บทที่ 24 พยัคฆ์กับสุนัขป่า
แสงตะวันยามบ่ายสาดแสงจ้าเข้ามาทางหน้าต่างบานใหญ่ทั้งแถบที่ถูกเปิดออกจนสุด ความสว่างของกลางวันขับไล่ความจำเป็นที่ต้องจุดตะเกียงไปจนไกล กลิ่นอับของม้วนไม้ไผ่ปะปนกับกลิ่นน้ำหมึกกรุ่นกำจายออกมาจากม้วนตำราที่วางซ้อนทับกันอยู่เต็มชั้นสูง ราวกับว่าบรรดาสรรพความรู้โบราณต่างพากันหลับใหลอย่างสงบอยู่ ณ หอตำราหลวงแคว้นเป่ยชาง
ที่นี่ควรจะเป็นที่ซึ่งพาให้จิตใจสงบที่สุด ฉุดดึงทุกผู้คนจมดิ่งลงไปในความลึกล้ำของภูมิความรู้ หากจิตใจของพระมาตุลาแคว้นเหลียนกลับมิอาจจดจ่อกับตำราในมือได้อย่างที่ควรจะเป็น สายตาเหม่อมองฝุ่นละอองที่เคลื่อนไหวเชื่องช้าในลำแดด รับรู้ว่าตัวเองมีบางอย่างที่แปลกไป เขา...นอนหลับไม่สนิท อันที่จริงคือในช่วงหลายวันมานี้จิตใจคล้ายจะผ่อนคลายแต่กลับไม่สงบ โดยมิได้ตั้งใจ...หากในวันๆหนึ่งจะต้องมีซักคราที่สายตาไปหยุดอยู่ที่บานประตู เพียงเพื่อจะทราบว่าอีกฝ่ายมิได้มา เขามักจะโล่งใจที่อีกฝ่ายมิได้มา มันคงจะดีที่ในที่สุดแล้วอีกฝ่ายก็ทราบว่าควรจะถอยห่างออกไป แต่ทำไม... เสียงผ่อนลมหายใจช้าๆสายตาเจือความหม่นหมองอ้างว้าง เรียวคิ้วกดมุ่นลง ความรู้สึกอ้างว้างเช่นนี้ไม่ดีแน่ เขา...
เสียงทึบหนักๆของม้วนตำราตกกระทบพื้น ดึงให้พระมาตุลาแคว้นเหลียนสะท้านตื่นจากห้วงคิด ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นช้าๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยพบผู้อื่นเข้ามาร่วมใช้หอตำราอันกว้างขวางแห่งนี้
---------------------
บุรุษหนุ่มรูปร่างสูง บุคลิกงามสง่าราวจำลองมาจากท่วงทำนองของสายลมผู้หนึ่งกำลังสอดส่ายสายตาหาคน เพราะสายตามัวแต่ไปมองอย่างอื่นศอกของเขาจึงพอดีปัดโดนหนังสือม้วนหนึ่งร่วงลงจากชั้น ขณะจะก้มตัวลงเก็บ มือสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลาข้างหนึ่งก็หยิบมันส่งขึ้นมาเบื้องหน้า ที่เป่ยชางมีคนสีผิวเช่นนี้ไม่มาก ในนาทีนั้นคนทำของตกจึงทราบว่าในที่สุดตัวเองก็พบคนที่ต้องการหาแล้ว หากเมื่อไล่สายตาจากข้อมือขึ้นไป กลับทำให้คนซึ่งไม่ค่อยแปลกใจอะไรบ่อยนักต้องถึงกับนิ่งอั้นตะลึงงัน พูดอันใดไม่ออกอยู่พักใหญ่
ให้คิดอีกสามร้อยยี่สิบตลบ หานญื่อหลัวก็ไม่คิดว่าคนที่องค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนลุ่มหลงในคราวนี้จะมีบุคลิกเช่นคนตรงหน้า !
ฝ่ายเหลียนอันสุ่ยก็ชะงักไป มิอาจไม่ยอมรับว่าอีกฝ่ายช่างหล่อเหลาคมคาย แต่คนผู้นี้ไม่คล้ายชาวเป่ยชาง ผิวของเขาขาวจัด รูปร่างสูงสมส่วนแข็งแรง เบ้าตาลึกกับเรียวคิ้วเข้มขับให้ใบหน้าดูคมชัด เติมเสน่ห์ให้ดวงตาสีฟ้าจัดราวกับฟากฟ้าในฤดูคิมหันต์ยิ่งโดดเด่น บุคลิกปลอดโปร่งงามสง่า อาภรณ์บนร่างทั้งสูงค่าทั้งมีรสนิยม
---------------------
“เจ้าว่าอะไรนะ !” เสียงดังราวฟ้าผ่ากลางวันแสกๆแทรกเข้ามากลางบรรยากาศเงียบสงบ ส่งผลให้หญิงรับใช้สะดุ้งเฮือกกันเป็นแถบ ถึงแม้หลังจากเงี่ยหูฟังจะไม่ได้ยินเสียงใดอีก หากเท้าของพวกนางยังคงซอยถอยห่างจากห้องหนังสือของท่านอ๋องน้อยโดยไว
ส่วนคนในห้องที่แท้จริงงานยุ่งอย่างยิ่ง ก็เขวี้ยงงานเหล่านั้นทิ้งในทันใด เพ่งตามองคนสนิทเขม็ง
หลิวฉางเฟยรายงานเสียงราบเรียบว่า
“หม่าหลงเพิ่งรายงานมาว่าพระมาตุลาบังเอิญได้พบกับพระภาคิไนยที่หอตำรา...” กล่าวมาถึงตรงนี้ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงตบโต๊ะดังปัง ตามด้วยคำพูดที่เค้นลอดไรฟัน ความว่า
“บังเอิญ เฮอะ! เจ้าคนแซ่หานมันกลัวมีชีวิตยืนยาวเกินไปใช่หรือไม่ ถึงได้จงใจตอแยข้าครั้งแล้วครั้งเล่า!” สายตาขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางวาวจัดเย็นยะเยียบจนคล้ายเปลวไฟในก้อนน้ำแข็ง ไม่ทันขาดคำคนก็ผลุนผลันออกไปแล้ว
หลิวฉางเฟยได้แต่สั่นศีรษะก้าวติดตามผู้เป็นนายไป
ทอดสายตาทั่วทั้งแคว้นเป่ยชาง หากจะมีคนผู้หนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติเพียงพอจะแย่งสตรีไปจากอ๋องน้อยฉีเซี่ยงหยวนได้ คนผู้นั้นต้องเป็นพระภาคิไนยหานญื่อหลัว
หานญื่อหลัวเป็นหลานคนโปรดของเป่ยชางอ๋อง เนื่องจากเกิดกับขนิษฐาอันเป็นที่สนิทเสน่หายิ่ง แตกฉานพิณ กลอน อักษร ภาพวาด ตั้งแต่อายุยังน้อย นับเป็นศัตรูกับบุรุษทุกนามที่หวังจะมีภรรยาสวยสะคราญ สาเหตุแรกเป็นเพราะว่าเขารูปงามเกินไป ส่วนสาเหตุที่สองเป็นเพราะว่าหานญื่อหลัวยังไม่คิดจะแต่งงานกับใครจริงๆจังๆ ซึ่งในข้อนี้กระทั่งเป่ยชางอ๋องยังควบคุมบังคับไม่ได้ เพราะหานญื่อหลัวมีสถานะพิเศษ แม้มีสาเหตุสายเลือดชาวเป่ยชางแต่กลับมิใช่ชาวเป่ยชาง
---------------------
โต๊ะตรงมุมในสุดของหอตำราหลวงนั่งไว้ด้วยคนสองคน เมื่อพระภาคิไนยหานญื่อหลัวปรากฏตัวเบื้องหลังของเหลียนอันสุ่ยจากที่มีแค่หวังเชียนก็เพิ่มหม่าหลงกับต้วนจินเข้ามาทันที เหลียนอันสุ่ยแม้แปลกใจกับท่าทีเคร่งเครียดจริงจังของคนคุ้มกันทั้งสองหากไม่มีเวลาซักถาม
สายตาคู่งามมองประเมินบุรุษที่ทั้งสง่างาม ทั้งดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยตรงหน้า ได้ข้อสรุปว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดของหานญื่อหลัวสมควรเป็นดวงตาสีแปลกที่พราวระยับยิ่งกว่าประกายแดดบนผิวน้ำคู่นั้น เพราะมันสามารถดลบันดาลให้อิสตรีครึ่งค่อนแคว้นถอนตัวถอนใจไปไม่ได้เลยทีเดียว
ส่วนพระภาคิไนยหานญื่อหลัว ขณะนี้กำลังอยู่ในสภาพสงสัยใจ จนในที่สุดก็อดมิได้ต้องถามออกไป
“ดวงตาคู่นี้เป็นมรดกตกทอดจากท่านพ่อของข้าที่เป็นคนชนเผ่าเยวี่ยถาน ท่าน...ไม่รู้สึกว่ามันแปลก?” หานญื่อหลัวคุ้นชินกับการที่ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับดวงตาเขาตลอดมา แต่กับพระมาตุลาผู้นี้สนทนากันไปเป็นสิบประโยคกระทั่งถามยังไม่ถามถึง ทำให้หานญื่อหลัวออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง
เหลียนอันสุ่ยตอบง่ายๆพร้อมรอยยิ้มบางๆ ว่า
“มันคงไม่แปลกในชนเผ่าของท่าน อีกอย่าง...ข้าเองก็อาจจะดูเป็นของแปลกที่นี่เหมือนกัน”
สำหรับเหลียนอันสุ่ยไม่มีใครในหล้านี้ชมชอบความรู้สึกแตกต่าง และเขาก็ไม่คิดว่าการไปตอกย้ำมันจะเป็นสิ่งที่พึงปฏิบัติ
เหลียนอันสุ่ยเป็นชาวเหลียน ผิวของชาวเหลียนมีสีอ่อนกว่าชาวเป่ยชาง ลักษณะขาวนวลเนียนแบบงาช้าง มิใช่ขาวจนออกซีดแบบหานญื่อหลัวที่มีเชื้อสายของชนเผ่าเยวี่ยถาน ซึ่งข้อนี้เองทำให้หานญื่อหลังจดจำเหลียนอันสุ่ยได้ตั้งแต่แรกเห็น
หานญื่อหลัวเลิกคิ้วสูงให้กับคำตอบนั่น อาจบางทีมีแค่พระมาตุลาคนนี้คนเดียวที่ไม่สนใจจะเอ่ยถึงรูปลักษณ์อันแตกต่างของหานญื่อหลัว คนอื่นจะมากจะน้อยก็ต้องแสดงออกบางส่วนไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ความจริงหานญื่อหลัวชินเสียแล้วกับท่าทีของคนอื่น ตอนยังเยาว์อาจเคยมีบางครั้งที่รู้สึกไม่สบายใจกับรูปลักษณ์แปลกแยกของตัวเอง ส่วนตอนนี้แม้จะเคยชินแล้วก็ยังรู้สึกขอบคุณ ดวงตาสีฟ้ามีแววเป็นมิตรกว่าเดิม ปากปรากฏรอยยิ้มกว้าง ขยิบตาแล้วกล่าวว่า
“ความแปลกแยกในบางครั้งก็ไม่ใช่จะไม่ดี”
เหลียนอันสุ่ยมองอีกฝ่ายนิ่งอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงกล่าวขึ้น
“ข้ากำลังสงสัยว่าดวงตาคู่นี้ของท่านใช้ดึงดูดอิสตรีไปมากมายเท่าไหร่แล้ว”
หานญื่อหลัวยิ้มอยู่อย่างเดิม มิได้ตอบคำ แต่ในใจสำลักเล็กน้อย พระมาตุลาผู้นี้...ใช่มองทะลุปรุโปร่งเกินไปหรือไม่
สำหรับหานญื่อหลัว พระมาตุลาแคว้นเหลียนเป็นบุคคลที่น่าประทับใจผู้หนึ่ง ประกายตาอ่อนโยนราวแสงจันทร์ทอดบนผิวธาร ยามหลุบต่ำแฝงอารมณ์หม่นหมอง ในความสูงศักดิ์มีความสงบงดงาม ดุจภาพสะท้อนของทิวทัศน์ทะเลสาบไร้คลื่นลมในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หากสิ่งที่น่าดึงดูดใจที่สุดและน่าจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดฉีเซี่ยงหยวนเอาไว้ คือเหลียนอันสุ่ยเป็นมากกว่าความงามอันฉาบฉวยซึ่งผู้คนมักให้ความสนใจ แต่เป็นอารมณ์บางอย่างที่ประทับลึกซึ้งลงในวิญญาณ...
“องค์ชายสี่” เสียงคำนับนอกประตูดังมาขัดจังหวะสนทนาของคนทั้งคู่ ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยปรากฏแววสับสนตกใจ สูญเสียความเยือกเย็นไปชั่วขณะหนึ่ง ส่วนดวงตาสีฟ้าซึ่งลอบสังเกตอีกฝ่ายอยู่ก่อนก็หรี่ลงเล็กน้อย แล้วค่อยเหลือบสายตาไปมองด้านคนที่เพิ่งก้าวเข้ามา
สีหน้าของฉีเซี่ยงหยวนเป็นปรกติ หากความไม่เป็นมิตรชัดเจนอยู่ในแววตา อันที่จริงภายในฉีเซี่ยงหยวนเข้าใกล้คำว่าเดือดดาล รอยยิ้มของเหลียนอันสุ่ยเป็นของเขาคนเดียว ไม่เกี่ยวกับไอ้คนน่ารังเกียจนั่น! บรรยากาศโดยรอบคล้ายกับมีหมอกอันหนาหนักค่อยๆกดทับลงมา
ทั้งหานญื่อหลัวและเหลียนอันสุ่ยต่างยืนขึ้น
“องค์ชายสี่” เสียงเรียกขานแผ่วเบาดังออกมาจากปากเหลียนอันสุ่ย ในใจไม่พร้อมกับเผชิญกับการพบหน้าโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ ทั้งหวั่นกลัวกับสิ่งที่ปกปิดมานาน ภาวนาให้ตัวเองวางตัวแนบเนียนพอ
...แต่เหลียนอันสุ่ยมิได้รู้เลยว่าหานญื่อหลัวยังรู้เรื่องตัวเขาละเอียดกว่าที่เหลียนอันสุ่ยรู้เรื่องอีกฝ่ายมากมายนัก
“องค์ชายสี่ ไม่ได้พบกันเสียนาน” ในที่สุดหานญื่อหลัวก็กล่าววาจา หากท่าทียังคงเป็นการก้มหัวน้อยๆ มิได้ประคองมือคารวะอย่างที่ควรจะเป็น ถ้าเหลียนอันสุ่ยอยู่ในสภาวะปรกติจะต้องรู้สึกถึงความผิดแปลก แต่ตัวเหลียนอันสุ่ยในตอนนี้เพียงรับมือกับเรื่องของตัวเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอด ไหนเลยจะจับสังเกตออก อันที่จริงขนาดบรรยากาศขมุกขมัวโดยรอบยังแทบไม่สามารถแทรกเข้าไปในความสับสนวุ่นวายภายในใจเขา
เสียงทักตอบของฉีเซี่ยงหยวนเย็นชายิ่ง
“ไม่ได้พบกันนาน พระภาคิไนยยังคงมีบุคลิกดุจเดิม” ความหมายคือยังคงเที่ยวยุ่งกับคนของชาวบ้านอยู่เช่นเดิม
หานญื่อหลัวยิ้มเล็กน้อยขณะตอบว่า
“ไม่เหมือนองค์ชายสี่ท่าน ไม่ได้พบกันนาน ดูมีสง่าราศีขึ้นกว่าเดิม” ความหมายพาดพิงถึงพฤติกรรมที่ฉีเซี่ยงหยวนแย่งบัลลังก์มาจากพ่อตัวเอง ศักดิ์ฐานะจึงกลายเป็นว่าที่เป่ยชางอ๋อง
ใบหน้าที่ก้มต่ำของเหลียนอันสุ่ยเงยขึ้น ในที่สุดก็รู้สึกถึงคลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อตัว คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นลง สายตาที่มองพระภาคิไนยหานญื่อหลัวเริ่มเปลี่ยนไป ในความเข้าใจของเหลียนอันสุ่ย ทั่วทั้งแคว้นเป่ยชางไม่สมควรมีคนกล้าปะทะกับฉีเซี่ยงหยวนตรงๆ เพราะฉีเซี่ยงหยวนกำลังจะเป็นเป่ยชางอ๋อง แต่ดูเหมือนเหลียนอันสุ่ยจะคาดเดาผิดพลาด พระภาคิไนยผู้นี้ต้องมีสถานะบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจคำกล่าวพาดพิง หันมากล่าวกับเหลียนอันสุ่ยว่า
“ตอนนี้เหลียนจิ้งเต๋อน่าจะเลิกเรียนแล้ว ท่านสมควรกลับไปดูเขา” สำหรับฉีเซี่ยงหยวน เหลียนอันสุ่ยยิ่งอยู่ห่างมือหานญื่อหลัวมากเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น แม้คนแซ่หานยังไม่ประวัติว่าชมชอบบุรุษด้วยกัน แต่อะไรก็ไว้ใจไม่ได้และฉีเซี่ยงหยวนก็มิใช่คนชอบความเสี่ยงในเรื่องเช่นนี้เสมอมา
ได้ยินฉีเซี่ยงหยวนกล่าวถึงบุตรชายบวกกับท่าทีของอีกฝ่าย เหลียนอันสุ่ยก็มองออกว่าฉีเซี่ยงหยวนไม่ปรารถนาให้เขาอยู่ที่นี่ ตัวเหลียนอันสุ่ยเองก็มิปรารถนาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องกินแหนงแคลงใจของคนทั้งคู่ จึงรีบเอ่ยปากขอตัวจากไป
ลับเงาหลังของบุคคลซึ่งไม่ทราบว่าตัวเองคือสาเหตุหลักที่ทวีความเกลียดขี้หน้าไม่ลงรอยให้รุนแรงขึ้นบรรยากาศก็คล้ายหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม สายตาสองคู่สบกันโดยไม่มีผู้ใดคิดจะหลบสายตา
มุมปากของหานญื่อหลัวยังคงมีรอยยิ้มบางๆขณะกล่าว
“ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านเป็นหนักถึงขนาดยุ่งเกี่ยวกับคนที่มีภรรยามีลูกแล้ว”
“...นี่มิใช่เรื่องของพระภาคิไนย ท่านทางที่ดีอย่าได้ยุ่งเกี่ยว” เสียงเตือนราบเรียบเย็นชา
คราวนี้คนฟังคล้ายจะหัวเราะเบาๆ
“องค์ชายสี่ ท่านสมควรทราบว่าข้าไม่เคยชมชอบชีวิตที่สงบราบรื่นเกินไป อีกอย่าง...คนผู้นั้นดีเกินไปสำหรับท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง กล่าวเสียงต่ำ
“ข้าเคยคิดว่าคราวนี้รสนิยมของตัวเองคงไม่ตรงกันกับท่าน...” ฉีเซี่ยงหยวนไม่ทันกล่าวจบ คนเป็นพระภาคิไนยก็กล่าวสวนว่า
“ไม่เลย...รสนิยมของเราตรงกันเสมอมา”
ดวงตาองค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางวาววาบ ประกายอำมหิตผ่านวูบเข้ามา แทนที่ด้วยความเย็นชาจับขั้วหัวใจ หากอีกฝ่ายยังคงไม่มีท่าทีสะทกสะท้านหวาดกลัว ท่าทางปลอดโปร่งงามสง่าอยู่เช่นเดิม
คนต่ำศักดิ์กว่าอย่างหลิวฉางเฟยยิ่งมองก็ยิ่งปวดเศียรเวียนเกล้า ในความปวดเศียรเวียนเกล้ายังมีความเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งเกิดซ้ำมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
หากจะบอกว่าสตรีทั่วทั้งแคว้นมีครึ่งหนึ่งหวังจะเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวน อีกครึ่งหนึ่งต้องหลงใหลวาดฝันถึงพระภาคิไนยหานญื่อหลัว ปัญหามันอยู่ที่ว่าฉีเซี่ยงหยวนและหานญื่อหลัวต่างชมชอบบุปผางามและบรรดานางบำเรอของท่านอ๋องน้อยแต่ละนางล้วนเป็นบุปผางามที่งามอย่างไม่ธรรมดา ดังนั้นทุกครั้งที่ฉีเซี่ยงหยวนมีคนที่โปรดปรานคนใหม่ หานญื่อหลัวเป็นต้องหาโอกาสพบหน้าให้ได้ซักครา แล้วหลิวฉางเฟยก็ถึงเวลาปวดหัว...อันที่จริงลูกพี่ลูกน้องคู่นี้มีคดีเรื่องสนใจคนๆเดียวกันมานับครั้งไม่หวาดไม่ไหว
สำหรับหลิวฉางเฟยสองคนนี้ต่างเป็นตัวปัญหาพอกัน ฉีเซี่ยงหยวนสนใจสิ่งใดก็ต้องหาหนทางคว้าเอามา ส่วนหานญื่อหลัวก็เที่ยวทำให้สตรีหลงใหลไปทั่วแต่ไม่คิดจะแต่งงาน นับเป็นสองตัวร้ายกาจที่น่าจะเก็บไว้ห่างๆคนดีงามทั่วแผ่นดิน
ได้ยินนายเหนือหัวของตัวเองกล่าวว่า
“บางทีเผ่าเยวี่ยถานคงจะถึงเวลาต้องปฏิรูป”
“ยังหรอก ท่านเพิ่งกำจัดอิทธิพลตระกูลสือไป คนฉลาดเช่นท่านจะไม่โค่นเสาสองต้นที่ค้ำยันแคว้นเป่ยชางไปในเวลาเดียวกัน” นี่คือคำพูดประโยคสุดท้ายก่อนจะขอตัวจากไปของพระภาคิไนยหานญื่อหลัว และเป็นคำพูดที่ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินแล้วต้องกำมือแน่นจนข้อกระดูกลั่นกร๊อบ สายตาที่มองตามเงาหลังของหานญื่อหลัวไปคล้ายกำลังคิดถึงสภาพที่อีกฝ่ายถูกหั่นเป็นชิ้นๆ
สำหรับฉีเซี่ยงหยวนคนแซ่หานเป็นสิ่งมีชีวิตตายยากที่น่ารังเกียจ เพราะฐานะที่แท้จริงของหานญื่อหลัวคือผู้นำชนเผ่าเยวี่ยถาน ชนเผ่าเก่าแก่ที่เป็นส่วนหนึ่งของเป่ยชางมาช้านาน แทนบิดาซึ่งเสียไปเมื่อห้าปีก่อน ศักดิ์ฐานะของหานญื่อหลัวจึงกลายเป็นบุคคลที่กระทั่งเป่ยชางอ๋องยังต้องให้ความเกรงใจ ที่หนักกว่านั้นคือหานญื่อหลัวเป็นหลานรัก มารดาของหานญื่อหลัวเป็นองค์หญิงแคว้นเป่ยชาง เป่ยชางอ๋องแม้เย็นชากับครอบครัวตัวเองตลอดมาแต่รักน้องสาวที่โตมาด้วยกันผู้นี้ยิ่ง หานญื่อหลัวจึงมักต้องแวะเวียนมาอยู่กับท่านลุงคราวละนานๆ จนหลังๆมานี้แทบจะลงหลักปักฐานในแคว้นเป่ยชาง และเป็นที่ขัดหูขัดตายิ่งของฉีเซี่ยงหยวน
ที่น่าขัดใจที่สุดคือทุกคนกระทั่งตัวฉีเซี่ยงหยวนต่างทราบว่าการเล่นงานหานญื่อหลัวมิใช่เรื่องคนฉลาดพึงกระทำ และหานญื่อหลัวเองก็ฉลาดพอจะรักษาสภาพนั้นไว้ ใช่ หานญื่อหลัวมีประโยชน์อย่างยิ่ง ข้อเสียอย่างเดียวคือฉีเซี่ยงหยวนเกลียดขี้หน้าเจ้านั่นเข้าไส้ !
คิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองสมควรตามเหลียนอันสุ่ยไปเพราะไม่แน่ว่าเจ้าคนแซ่หานอาจยังติดตามไป ‘ทำความรู้จัก’ เพิ่มเติม เขาจะได้ยอมไม่ฉลาดส่งมันไป ‘ทำความรู้จัก’ กับพญายมแทน ฉีเซี่ยงหยวนคิดอย่างเหี้ยมเกรียม
---------------
เหลียนอันสุ่ยกลับถึงตำหนักเสียงวสันต์ในเวลาอันรวดเร็ว คล้ายรีบร้อนหลบหนีเพราะหวาดกลัวการพบหน้ากับคนผู้หนึ่ง หรืออาจบางที...เขาแค่กำลังหนีจากความยินดีที่ได้พบหน้าที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัวและไม่สมควรจะรู้สึก...
จังหวะเท้าผ่อนช้าลงเมื่อเดินผ่านเข้าประตูตำหนัก คล้ายกับว่าประตูทั้งสองบานข้างนอกสามารถกั้นอาณาเขตกันมิให้คนผู้นั้นติดตามเข้ามาด้วย ‘เขา’ คงจะไม่มา...เหมือนกับวันอื่นๆในช่วงหลายวันมานี้ การพบหน้าที่หอตำราอาจพอแก้ไขได้ว่าเป็นความบังเอิญ แต่การพบหน้าที่นี่กลับเป็นเรื่องผิดแผกแตกต่าง เหลียนอันสุ่ยทราบดี ฉีเซี่ยงหยวนก็ทราบดี ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่องค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางจะตามมาที่นี่ ความคิดนั้นพาให้จิตใจของพระมาตุลาแคว้นเหลียนสงบลง ขณะเลี้ยวเข้าสู่ปีกฝั่งตะวันตกอันเป็นส่วนที่พำนักของเหลียนจิ้งเต๋อผู้เป็นบุตรชาย
เหลียนจิ้งเต๋อกลับมาแล้วจริงๆ ทั้งยังพาเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันอีกผู้หนึ่งมาด้วย เมื่อเหลือบสายตาขึ้นมาเห็นท่านพ่อ เหลียนจิ้งเต๋อก็วิ่งตึงๆเข้ามาอย่างกระตือรือร้นในลักษณะท่าทางของเด็กสิบขวบ หากเมื่อเจ้าตัวนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีคนอื่นอยู่ด้วยก็รีบหยุดเท้า วางท่าเป็นผู้ใหญ่ หันไปกล่าวต่อเด็กแปลกหน้าผู้นั้นว่า
“นี่ไงล่ะ ท่านพ่อของข้า” พูดจบก็ทำความเคารพผู้เป็นบิดาอย่างถูกระเบียบแบบแผนทุกกระเบียดนิ้ว เหลียนอันสุ่ยมองปราดเดียวก็ทราบว่าบุตรชายจงใจทำให้เด็กชายด้านข้างชมดู เมื่อมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่ด้วย เหลียนจิ้งเต๋อจะไม่ทำอะไรที่ ‘ดูไม่เข้าท่า’ เด็ดขาด นั่นรวมถึงการอ้อนพ่อด้วย พระมาตุลาแคว้นเหลียนคิดพลางส่ายหน้าขันๆ แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
เหลียนจิ้งเต๋อเงยตากลมแป๋วสบกับบิดา ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดีอย่างปิดไม่มิดว่า
“ท่านพ่อ ในที่สุดข้าก็มีพี่น้องกับเขาแล้ว!”
ผู้เป็นบิดาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ขณะฟังบุตรชายกล่าวต่อ
“นั่นไง” พูดพลางชี้นิ้วประกอบ“เขาเป็นลูกของพ่อบุญธรรม ดังนั้นเขาจึงเป็นพี่น้องกับข้าด้วย” เด็กชายพูดพลางฉีกยิ้มยินดี หากคนฟังนิ่งค้างไปแล้ว เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองเด็กอีกคนช้าๆ เค้าใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงตอกย้ำคำที่ได้ยินจากปากบุตรชายเข้าไปในจิตสำนึก ความรู้สึกแรกเป็นความเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก ในหูได้ยินเสียงเหลียนจิ้งเต๋อกล่าวต่อโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรว่า
“...เขากับข้าเรียนกับท่านอาจารย์คนเดียวกัน แต่เพราะเวลาเรียนไม่พร้อมกัน เราถึงไม่เคยเจอกันเลย จนกระทั่งเมื่อเช้านี้เขามาหาท่านอาจารย์ตอนข้ากำลังเรียนอยู่พอดี ข้าจึงได้รู้ว่าที่แท้ตัวเองก็มีพี่น้องกับเขาเหมือนกัน...” หลังจากนั้นบุตรชายพูดอะไรเหลียนอันสุ่ยก็จับใจความไม่ได้อีก ในหูมีแต่คำว่า
‘เขาเป็นลูกของพ่อบุญธรรม’
เสียงดังก้องซ้ำไปมา ทุกครั้งที่มันกระทบเพื่อที่จะสะท้อนก็กรีดความรู้สึกเจ็บลึกลงบนหัวใจเย็นเฉียบทีละรอย...ทีละรอย...
ทั้งๆที่รู้ดีอยู่แล้ว เหตุใดจึงเจ็บปวดถึงเพียงนี้ อันที่จริงบุรุษในวัยเช่นฉีเซี่ยงหยวนแทบทุกคนสมควรมีบุตร รวมถึง...มีภรรยา
ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยซีดขาวจนแทบไม่มีสีเลือด ในใจเจ็บปวดจนเริ่มรู้สึกชา เมื่อเด็กคนนั้นประคองมือคารวะตามธรรมเนียม มุมปากของเหลียนอันสุ่ยก็ฝืนเค้นเป็นรอยยิ้มจางๆ บอกกับตัวเองว่าเด็กไม่รู้เรื่องคนนั้นไม่สมควรได้รับการปฏิบัติตอบที่เย็นชา ดวงตาคู่งามเป็นประกายอ่อนโยน เก็บซ่อนบดบังความหม่นเศร้าเข้มข้นเอาไว้เพียงในเงาของจิตใจ...
...เหลียนอันสุ่ยเพิ่งจะเคยรู้สึก ที่แท้การยิ้มเป็นเรื่องยากเย็นถึงเพียงนี้...
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งได้รับรายงานระหว่างทางไปตำหนักเสียงวสันต์ว่าเหลียนจิ้งเต๋อมิได้กลับตำหนักคนเดียว แต่เชิญเด็กอีกคนไปด้วย ทันทีที่ทราบว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร ใบหน้าของว่าที่ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางพลันแข็งค้าง ท่าทีร้อนรนกว่าเดิม ในใจดุจมีไฟแผดเผา
เมื่อเท้าเหยียบตำหนักเสียงวสันต์ ไม่มีใครกระทั่งอิ๋งฮวาสามารถชะลอให้ฉีเซี่ยงหยวนก้าวช้าลงได้แม้แต่ก้าวเดียว หูได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย เท้าสาวมุ่งไปทันที
ภาพที่ฉีเซี่ยงหยวนพบคือเด็กสองคนนั่งเคียงกัน แข่งกันคัดอักษร ผู้ใหญ่เพียงคนเดียวในห้องเดินวนผ่านด้านหลังเด็กทั้งคู่ จิตใจจดจ่ออยู่กับตัวอักษรที่ถูกลากขึ้นมาจากพู่กันในมือน้อยๆของผู้อื่น ฉีเซี่ยงหยวนเห็นความอ่อนโยนอย่างยิ่งในแววตา เหลียนอันสุ่ยอ่อนโยนเสมอเมื่ออยู่กับบุตรชาย เพียงแต่วันนี้สิ่งที่แฝงเร้นโดยเจ้าตัวปิดไม่มิดคือความเจ็บปวดลึกซึ้ง ซึ่งทำให้ฉีเซี่ยงหยวนทั้งเจ็บปวดทั้งร้อนรน มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้!
ขณะคิดร่างกายก็ขยับไปก่อน รู้ตัวอีกทีฉีเซี่ยงหยวนก็พบว่าตัวเองคว้าข้อมือเหลียนอันสุ่ย ฉุดดึงออกมาด้วยกัน
“ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกท่าน” ฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยทันทีที่ทั้งคู่เดินมาถึงมุมลับตาคน
“...” เหลียนอันสุ่ยนิ่งไป มิได้เอ่ยอะไร
ฉีเซี่ยงหยวนจึงรีบพูดต่อว่า
“เด็กคนนั้น...”
“ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านชมชอบรับบุตรบุญธรรม” คำกล่าวแทรกขึ้นมาช้าๆของพระมาตุลาแคว้นเหลียนทำให้คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนค้างอยู่แค่กลางประโยค
อึดใจใหญ่ๆหลังลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ฉีเซี่ยงหยวนก็ต่อประโยคของตัวเองจนสมบูรณ์ว่า
“...เด็กคนนั้นเป็นลูกของพี่ชายข้า พี่ใหญ่ฝากฝังไว้กับข้าก่อนเขาจะตาย”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งฟัง ที่แท้เด็กคนนั้นเป็นบุตรขององค์ชายใหญ่ องค์รัชทายาทที่จากไป
“แล้วลูกของท่านเล่า” คำถามง่ายๆของเหลียนอันสุ่ยทำให้ฉีเซี่ยงหยวนถึงกับชะงัก สุดท้ายตอบว่า
“...กระทั่งชายาข้ายังไม่มี แล้วจะมีลูกได้ยังไง”
ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย คิ้วขมวดเข้าหากัน พึมพำกับตัวเองมากกว่าจะเป็นคำถามว่า
“เป็นไปได้อย่างไรกัน” ด้วยตำแหน่งของท่าน...
“คนอื่นมิใช่ไม่พยายามหามาให้ แต่เป็นข้าที่ไม่ต้องการ ...อย่างน้อยตำแหน่งชายาของข้า ข้าก็ไม่ต้องการให้เป็นไปเพราะการเมือง”
ใช่แล้ว สิ่งที่พวกเขาพูดถึงมิใช่ความรัก แต่เป็นเรื่องของการเมือง คนในตำแหน่งเช่นฉีเซี่ยงหยวน ปัจจัยหลักในการเลือกคู่ครองลำดับแรกมิใช่ความรัก แต่เป็นความเหมาะสมและผลประโยชน์
“...ท่านมีสตรีมากมาย หรือไม่มีซักนางที่ดีพอสำหรับตำแหน่งนั้นเลย”
“มิใช่ไม่ดีพอ แต่เป็นยังไม่ใช่” พวกนางมักจะมีบางอย่างที่ยังไม่ใช่อยู่เสมอ
“ถ้าเช่นนั้นท่านสมควรรีบหาได้แล้ว เพราะอีกไม่กี่วันท่านก็จะเป็นเป่ยชางอ๋อง ตำแหน่งพระชายาในเป่ยชางอ๋องไม่มีทางที่จะไม่เกี่ยวพันกับการเมือง” คำพูดทิ้งท้ายด้วยความปรารถนาดีของเหลียนอันสุ่ย ก่อนคนพูดจะหันหลังจากไป
แววตาองค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนจมลงในภวังค์ครุ่นคิด ขณะจับจ้องแผ่นหลังสูงโปร่งที่ห่างออกไปทีละน้อย
รีบหาอย่างนั้นหรือ ? อันที่จริงข้าเสาะแสวงหาสตรีนางนั้นมาโดยตลอด แต่ไม่รู้ทำไม โดยไม่รู้ตัว ข้าก็ได้เลิกเสาะหาอย่างจริงจังไปเสียแล้ว...อาจเป็นเพราะตั้งแต่ข้าได้พบกับท่าน จิตใจข้าก็แต่วนเวียนจดจ่ออยู่กับท่าน จนมิได้ครุ่นคิดถึงสิ่งใดอีก...
ขณะขบคิดเท้าก็ก้าวตามอีกฝ่ายไป
---------------------
หากฉีเซี่ยงหยวนยังมิทันก้าวตามเหลียนอันสุ่ยจนทันก็พบคนสองคนมาขัดขวางอยู่กลางทางเสียก่อน เป็นจางจื่อหยูกับหลี่กวงเว่ย สองในห้าคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวนเอง
“ท่านอ๋องน้อยกรุณากลับตำหนักด้วย” จางจื่อหยูพูดด้วยท่าทีจริงจังพลางคุกเข่าลงกับพื้น
คิ้วหนาของฉีเซี่ยงหยวนขมวดเข้าหากันทันที
“นี่พวกท่านจะมาไล่ต้อนให้ข้ากลับตำหนัก ?” น้ำเสียงบ่งชัดว่าไม่พอใจ แต่ยังไม่แสดงออก
“ท่านอ๋องน้อย ท่านก็รู้ว่าอะไรเหมาะสมอะไรไม่เหมาะ” หลี่กวงเว่ยพูดขึ้นช้าๆ ที่ปรึกษาของฉีเซี่ยงหยวนผู้นี้ยังคงสงบเยือกเย็นกับโทสะของนายเหนือหัว
“ใช่ ข้ารู้” ฉีเซี่ยงหยวนพูดจบก็ทำท่าจะก้าวไปตามทางที่ตั้งใจไว้แต่เดิม เล่นเอาจางจื่อหยูร้อนรนจนหน้าแดงก่ำ หากหลี่กวงเว่ยเพียงพูดตามหลังคนที่สูงศักดิ์กว่าไปด้วยน้ำเสียงช้าๆชัดๆ สงบราบเรียบว่า
“ท่านจะยอมให้ความไม่อดทนในช่วงเวลาเล็กน้อยนี้ ทำลายทุกอย่างที่ท่านทำมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ? ...ท่านอ๋องน้อย แค่ช่วงนี้เท่านั้น”
หลังผ่านไปอึดใจใหญ่ๆ ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็ยินยอมก้าวไปในทิศที่สองคนสนิทมุ่งหวัง
ทั้งสามคนต่างไม่ทราบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของเจ้าของตำหนัก เพราะต้องการถามเรื่องเด็กคนนั้นจากฉีเซี่ยงหยวน เหลียนอันสุ่ยจึงวกย้อนกลับมา และเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้แต่นิ่งฟัง ดวงตามองตามเงาหลังกว้างของคนที่จากไปหลุบต่ำลง
ช่วงเวลาเปลี่ยนถ่ายอำนาจเป็นช่วงที่เปราะบางเสี่ยงต่อการพลักผันที่สุด ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่ฉีเซี่ยงหยวน ดังนั้นหลายวันมานี้อีกฝ่ายจึงมิได้เหยียบเข้าประตูตำหนักเสียงวสันต์
...ทั้งๆที่รู้ว่าอันตราย เหตุใดต้องเพียรพยายามยื้อไว้ ?
บางครั้งเหลียนอันสุ่ยก็ไม่เข้าใจองค์ชายสี่ผู้นี้เลย ผู้หญิงของอีกฝ่ายสมควรมีมากมายอย่างยิ่งเหตุใดต้องเจาะจงมายุ่งเกี่ยวกับเขา และทั้งๆที่มีมากมายอย่างยิ่งเหตุใดจึงไม่มีแม้แต่คนเดียวที่พอจะเป็นชายาของท่านได้ ...คนที่ท่านต้องการต้องเพียบพร้อมถึงขั้นไหนกัน ?
และบางครั้งเหลียนอันสุ่ยก็ไม่เข้าใจตัวเองเลย
...ว่าเหตุใดต้องให้ความสนใจ เหตุใดต้องรู้สึกเจ็บปวด กับความจริงที่ว่าฉีเซี่ยงหยวนมิใช่คนที่จะหยุดอยู่กับคนเพียงคนเดียว
ความสัมพันธ์ที่เปราะบางนี้มิได้ให้ประโยชน์อันใดกับท่านเลย เหตุใดจึงไม่ยอมให้มันสิ้นสุดเสียที เหตุใดจึงไม่ยินยอมปล่อยข้าไป
============
ขอบคุณสำหรับเป็ดทุกตัวที่มอบให้ รักคนอ่านมากมาย
