<<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58  (อ่าน 214791 ครั้ง)

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2015 23:15:01 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
<<พันธนาการแห่งสายนำ้>>


อำนาจ  เมื่อมีถึงระดับหนึ่งสามารถใช้เป็นโซ่ตรวน 
ฉีเซี่ยงหยวนสามารถพันธนาการสายน้ำ  แต่สุดท้ายกลับไม่มีปัญญาตอบคำถาม
...
เขาพันธนาการผู้อื่นหรือพันธนาการตัวเอง ?

หลังองค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนกำชัยเหนือแคว้นเหลียน  ความยิ่งใหญ่ของแคว้นเป่ยชางก็ไร้ผู้ต้านติด 
เพียงแต่ความยิ่งใหญ่และความสำเร็จของคนผู้หนึ่งบางครั้งก็ตั้งอยู่บนความพ่ายแพ้สูญเสียของผู้อื่น 
สงครามกลับลิขิตการพบพรากของคน 
หลายคนพรากจาก  คนคู่หนึ่งกลับได้พบพาน  ก่อเป็นสายสัมพันธ์ที่แท้จริงไม่สมควรเกิดขึ้น...

เหลียนอันสุ่ย  บุรุษผู้นี้คือบุคคลที่อวี้เฉียนลุ่มหลงจนยอมมอบทุกสิ่ง 
คือสาเหตุที่อ๋องอายุเยาว์สามารถรักษาบัลลังก์ทั้งๆที่อำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ในมืออวี้เฉียนนานแล้ว 
เมื่อมองเขาฉีเซี่ยงหยวนสัมผัสได้ถึงความสงบอันอ่อนโยน 
พริบตานั้นจึงพลันเข้าใจความลุ่มหลงของอวี้เฉียน 
และฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่อวี้เฉียน ของที่อยากได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้มา!
เพียงแต่ฉีเซี่ยงหยวนลิขิตชะตาตัวเองมาชั่วชีวิต  แต่กลับไม่ทราบว่าหัวใจตนมิใช่สิ่งที่ลิขิตได้     
ยิ่งไม่ทราบว่าพันธนาการที่เขาจองจำผู้อื่น  สุดท้ายกลับพันธนาการตัวเขาเองจนดิ้นไม่หลุด

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2014 16:15:42 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
บทที่ 1 จุดเริ่มต้นของความผิดบาป

บรรยากาศหมองเศร้าปกคลุมทั่วแคว้นเหลียน ทหารพ่ายศึกเดินก้มหน้าอย่างอัปยศอดสู สงครามคือจุดเริ่มต้นของการสูญเสียทุกสิ่ง ทรัพย์สมบัติ ญาติมิตร หรือแม้กระทั่งชีวิตของตน  ความพ่ายแพ้ยิ่งทบทวีซ้ำเติมจนจิตใจแทบแหลกสลาย
   แคว้นเหลียนแพ้แล้ว  ความพ่ายแพ้นี้แม้แต่ชาวเหลียนเองยังไม่เคยนึกฝันมาก่อน  ช่างรวดเร็วเกินไป  ช่างหมดจดเด็ดขาดเกินไป
   เดิมแคว้นเหลียนไม่ใช่แคว้นเล็กแคว้นน้อยที่ไม่อาจดูแลตัวเอง  แคว้นเหลียนเคยรุ่งเรืองอย่างมากในอดีต หากเมื่อกาลเวลาหมุนผ่านไม่ว่าความรุ่งเรืองอันใดก็ยากจะไม่เสื่อมทรามลง ปัจจุบันอ๋องผู้ครองแคว้นมีอายุเพียง 12 ปี  อำนาจทั้งหมดตกอยู่ในกำมือของขุนพลใหญ่อวี้เฉียน  ชาวเหลียนทุกคนต่างทราบ  ผู้ปกครองแคว้นแท้จริงคือใคร  ชาวบ้านส่วนใหญ่แม้ไม่ชมชอบอวี้เฉียนตลอดมา  แต่ยามศึกสงครามก็จำต้องพึ่งพาเขา  อวี้เฉียนแม้มิใช่ขุนนางที่ดี  แต่เป็นขุนพลชาญศึก  ความจริงต่อให้ผู้ยกทัพมาคราวนี้จะเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่อย่างเป่ยชาง  พวกเขาก็ไม่คิดว่าจะพ่ายแพ้รวดเร็วถึงเพียงนี้  ข่าวนี้กะทันหันไปแล้ว แม้แต่คนบอกข่าวเองยังไม่อยากจะเชื่อ
   สงครามที่ดูเหมือนจะเยิ่นเย้อยาวนาน  บางครั้งบทสรุปกลับตัดสินในพริบตา  ความผิดพลาดบางประการเป็นเหตุแห่งการล่มสลายทั้งกองทัพ

---------------------

   ฉีเซี่ยงหยวนรอคอยเวลานี้มานานปี  ตั้งแต่แคว้นใหญ่ทางตะวันตกของแคว้นเป่ยชางเริ่มทะเลาะกันเองการรอคอยอันเยือกเย็นก็เริ่มขึ้น  ค่อยๆคำนวณความเสียหายของพวกนั้นช้าๆ  ค่อยๆเดินหมากอย่างระมัดระวัง รัดกุม รอบคอบ  เมื่อพวกเขาสูญเสียถึงระดับที่ไม่มีปัญญาลอบประทุษร้ายแคว้นเป่ยชาง  ฉีเซี่ยงหยวนก็นำทัพบุกแคว้นเหลียน 
   ความจริงนี่เป็นหมากที่อันตราย  ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจรับประกันว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะยึดได้  ยิ่งทอดเวลานานออกไป  ความมั่นคงของแคว้นเป่ยชางก็ยิ่งล่อแหลม  การเอาชัยแคว้นเหลียนไม่ใช่เรื่องง่าย  ดีที่ว่าในที่สุดอวี้เฉียนก็ก้าวพลาดหลงกล  และคู่มือเช่นฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายแก้ตัวเสมอมา  ทุกแผนการของเขาล้วนหวังผลอันเด็ดขาดแยบยล  ตอนนี้แคว้นเหลียนนับว่าถูกผนวกเข้ากับแคว้นเป่ยชางโดยสมบูรณ์
   ฉีเซี่ยงหยวนเป็นโอรสองค์ที่สี่ของเป่ยชางอ๋อง  เป็นบุคคลที่โดดเด่นแต่เยาว์วัย  แม้แต่บรรดาเชษฐาก็ยากจะกลบประกายได้  อำนาจในแคว้นของเขาแทบเทียบเท่าพระบิดา  นี่มิใช่เพราะพรสวรรค์แต่เป็นความรอบคอบอย่างชาญฉลาด  ทุกการกระทำของเขารวบรัดได้ผล  นี่คือวิธีทำศึกของเขา  และนี่คือสาเหตุแห่งชัยชนะของเขา  ฉีเซี่ยงหยวนแม้ไม่ใช่บุตรคนโปรดของพระบิดา  แต่ก็ไม่ใช่บุคคลที่พระบิดาสามารถมองข้ามได้เช่นกัน
   ผู้คนอาจบอกว่าขุนพลอันดับหนึ่งของแคว้นเป่ยชางคือ หยงเซี่ย  หากผู้ที่หนานเหมินอ๋องแห่งแคว้นข้างเคียงหมายหัวเป็นตัวอันตรายอันดับหนึ่งมิใช่หยงเซี่ย  แต่เป็นโอรสองค์ที่สี่ของเป่ยชางอ๋องผู้นี้เอง
   ขณะนี้ฉีเซี่ยงหยวนกำลังก้าวย่างอยู่บนทางเดินในราชสำนักของแคว้นเหลียน  ศิลปวัฒนธรรมของชาวเหลียนเป็นที่เลื่องลือ  สตรียิ่งงามสะคราญ  เฉินเสียขุนนางใหญ่แคว้นเหลียนตามประจบสอพลออยู่ไม่ห่าง  ด้านนอกทหารกำลังลำเลียงศพของผู้ที่ตายไปขณะบุกรุกวังหลวง  ซากศพที่ถูกแขวนประจานเพื่อยืนยันชัยชนะอันเด็ดขาดคืออวี้เฉียนขุนพลผู้พ่ายศึก 
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามีเกี้ยวคันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าซากศพนั้นอย่างเงียบเชียบเกี้ยวคันนี้มีผู้ติดตามไม่มาก  แต่ตัวเกี้ยวสร้างจากไม้ชั้นเยี่ยม หรูหราวิจิตร  บุคคลที่สามารถนั่งเกี้ยวไปมาในราชสำนักย่อมต้องมีศักดิ์ฐานะไม่ต่ำทราม
ขณะนี้คนในเกี้ยวเดินลงมาแล้ว  ฝีเท้าเนิบช้าก้าวเข้าหาอวี้เฉียน  ใบหน้าเงยขึ้นจับจ้องสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองเพียงชั่วครู่ก็เบือนหน้าหนีอยู่เนิ่นนาน  คล้ายกับมีเสียงทอดถอนใจแผ่วเบา
   ฉีเซี่ยงหยวนมองเงาหลังสูงโปร่งของอีกฝ่าย  อาภรณ์สูงค่าดูเหมาะเจาะพอดีเมื่อสวมอยู่บนร่างเขา  ในใจของฉีเซี่ยงหยวนพลันคาดเดาถึงบุคคลผู้หนึ่ง ปากเอ่ยถามว่า
   “ นั่นใคร ?”
เฉินเสียรีบมองตามสายตาของอีกฝ่าย  จากนั้นดวงตาก็กระจ่างขึ้นมา  ตอบคำว่า
   “นั่นคือพระมาตุลาเหลียนอันสุ่ย  คงมีแค่เขาคนเดียวที่เสียใจกับการตายของอวี้เฉียน”  เมื่อเห็นฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้วจึงรีบขยายความว่า
   “เพราะอวี้เฉียนเชื่อฟังเขามากอย่างไรเล่า  ท่านน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ..เอ่อ...เรื่อง...”
   “เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอวี้เฉียนหรือ”  ฉีเซี่ยงหยวนนับว่าเคยได้ยินข่าว ‘แปลกๆ’ เกี่ยวกับรสนิยมของอวี้เฉียนมาบ้างเหมือนกัน
   “ใช่แล้ว  อวี้เฉียนล่วงเกินคนไว้ไม่น้อย  วางอำนาจบาตรใหญ่ไว้ก็มากอยู่  แต่หลงใหลเชื่อฟังเขาคนเดียว”
   “...เขาเป็นบุรุษมิใช่หรือ  ด้วยฐานะของอวี้เฉียน สตรีงดงามมีมากมายให้เลือกเฟ้น  เหตุใดต้องหลงใหลเชื่อฟังเขาด้วย” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนมีแววไม่เชื่อถือนัก
   “ท่านไม่เข้าใจ  ของที่อยากได้แต่ไม่ได้มาย่อมต้องมีคุณค่าเป็นพิเศษ”
   “อยากได้แต่ไม่ได้มา? ” กล่าวพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
   “ต่อให้อวี้เฉียนมีอำนาจมากแค่ไหน  แต่พระมาตุลาศักดิ์ฐานะสูงส่ง  มิใช่คนที่เขาจะเอื้อมถึงเด็ดขาด”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่เห็นด้วย
   “เขาใยไม่ล้มบัลลังก์ตั้งตนเป็นเหลียนอ๋อง”
   “ได้ยินว่าที่อวี้เฉียนไม่ล้มบัลลังก์เป็นเพราะพระมาตุลาออกปากขอร้องเขาด้วยตนเอง  อวี้เฉียนก็เชื่อฟังวาจาอย่างยิ่ง  คาดว่าถูกเกลี้ยกล่อมจนเลอะเลือนไปแล้ว”
   จากการได้รู้จักอวี้เฉียนมาพักใหญ่  ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดว่าอวี้เฉียนเป็นคนที่ยอมให้ความลุ่มหลงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจถึงเพียงนี้  สาเหตุหลักควรจะเป็นเพราะไม่ว่าจะเป็นต้าอ๋องหรือไม่ อำนาจของอวี้เฉียนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าใด  เพียงแต่บุคคลที่ทำให้อวี้เฉียนยอมเห็นแก่หน้าย่อมต้องมีคุณค่าความหมายอยู่
   เฉินเสียเห็นแววตาของฉีเซี่ยงหยวนเป็นประกายวาว มีท่าทีสนใจเรื่องราวถึงเพียงนี้ จึงรีบประจบเอาใจว่า
   “หากท่านต้องการพบหน้าพระมาตุลาผู้นี้  ข้าน้อยสามารถจัดการให้แก่ท่าน  เพียงแต่ไม่ทราบว่า...ท่าน...” ถึงพระมาตุลาจะมีศักดิ์สูง  แต่ตอนนี้ก็ไม่สูงไปกว่าว่าที่ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางไปได้  การประจบฉีเซี่ยงหยวนไว้ย่อมมีประโยชน์ในวันหน้า
   เมื่อฉีเซี่ยงหยวนเห็นนัยน์ตาที่แฝงเลศนัยของอีกฝ่ายก็หรี่ตาลงเล็กน้อย  แต่ก็ไม่ได้กล่าวปฏิเสธ

---------------------

“พระมาตุลามาถึงแล้วขอรับ” ทหารอารักขารายงานเข้ามา  ในที่สุดเฉินเสียก็ไปเชื้อเชิญมาด้วยตัวเองเป็นผลสำเร็จ  ซ้ำยังเลือกเวลาที่เหมาะอย่างยิ่งหลังมื้อเย็นหนึ่งชั่วยามพอดี ร่างสูงใหญ่ที่นอนเอกเขนกอ่านรายงานอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวจึงลุกขึ้นมานั่ง  สายตาคมวาวกวาดไปที่บานประตูซึ่งเปิดกว้าง  ทิ้งรายงานในมือลงบนโต๊ะ  ฟังแค่เสียงฝีเท้าแผ่วเบามั่นคงก็พอจะคาดเดาได้ถึงลักษณะนิสัยสุขุมรอบคอบ
   พระมาตุลาแคว้นเหลียนเป็นบุรุษรูปร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้าหล่อเหลาหมดจด  บุคลิกสงบเมตตาผู้หนึ่ง  คิ้วเรียวงามให้อารมณ์อันอ่อนโยน  ดวงตาที่มองสบกับฉีเซี่ยงหยวนโดยไม่หลบเลี่ยงกระจ่างชัดเหมือนผิวน้ำในฤดูใบไม้ร่วง  อาภรณ์หรูหราบนร่างขับเน้นความสูงศักดิ์เหนือธรรมดา  ทำให้ก่อนหน้านี้บรรดาเชื้อพระวงศ์ที่สวมชุดชาวเหลียนแปรเปลี่ยนเป็นขัดตาไม่คู่ควรยิ่ง 
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้วสูง  รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง  คนผู้นี้แม้มิใช่ชายชราสูงวัย  แต่บุคลิกของเขาก็สามารถเป็นพระมาตุลาแห่งแว่นแคว้นหนึ่งได้จริงๆ  คิดพลางผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญให้นั่งลง
   “ข้าอยากพบท่านมานานแล้ว” ฉีเซี่ยงหยวนเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
   “พบข้า ? ” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยเนิบช้าน่าฟัง ทวนคำขณะปฏิเสธน้ำชาที่หญิงรับใช้จะรินให้  ฉีเซี่ยงหยวนจึงทำมือเป็นความหมายให้หญิงรับใช้ล่าถอยออกไป แล้วหันมากล่าวว่า
   “รู้หรือไม่ว่าท่านเป็นคนดัง”
 “มีใครไม่ทราบชื่อเสียงของท่านอ๋องน้อย  ท่านต่างหากที่มีชื่อเสียงโด่งดัง” ตอบพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย  ยังคงคาดเดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายไม่ออก
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ  ความกดดันดูจะผ่อนคลายลงบางส่วน  ใช่แล้ว ความกดดัน  ตั้งแต่เหลียนอันสุ่ยก้าวเข้ามาในห้องก็รู้สึกถึงสิ่งนี้ทันที  บุตรคนที่ 4 ของเป่ยชางอ๋องแทบจะเปลี่ยนกลิ่นอายดั้งเดิมของตำหนักรับรองแห่งนี้ไปจนหมดสิ้น  ฉีเซี่ยงหยวนอาจไม่ได้ตั้งใจ  แต่คนบางคนเพราะครอบครองอำนาจจนเคยชินความกดดันไร้สภาพชนิดจึงหนึ่งวนเวียนอยู่รอบกาย  ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนอาจกวาดมองอย่างสุภาพ  แต่เหลียนอันสุ่ยมีความรู้สึกว่าต่อให้รายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุดก็ไม่อาจหลุดรอดไปจากสายตาคมกริบคู่นั้น
ฉีเซี่ยงหยวนยืดตัวขึ้นเล็กน้อย  รูปร่างของเขาองอาจสง่างาม  แต่ก็แฝงลักษณะอันตรายที่ยากตอแย  คาดว่าในหมู่โอรสของเป่ยชางอ๋องไม่มีผู้ใดสามารถเปรียบเทียบได้
“พระมาตุลาคงชิงชังข้า”
“เหตุใดข้าต้องชิงชังท่าน”
“เพราะข้าฆ่าชาวเหลียนไปมากมาย” น้ำเสียงของคนพูดสงบราบเรียบ  ราวกับคำว่า ‘ฆ่า’ เป็นคำสามัญธรรมดาคำหนึ่ง
“พวกเราก็ฆ่าชาวเป่ยชางไปไม่น้อย” คนฟังก็กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ต่างกัน
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งเงียบไปอึดใจ  พินิจพิจารณาพระมาตุลาผู้นี้กว่าเดิม
“ท่านไม่โกรธแค้น ? ” คนที่โกรธแค้นเขามีไม่น้อย  แค่บรรดาทหารชาวเหลียนฉีเซี่ยงหยวนก็เห็นจนเจนตา
เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจ  พลางกล่าว
“สงครามย่อมต้องมีแพ้ชนะเป็นธรรมดา  เหตุใดข้าต้องโกรธแค้นท่าน”
“บางทีท่านอาจยังไม่ทราบ  ชัยชนะครั้งนี้ได้มาเพราะกลอุบาย”
“กลอุบายแล้วอย่างไร  หากไม่ใช้กลอุบาย  น่ากลัวชีวิตที่สูญสิ้นไปต้องมีมากมายกว่านี้” รอยยิ้มฝืนๆแตะลงบนเรียวปาก  รอยยิ้มของเหลียนอันสุ่ยอ่อนโยนแต่ก็แฝงความหม่นหมอง  คล้ายแสงจันทร์อันโดดเดี่ยวทอดลงบนผิวน้ำที่ไหลไปไม่หวนกลับ
ฉีเซี่ยงหยวนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาไม่เคยเจอคนที่สามารถมองเรื่องราวของตัวเองอย่างเป็นกลางถึงเพียงนี้  ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ทั้งๆที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้สูญเสีย
ควรทราบว่าต่อให้เป็นคนที่ชาญฉลาด  หากเรื่องราวมีส่วนพัวพันกับตัวเองก็ยากจะมองด้วยสายตาที่แจ่มใส  ก่อนหน้านี้ฉีเซี่ยงหยวนเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระมาตุลาผู้นี้มาไม่น้อย  สายในแคว้นเหลียนที่ส่งเข้ามาแทรกซึมนานปีก็มักจะกล่าวถึงคนผู้นี้อยู่เนืองๆ  ตัวตนของเหลียนอันสุ่ยในความคิดของฉีเซี่ยงหยวนนับว่าผิดจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยสิ้นเชิง 
ไม่ว่าคนผู้นี้จะใช้วิธีการอันใด  แต่ก็จัดว่าผูกมัดอวี้เฉียนไว้ได้อย่างชาญฉลาด  สิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนมองเห็นตอนนั้นเป็นแค่แผนการอันยอดเยี่ยมแผนหนึ่ง  ตอนนี้องค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางจึงเข้าใจ  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ล่อลวงให้อวี้เฉียนลุ่มหลงในตัวเขา  แต่เป็นอวี้เฉียนที่ไม่อาจละสายตาไปจากเขาเอง
พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนแม้เป็นคนรูปงามอย่างอ่อนโยนผู้หนึ่ง  แต่ในชั่วชีวิตของฉีเซี่ยงหยวนมิใช่ไม่เคยเจอคนรูปงามกว่าเขา  มีสตรีที่สวยงามจนแทบไร้ที่ติ  มีบุรุษที่เค้าหน้าหวานล้ำ เพียงแต่คนผู้นี้มีสิ่งหนึ่งที่ผู้อื่นไม่อาจเปรียบเทียบได้
หิมะที่โปรยปราย  หยาดฝนจากฟากฟ้า แม้บริสุทธิ์งดงามจนยากเสมอเหมือน  แต่ความงามของคนผู้นี้คล้ายสามารถชำระล้างความสกปรกในจิตใจคน  เพราะรูปลักษณ์ของเขาคือความจริงแท้
หิมะ หยาดฝน บริสุทธิ์เพราะมันยังไม่เคยแปดเปื้อนดิน  แต่ในสภาวะอันเลวร้ายเช่นนี้  เหลียนอันสุ่ยกลับสามารถทอดสายตามองเขาอย่างสงบ
ตอนอวี้เฉียนยึดอำนาจ  รวบการปกครองมาไว้ในกำมือ  เหตุการณ์ต้องปั่นป่วนกว่านี้ร้อยเท่า  หากพระมาตุลาผู้นี้ยังสามารถมองอวี้เฉียนด้วยสายตาที่ปราศจากความเกลียดชัง  สถานะของเหลียนอันสุ่ยในสายตาอวี้เฉียนย่อมต้องเปลี่ยนเป็นไม่ธรรมดา
ความจริงแค่การเกิดมามีฐานะสูงศักดิ์ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตสงบราบรื่น  ผู้คนที่อยู่กับอำนาจนานเท่าใด ยิ่งถูกมันทำร้ายลึกซึ้งเท่านั้น  อย่าว่าแต่คนที่อยู่กับมันมาตั้งแต่กำเนิด  ข้อนี้ฉีเซี่ยงหยวนทราบดี  ไม่มีทางที่จะไม่เคยเจ็บปวดขมขื่น  และมีแต่คนที่เคยรับทราบมาจึงสามารถมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยสายตาสงบถึงเพียงนี้
“อย่างน้อยท่านก็น่าจะไม่พอใจที่ข้าฆ่าอวี้เฉียน” ฉีเซี่ยงหยวนหยั่งเชิงโดยจงใจกล่าวถึงอวี้เฉียน
“นั่นไม่ใช่ความผิดของท่าน  ทางสายนี้พวกท่านต่างเป็นคนเลือกเอง  ยินดีใช้ชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน” ดวงตาขณะได้ยินนามอวี้เฉียนปรากฎแววเวทนาอย่างเจือจาง
“เขาชอบท่าน”
คนฟังนิ่งไปครู่ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธ  แสดงถึงการทราบดีอยู่แล้ว ทั้งไม่แปลกใจและไม่อัปยศอดสู  เพียงยอมรับอย่างเงียบงัน
 การสนทนาเปลี่ยนไปเป็นเรื่องขอความร่วมมืออื่นๆ  ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีท่าทีระแวดระวังเขาอยู่บ้าง  ถึงอย่างนั้นก็ยังพูดคุยอย่างใจเย็นและมีมารยาทอย่างยิ่ง
วิกาลคล้อยดึกขึ้นทุกขณะ
“หากท่านต้องการแค่จะพบหน้าข้า  ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว  ข้าลาดีกว่า”เหลียนอันสุ่ยกล่าวขึ้นเบาๆ  เมื่อจะลุกขึ้นความรู้สึกอันผิดปรกติก็มาเยือน   คล้ายกับฉับพลันนั้นร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา  ขณะทรุดฮวบลงรู้สึกถึงท่อนแขนแข็งแรงสอดเข้ามารับพยุงไว้  เหลียนอันสุ่ยตั้งสติ  พบว่าแขนนั้นเป็นของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชาง  จึงดึงตัวออกมาจากมืออีกฝ่ายอย่างสุภาพ  แต่ฉีเซี่ยงหยวนไม่เพียงไม่ปล่อยมือยังรั้งร่างของเขาเข้าไปใกล้กว่าเดิม
เหลียนอันสุ่ยพิจารณาอาการตัวเองแล้วขมวดคิ้ว  นี่มันผิดปรกติ  คล้ายกับเขากินยาบางอย่างเข้าไป
มียาชนิดหนึ่งเอาไว้ใช้กับสตรีที่ไม่ยินยอมโดยเฉพาะ  เป็นตัวยาต่ำช้าไร้สีไร้กลิ่นที่ต้าอ๋องรุ่นก่อนๆมักแอบให้คนสนิทจัดหาให้  เชื้อพระวงศ์บางคนก็มีซุกเก็บไว้  อาการของมัน...
“ท่านสมควรพักสักครู่” พูดพลางจะพยุงอีกฝ่ายเข้าไปด้านใน
“ท่านอ๋องน้อยเหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้” น้ำเสียงอันน่าฟังของเหลียนอันสุ่ยแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา  ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้ว  นี่เขา...รู้ ?
“คนที่ทำไม่ใช่ข้า”
ก็จริงตั้งแต่ก้าวเข้ามาเขาก็ระมัดระวังยิ่ง  เหลียนอันสุ่ยพลันคิดไปถึงน้ำชาที่เฉินเสียรินให้ก่อนหน้านี้...
“ชานั่น...” กล่าวถึงกลางประโยคก็ไม่อาจกล่าวต่อ  แววตาปรากฏแววเศร้าเสียใจ และไม่อยากจะเชื่อว่าเฉินเสียจะเหลวไหลไม่ทราบถูกผิดถึงเพียงนี้  นี่ไม่ใช่เรื่องของตัวบุคคล แต่เป็นความอัปยศของแว่นแคว้น
ตอนนี้ร่างกายของเหลียนอันสุ่ยอยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่ายทั้งร่าง  ไม่มีปัญญาทรงกายอีกต่อไป
“ท่านอ๋องน้อย  ท่านแค่พยุงข้านั่งก็พอ” 
ได้ยินทุ้มกล่าวเนิบๆว่า
“ท่านคงไม่ถึงกับไม่ทราบกระมังว่าเฉินเสียทำเช่นนี้เพื่ออะไร”
“ท่านคงไม่...!  ท่านเป็นถึง...ไม่สมควร..”น้ำเสียงที่เจือแววตื่นตระหนกลอดออกมาจากปากของเหลียนอันสุ่ยขณะถูกบังคับอุ้มเข้าไปด้านใน
“ข้าทราบว่าท่านพยายามจะย้ำเตือนศักดิ์ฐานะข้า  แต่ท่านวางใจ ความประพฤติของข้าไม่ใช่สิ่งที่พระบิดาสามารถควบคุมได้นานแล้ว” กล่าวพลางวางอีกฝ่ายลงบนเตียง
เมื่อโอบอีกฝ่ายอยู่ในอ้อมแขน ฉีเซี่ยงหยวนจึงพบว่าพระมาตุลาผู้นี้เพรียวบางกว่าที่เขาคิดเอาไว้
“ฉีเซี่ยงหยวน  ท่านคงมิได้มีรสนิยมผิดๆเช่นนี้กระมัง”
มือใหญ่เอื้อมมาจับปลายคางมน ถามยิ้มๆว่า
“อะไรคือรสนิยมผิดๆ  ถูกผิดทั่วหล้าถือคำของใครเป็นผู้ตัดสินหรือ ?”
บนขมับของเหลียนอันสุ่ยมีเหงื่อซึม  สวรรค์  คนผู้นี้คงมิใช่...คิด...คิด...
“ท่านไม่ทราบ ที่อวี้เฉียนไม่กล้าแตะต้องข้าเพราะข้าแต่งงานมีลูกแล้ว” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ย ร้อนรน
“อ้อ” เสียงรับคำอย่างไม่ใส่ใจ  ไม่ว่าจะใช้ข้ออ้างอะไรฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจแน่นอน
เหลียนอันสุ่ยพบว่านิ้วมืออันมั่นคงแข็งแรงยังคงปลดอาภรณ์ชั้นนอกของเขาออกอย่างใจเย็น  สีหน้าสงบนิ่งเริ่มซีดขาว ยึดมืออีกฝ่ายไว้เพื่อไม่ให้เคลื่อนไหวไปมากกว่านี้  ปากถามว่า
“สตรีที่สวยงามมีมากมาย  เหตุใดท่าน...” พูดยังไม่ทันจบ  ฉีเซี่ยงหยวนก็ถามสวนว่า
“ท่านอยากให้ข้าหาสตรีชาวเหลียน ? ”
“บุรุษเช่นท่านย่อมมีสตรีมากมาย ‘ยินยอมพร้อมใจ’ เป็นของท่านอยู่แล้ว” เหลียนอันสุ่ยเน้นคำว่ายินยอมพร้อมใจเป็นพิเศษ   
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะในลำคอพลางดึงมือออกจากการยึดกุม
“เวลาเช่นนี้ท่านยังคิดอ่านเพื่อพวกนาง...วางใจเถอะถ้าท่านทำให้ข้าพอใจ  ข้าย่อมไม่จำเป็นต้องเสาะหาคนอื่นอีก”  พูดจบก็เบียดริมฝีปากเข้ากับเรียวปากบาง
คำพูดที่จะหลุดออกจากปากถูกบังคับให้กลืนลงท้องไป  ปลายนิ้วอีกฝ่ายยังคงไล้อยู่ตามสาบเสื้อของเขา  แต่เหลียนอันสุ่ยไม่มีปัญญาไปผลักไส  ความรู้สึกอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงแล่นพล่าน  รู้สึกถึงโครงร่างแข็งแกร่งทาบทับลงมา  แค่โครงร่างฉีเซี่ยงหยวนก็ใหญ่โตกว่าเขาอยู่ช่วงใหญ่ ต่อให้มีพละกำลังในยามปรกติเขาก็ยากจะรอดพ้นเงื้อมมืออีกฝ่าย  เสื้อของเขาเริ่มเบาบางลงทุกที  ริมฝีปากร้อนผ่าวของฉีเซี่ยงหยวนคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอ  จมูกสูดกลิ่นหอมอ่อนจาง
“ข้าทราบว่าท่านต้องการเอาชนะอวี้เฉียน  แต่นี่มีประโยชน์ใด  ท่านชนะเขาไปแล้ว  เขาสู้ท่านไม่ได้” น้ำเสียงแผ่วเบาติดสั่นสะท้านอยู่บ้าง
“ท่านเป็นคนชาญฉลาดจริงๆ  แต่นั่นเป็นแค่จุดประสงค์แรกเริ่ม  น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้าไม่ได้ต้องการเอาชนะเขาแล้ว...แต่ข้าต้องการท่าน”
แววตาของอีกฝ่ายทำให้ใจของเหลียนอันสุ่ยสั่นสะท้าน  เขาไม่ยอมหยุดแน่  ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยซีดขาวกว่าเดิม
ไม่ว่าอย่างไรเหลียนอันสุ่ยก็ไม่อาจปล่อยให้เรื่องราวเช่นนี้ดำเนินต่อไป ขณะจะรวบรวมแรงผลักอีกฝ่ายออกห่างกลับต้องผวาอย่างตื่นตระหนก เมื่อรู้สึกถึงมือหยาบกร้านที่ไล้มาตามเรียวขา  ร่างกายพยายามจะขยับหนี  แต่ฉีเซี่ยงหยวนใช้กำลังกดร่างของเขาเอาไว้  มืออีกข้างเปลื้องเสื้อตัวในของเขาออก  ปลายนิ้วเสียดผ่านผิวอย่างมีเจตนาปลุกเร้า  ภายใต้การลวนลามล่วงเกิน ลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นหนักหน่วง  ผู้ชายคนนี้จัดเจนเกินไป  จัดเจนจนคนที่ใช่ชีวิตเรียบง่ายเช่นเขาหวาดกลัว  กับเรื่องเช่นนี้เขาไม่มีทางเป็นคู่มืออีกฝ่ายเด็ดขาด
“ปล่อย...ไม่เอา ...ขะ..” ในความมึนงงคล้ายมีกองไฟกองหนึ่งกำลังลุกลามแผดเผา  ไฟที่เผาผลาญสติสัมปชัญญะจนกระจัดกระจายเป็นเสี้ยวธุลี  เหลียนอันสุ่ยรู้จักความต้องการเช่นนี้  รวมทั้งอันตรายที่สามารถมอมเมาผู้คนของมัน
ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้ว  พระมาตุลาผู้นี้มีความสามารถในการควบคุมตัวเองไปแล้ว  เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายห่างหายจากเรื่องพรรค์นี้มานาน  บุคคลประเภทนี้อาจปลุกเร้ายากหน่อย  แต่เมื่อมีความต้องการมักจะรุนแรงเป็นพิเศษ  ตามเหตุผลคนผู้นี้ไม่ควรมีสติพอจะขยับกายหลบเลี่ยง รวมถึงผลักไสต่อต้านด้วย  ไม่  เขาจะยังไม่ครอบครองอีกฝ่ายตอนนี้ เขาต้องการให้อีกฝ่ายยินยอมเป็นของเขาโดยสิ้นเชิง
ฉีเซี่ยงหยวนกดอารมณ์ให้เย็นลง  ฝ่ามือร้อนผ่าวสัมผัสอย่างเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
“หยะ  หยุดนะ!”
การรุกเร้าของเขาทำให้เหลียนอันสุ่ยขบริมฝีปากแน่น  กลั้นเสียงครางในลำคอ  เรือนร่างเขาต้องการจนเสียดเกร็งไปหมด  พยายามจะชิดขา แต่พบว่ามีท่อนขาแข็งแรงเบียดคั่นอยู่  ร่างกายขยับไหวอย่างทุกข์ทรมาน
พระมาตุลาผู้นี้ยังกระตุ้นเขาไม่พอหรือไง  ทำไมยังไม่ยอมคลายการควบคุมตัวเองอีก  ฉีเซี่ยงหยวนยิ่งมาก็ยิ่งพบว่าอารมณ์ที่กดไว้รุนแรงจนน่ากลัว  ความจริงตั้งแต่ในกองทัพ ฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้  เพราะกองทัพกฎเกณฑ์เข้มงวด ไม่อนุญาตให้มีผู้หญิงในกองทัพ  กฎนี้เขาเป็นคนตราขึ้นเอง  ฉีเซี่ยงหยวนลอบบอกตัวเองขณะมองแววตาที่ใกล้จะถูกความปรารถนาครอบงำของอีกฝ่าย  คนผู้นี้น่ากลัวต้องชดเชยให้เขาจนถึงย่ำรุ่งเลยทีเดียว
ความเจ็บแปลบปะปนกับความรู้สึกถูกล่วงล้ำทำให้เหลียนอันสุ่ยสะท้านเฮือก  ปลายนิ้วจิกลึกลงบนฟูกนอน  ความรู้สึกอ่อนแรงถูกอารมณ์เสียดสะท้านฉีกทึ้ง
ความเบียดเสียดที่ปลายนิ้ว ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนสูดหายใจลึก  ดันปลายนิ้วผ่านการต่อต้านเข้าไปช้าๆ
“ยะ อย่า...” ปลายนิ้วสากของฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่แค่การล่วงล้ำ  แต่คล้ายกับกำลังควานหาสัดส่วนที่ไวต่อความรู้สึก  ผู้ชายคนนี้พยายามทำให้เขาหลงเพริดจนยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่าง  ที่น่ากลัวคือฉีเซี่ยงหยวนมีขีดความสามารถทำได้จริงๆ  ฉีเซี่ยงหยวนเป็นคู่นอนที่สามารถมอบค่ำคืนที่ยากจะลืมเลือน น่าเสียดายที่นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลียนอันสุ่ยต้องการ  เขายินยอมถูกอีกฝ่ายบีบคั้นบังคับ  แต่ไม่ต้องการมีอารมณ์ร่วมด้วย  พันธนาการบางอย่างยึดสติเขาไว้อย่างเหนียวแน่น  เงาร่างของบุคคลสองคนแจ่มกระจ่างขึ้นมา  เหลียนอันสุ่ยหลับตาลงอย่างปวดร้าว  แทบแยกไม่ออกว่าร่างกายต้องการจนรวดร้าวหรือความรู้สึกผิดกรีดลึกจนเจ็บปวด  สติทำให้รู้สึกชัดเจนถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น  รวมถึงการไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตน
ในเสียงหอบหายใจแผ่วเบา  เรือนร่างเรียบเนียนแอ่นสะท้าน  ฉีเซี่ยงหยวนพิศใบหน้าที่แดงก่ำจนเย้ายวนที่มีเค้าทรมานทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหว  คล้ายกับว่าต้องการให้มันดำเนินต่อไปและก็คล้ายกับว่าสัมผัสนั่นสะกิดความทุกข์ทนบางอย่าง  ฉีเซี่ยงหยวนเคยสัมผัสสตรีสูงศักดิ์มามากมาย  แต่ไม่มีผู้ใดที่อยู่บนเตียงกับเขาแล้วยังสูงศักดิ์ถึงเพียงนี้  สามารถสำรวมตัวเองถึงเพียงนี้  จากนั้นเขาพลันคิดได้ถึงข้อหนึ่ง  คิดถึงคนผู้หนึ่ง  อาจเป็นเพราะถูกคนผู้นี้ยึดเหนี่ยวจิตใจไว้  เหลียนอันสุ่ยจึงต่อต้านไม่หยุด  นั่นทำให้ฉีเซี่ยงหยวนมีโทสะ  ไม่ต้องการรั้งรออีกต่อไป
ความเบียดเสียดผ่อนคลายลง  ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นเข้ามาแทนที่  เจ็บจนเหลียนอันสุ่ยชาไปทั้งร่าง  รู้สึกเหมือนเรือนร่างถูกแยกออก  ริมฝีปากแย้มออกแต่ไม่มีเสียงลอดออกมา
ฉีเซี่ยงหยวนครางต่ำอย่างพึงพอใจ  เขายังกระหายมากกว่านี้  โอบเรือนร่างอีกฝ่ายเข้ามาใกล้  แต่กลับรู้สึกถึงความผิดปรกติบางอย่าง  เรียวขาของอีกฝ่ายที่เกี่ยวกระหวัดกับร่างของเขาบิดเกร็ง  เจ็บปวดจนสั่นระริกทั้งร่าง  ริมฝีปากคล้ายจะครางแต่ครางไม่ออก  ฉีเซี่ยงหยวนพลันรู้สึกถึงความจริงที่น่าตระหนก  ความรู้สึกเบียดเสียดนี้ไม่ใช่การต่อต้าน  แต่เป็นเพราะความไม่เคย  อวี้เฉียนไม่เคยแตะต้องคนผู้นี้มาก่อน  แต่เป็นผู้อื่น  ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจมาตลอดจากปฏิกิริยาของเหลียนอันสุ่ยว่าไม่ใช่ไม่เคย  แต่ความจริงกลับกลายเป็นว่าเขาเป็นผู้ชายคนแรกของอีกฝ่าย  ในความมึนงงความจริงอีกข้อก็ปรากฏรูปร่างชัดเจนขึ้นมา  คนผู้นี้อาจแต่งงานแล้ว!  และอาจจะถึงขั้นมีลูกแล้วอย่างที่พูดด้วย  หากมันสายไปแล้ว  เขาหยุดตัวเองไม่ได้และไม่ต้องการหยุดในลักษณะนี้ด้วย  ฉีเซี่ยงหยวนปัดการคาดเดาเรื่องนั้นทิ้งไป  ขบกรามแน่น  บังคับให้ตัวเองผละจากร่างของอีกฝ่าย  เขาต้องให้เหลียนอันสุ่ยพร้อมกว่านี้
ความคิดทุกประการของเหลียนอันสุ่ยกลับกลายเป็นขาวโพลน  รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ยอมหยุดเพียงแต่ทอดจังหวะออกไปเท่านั้น  ร่างกายคล้ายกับถูกเปลวไฟที่รุ่มร้อนแผดเผา  ภาวนาให้ความวาบหวามและความรู้สึกปวดร้าวที่ดำเนินคู่กันไปเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง...

---------------------

เปลวไฟในพายุอันรุนแรงคล้ายกับพ้นผ่านไปแล้ว  รอจนฉีเซี่ยงหยวนหลับใหลไป  เหลียนอันสุ่ยก็ยันกายขึ้นช้าๆ  ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงไม่คงอยู่  หลงเหลือเพียงความอ่อนเพลียปวดร้าวไปทั้งร่าง  แต่เขาไม่อาจสลบไปในลักษณะนี้เป็นอันขาด  เหลียนอันสุ่ยใช้มือที่สั่นสะท้านเล็กน้อยสวมเสื้อผ้าอย่างเงียบงัน 
ความอ่อนล้าทำให้การบังคับตัวเองให้เดินตรงตามปรกติเป็นเรื่องที่ยากลำบาก  บันไดไม่กี่ขั้นตอนขามากลายเป็นระยะทางที่เหยียดยาวยิ่ง  เหลียนอันสุ่ยกัดฟันแน่น  ไม่ยินยอมให้ตัวเองทรุดล้มลงไป  เกี้ยวอันหรูหราแล่นกลับที่เดิมของมันอย่างเงียบเชียบ
หลังจากกลับถึงตำหนักของตัวเอง  หญิงรับใช้ที่ซื่อสัตย์ภักดีนามอิ๋งฮวาก็รีบเข้ามารายงาน
“คุณชายน้อยหลับไปแล้ว  บ่าวให้เยี่ยนจื่อเป็นคนดูแล”  คุณชายน้อย สามคำนี้ทรงอานุภาพใหญ่หลวง  ใบหน้าของพระมาตุลาผู้สูงศักดิ์ซีดขาว  ข้อนิ้วกำแน่น  นาน...กว่าจะเค้นเสียงออกมาว่า
“เจ้าทำดีมาก  ไปพักเถอะ”
อิ๋งฮวารู้สึกว่าวันนี้มีเรื่องผิดปรกติเกิดขึ้น  บางสิ่งบางอย่างกำลังทำร้ายนายท่านผู้อ่อนโยนผู้นี้  แต่ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ย่อมไม่ถามมากความ  เพียงยอบกายถอยออกไปเท่านั้น
เมื่อพบว่าตัวเองอยู่คนเดียวเหลียนอันสุ่ยแทบจะทรงกายไว้ไม่อยู่  ร่างส่ายโงนเงนจนต้องยึดขอบโต๊ะเอาไว้  ถ้าความจริงมีเพียงเขาคนเดียว เรื่องเช่นนี้ไม่อาจนับเป็นอย่างไรได้  แต่ยังมีเด็กไม่รู้ความคนนั้น  ยังมีผู้หญิงคนนั้น  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหายใจไม่ออก
ความรู้สึกผิดบาปนี้  ไม่ทราบเมื่อไหร่จึงจะจางหาย...


=======================
มาลงตอนแรก เรื่องนี้เป็นแนวจีนโบราณค่ะ 
สำหรับคนที่ไม่คุ้นชื่อตัวละครมันจะค่อนข้างจำยาก แต่อ่านไปๆเดี๋ยวก็จำได้เองค่ะ555

ออฟไลน์ jinjin283

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 934
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 :mc4: ได้อ่านในเด็กดีชอบมากๆเลยคะ เอามาลงต่อเยอะๆนะคะ

ออฟไลน์ loveatalltime

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ดีใจ :katai2-1: น้ำตาไหลพราก พึ่งอ่านตอนล่าสุดในเด็กดี รักเรื่องนี้ มากมายมหาศาล
ต้อนรับเข้าเล้า555555
ท้ายที่สุด รักคนเขียนมากมายครัชชชช

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สนุกมาก ติดตามจ้า

ออฟไลน์ BlueHoney

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ขอบคุณมากๆค่ะ ยังไม่เคยอ่านมาก่อน :impress3: ขอติดตามด้วยคน สนุกมาก // :pig4:

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
บทที่ 2 ผลประโยชน์และการประนีประนอม

ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางกลิ่นอายของพระมาตุลาผู้สูงศักดิ์  ความคิดล่องลอยไปไกล  ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองทำอะไรลงไป  นี่นับเป็นความสะเพร่าเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตของเขา  ไม่หรอก  มันไม่ใช่เพียงความหุนหันอยากเอาชนะ  แต่เป็นเพราะถูกรูปลักษณ์สะอาดบริสุทธิ์นั่นดึงดูด

ทุกครั้งหลังทำศึกสงคราม  ฉีเซี่ยงหยวนมักรู้สึกว่าตัวเองมีความดำมืดที่น่าสกปรกชิงชัง  ปรกติฉีเซี่ยงหยวนจะรอให้มันเจือจางไปเองเมื่อความสำเร็จก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น  แต่ครั้งนี้ไม่ใช่  คนผู้นั้นไม่สมควรปรากฏตัวตอนนี้  สัญชาตญาณของฉีเซี่ยงหยวนชักนำให้เขาใช้อีกฝ่ายเพื่อปรับสมดุลในจิตใจ  ตอนแรกจากแค่ความรู้สึกอยากเห็นหน้าพระมาตุลาผู้โด่งดัง  บวกกับกึ่งๆจะเป็นการตอกย้ำในชัยชนะเหนืออวี้เฉียน  เปลี่ยนเป็นละโมบอยากครอบครองทันทีเมื่อพบหน้า  การต่อต้านเงียบๆของอีกฝ่ายยิ่งทวีความอยากเอาชนะ  ต้องการให้คนผู้นี้ยอมศิโรราบต่อเขาโดยสิ้นเชิง  แต่นั่นเป็นการกระทำตามอารมณ์บนพื้นฐานของความเข้าใจเพียงผิวเผิน  เห็นได้ชัดว่ารูปลักษณ์ของเหลียนอันสุ่ยมีอิทธิพลต่อจิตใจเว้าแหว่งไม่สมดุลหลังทำศึกของเขาเพียงใด  จากนั้นมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้ม  อดนับถือความใจแข็งของพระมาตุลาคนนั้นไม่ได้  แน่ใจว่าเมื่อคืนตักตวงจากอีกฝ่ายไปไม่น้อย  ตามเหตุผลเหลียนอันสุ่ยไม่น่าจะมีแรงลุกด้วยซ้ำ  แต่เตียงที่ว่างเปล่าก็ยืนยันว่าอีกฝ่ายจากไปแล้ว

ฉีเซี่ยงหยวนทบทวนความทรงจำตัวเองเกี่ยวกับครอบครัวของเหลียนอันสุ่ย  เขาน่าจะเคยได้ยินมาบ้างแต่ไม่ได้ใส่ใจ  บางทีเฉินเสียอาจช่วยเขาได้  เมื่อนึกถึงคนผู้นี้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกชิงชังรังเกียจกว่าเดิม  ขุนนางนั่นถึงกับใช้วิธีต่ำช้ากับพระมาตุลาผู้นั้นได้  ความเห็นแก่ตัว  ใจดำอำมหิต  ไร้ศักดิ์ศรีพอๆกับโง่เขลาเบาปัญญา ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกสะอิดสะเอียนนัก  ลอบสาบานกับตัวเองว่าจะต้องจัดการตอบแทนขุนนางขี้ประจบคนนี้อย่าง ‘เหมาะสม’ ยิ่ง!
---------------------
   หลังจากฟังคำบอกกล่าวของเฉินเสียบวกกับประวัติโดยละเอียดจากสายข่าวที่แทรกซึมอยู่ในแคว้นเหลียนมานาน  พบว่าพระมาตุลาผู้นี้ไม่เพียงมีเชื้อสายสูงส่งยิ่ง  ยังเคยมีอำนาจในมือไม่น้อย  พระมาตุลาแคว้นเหลียนเกิดปีเดียวกับเขา  มิหนำซ้ำยังแก่เดือนกว่า 5 เดือน  ปีนี้อีกฝ่ายสมควรอายุ 31 ปี  แต่งงานตอนอายุ19  มีชายานามว่าเหวินจี เป็นบุตรสาวผู้เรียบร้อยของขุนนางเก่าแก่ผู้หนึ่ง  แต่อยู่ด้วยกันเพียงสองปีเศษ  หลังคลอดบุตรชายนางก็สุขภาพทรุดโทรมลงจนเสียชีวิต  หลังจากนั้นเหลียนอันสุ่ยก็ไม่ได้แต่งงานใหม่  เพียงใช้ชีวิตเงียบสงบเลี้ยงดูบุตรชายคนเดียว  สิ่งนี้นอกจากสะท้อนการไม่ต้องการพัวพันกับขั้วอำนาจ  ยังแสดงความซื่อสัตย์มั่นคงต่อชายาที่จากไป  ขนาดอวี้เฉียนที่ขวัญกล้าบังอาจยังไม่กล้าทำลายมัน

   ฉีเซี่ยงหยวนเคาะนิ้วกับขาเก้าอี้อย่างครุ่นคิด  รู้สึกผิดหรือไม่  ก็รู้สึกอยู่  แต่กลับพบว่าตัวเองไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป  เหลียนจิ้งเต๋อ...เด็กชายคนนั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรนะ
---------------------
   เสียงหัวเราะที่ดังแว่วมาทำให้พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนมีรอยยิ้มจางๆ  แต่ดวงตาอ่อนโยนกลับมีแววหม่นหมองละอายใจเคลือบแฝง  ความผิดบาปถูกกลบฝังอย่างมิดชิดในส่วนลึกของจิตใจ  บอกกับตัวเองว่าคนผู้นั้นได้ทุกสิ่งที่ต้องการไปแล้ว ทุกประการนับว่าจบสิ้นลง

เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา  นำหน้าเป็นเด็กชายวัยสิบขวบที่มีความสุขที่สุดในโลก เพราะโลกของเขายังปราศจากสิ่งโสมมใดๆ

   “ท่านพ่อ  จิ้งเอ๋อไปเรียนฟันดาบมา  วันนี้หลี่ป้าผู้น่าชังนับว่าแพ้ลูกไปสามดาบ”
   “หลี่ป้าผู้น่าสงสารผู้นั้นแค่ชมชอบหาเรื่องเจ้า  กลับถูกฟันไปสามดาบ  นับว่าขาดทุนจนย่อยยับจริงๆ”
เหลียนจิ้งเต๋อได้ยินก็หัวเราะ  กล่าวว่า
   “ท่านพ่อกล่าวหาลูกหนักจริง  ผู้ใดฟันเขาไปสามดาบ  เขาแค่ถูกลูกเอาดาบจ่อคอไปสามครั้งเท่านั้นเอง”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆ
   “รู้สึกฝีมือเจ้าจะก้าวหน้าไปมากทีเดียว  พ่อชักจะอยากเห็น...”
   “ลูกไม่กล้าท้าสู้กับท่านพ่อหรอก  แต่ความก้าวหน้านี้ต้องยกให้เป็นฝีมือท่านพ่อบุญธรรม”  คนฟังขมวดคิ้วถามว่า
“ท่านพ่อบุญธรรม ? ” เหลียนจิ้งเต๋อพยักเพยิดไปด้านหลัง  เมื่อเหลียนอันสุ่ยมองตามไป  รอยยิ้มบนหน้าพลันแข็งค้าง  คนผู้นี้  เหตุใดมาปรากฏตัวที่นี่!
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนมองภาพอันสนิทสนมของพ่อลูกด้วยสีหน้าแปลกใจ  ปรกติแล้วพวกเชื้อพระวงศ์มักเติบโตขึ้นมาอย่างเย็นชา  ความสัมพันธ์อันควรใกล้ชิดก็มีความห่างเหินมาแบ่งคั่นไว้  ภาพตรงหน้ากลับเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง  คล้ายทำมาเป็นร้อยๆพันๆครั้งจนเคยชิน

พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนดูต่างออกไปเมื่อไม่ได้สวมชุดว่าราชการ  ตัวตนของเขากระจ่างชัดผ่อนคลาย  ในเก๋งอันเงียบสงบครอบคลุมด้วยกลิ่นอายอบอุ่นอ่อนโยน  ใบหน้ามีรอยยิ้มที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยเห็นมาก่อน  รอยยิ้มจางๆที่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงมืออันเมตตาค่อยๆไล้รอยยับย่นในจิตใจให้ราบเรียบดังเดิม  ดวงตามองเด็กชายตัวน้อยอย่างรักใคร่เอ็นดู  ความเจ็บปวดเมื่อหลายวันก่อนคล้ายถูกมือน้อยๆคู่นี้ลบทิ้งไปแล้ว  เมื่อเห็นฉีเซี่ยงหยวนใบหน้าที่ผ่อนคลายเปลี่ยนเป็นนิ่งขึงไปทันที  ดวงตามีแววประหวั่นพรั่นพรึง

“ท่านอ๋องน้อย” เสียงมีแววไม่อยากจะเชื่อลอดออกมา
“รับบุตรบุญธรรมโดยพลการเช่นนี้  พระมาตุลาคงไม่ถือสากระมัง”
“ท่านพ่อ  ท่านอาคนนี้เก่งมา  อาจารย์ดาบหวังยังพ่ายแพ้อย่างหมดท่า” เหลียนจิ้งเต๋อรีบโฆษณาสรรพคุณของพ่อบุญธรรมผู้นี้
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าเขาเป็นใคร” น้ำเสียงอ่อนโยนอยู่เสมอแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด  เหลียนจิ้งเต๋อตกใจ  ท่านพ่อจะใช้น้ำเสียงเช่นนี้แค่เวลาที่เขาทำผิดร้ายแรงเท่านั้น
ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวแทรกขึ้น
“เขาย่อมทราบว่าข้าเป็นใคร  เพียงแต่ถ้าท่านจะตำหนิ  คนที่ควรโดนตำหนิสมควรเป็นข้ามากกว่า ข้าเป็นคนอยากให้เขามาเป็นบุตรบุญธรรมเอง” 
เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก  หันไปกล่าวกับหญิงรับใช้ข้างกายว่า
“อิ๋งฮวา  เยี่ยนจื่อ  ต่อไปเป็นคาบเรียนประวัติศาสตร์  พวกเจ้าพาคุณชายน้อยไปได้แล้ว”  ความหมายคือเขาต้องการพูดกับคนผู้นี้ตามลำพัง 
ก่อนเหลียนจิ้งเต๋อจะถูกพาตัวไปหันหน้ามากล่าววาจาว่า
“ท่านพ่อ  ลูกรับปากโดยไม่ได้บอกท่านพ่อก่อนนับว่าผิดพลาดไปแล้ว  เย็นนี้ลูกจะ...”
“เจ้าไม่ได้ทำผิด  เพราะฉะนั้นเย็นนี้ไม่ต้องคุกเข่าขอโทษด้วย  ไปเรียนเถอะ” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยกลับมาเป็นเช่นเดิม  มุมปากมีรอยยิ้มฝืนๆ
บุคคลทั้งสามจากไปแล้ว  เก๋งโบราณกลับมาเงียบสงบเช่นเดิม
“ท่าน...ทำเช่นนี้ทำไม”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบ  พิจารณาดูอีกฝ่ายเต็มตา  แล้วกล่าวว่า
“ชุดชาวเหลียนเหมาะกับท่านอย่างยิ่ง” แสงยามบ่ายส่องกระทบชายเสื้อจนพร่าพราย  ชุดเรียบง่ายที่ตัดเย็บด้วยฝีมืออันประณีตสะท้อนตัวตนผู้สวม  ดั่งหยกขาวอันเย็นตา  แม้ไม่โดดเด่นเจิดจ้า  แต่ก็มีความงามที่ลึกซึ้งละมุนละไม
“ท่านอ๋องน้อย  ท่านต้องการอะไรกันแน่”
“ข้าทำให้ท่านมีโทสะแล้ว”
“ข้าไม่ได้มีโทสะ  เพียงแค่ไม่เข้าใจ”
“นั่นสินะ  ท่านดูคล้ายเป็นคนที่ไม่เคยมีโทสะมาก่อนเลย” พูดพลางหัวเราะแผ่วเบา  ฉีเซี่ยงหยวนพบว่าตัวเองชมชอบพูดคุยกับพระมาตุลาผู้นี้  เขาเป็นคนในลักษณะที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยพบมาก่อน 

ตัวตนของเขา  ความงามของเขา  คล้ายสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง  ในโลกไม่มีใครไม่เคยเจ็บแค้น  ไม่มีใครไม่เห็นแก่ตัว  แต่คนผู้นี้คล้ายกับไม่เคยมีความพยาบาทอาฆาต  รูปลักษณ์ของเขาทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกถึงความผิดบาปที่ไม่ได้รู้สึกมานาน  เหมือนสายน้ำที่หล่อเลี้ยงจิตใจคนจนชุ่มชื้น  ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ต้องการไปทำให้แปดเปื้อนสกปรก  น่าเสียดาย...เพราะเคยดื่มกินจึงไม่อาจระงับความกระหาย  หากนี่เป็นครั้งแรกที่พบกัน  เรื่องก่อนหน้านี้คงไม่เกิดขึ้น

ฉีเซี่ยงหยวนมองธรรมชาติรอบตัวพลางตอบคำ
“เขาเป็นเด็กที่ใครเห็นใครก็ชอบ”
เหลียนอันสุ่ยไม่เชื่อเหตุผลสวยงามของอีกฝ่าย  กล่าวว่า
“อ๋องน้อยเช่นท่านจะรับบุตรบุญธรรมไปทำไมกัน”
“เพราะข้าจะพาเขาไปด้วย  แต่ไม่ต้องการให้ไปในฐานะเชลย” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  แต่คนฟังตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
“ท่าน!”
ได้ยินฉีเซี่ยงหยวนกล่าวช้าๆว่า
“เพราะข้าต้องการให้ท่านไปด้วย”  ความนิ่งเงียบเนิ่นนานครอบคลุมลงมา
“ท่านต้องไม่ยุ่งกับเขา” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยเคร่งเครียดจริงจัง
“ข้าไม่ทำอะไรเขาแน่  ท่านก็รู้ดี  ข้าแค่ไม่ต้องการให้ท่านพะวักพะวนขณะอยู่ที่เป่ยชางเท่านั้น” คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนแผ่วเบา 

เหลียนอันสุ่ยรู้สึกถึงมือแข็งแรงเลื่อนมาโอบเอวจากด้านหลัง  ใบหน้าอีกฝ่ายก้มชิดลงมา  ริมฝีปากสัมผัสซอกคอแผ่วเบา  พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนนิ่งงันไป  แต่ไม่ได้ขัดขืนปฏิเสธ  ดวงตาหลับลงด้วยความสิ้นหวัง  เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร  เด็กคนนั้นนับเป็นหลักประกันที่ดีที่สุด เมื่อมีเด็กคนนั้น  ต่อให้อยากฆ่าตัวตาย เขายังทำไม่ได้!

“เหลียนจิ้งเต๋อต้องไม่รู้เรื่องนี้” น้ำเสียงแผ่วเจือความอ่อนล้าแต่ก็ยังมั่นคงชัดเจน
“เขาจะไม่รู้เรื่องนี้” ฉีเซี่ยงหยวนรับคำ  ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดี  ฉีเซี่ยงหยวนไม่จำเป็นต้องทำร้ายเหลียนจิ้งเต๋อ เพราะเพียงแค่เปิดโปงเรื่องนี้  ผลของมันก็สาหัสมากแล้ว  เหลียนอันสุ่ยนับว่าไม่มีทางจะดิ้นหลุดจากพันธนาการอันนี้ไปได้เลย..
---------------------
ในตำหนักรับรองแขกบ้านแขกเมืองของแคว้นเหลียน  ฉีเซี่ยงหยวนนั่งนิ่งอย่างครุ่นคิด  ขณะฟังเหล่าขุนนางถกเถียงกันไปมาเรื่องการจัดการกับทรัพย์สินที่ยึดได้ 

ความจริงต่อให้ฉีเซี่ยงหยวนจัดการย้ายตัวเองเข้าตำหนักอ๋อง  เหลียนอ๋องก็ไม่อาจโต้แย้งใดๆ  แต่นั่นเป็นการหักหน้าแคว้นเหลียนเกินไป  ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดกระทำเรื่องที่จะก่อให้เกิดการกระด้างกระเดื่องโดยไม่จำเป็นเช่นนั้น 
เมื่อหลายคืนก่อนตอนบุกยึดวังหลวงโดยไม่ให้ตั้งตัว  การยอมแพ้ก็เป็นไปอย่างละมุนละม่อมที่สุด  เนื่องจากองครักษ์ยังไม่ทันป้องกัน ทหารของเป่ยชางก็บุกถึงตำหนักอ๋องแล้ว  เหลียนอ๋องอายุเยาว์ออกมาขอยอมแพ้ด้วยตัวเอง  หลังจากนั้นฉีเซี่ยงหยวนจะทำอะไรก็ให้คนไปขอความเห็นชอบจากเขาก่อนเป็นการไว้หน้าเหลียนอ๋องสามส่วน  ส่วนตัวเองตอบรับคำเชื้อเชิญเข้าพักในตำหนักรับรองที่หรูหราที่สุดของแคว้นเหลียน

ความจริงสำหรับเหลียนอ๋อง  ฉีเซี่ยงหยวนนับว่าช่วยกำจัดอวี้เฉียนซึ่งแย่งชิงอำนาจในการปกครองไป  หลังจากนั้นจะทำอะไรก็มีการขอความเห็นชอบมาตลอด  ทำให้เหลียนอ๋องรู้สึกว่าตัวเองมีบทบาทมากขึ้น จึงไม่ได้มีท่าทีเป็นศัตรู  การประนีประนอมในขั้นแรกฉีเซี่ยงหยวนนับว่าทำสำเร็จอย่างงดงามโดยแทบไม่ต้องลงแรงทำอะไร  แผนการขั้นต่อไปย่อมต้องเป็นการจัดสรรผลประโยชน์ระหว่างเป่ยชางกับแคว้นเหลียนให้ลงตัว 

งานฝีมือของแคว้นเหลียนเป็นที่เลื่องลือ  แจกัน  เครื่องปั้น ไม่ว่าของแคว้นใดก็มีราคาไม่เท่าของที่มาจากแคว้นเหลียน  ที่สำคัญคือการเกษตร  แคว้นเหลียนอยู่ในภูมิประเทศที่พอเหมาะให้ผลผลิตจำนวนมากทุกปี  ปัญหาเรื่องการสูญเสียเสบียงระหว่างทำศึกของเป่ยชางถูกแก้ไขในทันที  ฉีเซี่ยงหยวนยังวางแผนจะนำเกลือจากเป่ยชางมาขายต่อที่แคว้นเหลียน  เพราะเทียบกับแคว้นเป่ยชาง  แคว้นเหลียนห่างไกลทะเลกว่ามาก  การขนส่งแต่ก่อนต้องอ้อมแคว้นเป่ยชางที่เก็บภาษีผ่านด่านสูง หากราคาก็ยังสูงลิ่วอยู่ดี  ถ้าหลังจากนี้แคว้นเหลียนพึ่งพาแคว้นเป่ยชาง  แคว้นเป่ยชางจะได้ผลประโยชน์มหาศาล  แคว้นเหลียนเองก็จะได้เกลือเร็วขึ้นในราคาถูกลงอีกเล็กน้อย
 
แต่ที่ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆเริ่มขมวดคิ้วเป็นเพราะว่าขุนนางทั้งหลายที่ถูกส่งมาทันทีหลังทราบข่าวแพ้ชนะ เริ่มถกเถียงไม่ลงตัวเรื่องเงินในท้องพระคลังของแคว้นเหลียน  บางส่วนเห็นว่าควรรวบเป็นของเป่ยชางแล้วให้เบิกจ่ายเป็นรายปี  แต่บางส่วนเห็นว่าควรเหลือไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อให้แคว้นเหลียนบริหารงบประมาณเอง  เรื่องสำคัญที่สุดคือระบุคนที่จะมาดูแลในส่วนนี้ไม่ได้  คำว่าผลประโยชน์ยิ่งมากยิ่งยากตกลงนับว่าเป็นจริงโดยไม่ผิดเพี้ยน  ขุนนางทั้งหลายแม้ปากจะถกเถียงกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว  แต่ละคนยังคงคอยชำเลืองมองฉีเซี่ยงหยวนเป็นระยะๆ  ไม่ว่าใครก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจหากเขายังไม่เห็นชอบด้วย

“พระบิดาทรงมีพระดำริเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร” นี่คือคำถามแรกที่หลุดจากปากของฉีเซี่ยงหยวน  ขุนนางใหญ่ต้วนจื้อผิงรีบกล่าวว่า
“ต้าอ๋องบอกว่าเรื่องทั้งหมดแล้วแต่ท่านอ๋องน้อย”
“ดี...งั้นข้าขอถามอย่างหนึ่ง  การวางระบบปกครองนับเป็นเรื่องใหญ่  ทั้งที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ  เหตุใดพวกท่านต้องรีบร้อนแต่งตั้งคนขึ้นมาประจำการ ? ” คำถามนี้ทำให้ที่ประชุมที่ยุ่งเหยิงเมื่อครู่เงียบเสียงลงทันใด  ฉีเซี่ยงหยวนหันไปถามจางจื่อหยู
“ใต้เท้าจาง  ข้าเคยมอบหมายให้ท่านศึกษาเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจของแคว้นเหลียน  ท่านมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร”
จางจื่อหยูตอบอย่างระมัดระวังว่า
“เรื่องนี้คาดว่ามีคนรู้ดีกว่าข้า”
“ผู้ใด ? ” ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้วถาม
   “เสนาบดีกรมคลังของแคว้นเหลียน”
   “ถ้าเช่นนั้นการหารือจบลงเพียงเท่านี้  พรุ่งนี้เชิญเสนาบดีกรมคลังของแคว้นเหลียนมาพบข้า”  ฉีเซี่ยงหยวนพูดจบก็ลุกขึ้น  แต่มีคนทักท้วงอย่างไม่พอใจว่า
   “ทำไมท่านต้องไว้หน้าแคว้นเหลียนขนาดนี้ด้วย” 
   ฉีเซี่ยงหยวนหยุดเดิน  หันมาจ้องหน้าคนขุนนางใจกล้าผู้นั้นนิ่ง
   “ที่ข้าเชิญเขามาพบไม่ใช่ต้องการให้เขาช่วยตัดสินใจ  เพียงแต่ข้าต้องการทำความเข้าใจกับสภาพแคว้นเหลียนมากกว่านี้แล้วค่อยตัดสินใจ”  ความหมายของฉีเซี่ยงหยวนคือ เขาไม่ต้องการการตัดสินใจที่จะเกิดความผิดพลาดภายหลัง  สายตาคมวาวจัดคนที่คิดเอ่ยปากแย้งล้วนปิดปากลงจนหมดสิ้น
   เมื่อพ้นจากโถงห้องฉีเซี่ยงหยวนก็สาวเท้าก้าวยาวๆคล้ายต้องการหนีจากบรรยากาศเมื่อครู่โดยเร็ว
   “ท่านไว้หน้าพวกเขา” สายตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนหันไปมอง  เป็นจางจื่อหยูที่ก้าวยาวๆมาจนทันพลางกล่าวต่อว่า “มีขุนนางพวกนั้นบางคนยังไม่เข้าใจว่าท่านไว้หน้าพวกเขาต่างหาก”
   ฉีเซี่ยงหยวนหยุดเดินแล้วกล่าวว่า
   “ใช่แล้ว เพราะใจจริงข้าอยากจะถามว่าใครจะไปรู้เรื่องของแคว้นเหลียนดีกว่าขุนนางของแคว้นเหลียนเอง”  นี่เป็นความจริงที่ถ้ากล่าวออกไปแล้วพวกขุนนางใหญ่ของแคว้นเป่ยชางต้องรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ 

   เนื่องจากบรรดาใต้เท้าทั้งหลายหลังจากเท้าเหยียบแผ่นดินแคว้นเหลียนก็จัดแจงหารือกันเอง  แน่นอนว่ามีการซักถามทำความรู้จักกับขุนนางชาวเหลียนบ้าง  แต่ส่วนใหญ่มักทำเป็นการส่วนตัว  จุดประสงค์ก็คือเพื่อหาข้อมูลให้มากที่สุดสำหรับหาช่องทางในการกอบโกย  ส่วนการหารืออย่างเป็นทางการล้วนเป็นไปโดยกีดกันไม่ให้ขุนนางแคว้นเหลียนเข้าร่วมด้วยถือว่าตนเหนือกว่า  และนี่ก็เป็นสิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่พอใจต้องการชี้ให้พวกเขาเห็น

   “ที่แท้ท่านมีโทสะ”
   “ข้าแค่หงุดหงิด  ดูเหมือนพวกเขาจะไม่เคยจำกันได้เลย  ทุกครั้งที่เป่ยชางยึดเขตปกครองใหม่ได้  ข้าก็ต้องเริ่มอธิบายเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก  ทั้งๆที่จำได้ว่าเคยอธิบายไปหลายครั้งเต็มทีแล้ว”
   “…รอบนี้มีขุนนางใหม่ไม่น้อย…” จางจื่อหยูพยายามเบี่ยงประเด็น
   ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวสวนเสียงเย็นชา
   “เจ้าก็รู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยากไม่ใช่ขุนนางใหม่  แต่เป็นพวกที่จวนจะลงโลงอยู่แล้วแต่ยังไม่เลิกโลภกันอีก” 
   คนฟังสำลัก แทบไม่อยากคิดว่าถ้าบุคคลที่ถูกเอ่ยถึงมาได้ยินเข้าจะทำหน้ากันยังไง  มีเพียงไม่กี่คนที่เคยรับทราบความสามารถด้านนี้ของโอรสองค์ที่สี่ของเป่ยชางอ๋องมา  ถ้อยคำธรรมดา น้ำเสียงราบเรียบ  บุคลิกยังสุขุมเยือกเย็น  แต่กลับสร้างความเจ็บแสบต่อคนฟังอย่างยิ่ง
   “แคว้นเหลียนค่อนข้างใหญ่  ทรัพยากรก็เยอะ  ขุนนางใหญ่ที่ปรกติประจำอยู่ที่แคว้นย่อมถูกส่งมามากเป็นธรรมดา” 
   ฉีเซี่ยงหยวนตัดบทว่า
   “นอกจากตัวเสนาบดีข้ายังต้องการคนในกรมคลังของแคว้นเหลียนอีกสองคน  เจ้าเชิญพวกเขามาด้วย  แต่ไม่ต้องเชิญมาพร้อมกัน เพราะข้าจะถามทีละคน” พูดจบก็หันกายจากไป 
   จางจื่อหยูมองตามเงาหลังอีกฝ่าย  เขาติดตามฉีเซี่ยงหยวนมานาน  มีแต่เขาที่รู้ว่าขุนนางพวกนั้นโชคดีแค่ไหนที่ฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนไตร่ตรองก่อนพูดเสมอ
---------------------
   ฉีเซี่ยงหยวนต้องการข้อมูลอย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจ  ดังนั้นนอกจากคนของกรมคลังแล้วเขายังนัดพบปะกับขุนนางคนอื่นของแคว้นเหลียน  ขุนนางหลายคนไม่พอใจที่ฉีเซี่ยงหยวนไว้หน้าแคว้นเหลียนจนเกินไป  ขุนนางพวกนั้นต่างหากที่ความคิดตื้นเขินเกินไป  ทำให้ชาวเหลียนเกลียดชังชาวเป่ยชางมีอะไรดี  บางคนเห็นว่าจำเป็นต้องวางอำนาจว่าใครเหนือกว่า  จะต้องทำไปทำไมในเมื่ออำนาจทางการทหารอยู่ในกำมือของแคว้นเป่ยชางหมดแล้ว 

   ในความเป็นจริงต่อให้แคว้นเหลียนวางแผนจะต่อต้าน  เอาแบบร้ายแรงที่สุด  โดยระดมพลจากนอกเมือง  มีคนในเมืองคอยประสานงาน  ยังไม่ทันจะยกทัพเข้าเขตเมืองหลวงก็ต้องถูกกองทัพที่ฉีเซี่ยงหยวนวางไว้รอบนอกเพื่อจับตามองล้อมกักจนไม่มีปัญญาทำอะไร  และถ้ามีจริงก็จะยิ่งเป็นประโยชน์กับเป่ยชางเพราะการกระด้างกระเดื่องเป็นข้ออ้างที่ดียิ่งในการรีดไถทรัพยากรจากแคว้นเหลียน

   ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยคิดจะล่วงเกินใครโดยไม่จำเป็น เพราะนั่นเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดอย่างยิ่ง  แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่กล้า  และถ้าเขาจะลงมือจะมิใช่การเล่นงานเล็กๆน้อยๆ  แต่จะเป็นการขุดรากถอนโคน  ซึ่งตอนนี้เขายังไม่มีความคิดจะทำมื่อแบบนั้นกับใคร  ทั้งขุนนางของแคว้นเหลียนและขุนนางของบิดาตัวเอง อ้อ  อาจจะยกเว้นเฉินเสียไว้คนหนึ่ง

   จากนั้นในหัวของฉีเซี่ยงหยวนก็ปรากฏภาพของเหลียนอันสุ่ย  ไม่รู้ป่านนี้พระมาตุลาคนนั้นกำลังทำอะไร 

===============
กำลังพยายามจัดหน้า  แต่ก็พบว่ายากจัง  :sad4:
ทุกอย่างที่จัดเสร็จแล้วในwordถูกล้างหายไปหมดเมื่อpaste
ถ้าอ่านยากก็บอกกันน้าาาา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2014 20:08:48 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ maru

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-7
ชอบเหลียนอันสุ่ยแล้วใช่ไหม

ออฟไลน์ Aly-Q

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
ชอบค่ะ มาต่อไวๆนะคะ :mc4:

ตามตอนต่อไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 2
« ตอบ #9 เมื่อ: 06-07-2014 14:53:02 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ duaenmaysa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 2
«ตอบ #10 เมื่อ06-07-2014 15:48:04 »

กรี้ดดดดดด ><  เข้ามากรี้ดดังๆให้เรื่องนี้
ตอนแรกเรานึกว่าตาฝาดแต่เอาไปเอามาเฮ้ย คนเขียนมาลงที่นี่จริงๆด้วย me/ปลาบปลื้มขั้นสุด :heaven
พันธนาการเป็นเรื่องที่เรารักมากกกกกกกกกกอีกเรื่อง แล้วก็เป็นอีกเรื่องที่เราอ่านซ้ำจะรอบที่สี่ละ
ตอนแรกเราเจอนิยายด้วยความบังเอิญแล้วเกิดไปสะดุดกันเหลียนเอ๋อร์ แบบฮิมคือนายเอกในสเปคที่เราตามหามานาน
คนเขียนเยี่ยมจริงๆค่ะที่ถ่ายทอดนิยายดีๆแบบนี้ออกมาให้ได้อ่าน  o13
ติดตามตอนต่อไปนะคะ อัพเร็วๆด้วยนะ เค้าค้างมากนี่พูดเลย :hao5:
 :กอด1: :L2: :mc4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 2
«ตอบ #11 เมื่อ06-07-2014 16:52:54 »

 o13

ออฟไลน์ BlueHoney

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 2
«ตอบ #12 เมื่อ06-07-2014 19:34:12 »

:impress2: แอบไปอ่านมาบ้างแล้ว สนุกมากมาย แต่ขอรอมาต่อที่นี่แหละค่ะ >< // :3123:

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 3
«ตอบ #13 เมื่อ08-07-2014 20:03:30 »

บทที่ 3 บทสนทนาบนถนนแห่งความสูญเสีย

   เหลียนอันสุ่ยมองผู้คนบางตาที่สัญจรผ่านไปมาบนถนนสายหลักของเมืองหลวงที่เคยคึกคัก  ร้านรวงส่วนใหญ่ยังคงปิดกิจการ  เจ้าของบางรายอพยพไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว  หลบหนีไฟสงครามที่ลามเลีย  หลบหนีความพ่ายแพ้ที่ไม่อาจแก้ไขฟื้นฟู  คนที่ยังอยู่คือคนที่ถูกบางสิ่งตอกตรึงไว้จนไม่อาจหนีพ้น...ดั่งเช่นตัวเขา

รถม้าของพระมาตุลาแคว้นเหลียนจอดหน้าร้านขายเครื่องปั้นร้านหนึ่งซึ่งเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในตรอก  ไม่เพียงใหญ่โตที่สุด  ฝีมือยังยอดเยี่ยมที่สุดด้วย  เพียงแต่ถึงจะเป็นร้านที่ใหญ่โตขนาดนี้ประตูหน้าร้านยังคงปิดสนิทแน่น  บ่าวคนหนึ่งเปิดประตูรถม้าออก  บ่าวอีกคนรีบตรงไปเคาะประตูไม้ที่ปิดสนิทบานนั้น  เคาะอยู่ชั่วครู่ประตูร้านบานใหญ่จึงแง้มออกเป็นช่องแคบๆ ปรากฏสายตาคู่หนึ่งมองลอดออกมา  เมื่อพบว่าผู้มาเป็นใครก็รีบกุลีกุจอเปิดประตูออกจนสุดบาน  ความจริงเหลียนอันสุ่ยแจ้งมาแล้วว่าจะมาเยือน  เพียงแต่ในสถานการณ์ตรึงเครียดไม่ทราบชะตากรรมตัวเองเช่นนี้การระแวดระวังไม่อาจไม่มี

เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองป้ายร้านที่ค่อนข้างเก่า นี่คือร้านเก่าแก่ที่สืบทอดฝีมือมาสี่ชั่วอายุคน  ปรกติป้ายร้านแม้เก่าแต่ไม่เคยมีฝุ่นจับ  ขณะนี้กลับมีฝุ่นเป็นชั้นหนาแสดงว่าไม่ได้ผ่านการเช็ดถูมาเป็นเวลานาน  เหลียนอันสุ่ยได้แต่หวังว่าหลังเรื่องราวทั้งหมดผ่านพ้นไปร้านนี้จะสามารถกลับมารุ่งเรืองดังเดิม 

ลึกเข้าไปด้านใน  เหล่าแจกันเครื่องปั้นที่เคยอวดโฉมอย่างเฉิดฉายกลับถูกห่อคลุมด้วยผ้าแถบใหญ่วางกองสุมไว้บนพื้น  หากวันวานเปรียบเสมือนนายท่านผู้ยิ่งใหญ่  วันนี้กลับกลายสภาพเป็นยาจกยากเข็ญ เช่นเดียวกับเหล่าผู้คนทั้งหลายในตรอกน้อย  ไม่ว่าจะทรัพย์หนาเพียงใดก็ไม่มีทางไม่ได้ผลกระทบจากสงคราม  ช่วงนี้คือช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดที่ต้องพยายามข้ามผ่านไปให้ได้  เพื่อรอคอยการมาถึงของนโยบายฟื้นฟูบ้านเมืองหลังสงคราม

วันนี้เหลียนอันสุ่ยมารับแจกันตั้งพื้นคู่หนึ่งซึ่งเคยสั่งทำไว้เมื่อห้าเดือนที่แล้วสำหรับเป็นของขวัญให้ใต้เท้าใหญ่กรมตรวจการในวันเกิดครบห้าสิบปี  ของชิ้นนี้จัดทำขึ้นเป็นพิเศษต้องใช้ฝีมือประณีตเป็นอย่างมาก  น่าเสียดายที่แจกันเสร็จแล้วแต่ใต้เท้าใหญ่กรมตรวจการคงไม่มีอารมณ์จัดงานเลี้ยง  เพียงแต่ในเมื่อสั่งทำไว้ก็ควรจะมารับ 

ตั้งแต่ข่าวสงครามมาเยือน  ราคาอาหารก็ถีบตัวขึ้นสูง  ทุกเมืองต่างพยายามกักตุนเสบียงเตรียมเผชิญกับสงครามที่คาดว่าจะยาวนาน  สุดท้ายเสบียงเหล่านั้นถูกขนถ่ายไปจุนเจือกองทัพเป่ยชางเสียกว่าครึ่ง  แม้ในเมืองจะไม่ถึงกับขาดแคลนอาหาร  แต่กลับถูกพ่อค้าหน้าเลือดยืนกรานไม่ยินยอมลดราคาลงอย่างเด็ดขาด  สำหรับผู้คนที่เงินทองร่อยหรอราคาดังกล่าวจึงถือว่าสูงลิบ 
สาเหตุที่ผู้คนไม่มีเงินทองเป็นเพราะกิจการทั้งหลายหยุดลงจนหมดสิ้น  แรงงานแปรสภาพกลายเป็นกองทัพ  ไม่มีคนหาเงินเข้าบ้าน  และไม่มีงานให้ทำ  นี่คือสิ่งที่สงครามเป็นอยู่เสมอ...

โยกย้ายถ่ายอำนาจกลุ่มคนเบื้องบน  บดขยี้เหยียบย่ำกลุ่มคนเบื้องล่าง

ร้านเก่าแก่แห่งนี้เลี้ยงช่างฝีมือชราเอาไว้นับสิบ  เป็นช่างฝีมือที่ไม่มีที่ใดเทียบได้  บางคนอยู่กับงานปั้นมาตั้งแต่เด็กจนแก่ ไม่มีความสามารถไปทำงานอย่างอื่น  แต่สภาพของสงครามทำให้ไม่มีงานเข้ามาและคงจะไม่มีไปอีกนาน  เหลียนอันสุ่ยเพียงหวังว่าค่าของแจกันสองใบนี้จะช่วยให้บุคคลที่ทรงคุณค่าเหล่านั้นสามารถข้ามพ้นช่วงเวลาลำบากขัดสนถ่ายทอดภูมิปัญญาอันลึกล้ำสืบต่อไป 

รถม้าแล่นช้าๆออกจากตรอกเล็กกลับเข้าสู่ถนนสายหลัก  เห็นทหารชาวเป่ยชางเดินอยู่ประปราย บางครั้งก็เข้ามาขอตรวจค้นรถม้า  บางคราวก็เข้าไปตรวจค้นร้านรวง  ตามหาร่องรอยของแม่ทัพใต้บัญชาของอวี้เฉียนที่ยังลอยนวลอยู่  เสียงด่าทอดังมาจากทางหนึ่ง  เมื่อร้านตีเหล็กตรงหัวมุมถนนไม่ยินยอมให้ตรวจค้นก่นด่าคนสาดเสียเทเสียล่วงเกินไปถึงเป่ยชางอ๋องที่แคว้นเป่ยชาง  ทหารชาวเป่ยชางผลักอีกฝ่ายให้คุกเข่าลงกับพื้น  เจ้าของร้านตีเหล็กและเหล่าลูกมือยังคงไม่ยินยอม  แต่กลับถูกทหารชาวเป่ยชางที่ตัวใหญ่กว่ามากกดให้คุกเข่าลงจนได้  ทหารอีกคนศีรษะกดที่เชิดผยองเหล่านั้นให้โขกหัวคำนับนับสิบครั้ง ทีละคน  ทีละคน 

เหลียนอันสุ่ยเบือนหน้าหนี  ไม่อาจทนดูต่อไป  ทราบว่าตัวเองไม่อาจแก้ไขคลี่คลาย  คำสั่งห้ามมีอาวุธในครอบครองสั่งลงมาอย่างชัดเจน  ร้านตีเหล็กจำเป็นต้องส่งมอบดาบทุกเล่มที่หลงเหลือในร้านออกไป  โชคดีเท่าไหร่แล้วที่ทหารเป่ยชางถือวินัยเคร่งครัด กองทัพไม่อนุญาตให้ทำร้ายชาวบ้าน  ไม่เช่นนั้นอาศัยคำพูดหยาบคายจาบจ้วงเหล่านั้น  สิ่งที่ช่างตีเหล็กต้องชดใช้คงเป็นชีวิต  ดาบใหญ่ในฝักห้อยอยู่ข้างเอว  เพียงนิดเดียว  ถ้าทหารชาวเป่ยชางขยับมือเพียงนิดเดียว  ไม่แขนก็หัวคงถูกตัดลงมาแล้ว  ฝีมือเหล่านั้นเหลียนอันสุ่ยเห็นมากับตาตัวเองว่ามันง่ายดายแค่ไหน  ง่ายดายจนรู้สึกว่าชีวิตช่างไม่มีค่าอะไรเลย

หลายอาทิตย์ก่อนหน้านี้เหลียนอันสุ่ยไปช่วยปฐมพยาบาลในค่ายทหาร  คนบาดเจ็บมีมากเหลือเกิน  คนตายมีมากยิ่งกว่า  กลิ่นเลือดในเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดกับความสับสนอลหม่านเปลี่ยนสถานที่พักรักษาคนจนกลายเป็นขุมนรกอเวจี  คิดไม่ถึงเสียสละเลือดเนื้อไปมากมายถึงเพียงนั้นสุดท้ายยังคงกลายเป็นคำว่า ‘พ่ายแพ้’ 

เหลียนอันสุ่ยมองเหลาด้านซ้ายมือซึ่งเป็นไม่กี่กิจการที่ยังเปิดอยู่  พลางสั่งให้หยุดรถ  คิดจะเข้าไปดูสภาพภายในเหลาซึ่งเคยได้ชื่อว่าคึกคักขายดีที่สุดเพื่อใช้ประเมินสภาพของเมืองหลวงในขณะนี้  แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูสีหน้าพลันขาวซีดลง  ในร้านมีทหารเป่ยชางอยู่จำนวนมาก  ที่สำคัญคือทหารเหล่านั้นคล้ายกำลังทำหน้าที่เฝ้าอารักขาให้กับคนที่ใหญ่โตยิ่งกว่าซึ่งอยู่ชั้นบน 
เหลียนอันสุ่ยพยายามปลอบใจตัวเองว่าเรื่องราวคงไม่บังเอิญถึงเพียงนั้น  แต่ก็ตัดสินใจว่าจะไม่แวะเข้าไป  ขณะกำลังจะชักเท้ากลับกลับถูกทหารชาวเป่ยชางนายหนึ่งขวางเอาไว้  พลางรายงานอย่างนอบน้อม

“ท่านอ๋องน้อยให้มาเรียนถามพระมาตุลาว่า ในเมื่อมาถึงแล้ว  เหตุใดจึงไม่เข้ามา”
พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนได้ยินแล้วถึงกับรู้สึกหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน
“ข้านึกได้ว่ามีธุระจำเป็นต้องรีบกลับ  ฝากท่าน...ไปรายงานท่านอ๋องน้อยด้วย”
“ธุระยิ่งใหญ่มากหรือ  ให้ข้าช่วยสะสางให้เป็นอย่างไร” เสียงทุ้มดังลอยมาจากชั้นบน
เหลียนอันสุ่ยได้แต่เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก  พบร่างสูงใหญ่ขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางนั่งอยู่บนชั้นสองพิงราวระเบียง จับจ้องมองลงมา 
“...ธุระเล็กน้อยไม่จำเป็นต้องรบกวนถึงท่านอ๋องน้อย”
“ในเมื่อธุระเล็กน้อยก็ขึ้นมา” คำพูดนี้ตัดทางหนีทีไล่ของเหลียนอันสุ่ยไปจนหมดสิ้น
---------------------
   “ท่านมิใช่…กำลังยุ่งอยู่หรอกหรือ” คนผู้นี้เหตุใดจึงมาที่นี่ เวลานี้ได้!
   “ก็ยุ่ง  แต่…ตอนนี้นับว่าขี้เกียจไปยุ่งชั่วคราว  ...ทำไมท่านไม่นั่ง? ” ประโยคสุดท้ายฉีเซี่ยงหยวนถามยิ้มๆ 
เหลียนอันสุ่ยได้แต่นั่งลงไป  ความรู้สึกส่วนใหญ่ยังคงเป็นความกดดัน  หัวเราะฝืนๆกล่าวว่า
   “หากท่านคิดจะหยุดงาน คงมีหลายคนต้องปวดหัวแน่” ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือข้า
   “นั่นสินะ” แต่รอยยิ้มเฉื่อยชาที่มุมปากไม่มีท่าทีจะใส่ใจ  สายตาเฉียบคมมองอีกฝ่ายอยู่เป็นนาน นานจนเหลียนอันสุ่ยรู้สึกอึดอัดขึ้นมา  สายตาคู่นั้นจึงค่อยละจากไป  จู่ๆฉีเซี่ยงหยวนก็เอ่ยถามขึ้นลอยๆว่า
   “ท่านว่าข้าควรจะทำอย่างไรกับแคว้นเหลียนดี ?”
คนฟังมีสีหน้างงงัน  จากนั้นดวงตาคู่งามก็หลุบต่ำลง  ถามเช่นนี้เป็นความระแวงหรือต้องการทดสอบข้า ?
   “กับเรื่องนี้ท่านมิใช่มีแผนการอยู่แล้วหรอกหรือ” เลี่ยงการตอบด้วยการย้อนถาม
   “ข้าอยากฟังความเห็นของท่าน” ดูเหมือนฉีเซี่ยงหยวนต้องการจะเอาคำตอบให้ได้
คนฟัง ฟังแล้วนิ่งเงียบไปอึดใจ
   “ท่านก็แค่ใช้วิธีที่ท่านเคยใช้มา…ค่อยๆกลืนแคว้นเหลียนเข้ากับแคว้นเป่ยชางอย่างช้าๆ”
ฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง  สำหรับคนที่มีสายเลือดแคว้นเหลียนอย่างเข้มข้น นั่นควรเป็นหายนะมากกว่าแนวทางปฏิบัติ แต่ดวงตาอีกฝ่ายไม่มีเค้าว่าพูดลอยๆ
   เหลียนอันสุ่ยทอดสายตาออกไปไกล  ใช่แล้ว  ค่อยๆกลืนอย่างช้าๆ ด้วยวัฒนธรรม  ด้วยการค้า  อาศัยความพึ่งพาของแคว้นเหลียนที่มีต่อแคว้นเป่ยชาง ค่อยๆกุมบังเหียนการปกครองเอาไว้ในมือ
   “ท่านต้องการเช่นนั้น ? ” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนมีความคลางแคลงที่ปิดไม่มิด 
เหลียนอันสุ่ยถอนสายตากลับมา กล่าวว่า
   “มันไม่อาจไม่เกิดขึ้น”  ด้วยปัจจัยทุกๆด้าน เรื่องนี้มิใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงได้  แคว้นเหลียนกำลังอยู่ในช่วงเสื่อมถอย  เพราะเคยรุ่งเรืองเกินไป ความเข้มแข็งมั่นคงจึงไม่คงอยู่อีกแล้ว  และแคว้นเป่ยชางก็ไม่มีวันยินยอมปล่อยแคว้นเหลียนไปง่ายๆ  หนทางที่ดีที่สุดคือกลืนเข้ากับพวกเขาซะ  กลืนอย่างละมุนละม่อม  จนสุดท้ายคำว่าสองแคว้นไม่คงอยู่อีกต่อไป  ชาวเหลียนกลายเป็นชาวเป่ยชางอย่างสมบูรณ์  เป่ยชางอ๋องย่อมต้องดูแล ‘ประชาชน’ ของเขา
   “แคว้นเหลียนอาจสามารถปกครองตนเอง โดยอยู่ใต้อาณัติของเป่ยชาง” ฉีเซี่ยงหยวนเสนอ
   “ท่านจะทิ้งหนทางแตกแยกไว้ทำไม  แคว้นเหลียนไม่จำเป็นต้องมีอำนาจทางทหารเป็นของตัวเอง”

ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร  มองเห็นอะไร  ความยิ่งใหญ่ของแคว้นเป่ยชางสุดที่แคว้นเหลียนที่กำลังอ่อนแอจะต่อต้านได้  ต่อให้มีการรวบรวมคน  ทำการปลุกระดม นั่นก็เป็นเพียงสงครามที่ไร้ผลเพราะแคว้นเป่ยชางจะต้องทุ่มเทกำลังคนออกมาจัดการ  ด้วยจำนวนคนที่ต่างกันลิบลับ  สุดท้ายแคว้นเหลียนจะถูกยึดได้อีกครั้งในสภาพที่บอบช้ำกว่าเดิม การปลุกระดมครั้งนั้นจะกลายเป็นขบวนการใต้ดิน  กลายเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งไม่จบสิ้น  ทิ้งร่องรอยแตกแยกเอาไว้ทั้งในจิตใจชาวเหลียนและชาวเป่ยชาง  ที่พระมาตุลาผู้นี้ให้ความสำคัญมิใช่ความเป็นแคว้นเหลียน  แต่เป็นชาวเหลียนต่างหาก   น้อยคนที่จะมีมุมมองเช่นเขา

   จากนั้นฉีเซี่ยงหยวนก็คิดถึงประโยคก่อนหน้า  พึมพำว่า
   “ที่ข้าเคยทำ…ท่านมองได้ทะลุปรุโปร่งยิ่ง”

   ฉีเซี่ยงหยวนไม่ปฏิเสธว่าตัวเองเคยใช้วิธีการนี้มาก่อน  ตอนกลืนชนเผ่าซีเฮ่อเขาไม่เพียงใช้การแทรกซึมทางการค้า  ใช้สินค้าและคนที่อพยพเข้าไปเผยแพร่วัฒนธรรมของชาวเป่ยชาง ยังสนับสนุนการแต่งงานของหัวหน้าชนเผ่าซีเฮ่อกับหญิงชาวเป่ยชาง  เป็นต้นเหตุที่ทำให้สายเลือดของชนเผ่าซีเฮ่อค่อยๆเจือจางลงทีละน้อย 

ที่ร้ายกว่านั้นยังใช้วิธียุแยงให้แตกออกเป็นฝักฝ่าย  แต่ละฝ่ายย่อมต้องพยายามผูกสัมพันธ์กับแคว้นเป่ยชาง  ยิ่งพึ่งพาแคว้นเป่ยชางเท่าไหร่  อำนาจทางทหารก็ยิ่งตกอยู่ในเงื้อมมือแคว้นเป่ยชางมากขึ้นเท่านั้น  จนตอนนี้ชนเผ่าซีเฮ่อแทบไม่อาจเรียกตัวเองเป็นชนเผ่าได้อีก 

เหลียนอันสุ่ยพูดเช่นนี้แสดงว่าไม่ต้องการให้เกิดความแตกแยกที่จะทำร้ายผู้คน  แต่ไม่ได้คัดค้านวิธีการอื่น  เพียงแต่ฉีเซี่ยงหยวนค่อนข้างมั่นใจว่าแผนการตัวเองแนบเนียนรัดกุม  ขนาดหัวหน้าเผ่าซีเฮ่อยังไม่รู้สึกตัว  แต่พระมาตุลาผู้นี้กลับมองออกได้อย่างละเอียดลออยิ่ง  นั่นเป็นไปได้อย่างไรกัน ?
   “มันช่างน่าสงสัย  ว่าทำไมหัวหน้าสภาขุนนางจึงไม่ใช่ท่าน”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มเนือยๆพลางตอบว่า
   “ข้าไม่เหมาะกับตำแหน่งนั้นหรอก”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย  แต่ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำตอบนี้  คนที่จะเล่นการเมืองไม่เพียงต้องรอบคอบรัดกุม  บางคราวยังต้องรู้จักเหี้ยมโหด

   “ข้าเคยเข้าใจว่าท่านไม่สนใจสถานการณ์ของแคว้นอื่น  แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น” เพราะคนที่ไม่สนใจอย่างจริงจัง  ย่อมไม่มีทางมองออกว่าเขาใช้วิธีใดกลืนชนเผ่าซีเฮ่อ
   สายตาของเหลียนอันสุ่ยทอดจับถนนหนทางเบื้องล่าง  ในเงาหลังสูงโปร่งกลับฉาบไว้ด้วยความหม่นหมอง  เอ่ยตอบอย่างแช่มช้าว่า

   “ถ้าข้าไม่สนใจบ้างก็เป็นพระมาตุลาที่ไม่มีความรับผิดชอบไปแล้ว  อย่างน้อยข้า…ก็ยังไม่อยากจะทำผิดต่อพวกเขา  ทุกวันแค่ปัญหาเรื่องปากท้องก็กินเวลาตั้งแต่เช้าจนค่ำ  พวกเขาไหนเลยจะมีเวลาไปคิดเรื่องอื่นอีก  ส่วนข้าก็แค่ทำในสิ่งที่ข้าทำได้” 
ทุกประการล้วนคิดอ่านแทนชาวเหลียน  ฉีเซี่ยงหยวนนับว่าเข้าใจพระมาตุลาผู้นี้เพิ่มขึ้น  ยิ่งเข้าใจเพิ่มขึ้น  ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองออกจะมองคนผู้นี้ผิวเผินเกินไปแล้ว

   “ท่านไม่ได้ทำในสิ่งที่ท่านทำได้” เมื่อหลุดปากออกไปฉีเซี่ยงหยวนก็เห็นเค้าความละอายใจในแววตาของอีกฝ่าย  รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นฝืดฝืน
   “ถูกแล้ว  ความจริงข้าเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง  ถ้าข้าคิดจะทำเพื่อพวกเขาจริงอย่างน้อยก็ต้องดิ้นรนให้มีอำนาจอยู่ในมือ  อย่างน้อยก็ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง…แต่ข้าไม่ได้ทำ”

ฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่ายแล้วก็คิดถึงคำว่า ‘ดิ้นรน’   ดิ้นรนเพื่ออำนาจน่ะหรือ  หากคนผู้นี้ดิ้นรนเพื่ออำนาจจริง ฉีเซี่ยงหยวนพลันรู้สึกเสียดายตัวตนของเขา  คนบางคนเกิดมาเพื่อต่อสู้ดิ้นรน  จนถึงขั้นช่วงชิงของๆผู้อื่น  อวี้เฉียนเป็นคนเช่นนี้  ฉีเซี่ยงหยวนก็เป็นคนเช่นนี้  หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ มีผู้ยิ่งใหญ่กี่คนที่ไม่ใช่คนเช่นนี้ ? 

แต่เหลียนอันสุ่ยไม่ใช่คนประเภทนี้  สายตาของเขาโศกเศร้าแต่กลับปราศจากความทะเยอทะยาน  ความจริงหากเขาเป็นแค่คนธรรมดาคงสามารถมีชีวิตที่มีความสุขอันเรียบง่าย  น่าเสียดายที่เขามองเห็นทะลุปรุโปร่งเกินไป  จนไม่อาจทำเป็นไม่สนใจโดยปราศจากความละอาย  น่าเสียดายที่เขาเป็นพระมาตุลาทำให้ต้องมาพัวพันกับความยุ่งเหยิงของขั้วอำนาจ  และน่าเสียดายที่ตัวตนของเขาเป็นเช่นนี้จึงทำให้อวี้เฉียนละโมบในตัวตนของเขา

   “อำนาจ…ท่านไม่ได้มีสิ่งนั้นอยู่ในมือแล้วหรือ”
   ดวงตาคู่งามมองสบกับดวงตาคมกริบอย่างจริงจัง  พลางกล่าว
   “ข้า ‘เคย’ มี  แต่ถ้าท่านไม่ได้คอยระวังตลอดเวลา สุดท้ายท่านจะพบว่าอำนาจไม่ใช่ของท่านอีกแล้ว”  นี่เป็นความจริง ที่ผู้ปรารถนาในอำนาจทุกคนย้ำเตือนตัวเองอยู่ทุกค่ำเช้า

ฉีเซี่ยงหยวนนึกไปถึงตอนที่บุรุษตรงหน้าสูญเสียภรรยาไป  จากข่าวที่เคยได้ยินมา  คงจะเป็นตอนนั้นนั่นเองที่อำนาจค่อยๆหลุดจากมือเขา  ความเสียใจทำให้ความระแวดระวังลดลง  คนบางคนถึงกับเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมาทำร้ายตัวเอง

   “จากนั้นพอหันกลับมามองอีกครั้ง  ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องการให้ครอบครัวต้องพัวพันกับเรื่องพวกนี้  นั่นคือความเห็นแก่ตัวของข้า”  เหลียนอันสุ่ยพูดต่อจนจบ  ดวงตาของเขาจ้องฉีเซี่ยงหยวนอย่างเงียบงัน  ความหมายอีกนัยหนึ่งคือขอร้องให้ฉีเซี่ยงหยวนเลิกยุ่งกับเหลียนจิ้งเต๋อ  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับรู้สึกถึงความจริงบางประการที่ซ่อนเร้นอยู่  ครอบครัวอย่างนั้นหรือ  คงมิใช่ว่าการตายของเหวินจีมีเงื่อนงำบางอย่างที่เกี่ยวข้องด้วยหรอกนะ

   “ความจริง...ความเห็นแก่ตัวมันก็เป็นสิทธิของมนุษย์นั่นแหละ” นี่คือความเห็นของฉีเซี่ยงหยวน
   เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก  กล่าวว่า
   “ข้ายังมีความเห็นแก่ตัวอื่นอีก  ต้าอ๋องยังทรงพระเยาว์นัก ถือว่าข้าขอร้องท่าน ละเว้นเขาด้วย”
   “ละเว้น ?  ท่านหมายถึงไม่ปลดเขาหรือไม่ฆ่าเขา ? ” ฉีเซี่ยงหยวนมองคนพูดอย่างแปลกใจ  นี่ไม่คล้ายคำขอร้องของคนที่มองราษฎรเป็นใหญ่อย่างเหลียนอันสุ่ยเลย

   “ทั้งสองอย่าง  ถ้าทำได้…ก็ไว้หน้าเขาซักหน่อยเถิด  นี่เป็นคำขอร้องสุดท้ายของน้องสาวข้า  และเป็นความปรารถนาสุดท้ายของต้าอ๋ององค์ก่อน  แคว้นเหลียนอยู่ในกำมือท่านแล้ว  เขาไม่อาจขวางทางท่านได้หรอก” คำพูดนี้เองที่เป็นคำตอบของทุกอย่าง 
ความจริงด้วยศักดิ์ฐานะ เหลียนอันสุ่ยสามารถทำให้เหลียนอ๋องอยู่ใต้อำนาจเขา  ที่เหลียนอันสุ่ยไม่ต้องการก้าวก่ายการปกครองมากมายก็เพราะสาเหตุนี้  เพียงแต่เขาไม่ทำ คนอื่นก็ทำและเหลียนอันสุ่ยก็ไม่อาจหยุดกลไกของมันได้  วิธีเดียวที่จะหยุดสภาพแย่งชิงอำนาจในภาวะเช่นนี้ต้องอาศัยความเหี้ยมโหดเด็ดขาดถึงขั้นลงมือปราบปรามไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง  ที่สำคัญก็คือจำเป็นต้องมีอำนาจที่เหนือกว่าอยู่ในมือ  จึงเป็นสาเหตุที่อวี้เฉียนเข้ามากุมอำนาจนั่นเอง

   “ท่านก็เคยขอร้องอวี้เฉียนอย่างนี้ใช่หรือไม่” ฉีเซี่ยงหยวนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
   “…” แววตาของเหลียนอันสุ่ยหม่นแสงลง คล้ายคิดถึงเรื่องบางอย่าง
   “ได้  ข้ารับปาก” ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังย่ำซ้ำรอยของอวี้เฉียน  ยิ่งมาเขายิ่งเข้าใจขุนพลใหญ่ของแคว้นเหลียนผู้นี้
   “ขอบคุณ”
   “แต่ข้ามีเงื่อนไข” 
ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยซีดลงเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีเค้าแปลกใจ
   “ท่านวางใจ  ข้าเพียงต้องการให้ท่านตอบคำถามข้อหนึ่ง”
ใบหน้าคนฟังเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ 
ฉีเซี่ยงหยวนจ้องอีกฝ่ายอย่างพิจารณาขณะถามว่า
   “ท่านเคยรักอวี้เฉียนบ้างหรือไม่” 
   เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก  ตอบช้าๆว่า
   “ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเขาเป็นความเสียใจ และรู้สึกขอบคุณเท่านั้น” 

แม้แต่ฉีเซี่ยงหยวนก็แยกแยะความรู้สึกที่เกิดในใจตัวเองตอนนี้ไม่ถูก  รู้สึกว่าตัวเองจะไม่พอใจถ้าอีกฝ่ายมีใจให้อวี้เฉียน  แต่ก็ไม่ได้รู้สึกยินดีกับคำตอบ  อาจบางทีฉีเซี่ยงหยวนไม่ต้องการให้ตัวเองซ้ำรอยอวี้เฉียน  ยิ่งมาเขายิ่งรู้สึกว่าเหลียนอันสุ่ย วางกรอบตัวเองไว้อย่างมั่นคงยิ่ง  ไม่ว่าผู้ใดต่างไม่อาจแทนที่เหลียนจิ้งเต๋อกับเหวินจีได้  เหลียนอันสุ่ยอาจยินยอมเสียทุกอย่างเพื่อแลกกับสิ่งที่ล้ำค่ากว่า  แต่ไม่ยินยอมให้ตัวเองผิดต่อสองคนนั้นเป็นอันขาด

   “ความจริงข้าหวังมาตลอดว่าเขาจะเจอผู้หญิงที่เขารัก  ผู้หญิงที่เหมาะสมกับเขา” ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยมองฉีเซี่ยงหยวน คำพูดนี้ไม่เพียงแต่หมายถึงอวี้เฉียนยังหมายถึงฉีเซี่ยงหยวนด้วย 

หากแววตาของฉีเซี่ยงหยวนกลับแปรเป็นแววตาที่อ่านไม่ออก  เขาจะไม่หยุด  นี่อาจเป็นเรื่องไม่สมควร  แต่ยิ่งมาเขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองจะไม่หยุดแน่  เขาต้องการคนผู้นี้  และจะต้องทำให้คนผู้นี้เป็นของเขาให้จงได้  เหลียนอันสุ่ยอาจวางกรอบตัวเองไว้อย่างมั่นคง  แต่ไม่ว่ามั่นคงอย่างไร  ฉีเซี่ยงหยวนย่อมมีวิธีทำให้มันพังทลายลงมา  ทุกครั้งก่อนจะได้มาซึ่งของที่เขาพอใจ ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยวางมือมาก่อน!

   เห็นสายตาที่ไม่มีวี่แววคล้อยตามของฉีเซี่ยงหยวน  ฝ่ามือของเหลียนอันสุ่ยก็พลันชื้นเหงื่อขึ้นมา 
   “...นี่สายมากแล้ว  ธุระไม่ควรรอช้าอีก  ข้าคงต้องขอตัว”
   ฉีเซี่ยงหยวนมองคนหาเรื่องจากไป  ปากกล่าวว่า
   “ท่านไปสะสางธุระเถอะ  เอาไว้ข้าค่อยไปหาท่าน…คืนนี้”
เหลียนอันสุ่ยที่กำลังยืนขึ้นตัวแข็งทื่อในทันใด  สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
   “ท่านอ๋องน้อย  เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง  ด้วยฐานะของท่าน…”

   “ด้วยฐานะของข้าทำไปมีแต่ผลเสียมากกว่าผลได้ใช่หรือไม่” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวต่อให้ มองสีหน้าของคู่สนทนาแล้วหัวเราะเบาๆ พูดต่อว่า “ข้าว่าเรื่องนี้เรามิใช่ตกลงกันไปแล้วหรือ”

   “ท่านควรไตร่ตรอง…” พูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็เอ่ยแทรกว่า
   “ข้าเป็นคนตัดสินใจแล้วไม่เคยเปลี่ยนมาก่อน  ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจอะไร ย่อมต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบยิ่ง  แต่เรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว” คำพูดย้ำช้าๆชัดๆ ไม่หลงเหลือหนทางให้โน้มน้าว
   “เรื่องนี้มิใช่สิ่งที่ผ่านการไตร่ตรองโดยรอบคอบ” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยเยือกเย็นลง คล้ายจะเตือนสติ

คนที่กล้าต่อรองกับฉีเซี่ยงหยวนมีไม่มาก  คนที่สามารถต่อรองอย่างเยือกเย็นยิ่งมีไม่กี่คน  พระมาตุลาผู้นี้บุคลิกภายนอกอ่อนโยน  แต่นอกจากจะใจเย็นแล้วยังใจแข็งอย่างยิ่ง  มีแต่คนที่มีจุดยืนอันแน่นอนจึงสามารถต่อรองให้ตัวเองได้อย่างมั่นคงเยือกเย็น

   “ก็จริง…แต่ก็นับว่าข้าตัดสินใจไปแล้ว  พระมาตุลาข้าหวังว่าท่านจะไม่ลืมข้อหนึ่ง  ว่าถ้าข้าอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา…ไม่ดีแน่  ทั้งต่อแคว้นเหลียน  ตัวท่านเอง  หรือเด็กคนนั้นก็เถอะ  ดังนั้นอย่าขัดข้าอีก” สายตาเรียบนิ่งของฉีเซี่ยงหยวนไม่มีแววล้อเล่น  บุรุษที่วางตัวตามสบายเมื่อครู่ดูราวเปลี่ยนเป็นคนละคน  นี่จึงเป็นฉีเซี่ยงหยวน  โอรสองค์ที่สี่ของเป่ยชางอ๋อง  ผู้กุมอำนาจอันสามารถชี้เป็นชี้ตายผู้คนนับพัน

เหลียนอันสุ่ยก้มหน้าลง  เอ่ยเบาๆว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว  ข้า...ขอตัวก่อน”

รอจนฉีเซี่ยงหยวนพยักหน้ายินยอมให้จากไป  เหลียนอันสุ่ยจึงก้าวถอยออกมา  ในใจรู้สึกสิ้นหวังระคนหวาดหวั่น  คนผู้นี้ไม่เหมือนอวี้เฉียน  การตัดสินใจของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชางยากโน้มน้าวกว่าอวี้เฉียนมากนัก 

ในสายตาคมกริบคู่นั้นคืออำนาจอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด  คือความเชื่อมั่นและการกระทำตามใจตนเองอย่างร้ายกาจ  เหลียนอันสุ่ยแทบไม่อยากไปคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น  คนเช่นนี้อยากจะได้อะไรมักต้องได้เสมอ  เหลียนอันสุ่ยเพียงแค่ไม่เข้าใจเหตุใดบุรุษผู้นั้นจึงไม่ยินยอมปล่อยมือจากเขา  ทั้งๆที่มีผู้คนอีกมากมายที่อ่อนเยาว์กว่าเขา  มีเสน่ห์และเต็มใจปรนนิบัติอีกฝ่ายยิ่งกว่าเขา
บางทีมันคงเป็นแค่ความรู้สึกท้าทายอยากเอาชนะ...ซึ่งเหลียนอันสุ่ยหวังว่ามันจะจางหายไปโดยเร็ว
---------------------
   ที่มุมตำหนักฝั่งตะวันออก  เด็กชายวัยสิบขวบผู้หนึ่งกำลังสาละวนใช้ไม้เขี่ยลูกบอลที่เตะขึ้นไปค้างอยู่บนชายคา  โดยมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันสองสามคนชี้ไม้ชี้มือบอกทิศทาง  บรรดาข้ารับใช้ที่พยายามจะเข้าไปช่วยแต่ถูกปฏิเสธ พากันยืนมองกระเบื้องหลังคาอย่างกังวลใจว่าอาจต้องซ่อมแซมในไม่ช้านี้

   จิตใจของเหลียนอันสุ่ยคล้ายจะหนักอึ้งกว่าเก่า  สองเท้าตรึงแน่น ไม่อาจก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว เมฆหมอกแห่งความละอายใจครอบคลุมลงมาเป็นชั้นบางๆ  ยิ่งตะวันคล้อยบ่ายเท่าไหร่ เมฆหมอกนั้นก็ดูจะกดดันสาหัสขึ้นทุกที

   เหลียนจิ้งเต๋อมองบิดาอย่างกล้าๆกลัวๆ  เข้าใจว่าอีกฝ่ายยังโกรธอยู่จึงไม่ยอมเดินเข้ามาหา  ท่าทางที่มั่นใจอยู่ตลอดเวลากลายเป็นตัวลีบ  ในสิ่งทั้งหมดทั้งมวล เหลียนจิ้งเต๋อหวาดกลัวโทสะของบิดาที่สุด  จำได้ว่าตอนเด็กๆเคยถูกบรรดาเด็กวัยเดียวกันชักชวนให้กลั่นแกล้งบุตรชายขาพิการของใต้เท้าหยางเจ้าพนักงานเล็กๆในกรมตรวจการ  ด้วยความคะนอง  นอกจากเขาจะกลั่นแกล้งอีกฝ่ายจนร้องไห้แล้ว ยังขโมยไม้ค้ำไปซ่อน  เมื่อท่านพ่อทราบเรื่องก็ไปขอโทษใต้เท้าหยางด้วยตัวเอง ทั้งที่ความจริงใต้เท้าหยางกระทั่งสิทธิ์ในการขอเข้าพบท่านพ่อยังไม่มี 

   หลังจากนั้น หนึ่งเดือนเต็มๆ ท่านพ่อไม่ยอมพูดกับเขา  ไม่มองหน้าเขา  เด็กชายขาพิการคนนั้นกลับได้รับการเอาใจใส่จากท่านพ่อแทนเขา  เขายังจำคำพูดสุดท้ายก่อนจะไม่พูดกับเขาได้ขึ้นใจ  ท่านพ่อไม่ได้เรียกเขามาดุด่า  แต่กล่าวว่า ‘พ่อผิดหวังในตัวลูกอย่างยิ่ง’ นับตั้งแต่นั้นกระทั่งนกกระจอกเหลียนจิ้งเต๋อยังไม่กล้าไปเบียดเบียนรังแก

   “ทะ  ท่านพ่อ  …ท่านยังโกรธอยู่หรือ” เสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆทำให้เหลียนอันสุ่ยหลุดจากห้วงความคิด  ก้มหน้าลงไปเห็นเด็กชายวัยสิบขวบ ยืนหลุบตาต่ำอย่างสำนึกผิด
   “พ่อไม่ได้โกรธเจ้า” พูดพลางก้มหน้าลงไปจนระดับเสมอกัน  ฝ่ามือลูบผมที่ยุ่งเหยิงบนศีรษะน้อยๆ
   “แต่  แต่ว่า…ข้าทำผิด”
   “เจ้าไม่ได้ทำผิด” เหลียนอันสุ่ยฝืนยิ้มบางๆ  คนทำผิดคือพ่อต่างหาก  และกำลังจะถลำลึกลงไปยิ่งกว่าเดิมในความผิดพลาดที่ไม่อาจแก้ไข  ความผิดที่จะทำให้เจ้าผิดหวังในตัวพ่อยิ่งกว่าเรื่องใดๆ
เหลียนจิ้งเต๋อเงยหน้าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดดังกล่าว
 
   “ถ้างั้นท่านพ่อ ท่านมากับข้าเร็ว!” กล่าวจบก็ฉวยข้อมือบิดา  วิ่งปร๋อไปยังชายคาที่ยังมีของเล่นคาอยู่  เมื่อทราบว่าท่านพ่อไม่ได้โกรธเขา  เหลียนจิ้งเต๋อก็เลิกทำตัวลีบ  กลับคืนสู่นิสัยดั้งเดิมอย่างรวดเร็ว  เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ  แต่ก็ยินยอมให้เด็กชายฉุดลากไป  ในแววตาซุกซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้อย่างเงียบงัน  ภาวนาให้ความสดใสเช่นนี้คงอยู่ตลอดไป  สวรรค์  หากท่านยังเมตตาข้าอยู่บ้าง  อย่าให้เด็กคนนี้ทราบเลย  ความผิดบาปนี้ขอข้าชดใช้เพียงคนเดียว  เพียงคนเดียวก็พอ

   ดวงตะวันไม่เจิดจ้าเหมือนเคย  สวรรค์คล้ายกำลังมองลงมาอย่างเฉยเมยเย็นชา  คนเดียวก็เพียงพอหรือ  เหลียนอันสุ่ย  ทางที่เจ้าเลือกทำร้ายคนสำคัญของเจ้ามากี่ครั้งแล้ว  เจ้าโง่เขลาหรือกำลังพยายามหลอกตัวเอง  ในโลกนี้มีความลับใดสามารถปิดบังได้ตลอดกาล ?

=========
ช่วงนี้จะมาต่อให้วันเว้นวันน้า(ช่วงหลังคงอัพได้ช้าลงเพราะยังแต่งไม่ไปไหน)
สำหรับคนที่ไปอ่านที่เด็กดีจะเห็นได้ว่าตอนแบ่งไม่ตรงกัน
เด็กดี 2 ตอน=ที่นี่ประมาณ 1 ตอนค่ะ
อันที่ลงที่นี่จะเป็นฉบับแก้ไขล่าสุดนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2014 21:25:28 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ BlueHoney

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 3
«ตอบ #14 เมื่อ08-07-2014 20:23:38 »

ตอนแรกจะรออ่านเรื่อยๆ ตอนคนเขียนมาอัพที่นี่...
สักพักไปอ่านต่ออีกสักตอนดีกว่า...
เอ๊ะ!...วันนี้ว่างอ่านหน่อยแล้วกัน จนล่วงเลยมาหลายตอนยิ่งนัก>>> :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 3
«ตอบ #15 เมื่อ08-07-2014 23:23:25 »

 o18

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 4
«ตอบ #16 เมื่อ10-07-2014 12:44:35 »

บทที่ 4 ฝันร้ายที่หวนคืนมา

   จางจื่อหยูกำลังรู้สึกสับสนงงงวย  ท่านอ๋องน้อยฉีเซี่ยงหยวนคล้ายอยู่ๆก็ใจเย็นขึ้นมา  รายงานความคิดเห็นที่มีน้ำมากกว่าเนื้อของบรรดาขุนนางที่ถูกกองทิ้งไว้ตั้งแต่เช้ากำลังถูกเปิดอ่านทีละม้วนอย่างตั้งใจ  ทั้งๆที่ปรกติแค่พลิกผ่านๆแล้วฟังเนื้อหาโดยสรุปจากปากคนอื่นฉีเซี่ยงหยวนยังต้องรอเวลาตัวเองอารมณ์ดีจึงจะหยิบขึ้นมาทำ  บางทีท่านอ๋องน้อยคงจะกินยาผิดมากระมัง

   จางจื่อหยูไม่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนแม้สมองกำลังอ่านรายงานในมือ ในใจกลับคิดวางแผนไปคนละเรื่อง  เขากำลังเรียบเรียงความคิดว่าจะใช้วิธีการอันใดกับพระมาตุลาคนนั้นดี  ใช่แล้ว  คนผู้นี้ ‘ไม่ง่าย’ แน่  วิธีการต้องไม่อาจรวบรัดเกินไป  และก็ไม่อาจใจเย็นเกินไป  เพราะที่เขาต้องการไม่ใช่แค่เปลือก  ของทุกชิ้นที่เป็นของเขาต้องเป็นของเขาโดยสมบูรณ์
---------------------
   เนื่องจากเล่นมาทั้งเย็น เหลียนจิ้งเต๋อจึงเหน็ดเหนื่อยจนหลับไปแล้ว  เหลียนอันสุ่ยห่มผ้าให้เขาอย่างเบามือ  มองใบหน้าไร้เดียงสาอยู่เนิ่นนาน  เด็กคนนี้ได้เค้าเหวินจีมาหลายส่วน  เกรงว่าหลังจากนี้คงยากจะมองอีกฝ่ายได้อย่างสนิทใจอีกแล้ว 
เหลียนจิ้งเต๋อ พ่อผิดต่อเจ้าเหลือเกิน  แต่กลับไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรจึงจะสามารถชดเชยให้เจ้าได้  ในบางมุมของความรู้สึกมีอ่อนล้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  แต่ร่างกลับยืนขึ้นเงียบๆ  เหลียนอันสุ่ยรู้ว่าเขาจะต้องเข้มแข็ง  ไม่อาจล้มลงไป  เพราะยังมีคนอีกมากมายที่เขาหวังจะปกป้องเอาไว้

   เมื่อพระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนเดินออกมา เยี่ยนจื่อก็รับช่วงไปดูแลต่อ  สิ่งที่เหลียนอันสุ่ยต้องทำหลังจากนี้คือรอคอย  รอคอยให้โชคชะตาพัดพาชะตากรรมที่ไม่อาจขัดขืนมาให้เขา
---------------------
   ห้วงเวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างแช่มช้า 
ในแสงจันทร์ที่สาดลงมาเพียงบางเบาสะกิดให้เหลียนอันสุ่ยนึกถึงฝันร้ายในคืนนั้น 
หากจะถามว่าเขาสามารถลืมเลือนมันจริงหรือ ?  คำตอบคือเป็นไปไม่ได้  แม้พยายามจะลืมแต่ภาพกลับไม่ยอมจางหายไป 
เหลียนอันสุ่ยตัวสั่นสะท้าน  ทั้งๆที่ควรจะรังเกียจ  แต่กลับมีความรู้สึกอย่างอื่นแฝงปนมาด้วย  คล้ายกับเป็นความปรารถนา  เหลียนอันสุ่ยไม่กล้าคิดต่อ  หากเรื่องราวทั้งหมดคล้ายแนบสนิทอยู่ในเงาของเขา  สลัดไม่หลุดและปฏิเสธไม่ได้  สิ่งที่อ๋องน้อยผู้นั้น...ทำกับเขา 

เหลียนอันสุ่ยทราบว่าอีกฝ่ายเห็นเขาเป็นอะไร  ของเล่นชิ้นหนึ่งที่ไม่มีทางดิ้นรนหลุดพ้นกำมือไปได้  แม้ภายนอกจะสงบเยือกเย็นแต่ในใจของเหลียนอันสุ่ยยังคงมีความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ  เรื่องผิดธรรมนองคลองธรรมเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร  เหตุใดความผิดบาปจึงมักมีรสชาติหอมหวาน  เหตุใดทางเลือกจึงมีแต่ต้องถลำลึกยิ่งกว่าเดิม  เรื่องราวทั้งหมดนี่มันผิดพลาดอยู่ชัดๆ
แต่เห็นสภาพของเมืองหลวงในวันนี้เหลียนอันสุ่ยก็รู้ว่าเขาไม่กล้าเสี่ยงให้ความเมตตาของอีกฝ่ายลดน้อยลงไป  แคว้นเหลียนอยู่ในกำมือบุรุษผู้นั้น  เทียบกันแล้วเรื่องส่วนตัวของเขาเล็กน้อยอย่างยิ่ง  เล็กน้อยอย่างยิ่งจริงๆ

ขณะหญิงรับใช้อิ๋งฮวาเข้ามารายงานการมาถึงของอ๋องน้อยแห่งแคว้นเป่ยชาง  ถ้วยน้ำชาในมือของเหลียนอันสุ่ยก็เอียงจนล้นออกมาจากขอบถ้วย  พระมาตุลาแคว้นเหลียนมองรอยเปียกที่แขนเสื้อ  ไม่รู้สึกกระทั่งว่าชาถ้วยนี้ร้อนหรือเย็น  รู้เพียงแต่ว่าเสื้อผ้าอาจซักสะอาดได้  แต่เรื่องที่เขากำลังจะไปทำไม่มีหนทางแก้ไขให้เป็นเหมือนเดิมอย่างเด็ดขาด
---------------------
   แววตาของฉีเซี่ยงหยวนไหวไปวูบหนึ่ง  พระมาตุลาผู้นี้แม้ใบหน้าจะซีดขาวไปบ้าง  แต่ท่าทียังคงสงบอย่างยิ่ง  สงบดั่งที่เคยเป็นเสมอมา  ท่านซ่อนอะไรไว้บ้างกันแน่  ข้าปรารถนาที่จะรู้...และข้าก็รู้ว่าข้าจะได้รู้  คิดพลางเชยคางอีกฝ่ายขึ้น  กดริมฝีปากลงบนเรียวปากที่เม้มสนิทคู่นั้น

รู้สึกถึงเรียวปากที่สั่นสะท้านอยู่ใต้ริมฝีปากเขา  ท่าทีที่อยากจะต่อต้านแต่กลับข่มให้ตัวเองยินยอม  ไม่  นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด  ฉีเซี่ยงหยวนควานหาต่อไป  พบลมหายใจแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว  ริมฝีปากของฉีเซี่ยงหยวนเหยียดเป็นรอยยิ้ม  ประทับที่มุมปากแผ่วเบาคล้ายจะปลอบประโลม  และก็คล้ายจะทะนุถนอม  แต่กลับเลื่อนมาบดขยี้อย่างหนักหน่วงบนเรียวปากอย่างไม่ยินยอมให้บอกปัดปฏิเสธ

ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความคิดสองอย่างที่ขัดแย้งกันเองในตัวเขา  อยากจะค่อยๆสัมผัส  แต่ก็อยากจะกลืนกินลิ้มรส  น่าแปลกที่พระมาตุลาผู้นี้กลับทำให้เกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดถึงเพียงนี้  ต้องการจะทำความเข้าใจและก็ไม่ต้องการจะทำความเข้าใจในเวลาเดียวกัน  เหมือนกับตัวตนที่ดูไปเรียบง่าย  แต่มองอีกคราวกลับซับซ้อนจนอ่านไม่ออก  ราวกับความอ่อนโยนกับความแข็งกร้าวที่ตรงข้ามกันแต่กลับเป็นหนึ่งเดียวกัน

ท่านมายืนอยู่ตรงนี้เพื่อใคร?  เสียสละทั้งหมดนี้เพื่ออะไร?  ท่านต้องการจะผลักไสข้าหรือต้องการจะยั่วยวนข้ากันแน่ เหตุใดข้ายิ่งมายิ่งรู้สึกว่าท่านช่างเย้ายวนใจ
ริมฝีปากหนาเคล้นคลึงจนพอใจแล้วค่อยถอนออก  เอ่ยเสียงแหบพร่าว่า
“พาข้าไปห้องของท่าน”
---------------------
นี่คือประตูบานสุดท้าย  มือเรียวยาวของเจ้าของห้องที่ยื่นออกไปกลับชะงักค้างอยู่กลางอากาศ  หมุนตัวกลับมา  สีหน้าซีดขาวมีแววเจ็บปวดคล้ายนึกเรื่องอันใดขึ้นได้
“ไปตำหนักรับรองของท่านแทนได้หรือไม่” น้ำเสียงเกือบจะเป็นเว้าวอน
ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้ว  พลางกล่าว

“เอาไว้วันอื่น  ข้างในมีอะไรหรือ” มือใหญ่ยื่นออกไปผลักประตูเปิดออก  เป็นห้องที่มีกลิ่นอายเรียบง่ายและสะอาดสะอ้านห้องหนึ่ง  ภายในว่างเปล่าปราศจากผู้คน  เท้าของอ๋องน้อยแคว้นเป่ยชางก้าวนำไปก่อนอย่างถือวิสาสะ
เหลียนอันสุ่ยยืนนิ่งอยู่หน้าประตู  กำขอบประตูแน่น  ไม่ได้  เตียงหลังนั้น...เตียงหลังนั้น
ฉีเซี่ยงหยวนนั่งลงบนเตียง  มองแสงไฟที่จุดไว้แต่ไม่สว่างเท่าไหร่อย่างพอใจ  เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็เลิกคิ้วเล็กน้อย  ถาม
“ทำไมท่านไม่เข้ามา”  คำพูดนั้นเท่ากับบังคับให้เหลียนอันสุ่ยต้องเดินเข้าไป
“ท่านอ๋องน้อย  ที่ไหนก็ได้  แต่ไม่ใช่ที่นี่  ข้าไม่อาจ...” ทำผิดต่อนางได้  เสียงของเหลียนอันสุ่ยคล้ายผิวน้ำสงบที่มีระลอกสั่นไหวบางๆขณะเหลือบมองกิ่งท้อที่นอกหน้าต่าง
 “ทำไม?...หรือว่า...  เตียงนี้เป็นเตียงที่ท่านเข้าหอกับพระชายา ?”
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ตอบ  และไม่ได้มองคู่สนทนา  จับจ้องมองต้นท้อด้านนอกอยู่อย่างนั้น  สายตาคล้ายกำลังมีความเจ็บปวดบางอย่างต่อสู้กันเอง
“ข้าได้ยินมาว่าท้อต้นนี้เป็นของชายาท่าน” เสียงกระซิบแผ่วทุ้มดังอยู่ข้างหู  ร่างกายถูกโอบกอดไว้
“ปล่อยข้า” เหลียนอันสุ่ยพึมพำด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจัง  พยายามง้างมือคู่นั้นออก  แต่มันกลับขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อย
ฉีเซี่ยงหยวนใช้ริมฝีปากนาบลงที่หลังใบหู  เรื่อยลงมาตามเรียวคอ  กล่าว
“ท่านยังคงติดอยู่ในอดีต  ข้าจะช่วยให้ท่านลืมนาง”
“ข้าไม่ต้องการลืมนาง” เหลียนอันสุ่ยเน้นช้าๆ
“ท่านต้องลืมนางเพราะข้าไม่อนุญาตให้คิดถึงผู้อื่นเวลาอยู่บนเตียงกับข้า  นางเป็นอดีตของท่าน  แต่ต่อจากนี้ท่านเป็นของข้า” คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนเนิบช้าชัดเจน  ราวกับต้องการให้คนฟังจดจำสลักลึกไว้ทุกตัวอักษร
สติของเหลียนอันสุ่ยกลับคืนมา  และทราบในตอนนั้นว่าตัวเองกล่าววาจายั่วยุอีกฝ่ายออกไปแล้ว  ร่างถูกดึงให้ล้มลงบนเตียง  ไม่!  ไม่ใช่ที่นี่  ไม่ได้  เหลียนอันสุ่ยคิดผลักร่างสูงใหญ่ออก  แต่เมื่อจะยกมือขึ้นสติทำให้เขาลดมือลงช้าๆ  เพราะการขัดขืนจะกลับกลายเป็นทำให้อีกฝ่ายยิ่งอยากเอาชนะมากขึ้น
“ท่านอ๋องน้อย  ข้า...ไม่ต้องการนึกถึงนาง  ได้โปรดพาข้าไปที่อื่น  พาข้าไป อะ ” ริมฝีปากขบลง  สัมผัสของฉีเซี่ยงหยวนปลุกปั่นอารมณ์ของเขาอย่างร้ายกาจ  หากยังคงพยายามรวบรวมสติกล่าวต่อไปว่า “ไม่ใช่ที่นี่  ไม่เอาที่นี่  ข้า  อื้อ”
“ก็ได้  แต่ข้าบอกแล้วว่าพรุ่งนี้” กล่าวพลางปลดสายรัดเอวออกจากเรือนกายสูงโปร่ง

เหลียนอันสุ่ยมองใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายแล้วเบือนหนี  สัมผัสตรงสันสะโพกเลื่อนลงมาตามเรียวขา  ริมฝีปากบางยิ่งมายิ่งขบแน่น  สะกดคำปฏิเสธไว้ในลำคอ  นึกถึงแคว้นเหลียน  นึกถึงบุตรชาย  ทราบว่าตัวเองต้องมอบอะไรออกไป  ดวงตาคู่งามปิดลงช้าๆ  ในเมื่อไม่มีทางหลบหนีก็ได้แต่ลืมเลือน  ลืมไปให้หมดว่าที่นี่คือที่ไหน  ลืมไปให้หมดว่าตัวเองเป็นใคร  กำลังทำเรื่องเลวร้ายอะไร  ขังตัวเองอยู่ในเปลือก  ปิดผนึกทุกอย่างไว้ในแสงจันทร์  รอเพียงให้รุ่งอรุณมาเยือน  เดี๋ยวมันก็ผ่านไป  เดี๋ยวมันก็ผ่าน... ร่างสะท้านเยือก  เปลือกที่สร้างขึ้นมาห่อหุ้มตัวเองคล้ายกำลังถูกมือข้างหนึ่งฉีกกระชากออก  มือข้างนั้นหยิบยื่นความรู้สึกที่เขาปรารถนาจะลืมเลือน  เต็มไปด้วยการล่อลวงและยั่วเย้า   ริมฝีปากขบแน่นเข้าแต่กลับไม่แน่ใจว่าที่สะกดกลั้นไว้คือคำปฏิเสธหรือเสียงครวญคราง  หยะ หยุดได้แล้ว  ได้โปรด พอที!

เสียงพึมพำอย่างอ่อนแรงในหัวแผ่วจางลงทุกที  เรื่องราวเลวร้ายกว่าที่เหลียนอันสุ่ยคาดไว้มากนัก  ผู้ชายคนนั้นไม่เพียงสัมผัสเขาอย่างไม่เร่งร้อน  ยังคล้ายมีเจตนาปลุกความทรงจำในคืนนั้นที่เขาฝังมันอย่างลำบากยากเย็นขึ้นมา แล้วค่อยๆบังคับให้เขาจดจำใหม่ช้าๆ ในสภาพสติครบถ้วน  ปลายนิ้วของเหลียนอันสุ่ยขยุ้มผ้าปูเตียงแน่น  ขณะบังคับให้ตัวเองโอนอ่อนผ่อนตาม  ม่านหมอกแห่งความปรารถนาบิดทุกอย่างให้พร่ามัว  แต่ในช่วงเวลาที่ปวดร้าวและชวนเมามายที่สุด เขากลับได้ยินอีกฝ่ายเรียกเขาว่า
   “พระมาตุลา”  คำพูดนั้นดึงสติกลับมาอีกครั้ง  จากนั้นความเจ็บปวดก็ฉุดลากเขาเข้าสู่ความจริงที่ว่าตัวเองกำลังทำอะไร  พอๆกับความจริงที่ว่า ตัวเองไม่มีปัญญาทำอะไรเลย
   เมื่อฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกได้ว่าเรือนร่างอีกฝ่ายเครียดเกร็งขึ้นมา  แต่ก็ไม่มีปัญญาต่อต้าน  ก็เหยียดยิ้มอย่างพึงพอใจ
---------------------
   วิกาลคล้อยดึกมากแล้ว  ราตรีกลับคืนสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง 
ฉีเซี่ยงหยวนนั่งมองคนที่อ่อนเพลียจนสลบไสลไปแล้วอย่างพิจารณา  ผมที่รุ่ยร่ายเคลียใบหน้าขับให้เหลียนอันสุ่ยดูนุ่มนวลกว่าเดิม  ไม่มีความโกรธแค้น  กระทั่งช่วงสุดท้ายของการร่วมอภิรมย์ก็ไม่มีความโกรธแค้น  ในดวงตาที่ปิดสนิทคู่นี้มีแต่ความสิ้นหวัง  เจ็บปวดกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป  ความปรารถนาฉาบประกายตาคู่นี้ให้งามซึ้งกว่าปรกติ  ทั้งเย้ายวนทั้งชวนให้เวทนา ความสิ้นหวังทำให้คนเราปล่อยตัวปล่อยใจได้ง่ายดายที่สุด  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับมิได้เป็นเช่นนั้น  ทั้งๆที่เข้มแข็งถึงเพียงนี้แต่กลับมีบุคลิกภายนอกที่อ่อนโยน  ช่างเป็นตัวตนที่น่าสนใจเสียจริง 

ฉีเซี่ยงหยวนสวมเสื้อผ้าช้าๆ  ทราบว่าอีกฝ่ายยังไม่คุ้นชินกับการสนิทสนมที่ยืดเยื้อยาวนาน  แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงไม่สามารถควบคุมตัวเองอยู่ดี  ตัวตนของคนผู้นี้คล้ายกับสามารถเติมเต็มความกระหายทั้งทางร่างกายและวิญญาณของเขาได้อย่างประหลาด  จากนั้นฉีเซี่ยงหยวนก็คิดถึงสิ่งที่ต้องไปทำ…นั่นสินะ…
---------------------
   แสงสีทองของดวงตะวันจับขอบหน้าต่างจนเรื่อเรือง  เหลียนอันสุ่ยค่อยๆรู้สึกตัว  ขณะจะขยับ  ความเจ็บปวดก็แล่นปราดขึ้นมาจนต้องส่งเสียงครางเบาๆ  ฉุดดึงความทรงจำอันเลวร้ายขึ้นมาเป็นฉากๆ  ชัดเจนจนตอกย้ำความรู้สึกอัปยศอดสู  มือสั่นสะท้านเอื้อมออกไปหาบานหน้าต่าง  แต่กลับพบว่ามันถูกคนผู้หนึ่งปิดสนิทตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ  หน้าต่างบานนี้เปิดออกจะเห็นต้นท้อใหญ่กลางสวน    เหลียนอันสุ่ยไม่ทราบเจตนาของฉีเซี่ยงหยวน  แต่ยังคงรู้สึกขอบคุณ  หดมือกลับมา  ปล่อยให้หน้าต่างปิดเอาไว้เช่นนั้น  ร่างซุกลงกับเตียง  เตียงที่เคยมีกลิ่นอายของ ‘นาง’  แต่ตอนนี้มีเพียงความทรงจำที่ผิดบาปของเขาเท่านั้น  เหลียนอันสุ่ยหลับตาแน่น  พยายามไล่เรื่องเลวร้ายที่จับแน่นอยู่ในทุกซอกมุมของความรู้สึกออกไป…
---------------------
   แสงตะวันจัดจ้าย้ำเตือนเวลาว่าสายมากแล้ว  อิ๋งฮวากำลังรอคอยอย่างกระวนกระวายหน้าบานประตูที่หับสนิท  นายท่านของนางไม่เคยตื่นสายเช่นนี้  ขณะเงยหน้ามองประตูเป็นรอบที่สิบสี่ ก็เห็นเงาที่นางคุ้นเคยทาบอยู่หลังบานประตู  ค่อยๆเลื่อนประตูเปิดออกช้าๆ  นางรีบค้อมกายลงกล่าวอย่างนอบน้อมว่า
   “บ่าวให้คนเตรียมอาหารไว้แล้ว  จะให้ยกมาเลยหรือไม่เจ้าคะ”
   “อืมม์” เสียงรับคำเบาๆ  ใบหน้าของของนายท่านดูอ่อนเพลีย แฝงความหม่นหมองแปลกๆ  เมื่อคืนกว่าท่านอ๋องน้อยจะสนทนากับนายท่านเสร็จก็ดึกมาก  ตอนออกมายังบอกว่านายท่านเข้านอนไปแล้ว มีคำสั่งห้ามรบกวนจนกว่าจะเช้า  นางแม้เป็นห่วงอย่างยิ่ง แต่ไม่เคยและไม่กล้าขัดคำสั่งนายท่านมาก่อน จึงได้แต่รออย่างกระวนกระวาย

   หลังหญิงรับใช้วางสำรับอาหารเสร็จ ล่าถอยออกไปแล้ว  เหลียนอันสุ่ยจับตะเกียบค้างไว้อย่างนั้น  แม้จะรับประทาน แต่แทบไม่รู้รสชาติอาหารแม้แต่น้อย  ความรู้สึกฝืดเฝื่อนในลำคอทำให้ใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มบางๆ ปราศจากรอยยิ้มโดยสิ้นเชิง

-------------------
เป่ยชาง  หนานเหมิน โหยวเฉิง หากนับความหลากหลายทางรสนิยมโหยวเฉิงต้องมาเป็นอันดับแรก  แต่ถ้าดูจากความเก่าแก่ยิ่งใหญ่ไม่ว่าแคว้นใดก็ไม่อาจเทียบแคว้นหนานเหมินได้  หนานเหมินแปลว่าประตูสู่ทิศใต้  ไม่ว่าการค้ารายใดหากต้องการเดินทางผ่านลงใต้ไม่อาจไม่ขออนุญาตแคว้นใหญ่แคว้นนี้ก่อน  นี่มิใช่เพราะอาณาเขตแต่เป็นเพราะอิทธิพลอำนาจ  ที่ทุกคนล้วนต้องเห็นแก่หน้าแคว้นหนานเหมิน สาเหตุสำคัญมาจากหนานเหมินอ๋องคนปัจจุบันที่แผ่ขยายอำนาจออกไปจนกว้างขวาง ถึงแม้หนานเหมิน อ๋องจะชราแล้ว  แต่เขาไม่เพียงไม่เลอะเลือน  คล้ายกับยังลึกซึ้งมากเล่ห์กว่าแต่ก่อนเสียอีก

   หนานเหมินอ๋องชมชอบเลี้ยงนก  ในวังอันโอ่อ่าของเขาครึ่งหนึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์ปีกชนิดนี้  ปรกติส่วนที่มีนกอยู่ย่อมมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวมิใช่น้อย  แต่ตอนนี้ส่วนสัดเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ  คล้ายกับว่าเมื่อพบคนผู้นี้ไม่ว่าสัตว์หรือคนล้วนต้องเปลี่ยนเป็นเงียบกริบขึ้นมา
   ผ่ามืออันแห้งกรังเหี่ยวย่นของหนานเหมินอ๋องไล้ตามกรงนกเบาๆ  ดวงตาที่ลึกซึ้งราวเหยี่ยวร้ายมีแววครุ่นคิด  จมูกของเขางองุ้ม  ใบหน้าแคบยาวไว้เคราจรดอกมีเรียวปากได้รูป  แต่เมื่อมันหยักเป็นรอยยิ้มกลับดูน่ากลัวอย่างไรบอกไม่ถูก
   “เจ้าเด็กร้ายกาจ…ที่แท้เล็งไว้ตั้งแต่แรกแล้วสินะ” เสียงทุ้มที่ติดจะพร่าแหบเล็กน้อยในตอนท้ายดังเนิบๆ  คนสนิทด้านข้างปิดปากสนิท  ล้วนทราบว่าต้าอ๋องมิได้กำลังเอ่ยกับตน

   หากหนานเหมินอ๋องคือเหยี่ยวร้ายที่ครอบครองน่านฟ้ามาเนิ่นนาน  ขณะนี้ฟากฟ้าก็ปรากฏอินทรีขึ้นมาอีกตัวหนึ่งแล้ว  เป่ยชางอ๋องแม้จะไม่เลวอยู่  แต่หนานเหมินอ๋องยังไม่เคยต้องเปลืองสมองไปกังวลใจ  บุตรเด่นล้ำกว่าบิดา  บุรุษเช่นเป่ยชางอ๋องกลับให้กำเนิดบุตรเช่นฉีเซี่ยงหยวนขึ้นมาคนหนึ่ง  และเด็กคนนี้ก็กำลังสั่นคลอนฐานะไร้คู่ต่อกรของหนานเหมินอ๋องอย่างเงียบงัน

   หนานเหมินอ๋องไม่กลัวหยงเซี่ยที่ถูกกล่าวขานเป็นเทพสงครามของเป่ยชาง หยงเซี่ยอาจนำชัยชนะเป็นสิบครั้งมาสู่แคว้นเป่ยชาง  แต่การจะกำจัดเขาให้พ้นทางมิใช่เรื่องยากเย็นอะไร  อย่าว่าแต่หยงเซี่ยอาจไร้เทียมทานในสมรภูมิรบ  แต่บนหมากกระดานระดับแว่นแคว้น  เขาก็เป็นได้แค่หมากที่มีความสำคัญตัวหนึ่ง  ที่น่ากลัวคือคนที่มีความสามารถในการเดินหมาก
   ถ้าเทียบชื่อเสียงอันกระเดื่องดัง หยงเซี่ยนับว่าเหนือกว่าฉีเซี่ยงหยวนเป็นไหนๆ  แต่หนานเหมินอ๋องยิ่งมาก็ยิ่งคาดเดาความคิดของเด็กคนนั้นยากขึ้นทุกที  หนานเหมินอ๋องอาจจะเหนือกว่าฉีเซี่ยงหยวนอยู่ช่วงหนึ่ง  แต่ช่วงนั้นยิ่งมาก็ยิ่งแคบเข้าทุกขณะ  ครั้งแรกที่หนานเหมินอ๋องทราบความน่ากลัวของฉีเซี่ยงหยวน  ก็เป็นตอนเดียวกับที่ทราบว่าไม่มีปัญญากำจัดเขาอีกแล้ว
 
   นี่จึงเป็นความร้ายกาจที่สุดของฉีเซี่ยงหยวน  วางหมากอย่างเงียบเชียบ เก็บเกี่ยวอย่างเงียบงัน  หากหนานเหมินอ๋องรู้สึกถึง ‘มือ’ ของเขาก่อนหน้านี้  ฉีเซี่ยงหยวนอาจมีปัญญาเอาชนะหมากตาหนึ่ง  แต่ต้องถูกหนานเหมินอ๋องกำจัดออกไปจากกลุ่มของ ‘ผู้เล่น’ อย่างถาวร  เพราะกับหนานเหมินอ๋อง การพ่ายแพ้ไม่ว่ากี่กระดานล้วนคุ้มค่าเมื่อแลกกับการกำจัดคนที่มีความสามารถในการวางหมากคนหนึ่งและนี่ก็คือความน่ากลัวของหนานเหมินอ๋องที่ฉีเซี่ยงหยวนระวังตลอดมา

   “ลูกอิ้ง  เจ้าเข้าใจความหมายของฉีเซี่ยงหยวนรึเปล่า” เสียงแหบทุ้มถามขึ้น  แต่สายตายังจับจ้องนกในกรง
   หลงอิ้งบุตรคนรองของหนานเหมินอ๋อง เมื่อได้ยินคำถามของบิดาก็รีบสงบใจใคร่ครวญ  ก่อนจะตอบว่า
   “มันกำลังท้าทายพระบิดา”
   “เจ้าอายุมากว่าฉีเซี่ยงหยวนสามปี  เวลาสามปีเพียงพอจะเรียนรู้อะไรมากมาย  ในบรรดาบุตรของข้า  เจ้าชาญฉลาดที่สุด  ลองใคร่ครวญดูอีกซักรอบ”  น้ำเสียงของหนานเหมินอ๋องเฉื่อยชา  คล้ายมีความอดทนอย่างยิ่ง  ให้รออีกนานเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร
   หลังการคิดซ้ำอย่างละเอียด หลงอิ้งก็ตอบว่า
   “เขาจะสั่นคลอนอำนาจท่าน” คำตอบนี้นำความแตกตื่นมาสู่ดวงตาของผู้ที่อยู่รายล้อม  แต่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมา  มุมปากของหนานเหมินอ๋องปรากฏรอยยิ้มขึ้น

   “ใช่แล้ว  ความจริงตั้งแต่เรามีเรื่องกระทบกระทั่งกับแคว้นโหยวเฉิง มันก็รอมาตลอด  ทั้งๆที่ข้าว่าข้าระวังแล้วก็ยังพลาดอยู่ดี  ไม่ทันคิดว่ามันจะเดินหมากเช่นนี้” การฮุบกลืนแคว้นเหลียนทำให้ขุมอำนาจเริ่มมีความเปลี่ยนแปลง  แคว้นเป่ยชางที่เป็นแคว้นใหญ่อยู่แล้ว กำลังจะก้าวล้ำอีกสองแคว้นที่เหลือไปช้าๆ     แคว้นเป่ยชางเป็นแคว้นใหม่  แม้จะมีการทหารที่เข้มแข็งกว่าอยู่บ้าง  ความจริงด้านอำนาจบารมียังไม่เทียบเท่ากับแคว้นหนานเหมิน  แต่เมื่อได้แคว้นเหลียนไม่ว่าใครก็ดูถูกแคว้นเป่ยชางไม่ได้อีกแล้ว  กับความเก่าแก่และอารยธรรมของแคว้นเหลียน ขนาดแคว้นหนานเหมินยังต้องยอมรับว่าสู้ไม่ได้ 

   แคว้นเหลียนนับเป็นหยกล้ำค่าชิ้นงามที่ไม่ว่าใครก็อยากได้  แคว้นเล็กๆลงไปลงไปย่อมไม่มีหวัง ตราบใดที่สามแคว้นใหญ่ยังกุมอำนาจอยู่  ไม่เพียงยากจะกลืนกิน  กลืนเข้าไปยังต้องถูกบังคับให้คายออกมา ประคองส่งมอบให้  ดีไม่ดียังเป็นการตอแยแคว้นใหญ่ให้มีโทสะ  ส่วนสามแคว้นใหญ่ย่อมตรึงอำนาจกันเอง  ใครก็อย่าหมายได้ครอบครองแคว้นเหลียน แต่ตอนนี้ทุกอย่างพลิกผัน  ฉีเซี่ยงหยวนกลับฉวยโอกาสจนได้แคว้นเหลียนไป

   “ความจริงตอนแรกที่เจ้าว่ามามันก็ถูก  มันไม่เพียงท้าทายข้า  จุดประสงค์ยังต้องการให้ข้ามีโทสะ...เพราะมันรู้ว่าถึงข้ามีโทสะก็ยังต้องอดทนไว้  ไม่ยินยอมดำเนินแผนการอย่างหุนหันพลันแล่น”  คล้ายกับมีเสียงสูดลมหายใจพร้อมกันหลายเสียง  อาจบางทีในหลายสิบปีมานี้คงมีแค่ฉีเซี่ยงหยวนคนเดียวที่กล้าตอแยหนานเหมินอ๋องให้มีโทสะ
   ทุกคนต่างรู้ดี เมื่อสิบสามปีที่แล้ว ตอนหนานเหมินอ๋องยังหนุ่มกว่านี้  เคยคิดจะตีแคว้นเหลียน  แต่สุดท้ายเสียเวลาไปเป็นแรมปีก็ยังไม่สำเร็จ  จำต้องถอนทัพกลับเพราะหากปล่อยให้ความเสียหายสาหัสกว่านี้แคว้นที่เหลือต้องรอซ้ำเติมแน่  นี่เป็นความอัปยศในใจหนานเหมินอ๋องตลอดมา  ในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดยังไม่สามารถตีแคว้นเหลียนแตกได้ 

หากตอนนั้นความอัปยศยังไม่รุนแรงเท่าไหร่  เพราะแคว้นเหลียนเป็นแคว้นที่ยากครอบครอง  แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยมีแคว้นใดมีชัยเหนือแคว้นเหลียนอย่างเด็ดขาดมาก่อน  ส่วนตอนนี้...  ทุกผู้คนล้วนปิดปากแน่นกว่าเดิม

   “นี่คือนกอินทรี” นิ้วเรียวยาวแห้งกรังชี้ไปที่นกในกรง  ไม่ว่าใครก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมอยู่ดีๆเรื่องคนกลับเปลี่ยนเป็นเรื่องนกได้  ต้องมองตามอย่างงงงวยอยู่บ้าง
   หนานเหมินอ๋องกล่าวต่อว่า
   “ฉีเซี่ยงหยวนก็คืออินทรีตัวหนึ่ง  ตอนนี้มันกำลังจะสยายปีกโอบคลุมน่านฟ้า”  คำพูดเนิบช้าแต่ชัดเจนทุกคำค่อยๆกดลงไปในหัวใจคนฟัง  รอยยิ้มกลับมาบนริมฝีปากคนพูดอีกครั้ง
   “แต่มันก็ยังไม่แน่นัก  เพราะบนฟากฟ้ายังมีกฎเกณฑ์ที่ร้ายกาจกว่าที่มันคิด...อย่าว่าแต่มันยังมีข้าอยู่อีกคน...”
---------------------
   “ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์  ป่านนี้คงกระวนกระวายจนนอนไม่หลับแล้วสิ”  ฉีเซี่ยงหยวนพึมพำกับตัวเอง  จางจื่อหยูได้ฟังต้องสะดุ้งเฮือกใหญ่  สำหรับชาวเป่ยชางหรือโหยวเฉิง  หนานเหมินอ๋องนับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยากตอแย  ไม่ว่าคนส่วนใหญ่จะชอบเขาหรือไม่  แต่ทุกคนก็ยอมรับในข้อนี้

   ฉีเซี่ยงหยวนรู้ดี  เฒ่าจิ้งจอกนั่นต้องมีโทสะแน่  แต่ที่เหนือกว่าโทสะคือความกระวนกระวาย  หนานเหมินอ๋องยินดีมีโทสะจนอัดอกตาย ถ้าสามารถกำจัดความกระวนกระวายนี้ออกไป ‘ถ้าท่านไม่คอยระวังตลอดเวลา จะพบว่าอำนาจไม่ใช่ของท่านอีกแล้ว’ นับเป็นความจริงทุกประการ  อย่าว่าแต่ตัวตนของอำนาจเองก็ไม่เคยมีความเสถียร  บางครั้งระมัดระวังแทบตาย  มันยังคงค่อยๆหลุดมือไป

   “และข้าจะช่วยง้างมือท่านให้เอง...” คำพูดแผ่วเบาในความเงียบงัน
   ---------------------
   ความจริงการบุกยึดแคว้นเหลียนมีเบื้องหลังอันซับซ้อน  การทะเลาะกันเองของแคว้นหนานเหมินกับโหยวเฉิงเกิดจากการกระทบกระทั่งเล็กๆน้อยๆที่ถูกฉีเซี่ยงหยวนเติมเชื้อไฟรอให้มันลุกลามอย่างใจเย็น  และความใจเย็นนี่เองที่ทำให้กว่าหนานเหมินอ๋องจะไหวตัวทัน  คาดเดาจุดมุ่งหมายของฉีเซี่ยงหยวนออก ก็สายไปเสียแล้ว

   การกระทบกระทั่งกันเมื่อถึงระดับหนึ่ง แคว้นหนานเหมินที่อยู่ใกล้เป่ยชางที่สุดก็เริ่มล้ำแดนของโหยวเฉิง  หากฉีเซี่ยงหยวนยังคงไม่เคลื่อนไหว  แสร้งทำเป็นยุ่งวุ่นวายกับนโยบายพัฒนาแคว้น  ต่อมาแคว้นหนานเหมินถูกแคว้นโหยวเฉิงยันกลับมาในสภาพบอบช้ำบางส่วน  เป่ยชางก็ยังคงเงียบเฉย  เมื่อแคว้นหนานเหมินบุกยึดเมืองสำคัญของโหยวเฉิงสำเร็จ  ทั้งสองฝ่ายต่างเสียหายหนักขึ้น  ต่างล่าถอยเพราะกลัวจะถูกเป่ยชางซ้ำเติม 

ความจริงหากแคว้นเป่ยชางจะยึดหนานเหมินหรือโหยวเฉิงตอนนั้นก็นับว่ามีโอกาสมากว่าครั้งใดๆ  เพียงแต่เปิดศึกแม้จะได้ชัยก็ต้องเสียหายอย่างหนัก  อีกแคว้นที่เหลือยังมีกำลังพอที่จะบดขยี้แคว้นเป่ยชาง 
หนานเหมินอ๋องเป็นเฒ่าเจ้าเล่ห์  ทำลายก่อนยังยุ่งยาก เก็บไว้ทีหลังยิ่งไม่ได้เป็นอันขาด  สิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนทำคือกรีฑาทัพเปิดศึกกับแคว้นที่เล็กกว่าอย่างแคว้นเหลียน  เพราะต่อให้พ่ายแพ้ ด้วยกำลังของหนานเหมินกับโหยวเฉิงขณะนั้นยังไม่มีปัญญาโค่นล้มแคว้นเป่ยชาง  หนานเหมินอ๋องแม้มีความสามารถกระตุกขาหลังก่อกวน  แต่โหยวเฉิงยังคงจับจ้องมองเมืองที่ถูกยึดไปตาไม่กระพริบ  หากหนานเหมินอ๋องไม่คิดจะสูญเสียเมืองที่ยึดมาจำเป็นต้องทำตัวเรียบๆร้อยๆแต่โดยดี

ที่จริงแล้วเมืองที่หนานเหมินอ๋องยึดได้ แม้เทียบไม่ได้กับแคว้นเหลียนแต่ก็เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญและมั่งคั่งอย่างยิ่ง  ไม่เช่นนั้นหนานเหมินอ๋องให้ตายก็ไม่ยอมเคลื่อนพล  เพียงแต่ว่าด้วยศักดิ์ศรีของเขา  การเสียรู้คนรุ่นลูกอย่างฉีเซี่ยงหยวนย่อมทำให้รู้สึกเหมือนโดนเด็กถอนหงอกไม่มีผิด !


ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
«ตอบ #17 เมื่อ12-07-2014 19:24:40 »

บทที่ 5 พยัคฆ์ร้ายกับสายน้ำ

แสงแดดอบอุ่นของฤดูใบไม่ร่วง กลับทำให้พระมาตุลาแคว้นเหลียนรู้สึกหนาวเหน็บ  เขาก็ไม่ทราบว่าตัวเองตัดสินใจถูกต้องหรือไม่  เพียงแต่รู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีก  พูดให้ถูกคือไม่อาจเลือกทางอื่น

สิ่งสำคัญที่สุดของเขาตอนนี้คือเหลียนจิ้งเต๋อกับชาวเหลียน  กับอย่างแรกเขาต้องปกป้องไว้...ได้แต่หวังว่าจะปิดบังได้ตลอดไป  เหลียนอันสุ่ยยิ้มฝืนๆ  ซบหน้าลงกับผ่ามือตัวเอง  ทราบว่าไม่มีทางเป็นไปได้  ที่เขาทำได้เป็นเพียงการซื้อเวลา  ยืดเวลาออกไปรอจนเหลียนจิ้งเต๋อโตกว่านี้  เพียงแต่การยืดเวลาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน  รอจนถึงตอนนั้น ความผิดบาปของเขาคงสาหัสจนไม่อาจแก้ไข  เหลียนจิ้งเต๋อจะเกลียดเขา  แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับมันจะทำลายเด็กคนนั้น

กับชาวเหลียน เรื่องนี้ยิ่งเปิดเผยไม่ได้เป็นอันขาด  ความอัปยศเป็นของเขาเพียงคนเดียวก็พอแล้ว  ที่เขาหวาดกลัวไม่ใช่ความเกลียดชัง  แต่เป็นสงครามซ้ำซ้อน  เขารู้ฉีเซี่ยงหยวนไม่กลัวหรอก  แต่แคว้นเหลียนทนการสูญเสียซ้ำสองไม่ไหวแล้ว  ในทางกลับกันเหลียนอันสุ่ยก็รู้ถึงสิ่งที่เซี่ยงหยวนต้องการจะสื่อ  ทราบว่าทำเช่นนี้คนที่ได้ประโยชน์คือแคว้นเหลียน  ก็แบบเดียวกับอวี้เฉียน เหลียนอันสุ่ยอาจไม่มีอำนาจโดยตรง  แต่โน้มน้าวชักจูงได้  เพียงแต่อวี้เฉียนไม่กล้าแตะต้องเขา  หากฉีเซี่ยงหยวนกลับเรียกร้องร่างกายของเขา

...อาจบางทีแต่ก่อนเขาได้กำไรมามากเกินไป  ตอนนี้จึงต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้างแล้ว

“อิ๋งฮวา”
“เจ้าคะ” เสียงตอบรับแผ่วเบาดังออกมาจากข้างนอก  เจ้าของเสียงเลื่อนประตูเข้ามา
เหลียนอันสุ่ยหันไปกล่าวกับนางว่า
“เย็นนี้ข้าจะไปเรือนรับรอง...หลังจากนี้ก็เหมือนกัน  ท่านอ๋องน้อยแคว้นเป่ยชางต้องการปรึกษาข้า  คงกลับดึกหน่อย  ให้เยี่ยนจื่อจัดการให้คุณชายน้อยนอนไปเลยไม่ต้องรอ”
“เจ้าค่ะ”
   ---------------------
  ไม่ว่าเรื่องราวใดเกิดขึ้น  โลกก็ยังคงหมุนไป  ชีวิตเองก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป 

“เจ้าบอกว่าวันนี้เขาไปเยือนโรงหมอ  โรงช่าง  ทั้งยังออกไปในเมืองอีกแล้ว ? ”
ช่วงนี้การเข้าออกสถานที่แต่ละแห่งล้วนถูกจับตาดู  เข้าออกวังหลวงในแต่ละครั้งต่อให้เป็นราชนิกุลก็ต้องยื่นเรื่องยื่นเหตุผลมาอย่างชัดเจน  หากมีความเคลื่อนไหวใดผิดสังเกตจะถูกรายงานขึ้นมา  ทั้งหมดเป็นไปเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยกันการก่อการใดๆที่อาจเกิดขึ้น  แม้ฉีเซี่ยงหยวนจะมิได้ใช้นโยบายเคร่งครัดมากนักกับเชื้อพระวงศ์  แต่นั่นคือฉากหน้า  ฉากหลังยังคงมีการระวังป้องกัน  การทำตัวประมาทไม่เคยใช่นิสัยขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชาง  เพียงแต่...คนที่ถูกรายงานขึ้นมาในวันนี้กลับเป็นพระมาตุลาแคว้นเหลียน

ดูจากรายละเอียดแล้วฉีเซี่ยงหยวนคาดว่าเหลียนอันสุ่ยคงไม่ได้มีเบื้องหลังเป็นแผนการอันใด  เพราะการเคลื่อนไหวไม่ได้มีจุดผิดสังเกต  ประเด็นที่ไม่ปรกติมีเพียงสองเรื่อง...คือเหลียนอันสุ่ยไปเยือนหลายที่เกินไปและไปในที่ที่เชื้อพระวงศ์ส่วนใหญ่ไม่ไปกัน

 คนแรกรายงานเสร็จออกไป  คนที่เคยถูกใช้ให้ไปสืบประวัติของเหลียนอันสุ่ยถูกเรียกตัวเข้ามา  ฉีเซี่ยงหยวนต้องการคำอธิบายสำหรับพฤติกรรมเหล่านี้ของพระมาตุลาแคว้นเหลียน 

สายคนนั้นรีบค้อมกายลงตอบว่า
“อย่างที่ข้าน้อยเคยรายงานไป  พระมาตุลาเป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านงานช่างของแคว้นเหลียนมาโดยตลอด  ทำให้แม้จะเกิดการเปลี่ยนถ่ายอำนาจติดๆกันหลายครั้ง  วังหลวงวุ่นวายปั่นป่วน  ทางด้านงานช่างของแคว้นเหลียนก็ยังคงพัฒนาการผลิตอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้ซบเซาลงไป  นอกจากนี้...”

ฉีเซี่ยงหยวนกลับยกมือขึ้นเป็นความหมายให้เงียบเสียงก่อน  ทบทวนความทรงจำ  พลางพึมพำอย่างครุ่นคิดว่า
“ใช่  เรื่องนี้เจ้าเคยรายงานข้าแล้ว  ตอนนั้นเจ้าบอกว่า...เหลียนอันสุ่ยมีความรู้ด้านการแพทย์ด้วย ?” หันหน้าไปมองอีกฝ่าย  สีหน้าเปี่ยมด้วยแววกังขา  เห็นอีกฝ่ายรับคำ  ฉีเซี่ยงหยวนก็เลิกคิ้วสูง  กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่า
“คนผู้หนึ่งมีที่นั่งในสภาขุนนาง แต่กลับไปสนใจงานที่ไม่เกี่ยวข้องมากมายถึงเพียงนี้  ตอนแรกข้าฟังจากปากเจ้ายังเข้าใจว่าเป็นเพียงการเกี่ยวข้องโดยผิวเผินแบบที่เชื้อพระวงศ์ชอบทำเพื่อเอาชื่อเสียงเสียอีก  แต่นี่กลับเข้าไปดูงานด้วยตัวเองเชียวหรือ...” สีหน้าของฉีเซี่ยงหยวนมีแววครุ่นคิด  มือใหญ่พลิกข้อมูลที่เคยให้อีกฝ่ายไปหามาเพื่ออ่านซ้ำอีกรอบ  ซักถามอีกเล็กน้อย ค่อยปล่อยให้อีกฝ่ายไปจัดการงานที่ค้างไว้

เป็นเชื้อพระวงศ์ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆและจารีต  มีที่นั่งในสภาขุนนางย่อมต้องรู้จักมักคุ้นกับขุนนางทั้งหลาย รวมถึงต้องปวดหัวกับนโยบายพัฒนาแคว้น  นี่ยังไม่พอ  ยังไปหาเรื่องทั้งโรงช่างและโรงหมอมาสุมใส่ตัว ซ้ำยังเจียดเวลาไปดูบุตรชายได้...วันๆหนึ่งของเหลียนอันสุ่ยมีกี่ชั่วยามกันแน่ ?

กวาดตามองตามข้อมูลที่ปรากฏบนซีกไม้ไผ่  ในนั้นมีทั้งว่าเหลียนอันสุ่ยเคยทำอะไรมาบ้าง  เป็นญาติเกี่ยวดองกับใคร  แต่อุปนิสัยของเขา  ความสามารถทั้งหมดของเขา  กลับระบุได้ไม่กระจ่างชัดนัก  นี่มิใช่เพราะข้อมูลไม่ละเอียดถี่ถ้วนพอ  แต่ข้อมูลเป็นของตายตัว  ส่วนคนกลับมีชีวิต  และคนแบบเหลียนอันสุ่ยไม่อาจถูกตีความได้โดยง่ายดาย
 
เสียงรายงานทำให้ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าพระมาตุลามารออยู่ที่ด้านนอกแล้ว มุมปากยกยิ้มขึ้น  เหลือบมองรายงานจากกองทัพที่ดูเหมือนจะไม่ได้อ่านอย่างที่ตั้งใจไว้ 

ช่างเถิด  บางทีการอ่านคนๆหนึ่งให้ออกก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจกว่า  คิดพลางผุดลุกจากโต๊ะ
---------------------
เหลียนอันสุ่ยนั่งรอคอยด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น  หากในใจของเขามีความกระวนกระวายอยู่ก็นับว่าซ่อนได้อย่างหมดจดทีเดียว 
เหลียนอันสุ่ยคาดว่าฉีเซี่ยงหยวนคงยังมีธุระติดพัน  จึงไม่ได้ออกมาพบเขาโดยทันที  เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน  หวังว่าธุระดังกล่าวของฉีเซี่ยงหยวนจะยืดยาวออกไปจนเลยเที่ยงคืน  การนั่งรอไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา  ที่เขามีปัญหาคือ ‘เรื่องอื่น’

ตลอดรายทางมา เหลียนอันสุ่ยไม่เห็นนางกำนัลแม้แต่คนเดียว  ทหารยามที่ประจำอยู่ด้านนอกก็เพียงประจำเฉพาะจุดที่จำเป็นเท่านั้น  เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรักษาคำพูด ที่จะเก็บทุกความสัมพันธ์ไว้เป็นความลับ  เพียงแต่เมื่อไม่มีคนอื่น  สถานการณ์ของเขายิ่งล่อแหลมอันตรายขึ้น

ขณะเหลียนอันสุ่ยกำลังครุ่นคิด  ฉีเซี่ยงหยวนที่เข้ามานานแล้วก็ใช้สายตากวาดสำรวจอีกฝ่าย  วันนี้พระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนสวมชุดสีขาวที่สุภาพมิดชิด  เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการชักจูงให้เขาเกิดอารมณ์ปรารถนา  ทั้งยังจงใจสวมเสื้อหลายชั้นเพื่อให้การถอดเป็นเรื่องยุ่งยาก  เพียงแต่ทางด้านนี้เหลียนอันสุ่ยยังอ่อนประสบการณ์ไปบ้าง  บางครั้งความมิดชิดก็เป็นความเย้ายวนอย่างหนึ่ง  สีขาวยิ่งเป็นสีที่ขับความสะอาดบริสุทธิ์ของเขาจนถึงที่สุด  จนทำให้คนแทบไม่กล้าแตะต้อง  แต่เหลียนอันสุ่ยไม่ทราบว่ารูปลักษณ์นี้เองที่ดึงดูดฉีเซี่ยงหยวนมาตั้งแต่ต้น

ใช้เวลาลวนลามทางสายตาอยู่พักใหญ่  คนครุ่นคิดก็ยังคงไม่รู้สึกตัว  จนกระทั่งฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยขึ้นว่า
“โรงหมอ  โรงช่าง  ตรอกซอกซอยที่นอกวัง  ที่เหล่านี้ท่านไปทำอันใดหรือ”
เหลียนอันสุ่ยสะดุ้งเล็กน้อย  หันไปก็เห็นร่างสูงใหญ่แบบบุรุษชาวเป่ยชางก้าวยาวๆเข้ามาใกล้  ฉีเซี่ยงหยวนสวมเพียงชุดลำลองสีดำ  มัดกล้ามบนร่างแกร่งทำให้ทุกการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกลมกลืนน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก 

ฟังคำพูดอีกฝ่ายแล้วดวงตาของเหลียนอันสุ่ยก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เพียงทราบว่าวันนี้เขาไปที่ไหนมาบ้าง  ลำดับก่อนหลังยังเรียงได้ถูกต้อง
เห็นร่างสูงโปร่งนิ่งไป  ฉีเซี่ยงหยวนจึงเอ่ยต่อว่า
“ท่านทำเช่นนี้ไม่ระวังตัวเอาเสียเลย  หรือไม่กลัวจะโดนข้อหาคิดการกบฏ”
ที่แท้ระเบียบที่หย่อนให้เบื้องหลังกลับมิได้หย่อนยานเลย  แน่นอนว่าที่ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวเช่นนี้ไม่ได้ต้องการจะเอาเรื่อง  แต่เป็นการเตือน  หากฉีเซี่ยงหยวนต้องการจะเอาเรื่องจริงๆไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาใด  เพียงส่งทหารมาก็ใช้ได้แล้ว

เหลียนอันสุ่ยก้มหน้าลง  กล่าวขอบคุณว่า
“ครั้งหน้าไปไหนมาไหนจะแจ้งจุดประสงค์อย่างชัดเจน  ขอบคุณท่านอ๋องน้อยที่ตักเตือน”
“เอาเป็นครั้งหน้าไปไหนมาไหนไม่ต้องยื่นเรื่องไม่ดีหรือ  ข้าให้ข้อยกเว้นกับท่านเป็นอย่างไร” ถามพร้อมรอยยิ้ม
เหลียนอันสุ่ยไม่กล่าววาจา  เหลือบมองอีกฝ่ายช้าๆ  ไม่เข้าใจว่าฉีเซี่ยงหยวนต้องการอะไร

“ทั้งโรงช่างทั้งโรงหมอล้วนมีบุคลากรที่ข้าต้องการ  ท่านไปคัดเลือกพวกเขาให้กับข้า  ในเมื่อทำงานให้ข้า เข้าออกวังหลวงไม่จำเป็นต้องรายงานขึ้นมา  ถือว่าข้าให้สิทธิ์นี้แก่ท่านเป็นการตอบแทน”
เหลียนอันสุ่ยอุปถัมภ์โรงช่างและโรงหมอมานานหลายปี  ช่างฝีมือเก่งกาจมีเท่าไหร่  หมอมากความสามารถมีกี่คน  สมควรทราบกระจ่าง  ดังนั้นการมอบหมายนี้  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ตัดสินใจไปโดยไม่มีเหตุผล

“ท่านไว้ใจในความสามารถของข้า ? ” ให้เขาคัดเลือกคนให้อย่างนั้นหรือ
“วางใจอย่างมาก  ...หรือท่านคิดว่าข้าควรมอบหน้าที่นี้ให้กับใต้เท้าฝู ? ”
สีหน้าของเหลียนอันสุ่ยพิลึกขึ้นมาทันที  ถามย้ำอย่างกลัวตัวเองจะฟังผิดพลาดไปเองว่า
“ท่านหมายถึงใต้เท้าฝูกรมคลังหรือ?  เขาประเมินมูลค่าของงานที่เสร็จแล้วได้ก็จริง  แต่ไม่รู้จักช่างฝีมือ  กับโรงหมอยิ่งไม่เคยทำอะไรไปมากกว่ารับประทานยาที่หมอสั่ง  แม้จะมีข้อดีอยู่ที่ไม่โกหกยักยอก  แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าคิดว่าในแคว้นเหลียนมีคนอีกมากที่เหมาะสมกว่าเขา  ท่านควรเลือกคนอื่น”
ฉีเซี่ยงหยวนมองสีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งของอีกฝ่าย  ในแววตาเฉียบคมเจือรอยขำอยู่ลึกๆ  กล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้นท่านนั่นแหละเหมาะแล้ว  กระทั่งใต้เท้ากรมคลังมีความสามารถอยู่เท่าไหร่ยังจาระไนได้ละเอียดปานนี้  ข้าคงไม่ต้องไปหาคนอื่นอีก”

เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วก็ฉุกคิดได้ว่าประโยคก่อนหน้าอีกฝ่ายจงใจทดสอบเขา  สีหน้ากระดากอยู่บ้างที่เมื่อครู่ตัวเองยึดถือประโยคนั้นเป็นจริงเป็นจังเกินกว่าเหตุ  กล่าวว่า
 “ความจริงเรื่องใต้เท้าฝูเป็นคนเช่นไร  ทุกคนที่อยู่ในราชสำนักนานพอล้วนทราบดี  ตัวข้าอยู่ในราชสำนักแคว้นเหลียนมาเกือบยี่สิบปี  จะให้ไม่ทราบก็คงเป็นไปไม่ได้  ดังนั้นนั่นไม่ใช่ความสามารถพิเศษอันใด”
“อยู่ในราชสำนักแคว้นเหลียนมาเกือบยี่สิบปี...ข้ากำลังต้องการความสามารถเช่นนี้พอดี  เพื่อสัมพันธ์อันดีระหว่างสองแคว้น ข้าคิดจะเปิดโอกาสให้คนแคว้นเหลียนที่มีความสามารถเข้ารับราชการในแคว้นเป่ยชาง ท่านน่าจะพอแนะนำข้าได้บ้าง”

เหลียนอันสุ่ยหรี่ตาลง  ไม่เลือกปฏิบัติ จึงสามารถใช้สอยบุคลากรมีที่มีคุณค่า  นอกจากจะทำให้ชาวเหลียนรู้สึกดีกับตัวเองแล้ว  ยังสามารถคัดคนที่จะทำประโยชน์ให้แคว้นเป่ยชาง  เพียงแต่ว่า...
“ทำงานให้ท่าน  หรือต้าอ๋องแคว้นเป่ยชาง”
ฉีเซี่ยงหยวนยิ้มที่มุมปากตอบอย่างเฉื่อยชา  ถามว่า
“นี่มีความสำคัญมากหรือ  ...ถ้าเขาทำงานกับข้าได้ ข้าย่อมเก็บไว้ใช้สอย  แต่ถ้าเขามีประโยชน์ต่อแคว้นเป่ยชาง  เขาย่อมกลายเป็นขุนนางคนสำคัญของแคว้นเป่ยชาง  แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ก็ถือว่าเขาทำงานให้เป่ยชางอ๋อง” 

เหลียนอันสุ่ยมองเขา แล้วพลันคิดถึงพยัคฆ์ร้ายที่เกียจคร้าน  ผู้ชายคนนี้ไม่ปกปิดความทะเยอทะยานของตัวเอง  ตรงกันข้ามอำนาจคุกคามบางอย่างแทบจะแผ่ออกมาจากทุกรูขุมขนเลยทีเดียว  ไม่ใช่คนที่ถูกความละโมบทะยานอยากครอบงำจนตกเป็นทาสของมัน  แต่เป็นประเภทที่อันตรายที่สุด...สามารถ ‘เล่น’ กับมันได้อย่างเยือกเย็น

“ย่อมสำคัญ  เพราะข้าไม่ต้องการให้เขาไปขวางทางท่าน  แล้วถูกท่านกำจัดทิ้ง”
“อ้อ ? ” ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ

“ข้าได้ยินว่าที่เป่ยชางกำลังคิดจะขยายสำนักศึกษา  ในแคว้นเหลียนคนที่อ่านออกเขียนได้มีมากกว่าคนที่จับดาบเป็น  หากท่านต้องการคนที่จะทำงานให้แคว้นเป่ยชาง   มีบัณฑิตหลายคนที่ข้าสามารถรับประกันความรู้ความสามารถ  สอนได้ตั้งแต่อ่านเขียนไปจนถึงปรัชญาโคลงกลอนและการคำนวณ  พวกเขาจะมีชะตากรรมที่ดีกว่านี้ถ้าไปอยู่ที่นั่น  เพราะแคว้นเหลียนมีความยึดติดที่แก้ไม่หายคือไม่ยอมก้มหัวให้อาจารย์ที่ชาติตระกูลต่ำ  แต่ถ้าท่านต้องการคนมีคุณภาพไปใช้สอยเอง  มีนายกองคนหนึ่งในหน่วยเสบียงที่มีความสามารถทางทหาร  เพียงแต่เขาไม่ถูกกับอวี้เฉียนจึงมีหน้าที่แค่ดูแลเสบียงบางส่วนในแนวหลังเท่านั้น” เหลียนอันสุ่ยอธิบายอย่างละเอียด 

คนฟังจนจบแล้วพลันกล่าวขึ้นว่า
“ท่านทราบหรือไม่  ข้ายิ่งมาก็ยิ่งเลื่อมใสท่าน  ท่านมีวิธีจัดการเรื่องราวจริงๆ  นายกองคนนั้นท่านสามารถส่งเสริมเขาและก็กำจัดความทะเยอทะยานที่จะทำร้ายแคว้นเหลียนออกไปได้พร้อมกัน  นับว่ายิงศรนัดเดียวได้นกถึงสองตัว” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนมีแววชื่นชม  จ้องลึกลงไปในดวงตาอีกฝ่าย
“…ถูกแล้ว  ข้าจะไม่ยอมให้เกิดสงครามขึ้นอีก  สำหรับนายกองคนนั้นข้าอยากส่งเสริมเขา  แต่ถ้าเขายังอยู่ในแคว้นเหลียน  ข้าก็ต้องหาทางกดความสามารถของเขาเอาไว้  ในทางกลับกันถ้าไปอยู่กับท่าน เขาจะมีอนาคตที่ดีกว่ามาก” คนฟังยอมรับโดยไม่หลบสายตา

ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงมีคนไม่น้อยชอบเหลียนอันสุ่ย  เพียงแต่ผู้คนมักไม่ทราบว่าเบื้องหลังการตัดสินใจอันดีพร้อมของพระมาตุลาแคว้นเหลียน มีความละเอียดรอบคอบถึงเพียงไหน  คำนึงถึงอะไรบ้าง  การหาหนทางอันดีพร้อมทั้งสองฝ่ายยากเย็นกว่าการตัดสินใจว่าจะต้องเสียอะไรมากนัก

การสนทนาดำเนินไปจนดึกดื่น  ฉีเซี่ยงหยวนพบว่าพระมาตุลาผู้นี้คล้ายจะรู้จักคนตั้งแต่ข้ารับใช้ฝึกหัดในกรมกองเล็กๆไปจนถึงขุนนางใหญ่โตในราชสำนักจนซึ้งกระจ่าง  มิน่าเล่าอวี้เฉียนถึงต้องพึ่งพาเขา  ทางด้านนี้แม้แต่ฉีเซี่ยงหยวนยังยอมรับว่าตัวเองด้อยกว่าอยู่บ้าง  บางครั้งการที่คนเราเกิดมาเหนือคนอื่นก็ทำให้มองข้ามบางอย่างไป  แต่ดูเหมือนการเข้าใจคนอื่นจะเป็นความสามารถเฉพาะตัวของเหลียนอันสุ่ย

“ท่านวางใจ คนพวกนั้นข้าย่อมปฏิบัติต่อเขาอย่างเท่าเทียม”
“ขอบคุณท่าน” เหลียนอันสุ่ยก้มหัวน้อยๆ  ยิ้มบางๆโดยไม่รู้ตัว  สีหน้าผ่อนคลายกว่าตอนแรกมาก  แววตามีประกายเมตตาอ่อนโยนตามธรรมชาติ  ราวกับการเห็นความหวังของผู้อื่นมอบความสุขให้กับเขา  นั่นทำให้ฉีเซี่ยงหยวนต้องลอบกลืนน้ำลาย  ต่อให้หยกที่งดงามที่สุดก็ไม่งดงามถึงเพียงนี้  ในชั่วชีวิตของฉีเซี่ยงหยวนยังไม่เคยเจอใครที่มองแล้วสบายตาถึงเพียงนี้มาก่อน

เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่แปลกไป  เหลียนอันสุ่ยจึงเบือนหน้าไปมอง  แล้วก็ต้องนิ่งอึ้ง  รู้สึกว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปลี่ยนเป็นเบาบางขึ้นมาทันที  สายตารุ่มร้อนคู่นั้นคล้ายกับกำลังเปลื้องเสื้อผ้าเขาออกทีละชิ้น  เหลียนอันสุ่ยก็ไม่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนทำได้อย่างไร เหมือนว่าอ๋องน้อยผู้นี้สามารถใช้เพียงสายตาทำให้ผู้คนสูญเสียการควบคุมตัวเอง

“ข้า…เอ่อ…” แม้แต่เหลียนอันสุ่ยก็ไม่มีปัญญาข่มความรู้สึกปั่นป่วน เตรียมจะผละห่าง  แต่มือของฉีเซี่ยงหยวนยังไวกว่าการขยับถอยหนีมากนัก  คว้าตัวอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขน  จมูกซุกไซ้ สูดกลิ่นหอมเย็นเข้าไปเต็มปอด ค่อยๆใช้สันจมูกโด่งแบะปกเสื้อที่ปิดมิดถึงคอให้แยกออกจากกัน 

   ยามตื่นตระหนกเหลียนอันสุ่ยคิดจะผลักอีกฝ่ายออก  แต่กลับถูกกดลงกับเก้าอี้ตัวยาว
   “ท่านต้องขัดขืนถึงเพียงนี้เลยหรือ” คนกล่าววาจายังง่วนอยู่บริเวณซอกคอ  หากน้ำเสียงราบเรียบคล้ายจะเตือนสติทำให้การขัดขืนหยุดชะงักไป 

เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง อดสูอยู่บ้าง ปวดร้าวอยู่บ้าง  ขณะรู้สึกถึงริมฝีปากที่ลากไปตามกระดูกไหปลาร้า  ฝ่ามือใหญ่แตะลงบนผิวหน้าเนียน  นิ้วโป้งสากเกลี่ยอยู่บนเรียวปากได้รูป  ไล้กลีบปากที่เม้มแน่นให้แยกออกจากกัน  ฉีเซี่ยงหยวนมองใบหน้าอีกฝ่ายนิ่งนาน  จู่ๆก็ถามขึ้นว่า

   “ท่านเคยจูบกับอวี้เฉียนรึเปล่า”
ตาที่หลับอยู่ของเหลียนอันสุ่ยลืมขึ้นมา เค้นเสียงตอบว่า
   “อวี้เฉียนไม่เคยแตะต้องข้า” วูบหนึ่งเขาเห็นรอยยิ้มพอใจของอ๋องน้อยแคว้นเป่ยชาง  จากนั้นเรียวปากของอีกฝ่ายก็ประกบลงมา 
   จูบนั้นเรียกร้องต้องการสลับกับบดขยี้หยอกล้อ  ริมฝีปากหนาขบริมฝีปากล่างของเขาเบาๆ  เอียงหน้าให้ริมฝีปากทั้งคู่ประกบกันแนบสนิทพอดี  ลมหายใจอุ่นร้อนรดผิวแก้มละเอียด  การเสียดสีร้อนแรงของเรียวปากบังคับให้เรียวปากบางแยกออก  ปลายลิ้นร้อนผ่าวแทรกเข้าไปในโพรงปาก  ขยับลากไปตามฟันกับซอกแก้ม  พัวพันกับลิ้นในโพรงปากหวานล้ำ ลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยติดขัดสับสน  รู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจ  นี่ใช่ช่ำชองเกินไปหรือไม่  รอยจูบย้ำซ้ำๆราวต้องการตราความรู้สึกนี้ไว้ตลอดไป เมื่ออีกฝ่ายถอนปากออก  เหลียนอันสุ่ยทำได้เพียงหอบหายใจด้วยเรียวปากที่สั่นสะท้านโดยไม่อาจระงับ

   “ท่านไม่เคยจูบแบบนี้เลยหรือ” ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้วถาม  ไม่รีรอให้อีกฝ่ายตอบคำแล้วก็จูบอีก…
---------------------
   เสียงเคาะเกราะบอกโมงยามว่ากำลังก้าวล่วงเข้าสู่ยามโฉ่ว(1.00 น.-3.00 น.)  ในตำหนักรับรองที่วิจิตรที่สุดของแคว้นเหลียน  ใต้แสงโคมหรุบหรู่  เหลียนอันสุ่ยกำลังสวมเสื้อผ้าท่าทีรีบร้อนอยู่บ้าง  สายตาคมของเจ้าของสถานที่ที่เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงกวาดไปทั่วแผ่นหลังโปร่งบางที่หันให้เขา ถามขึ้นว่า
   “ทำไมท่านต้องวางกรอบตัวเองเคร่งครัดถึงเพียงนี้”
   “…ข้าวางกรอบหรือ  มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นเลยต่างหาก” คำตอบแฝงกระแสเสียงเจ็บปวด  ในหัวนึกถึงคนสำคัญคนสุดท้ายที่เหลืออยู่
   “ท่านจะปฏิเสธไปทำไม  ในเมื่อท่านก็ต้องการ” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนราบเรียบ  สายตามองแผ่นหลังที่ขมวดเกร็งขึ้นมาของอีกฝ่าย 
เหลียนอันสุ่ยเน้นเสียงตอบทีละคำว่า
   “ข้าไม่ต้องการ” พูดไม่ทันขาดคำ ก็ถูกรวบตัวขึ้นไปบนเตียง 
ฉีเซี่ยงหยวนมองคนที่นอนนิ่งๆอยู่ในอ้อมกอด  แต่เบือนหน้าหนีไปอีกทาง
   “โกหก” เสียงทุ้มหนักดังที่ข้างหู  ขณะกล่าวสายตาของฉีเซี่ยงหยวนเลื่อนไปมองชายเสื้อที่แยกออกโดยไม่ตั้งใจ จนเห็นเรียวขาเนียนละเอียด  วางฝ่ามือลงไปเบาๆ  ปลายนิ้วขยับเคลื่อนไหว  เหลียนอันสุ่ยสะดุ้ง  กล่าวอย่างตื่นตระหนก
   “ข้า  ข้าไม่ไหวแล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งไปเมื่อรู้สึกถึงเรียวขาที่เกร็งแล้วสั่นระริกขึ้นมา  ถามเบาๆว่า
   “ข้าทำท่านเจ็บหรือ” เห็นอีกฝ่ายไม่ตอบคำ ก็กดจมูกโด่งลงกับแก้มเนียน  กล่าวต่อว่า “แรกๆจะเจ็บหน่อย  แต่ถ้าชินแล้วก็ไม่มีปัญหา…ท่านพักที่นี่เถอะ” พะ…พักที่นี่รึ  เขารีบไปจากที่นี่น่าจะดีกว่า  ชินอะไรกัน  คำพูดเช่นนี้ยังจะพูดออกมาได้ 
   “…ขอบคุณท่านอ๋องน้อย  แต่ข้าว่า…ข้ากลับไปพักที่ตำหนักตัวเองจะดีกว่า”
ฉีเซี่ยงหยวนมองท่าทีปฎิเสธของอีกฝ่ายนิ่ง…นาน…
   “ดื้อ”  ถึงปากกล่าวเช่นนั้น  แต่ก็ยินยอมคลายมือปล่อยตัวอีกฝ่ายไป
---------------------
น้ำร้อนกรุ่นขึ้นเป็นไอจางๆ  ห้องอาบน้ำทั้งห้องตกอยู่ภายใต้กลุ่มหมอกบางเบา กลิ่นสมุนไพรอ่อนๆโชยมาแตะจมูกชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับขบริมฝีปากแน่น  ไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะมีวันที่ต้องใช้สมุนไพรพวกนี้  สรรพคุณของมันรวมๆกันแล้วใช้รักษาอาการปวดเมื่อย  ลดความเครียดเกร็งของกล้ามเนื้อและยังช่วยให้แผลหายเร็ว  เพียงแต่ว่าการใช้ของมันเจาะจงอย่างยิ่ง  คนที่ต้องการมักเป็นบรรดาสตรีที่กำลังจะออกเรือนหรือคณิกาที่มีกำหนดนัดคืนแรก  โชคร้ายที่ร่างกายของเขาตอนนี้…  หากไม่ใช้เกรงว่าวันรุ่งขึ้นคงไม่มีปัญญาลุกจากเตียง

เหลียนอันสุ่ยแทบไม่อยากจะนึกว่าก่อนหน้านี้ต้องใช้สตรีกี่คนคอยปรนนิบัติอ๋องน้อยผู้นั้นในยามวิกาล
ในน้ำอุ่นพอเหมาะร่างเครียดเกร็งค่อยๆผ่อนคลายทีละน้อย  ลมหายใจทอดแผ่วเบา  ดวงตาหลับลง  ไม่ต้องการจะมองร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของที่ผู้ชายคนนั้นทิ้งเอาไว้  ร่องรอย…ที่ไม่ว่าลบอย่างไรก็ไม่มีทางเลือนหาย

รอยยิ้มขมขื่นผุดขึ้นมาช้าๆ ขณะซบหน้าลงกับขอบอ่าง  ความทรงจำ…เหตุใดจึงแจ่มชัดถึงเพียงนี้  ความปวดร้าวในคืนแรก   รสสัมผัสอ้อยอิ่งที่ค่อยๆฉุดดึงฝันร้ายในคืนที่สอง  และก็…ริมฝีปากที่ถ่ายทอดอารมณ์เรียกร้องต้องการเมื่อครู่นี้

‘ท่านจะปฏิเสธไปทำไม  ในเมื่อท่านก็ต้องการ’
‘ข้าไม่ต้องการ’
‘โกหก’ ใช่ เขาโกหก  ตั้งแต่คืนแรกในขณะที่ฉีเซี่ยงหยวนมอบความเจ็บปวดให้กับเขา ก็มอบความสุขสมที่ยากจะบรรยายมาพร้อมกับมันด้วย…
---------------------
พระมาตุลาแคว้นเหลียนสวมชุดนอนแขนยาวที่ปิดมิดถึงลำคอ  ปิดบังทุกอย่างไว้ใต้ผืนผ้าสีเงินคราม  อิ๋งฮวาไม่ได้สงสัย  เพราะแต่ไหนแต่ไรมานายท่านก็ไม่เคยต้องการคนปรนนิบัติตอนอาบน้ำรวมถึงตอนเปลี่ยนชุดอยู่แล้ว  มีแต่ตัวผู้เป็นนายเองที่ทราบว่าจะให้นางเห็นรอยจูบบนร่างเขาไม่ได้เป็นอันขาด

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย  รวมถึงหรี่ไฟในตะเกียงลง  อิ๋งฮวาก็ออกไปพร้อมเลื่อนบานประตูปิดอย่างแผ่วเบา  ส่วนเจ้าของห้องเดินเข้าไปในห้องชั้นใน  มือเรียวยาวผลักปิดประตูไม้  คล้ายต้องการปิดกั้นความรู้สึกทุกอย่างไว้ข้างนอกนั่น  แต่เหลียนอันสุ่ยก็ทราบว่ามันไม่มีประโยชน์  สัมผัสของอีกฝ่ายยังคงตามมาหลอกหลอนไม่เลิกรา  ร่างสูงโปร่งทรุดลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง  เหม่อมองแสงจันทร์สุกสกาวนอกหน้าต่าง  กิ่งท้อโอนเอนตามลมเห็นเป็นเงารางเลือนเคลื่อนไหวเนิบนาบ  เหลียนอันสุ่ยชะงักงันไป  คล้ายถูกบางสิ่งบางอย่างทำร้าย  ก้มฟุบลงกับโต๊ะไม้จันทน์แดง  ฝ่ามือข้างหนึ่งกำขอบโต๊ะแน่นจนขึ้นเป็นข้อขาว  เนิ่นนาน  ไม่อาจขยับเขยื้อน…
---------------------
หลังจากนั้นอิ๋งฮวาก็พบว่าเมื่ออาทิตย์ตกดินได้สองชั่วยาม  นายท่านมักจะไปเรือนรับรอง  กลับมาอีกทีก็พ้นเที่ยงคืนไปแล้ว  นางได้แต่กังวลว่านายท่านจะสุขภาพทรุดโทรมลงเพราะพักผ่อนไม่พอ  ช่วงนี้นายท่านเผลอหลับถี่ขึ้นเรื่อยๆ  และไม่ค่อยยอมให้นางคอยอยู่เฝ้าเหมือนเคย  ยิ่งสองสามวันมานี้นายท่านดูไม่สดชื่นเลย  นางจึงสั่งให้คนตุ๋นยาบำรุง  ตั้งใจจะยกไปให้นายท่าน  ถึงนายท่านจะอยู่กับท่านอ๋องน้อย ไม่อนุญาตให้คนรบกวน  แต่แค่ยาบำรุงคงไม่เป็นไรกระมัง  นางแค่จะยกไปวางข้างๆ  หากเมื่อเดินมาถึงกลางทางกลับเห็นภาพบางอย่างที่ทำให้ถาดแทบหลุดจากมือ...

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2014 16:07:13 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ Deery

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
«ตอบ #18 เมื่อ12-07-2014 19:34:53 »

ลุ้นๆจะเกิดอะไรขึ้น มีคนรู้แล้ว
ค้างเลย อ๊ากก :hao7:

ออฟไลน์ maru

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-7
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
«ตอบ #19 เมื่อ12-07-2014 20:40:05 »

เห็นแล้วใช่ไหม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
« ตอบ #19 เมื่อ: 12-07-2014 20:40:05 »





ออฟไลน์ tou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
«ตอบ #20 เมื่อ12-07-2014 23:55:15 »

สนุกจริงจัง ตามมาเชียร์เรื่องนี้
หวานจริงแต่ตอนขมก็ขมสุดใจ

รอลุ้นบทลงเอยค่ะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
«ตอบ #21 เมื่อ13-07-2014 02:39:05 »

 o18

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
«ตอบ #22 เมื่อ13-07-2014 12:12:25 »

ชอบแนวจีนนะ แต่นายเอกเจ็บปวดเพียงฝ่ายเดียวไม่ยุติธรรมเลย เหมือนตอกย้ำผู้ที่อ่อนแอ่กว่า คงเห็นพระปิตุลาโดดกระทำอยู่สินะ มันจะรันทดไปไหน เฮ้อ

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
«ตอบ #23 เมื่อ13-07-2014 15:19:05 »

นายเอกของเรารันทดน่าดู
โดนคนสนิทเห็นสิ่งที่พยายามปกปิดแบบนี้
เจ้าตัวจะยิ่งเครียดขนาดไหนเนี่ย

ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
«ตอบ #24 เมื่อ13-07-2014 17:51:43 »

WoWwwwwwww~ ในที่สุดเรื่องนี้ก็มาเยือนเล้าสักที รักเรื่องนี้มากๆๆๆๆค่ะ ตามอ่านเสมอนะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ jamlovenami

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 639
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 5
«ตอบ #25 เมื่อ13-07-2014 18:07:31 »

เย้ยยยย บทจะรู้ก็รู้ง่ายๆงี้เล๊ยยยย   :hao5: สงสารนายเอกเราจริง(จำชื่อไม่ได้ขออภัย   :z6:)

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 6
«ตอบ #26 เมื่อ15-07-2014 17:28:49 »


บทที่ 6 ไม่อาจปิดบังต่อไป

ตำหนักพระมาตุลามีบรรยากาศอันสงบเรียบง่าย  ต้นไม้ใหญ่กลางสวนแผ่กลิ่นอายโบราณสอดประสานกิ่งก้านสาขาให้เงาอันร่มรื่น  สระน้ำใสดุจกระจกเป็นระลอกแผ่วเบาตามท่วงทำนองของสายลมสะท้อนตัวตำหนักที่วิจิตรสง่างาม  ก้อนหินทุกก้อน ต้นไม้ทุกต้น สะท้อนธรรมชาติของตัวเองออกมาอย่างมีมนต์ขลัง ถักทอจังหวะสอดรับที่กลมกลืน  ในความธรรมดาผ่อนคลายแฝงการตกแต่งอันพิถีพิถัน  ทั้งๆที่เป็นส่วนหนึ่งของวังหลวงแต่ปราศจากความโอ่อ่าตระการตาอันเคร่งขรึมเย็นชา  ฉีเซี่ยงหยวนแทบจะกลบกลืนตัวตนไปกับสภาพแวดล้อมอันน่าประทับใจนี้  เหลียนจิ้งเต๋อช่างเป็นเด็กที่โชคดี บรรยากาศเช่นนี้ตัวเขาในวัยเด็กแทบไม่เคยสัมผัส  แม้กระทั่งในที่ที่หลับตาลงนอนทุกคืน

   ฉีเซี่ยงหยวนเดินผ่านหมู่นางกำนัล ข้ารับใช้ที่กำลังตกใจกับการมาเยือนอันกะทันหัน เข้าไปในส่วนลึกของตัวตำหนัก  ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ทันทัดทาน  และไม่กล้าพอที่จะขวางเอาไว้  ครู่เดียวสายตาก็เสาะพบเงาร่างสูงโปร่งกำลังนั่งอ่านม้วนไม้ไผ่อยู่ในเก๋งกลางสวน  แผ่นหลังสูงโปร่งอิงกับรั้วเตี้ยๆรอบเก๋งที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นพนักพิง  บนที่นั่งวางเบาะผ้าไหม เมื่อพบเห็นว่าผู้มาเป็นใครก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ เอ่ยว่า

   “ถ้าท่านต้องการพบข้า ให้คนมาตามก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเอง”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบคำ  เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้ตนมาเจอเหลียนจิ้งเต๋อ
   “เขามิใช่กำลังเรียนอยู่หรือ”
   “ท่านมาพบเขา ? ”
   “ไม่  ข้ามาพบท่าน”  เหลียนอันสุ่ยหรี่ตาลงเล็กน้อย  แต่ยังไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามจากร่างสูง
   “มีเรื่องอะไรที่ข้าจะช่วยท่านได้” 
 “ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหลียนจิ้งเต๋อ  ท่านจำเป็นต้องมีโทสะเสมอเลยหรือ” ฉีเซี่ยงหยวนถามขึ้นยิ้มๆ ขณะมองพระมาตุลาแห่งแคว้นเหลียนที่มีท่าทีสงบเย็นชา
“ท่านว่าอะไรนะ” ท่าทีเย็นชาเปลี่ยนเป็นความงงงวย
“ปรกติท่านเป็นคนอ่อนโยน  แต่พอข้าทำอะไรที่อาจไปเกี่ยวข้องกับเหลียนจิ้งเต๋อได้  อย่างเช่นการมาที่นี่  ท่านจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเย็นชาขึ้นมาทันที”
คนฟังชะงักไป  หลับตาลง กล่าวด้วยเสียงที่เจือความขื่นว่า
“ข้าก็แค่…กลัว…” กลัวว่ามันจะปิดบังต่อไปไม่ได้ ถูกความกลัวเช่นนี้เคี่ยวกรำอยู่ทุกขณะจิต
“กลัวว่าจะปกป้องเขาจากข้าไม่ได้ ? ” ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจไปอีกทาง  น้ำเสียงแฝงโทสะเบาบาง  แม้แต่ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองก็ไม่ทราบว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร  ในสายตาเหลียนอันสุ่ยเขาเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือ
เหลียนอันสุ่ยลืมตาขึ้นมาอย่างตื่นตระหนกเมื่อพบว่าเสียงอีกฝ่ายมาอยู่ใกล้อย่างยิ่ง

“ท่านกลัวอะไร  ตรงนี้ไม่มีคนหรอก” พูดจบฉีเซี่ยงหยวนก็จูบเขา  เหลียนอันสุ่ยแม้คิดจะหันหน้าหนี  แต่ถูกฝ่ามือใหญ่บังคับให้หันหน้ากลับมา  จากนั้นการจูบเบาๆก็เปลี่ยนเป็นบดขยี้หนักหน่วงเหมือนจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว จูบจนเขาแทบจะทรงกายไม่อยู่ ต้องยึดท่อนแขนแกร่งไว้ตามสัญชาตญาณ  ริมฝีปากหนาผละห่างในที่สุด 

ความจริงฉีเซี่ยงหยวนอยากทำมากกว่านั้น  แต่ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน  ตามข้อตกลงเขาไม่มีสิทธิ์ได้แตะต้องเหลียนอันสุ่ย  อย่าว่าแต่ทำมากกว่านี้เหลียนอันสุ่ยต้องไม่ยอมแน่  นี่มันเก๋งกลางสวนชัดๆ
---------------------
อิ๋งฮวายกมือปิดปากตัวเอง กักเสียงร้องไว้ในลำคอ  แม้เดินหลบออกมาไกลมากแล้ว  แต่ภาพท่านอ๋องน้อยฉีเซี่ยงหยวนจูบนายท่านยังคงติดตา  นี่เองคำตอบของทั้งหมด  มิน่าเล่านายท่านจึงกำชับว่าไม่ให้เข้าไปรบกวน  เหตุ…เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้!  จากนั้นพฤติกรรมของนายท่านในหลายวันนี้ก็ย้อนกลับมาในหัว  นางพลันรู้สึกถึงความจริงอันน่ากลัว…
---------------------
เย็นนั้นขณะเหลียนอันสุ่ยกำลังสวมเสื้อตัวนอก ก็มีเสียงดังลอดบานประตูเข้ามา
“นายท่าน  ขอบ่าวเข้าไปข้างในได้หรือไม่เจ้าคะ”
 “เข้ามาสิ” หลังเสียงอนุญาต อิ๋งฮวาก็เดินเข้าพร้อมกับถาดในมือ
“นั่นอะไร”
“ยาบำรุงเจ้าค่ะ  พักนี้บ่าวเห็นนายท่านกลับดึกหลายคืน  กลัวท่านสุขภาพทรุดโทรม  ก็เลย…”
“ขอบคุณมาก” พระมาตุลายิ้มบางๆ  ยังคงเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนเหมือนเดิม  อิ๋งฮวามองรอยยิ้มนั้นแล้วก็ก้มหน้าลง
“คืนนี้ยังต้องไปอีกหรือเจ้าคะ”
“อืมม์” ในเสียงรับคำรอยยิ้มนั้นจางหายไปแล้ว  อิ๋งฮวาที่ลอบมองอยู่พลันเห็นความปวดร้าวเพียงครู่เดียวแทรกขึ้นมาในประกายตาสงบอ่อนโยน
“นายท่านไม่เต็มใจ  ไม่ไปไม่ได้หรือเจ้าคะ”
เหลียนอันสุ่ยมองหญิงรับใช้อย่างตกใจ  นางไม่ได้ก้มหน้าลงเหมือนทุกที  แต่มองเขาตรงๆ
“…ข้าไม่ได้ไม่เต็มใจ” นี่คือคำพูดที่กล่าวออกไป
“ความจริงยาบำรุงนี่...บ่าวตั้งใจยกไปให้นายท่านตั้งแต่ตอนบ่าย แต่เห็นนายท่านอยู่ในเก๋งโบราณ  จึงไม่ได้รบกวน”
ใบหน้าของผู้เป็นนายชะงักค้าง  จ้องบ่าวรับใช้นิ่งงัน  เห็นนางมองเขาอย่างจริงจัง ก็ทราบว่าไม่อาจปิดบังต่อไป
“เจ้า…เห็น” เพียงสองคำที่หลุดออกมาอย่างยากเย็น
“เพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ  พักนี้นายท่านจึงแทบไม่มองหน้าคุณชายน้อยเลย”  แล้วนางก็ได้เห็นความปวดร้าวเหนื่อยล้าที่ถูกซุกซ่อนมาตลอด
“ใช่แล้ว” คำตอบแผ่วเบา
“เพราะเขา!  เขาทำร้ายท่าน” อิ๋งฮวากรีดร้องเบาๆ  ดวงตาทอแววเดือดดาล ทราบว่านายท่านไม่มีทางเต็มใจให้สิ่งนี้เกิดขึ้น  ในชั่วชีวิตสิ่งสุดท้ายที่นายท่านจะทำคือทำผิดต่อคุณชายน้อย
เมื่อเห็นบ่าวรับใช้ที่สุภาพเรียบร้อยตลอดมา โกรธเกรี้ยวถึงเพียงนั้น  เหลียนอันสุ่ยจึงไกล่เกลี่ยว่า
“ช่างมันเถอะ  …อิ๋งฮวา  จะให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

“บ่าวทราบ  แต่…เขาทำได้ยังไง” นายท่านของนางเป็นคนดีที่สุดในโลก  นางรับใช้นายท่านมาสิบกว่าปี  ยังไม่เคยเห็นนายท่านตั้งใจทำร้ายใครมาก่อน “เขา…เขาถือดีอะไร  ต่อให้เขาเป็นต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางก็ไม่มีสิทธิ์…ไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้” 

เหลียนอันสุ่ยฟังน้ำเสียงสั่นสะท้านของบ่าวคนสนิท  เขาทราบว่าอิ๋งฮวาอาจเป็นบ่าวที่นอบน้อมใจเย็น  แต่ถ้ามีใครล่วงเกินเขานางจะเจ็บแค้นแทนเสมอ  เมื่อเห็นนางค่อยๆสงบลงเหลียนอันสุ่ยก็ลุกขึ้น
“ไม่ไปไม่ได้หรือเจ้าคะ” นางถามคำถามเดิม
“ไม่ได้” คำตอบเบาๆ  แล้วนายท่านของนางก็เดินจากไป  อิ๋งฮวาเหม่อมองเงาหลังของเขา  นายท่านเป็นเช่นนี้เสมอ  เมื่อมีคนเจ็บปวดนายท่านจะเมตตาห่วงใย  แต่เมื่อตัวเองเจ็บปวดจะเก็บไว้คนเดียว  นางรู้นายท่านทราบว่านางต้องเจ็บปวดแทนเขาแน่  เจ็บแค้นเพราะไม่อาจช่วยเหลือได้  นายท่านจึงเลือกที่จะไม่บอกนาง

นางเก็บถ้วยยาบำรุงที่ว่างเปล่าลงบนถาด  เคยมีหญิงรับใช้รุ่นราวคราวเดียวกันล้อนางว่าชาตินี้จะไม่ได้แต่งงานเพราะมัวแต่หลงรักนายท่าน  มีแต่นางที่รู้ว่าไม่ใช่  นางรักนายท่านจริง  แต่เป็นความจงรักภักดี ซาบซึ้งในบุญคุณ เกือบจะเป็นเทิดทูนบูชา  นางเชื่อว่าทุกคนที่อยู่กับนายท่านต้องรู้สึกดีๆกับเขา  เพราะเขาหวังดีต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ  แต่ทั้งๆที่เป็นแบบนั้นยังมีคนทำร้ายเขาได้ลงคอ  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจ้าคนสารเลวฉีเซี่ยงหยวนต้องเป็นคนที่ชั่วช้าโดยสมบูรณ์ !
---------------------
“ฮัดเช่ย!” ฉีเซี่ยงหยวนจามออกมา กลบเสียงรายงานของหลิวฉางเฟยแม่ทัพคนสนิทของเขาจนหมดสิ้น
“เจ้าว่าอะไรนะ”
หลิวฉางเฟยจึงทวนเรื่องการจัดวางกำลังใหม่อีกรอบด้วยท่าทีละเอียดถี่ถ้วน

หลิวฉางเฟยเป็นแม่ทัพใต้ร่มธงเขา  แต่สำหรับฉีเซี่ยงหยวนหลิวฉางเฟยไม่เพียงเป็นแขนขา ยังเป็นส่วนหนึ่งของเงาของเขาอีกด้วย  หลิวฉางเฟยเป็นเด็กที่ท่านลุงคัดเลือกให้ติดตามเขาตั้งแต่ฉีเซี่ยงหยวนยังอายุไม่ถึงสิบขวบ  ตั้งแต่นั้นมาหลิวฉางเฟยก็เป็นคนสนิทของเขา  คนอื่นอาจมองหลิวฉางเฟยเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ภักดีที่สุด  แต่ฉีเซี่ยงหยวนยึดถืออีกฝ่ายเป็นเพื่อนที่ร่วมแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่าง  ตอนเด็กเป็นเช่นนี้  เมื่อโตขึ้น สถานะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปบ้าง  แต่เขาก็ยังไว้วางใจอีกฝ่ายเสมอหนึ่งเงาของตัวเอง

“ความจริงเรื่องพวกนี้เจ้าจัดการไปเลยก็ได้  พักนี้ข้าก็ยุ่งๆ บางทีความรอบคอบยังสู้เจ้าไม่ได้”
คนฟังยิ้มอย่างรู้ทัน  ตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า
“ท่านเป็นท่านอ๋องน้อย  งานทุกอย่างจึงต้องรายงานท่าน” เป็นนัยว่าอย่าได้คิดปัดความรับผิดชอบทิ้งเป็นอันขาด  ทั้งย้ำเตือนความไม่สมควรไปพร้อมกัน
“อ้อ  จริงสิ  เจ้าก็อายุมากแล้ว ยังไม่แต่งงานเสียที  ต้าอ๋องแคว้นเหลียนยกหญิงงามให้ข้าหนึ่งร้อยคน  เจ้าก็ไปดูๆ…”
“ท่านอ๋องน้อย  นั่นมันเครื่องบรรณาการนะ!” คนฟังร้องอย่างตกใจ
“เจ้าถูกใจก็ไม่มีปัญหาหรอก  เลือกไปเถอะ”
คนสนิทมองเจ้านายตัวเองแล้วรู้สึกปลง เคยชินกับนิสัยทำอะไรตามใจตัวเองของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี  แต่ก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ

  “ในร้อยคนข้ามีสิทธิ์อย่างน้อยสามสิบคน  ถือว่าข้าเลือกแล้วยกให้เจ้า  ใครก็ว่าอะไรไม่ได้แล้ว” ใช่  ใครก็ว่าอะไรไม่ได้  ตามความเป็นจริงของบรรณาการคนที่จะมีสิทธ์เลือกคนแรกคือเป่ยชางอ๋อง  เพียงแต่ฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนยึดแคว้นเหลียนได้  ความดีความชอบใหญ่หลวง  เป่ยชางอ๋องไม่มีทางถือสา  ขอเพียงไม่ยึดไว้ทั้งร้อยคนเป็นใช้ได้  ส่วนคนอื่นๆก็ทราบ ว่าคนเดียวที่จะมีสิทธิ์ไม่พอใจคือเป่ยชางอ๋อง  ในเมื่อต้าอ๋องไม่ถือสา  พวกเขายังจะทำอย่างไรได้
“ท่านอ๋องน้อย  ข้าไม่ต้องการจริงๆ”
“ตำแหน่งล่ะ  ความดีความชอบเจ้าก็ไม่น้อย  ไว้ข้าจะทูลของพระบิดาให้”
“ตำแหน่งคนสนิทของท่านก็สูงพออยู่แล้ว…ท่านคงไม่ได้…กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดข้าไปให้พ้นๆหรอกนะ”  สีหน้าของหลิวฉางเฟยพิลึกขึ้นทุกขณะ
“ข้าแค่รู้สึกว่า  ตำแหน่งคนติดตามข้า  มันออกจะทำให้ความสามารถของเจ้าสูญเปล่าไปหน่อย” ทำไมฉีเซี่ยงหยวนจะไม่ทราบความสามารถของหลิวฉางเฟย  ที่ท่านลุงเลือกให้อีกฝ่ายเป็นผู้ติดตามเขาเพราะทั้งเรื่องสติปัญญาและความภักดีล้วนไม่มีปัญหา  ข้ารับใช้คนอื่นล้วนตามเขาไม่ทัน  มีแต่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันคนนี้เท่านั้นที่แตกต่าง  แต่เพราะมาอยู่กับฉีเซี่ยงหยวน  ผู้คนจึงมักมองเลยคนสนิทผู้นี้ไป และไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมฉีเซี่ยงหยวนจึงเชื่อถือหลิวฉางเฟยยิ่ง

 “ติดตามท่านเป็นงานของข้า” สำหรับเขาแล้วตำแหน่งใหญ่โตพวกนั้นไม่มีความสำคัญอะไร
 ฉีเซี่ยงหยวนเอนหลังกับพนักผ่อนคลายท่าทีจริงจังแล้วกล่าวว่า
“ต่อให้เจ้าคิดตามก้นข้าไปจนตาย  ก็ควรจะแต่งงานมีลูกซะ”
“ชีวิตของข้าอยู่ในสนามรบ  จะเอาเวลาที่ไหนไปห่วงภรรยา  ดูแลลูก” พูดพลางม้วนเก็บรายงาน จัดวางลงบนโต๊ะ
“เจ้าพูดอย่างกับข้าเป็นคนกระหายอยากทำสงครามตลอดเวลาอย่างนั้นแหละ  อีกอย่างขนาดฝงเป่าหน้าตาสู้เจ้าไม่ได้  นิสัยก็หยาบกร้านกว่าเจ้ามากนัก ยังมีครอบครัวไปแล้ว” ฝงเป่าเป็นนายกองคนสำคัญอีกคนของฉีเซี่ยงหยวน

“เขากับข้าไม่เหมือนกัน” ชีวิตของฝงเป่าเป็นของเขาเอง  แต่ชีวิตของเขาเป็นของนายเหนือหัว
ฉีเซี่ยงหยวนชักจะปลงกับนิสัยยึดติดที่แก้ไม่หายของลูกน้องตัวเองแล้วเหมือนกัน  จึงเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า
“หลี่กวงเว่ยเล่า?  เขาน่าจะเดินทางมาพร้อมกับพวกขุนนางแก่ๆ พวกนั้น  ทำไมยังมาไม่ถึงอีก”
“ท่านหลี่ตรวจดูการบริหารเมืองรอบนอกของแคว้นเหลียนอยู่  คงจะเดินทางมาถึงในไม่ช้า” หลิวฉางเฟยรายงาน
“บอกให้เขารีบๆ มาเลย  ข้ากำลังปวดหัวกับการบริหารงานขุนนางที่พูดไม่รู้ฟังพวกนั้น ต้องการความสามารถของเขาโดยด่วน”
“ข้าจะให้คนส่งข่าวถึงท่านหลี่ว่าท่านกำลังต้องการตัวเขา  คาดว่าเขาคงตรงมาที่นี่ทันทีที่รู้” ได้ยินเช่นนั้นฉีเซี่ยงหยวนก็พยักหน้าอย่างพอใจ  ก้มลงจัดการงานบนโต๊ะของเขาต่อ  เพียงแต่ทำไปได้ซักพักก็พบว่าหลิวฉางเฟยยังไม่ได้ออกไปไหน เพ่งตามองเขาอยู่  จึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ  ถามอย่างสงสัยใจว่า
“มีอะไรหรือ ? ”
“ช่วงนี้ข้าได้ยินว่าท่านปล่อยให้ทหารยามหละหลวม…” พูดถึงตรงนี้สายตายังคงมองท่าทีไม่ใส่ใจของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชาง
“แล้ว ? ”
“แล้วข้าก็ได้ยินมาอีกว่า…”
“รายงานท่านอ๋องน้อย  พระมาตุลามาถึงแล้วขอรับ” เสียงรายงานดังมาจากนอกประตูใหญ่
“ข้ารู้แล้ว  เดี๋ยวจะออกไป” พูดจบก็ผลักงานที่ยังทำไม่เสร็จไปกองรวมไว้ด้านข้าง ลุกขึ้นจากโต๊ะ  เงยหน้ามองสีหน้าไม่อยากจะเชื่อระคนสับสนงงงวยของคนสนิท  กล่าวว่า
“เจ้าเดาไม่ผิดหรอก  เพียงแต่คราวนี้ไม่ใช่ผู้หญิงเท่านั้นเอง” ฉีเซี่ยงหยวนทราบอยู่แล้วว่าปิดคนอื่นอาจปิดได้  แต่ไม่นานหลิวฉางเฟยจะต้องรู้แน่นอน 
“อ้อ  แล้วเจ้าก็อย่าโผล่หน้าไปให้เขาเห็นนะ  เดินอ้อมเอาหน่อย  ประตูอยู่ทางนั้น” พูดจบก็เดินออกจากห้องไปเฉยๆ
หลิวฉางเฟยยืนนิ่งค้างอยู่คนเดียว  ในหัวตีความประโยคเมื่อครู่กลับไปกลับมา
 
การวางทหารอารักขาฉีเซี่ยงหยวนเป็นงานใต้บังคับบัญชาของหลิวฉางเฟยโดยตรง  แต่หลายวันมานี้ ลูกน้องรายงานมาว่าอยู่ๆท่านอ๋องน้อยก็สั่งลดยามการรักษาการณ์ลงซะเฉยๆ  มิหนำซ้ำยังกวาดทหารที่ควรประจำอยู่ด้านหน้าไปด้านหลังตำหนักรับรองแทบจะหมดสิ้น ในช่วงหลังอาทิตย์ตกไปแล้วสองชั่วยาม จนถึงยามอิ๋น(3.00 น.-5.00 น.)  ไปแล้วจึงค่อยมีการเปลี่ยนสับเวรยามมาอยู่ด้านหน้าบ้าง 
หลิวฉางเฟยจึงไปสอบถามลูกน้องเรียงตัว  สุดท้ายได้ความมาว่า มีคนเห็นเกี้ยวหรูหราคันหนึ่งมาบ่อยครั้งหลังจากมีการสับเปลี่ยนเวรยาม  ข้ารับใช้ในตำหนักส่วนใหญ่ไม่ทราบเรื่อง  ส่วนคนที่รู้ก็ปิดปากสนิท ซึ่งเขาก็ไม่คิดจะเซ้าซี้เพราะเห็นชัดอยู่แล้วว่าถูกใครกำชับมา  เมื่อประกอบทั้งสามประการเข้าด้วยกัน  หลิวฉางเฟยจึงได้ข้อสรุปโดยไม่ต้องเดา  ท่านอ๋องน้อยก็คงผ่อนคลายตัวเองด้วยวิธีประจำนั่นแหละ  เพียงแต่คนผู้นี้ต้องเป็นสตรีสูงศักดิ์เรื่องราวจึงไม่อาจประเจิดประเจ้อจนเกินไป  ที่ถามนอกจากต้องการทราบว่าสตรีผู้นั้นเป็นใคร  ยังต้องการตำหนิการเปลี่ยนตำแหน่งเวรยามที่หละหลวมเกินเหตุของอีกฝ่ายด้วย

แต่ว่า  พระ…พระมาตุลาอย่างนั้นหรือ  หลิวฉางเฟยชักจะเข้าใจสาเหตุของความหละหลวมแล้ว  คนผู้นี้ไม่เพียงสูงศักดิ์อย่างยิ่ง  ยังกล่าวได้ว่าในแคว้นเหลียนแทบจะหาคนสูงศักดิ์กว่าเขาไม่ได้แล้ว  ที่สำคัญคือ…

เจ้านายของเขาเปลี่ยนรสนิยมตั้งแต่เมื่อใด ?
---------------------
ในห้องโถงรับรองอันหรูหราอันเป็นส่วนหนึ่งของที่พำนักชั่วคราวของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชาง  เหลียนอันสุ่ยนั่งก้มหน้าลง  แววตาครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด  การมาของเขาวันนี้ต้องการมาตำหนิพฤติกรรมไม่สำรวมของอีกฝ่ายโดยเฉพาะ  ความกลัวเริ่มกัดกินเขาอีกแล้ว…เอาเถอะ  ยังไงก็ปิดอิ๋งฮวาไม่ได้หรอก  เพียงแค่นางจะรู้ช้าหรือเร็วเท่านั้น  คิดพลางถอนหายใจ

“ใครทำท่านหนักใจ” น้ำเสียงทรงอำนาจถามขึ้นอย่างแปลกใจดังลอยมา  เงยหน้าขึ้นก็เห็น ‘ตัวต้นเหตุ’ เดินเข้ามา ซ้ำยังถือวิสาสะนั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับเขา
“เป็นคนไม่รักษาคำพูดผู้หนึ่ง”
ฉีเซี่ยงหยวนกระพริบตา ทวนคำว่า
“คนไม่รักษาคำพูด ?  ท่านคง…ไม่ได้หมายถึงข้ากระมัง”
“ท่านเคยสัญญากับข้าว่าเหลียนจิ้งเต๋อจะไม่รู้”
คนฟังมีท่าทีตกใจ ถามขึ้นว่า
“เขารู้แล้วหรือ!”
“หากท่านยังทำตัวไม่สำรวมเช่นนี้ไปเรื่อยๆอีกไม่นานเขาต้องรู้แน่”
ฉีเซี่ยงหยวนลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก  นี่แสดงว่ายังไม่รู้  เพียงแต่อาจมีคนเห็นเหลียนอันสุ่ยจึงมีท่าทีไม่พอใจ  มือใหญ่วางลงตรงเอวอีกฝ่าย  จงใจไล้เบาๆ  เหลียนอันสุ่ยผงะ  ดวงตามองอีกฝ่ายอย่างตื่นตระหนก
“ก็ตอนนั้นข้าโกรธ” ฉีเซี่ยงหยวนแก้ตัวหน้าตาเฉย
“โกรธ ? ”  เหลียนอันสุ่ยทวนคำสีหน้ามึนงง
“อืมม์  โกรธ” พูดจบก็กดริมฝีปากลงกับแก้มเนียนละเอียด  เลื่อนไปที่ใบหู…  เหลียนอันสุ่ยขยับร่างหนี  ลุกขึ้นเปลี่ยนไปนั่งเก้าอี้อีกตัว  ข่มความรู้สึกสั่นสะท้านให้เข้าที่เข้าทาง รีบเบี่ยงเบนความสนใจอีกฝ่ายด้วยบทสนทนา
“ท่านคิดจะทำอย่างไรกับพวกนาง”
“ใครนะ” ฉีเซี่ยงหยวนอมยิ้มบางๆ  รู้สึกว่าพื้นฐานนิสัยอันอ่อนโยนของอีกฝ่ายทำให้เหลียนอันสุ่ย กลายเป็นคนที่ไม่เหมาะกับอารมณ์โกรธเกรี้ยวเอาซะเลย
“ต้าอ๋องพระราชทานสตรีให้ท่านหนึ่งร้อยคน”
“อ้อ  นั่นของพระบิดาข้าต่างหาก  หรือพวกนางทำให้ท่านกังวลใจ ? ” ความรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องแปลกๆล่องลอยเข้ามา  อา  ความรู้สึกถูกหึงหวงนี่ดีแท้  ดวงตาคมกวาดมองอีกฝ่ายคล้ายต้องการหาความรู้สึกที่ถูกซุกซ่อนไว้  แต่ก็ต้องชะงักค้าง  เหลียนอันสุ่ยกังวลจริงๆ  แต่มันดูเคร่งเครียดเกินความหึงหวง  ดวงตาที่กระจ่างดั่งผิวน้ำฤดูใบไม้ร่วงปกคลุมด้วยเมฆหมอกแห่งความกังวล

“อย่างน้อยก็ต้องมีสิบกว่าคนที่เป่ยชางอ๋องจะพระราชทานให้ท่าน  ท่านคิด…คิดจะทำอย่างไรกับพวกนาง” ความกระหยิ่มยิ้มย่องสลายไปทันที  นี่เขากำลังหวังอะไร  พระมาตุลาแคว้นเหลียนใจกว้างเหมือนแม่น้ำ  เขาสมควรเดาได้แต่แรกแล้วว่าอีกฝ่ายกังวลสนใจกับชะตากรรมของสตรีชาวเหลียนพวกนั้นต่างหาก
“อืมม์  ข้ายังไม่ได้เห็นพวกนางเลยด้วยซ้ำ  ได้ยินมาว่าสตรีชาวเหลียนงดงามที่สุดในแผ่นดิน  หากพวกนางสวยงามจริงคงมีชะตากรรมที่ไม่เลวนัก” หมายถึงว่า คงได้รับความเอ็นดูจากบุรุษที่ครอบครองพวกนางไม่น้อย 
เหลียนอันสุ่ยแย้งช้าๆว่า
“ท่านผิดแล้ว  โฉมสะคราญล้วนอาภัพ  ถ้าพวกนางหน้าตาธรรมดากว่านี้คงไม่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน” ในโลกที่บุรุษเป็นใหญ่ สตรีมีฐานะไม่ต่างกับทรัพย์สิน  ไม่เพียงยกให้กันได้ ยังไม่มีสิทธ์ออกปากอันใด  ไม่ว่าสตรีธรรมดาหรือสูงศักดิ์ล้วนไม่ต่างกัน  เพียงแต่บุรุษที่มีสิทธ์ครอบครองนางเป็นคนละกลุ่มกันเท่านั้น

“สิ่งที่รอพวกนางอยู่ไม่แน่ว่าจะเป็นโชคร้าย  ทำไมท่านต้องเดือดร้อนถึงเพียงนี้”  ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้ว  เหลียนอันสุ่ยไม่น่าจะไม่เข้าใจข้อนี้  มิหนำซ้ำนี่ยังเป็นธรรมเนียมทั่วไป  ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว
“ท่านยังจำนายกองเสบียงที่ข้าเคยแนะนำให้ท่านก่อนหน้านี้ได้หรือไม่”
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้ว
“ท่านหมายถึงเถี่ยเจิ้ง”
“เขานั่นแหละ…ข้ารู้ว่าเขายังไม่มีผลงานอันใด” สูดลมหายใจลึกแล้วกล่าวต่อว่า “แต่ถ้าท่านยกสตรีนางหนึ่งให้เขา  เขาจะขายชีวิตให้ท่าน”
คนเป็นอ๋องน้อยหรี่ตาลง  คล้ายกับเห็นความเชื่อมโยงของเรื่องราวรางๆ
“สตรีนางนั้นเป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการ ? ”
เหลียนอัยสุ่ยไม่ตอบ  แต่เห็นท่าทีเขาแล้วฉีเซี่ยงหยวนก็ทราบว่าตัวเองเดาไม่ผิด จึงกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้น คนที่กำหนดเรื่องนี้ได้ก็ไม่ใช่ข้า  แต่เป็นเป่ยชางอ๋อง”
“ข้ารู้ว่าท่านทำได้  มีแต่ท่านที่ทำได้” น้ำเสียงร้อนรนทำลายบุคลิกสงบใจเย็นเสมอมา

ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง  ท่าทีภายนอกยังคงนิ่งเฉย กล่าวช้าๆ ว่า
“ท่านก็ยังไม่ชราเท่าไหร่  ทำไมอยู่ดีๆถึงคิดทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทรา*…นางมีความสำคัญต่อเขาหรือท่านกันแน่” ควรทราบว่าข้อสันนิษฐานนี้มิใช่เป็นไม่มีเหตุผล  เถี่ยเจิ้งติดหนี้บุญคุณของเหลียนอันสุ่ยมากมาย  ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่เพราะพระมาตุลาอวี้เฉียนคงจัดการเถี่ยเจิ้งไปนานแล้ว  ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเหลียนอันสุ่ยเป็นคนแนะนำเถี่ยเจิ้งให้ฉีเซี่ยงหยวนเอง  ถ้าสตรีนางนี้เป็นคนสำคัญของเหลียนอันสุ่ย  เถี่ยเจิ้งไม่มีทางกล้าแตะต้อง  ทั้งยังจะช่วยดูแลให้เป็นอย่างดี

“ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
“แล้วอย่างไหนจึงจะเข้าใจถูก  ท่านถึงกับเอ่ยปากกับข้าด้วยตัวเอง  ซ้ำยังเดือดร้อนถึงเพียงนี้”  ความรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องเริ่มจะกลายเป็นโทสะเยียบเย็น  มองท่าทีเม้มปากนิ่งของคนตรงหน้าอย่างขัดใจ
เหลียนอันสุ่ยพยายามหาวิธีอธิบาย  แต่ก็ทราบว่ายากจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น  เพราะเขาเริ่มรู้สึกถึงโทสะเลือนรางที่กำลังก่อตัว  สุดท้ายจึงถอนหายใจ  ตัดสินใจเลื่อนการอธิบายไปก่อน

-----------------------------
*ผู้เฒ่าจันทรา เป็นเทพแห่งความรักตามความเชื่อของจีน  ในมือถือสมุดเล่มหนึ่งบันทึกเกี่ยวกับบุพเพสันนิวาสของแต่ละคนเอาไว้(ที่เชื่อกันว่าคนที่เป็นคู่กันจะมีด้ายแดงผูกติดกันนั่นแหละค่ะ) เขาจะมีหน้าที่จับคู่ให้มนุษย์และคอยดูแลให้มันเป็นไปตามนั้น

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 7
«ตอบ #27 เมื่อ17-07-2014 18:42:46 »


บทที่ 7 สาเหตุของความเข้าใจผิด

          ตะวันยามสายลอยเด่นสาดแสงเจิดจ้าอยู่บนท้องฟ้า  ส่วนหน้าของตำหนักรับรองกำลังรับแขกมากมาย  เต็มไปด้วยการพูดคุยถกเถียง  ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่เหนือการถกเถียงพวกนั้น หลี่กวงเว่ยมาแล้ว ทุกอย่างจึงค่อยๆเข้าสู่ความเรียบร้อย  ความสามารถในการจัดการพวกขุนนางหลี่กวงเว่ยนับว่าเหนือกว่าลูกน้องทุกคนของเขา  จางจื่อหยูสามารถรับมือกับขุนนางผู้ใหญ่  แต่วิธีบริหารงานต่างๆยังด้อยกว่าหลี่กวงเว่ยมากนัก  โครงสร้างอำนาจของฉีเซี่ยงหยวนที่เป่ยชางล้วนพึ่งพาการจัดการอันเหมาะสมของคนผู้นี้
สำหรับฉีเซี่ยงหยวน อำนาจมิใช่สิ่งได้มาโดยง่าย  ประการสำคัญก็คือ อำนาจที่มากเกินไปหากปราศจากการจัดการที่เหมาะสมโครงสร้างของมันจะอ่อนแอ  ‘คนๆเดียวอาจกุมอำนาจไว้ในกำมือ  แต่ความยิ่งใหญ่ของคนผู้นั้นไม่ได้เกิดจากเขาคนเดียว’  ดังนั้นฉีเซี่ยงหยวนจึงให้ความสำคัญกับคนมีความสามารถ  ซ้ำยังซาบซึ้งกับการทุ่มเททำงานของพวกเขา  ไม่เช่นนั้นต่อให้ฉีเซี่ยงหยวนเก่งกาจกว่านี้  ก็คงเหนื่อยตายไปนานแล้ว

“ท่านอ๋องน้อย  เรื่องที่ท่านให้ไปทำ คือ…” เสียงของหลิวฉางเฟยทำให้ฉีเซี่ยงหยวนหันไปมอง
“เขามาจริงๆ ? ”
“ขอรับ ตอนนี้กำลังอยู่ทางด้านหลังของเรือนรับรอง”

ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง  ด้านหลังไม่ใช่ด้านหน้า  เห็นได้ชัดว่าเหลียนอันสุ่ยไม่ได้มาหาเขา  แต่มาหา ‘นาง’  เรือนรับรองที่กว้างขวางหรูหราแห่งนี้  ด้านหลังยังเชื่อมต่อกับตำหนักอีกหลังที่ใหญ่โตยิ่งกว่า  ตั้งแต่การสนทนาเมื่อสองคืนก่อน  ฉีเซี่ยงหยวนก็ใช้ให้คนไปเฝ้าด้านหลังของตำหนักรับรองไว้  เพราะบรรดาสตรีที่เหลียนอ๋องประทานให้ล้วนพักอยู่ด้านหลังทั้งหมด

“นั่นท่านจะไปไหน!” น้ำเสียงแผ่วเบาของหลิวฉางเฟยตื่นตระหนก เมื่ออยู่ดีๆ คนที่นั่งอยู่ว่างๆก็ผุดลุกขึ้น
“ข้าออกไปครู่หนึ่งไม่เป็นไรหรอก  ตรงนี้ให้จางจื่อหยูจัดการไป  ขอเพียงทำตามวิธีของหลี่กวงเว่ยก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
---------------------
ทางเดินของตำหนักรับรองแคว้นเหลียนสวยงามกว้างขวาง  ลูกกรงไม้แต่ละซี่ล้วนทำจากไม้ชั้นดีสีเท่ากันที่ปราศจากตำหนิ  ราวบันไดแกะเป็นเกล็ดมังกรให้สัมผัสราบรื่นไม่สะดุดติดขัด  นับเป็นงานฝีมือชั้นสูง  แต่ฉีเซี่ยงหยวนไม่มีกะใจจะไปชื่นชมมันแม้แต่น้อย  สองเท้าก้าวยาวๆต่อเนื่องตามกัน  เบื้องหลังเขาคือหลิวฉางเฟยที่ก้าวตามมาอย่างเงียบกริบ  เมื่อถึงหัวมุมเสาหลิวฉางเฟยก็เปลี่ยนเป็นเดินนำอีกฝ่ายเข้าสู่พื้นที่ส่วนหลังของตำหนักรับรอง  นี่คือหลิวฉางเฟย  เขาติดตามฉีเซี่ยงหยวนนานพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรและตัวเองต้องทำอะไร

ข้ารับใช้คนหนึ่งยืนหลบอยู่หลังเหลี่ยมเสา  เมื่อเห็นทั้งสองเดินมาก็ค้อมศีรษะให้อย่างนอบน้อม  ฉีเซี่ยงหยวนพยักหน้าเล็กน้อยเป็นความหมายว่าให้จากไป  ทุกอย่างล้วนเป็นไปอย่างเงียบเชียบ  ได้ยินเสียงสนทนาดังมา  เป็นเสียงแผ่วทุ้มที่คุ้นเคยกับเสียงสะอึกสะอื้นของสตรี

เหลียนอันสุ่ยมาจริงๆ  เงาหลังสูงโปร่งของเขาทอดเป็นเงายาวอยู่บนพื้นหินขัด  เบื้องหน้ามีสตรีหลั่งน้ำตาเนืองนองหน้านางหนึ่ง  ดวงตาทั้งคู่ของนางเจ็บปวดทุกข์ระทม  ถึงแม้นางจะร้องไห้จนตาบวมแดง  แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีที่มีรูปโฉมสวยสะคราญอย่างยิ่ง

“เจ้าวางใจเถอะ  ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย” น้ำเสียงปลอบประโลมของเหลียนอันสุ่ยทำให้นางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย  ริมฝีปากบางขบลงอย่างขมขื่น ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ท่านก็ทราบว่ามันไม่มีทางเรียบร้อย  ความจริงเรื่องของบ่าวกับเขาไม่มีทางลงเอยกันอยู่แล้ว  ท่านเป็นถึงพระมาตุลาไม่จำเป็นต้องกังวลสนใจกับเรื่องของนางกำนัลเล็กๆเช่นนี้  บ่าว…บ่าวเพียงอยากให้ท่านช่วยบอกต่อเขา  ว่าเราไม่มีวาสนาต่อกัน  เท่านั้นบ่าวก็…ก็สำนึกขอบคุณพระมาตุลามากแล้ว” น้ำเสียงของนางสั่นสะท้าน  แต่ก็ยังพยายามจะฝืนยิ้ม
“เจ้าเป็นเพื่อนสนิทของเยี่ยนจื่อ  เจ้าเศร้าเสียใจนางก็ไม่มีรอยยิ้มมาหลายวันแล้ว จือหลัน ถ้าข้ายังใจดำมองนางตายทั้งเป็นอยู่อย่างนั้นก็ออกจะเป็นนายที่ใช้ไม่ได้ไปแล้ว”
“พระมาตุลา  บ่าว  บ่าว…” นางพูดได้เพียงเท่านี้ก็ทำท่าจะคุกเข้าโขกศีรษะ  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับพยุงนางด้วยมืออันมั่นคงก่อนที่นางจะย่อตัวลง  ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยหยาดน้ำตาบนหน้านางแผ่วเบา  ดวงตาอ่อนโยนเต็มไปด้วยประกายอันหลากหลาย  ถามเบาๆว่า
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าในวังหลวงแห่งนี้ความรักที่ลึกซึ้งจริงใจหาได้ยากปานใด…เจ้ากับเขารักกันมาแปดปี  เจ้าถึงกับหักใจทอดทิ้งได้ง่ายๆเช่นนี้เชียวหรือ”
“บ่าวไม่มีทางเป็นภรรยาเขาได้  นี่เป็นราชโองการลงมา  ไม่มีใครสามารถขัดขืน  อย่าว่าแต่…ตั้งแต่เป็นนางกำนัล  ความจริงก็ไม่อาจแต่งงานตามอำเภอใจ…” คำพูดของนางคล้ายกำลังพร่ำเพ้อกับตัวเอง  แต่ก็สะท้อนเรื่องราวมากหลาย  ยิ่งแคว้นที่เจริญเท่าใด กฎระเบียบก็ยิ่งตราไว้มากมายเท่านั้น  และกฎบางกฎ…บางครั้งก็ทำลายผู้คนไปอย่างน่าเสียดาย
เหลียนอันสุ่ยมองนาง  นึกสะท้อนใจกับตัวเอง  ถามคล้ายต้องการจะฉุดรั้งสติของนางคืนมา
“เจ้ารักเขาหรือเปล่า”
“มัน…มันจะมีประโยชน์ใด”

“ถ้าเจ้ารักเขา  เจ้าก็ต้องปล่อยให้ข้าช่วยเจ้า  และเจ้าก็ต้องเชื่อว่ามันจะมีทางออก  อย่าละทิ้งความหวังของตัวเองไป  เข้าใจหรือไม่” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน  ราวกับสายน้ำที่ชะเอาทุกความเดือดเนื้อร้อนใจไป  ดวงตาจ้องมองนางเงียบๆ 
สตรีนามจือหลันค่อยๆสงบลงช้าๆ  ภายใต้ประกายตาของเขานางคล้ายกับได้รับความสงบที่ปราศจากความสับสนวุ่นวายกลับมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน  พยักหน้ารับ  ทั้งสองล่ำลากันเงียบๆ  นางคุกเข่าโขกศีรษะให้เขาก่อนจากไป 

เหลียนอันสุ่ยมองตามเงาหลังบอบบางที่คล้ายกับมีความหวังขึ้นมาแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ  โล่งใจกับหนักใจอย่างละครึ่ง  แต่ก็ตกลงใจว่าช่วยเหลือนางให้ได้  เขาไม่ต้องการเห็นความรักที่ลึกซึ้งงดงามรายนี้ต้องแหลกสลายไป  ขณะหันหลังกลับมากลับเห็นคนที่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่จ้องมองมาด้วยแววตาหลากหลาย

“นางคือคนที่ท่านพูดถึงเมื่อสองวันก่อน ? ”
“…อืมม์” เหลียนอันสุ่ยพยักหน้าหลังชะงักไปวูบใหญ่  ทราบว่าโอกาสช่วยนางมาถึงแล้ว  แต่เขายังไม่ค่อยแน่ใจเพราะยังอ่านอารมณ์ในแววตาของฉีเซี่ยงหยวนไม่ออก  จึงอธิบายด้วยน้ำเสียงกลางๆว่า
“นางรักกับเถี่ยเจิ้ง  ถ้าท่านยอมยื่นมือช่วยเหลือ  เขาจะซาบซึ้งท่านไปจนวันตาย”
“ท่านแน่ใจ ? ”
“ไม่มีวิธีซื้อใจเขาที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว” ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยมีแววขอร้องจางๆ
“แล้วข้า…ซื้อใจท่านได้รึเปล่า ? ” พูดคล้ายพึมพำกับตัวเอง
“ท่านว่าอะไรนะ” คนฟังได้ยินไม่ถนัด  แต่ฉีเซี่ยงหยวนหันกายจากไปแล้ว  ก่อนไปเหลียวหน้ากลับมากล่าวว่า
“เอาเป็นว่าข้าจะลองเอาไปคิดดู”
เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจอีกครั้งอย่างโล่งอก  ถึงแม้ยังต้องรอดูต่อไปแต่ก็น่าจะพอมีหวังแล้ว
---------------------
ตลอดทางเดินกลับห้องประชุม ฉีเซี่ยงหยวนก้าวเดินอย่างเงียบกริบเช่นเดียวกับขามา  หลิวฉางเฟยเดินตามไม่ห่าง  แววตาครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร  ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนต้องการความเงียบ 
ในหัวของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชางมีแต่ภาพแววตาของเหลียนอันสุ่ย  ในหูแว่วเสียงปลอบประโลมอันอ่อนโยน  คล้ายกับเพิ่งมองเห็นตัวตนจริงๆของพระมาตุลาผู้นั้นเป็นครั้งแรก 

ฉีเซี่ยงหยวนเคยเห็นเหลียนอันสุ่ยเป็นบิดาการุณย์  เป็นพระมาตุลาผู้ใจเย็น  แต่กลับไม่เคยเห็นอำนาจที่แท้จริงในตัวเขา  อำนาจของฉีเซี่ยงหยวนทำให้คนกลัวเกรง  แต่พลังอำนาจของเหลียนอันสุ่ยกลับทำให้ผู้คนนิยมเลื่อมใส  เกิดความรู้สึกพึ่งพาได้และมั่นคง

ความจริงเหลียนอันสุ่ยไม่ได้ด้อยกว่าฉีเซี่ยงหยวนหรืออวี้เฉียนเลย  เพียงแต่ประกายของเขาเย็นตาเกินไป  ผู้คนจึงมักเห็นแต่ความโดดเด่นของอวี้เฉียน ประกอบกับตัวเขาเองไม่ต้องการจะออกหน้าและไม่ใส่ใจจะสร้างชื่อเสียง  ทั้งๆที่จริงๆแล้วเหลียนอันสุ่ยสามารถยืนในระดับเดียวกับทั้งคู่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ   ที่ฉีเซี่ยงหยวนเหนือกว่าเขาได้เป็นเพียงเพราะใช้วิธีการสกปรกกำจุดอ่อนของอีกฝ่ายอยู่ในมือเท่านั้น

ในใจของหลิวฉางเฟยกลับมีความคิดไปอีกอย่างหนึ่ง  เขามิใช่ไม่เคยพบพระมาตุลาแคว้นเหลียน  เพราะเคยติดตามฉีเซี่ยงหยวนเข้าประชุมขุนนางอยู่บ่อยครั้ง  เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นความอ่อนโยนของอีกฝ่าย  คนผู้นี้คล้ายกับ...คล้ายกับดีเกินไปบ้าง  ท่านอ๋องน้อยไม่น่าจะชอบคนประเภทนี้ 

ปรกติฉีเซี่ยงหยวนแม้อยากได้อะไรก็ต้องคว้ามา  แต่ก็มักตำหนิสตรีดีงามน่าเบื่อหน่ายไปบ้าง  ต้องใช้ความรับผิดชอบมากเกินไปบ้าง  ซ้ำบางครั้งยังออกจะฉลาดน้อยเกินไปซักเล็กน้อย  ส่วนพวกที่ฉลาดมากๆก็เป็นพวกหัวแข็งและคาดหวังสูง 

นางบำเรอคนโปรดของฉีเซี่ยงหยวนแต่ละคนล้วนเป็นโฉมงามที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างหาตัวจับได้ยาก  ที่เหมือนกันคือทุกนางล้วนเข้าใจแต่แรกว่าฉีเซี่ยงหยวนมิใช่ของพวกนางคนใดคนหนึ่ง  และไม่อ่อนเดียงสาพอที่จะคิดไปเองว่าพวกนางสามารถเรียกร้องความรับผิดชอบจนเกินพอดีจากเขา  ฉีเซี่ยงหยวนลุ่มหลงพวกนางได้  ก็เบื่อหน่ายพวกนางได้เช่นกัน  นี่เป็นสิ่งที่หลิวฉางเฟยเห็นมาโดยตลอด  แต่คราวนี้ทำไมถึง...  บางทีนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องกลุ้มใจ  คนกลุ้มใจควรจะเป็นจางจื่อหยูกับหลี่กวงเว่ยต่างหาก 
แค่ยุ่งเกี่ยวกับพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็เป็นการ  เอ่อ...เหยียดหยามที่รุนแรงพออยู่แล้ว  หากสุดท้ายยังทิ้งขว้าง...  หลิวฉางเฟยพลันไม่อยากจะคาดเดาผลสุดท้าย

“ฉางเฟย”
“ขอรับ ? ”
“อีกไม่นานการประชุมก็น่าจะจบแล้ว  ไปเชิญ ‘นาง’ มารอที่ห้องโถงรับรอง”
“ขอรับ” หลิวฉางเฟยเหลือบมองแววตาของนายเหนือหัว  แต่ก็ยังเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ออก
--------------
สำหรับวันนี้นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เหลียนอันสุ่ยมาเหยียบตำหนักรับรอง  ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนส่งคนไปเชิญเขามา  อิ๋งฮวาได้ยินก็ชักสีหน้าไม่ยินยอมให้มาท่าเดียว  จนเหลียนอันสุ่ยต้องอธิบายว่าเรื่องราวเกี่ยวพันกับจือหลันนางจึงมีท่าทีอ่อนลง  แปรเปลี่ยนเป็นกังวล แต่ก็ยืนกรานขอติดตามมาด้วย 

ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่ด้านใน  ตรงหน้าเป็นสตรีเจ้าของเรื่องทั้งหมด  ด้านหลังเป็นคนสนิทนามหลิวฉางเฟย  เมื่อได้ยินเสียงขานฉีเซี่ยงหยวนจึงเงยหน้าขึ้นมา
“ที่แท้ท่านคิดจะทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทราจริงๆ  ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ต่างให้ความสำคัญช่างเป็นพระมาตุลาที่น่าเลื่อมใส  แต่ทำเช่นนี้จะไม่เหนื่อยไปหน่อยหรือ ? ” เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก  ฟังออกว่าน้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนเพียงสัพยอกไม่ได้แฝงความขุ่นเคืองอีก  ดูจากลักษณะคาดว่าคงทราบต้นสายปลายเหตุทั้งหมดจาก ‘นาง’ แล้ว
“เรื่องของจือหลันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย  นางทำให้สาวใช้ในตำหนักข้ากังวลกันแทบกินไม่ได้นอนหลับไม่สนิทมาหลายคืนแล้ว” ได้ยินเช่นนั้นสตรีนามจือหลันรีบหันมามอง  แววตาที่มองพระมาตุลามีแววสำนึกตื้นตัน  ส่วนที่มองอิ๋งฮวาเป็นขอบคุณปะปนกับรู้สึกผิด
“เจ้ายังไม่รีบขอบคุณพระมาตุลาอีก” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าว
“จือหลัน  เจ้าต้องขอบคุณท่านอ๋องน้อยไม่ใช่ข้า  เรื่องนี้นอกจากเขาแล้วใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้” เหลียนอันสุ่ยพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้ทางซ้ายมือของฉีเซี่ยงหยวน
“จือหลันขอบคุณท่านอ๋องน้อย  จือหลันขอบคุณพระมาตุลา”

เรื่องทั้งหมดค่อยๆเข้าที่เข้าทาง  เหลียนอันสุ่ยมีท่าทีผ่อนคลายขึ้น  แต่หญิงรับใช้ที่ตามพระมาตุลามาด้วยกลับจ้องฉีเซี่ยงหยวนเขม็ง  จ้องจนฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา  ขนาดหญิงที่เป็นเครื่องบรรณาการออกไปแล้ว  นางยังคงไม่เลิกลอบมอง  มิหนำซ้ำยังมิใช่มองอย่างเสน่หาแต่เป็น...

ความจริงฉีเซี่ยงหยวนค่อนข้างคุ้นชินกับสายตาไม่ชอบหน้าของผู้อื่น  ทั้งขุนนางในราชสำนักของบิดากับชาวเหลียนบางคนก็แสดงท่าทีชัดเจนอยู่  แต่ว่านาง...ออกจะชัดเกินไปกระมัง  คล้ายกับถ้าสามารถใส่ยาถ่ายลงไปในถ้วยชาของเขาได้คงทำไปแล้ว
เหลียนอันสุ่ยก็รู้สึกได้เช่นเดียวกัน  จึงส่งสายตาปรามหญิงรับใช้ของตัวเอง  อิ๋งฮวาจึงยอมล่าถอยออกไป  พร้อมกับคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวน

“นาง...”
เหลียนอันสุ่ยตัดบทว่า
“นางแค่คิดมากไปหน่อย...ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่าน”

“ที่แท้ความรักเช่นนี้มีอยู่จริงๆ ถึงกับแอบรักกันมาแปดปีกว่า...” ฉีเซี่ยงหยวนพูดคล้ายกำลังรำพึงกับตัวเอง  ทำไมตัวเขาถึงไม่เคยยึดติดกับใครได้จริงๆจังๆซักครั้ง  ฉีเซี่ยงหยวนมิใช่ไม่เห็นค่าของมัน  แต่ก็ทราบว่ามันไม่มีประโยชน์ การมีความรักอย่างลุ่มหลงงมงายรังแต่เพาะสร้างปัญหาและจุดอ่อน ฉีเซี่ยงหยวนเคยถามตัวเองว่าถ้าหยุดได้  จะยอมหยุดทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดารึเปล่า  คำตอบคือไม่  ต่อให้เขาเป็นเพียงคนธรรมดา  เขาก็ต้องพาตัวเองมาถึงจุดนี้ให้ได้ ให้ตอบกี่ครั้งก็เหมือนเดิม  และไม่เคยเสียใจในทุกอย่างที่ได้ทำลงไป

เหลียนอันสุ่ยมองคนที่จมอยู่กับความคิดตัวเอง  ทราบว่าอีกฝ่ายคงรู้มาแบบทะลุปรุโปร่ง    ต่อให้ จือหลันตั้งใจปิดบังเรื่องราวจากฉีเซี่ยงหยวนเขาก็มีวิธีทำให้นางบอกออกมาอยู่ดี  อย่าว่าแต่นางไม่กล้าปิดบังหรอก  ฉีเซี่ยงหยวนมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้คนเกรงกลัว  ขุนนางชาวเหลียนมีไม่น้อยที่กลัวอ๋องน้อยผู้นี้จนหัวหด  แต่เท่าที่ดูขุนนางจากเป่ยชางเองก็ไม่ต่างกันล่ะนะ  คิดถึงตรงนี้ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆ

“ตอนนั้นข้าหมายความอย่างที่พูดจริงๆนะ  ท่านเอาใจใส่ทุกเรื่องเช่นนี้  ไม่เหนื่อยบ้างหรือ”
เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วนิ่งไป
“ข้า...  ข้าก็ไม่ได้จัดการเรื่องทุกอย่างเองทั้งหมดนี่  ถ้าท่านดูจริงๆ คนที่จัดการเรื่องนี้เป็นท่านต่างหาก”
“อืมม์  นั่นสินะ  ถ้าอย่างนั้นข้าขอค่าตอบแทนซักเล็กๆน้อยๆก็คงไม่เป็นไร” พูดจบคนที่นั่งๆอยู่ดีๆก็เดินถึงด้านหลังพนักเก้าอี้เขา  จมูกโด่งเฉียดผ่านผิวแก้มเบาๆ คล้ายจงใจ คล้ายไม่เจตนา
“ท่าน!” เสียงอุทานแผ่วเบาดังลอดออกมาจากปากของเหลียนอันสุ่ยอย่างตกใจ
 “ข้ารู้  ไม่ทำอะไรเกินเลยหรอก” เสียงแผ่วทุ้มจงใจกล่าวชิดกับใบหูอีกฝ่าย  ทำให้ลมหายใจอุ่นร้อนรดใบหูกับผิวข้างแก้ม
“ท่านไม่จำเป็นต้องพูดใกล้ถึงเพียงนี้กระมัง” น้ำเสียงราบเรียบทำให้ทราบว่าอารมณ์ของคนพูดกลับสู่ระดับปรกติ  ควบคุมตัวเองเก่งจริงนะ
“ถึงท่านจะบอกว่าให้คนอื่นจัดการแทนก็เถอะ  แต่ดูเหมือนท่านจะรู้เสมอเลยนะว่าใครจะทำอะไรให้ท่านได้  ถ้าไม่ได้ใคร่ครวญอย่างละเอียดมารอบหนึ่งเรื่องแบบนั้นคงทำไม่ได้หรอก” พูดพลางเป่าลมรดใบหูคนที่นั่งอยู่เบาๆ  ทำให้เหลียนอันสุ่ยแทบจะรู้สึกได้ว่าริมฝีปากของอีกฝ่ายอยู่ใกล้แค่ไหน  รวมถึงไอร้อนผ่าวที่ไม่ทราบว่ามาจากริมฝีปากอีกฝ่ายหรือใบหูของตัวเอง  จึงเบือนหน้าหลบไปอีกทาง  ทำให้เส้นผมปัดโดนจมูกของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ท่านนี่ยั่วใจข้าจริงหนอ” นิ้วมือแข็งแรงไล้ไปตามเส้นผมสีดำที่เรียบลื่นเป็นมันเงา หยิบขึ้นมาจรดริมฝีปากเบาๆ  เหลียนอันสุ่ยถึงกับทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอความสนิทสนมอันแปลกพิเศษเช่นนี้  แม้ยังสามารถข่มให้ตัวเองนั่นตัวตรงอยู่ได้แต่ก็แข็งทื่อไปทั้งร่าง  หันกลับมาก็เห็นสายตาหลุบต่ำมองสาบเสื้อของเขาอย่างมีความหมาย  ขณะกำลังคิดว่าจะหลบจากสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้อย่างไรดี  สายตาที่หลุบต่ำก็ช้อนขึ้นมาสบ  รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนริมฝีปาก  แล้วริมฝีปากของฉีเซี่ยงหยวนก็ฉวยโอกาสนาบลงบนริมฝีปากของเขา!  จะถอยหนีก็เจอฝ่ามือใหญ่ที่คอยท่าอยู่แล้วที่ท้ายทอย  เหลียนอันสุ่ยนับว่าได้รับทราบความสามารถทางด้านนี้ของฉีเซี่ยงหยวนแล้ว

“นายท่าน  นายน้อยน่าจะเลิกเรียนแล้ว  ไม่ทราบว่าท่านจะกลับตำหนักเลยหรือไม่เจ้าคะ” เสียงของอิ๋งฮวาดังลอดประตูเข้ามาทำให้ฉีเซี่ยงหยวนชะงัก  เหลียนอันสุ่ยจึงได้โอกาสหลบจากฝ่ามือของอีกฝ่ายลุกขึ้นยืน  แววตามีความปวดร้าวที่ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนไม่กล้ารั้งตัวเขาไว้อีก

ส่วนหลิวฉางเฟยที่ยืนสงบอยู่ด้านนอกมาโดยตลอดก็ขมวดคิ้ว มองหญิงรับใช้ที่จู่ๆ ก็ส่งเสียงรบกวนคนข้างในอย่างไม่เข้าใจ  นาง...จงใจ
---------------------
ความมืดยามหัวค่ำค่อยๆ โรยตัวมาจากฟากฟ้าเบื้องบน  มีแสงไฟลอดออกมาจากห้องหนังสือในตำหนักพระมาตุลา  ภายในเหลียนอันสุ่ยกำลังฝนหมึกช้าๆ  แม้พวกบ่าวรับใช้จะพยายามเสนอตัวมาช่วยฝนให้ แต่ก็ถูกปฏิเสธไป
เมื่อเห็นท่าทีของคนเป็นนายแล้ว  กระทั่งอิ๋งฮวายังไม่กล้ารบกวน  แววตามีความรู้สึกผิด  ตอนนั้นทุกอย่างกะทันหันไปหมด  นางคิดแค่ว่าจะช่วยนายท่านจากเงื้อมมืออ๋องน้อยผู้นั้นอย่างไร  จึงพูดออกไปโดยไม่ทันใคร่ครวญให้ละเอียด

กลิ่นยางสนที่ลอยขึ้นมาปะปนกับกลิ่นน้ำหมึกทำให้จิตใจของเหลียนอันสุ่ยสงบลงได้บ้าง  มีแต่ตัวเขาเองที่ทราบว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากอิ๋งฮวา  ความสับสนวุ่นงายทั้งหมดนี่ก็ด้วย  ความจริงยังต้องขอบคุณนางที่ช่วยให้ฉุกคิดถึงความจริงบางประการ 
ถึงแม้เขายังรู้สึกผิดกับเหลียนจิ้งเต๋อและก็ยังกลัวการปิดบังจะพังทลายลง  แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับชัดเจนขึ้น  คิดขณะมองน้ำหมึกดำสนิทบนแท่นฝน  เหลียนอันสุ่ยทราบแล้วว่าตัวเองกลัวอะไรกันแน่  เขากลัวใจตัวเอง 

ตอนอวี้เฉียนแม้เหตุการณ์จะเป็นไปในลักษณะนี้เช่นกัน  หากเหลียนอันสุ่ยยังมีความรู้สึกว่าตัวเองควบคุมมันได้  ฉีเซี่ยงหยวนกลับแตกต่างออกไป  คนผู้นี้กล้ากว่าอวี้เฉียน  จัดเจนกว่าอวี้เฉียน  แค่คิดถึงวิธีที่อีกฝ่ายใช้ทำลายการควบคุมตัวเองของเขาก็ทราบแล้วว่าเขามิใช่คู่มืออีกฝ่ายเด็ดขาด  และก็ทราบได้ว่ามีสตรีอีกมากมายเท่าไหร่ที่ไม่มีปัญญาต้านทานอ๋องน้อยผู้นั้นได้เช่นกัน  เหลียนอันสุ่ยฝืนยิ้มกับตัวเอง  ขณะจรดพู่กันลงบนกระดาษ 

ในขณะที่แคว้นอื่นยังใช้ไม้ไผ่กับผ้าไหม แคว้นเหลียนกลับมีกระดาษใช้แล้ว  แม้คุณภาพยังไม่ดีนักก็ตาม  การคัดลอกตำราความจริงมิใช่งานของเหลียนอันสุ่ย  แต่เหลียนอันสุ่ยในตอนนี้ไม่มีปัญญาไปทำงานอย่างอื่น  ขนาดตัวหนังสือที่คัดลอกมา  ยังรู้สึกว่ามันออกจะกระด้างไร้ชีวิตจิตใจไปบ้าง

แสงโคมในห้องส่องกระดาษจนเป็นสีเหลืองนวล  เหลียนอันสุ่ยต้องหยุดจับจ้องมันอีกครา  ความคิดในใจจมลึกลงในภวังค์ครุ่นคิด  ทำไมเหลียนอันสุ่ยจะไม่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนมิใช่คนประเภทที่จะรักคนเพียงคนเดียวไปจนตาย  สนใจได้ก็เบื่อหน่ายได้  กับเรื่องเช่นนี้เหลียนอันสุ่ยเห็นจนเจนตามานานแล้ว 

ไม่จำเป็นต้องเป็นถึงอ๋องน้อย  แค่ลูกคหบดีมีทรัพย์หน่อยก็เปลี่ยนนางบำเรอคนโปรดตามใจชอบ  ความจริงเหลียนอันสุ่ยก็ภาวนาให้อีกฝ่ายเบื่อหน่ายเขาโดยเร็ว  เพียงแต่ว่า...

‘ท่านเอาใจใส่ทุกเรื่องเช่นนี้  ไม่เหนื่อยบ้างหรือ ? ’

นี่อาจเป็นครั้งแรกที่มีคนถามเขาเช่นนี้  และก็เป็นครั้งแรกที่พบว่าตัวเองโดดเดี่ยวเหลือเกิน 

พู่กันในมือของเหลียนอันสุ่ยจรดลงอีกครา  แต่ลากอย่างเชื่องช้ายิ่ง  มีแต่ตัวเหลียนอันสุ่ยเองที่ทราบว่ากรอบของเขาไม่ได้แข็งแรงอย่างที่ใครๆ คิดเลย  ความสัมพันธ์เกินเลยยากจะไม่ก่อให้เกิดความผูกพัน  อย่างน้อยเขาก็เป็นเช่นนี้  อาจบางทีมีแต่เขาที่รู้สึกว่ามันมีความหมายที่ลึกซึ้ง  ควรจะเป็นขอบเขตสำหรับคนที่มีความรู้สึกพิเศษต่อกัน  ในขณะที่ฉีเซี่ยงหยวนเพียงยึดถือมันเป็นการตอบสนองความต้องการตามธรรมชาติ  เหลียนอันสุ่ยเอง...จริงๆก็ควรจะให้มันเป็นเพียงแค่นั้น  แต่เขาทำไม่ได้

เหลียนอันสุ่ยเพียงหวังว่าฉีเซี่ยงหยวนจะไม่แตะต้องเขาอีก  การมีความรู้สึกเกินเลยสำหรับเขาออกจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเกินไปจริงๆ...

==========
เห็นมีคนบ่นว่านายเอกเจ็บปวดอยู่ฝ่ายเดียวไม่ยุติธรรม555 
ไม่ต้องห่วงเพราะความยุติธรรมมีอยู่จริงเดี๋ยวคอยดูว่าหลังๆจะกลายเป็นอย่างไร 
เรื่องมันเริ่มจากฉีเซี่ยงหยวนทำร้ายนายเอก 
แล้วฉีเซี่ยงหยวนก็จะทำร้ายนายเอกไม่ลงขึ้นเรื่อยๆ 

ปล.แอบกระซิบว่าเหลียนอันสุ่ยหวั่นไหวก่อนก็จริง  แต่คนที่ทุ่มเททั้งใจก่อนคือพระเอกค่ะ 

ออฟไลน์ monster_narak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 6
«ตอบ #28 เมื่อ17-07-2014 18:44:30 »

ตามมาตั้งแต่เว็บนู้น อ้านกี่ที่ก้อชอบค้าาา

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
 o13 o13
ติดตามจ้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด