอกให้พวกมันไปคิดบัญชีกับเหลียนอันสุ่ย  ใช่แล้วเป็นเหลียนอันสุ่ยที่ผิด  ข้าไม่ผิด  อย่าเข้ามา...”
 ---------------------
ข่าวการตายของอาจูทำให้เหลียนอันสุ่ยแทบล้มทั้งยืน  ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น  เขาคิด...คิดว่าพวกนางนายบ่าวอยู่กันมาเนิ่นนานไม่สมควรเกิดเรื่องใด  เขาก็แค่หวังดี  แต่ความหวังดีของเขากลับเป็นการทำลายองค์หญิงจินผิงอย่างเลือดเย็น 

เหลียนอันสุ่ยทำได้เพียงมองมือของเขา  มองอยู่นานก็มีมือใหญ่คู่หนึ่งเอื้อมมากุมข้อมือเขาไว้
 “ท่านเหนื่อยแล้ว” เสียงของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าเขาเหนื่อยแล้วจริงๆ  เหนื่อยล้ากับความแค้นและชะตากรรมที่โยงใยกันจนยุ่งเหยิง  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยหลับลงช้าๆ  ในใจทราบดีว่าคนผู้หนึ่งจะอยู่กับเขา 

ท่านเอย  บางครั้งชะตากรรมก็ไม่ยอมปล่อยปละละเว้นคน  บทลงเอยที่ชวนสลดพวกนี้จะไม่มีวันมาถึงเลย  หากพวกเขามิได้ช่วยกันก้าวที่ละก้าว

...ทุกก้าวที่ก้าวไปแล้วไร้เส้นทางหวนคืน
---------------------
ท้องนภากว้างใหญ่ไพศาล  ปัญหาของคนดูแล้วเล็กน้อยจนไม่คู่ควรจะเอ่ยถึง

ดวงตาคู่งามของเหลียนอันสุ่ยมองท้องฟ้ากว้าง  จิตใจกลับค่อยๆสงบลง  ฉีเซี่ยงหยวนบอกว่าเขาชอบคิดมาก  ชอบแบกเรื่องหนักๆเอาไว้กับตัว  บางทีอาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ 

องค์หญิงจินผิงมิใช่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตเขา  แต่กลับเป็นปัญหาที่เวลาเขาหวนคิดแล้วรู้สึกเหนื่อยใจได้มากที่สุดปัญหาหนึ่ง  เขาเข้าใจว่าตัวเองสามารถปล่อยวางได้นานแล้ว...ที่แท้กลับยังคงแบกรับมันอยู่  เหลียนอันสุ่ยทราบว่าเขาจะเป็นเช่นนี้ไม่ได้  เพราะความหม่นหมองของเขาจะทำให้คนอีกผู้หนึ่งพลอยไม่สบายใจเช่นกัน

‘...ท่านเลิกซึมกับเรื่ององค์หญิงจินผิงเสียที  ข้าเห็นแล้วรู้สึกหดห

วันหนึ่งๆฉีเซี่ยงหยวนเผชิญกับปัญหามากมาย  เขาไม่ควรทำตัวเองให้กลายเป็นหนึ่งในปัญหาของอีกฝ่ายไปด้วย
หากเป็นแต่ก่อนปิดบังอิ๋งฮวา  ปิดบังจิ้งเอ๋อ  ทำตัวเป็นปกติก็สามารถผ่านพ้นไป  แต่การเสแสร้งเป็นปกติของเขาไม่อาจปิดบังฉีเซี่ยงหยวนได้แน่  ช่างรับมือยากเสียจริง  ที่แท้เวลามีคนผู้หนึ่งเข้าใจท่านกระจ่างเกินไปก็เป็นเรื่องยุ่งยากชนิดหนึ่ง

มุมปากของเหลียนอันสุ่ยปรากฏรอยยิ้มบางๆ  บางทีข้าควรทำให้ได้อย่างท่าน  เรื่องบางอย่างสมควรวางได้แล้ว  การเข้าไปยุ่งเกี่ยวรังแต่ทำให้ชะตากรรมระหว่างเขากับนางยุ่งเหยิงกว่าเดิม  สานต่อความติดค้างนี้ต่อไปยิ่งทำให้ต่างติดค้างต่างต้องชดใช้  นานแล้วที่เหลียนอันสุ่ยไม่กลัวอะไร  ทว่าชะตากรรมที่ผูกพันระหว่างเขากับองค์หญิงจินผิงทำให้เขากลัวจริงๆ
ทุกอย่างคล้ายกับเป็นเรื่องที่เกินความควบคุม  และคาดเดาไม่ได้

นางแค้นลึกล้ำเกินไป  เขาถอยให้ก้าวแล้วก้าวเล่าก็ยังไม่อาจช่วยเหลือ  ยิ่งทำดีต่อนางกลับยิ่งทำให้นางยิ่งถลำลึกกว่าเดิม  ทำร้ายทั้งนางทำร้ายทั้งตัวเอง  เขาเปลี่ยนแปลงหลันเซียงได้  แต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงนาง  เขาควรจะยอมรับเสียที...

“วันนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยถามอิ๋งฮวาที่ยืนอยู่หน้าห้อง  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยก็อ่อนโยนลง
มีหลายเรื่องที่เขาทำไม่ได้  และมีหลายเรื่องที่เขาทำได้  ...ข้าจะไม่ทำตัวเองเป็นเรื่องน่าเหนื่อยใจของท่าน

“วันนี้นายท่าน...” อิ๋งฮวาพูดไม่ทันจบเสียงอบอุ่นนุ่มนวลก็แทรกเข้ามาก่อน
“ท่านอยากรู้ว่าข้าเป็นอย่างไร  ใยไม่ถามข้าโดยตรงเล่า” เจ้าของเสียงปรากฏตัวที่หน้าประตู  รับเสื้อคลุมเต็มยศที่อีกฝ่ายถอดออกมาพาดไว้กับท่อนแขน
“...” ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบเสื้อคลุมตัวเองจากแขนเหลียนอันสุ่ย  ยัดใส่มืออิ๋งฮวา  คล้ายกับบอกว่างานบ่าวรับใช้ท่านไม่ต้องทำ มือใหญ่กุมมือเรียวให้เดินเข้าไปด้วยกัน

“แม่ทัพหลิวให้คนยกรายงานมาที่นี่ตั้งแต่ก่อนต้าอ๋องจะมาถึง” เหลียนอันสุ่ยพูดพลางพยักปลายคางไปทางโต๊ะทรงงานที่ฉีเซี่ยงหยวนสั่งให้คนเพิ่มเข้ามา  หลิวฉางเฟยมักสามารถจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่ฉีเซี่ยงหยวนจะต้องการใช้ก้าวหนึ่งเสมอ
ห้องหนังสือของเหลียนอันสุ่ยเหลือของไม่มาก  ตอนที่ได้ข่าวว่าท่านลุงจะมาเหลียนอ๋องก็ให้คนจัดการให้ตำหนักดูคล้ายสภาพเดิมมากที่สุด
ฉีเซี่ยงหยวนมองรายงานกองใหญ่  แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวฝั่งตรงข้ามเฉย  ไม่คิดจะเริ่มลงมือจัดการแต่อย่างใด  เหลียนอันสุ่ยมองท่าทีที่แฝงความเหนื่อยล้าและท่าทางเกเรอยากแผลงฤทธิ์ของคนตรงหน้า  รับผ้าชุมน้ำหมาดๆจากมืออิ๋งฮวา  ค่อยๆเช็ดโครงหน้าคมชัดอย่างเอาใจใส่

คนเป็นเป่ยชางอ๋องหัวเราะ
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าทำเองก็ได้” ทว่าพอเหลียนอันสุ่ยทำท่าจะชักมือกลับไป  ฉีเซี่ยงหยวนก็เกิดเปลี่ยนใจคว้ามืออีกฝ่ายไว้เสียก่อน  กล่าวว่า “ให้ท่านทำให้ดีกว่า”
คล้ายกับมีเสียง ‘ฮึ’ เบาๆดังมาจากอิ๋งฮวาที่ล่าถอยออกไป  แน่นอนว่าฉีเซี่ยงหยวนหาใส่ใจไม่  เรื่องความหน้าหนานี้เขาฝึกฝนมาจนช่ำชอง

เช็ดจนเรียบร้อยเหลียนอันสุ่ยก็บอกบุรุษที่หลับตาพริ้มตรงหน้าว่า
“เสร็จแล้ว  สดชื่นขึ้นแล้วก็ทำงานของท่านเถอะ”
“ข้านึกว่าท่านจะช่วยข้าผ่อนคลายมากกว่านี้...” มือใหญ่เอื้อมมาคิดจะคว้าตัวอีกฝ่าย  แต่เหลียนอันสุ่ยชิงเบี่ยงตัวหลบ หันหลังเดินเอาผ้าไปพาดไว้ที่ขอบอ่าง

ดวงตาคมของฉีเซี่ยงหยวนกวาดมองตามร่างสูงโปร่งคล้ายกำลังรอให้อีกฝ่ายเดินกลับมาเอง  และก็คล้ายกำลังพิจารณาท่าทีว่าสภาพเป็นปกตินี้ใช่เกิดจากการเสแสร้งแกล้งทำขึ้นหรือไม่

ทว่าเหลียนอันสุ่ยไม่สนใจเขา  พาดผ้าเสร็จก็เดินต่อไปที่โต๊ะอ่านหนังสือของตัวเอง  นั่งลงหยิบม้วนหนังสือที่เลือกไว้มาคลี่กาง
“นี่มันลายมือท่านนี่” เสียงทุ้มดังใกล้ตัวทำให้เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้น  เห็นร่างสูงใหญ่ไม่ทราบมายืนใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดจ้องตัวหนังสือที่เขาอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์

“นี่เป็นบันทึกเก่าที่ข้าเคยจดสมัยเริ่มศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรที่มีกลิ่น” เหลียนอันสุ่ยอธิบาย  อดรู้สึกไม่ได้ว่าฝีเท้าอีกฝ่ายช่างแผ่วเบาอย่างยิ่ง  หากฉีเซี่ยงหยวนคิดฆ่าเขา  คมมีดคงถึงตัวก่อนกระมังจึงจะรู้สึก
“เดี๋ยวนี้ท่านไม่ฝึกยิงธนูแล้ว?” คนบางคนยังไม่เลิกทำตัวขี้สงสัย
“ข้าฝึกไปแล้วเมื่อเช้า  ต้าอ๋อง  งานของท่านก็ไม่น้อยสนใจงานของท่านก่อนเถอะ” กล่าวจบก็ก้มหน้าลงสนใจบันทึกของตัวเองต่อ
ดวงตาคมเลื่อนจากอักษรมาที่คน  เหลียนอันสุ่ยดูปกติยิ่ง  มิได้ดูหม่นหมองคิดมากอีก  ท่านเป็นเช่นนี้ข้าก็วางใจ 
สำหรับฉีเซี่ยงหยวนเรื่องขององค์หญิงจินผิงเป็นผลสะท้อนที่น่ากลัวเรื่องหนึ่ง  นางติดค้างเหลียนอันสุ่ยมากเกินไป  ช่วงชิงเอาจากเขาไปมากเกินไป  ทำให้แม้เหลียนอันสุ่ยจะส่งอาจูไปให้ด้วยความหวังดี  เมื่อไปถึงมือนางผลจงกลับกลายเป็นเลวร้าย  ฉีเซี่ยงหยวนถึงกับมีลางสังหรณ์ว่าถึงแม้เขาจะไม่สอดมือเข้ามานางยังคงต้องชดใช้ให้กับเหลียนอันสุ่ยอยู่ดี  บางครั้งชะตากรรมกลับมีความยุติธรรมในแบบของมันเอง

มือใหญ่ไล้ช้าๆไปตามเส้นผมละเอียดที่อีกฝ่ายปล่อยลงมา 
ตอนแรกคล้ายจะจัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิงให้  แต่ผ่านไปซักพักกลับไม่ยอมละจากไป  เดือดร้อนเหลียนอันสุ่ยต้องเอียงศีรษะหนี  กล่าวว่า
“ต้าอ๋อง  ผมท่านเองก็ยาว...”
“ตอนนี้ข้ามัดขึ้นทั้งหมด” อีกอย่างผมของท่านนุ่มกว่าของข้า  ฉีเซี่ยงหยวนพูดต่ออย่างใจกว้างว่า “เอาไว้ท่านอยากเล่นผมข้าบ้างก็ได้นะ  ข้าไม่ถือสา”
แต่ข้าถือสา  ท่านเล่นผมข้าแบบนี้ข้าอ่านหนังสือไม่ได้ !

------------------
คนแต่งเชื่อว่าคนที่ทำร้ายผู้อื่นมากๆสุดท้ายที่ทำร้ายต้องเป็นตัวเขาเอง 
อาภรณ์ที่สวมใส่ไม่สบายที่สุดในโลกคืออาภรณ์ที่เรียกความเคียดแค้นเกลียดชัง 
สองสัปดาห์หน้าคนแต่งไม่อยู่คงไม่ได้มาอัพให้นะคะ 
ปล.ข่าวเรื่องรวมเล่มจะแจ้งหลังแต่งจบแต่ชัวร์ว่ามีรวมเล่มแน่ๆค่ะ

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 77.......................................02/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 02-03-2015 22:22:12
ต้าอ๋องนี่เป็นคนที่รับมือด้วยยากจริงๆ  :katai2-1:

รอรวมเล่มนะคะ ชอบมาก
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 77.......................................02/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-03-2015 22:42:32
ต้าอ๋องนี่ มีบทจะเด็ก ก็เด็กจริงๆ เลยน๊า
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 77.......................................02/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 04-03-2015 21:54:33
รอรวมเล่ม ๆ  :man1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 77.......................................02/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 07-03-2015 08:38:43
อ่านคนเขียนทอร์คแล้ว ไม่อยากอ่านเรื่องของอวี้เฉียนเลยอ่ะ คือเราแซดแน่ๆ ตายตั้งกะไม่มีบทพูด แถมชีวิตชีวิตรักก็ร้าวรันทดอีก :ling1:
องค์หญิงจินผิง นี่เรียกกรรมสนองเลยแฮะ ทำร้ายคนอื่นไว้เยอะ จิตใจดำมืดเพราะความแค้น ทุกอย่างเข้าตัวหมด
ส่วนท่านเป่ยชางอ๋อง นี่ไม่หลงใหลถอนตัวไม่ขึ้นแล้วจะให้เรียกอะไร กะเหลียนเหลียนนี่ มันช่าง ช่าง ช่างก๊าวววววววว นิดๆหน่อยๆ ตลอดดดดด  :hao3: ชอบตอนโมเม้นเช็ดหน้ามาก อ่านแล้วจิกหมอน 5555
 
ปอลิง แอบขอร้องแบบเอาแต่ใจนิดๆ อยากให้คนเขียนหาหนุ่มให้อิ๋งฮวาหน่อยสิคะ อยากเห็นแม่สาวห้าวคนนี้มีโมเม้นมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งเขินอายบ้างอ่ะ คงน่ารักน่าดู :hao7:

ให้คนเขียน :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 77.......................................02/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: manutty ที่ 07-03-2015 10:27:17
ก็น่าสงสารและเห็นใจองค์หญิงจินผิงนะ แต่นางก็ทำตัวเองและทำร้ายคนอื่นด้วยโดยเฉพาะอดีตภรรยาของเหลียนเหลียน นางก็สมควรรับกรรมที่ทำไว้ สงสารคนรับใช้ต้องมาตายเพราะน้ำมือนาย :hao5:  แต่ยังดีมีบทฟุ้งฟิ้งมาให้มุ้งมิ้งเลยลืมดราม่าไปเลย ต้าอ๋องนี่เด็กจริงๆเรียกร้องความสนใจจากเหลียนเหลียนทุกอย่าง อิจฉากระทั่งหนังสือที่อ่านเลยไปลงกับผมเหลียนเหลียนซะจนอ่านไม่ได้เลย  :laugh:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 77.......................................02/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: monster_narak ที่ 07-03-2015 10:53:04
น่ารักกกกกมากกตอนเล่นผม

เหลียนๆนี่มุ้งมิ้งกะพ่อต้าอ๋องจิงจิงงงง

อ่านแล้วก็กระชุ่มกระชวย ขอให้สองคนนี้อยุ่ด้วยกันจนแก่เลยนะคะ

รอรวมเล่มค่ะ

ภาษาสวยน่าเกบมาก
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 77.......................................02/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 08-03-2015 20:34:33
เข้ามาตามอ่านด้วยคนค่ะ
ใช้เวลาสองวันเต็มกวาจะตามทัน
เรื่องสนุกมากๆ คนเขียนทำการบ้านมาดีจริงๆค่ะ ข้อนี้ต้องยอมรับ
ทั้งการผูกเรื่อง และการบรรยาย
การดึงตัวตน บุคลิกและนิสัยของตัวละครแต่ละตัวให้ออกมาเด่นชัด
และยึดโยงคาแร็คเตอร์นั้นให้อยู่มาได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง จนถึงตอนนี้ถือว่าเก่งมากจริงๆ
ตัวละครมีการพัฒนาอย่างคอยเป็นค่อยไป แต่สะท้อนห้วงความคิดและอารมณ์ในแต่ละตอนชัดเจน
ไหนจะแทรกมุกตลกๆ ให้อมยิ้มกันไป พอถึงบทโศกนี่ก็ยอมรับเลยว่ากลั้นน้ำตาไม่อยู่จริงๆ
ทรมานแทนทั้งสองคน  คนเขียนเก่งมากค่ะ ยอมรับเลย แล้วยิ่งเท่าที่เห็นคนเขียนเป็นวัยใกล้เคียงกับเราแล้วยิ่งแบบ ว่า
เห้ย คือดีงามมากอะ 55555555

ขอบคุณคนเขียนมากจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 77.......................................02/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: BBnuna ที่ 19-03-2015 12:36:49
ชอบมาก อ่านไปแล้วสองรอบ :z2: 555 ติดตามอยู่เสมอน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 78
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 21-03-2015 21:36:49
บทที่ 78 รอยประทับ

ความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดแข็งแกร่งแค่ไหน  ความผูกพันในวัยเยาว์ยั่งยืนเพียงใด  เกรงว่ามีเพียงกาลเวลาที่ตอบได้
กลิ่นหอมสะอาดของแดดยืนยันตัวตนของฤดูร้อน  ชายเสื้อของบุรุษที่อายุแตกต่างกันมากคู่หนึ่งถูกลมพัดปลิวขึ้นเบาๆ

“ท่านลุงไปอยู่แคว้นเป่ยชางเสียหลายปี  สุขภาพในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มพลางตอบว่า
“ก็ยังดีอยู่  เหลียนอ๋องเล่า”
“ข้าเองก็เช่นกัน”
หลังจากนั้นเป็นความเงียบที่ทอดยาวดุจเงาแดด  คล้ายต่างฝ่ายต่างไม่ทราบว่าสมควรพูดอันใดต่อ  ช่วงเวลาหกปีสร้างระยะห่างขึ้นมาในความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันด้วยสายเลือด
 “เขาเป็นคนอย่างไร”
เสียงรำพึงเบาๆของหลานชายทำให้เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมา  ก็พอดีได้ยินเหลียนอ๋องขยายประโยคว่า
“ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชาง  ข้าได้ยินว่าท่านลุงสนิทสนมกับเขา  เขาเป็นคนอย่างไร”
ขบคิดอยู่พักหนึ่งเหลียนอันสุ่ยก็ตอบว่า
“...เขาเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองคนหนึ่ง”
“คนเชื่อมั่นในตัวเองมักมีจุดอ่อนอยู่ที่ความทระนงตัว  เขาใช่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์นี้หรือไม่”
   คำรำพึงนี้ทำให้เหลียนอันสุ่ยมองหลานชายของตัวเองเต็มตา  ความไม่สบายใจอย่างหนึ่งกลับค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างแช่มช้า
“เกิดเป็นคนย่อมต้องมีจุดอ่อน  ใต้หล้านี้ไม่มีใครไม่มีจุดอ่อน” น้ำเสียงสงบราบเรียบ แต่คนฟังกลับมีความรู้สึกเหมือนน้ำเสียงของท่านลุงหยั่งลึกลงในใจเขา 
“บางคราวข้าก็สงสัย  ว่าคนที่มีอำนาจถึงขั้นกุมทุกอย่างไว้ในกำมือ คนแบบนั้นจะมีจุดอ่อนจริงหรือ

ถามถึงสองครั้งแล้ว  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายต้องการบางอย่างจากเขา  คล้ายกับกำลังหยั่งเชิง  และคล้ายกับกำลังพยายามยืนยันให้แน่ใจ  ...กาลเวลาเปลี่ยนแปลงผู้คนเสมอ  อีกฝ่ายไม่ได้เชื่อถือเขาอย่างสนิทใจดั่งเช่นในวันวานอีกแล้ว

เห็นคู่สนทนาไม่ตอบคำ  เหลียนอ๋องจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ถือเป็นจริงเป็นจังว่า
“ดูเหมือนข้าจะทำให้ท่านลุงลำบากใจ  เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงมันเถอะ  ข้าเพียงแค่รู้สึกว่ารู้จักเขาไว้จะเป็นประโยชน์ต่อแคว้นเหลียนมากทีเดียว”
“...ข้าบอกได้แค่ว่าจุดอ่อนของเขาไม่แน่ว่าจะเป็นจุดอ่อน  ในจุดอ่อนของคนมักจะมีจุดแข็งรวมอยู่ด้วย” ฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนมีน้ำใจ  แต่ความมีน้ำใจของเขาจะนับว่าเป็นจุดอ่อนมันก็เป็นจุดอ่อน  แต่มันกลับเป็นหนึ่งในจุดแข็งที่สุดของเขาที่ทำให้เขาเข้าใจธรรมชาติของคน 
คำตอบนี้ของเหลียนอันสุ่ยแฝงความหมายเตือนสติไว้ชัดเจน  คนบางคนมีจุดอ่อนจริงอยู่  แต่ไม่ใช่ทุกคนมีคุณสมบัติเล่นงานจุดอ่อนของเขาได้  ยิ่งอย่าได้หลงลืมเด็ดขาดว่าตัวเองก็มีจุดอ่อนอยู่เช่นกัน

เหลียนอ๋องเปลี่ยนเรื่องด้วยคำพูดราบเรียบธรรมดาประโยคหนึ่ง
“ข้าได้ยินมาว่า  หลายวันมานี้เขามีไปค้างที่ตำหนักท่าน”
“...!? ”
ชะงักไปพักใหญ่  เหลียนอันสุ่ยมิได้กล่าวอะไรอีก
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฉีเซี่ยงหยวนดำเนินมาหลายปี  เป็นความลับที่ผู้คนไม่กล้าเอ่ยปาก  แต่กลับมิใช่ไม่รู้  อีกฝ่ายถามเช่นนี้ย่อมต้องมีความมั่นใจที่ไม่ว่าจะกลบเกลื่อนอย่างไรก็เป็นเพียงการถ่างความคลางแคลงระหว่างพวกเขาลุงหลานให้กว้างยิ่งขึ้น

เห็นเหลียนอันสุ่ยไม่ปฏิเสธมุมปากของเหลียนอ๋องคล้ายกับมีรอยยิ้ม  แต่ตัวเขากลับไม่แน่ว่าปีติยินดี  มันคล้ายกับเป็นเพียงรอยยิ้มที่ช่วยให้คนรับปากคำขอของเขาง่ายดายขึ้น
“ท่านลุง  ถือว่าหลานขอความช่วยเหลือจากท่าน  ข่าวสารที่แคว้นเป่ยชางหากมีเรื่องใดที่เกี่ยวกับแคว้นเหลียนหลานยังคงหวังให้ท่านลุงช่วยดูแลติดต่อมาบ้าง”

“อย่าได้เข้าใจว่าสถานะของข้ามีอิสระมากมาย  ผู้ติดตามของข้าทุกคนล้วนเป็นคนของแคว้นเป่ยชาง  การที่จะให้ข้าส่งข่าวออกไปเป็นการเอาแคว้นเหลียนมาวางไว้ในความเสี่ยง  ตอนนี้แคว้นเหลียนกับแคว้นเป่ยชางสามารถอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลสันติ  ใยต้องทำลายความสงบที่ได้มาไม่ง่ายดายนี้ด้วย”

“นั่นสินะ  ไม่เช่นนั้นท่านลุงคงวางตัวลำบาก”
เหลียนอันสุ่ยกลับยิ้มบางๆ กล่าวว่า
“ก็อาจจะใช่หรืออาจจะไม่  สถานะของข้าที่แคว้นเป่ยชางมีเพียงสถานะเดียวนั่นคือพระมาตุลาแคว้นเหลียน”

คำว่า ‘พระมาตุลาแคว้นเหลียน’ ทำให้เหลียนอ๋องชะงักไป  ได้ยินเหลียนอันสุ่ยพูดต่อว่า
“หงเอ๋อ  เจ้าเป็นเหลียนอ๋องที่ดี  ตอนนี้แคว้นหนานเหมินกำลังเสื่อมอำนาจ  อีกไม่นานสามแคว้นจะลุกเป็นไฟ  อย่าเอาแคว้นเหลียนลงไปพัวพันกับปลักน้ำปลักนี้  ข้าขอร้องเจ้า  เพราะข้าคนเดียวไม่อาจช่วยแคว้นเหลียนขึ้นมาจากปลักน้ำปลักนี้ได้”

‘หงเอ๋อ’ คำเรียกหาในวัยเยาว์ทำให้ภายในใจของเหลียนอ๋องปรากฏความละอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  ทั้งๆที่คนที่ทำเรื่องน่าละอายคือท่านลุง  ใยคนรู้สึกละอายกลับกลายมาเป็นตัวเขา

ขณะกำลังสับสนก็ได้ยินเสียงอบอุ่นนุ่มนวลกล่าวต่อ
“เราต่างพยายามหาหนทางที่ดีที่สุดให้แคว้นเหลียน  เชื่อข้าเถอะ  อย่าเป็นศัตรูกับฉีเซี่ยงหยวน  คนผู้นี้เป็นหนึ่งในคนที่ไม่น่าเป็นศัตรูด้วยที่สุด  ตอนที่เขาช่วงชิงบัลลังก์เป่ยชาง  ตอนที่เขายกทัพบุกแคว้นหนานเหมิน ข้าก็อยู่ที่นั่นด้วย  เป็นศัตรูกับเขาได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน แคว้นใหญ่ทำสงครามไม่ว่าผู้ใดก็ต้องเลือกข้าง  ประการสำคัญคือเลือกอยู่ให้ถูกที่”

แม้แคว้นเหลียนจะเคยพ่ายแพ้แก่แคว้นเป่ยชาง  ทว่าหลังจากนี้แคว้นเหลียนจะไม่พ่ายแพ้ต่อผู้ใดอีก  เพราะมือที่กุมแคว้นเหลียนจะเป็นมือที่สามแคว้นใหญ่ล้วนต้องศิโรราบ  นี่เป็นเดิมพันที่ข้าวางไว้นานปี

หงเอ๋อ  อย่าทำลายความหวังดีนี้ของข้าเลย
 ---------------------
สำหรับเหลียนอ๋องพฤติกรรมของท่านลุงไม่น่าชื่นชมแม้แต่น้อย  คิดไม่ถึงว่าบุรุษที่เขาเคารพยกย่องแต่เยาว์วัยกลับเอาศักดิ์ศรีของแคว้นเหลียนและศักดิ์ศรีของตัวเองไปให้ผู้อื่นเหยียบย่ำง่ายๆ  ท่านลุงทรยศต่อความเชื่อถือของเขา  คำพูดหลังจากนั้นของอีกฝ่ายจึงยากจะเชื่อว่าไม่มีเจตนาใดแอบแฝง
น่าแปลกที่คำหลวกลวงที่สวยงามแต่เปลือกกลับฟังดูจริงใจได้ถึงเพียงนั้น

ขณะขบคิดก็เห็นเงาของลูกพี่ลูกน้องเดินสวนมา
“เหลียนอ๋อง  ท่านมาเข้าเฝ้าต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางหรือ” เหลียนจิ้งเต๋อประสานมือทักแต่ไกล  จนแล้วจนรอดก็ไม่ยอมกลับไปใช้คำเรียกหาว่า ‘พ่อบุญธรรม’ อีก
เหลียนอ๋องผงกศีรษะกล่าวว่า
“ใช่”
“เขาเดินหมากกับท่านพ่ออยู่  แต่ท่านจะเข้าไปก็คงได้  ข้าไปก่อนล่ะ” พูดจบก็ก้าวจากไปอย่างกระฉับกระเฉงราวกับลมหอบหนึ่ง

เหลียนอ๋องมองตามไป  น่าขำยิ่ง  โชคชะตาช่างพลิกกลับอย่างโหดร้าย  ดูแค่เปลือกคำเรียกหาว่า ‘เหลียนอ๋อง’ นี้ฟังดูไม่เลว  แต่เหลียนอ๋องทราบดีว่าตัวเขาเป็นฝ่ายที่ต้องเกรงอกเกรงใจต่อเหลียนจิ้งเต๋อ  เพราะลูกพี่ลูกน้องคนนี้เป็นถึงลูกบุญธรรมของเป่ยชางอ๋อง  แค่ลูกบุญธรรมของเป่ยชางอ๋องก็มีศักดิ์ฐานะเหนือล้ำกว่าเขาแล้ว
---------------------
รัตติกาลสีดำสนิท  เมฆาสีขาวสะอาด  หมากที่โรมรันในแต่ละช่องราวกับวาดเอาจักรวาลใส่ไว้ในความสามัญธรรมดา  เรียบง่ายและลึกล้ำ  จดจ่อและปลอดโปร่งงามสง่า
ตัวเก๋งตั้งอยู่ในสวนที่ร่มรื่นสงบผ่อนคลาย  เหล่าข้ารับใช้ยืนรอรับใช้อยู่ด้านนอกอย่างนอบน้อม

ตอนที่บ่าวรับใช้เข้ามารายงานว่าเหลียนอ๋องขอเข้าเฝ้าพอดีเป็นตาของฉีเซี่ยงหยวน  บุรุษที่มีศักดิ์ฐานะเหนือใครคีบเม็ดหมากไว้ด้วยปลายนิ้วพลางกล่าวว่า
“ให้เขาเข้ามา” ดวงตาคมกริบยังคงมองกระดานหมากอย่างใคร่ครวญ  สุดท้ายเลือกตำแหน่งวางลงไป
ปลายนิ้วเรียวยาวของเหลียนอันสุ่ยมีเม็ดหมากอยู่เช่นกัน  ขบคิดเล็กน้อยก็วางหมากอย่างระมัดระวัง  จังหวะที่เหลียนอันสุ่ยวางหมากนี้พอดีเป็นช่วงเดียวกับที่เหลียนอ๋องก้าวเข้ามา
เหลียนอันสุ่ยเห็นเหลียนอ๋องมาถึงก็ยืนขึ้น  เหลียนอ๋องคงคิดมาสนทนาเรื่องบ้านเมือง  เขาอยู่ที่นี่ต่อไม่เหมาะนัก

“นั่นก็หลานชายท่าน  หมากก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ  ท่านจะนั่งต่ออีกหน่อยก็หาเป็นไรไม่” เสียงทุ้มของฉีเซี่ยงหยวนเรียกรั้งเอาไว้
ดวงตาคู่งามสบกับดวงตาคมกริบ  มุมปากของเหลียนอันสุ่ยยังคงประดับรอยยิ้มบางๆขณะส่ายหน้าช้าๆ

เห็นแววตาเช่นนี้ฉีเซี่ยงหยวนก็ทราบว่าอีกฝ่ายตกลงใจจะไม่อยู่ฟัง  เหลียนอันสุ่ยมักมีวิธีหลีกเลี่ยงการพัวพันในแบบของเขาเอง  จึงไม่ได้เรียกรั้งไว้อีก
   เหลียนอันสุ่ยค้อมหัวให้ฉีเซี่ยงหยวน  ออกมาถึงด้านนอกก็ค้อมหัวให้เหลียนอ๋อง  จากนั้นร่างสูงโปร่งค่อยก้าวจากไป

เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของเหลียนอ๋อง  ทราบดีว่าท่านลุงจงใจแสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยุ่งเรื่องระหว่างเขากับฉีเซี่ยงหยวน  ไม่คิดคั่นกลางระหว่างสองแคว้น  นับเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด  คิดพลางนั่งลงตามการผายมือเชื้อเชิญจากเป่ยชางอ๋อง
เมื่อนั่งลงสายตาพอดีกวาดไปเห็นหมากหนึ่งกระดานตรงหน้า  เหลียนอ๋องถึงกับเหม่อลอยไปชั่วขณะ  สมัยก่อนเขาคุ้นชินกับฝีมือการเดินหมากของท่านลุงเป็นอย่างดีเพราะท่านลุงเป็นคนสอนศาสตร์ด้านนี้ให้กับเขา  เห็นได้ชัดว่าคู่มือคราวนี้ก็เข้าใจวิธีการเดินหมากของท่านลุงเป็นอย่างดีจึงชิงดักทุกทาง  หมากกระดานนี้ไม่มีผู้ใดได้เปรียบเสียเปรียบ  พัวพันกันอย่างสูสี  แต่กลับสะท้อนคนสองคนที่เข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง

เรื่องของฉีเซี่ยงหยวนที่ท่านลุงไม่พูดถึงไม่ใช่ไม่รู้  แต่เป็นไม่ยอมตอบ

การสบตาเกิดขึ้นชั่วขณะเดียว  แต่เหลียนอ๋องทันเห็นการสื่อสารโดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดในชั่วขณะเดียวนั้น...แค่มองตาก็รู้ใจ  ความเข้าใจทั้งหมดพลันพลิกกลับโดยสิ้นเชิง

ท่านลุงไม่ได้มอบตัวเองให้เป่ยชางอ๋องเพื่อความอยู่รอดหรือหวังประจบเอาใจ  แต่เป็นเพราะสาเหตุอื่นที่ผิดยิ่งกว่านั้นอีก คนรู้ใจอย่างนั้นหรือ  คนที่เข้าใจยากอย่างฉีเซี่ยงหยวนมีคนรู้ใจด้วยหรือ  เหลียนอ๋องรู้สึกว่าเขากำลังคิดเรื่องเหลวไหล  แต่ทราบแล้วว่าที่ท่านลุงไม่ยอมพูดถึงจุดอ่อนของเป่ยชางอ๋องหนึ่งคือเพื่อปกป้องบุรุษผู้นั้น  สองอาจจะเป็น...เพื่อกดความทะเยอทะยานของเขา
ท่านลุงมองออกว่าในใจเขามีความคิดหนึ่งแตกรากอยู่

พักหลังๆมานี้คนรอบตัวเขามักมากระซิบหวังให้เขาฟื้นฟูแคว้นเหลียนให้กลับมาอีกครา  ใจเขาเองเห็นว่าเรื่องนี้มิใช่กระทำไม่ได้  แต่คำพูดของท่านลุงกลับมีเหตุผล  หากมีสงครามจริงแคว้นเหลียนก็ต้องเลือกข้าง  ใจของท่านลุงยังตัดแคว้นเหลียนไม่ขาด  ดังนั้นคำพูดนี้ต่อให้มีจุดประสงค์แอบแฝงก็ไม่มีทางหวังร้ายต่อแคว้นเหลียน  บางทีหากจะลองใคร่ครวญดูก็คงไม่เสียหายอะไร

คนเราขบคิดต่างๆนานา  ผู้คนเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง  อดีตกลับยังคงอยู่ตรงนั้นชั่วนิรันดร์
 
วันนี้ที่แห่งนี้มีเป่ยชางอ๋องสนทนาเรื่องบ้านเมือง  วันวานที่แห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ 
เด็กน้อยคนหนึ่ง  บิดาที่อ่อนโยนคนหนึ่ง  บิดาบุญธรรมที่ไม่ได้รับเชิญอีกคนหนึ่ง

เด็กน้อยโตเป็นผู้ใหญ่  องค์ชายสี่กลายเป็นเป่ยชางอ๋อง 
สูงศักดิ์เป็นต้อยต่ำ  ต่ำต้อยเป็นสูงส่ง  ความใกล้ชิดเป็นคลางแคลง  ความห่างเหินเป็นสนิทสนม 

สิ่งที่ยั่งยืนที่สุดเกรงว่าเป็นรอยประทับที่แนบสนิทอยู่ในหัวใจ
---------------------
เพียงแต่บางรอยประทับกลับเจือจางจนเลือนรางยิ่ง

เหลียนอันสุ่ยกลับมาจากการไปเยือนสุสานราชวงศ์เพื่อบอกลาน้องสาวก็เห็นบ่าวรับใช้วุ่นวายอยู่กับการลำเลียงหีบเสื้อผ้า  ในผู้คนที่เดินสวนไปมาไม่หยุดมีร่างของเหลียนจิ้งเต๋อยืนอยู่ไม่ไกล  เมื่อควานหาร่างบุตรชายจนเจอเหลียนอันสุ่ยก็ตรงเดินเข้าไปหา  พลางถามว่า
“เจ้าไปบอกลาท่านแม่แล้วหรือยัง”
เหลียนจิ้งเต๋อพยักหน้า  พอบิดาเดินเข้ามาใกล้อีกหน่อยก็กล่าวด้วยสีหน้ากังวลว่า
“ท่านพ่อ ข้าอกตัญญูใช่หรือไม่  ข้า...ข้านึกหน้าท่านแม่ไม่ค่อยออก”

เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วกลับมีรอยยิ้มไม่ถือสา  ยีหัวลูกชายที่สูงเลยบ่าเขาแล้ว  กล่าวว่า
“นางตายไปตั้งแต่เจ้ายังไม่สองขวบดีจะไปจำได้ได้อย่างไร  จำได้แค่ว่านางเป็นผู้หญิงที่ดีมากและรักเจ้ามากก็พอแล้ว” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยอ่อนโยนนัก  แต่เมื่อมันกระทบโสตประสาทของฉีเซี่ยงหยวนกลับให้ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

‘เป็นคนดีมาก’ คำๆนี้เหลียนอันสุ่ยไม่มีทางใช้เพื่อบรรยายเขาเด็ดขาด  เหวินจีอายุสั้นเกินไป  ไม่อย่างนั้นครอบครัวนี้จะต้องเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมครอบครัวหนึ่ง 

เทียบกับความเรียบง่ายของแคว้นเป่ยชาง  แคว้นเหลียนช่างเต็มไปด้วยความวิจิตรงดงามที่ชวนตื่นตา  ราวกับทุกรอยจำจะถูกสลักเสลาเอาไว้อย่างประณีตบรรจง   ที่นี่เต็มไปด้วยอดีตของเขากับเหลียนอันสุ่ย  และแน่นอนว่าที่นี่มีอดีตของเหลียนอันสุ่ยกับคนอื่นที่กินความยาวมากกว่าอดีตในช่วงของเขา
   ---------------------
นอกทางสายหลักที่ตัดตรงไว้เดินทางไปมาหาสู่  สีเขียวขจีตัดกับสีน้ำตาลของผืนดิน
 เป็นดั่งตัวแทนของชีวิตที่งอกงามมาจากรากฐานอันมั่นคง  ลมหายใจแห่งผืนพิภพเป่ารดยอดหญ้าจนไหวเอน

ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยมองเงาร่างคึกคักกระปรี้กระเปร่าของเหลียนจิ้งเต๋อที่โลดแล่นไปทางนู้นทีทางนี้ที  สีหน้าพลันปรากฏรอยยิ้ม  เหลียนจิ้งเต๋อเติบโตที่แคว้นเป่ยชางจึงซึมซับฝีมือในการควบขี่ม้าของชาวเป่ยชางมาด้วย ตัวเขาในวัยเดียวกันไม่แน่ว่าจะคล่องแคล่วได้ขนาดนี้  คิดพลางลูบแผงคอสีน้ำตาลของม้าตัวเอง

“มันอายุเท่าไหร่แล้ว” เสียงทุ้มของคนข้างกายถามเบาๆ
“สิบสองปี  ...คิดไปก็ใจหายจำได้ว่าตอนที่มันอายุไม่ถึงห้าขวบ ฟันยังขึ้นไม่ครบดี  ข้าก็เริ่มฝึกมันแล้ว  นอกจากจิ้งเอ๋อ  นี่เป็นเด็กอีกคนที่ข้าเลี้ยงขึ้นมากับมือ”
“เด็กดีเสียด้วย  ไม่เหมือนม้าจอมดื้อแถวๆนี้”ดูเหมือนร้อยราตรีจะฟังคำพูดของฉีเซี่ยงหยวนไม่ออก  จึงยังเฉยเสีย  ฉีเซี่ยงหยวนเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า
“ท่านจำได้หรือไม่  ที่นี่เป็นที่ที่เราขี่ม้าด้วยกันครั้งแรก”
“ย่อมต้องจำได้” ตอบขณะมองร่างสูงใหญ่ขยับขึ้นหลังม้า  คนเป่ยชางเวลาปีนขึ้นปีนลงจากหลังม้า  หรือแม้แต่เวลาควบขี่  มักให้ความรู้สึกราวกับม้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา  มันเป็นความสอดคล้องที่แปลกดี  เหลียนอันสุ่ยมองได้ไม่รู้เบื่อ

ฉีเซี่ยงหยวนขึ้นม้าเรียบร้อยก็เอ่ยปากชวน
“ไปทางนี้เป็นแม่น้ำเหอสุ่ย  ครั้งที่แล้วไปไม่ถึงต้นน้ำ  ท่านเคยบอกว่าต้นสุดของแม่น้ำสายนี้มีดอกบัวป่าใช่หรือไม่  นี่หน้าร้อนพอดีดอกบัวกำลังบาน  ไปดูกันเถอะ”
เหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้วกล่าวว่า
“นี่ต้องขี่อีกไกลทีเดียว...”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะกล่าวว่า
“เส้นทางยาวไกลกว่านี้ก็หาเป็นไรไม่  แค่ท่านไปด้วยกันกับข้าก็พอ” กระตุ้นม้าเบาๆม้าสีดำสนิทก็ล้ำไปข้างหน้า  เหลียนอันสุ่ยมองตามไป  บนเรียวปากและในแววตามีรอยยิ้มน้อยๆ  มือกระตุกบังเหียนม้า
...ไม่ว่าเส้นทางที่ท่านเลือกจะเป็นเส้นทางไหน  ข้าก็ไปกับท่านอยู่แล้ว...
---------------------
สายลมโชยปะทะหน้า  เส้นผมปลิวไปด้านหลัง  ต้นไม้ตามรายทางถอยห่างออกไปทีละต้น 
ทางที่ไปทั้งแลดูคุ้นเคยและแลดูแปลกหน้า  สำหรับฉีเซี่ยงหยวนมันทำให้เขาคิดถึงอดีต 
น่าแปลกที่กระแสเวลากลับเชี่ยวกรากถึงเพียงนี้  วูบเดียวผ่านพ้นไปไกล  วูบเดียวพลิกทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

หกปีที่แล้วเขายังไม่มีคนที่อยากอยู่ร่วมชั่วชีวิต  แต่หกปีให้หลังเขามีแล้ว 
หกปีที่แล้วเขากับเหลียนอันสุ่ยยังไม่ได้เป็นคนรักกัน  ม้าที่ขี่เป็นตัวเดิม  แต่ความรู้สึกของคนบนหลังม้าแตกต่างกันสุดประมาณ 

ถนนที่ทอดยาวย่อมต้องมีจุดเริ่มต้นของเส้นทาง  การมาแคว้นเหลียนหมุนกงล้อย้อนกลับไปยังต้นทางแรกสุดที่ชะตาระหว่างเขากับเหลียนอันสุ่ยพาดทับซ้อนกัน
ทบทวนดูแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นมีแต่สิ่งที่ไม่น่าจดจำ  แม้มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของความทรงจำดีๆ  แต่มันกลับไม่น่าจดจำแม้แต่น้อย  หากจะถามฉีเซี่ยงหยวนนี่นับเป็นเรื่องผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเขา  และความผิดพลาดนี้ก็ไม่มีที่ให้เขาได้แก้ตัว

‘...คนที่ทำให้มันเป็นไปตามที่ข้าจัดฉากมิใช่ยืนอยู่ตรงหน้าข้านี่หรือไร  เจ้าเองก็ช่วยข้าทำลายเขา...’

บางรอยประทับลึกล้ำเกินไป  เกินกว่าจะแปรเปลี่ยน  เกินกว่าจะลบเลือน
องค์หญิงจินผิงทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก  แต่คำพูดนี้ของนางกลับไม่ผิดเลย  ยิ่งเห็นรอยยิ้มของเหลียนอันสุ่ย  ยิ่งขับเน้นช่วงเวลาที่เหลียนอันสุ่ยต้องใช้รอยยิ้มฝืนๆมาปิดบังความเจ็บปวดแท้จริงในใจ 

แต่ก่อนเขากลับเห็นแก่ตัวได้ถึงเพียงนี้  ใช้แผนการสกปรกจนเคยชิน  ยึดถือว่าตัวเองมีอำนาจมากกว่าจนเคยตัว  ทราบดีว่าเหลียนอันสุ่ยไม่ต้องการเป็นของเขาแต่กลับมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง  คิดถึงแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ  บังคับคนที่ดิ้นไม่หลุดปฏิเสธไม่ได้ให้มอบมันออกมา  ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีอยู่มากที่คนที่เขารักคือเหลียนอันสุ่ย  หากเป็นผู้อื่นเกรงว่าคงไม่ได้รับการอภัยให้ชั่วชีวิต
การมาแคว้นเหลียนครั้งนี้เขาหวังจะสะสางทุกอย่างให้มันถูกต้อง  ฝังรอยจำดีๆเข้าไปแทนที่ความเลวร้ายในอดีต  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ลืมเฉินเสีย  แม้องค์หญิงจินผิงจะเป้นคนชักใยเฉินเสีย  แต่หากไม่มีหมากเช่นเฉินเสียแผนการของนางไหนเลยทำสำเร็จ  เช่นเดียวกับหากไม่มีตัวเขาเข้าไปร่วมด้วยแผนการของนางไหนเลยจะสำเร็จ  ทุกอย่างเป็นห่วงโซ่ร้อยโยงกันไปหมด  น่าเสียดายที่เฉินเสียหลุดรอดออกไปจากห่วงโซ่นี้ก่อนฉีเซี่ยงหยวนจะมาถึงก้าวหนึ่ง
นี่เรียกเคราะห์กรรมที่หนีไม่พ้น  ขุนนางที่มีสันดานฉ้อฉลโกงกิน  ถึงแม้ไม่มีใครจงใจหาเรื่อง  ก็ยังคงสามารถทำจนตัวเองถูกจับยัดเข้าคุกเข้าตาราง

ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองก็เรียกชะตากรรมที่หนีไม่พ้น  ร้ายกาจกับผู้อื่นไว้มาก  สุดท้ายกลับกลายเป็นปมในใจที่แกะไม่ออก  คู่รักคู่อื่นคิดถึงจุดเริ่มต้นของความรักกันอย่างหวานชื่น  แต่ระหว่างพวกเขาจุดเริ่มต้นของความรักกลับมีแต่ความขมขื่น

ฉีเซี่ยงหยวนหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงมันมาโดยตลอด  กระทั่งคิดก็ยังไม่กล้าคิดว่าถ้าเหลียนอันสุ่ยนึกออกจะเกิดความรู้สึกอยากไปจากเขาหรือไม่  ชีวิตที่สงบสุขเขามอบให้เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ ความทรงจำที่สะอาดก็ไม่มีเขาอีกเช่นกัน  ได้แต่หวังว่าสิ่งต่างๆที่ทำในภายหลังจะพอชดเชยให้ได้บ้าง ...ได้แต่หวังว่าความผูกพันที่เกิดขึ้นในภายหลังกับความจริงใจของเขาจะพอเทียบกับความรักอันบริสุทธิ์ที่เหวินจีมอบให้เหลียนอันสุ่ย
---------------------
ฤดูร้อน  ใบบัวสีเขียวสด  บัวตูมสีขาวพร่าง บัวแรกผลิสีชมพูจาง  บัวที่บานเต็มที่อวดเกสรท่ามกลางกลีบอ่อนบางที่ไล่เฉดสีอย่างละเมียดละไม
เหลียนอันสุ่ยมองภาพนั้นเหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งฝัน  พึมพำออกมาอย่างลืมตัว
“ข้าไม่เคยมาที่นี่ตอนกลางฤดูร้อนมาก่อน  ที่แท้ดอกบัวกลับงดงามได้ถึงขนาดนี้  เหวินจีเคยบอกว่านางอยากจะมาเห็นซักครั้ง  น่าเสียดายที่คงไม่มีโอกาสแล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งจะกดความรู้สึกผิดของตัวเองลงไปได้เป็นผลสำเร็จ  ได้ยินคำนี้ก็ปวดแปลบไปทั้งหัวใจ  จากมาไกลขนาดนี้คิดไม่ถึงว่าเหลียนอันสุ่ยยังคงคิดถึงนาง
“ท่านรักนางเหลือเกิน...”
คำพึมพำเบาๆ ทำให้เหลียนอันสุ่ยชะงักไป  เหลียวมองร่างสูงใหญ่
“ท่านเป็นอะไรไป” อันที่จริงตลอดทางที่ขี่ม้ามาด้วยกันฉีเซี่ยงหยวนเหมือนมีเรื่องหมกมุ่นครุ่นคิดบางอย่าง
“เปล่า  ข้าแค่คิดว่าท่านอยู่กับนางแค่สองปี  แต่ความทรงจำดีๆระหว่างท่านกับนางคงมีไม่น้อย” กลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม  ปัดความรู้สึกแย่ๆทิ้งไป
“จะว่าอย่างนั้นก็ใช่” สายตาของเหลียนอันสุ่ยอ่อนโยนลง

ฉีเซี่ยงหยวนเห็นแล้วเบือนหน้าไปอีกทาง  เก็บซ่อนความเจ็บปวดระคนยอมรับชะตากรรมเอาไว้ในส่วนลึกของแววตา
เหลียนอันสุ่ยมองท่าทีเช่นนี้ของอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง  มองดอกบัวที่บานสะพรั่งอยู่บนผิวน้ำ  ทรุดกายลงช้าๆ  ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่ค่อยไม่ดังว่า
“ดอกบัวเอย  เจ้าขี้น้อยใจหรือไม่” ดอกบัวย่อมมิได้ตอบ  เหลียนอันสุ่ยเหลือบตาไปเห็นร่างสูงใหญ่ชะงักก็กล่าวต่อ

“แต่ข้ารู้จักคนผู้หนึ่ง  จนวันนี้เขายังคงเชื่อว่าข้ารักผู้อื่นมากมายกว่าเขา  ชั่วชีวิตของข้าเหลียนอันสุ่ย  ทำเรื่องดีงามมาไม่น้อย  ทำเรื่องผิดพลาดมาไม่น้อย  ผูกพันกับคนไม่น้อย  แต่กลับเพิ่งเข้าใจโฉมหน้าที่แท้จริงของความรักตอนที่รู้จักกับเขา  ทำอย่างไรดี  ไม่ถูกทำนองคลองธรรมอย่างยิ่ง  เจ้าว่าข้าสมควรบอกเขาหรือไม่  เจ้าว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่ว่าที่ข้าไม่เคยกล่าวออกจากปากเป็นเพราะว่ารู้สึกผิดต่อ ‘นาง’  เพราะความรู้สึกที่ข้าควรจะมีต่อนางข้ากลับมีต่อผู้อื่น  เขามิใช่คนเดียวที่ข้ารัก  แต่กลับเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ข้าไม่เป็นตัวของตัวเอง  ถลำลึกจนเกินเยียวยา  เจ้าว่าความรู้สึกที่รุนแรงขนาดนี้ถือเป็นความรักได้หรือไม่  หรือว่ามีเพียงความรู้สึกแรงกล้าเช่นนี้จึงสมควรถูกเรียกว่าความรักกันหนอ...”

ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้  แต่เหลียนอันสุ่ยยังคงพูดต่อด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ
“ความรักฉันหนุ่มสาว...เจ้าว่ามันแปลกหรือไม่ที่ข้ากลับมีความรักฉันหนุ่มสาวตอนที่ตัวเองไม่หนุ่มเท่าไหร่  และคนที่ข้ารักก็มิใช่สาวน้อยที่ไหนอีกด้วย  ดอกบัวเอย  ความลับที่เจ้าได้ยินอย่าเอาไปบอกใครอีก  ข้าเองก็จะพูดครั้งนี้ครั้งเดียว  เรื่องบางอย่างกระจ่างแจ้งแก่ใจแต่ไม่ควรพูดออกไป  เพราะแค่นี้ข้าก็ทำผิดต่อนางมามากพอแล้ว” คนรักในรูปแบบที่ข้าควรจะมอบให้นางข้ามอบให้นางไม่ได้  แต่พื้นที่ที่เป็นของนางข้าจะไม่ใช้วาจาไปลบหลู่มัน

“ทำไมถึงเป็นข้า” เสียงทุ้มเค้นออกมาด้วยความยากลำบากถามอย่างไม่เข้าใจ
เหลียนอันสุ่ยยิ้มออกมาบางๆ  ยืนขึ้นช้าๆ  มองสระบัวที่ส่งกลิ่นหอมรวยรินตรงหน้า  พลางตอบว่า

“...ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นท่าน  ข้าบอกตัวเองให้รักคนธรรมดา  รักคนธรรมดาก็พอ  รักคนธรรมดาถึงจะมีความสุข  แต่สุดท้าย...คนที่ทำให้ข้าไม่อาจละสายตาจากไปได้กลับเป็นเป่ยชางอ๋องอยู่ดี  บางทีข้าคงเพ่งมองท่านมานานเกินไป  ถูกตัวตนของท่านดึงดูดไว้นานเกินไป  เรื่องนี้ข้าทำอะไรไม่ได้  ได้แต่ปล่อยให้มัน...ฝังลึกลง...ทุกที” ไม่ทันจบคำพูดพยางค์สุดท้ายร่างก็ถูกดึงเข้าไปกอดไว้แนบแน่น

สายลมฤดูร้อนพัดผ่านแผ่วเบา  กลิ่นหอมจางของดอกบัวและแมกไม้เคลียเคล้าอ่อนโยน

“แล้วท่านเล่า  เหตุใดถึงเป็นข้า” ถามพลางหมุนกายกลับไปเผชิญหน้ากับเสี้ยวหน้าคมสัน “ตอนนั้นข้าทั้งแต่งงานแล้ว  มีลูกแล้ว  อายุก็ไม่น้อยแล้ว  ทั้งยังไม่เต็มใจเป็นของท่านซักนิด  แต่ท่านกลับติดพันข้าไม่เลิกรา  ข้ามั่นใจว่าตอนนั้นตัวเองจืดชืดมาก  เส้นทางชีวิตสงบราบเรียบมาก  ท่านใยต้องมาสนใจคนที่เส้นทางชีวิตแตกต่างกับท่านโดยสิ้นเชิงด้วยเล่า”

ฉีเซี่ยงหยวนปล่อยให้ร่างในอ้อมกอดหมุนตัวมาสบตากับเขา สองมือยังคงโอบเอวเพรียวเอาไว้  ฟังคำถามแล้วก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด 
“นั่นสิ  ทำไมกันหนอ...” ลากเสียงยาวอย่างจงใจ  ดวงตาเฉียบขาดหรี่ลงอย่างครุ่นคิด  พูดต่อว่า
 “ข้ารู้แค่ว่าตั้งแต่เห็นท่านครั้งแรกข้าก็อยากได้ท่าน  ...หลังจากได้ท่านมาแล้วข้าก็เอาแต่ขบคิดว่าจะทำอย่างไรให้ท่านเป็นของข้าแค่คนเดียว  บางทีข้าอาจจะหลงรักท่านตั้งแต่คืนนั้นที่เมืองอู๋เล่ย  หรือบางทีตั้งแต่พูดคุยโต้ตอบกับท่านครั้งแรกข้าก็ประทับใจท่านแล้ว  ท่านบอกว่าตัวตนของข้าดึงดูดท่าน  ท่านต่างหากที่ดึงดูดข้า  ข้ามักสงสัยว่าแท้จริงท่านเป็นคนอย่างไรกันแน่  ทำไมถึงตัดสินใจเช่นนี้  ทำไมถึงปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้  ท่านตั้งใจจะปฏิเสธข้าจริงหรือ  เหตุใดข้ายิ่งมายิ่งละสายตาไปจากท่านไม่ได้ 
ในตอนที่ข้าคิดว่าท่านไม่มีทางให้อภัย  ท่านกลับให้อภัยง่ายๆ 
ในตอนที่ข้าเข้าใจว่าทุกอย่างราบรื่น  ท่านกลับใจแข็งจนข้าคาดไม่ถึง 
ในตอนที่ข้าเข้าใจว่าไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่อาจทนทานรับได้  ท่านกลับสามารถแบกรับเอาไว้ทั้งหมดและเผชิญหน้ากับมันทั้งหมด  ท่านเยือกเย็นจนข้าเป็นฝ่ายหวั่นไหว  ในบางครั้งท่านก็เปราะบางจนข้าทำอะไรไม่ถูก  ข้ามักรู้สึกตัวว่าตัวเองยังดีไม่พอ  แต่ข้าก็รู้สึกตัวอีกนั่นแหละว่าคงไม่มีวันยอมปล่อยท่านไป”
 
มันเป็นแค่ถ้อยคำธรรมดาที่ตรงไปตรงมาที่มิได้หวานหูเป็นพิเศษ  แต่ความธรรมดาของมันกลับมีความหมายต่อเหลียนอันสุ่ยอย่างยิ่ง  และหวานล้ำอย่างยิ่ง

เหลียนอันสุ่ยซุกใบหน้าลงกับอ้อมอกแกร่ง  พึมพำว่า
“เซี่ยงหยวน ท่านดีต่อข้ามากพอแล้ว  ดีต่อข้ายิ่งกว่าที่ข้าดีต่อท่านมากนัก”   
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 78.......................................21/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-03-2015 23:28:00
เย้  มาต่อแล้ว ยาวจุใจเลย
สารภาพตามตรง  ยิ่งอ่านยิ่งหลงในภาษาที่ใช้
มันละมุ่นมากกกกกกกกก แล้วประโยคที่ว่า "คนเราขบคิดต่างๆนานา  ผู้คนเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง  อดีตกลับยังคงอยู่ตรงนั้นชั่วนิรันดร์"
แบบ โดนใจอ่ะ อธิบายไม่ถูก อ่่านแล้วนนี้แล้วเราแบบ
รู้สึกอินตามไปกับตัวละคร คือบรรยายได้ดีมากจริงๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 78.......................................21/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 22-03-2015 00:05:43
บรรจบกันอย่างงดงาม ยังจำตอนที่ทั้งคู่ขี่ม้ากันครั้งแรกได้เพราะอ่านซ้ำตอนนั้นบ่อยมาก แต่คำสารภาพต่อกันหน้าดอกบัวนั่น ทำเอาจิกหมอนแทบขาด
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 28-03-2015 20:54:46
บทที่ 79 นกยวนยาง(จบ)

แนะนำให้กลับไปท่อนสุดท้ายของอ่านบทที่แล้วก่อนค่ะ  ไม่งั้นอารมณ์จะไม่ต่อเนื่อง

...ข้ามักรู้สึกตัวว่าตัวเองยังดีไม่พอ  แต่ข้าก็รู้สึกตัวอีกนั่นแหละว่าคงไม่มีวันยอมปล่อยท่านไป”
มันเป็นแค่ถ้อยคำธรรมดาที่ตรงไปตรงมาที่มิได้หวานหูเป็นพิเศษ  แต่ความธรรมดาของมันกลับมีความหมายต่อเหลียนอันสุ่ยอย่างยิ่ง  และหวานล้ำอย่างยิ่ง

เหลียนอันสุ่ยซุกใบหน้าลงกับอ้อมอกแกร่ง  พึมพำว่า
“เซี่ยงหยวน ท่านดีต่อข้ามากพอแล้ว  ดีต่อข้ายิ่งกว่าที่ข้าดีต่อท่านมากนัก”   


มีเสียงอุบอิบดังมาว่า
“จะไปพออะไร  แต่ก่อนข้าเลวร้ายกับท่านแค่ไหน  ท่านจำไม่ได้หรือ”
เห็นเหลียนอันสุ่ยชะงัก  ใจของฉีเซี่ยงหยวนก็หายวูบ  แต่กลับได้ยินเสียงอ่อนโยนกล่าวว่า
“ท่านคิดมากเพราะเรื่องนี้เอง  ที่จริงแล้วมันก็...ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นเสียหน่อย”
ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจ  กล่าว
“ท่านอย่าพยายามพูดให้ข้ารู้สึกผิดน้อยลงเลย  เพราะนั่นทำให้ข้ายิ่งรู้สึกผิด  ความรักดีๆเขาไม่เริ่มต้นกันบนเตียงหรอก  และมันก็ไม่ควรเริ่มต้นที่การข่มขู่ด้วย”
เหลียนอันสุ่ยหัวเราะจนหน้าแดง  ปล่อยให้ฉีเซี่ยงหยวนจูงมือมานั่งบนโขดหิน  ฟังเสียงธารน้ำไหลรินไปพลางเอามือเท้าคางอย่างครุ่นคิด  ได้ยินฉีเซี่ยงหยวนกล่าวว่า

“มีหลายครั้งที่ข้าอยากให้พวกเราเริ่มต้นกันแบบอื่น  ข้าเคยคิดกระทั่งว่าข้าอยากเจอท่านเร็วกว่านี้  เจอท่านก่อนใครๆ  จะได้มีเวลาอยู่กับท่านไปอีกหลายๆปี  ข้าควรจะมาเป็นทูตที่แคว้นเหลียนตั้งนานแล้ว  ข้าจะเริ่มจากจีบท่านก่อน  ส่งของขวัญไปให้ท่าน  ติดตามพัวพันท่าน  ข้า...” นิ้วมือเรียวยาวปิดปากเขาไว้  ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยยังคงมีรอยยิ้มอยู่  แต่กลับส่ายหน้าน้อยๆ
“ต้าอ๋อง  ถ้าข้าเจอท่านตอนนั้นจริง  ข้าอาจจะรักท่าน  แต่พวกเราไม่มีทางได้อยู่ด้วยกัน”

“ถึงตอนนั้นข้าจะเป็นแค่องค์ชายสี่  แต่แค่ท่านคนเดียวข้ามีหนทางเอามาได้น่า”

สายตาของเหลียนอันสุ่ยอ่อนโยน
“เอามาได้แล้วอย่างไร  ต้าอ๋อง  ความจริงท่านต้องขอบคุณจิ้งเอ๋อ  หากไม่มีจิ้งเอ๋อ  ท่านคิดว่าระหว่างชีวิตกับเกียรติของแคว้นเหลียนข้าจะเลือกอย่างไหนหรือ” หากไม่มีจิ้งเอ๋อ การตายสำหรับข้าไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลย

“...” เหลียนอันสุ่ยยังคงเป็นเหลียนอันสุ่ย  เมื่อครู่ปากบอกว่ารักเขามาก  แต่พอเลือกเขากับบ้านเมืองกลับเลือกบ้านเมืองได้อย่างปลอดโปร่ง
“อีกอย่างถ้าเจอกันตอนนั้นคนที่ท่านต้องตาจะต้องไม่ใช่ข้า  แต่เป็นน้องสาวของข้า” รูปโฉมของเหลียนอวี้เสวี่ยงามพอจะทำให้คนหลงลืมตัวตน  ฉีเซี่ยงหยวนเองย่อมต้องเคยได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับนางมา  แต่กลับถามเหลียนอันสุ่ยว่า
“นิสัยข้าเหมือนคนหลงใหลในรูปโฉมหรือ  ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงชิงอีไม่ได้แต่งงานหรอก”

เหลียนอันสุ่ยได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงเสิ่นชิงอีก็หลุบตาลงต่ำ  เสิ่นชิงอีแต่งงานไปกับขุนนางหนุ่มอนาคตไกลคนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน  ในที่สุดนางก็เป็นอิสระจากความรักที่นางมีต่อฉีเซี่ยงหยวนแล้ว
“ใจท่านไม่เสียดายแม่นางเสิ่นบ้างหรือ” ถามอย่างจริงจัง  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับตอบว่า
“ข้าใยต้องเสียดาย  คนที่ข้ารักคือท่าน  อีกอย่างเขาต้องดูแลนางได้ดีกว่าข้ามากนัก เขาเป็นคนหนุ่มที่ข้าดูแล้วว่าใช้ได้คนหนึ่ง”

น้ำสะอาดเซาะผ่านแก่งหินอย่างมีจังหวะจะโคน  ยิ่งนั่งริมน้ำเสียงยิ่งกังวานเสนาะชัด 
สายน้ำไหลไปไม่หวนกลับ  เส้นทางชีวิตของแต่ละคนก็ไหลไปข้างหน้าไม่หวนคืนเช่นกัน   
ขณะเงียบไปพักใหญ่  เหลียนอันสุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะต้องโน้มตัวไปข้างหน้าใช้ปลายนิ้วระผิวน้ำที่เย็นจัด
 
ฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยถึงเหวินจี  ส่วนตัวเขาสนใจเรื่องของเสิ่นชิงอี  ทั้งๆที่คนรักกันคือพวกเขาสองคนเหตุใดจึงเอาแต่สนใจเรื่องของคนอื่น  เหลียนอันสุ่ยขบคิดแล้วรู้สึกขบขัน  ตัดสินใจทำทุกอย่างให้มันกระจ่างชัด

“หลังจากนี้ท่านเลิกถือสาเวลาที่ข้าพูดถึงเหวินจีได้แล้ว” ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยหึงหวงเรื่องของเหวินจี  แต่มักจะมีสีหน้าเจ็บปวดแฝงอยู่บางเบา
“ข้าไม่ได้ถือสานาง  ข้าแค่คิดว่าท่าน...สมควรจะรักนางมากกว่าข้า”
“ท่านใช้อะไรเป็นตัวตัดสินว่าข้าสมควรรักนางมากกว่าท่านหรือ” ถามอย่างจริงจังพลางเลิกคิ้วสูง
“พวกเราเริ่มต้นกันแย่มาก...”

“เซี่ยงหยวน จุดเริ่มต้นสำคัญก็จริง  แต่ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าปลายทางของมันสำคัญยิ่งกว่า  ที่ต้นน้ำถูกหวนคิดถึง  เป็นเพราะปลายทางของมันเข้าไปเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต  เรื่องระหว่างเราใยไม่ให้มันเป็นเหมือนดั่งสายน้ำ  ที่ผ่านเลยไปก็ให้มันผ่านเลยไป  ส่วนความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงก็คือข้ารักท่าน  ท่านรู้หรือไม่ว่านานแล้วที่ข้าไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดกับอดีต  เพราะไม่ว่าอย่างไรในนั้นยังคงมีเงาที่ทอดยาวเป็นทางเดินให้ท่านกับข้าเดินมาจนถึงวันนี้”
---------------------
อดีตอีกช่วงที่ทำให้เส้นทางของพวกเขาเลี้ยวมาในรูปนี้เกรงว่าอยู่ที่เมืองอู๋เล่ย

‘อู๋เล่ย’ คือไร้น้ำตา  หากหัวใจมีรอยยิ้มคนเราไหนเลยจะหลั่งน้ำตา 

พระอาทิตย์ไม่อยู่บนฟากฟ้า  ห้องหับเปิดหน้าต่างเชื้อเชิญสายลมแห่งรัตติกาล

“ครั้งนี้ข้าไม่มีเรื่องกลัดกลุ้มเสียใจแล้ว  ท่านยังคงเต็มใจเป็นของข้าหรือไม่”
เหลียนอันสุ่ยหัวเราะ  ขณะถูกอีกฝ่ายฉุดดึงจนล้มกลิ้งลงไปบนเตียงด้วยกัน  สุดท้ายร่างกำยำเป็นฝ่ายทาบทับอยู่บนร่างสูงโปร่ง  เสียงทุ้มถามขึ้นอีกว่า
“ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้า”

ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองมาอย่างจริงจัง  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ตอบคำ  แค่ประทับริมฝีปากตัวเองเข้ากับเรียวปากที่เม้มสนิทคู่นั้น 
พวกเขาดูราวกับนกยวนยางคู่หนึ่งที่เกี่ยวกระหวัดพัวพันกันใต้แสงจันทร์  คล้ายกับมีเสียงครวญครางเบาๆว่า...

‘ข้าเต็มใจเป็นของท่านตั้งนานแล้ว’
---------------------
“พระจันทร์คืนนี้สวยเหลือเกิน” เหลียนอันสุ่ยกล่าวพึมพำพลางมองออกไปข้างนอก
“เหมือนคืนนั้นที่ข้าหลงรักท่านไม่มีผิด” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวพลางยื่นมือมาจัดปกเสื้อให้อีกฝ่าย เหลียนอันสุ่ยสวมชุดสีขาวที่ยับยุ่งไม่เรียบร้อยอยู่บ้างนั่งอยู่บนเตียง  แต่กลับดูมีเสน่ห์ถึงเพียงนั้น  สงบนุ่มนวลถึงเพียงนั้น

“อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะวันเกิดข้าแล้ว” เสียงกระจ่างอ่อนโยนกล่าวพลางขมวดคิ้วน้อยๆ
“ใกล้วันเกิดมีอันใดไม่ดี” ฉีเซี่ยงหยวนไม่เข้าใจ
“แก่ขึ้นอีกปีมีอะไรดี”
ได้ยินเช่นนั้นมือใหญ่ก็เอื้อมมาเชยคางมน  บังคับอีกฝ่ายให้หันหน้ากลับมา
“อีกสามเดือนข้าก็อายุเท่าท่านแล้ว  ‘แก่’ อย่างนั้นหรือ  คนกลุ้มใจใช่สมควรเป็นข้าหรือไม่  ข้าแม้อายุน้อยกว่าท่าน  แต่เดินกับท่านทีใดทุกคนเป็นต้องเข้าใจว่าข้าต่างหากที่แก่กว่าท่าน” บางทีอาจเพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนเหลียนอันสุ่ยก็ดูเป็นคนดี  คนเช่นนี้อายุมากแค่ไหนกลับสามารถดูอ่อนกว่าวัยเสมอ

เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วหัวเราะ
“ข้าแค่รู้สึกว่าหนึ่งปีมันผ่านไปเร็วเกินไป  ต้าอ๋อง  ทุกปีที่ผ่านไปคือเวลาที่ท่านสามารถใช้กับคนสำคัญของท่านที่ลดน้อยลงอีกหนึ่งปี  ท่านอย่าลืมว่าเวลาเดินไปข้างหน้าเสมอ  ในขณะที่อาขัยคนมีจำกัด”
ฉีเซี่ยงหยวนจับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง  กล่าวอย่างจริงจังว่า
“แล้วอย่างไร  หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ท่านมีอันใดต้องเสียใจหรือ  หากสิ่งเหล่านั้นล้วนไม่มีอันใดต้องเสียใจ มันก็เป็นหนึ่งปีที่คุ้มค่า” อีกอย่างสำหรับข้ามันเป็นหนึ่งปีที่ดีมาก  เพราะมันเป็นตลอดหนึ่งปีที่ข้ามีท่าน
ช่างสมกับเป็นฉีเซี่ยงหยวน  ราวกับความซับซ้อนวุ่นวายใดๆเมื่อผ่านสายตาของบุรุษผู้นี้ก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นเรียบง่ายอย่างยิ่ง  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกอัศจรรย์ใจจนเลิกอัศจรรย์ใจไปนานแล้ว

“อีกไม่กี่วันเราก็จะกลับไปสู่โลกแบบเดิม  ท่านเดินทางเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้  ใช่รีรอลังเลไม่อยากกลับไปหรือไม่”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ ตอบว่า
“ข้าแค่ไม่อยากเร่งตัวเองเฉยๆไม่ใช่ไม่อยากกลับไป  สำหรับข้าอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน” ถึงวังหลวงจะไม่ได้มีอิสระมากมาย  แต่แค่มีอิสระสามารถทำเรื่องที่อยากทำได้เท่านี้ตรงตามความหมายของคำว่าอิสระแล้ว

“ข้ารู้ว่ายังไงท่านก็ต้องกลับไปให้ทันวันเกิดข้า  เพราะจือหลันจะมาอวยพรให้ข้าทุกปี  ปีนี้คาดว่านางคงพาอิ๋งอิ๋งมาด้วย”
ขณะฟังคำสัพยอกล้อเลียนของเหลียนอันสุ่ยฉีเซี่ยงหยวนก็เอื้อมมือไปโอบรั้งร่างสูงโปร่งเข้ามาในอ้อมอก  ขบคิดตามแล้วกล่าวว่า
“ใช่แล้ว  มันจะเป็นวันที่วุ่นวายมาก  เริ่มที่จิ้งเอ๋อก่อนเป็นคนแรก  ต้องวางท่าเป็นคนจัดระเบียบดูแลความเรียบร้อย  ทั้งๆที่ตัวเองนั่นแหละแหกกฎบ่อยที่สุด” หลังจากนั้นพวกที่ติดค้างบุญคุณกับพวกที่หวังประจบประแจงก็จะแห่กันมา  นับเป็นวันที่หาความสงบสุขไม่ได้เลยจริงๆ
“ข้าชอบลูกบุญธรรมของท่านนะ  องค์รัชทายาทมักจะมีคำอวยพรดีๆที่สละสลวยแปลกใหม่มาให้ข้าตลอด”
“นี่เรียกว่าประจบเอาใจอย่างไรเล่า”
“นี่เรียกว่ามีพรสวรรค์ด้านอักษรไม่เลวต่างหาก” มีพ่อบุญธรรมประเภทไหนบ้างที่ชอบพูดค่อนแคะลูกบุญธรรมของตัวเอง
“ท่านชอบแต่พวกมีพรสวรรค์ด้านอักษรนี่เอง  ถึงสนิทสนมกับคนแบบหานญื่อหลัว”
“จริงสิ  คุณชายหานบอกว่ากลางฤดูร้อนจะกลับมา  ป่านนี้คงถึงเมืองหลวงแล้วกระมัง”

เฮอะ! ไม่เห็นจะอยากรู้ตรงไหน  ฉีเซี่ยงหยวนคิดพลางกลอกตา  หานญื่อหลัวกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดสองเดือน  แต่จริงๆฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าคนรกหูรกตาเช่นนี้ไปอยู่ไกลๆได้ก็นับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
“ต้าอ๋อง  อายุก็ไม่น้อยแล้ว  ทำใจให้กว้างขึ้นบ้างเถอะ”
“ข้าก็เป็นคนจิตใจคับแคบแบบนี้แหละ” มีคนประชดแล้ว
เหลียนอันสุ่ยกลับยิ้มบางๆ  พิงแผ่นหลังเข้ากับแผ่นอกกว้าง  ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนก็แค่พูดจาหาเรื่อง  มิได้น้อยใจอะไรจริงจัง  ดวงตาคู่งามหลับพริ้มลง  ถอนหายใจออกมาอย่างเป็นสุข

แม้จะเพิ่งพูดประชดไปเมื่อครู่  แต่ดวงตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนกลับอ่อนโยน  ถามเบาๆว่า
“ท่านง่วงหรือ”
เหลียนอันสุ่ยสั่นหน้า
“ข้าแค่กำลังคิด...ว่าถ้าเกิดตอนนั้นข้าเลือกที่จะจากไป  ระหว่างเราคงไม่อาจมีวันนี้”
รู้สึกว่าอ้อมกอดของคนบางคนรัดแน่นขึ้นเหลียนอันสุ่ยก็ยิ้ม กล่าวต่อว่า
“ข้าดีใจที่สุดท้ายตัวเองเลือกเช่นนี้  มาทบทวนดูแล้วกับเรื่องของความรักข้าไม่มีความกล้าเอาเสียเลย  กลัวไปทุกอย่าง  กลัวว่าเรื่องของเราจะไม่อาจผ่านอุปสรรคของโชคชะตา  กลัวว่าวันหนึ่งท่านจะหมดรักในตัวข้า...” มองมือใหญ่ที่โอบอยู่รอบเอว  ทาบมือทับลงไปจนสนิทพอดี “ระหว่างเรามันไม่ง่ายเลย  ตลอดหกปีมานี้ทั้งท่านทั้งข้าต่างรู้อยู่แก่ใจ  และมันยังคงไม่จบ  เราคงไม่มีวันได้อยู่ด้วยกันสงบๆ  ท่านเหนื่อยหรือไม่” เผชิญอุปสรรคแล้วอุปสรรคเล่า  ความยากของมันไม่ได้อยู่แค่ตอนเริ่มรัก  แต่เป็นทุกช่วงเวลาตลอดหกปี

“ข้าเหนื่อยหรือ?  ความจริงปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากฐานะต้าอ๋องของข้า  คนบ่นจึงควรเป็นท่าน”

เหลียนอันสุ่ยส่ายหัว  เพราะคิดเสียอย่างนี้  ทุกครั้งที่เจอปัญหาฉีเซี่ยงหยวนเป็นต้องหาทางยื่นมือเข้ามาช่วยแก้  เซี่ยงหยวน  ท่านกำลังทำให้ข้าเคยชิน  ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนอาศัยท่านจัดการแทน  นิสัยข้อนี้ไม่ดีเลย  เพราะมันเอาเปรียบท่าน  ซ้ำยังทำให้ข้าพึ่งพาท่านโดยไม่รู้ตัว  แล้วหลังจากนี้การอยู่โดยไม่มีท่านก็กลายเป็นยากขึ้น  ก็มันเคยตัวเสียแล้ว

นี่เป็นความเอาใจใส่ของท่าน  หรือเป็นแผนการของท่านด้วย  ถ้าเป็นแผนการก็นับว่าท่านทำสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว  เพราะข้านึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีตรงไหนที่อยู่แล้วข้าจะสบายใจมากไปกว่าข้างกายท่าน  เหมือนคนทำงานหนักมาตลอดชีวิต  พอได้มาเกียจคร้านบ้างก็เสพย์ติดความเกียจคร้านเสียอย่างนั้น

เหลียนอันสุ่ยใคร่ครวญดูแล้วก็ตัดสินใจแก้คำพูดของฉีเซี่ยงหยวน
“เซี่ยงหยวน  ปัญหาเกิดจากฐานะของเราสองคนไม่ใช่ของท่านคนเดียว  และปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือเราทั้งคู่ต่างเป็นบุรุษ  ส่วนเรื่องบ่นจะให้ข้าบ่นอะไรดี  ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าแลกกับอุปสรรคที่ต้องเจอ  ความรักชั่วครั้งคราวเช่นนี้ไม่คุ้มค่า  ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าแลกกับหกปีที่ผ่านมาต่อให้ต้องเจ็บปวดไปชั่วชีวิตหาเป็นไรไม่  ต่อให้วันพรุ่งนี้ท่านไม่รักข้าแล้วก็หาเป็นไรไม่เช่นกัน” ตลอดช่วงชีวิตอันยาวนานจะมีซักกี่คนที่ได้เจอกับคนที่เข้าใจท่าน  รักท่านอย่างที่ท่านเป็น  ช่วงเวลาที่อยู่กับคนแบบนี้ต่อให้กระชั้นสั้นเหลือเกินก็คุ้มค่าที่จะแลกมาจนเกินพอ
 
ข้าเคยเวทนาคนที่ตะเกียกตะกายเรียกร้องหาความรัก  แต่ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าพวกเขามากนักเพราะแค่ความกล้าที่จะยื่นมือออกไปคว้าไว้ก็ยังไม่มี  ดังนั้นตอนนี้ข้าจะขอกุมมือท่านไว้แน่นๆ  รักท่านให้มากๆ  ความรักอาจจะมีทั้งสุขและทุกข์  แต่เราใยต้องมองด้านทุกข์ของมันด้วย  ข้าจะเก็บเกี่ยวแต่ความสุข  ให้ความทรงจำระหว่างเรามีแต่เรื่องดีๆ

นิ้วมือเรียวยาวเปลี่ยนจากทาบทับเป็นแทรกเข้าไประหว่างนิ้ว  เหมือนหัวใจคนที่ประสานสนิทเป็นหนึ่งเดียว

“พูดแต่ว่าข้าจะไม่รักท่าน  เหลียนอันสุ่ย  ข้าหลงท่านจะแย่  ตอนแรกเข้าใจว่ามัดท่านจนดิ้นไม่หลุดอยู่ในกำมือข้าแล้วแน่นอน  สุดท้ายคนที่ดิ้นไม่หลุดกลับกลายเป็นตัวข้า  เอาแต่คิดถึงท่านซ้ำๆ  ปวดหัวเพื่อท่าน  เป็นเดือดเป็นร้อนแทนท่าน  ไหนท่านบอกข้าซิว่าจะรับผิดชอบข้าอย่างไร  หืม”

เหลียนอันสุ่ยฟังคำถามแล้วกระพริบตาปริบๆ  นี่คล้ายกับ...คล้ายกับไม่ใช่ความผิดของเขา
“...ปกติเวลาข้าแก้ปัญหาไม่ได้ข้าจะปรึกษาคนผู้หนึ่ง  ท่านไปถามเขาเอาก็แล้วกัน”
“ผู้ใด ? ”
“ฉีเซี่ยงหยวน”
“...” คิดไม่ถึงคนที่ใช้ชีวิตจริงจังอย่างเหลียนอันสุ่ยก็รู้จักล้อเล่นแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ  ก้มหน้าลง  เพ่งมองใบหน้าหมดจดอย่างรักใคร่
“ฉีเซี่ยงหยวนบอกข้าว่าคนที่ขโมยหัวใจผู้อื่นไปแล้วก็ต้องดูแลให้ดี  ซื่อตรงกับตัวเองให้มาก  ดูแลตัวเองให้มาก  รักคนผู้นั้นให้มาก  ต้องทำให้ได้สามข้อนี้”
“ตกลง” เสียงสงบนุ่มนวลรับคำ

ดวงตะวันค่อยๆเผยตัวที่ขอบฟ้า  สายตาของฉีเซี่ยงหยวนยังคงอยู่ที่คนในอ้อมแขน  ริมฝีปากเคลื่อนเข้าไปประทับแผ่วเบาลงบนหน้าผากเนียน  มันเป็นความปรารถนาดีที่เรียบง่าย  ใช้สัมผัสแผ่วเบาถ่ายทอดความรักลึกล้ำ

ความจริงทั้งหมดของเรื่องราวมันก็แค่ว่า  ฉีเซี่ยงหยวนสามารถกักขังสายน้ำ  แต่ไม่มีปัญญาบังคับไม่ให้ตัวเองจมลงไป  อำนาจของเขาสามารถผูกมัดพันธนาการตัวตนผู้อื่นไว้  แต่กลับเป็นเหตุให้ตัวตนของผู้อื่นพันธนาการจิตใจของเขา...ตราบลมหายใจสุดท้าย

แสงแรกแห่งทิวาสว่างขึ้นทีละน้อย  สายตาสองคู่ประสานสบ...เข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยความใด

     ...ในเมื่อข้าพบท่านแล้ว  หลังจากนี้จะไม่มีคำว่าโดดเดี่ยวเกินไป...
---------------------


      ‘เมื่อหัวใจไม่ว่างเปล่า  คนเราไหนเลยจะโดดเดี่ยว’



นกยวนยางคือนกเป็ดน้ำ  (บางคนเรียกเป็นนกเป็ดน้ำแมนดาริน  ในภาษาจีนแต้จิ๋วคืออวงเอีย)เป็นสัญลักษณ์ของคู่รักที่รักกันมาก เนื่องจากมันมักอยู่เป็นคู่เสมอ ชาวจีนโบราณเชื่อว่านกชนิดนี้จับคู่เพียงตัวเดียวตลอดชีวิต 


เหลือบทส่งท้ายอีกหนึ่งตอนเรื่องนี้ก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์  เดินทางด้วยกันมาจะ80ตอนแล้ว 
ระหว่างทางเชื่อว่าที่ยังตามอ่านกันมาจนจะสุดทางจะต้องเป็นเพราะมีบางบรรทัดที่ผู้อ่านชื่นชอบเป็นการส่วนตัวแน่ๆ 
อยากรู้ว่าตั้งแต่อ่านมานี่ผู้อ่านชอบประโยคไหนในเรื่องที่สุดคะ(อยากรู้จริงๆนะตอบเค้าหน่อยเถอะตัวเอง :impress2:)



ปล. บทส่งท้ายจะมาประมาณเดือนพ.ค.นะคะ  เพราะต้องหยุดอ่านสอบแล้วค่ะ :m15:
(ถ้ายังจำกันได้เคยออกตัวว่าจะมีสอบมหาโหดอยู่ตัวหนึ่งซึ่งตอนนี้ไม่เริ่มอ่านไม่ได้แล้วฮะ)  แต่ไม่ต้องกังวลเพราะปั่นยิกให้จนจบแล้ว  ที่เหลือในบทส่งท้ายมีไว้เก็บรายละเอียด  โดยบทส่งท้ายนี้ค่อนข้างแยกตัวออกมาชัดเจนดังนั้นไม่มีปัญหาเรื่องความต่อเนื่อง  ส่วนสาเหตุที่ไม่เขียนตอนนี้เพราะเขียนไม่ได้ค่ะ  บทนี้ยากไม่น้อยไปกว่าบทไหนในเรื่องเลยไม่อยากใช้อารมณ์ช่วงอ่านสอบมาเขียนมันเพราะมันจะออกมาไม่ดี  สรุปเจอกันพ.ค.ฮะผู้อ่านที่รัก
(จะแจ้งข่าวรวมเล่มช่วงนั้นเช่นกัน)
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 29-03-2015 02:22:00
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ  ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวดีๆสนุกๆให้ได้อ่านกัน

ขอบคุณค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 29-03-2015 10:26:42
รักเรื่องนี้มากจริงๆ
ขอบคุณคนเขียนที่มาต่อนะคะ

เอาใจช่วยให้ผ่านพ้นการสอบไปด้วยดีค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 29-03-2015 10:42:42
ประทับใจมากครับ
หัวข้อ: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: cowinsend ที่ 29-03-2015 22:22:05
อ่านแล้วประทับใจมากๆค่ะ ความรู้สึกมันล้นจนเราบรรยายไม่ถูกเลยค่ะ อ่านรวดเดียวจบ เป็นเรื่องที่มีคุณค่ามากค่ะ เป็นผลงานที่เรารู้สึกว่านักเขียนใส่ใจและทุ่มเทที่จะเขียนทำให้คนอ่านคุ้มค่ามาก

ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-03-2015 23:01:57
อีกตอนเดียวจบบริบูรณ์แล้วหรอ
อยากอ่านไปเรื่อยๆ ชอบภาษาที่ใช้เขียนจริงๆ
สำหรับเรานะ ชอบหลายประโยคมาก แต่ที่ชอบที่สุดก็อันที่เคยบอกไปแล้วอ่ะ
รู้สึกว่ามันโดยมาก เพราะมาก ใช่มากกก
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: manutty ที่ 30-03-2015 11:28:15
เสียดายที่ใกล้จะจบแล้ว อยากอ่านความหวานของฉีฉีกับเหลียนเหลียนต่ออีก :mew6:  ชอบทุกอย่างในเรื่องนี้ ภาษา บทบรรยาย บุคลิกตัวละคร เหตุการณ์ที่เสมือนจริง อ่านแล้วเห็นเหมือนกับอ่านนิยายมีภาพประกอบ ทุกอย่างลงตัว ต้องบอกว่าคนเขียนอายุน้อย แต่การเขียนไม่น้อยเลย ทำการบ้านมาดีมากๆๆๆ ถามว่าชอบประโยคไหน ต้องบอกว่าทุกประโยค ขอโทษมันคือความจริง เลือกไม่ได้ เพราะเราชอบทุกอย่างในเรื่องนี้  o13  ตอนนี้อ่านแล้วเขินบิดจิกหมอนกันเลยเวลาเขาพูดหยอกกัน :-[ ฉีฉีที่ให้โตยังไง โหดร้ายในสายตาคนอื่น แต่กับเหลียนเหลียน เขาเหมือนเด็กที่ต้องการความรัก ต้องการแบบไม่เหลือให้ใคร มีมุมน้อยใจที่น่าเอ็นดูซะเหลือเกิน ส่วนเหลียนเหลียนก็รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะปราบเด็กขี้ใจน้อยได้ ทั้งที่ตัวเองก็เขินอายกลับการจะพูดไปตรงๆเลยไปลงกับดอกบัวแทน  :laugh: และมันก็ได้ผลทำให้เด็กขี้ใจน้อยหายน้อยใจไปได้ ตัดมาที่ห้องนอนก็พาฟินอีกถึงไม่บรรยายฉากรักแต่ก็สามารถฟินได้เองว่าทั้งคู่ทำไรกัน  :haun4: มีแอบฮาวันเกิดกับคำตอบเหลียนเหลียน ก็แกขึ้นอีกปีดียังไง  :m20: นั่นสินะ แต่ไม่ว่าจะแก่แค่ไหน ฉีฉีก็ตามทันหรอกน่าไม่ต้องกังวลแถมยังรักมากยิ่งขึ้นไม่เสื่อมคลาย :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 30-03-2015 21:41:04
ถ้าให้ตอบว่าชอบประโยคไหนมากที่สุด
ค่อยๆหลับตาแล้วนึก จริงๆแล้วประทับใจเป็นภาพจำนะ มันออกมาเป็นฉากๆเลย
รักตัวตนของเหลียนๆมาก ไม่ว่าการคิด พูด การกระทำ มันช่างพอเหมาะไปหมด
ต้าอ๋องก็เป็นคนแกร่งที่น่าเอ็นดูบอกไม่ถูก เรื่องนี้ข้อคิดคำคมเยอะนะ แต่ที่คมสุดๆ
เราว่าคือกระบวนการคิดและทำของตัวละครแต่ละตัว มันทำให้เห็นภาพของคนที่คมในฝัก
ว่าเป็นยังไง การปล่อยตัว การเห็นแก่ส่วนรวม ในจุดแข็งมีจุดอ่อน ในเรื่องดีอาจมีเรื่องร้าย
และในเรื่องร้ายๆอาจมีเรื่องดี รักการดำเนินเรื่องมากๆ อ่านซ้ำกี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลย
ตอนที่นักพรตพูดถึงน้ำในบ่อ เราชอบมากๆ สอนเหลียนๆแล้วก็สอนเราไปด้วย

ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา ขอบคุณมากๆเลย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 04-04-2015 14:01:56
บอกเลยว่าอ่านไป  ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นไป  สงสารเหลียนอันสุ่ย  คนบ้าอะไรแบบรับแต่ความทุกข์  ทุกข์จนคนอ่านอย่างฉันจะออกแตกตาย  มิอาจไม่หลั่งน้ำตา 

ยิ่งมายิ่งจินตนาการเพริศไป  กลิ่นอายรักอวลอยู่รอบกายมิใช่หรือ  สายลมเหมันต์ครางครวญอยู่ในอก

แต่ที่ติดค้างอยู่คือ อวี้เสียน  บุรุษมือเปื้อนเลือด  หากแต่หัวใจเปี่ยมรัก

น้ำตาข้ารอหลั่งให้เจ้าอยู่นะ  อวี้เสียน  ชายโฉดแห่งแคว้นเหลียน   

ข้าอยากรู้ว่า  เจ้ายินดีคืนสู่เมืองหลวง  คืนสู่หนทางตาย  เพียงด้วยใจปรารถนาให้สมหวังดั่งใจหมายของคนรักหรือไม่

เมื่อนั้น  ป้ายวิญญาณของเจ้าจะสลักรอยลึกลงในใจข้ามิรู้กาล  อวี้เสียน


แก้คำผิด
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: AfternoonTea ที่ 08-04-2015 22:22:13
อ่านตามทันแล้ววววว ฮืออออ
หลังจากอ่านเรื่องนี้ไปได้ตอนเดียว ก็คิดได้เลยว่า นี่แหละคือนิยายที่กำลังตามหามาแสนนาน
ฮือออออ ไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมเพิ่งมาเจอตอนนี้
เราชอบอ่ะ ชอบมาก ชอบแบบไม่รู้จะชอบยังไงแล้ว รักมากด้วย ฮือออ มันแบบดีที่ไปเสียทุกอย่างเลย
ความรู้สึกในทุกๆตอนที่อ่าน มันจะฟุ้งๆพองๆ อยู่ในใจอ่ะ อธิบายมาถูก รู้แต่ว่ามันมีความสุขอ่ะ
เวลาอ่านแต่ละตอนหรือเจอประโยคที่ใช่ทีไร
ต้องออกมากรี๊ดมาเวิ่นในทวิต แล้วก็กลับไปอ่านต่อ ฮ่าๆ
คือเป็นเอามากจริงๆค่ะ พอจบแล้วนี่ก็ยังอินอยู่เลย ใจหายด้วย TT
คนแต่งเก่งมากจริงๆ ค่ะ ทั้งด้านภาษาที่ใช้บรรยาย
และการผูกเรื่อง พอถึงเรื่องการเมืองเราไม่เบื่อเลยค่ะ กลับชอบไปอีก
เพราะได้เห็นมุมความคิดของพระเอกมากขึ้น ซึ่งเราชอบมาก

อ่านความเห็นคนอื่นๆในตอนแรกๆ มีแต่คนไม่ชอบฉีซี่หยวนสงสารเหลียนอันสุ่ย
แต่นี่ไม่เกลียดพี่ฉีเลยนะ กลับสนับสนุนและสงสารเหลียนอันสุ่ยไปพร้อมๆกัน 555

แล้วเวลาที่คนแต่งบรรยายถึงเหลียนอันสุ่ย เราจะนึกภาพและรู้สึกตามไปด้วยเลยค่ะ
เวลาเราอ่านก็จะรู้สึกสงบ สบายผ่อนคลายงี้เลย
รู้สึกว่าจริงๆแล้วเรื่องบางเรื่องไมได้เลวร้ายอย่างที่เราคิดเสมอไป
ทุกอย่างมีเหตุผลให้มันเป็นไป
ส่วนพี่ฉี เวลาเราอ่านถึง แล้วเราจะรู้สึกปลอดภัยอ่ะ
อยู่กับคนๆนี้แล้วทุกอย่างต้องผ่านไปด้วยดีแน่ๆ
เรื่องที่ยากๆจะกลายดูง่ายไปเลย

สองคนนี้ ต่างคนต่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน
ซึ่งมันดีที่สุดเลย ดีใจที่พวกเค้าได้พบกัน
ได้รักกัน ต่างคนต่างเปลี่ยนอีกคน จนมันเพียงพอ ฮือออ

จริงๆมีอีกหลายตอนที่เราชอบเป็นพิเศษ
อย่างตอนที่ไปช่วยเหลียนๆไม่ให้โดนธนู
คือรักมากแค่ไหนถึงจะยอมแลกได้ขนาดนั้นอ่ะ
แล้วก็ตอนสองสัปดาห์ ฮือออออหน่วงไปเพื่อใครรรรร TT

อีกอย่างค่ะ พอถึงฉากนั้น (?55)
คนแต่งไม่ได้ใช้ภาษาที่ล่อแหลมเลย แต่มันสุดยอดกว่าการใช้คำที่ล่อแหลมเป็นไหนๆ
อ่านแล้วมันเห็นภาพตามชัดเจนกว่าอีก ซึ่งเราชอบมากกกก5555

จริงๆ มีอะไรอยากจะคอมเม้นมากมายเต็มไปหมด แต่ไม่รู้จะเรียบเรียงออกมายังไง
ที่เม้นมาเยอะๆนี่กลับไปอ่านเองก็ยังงงเองเลยค่ะ 5555
คือมันตื้นตัน และดีใจมากค่ะ
ที่ค้นพบนิยายดีๆแบบนี้ คือมันเป็นนิยายแนวจีนโบราณและวายอย่างที่เราชอบเลย

ขอขอบคุณจริงๆค่ะ ที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา รู้เลยว่า คนแต่งต้องหาข้อมูลและใช้เวลามากแค่ไหน
สู้ๆนะคะ จะติดตามและเป็นกำลังใจให้ทั้งเรื่องการแต่งนิยาย (ที่หวังว่าอาจจะมีเรื่องใหม่นะคะ อิอิ)
แล้วก็เรื่องเรียนด้วย คนแต่งเรียนหมอหรือป่าวเอ่ย เดาจากกาที่มีสอบทุกๆอาทิตย์ แฮะๆ สู้ๆนะคะ

ประโยคที่ชอบมีหลายอันเลย จริงๆนะคะ แต่เอาอันที่ยังไงก็จำได้แม่นก็คงเป็นอันนี้
“กล้าที่จะรักด้วยทั้งหมดของหัวใจ ไม่เสียใจจนวันสุดท้ายของชีวิต "

และที่เหลียนอันสุ่ยบรรยายไว้ในตอนจบ

“นี่เป็นความเอาใจใส่ของท่าน  หรือเป็นแผนการของท่านด้วย 
ถ้าเป็นแผนการก็นับว่าท่านทำสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว
เพราะข้านึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีตรงไหนที่อยู่แล้วข้าจะสบายใจมากไปกว่าข้างกายท่าน” งื้ออออรักอ่ะ 
 :hao5:

สุดท้ายแล้วรอรวมเล่มอยู่นะคะ เตรียมสั่งจองแล้ววววววว
 
 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 18-04-2015 21:21:18
ใจหนึ่งก็รู้สึกดีนะคะ ที่มาตามอ่าน 79 ตอนทีเดียว (ใช้เวลา 2 วัน การบ้าน งานการไม่ทำฮะ ใจไม่สงบพอ :m20:)
แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เม้นท์เป็นกำลังใจให้คนเขียนบ้างเลย น่าจะเข้ามาอ่านเร็วกว่านี้ :sad4:
ชอบนิยายจีนโบราณมากค่ะ ช่วงหนึ่งก็ติดนิยายแจ่มใสชุดมากกว่ารักแบบหนึบหนับมาก เราว่ามันโแมนติกสุดๆ แล้วพระเอก นายเอกเราก็จะมีลักษณะแบบที่เราชอบ รักเดียวใจเดียวงี้ :-[
ตอนฉากทำสงครามก็ชอบค่ะ รู้สึกว่าพระเอกเก่งจัง :katai2-1:
รอบทสุดท้ายนะคะ เรื่องสอบก็สู้ค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 19-04-2015 13:56:02
รอตอนที่แปดสิบน้า
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 21-04-2015 23:11:57
สละสลวยมาก  ชอบมากๆเลยค่ะ  ขอบคุณคุณคนเขียนมากเลยค่ะ  สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 04-05-2015 19:43:50
อ่านเรื่องนี้จากเด็กดี นะ นานแล้วล่ะ นี่หาตามเพื่อจะมีประกาศรวมเล่มก็เจอในนี้พอดี แปะโลด หึหึ
หัวข้อ: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: cowinsend ที่ 06-05-2015 03:10:13
กลับมาอ่านอีกรอบก็ยังคงประทับใจ รอรวมเล่มค่ะ มิพลาดๆแต่ขอเวลาเก็บตังนานๆ :katai5:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: wews ที่ 06-05-2015 23:51:50
ชอบมากๆเลยค่ะ  ขอบคุณคนเขียนมากๆ
 :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 13-05-2015 10:59:39
ใครที่พลังลมปราณไม่แข็งแกร่งพอแนะนำให้สูดลมหายใจลึกๆก่อนสองเฮือกค่ะ

บทส่งท้าย

แดดอ่อนๆในฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นอ่อนโยนสุดประมาณ
โต๊ะทรงงานของฉีเซี่ยงหยวนตั้งไม่ห่างจากหน้าต่างถูกแสงธรรมชาติสาดส่องจนรู้สึกผ่อนคลาย  ร่างสูงสง่าพลิกม้วนฎีกาอ่านอย่างละเอียด
กลิ่นชาลอยเข้ามาพร้อมกับเงาร่างของอิ๋งฮวา  นางวางถ้วยชาเอาไว้ในระยะที่เอื้อมถึงของเขา  มองคนที่ขะมักเขม้นทำงาน  แล้วล่าถอยออกไปเงียบๆ
บุรุษผู้นี้คือบุคคลที่นายท่านรักที่สุด  นางได้ทำหน้าที่ของนางอย่างเต็มความสามารถแล้ว
ฉีเซี่ยงหยวนเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะทำงาน  มองเงาหลังของอิ๋งฮวา  มองน้ำชาถ้วยนั้น  มุมปากเรียบเฉยคล้ายกับมีรอยยิ้มอันอ่อนโยน
แล้วบ่าวที่ยืนสงบรอคอยรับใช้อยู่ก็ได้เห็นต้าอ๋องของพวกเขายกถ้วยชาขึ้นจรดริมฝีปาก  อิริยาบถที่ไม่แปรเปลี่ยนมาเป็นเวลาหลายชั่วยามถูกการมาถึงของหญิงรับใช้ผู้นั้นเปลี่ยนแปลง
พวกเขาเห็นนายเหนือหัวทรงงานอย่างหนักมาหลายปี
และพวกเขาก็เห็นสถานะพิเศษของหญิงรับใช้ชาวเหลียนผู้นั้นมานานหลายปี 
นางคล้ายไม่ค่อยใยดีต้าอ๋อง  แต่กับดูแลรับใช้อย่างละเอียดรอบคอบ  ส่วนต้าอ๋องก็คล้ายมิได้ให้ความสนใจนาง  แต่นางกลับเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ต้าอ๋องหยุดหักโหมทำงาน 

พวกเขาล้วนไม่ทราบ...ไม่มีทางทราบ ว่าสำหรับเป่ยชางอ๋อง  นางเป็นตัวแทนความห่วงใยของบุคคลผู้หนึ่ง

ฉีเซี่ยงหยวนก้มลงมองถ้วยชา  อดมิได้ต้องถามตัวเอง...ท่านจากไปกี่ปีแล้ว  เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ไม่มีท่านมันช่างยาวนาน
ฉีเซี่ยงหยวนยังคงจำได้ดี  ปีนั้นเขาอายุสี่สิบห้า  มันเป็นวันที่แดดสว่างจ้าวันหนึ่ง  เป็นวันธรรมดาที่ดูไม่น่าจะมีเหตุการณ์สลักสำคัญใดๆเกิดขึ้น  วันนั้นเหลียนอันสุ่ยหมดสติล้มลงในสวน... 
---------------------
ย้อนกลับไปหลายปีก่อน
ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดการเดินเล่นเช่นทุกวันจึงลงท้ายด้วยการทำให้คนหมดสติได้  หมอหลวงถูกตามตัวมาอย่างรวดเร็ว  ฉีเซี่ยงหยวนเองก็มาถึงอย่างรวดเร็ว  รู้สึกว่าเรื่องราวกะทันหันจนเขาไม่ทันตั้งตัว
ไม่มีหมอหลวงคนไหนทราบว่าเมื่อไหร่เหลียนอันสุ่ยจะฟื้น  ไม่ทราบกระทั่งว่าสุดท้ายจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่  เพราะนอกจากลมหายใจอ่อนเบาก็ไม่มีลักษณะแสดงถึงการรู้สึกตัวอย่างอื่นอีก

โต๊ะทำงานของฉีเซี่ยงหยวนถูกยกเข้ามาตั้งไม่ไกล  แต่คนสั่งให้ยกเข้ามากลับทราบดีว่าตัวเองจิตใจไม่สงบพอจะทำงาน  ชำเลืองมองคนบนเตียงซ้ำๆ  ความหวาดหวั่นไม่แน่ใจในรูปแบบที่ไม่เคยประสบมาก่อนแผ่ขยายกลืนกิน

ยังดีที่ว่าสุดท้ายเหลียนอันสุ่ยก็ฟื้นขึ้นมา  ทว่าแม้จะฟื้นขึ้นมาแล้วคนกลับคล้ายมีความในใจ  กุมผ้าห่มด้วยใบหน้าซีดขาว  สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น  เมื่อสังเกตเห็นร่างสูงใหญ่จึงค่อยข่มอาการนั้นลงไป
“เป็นอะไรไป” เสียงทุ้มถามด้วยความเป็นห่วง  คนเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ตอบ  จนอีกฝ่ายช่วยพยุงให้นั่งชันตัวขึ้นก็ยังคงไม่ตอบ  ทว่าความสับสนกังวลที่ซ่อนอยู่ในท่าทีกลับเกินกว่าจะปกปิดเอาไว้ได้
หญิงรับใช้รีบร้อนยกชามยาเข้ามา  ฉีเซี่ยงหยวนจึงกล่าวว่า
“ท่านกินยาก่อนเถอะ”
ดวงตาคู่งามเพ่งมองชามยาในมืออยู่ครู่หนึ่ง  ไม่ได้ถามกระทั่งว่าเป็นยาอะไร  แค่รับมากินเงียบๆ  ลักษณะท่าทางเช่นนี้ราวกับยาอะไรล้วนไม่แตกต่าง
ใจของฉีเซี่ยงหยวนรุ่มร้อนกังวลอย่างมาก  แต่สีหน้ายังข่มให้สงบนิ่ง  มีความรู้สึกว่าเหลียนอันสุ่ยยังไม่พร้อมสำหรับคำอธิบายจึงมิได้คาดคั้นถาม  ปล่อยให้ร่างสูงโปร่งพิงร่างกับเขาเงียบๆ
แดดที่สะท้อนกับแววตากระจ่างคล้ายกับมีวูบหนึ่งที่เจือประกายน้ำตา    อาจบางทีเป็นแค่ภาพลวงตาที่เขาคิดไปเอง  เพราะสุดท้ายเหลียนอันสุ่ยก็มิได้มีน้ำตาซักหยด
---------------------
เย็นวันนั้นเหลียนอันสุ่ยบอกว่ามีเรื่องต้องคุยกับเขา
ฉีเซี่ยงหยวนรู้แต่ว่าตัวเองไม่มีทางลืมท่าทีในวันนั้นของเหลียนอันสุ่ยได้  ร่างสูงโปร่งนั่งอยู่บนเตียงเพราะหมอหลวงยังไม่อนุญาตให้เขาลุกจากเตียง  ส่วนผู้อื่นก็กังวลว่าเขาจะหมดสติล้มลงไปอีก  เหลียนอันสุ่ยสงบขึ้นมากแล้ว  แต่บางอย่างในท่าทีของเขากลับให้ความรู้สึกเปราะบางไม่มั่นคงเหมือนอย่างเคย

“เซี่ยงหยวน  ท่านเชื่อเรื่องคำสาปหรือไม่”
หากเป็นยามปกติฉีเซี่ยงหยวนมั่นใจว่าตัวเองจะต้องปฏิเสธคำถามนี้อย่างปลอดโปร่ง  แต่ท่าทีของเหลียนอันสุ่ยกลับทำให้เขาไม่อาจไม่จริงจังกับคำถามที่ดูง่ายดายนี้
“ถ้าจะถามข้า...ข้ายังเชื่อเรื่องโชคชะตามากกว่าคำสาปเสียอีก”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มออกมา
“ข้าเองก็เช่นกัน...มีคนบอกว่าเชื้อพระวงศ์แคว้นเหลียนมีคำสาปที่สืบทอดกันมาในสายเลือด”
“อย่างนั้นหรือ  คำสาปอันใด” ถามพลางนั่งลงข้างๆอีกฝ่าย
“คำสาปให้อายุสั้น”
รอยยิ้มจางหายไปจากสีหน้าฉีเซี่ยงหยวน
“คำสาปเป็นเรื่องงมงาย  มีใครกล้าบอกว่าท่านจะอายุสั้น!”
คงเพราะได้ยินโทสะในน้ำเสียง  เหลียนอันสุ่ยจึงอิงศีรษะเข้ากับไหล่หนา  กล่าวว่า
“เซี่ยงหยวน  ข้าก็ไม่เชื่อเรื่องคำสาป  ข้าก็แค่คิด...ว่าบางที...บางทีอาจมีโรคบางอย่างที่สามารถถ่ายทอดทางสายเลือด”
คำพูดนี้ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งงันไป  ได้ยินเหลียนอันสุ่ยกล่าวต่อว่า
“น้องสาวข้าจากไปในวันที่ไม่มีใครคิดว่านางจะจากไป  นางยังคงงดงามถึงเพียงนั้น  อ่อนเยาว์เกินกว่าจะสิ้นอายุขัย  นางกำนัลบอกว่านางกรีดร้องว่าปวดหัวมาก  ปวดหัวจนถึงกับหมดสติไปและไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย  ผู้คนต่างบอกว่าฟ้าริษยาโฉมสะคราญ  ทั้งที่รูปโฉมโดดเด่นกว่าใครแต่กลับอายุขัยไม่ยืนยาว”
“ยังมีท่านตาข้า เหลียนอ๋องที่นับย้อนขึ้นไปสองรุ่น  ท่านตาก็จากไปอย่างกะทันหันมากเช่นกัน  ท่านแม่เคยบอกว่าในรุ่นปู่ทวดก็เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้  คนอื่นล้วนบอกว่ามันคือคำสาป แต่ข้ากลับคิดว่ามันเหมือนโรคภัยมากกว่า”
“...ถ้าเป็นโรคภัยก็ต้องมีหนทางรักษา” ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็ค้นหาเสียงของตัวเองเจอ
“ต้าอ๋อง  โรคบางโรคไม่มีหนทางรักษา  ...ข้าพยายามมาเกินยี่สิบปี  สนใจศึกษาวิชาแพทย์ก็เพราะเหตุนี้  ทว่าสาเหตุของมัน...กระทั่งทราบก็ยังไม่ทราบ” พูดพลางส่ายหัวด้วยท่าทีจนใจ  น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยสงบราบเรียบ  ทว่าเนื้อความของมันกลับหนักหนาจนแทบจะทนทานรับไม่ไหว

ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็รู้แล้วว่าตอนที่อีกฝ่ายบอกว่ามีเรื่องต้องพูดกับเขาต้องใช้ความกล้ามากมายแค่ไหน  สีหน้าของเหลียนอันสุ่ยไหนเลยเหมือนคนที่กำลังเผชิญหน้ากับความตาย
ฉีเซี่ยงหยวนเอื้อมมือไปกุมมือเรียวไว้  กล่าวว่า
“แต่ท่านฟื้นแล้ว พวกเขาล้วนไม่ฟื้นใช่หรือไม่  แต่ท่านฟื้น  แสดงว่าอาการของท่านหาได้หนักหนาเช่นพวกเขา”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งไปครู่จึงกล่าวว่า
“...อาจเป็นเช่นนั้น” ทว่าในน้ำเสียงกลับมิได้มีความหนักแน่นมั่นใจ
“ให้หมอหลวงเข้ามาตรวจอย่างละเอียดอีกทีดีหรือไม่  ไม่แน่ว่าท่านอาจจะเป็นโรคอื่น...”
“ก่อนสลบไปข้าจำได้แต่ความรู้สึกปวดหัวรุนแรง  กับความรู้สึกอยากจะอาเจียน”
 “...ยังปวดอยู่หรือไม่”
เหลียนอันสุ่ยส่ายหัว  เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของฝ่ายตรงข้ามก็ยิ้มออกมาบางๆ
ฉีเซี่ยงหยวนใช้สองมือประคองใบหน้าอีกฝ่ายไว้  เหตุใดท่านยังคงยิ้มได้อีก
“เซี่ยงหยวน  ข้าไม่รู้ว่าตัวเองมีเวลาอีกนานแค่ไหน  ข้ารู้สึกว่าข้าโชคดีกว่าพวกเขาตรงที่มีอาการล่วงหน้าให้เห็น  ข้าไม่อยากจากไปกะทันหันแบบนั้น” เอาจริงๆแล้วข้า...ไม่อยากจากท่านไปเลย  ประโยคสุดท้ายเหลียนอันสุ่ยไม่ได้พูดออกไป

ฉีเซี่ยงหยวนได้แต่มองคนข้างกายเขา  ท่านโชคดีอย่างนั้นหรือ  แต่วันเวลาหลังจากนี้ของท่านต้องอยู่กับความหวาดกลัว  เหลียนอันสุ่ยท่านอย่าพยายามเข้มแข็ง  เพราะท่าทีพยายามเข้มแข็งของท่านทำให้ข้าหัวใจสลาย

ไม่มีผู้ใดเข้าใจอารมณ์ที่เสียดแทงอยู่ในความรู้สึกของฉีเซี่ยงหยวนในเวลานั้น  ความรู้สึกปวดร้าวคล้ายกับกำลังเฉือนเขาออกเป็นชิ้นๆ  ข้าไม่เคยคิดว่าสิ่งที่พรากท่านไปจากข้าจะเป็นโรคภัย  ข้าเอาชนะชะตากรรมของตัวเองมาตลอดชีวิต  ยืนอยู่ในตำแหน่งที่มิได้ด้อยกว่าผู้ใดในหล้า  ทว่ามันกลับเป็นหนึ่งในเรื่องที่ข้าไม่มีปัญญาเอาชนะได้  ข้าไม่ยอมรับชะตากรรมเช่นนี้  ไม่อาจยอมรับ  ไม่ต้องการยอมรับ
แต่ฉีเซี่ยงหยวนไม่ทราบ  ความจริงแล้วไม่ว่าความรักในรูปแบบไหนบทสรุปของมันคือการพรากจากทั้งนั้น

...ต่อให้รักลึกล้ำปานใด  สุดท้ายความตายจะพรากพวกท่านจากกัน
---------------------
หมอหลวงเข้าออกตำหนักเสียงวสันต์ไม่ซ้ำหน้า  ทำให้เหลียนอันสุ่ยตัดสินใจกล่าวกับฉีเซี่ยงหยวนว่า
“ข้าก็แค่เป็นเหมือนกับคนอื่นๆที่ไม่รู้ว่าวันสุดท้ายของตัวเองจะมาถึงวันไหน  ท่านไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้  หากเวลาข้าเหลือไม่มากจริง  ที่ข้าต้องการคือใช้เวลาอยู่กับท่าน  ไม่ใช่ใช้เวลาอยู่กับหมอหลวงพวกนั้น”

เมื่อฉีเซี่ยงหยวนว่าราชการ  เหลียนอันสุ่ยจะนั่งอยู่ในห้องด้านหลังที่มีเอาไว้ให้ต้าอ๋องผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์  เมื่อฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ว่าราชการพวกเขาจะอยู่ด้วยกันในตำหนักเสียงวสันต์  ส่วนกำหนดการอื่นนอกเหนือจากนี้ฉีเซี่ยงหยวนล้วนให้คนเลื่อนออกไปทั้งหมด  งานในโรงหมอของเหลียนอันสุ่ยเองก็ถูกงดไปทั้งหมด

มีคนบอกว่าต้าอ๋องลุ่มหลงบุรุษจนละเลยราชกิจ  มีคนบอกว่าการสลบไสลของเหลียนอันสุ่ยเป็นเพียงแผนการที่ใช้เพื่อล่วงรู้ข้อราชการของแคว้นเป่ยชาง  ทว่าแม้เรื่องจะถูกเอาไปพูดถึงในทางไม่ดี  ทั้งฉีเซี่ยงหยวนทั้งเหลียนอันสุ่ยต่างไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก  หลังอยู่เคียงข้างกันมาเกินสิบปีการถูกเอาไปพูดลับหลังเป็นเพียงเรื่องธรรมดาที่ชินชามานานแล้ว  แม้เรื่องในครั้งนี้จะนับเป็นการแหกกฎครั้งที่ชัดเจนที่สุด  แม้ปกติเหลียนอันสุ่ยจะไม่เคยยอมให้ฉีเซี่ยงหยวนความสำคัญหรือสิทธิพิเศษกับเขาจนเกินพอดีตลอดมา  แต่คราวนี้กลับเป็นข้อยกเว้น  เวลา...เหลืออีกไม่มากแล้ว

ดูจากภายนอกเหลียนอันสุ่ยไม่เหมือนคนที่เจ็บป่วย  ยิ่งไม่คล้ายคนที่กำลังจะตาย  มีเพียงตัวเขาเองที่ทราบว่าสายตาของเขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว  แม้ยังคงอ่านออกแต่กลับมองได้ไม่ครบถ้วนเท่าเดิม  การสลบครั้งนั้นทิ้งรอยบางอย่างอยู่ในหัวเขา  มันคล้ายกับเป็นคำเตือนล่วงหน้าถึงสิ่งที่กำลังจะมาถึง
ถามว่าหวาดกลัวหรือไม่ เหลียนอันสุ่ยยอมรับว่าสองคืนแรกเขานอนไม่หลับ  แต่คนที่รับมือกับเรื่องนี้ได้แย่ยิ่งกว่าเขาคือฉีเซี่ยงหยวนกับเหลียนจิ้งเต๋อ  สองพ่อลูกที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดคู่นั้นราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน  เข้าใจแต่กลับมิใช่ว่ายอมรับ  เห็นคนที่ไม่ยอมรับความจริงสองคนเหลียนอันสุ่ยพลันรู้สึกว่าชีวิตนี้เขาได้อะไรมาไม่น้อยเลย  เวลาของเขาแม้อาจไม่ยาวนานเท่าผู้อื่น  แต่ทุกวันของเขามีคุณค่าความหมายตลอดมา  และมีคุณค่าความหมายอย่างยิ่งต่อคนที่รักเขา  คนที่มีความสำคัญต่อท่านรักท่านถึงเพียงนี้ยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีก 

หลับตาลงช้าๆ  เงี่ยหูฟังเสียงทุ้มต่ำที่ลอดออกมาจากท้องพระโรง  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้สนใจเนื้อหา  เขาเพียงต้องการฟังเสียงของคนผู้หนึ่ง  และให้คนผู้หนึ่งวางใจว่าตัวเขาอยู่ไม่ไกล

ท้องพระโรงเงียบเสียงลงแล้ว เหลียนอันสุ่ยลืมตาขึ้น  ม้วนเก็บม้วนไม้ไผ่ที่หยิบมาแต่อ่านไม่จบเหล่านั้น
“คิดอะไรอยู่” มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามากุมมือเขาไว้
“คิดถึงท่าน” ยิ้มพลางตอบกลับไปตามตรง
คนฟังเงียบไป  เพ่งมองเขาอย่างตั้งใจ  สุดท้ายกล่าวถามว่า
“ทำไมไม่นอนพัก” ฉีเซี่ยงหยวนหมายถึงเตียงที่เขาอุตส่าห์ให้คนยกมาตั้งไว้
ทว่าเหลียนอันสุ่ยมองเตียงหลังนั้นแล้วตอบว่า
“ช่วงนี้ข้านอนมากพอแล้ว  ไม่ง่วงเสียหน่อยจะนอนอีกทำไมกัน” เหลียนอันสุ่ยไม่คิดจะนอนหลับ  ผู้อื่นแม้เห็นเขาเป็นคนป่วย  แต่ตัวเขาเองกลับรู้สึกว่าเขาเป็นปกติดี  เขายังไม่ต้องการการนอนหลับตอนนี้ ไม่ได้ต้องการ...การหลับใหลอันยาวนานก่อนเวลาที่มันจะมาถึง
---------------------
เหลียนอันสุ่ยมีอาการคลื่นไส้สองสามครั้ง   แต่ละครั้งฉีเซี่ยงหยวนล้วนต้องมาดูด้วยตัวเอง  เหลียนอันสุ่ยมองเงาหลังที่เป็นกังวลของอีกฝ่าย  อดไม่ได้ต้องพึมพำออกมาเบาๆ
“ข้าไม่รู้ว่าตัวเองสมควรภาวนาแบบไหน  อาการเล็กๆน้อยๆของข้ากลับเป็นสิ่งที่ทรมานเขา  แต่หากคิดจะให้มันจบลง...ทั้งข้าและเขาต่างหวังให้มันยืนยาวออกไปอีกซักนิด”

อิ๋งฮวาไม่ได้ตอบ นางมีแต่น้ำตาคลอเต็มนัยน์ตา  ผู้อื่นอาจรู้สึกว่าอาการเล็กๆน้อยๆนี้ไม่สำคัญ  แต่กับนางที่อยู่กับครอบครัวที่พัวพันกับโรคร้ายนี้มาชั่วชีวิตกลับไม่อาจวางใจอยู่ตลอดเวลา  มิใช่ไม่เคยมีคนฟื้นขึ้นมาเช่นเดียวกับนายท่าน  แต่คนผู้นั้นหลังจากฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นคนพิการ  โรคภัยที่เอาแน่เอานอนไม่ได้โรคนี้ไม่ทราบคิดจะเอาสิ่งใดไปจากนายท่านก่อนจะพรากชีวิตเขาไป

“ช่วงเวลาแบบนี้ทำให้ข้านึกถึงเมื่อหลายปีก่อนที่พวกเราต่างเข้าใจว่าต้องจากกัน  มันเป็นสองสัปดาห์ที่ทรมานยิ่ง  ตอนนั้นข้าไม่ควรปฏิเสธเขาเลย  ไม่ควรทิ้งขว้างโชคชะตาที่สวรรค์ให้มาอย่างจำกัดนี้ไปกับความเจ็บปวด  หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้  ข้ายอมแลกทุกอย่างกับความสุขในช่วงสองสัปดาห์นั้นของเขา”

นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เจ็บป่วยที่นางเห็นนายท่านเศร้าเสียใจ
---------------------
มีคนบอกว่าสวนในตำหนักชุนเกองามยิ่งกว่าอุทยานหลวง  ต้าอ๋องโปรดปรานคนผู้หนึ่งมาสิบสี่ปี  ที่แห่งนี้จึงถูกต่อเติมทีละน้อยด้วยความรักเอาใจใส่  เหลียนอันสุ่ยนั่งอยู่ในเก๋งริมน้ำ  มองธรรมชาติที่งามประดุจภาพวาด  รอยยิ้มอ่อนบางปรากฏขึ้นบนเรียวปาก
“สิบสี่ปี  ที่แท้เราอยู่ด้วยกันมาสิบสี่ปีแล้ว  สิบสี่ปีแม้ว่าไม่มากมาย  แต่กลับไม่น้อยเลย”
มือคู่หนึ่งยื่นมาจากข้างหลังโอบร่างสูงโปร่งไว้  คางคมสันวางลงบนบ่า  สูดกลิ่นหอมสะอาดบนร่างของคนที่สลักลึกในใจเขา  สิบสี่สำหรับฉีเซี่ยงหยวน...มันยังคงไม่เพียงพอ

ต่างจมลงในความคิด  อยู่ๆเหลียนอันสุ่ยก็พูดขึ้นว่า
“ต้าอ๋อง  ท่านมักบอกว่าข้าเป็นคนของท่าน  เช่นนั้นหากข้าตายจากไปก็ไม่ต้องฝังข้าแบบชาวเหลียน  หลังจากเผาแล้วก็ไม่ต้องให้คนเอาเถ้ากระดูกกลับไปที่นั่น  ข้าอยากให้ท่านโปรยมันไปกับสายลม  ใต้หล้านี้ไม่มีที่ใดที่สายลมไปไม่ถึง  ที่ใดที่สายลมไปถึงข้าย่อมไปถึงเช่นกัน”
“ท่านยังไม่ตายเสียหน่อย  พูดเหลวไหลอะไร”
เหลียนอันสุ่ยเพียงแค่ยิ้ม  ไม่ได้ตอบโต้คำตำหนิ  รู้ว่าฉีเซี่ยงหยวนจะจำได้  ทุกคำพูดของเขาฉีเซี่ยงหยวนจำได้เสมอ

ฉีเซี่ยงหยวนมองร่างสูงโปร่ง  ทราบว่าเหลียนอันสุ่ยไม่ต้องการให้เขายึดติดจึงปฏิเสธทั้งการฝังและการเก็บเถ้ากระดูกเอาไว้ที่ใดที่หนึ่ง  ทว่าใจหนึ่งไม่ต้องการให้ยึดติด  แต่อีกใจกลับอยากอยู่เคียงข้างเขา ความคิดที่ขัดแย้งกันเองในรูปแบบนี้ฉีเซี่ยงหยวนคุ้นชินเป็นอย่างดีและไม่คิดจะกล่าวเปิดโปง 

ชาวเป่ยชางตายไปอยากไปที่ใดก็เอาเถ้ากระดูกไปโปรยไว้ที่นั่น  แต่เชื้อพระวงศ์ชาวเป่ยชางตายไปเถ้ากระดูกจะถูกเก็บไว้ในสุสานหลวง  คนธรรมดาไม่สามารถเข้าออกสุสานหลวง  แต่สายลมกลับเป็นข้อยกเว้น
---------------------
รัตติกาลมืดสนิท  ฉีเซี่ยงหยวนไม่รู้สึกง่วง  เหลียนอันสุ่ยเองก็ไม่รู้สึกง่วง  พวกเขานั่งอยู่บนเตียงสนทนากันจนดึกดื่น 
คืนนั้นอาการปวดหัวมาเยือนเหลียนอันสุ่ยอีกครั้ง  ปวดในลักษณะที่เขาไม่เคยประสบมาก่อน  ปวดจนยากจะเชื่อว่ามีความเจ็บปวดเช่นนี้อยู่บนโลก 
ได้ยินเสียงทุ้มตวาดให้ข้างนอกรีบไปตามหมอหลวงมา  ร่างถูกดึงเข้าไปกอดเอาไว้  เหลียนอันสุ่ยฝังใบหน้าลงกับซอกคอหนา ไม่อยากให้ฉีเซี่ยงหยวนเห็นสีหน้าของเขา  ทว่าแม้จะกัดฟันแน่นเสียงร้องเจ็บปวดก็ยังลอดออกไป

หากจะถามฉีเซี่ยงหยวนช่วงเวลาสั้นๆนั้นยาวนานราวชั่วกัปกัลป์
ความเจ็บปวดของเหลียนอันสุ่ย...เขาไม่อาจแบ่งเบาแม้แต่น้อย  ได้แต่รับรู้ว่าร่างสูงโปร่งเกร็งจนสั่นสะท้าน  มือเรียวยาวที่ยึดร่างเขาไว้บีบแน่นจนรู้สึกเจ็บ...เป็นความเจ็บที่ร้าวลงไปจนถึงกระดูก  เป็นความเจ็บที่ทำให้หัวใจของเขาแหลกสลาย

ทว่าฉีเซี่ยงหยวนไม่ทราบ  ตอนที่เหลียนอันสุ่ยคลายมือจากเขาจะเป็นตอนที่เขาเจ็บปวดที่สุดในชีวิต

ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยสงบอย่างยิ่ง  ดูราวกับความเจ็บปวดใดๆไม่อาจสัมผัสเขาอีกแล้ว  ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันและจบในไม่กี่ชั่วอึดใจ  ฉีเซี่ยงหยวนก็โน้มใบหน้าลงไป จูบเบาๆลงบนเรียวปากคู่นั้น...สัมผัสเรียวปากแต่ไม่อาจสัมผัสลมหายใจ 
หัวใจของฉีเซี่ยงหยวนว่างเปล่า  ชะงักไปครู่หนึ่ง...ก่อนจะกดจูบลึกล้ำกว่าเดิม
---------------------
ข้างนอกสับสนวุ่นวาย  หมอหลวงเพิ่งมาถึง  ทว่ามีเพียงอิ๋งฮวาที่ถูกเรียกตัวเข้าไป
ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่ริมเตียง  ท่าทีสงบของนายท่านทำให้ความกังวลของอิ๋งฮวาค่อยๆบรรเทาลง
“ท่านหมอมาถึงแล้ว”
เป่ยชางอ๋องไม่ได้มองนาง  มือใหญ่ลูบคลำใบหน้าของคนที่ดูคล้ายเพียงแค่หลับใหลไป  กล่าวว่า
“ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา  เจ้าไปตามเหลียนจิ้งเต๋อมา...เขาต้องมาพบหน้าบิดาของเขาเป็นครั้งสุดท้าย”
ขาทั้งสองข้างของอิ๋งฮวาเปลี่ยนเป็นไม่มีแรง  ร่างของนางทรุดลงกับพื้น  ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ไปสิ  ไปได้แล้ว  อย่าลืมให้คนไปตามรัชทายาทมาด้วย” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนสงบราบเรียบติดจะอ่อนโยน  ดวงตาคมกริบของเขาก็อ่อนโยนอย่างยิ่ง 

อิ๋งฮวาเหม่อมองดูความสงบเยือกเย็นของเขา  ไม่รู้ทำไมนางกลับรู้สึกถึงความสูญเสียที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด  อิ๋งฮวายกมือปาดเช็ดน้ำตา  ผุดลุกขึ้นวิ่งออกไป  นางไม่เคยชอบเป่ยชางอ๋องผู้นี้  แต่ความรักที่เขามีต่อนายท่านนางประจักษ์ชัดมาตลอดสิบสี่ปี  ทั้งเขาและนางต่างเป็นผู้สูญเสีย  สูญเสียและเจ็บปวด

การปวดหัวครั้งแรกกับครั้งที่สองห่างกันเพียงสัปดาห์กว่า 
สำหรับฉีเซี่ยงหยวน  การตายจากไปของเหลียนอันสุ่ยได้นำเอาวิญญาณครึ่งหนึ่งของเขาจากไปด้วย...
---------------------
เถ้ากระดูกของเหลียนอันสุ่ยถูกเอาไปโปรยส่วนหนึ่ง  และถูกฉีเซี่ยงหยวนเก็บไว้ส่วนหนึ่ง
“ฉางเฟย  วันไหนที่ข้าตายไป  ให้ผนึกกระดูกของเขาเอาไว้ในโถเดียวกันกับข้า” สุสานหลวงโดดเดี่ยวเกินไป  ถึงตอนนั้นข้ากับเขาจะได้ไม่ต้องแยกจากกันอีก
เรื่องนี้ละเมิดกฎของบรรพชน  แต่หลิวฉางเฟยกลับไม่มีคำทัดทานใด
ตั้งแต่พระมาตุลาแคว้นเหลียนจากไปต้าอ๋องก็ไม่เหมือนเดิม  เวลาสูญเสียคนรักคนเรามักอ่อนแอลง  ข้อนี้หลิวฉางเฟยเข้าใจได้  แต่ที่เขาไม่เคยเจอคนที่สูญเสียความรักแล้วถี่ถ้วนกว่าเดิม  เข้มงวดกับตัวเองกว่าเดิม
เวลาเศร้าเสียใจหลิวฉางเฟยเคยเห็นต้าอ๋องจมตัวเองอยู่ในไหสุรา  แต่เวลาที่สูญเสียคนที่เขารักจริงๆไปฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่เคยแม้แต่จะแตะต้องสุรา
“ต้าอ๋อง  ท่านต้องระบายออกมาบ้าง  เก็บไว้กับตัวเองแบบนี้  ไม่มีอะไรดีขึ้น”
ทว่าคนเป็นต้าอ๋องกลับมองกาสุราในมือคนสนิทที่เป็นเหมือนพี่น้องมานานหลายปีแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ  โบกมือให้เอาไปเก็บพลางบอกว่า
“การเมามายไม่ได้คืนเหลียนอันสุ่ยกลับมาให้ข้า  มีแต่จะทำให้เขาเป็นห่วง” ตอนที่เขามีชีวิตคนที่เขารักที่สุดคือข้า  ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว  ข้าจะทำร้ายคนที่เขารักที่สุดได้อย่างไร
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้อยากเมามาย  เขาไม่ได้ต้องการจะลืมเลือน  ความเจ็บปวดนี้เกิดขึ้นเพราะข้ารักเขา  เป็นหลักฐานยืนยันว่าในช่วงชีวิตหนึ่งเขามีคนที่เขารักอย่างลึกซึ้ง
“จิ้งเอ๋อเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่มีใครเห็นเขาที่กรมมาสามวันแล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนวางพู่กัน  ผุดลุกขึ้น  สั่งหลิวฉางเฟย
“เก็บฎีกาพวกนี้ให้เรียบร้อย  ข้าจะไปสั่งสอนเขา  เหลียนอันสุ่ยไม่มีทางอยากให้บุตรชายของเขาทำตัวแบบนี้”
---------------------
“ท่านกลับดูเป็นปกติเหลือเกิน” คำพูดของเหลียนจิ้งเต๋อไม่ว่าฟังอย่างไรก็เป็นคำเสียดสี
“ข้าแค่ไม่ได้ทำตัวไม่เอาไหนเหมือนเจ้า” ฉีเซี่ยงหยวนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  พลางฉวยกาเหล้าจากมืออีกฝ่ายผลักทิ้งลงบนพื้น
เสียงตกแตกดังบาดหูในห้องที่เงียบสงบ
“เหล้าดีๆเสียไปเปล่าๆเพราะท่าน  กาที่ปั้นขึ้นอย่างตั้งใจถูกคนไร้หัวใจอย่างท่านทำลายไปเสียได้”
“กาที่แตกแล้วไม่มีประโยชน์อีก  คิดไม่ถึงว่าเจ้าจำทำตัวไร้ประโยชน์พอๆกับมัน  ทำลายความหวังดีของคนที่ปั้นเจ้าขึ้นมาอย่างตั้งใจ”
เหลียนจิ้งเต๋อมองเศษกาที่แตกเป็นเสี่ยง  กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“หรือข้าสมควรเป็นอย่างท่าน  ทำเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ กล่าวว่า
“เจ้าทำไม่ได้หรอก  สำหรับเจ้าบิดาของเจ้าอาจตายจากไปแล้ว  แต่สำหรับข้าตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่  เรื่องที่เขาทำไมได้ข้าจะทำแทนเขา  ใช้ชีวิตเผื่อในส่วนของเขา  คนที่เขารักจะไม่กลายเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ในวันที่เขาจากไป”
คำพูดนั้น  เสียงหัวเราะนั้น  ไม่ต่างจากการตบหน้าเรียกสติฉาดใหญ่  เหลียนจิ้งเต๋อจุกจนพูดอันใดไม่ออก  กับเรื่องบางเรื่องฉีเซี่ยงหยวนก็ชมชอบใช้ไม้แข็งที่รวบรัดหมดจดในคราวเดียว
---------------------
กลับถึงห้องทำงานตัวเอง  ฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆนั่งลงช้าๆ  เขายังคิดจะทำงานต่ออีกหน่อย  เขายังไม่อยากกลับไปนอนเร็วนัก  เตียงหลังนั้นว่างเปล่า  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้อยู่ที่นั่น  เหลียนอันสุ่ยอยู่ในใจเขา
มีแต่ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองที่ทราบว่าเขาหาได้เข้มแข็งอย่างที่ใครๆเข้าใจ  เขาคิดถึงเหลียนอันสุ่ยบ่อยครั้ง  และเจ็บปวดเพราะความคิดถึงบ่อยครั้ง  เขาไม่ได้ร้องไห้มานานหลายปี  แต่คืนที่เหลียนอันสุ่ยจากไปโดยไม่รู้ตัวเขากลับหลั่งน้ำตา

มีคนบอกว่าการที่คนเราหลั่งน้ำตามิใช่เป็นเพราะความอ่อนแอ  แต่เป็นเพราะความผูกพัน

ผูกพัน ?  ระหว่างเขากับเหลียนอันสุ่ยไม่ใช่ความผูกพัน

รัก ?  ระหว่างเขากับเหลียนอันสุ่ยไม่ใช่แค่ความรัก

มันยังมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นความไว้วางใจเสมอหนึ่งตัวเอง  เป็นการยอมรับและให้อภัยทุกความผิดพลาด 
เป็นความเคยชินที่จะเป็นส่วนเติมเต็มในชีวิตของฝ่ายตรงข้าม

เขาไม่เหมือนเดิมในวันที่เหลียนอันสุ่ยเข้ามา  และไม่เหมือนเดิมอีกในวันที่เหลียนอันสุ่ยจากไป  เมื่อมีเหลียนอันสุ่ยเขาถึงได้เข้าใจว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาขาดอะไร  ตอนที่เขาสูญเสียเหลียนอันสุ่ยเป็นตอนที่เขาพบว่าตัวเองเปลี่ยนไปแค่ไหน
ที่ตำหนักเสียงวสันต์เหลียนอันสุ่ยทิ้งร่องรอยเอาไว้มากเหลือเกิน 
ทว่าในตัวตนของเขาเหลียนอันสุ่ยทิ้งร่อยรองเอาไว้มากมายยิ่งกว่า 

เขาคิดเผื่อเหลียนอันสุ่ยจนเคยชิน  เรื่องเหี้ยมโหดกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยอยากจะกระทำ
เขาคิดเผื่อเหลียนอันสุ่ยจนเคยชิน  ทำให้ทุกเรื่องราวต้องมองละเอียดรอบคอบกว่าเดิมสามสี่เท่า
เพราะเหลียนอันสุ่ยเป็นพวกคิดมาก  คนที่ทำอะไรรวบรัดชัดเจนอย่างเขาจึงต้องใช้ลูกไม้ประเภทค่อยเป็นค่อยไป
เพราะเหลียนอันสุ่ยเป็นพวกคิดมาก  คนที่ไม่ค่อยสนใจคำพูดชาวบ้านอย่างเขาถึงต้องคอยเงี่ยหูฟังเอาไว้บ้าง

ความทรงจำของท่านมีชีวิตอยู่ภายในหัวใจของข้า  ตัวตนของท่านแทรกอยู่ในทุกการกระทำของข้า  เช่นนี้ข้าจะยึดถือว่าท่านตายไปแล้วได้อย่างไร  เช่นนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะลืมเลือนท่าน  เหลียนอันสุ่ย  ท่านไม่อยากให้ข้ายึดติด  แต่ท่านไม่เคยรู้ตัวเลยหรือว่าพันธนาการที่ท่านใช้ผูกมัดข้าไว้แน่นหนาจนไม่มีปัญญาแกะออก

ท่านแกะไม่ได้  ตัวข้าเองก็แกะไม่ได้

ข้าพบว่าถึงจะรู้ล่วงหน้าว่าต้องลงเอยเช่นนี้  ข้าก็ยังคงเลือกที่จะพบท่าน  ถึงแม้ว่าจะต้องลงเอยที่จากกัน  ข้ายังคงเลือกที่จะรักท่าน  คนบางคนไม่เริ่มต้นเพราะกลัวว่ามันจะจบลง  แต่พวกเขากลับหลงลืมไปว่าคนเราย้อนทบทวนสิ่งที่ผ่าน ‘เข้ามา’ ในชีวิต  คนเราย้อนทบทวนเรื่องที่ ‘เคย’ กระทำ  หากเรื่องใดๆท่านล้วนไม่เคย  เช่นนั้นความทรงจำของท่านต้องว่างเปล่าอย่างยิ่ง

ก่อนหน้านี้ข้าไม่ยอมรับความสูญเสีย  ตอนนี้ถึงได้เข้าใจ  เมื่อใดที่พบพานย่อมต้องมีวันที่พรากจากแน่นอน  การพบพานและพรากจากเป็นแค่ภาพสะท้อนของกันและกันเท่านั้น
---------------------
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 13-05-2015 11:19:04

คนตายจากไป  ความรักใช่จะตายจากไปด้วยหรือไม่ ?

หลังเหลียนอันสุ่ยจากไป  ฉีเซี่ยงหยวนมักชอบมองดาว  ทบทวนเรื่องราวระหว่างพวกเขา  เข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้น  หากแลกกันได้ฉีเซี่ยงหยวนหวังให้คนที่ตายเป็นตัวเขา  คนดีๆแบบเหลียนอันสุ่ยสมควรมีอายุขัยที่ยืนยาวกว่านี้  ทว่าเมื่อขบคิดอย่างละเอียด  คิดถึงการเจ็บปวดของการสูญเสีย  ฉีเซี่ยงหยวนกับหวังให้ผู้ที่ถูกทิ้งไว้เป็นตัวเขาดุจเดิม

วันสุดท้ายของเหลียนอันสุ่ยสมควรจากไปท่ามกลางผู้คนที่รักเขา  ส่วนเรื่องหลังของเขาสมควรมีคนจัดการแทนให้เรียบร้อย

วันนี้ฉีเซี่ยงหยวนมาจัดการเรื่องราวในโรงหมอ  และรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าบางทีการจากไปอย่างกะทันหันอาจมิใช่เรื่องเลวร้ายอะไร  การจมอยู่กับเจ็บป่วยทั้งปีทั้งชาติที่ไม่อาจหาย  ไม่อาจใช้ชีวิต  และไม่อาจตายต่างหากที่น่ากลัว

ยุคสมัยของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนเป็นยุคสมัยแรกที่มีการตั้งโรงหมอของทางการในเขตเมือง  เปิดโอกาสโอกาสให้ชาวบ้านเข้าถึงการรักษา  และเปิดโอกาสให้ลูกหลานของคนธรรมดาสามารถร่ำเรียนวิชาแพทย์

...บางครั้งความสูญเสียก็เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่

วันนั้น  ครึ่งหนึ่งของฉีเซี่ยงหยวนตายจากไป  ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งของเหลียนอันสุ่ย...มีชีวิตอยู่ภายในตัวเขา

‘โรคบางโรคไม่มีหนทางรักษา  แต่โรคบางโรคที่มีหนทางรักษาแต่ไม่อาจได้รับเพราะไม่มีโอกาส...นั่นต้องเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง’ ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวเอาไว้เช่นนี้
---------------------
โรคภัยไข้เจ็บ  ความทุกข์ทรมานที่ไม่ว่าผู้ยิ่งใหญ่สูงศักดิ์แค่ไหนก็ยากจะเอาชนะได้
หนานเหมินอ๋องล้มป่วยมาพักใหญ่  ช่วงเวลาสุดท้ายใกล้เข้ามาหาเขาเต็มที  ทว่าเขาไม่อาจวางใจ...ไม่วางใจแม้แต่น้อย

“พระบิดา  ท่านให้คนไปหายาอายุวัฒนะอีกแล้วหรือ” ผู้กล่าววาจาเป็นองค์หญิงหกที่หนานเหมินอ๋องรักใคร่ที่สุด
“หรือเจ้าไม่หวังให้บิดาตัวเอง  แค่กๆ...อายุยืนยาว”
ฟังถ้อยคำที่เจือโทสะของบิดา  องค์หญิงหกคุกเข่าลงกับพื้น  กล่าวว่า
“พระบิดาโปรดฟังลูกซักครั้ง  หากยาอายุวัฒนะมีจริง  ผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ในแต่ละยุคสมัยไหนเลยจะไม่มีผู้ใดอยู่มาจนถึงวันนี้  พระบิดากินยาหลายขนานแล้ว  ลูกไม่อยากให้ยาที่ไม่ทราบจริงหรือหลอกนี้ทำร้ายท่าน”
หนานเหมินอ๋องมองลูกสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น  นิ่งอยู่นานจึงกล่าวว่า
“ลุกขึ้นเถอะ  มีแต่เจ้าที่ห่วงใยข้า  ลูกอกตัญญูพวกนั้น...แค่กๆ  ยังกัดกันไม่เลิก  ข้า...” พูดยังไม่ทันจบก็ไออย่างหนัก
องค์หญิงหกรีบรินน้ำชาส่งให้  พลางกล่าวว่า
“พระบิดาอย่าพูดอีกเลย  พี่รองยุ่งอยู่กับการบริหารบ้านเมืองแทนท่าน  ไม่เช่นนั้นเขาต้องมาเยี่ยมท่านแน่”
หนานเหมินอ๋องรับน้ำชามาจากมือลูกสาว  แต่ยังคงไม่ดื่ม  กล่าวว่า
“พี่รองของเจ้า  แค่กๆ...เขาดีทุกอย่าง  แต่ใจอ่อนเกินไป  หากยังมองสถานการณ์ไม่ขาดมัวแต่เห็นแก่สายสัมพันธ์  ซักวัน...ซักวันเขาจะต้องเดือดร้อน”
“แต่พี่รองมีพี่ใหญ่ช่วยเหลือ...”
“ช่วยอะไรกัน  พี่ใหญ่ของเจ้ารู้จักแต่อวดโอ่  ทะเยอทะยานแต่ไร้ความสามารถ...” ปิดปากไออีกระลอก  จากนั้นจึงหยุดจิบน้ำชาในมือ 
ทั้งแคว้นหนานเหมิน  คงมีเพียงหนานเหมินอ๋องที่สามารถวิจารณ์องค์ชายใหญ่ชนิดไม่ไว้หน้า
องค์หญิงหกรีบปลอบว่า
“พระบิดายังอยู่พี่สามไม่กล้าก่อเรื่องวุ่นวายแน่”
หนานเหมินอ๋องส่ายหน้า  ถอนหายใจ
“เพราะข้ายังอยู่เขาถึงยังไม่กล้าทำอันใด  ไม่เช่นนั้นคนที่นิสัยโหดเหี้ยมเอาแต่ใจเช่นเขา  ไหนเลย...ไหนเลยยอมลงให้พี่รองของเจ้า  ยังมีบรรดาพี่สาวของเจ้า  พวกนางล้วนคิดอ่านแทนสามี  แต่ไม่เคยคิดอ่านแทนบ้านเมือง  แค่กๆ  ยิ่งไม่  ยิ่งไม่สนใจบิดาตัวเอง”
“พระบิดาท่านอย่าคิดมากอีกเลย  ท่านยิ่งคิดตัวท่านเองก็ยิ่งโมโห  ขุนนางในราชสำนักที่พระบิดาคัดเลือกไว้ล้วนเป็นคนมีความสามารถ  ไม่ว่าอย่างไรแผ่นดินหนานเหมินก็ต้องสงบมั่นคงในที่สุด”

คราวนี้หนานเหมินอ๋องไม่ได้พูดอะไรอีก  ลูกสาวคนที่หกของเขามองโลกง่ายดายเกินไป  แต่นี่หาใช่ความผิดของนาง  แผ่นดินหนานเหมินยิ่งใหญ่มานานปี  แต่ละคนล้วนเข้าใจว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ย่อมไม่มีวันถูกโค่นล้มลง  แต่กลับมองไม่เห็นว่าเสาแต่ละต้นที่พยุงแผ่นดินผืนนี้ไว้ถูกกัดกร่อนจนมีสภาพเป็นอย่างไรไปแล้ว หนานเหมินอ๋องเข้าใจลูกแต่ละคนของเขากระจ่างชัด  แต่ยิ่งเข้าใจกระจ่างชัดก็ยิ่งไม่อาจวางใจ

เหตุใดลูกแต่ละคนของเขาถึงใช้ไม่ได้ถึงเพียงนี้  แต่ละคนล้วนเกิดมาในสถานะที่ดีกว่าฉีเซี่ยงหยวน  แต่กลับไม่มีคนไหนเทียบกับลูกนอกคอกของอดีตเป่ยชางอ๋องได้แม้แต่คนเดียว

หนานเหมินอ๋องคิดไปถึงเมื่อหลายปีก่อน  ฉีเซี่ยงหยวนเคยทำหน้าที่เป็นทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีที่แคว้นหนานเหมินอยู่ครั้งหนึ่ง  อดีตเป่ยชางอ๋องส่งลูกชายที่ไม่สลักสำคัญมาเสี่ยงภัย  ตอนนั้นเขาไม่ควรมองข้ามความสามารถของเด็กคนนี้เพราะเข้าใจว่าคงไม่มีวันได้ครองบัลลังก์  เขาประเมินฉีเซี่ยงหยวนต่ำเกินไป ประเมินต่ำเกินไปมาโดยตลอด  ทำให้วาระสุดท้ายของเขาไม่อาจนอนตายตาหลับเพราะเด็กคนนี้
---------------------
ตอนที่ข่าวหนานเหมินอ๋องสวรรคตมาถึงแคว้นเป่ยชางฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้มีท่าทีแปลกใจ  สำหรับเขาอายุขัยคนเป็นสิ่งจำกัด  หากหนานเหมินอ๋องไม่สามารถกำจัดเขา  สุดท้ายคนที่พ่ายแพ้จะต้องเป็นอีกฝ่าย 

พ่ายแพ้เพราะอายุขัยที่ไม่ยืนยาว 
พ่ายแพ้เพราะตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนปีกกล้าขาแข็งจะเป็นตอนที่หนานเหมินอ๋องไม่อาจอยู่เป็นคู่มือเขาอีกแล้ว

ฉีเซี่ยงหยวนสวมชุดขาวไว้อาลัยให้ศัตรูคนสำคัญของเขาหนึ่งคืน  การสวมชุดขาวทำให้เขาหวนคิดถึงบุคคลผู้หนึ่ง 
ดาวกระจ่างฟ้า  น่าเสียดายที่คืนนี้ข้างกายเขาไม่มีผู้ร่วมชม  ชัยชนะอีกขั้นของเขา  น่าเสียดายที่คืนนี้ปราศจากผู้ร่วมดื่ม 

ฉีเซี่ยงหยวนยิ้มออกมา  รินเหล้าให้ตัวเอง  และรินเหล้าให้ผู้อื่น

สายลมพัดมา  ท่านมองเห็นใช่หรือไม่  ข้างบนนั้นหนาวหรือไม่  เอาไว้ข้าสะสางเรื่องพวกนี้เสร็จแล้ว ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนท่าน
ดวงดาวกระพริบไหว  สายลมยังคงไม่หยุดพัด
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนหมุนถ้วยน้ำชา  อดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วเหล่านั้นคิดไม่ถึงเขายังคงจำได้กระจ่างชัด  มองแสงแดดด้านนอก  แดดวันนี้อบอุ่น  แต่ดูจะมีคนไม่ค่อยอยากให้เขาผ่อนคลาย
“ใต้เท้ามู่มาแล้วขอรับ” เสียงรายงานดังขึ้น
“ให้เขาเข้ามา”
หลายปีมานี้มู่ซางก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย  ประสานมือนอบน้อมพลางกล่าวว่า
“ต้าอ๋องมีคำสั่งตามตัว  มู่ซางจึงรีบรุดมา  ไม่ทราบมีบัญชาใด”
“ข้าอยากฝากคำพูดไปถึงคนผู้หนึ่ง  บอกเขาว่าคิดงัดข้อกับข้า  ข้าไม่ได้ห้าม  แต่อย่าใช้เหลียนจิ้งเต๋อมาเป็นโล่  ไม่อย่างนั้นคนต้นคิดข้าจะให้มันตายไร้ที่ฝังกลบ”
มู่ซางฟังคำพูดเรียบเฉยไม่ใส่ใจนั้นด้วยความรู้สึกร้อนๆหนาวๆ  ขณะกำลังคิดจะกล่าวแก้ตัวสักสองประโยคก็ได้ยินคำพูดตัดบทเสียก่อนว่า
“ข้ายังมีงานต้องทำ  เจ้าออกไปเถอะ  รัชทายาทรับผิดชอบงานหนัก  เจ้าคิดช่วยแบ่งเบาข้าไม่ว่า  แต่ต้องรู้จักแยกแยะ”
แยกแยะว่าเรื่องไหนแตะได้  เรื่องไหนไม่ควรแตะ !
มู่ซางกลืนน้ำลายอึกใหญ่  ประสานมือล่าถอยออกไป

หลายปีมานี้อำนาจในราชสำนักของรัชทายาทเติบโตกล้าแข็ง  ฉีเซี่ยงหยวนเพียงเฝ้ามองห่างๆไม่ได้ยื่นมือไปสกัดกั้น   ลูกบุญธรรมคนนี้ของเขาทำสิ่งใดระมัดระวังรอบคอบ  ไม่เปิดโอกาสให้อาคนที่ห้าของตัวเองสามารถฉกฉวยที่ยืนในราชสำนัก  เพียงแต่คราวนี้คิดหยั่งท่าทีของเขากลับเอาเหลียนจิ้งเต๋อมาเป็นโล่  อาศัยว่าเขาไม่มีทางเอาชีวิตลูกชายของเหลียนอันสุ่ย  ความคิดแบบนี้ไม่ใช่มู่ซางแล้วยังจะเป็นใครไปได้ 

ความจริงเรื่องมู่ซางยืนอยู่ฝ่ายรัชทายาทฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ใส่ใจ  เพราะอำนาจในราชสำนักในที่สุดก็ต้องถ่ายโอนไปสู่อีกมือหนึ่ง  ขั้นตอนถ่ายโอนนี้ฉีเซี่ยงหยวนต้องการให้มันค่อยเป็นค่อยไปป้องกันการเกิดการช่วงชิงภายใน  ฉีเซี่ยงหยวนกำลังเฝ้าดูว่าลูกชายของพี่ใหญ่จะมีหนทางไหนถ่ายโอนอำนาจไปจากมือเขา 

ใช่แล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดจะยกให้ง่ายๆ  คนที่ไม่มีความสามารถเอามาย่อมดูแลไม่เป็น  เพราะขนาดคนที่มีความสามารถเอามาบางคนยังดูแลไม่เป็นเลย  ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหนานเหมินอ๋องคือการที่ผู้สืบทอดของเขาไม่มีปัญญาแบกอำนาจยิ่งใหญ่ของบิดาตัวเอง  ฉีเซี่ยงหยวนจะไม่เดินซ้ำรอยนั้น

แผ่นดินหนานเหมินตอนนี้มีแต่ความวุ่นวาย  องค์ชายรองเด็ดขาดไม่พอถูกน้องชายตัวเองบีบจนต้องสละบัลลังก์  องค์ชายสามปกครองคนอย่างเหี้ยมโหด  ใช้คนไม่เป็นและไม่รู้จักซื้อใจคน  แผ่นดินยิ่งใหญ่ที่หนานเหมินอ๋องสร้างเอาไว้ง่อนแง่นเต็มที  ล้วนเป็นลูกชายที่ไม่เข้าใจความยากแค้นของแผ่นดินก่อเรื่องขึ้นมา  รอดูไปเถอะ  ผู้คนเอาใจออกห่างเมื่อไหร่ แผ่นดินหนานเหมินจะต้องถึงกาลล่มสลาย  แตกออกเป็นเสี่ยงๆ 
แน่นอนว่าตัวฉีเซี่ยงหยวนเองก็ไม่คิดจะปล่อยให้โอกาสจังหวะนี้ผิดพลาดไปเป็นอย่างอื่น

ฉีเซี่ยงหยวนหยิบพู่กัน  ลงชื่ออนุมัติในฎีกาของเขาต่อ  อันที่จริงการดูบุตรบุญธรรมสองคนของเขาผนึกกำลังกันงัดข้อกับน้องห้าก็เป็นอะไรที่ไม่เลว  ตั้งแต่อดีตเป่ยชางอ๋องสวรรคตน้องห้าก็เริ่มไม่ค่อยสงบเสงี่ยม  ฉีเซี่ยงหยวนขี้เกียจไปยุ่งวุ่นวาย  ผู้ใดที่อยากเป็นรัชทายาทก็ให้ผู้นั้นคอยดูแลอำนาจของตัวเองไปให้ดีเถอะ

‘ท่านแกล้งคนอีกแล้ว’ คล้ายกับมีเสียงตำหนิดังลอยมา 
เหลียนอันสุ่ยไม่ค่อยเห็นด้วยเวลาเขาแกล้งคนอื่น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งแกล้งลูกบุญธรรมของตัวเอง

คิดพลางจรดพู่กันอย่างปลอดโปร่ง  หลังแกล้งคนฉีเซี่ยงหยวนมักจะอารมณ์ปลอดโปร่งเป็นพิเศษ
---------------------
องค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงอาศัยความช่วยเหลือจากแคว้นเป่ยชางสุดท้ายสามารถนั่งบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง สถาปนาตัวเองเป็นโหยวเฉิงอ๋อง  ส่งของกำนัลให้แคว้นเป่ยชางไม่ขาด  ทางหนึ่งคิดอาศัยเวลานี้ฟื้นฟูแคว้น  ทางหนึ่งพึ่งพาอำนาจของแคว้นเป่ยชางป้องกันตัวเองจากแคว้นหนานเหมิน  การยกทัพใหญ่บุกแคว้นโหยวเฉิงในครั้งนั้นฝังรอยประหวั่นพรั่นพรึงสุดประมาณเอาไว้ในหัวใจชาวโหยวเฉิงทุกผู้คน  หลังหนานเหมินอ๋องสิ้นไป  โหยวเฉิงอ๋องคิดสะระตะเห็นว่าเข้มแข็งที่สุดในเวลานี้ไม่มีแคว้นใดเกินแคว้นเป่ยชาง  ตัดสินใจยกธิดาองค์โตให้แต่งงานกับเป่ยชางอ๋อง

ด้วยวัยนางสมควรแต่งกับรัชทายาท  แต่ตำแหน่งชายารัชทายาทย่อมไม่มีทางเทียบได้กับตำแหน่งอัครชายาในเป่ยชางอ๋องที่ยังคงว่างเปล่า  ส่วนน้องสาวที่เคยงามพริ้งและเป็นตัวเลือกก่อนหน้านี้ก็พ้นวัยที่จะเป็นที่ต้องการไปแล้วหลังถูกปฏิเสธอย่างหนักแน่นถึงสองครั้ง
อันที่จริงครั้งที่สามนี้แคว้นโหยวเฉิงไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนัก  ทว่าคงเพราะเปลี่ยนตัวเจ้าสาวแคว้นเป่ยชางจึงตอบตกลง
---------------------
ค่ำคืนยาวนาน  บุปผาเฝ้ารอคอย  วันนี้เขาให้คนมาบอกว่าจะมาค้างที่นี่นางจึงเริ่มต้นรอคอย  มิใช่ครั้งแรกที่เขาทำงานจนดึกดื่น  และมิใช่ครั้งแรกที่นางรอคอยเขา  ฉู่เตี๋ยไม่เคยคิดว่านางจะหลงรักบุรุษที่อายุห่างจากนางถึง 25 ปี  การแต่งงานมาที่นี่ของนางเพียงทำเพื่อบ้านเมือง  ทว่าเขากลับทำให้นางเข้าใจความหอมหวานและความขมฝาดของชีวิต 

นางแต่งให้เขามา 4 ปีแล้ว  ไม่มีใครรู้ว่านางยังคงเป็นหญิงพรหมจรรย์  การที่เขามาค้างที่นี่ไม่ได้ทำให้ระยะห่างของนางกับเขาแคบลง  เพราะตั้งแต่คืนแรกที่เข้าหอเขาบอกนางว่าเขาไม่อาจแตะต้องนางได้เพราะที่เขาชมชอบคือบุรุษ  ทว่านางกลับไม่เคยเห็นบุรุษคนใดอยู่ข้างกายเขาในฐานะคนรักมาก่อน

นางมักรู้สึกว่าเขามีคนผู้หนึ่งอยู่ในใจ  เวลามองแสงดาวสายตาของเขามักจะอ่อนโยนเป็นพิเศษ  และเพราะสายตาเช่นนั้นนางจึงหลงรักเขา  นางหลงรักความรักที่งมงายของเขา  หลงใหลความสามารถที่โดดเด่นเหนือใครของเขา  ตั้งแต่ปีแรกที่แต่งงานกันนางก็ค้นพบว่าตัวเองแต่งงานให้กับบุรุษที่ประสบความสำเร็จผู้หนึ่ง  เขาเหมือนตำนานมีชีวิตที่นางทำได้เพียงแหงนหน้ามองดูด้วยความยกย่องชื่นชม
      ---------------------
“ต้าอ๋อง  ยามจื่อ(23.00 น.-01.00 น.)แล้ว” หลิวฉางเฟยเตือนเบาๆ
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งไปครู่หนึ่ง  สุดท้ายกล่าวว่า
“ข้ายังจัดการงานไม่เสร็จ  ...ให้คนไปบอกพระอัครชายาให้นางเข้านอนเถอะ  ไม่ต้องรออีกแล้ว”

ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าเขาทำเช่นนี้ไม่ถูก  วัยสาวของนาง  ความรักของนางกลับถูกทิ้งขว้างไปกับความอ้างว้าง  ฉีเซี่ยงหยวนมิได้ไม่ทราบความรู้สึกที่นางมีต่อเขา  ทว่าไม่ว่าจะเสแสร้งหรือจริงใจนั่นล้วนไม่สำคัญ  การคงอยู่ของนางเติมเต็มอำนาจในมือเขาให้สมบูรณ์  ทว่านางมิอาจเติมเต็มหัวใจของเขา 

บางทีมันอาจเป็นความดื้อรั้นยืนกรานชนิดหนึ่ง  เป็นความยึดติดชนิดหนึ่ง  ถ้าเหลียนอันสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ไม่มีทางยินดีให้เขาทำอย่างนี้  แต่สำหรับฉีเซี่ยงหยวนหากนางจะเป็นอีกรักหนึ่งของเขา  นางย่อมมีวิธีเข้ามาในหัวใจของเขาเอง  กับเรื่องเช่นนี้ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยฝืนรั้งบังคับเสมอมา  เพราะมันมิใช่เรื่องที่ฝืนรั้งบังคับได้  นางก็แค่ยังมิใช่  มิได้มีความผิดอื่นใดอีก  ดังนั้นแม้ว่าเขาและนางจะแต่งงานเพราะบ้านเมือง  เขาก็ยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี

เขาแต่งงานกับนางเพราะบ้านเมือง  นางเองก็แต่งงานกับเขาเพราะบ้านเมือง  สิ่งที่เขาและนางแลกเปลี่ยนกันมิใช่ความรู้สึก  แต่เป็นความสัมพันธ์แน่นแฟ้นของสองแผ่นดิน  ยุติธรรมหรือไม่  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ทราบ  ทราบแต่ตัวเองมิใช่ฝ่ายยื่นข้อเสนอนี้  ในเมื่อแคว้นโหยวเฉิงสมัครใจก็ไม่อาจโทษว่าที่เขาตอบตกลง

ฉีเซี่ยงหยวนคิดว่าเขาเข้าใจพระบิดามากขึ้น  เทียบกับการหันหอกดาบใส่กันแล้วชีวิตจำนวนมากต้องสูญสิ้นไปการแต่งงานนับเป็นทางเลือกที่ดีกว่ามาก  ทว่านอกจากองค์หญิงแคว้นโหยวเฉิงแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดจะแต่งงานอีกเพราะไม่มีแผ่นดินผืนอื่นคู่ควรกับการตัดสินใจเช่นนี้
สำหรับตัวเขาการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักมิใช่หมากที่สามารถเดินได้ง่ายดาย
---------------------
ตั้งแต่พระมาตุลาแคว้นเหลียนจากไป  ตำหนักชุนเกอส่วนที่พระมาตุลาเคยพำนักก็ถูกปิดเป็นเขตหวงห้าม  มีเพียงปีกตำหนักส่วนที่เป็นของเหลียนจิ้งเต๋อที่ยังมีคนเข้าออก
ปีนั้นเป็นปีที่ 5 ที่ตำหนักถูกปิด  หานญื่อหลัวกลับถึงเมืองหลวง
น่าแปลกที่ว่าเมื่อองค์รักษ์รายงานต่อเป่ยชางอ๋องเรื่องพระภาดาคิดรุกล้ำเขตหวงห้าม  ฉีเซี่ยงหยวนกลับแค่ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า
‘ให้เขาเข้าไปเถอะ’

วันนี้เป็นวันแห่งการรำลึกถึง  เพราะเป็นวันครบรอบการตายของบิดาบุญธรรมที่เคยใกล้ชิดเมื่อครั้งยังเยาว์  เถี่ยอิ๋งอิ๋งเหยียบเข้าตำหนักเสียงวสันต์ก็เดินวนไปในส่วนของพี่จิ้งเต๋อ  เห็นเจ้าตัวยังไม่กลับมาก็ตัดสินใจเดินไปยังปีกขวา  นางเข้าออกวังหลวงได้อิสระ  ตำหนักเสียงวสันต์แห่งนี้ยิ่งไม่เคยเป็นที่ไม่ต้อนรับและมิใช่เขตหวงห้ามสำหรับนาง

เสียงพิณไหลเรื่อยดั่งน้ำจากที่สูงไหลลงสู่ที่ต่ำ  ต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง ในเสียงแจ่มกระจ่างแฝงอารมณ์หวนรำลึกไว้อย่างลึกล้ำ  ราวขณะน้ำเซาะผ่านแก่งหินแต่ละก้อนได้ชะเอาผิวหน้าเปิดเผยความรู้สึกอาวรณ์ที่เก็บซ่อนไว้ในใจคนออกมา

ได้ยินเสียงพิณเช่นนี้เถี่ยอิ๋งอิ๋งพลันทราบว่าผู้บรรเลงคือใคร  เหนือจรดใต้ของแผ่นดินเป่ยชางความสามารถทางดนตรีของพระภาดาหานญื่อหลัวไม่มีผู้ใดไม่ทราบ
นางไม่ได้พบเขามาหลายปี  หลังพระมาตุลาแคว้นเหลียนจากไปหานญื่อหลัวก็ไม่ค่อยอยู่เมืองหลวง  จากนั้นนางก็พบว่าคำร่ำลือล้วนเชื่อถือไม่ได้  ผู้ใดบอกว่าเป่ยชางอ๋องไม่ถูกกับลูกพี่ลูกน้องผู้นี้  พวกเขามิใช่นั่งคุยกันอย่างสันติอยู่หรือไร

“ได้ยินว่าเจ้ายังไม่แต่งงาน” ฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยขึ้น
“ได้ยินว่าท่านแต่งงานแล้ว” ใครอีกคนย้อนเรียบๆ
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลงแต่ไม่ได้ตอบโต้  วันนี้เขาไม่ได้อยากขัดแย้งกับหานญื่อหลัว  ความจริงฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยคิดว่าระหว่างพวกเขาจะมีวันนั่งสนทนากันดีๆ  บางทีคงเป็นเพราะเหลียนอันสุ่ย
หานญื่อหลัวมองลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง  เหลียนอันสุ่ยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเขา  แต่สำหรับฉีเซี่ยงหยวน...พระมาตุลาแคว้นเหลียนคงเป็นความรักที่ยากจะลืม  มองตำหนักเสียงวสันต์ที่ไม่ได้ถูกปล่อยให้ทรุดโทรมลงเลย  ถอนหายใจออกมาเบาๆ
---------------------
ความโดดเดี่ยวไม่ได้เกี่ยวกับว่าข้างกายท่านมีคนกี่คน
บางครั้งแม้อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย  ท่านก็ยังคงรู้สึกโดดเดี่ยว

หิมะตกแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนอยู่คนเดียว  สีขาวของหิมะราวกับย้อมโลกทั้งใบให้ตกอยู่ใต้ความเหน็บหนาวอ้างว้าง  เกล็ดหิมะตกลงในอุ้งมือใหญ่  แผ่วเบาและเยือกเย็น  ความหนาวเย็นบางเบานี้ราวสามารถแทรกซึมเข้าไปในหัวใจคน  ทว่าหัวใจฉีเซี่ยงหยวนไม่เหน็บหนาว  ตัวเขาเองก็มิได้รู้สึกโดดเดี่ยว  แต่ละก้าวที่ย่ำลงไปบนผิวหิมะสงบมั่นคง  ท่ามกลางแผ่นฟ้าและแผ่นดินอันสงัดเงียบงัน  ทีละก้าว...ทีละก้าว...
บางครั้งความเงียบสงบก็เป็นความสุขอันเรียบง่ายชนิดหนึ่ง...การได้อยู่กับตัวเองก็เช่นกัน
เพราะความโดดเดี่ยวไม่ได้เกี่ยวกับว่าข้างกายท่านมีคนกี่คน
...ความโดดเดี่ยวเกี่ยวกับว่าหัวใจของท่านมีใครอยู่หรือไม่
---------------------
กลางฤดูหนาว  ในปีที่ 24 ของการครองราชย์  เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนสิ้นพระชนม์

รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์สืบต่อ  รัชสมัยใหม่มาถึง  ความยิ่งใหญ่ของแคว้นเป่ยชางสุดที่ผู้ใดจะสามารถทาบรัศมีได้

รากฐานที่มั่นคงส่งต่อความสำเร็จ  ยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของแผ่นดินผืนหนึ่งกำเนิดสืบเนื่องมาจากยุคก่อนหน้า
แคว้นโหยวเฉิงเห็นแคว้นเป่ยชางเพิ่งผลัดเปลี่ยนผู้ครองแคว้นจึงกระด้างกระเดื่องไม่ส่งบรรณาการ  ทว่าเงื้อมมือของแคว้นเป่ยชางที่ยื่นเข้าไปในแคว้นโหยวเฉิงตั้งแต่สมัยฉีเซี่ยงหยวนหยั่งรากลึกจนยากจะถอน  แผ่นดินโหยวเฉิงแม้อยู่ในอาณาเขตของโหยวเฉิงอ๋อง  แท้จริงกลับอยู่ในกำมือของฉีเซี่ยงหยวนแล้วครึ่งหนึ่ง  แคว้นโหยวเฉิงจึงเป็นแคว้นแรกที่ถูกเป่ยชางกลืนกิน

ท่านเอย  การแต่งงานทางการเมืองกระชับมิตรที่แน่นแฟ้นก็จริง  แต่มันก็เป็นการดึงศัตรูเข้ามาใกล้กว่าที่คิดด้วย  โหยวเฉิงหวังประโยชน์จากการแต่งงานทางการเมือง  หารู้ไม่ว่าแคว้นที่ได้ประโยชน์แท้จริงกลับเป็นแคว้นเป่ยชาง

แคว้นโหยวเฉิงกำลังถูกกลืน  คนถูกบีบคั้นกลับเป็นแคว้นหนานเหมิน  ยิ่งอาณาเขตของเป่ยชางถลำเข้าไปในแคว้นโหยวเฉิงมากเท่าไหร่  แคว้นหนานเหมินยิ่งร้อนรนเท่านั้น

ตาชั่งอำนาจที่ถ่วงดุลระหว่างสามแคว้นเอียงกระเท่เร่  เมื่อสมดุลเทเอียง  สิ่งที่เกิดขึ้นคือปรับเข้าสู่สมดุลใหม่  เป่ยชางดำเนินแผน  หนานเหมินแก้เกม  เป่ยชางเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว  โหยวเฉิงพลิกปรับหลีกหนี  คนนับหมื่นนับพันดิ้นรนอยู่ในหนทางที่แตกต่าง  ต่างเพียรพยายาม  ต่างมุ่งมาดปรารถนา  แผนการแผนแล้วแผนเล่าผุดขึ้นใหม่ไม่หยุดหย่อน  การคาดคะเนครั้งแล้วครั้งเล่าละเอียดถี่ยิบ
ฉีเซี่ยงหยวนไม่มีทายาทที่เป็นสายเลือดตรง  แต่ทายาทสืบทอดอำนาจของเขากลับทำให้สามแคว้นสั่นสะเทือน
อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนเคยกล่าวไว้กับเหลียนอันสุ่ยว่า
‘เด็กคนนี้เก่งกว่าข้า  เรื่องที่ข้าทำไม่ได้  จะสำเร็จในยุคสมัยของเขา’
---------------------
ฤดูหนาวเวียนบรรจบ  ทุกวันครบรอบวันตายของผู้ครองแคว้นคนก่อนจะเป็นวันที่ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางเก็บตัวในสุสานบรรพชนเพื่อเซ่นไหว้
เป่ยชางอ๋องมองโถกระดูกที่เรียงราย  สายตาจรดนิ่งอยู่ที่โถใบริมสุด  ไม่ทราบเพราะเหตุใดกลับนึกไปถึงวันเดียวกันเมื่อหลายปีก่อน  วันที่พระบิดาบุญธรรมหลับไปและไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย  มันควรจะเป็นแค่การงีบหลับสั้นๆระหว่างวันตามปกติ  แต่การงีบหลับครั้งนี้กินความยาวตลอดกาล

ในตอนเช้าพระบิดาบุญธรรมยังเรียกเขาไปมอบหมายงานสองสามอย่าง  นึกไม่ถึงว่านั่นจะเป็นครั้งที่สุดท้ายที่เขาได้พบพระบิดาบุญธรรมตอนยังมีชีวิตอยู่  เหตุใดคนที่เหนือธรรมดาคนหนึ่งเมื่อถึงอายุขัยกลับเดินจากไปอย่างง่ายดายปานนี้

หรือว่าความตายแท้จริงก็เป็นเช่นนี้เอง  เรียบง่ายและสามัญธรรมดา

ทว่าไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไร  มันก็ทำให้เขาได้รับทราบความจริงข้อหนึ่ง  ว่าที่แท้ตัวเขากลับผูกพันกับพระบิดาบุญธรรมถึงเพียงนี้  ผูกพันกับท่านอาคนนี้มากมายถึงเพียงนี้  ว่างโหวงอย่างประหลาด  รู้สึกสูญเสียอย่างประหลาด
ทุกอย่างแปลกประหลาดยิ่ง

เหลียนจิ้งเต๋อที่เข้าใจว่าคงไม่มีทางเสียน้ำตากับเรื่องนี้กลับร้องไห้จนน้ำตานองหน้า  ขุนพลที่ห้าวหาญนับสิบนักรบที่กร้าวแกร่งนับร้อยคุกเข่าตลอดทางยาวหน้าตำหนักเสียน้ำตาให้กับผู้ที่จากไป  พระอัครชายาร่ำไห้  เถี่ยอิ๋งอิ๋งที่เป็นเหมือนน้องสาวของเขาก็ร้องไห้อย่างหนัก  ตัวเขาเองก็แปลกประหลาดอย่างยิ่ง  ต้องใช้เวลาพักใหญ่จึงจะยอมรับการจากไปครั้งนี้ได้

ทั้งๆที่เป็นแค่บิดาบุญธรรม  เหตุใดตัวตนของอีกฝ่ายในใจเขาจึงดูยิ่งใหญ่จนยากก้าวข้าม  มีน้ำหนักมากเหลือเกิน  อาจบางที...มากยิ่งกว่าท่านพ่อเสียอีก
วันนั้นหลายสิ่งหลายอย่างถูกเปิดเผยออกมา ไม่นึกสงสัยอีกต่อไปว่าเหตุใดเหตุการณ์กระด้างกระเดื่องในราชสำนักจึงไม่อาจสั่นคลอนอำนาจทางทหารในมือของพระบิดา  พระบิดา...บางทีตัวเขาก็คุ้นชินกับการเรียกอีกฝ่ายเป็นพระบิดา
ท่านอาของเขาคนนี้มีอิทธิพลต่อตัวเขามากมายยิ่งกว่าที่เขารู้เสียอีก

โถกระดูกหนึ่งใบผนึกวิญญาณคนผู้หนึ่งไว้ชั่วนิรันดร์  โถกระดูกหนึ่งใบผนึกความลับหนึ่งไว้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ 
คนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าไม่ล่วงรู้  ใต้หล้ายิ่งไม่มีวันทราบ
ว่าโถกระดูกธรรมดาโถนี้ที่มันผนึกไว้กลับเป็นความรัก...
---------------------
สาส์นสวามิภักดิ์เพิ่งมาถึงเมื่อเช้า  ในที่สุดแคว้นหนานเหมินก็ยินยอมศิโรราบ  แผ่นดินที่แตกเป็นเสี่ยงไม่เหลือทุนรอนไว้ให้ใช้ต่อต้าน  จะได้ทั้งหมดมาครบเมื่อไหร่เป็นเพียงเรื่องที่ขึ้นกับเวลาเท่านั้น

ฟ้ากว้างทอดต่อเนื่องเป็นผืนเดียว  แผ่นดินกว้างทอดต่อเนื่องเป็นผืนใหญ่อยู่เบื้องหน้า 
จากที่สูงมองลงไปราวเหยียบใต้หล้าเอาไว้ใต้ฝ่าเท้า

 “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของท่าน” เหลียนจิ้งเต๋อกล่าวพลางพลิกตัวลงจากหลังม้า
คนเป็นเป่ยชางอ๋องกอดอกด้วยสีหน้าครุ่นคิด  ปล่อยให้สายลมพัดชายเสื้อเขา  พลางกล่าวว่า
“...นี่เป็นความฝันของพระบิดาบุญธรรม”
“ใช่  เป็นความฝันของเขา  แต่เป็นความจริงในมือท่าน  ท่านเหนือล้ำกว่าเขาแล้ว”

เหนือล้ำกว่า?  เหตุใดเขาจึงไม่ค่อยรู้สึกเช่นนั้น  เบื้องหลังความสำเร็จของเขามีคนที่ลงมืออย่างแนบเนียนผู้หนึ่ง  คนที่ไม่เคยปล่อยให้เขาได้สิ่งใดโดยง่ายดายตลอดมา  ยอมรับนับถือจากใจ  ไม่อาจปฏิเสธว่าหากไม่มีอีกฝ่ายตัวเขาคงยากจะมีวันนี้
ข้ารู้ว่าท่านมองเห็น...และข้ารู้ว่าตอนนี้ท่านมีความสุขยิ่ง
มองเหลียนจิ้งเต๋อ  จากนั้นหัวเราะเบาๆกับตัวเอง

ใช่แล้ว  ท่านจะไม่มีความสุขได้อย่างไร  ท่านพบเขาแล้วใช่หรือไม่  คนที่จนวันสุดท้ายของชีวิตท่านก็ไม่อาจลืมเลือนคนนั้น  ผู้อื่นล้วนเห็นว่านี่เป็นความผิดพลาดในชีวิตท่านและหลีกเลี่ยงที่จะไปกล่าวถึง  แต่ข้ารู้ว่าความผิดพลาดนี้ในใจของท่านไม่เคยนับมันเป็นความผิดพลาดเลย
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนเป็นต้าอ๋ององค์เดียวในประวัติศาสตร์แคว้นเป่ยชางที่ไม่มีทายาท  บ้างก็ว่าเป็นเพราะเขาเคยมีความรักที่ไม่อาจลืม  บ้างก็ว่าเป็นเพราะความยึดติดที่เขามีต่อพี่ชาย  บ้างก็ว่าเป็นเพราะความละอายจากการแย่งชิงบัลลังก์มาโดยมิชอบ  มีคำร่ำลือว่าเขามีลูกไม่ได้  มีคำร่ำลือว่าเขาชมชอบบุรุษ  แน่นอน  ไม่มีผู้ใดทราบว่าเรื่องราวแท้จริงเป็นอย่างไร  อย่างน้อยในยุคนี้ก็ไม่มีผู้ใดทราบ
ปริศนาถูกกลบฝังอยู่ในรอยของประวัติศาสตร์  เวลายิ่งเคลื่อนผ่านรอยนั้นยิ่งเจือจางเบาบางลง

บันทึกประวัติศาสตร์ก็เป็นเช่นนี้  พื้นที่ว่างเปล่าระหว่างแต่ละบรรทัดอันเรียบง่ายคือพันรอยยิ้ม  หมื่นหยาดน้ำตา 
โลหิต ชีวิต และหยาดเหงื่อ  ฝังความรักที่งมงายที่สุด  ความรักที่เรียบง่ายที่สุด  และความรักที่ลึกซึ้งตราตรึงที่สุด

ตัวละครนับหมื่นนับพันถักทอรวมกันเป็นเงาเพียงผืนเดียวที่เรียกว่า ‘อดีต’  เมื่อวานคืออดีตของวันนี้  วันนี้คืออดีตของวันพรุ่งนี้  ไม่มีผู้ใดรู้ว่าอีกร้อยปีข้างหน้าการคงอยู่ในวันนี้จะถูกเขียนถึงอย่างไร  เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครรู้ว่าอายุของตัวเองจะยืนยาวแค่ไหน  ทุกคนเพียงรู้ว่าตัวเองจะคงอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง...เป็นที่จดจำของคนที่รักเรา  ซึ่งเท่านั้นก็เพียงพอ

--- จบบริบูรณ์ ---
หัวข้อ: จากใจผู้แต่ง
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 13-05-2015 11:20:27
มาตามสัญญา  เป็นบทส่งท้ายที่ยาวเหยียด
จมน้ำตาตายกันหมดแล้วรึยังเอ่ย? 
สำหรับใครที่รู้สึกว่าการจบแบบนี้ไม่แฮปปี้เอนดิ้งสามารถถือว่าเรื่องจบในตอนที่แล้วได้ค่ะ 
ตอนนี้ลังเลอยู่นานมากว่าจะเขียนออกมายังไงดี  เพราะผูกพันจนไม่อยากทำร้ายพวกเขา  แต่เมื่อมองย้อนกลับไปถึงความตั้งใจเดิมก็รู้สึกว่าหากไม่เขียนแบบนี้เรื่องนี้ก็ไม่ใช่นิยายในรูปแบบที่ข้าพเจ้าต้องการจะเขียน 
ความจริงแล้วนิยายแฮปปี้เอนดิ้งทุกเรื่องหากเขียนตอนต่อมันจะลงท้ายด้วยอยู่ด้วยกันตลอดไป??? 
ไม่  หากเขียนตอนต่อจะเป็นคำถามที่ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายตายจากไปก่อน 
หากเขียนต่อไปจะเป็นคำถามที่ว่าพวกเขาจะรักกันไปจนวันสุดท้ายจริงๆหรือ 

ผู้แต่งมักรู้สึกว่าความรักมันไม่ได้จบที่ใครตายจากไปก่อน มันมากกว่านั้น  และนั่นคือสิ่งที่อยากเขียน 
ดังนั้นสำหรับผู้แต่งแล้วนิยายเรื่องนี้ไม่ได้จบไม่แฮปปี้เอนดิ้งค่ะ  มันแค่เป็นแฮปปี้เอนดิ้งในอีกมุมที่แตกต่าง
 
หลายคนอาจสงสัยว่า อ้าว  แล้วทำไมคนที่ตายทีหลังถึงเป็นฉีเซี่ยงหยวน 
จะว่าอย่างไรดี  มันเป็นความสมัครใจของพระเอกเอง  และมันเป็นเพราะผลของหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ 
ฉีเซี่ยงหยวนเริ่มต้นด้วยการบีบบังคับจนได้มา  ดังนั้นเขาจึงถูกบังคับให้สูญเสียมันไปในท้ายที่สุด 
ดังนั้นเขาจึงถูกกำหนดให้เป็นฝ่ายสูญเสียและเป็นฝ่ายที่หวนคิดถึง 

แล้วความจริงใจของเขาล่ะ?  ความจริงใจกับอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำเพื่อเหลียนอันสุ่ยล่ะ? 
ความจริงใจของเขาแลกมากับช่วงเวลาที่สวยงามถึง14ปี 
หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำแลกมากับความรักอันล้ำค่าที่อยู่กับเขาไปจนชั่วชีวิต 
เวลา14ปีแม้อาจไม่มากมาย  แต่กลับไม่น้อยเลยจริงๆ 
อย่าลืมว่ายุคสมัยนั้นคนเราไม่ได้มีอายุเฉลี่ยขัยอยู่ที่ 60 ปีเหมือนปัจจุบัน 
ดังนั้นเหลียนอันสุ่ยตายตอนอายุ45ไม่ใช่เรื่องที่รับไม่ได้  พระเอกต่างหากที่อายุยืนเกินไป

ทีนี้ก็อาจมีคนไม่เข้าใจว่าทำไมเหลียนอันสุ่ยถึงตายก่อน
เขาเป็นคนดีนี่นา  เขาไม่ควรตายสิ
ความจริงไม่ว่าคนดีหรือคนไม่ดีปลายทางสุดท้ายของทุกคนก็เหมือนกัน
และข้าพเจ้าไม่อาจเขียนให้เขาเป็นคนที่ถูกเหลือทิ้งไว้ 

...ไม่มีสิ่งใดสามารถเอาชนะเวลาชั่วนิรันดร์  ทว่าความรักกลับมีความเป็นนิรันดร์ในตัวมันเอง 
สามารถเปลี่ยนชั่วเสี้ยวนาทีให้มีความหมายไม่ด้อยไปกว่าคำว่าตลอดกาล...




จากใจผู้แต่ง...

พันธนาการแห่งสายน้ำเป็นนิยายที่ข้าพเจ้ารักมาก  ทุ่มเทความคิดและจิตใจให้มันไปอย่างมากมาย  ตอนที่ปิติยินดีที่สุดและรู้สึกเหงามากที่สุดคือตอนที่แต่งบทสุดท้ายจบลง  รู้สึกโล่งใจมากที่ในที่สุดก็ไม่ต้องติดค้างผู้อ่านอีก  ข้าพเจ้ามักรู้สึกผิดอยู่ลึกๆที่อัพลงให้ได้ไม่สม่ำเสมอ

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างจะเป็นนักเขียนที่ใจดี(หรอ?)กับตัวละคร  สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนคือบุคคลที่สามารถลิขิตชีวิตตัวเองและยอมรับผลที่ตามมา  เพราะข้าพเจ้าเชื่อเสมอมาว่าทุกคนล้วนมีความสามารถที่จะเลือกทางเดินของตน  ท่านอาจไม่ได้ยินดีกับมันนัก  แต่ก็ต้องก้าวต่อไปอย่างกล้าหาญเพราะท่านได้เลือกแล้ว 

ที่ข้าพเจ้าบอกว่าตัวเองใจดีเพราะในหลายๆครั้งที่ตัวเอกต้องเลือกข้าพเจ้ามักยินยอมให้สติอยู่กับพวกเขา  ท่านเอย  ท่านอย่าได้ทราบเลยว่าการไม่มีสติตอนตัดสินใจทำร้ายคนเราได้มากมายแค่ไหน  ความผิดพลาดที่เสียใจไปจนวันตายมีสภาพเป็นอย่างไร
 
ข้าพเจ้านับว่าใจดีกับพวกเขาจนถึงหน้าสุดท้ายจริงๆ(ถึงแม้หลายๆท่านอาจจะสงสัยว่าคำว่าใจดีกับบทส่งท้ายที่น้ำตาท่วมจอนั่นเกี่ยวข้องกันตรงไหน55)  ข้าพเจ้าเลือกโรคให้เหลียนอันสุ่ยอยู่นานมาก  สุดท้ายก็เลือกโรคที่เกี่ยวกับพันธุกรรม  ความจริงแล้วการตกบันไดในครั้งนั้นข้าพเจ้าสามารถจะให้เหลียนอันสุ่ยพิการไปชั่วชีวิต  สามารถทิ้งเป็นโรคภัยเรื้อรังไว้ให้พระเอกเจ็บปวดใจเล่น  แต่ข้าพเจ้าก็สงสารหลันเซียงเกินกว่าจะทำเช่นนั้น 

ข้าพเจ้าสามารถเขียนให้ฉีเซี่ยงหยวนฆ่าบิดาตัวเองกับมือ  แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ เพราะข้าพเจ้าคิดว่านั่นน่ากลัวจะทำร้ายเหลียนอันสุ่ยอีกคน  การนอนข้างๆคนที่ฆ่าบิดากับฆ่าพี่ชายตัวเองได้อย่างเลือดเย็นนับเป็นฝันร้ายชัดๆ  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมักแปลกใจอยู่เสมอที่หลายๆเรื่องฆ่าพี่ฆ่าพ่อกันได้แบบขำๆ  ชีวิตคนไม่ควรถูกใช้อย่างสิ้นเปลืองถึงเพียงนั้น  ถึงแม้ชีวิตในสมัยนั้นบางทีก็ไร้ค่ายิ่งกว่ามดปลวก  แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกอีกนั่นแหละว่ามดปลวกเองก็มีสิทธิ์จะมีชีวิต 

ทุกคนอาจจะแปลกใจที่หนานเหมินอ๋องจะไม่ได้ถูกฉีเซี่ยงหยวนฆ่าตาย  แต่มันไม่มีข้อกำหนดให้ตัวร้ายต้องตายด้วยน้ำมือพระเอกเสียหน่อย  ดังนั้นหนานเหมินอ๋องจะแก่ตายเองและสามแคว้นจะรวมเป็นหนึ่งในรัชสมัยของรัชทายาท  เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายสิ่งหลายอย่างยิ่งใหญ่เกินกว่าจะสำเร็จได้ในชั่วอายุคนๆเดียว  โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่าแว่นแคว้นหรือประเทศชาติ  มันเป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังต้องสานต่อ  และการรวมกันอย่างรวดเร็วเกินไปไม่มีทางให้ผลดี  สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับระบบปกครองคือคำๆนี้ ‘ค่อยเป็นค่อยไป’

ขอบคุณทุกคำถาม  เพราะมันทำให้รู้ว่ามีจุดไหนในเรื่องที่ยังอธิบายได้ไม่ละเอียดพอ  ขอบคุณทุกความเห็น  เพราะมันสะท้อนว่าสิ่งที่เราสื่อออกไปทำให้คนอ่านเข้าใจไปในแนวทางไหน  ยอมรับว่าบางทีตัวเองก็ชอบอุบไว้มากเกินไปเพราะไม่ต้องการให้โฟกัสมันไหลออกไปจากตัวเนื้อเรื่องหลัก  แถมบางประเด็นเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายมากความ55  หลายความเห็นสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนว่าแต่ละคนอ่านกันละเอียดมากอะ(ปาดเหงื่อ)  ยอมรับว่าอ่านบางความเห็นแล้วคาดไม่ถึงจริงๆว่าผู้อ่านได้จากเรื่องนี้  ตกผลึกกันได้สุดยอดมาก  ไปเปิดย้อนดูถึงได้  เออแฮะ  มันคิดอย่างนี้ได้จริงด้วย  แสดงว่าเรื่องมันเริ่มมีจักรวาลของตัวเองละ  มีชีวิต  และดิ้นได้  รู้สึกประสบความสำเร็จ555

สุดท้ายนี้แน่นอนว่าต้องขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาจนจบ 
       ทั้งนักอ่านที่ตามอ่านกันมาตั้งแต่เรื่องยังไปไม่ถึงไหน 
       ทั้งนักอ่านใหม่ที่เข้ามาอ่านทีหลัง
       ทั้งนักอ่านที่ตามจนตามไม่ไหว...หยุดไป...แล้วกลับมาอ่านใหม่ 
       ทั้งนักคอมเมนท์ที่ไม่ว่ายาวหรือสั้นก็เป็นกำลังใจให้กันตลอด 
       รวมถึงนักอ่านเงาทุกคนที่เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นเรื่องโปรดในใจคุณ 

เรื่องนี้แต่งมายาวนานถึงสามปี  เหลือเชื่อที่ในที่สุดมันก็สามารถมาถึงจุดนี้  เป็นเพราะทุกๆคนจริงๆค่ะ  ขอบคุณมากๆที่มาเป็นเพื่อนร่วมทางให้ทางเดินนี้ไม่เหงาและเปี่ยมไปด้วยสีสัน  อยากจะบอกว่าคุณเป็นส่วนเติมเต็มของเรื่องนี้นะ  คุณทำให้มันสมบูรณ์  คุณทำให้มันมีค่า  คุณทำให้รู้สึกดีทุกครั้งที่เข้ามาลงตอนใหม่  ขอบคุณจริงๆค่ะ

Wind of Autumn




เรื่องนี้ไม่มีภาคต่อ  แต่เรื่องนี้มีตอนพิเศษ 3 ตอน  ซึ่งจะปรากฏในฉบับรวมเล่ม
...เพียงภาพย่อของความผูกพัน  เพียงรอยฝันในวันวาน  เพียงรอยจารเหนือเงาเมฆ...
ของเหลียนอันสุ่ยหนึ่งตอน  ของฉีเซี่ยงหยวนหนึ่งตอน  และของฉีเซี่ยงหยวนกับนายเอกอีกหนึ่งตอน

          ตอนแรกชื่อ เพียงภาพย่อของความผูกพัน  เป็นตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนพาเหลียนอันสุ่ยไปเที่ยวในเมือง  แต่ดันไปเจอหานญื่อหลัว รัชทายาทและเหลียนจิ้งเต๋อ แล้วเรื่องยุ่งทั้งหลายแหล่ก็ตามมา  ตอนนี้คือบางส่วนของช่วงเวลาที่หายไปในเรื่อง  ตั้งใจจะเอามาถ่วงน้ำหนักกับบทส่งท้ายโดยเฉพาะ  และตั้งใจเขียนให้รู้สึกว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่  บอกแล้วว่าคนเรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง  เรื่องนี้เป็นนิยายย้อนยุคดังนั้นทุกคนรู้ดีว่าความจริงพวกเขาตายไปแล้ว  ตายไปนานแล้ว  แต่นั่นแหละ  พวกเขายังมีชีวิตค่ะ:)
 
          ตอนที่สองชื่อ เพียงรอยฝันในวันวาน  ตอนนี้เป็นการมองอดีตของเหลียนอันสุ่ยผ่านสายตาของอวี้เฉียน  อ่านจบแล้วจะรู้ว่าทำไมคนที่เหลียนอันสุ่ยรักคือฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่อวี้เฉียน  และจะได้รู้ว่าทำไมคนที่อวี้เฉียนรักคือเหลียนอันสุ่ย  ความรักครั้งนี้เริ่มต้นจากที่ไหน  และแน่นอน...มันจบลงตรงไหน

          ตอนที่สามชื่อ เพียงรอยจารเหนือเงาเมฆ  ตอนนี้เป็นอดีตของฉีเซี่ยงหยวนกับครอบครัวที่ซับซ้อนวุ่นวายของเขา  บรรดาพี่น้องของหมอนี่จะโผล่หน้ามาให้เห็น ทั้งองค์ชายใหญ่(ที่ไม่เคยโผล่ในเรื่องมาก่อน)  องค์ชายรองที่ตายไปแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนเคยเล่าถึงเส้นทางชีวิตในแต่ช่วงของเขา  นี่คือภาพขยายที่อ่านจบแล้วจะได้คำตอบว่าแต่ก่อนหมอนี่แสบแค่ไหนและเขาเป็นเขาในวันนี้ได้อย่างไร
            ตอนที่สามจะโยงมาจบถึงฉากที่ฉีเซี่ยงหยวนมีเหลียนอันสุ่ยในช่วงเวลาของเนื้อเรื่องหลัก เนื้อเรื่องเล่าครอบครัวในอดีตสลับกับครอบครัวในปัจจุบัน อ่านจบแล้วท่านจะได้ความรู้สึกว่าจบในอีกรูปแบบหนึ่ง

         ตอนพิเศษทั้งหมดข้างต้นเป็น ‘ส่วนเสริม’ ของเนื้อเรื่องหลัก  อ่านแล้วจะเข้าใจหลายๆอย่างมากขึ้น แต่ถึงไม่อ่านก็สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องหลักค่ะ  ประเด็นคือแค่อยากเขียนสิ่งที่เรียกว่าความสุขเพิ่มเติมเพราะรู้สึกว่าตัวเองจบเรื่องได้ทำร้ายผู้อ่านไปหน่อย55  และอยากเขียนอดีตที่ปรากฏเงาในเรื่องคร่าวๆเพราะมันไม่ใช่พล๊อตหลักแต่ดันมีรายละเอียดในตัวของมันเอง

รู้นะว่ารออยู่  ใครที่สนใจข่าวรวมเล่มสามารถติดตามได้ที่นี่ค่ะ 
http://my.dek-d.com/mastermay/writer/viewlongc.php?id=756295&chapter=94

 ข้าพเจ้ามีเพจfacebookมาให้ตามแล้วแหละ(ของใหม่ต้องรีบอวด)
ชื่อเพจแปลกนิดหน่อย แต่นี่ไม่ใช่ตัวปลอม สายลม ณ ปลายสารทคือข้าพเจ้าเอง
https://www.facebook.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%A1-%E0%B8%93-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97-1671796716421867/?ref=ts&fref=ts
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 13-05-2015 13:02:48
เรารักเรื่องนี้มากนะ ชอบและติดตามเป็นเงามากกว่าจะแสดงตัว แต่ชอบเรื่องนี้มากๆ เป็นนิยายดีๆที่ไม่ได้มีมาให้อ่านบ่อย ถ้ารวมเล่มล่ะก็ ขอจองเลยนะคะ 1 ชุด ราคาเท่าไหร่ก็โอเคค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: BBnuna ที่ 13-05-2015 13:20:54
ไปเม้นในเด็กดีมาแล้วแวะมาเม้นที่นี้ ว่าถ้ามีหนังมือะซื้อแน่นอนค่ะ แต่พอซื้อมาคงไม่กล้าอ่านในเร็ววันนี้กลัวตอนจบอ่ะ เราว่าคนตายกลัวตายน่าสงสารน่ะ แต่คนยังอยู่ที่เสียคนตายน่าสงสารกว่า
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79.......................................28/03/58
เริ่มหัวข้อโดย: manutty ที่ 13-05-2015 15:01:22
ทำเอาน้ำตาซึมกับบทส่งท้าย  :mew6:  มันไม่ใช่การจบที่เศร้าหรือไม่สมหวังซะทีเดียว แต่มันเต็มไปด้วยความซาบซึ้งของความรักที่คนสองคนมีให้กันผูกพันจนกระทั่งตายจาก เห็นใจฉีเซียงหยวนที่ต้องมาเสียเหลียนอันสุ่ยไปก่อนวัยอันควรด้วยโรคภัยที่ไม่มีทางรักษา เดาว่าถ้าเป็นปัจจุบัน เหลียนอันสุ่ยน่าจะเป็นเนื้องอกในสมองนะ  มันให้อารมณ์อาลัยอาวรณ์ คิดถึงจนแทบจะขาดใจ แต่ด้วยพลังความรักที่มีต่อกันก็ทำให้ฉีเซียงหยวนผ่านมาได้ เพราะไม่อยากให้เหลียนอันสุ่ยเสียใจที่ตัวเองเป็นสาเหตุทำให้ฉีเซียงหยวนจมปลักกับความเศร้า ฉีเซียงหยวนคิดถึงตรงนี้เลยทำหน้าที่ของตัวเองและทำเผื่อในสิ่งที่เหลียนอันสุ่ยทำค้างไว้จนลุล่วงไปด้วยดี กระทั่งลมหายใจสุดท้ายก็ยังทำเต็มที่ เพื่อที่จากไปและได้ไปเจอเหลียนอันสุ่ยจะได้ไม่สิ่งค้างคา น้ำตาซึมคลอเบ้าเลยเมื่อนึกถึงว่าถ้าวันหนึ่งที่เรารักจากไปจะอยู่ได้ไหม ฉีเซียงหยวนแม้จะเข้มแข็งแต่พอเวลาได้อยู่ก็อดคิดถึงเหลียนอันสุ่ยไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ตามไป เป็นความรักที่กินใจมากๆ คงต้องหาเวลากลับมาอ่านอีกหลายๆรอบแน่นอน ถ้าทำเป็นหนังสือน่าสนใจยิ่ง หวังว่าคนเขียนจะทำออกมา คือมันหายากนะนิยายที่เหมือนนิยายแปลแต่เขียนโดยนักเขียนไทยและอายุน้อย แต่ทำได้ดีขนาดนี้ ทำเถอะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: wews ที่ 14-05-2015 12:12:33
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 14-05-2015 16:21:35
โอ้ยยยยยย  ไม่กล้าอ่าน

เม้นต์ก่อน

ตื้นเต้นจุง
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 14-05-2015 17:26:32
คนเขียนทำเราน้ำตาซึม
ถึงจะจบไม่แฮปปี้นัก แต่เรารุ้สึกว่ามันสมบูรณ์ ทำให้รุ้สึกถึงคำว่า รักนิรันดร์
ขอบคุณคนเขียนมากๆ สำหรันนิยายเรื่องนี้ ตามมาตลอดแต่อาจไม่คอ่ยได้เม้นต้องขออภัย
เป็น1ในนิยายไม่กี่เรื่องที่เราไม่สามารถจะติเตียน ไม่ใช่เพราะสมบูรณ์แบบ แต่มันลื่นไหล เป็นเรื่องราวชีวิตที่เราคิดว่ามันเกิดขึ้นจริง และยังคงอยู่
ถ้ามีรวบเล่มไม่พลาดแน่นอน
ขอบคุณอีกครั้งที่พาเราเค้าไปในโลกของเขาทั้ง2คน
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: urmein ที่ 14-05-2015 18:51:16
ยอมรับว่าเสียน้ำตาให้กับตอนจบ
แต่อย่างที่ผู้เขียนบอก มันคือ แฮปปี้เอนดิ้งในอีกรูปแบบหนึ่ง
สุดท้ายทั้งสองคนก็ได้ไปอยู่ด้วยกัน เราคิดแบบนี้ค่ะ

ขอบคุณจริงๆจากใจ กับเรื่องราวที่สวยงาม ที่คุณบรรจงถ่ายทอดให้เราได้อ่าน
เดี๋ยวจะแวะไปติดตามการรวมเล่มนะคะ
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 14-05-2015 19:00:10
เข้ามาอ่าน  แล้วก็ออกไปร้องไห้เป็นพักๆ  แล้วก็กลับมาอ่านใหม่ 

แล้วก็ออกไปร้องไห้อีก

ร้องจนปวดหัว

แล้วออกไปเดินเล่น  แหงนดูฟ้า   

มองหาเซี่ยงหยวน  อันสุ่ย  จิ้งเต้อ  องค์รัชทายาท

อยากรู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่

หวังว่าพวกเขาคงมีชีวิตที่ดี

ร้องไห้

แล้วกลับมาอ่านใหม่

แล้วก็ร้องไห้

ร้องไห้

แล้วก็ร้องไห้

ตอนนี้ทำได้แค่นี้จริงๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-05-2015 19:22:07
เราไม่กล้าอ่านตอนจบ ขอเอาตอนที่แล้วเป็นตอนจบ .. ไม่อยากเศร้า ฮ่าๆๆๆๆ
คือเข้าใจแหละว่าการตายจากไปมันเป็นเรื่องธรรมดา
แต่เราทำใจไม่ได้ เลยได้เเต่เลื่อนผ่านแบบเร็วๆ อ่านแว๊บๆๆ แค่แว๊บๆ ยังน้ำตาซึมเลย
งื้ออออ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: kor.korn ที่ 14-05-2015 21:53:32
อ่านจบเมื่อคืนครับ

สิ่งที่ทำ : ปิดแท็ปเล็ท นอนน้ำตาซึมเลยทีเดียว

ชอบในมุมมองความรักแบบนี้ดีนะครับ รักที่ไม่จำเป็นจะต้องตลอดไป แต่ก็ยังคงความรักเช่นเดิม เลือกที่จะทำตนเองให้ดี เพื่อคนที่เรารักจะได้ไม่ต้องกังวลเมื่อจากกันไป

ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีเรื่องนี้นะครับ :)
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 14-05-2015 22:00:03
อ่านตอนจบแบบแง้มๆ แต่ก็พยายามเก็บทุกรายละเอียด สุดท้ายก็น้ำตาไหล แต่ก็รู้สึกว่ามันแฮปปี้และสวยงามมากนะ 
ขอบคุณมากๆ สำหรับนิยายที่ดีเยี่ยมขนาดนี้ ขอบคุณที่ทุ่มเทแรงใจและกายแต่งจนจบ เรารักเรื่องนี้มาก จะขอเก็บแน่นอนค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: Beerr_jh ที่ 14-05-2015 22:22:55
ค่อยยังชั่วที่อ่านคอมเมนต์ก่อน ทำให้ทำใจได้ในส่วนที่เหลียนอันสุ่ยตาย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับว่าเนื้อหาดีจริงๆ แต่บางช่วงมันก็หน่วงจนเลิกอ่านไปและก็กลับมาอ่านอีก
บางช่วงก็อ่านข้ามๆไป แล้วก็ย้อนกลับมาอ่านแบบเต็มๆอีกรอบ
คนเขียนวางโครงเรื่อง วางตัวละคร คาแลคเตอร์แต่คนได้ได้ดีจริงๆ
ตอนท้ายถึงจะทำใจไม่ได้หรือรับไม่ได้กับบางสิ่งที่พระเอกทำแต่ก็เข้าใจว่าแต่ละการกระทำทำไปเพื่อนอะไร
สุดท้าย เรื่องนี้ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่เราว่ามันไปเรื่อยๆ แต่มันน่าประทับใจจริงๆค่ะ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้ได้อ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 14-05-2015 22:32:48
คือไม่ได้ร้องไห้ให้กับนิยายเรื่องไหนหรืิอแม้แต่หนังเรื่องไหนด้วยซ้ำมานานมากก แต่กับตอนจบนี้ร้องไห้แบบสะอื้นเลย น้ำหูน้ำตาท่วมจอ T____T
ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้แฮปปี้เอนดิ้งค่ะ มันคือฉากหนึ่งที่จะปรากฏในทุกชีวิตแน่นอน แต่มันใจหายเนอะ ที่ได้อยู่จนเห็นฉากแบบนั้นของคนที่เรารัก คนที่อยู่ข้างหลังนี่ความรู้สึกนั้นทำให้เหงามากๆเลย ผูกพันกับตัวละครมากจนอินจัดจริงๆขนาดว่าทิ้งช่วงจากที่อัพตอนล่าสุดมาก็เถอะ เป็นนิยายที่งดงามมากและบริบูรณ์จริงๆ ฮืออออ ไม่รู้จะอธิบายยังไง  :hao5: 

ขอตัวไปนั่งอินต่ออีกพักนึง นี่ขนาดตั้งสติมาคอมเม้นท์แล้วนะคะเนี่ย  :hao5:

คิดถึงทุกตัวละครเลย จบแล้วเหรอเนี่ย
อะไรจะจากไป แต่ความรักยังคงอยู่ สองคนนี้เป็นนิรันด์จริงๆ ในความทรงจำของกันและกัน
//เหม่อมองฟ้า

จะร้องอีกรอบแล้ว T_T
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: milky way ที่ 14-05-2015 22:41:21
ขอบคุณจริงๆค่ะ
ถึงแม้ว่านิยายตอนนี้จะทำให้เรา
ถึงกับน้ำตาท่วม
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 14-05-2015 23:01:58
อยากรู้ว่า  จิ้งเต๋อ  โตขึ้นแล้วเป็นอย่างไรบ้าง

บอกหน่อยนะ

สักนิดก็ยังดี

ร้องไห้  อีกแระส์ตู
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 14-05-2015 23:19:31
อ่านบทส่งท้ายแล้วอยากร้องไห้ครับ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 14-05-2015 23:36:30
ถ้าต้องเลือกมีคนใดคนหนึ่งตายไปก่อนเหลืออีกคนทิ้งไว้ เห็นด้วยที่ให้ฉีเซี่ยงหยวนเป็นฝ่ายอยู่ มันน่าเศร้านะไม่อยากอ่านเหลียนอั่นสุ่ยเป็นคนที่ต้องคอยคิดถึงอีกฝ่าย

เรื่องนี้สนุกมากๆ ชอบมาก ขอบคุณคนเขียนจริงๆ เป็นเรื่องที่คิดว่าจะกลับไปอ่านซ้ำใหม่อีกรอบแน่ๆ

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: p^tarn ที่ 15-05-2015 01:05:51
 :o12: ถ้าจะเศร้าขนาดนี้.  ...  ต้องกินน้ำกี่ลิตรถึงจะพอผลิตน้ำตากัน
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 15-05-2015 04:10:35
ร้องไห้หนักมาก ฮือ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: mm03 ที่ 15-05-2015 10:48:57
ตอนสุดท้ายแล้วใจหาย

อยู่อย่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป

เวลาที่อยู่ด้วยกันของฉีเซี่ยงหยวนกับเหลียนอั่นสุ่ยจะว่ามากก็ไม่มาก จะว่าน้อยก็ไปน้อย
ถึงจะช่วงเวลาแค่นั้น แต่อยู่ด้วยกันตลอด
ตัวตนของอีกคนฝั่งอยู่ในตัวตนของอีกคนไปแล้ว
แม้ไม่มีอีกคนข้างกายก็ยังอยู่ในใจเสมอ

ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆ ให้อ่านค่ะ
ขอบคุณมากๆ

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: duaenmaysa ที่ 16-05-2015 12:48:20
จบลงแล้วกับระยะเวลาที่ยาวนาน
การเดินทางของนิยายเรื่องนี้ย่อมมีจุดสิ้นสุดเช่นกัน
แม้เราอยากจะให้เส้นทางสายนี้ยืดยาวต่อไปอีกอย่างไม่มีสิ้นสุด

ถ้ามีใครถามว่าหนึ่งในนิยายที่ดีที่สุดในใจเราคืออะไร
พันธนาการแห่งสายน้ำคือนิยายเรื่องแรกๆที่คิดถึง
เราได้พบเจอกันโดยบังเอิญ และตกหลุมรักนิยายเรื่องหนึ่งจนถอนตัวไม่ขึ้น
จากสามสิบตอน เป็นห้าสิบตอน และเดินทางมาสู่บทส่งท้ายที่ประทับใจที่สุด

พันธนาการแห่งสายน้ำเป็นนิยายที่ทิ้งรอยความทรงจำไว้ในใจเรา
ประทับทุกความคิดถึง ทั้งน้ำตา ทั้งความซาบซึ้ง ทุกการรอคอยมันคุ้มค่าเหลือเกิน
ในบทส่งท้ายไม่ได้ทำให้เราร้องไห้ แต่ทำให้เราซาบซึ้งและตื้นตันอย่างประมาณไม่ได้
เหมือนกำลังมองย้อนกลับสู่หน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์
เติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายในประวัติศาสตร์ให้ประจักษ์ชัด

ฉีเซียงหยวนและเหลียนอันสุ่ยยังคงมีตัวตนต่อไปในใจของเรา
ยังคงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างเรียบง่ายในตำหนักเสียงวสันต์
เป็นตัวตนที่ไม่อาจลบลืมได้ง่าย ราวกับว่าทั้งคู่ต่างก็มีตัวตนจริงอย่างไรอย่างนั้น

เราต้องขอบคุณคุณนักเขียนมากที่ทำให้ทุกตัวอักษรราวกับมีชีวิต ทุกตัวละครราวกับมีตัวตน
ทุกๆคำทุกๆประโยครับรู้ได้เลยว่ามีความรัก ความตั้งใจและใส่ใจในผลงานมากมายแค่ไหน
ขอบคุณที่สร้างผลงานอันทรงคุณค่ามาให้เราได้รักจนถอนตัวไม่ขึ้น
จะคอยสนับสนุนคุณนักเขียนเสมอนะคะ จริงๆอ่านพล็อตภาคต่อแล้ว อยากให้ทำจริงๆนะ55555
ถ้าเปลี่ยนใจจะทำรุ่นลูกรุ่นหลาน หรือนิยายเรื่องใหม่ เราก็พร้อมจะรอคอยค่ะเพราะรู้ว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน

ตอนนี้เร่งคืนเร่งวันให้หนังสือออกก่อน อยากอ่านตอนพิเศษ คิดถึงเหลียนๆ  :mew4:

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: RUMINA ที่ 16-05-2015 13:10:49
ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆที่ให้นักอ่านอย่างเราได้อ่าน
ความรู้สึกตอนที่อ่านเรื่องนี้จบแตกต่างจากนิยายเรื่องอื่นมากจริงๆค่ะ//ปาดน้ำตา
ประทับใจมากๆจริงๆค่ะ
มุมมองชีวิตหลายอย่างในเรื่องนี้ทำให้เราตระหนักได้ว่าช่วงเวลาที่ได้อยู่คนสำคัญมีค่าแค่ไหน
สำหรับตอนจบของเรื่องถึงมันจะเศร้า แต่เราก็รู้สึกได้ว่ามันเป็นแฮปปี้เอนดิ้งค่ะ
ความรักที่ทั้งสองมีให้กัน สลักลึกลงไปถึงวิญญาณ
เป็นความรู้สึกเต็มตื้นที่ไม่ค่อยได้สัมผัสจากนิยายรักหลายๆเรื่อง
ขอบคุณ คนแต่ง  มากๆจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 16-05-2015 13:16:58
จบได้ดีมากค่ะ  รู้สึกกินใจมากเลย   ขอบคุณมากๆเลนค่ะ :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: nachon ที่ 16-05-2015 21:59:15
 :sad4:เศร้ามาก เป็นนิยายที่คนแต่ง แต่งได้เก่งมาก ๆ ๆ ภาษาสวย ดำเนินเรื่องได้ดีเยี่ยม   :katai2-1: :katai2-1: ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ แบบนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 16-05-2015 22:55:29
เรื่องนี้ตอนแรกอ่านในเด็กดีคร่าวๆๆ แต่มาตามอ่านจริงจังที่นี่ บอกเลยว่าภาษาสวยมากกกกก เรื่องแบบชอบมาก ไม่ใช้รักต้องห้าม แต่เป็นรักที่รักด้วยหัวใจ ชอบหลายๆฉากในเรื่องนี้ ยิ่งตอนที่คนใดคนหนึ่งตัดใจยอมปล่อย ยอมเจ็บเองนี่เข้าใจความรู้สึกเลยอ่ะ พีคมากสำหรับเรา ชอบที่สุดในเรื่องเลย  :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: loveatalltime ที่ 17-05-2015 19:57:30
มาบอกรักคนเขียนค่ะ ตามเรื่องนี้มาสามปี แล้วในสามปีนี้ กลับมาอ่านซ้ำหลายรอบละ แต่กี่รอบจำไม่ได้5555 สำหรับเราเรื่องนี้สมบูรณ์แบบแล้ว ในตัวของเรื่องเอง อ่านทั้งในเด็ก และในเล้า มาลงชื่อจองหนึ่งชุด เพราะเข้าใจว่าน่าจะหลายเล่ม เป็นกำลังใจ และรอคอค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: PJansam ที่ 19-05-2015 09:40:50
ประทับใจตั้งแต่ต้นจนจบ  แม้แต่ฉากการรบก็เขียนออกาได้น่าติดตามมากค่ะ  ไม่ข้ามแม้แต่บรรทัดเดียว  ชอบมากที่เป็นนิยายจีนโบราณเรื่องแรกที่กล่าวถึงการชิงบัลลัง เศรษฐกิจ การปกครอง ต่อสู้ชิงอำนาจได้อย่างแยบยลแบบที่ไม่เคยเจอในเรื่องไหนมาก่อน  ตอนอ่านเหลืสองบทสุดท้ายข้ามมาดูคอมเมนต์ว่าคนร้องไห้เยอะมากเลยเข้าใจว่าจบไม่สวยแน่สบายเราละ  ไม่จ้องเสียเงินซื้อรวมเล่มแน่นอน  ปรากฏว่าพออ่านจนถึงจบบทส่งท้ายกลายเป็นว่าต้องไปเปิดว่าจะออกกับ สนพ.ไหนแทน    จบได้ลงตัวงดงามมากค่ะ      ขอเบียดเรื่องอื่นนำขึ้นแท่นนิยายในดวงใจไปเลยค่ะ      ยอมใจนาบูจริงๆเรื่องไหนว่าเด็ดต้องโดนนาบูสอยไปจนครบ   ปลายปีเจอกันแน่นอนค่ะ   หวังว่าจะมีผลงานอื่นๆออกมาให้ได้ชื่นใจเร็วๆนี้   
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: TiwAmp_90 ที่ 21-05-2015 01:28:01
 :hao5:
เป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจมากจริงๆ ลืมไม่ลง
เป็นอีกด้านของความรัก นิยายเรื่องนี้ช่วยเปิดมุมมองให้กว้างมากขึ้น
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 23-05-2015 00:24:26
กว่าจะฝ่าร้อนฝ่าหนาว ผ่านอุปสรรคมาได้ ยังไม่ทันได้มีความสุขกันมากเท่าใดนัก
ก็ต้องจากกันไกล ขอให้สองคนเจอกันในภพภูมิอื่นแล้วมีความสุขเช่นคนธรรมดาเถอะ
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 24-05-2015 13:49:56
สนุกมากอ่าน 2 วันจบแบบอินมากเลยจบแบบนี้คล้ายๆหนังประวัติศาสตร์เลยนะ
ยอมรับจริงๆว่านิยายเรื่องนี้สุดยอดในทุกเรื่อง ทั้งภาษา การบรรยาย รสของตัวละครเยี่ยมจริง
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 24-05-2015 13:58:00
ขอบคุณ
ชอบมากเลย ><
แต่ได้ดีมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 24-05-2015 22:45:57
สนุก เศร้า และซึ้งมาก
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 26-05-2015 19:17:40
เป็นตอนจบที่ ซึ้งแบบเศร้าๆเลยทีเดียว

เรื่องนี้สนุกมาก ชอบมาก เขียนได้ดีมากค่ะ

ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆและสนุกๆให้ได้อ่าน
 
 :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: pummy09 ที่ 27-05-2015 16:18:40
 :o12: :o12:
ในที่สุดก็อ่านจบแล้ว เสียน้ำตาไปหลายปี๊บ แต่รู้สึกว่ามันเป็นการจบที่เรียกว่าบริบูรณ์จริงๆๆ ซึ่งอันนี้เราคิดว่าแฮปปี้เอนดิ้งนะ ไม่ดิ้งได้ไง ถึงแม้ว่าจะตายไม่พร้อมกัน แต่ตายไปแล้วก็ได้อยู่ด้วยกัน(ในโถ อิอิ)

ชอบมากค่ะ อ่านมาแล้วแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองอ่านนิยายวายอยู่เลย รู้สึกเหมือนอ่านนิยายจีนทั่วไปๆ  เพียงแต่มีนางเอกเป็นผู้ชายแค่นั้น  สำนวนคำบรรยายต่างๆ ก็ดี   :katai2-1:

ขอบคุณมากนะคะ ที่เขียนเรื่องนี้ให้ได้อ่านกัน หวังว่าจะมีผลงานใหม่มาอีกนะคะ  :pig4:

จะรออ่านเลยค่ะ   :impress2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: gessuriyong ที่ 27-05-2015 19:48:06
เพิ่งเข้ามาอ่านนนนน  ใช่เวลา 3 วันในช่วงลุ้นเกรด ถือว่าคุ้มค่ามากๆ   :L1:

ชอบอ่านนิยายแนว เพราะที่ได้คือ แนวการคิดที่ซับซ้อนของตัวละคร ซึ่งสอนคนไดัจริง   ......คนเขียนเก่งมากจริงๆ :katai2-1:

คนเขียนเขียนด้วยภาษาที่ข้าพเจ้าคิดว่านิยายแปล 5555555 ให้อารมณ์แบบนั้นจริงๆ เรื่องชื่อตัวละครไม่ใช่ปัญหาเลยจริงสำเรื่องนี้นะ เพราะอ่านไปจะคิดตามตลอด

บทส่งท้าย อ่านไปน้ำตาไหลไป  :o12: สุดท้ายขอบคุณคนเขียนมากๆ  ขอบคุณมากๆจริงๆ  :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 27-05-2015 21:55:59
*เพิ่มเรื่องนี้บนหิ้งนิยายทันทีที่อ่านจบ* โหวววววววววววสุดยอดดดดดดดดดดดด แห่งความประทับใจ บับ คือ บับ โอ๊ยยยยยย ยังไงล่ะ ประทับใจมากจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลยทีเดียว บอกคำเดียวว่าอินโคตร แต่งเทพมากกกกกกก ภาพบรรยายเห็นชัดเจนจนนึกว่านั่งดูลุ้นสุดๆแต่ละฉาก...ความรู้สึกความคิดสิ่งที่เป็นไปบรรยายลึกซึ้ง เข้าถึงอารมณ์ เข้าใจ มันใช่  แต่ละบรรทัดผ่านไปไม่ได้เลย.....ครบรสทุกอารมณ์ ซึ้ง เศร้า ฮา ฟิน อิน เขิน น้ำตาไหลพรากอาบแก้มเป็นพักๆ.... เนื้อหาครอบคลุมตอบโจทย์ในใจที่คิดตอนอ่านได้ทุกบทที่สงสัย ไม่งง .... เห็นด้วยกับทุกอย่าง ทุกบท ทุกตัวละครลงตัว สมบูรณ์ หรือตอนท้าย จบแบบนี้ ยังคงเพอร์เฟคมาก....ขอบคุณผู้แต่งที่แต่งนิยายดีๆเรื่องนี้มาให้อ่านและอัพใน thaiboys ขอบคุณมากๆ ชูป้ายเชียร์ให้แต่งเรื่องต่อๆไปนะค่ะ ขอสมัครเป็นแฟนคลับอีกคน คิ!! >///////////////<


* ตอนแรกเห็นหนิ โหหหหห 80 ตอน เยอะอ่ะ วางไว้ ผ่านไปผ่านมา ผ่านตาหลายครั้งหลายอาทิตย์ เข้าไปดูคอมเม้นท์ก่อนอ่าน ซาวน์เสียงดู อยากรู้พอจะไหวไหม ที่ไหนได้ นี้กูไปทำอะไรที่ไหนอยู่....ละพอถึงตอน 70 กว่าๆ แทบไม่อยากจะเงยหน้าดูจำนวนตอน จะจบแล้วหรอ? 80 ตอนแรกที่บอกว่าเยอะ พอจะจบจริงๆละอยากให้มีสักร้อยกว่าตอน กูนี้ก็นะ 555555555...
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: yakusa ที่ 28-05-2015 11:57:32
ดีงาม น้ำตาท่วม
นี่จะเป็นอีกเรื่องที่นึกถึงนิยายดีๆๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: Lady-Rabbit ที่ 30-05-2015 17:27:06
ค่อยทะยอยอ่านเรื่องนี้รวดเดียวจนจบ ขอบอกว่าเป็นนิยายที่อ่านแล้ว "สำนวนดีจนต้องถอนหายใจ" กันเลยล่ะค่ะ

เนื้อเรื่องและภาษาละมุนละไมมาก ทุกอย่างที่ตัวละครทำก็มีเหตุมีผล

ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆแบบนี้และเอามาลงให้ได้อ่านกันนะคะ

ปล. แอบเชียร์ให้พระภาดา กับคู่ลูกมี Side Story เป็นของตัวเอง จะมีความหวังมั้ยน้อ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: pannuna ที่ 02-06-2015 23:01:31
อ่านจบแล้ววว ชอบประโยคนี้ "ความจริงแล้วนิยายแฮปปี้เอนดิ้งทุกเรื่องหากเขียนตอนต่อมันจะลงท้ายด้วยอยู่ด้วยกันตลอดไป???  " คิดแบบเดียวกันเราเลย  เพิ่งจะเคยเจอนิยายที่แต่งถึงแทบจะทุกช่วงชีวิตของตัวละคร เป็นเรื่องที่จบได้ดีมากๆ


เราแง้มๆอ่านคอมเม้นก่อนว่ากระแสตอบรับเป็นไงสรุปโดนสปอยจ้า
เลยทำใจไว้ละ เราอ่านเรื่องนี้โดยคิดมาจลอดว่าจะตายยังไงตายตอนไหนไรงี้
แต่พออ่านไปเรื่อยๆรู้สึกว่าความรักของตัวละครสองตัวนี้มันยิ่งใหญ่มากจนบางตอนแอบไปร้องไห้เพราะสงสารเหลียนอันสุ่ยอยากให้อยู่ไปนานๆเพราะรู้ว่าต้องจากไปในตอนท้าย
แต่หลายตอนเข้าก็เริ่มรู้ว่าสองคนนี้อยู่กันมานานถึง 14 ปีนี่เกินความคาดหมายมาก แต่ตอนจบของเรื่องก็เศร้ามากๆอยู่ดี

คือเราว่าเหลียนอันสุ่ยน่าสงสารมาก เป็นคนดีมากๆ ในขณะเดียวกันฉีเซี่ยงหยวนก็น่าสงสารเหมือนกัน
บทเกี้ยวในเรื่องดีมากมากมากมากมาก ไม่ว่าตอนไหนๆ ฉากไหนๆก็รู้สึกถึงความรักของทั้งสองคน

หลายคนที่ไม่กล้าอ่านตอน 80 เราแนะนำให้อ่านนะ หลังจากนั้นกลับไปอ่านตอนที่ 79 อีกรอบจะรู้สึกดีมากๆๆๆๆๆเลย ตอนที่80 เป็นตอนจบที่ดีมาก เหมือนเรื่องราวทั้งหมดสิ้นสุดจริงๆ   :hao5:



หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: PRMWi ที่ 06-06-2015 13:17:36
จริงๆแล้วเราอ่านจากในมือถือมาตลอด
แต่พอเราอ่านจบเราก็รีบลุกขึ้นมาเปิดคอมเพื่อระบายความในใจให้คุณนักเขียนได้ถนัดขึ้น

หนึ่งเลยคือ เราขอบคุณตัวเองที่เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ก่อนนอนเราก้เล่นมือถือแล้วเกิดอยากอ่านนิยายขึ้นมา เลยเข้ามาที่ไทบบอยเลิฟ เลื่อนๆไปเจอชื่อเรื่อง "พันธนาการแห่งสายน้ำ" สำหรับเราเป็นเรื่องที่เลื่อนผ่านไป แต่ในใจก็คิดว่า ลองอ่านหน่อยดีกว่า อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกใต้น้ำหละมั้ง ลองดู แฟนตาซีน่าสนใจ

พอเรากดเข้ามา เราก็ค้างไว้ เว็ปโหลดช้าจนเราหลับ ไม่ได้อ่านสักบรรทัด เช้ามาเราก็ลืมไป

ถัดมาอีกอาทิตย์กว่าๆ คืนนั้นเราก็นอนเล่นมือถืออีก มือกดไปโดนหน้าที่เราเปิดค้างไว้ นั่นก็คือนิยายเรื่องนี้
อ่านไปบรรทัดแรก .... ชิบหาย จีบโบราณ ไม่ถนัดโคตรๆเพราะอ่อนภาษามาก
อันต่อมา พระมาตุลาแปลว่าไรวะ ก็เปิดดิกดู แปลว่าลุง หรือน้าชาย โอเคคค

เรื่องที่สองของการขอบคุณตัวเองคือ ขอบคุณที่พยายามสะกดคำและพยายามจำชื่อตัวละคร ซึ่งตอนแรกเป็นอะไรที่ยากมาก
แต่เราจำชื่อสองชื่อได้ คือ เหลียนอันสุ่ย ฉีเซี่ยงหยวน .......

บอกตรงๆตอนแรกเดาเรื่องไม่ได้ จนตอนสุดท้ายก็เดาไม่ได้

คุณนักเขียนถามเราว่า ทั้งเรื่องเราชอบประโยคไหนมากที่สุด ตอนนี้ เวลานี้เราอ่านจบแล้ว
คำตอบเราลอยขึ้นมา เป็นภาพ ...เพราะเราชอบจำทุกอย่างเป็นภาพ
ภาพนั้นคือ ฉากแรกที่พระเอกได้เหลียนอันสุ่ย ประโยคที่ว่า 'เขาเจอคนสูงศักดิ์มาเยอะ แต่ไม่เคยเจอคนที่สูงส่งได้แม้ขณะอยู่บนเตียงอย่างเหลียนอันสุ่ย' ... แม้ฉากและการบรรยายไม่ได้มีอะไรมาก ไม่ชัดเจนทุกการกระทำ แต่เรามองเห็นการการะทำและความคิดของตัวละครทั้งสองอย่างชัดเจน และมันจะเป็นฉากที่ติดอยู่ในใจเราไปอีกนาน หรืออาจจะตลอดไป


สุดท้าย เราขอขอบคุณคุณนักเขียนจากก้นบึ้งของหัวใจ
ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบเอ็ดปี เราไม่เคยเจอนิยายเรื่องไหนที่มีทุกอย่างครบถ้วนขนาดนี้ไม่ว่าจะเป็น ภาษา อารมณ์ ฉากทุกฉากครบครัน คุณนักเขียนไม่เคยขี้เกียดที่จะพูดถึงเรื่องฉากทางการเมืองหรือการศึก ยอมรับจากใจว่าบางประโยคเด็กที่เรียนอินเตอร์และอ่านไทยได้แต่ไม่ค่อยเข้าใจคนนี้ต้องพยายามอ่านหลายรอบมากเพื่อจับใจความ แต่ทั้งหมดคุ้มค่าเพื่อให้ได้เข้าใจทุกอย่างที่คุณนักเขียนตั้งใจกลั่นกลองและสรรสร้างเรื่องราวเหล่านี้ เราจริงจังมาขนาดเก็บเอาไปฝัน หรือวันไหนที่เราง่วงมาก เราจะปิดหน้าต่อมือถือ แต่ในสมองเรายังคงคิดอยู่เสมอว่าพระมาตาลาจะเป็นอย่างไรในอนาคต แต่ในวันนี้เรารู้แล้ว...

ในเรื่องเราร้องไห้ให้กับตอนแรกที่อิ๋งฮวารู้ความจริง ต่อมาคือตอนที่พระมาตุลาตัดสินใจไม่จากไปกับนักพรต
และฉากสุดท้ายคือทั้งหมดของบทส่งท้าย  ทั้งหมดสวยงามและบริบูรณ์ที่สุด
บางบรรทัดเราก็เหมือนว่าคุณนักเขียนกำลังพูดบอกเราอยู่ นั่นคือตอนที่เราหัวใจกระตุกวูบยามที่อ่านฉากที่เป่ยชางอ๋องพูดว่าคนรักได้จากไปแล้ว มันเจ็บปวด มากๆจนร้องไห้ เราพิมพ์อยู่ตอนนี้น้ำตาเราก็ไหลอีกแล้ว ตอนนั้นในใจเราคือถ้าเลือกได้ไม่น่าดื้อดึงสะกดคำทำความเข้าใจกับเนื้อเรื่องอ่อนช้อยแบบนี้ให้รู้เรื่องเลย
แต่อีกไม่กี่บรรทัดต่อมา มันคือประโยคที่ว่า เราควรกล้าหาญ ไม่ควรกลัวในอนาคตที่จะเกิดขึ้น เพราะความรัก
เรารักนิยายเรื่องนี้จัง และในใจเราจะไม่ว่าเปล่า เหมือนที่ในใจของฉีเซียงหยวนมีเหลียนอันสุ่ย


ขอบคุณมากที่ทำให้เราได้รู้จักเหลียนอันซุ่ย ขอบคุณที่ทำให้รู้จักฉีเซียงหยวน
ขอบคุณที่ทำให้เราได้รู้จักนักเขียนที่เก่งมากในโลกหล้า(ของเรา)
ขอบคุณที่สรรสร้างเรื่องราวแสนมีค่าให้เราได้อ่าน
ขอบคุณที่ทำให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งในความรักของท่านเป่งชางอ๋องและพระมาตุลาแคว้นเหลียน

ขอบคุณที่แต่งเรื่อง พันธนาการแห่งสายน้ำ ..... และทำให้ให้ใจของเราถูกสายน้ำสายน้ำถูกพันธนาการเช่นกัน






สุดท้ายนี้ เราจะรอรูปเล่มที่กำลังจะคลอดออกมาเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำดีดี
และหากไม่มากไป ช่วยแต่งตอนพิเศษที่ฉีเซียงหยวนและเหลียนสุ่ยได้อยู่ด้วยกันเยอะๆนะคะ


รักมากกก จุ้บ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 23-06-2015 00:34:42
พึ่งตามอ่านจบค่ะ อ่านมาทั้งเรื่องไม่คิดว่าจะได้เสียน้ำตาให้กับนิยายเรื่องนี้เลย
จนมาเจอบทส่งท้ายนี่แหละค่ะ น้ำตาร่วง เสียใจที่เหลียนอันสุ่ยต้องจากไป และสงสารคนที่ยังอยู่

นี่เป็นนิยายอีกเรื่องที่ทำให้เราอินกับความรักของตัวเอกมากๆค่ะ คนเขียนแต่งและบรรยายมันออกมาได้ดีมากจริงๆ
+1 ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้ และเป็นกำลังใจให้สำหรับเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80....................
เริ่มหัวข้อโดย: ♥MPEGz♥ ที่ 25-06-2015 18:06:41
ฮืออออ น้ำตาไหลพรากค่ะ
แต่ก็เป็นเรื่องที่เราชอบมากๆ เช่นกัน
เรื่องนี้สอนอะไรเราหลายอย่างเลยค่ะ
ชอบอ่ะ ....ขอหลบไปร้องไห้เงียบๆ สักพักได้ไหมคะ
แม้จะเศร้าแต่เราว่าเป็นตอนจบที่สมบูรณ์
เพราะชีวิตทุกชีวิตมีกำเนิด และมีดับไป ที่คงไว้ก็เพียงความรัก ความทรงจำ :o12:
โอ๊ยยย ไม่ไหวแล้ววว ทิชชู่หมด
สุดท้ายนี้ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆ ทุกตัวอักษร ความละมุนละไมที่เราสัมผัสได้จากตัวละคร...
ขอบคุณค่ะ :hao5:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: pnatbutter ที่ 26-06-2015 20:57:30

เพิ่งอ่านจบ บอกไม่ถูกจริงๆ ตอนอ่านแรกๆยังเฉยๆ แต่ตั้งแต่กลางเรื่องไปนี่อินมากค่ะ เป็นหนึ่งในนิยายที่เราอ่านรวดเดียวจบและกินเวลาไปหลายชั่วโมงเลยทีเดียว

ถึงโครงเรื่องตอนต้นจะค่อนข้างจำเจ แต่ด้วยนิสัยของตัวละครที่เขียนออกมาได้ค่อนข้างลึก ไม่ได้มีเพียงด้านเดียว ดูเผินๆนายเอกกับพระเอกนิสัยแตกต่างกันสุดขั้ว แต่มองดีๆจะพบว่าสองคนนี้มีความเหมือนในความแตกต่างที่ช่วยเติมเต็มกันและกันจริงๆ ทำให้การกระทำของตัวละครสมเหตุสมผล เข้ากับนิสัยและบุคลิกของตัวละครนั้นๆ และเพิ่มความสนุก มิติ และแง่คิดให้กับเนื้อเรื่อง นอกจากนี้ภาษาที่ใช้ก็ไหลลื่น สละสลวยสวยงามทำให้อ่านเพลินไม่ติดขัด



อ่านมาค่อนเรื่องทำให้เราคาดเดาได้ว่าจะจบยังไง และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ถึงจะไม่ได้แฮปปี้ที่สุด แต่ก็เข้ากับความเป็นจริงที่สุด แม้จะเศร้าแต่ก็เป็นความเศร้าที่เจือไปด้วยความสุขของการที่ได้ใช้ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตด้วยกัน สิ่งที่พระเอกคิดหลังจากเสียคนรักไปเป็นสิ่งที่เราเห็นด้วยที่สุดค่ะ แม้ร่างกายจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ความทรงจำที่งดงามนับสิบปีนี้จะดำรงอยู่ในใจของคนที่เหลือไปตราบลมหายใจสุดท้าย ส่วนตัวคิดว่าทั้งสองคนโชคดีจริงๆที่ในช่วงชีวิตหนึ่งได้พบ ได้รัก ได้ให้อภัย และได้อยู่ด้วยกันจนถึงตอนจบ บทสุดท้ายนี่ล่ะเป็นการปิดฉากเรื่องอย่างสวยงามที่สุดแล้วค่ะ ถ้าไม่อ่านก็เหมือนละครที่ปิดม่านไม่สมบูรณ์ โดยรวมเราชอบเรื่องนี้มากค่ะ จะรอซื้อรวมเล่มจากนาบูแน่นอน

 (ไม่รู้ว่าจะตีพิมพ์ตอนเราอยู่ต่างประเทศเพื่อเรียนต่อรึเปล่า แต่ลิสต์ไว้ละค่ะว่ายังไงก็จะซื้อ กลับมาปีหน้าปลายปีหวังว่าจะยังมีหนังสืออยู่นะคะ)
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: Ciin ที่ 24-07-2015 17:55:26
คือคนแต่งเก่งมากถึงมากที่สุดค่ะ
ถ้าใครที่ไม่ได้อ่านเรื่องนี้คุณถือว่าพลาดไปมากๆเลยค่ะ
เป็นหนึ่งในนิยายดีที่เราได้อ่านในรอบหลายปีมานี้เลยค่ะ

ขอบคุณมากๆจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: omuya ที่ 26-07-2015 17:09:43
หลงสเน่ห์นิยายเรื่องนี้เต็มๆ เลย ใช้เวลาอ่านติดต่อกัน 5 วัน 80 บท
หลงรักภาษาที่สวยงาม เนื้อเรื่องที่ชวนติดตาม แทรกไว้ด้วยปรัญญา มีครบทุกรสชาด
โดนเฉพาะบทสรุปของเรื่อง ทำเอาร้องไห้แบบหยุดไม่ได้

นิยายเรื่องนี้ จะเป็นนิยายในดวงใจอีกหนึ่งเรื่อง ที่จดจำตลอดไป ชื่อของฉีเซี่งหยวนกับเหลียนอันสุ่ย จะติดอยู่ในใจไม่ลืมเลือน

ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้มากๆ นะคะ

ปล.ไม่รู้ไปหลบอยู่หลุมไหนมา ทำไมถึงพึ่งมาอ่านนิยายเรื่องติยายเอาตอนนี้ (พิมพ์ไปร้องไห้ไป)
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: kisstan ที่ 12-08-2015 21:08:38
สวัสดีค่ะ เพิ่งเคยเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ในที่สุดก็อ่านจบจนได้ :really2:
ยอมรับเลยค่ะ ว่าเขียนนิยายเร่องนี้ออกมาได้ดีมากเลยค่ะ หยุดอ่านไม่ได้เลย ค่อนข้างช็อกกับตอนจบเล็กน้อยค่ะ o22
ขอยกย่องเลยนะคะ เคยอ่านนิยายมาก็มาก แต่ไม่เคยมีเรื่องไหนเลยที่อ่านแล้วนำ้ตาไหลไม่หยุดขนาดนี้มาก่อนเลยค่ะ  :m15:
เป็นครั้งแรกเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้ให้อ่าน จะไม่ลึมนิยายเรื่องนี้ตลอดไปเลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: ตอบ
เริ่มหัวข้อโดย: missmemory ที่ 15-08-2015 03:23:22
ประทับใจมากค่ะ ทีแรกเห็นชื่อแล้วกลัวดราม่า พอเริ่มต้นอ่านแล้ววางไม่ลงค่ะ  o13
หัวข้อ: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: missmemory ที่ 15-08-2015 03:28:06
 นานแล้วที่ไม่ได้อ่านนิยายแล้วอินขนาดนี้ค่ะ  ภาษาสวยงามมาก โครงเรื่องและการดำเนินเรื่องดีมากค่ะ รอร่วมเล่มนะค่ะ ขอตอนพิเศษเพิ่มมากกว่า3ได้ไหมค่ะ หนาแค่ไหนก็รอซื้อค่ะ ผู้แต่งมีแต่งเรื่องอื่นอีกไหมค่ะ ในบอร์ดนี้ จะตามไปอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: ilprimo22 ที่ 06-09-2015 02:40:38
 :mew6: ขอแปะไว้ก่อนค่า ถ้าว่างจะมาตามอ่าน แนวชอบเบย
หัวข้อ: พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: missmemory ที่ 06-09-2015 04:17:09
คิดถึง :hao5: :mew2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 11-09-2015 13:04:46
     จบแล้วอ่ะ อือ :mew6:
เรื่องนี้ใช้เวลาอ่านถึง 3 วันเต็ม ตอนแรกที่เห็นแอบสนใจชื่อเรื่องนิดหน่อยถึงได้กดเข้ามาอ่าน  แต่นึกไม่ถึงว่าตัวเนื้อเรื่องจะดึงดูดความสนใจได้มากขนาดต้องตามอ่านจนจบ ขนาดเห็นความยาว 80 ตอนก็ยังไม่ย่อท้อ  เนื่องเรื่องรื่นไหลมากคะ  อ่านแล้วต่อเนื่องไม่สะดุด  ภาษาก็สวยมาก ตัวละครแต่ละตัวก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เนื้อหาเรื่องความรักก็เขียนได้ดีมาก อ่านแล้วทั้งรู้สึกยิ้ม หัวเราะและร้องไห้ไปได้เรื่อยๆ(อันหลังนี้หนักมาก จนเกือบถอดใจไม่อ่านเพราะไม่ค่อยชอบเรื่องเศร้า แต่เรื่องนี้ก็ทำให้วางไม่ลงจริ
งๆ) ตอนจบของเรื่องเล่นเอาร้องไห้จนน้ำตาเปียกหมอนแต่ถึงจะร้องไห้ขนาดนั้นกลับรู้สึกว่ามันเป็นการจาลาและความรักที่สวยงามจริง ๆ  ขอบคุณนักเขียนที่เขียนเรื่องดีๆ นี้ให้อ่านคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: acidic_crazy ที่ 01-10-2015 02:22:11
เป็นแฮปปี้เอนดิ้งที่ ทำเราน้ำตาตกเลยค่ะ 
สนุกมากๆๆเรื่องนี้ อยากได้เล่มเก็บไว้กันเลยทีเดียว

ขอบคุณนักเขียนมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-10-2015 21:41:49
 o13.   :pig4:  ขอบคุณคนเขียนมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 09-11-2015 18:52:44
เป็นงานเขียนที่วิเศษมาก ชื่นชมความสามารถในการประพันธ์ของผู้แต่งอย่างยิ่ง
เกินความคาดหมาย เต็มไปด้วยอารมณ์ ทั้งไหลบ่าทะลักทลายเชี่ยวกราก และอ้อยอิ่งปลอบประโลม
สร้างความสุขอันอิ่มเอมในการอ่านเปี่ยมล้น ประทับใจในทุกๆองค์ประกอบ ยากอธิบาย
รู้เพียง...นิยายเรื่องนี้จะอยู่ในความทรงจำแสนนาน

ขอแสดงความนับถือ และขอบคุณ จากใจ
Susani C.
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80
เริ่มหัวข้อโดย: myturn26 ที่ 28-11-2015 11:19:42
ชอบมากกกกกก เรื่องนี้สนุกมากค่ะ ครบทุกรสชาติจริงๆ
เสียดายแทนคนที่ไม่ได้อ่าน เสียดายแทนคนที่ยอมแพ้ไม่อ่านต่อเพราะชื่อตัวละครอ่ะ
ข้าน้อยขอคาระวะ อิอิ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 28-11-2015 11:48:14
เป็นนิยายที่ดีจริงๆคะ ปีหน้าซื้อเก็บแน่นอน ชอบมากๆเลยเรื่องนี้ ใครไม่อ่านจะเสียใจคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 01-12-2015 14:39:37
ตอนสุดท้ายน้ำตาท่วมมาก
เป็นนิยายในดวงใจเลย
จบสมบูรณ์มาก
เนื้อเรื่องดำเนินดีและการแสดงออกของตัวละครชัดเจน
หลงรักทุกตัวละครในเรื่องแม้แต่องค์หญิงจินผิงก็รัก
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆ มาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: Palita08 ที่ 11-12-2015 15:27:14
เป็นเรื่องหนึ่งที่คิดว่ามีค่ามากควรค่าแก่การอ่าน มีความสวยของภาษาอธิบายได้เข้าถึงตัวละครมากๆ ยิ่งอ่านยิ่งมีความสุข ไม่ว่าจะจบแบบไหน กผ้รู้สึกว่าเป็นการจบที่มีความสุข ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีเรื่องนี้ที่ทำให้มีความสุขกับการอ่านอีกคะ :L1: :L1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 12-12-2015 12:38:33
อ่านได้ครึ่งตอนแล้วก็วิ่งมาอ่านคอมเม้นท์   เหมือนอย่างที่กลัว  มันจบแบบนี้จริงๆ  :mew4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 18-12-2015 22:00:51
'...ถามไถ่ทั่วโลกหล้า อันว่ารักเป็นฉันใด จึงมอบให้กันและกันด้วยชีวิต...'
อ่านจบแล้วนึกถึงกลอนบทนี้จากเรื่องมังกรหยกเลยค่ะ
ค่อยละเลียดอ่านแต่ละคำ เพราะทราบว่าคนเขียนใส่ใจลงไปในทุกๆ คำ
เรียบง่าย สวยงาม อย่างที่สุด
 
ตอนจบเป็นตอนจบที่สมบูรณ์แบบอย่างที่คนเขียนบอกไว้
ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ ที่พาเหลียนอันสุ่ยและฉี่เซียงหยวนมาให้รู้จัก
 :L2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: renhoro ที่ 03-01-2016 12:56:04
ชอบมากที่สุดคือเรื่องราวอำนาจของพระเอกอะมันส์มากกก ทั้งตอนชิงมาทั้งตอนเป็นต้าอ๋องแล้ว ขนาดตอนตายไปแล้วยังมันสนุกเลย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: saruwatari_guy ที่ 23-01-2016 20:34:42
ทำไมเราเพิ่งเจอกันอ่ะ คือ ดีงามมาก ทั้งเนื้อเรื่อง ทั้งภาษา ทั้งการดำเนินเรื่อง มันละมุนละไม มีขั้นตอนมีเหตุผลของมัน ปล.หนังสือยังมีเหลือมั้ย อยากด้ายยย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 26-01-2016 18:22:54
มันคือดีงามมาก ๆ ไม่รู้จะบรรยายยังไงถึงแม้จะจากกันเร็วไป สุดท้ายก็คงได้พบกัน
น้ำตาไหลตอนเหลียนอันสุ่ยตาย มันเศร้ามากจริง ๆ ท่านอ๋องเข้มแข็งมาก
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 26-01-2016 19:00:25
ยังอ่านไม่จบค่ะแต่ตื้นตันมากกกกก(กรุณาลาก ก.ไก่ไปให้ไกลยันเชียงใหม่)
ชอบมาก!
คือความคิดแรกที่อ่านไปยี่สิบกว่าตอนนี่คนไทยเขียนเหรอ?นิยายแปลหรือเปล่า?ทำไมงานดีอย่างเน้นนนนนนนนนนนน!
ต้องกราบประทานโทษคนเขียนที่สงสัยในฝีมือของท่าน

เห็นว่ามีหนังสือแล้วด้วยแถมยังได้พิมพ์กับสำนักพิมพ์ที่เราชื่นชอบอีกอ่ะ เสียตังค์แน่ๆเรา5555555555
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 30-01-2016 23:24:42
ตอบคอมเมนท์

หายหัวไปนาน แวะกลับมาตอบคอมเมนท์(จริงๆแวะเข้ามาดูบ่อย แต่ไม่มีเวลาว่างพิมพ์ตอบจริงๆจังๆเสียที)
ดีใจที่หลายๆคนรับได้กับตอนจบนะคะ จริงๆตอนแต่งก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าคนอ่านจะโวย
แต่ก็เห็นหลายๆคนประทับใจ รู้สึกปลื้มเพราะแต่งนานมากกว่าจะลงตัว

Q: เห็นมีคนถามว่าเรียนหมอรึเปล่า ทำไมสอบบ่อย
A: คำตอบคือโป๊ะเช๊ะ ถูกต้องละคร้าบ

Q: เหลียนเหลียนตายเพราะมะเร็งสมองรึเปล่า
A: ไม่ใช่ค่ะ เหลียนอันสุ่ยเป็นโรคที่มีเส้นเลือดผิดปกติในสมอง โรคนี้พบได้ไม่บ่อย และที่เหลียนอันสุ่ยเป็นก็ไม่ใช่ลักษณะอาการปกติของโรคนี้ด้วย ปกติคนเป็นโรคนี้จะปวดหัวแล้วก็ไปเลยเหมือนน้องสาวเขาค่ะ แต่คนไข้คนนี้ค่อนข้างแปลกคือปวดหัวแรงมากๆแล้วก็ดีขึ้นเอง ไปเที่ยวอีกเป็นสัปดาห์ กว่าจะCTสมองแล้วเจอว่าเป็นอะไร สิ่งที่เขียนให้แตกต่างคือเหลียนๆมี เลือดออกซ้ำอีกรอบจนเสียชีวิต

Q: นอกจากเรื่องนี้มีเรื่องอื่นที่แต่งอีกมั๊ย
A: คำตอบคือเรื่องเดียวก็จะไม่รอดละจ้า แนวนี้แต่งยากเหลือ

Q: จบเรื่องนี้จะแต่งเรื่องต่อไปรึเปล่า
A: น่าจะไม่ได้แต่งไปอีกช่วงใหญ่ๆ เพราะตัวเองเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบนิยายที่ดองนานเกินเนื่องจากพออัพตอนใหม่คือลืมไปหมดแล้วว่าตอนเก่าเป็นไง เลยสัญญากับตัวเองไว้ว่าถ้าลงได้ไม่สม่ำเสมอขนาดนั้นจะยังไม่แต่งค่ะ

Q: เหลียนจิ้งเต๋อโตแล้วจะเป็นยังไง นึกภาพไม่ออก555
A: คำตอบก็คือหมอนี่โตแล้วก็เป็นผู้ใหญ่ค่ะ55 แต่ข้างนอกสงบเสงี่ยมยังไงข้างในก็ยังเป็นตัวก่อเรื่องอยู่เหมือนเดิม เหลียนจิ้งเต๋อเป็นคนเอาจริงเอาจังกับแค่บางเรื่อง แต่ก็เป็นคนเข้ากับคนอื่นง่าย ใจกว้างและมีอารมณ์ขัน ถึงแม้โครงตอนพิเศษดูจะไม่มีตอนของบรรดารุ่นลูก แต่ในความเป็นจริงพวกเขามีบทอยู่นะคะ

Q: อยากรู้ว่ารัชทายาทกับเหลียนจิ้งเต๋อรู้สึกอย่างไรกับพระเอกนายเอกบ้าง ข้าพเจ้าคิดว่าที่ผู้อ่านสงสัยหลักๆน่าจะเป็นสองประเด็นดังนี้
ความรู้สึกของรัชทายาทที่มีต่อเหลียนอันสุ่ย
ความรู้สึกของเหลียนจิ้งเต๋อที่มีต่อฉีเซี่ยงหยวน
A:
ส่วนเรื่องความรู้สึกที่รัชทายาทมีต่อพระเอก = คิดว่าเขียนได้ชัดเจนพออยู่แล้วในบทส่งท้าย
มันคือความยอมรับนับถือ ยึดถือเป็นแบบอย่าง และเดินตามรอยโดยไม่รู้ตัว ความจริงรัชทายาทเก่งกว่าพระเอกนะคะ รอบคอบกว่า เลือดเย็นกว่า และสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จมากกว่า ฉีเซี่ยงหยวนยอมรับนานแล้วว่าหลายเรื่องที่เด็กคนนี้ทำได้ ตัวเขาในวัยเดียวกันทำไม่ได้ (ความเกี่ยวพันของสองคนนี้ประหลาดมาก เหมือนเป็นโชคชะตา และก็เหมือนเป็นห่วงของเวรกรรมและการชดใช้ สำหรับผู้แต่งรัชทายาทแทบจะเป็นองค์ชายใหญ่กลับชาติมาเกิดใหม่ ถึงแม้ตัวเขาจะแทบไม่ได้อยู่กับพ่อและด้านIQสูงกว่าพ่อ แต่นิสัยกลับแทบจะลอกพ่อเขามาเป๊ะๆ
องค์ชายใหญ่เคยเลี้ยงพระเอกตอนเด็ก ดังนั้นลูกชายของเขาพระเอกจึงเป็นคนเลี้ยง
พระเอกเดินตามรอยเท้าของพี่ชายคนโต ส่วนลูกของพี่ชายคนโตกลับเดินตามรอยเท้าของเขา
องค์ชายใหญ่ดีต่อน้องคนที่สี่ของเขาอย่างจริงใจครึ่งหนึ่งหวังใช้ประโยชน์อีกครึ่งหนึ่ง ส่วนฉีเซี่ยงหยวนกลับเลี้ยงรัชทายาทขึ้นมาด้วยความรู้สึกหวังดีอย่างปราศจากสิ่งอื่นเคลือบแฝง ทำให้คนรัชทายาทนับถือที่สุดกลายเป็นฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่พ่อของเขา องค์ชายใหญ่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงลูกชายของตัวเอง ไม่มีโอกาสกระทั่งได้นั่งบัลลังก์ทั้งๆที่เป็นสิทธิ์ชอบธรรมของเขามาตั้งแต่เกิด คนที่ลูกเขาชื่นชมที่สุดกลายเป็นน้องชายเขา ดังนั้นตัวผู้แต่งเองค่อนข้างจะยกโทษให้เขาในเรื่องของความไม่จริงใจ555)

เรื่องความรู้สึกเหลียนจิ้งเต๋อต่อพระมาตุลา = นี่ก็พ่อลูกชัดๆ ไม่ต้องอธิบาย

ความรู้สึกที่เหลียนจิ้งเต๋อมีต่อพระเอก = คิดว่าเขียนชัดเจนพอแล้วค่ะ ข้อหนึ่งเป็นเพราะเหลียนจิ้งเต๋อค่อนข้างเป็นตัวละครที่ตรงไปตรงมา ชอบก็แสดงออกว่าชอบ ไม่ชอบก็แสดงออกว่าไม่ชอบ เข้าใจได้ไม่ยาก ในใจตอนท้ายก็ไม่ได้เกลียดพระเอกอะไรมากมายหรอก (หมอนี่เกลียดคนนานๆไม่เป็น นี่คือสิ่งที่เขาเหมือนพ่อของเขา) แต่จะให้แสดงออกว่ายอมรับแล้ว...ไม่มีทาง(ด้านความปากแข็งนี่เหลียนจิ้งเต๋อเหมือนตาปากเสียของเขาเป๊ะ) แน่นอนว่ามีหมั่นไส้พระเอกเป็นบางเวลา(ก็นั่นพ่อของเขานะ พ่อของเขาทั้งคน เหลียนจิ้งเต๋อไม่มีแม่ พ่อของเขาคือทั้งพ่อทั้งแม่ ดังนั้นเขาค่อนข้างหวงของเขาอยู่555)

ความรู้สึกที่รัชทายาทมีต่อเหลียนอันสุ่ย = ประเด็นนี้ค่อนข้างพูดยาก ใส่เพิ่มให้แล้วนิดนึงตอนรีไรท์เพื่อรวมเล่ม เอาเป็นว่าในนี้จะอธิบายคร่าวๆให้ฟัง สาเหตุที่ในเรื่องไม่ค่อยกล่าวถึงประเด็นนี้เป็นเพราะจริงๆรัชทายาทไม่ได้สนิทกับเหลียนอันสุ่ยมากมายค่ะ สนิทกับลูกชายไม่ได้หมายความว่าจะสนิทกับพ่อด้วยนี่นา พวกเขามันคนละรุ่นกัน และอย่าลืมว่ารัชทายาทมีแม่ตัวจริงด้วยนะคะ ขนาดพระเอกยังไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเชื่อสนิทใจเลย รัชทายาทเป็นเด็กที่ซับซ้อนเพราะความคิดของเขาเป็นผู้ใหญ่ มากๆ เขาค่อนข้างปิดตัวเองกับคนอื่น ไม่ค่อยเปิดใจให้ใครง่ายๆ หมอนี่เป็นพวกรอบคอบ คิดซับซ้อน คิดไปหมด เลยระวังตัวแจ ระแวงง่าย คนประเภทเดียวที่เขาไม่ระแวงคือประเภทเหลียนจิ้งเต๋อค่ะ555 จริงๆรัชทายาทโชคดีนะคะที่ได้มาเจอกับคนจริงใจ ไม่คิดเล็กคิดน้อยตรงไปตรงมาแบบเหลียนจิ้งเต๋อ ไม่อย่างนั้นชาตินี่รับรองว่าหมอนี่ไม่มีเพื่อน ความรู้สึกที่เขามีต่อเหลียนอันสุ่ยจึงค่อนข้างปิดกั้นในระดับหนึ่ง(เพราะเหลียนๆฉลาดไง คนที่หมอนี่อ่านไม่ออกหมอนี่ระวังทุกคนแหละ) ภายหลังที่อยู่ด้วยกันไปซักพักเขาเปิดใจให้เหลียนเหลียนมากขึ้น ทำให้ความรู้สึกตอนที่พระมาตุลาจากเป็นความเสียใจกับความเสียดาย เหลียนอันสุ่ยเป็นคนที่เขาชื่นชมในความสามารถ (แต่เอาจริงๆตอนที่เหลียนๆตายแล้วพระเอกให้ไปตามตัวรัชทายาทมาด้วยนี่ไม่ได้กะให้ลาจากพร้อมหน้าครอบครัวอะไรหรอก พระเอกเรียกรัชทายาทมามอบหมายงานค่ะ เพราะเรื่องกะทันหันมากพระเอกรู้ตัวว่าให้เขาไปทำงานต่อเลยไม่ไห้ ส่วนรัชทายาทได้รับผลกระทบในเรื่องนี้น้อยกว่าเขา<<นี่คือความจริงที่อาจจะทำลายความโรแมนติกในใจหลายๆคน ข้าพเจ้าบอกแล้วว่าครอบครัวนี้มันบิดเบี้ยว ต่างคนต่างนิสัยต่างความคิด แต่มันก็สมบูรณ์ในตัวของมัน)

 Q: จะมีเรื่องแยกของคู่ของหานญื่อหลัวกับคู่ลูกรึเปล่า
A: คำตอบคือไม่มีค่ะ สามคนนี้จะมีโผล่ในตอนพิเศษ ส่วนหลังจากนั้นคือให้คิดต่อเองค่ะ ใครอยากคิดยังไงเชิญเลยฮะ เพราะข้าพเจ้ามีบทสรุปของพวกเขาในใจของข้าพเจ้าเองอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะไม่ได้ตรงใจใครเท่าไหร่ ดังนั้นจึงไม่เขียนดีกว่า ทิ้งไว้ให้คิดต่อเอง555 ทุกคนมีอิสระที่จะตีความและจินตนาการจริงมั๊ย:)

Q: กลับมาไทยปลายปีนี้จะยังเหลือนิยายเล่มให้ซื้ออยู่รึเปล่า
A: คิดว่ายังมีนะคะ เพราะหนังสือชุดแรกเสร็จประมาณมีนาปีนี้ค่ะ(ข้าพเจ้าเขียนตอนพิเศษช้ากำหนดการออกหนังสือมันเลยดีเลย์55)

Q: มีคนรักกระทั่งองค์หญิงจินผิง!!!
A: นี่เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าประหลาดใจมาก ข้าพเจ้าค่อนข้างเหลือเชื่อที่มีคนรักตัวละครตัวนี้ลง ขอบคุณมากค่ะ นางจะต้องดีใจมาก จริงๆนางร้ายกับเหลียนเหลียนคนเดียวแหละ กับคนอื่นนางก็ไม่ได้ชั่วช้าอะไรมากมาย

ปล.การตอบคอมเมนท์หลังจากนี้ข้าพเจ้าจะอัพเดทในคอมเมนท์นี้นะคะ ดังนั้นใครมีอะไรอยากเขียนถึงก็พิมพ์ไว้ได้เลยข้าพเจ้าแวะกลับมาอ่านอยู่แล้ว ทุกคอมเมนท์มีค่าสำหรับข้าพเจ้าเสมอ เช่นเดียวกับนักอ่านที่รักทุกๆท่าน คิดถึงมากจริงๆ เหงาก็แวะไปหาที่เพจfacebookได้ฮะ  :mew1:

ขอบคุณที่ทำให้นิยายเรื่องนี้มีวันนี้ ;)

Wind of autumn(สายลม ณ ปลายสารท)<<ตอนหาเพจเสิร์จชื่อหลังนะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 06-02-2016 10:40:30
อ่านไปได้สองตอนอล่วชอบภาษาและการบรรยายมากคะอย่างไรก็ตามจอง้ล่มกับนาบูไปแล้นคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: apple32 ที่ 08-02-2016 13:55:31
กลับมาอ่านอีกรอบ 1วัน1คืน ยังเป็นเรื่องที่ชอบมาก งดงามต้องเก็บ จองไปเรียบร้อย รอเซียงหยวนและเหลียนเหลียน
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 11-02-2016 22:36:48
อ่านถึงตอน19แลัวสนุกลุ้นตลอดคนแต่งบรรยายได้ดีจริงๆเลยคะ อยากได้เล่มแว้ววว
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 15-02-2016 07:09:01
ข้านั่นอ่านถึงตอนที่56น้ำตาไหลเลยสงสารใครดีพระเอกและนายเอกท่านผู้แต่งแต่งและบารยายผูกเรื่องได้ยอดเยี่ยมจริงๆปรบมือๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 16-02-2016 11:36:13
เจ้ามาอ่านตอนเรื่องนี้จบไปแล้ว ใช้เวลาอ่านทั้งหมดสองวัน และหยุดอ่านไม่ได้ตั้งแต่บทแรก ติดใจตั้งแต่สำนวนภาษาที่สละสลวยได้บรรยากาศนิยายจีนเอามากๆ ไม่แปลกใจเลยท่ใช้เวลาเขียนถึงสามปี เพราะเรื่องนี่ผูกเรื่องได้ซับซ้อนจริงๆ คนเขียนช่างวางปมเปลี่ยนทางเลือกการตัดสินใจของตัวละครได้น่าติดตามไปทุกตอนจริงๆค่ะ ไม่ว่าจะตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนจะฆ่าพ่อ เหลียนอันสุ่ยจะทิ้งฉีเซี่ยงหยวน ตอนเสบียงจะหมดคลังก็ลุ้นว่าเอ๊ะ หรือเหลียนอันสุ่ยจะมาช่วยฉีเซี่ยงหยวนแก้ปัญหา กลายเป็นว่าคนเขียนยังคงหนักแน่นในบทบาทหน้าที่และนิสัยของตัวละครว่า เหลียนอันสุ่ยจะไใยุ่งกับการสงคราม และฉีเซี่ยงหยวนก็ฉลาดและรอบคอบมากพอที่จะแก้ปัญหา เราได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่แม้จะเริ่มต้นที่การบังคับเรื่องบนเตียงเหมือนนิยายหลายๆเรื่องที่วางขายตามท้องตลาด แต่ด้วยนิสัยของตัวละครที่คุณคนเขียนยึดมั่นไว้ให้เป็นอย่างนั้น ก็ทำให้การกระทำหลายๆอย่างที่ตามมา มี้หตุผลรองรับและมีความละเอียดลอออย่างที่ไม่เคยเจอจากนิยายเรื่องอื่นๆจริง อ่านเรื่องนี้แล้วมุมมองเรื่องความรักและการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปมากๆ แบบมากๆเลยค่ะ มีหลายประโยคและหลายการเปรียบเทียบในนิยายเรื่องนี้ที่อ่านแล้วเหมือนมีมีดสิบเล่มมากรีดกรอบความคิด กรีดความทรงจำ ความคุ้นชินกับประโยคในนิยายเรื่องอื่นๆที่เคยอ่าน มันเป็นความแปลกใหม่ที่รู้สึกคุ้มค่ากับการอ่านมาก ขอชื่นชมคุณคนเขียนมากๆเลยค่ะ ยิ่งบทส่งท้ายนี่คือ ทำไมเราน้ำตาไหลไปมีความสุขไปได้ขนาดนี้ เหมือนคนสองคนนี้มีตัวตนจริงๆ ไม่ได้เป็นแค่ตัวละครในนิยาย ทุกบรรทัดที่อ่าน เหมือนบรรยากาศความรักความเข้าใจความเอาใจใส่ที่ทั้งคู่มีให้กันมันโอบล้อมตัวเราอยู่ การตายของเหลียนอันสุ่ยกลับทำให้เรารู้สึกอิ่มใจเพราะได้เห็นการแสดงความรักความึดถึงของฉีเซี่ยงหยวนในอีกรูปแบบหนึ่ง นิยายเรื่องนี้มันไม่ได้หวานเลี่ยนมีแต่เรื่องรักๆๆ พระเอกเก่ง นายเอกเก่งอะไรแบบนั้นโดยที่ไม่มีเหตุการณ์อะไรในนิยายมาสนับสนุนนิสัยหรือความเก่งของตัวละครนั้นๆเลย แต่คุณคนเขียนใส่ใจในรายละเอียดตรงนี้ ถ่ายทอดนิสัย ความรู้สึกนึกคิด และความสามารถของตัวผ่านการกระทำต่างๆ ให้มันกระทบต่อไปเป็นลูกโซ่ สอดแทรกด้วยเนื้อหาความรักเข้าไปจนมันกระทบมาที่ใจคนอ่านแบบถอนตัวไม่ขึ้น ขอบคุณที่ใช้เวลาถึงสามปีทุ่มเทความคิด แรงกาย แรงใจแต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ จะเก็บไว้เป็นนิยายในดวงใจเรื่องหนึ่งเลย
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 19-02-2016 22:21:14
ในที่สุดก็อ่านจบแล้ว ประทับใจมากคะ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าคะรอเล่มๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 15-03-2016 14:25:36
พึ่งจะได้เข้ามาอ่าน อ่านโดยไม่รู้ว่าตัวเองกดสั่งจองนิยายไปก่อนนานแล้วด้วย
หลายวันที่อ่านมา รู้สึกมันยาวมาก เป็นคนขี้เกียจ หยุดอ่านไปที กลับมาอ่านอีกที ว่าจะหยุดอ่านอีกหลายที แต่ก็ไม่สามารถทำได้เลย
ตอนแรกสุดที่หยุดอ่านหลังจากอ่านตอนแรกจบ คือเหม็นขี้หน้าฉี่เซี่ยงหยวน จะมารุ่มร่ามกับพระมาตุลาแบบนี้ได้ยังไง เป็นแค่แม่ทัพ
สุดท้ายกลับมาอ่าน เรื่องราวมากมาย ทุกข์ สุข
พอถึงบทสุดท้าย
ไม่นึกเลย ว่าจะผูกพันกับตัวละครถึงเพียงนี้ เหมือนพวกเขามีชีวิตจริง อ่านไปร้องไห้ไปจนปวดตาไปหมด พิมพ์ตอนนี้ก็ยังน้ำตาไหลอยู่
เป็นความโศกที่ไม่คาดคิด อยากถามนักแต่ง จะรับผิดชอบน้ำตาของนักอ่านยังไง
รอคอยรูปเล่มที่กำลังทำอยู่ มาถึงคงได้อ่านซ้ำ แต่จะกล้าอ่านไปถึงตอนจบไหมยังคงต้องคิด แต่ไม่ใช่ไม่ดี มันดีมาก แต่น้ำตามันก็มากเช่นกัน
นี่ร้องไห้จริงๆนะเนี่ย!

***editเพิ่ม
ยังคงกลับมาอ่านอีกหลายรอบ แต่ไม่เคยกล้าอ่านไปถึงบทท้ายๆเลย ทั้งที่จำได้แทบทั้งหมดของบทท้ายๆ อยากอ่านแต่ไม่อยากอ่าน ฮือ ร้องไห้
***editเพิ่มอีกครั้ง
ยังคงกลับมาอ่านอีกแล้วเหมือนว่ามันไม่สามารถสลัดหลุดออกไปจากใจได้เลย ไม่อยากสลัดด้วยละ เราชอบจริงๆ ร้องไห้หนักมากด้วย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: pupae2528 ที่ 17-03-2016 04:12:48
เฮ้ยยยยยยนย คือแบบ เนื้อเรื่องมันดีมาก ทุกตัวละคร   o13 มันดีทุกอย่างอ่านแล้วรู้สึกปลื้มปริมกับความรักของทั้งคู่มาก  o13 แม้บทส่งท้ายจะทำเราน้ำตาซึมๆๆๆๆๆๆ แต่รู้สึกว่ามันลงตัวมากกกกกก ขอบคุณนักเขียนมากๆที่ผลิตเนื้อเรื่องดีๆ มาให้อ่านคะ :katai2-1: :a2: :a2: :a2: :a2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: Maii2206 ที่ 06-04-2016 21:07:16
เราใช้เวลาในการอ่านสามวันรวดค่ะ อดหลับอดนอน ไปนั่งทำงานสัปหงกเลยทีเดียวเชียวค่ะ
อย่างแรกเลยเราขอชื่นชมนักเขียนมากๆนะคะ เรารู้สึกอิ่มเอมในการอ่านนิยายเรื่องนี้มากๆ ให้ทั้งข้อคิด แง่คิดหลายอย่าง รวมถึงความสนุกของเนื้อเรื่องที่หาข้อมูลมาดีมากๆเลยค่ะ อ่านแล้วรู้สึกไม่สะดุดเลยซักนิดเดียว
อย่างที่สองคือ เราหลงรักตัวเอกทั้งสองคนมากๆเลย รวมถึงหานญื่อหลัวด้วย สัญญากับคนเขียนไว้ว่าจะกลับไปอ่านในเล่มอีกรอบนึง เพื่อความสมบูรณ์ของนิยายเรื่องนี้ หลังจากอ่านจบ ความรู้สึกยังติดค้างอยู่ในใจหลายวันเลยค่ะ รู้สึกเหมือนพลาดอะไรไปไม่รู้ รอให้ถึงเสาร์อาทิตย์แทบไม่ไหว จะหยิบหนังสือมาอ่านอีกรอบให้ได้เลย เราชอบบุคลิกของฉีเซียงหยวนมากๆ มีความเป็นผู้นำ มั่นคงในรัก เด็ดเดี่ยว จอมวางแผน พอถึงเวลาเกี้ยวพาราสีก็เกี้ยวเหลียนเหลียนของเราซะเขินไปหมด ขนาดเหลียนอันสุ่ยที่ว่าเก็บอารมณ์เก่ง ยังทนทานพระเอกไม่ได้เลย ตอนแรกที่อ่านตอนต้นๆ รู้สึกว่าเหลียนอันสุ่ยดีเกินไป มีคนแบบนี้ด้วยหรอ แต่พออ่านๆไปก็เริ่มรู้สึกว่าอืมม... ก้มีด้านที่เค้าฆ่าคนได้นะ เพื่อความสงบสุขของแคว้น เรารู้สึกว่าเหลียนอันสุ่ยเด็ดเดี่ยวมาก เราคิดว่าเซี่ยงหยวนต้องต้องหลงรักอันสุ่ยเพราะแบบนี้แน่เลย อ่านๆไปก็สงสารอวี้เฉวียนมาก รู้ทั้งรู้ว่าเค้าไม่มีทางรักนะ ก้ยังอุตส่าห์กลับมาเพื่อตายอย่างเดียวเลย ตอนที่ชอบที่สุดในเรื่องนี้น่าจะเป็นฉากที่เหลียนอันสุ่ยง้างธนูเพื่อฆ่าหัวหน้าฝ่ายศัตรู รู้สึกเท่ห์มากๆ เห็นถึงความฉลาดมากๆๆ จริงๆชอบหลายๆฉากเลยนะคะ บอกได้ไม่หมดเลย อารมณ์มันอัดอั้นจนอยากหาคนคุยด้วย บังคับให้เพื่อนอ่าน เพื่อนก้ชอบกันทุกคนเลย สำหรับบทส่งท้ายที่ตอนแรกคิดว่าจะไม่อ่าน สุดท้ายก้อ่านไปจนได้ อ่านแล้วน้ำตาก็ไหลค่ะ ตอนพิมพ์น้ำตาก็ไหล อยากให้ใช้เวลาด้วยกันนานกว่านี้ สงสารเซี่ยงหยวน สิ่งที่บังคับให้ได้มา สุดท้ายก้ถูกบีบให้ต้องพรากจากไป  :o12: ความอัดอั้นนี้ จะไปอ่านอีกรอบให้ละเอียดกว่าเดิมค่ะ อ่านแล้วได้แต่คิดว่า ทำไมเซี่ยงหยวนถึงได้หล่ออะไรปานนี้นะ
ปล.หนังสือเรืองนี้เราจะถือให้เป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเราเลยค่ะ เราอ่านแล้วมีความคล้ายคลึงกับเรื่ององค์ชายอัปลักษณ์+ปู้ปู้จิงซินเลย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: bambooiihallo ที่ 20-04-2016 23:58:45
สนุกมากค่ะ<3  ชอบฉากจบ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: mamoeww3 ที่ 21-04-2016 02:26:17
คิดถึงเรื่องนี้ เหลียนๆ น้อย แอร๊ยยยยย
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
ชอบฉากจบมาก มันจบแบบจบ จบอลัง แพนกล้องเครดิตขึ้นได้เลยทีเดียว จบแบบแผ่นดินยิ่งใหญ่รวมแคว้นในรุ่นลูก  :heaven

ชอบตรรกะของคนเขียนที่บอกว่าพอรักกันแล้วไม่ใช่จบ แต่ต่อไปที่คิดคือใครจะตายก่อน? แล้วคนที่เหลืออยู่จะเป็นไง
เออ มันใช่เลย! นี่แหล่ะประเด็นสำคัญ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนตลอดกาล ทุกอย่างมีวันจบ แต่จะจบยังไงให้ปัง ให้สวย ขึ้นกับฝีมือล้วนๆ ว่าจะถ่ายทอดออกมายังไงให้บรรเจิดเลอค่า
ประทับใจมาก o13  :กอด1:
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ค่ะ เป็นหนึ่งในเรื่องที่ประทับใจกับทุกอย่างที่มันมีเรื่องราวและทิศทางของมัน
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 22-04-2016 20:56:15
ซื้อเรื่องนี้ในงานสัปดาห์หนังสือไม่ทัน...อยากให้เรื่องนี้วางขายในร้านหนังสือชั้นนำ...เพราะคุณคู่ควร...จะหาซื้อมาครอบครองให้ได้...

เคยเอาไปฝันต่อ...ตอนที่เป็นภาคจอมมารและท่านเทพ...แบบว่มีดราม่ามากมายสุดท้ายจอมมารกลายมาเป็นเทพและครองคู่เป็นเพื่อนคู่คิดกันตราบนานเท่านาน...แอบฝันก็ยังดี

ยังคิดถึงเหลียนเหลียนและต้าอ๋องเสมอ เอ็นดูรุ่นลูกด้วย พูดได้เหมือนเดิมว่ารักนิยายเรื่องนี้จริงๆ

....เชื่อมั้ยว่าเราชอบไปตามอ่านคอมเม้นท์ต่างๆ  บางคนเขียนแทนใจเรามาก
บางทีถึงขั้นอ่านคอมเม้นท์แล้วน้ำตาไหล จริงๆนะ มันปลื้มแทน555

(แก้ไขเพิ่มเติม)พอได้ข่าวว่าเรื่องนี้มีขายที่B2S นายอินทร์ และอนิเมะ เรารีบไปB2Sใกล้บ้านก่อนเลย
แต่หาไม่เจอ เลยให้พนักงานเสริจให้ เค้าบอกว่ามีชื่อแต่ยังไม่มีนิยายสักสาขาเดียว T T แทบเดินร้องไห้กลับบ้านเลย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 23-04-2016 19:32:52
รักเรื่องนี้มากกก(ก.ไก่ล้านตัว)
เคยอ่านตอนที่ยังไม่ได้สมัครสมาชิก
คิดถึงจริงๆอยากอ่านต่อไปเรื่อยๆ ไม่อยากให้จบเลย
เป็นพีเรียดจีนเรื่องแรกที่อ่าน ชอบทุกตอนทุกตัวละคร
สำนวนการเขียนดีมากจนบรรยายไม่ได้อ้ะ ขอเว่อร์หน่อย5555
อยากให้คนเขียน เขียนเรื่องอื่นๆอีก

 :กอด1: :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: mass ที่ 25-04-2016 19:21:11
ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆที่เขียนนิยายดีดีแบบนี้ให้อ่าน
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: Sanart ที่ 12-05-2016 00:03:36
เป็นนิยายในไม่กี่เรื่องที่ทำให้นักอ่านเงาต้องออกจากเงาจริงๆค่ะ

ใช้เวลาประมาณสามวันในการอ่านเรื่องนี้
รู้สึกยินดีที่อ่านได้ต่อเนื่องไม่ค้างคา แต่ก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้
ที่ดูเหมือนเพิ่งได้รู้จักก็ต้องจากลากันแล้ว

ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี แต่ต้องบอกว่าประทับใจมากค่ะ
ส่วนตัวชอบนิยายแปลจีน สำนวนในเรื่องนี้ถูกใจเรามาก
แต่ไม่เคยอ่านนิยายแนวจีนโบราณ ชาย-ชายมากก่อน
เพราะเรารู้สึกว่ามันยากมาก ถ้าคนเขียนไม่เก่งจริงจะไม่ทำให้
เรารู้สึกอินไปด้วยได้ น้อยเกินไปขาดอารมณ์ร่วม มากเกินไปก็เหนือจริง แบบนี้อ่านฟิกก็เหมือนกัน

ฉะนั้น เราจึงนับถือคนแต่งมากค่ะ และขอขอบคุณที่มาแบ่งปันนิยายนำ้ดีนี้ให้แก่ทุกคน
ตอนนี้เราหวังว่าเมื่อเขียนคอมเม้นนี้จบ จะขอไปจองหรือซื้อหนังสือทัน
ดังนั้นรีบไปดีกว่า หวังว่าจะได้พบกันอีกในเรื่องหน้าเมื่อพร้อมนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 16-05-2016 19:09:00
สารภาพตามตรงว่า ประมาณ 1 เดือนก่อนหน้านี้ เคยอ่านแล้วหยุดไปในตอนที่32-33 จนเมื่อ2อาทิตย์ที่ผ่านมาจึงหันกลับมาอ่านอีกครั้ง เพราะได้ดูละครจีนเรื่องหนึ่ง ทำให้อยากอ่านสามก๊ก แต่หยิบฉบับหอสมุดมาอ่านนั้นเวียนหัวมาก ฉบับวณิพกก็ยังรู้สึกยากอยู่ เลยคิดว่า เอาว่ะกลับไปอ่านเรื่องนี้น่าจะง่ายกว่า
แล้วตอนที่ 32-80ก็จบภายใน 2วัน1คืน
ขอชื่นชมภาษาที่ใช้ งดงามและลึกซึ้ง อ่านเข้าใจ ไม่มากไม่น้อยเกินไป แต่ถ้ารวมเล่ม ตรวจคำผิดหนักๆ หน่อย
ส่วนของพล็อต เน้นความรักความเข้าใจ จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เป็นอะไรที่ดีงามมาก คนเป็นเจ้าผู้ครองแคว้น งานเมืองล้วนหนักหนาอยู่แล้ว อย่าให้ต้องแบกรับงานบ้านไปด้วยเลย
เรื่องรัชทายาท ความคิดของ ฉีเซี่ยงหยวนนั้นเป็นความคิดของผู้นำที่เป็นผู้นำจริงๆ การที่จะเป็นรัชทายาทมิใช่เพียงแค่เสน่หาแล้วจะพาบ้านเมืองประชาชนให้รุ่งเรื่องได้ ผู้นำคนต่อไปต้องสานต่อความยิ่งใหญ่ไม่ใช่อาศัยบารมีของผู้นำคนก่อน บันลังก์มังกรล่มจมเพราะทายาทที่ไร้ความสามารถมานับไม่ถ้วน

ส่วนอันนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่แต่อยากแนะนำให้ดูละครเรื่องที่ทำให้หันมาอ่านเรื่องนี้จนจบ "หยางหยาป่าง"  ไม่แน่ใจ คนแต่งดูหรือยัง พอมาอ่านอีกรอบ พระมาตุลาหน้าของเหมยฉางซูลอยมาเลย ส่วนฉีอ๋องนี่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจิ๋งอ๋อง ใครดูเรื่องนี้มาต้องชอบตอนจบของพันธนาการแห่งสายน้ำแน่ๆ อย่างน้อยๆ คนรักของเรื่องนี้ก็มีโอกาสร่ำลา ชีวิตมีพบก็มีพราก รักกันแค่ไหน เกลียดกันปานใดก็หนีความตายไม่พ้น 14 ปีที่อยู่ด้วยกัน ล้วนเป็นความทรงจำที่ลำ้ค่า
ปล.จริงๆ การแต่งงานของราชวงศ์ ยังไงก็เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและอำนาจ เรื่องนี้ถือว่าปราณีสุดๆ ที่เขียนให้รับฮ่องเฮา(เพิ่งเจอคนใช้คำว่าอัครชายา) หลังจากเหลียนอันสุยตาย ถือว่าดีต่อคนอ่าน แม้ชีวิตจริงจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลยก็ตาม
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 01-06-2016 22:35:46
มีคนบอกมาว่านิยายเรื่องนี้นี่งานพรีเมียม
เลยตามมาอ่าน...แต่ก็แอบมีความคิดที่ว่า...
จะอ่านไหวเหรอ?80ตอนเลยนะ!
ปกติถ้าอ่านนิยายเราไม่ค่อยอ่านอะไรที่มันเกิน50ตอนจบน่ะ
เพราะถ้ามากกว่านี้เราว่ามันเยิ่ยเย้อไปสำหรับนิยาย
แล้วความจริงเราก็ไม่ค่อยถูกโรคกับอะไรที่จีนๆด้วย(ตอนแรกๆจำชื่อได้ยากมากละลานตาไปหมด)

แต่.....พออ่านไปแล้วจนจบ
ก็แทบจะเอาดอกไม้มาขอขมาคนเขียน
ที่เราได้มีความคิดดูหมิ่นนิยายเรื่องนี้ของท่านไปก่อนหน้านี้...>>กราบ<<

ชอบเรื่องนี้มากจริงๆ
ปล.จะรวบรวมเหรียญบาทในกระป๋องมาซื้อนิยายเรื่องนี้ให้จงได้ค่ะ
รักฉีเซี่ยงหยวนรักเหลียนอันสุ่ย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 04-06-2016 22:44:26
อ่านอีกรอบ...
ยังเสียน้ำตาให้กับตอนจบเหมือนเดิม ซึ้งและประทับใจมาก
ชอบจิ้งเต๋อ น่ารักดี เวลาทะเลาะกับต้าอ๋อง
มู่ซางก็ฮามากๆ ชอบบบบ
แอบจิ้นให้จิ้งเต๋อคู่กับองค์รัชทายาท หุหุ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 04-06-2016 23:13:53
เป็นนิยายที่ขึ้นแท่นประทับใจ หยิบมาอ่านกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ ใครไม่ได้อ่านจะเสียใจ นิยายเรื่องนี้ดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: CChompu ที่ 05-06-2016 04:30:56
เรื่องนี้เป็นจีนโบราณเรื่องแรกที่อ่าน แล้วก็ชอบมากค่ะ
ปกติถ้าเจอชื่อตัวละครจีนก็ปิดแล้ว เพราะจำชื่อตัวละครไม่ค่อยได้ (หัวเราะ)
แต่หานิยายดีๆอ่านไม่ได้ เลยเอาวะ อ่านเรื่องนี้ดีกว่า แปดสิบตอน ชื่อคนมากมายก็ต้องทำให้ได้
อ่าน 4 วัน ทำงานไปด้วยอ่านไปด้วย กลับบ้านมาอาบน้ำ อ่านนิยาย นอน (ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง)

นิยายเรื่องนี้อบอุ่นมากค่ะ ชอบทุกอย่าง โครงเรื่อง ภาษาตัวละคร บทพูด
ไม่ผิดหวังเลยที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้ มันดีงามทุกอย่างจริงๆค่ะ
ถ้าใครที่กำลังลังเลว่าจะอ่านดีไหม แล้วเห็นคอมเม้นนี้ อยากชวนให้อ่านค่ะ คุ้มค่าทุกตัวอักษรค่ะ

ประทับใจหลายตอนมากค่ะ ถ้าไม่นับบทส่งท้ายที่กินใจมาก มีสองตอนที่ชอบมากๆ
หนึ่งคือตอนเซี่ยงหยวนบอกจิ้งเต๋อ ว่าบังคับกักขังเหลียนอันสุ่ย
อีกตอนคือ ตอนเซี่ยงหยวนปล่อยเหลียนอันสุ่ยให้ออกจากเมือง รักมาก แต่ยอมปล่อยคนที่เรารักไป ยอมเจ็บคนเดียว
แต่ที่ชอบมากๆคือบทส่งท้าย ร้องไห้ตาบวมกันเลยทีเดียว เป็นบทส่งท้ายที่เป็นบทจบที่สมบูรณ์ที่สุดแล้วค่ะ
คิดไม่ออกว่าจะมีตอนจบแบบไหนที่สมบูรณ์ไปมากกว่านี้ ชอบที่คนเขียนบอกเล่าเรื่องราวของแคว้นหลังจากยุคของเซี่ยงหยวน

คอมเม้นยาวมาก (หัวเราะ) อ่านรวดเดียว เม้นรอบเดียว แต่ประทับใจหลายรอบนะคะ

ไม่พลาดรูปเล่มแน่นอนค่ะ (ยิ้มหวาน)
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 15-06-2016 22:19:11
แวะมาเยี่ยมเป่ยชางอ๋องและท่านเหลียนคะคิดถึงๆ ว่าแล้วก็ไปหยิบเล่มมาอ่านอีกรอบคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: winterday ที่ 28-06-2016 19:06:11
สวัสดีค่ะ คุณ สายลม ณ ปลายสารท -- wind of autumn

ขอขอบคุณอย่างสูงสำหรับนิยายที่ต้องใช้ความทุ่มเท และแรงกายแรงใจมหาศาลในงานเขียนนี้นะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เรียนมาทางสายวิทย์ และอาจจะกำลังเรียนแพทยศาสตร์ด้วยแล้ว คุณเป็นผู้มากความสามารถจริง ๆ

ช่วงแรก ๆ อ่านแล้วอาจจะยังไม่เคยชินกับภาษาบ้าง แต่ไป ๆ แล้วก็เริ่มชิน สิ่งที่ชอบมากคือ การบรรยาย ทำให้นึกถึงละครจีนพีเรียดที่เคยดูสมัยเด็ก ๆ การดำเนินเรื่องสวยงาม อ่านแล้วหน่วง ๆ บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ประทับใจ กินใจ มาก ๆ

แม้จะเข้าใจ แต่ก็ยังคงต้องรู้สึกเศร้าและเสียน้ำตาไปกับตอนจบ ฉีเซี่ยงหยวน เป็นคาแรคเตอร์ที่หนักแน่นและอบอุ่นในตัว เป็นบุคคลที่มีเปลือกนอกที่แข็ง แต่ภายในมีความเมตตา กลับกันกับ เหลียนอันสุ่ย ในบางช่วงเวลา ที่แม้โดยส่วนใหญ่แล้วจะอ่อนโยน แต่บางที ภายใต้เปลือกนอกที่อ่อนโยน บางครั้ง เหลียนอันสุย ก็แข็งได้อย่างไม่น่าเชื่อ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 19-07-2016 23:04:52
สองวันแล้ว ที่แอบแวะเข้ามาเยี่ยม

คราวนี้  ร้องไห้จนปวดหัว

ทนอ่านได้ไม่ครบทุกตัวอักษรจริงๆ

อ่านไปได้สองสามตอน  ก็ต้องไปพัก  ปรับอารมณ์ตัวเอง  ไม่ให้โศกมากไปกว่านี้

อ่านคราวแรกว่าหน่วงแล้ว

อ่านคราวที่สองนี้  เมื่อใจกว้างมากขึ้น  ยิ่งเห็นใจในตัวละคร  ก็ยิ่งเจ็บปวดทบเท่าทวีคูณ

ข้างๆ มีกองทิชชูเปียกชื้นเป็นพยาน

ปล. ฝากถึงคนแต่งว่า  เราคิดถึง

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 22-07-2016 00:41:09
กลับมาอ่านต่อหลังจากที่ไม่ได้อ่านมาเป็นปี ความรู้สึกสวยงามยังคงถูกระบายให้เป็นบรรยากาศในเรื่องอยู่เสมอ ไม่ว่าจะฤดูไหน หรือแม้กระทั่งวาระสุดท้ายของเหลียนอันสุ่ยหรือของฉีเซี่ยงหยวน หรือเรื่องราวหลังจากนั้น ก็ยังคงเป็นความงดงามที่สะท้อนออกมาจากตัวหนังสือ(ที่เรียกกันว่าปลายปากกานั่นแหละค่ะ แต่นี่คนเขียนต้องพิมพ์เอา ใช้คำว่าปลายปากกาอาจจะออกประหลาดไปหน่อย) เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราเก็บไว้เป็นหนึ่งในเรื่องที่แนะนำให้คนอื่นอ่านอย่างยิ่งเสมอแม้ว่าตอนนั้นจะยังอ่านไม่จบก็ตาม อาจจะมีคนไม่คุ้นเคยกับชื่อตัวละคร ฉาก และคำพูด แต่สำหรับเรา เราชอบเรื่องแบบนี้ บวกกับเรื่องราวและภาษาก็ยิ่งชอบมาก ตัดสินใจไม่ผิดที่มาอ่านต่อจนจบ ต้องขอสารภาพมีการปลุกใจตัวเองให้กลับมาอ่าน ที่ต้องปลุกใจเพราะกลัวว่าจะเศร้ามาก หลังจากที่เคยอ่านไปน้ำตาไหลร้องไห้ไปบางช่วง แต่กลับกลายเป็นว่าจบได้สวยงามมากค่ะ เป็นจบที่จบจริงๆ เราเคยบอกตัวเองว่า นิยายรักทุกเรื่อง มักนำเสนอเรื่องราวเพียงส่วนหนึ่ง เรื่องราวความรักที่ดำเนินไปดีของแต่ละคู่ ท้ายที่สุด ตอนจบก็ต้องพรากจากกัน จะสวยงามแค่ไหน ส่วนใหญ่ก็ต้องมีความเศร้าในตอนจบ แต่ก็ส่วนใหญ่อีกเช่นกันที่มักจะจบเรื่องราวที่ให้ติดตามไว้ที่ความสุขสมหวัง น้อยเรื่องที่จะพาตัวละครมาถึงตอนจบแบบสมบูรณ์จริงๆ ขอบคุณมากนะคะที่เขียนเรื่องราวดีๆ ภาษาสวยๆ มีความลึกซึ้งในการบรรยายความรู้สึกให้เราได้อ่าน ได้ซึมซับความสวยงาม และไม่คลางใจกับอนาคตของตัวละครต่อไป ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 25-07-2016 07:52:12
ชอบ :ling1: :ling1: :ling1:
อ่านกี่รอบก็ไม่เบื่อ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: WinterRose ที่ 25-07-2016 11:55:31
ไม่รู้ว่าเปิดกระทู้เข้ามาหาท่านเหลียนกับเซี่ยงหยวนเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วตั้งแต่อ่านจบไป
เข้ามาพอให้หายคิดถึง ขออ่านตอนนั้นนิด ตอนนี้หน่อย พอให้มีแรง
โหยหานิยายของคุณสายลมฯมากจริงๆ ค่ะ
นิยายแบบนี้ กี่ปีจะมีมาให้อ่านสักครั้งเชียว เจอแล้วก็อยากจะให้มีสักสองร้อยสามร้อยตอน ฮ่าๆๆ

ยังคงร้องไห้กับบทส่งท้ายเหมือนเดิม แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าบทนี้ไม่ควรเป็นทางเลือก มันควรเป็นบทที่ "ต้อง" อ่านต่างหาก
ตอนอยู่ จะรักกันเท่าไหร่ก็ได้ แต่ตอนจากกันไปอยู่กันคนละโลกแล้วนี่สิ มันยิ่งทำให้เห็นว่าความรักของเขาแท้จริงนั้นเป็นยังไง
จากเดิมที่คิดว่าเซี่ยงหยวนเป็นคนที่มั่นคงและซื่อสัตย์คนนึงในเรื่องของความรักอยู่แล้ว
พออ่านบทส่งท้าย ยิ่งรักตัวละครตัวนี้หมดใจ ความมั่นคงที่ไม่ได้ตีกรอบให้ตัวเองด้วยซ้ำว่าต้องมั่นคง
แต่เพราะไม่มีใครทำให้รู้สึกได้เหมือนกับคนที่จากไปแล้ว ก็เท่านั้น เรียบง่ายแต่มีพลัง

เราเป็นคนไม่ได้จำกัดให้นิยายที่เราจะชอบ ว่าต้องหรู ต้องอลังการ ภาษาต้องเลิศลอย
เราขอแค่อย่างเดียว ขอให้เราอ่านแล้วเชื่อ เชื่อในคำพูดและเหตุผลของตัวละคร เชื่อในความเป็นไปได้ของสถานการณ์
และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เราเชื่อหมดใจ เราเชื่อทุกบรรทัดที่คุณสายลมฯ บอกเล่า
มีความสุขมากจริงๆ ค่ะ กับการได้อ่านนิยายเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณจากหัวใจ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 26-07-2016 13:07:54
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: minyjae ที่ 29-07-2016 23:15:38
เป็นเรื่องที่แต่งได้ดีมากจริงๆ ยังกับบทละครจีน จินตนาการตามได้เป็นฉากๆเลยค่ะ
ภาษาที่ใช้ก็ดีมาก
ตอนแรกไปซื้อหนังสือเรื่องนี้ เปิดอ่านหน้าแรกก็วาง เพราะไม่มีสมาธิ จนเมื่อถึงเวลาอันสมควรจึงได้หยิบขึ้นมาอ่าน
ใช้เวลาอ่านห้าวัน ถึงได้จบสองเล่ม มันดีมากจริงๆ ไม่รู้จะบรรยายยังไง แค่อยากเข้ามาขอบคุณคนแต่ง
ฉากตอนออกรบกันก็สนุกมาก อินตามอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อยากให้ทำเป็นหนังเลยค่ะ
ฉากเรียกน้ำตาก็ร้องไห้ น้ำตาคลอ สนุกมากๆๆๆๆๆๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: am_am ที่ 09-08-2016 22:11:02
พึ่งเปิดใจให้นิยายแนวจีนมาไม่นาน
เห็นในกระทู้แนะนำบ่อยมากกกกก
เลยมาลองอ่านดู คือมันดีงาม ดีต่อใจ
อ่านผ่าน ๆ ไม่ได้เลย ต้องใช้ความคิดไปด้วย
สนุกมากกกก อ่านจบเสิร์ทหาเลย มีขายมั๊ย
เจอที่นาบู ดีงามมาก ตอนนี้ไตเริ่มวาย
แต่ก็ตัดใจปาไตใส่เลยยยย :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 11-08-2016 12:59:45
เป็นนิยายที่มากกว่านิยายขอบคุณมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 29-09-2016 21:16:35
ร้องไห้น้ำตาไหลพรากเลย ด้วยความที่มันเยอะ
เคยเปิดมาอ่านได้สองสามตอนแล้วหยุด จนอยากอ่านอีก เลยต้องไล่อ่านใหม่ทั้งหมด สามวันติด บอกเลยเป็นเรื่องที่ทำให้ยิ้มทั้งหัวเราะทั้งร้อไห้หนักมากกกก
จริงๆเลยคะ ชอบมากกกก
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: bellzebub ที่ 21-10-2016 09:56:58
อ่านรวดเดียวจบเลยย คือสนุกมากกก ดีงามม บทส่งท้ายเศร้ามากกก ทำน้ำตาตกไปเยอะเลย :hao5:
สงสารเซี่ยงหยวนตอนที่อันสุ่ยตาย  :sad2:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 11-11-2016 10:06:43
แวะมาทักทาย ตัวละครทั้งหลาย ว่าแล้วก็ไปหยิบเล่มมาอ่านซ้ำคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: wind of autumn ที่ 25-12-2016 20:50:46

แวะมา แจ้งข่าวเรื่องe-bookตอนนี้นิยายมีเป็นฉบับe-bookละน้า
ทางเลือกใหม่สำหรับใครที่บ้านไม่มีที่เก็บ
ต้องการความสะดวกในการพกพา
ขี้เกียจพลิกหน้าเปิดหาตอนพิเศษ
หรืออยากอ่านตอนพิเศษแต่งบน้อย(e-bookขายแยกเล่ม ตอนพิเศษจะอยู่เล่ม2)
linkอยู่ในหน้านิยายที่เว็บเด็กดี
https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=756295&chapter=96


ปล. ดีใจนะคะที่ถึงจะแต่งจบไปนานแล้วก็ยังมีนักอ่านหน้าใหม่กดเข้ามาอ่านมาคอมเมนท์เรื่อยๆ
อ่านทุกเมนท์เลยแหละตัวเอง ขอบคุณทุกคนที่รักเรื่องนี้ รักเหลียนเหลียน รักต้าอ๋อง
แค่ตัวอักษรในหน้านิยายไม่เพียงพอที่จะสร้างสิ่งมหัศจรรย์
ความรักที่มากมายเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้พวกเขามีชีวิต
ความรู้สึกและการจดจำเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้พวกเขามีตัวตน ;)
รักนะจุ๊บๆ

หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: repilca ที่ 21-01-2017 12:11:38
เป็นนิยายที่ดีมาก คือดีมากจนไม่รู้จะพูดยังไง เหมือนอ่านจนจบแล้วมันยังเหลือความรู้สึกแบบ กรึ่มๆ  :ling3:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: barataku ที่ 21-01-2017 20:34:52
สูงส่ง ล้ำลึก ยอดเยี่ยม
มีความสมดุลย์เป็นเหตุเป็นผลของเนื้อเรื่องที่หาได้ยาก
เป็นนิยายที่คงจะติดในความทรงจำไปอีกหลายปีครับ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: repilca ที่ 08-02-2017 21:44:20
ชอบเรื่องนี้มากกกก กอไก่สามล้านตัว :3123: :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: Haminingchu ที่ 21-02-2017 21:09:57
 หลงเข้ามาอ่าน

อ่านรวดเดียวจบเลยยยย ตอนจบทำเอาเราซึมไปเลยค่ะ

ค่อยๆวางโทรศัพท์แล้วก้คิด ว่าตอนนี้ ต่อไป ตัวละครเหล่านี้ จะเปนอย่างไรต่อ เหลียนๆจะได้เจอกับต้าอ๋อง แล้วหรือยัง ทุกคนจะเปนยังไงต่อ หลังจากนั้น

แอบคิดด้วยว่า อยากจะโดด เข้าไปในนั้น แล้วเอาเหลียนๆออกมารักษาในยุคนี้ แล้วเอากลับไปคืน 5555 จะได้อยู่ด้วยกันนานๆ



เหนมีแต่คนแนะนำเรื่องนี้ มาเยอะมากกกกก แต่ยังไม่ได้ทีโอกาสมาอ่าน ตอนนี้มีเวลาเลยมาอ่าน 5555

เปนนิยายที่ดีมากเลยค่ะ ชอบมาก ตั้งแต่ บรรทัดแรกจนบรรทัดสุดท้ายจริงๆ ทุกคำล้วนถูกปรุงแต่งออกมาได้เข้ากับทุกบทของตัวละคร และทุกตัวละครก้ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

สุดท้ายนับถือคนแต่งมากค่ะ การเขียนนิยายแนวนี้ กับการใช้ภาษาแบบนี้ อ่านว่ายากแล้ว แต่การแต่งออกมาให้ สวยและอ่านได้อย่างลื่นไหล แบบนี้ ยากยิ่งกว่า
ขอบคุณที่ทำให้ทุกๆตัวละคร ถูกสร้างราวกับว่ามันมีอยู่จริง เหมือนดูหนัง พีเรียดจีนฟอร์มยักษ์ เรื่องนึงเลยค่ะ
ขอบคุณอีกครั้ง ที่แต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา
ขอบคุณที่นำความสวยงามของนิยายมาให้นักอ่านอย่างเราได้เชยชม กันนะคะ 55555
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 28-02-2017 22:43:53
เพิ่งได้ตามอ่านเรื่องนี้ ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆ
ทุกอย่างดูเป็นเหตุเป็นผลกัน ตอบจบก็สมบูรณ์มากๆ เศร้าไปหน่อย ทำเอาร้องเลย

ขอบคุณคนเขียนที่แต่งเรื่องนี้มาให้อ่าน เราได้อะไรหลายอย่างเลย ขอบคุณมากๆค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: มะฮอกกานี ที่ 21-03-2017 20:34:05
เพิ่งอ่านจบ ใช้เวลา 2วันครับ
บอกไม่ถูกเลย
มันอิ่มและหิวในอารมณ์ ตั้งแต่ต้นจนจบ

หวนให้กลับไปคิดถึงเสมอ แม้จะเขียนจบแล้ว
แต่มันยังไม่จบในใจเรา

ขอบคุณในความพยายามของคนแต่ง
ด้วยใจที่ชื่นชม และขอคารวะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: AKFC2010 ที่ 27-03-2017 01:03:05
ขอบคุณคนเขียนที่รังสรรค์นิยายเรื่องนี้ขึ้นมามากๆค่ะ
ความรู้สึกเหมือนได้อ่านประวัติศาสตร์ดีๆเรื่องหนึ่ง
ทุกตัวละครเหมือนมีชีวิตอยู่จริง
ประทับใจบทส่งท้ายมากค่ะ ทำน้ำตาแตกตามคาด
ปกติจะไม่ค่อยอ่านนิยายที่ลงท้ายแบบนี้ เพราะจะรู้สึกว่าจบเศร้า
ทำใจหลายวันจึงตัดสินใจอ่าน และไม่รู้สึกผิดหวังเลย
บทส่งท้ายจบได้ตราตรึงใจเรามากค่ะ
ยกให้เป็นนิยายที่จะอยู่ในใจเราและไม่มีวันลืมอีกเรื่องหนึ่งเลย

จะรู้สึกพลาดสิ่งดีๆในชีวิตไป หากไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้
นี่คือคำจำกัดความของนิยายเรื่องนี้สำหรับเราค่ะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: chaihm ที่ 19-05-2017 08:54:29
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ :o12:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: J029 ที่ 28-10-2017 17:58:57
อ่านตอนจบละปวดใจ มันยากจริงๆนะ ที่คู่ชีวิตของเราจากไปก่อนอ่ะ ฮือ น้ำตาไม่ไหลแต่จุกในคอมาก
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: manutty ที่ 20-11-2017 11:48:18
เป็นผลงานที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อ่านกี่ครั้งก็ชอบที่สุด เป็นอีกเรื่องที่กลับมาอ่านบ่อยมากๆๆๆๆ  o13
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 27-02-2018 20:35:56
กลับมาอ่านเป็นครั้งที่สาม เรื่องนี้ประทับใจจริงๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: MM04 ที่ 12-05-2018 21:54:16
เพิ่งเข้ามาอ่าน แม้จะช้าไปไม่หน่อย (ฮา) อยากจะบอกผู้แต่งว่าสุดยอดจริงๆ ที่เขียนเรื่องนี้ เริ่มต้นด้วยความหน่วง จบที่เขื่อนน้ำตาถล่ม :hao5: เป็นนิยายที่ครบรสจริงๆ ทั้งเรื่องการเมือง การรบ ความรัก อ่านไปแล้วไม่เบื่อจริงๆ สำนวนประหนึ่งนิยายแปล แต่งได้สมจริงมากค่ะ อ่านๆไปอาจคิดว่าเหลียนอันสุ่ยไม่เด็ดขาด แต่เราก็ต้องคิดถึงมุมของผู้ชายที่ผ่านการแต่งงานมีลูกมาแล้วด้วย.. รวมถึงฉีเซี่ยงหยวน ตอนแรกๆมานี่  :angry2: ตอนหลังหรือคะ ไม่เหลือ ยกใจให้เขาไปแล้ว เป็นคนที่มุ่งมั่น รักเดียวใจเดียวจริงๆ ชอบที่สุดคงเป็นบทส่งท้ายที่แม้จะเศร้า แต่ก็จบดีที่สุดแล้ว นิยายเรื่องนี้แสดงให้เราเห็นว่าพวกเขายังรักกันจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตจริงๆ 
ปล.ชอบความใจดีของผู้แต่งที่ไม่ให้เหลียนอันสุ่ยพิการนะคะ ฮ่าฮ่า ขอบคุณที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆที่ให้ข้อคิดต่างๆตลอดเรื่องที่ผ่านมานะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: punthipha ที่ 19-06-2018 11:10:51
จากใจคนเพิ่งอ่าน ความรู้สึกมันไหลไปตามตัวหนังสือ  ชอบมาก  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 28-06-2018 16:28:48
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ อ่านรวดเดียวเลย คือชอบมากๆเลยค่ะ จบเคลียร์ดีด้วย
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 09-07-2018 20:37:21
เป็น80ตอนที่คุ้มค่ามากจริงๆ มีทั้งเศร้า น่ารัก หน่วง อึดอัด โกรธ โดยรวมแล้วชอบมากค่ะ นายๆทีจะเจอนิยายที่ทำให้เราอินและติดตามจนถึงตอนสุด เสียน้ำตาไปหลายลิตรโดนเฉพาะบทสุดท้ายอย่างน้อยพวกเขาก็ได้อยู่ด้วยกัน ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆที่ให้เราได้อ่านนะค่ะ เป็นกำลังใจให้ผู้แต่งค่าา  :hao5:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: airjang ที่ 01-08-2018 21:09:13
ขอบคุณค่ะ สำหรับงานเขียนที่ละเอียด ประณีต สวยงาม ตราตรึงใจ มากของมากที่สุด
คุณเป็นตัวจริงมากๆ จะติดตามงานของคุณไปเรื่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 04-08-2018 16:12:29
สวัสดีค่ะ ตามมาจากหัวข้อแนะนำนิยายเรื่องนี้ต้องอ่านค่ะ นับว่าสมควรที่จะถูกเรียกว่า นิยายเรื่องนี้ต้องอ่านจริงๆค่ะ  จริงๆแล้วเราเป็นคนไม่ชอบเรื่องดราม่าเลยแต่ดันเป็นคนที่ชอบเรื่องพีเรียดย้อนยุค มากๆ ไม่ว่าจะของฝั่งเอเชียหรือยุโรปก็ตาม หลังจากที่ได้มีโอกาสตามอ่านแนวจีนโบราณแบบนี้ส่วนใหญ่มักจะพ่วงความแฟนตาซีมีเวทมนต์มีเทพเจ้ามีเทพเซียนอื่นๆมากมาย ถ้าไม่นับว่า ปราญช์กู้บัลลังก์เป็นนิยายแปล เราก็ขอเทียบ พันธนาการแห่งสายน้ำ เรื่องนี้ สนุกมากเหมือนๆกัน ติดอันดับนิยายเรื่องโปรดของเราเลย น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้หาซื้อแบบรูปเล่มหนังสือเก็บไว้ตั้งแต่ตีพิมพ์ช่วงแรกๆ แต่ก็ดีใจมากที่ได้มีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้จนจบโดยไม่ต้องค้างคาใจกับการรอคอยว่าเมื่อไหร่จะจบ แว่บแรกที่เห็นว่ามี80ตอนจบก็อึ้งไปเหมือนกัน  แต่พอได้อ่านก็เข้าใจได้ทันที ว่าจบบริบูรณ์จริงๆ คุณนักเขียนใช้ภาษาได้สละสลวยมากๆให้อารมณ์ที่สัมผัสและรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้ไม่ยาก ถ้าเรียกง่ายๆก็คือ อินไปกับตัวละครกับเรื่องราวที่ดำเนินไปได้ง่ายมากๆเลย เราชอบความสมจริงของเนื้อเรื่องมากๆเลย ชอบมากๆกับตอนจบแบบนี้ที่คุณได้สรุปมาทั้งหมดแล้ว เราว่ามันสมเหตุผลมากๆแล้ว ลงตัวที่สุดแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะกับนิยายดีๆแบบนี้แล้วก็หวังว่าจะได้มีโอกาสได้อ่านเรื่องใหม่ของคุณต่อไป :mew1:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 23-10-2018 10:44:11
คิดถึงนิยายที่ตราตรึงในใจ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: lnwboomgo ที่ 22-11-2018 08:42:09
เป็นเรื่องราวที่ตราตรึงใจ จนยากจะสลัดหายไปจากความทรงจำ

 ความรู้สึกคือหน่วงมาก มีอารมณ์ร่วมไปกับทุกสิ่งที่ดำเนินไป

เรียนรู้ไปพร้อมๆกัน เจ็บปวด เศร้า มีความสุขไปกับพวกเขา

ทุกทิ่งมีความสมบูรณ์แบบในตัวมัน มีเริ่มมีจบ มีรักมีจาก

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 09-06-2019 03:52:50
อิ่มมาก
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 16-06-2019 20:13:01
เพิ่งมีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้

ครบรสมาก โรเมนติก ดราม่า บู๊นิดๆ

ตอนสุดท้ายก็เสียน้ำตาตั้งแต่เกริ่นมาแล้ว :sad4:
หัวข้อ: Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
เริ่มหัวข้อโดย: allwaytime28 ที่ 16-07-2019 13:17:35
สนุกมาก ตอนแรกหานิยาจีนโบราณอ่านมีคนแนะนำเรื่องนี้มาด้วยความที่ชอบอ่าน สปอยล์ก่อน อ่านตอนจบก่อนเพราะเจ็บมาเยอะ  เลยเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน จนหลายคนก็บอกว่าสนุกๆเลยอ่าน คิดว่าตอนใกล้จบค่อยเลิกอ่านก็ได้แบบเตรียมใจไว้ พออ่านเรื่อยๆติดจ้าาาสนุกมากตอนจบคือเตรียมใจไว้แล้วก็ยังร้องอยู่ดี เรื่องนี้มันสมบูรณ์ในตัวของมันแล้ว รักเรื่องนี้มากๆค่ะ ขอบคุณคนเขียนที่สร้างเรื่องราวดีๆมาให้อ่าน ตอนที่อ่านเรื่องนี้รับรุ้ได้ว่าตัวเองมีความสุขมากขอบคุณมากๆเลยค่ะ