บทที่ 3 บทสนทนาบนถนนแห่งความสูญเสีย
เหลียนอันสุ่ยมองผู้คนบางตาที่สัญจรผ่านไปมาบนถนนสายหลักของเมืองหลวงที่เคยคึกคัก ร้านรวงส่วนใหญ่ยังคงปิดกิจการ เจ้าของบางรายอพยพไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว หลบหนีไฟสงครามที่ลามเลีย หลบหนีความพ่ายแพ้ที่ไม่อาจแก้ไขฟื้นฟู คนที่ยังอยู่คือคนที่ถูกบางสิ่งตอกตรึงไว้จนไม่อาจหนีพ้น...ดั่งเช่นตัวเขา
รถม้าของพระมาตุลาแคว้นเหลียนจอดหน้าร้านขายเครื่องปั้นร้านหนึ่งซึ่งเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในตรอก ไม่เพียงใหญ่โตที่สุด ฝีมือยังยอดเยี่ยมที่สุดด้วย เพียงแต่ถึงจะเป็นร้านที่ใหญ่โตขนาดนี้ประตูหน้าร้านยังคงปิดสนิทแน่น บ่าวคนหนึ่งเปิดประตูรถม้าออก บ่าวอีกคนรีบตรงไปเคาะประตูไม้ที่ปิดสนิทบานนั้น เคาะอยู่ชั่วครู่ประตูร้านบานใหญ่จึงแง้มออกเป็นช่องแคบๆ ปรากฏสายตาคู่หนึ่งมองลอดออกมา เมื่อพบว่าผู้มาเป็นใครก็รีบกุลีกุจอเปิดประตูออกจนสุดบาน ความจริงเหลียนอันสุ่ยแจ้งมาแล้วว่าจะมาเยือน เพียงแต่ในสถานการณ์ตรึงเครียดไม่ทราบชะตากรรมตัวเองเช่นนี้การระแวดระวังไม่อาจไม่มี
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองป้ายร้านที่ค่อนข้างเก่า นี่คือร้านเก่าแก่ที่สืบทอดฝีมือมาสี่ชั่วอายุคน ปรกติป้ายร้านแม้เก่าแต่ไม่เคยมีฝุ่นจับ ขณะนี้กลับมีฝุ่นเป็นชั้นหนาแสดงว่าไม่ได้ผ่านการเช็ดถูมาเป็นเวลานาน เหลียนอันสุ่ยได้แต่หวังว่าหลังเรื่องราวทั้งหมดผ่านพ้นไปร้านนี้จะสามารถกลับมารุ่งเรืองดังเดิม
ลึกเข้าไปด้านใน เหล่าแจกันเครื่องปั้นที่เคยอวดโฉมอย่างเฉิดฉายกลับถูกห่อคลุมด้วยผ้าแถบใหญ่วางกองสุมไว้บนพื้น หากวันวานเปรียบเสมือนนายท่านผู้ยิ่งใหญ่ วันนี้กลับกลายสภาพเป็นยาจกยากเข็ญ เช่นเดียวกับเหล่าผู้คนทั้งหลายในตรอกน้อย ไม่ว่าจะทรัพย์หนาเพียงใดก็ไม่มีทางไม่ได้ผลกระทบจากสงคราม ช่วงนี้คือช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดที่ต้องพยายามข้ามผ่านไปให้ได้ เพื่อรอคอยการมาถึงของนโยบายฟื้นฟูบ้านเมืองหลังสงคราม
วันนี้เหลียนอันสุ่ยมารับแจกันตั้งพื้นคู่หนึ่งซึ่งเคยสั่งทำไว้เมื่อห้าเดือนที่แล้วสำหรับเป็นของขวัญให้ใต้เท้าใหญ่กรมตรวจการในวันเกิดครบห้าสิบปี ของชิ้นนี้จัดทำขึ้นเป็นพิเศษต้องใช้ฝีมือประณีตเป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่แจกันเสร็จแล้วแต่ใต้เท้าใหญ่กรมตรวจการคงไม่มีอารมณ์จัดงานเลี้ยง เพียงแต่ในเมื่อสั่งทำไว้ก็ควรจะมารับ
ตั้งแต่ข่าวสงครามมาเยือน ราคาอาหารก็ถีบตัวขึ้นสูง ทุกเมืองต่างพยายามกักตุนเสบียงเตรียมเผชิญกับสงครามที่คาดว่าจะยาวนาน สุดท้ายเสบียงเหล่านั้นถูกขนถ่ายไปจุนเจือกองทัพเป่ยชางเสียกว่าครึ่ง แม้ในเมืองจะไม่ถึงกับขาดแคลนอาหาร แต่กลับถูกพ่อค้าหน้าเลือดยืนกรานไม่ยินยอมลดราคาลงอย่างเด็ดขาด สำหรับผู้คนที่เงินทองร่อยหรอราคาดังกล่าวจึงถือว่าสูงลิบ
สาเหตุที่ผู้คนไม่มีเงินทองเป็นเพราะกิจการทั้งหลายหยุดลงจนหมดสิ้น แรงงานแปรสภาพกลายเป็นกองทัพ ไม่มีคนหาเงินเข้าบ้าน และไม่มีงานให้ทำ นี่คือสิ่งที่สงครามเป็นอยู่เสมอ...
โยกย้ายถ่ายอำนาจกลุ่มคนเบื้องบน บดขยี้เหยียบย่ำกลุ่มคนเบื้องล่าง
ร้านเก่าแก่แห่งนี้เลี้ยงช่างฝีมือชราเอาไว้นับสิบ เป็นช่างฝีมือที่ไม่มีที่ใดเทียบได้ บางคนอยู่กับงานปั้นมาตั้งแต่เด็กจนแก่ ไม่มีความสามารถไปทำงานอย่างอื่น แต่สภาพของสงครามทำให้ไม่มีงานเข้ามาและคงจะไม่มีไปอีกนาน เหลียนอันสุ่ยเพียงหวังว่าค่าของแจกันสองใบนี้จะช่วยให้บุคคลที่ทรงคุณค่าเหล่านั้นสามารถข้ามพ้นช่วงเวลาลำบากขัดสนถ่ายทอดภูมิปัญญาอันลึกล้ำสืบต่อไป
รถม้าแล่นช้าๆออกจากตรอกเล็กกลับเข้าสู่ถนนสายหลัก เห็นทหารชาวเป่ยชางเดินอยู่ประปราย บางครั้งก็เข้ามาขอตรวจค้นรถม้า บางคราวก็เข้าไปตรวจค้นร้านรวง ตามหาร่องรอยของแม่ทัพใต้บัญชาของอวี้เฉียนที่ยังลอยนวลอยู่ เสียงด่าทอดังมาจากทางหนึ่ง เมื่อร้านตีเหล็กตรงหัวมุมถนนไม่ยินยอมให้ตรวจค้นก่นด่าคนสาดเสียเทเสียล่วงเกินไปถึงเป่ยชางอ๋องที่แคว้นเป่ยชาง ทหารชาวเป่ยชางผลักอีกฝ่ายให้คุกเข่าลงกับพื้น เจ้าของร้านตีเหล็กและเหล่าลูกมือยังคงไม่ยินยอม แต่กลับถูกทหารชาวเป่ยชางที่ตัวใหญ่กว่ามากกดให้คุกเข่าลงจนได้ ทหารอีกคนศีรษะกดที่เชิดผยองเหล่านั้นให้โขกหัวคำนับนับสิบครั้ง ทีละคน ทีละคน
เหลียนอันสุ่ยเบือนหน้าหนี ไม่อาจทนดูต่อไป ทราบว่าตัวเองไม่อาจแก้ไขคลี่คลาย คำสั่งห้ามมีอาวุธในครอบครองสั่งลงมาอย่างชัดเจน ร้านตีเหล็กจำเป็นต้องส่งมอบดาบทุกเล่มที่หลงเหลือในร้านออกไป โชคดีเท่าไหร่แล้วที่ทหารเป่ยชางถือวินัยเคร่งครัด กองทัพไม่อนุญาตให้ทำร้ายชาวบ้าน ไม่เช่นนั้นอาศัยคำพูดหยาบคายจาบจ้วงเหล่านั้น สิ่งที่ช่างตีเหล็กต้องชดใช้คงเป็นชีวิต ดาบใหญ่ในฝักห้อยอยู่ข้างเอว เพียงนิดเดียว ถ้าทหารชาวเป่ยชางขยับมือเพียงนิดเดียว ไม่แขนก็หัวคงถูกตัดลงมาแล้ว ฝีมือเหล่านั้นเหลียนอันสุ่ยเห็นมากับตาตัวเองว่ามันง่ายดายแค่ไหน ง่ายดายจนรู้สึกว่าชีวิตช่างไม่มีค่าอะไรเลย
หลายอาทิตย์ก่อนหน้านี้เหลียนอันสุ่ยไปช่วยปฐมพยาบาลในค่ายทหาร คนบาดเจ็บมีมากเหลือเกิน คนตายมีมากยิ่งกว่า กลิ่นเลือดในเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดกับความสับสนอลหม่านเปลี่ยนสถานที่พักรักษาคนจนกลายเป็นขุมนรกอเวจี คิดไม่ถึงเสียสละเลือดเนื้อไปมากมายถึงเพียงนั้นสุดท้ายยังคงกลายเป็นคำว่า ‘พ่ายแพ้’
เหลียนอันสุ่ยมองเหลาด้านซ้ายมือซึ่งเป็นไม่กี่กิจการที่ยังเปิดอยู่ พลางสั่งให้หยุดรถ คิดจะเข้าไปดูสภาพภายในเหลาซึ่งเคยได้ชื่อว่าคึกคักขายดีที่สุดเพื่อใช้ประเมินสภาพของเมืองหลวงในขณะนี้ แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูสีหน้าพลันขาวซีดลง ในร้านมีทหารเป่ยชางอยู่จำนวนมาก ที่สำคัญคือทหารเหล่านั้นคล้ายกำลังทำหน้าที่เฝ้าอารักขาให้กับคนที่ใหญ่โตยิ่งกว่าซึ่งอยู่ชั้นบน
เหลียนอันสุ่ยพยายามปลอบใจตัวเองว่าเรื่องราวคงไม่บังเอิญถึงเพียงนั้น แต่ก็ตัดสินใจว่าจะไม่แวะเข้าไป ขณะกำลังจะชักเท้ากลับกลับถูกทหารชาวเป่ยชางนายหนึ่งขวางเอาไว้ พลางรายงานอย่างนอบน้อม
“ท่านอ๋องน้อยให้มาเรียนถามพระมาตุลาว่า ในเมื่อมาถึงแล้ว เหตุใดจึงไม่เข้ามา”
พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนได้ยินแล้วถึงกับรู้สึกหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน
“ข้านึกได้ว่ามีธุระจำเป็นต้องรีบกลับ ฝากท่าน...ไปรายงานท่านอ๋องน้อยด้วย”
“ธุระยิ่งใหญ่มากหรือ ให้ข้าช่วยสะสางให้เป็นอย่างไร” เสียงทุ้มดังลอยมาจากชั้นบน
เหลียนอันสุ่ยได้แต่เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก พบร่างสูงใหญ่ขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางนั่งอยู่บนชั้นสองพิงราวระเบียง จับจ้องมองลงมา
“...ธุระเล็กน้อยไม่จำเป็นต้องรบกวนถึงท่านอ๋องน้อย”
“ในเมื่อธุระเล็กน้อยก็ขึ้นมา” คำพูดนี้ตัดทางหนีทีไล่ของเหลียนอันสุ่ยไปจนหมดสิ้น
---------------------
“ท่านมิใช่…กำลังยุ่งอยู่หรอกหรือ” คนผู้นี้เหตุใดจึงมาที่นี่ เวลานี้ได้!
“ก็ยุ่ง แต่…ตอนนี้นับว่าขี้เกียจไปยุ่งชั่วคราว ...ทำไมท่านไม่นั่ง? ” ประโยคสุดท้ายฉีเซี่ยงหยวนถามยิ้มๆ
เหลียนอันสุ่ยได้แต่นั่งลงไป ความรู้สึกส่วนใหญ่ยังคงเป็นความกดดัน หัวเราะฝืนๆกล่าวว่า
“หากท่านคิดจะหยุดงาน คงมีหลายคนต้องปวดหัวแน่” ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือข้า
“นั่นสินะ” แต่รอยยิ้มเฉื่อยชาที่มุมปากไม่มีท่าทีจะใส่ใจ สายตาเฉียบคมมองอีกฝ่ายอยู่เป็นนาน นานจนเหลียนอันสุ่ยรู้สึกอึดอัดขึ้นมา สายตาคู่นั้นจึงค่อยละจากไป จู่ๆฉีเซี่ยงหยวนก็เอ่ยถามขึ้นลอยๆว่า
“ท่านว่าข้าควรจะทำอย่างไรกับแคว้นเหลียนดี ?”
คนฟังมีสีหน้างงงัน จากนั้นดวงตาคู่งามก็หลุบต่ำลง ถามเช่นนี้เป็นความระแวงหรือต้องการทดสอบข้า ?
“กับเรื่องนี้ท่านมิใช่มีแผนการอยู่แล้วหรอกหรือ” เลี่ยงการตอบด้วยการย้อนถาม
“ข้าอยากฟังความเห็นของท่าน” ดูเหมือนฉีเซี่ยงหยวนต้องการจะเอาคำตอบให้ได้
คนฟัง ฟังแล้วนิ่งเงียบไปอึดใจ
“ท่านก็แค่ใช้วิธีที่ท่านเคยใช้มา…ค่อยๆกลืนแคว้นเหลียนเข้ากับแคว้นเป่ยชางอย่างช้าๆ”
ฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง สำหรับคนที่มีสายเลือดแคว้นเหลียนอย่างเข้มข้น นั่นควรเป็นหายนะมากกว่าแนวทางปฏิบัติ แต่ดวงตาอีกฝ่ายไม่มีเค้าว่าพูดลอยๆ
เหลียนอันสุ่ยทอดสายตาออกไปไกล ใช่แล้ว ค่อยๆกลืนอย่างช้าๆ ด้วยวัฒนธรรม ด้วยการค้า อาศัยความพึ่งพาของแคว้นเหลียนที่มีต่อแคว้นเป่ยชาง ค่อยๆกุมบังเหียนการปกครองเอาไว้ในมือ
“ท่านต้องการเช่นนั้น ? ” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนมีความคลางแคลงที่ปิดไม่มิด
เหลียนอันสุ่ยถอนสายตากลับมา กล่าวว่า
“มันไม่อาจไม่เกิดขึ้น” ด้วยปัจจัยทุกๆด้าน เรื่องนี้มิใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ แคว้นเหลียนกำลังอยู่ในช่วงเสื่อมถอย เพราะเคยรุ่งเรืองเกินไป ความเข้มแข็งมั่นคงจึงไม่คงอยู่อีกแล้ว และแคว้นเป่ยชางก็ไม่มีวันยินยอมปล่อยแคว้นเหลียนไปง่ายๆ หนทางที่ดีที่สุดคือกลืนเข้ากับพวกเขาซะ กลืนอย่างละมุนละม่อม จนสุดท้ายคำว่าสองแคว้นไม่คงอยู่อีกต่อไป ชาวเหลียนกลายเป็นชาวเป่ยชางอย่างสมบูรณ์ เป่ยชางอ๋องย่อมต้องดูแล ‘ประชาชน’ ของเขา
“แคว้นเหลียนอาจสามารถปกครองตนเอง โดยอยู่ใต้อาณัติของเป่ยชาง” ฉีเซี่ยงหยวนเสนอ
“ท่านจะทิ้งหนทางแตกแยกไว้ทำไม แคว้นเหลียนไม่จำเป็นต้องมีอำนาจทางทหารเป็นของตัวเอง”
ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร มองเห็นอะไร ความยิ่งใหญ่ของแคว้นเป่ยชางสุดที่แคว้นเหลียนที่กำลังอ่อนแอจะต่อต้านได้ ต่อให้มีการรวบรวมคน ทำการปลุกระดม นั่นก็เป็นเพียงสงครามที่ไร้ผลเพราะแคว้นเป่ยชางจะต้องทุ่มเทกำลังคนออกมาจัดการ ด้วยจำนวนคนที่ต่างกันลิบลับ สุดท้ายแคว้นเหลียนจะถูกยึดได้อีกครั้งในสภาพที่บอบช้ำกว่าเดิม การปลุกระดมครั้งนั้นจะกลายเป็นขบวนการใต้ดิน กลายเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งไม่จบสิ้น ทิ้งร่องรอยแตกแยกเอาไว้ทั้งในจิตใจชาวเหลียนและชาวเป่ยชาง ที่พระมาตุลาผู้นี้ให้ความสำคัญมิใช่ความเป็นแคว้นเหลียน แต่เป็นชาวเหลียนต่างหาก น้อยคนที่จะมีมุมมองเช่นเขา
จากนั้นฉีเซี่ยงหยวนก็คิดถึงประโยคก่อนหน้า พึมพำว่า
“ที่ข้าเคยทำ…ท่านมองได้ทะลุปรุโปร่งยิ่ง”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ปฏิเสธว่าตัวเองเคยใช้วิธีการนี้มาก่อน ตอนกลืนชนเผ่าซีเฮ่อเขาไม่เพียงใช้การแทรกซึมทางการค้า ใช้สินค้าและคนที่อพยพเข้าไปเผยแพร่วัฒนธรรมของชาวเป่ยชาง ยังสนับสนุนการแต่งงานของหัวหน้าชนเผ่าซีเฮ่อกับหญิงชาวเป่ยชาง เป็นต้นเหตุที่ทำให้สายเลือดของชนเผ่าซีเฮ่อค่อยๆเจือจางลงทีละน้อย
ที่ร้ายกว่านั้นยังใช้วิธียุแยงให้แตกออกเป็นฝักฝ่าย แต่ละฝ่ายย่อมต้องพยายามผูกสัมพันธ์กับแคว้นเป่ยชาง ยิ่งพึ่งพาแคว้นเป่ยชางเท่าไหร่ อำนาจทางทหารก็ยิ่งตกอยู่ในเงื้อมมือแคว้นเป่ยชางมากขึ้นเท่านั้น จนตอนนี้ชนเผ่าซีเฮ่อแทบไม่อาจเรียกตัวเองเป็นชนเผ่าได้อีก
เหลียนอันสุ่ยพูดเช่นนี้แสดงว่าไม่ต้องการให้เกิดความแตกแยกที่จะทำร้ายผู้คน แต่ไม่ได้คัดค้านวิธีการอื่น เพียงแต่ฉีเซี่ยงหยวนค่อนข้างมั่นใจว่าแผนการตัวเองแนบเนียนรัดกุม ขนาดหัวหน้าเผ่าซีเฮ่อยังไม่รู้สึกตัว แต่พระมาตุลาผู้นี้กลับมองออกได้อย่างละเอียดลออยิ่ง นั่นเป็นไปได้อย่างไรกัน ?
“มันช่างน่าสงสัย ว่าทำไมหัวหน้าสภาขุนนางจึงไม่ใช่ท่าน”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มเนือยๆพลางตอบว่า
“ข้าไม่เหมาะกับตำแหน่งนั้นหรอก”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำตอบนี้ คนที่จะเล่นการเมืองไม่เพียงต้องรอบคอบรัดกุม บางคราวยังต้องรู้จักเหี้ยมโหด
“ข้าเคยเข้าใจว่าท่านไม่สนใจสถานการณ์ของแคว้นอื่น แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น” เพราะคนที่ไม่สนใจอย่างจริงจัง ย่อมไม่มีทางมองออกว่าเขาใช้วิธีใดกลืนชนเผ่าซีเฮ่อ
สายตาของเหลียนอันสุ่ยทอดจับถนนหนทางเบื้องล่าง ในเงาหลังสูงโปร่งกลับฉาบไว้ด้วยความหม่นหมอง เอ่ยตอบอย่างแช่มช้าว่า
“ถ้าข้าไม่สนใจบ้างก็เป็นพระมาตุลาที่ไม่มีความรับผิดชอบไปแล้ว อย่างน้อยข้า…ก็ยังไม่อยากจะทำผิดต่อพวกเขา ทุกวันแค่ปัญหาเรื่องปากท้องก็กินเวลาตั้งแต่เช้าจนค่ำ พวกเขาไหนเลยจะมีเวลาไปคิดเรื่องอื่นอีก ส่วนข้าก็แค่ทำในสิ่งที่ข้าทำได้”
ทุกประการล้วนคิดอ่านแทนชาวเหลียน ฉีเซี่ยงหยวนนับว่าเข้าใจพระมาตุลาผู้นี้เพิ่มขึ้น ยิ่งเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองออกจะมองคนผู้นี้ผิวเผินเกินไปแล้ว
“ท่านไม่ได้ทำในสิ่งที่ท่านทำได้” เมื่อหลุดปากออกไปฉีเซี่ยงหยวนก็เห็นเค้าความละอายใจในแววตาของอีกฝ่าย รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นฝืดฝืน
“ถูกแล้ว ความจริงข้าเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง ถ้าข้าคิดจะทำเพื่อพวกเขาจริงอย่างน้อยก็ต้องดิ้นรนให้มีอำนาจอยู่ในมือ อย่างน้อยก็ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง…แต่ข้าไม่ได้ทำ”
ฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่ายแล้วก็คิดถึงคำว่า ‘ดิ้นรน’ ดิ้นรนเพื่ออำนาจน่ะหรือ หากคนผู้นี้ดิ้นรนเพื่ออำนาจจริง ฉีเซี่ยงหยวนพลันรู้สึกเสียดายตัวตนของเขา คนบางคนเกิดมาเพื่อต่อสู้ดิ้นรน จนถึงขั้นช่วงชิงของๆผู้อื่น อวี้เฉียนเป็นคนเช่นนี้ ฉีเซี่ยงหยวนก็เป็นคนเช่นนี้ หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ มีผู้ยิ่งใหญ่กี่คนที่ไม่ใช่คนเช่นนี้ ?
แต่เหลียนอันสุ่ยไม่ใช่คนประเภทนี้ สายตาของเขาโศกเศร้าแต่กลับปราศจากความทะเยอทะยาน ความจริงหากเขาเป็นแค่คนธรรมดาคงสามารถมีชีวิตที่มีความสุขอันเรียบง่าย น่าเสียดายที่เขามองเห็นทะลุปรุโปร่งเกินไป จนไม่อาจทำเป็นไม่สนใจโดยปราศจากความละอาย น่าเสียดายที่เขาเป็นพระมาตุลาทำให้ต้องมาพัวพันกับความยุ่งเหยิงของขั้วอำนาจ และน่าเสียดายที่ตัวตนของเขาเป็นเช่นนี้จึงทำให้อวี้เฉียนละโมบในตัวตนของเขา
“อำนาจ…ท่านไม่ได้มีสิ่งนั้นอยู่ในมือแล้วหรือ”
ดวงตาคู่งามมองสบกับดวงตาคมกริบอย่างจริงจัง พลางกล่าว
“ข้า ‘เคย’ มี แต่ถ้าท่านไม่ได้คอยระวังตลอดเวลา สุดท้ายท่านจะพบว่าอำนาจไม่ใช่ของท่านอีกแล้ว” นี่เป็นความจริง ที่ผู้ปรารถนาในอำนาจทุกคนย้ำเตือนตัวเองอยู่ทุกค่ำเช้า
ฉีเซี่ยงหยวนนึกไปถึงตอนที่บุรุษตรงหน้าสูญเสียภรรยาไป จากข่าวที่เคยได้ยินมา คงจะเป็นตอนนั้นนั่นเองที่อำนาจค่อยๆหลุดจากมือเขา ความเสียใจทำให้ความระแวดระวังลดลง คนบางคนถึงกับเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมาทำร้ายตัวเอง
“จากนั้นพอหันกลับมามองอีกครั้ง ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องการให้ครอบครัวต้องพัวพันกับเรื่องพวกนี้ นั่นคือความเห็นแก่ตัวของข้า” เหลียนอันสุ่ยพูดต่อจนจบ ดวงตาของเขาจ้องฉีเซี่ยงหยวนอย่างเงียบงัน ความหมายอีกนัยหนึ่งคือขอร้องให้ฉีเซี่ยงหยวนเลิกยุ่งกับเหลียนจิ้งเต๋อ แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับรู้สึกถึงความจริงบางประการที่ซ่อนเร้นอยู่ ครอบครัวอย่างนั้นหรือ คงมิใช่ว่าการตายของเหวินจีมีเงื่อนงำบางอย่างที่เกี่ยวข้องด้วยหรอกนะ
“ความจริง...ความเห็นแก่ตัวมันก็เป็นสิทธิของมนุษย์นั่นแหละ” นี่คือความเห็นของฉีเซี่ยงหยวน
เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก กล่าวว่า
“ข้ายังมีความเห็นแก่ตัวอื่นอีก ต้าอ๋องยังทรงพระเยาว์นัก ถือว่าข้าขอร้องท่าน ละเว้นเขาด้วย”
“ละเว้น ? ท่านหมายถึงไม่ปลดเขาหรือไม่ฆ่าเขา ? ” ฉีเซี่ยงหยวนมองคนพูดอย่างแปลกใจ นี่ไม่คล้ายคำขอร้องของคนที่มองราษฎรเป็นใหญ่อย่างเหลียนอันสุ่ยเลย
“ทั้งสองอย่าง ถ้าทำได้…ก็ไว้หน้าเขาซักหน่อยเถิด นี่เป็นคำขอร้องสุดท้ายของน้องสาวข้า และเป็นความปรารถนาสุดท้ายของต้าอ๋ององค์ก่อน แคว้นเหลียนอยู่ในกำมือท่านแล้ว เขาไม่อาจขวางทางท่านได้หรอก” คำพูดนี้เองที่เป็นคำตอบของทุกอย่าง
ความจริงด้วยศักดิ์ฐานะ เหลียนอันสุ่ยสามารถทำให้เหลียนอ๋องอยู่ใต้อำนาจเขา ที่เหลียนอันสุ่ยไม่ต้องการก้าวก่ายการปกครองมากมายก็เพราะสาเหตุนี้ เพียงแต่เขาไม่ทำ คนอื่นก็ทำและเหลียนอันสุ่ยก็ไม่อาจหยุดกลไกของมันได้ วิธีเดียวที่จะหยุดสภาพแย่งชิงอำนาจในภาวะเช่นนี้ต้องอาศัยความเหี้ยมโหดเด็ดขาดถึงขั้นลงมือปราบปรามไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ที่สำคัญก็คือจำเป็นต้องมีอำนาจที่เหนือกว่าอยู่ในมือ จึงเป็นสาเหตุที่อวี้เฉียนเข้ามากุมอำนาจนั่นเอง
“ท่านก็เคยขอร้องอวี้เฉียนอย่างนี้ใช่หรือไม่” ฉีเซี่ยงหยวนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“…” แววตาของเหลียนอันสุ่ยหม่นแสงลง คล้ายคิดถึงเรื่องบางอย่าง
“ได้ ข้ารับปาก” ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังย่ำซ้ำรอยของอวี้เฉียน ยิ่งมาเขายิ่งเข้าใจขุนพลใหญ่ของแคว้นเหลียนผู้นี้
“ขอบคุณ”
“แต่ข้ามีเงื่อนไข”
ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยซีดลงเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีเค้าแปลกใจ
“ท่านวางใจ ข้าเพียงต้องการให้ท่านตอบคำถามข้อหนึ่ง”
ใบหน้าคนฟังเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ
ฉีเซี่ยงหยวนจ้องอีกฝ่ายอย่างพิจารณาขณะถามว่า
“ท่านเคยรักอวี้เฉียนบ้างหรือไม่”
เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก ตอบช้าๆว่า
“ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเขาเป็นความเสียใจ และรู้สึกขอบคุณเท่านั้น”
แม้แต่ฉีเซี่ยงหยวนก็แยกแยะความรู้สึกที่เกิดในใจตัวเองตอนนี้ไม่ถูก รู้สึกว่าตัวเองจะไม่พอใจถ้าอีกฝ่ายมีใจให้อวี้เฉียน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกยินดีกับคำตอบ อาจบางทีฉีเซี่ยงหยวนไม่ต้องการให้ตัวเองซ้ำรอยอวี้เฉียน ยิ่งมาเขายิ่งรู้สึกว่าเหลียนอันสุ่ย วางกรอบตัวเองไว้อย่างมั่นคงยิ่ง ไม่ว่าผู้ใดต่างไม่อาจแทนที่เหลียนจิ้งเต๋อกับเหวินจีได้ เหลียนอันสุ่ยอาจยินยอมเสียทุกอย่างเพื่อแลกกับสิ่งที่ล้ำค่ากว่า แต่ไม่ยินยอมให้ตัวเองผิดต่อสองคนนั้นเป็นอันขาด
“ความจริงข้าหวังมาตลอดว่าเขาจะเจอผู้หญิงที่เขารัก ผู้หญิงที่เหมาะสมกับเขา” ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยมองฉีเซี่ยงหยวน คำพูดนี้ไม่เพียงแต่หมายถึงอวี้เฉียนยังหมายถึงฉีเซี่ยงหยวนด้วย
หากแววตาของฉีเซี่ยงหยวนกลับแปรเป็นแววตาที่อ่านไม่ออก เขาจะไม่หยุด นี่อาจเป็นเรื่องไม่สมควร แต่ยิ่งมาเขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองจะไม่หยุดแน่ เขาต้องการคนผู้นี้ และจะต้องทำให้คนผู้นี้เป็นของเขาให้จงได้ เหลียนอันสุ่ยอาจวางกรอบตัวเองไว้อย่างมั่นคง แต่ไม่ว่ามั่นคงอย่างไร ฉีเซี่ยงหยวนย่อมมีวิธีทำให้มันพังทลายลงมา ทุกครั้งก่อนจะได้มาซึ่งของที่เขาพอใจ ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยวางมือมาก่อน!
เห็นสายตาที่ไม่มีวี่แววคล้อยตามของฉีเซี่ยงหยวน ฝ่ามือของเหลียนอันสุ่ยก็พลันชื้นเหงื่อขึ้นมา
“...นี่สายมากแล้ว ธุระไม่ควรรอช้าอีก ข้าคงต้องขอตัว”
ฉีเซี่ยงหยวนมองคนหาเรื่องจากไป ปากกล่าวว่า
“ท่านไปสะสางธุระเถอะ เอาไว้ข้าค่อยไปหาท่าน…คืนนี้”
เหลียนอันสุ่ยที่กำลังยืนขึ้นตัวแข็งทื่อในทันใด สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
“ท่านอ๋องน้อย เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง ด้วยฐานะของท่าน…”
“ด้วยฐานะของข้าทำไปมีแต่ผลเสียมากกว่าผลได้ใช่หรือไม่” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวต่อให้ มองสีหน้าของคู่สนทนาแล้วหัวเราะเบาๆ พูดต่อว่า “ข้าว่าเรื่องนี้เรามิใช่ตกลงกันไปแล้วหรือ”
“ท่านควรไตร่ตรอง…” พูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็เอ่ยแทรกว่า
“ข้าเป็นคนตัดสินใจแล้วไม่เคยเปลี่ยนมาก่อน ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจอะไร ย่อมต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบยิ่ง แต่เรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว” คำพูดย้ำช้าๆชัดๆ ไม่หลงเหลือหนทางให้โน้มน้าว
“เรื่องนี้มิใช่สิ่งที่ผ่านการไตร่ตรองโดยรอบคอบ” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยเยือกเย็นลง คล้ายจะเตือนสติ
คนที่กล้าต่อรองกับฉีเซี่ยงหยวนมีไม่มาก คนที่สามารถต่อรองอย่างเยือกเย็นยิ่งมีไม่กี่คน พระมาตุลาผู้นี้บุคลิกภายนอกอ่อนโยน แต่นอกจากจะใจเย็นแล้วยังใจแข็งอย่างยิ่ง มีแต่คนที่มีจุดยืนอันแน่นอนจึงสามารถต่อรองให้ตัวเองได้อย่างมั่นคงเยือกเย็น
“ก็จริง…แต่ก็นับว่าข้าตัดสินใจไปแล้ว พระมาตุลาข้าหวังว่าท่านจะไม่ลืมข้อหนึ่ง ว่าถ้าข้าอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา…ไม่ดีแน่ ทั้งต่อแคว้นเหลียน ตัวท่านเอง หรือเด็กคนนั้นก็เถอะ ดังนั้นอย่าขัดข้าอีก” สายตาเรียบนิ่งของฉีเซี่ยงหยวนไม่มีแววล้อเล่น บุรุษที่วางตัวตามสบายเมื่อครู่ดูราวเปลี่ยนเป็นคนละคน นี่จึงเป็นฉีเซี่ยงหยวน โอรสองค์ที่สี่ของเป่ยชางอ๋อง ผู้กุมอำนาจอันสามารถชี้เป็นชี้ตายผู้คนนับพัน
เหลียนอันสุ่ยก้มหน้าลง เอ่ยเบาๆว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้า...ขอตัวก่อน”
รอจนฉีเซี่ยงหยวนพยักหน้ายินยอมให้จากไป เหลียนอันสุ่ยจึงก้าวถอยออกมา ในใจรู้สึกสิ้นหวังระคนหวาดหวั่น คนผู้นี้ไม่เหมือนอวี้เฉียน การตัดสินใจของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชางยากโน้มน้าวกว่าอวี้เฉียนมากนัก
ในสายตาคมกริบคู่นั้นคืออำนาจอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คือความเชื่อมั่นและการกระทำตามใจตนเองอย่างร้ายกาจ เหลียนอันสุ่ยแทบไม่อยากไปคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น คนเช่นนี้อยากจะได้อะไรมักต้องได้เสมอ เหลียนอันสุ่ยเพียงแค่ไม่เข้าใจเหตุใดบุรุษผู้นั้นจึงไม่ยินยอมปล่อยมือจากเขา ทั้งๆที่มีผู้คนอีกมากมายที่อ่อนเยาว์กว่าเขา มีเสน่ห์และเต็มใจปรนนิบัติอีกฝ่ายยิ่งกว่าเขา
บางทีมันคงเป็นแค่ความรู้สึกท้าทายอยากเอาชนะ...ซึ่งเหลียนอันสุ่ยหวังว่ามันจะจางหายไปโดยเร็ว
---------------------
ที่มุมตำหนักฝั่งตะวันออก เด็กชายวัยสิบขวบผู้หนึ่งกำลังสาละวนใช้ไม้เขี่ยลูกบอลที่เตะขึ้นไปค้างอยู่บนชายคา โดยมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันสองสามคนชี้ไม้ชี้มือบอกทิศทาง บรรดาข้ารับใช้ที่พยายามจะเข้าไปช่วยแต่ถูกปฏิเสธ พากันยืนมองกระเบื้องหลังคาอย่างกังวลใจว่าอาจต้องซ่อมแซมในไม่ช้านี้
จิตใจของเหลียนอันสุ่ยคล้ายจะหนักอึ้งกว่าเก่า สองเท้าตรึงแน่น ไม่อาจก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว เมฆหมอกแห่งความละอายใจครอบคลุมลงมาเป็นชั้นบางๆ ยิ่งตะวันคล้อยบ่ายเท่าไหร่ เมฆหมอกนั้นก็ดูจะกดดันสาหัสขึ้นทุกที
เหลียนจิ้งเต๋อมองบิดาอย่างกล้าๆกลัวๆ เข้าใจว่าอีกฝ่ายยังโกรธอยู่จึงไม่ยอมเดินเข้ามาหา ท่าทางที่มั่นใจอยู่ตลอดเวลากลายเป็นตัวลีบ ในสิ่งทั้งหมดทั้งมวล เหลียนจิ้งเต๋อหวาดกลัวโทสะของบิดาที่สุด จำได้ว่าตอนเด็กๆเคยถูกบรรดาเด็กวัยเดียวกันชักชวนให้กลั่นแกล้งบุตรชายขาพิการของใต้เท้าหยางเจ้าพนักงานเล็กๆในกรมตรวจการ ด้วยความคะนอง นอกจากเขาจะกลั่นแกล้งอีกฝ่ายจนร้องไห้แล้ว ยังขโมยไม้ค้ำไปซ่อน เมื่อท่านพ่อทราบเรื่องก็ไปขอโทษใต้เท้าหยางด้วยตัวเอง ทั้งที่ความจริงใต้เท้าหยางกระทั่งสิทธิ์ในการขอเข้าพบท่านพ่อยังไม่มี
หลังจากนั้น หนึ่งเดือนเต็มๆ ท่านพ่อไม่ยอมพูดกับเขา ไม่มองหน้าเขา เด็กชายขาพิการคนนั้นกลับได้รับการเอาใจใส่จากท่านพ่อแทนเขา เขายังจำคำพูดสุดท้ายก่อนจะไม่พูดกับเขาได้ขึ้นใจ ท่านพ่อไม่ได้เรียกเขามาดุด่า แต่กล่าวว่า ‘พ่อผิดหวังในตัวลูกอย่างยิ่ง’ นับตั้งแต่นั้นกระทั่งนกกระจอกเหลียนจิ้งเต๋อยังไม่กล้าไปเบียดเบียนรังแก
“ทะ ท่านพ่อ …ท่านยังโกรธอยู่หรือ” เสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆทำให้เหลียนอันสุ่ยหลุดจากห้วงความคิด ก้มหน้าลงไปเห็นเด็กชายวัยสิบขวบ ยืนหลุบตาต่ำอย่างสำนึกผิด
“พ่อไม่ได้โกรธเจ้า” พูดพลางก้มหน้าลงไปจนระดับเสมอกัน ฝ่ามือลูบผมที่ยุ่งเหยิงบนศีรษะน้อยๆ
“แต่ แต่ว่า…ข้าทำผิด”
“เจ้าไม่ได้ทำผิด” เหลียนอันสุ่ยฝืนยิ้มบางๆ คนทำผิดคือพ่อต่างหาก และกำลังจะถลำลึกลงไปยิ่งกว่าเดิมในความผิดพลาดที่ไม่อาจแก้ไข ความผิดที่จะทำให้เจ้าผิดหวังในตัวพ่อยิ่งกว่าเรื่องใดๆ
เหลียนจิ้งเต๋อเงยหน้าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดดังกล่าว
“ถ้างั้นท่านพ่อ ท่านมากับข้าเร็ว!” กล่าวจบก็ฉวยข้อมือบิดา วิ่งปร๋อไปยังชายคาที่ยังมีของเล่นคาอยู่ เมื่อทราบว่าท่านพ่อไม่ได้โกรธเขา เหลียนจิ้งเต๋อก็เลิกทำตัวลีบ กลับคืนสู่นิสัยดั้งเดิมอย่างรวดเร็ว เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แต่ก็ยินยอมให้เด็กชายฉุดลากไป ในแววตาซุกซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้อย่างเงียบงัน ภาวนาให้ความสดใสเช่นนี้คงอยู่ตลอดไป สวรรค์ หากท่านยังเมตตาข้าอยู่บ้าง อย่าให้เด็กคนนี้ทราบเลย ความผิดบาปนี้ขอข้าชดใช้เพียงคนเดียว เพียงคนเดียวก็พอ
ดวงตะวันไม่เจิดจ้าเหมือนเคย สวรรค์คล้ายกำลังมองลงมาอย่างเฉยเมยเย็นชา คนเดียวก็เพียงพอหรือ เหลียนอันสุ่ย ทางที่เจ้าเลือกทำร้ายคนสำคัญของเจ้ามากี่ครั้งแล้ว เจ้าโง่เขลาหรือกำลังพยายามหลอกตัวเอง ในโลกนี้มีความลับใดสามารถปิดบังได้ตลอดกาล ?
=========
ช่วงนี้จะมาต่อให้วันเว้นวันน้า(ช่วงหลังคงอัพได้ช้าลงเพราะยังแต่งไม่ไปไหน)
สำหรับคนที่ไปอ่านที่เด็กดีจะเห็นได้ว่าตอนแบ่งไม่ตรงกัน
เด็กดี 2 ตอน=ที่นี่ประมาณ 1 ตอนค่ะ
อันที่ลงที่นี่จะเป็นฉบับแก้ไขล่าสุดนะคะ