บทที่ 33 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางเหมือนเดิม
ประตูใหญ่เปิดกว้าง เนื่องจากเช้านี้ไม่มีประชุมขุนนาง ผู้สัญจรเข้าออกราชสำนักจึงบางตากว่าเมื่อวาน ลึกเข้าไปด้านในผ่านหมู่ตำหนักที่เรียงรายอยู่สองฟาก หญิงรับใช้ยังคงเดินกันขวักไขว่อยู่เช่นเดิม แต่ละนางสวมเสื้อผ้าไม่หนาไม่บางท่าทางกระฉับกระเฉง เหลียนอันสุ่ยก้มลงมองชุดกันหนาวบนร่างตัวเองแล้วยิ้มเล็กน้อย คนเป่ยชางทนความหนาวเย็นได้ดีกว่าชาวเหลียนจริงๆ
ขณะนี้แต่ละตำหนักต่างปล่อยม่านซึ่งทำจากซี่ไม้ลงเพื่อกันแดดจ้าสาดเข้ามา เวรขัดถูทำความสะอาดง่วนอยู่กับหน้าที่ประจำ คนเพิ่งกลับถึงตำหนักเดินเลยเข้าไปในห้องส่วนตัวของตัวเอง ใช้ฝีเท้าแผ่วเบาตรวจดูว่าเตาผิงทุกตัวยังคงอุ่น ป้องกันไม่ให้อากาศหนาวเย็นไปรบกวนคนที่กำลังหลับใหล จากนั้นเปิดฝากระถางกำยานเติมผงสมุนไพรที่ช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลายสองสามชนิดซึ่งหยิบติดมือกลับมาด้วยลงไป
เหลียนอันสุ่ยแวะไปโรงหมอมาเรียบร้อยแล้วสำหรับเช้านี้ แต่คนบนเตียงยังคงไม่ตื่น ฉีเซี่ยงหยวนฟังคำเตือนของเขา มิเช่นนั้นถึงเช้านี้จะไม่มีประชุมขุนนาง เจ้าตัวก็คงจะดิ้นรนออกไปใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุดอยู่ข้างนอกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนตื่นมาแล้วรอบหนึ่งเพื่อสั่งงานบางส่วนกับหลิวฉางเฟย แล้วจึงกลับมานอนต่อชดเชยที่เมื่อคืนกว่าหัวถึงหมอนก็ค่อนสว่าง
เหลียนอันสุ่ยเดินไปเดินมาสุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ข้างเตียง มองแสงสว่างจับลงบนใบหน้าคมคายจนดูชัดเจน ...ราวกับใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ หว่างคิ้วที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าผ่อนคลายลงมากแล้ว แนวคิ้วหนายังคงมั่นคงเด็ดเดี่ยว แววตาของเหลียนอันสุ่ยอ่อนละมุนลงเมื่อพบว่าอีกฝ่ายยังคงหลับลึก การมองท่านในแสงตะวันเช่นนี้ดูแตกต่างจากโครงหน้าที่สว่างจากตะเกียงน้ำมันในวันอื่น คิดๆดูแล้วระหว่างเรามักเป็นเช่นนี้เสมอ ได้อยู่ร่วมเพียงยามราตรี...ดุจเดียวกับความสัมพันธ์กับความในใจที่ทำได้เพียงซุกซ่อนไว้อย่างมิดชิดในเงาจันทร์
‘ข้าอยากรับผิดชอบท่านไปชั่วชีวิต’
เขารู้ตัวรึเปล่าว่าเมื่อวานพูดอะไรออกมา...
ในห้วงความคิดที่พาให้คนเหม่อลอย เงาซึ่งบดบังลงมาทำให้แนวเปลือกตาของฉีเซี่ยงหยวนขยับเล็กน้อย เหลียนอันสุ่ยมาสะดุ้งวาบเอาตอนที่ดวงตาเจิดจ้าทรงอำนาจลืมขึ้นมาจับจ้อง
“ที่แท้ก็มีวันที่ท่านแอบมองข้าเวลาหลับ” มุมปากของฉีเซี่ยงหยวนมีรอยยิ้ม มือใหญ่เลื่อนขึ้นมาทาบบนโครงหน้ากระจ่าง
“ข้าแค่ เอ่อ แค่...ดูว่าท่านยังหลับสนิทอยู่หรือไม่” เหลียนอันสุ่ยตอบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
นิ้วโป้งของฉีเซี่ยงหยวนไล้ผิวแก้มอีกฝ่ายเบาๆ พลางกล่าว
“ข้าชอบความเป็นห่วงที่สะท้อนอยู่ในแววตาของท่าน”
“...” เหลียนอันสุ่ยพลันไม่รู้จะตอบอะไรดี ใบหน้าร้อนผ่าว นึกอยากจะเคลื่อนถอยห่างกว่านี้แต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะทราบความรู้สึกปั่นป่วนที่เกิดขึ้น
“ท่านตัวร้อน”
“...” ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยร้อนจัดกว่าเดิม
“ข้าจูบท่านได้ไหม ?”
...สวรรค์ ทำไมวันนี้คำพูดของบุรุษตรงหน้าจึงร้ายกาจเป็นพิเศษ เหลียนอันสุ่ยอ้าปากคิดจะกล่าวอันใด แต่อ้าอยู่นานก็นึกหาคำพูดไม่ออก ราวกับสมองจู่ๆก็หยุดทำงานไปเฉยๆ มือไม้ปั่นป่วนไปหมด ฉีเซี่ยงหยวนจึงเข้าใจไปเองว่าอีกฝ่ายยินยอม จึงค่อยๆลิ้มรสริมฝีปากเนียนอย่างตั้งใจ ยิ่งจูบก็ยิ่งลึกล้ำ ก่อกวนจนเหลียนอันสุ่ยมึนงงตาลาย ร่างสองร่างยิ่งมายิ่งไม่เหลือระยะห่าง
รอยจูบผละออกอย่างแช่มช้าอ้อยอิ่ง ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตามองคนหอบหายใจที่ทาบทับอยู่บนตัวเขา รู้สึกว่าตัวเองลืมเลือนความจริงที่สำคัญไปข้อหนึ่ง มัวแต่กลัวจะทำร้ายอีกฝ่าย กลับลืมเลือนไปว่าเหลียนอันสุ่ยขาดเขาไม่ได้
ขณะฉีเซี่ยงหยวนพยายามเค้นหัวหาวิธีที่จะให้อีกฝ่ายยอมรับโดยไม่ละอายตำหนิตัวเอง เหลียนอันสุ่ยก็ดูเหมือนจะนึกเรื่องนั้นขึ้นมาได้เช่นกัน เท้าคิดจะผละหนี แต่จนใจที่ฉีเซี่ยงหยวนรั้งเอวเขาเอาไว้ไม่ปล่อย
“สีหน้าเช่นนี้ของท่านใช้มองข้าได้แค่คนเดียวเข้าใจหรือไม่”
ดวงตาที่กำลังจะเจือด้วยแววละอายถูกคำพูดอีกฝ่ายทำจนปรากฏเค้างงงันขึ้นมาแทน
“...เพราะมันยั่วใจคนเกินไป”
เหลียนอันสุ่ยได้ยินแล้วถึงกับทำหน้าไม่ถูก หัวใจเต้นถี่เร็ว ในอกเต็มไปด้วยความประหม่าขลาดกลัว ไม่ทราบสมควรวางตัวอย่างไร ตัวตนของฉีเซี่ยงหยวนคล้ายมีความสามารถขุดคุ้ยตัวตนลึกๆที่ขนาดเหลียนอันสุ่ยเองก็ไม่ทราบว่าตัวเองมีอยู่ออกมา
ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจ กล่าว
“ท่านไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดขนาดนี้ ยิ่งไม่จำเป็นต้องตื่นกลัวขนาดนี้ เพราะข้าจะไม่บีบบังคับให้ท่านทำในสิ่งที่ท่านไม่ยินยอม”
“...ข้าไม่ได้ไม่ยินยอม” กล่าวออกไปแล้วเหลียนอันสุ่ยพลันนึกเสียใจ อยากตะครุบคำพูดกลับคืนมา แย่แล้ว ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้น เขาก็ถูกเล่นงานจนปากกับความคิดไปกันคนละทิศคนละทาง พูดจาไม่กลั่นกรอง ทำเรื่องยุ่งเหยิงไปกันใหญ่
“จริงนะ ?”
“ขะ ข้า คือ ข้าว่าท่านหิวแล้ว ดะ เดี๋ยวข้าจะออกไปให้คนยกอาหารเข้ามา”
“ข้ายังไม่หิว ตอนนี้ข้าอยากรู้แค่ว่าท่านพูดจริงรึเปล่า” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง ขณะดันไหล่อีกฝ่ายออกห่างเพื่อเพ่งมองใบหน้าหมดจดให้ชัดๆ ค้นหาคำตอบแท้จริงที่แฝงอยู่ในแววตา
“...” อยากจะหาเหตุผลมากลบเกลื่อน แต่กลับรู้สึกว่าสายตาตัวเองมิอาจซุกซ่อนปิดบังความจริงอีกต่อไป เพราะมันมากมายเกินไป ปิดบังมาเนิ่นนานเกินไป และกำแพงที่เคยก่อมาปิดไว้ก็ไม่คงอยู่อีกแล้ว เหลือเพียงผ้าบางๆผืนหนึ่งที่ถูกสายตาเจิดจ้าคู่นั้นสาดมองทะลุเข้ามา
ฉีเซี่ยงหยวนจูบแผ่วเบาลงบนเรือนผมดำสนิท กล่าวเบาๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ผ่อนคลาย แล้วเชื่อใจข้า”
เหลียนอันสุ่ยขบริมฝีปากอย่างไม่มั่นใจ รู้สึกว่าแสงตะวันคล้ายกับสว่างจนเกินไป รู้สึกว่าไม่สมควรปล่อยให้เป็นเช่นนี้ รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ รู้สึกอีกมากมายหลายอย่าง แต่ลึกๆแล้วกลับอับจนปัญญา จะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่อทั้งร่างกายและจิตใจต่างก็ปรารถนาคนผู้นี้ ?
---------------------
วันนั้นกว่าฉีเซี่ยงหยวนจะได้รับประทานอาหารเช้าก็เลยเที่ยงไปแล้ว อ้อยอิ่งอยู่นานจึงค่อยผละจากตำหนักเสียงวสันต์ไปเพื่อประชุมขุนนางรอบบ่าย เมื่อเท้าของเป่ยชางอ๋องพ้นประตูไป พระมาตุลาแคว้นเหลียนที่นั่งตัวเกร็งอยู่ตลอดเวลาจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆด้วยความโล่งอก
ปรกติสายตาของฉีเซี่ยงหยวนก็ชวนให้ผู้คนทำตัวไม่ถูกอยู่แล้ว วันนี้กลับเพิ่มความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างชัดเจนขึ้นมาอีก ...ราวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่มีทางเป็นเหมือนเดิม ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยร้อนวูบวาบ เพราะรู้ได้ว่าบางอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายอ่อนโยนกับเขา ยิ่งไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายทะนุถนอมเอาใจใส่เขาเป็นพิเศษ เหลียนอันสุ่ยมิใช่ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้และรู้ด้วยว่าฝ่ายที่ได้รับคือตัวเอง ไม่ใช่เขา ‘ปรนนิบัติ’ ฉีเซี่ยงหยวน แต่เป็น...เอ่อ...ตรงกันข้าม หากสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปกลับเป็นความหมายที่แอบแฝงอยู่ในสัมผัสลึกซึ้งนั่น คล้ายเป็นพันธะสัญญา และก็คล้ายเป็นบ่วงพันธนาการคน
ที่ฉีเซี่ยงหยวนสัมผัสไม่ใช่ร่างกายเขา แต่เป็นวิญญาณเขา ที่ฉีเซี่ยงหยวนครอบครองก็ไม่ใช่ร่างกายเขา แต่เป็นวิญญาณเขา ดูเหมือนเขาจะทำความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ลงไปอีกแล้ว มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ความหมายของมันผิดกันจนไกลลิบ มิใช่สนองความต้องการทางร่างกาย แต่เป็น...
‘ข้าอยากรับผิดชอบท่านไปชั่วชีวิต’
เหลียนอันสุ่ยเข่าอ่อน ดูเหมือนฉีเซี่ยงหยวนจะไม่ใช่แค่พูดไปตามสถานการณ์ แต่คิดจะทำมันจริงๆ !
จากนั้นก็คล้ายสวรรค์กลั่นแกล้งคน เมื่อเหลียนอันสุ่ยพลันนึกออกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยรวมคล้ายกับอะไร ส่งผลให้แตกตื่นจนใบหน้าซีดขาว เพราะมันคล้ายกับ...คล้ายกับ...คืนแรกที่เขาเข้าหอกับภรรยา
ยิ่งคิดก็ยิ่งว้าวุ่น ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ตัดสินใจเดินออกไปสงบจิตใจด้านนอก หากเมื่อเท้าพ้นประตูออกไป กลับพบอิ๋งฮวาเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้ามาหา
“นายท่าน บ่าวไม่เข้าใจ ทำไมท่านยังให้อภัย ‘เขา’ อีก” เสียงของอิ๋งฮวา ทำให้เหลียนอันสุ่ยสะดุ้งวาบ หลุดออกจากภวังค์ความคิดที่ชักจะเลยเถิดออกไป ทวนคำว่า
“เขา ?”
อิ๋งฮวาเห็นนายท่านทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจก็รุ่มร้อนหนัก ทนเงียบต่อไปไม่ไหว เมื่อสิ่งที่นางเข้าใจว่าจบไปแล้วกลับทำท่าว่าจะเริ่มต้นใหม่กลับเข้าสู่วงจรเดิม จึงโพล่งออกไป
“ก็เป่ยชางอ๋องที่น่ารังเกียจผู้นั้นอย่างไรเล่า! เขาทำเรื่องต่ำช้ากับท่าน ทรมานท่านครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้ทำไมท่านยังให้คนจัดเตรียมอาหารให้เขาอีก”
“ทรมานข้า ?” เหลียนอันสุ่ยทวนคำ เห็นอิ๋งฮวาที่แม้เปลือกนอกจะนอบน้อม แต่แท้จริงกล้าพูดทุกเรื่องราวพลันหน้าแดงก่ำกระดากปากจนพูดไม่ออก ก็ค่อยๆเข้าใจว่าเป็นเรื่องราวอะไร ใบหน้าก็พลอยแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย อิ๋งฮวาเป็นคนเก็บห้องของเขา บางทีนางคงเห็นสภาพเตียงจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
“เจ้าไม่เข้าใจ ...มัน...ไม่สามารถอธิบายได้ง่ายๆ อย่างนั้น”
“แต่เขาล่วงเกินท่านอีกแล้ว!” จะอย่างไรนางก็เป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน พูดประโยคนี้จบก็ต้องหน้าแดงอีกคำรบหนึ่ง
เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก หลับตาลง รู้สึกยากลำบากอยู่บ้างที่จะอธิบายให้นางเข้าใจ เมื่อลืมตาขึ้นก็กล่าวช้าๆว่า
“เรื่องแบบนั้นคนที่ชอบกันก็ไม่จำเป็นต้องชอบมันเสมอไป คนที่ไม่ชอบกันก็ไม่จำเป็นต้องไม่ชอบมันเช่นกัน ไว้เจ้าออกเรือนแล้วก็จะเข้าใจเอง...จริงๆแล้วกับเรื่องนั้นเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรกับข้ามากมาย เจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจ...แต่ข้ามีความสุขนะอิ๋งฮวา” และที่ข้าเจ็บปวดก็เพราะว่าข้าไม่สมควรมีความสุข
เหลียนอันสุ่ยยอมรับมานานแล้วว่าตัวเองไม่ได้รังเกียจสัมผัสของฉีเซี่ยงหยวน ความจริงแล้วฉีเซี่ยงหยวนเป็นคู่นอนที่เอาใจใส่มากคนหนึ่ง บุรุษผู้นั้นมิได้มีนิสัยชอบตักตวงเอาฝ่ายเดียวแบบทายาทตระกูลใหญ่ สมควรบอกว่าฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเรื่องราวเช่นนั้นคือการมอบให้และรับมา ที่เหลียนอันสุ่ยรังเกียจคือตัวเองที่นับวันยิ่งปล่อยตัวปล่อยใจ บางทีเขาควรจะใจกว้างให้ได้ซักครึ่งหนึ่งของฉีเซี่ยงหยวน ยอมรับว่าเรื่องราวเหล่านั้นคือธรรมชาติของมนุษย์
อิ๋งฮวายังคงมีสีหน้าคลางแคลง คล้ายคิดเอ่ยแย้ง แต่ไม่ทราบว่าจะเริ่มเอ่ยแย้งจากตรงไหนดี เมื่อหลายชั่วยามก่อนเสียงของนายท่านคล้ายทรมานมากและก็คล้ายจะขาดใจ แต่ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดนางยิ่งฟังก็ยิ่งหน้าแดง จำต้องเดินหลบออกมาจนไกล นางทั้งไม่เข้าใจตัวเองและยิ่งไม่เข้าใจนายท่าน
เหลียนอันสุ่ยเห็นท่าทีคลางแคลงของอีกฝ่ายก็ยิ้มบางๆ พลางกล่าวว่า
“ดูท่าข้าสมควรหาคู่ครองดีๆให้กับเจ้าซักคน”
หา ตาของอิ๋งฮวาเบิกโต เหตุใดกลายเป็นวกเข้าเรื่องนี้ได้ !
สีหน้าของเหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนเป็นจริงจัง กล่าวว่า
“เจ้าติดตามข้ามานาน อายุก็ไม่น้อยแล้ว ต้องตำหนิข้าเป็นนายเลอะเลือน ความจริงสมควรหาคนดีๆ...”
อิ๋งฮวายิ่งฟังก็ยิ่งแตกตื่น คุกเข่าโครมลงกับพื้น ละล่ำละลักว่า
“บ่างคิดแต่ติดตามนายท่าน เรื่องอื่นไม่สนใจ หากไม่มีคนชอบพอก็ไม่คิดแต่งให้กับใคร วิงวอนนายท่าน เรื่องหาคู่ให้บ่าวเป็นเรื่องไม่จำเป็น”
เห็นนางแตกตื่นจนหน้าถอดสี เหลียนอันสุ่ยก็ถอนหายใจ ตัดสินใจเลิกพูดถึงเป็นการชั่วคราว
---------------------
ล่วงเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วง งานของเป่ยชางอ๋องยังคงมากมายอย่างสม่ำเสมอ แต่ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองกลับทำงานน้อยลง นี่มิใช่เพราะว่าเขาเกียจคร้าน แต่เป็นยิ่งเข้าใจงานก็ยิ่งรู้วิธีกระจายงานออกไปอย่างเหมาะสม ประกอบกับขุนนางในราชสำนักยิ่งมาก็ยิ่งให้ความร่วมมือ เพราะต่างก็เริ่มทราบแล้วว่ากับเจ้าแคว้นผู้นี้วิธีการดื้อแพ่งไม่มีประโยชน์
หากขณะเหล่าขุนนางค่อยๆยอมรับนายเหนือหัว ความวิตกกังวลบางอย่างก็ยังวนเวียนอยู่
ตำหนักหลังว่างเปล่า และไม่มีท่าทีว่าจะมีใครมาเติมเต็ม เอาเถอะ บางทีคงยังมิใช่ช่วงนี้ ทุกคนต่างเข้าใจไปเช่นนั้น หาทราบไม่ว่ามีคนผู้หนึ่งตกลงใจอยู่นานแล้วว่าจะให้มันเป็นเช่นนี้ และคนผู้นั้นก็มั่นใจอย่างยิ่งด้วยว่าใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องดังกล่าว เพราะคนผู้นั้นคือเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน
ฝ่ายพระมาตุลาแคว้นเหลียนพักหลังๆก็วนเวียนเข้าออกโรงหมอกับหอตำรา แม้ไม่ได้มีฐานะเป็นหมอ แต่ก็ช่วยงานอย่างจริงจัง เหลียนอันสุ่ยทำตามที่รับปากไว้กับฉีเซี่ยงหยวน มิได้พบเจอกับหลันเซียงอีก จนกระทั่งมีข่าวเงียบๆ ออกมาว่าอดีตนางบำเรอคนโปรดของฉีเซี่ยงหยวนผู้นี้กำลังจะไปจากแคว้นเป่ยชาง...
---------------------
หอสักการะสูงเสียดฟ้า บันไดร้อยกว่าขั้นทอดตัวยาวลงมา แต่ละขั้นใหญ่โตแข็งแกร่งดุจเดียวกับภาพลักษณ์ของแคว้นเป่ยชาง
“นี่เป็นที่แรกที่ข้าได้พบกับเขา ตอนนั้นเขายืนอยู่บนแท่นประกอบพิธี เป็นตัวแทนของอดีตเป่ยชางอ๋องสักการะฟ้าเพื่อให้พืชผลบริบูรณ์” ดวงตาของหลันเซียงทอดไปยังวันวานอันแสนไกล
“แม่นางหลันเซียงจะจากไปจริงๆหรือ?” เสียงอบอุ่นนุ่มนวลดุจลมวสันต์ถามขึ้น
หลันเซียงก้มหน้ารับคำเบาๆ ดวงตาเหลือบมองบุรุษที่มีบุคลิกเมตตาการุณย์อย่างใจลอย เอ่ยถามขึ้นเบาๆ
“ท่านจากไปพร้อมกับข้าดีหรือไม่ อยู่ที่นี่ไปจิตใจรังแต่เศร้าหมอง อิสระเสรีเป็นสิ่งที่เราต้องไขว่คว้ามาด้วยตัวเอง ท่านเคยบอกข้าเช่นนี้ไม่ใช่หรือ”
มุมปากของเหลียนอันสุ่ยปรากฏรอยยิ้มที่แทบจะมองไม่เห็นขณะมองหญิงงามตรงหน้า อิสระเสรีแท้จริงคือจิตใจ ในที่สุดนางก็รู้จักปล่อยวางบ้างแล้ว คิดพลางส่ายหัวช้าๆ
“ข้าไปไม่ได้ แต่ว่าเจ้าไม่เหมือนกัน ใช้ชีวิตของเจ้าให้ดี วันเวลาเป็นสิ่งมีค่า เจ้าเองก็มีค่านัก อย่าทำลายคุณค่าในตัวเอง ถ้ามีวาสนาคงได้พบกัน...”อีก คำว่าอีกยังไม่ทันหลุดจากปาก ร่างของหลันเซียงที่ยืนหมิ่นเหม่อยู่ตรงริมบันไดก็ทำท่าจะร่วงหล่นลงไปแล้ว !
ตั้งแต่เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า แววตาสงบราบเรียบของหลันเซียงก็แปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดคลุ้มคลั่ง หัวใจที่แหลกสลายไปแล้ว เหมือนถูกบดขยี้จนกลายเป็นเศษผง ไม่ไป? ภาพของบุรุษหนึ่งสงบนุ่มนวลหนึ่งยิ่งใหญ่ทรงอำนาจที่ยืนเคียงกัน พาให้สติรับรู้ของหลันเซียงกรีดเสียงร้องอย่างโกรธเคือง ประเสริฐมาก! ในเมื่อไม่คิดจะไปเอง ข้าจะทำให้พวกท่านจากกันตลอดกาล
เท้าของนางขยับเข้าใกล้ริมบันไดก่อนใครจะทันสังเกต ดวงตาหลุบต่ำสาดแววแข็งกร้าว
‘มองให้ดีเถอะฉีเซี่ยงหยวน ข้าจะจบทุกอย่างตรงที่มันเริ่มต้นขึ้น ข้าจะไม่ทิ้งเขาไว้ให้ท่าน แต่จะพาเขาไปกับข้าด้วย ! ’
เหลียนอันสุ่ยโถมตัวเข้าไปอย่างเร่งร้อน คว้าร่างบอบบางที่ส่ายโงนเงนตรงหน้าเข้ามาโดยไม่ต้องคิด หลันเซียงที่คิดจะยกมือดึงฝ่ายตรงข้ามลงไปด้วยกันถูกแรงฉุดคว้านี้ผลักจนถลาไปเกาะกับราวบันไดด้านข้าง แต่คนที่ช่วยเหลือผู้อื่นกลับไม่มีปัญญาช่วยเหลือตัวเอง
หลันเซียงเบิกตากว้าง มองบันไดแต่ละขั้นกระแทกเข้ากับร่างสูงของพระมาตุลาแคว้นเหลียน หัวใจที่เคยคิดว่าแหลกสลายไปแล้วกลับแหลกสลายอีกครา
ในวินาทีที่อีกฝ่ายร่วงหล่นลงไป หัวใจของนางเพียงกรีดร้อง...ว่านาง...ไม่อาจสูญเสียเขา
---------------------
พายุใหญ่กระหน่ำซัดจนตำหนักเสียงวสันต์แทบพังทลาย โทสะของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนผนึกแข็งบรรยากาศในวังหลวง ขุนนางผู้น่าสงสารส่วนใหญ่ย่อมไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ ส่วนต้นสายปลายเหตุที่กองรวมอยู่ที่ตำหนักเสียงวสันต์ขณะนี้ย่อมเผชิญคราเคราะห์ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า
“ข้าเคยสั่งแล้วใช่หรือไม่ว่าห้ามเหลียนอันสุ่ยพบกับนางอีก” รังสีอำมหิตเฉียบขาดของบุคคลกลางห้องกดหนักลงบนบ่าของหม่าหลงกับต้วนจินที่พากันคุกเข่าอยู่กับพื้น
ดวงตาทั้งสองคู่ของผู้ใต้บังคับบัญชาปรากฏแววละอายใจ ไม่มีคำพูดจะแก้ตัว มันเป็นความผิดพลาดของพวกเขาที่ไม่เฝ้าพระมาตุลาให้ดี
หม่าหลงกับต้วนจินไม่ทราบว่าเหลียนอันสุ่ยจะไปพบหลันเซียงที่หอสักการะ เพื่อการนี้พระมาตุลาแคว้นเหลียนถึงกับใช้แผนการทำให้พวกเขาคลาดสายตาไป หันกลับมาอีกคราคนก็ไม่อยู่แล้ว ขณะจะออกตามหากลับได้รับรายงานในเรื่องที่หวั่นเกรง
ฉีเซี่ยงหยวนมิใช่ไม่ทราบว่าคนของตัวเองถูกพระมาตุลาเดินอุบาย และคนที่เดินอุบายเสแสร้งแสดงละครอย่างสมจริงอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดก็คือหลันเซียง แต่ด้วยฝีมือของสองคนนี้หากไม่ประมาทความผิดพลาดไม่สมควรเกิดขึ้น
เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนกล่าวต่ออย่างแช่มช้าด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“หาก ‘เขา’ เป็นอะไรไป...”
“พวกเราจะขอชดใช้ด้วยชีวิต!” หม่าหลงกับต้วนจินกล่าวโดยพร้อมเพรียงหนักแน่น
---------------------
ส่วนคนที่ทราบว่าเหลียนอันสุ่ยจะไปหาหลันเซียงที่หอสักการะ ตอนนี้ย่อมโทษตัวเองอย่างหนักหน่วง หวังเชียนไม่ทราบโฉมหน้าที่แท้จริงของหลันเซียง สิ่งที่เขาทำไปคือทำตามความต้องการของผู้เป็นนาย ตอนนี้กลับรู้สึกเสียใจที่ตัวเองไม่เชื่อสัญชาตญาณของอิ๋งฮวาที่เคยบอกว่าผู้หญิงคนนี้มีจุดประสงค์ไม่ดี
คนที่โทษตัวเองยังมีพระภาดาหานญื่อหลัวที่รีบรุดมาทันทีหลังเกิดเรื่อง และแน่นอนว่าก่อนจะได้เห็นหน้าพระมาตุลาพยัคฆ์กับสุนัขป่าก็ต้องเกิดสงครามปะทะคารมไปรอบครึ่ง ขณะนี้สงบสติอารมณ์รอฟังผลจากหมอหลวงกันอยู่คนละมุมห้อง
“เจ้าบอกว่าเหลียนอันสุ่ยรู้อยู่แล้วว่าหลันเซียงไม่ได้มาดีมาตั้งแต่ต้น ?” คำถามนี้เป็นของฉีเซี่ยงหยวน
“มิผิด แต่นึกไม่ถึงว่าแม้จะรู้อยู่แล้ว ‘เขา’ ก็ไม่ได้ระวังตัวขึ้นเท่าไหร่เลย” รู้ทั้งรู้ว่าเหลียนอันสุ่ยกำลังเล่นกับไฟ เขาควรจะห้ามอีกฝ่ายหนักแน่นกว่านี้ถึงจะถูก หานญื่อหลัวคิดพลางลอบสำนึกเสียใจ
ฉีเซี่ยงหยวนสบถออกมาสองสามคำ ภัยร้ายนี้เขาเป็นต้นเหตุ รู้ทั้งรู้ว่าคนผู้นั้นเอะอะเป็นต้องให้อภัยผู้อื่น ทำไมจึงไม่เฉลียวใจให้เร็วกว่านี้ว่าจะเกิดเรื่อง ยิ่งคิดถึงผลที่อาจเป็นไปในทางเลวร้าย เป่ยชางอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ก็นั่งไม่ติดที่
ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ช่วงเวลาแห่งความกระวนกระวายกลับผ่านไปอย่างเชื่องช้า...
ในที่สุดหมอหลวงก็เดินออกมา หลังฟังอธิบายอาการอย่างละเอียด คนที่ร้อนใจทั้งคู่ก็พอจะสงบลงได้บ้าง
“...ข้าห้ามเลือดกับประคบยาไปแล้ว อาการไม่มีอะไรอันตรายอีก ไม่นานพระมาตุลาคงจะฟื้น ตอนนี้ทางที่ดีอย่าไปรบกวน...เขา” เงยหน้าขึ้นมาอีกครา หมอหลวงอาวุโสก็เห็นเพียงเงาหลังของคนเป็นเป่ยชางอ๋อง
“ฉางเฟยส่งท่านหมอกับพระภาดาด้วย”
คำสั่งไล่หลังมาทำให้หานญื่อหลัวที่กำลังจะรีบก้าวตามไปทั้งฉุนทั้งขัน มองหม่าหลง ต้วนจินที่ก้าวเข้ามาขวาง นึกอยากจะต่อยหน้าคนบางคนซักหมัด ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนนับว่าไวกว่าเขาก้าวหนึ่ง แต่ก็... มุมปากของหานญื่อหลัวปรากฏรอยยิ้ม หากแววตากลับแปลกประหลาด
หมอหลวงอาวุโสมองบุรุษที่มีตำแหน่งไม่ธรรมดาทั้งสอง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขณะเดินตามหลิวฉางเฟยออกจากตำหนักไป ต้าอ๋องที่เยือกเย็นไม่เยือกเย็น พระภาดาผู้น่าคบหาตอนนี้กลับดูน่าหนีไปให้ไกลเป็นที่สุด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ !
ฝ่ายหานญื่อหลัวมองปราการมนุษย์ที่ขวางอยู่เบื้องหน้า ทราบดีว่าดึงดันฝ่าเข้าไปมีแต่จะเกิดเสียงดังรบกวนคนเจ็บ ดวงตาสีฟ้าหรี่ลง การกระทำนี้ทั้งสมกับเป็นฉีเซี่ยงหยวนและไม่สมกับเป็นฉีเซี่ยงหยวนเลย ต้าอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ ฉีเซี่ยงหยวนผู้เยือกเย็น ไม่ทราบหายไปที่ไหนแล้ว นึกถึงแววตากระวนกระวายของบุรุษผู้นั้น หานญื่อหลัวก็แทบอยากหัวเราะออกมา แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกอยากหัวเราะตัวเองมากกว่าอย่างอื่น ที่อาการก็ดูจะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่
นั่งลงช้าๆ รินชาให้กับตัวเองถ้วยหนึ่ง บุคลิกค่อยๆกลับคืนสู่ความปลอดโปร่ง นานๆครั้งหานญื่อหลัวจะทำตัวใจร้อนวู่วาม แต่เมื่อครู่โดยไม่ทันได้ไตร่ตรองขาก็ก้าวออกไปก่อนแล้ว หานญื่อหลัวมองชาในจอก ไม่สนใจองครักษ์ที่ยืนขวางอยู่หน้าบานประตู รู้ว่าตัวเองจะเข้าไปแน่ แค่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ดวงตาสีฟ้าที่ปลอดโปร่งเยือกเย็นมีแววขำเจืออยู่ลึกๆ
ฉีเซี่ยงหยวน จอกนี้ข้าดื่มให้ท่าน โรคที่ท่านเป็นอยู่เกรงว่าจะหนักหนาสาหัสจนรักษาไม่ได้แน่แล้ว
เพราะต่อให้หมอเทวดาก็ไม่มีปัญญาถอนฤทธิ์ของความรักฝังใจไปจากใจคน
---------------------
ทุกผู้คนต่างไม่ทราบ คนที่ปวดร้าวใจอย่างลึกซึ้งที่สุดกลับเป็นสตรีที่มีนามว่าหลันเซียง นางคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักเสียงวสันต์เป็นเวลาหลายชั่วยามท่ามกลางสายลมหนาวสะท้าน เท้าทั้งสองข้างแข็งชาจนขยับไม่ได้ แต่ใจนางกลับเจ็บปวดยิ่งกว่า วิงวอนต่อสวรรค์ให้พรากชีวิตของนางไปแทน
ความรักที่นางมีต่อฉีเซี่ยงหยวนเป็นความฝังใจที่ตัดไม่ขาด ไฟแค้นที่นางมีต่อฉีเซี่ยงหยวนบดบังหนึ่งความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ มิน่าเล่าสิ่งที่นางตัดสินใจจึงมิใช่ฆ่า ‘เขา’ ให้ตาย แต่เป็นพาเขาไปกับนางด้วย ที่แท้ในหัวใจของนางกลับมีคนผู้หนึ่งซุกซ่อนอยู่โดยไม่รู้ตัว คนที่นางรักมิใช่ฉีเซี่ยงหยวนมาพักใหญ่แล้ว แต่นางกลับใช้ความแค้นกับความฝังใจที่เข้าใจผิดว่าเป็นความรักมาทำร้ายบุรุษที่หวังดีต่อนางอย่างแท้จริง
‘...ใช้ชีวิตของเจ้าให้ดี วันเวลาเป็นสิ่งมีค่า เจ้าเองก็มีค่านัก อย่าทำลายคุณค่าในตัวเอง...’
นางนับเป็นบุคคลที่โง่เขลาที่สุดในหล้า เพิ่งรู้ถึงคุณค่าของความหวังดีในตอนที่กำลังจะสูญเสียมันไป...
---------------------
ตั้งแต่เหยียบเท้าก้าวเข้ามาเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนก็ปราดไปที่เตียง คนบนเตียงยังคงยังคงไม่ได้สติ ศีรษะมีผ้าพันไว้ เหลียนอันสุ่ยหมดสติไปตั้งแต่ถูกช่วยขึ้นมาในสภาพมีโลหิตอาบย้อมไปครึ่งหน้า แขนข้างซ้ายถูกกระแทกหัก มีรอยฟกช้ำไปทั่วทั้งตัว
ฉีเซี่ยงหยวนมองสีแดงเข้มที่ซึมผ่านทะลุผืนผ้าสีขาวออกมา สีสันอันจัดจ้านบาดลึกลงในหัวใจเขา กรีดรอยแผลเป็นทางยาวตั้งแต่มุมหนึ่งไปจรดอีกมุมหนึ่งของหัวใจจนขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี
ตกบันไดหน้าหอสักการะสี่สิบกว่าขั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าหาก ถ้าหากบันไดทั้งร้อยกว่าขั้นไม่มีชานพัก ถ้าหากเหลียนอันสุ่ยร่างกายอ่อนแอกว่านี้ ถ้าหากที่กระแทกมิใช่หัวไหล่ มิใช่ลำตัว แต่เป็นลำคอ... ฉีเซี่ยงหยวนไม่กล้าคิดต่อ เป็นครั้งแรกที่หวาดกลัวจนไม่กล้าคิดต่อ อ้อมกอดที่โอบคนบนเตียงไว้กระชับแน่นเข้า สั่นสะท้านโดยไม่อาจระงับ
หนี้รักที่เขาก่อขึ้นกลับเป็นเหตุทำร้ายคนสำคัญสองคนของเขาจนเกือบถึงแก่ชีวิต พอแล้ว พอแล้วจริงๆ ฉีเซี่ยงหยวนวิงวอนต่อสวรรค์ หากต้องการให้เขาชดใช้ ขออย่าได้เรียกคืนไปด้วยวิธีนี้ เขาไม่อาจสูญเสียคนผู้นี้ไป ไม่อาจเด็ดขาด! เพียงแค่คิดว่าชีวิตหลังจากนี้จะไม่มีคนตรงหน้า หัวใจทั้งดวงก็เย็นเยือกราวกับหล่นลงไปในหล่มน้ำแข็งแห่งความอ้างว้าง
อ้อมกอดที่กระชับแน่นเข้าปลุกคนที่อยู่ในรอยต่อเลือนรางของการสลบไสลขึ้นมา เปลือกตาของเหลียนอันสุ่ยกระพริบถี่ ลืมขึ้นมาอย่างแช่มช้า พอเห็นว่าเป็นใครก็เรียกขานออกไป
“ต้าอ๋อง...?”
ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินเสียงอันคุ้นเคยโทสะก็ลุกโหม
“ท่านเคยรับปากข้าว่าจะไม่พบกับนางอีก แล้วนี่มันอะไรกัน! หานญื่อหลัวบอกว่าท่านรู้แต่แรกว่านางไม่เคยมาดี แต่ก็ยังไปพบนางอยู่เรื่อย ท่านต้องการให้คนทั้งหล้าล้วนติดค้างท่านหรืออย่างไร !” อภัยให้ผู้อื่นครั้งแล้วครั้งเล่า พาตัวเองไปเดือดร้อนครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งที่พระมาตุลาผู้นี้ทำพาให้ฉีเซี่ยงหยวนทั้งปวดหัวทั้งมีโทสะ ที่น่าขำก็คือตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เหลียนอันสุ่ยให้อภัยมาโดยตลอด
“ท่านเคยคิดถึงเหลียนจิ้งเต๋อบ้างหรือไม่ หากไม่มีท่านเด็กคนนั้นจะอยู่ได้อย่างไร!” น้ำเสียงต่อว่าแต่จิตใจกลับปวดร้าว อำนาจของข้าแม้เพียงพอจะปกป้องท่าน แต่ถ้าท่านไม่ให้ความร่วมมือ ทุบทำลายปราการออกไปเอง แล้วข้าจะปกป้องท่านได้อย่างไร !
เหลียนอันสุ่ยฟังน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ด้วยความนิ่งอึ้ง ยังไม่ทันจะรู้สึกตัวตื่นเต็มที่ ริมฝีปากก็ถูกบดขยี้ราวกับคนฝากรอยประทับมีความคับแค้นอันยิ่งใหญ่ อวี้เฉียนคงต้องเคยแทบคลั่งใจตายเพราะบุรุษผู้นี้เป็นแน่ ไม่ว่าใครที่มาหลงรักพระมาตุลาแคว้นเหลียนนับว่าชีวิตถูกลิขิตมาให้เดือดร้อนเป็นกังวล กับคนที่ดูแลผู้อื่นดีอย่างยิ่ง แต่กลับไม่ดูแลตัวเองเอาเสียเลย!
“ถ้าครั้งหน้าท่านยังปล่อยให้คนอื่นทำร้ายตัวเองอีก ดูซิว่าข้าจะลงโทษท่านยังไง !” ถ้อยคำข่มขู่ดังอยู่ข้างหู ในความงงงันเหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าบางอย่างในตัวเขากำลังสั่นคลอน...
---------------------