<<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58  (อ่าน 214837 ครั้ง)

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 23
«ตอบ #60 เมื่อ18-08-2014 20:47:22 »


บทที่ 23 พิพากษา

เขตตำหนักของฉีเซี่ยงหยวนบริเวณห้องโถงที่อยู่ลึกเข้าไปจุดโคมไฟสว่างโร่  บรรดาคนสนิททั้งห้าอันได้แก่จางจื่อหยู หลี่กวงเว่ย มู่ซาง ฝงเป่า หลิวฉางเฟย ต่างอยู่กันพร้อมหน้า  สามคนแรกเป็นมันสมอง  สองคนหลังรับไปปฏิบัติ  ทั้งหมดล้วนสนทนากันอย่างเคร่งเครียด  ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่หัวโต๊ะ  ดวงตาคมกริบยากจะอ่าน  รับฟังทุกถ้อยความอยู่ตลอด  คืนนี้ไม่มีเวลาสำหรับการนอนหลับ  จากท่าทีของพระบิดาในงานเลี้ยง  ฉีเซี่ยงหยวนก็มองออกว่าพรุ่งนี้เป่ยชางอ๋องจะเริ่มพิพากษาโทษพรรคพวกทั้งหมดของฉีเซี่ยงหมิง !

จะมีตำแหน่งที่ว่างลง  จะมีคนที่ถูกโยกย้าย  อำนาจต้องถูกจัดสรรอย่างลงตัวที่สุด  หมากตัวไหนเป็นพิษร้ายสามารถแว้งกัดต้องถูกกำจัดทิ้ง เพราะฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าเป่ยชางอ๋องจะมอบอำนาจการจัดการให้กับเขา  ส่วนตัวเป่ยชางอ๋องเองจะนั่งสั่งการอยู่หลังฉาก  เพราะหน้าที่พิพากษาคนอื่นมิใช่หน้าที่ที่ดีและเป่ยชางอ๋องก็ไม่ต้องการจัดการกับทั้งชายารองและบุตรชายด้วยมือตัวเอง

ดังนั้นทุกอย่างต้องแนบเนียน  คนภายนอกต้องดูไม่ออกว่าคนที่ถูกเสนอชื่อเข้าแทนในตำแหน่งที่ว่างลงเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวนกี่คน !
---------------------
ดึกดื่นจนค่อนจะเช้าแล้ว  แขกประจำที่ไม่เคยได้รับเชิญพลันมาเยือนตำหนักเสียงวสันต์  ปลุกหัวหน้าหญิงรับใช้ที่เข้านอนไปแล้วอย่างอิ๋งฮวาให้ต้องตื่นขึ้นเพื่อรับมือกับคนที่ท่าทางจะมีจุดประสงค์มารบกวนนิทรารมย์ของผู้อื่นโดยเฉพาะ
ฉีเซี่ยงหยวนอดแปลกใจมิได้ว่า  ทั้งๆที่ตัวเองมาเยือนกะทันหันในเวลาเช่นนี้ เหตุใดหัวหน้าหญิงรับใช้ของพระมาตุลาจึงยังสามารถมายืนขวางทางในสภาพหมดจดเรียบร้อยได้ทันเวลา  อาจบางทีนางคงรอบคอบถึงขั้นเข้านอนในสภาพแต่งตัวเต็มยศเพื่อเตรียมรับมือเขากระมัง
“ถอยไป” องค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางบัญชา  ตาจ้องศีรษะที่ก้มต่ำของอีกฝ่ายเขม็ง
“นายท่านเข้านอนไปแล้ว  เกรงว่าคงไม่สะดวกที่จะสนทนากับท่านอ๋องน้อย”
“ข้าบอกให้ถอยไป” คำพูดแผ่วช้า สงบราบเรียบ ไม่มีวี่แววยอมอ่อนข้อ  และไม่มีวี่แววที่จะมีอารมณ์มาเกี่ยวข้อง  ทำให้อิ๋งฮวานิ่งไปอึดใจ  สุดท้ายต้องยอมก้าวถอยออกจากตำแหน่งขวางหน้าบานประตู  เพราะไม่ว่าผู้ใดล้วนสัมผัสได้ เวลาที่ฉีเซี่ยงหยวนใช้น้ำเสียงปราศจากความรู้สึก  คำสั่งนั้นไม่อนุญาตให้ขัดขืน
---------------------
ในห้องมืดสลัว  มีเพียงแสงดาวกับแสงเดือนข้างนอกสาดเข้ามาตามแนวหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้  นายท่านของตำหนักเสียงวสันต์หลับสนิทอยู่บนเตียง  เส้นผมละเอียดกระจายอยู่บนหมอน  เค้าใบหน้าสงบผ่อนคลาย 
สายตานิ่งเย็นของฉีเซี่ยงหยวนคล้ายกับอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย  ตอนแรกแม้ใคร่จะสนทนากับอีกฝ่ายเหลือเกิน  ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเพียงพอแล้ว 

มีแต่อยู่ข้างๆพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ฉีเซี่ยงหยวนถึงสามารถเป็นเพียงคนผู้หนึ่ง  มิใช่องค์ชายสี่  มิใช่อ๋องน้อย  มิใช่ผู้นำที่คนนับพันฝากชีวิตไว้ในกำมือ 

...เป็นเพียงคนผู้หนึ่งซึ่งรู้จักเจ็บปวด...เป็นเพียงคนผู้หนึ่งซึ่งมีความสับสนเป็นของตนเอง...

ร่างสูงใหญ่ผ่อนน้ำหนักช้าๆเพื่อจะทรุดนั่งลงบนเตียงโดยไม่รบกวนคนที่อยู่ในนิทรารมย์  ความสับสนปวดลึกในใจคล้ายกับค่อยๆจางไป  คิ้วหนาที่กดมุ่นผ่อนคลายลง  มีเพียงอยู่ที่นี่ใจของฉีเซี่ยงหยวนจึงรู้สึกสงบอย่างแท้จริง  ความขัดแย้งและการช่วงชิงในวังวนแห่งอำนาจคล้ายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอีก  รอบกายเหลือเพียงความสงบอันอ่อนโยน...
---------------------
ความมืดค่อยๆจางหายไปในอ้อมกอดของรุ่งสาง  แสงแดดลอดเข้ามาตามแนวหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้เป็นลำจางๆ
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกตัวช้าๆ  เพียงเปิดเปลือกตาก็พบเงาร่างที่ไม่ทราบบุกรุกเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด  การขยับตัวเล็กน้อย ทำให้อีกคนที่หลับตานั่งพิงหัวเตียงอยู่นิ่งๆ ลืมตาขึ้น
“ข้ารบกวนท่านรึเปล่า” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวถาม
เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า  ขณะจะลุกขึ้นนั่ง  กลับถูกดันตัวกลับลงไป  พร้อมคำพูด
“ท่านนอนต่อเถอะ  ข้าแค่แวะมางีบเล็กน้อย  ตอนนี้สมควรไปแล้ว”
แล้วคนที่มาเกือบเช้าก็จากไปในลำแสงแรกของรุ่งอรุณ
---------------------
“เจ้าอยู่ข้างนอกรึเปล่า อิ๋งฮวา” นี่เป็นคำถามแรกของเหลียนอันสุ่ย  เมื่อคล้อยหลังฉีเซี่ยงหยวน
“เจ้าค่ะ” ขานรับพลางผลักประตูเข้ามา
“องค์ชายสี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ครึ่งชั่วยามที่แล้วเจ้าค่ะ” ถึงแม้นี่จะเป็นเวลาตื่นปรกติของนายท่าน  แต่สำหรับวันนี้อิ๋งฮวาโบ้ยให้เป็นความผิดของคนร้ายกาจผู้นั้นเลยเชียวที่ทำให้นายท่านต้องตื่นเช้า
หากคนเป็นนายมิได้สนใจสายตาก่นด่าของหญิงรับใช้  เหลียนอันสุ่ยเพียงรู้สึกว่าคนผู้นั้นน่าจะยังไม่ได้นอนมาทั้งคืน  ...วันนี้สมควรมีบางอย่างที่สำคัญเกิดขึ้น  เพราะสายตาของฉีเซี่ยงหยวนเป็นเช่นเดียวกับวันที่เขาก้าวพ้นจากกำแพงเมืองอู๋เล่ยไม่มีผิดเพี้ยน !
เป็นสายตาของคนที่กำลังไปทำบางอย่างที่จะทำให้เขาหันหลังกลับมิได้อีก
---------------------
เหลียนอันสุ่ยคาดเดาไม่ผิด  เพียงครึ่งวันก็ได้ยินข่าวเป่ยชางอ๋องมีบัญชาให้พิพากษาโทษกบฏ  มอบหมายให้องค์ชายสี่ควบคุมดำเนินการ  หลังจากนั้นในความรู้สึกของพระมาตุลาแคว้นเหลียน ทุกประการก็กลายเป็นกลียุค  ปากสอนบุตรชายเขียนอักษร  ในหูกลับแว่วเสียงใบมีดจากลานประหาร  เพราะเหลียนอันสุ่ยทราบอยู่ตลอดบ่ายนั้นว่ามีคนตายอยู่ทุกขณะ  ตกเย็นใจถึงกับหวาดกลัวอยู่บ้างที่จะฟังข่าวสารจากหวังเชียน

ญาติทางฝั่งมารดาขององค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิงถูกพิพากษาโทษตายกว่าครึ่ง  ประมุขตระกูลสือผู้เป็นบิดาของพระชายารอง  นอกจากจะรั้งตำแหน่งอำมาตย์ใหญ่ ยังเป็นหนึ่งในสามคนสนิทของฉีเซี่ยงหมิง  เป็นตัวหลักที่ช่วยฉีเซี่ยงหมิงก่อการ  ส่งผลให้โทษทัณฑ์ของตระกูลสือหนักหนากว่าเพื่อน  ตระกูลสือที่ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้ามาตลอดถึงคราวล่มสลาย  ทายาทสายตรงไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว  เพราะพวกเขาล้วนเกี่ยวพันเป็นส่วนหนึ่งในการกบฏครั้งนี้  บ่าวไพร่จำนวนไม่น้อยถูกกลบฝังตามผู้เป็นนาย
คนสนิทอีกสองคนของฉีเซี่ยงหมิงอันได้แก่แม่ทัพกั่วกับหลู่เอ้อล้วนหนีไม่พ้นโทษประหาร  แต่กั่วเหวินโฮ่วสร้างแผนการปล้นคุกพาตัวเองและเครือญาติหลบหนีไปได้  ส่วนหลู่เอ้อชิงเชือดคอฆ่าตัวตายตั้งแต่อยู่ในคุก

รวมแล้วเพียงวันนี้วันเดียวมีคนที่ถูกกำหนดว่าต้องจบสิ้นชีวิตทั้งหมด 106 คน  ต้องโทษคุมขังหรือเนรเทศอีก 53 คน
 “แคว้นเป่ยชางใช้ฝีมือที่เด็ดขาดอย่างยิ่งจริงๆ” หวังเชียนพึมพำ  ในหัวยังยากจะเชื่อว่าคนที่เพิ่งปล่อยปละละเว้นเขาเมื่อวานจะทำเรื่องโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้
หากเหลียนอันสุ่ยทราบว่าต่อให้ฉีเซี่ยงหยวนคิดจะปล่อยปละละเว้นตระกูลสือจริงๆก็ทำไม่ได้  เพราะคนที่ต้องการเอาผิดตระกูลสือคือเป่ยชางอ๋อง  ที่สำคัญคือเหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้ว่าฉีเซี่ยงหยวนตกลงใจจะกวาดล้างตระกูลสือ  แม้จะยังไม่ทราบเหตุผล  แต่เมื่อคนอย่างฉีเซี่ยงหยวนตกลงใจจะกำจัดใครจะไม่เหลือทางไว้ให้พวกเขาแว้งกัด

เหลียนอันสุ่ยรู้  คนที่ต้องตายจริงๆยังมีอีกสองคน...เป็นสองคนที่ต้องถูกพิพากษาเป็นกรณีพิเศษ
---------------------
ค่ำคืนนี้อากาศคล้ายกับเหน็บหนาวยิ่งกว่าคืนอื่น

ตำหนักพระชายารองที่เพิ่มทหารกวดขันตั้งแต่มีคำสั่งกักบริเวณสงบเงียบเชียบ  จนคล้ายกับสายลมในสุสานยังอึกทึกยิ่งกว่า  ทุกอย่างสงัดงันราวตกอยู่ใต้คำสาปปราศจากสำเนียง

ชายารองในเป่ยชางอ๋องสวมชุดไว้ทุกข์มองขวดยาบนโต๊ะด้วยสีหน้าสงบเย็นชา  ยาถูกเทลงถ้วยเรียบร้อยแล้ว  แต่คนที่ต้องดื่มกลับยังไม่ดื่มลงไป  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้เร่งนาง  อันที่จริงตัวเขาไม่คิดจะมาที่นี่  หากสุดท้ายยังคงต้องมาเพราะติดค้างคำพูดของคนผู้หนึ่งต้องบอกต่อสตรีตรงหน้า

“คิดไม่ถึงคนที่เซี่ยงหมิงฝากคำพูดมาจะเป็นเจ้า”
“...” ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ตอบ  หลังการสนทนากับฉีเซี่ยงหมิงเมื่อคืน  ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจทุกอย่าง  ถึงพระมารดาของฉีเซี่ยงหมิงจะใช้สายตาที่แฝงความเกลียดชังชนิดหนึ่งมองเขา  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับนึกสงสารนางอยู่บ้าง  เป่ยชางอ๋องใช้ฝีมือที่อำมหิตอย่างยิ่งต่อชายารองของตัวเอง  สตรีตรงหน้าต้องนั่งฟังข่าวการตายของคนในครอบครัวทีละคนๆ  อำมาตย์สือบิดาของนางตายไปแล้ว  อีกไม่นานบุตรชายของนางก็จะประสบชะตากรรมเดียวกัน  สิ่งสุดท้ายที่ผู้ชายซึ่งอยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปีมอบให้นางคือยาพิษถ้วยหนึ่ง
ดวงตาของสตรีที่เคยทรงอำนาจอย่างไรก็ยังรักษาบุคลิกเช่นนั้นไว้ทอแววเย้ยหยันตัวเอง  ทราบดีว่า ‘เขา’ กำลังแก้แค้นให้ใคร  ต้องการตอกย้ำเรื่องอะไร
“สุดท้ายในใจท่านก็ไม่เคยมีข้า...คนที่ท่านรักยังคงเป็น ‘นาง’ ” คำพูดดุจรำพึงกับตัวเองเสียดแทงเข้าไปในใจผู้ฟัง  ในวินาทีนั้นฉีเซี่ยงหยวนพลันนึกถึงมารดาที่อยู่เพียงเลือนรางในความทรงจำ 
ผู้หญิงสองคนที่ชะตาลิขิตไว้แต่แรกแล้วว่าสามีจะไม่มีวันรักพวกนาง  เพราะพวกนางล้วนเบียดคั่นอยู่ระหว่างตระกูลที่ทรงอำนาจกับราชสำนัก  เป็นหมากตัวหนึ่ง เป็นเชือกเส้นหนึ่งซึ่งเชื่อมสองอำนาจนี้ไว้ด้วยกัน  ทุกคนล้วนไม่เคยมองเห็นหรือไม่ก็ทำเป็นมองไม่เห็น...ว่าเชือกเส้นนี้ก็มีจิตใจ 

เพียงแต่คนหนึ่งยอมรับชะตาอย่างเงียบงัน  ส่วนอีกคน...ดิ้นรนไขว่คว้าเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำคัญ 

“อำนาจ...ทำให้ข้าได้มาเจอกับท่าน  และอำนาจ...ก็ทำให้ท่านไม่เคยรักข้าเลย” เสียงพึมพำแผ่วเบาแต่กลับชัดเจนในยามที่ทุกอย่างเงียบสงัด 
ในที่สุดพระชายารองในเป่ยชางอ๋องก็ยกถ้วยยาจรดริมฝีปาก  พลางเอ่ยประโยคสุดท้าย...
“บอก ‘เขา’ ด้วยว่าข้าไม่อนุญาตให้เขาแตะต้องลูกชายข้า  ใช่แล้ว...ลูกชายข้า...”
จนลมหายใจสุดท้ายนางยังคงพึมพำว่า ‘ลูกชายข้า’   ไม่ยินยอมใช้คำว่า ‘ลูกของเรา’   ภายหลังฉีเซี่ยงหยวนถ่ายทอดคำพูดนี้ต่อเป่ยชางอ๋อง  สิ่งที่ได้ตอบกลับมาเป็นความเงียบ  เป่ยชางอ๋องนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง  สุดท้ายก็มิได้เอ่ยอะไร  อาจบางทีมีเพียงพวกเขาสองคนที่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายสื่อ  ไม่ว่ามันจะคือความรักหรือความเกลียดชัง...ก็ปะปนกันจนยากจะแยกแล้ว...
---------------------
คืนนั้นฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ไปตำหนักเสียงวสันต์  เพราะหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากเกินไป  เขาต้องการอยู่คนเดียวเงียบๆเพื่อเรียบเรียงมัน

ที่ฉีเซี่ยงหยวนกวาดล้างตระกูลสือ  ความจริงเป็นเรื่องที่พระบิดาตกลงใจไว้นานแล้ว  ส่วนเขาก็แอบเห็นด้วยเงียบๆ  ตระกูลสือเป็นหนามชิ้นใหญ่ของแคว้นเป่ยชาง  แม้จะทำประโยชน์ให้แคว้นเป่ยชางมาไม่น้อย  แต่ก็บ่อนทำลายแคว้นเป่ยชางไปไม่น้อยเช่นกัน  ไม่มีใครเคยกล้าเอาผิดจริงๆจังๆกับตระกูลสือ  เนื่องจากอิทธิพลของตระกูลสือแทบจะทาบบารมีกับเป่ยชางอ๋อง  ดังนั้นตระกูลสือจึงต้องถูกกำจัด  ถึงแม้บางคนจะกล่าวอ้างถึงความดีความชอบเก่าก่อน  แต่เท่าที่ฉีเซี่ยงหยวนทราบแคว้นเป่ยชางได้ชดใช้ให้คนตระกูลสือไปจนมากเกินพอแล้ว

สำหรับกั่วเหวินโฮ่ว...บรรดาครอบครัวของเขาขณะนี้อยู่ใน ‘ความดูแล’ ของฉีเซี่ยงหยวน  ส่วนเจ้าตัวคงเดินทางถึงแคว้นหนานเหมินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เหตุการณ์ปล้นคุกอะไรนั่นจริงๆคนอยู่เบื้องหลังคือฉีเซี่ยงหยวน  สรุปคือหนานเหมินอ๋องสูญเสียหมากไปตัวหนึ่งโดยที่ตัวเองไม่รู้  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนเพิ่มหูตาในแคว้นหนานเหมินขึ้นมาอีกคนหนึ่ง

ใช่  ทุกอย่างเรียบร้อยดี  เพียงแต่ว่า...
คืนนี้...เป่ยชางอ๋องประทานยาพิษให้พระชายารอง  ส่วนพรุ่งนี้...เป่ยชางอ๋องจะมีราชโองการลงมาให้สำเร็จโทษฉีเซี่ยงหมิง
แววตาที่มักคมกล้าฉายความสับสนซ้อนทับกับอารมณ์ซับซ้อนบางอย่าง  ความทรงจำในอดีตพัวพันความคิดไม่เลิกรา  ความรู้สึกผิด ความสูญเสีย ความปวดร้าว  ฉายประกายวูบเข้ามา...แล้วก็ผ่านหายไป

ใต้แสงจันทรากับบรรยากาศเยียบเย็น เงาร่างสูงใหญ่นั่งนิ่งเฉยปานรูปสลัก  ตาเหม่อมองประกายจันทร์ที่ฉาบลงบนพื้น   ลึกๆในใจมิได้ปรารถนาให้วันพรุ่งนี้มาถึงเลย...
---------------------
ใต้ฟ้าจันทราดวงเดียวกัน  เหลียนอันสุ่ยนั่งอยู่ที่ชานระเบียงด้านนอก  บอกกับตัวเองว่า ‘คนผู้นั้น’ คงไม่มาแล้ว  ดีแล้ว...เขาไม่ควรมาเพราะเขากำลังจะเป็นเป่ยชางอ๋อง  เพียงแต่ว่า...

เสียงทอดถอนใจแผ่วเบา  ขณะเหลือบมองแสงจันทร์เป็นครั้งสุดท้าย  มือกระชับเสื้อคลุมตัวนอกที่ใช้กันไอเย็น  เดินกลับเข้าไปด้านใน

ขอเพียงท่านเคยฆ่าคนมา  จะทราบว่าการฆ่าผู้อื่นมิใช่เรื่องน่าสนุกเลย  106 ชีวิตจากไปแล้วในวันเดียว  เหลือทิ้งไว้เพียงความทรมานแก่ผู้ที่ยังเหลืออยู่  ญาติพี่น้องร่ำไห้คร่ำครวญ  มัจจุราชที่ลงดาบได้แต่ดื่มสุราด้วยความอับจนปัญญาเพื่อลืมมันไปซะให้หมด  แต่มีคนอยู่ผู้หนึ่ง...มิอาจทำเป็นลืมเลือนไป  มิมีสิทธ์กระทั่งเศร้าโศกเสียใจ  เพราะทุกคนล้วนตายเพราะคำสั่งของเขา 

มันจะง่ายกว่านี้ถ้าหัวใจชินชา  แต่เหลียนอันสุ่ยทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนยังเป็นมนุษย์  ยังรู้สึกผิด  ยังรู้จักเสียใจ  เงาหลังในประกายอรุณเมื่อเช้า  นอกจากเงาของความทระนง ยังมีเงาของความปวดร้าว  เพียงแต่ฉีเซี่ยงหยวนซ่อนมันเอาไว้ลึกเกินไป  จนใครๆล้วนเข้าใจว่าองค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางเป็นคนที่ร้ายกาจเลือดเย็น
---------------------
วันถัดมาองค์ชายแคว้นเป่ยชางจากสามก็เหลือเพียงสอง  คือองค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนกับองค์ชายห้าฉีเซี่ยงอวิ๋น  ถัดมาอีกหกวันเป่ยชางอ๋องก็ประกาศยกบัลลังก์ให้บุตรชายคนที่สี่  ท้องฟ้าที่โศกาอาดูรค่อยๆเปลี่ยนเฉดสีเข้าสู่ความรุ่งเรืองของรัชกาลใหม่  พิธีแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจะจัดในอีกสามวัน  ท้องถนนเริ่มประดับประดาสวยงาม  ผู้คนคล้ายกับลืมเลือน...หรือไม่ก็ทำเป็นลืมเลือนไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เกิดเหตุการณ์นองเลือดอะไรขึ้นบ้าง

อิ๋งฮวาทั้งแตกตื่นทั้งหลากใจ  ไม่คิดว่าการยกบัลลังก์จะทำกันง่ายๆเช่นนี้  หากผู้เป็นนายเพียงนิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่งก็มิได้สนใจอะไรอีก  เนื่องจากเหลียนอันสุ่ยทราบแต่แรกว่าเป่ยชางอ๋องจะไม่ยื้อไว้  เพราะยื้อเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์  บัลลังก์จะมีความหมายต้องมีอำนาจค้ำจุน  แต่ขณะนี้บัลลังก์เป็นเพียงบัลลังก์เปล่าๆ  อำนาจที่ค้ำจุนมันอยู่ในกำมือของฉีเซี่ยงหยวนไปแล้ว
...กระแสธารของประวัติศาสตร์ในที่สุดก็ไหลผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง...
---------------------
ในช่วงสองสามวันนี้วันเวลาของพระมาตุลาแคว้นเหลียนผ่านไปอย่างสงบ  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้แวะเยี่ยมหน้ามา  เหลียนจิ้งเต๋อก็ยังเรียนตามปรกติ  ส่วนเหลียนอันสุ่ยเองนอกจากเก็บตัวเงียบอยู่ในตำหนักเสียงวสันต์  ก็มีเพียงช่วงเวลากลางวันที่จะไปเยือนหอตำราหลวง  วันนี้เองความจริงก็ควรผ่านไปอย่างสงบ  หากเขามิได้พบคนผู้หนึ่ง  คนแปลกหน้าที่หล่อเหลาอย่างยิ่งผู้หนึ่ง...
---------------------

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 22
«ตอบ #61 เมื่อ18-08-2014 21:07:55 »

 :z13: นานๆได้เข้ามาที ได้จิ้มคนเขียนด้วย

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 24
«ตอบ #62 เมื่อ18-08-2014 21:12:16 »

บทที่ 24 พยัคฆ์กับสุนัขป่า

แสงตะวันยามบ่ายสาดแสงจ้าเข้ามาทางหน้าต่างบานใหญ่ทั้งแถบที่ถูกเปิดออกจนสุด  ความสว่างของกลางวันขับไล่ความจำเป็นที่ต้องจุดตะเกียงไปจนไกล  กลิ่นอับของม้วนไม้ไผ่ปะปนกับกลิ่นน้ำหมึกกรุ่นกำจายออกมาจากม้วนตำราที่วางซ้อนทับกันอยู่เต็มชั้นสูง  ราวกับว่าบรรดาสรรพความรู้โบราณต่างพากันหลับใหลอย่างสงบอยู่ ณ หอตำราหลวงแคว้นเป่ยชาง

ที่นี่ควรจะเป็นที่ซึ่งพาให้จิตใจสงบที่สุด  ฉุดดึงทุกผู้คนจมดิ่งลงไปในความลึกล้ำของภูมิความรู้  หากจิตใจของพระมาตุลาแคว้นเหลียนกลับมิอาจจดจ่อกับตำราในมือได้อย่างที่ควรจะเป็น  สายตาเหม่อมองฝุ่นละอองที่เคลื่อนไหวเชื่องช้าในลำแดด  รับรู้ว่าตัวเองมีบางอย่างที่แปลกไป  เขา...นอนหลับไม่สนิท  อันที่จริงคือในช่วงหลายวันมานี้จิตใจคล้ายจะผ่อนคลายแต่กลับไม่สงบ  โดยมิได้ตั้งใจ...หากในวันๆหนึ่งจะต้องมีซักคราที่สายตาไปหยุดอยู่ที่บานประตู  เพียงเพื่อจะทราบว่าอีกฝ่ายมิได้มา  เขามักจะโล่งใจที่อีกฝ่ายมิได้มา  มันคงจะดีที่ในที่สุดแล้วอีกฝ่ายก็ทราบว่าควรจะถอยห่างออกไป  แต่ทำไม...  เสียงผ่อนลมหายใจช้าๆสายตาเจือความหม่นหมองอ้างว้าง  เรียวคิ้วกดมุ่นลง  ความรู้สึกอ้างว้างเช่นนี้ไม่ดีแน่  เขา...

เสียงทึบหนักๆของม้วนตำราตกกระทบพื้น  ดึงให้พระมาตุลาแคว้นเหลียนสะท้านตื่นจากห้วงคิด  ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นช้าๆ  นี่เป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยพบผู้อื่นเข้ามาร่วมใช้หอตำราอันกว้างขวางแห่งนี้
---------------------
บุรุษหนุ่มรูปร่างสูง บุคลิกงามสง่าราวจำลองมาจากท่วงทำนองของสายลมผู้หนึ่งกำลังสอดส่ายสายตาหาคน  เพราะสายตามัวแต่ไปมองอย่างอื่นศอกของเขาจึงพอดีปัดโดนหนังสือม้วนหนึ่งร่วงลงจากชั้น  ขณะจะก้มตัวลงเก็บ  มือสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลาข้างหนึ่งก็หยิบมันส่งขึ้นมาเบื้องหน้า  ที่เป่ยชางมีคนสีผิวเช่นนี้ไม่มาก  ในนาทีนั้นคนทำของตกจึงทราบว่าในที่สุดตัวเองก็พบคนที่ต้องการหาแล้ว  หากเมื่อไล่สายตาจากข้อมือขึ้นไป กลับทำให้คนซึ่งไม่ค่อยแปลกใจอะไรบ่อยนักต้องถึงกับนิ่งอั้นตะลึงงัน  พูดอันใดไม่ออกอยู่พักใหญ่

ให้คิดอีกสามร้อยยี่สิบตลบ  หานญื่อหลัวก็ไม่คิดว่าคนที่องค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนลุ่มหลงในคราวนี้จะมีบุคลิกเช่นคนตรงหน้า !
ฝ่ายเหลียนอันสุ่ยก็ชะงักไป  มิอาจไม่ยอมรับว่าอีกฝ่ายช่างหล่อเหลาคมคาย  แต่คนผู้นี้ไม่คล้ายชาวเป่ยชาง  ผิวของเขาขาวจัด  รูปร่างสูงสมส่วนแข็งแรง  เบ้าตาลึกกับเรียวคิ้วเข้มขับให้ใบหน้าดูคมชัด  เติมเสน่ห์ให้ดวงตาสีฟ้าจัดราวกับฟากฟ้าในฤดูคิมหันต์ยิ่งโดดเด่น  บุคลิกปลอดโปร่งงามสง่า  อาภรณ์บนร่างทั้งสูงค่าทั้งมีรสนิยม
---------------------
“เจ้าว่าอะไรนะ !” เสียงดังราวฟ้าผ่ากลางวันแสกๆแทรกเข้ามากลางบรรยากาศเงียบสงบ  ส่งผลให้หญิงรับใช้สะดุ้งเฮือกกันเป็นแถบ  ถึงแม้หลังจากเงี่ยหูฟังจะไม่ได้ยินเสียงใดอีก  หากเท้าของพวกนางยังคงซอยถอยห่างจากห้องหนังสือของท่านอ๋องน้อยโดยไว
ส่วนคนในห้องที่แท้จริงงานยุ่งอย่างยิ่ง  ก็เขวี้ยงงานเหล่านั้นทิ้งในทันใด  เพ่งตามองคนสนิทเขม็ง
หลิวฉางเฟยรายงานเสียงราบเรียบว่า
“หม่าหลงเพิ่งรายงานมาว่าพระมาตุลาบังเอิญได้พบกับพระภาคิไนยที่หอตำรา...” กล่าวมาถึงตรงนี้ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงตบโต๊ะดังปัง  ตามด้วยคำพูดที่เค้นลอดไรฟัน ความว่า
“บังเอิญ เฮอะ!  เจ้าคนแซ่หานมันกลัวมีชีวิตยืนยาวเกินไปใช่หรือไม่  ถึงได้จงใจตอแยข้าครั้งแล้วครั้งเล่า!” สายตาขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางวาวจัดเย็นยะเยียบจนคล้ายเปลวไฟในก้อนน้ำแข็ง ไม่ทันขาดคำคนก็ผลุนผลันออกไปแล้ว
หลิวฉางเฟยได้แต่สั่นศีรษะก้าวติดตามผู้เป็นนายไป

ทอดสายตาทั่วทั้งแคว้นเป่ยชาง  หากจะมีคนผู้หนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติเพียงพอจะแย่งสตรีไปจากอ๋องน้อยฉีเซี่ยงหยวนได้  คนผู้นั้นต้องเป็นพระภาคิไนยหานญื่อหลัว

หานญื่อหลัวเป็นหลานคนโปรดของเป่ยชางอ๋อง  เนื่องจากเกิดกับขนิษฐาอันเป็นที่สนิทเสน่หายิ่ง  แตกฉานพิณ กลอน อักษร ภาพวาด ตั้งแต่อายุยังน้อย  นับเป็นศัตรูกับบุรุษทุกนามที่หวังจะมีภรรยาสวยสะคราญ  สาเหตุแรกเป็นเพราะว่าเขารูปงามเกินไป  ส่วนสาเหตุที่สองเป็นเพราะว่าหานญื่อหลัวยังไม่คิดจะแต่งงานกับใครจริงๆจังๆ  ซึ่งในข้อนี้กระทั่งเป่ยชางอ๋องยังควบคุมบังคับไม่ได้  เพราะหานญื่อหลัวมีสถานะพิเศษ  แม้มีสาเหตุสายเลือดชาวเป่ยชางแต่กลับมิใช่ชาวเป่ยชาง 
---------------------
โต๊ะตรงมุมในสุดของหอตำราหลวงนั่งไว้ด้วยคนสองคน  เมื่อพระภาคิไนยหานญื่อหลัวปรากฏตัวเบื้องหลังของเหลียนอันสุ่ยจากที่มีแค่หวังเชียนก็เพิ่มหม่าหลงกับต้วนจินเข้ามาทันที  เหลียนอันสุ่ยแม้แปลกใจกับท่าทีเคร่งเครียดจริงจังของคนคุ้มกันทั้งสองหากไม่มีเวลาซักถาม

สายตาคู่งามมองประเมินบุรุษที่ทั้งสง่างาม ทั้งดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยตรงหน้า  ได้ข้อสรุปว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดของหานญื่อหลัวสมควรเป็นดวงตาสีแปลกที่พราวระยับยิ่งกว่าประกายแดดบนผิวน้ำคู่นั้น  เพราะมันสามารถดลบันดาลให้อิสตรีครึ่งค่อนแคว้นถอนตัวถอนใจไปไม่ได้เลยทีเดียว
ส่วนพระภาคิไนยหานญื่อหลัว  ขณะนี้กำลังอยู่ในสภาพสงสัยใจ  จนในที่สุดก็อดมิได้ต้องถามออกไป
“ดวงตาคู่นี้เป็นมรดกตกทอดจากท่านพ่อของข้าที่เป็นคนชนเผ่าเยวี่ยถาน  ท่าน...ไม่รู้สึกว่ามันแปลก?” หานญื่อหลัวคุ้นชินกับการที่ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับดวงตาเขาตลอดมา  แต่กับพระมาตุลาผู้นี้สนทนากันไปเป็นสิบประโยคกระทั่งถามยังไม่ถามถึง  ทำให้หานญื่อหลัวออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง
เหลียนอันสุ่ยตอบง่ายๆพร้อมรอยยิ้มบางๆ ว่า
“มันคงไม่แปลกในชนเผ่าของท่าน  อีกอย่าง...ข้าเองก็อาจจะดูเป็นของแปลกที่นี่เหมือนกัน”
สำหรับเหลียนอันสุ่ยไม่มีใครในหล้านี้ชมชอบความรู้สึกแตกต่าง  และเขาก็ไม่คิดว่าการไปตอกย้ำมันจะเป็นสิ่งที่พึงปฏิบัติ 
เหลียนอันสุ่ยเป็นชาวเหลียน  ผิวของชาวเหลียนมีสีอ่อนกว่าชาวเป่ยชาง  ลักษณะขาวนวลเนียนแบบงาช้าง  มิใช่ขาวจนออกซีดแบบหานญื่อหลัวที่มีเชื้อสายของชนเผ่าเยวี่ยถาน  ซึ่งข้อนี้เองทำให้หานญื่อหลังจดจำเหลียนอันสุ่ยได้ตั้งแต่แรกเห็น

หานญื่อหลัวเลิกคิ้วสูงให้กับคำตอบนั่น อาจบางทีมีแค่พระมาตุลาคนนี้คนเดียวที่ไม่สนใจจะเอ่ยถึงรูปลักษณ์อันแตกต่างของหานญื่อหลัว  คนอื่นจะมากจะน้อยก็ต้องแสดงออกบางส่วนไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี  ความจริงหานญื่อหลัวชินเสียแล้วกับท่าทีของคนอื่น  ตอนยังเยาว์อาจเคยมีบางครั้งที่รู้สึกไม่สบายใจกับรูปลักษณ์แปลกแยกของตัวเอง  ส่วนตอนนี้แม้จะเคยชินแล้วก็ยังรู้สึกขอบคุณ  ดวงตาสีฟ้ามีแววเป็นมิตรกว่าเดิม  ปากปรากฏรอยยิ้มกว้าง  ขยิบตาแล้วกล่าวว่า
“ความแปลกแยกในบางครั้งก็ไม่ใช่จะไม่ดี”
เหลียนอันสุ่ยมองอีกฝ่ายนิ่งอยู่พักหนึ่ง  แล้วจึงกล่าวขึ้น
 “ข้ากำลังสงสัยว่าดวงตาคู่นี้ของท่านใช้ดึงดูดอิสตรีไปมากมายเท่าไหร่แล้ว”
หานญื่อหลัวยิ้มอยู่อย่างเดิม มิได้ตอบคำ  แต่ในใจสำลักเล็กน้อย  พระมาตุลาผู้นี้...ใช่มองทะลุปรุโปร่งเกินไปหรือไม่

สำหรับหานญื่อหลัว  พระมาตุลาแคว้นเหลียนเป็นบุคคลที่น่าประทับใจผู้หนึ่ง  ประกายตาอ่อนโยนราวแสงจันทร์ทอดบนผิวธาร  ยามหลุบต่ำแฝงอารมณ์หม่นหมอง  ในความสูงศักดิ์มีความสงบงดงาม  ดุจภาพสะท้อนของทิวทัศน์ทะเลสาบไร้คลื่นลมในช่วงฤดูใบไม้ร่วง  หากสิ่งที่น่าดึงดูดใจที่สุดและน่าจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดฉีเซี่ยงหยวนเอาไว้ คือเหลียนอันสุ่ยเป็นมากกว่าความงามอันฉาบฉวยซึ่งผู้คนมักให้ความสนใจ  แต่เป็นอารมณ์บางอย่างที่ประทับลึกซึ้งลงในวิญญาณ...

“องค์ชายสี่” เสียงคำนับนอกประตูดังมาขัดจังหวะสนทนาของคนทั้งคู่  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยปรากฏแววสับสนตกใจ  สูญเสียความเยือกเย็นไปชั่วขณะหนึ่ง  ส่วนดวงตาสีฟ้าซึ่งลอบสังเกตอีกฝ่ายอยู่ก่อนก็หรี่ลงเล็กน้อย  แล้วค่อยเหลือบสายตาไปมองด้านคนที่เพิ่งก้าวเข้ามา
สีหน้าของฉีเซี่ยงหยวนเป็นปรกติ  หากความไม่เป็นมิตรชัดเจนอยู่ในแววตา  อันที่จริงภายในฉีเซี่ยงหยวนเข้าใกล้คำว่าเดือดดาล  รอยยิ้มของเหลียนอันสุ่ยเป็นของเขาคนเดียว  ไม่เกี่ยวกับไอ้คนน่ารังเกียจนั่น!  บรรยากาศโดยรอบคล้ายกับมีหมอกอันหนาหนักค่อยๆกดทับลงมา
ทั้งหานญื่อหลัวและเหลียนอันสุ่ยต่างยืนขึ้น 
“องค์ชายสี่” เสียงเรียกขานแผ่วเบาดังออกมาจากปากเหลียนอันสุ่ย  ในใจไม่พร้อมกับเผชิญกับการพบหน้าโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้  ทั้งหวั่นกลัวกับสิ่งที่ปกปิดมานาน  ภาวนาให้ตัวเองวางตัวแนบเนียนพอ   
...แต่เหลียนอันสุ่ยมิได้รู้เลยว่าหานญื่อหลัวยังรู้เรื่องตัวเขาละเอียดกว่าที่เหลียนอันสุ่ยรู้เรื่องอีกฝ่ายมากมายนัก

“องค์ชายสี่  ไม่ได้พบกันเสียนาน” ในที่สุดหานญื่อหลัวก็กล่าววาจา  หากท่าทียังคงเป็นการก้มหัวน้อยๆ  มิได้ประคองมือคารวะอย่างที่ควรจะเป็น  ถ้าเหลียนอันสุ่ยอยู่ในสภาวะปรกติจะต้องรู้สึกถึงความผิดแปลก แต่ตัวเหลียนอันสุ่ยในตอนนี้เพียงรับมือกับเรื่องของตัวเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอด  ไหนเลยจะจับสังเกตออก  อันที่จริงขนาดบรรยากาศขมุกขมัวโดยรอบยังแทบไม่สามารถแทรกเข้าไปในความสับสนวุ่นวายภายในใจเขา

เสียงทักตอบของฉีเซี่ยงหยวนเย็นชายิ่ง
“ไม่ได้พบกันนาน  พระภาคิไนยยังคงมีบุคลิกดุจเดิม” ความหมายคือยังคงเที่ยวยุ่งกับคนของชาวบ้านอยู่เช่นเดิม
หานญื่อหลัวยิ้มเล็กน้อยขณะตอบว่า
“ไม่เหมือนองค์ชายสี่ท่าน  ไม่ได้พบกันนาน  ดูมีสง่าราศีขึ้นกว่าเดิม” ความหมายพาดพิงถึงพฤติกรรมที่ฉีเซี่ยงหยวนแย่งบัลลังก์มาจากพ่อตัวเอง  ศักดิ์ฐานะจึงกลายเป็นว่าที่เป่ยชางอ๋อง
ใบหน้าที่ก้มต่ำของเหลียนอันสุ่ยเงยขึ้น  ในที่สุดก็รู้สึกถึงคลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อตัว  คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นลง  สายตาที่มองพระภาคิไนยหานญื่อหลัวเริ่มเปลี่ยนไป  ในความเข้าใจของเหลียนอันสุ่ย  ทั่วทั้งแคว้นเป่ยชางไม่สมควรมีคนกล้าปะทะกับฉีเซี่ยงหยวนตรงๆ  เพราะฉีเซี่ยงหยวนกำลังจะเป็นเป่ยชางอ๋อง  แต่ดูเหมือนเหลียนอันสุ่ยจะคาดเดาผิดพลาด  พระภาคิไนยผู้นี้ต้องมีสถานะบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจคำกล่าวพาดพิง  หันมากล่าวกับเหลียนอันสุ่ยว่า
“ตอนนี้เหลียนจิ้งเต๋อน่าจะเลิกเรียนแล้ว  ท่านสมควรกลับไปดูเขา” สำหรับฉีเซี่ยงหยวน  เหลียนอันสุ่ยยิ่งอยู่ห่างมือหานญื่อหลัวมากเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น  แม้คนแซ่หานยังไม่ประวัติว่าชมชอบบุรุษด้วยกัน  แต่อะไรก็ไว้ใจไม่ได้และฉีเซี่ยงหยวนก็มิใช่คนชอบความเสี่ยงในเรื่องเช่นนี้เสมอมา

ได้ยินฉีเซี่ยงหยวนกล่าวถึงบุตรชายบวกกับท่าทีของอีกฝ่าย  เหลียนอันสุ่ยก็มองออกว่าฉีเซี่ยงหยวนไม่ปรารถนาให้เขาอยู่ที่นี่  ตัวเหลียนอันสุ่ยเองก็มิปรารถนาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องกินแหนงแคลงใจของคนทั้งคู่  จึงรีบเอ่ยปากขอตัวจากไป

ลับเงาหลังของบุคคลซึ่งไม่ทราบว่าตัวเองคือสาเหตุหลักที่ทวีความเกลียดขี้หน้าไม่ลงรอยให้รุนแรงขึ้นบรรยากาศก็คล้ายหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม  สายตาสองคู่สบกันโดยไม่มีผู้ใดคิดจะหลบสายตา
มุมปากของหานญื่อหลัวยังคงมีรอยยิ้มบางๆขณะกล่าว
“ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านเป็นหนักถึงขนาดยุ่งเกี่ยวกับคนที่มีภรรยามีลูกแล้ว”
“...นี่มิใช่เรื่องของพระภาคิไนย  ท่านทางที่ดีอย่าได้ยุ่งเกี่ยว” เสียงเตือนราบเรียบเย็นชา
คราวนี้คนฟังคล้ายจะหัวเราะเบาๆ
“องค์ชายสี่ ท่านสมควรทราบว่าข้าไม่เคยชมชอบชีวิตที่สงบราบรื่นเกินไป  อีกอย่าง...คนผู้นั้นดีเกินไปสำหรับท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง กล่าวเสียงต่ำ
“ข้าเคยคิดว่าคราวนี้รสนิยมของตัวเองคงไม่ตรงกันกับท่าน...” ฉีเซี่ยงหยวนไม่ทันกล่าวจบ  คนเป็นพระภาคิไนยก็กล่าวสวนว่า
“ไม่เลย...รสนิยมของเราตรงกันเสมอมา”
ดวงตาองค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางวาววาบ  ประกายอำมหิตผ่านวูบเข้ามา  แทนที่ด้วยความเย็นชาจับขั้วหัวใจ  หากอีกฝ่ายยังคงไม่มีท่าทีสะทกสะท้านหวาดกลัว  ท่าทางปลอดโปร่งงามสง่าอยู่เช่นเดิม

คนต่ำศักดิ์กว่าอย่างหลิวฉางเฟยยิ่งมองก็ยิ่งปวดเศียรเวียนเกล้า  ในความปวดเศียรเวียนเกล้ายังมีความเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งเกิดซ้ำมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ 

หากจะบอกว่าสตรีทั่วทั้งแคว้นมีครึ่งหนึ่งหวังจะเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวน  อีกครึ่งหนึ่งต้องหลงใหลวาดฝันถึงพระภาคิไนยหานญื่อหลัว   ปัญหามันอยู่ที่ว่าฉีเซี่ยงหยวนและหานญื่อหลัวต่างชมชอบบุปผางามและบรรดานางบำเรอของท่านอ๋องน้อยแต่ละนางล้วนเป็นบุปผางามที่งามอย่างไม่ธรรมดา  ดังนั้นทุกครั้งที่ฉีเซี่ยงหยวนมีคนที่โปรดปรานคนใหม่  หานญื่อหลัวเป็นต้องหาโอกาสพบหน้าให้ได้ซักครา  แล้วหลิวฉางเฟยก็ถึงเวลาปวดหัว...อันที่จริงลูกพี่ลูกน้องคู่นี้มีคดีเรื่องสนใจคนๆเดียวกันมานับครั้งไม่หวาดไม่ไหว
สำหรับหลิวฉางเฟยสองคนนี้ต่างเป็นตัวปัญหาพอกัน  ฉีเซี่ยงหยวนสนใจสิ่งใดก็ต้องหาหนทางคว้าเอามา  ส่วนหานญื่อหลัวก็เที่ยวทำให้สตรีหลงใหลไปทั่วแต่ไม่คิดจะแต่งงาน  นับเป็นสองตัวร้ายกาจที่น่าจะเก็บไว้ห่างๆคนดีงามทั่วแผ่นดิน

ได้ยินนายเหนือหัวของตัวเองกล่าวว่า
“บางทีเผ่าเยวี่ยถานคงจะถึงเวลาต้องปฏิรูป”
“ยังหรอก  ท่านเพิ่งกำจัดอิทธิพลตระกูลสือไป  คนฉลาดเช่นท่านจะไม่โค่นเสาสองต้นที่ค้ำยันแคว้นเป่ยชางไปในเวลาเดียวกัน” นี่คือคำพูดประโยคสุดท้ายก่อนจะขอตัวจากไปของพระภาคิไนยหานญื่อหลัว  และเป็นคำพูดที่ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินแล้วต้องกำมือแน่นจนข้อกระดูกลั่นกร๊อบ  สายตาที่มองตามเงาหลังของหานญื่อหลัวไปคล้ายกำลังคิดถึงสภาพที่อีกฝ่ายถูกหั่นเป็นชิ้นๆ
 
สำหรับฉีเซี่ยงหยวนคนแซ่หานเป็นสิ่งมีชีวิตตายยากที่น่ารังเกียจ  เพราะฐานะที่แท้จริงของหานญื่อหลัวคือผู้นำชนเผ่าเยวี่ยถาน  ชนเผ่าเก่าแก่ที่เป็นส่วนหนึ่งของเป่ยชางมาช้านาน  แทนบิดาซึ่งเสียไปเมื่อห้าปีก่อน  ศักดิ์ฐานะของหานญื่อหลัวจึงกลายเป็นบุคคลที่กระทั่งเป่ยชางอ๋องยังต้องให้ความเกรงใจ  ที่หนักกว่านั้นคือหานญื่อหลัวเป็นหลานรัก  มารดาของหานญื่อหลัวเป็นองค์หญิงแคว้นเป่ยชาง  เป่ยชางอ๋องแม้เย็นชากับครอบครัวตัวเองตลอดมาแต่รักน้องสาวที่โตมาด้วยกันผู้นี้ยิ่ง  หานญื่อหลัวจึงมักต้องแวะเวียนมาอยู่กับท่านลุงคราวละนานๆ  จนหลังๆมานี้แทบจะลงหลักปักฐานในแคว้นเป่ยชาง  และเป็นที่ขัดหูขัดตายิ่งของฉีเซี่ยงหยวน 

ที่น่าขัดใจที่สุดคือทุกคนกระทั่งตัวฉีเซี่ยงหยวนต่างทราบว่าการเล่นงานหานญื่อหลัวมิใช่เรื่องคนฉลาดพึงกระทำ  และหานญื่อหลัวเองก็ฉลาดพอจะรักษาสภาพนั้นไว้  ใช่  หานญื่อหลัวมีประโยชน์อย่างยิ่ง  ข้อเสียอย่างเดียวคือฉีเซี่ยงหยวนเกลียดขี้หน้าเจ้านั่นเข้าไส้ !

คิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองสมควรตามเหลียนอันสุ่ยไปเพราะไม่แน่ว่าเจ้าคนแซ่หานอาจยังติดตามไป ‘ทำความรู้จัก’ เพิ่มเติม   เขาจะได้ยอมไม่ฉลาดส่งมันไป ‘ทำความรู้จัก’ กับพญายมแทน  ฉีเซี่ยงหยวนคิดอย่างเหี้ยมเกรียม
---------------
เหลียนอันสุ่ยกลับถึงตำหนักเสียงวสันต์ในเวลาอันรวดเร็ว  คล้ายรีบร้อนหลบหนีเพราะหวาดกลัวการพบหน้ากับคนผู้หนึ่ง  หรืออาจบางที...เขาแค่กำลังหนีจากความยินดีที่ได้พบหน้าที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัวและไม่สมควรจะรู้สึก... 

จังหวะเท้าผ่อนช้าลงเมื่อเดินผ่านเข้าประตูตำหนัก  คล้ายกับว่าประตูทั้งสองบานข้างนอกสามารถกั้นอาณาเขตกันมิให้คนผู้นั้นติดตามเข้ามาด้วย   ‘เขา’ คงจะไม่มา...เหมือนกับวันอื่นๆในช่วงหลายวันมานี้   การพบหน้าที่หอตำราอาจพอแก้ไขได้ว่าเป็นความบังเอิญ  แต่การพบหน้าที่นี่กลับเป็นเรื่องผิดแผกแตกต่าง  เหลียนอันสุ่ยทราบดี  ฉีเซี่ยงหยวนก็ทราบดี  ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่องค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางจะตามมาที่นี่  ความคิดนั้นพาให้จิตใจของพระมาตุลาแคว้นเหลียนสงบลง  ขณะเลี้ยวเข้าสู่ปีกฝั่งตะวันตกอันเป็นส่วนที่พำนักของเหลียนจิ้งเต๋อผู้เป็นบุตรชาย

เหลียนจิ้งเต๋อกลับมาแล้วจริงๆ  ทั้งยังพาเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันอีกผู้หนึ่งมาด้วย  เมื่อเหลือบสายตาขึ้นมาเห็นท่านพ่อ  เหลียนจิ้งเต๋อก็วิ่งตึงๆเข้ามาอย่างกระตือรือร้นในลักษณะท่าทางของเด็กสิบขวบ  หากเมื่อเจ้าตัวนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีคนอื่นอยู่ด้วยก็รีบหยุดเท้า  วางท่าเป็นผู้ใหญ่  หันไปกล่าวต่อเด็กแปลกหน้าผู้นั้นว่า

“นี่ไงล่ะ  ท่านพ่อของข้า” พูดจบก็ทำความเคารพผู้เป็นบิดาอย่างถูกระเบียบแบบแผนทุกกระเบียดนิ้ว  เหลียนอันสุ่ยมองปราดเดียวก็ทราบว่าบุตรชายจงใจทำให้เด็กชายด้านข้างชมดู  เมื่อมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่ด้วย  เหลียนจิ้งเต๋อจะไม่ทำอะไรที่ ‘ดูไม่เข้าท่า’ เด็ดขาด  นั่นรวมถึงการอ้อนพ่อด้วย  พระมาตุลาแคว้นเหลียนคิดพลางส่ายหน้าขันๆ  แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู 
เหลียนจิ้งเต๋อเงยตากลมแป๋วสบกับบิดา  ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดีอย่างปิดไม่มิดว่า
“ท่านพ่อ  ในที่สุดข้าก็มีพี่น้องกับเขาแล้ว!”
ผู้เป็นบิดาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ  ขณะฟังบุตรชายกล่าวต่อ
“นั่นไง” พูดพลางชี้นิ้วประกอบ“เขาเป็นลูกของพ่อบุญธรรม  ดังนั้นเขาจึงเป็นพี่น้องกับข้าด้วย” เด็กชายพูดพลางฉีกยิ้มยินดี  หากคนฟังนิ่งค้างไปแล้ว  เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองเด็กอีกคนช้าๆ  เค้าใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงตอกย้ำคำที่ได้ยินจากปากบุตรชายเข้าไปในจิตสำนึก  ความรู้สึกแรกเป็นความเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก  ในหูได้ยินเสียงเหลียนจิ้งเต๋อกล่าวต่อโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรว่า
“...เขากับข้าเรียนกับท่านอาจารย์คนเดียวกัน  แต่เพราะเวลาเรียนไม่พร้อมกัน  เราถึงไม่เคยเจอกันเลย  จนกระทั่งเมื่อเช้านี้เขามาหาท่านอาจารย์ตอนข้ากำลังเรียนอยู่พอดี  ข้าจึงได้รู้ว่าที่แท้ตัวเองก็มีพี่น้องกับเขาเหมือนกัน...” หลังจากนั้นบุตรชายพูดอะไรเหลียนอันสุ่ยก็จับใจความไม่ได้อีก  ในหูมีแต่คำว่า
‘เขาเป็นลูกของพ่อบุญธรรม’
เสียงดังก้องซ้ำไปมา  ทุกครั้งที่มันกระทบเพื่อที่จะสะท้อนก็กรีดความรู้สึกเจ็บลึกลงบนหัวใจเย็นเฉียบทีละรอย...ทีละรอย...
ทั้งๆที่รู้ดีอยู่แล้ว  เหตุใดจึงเจ็บปวดถึงเพียงนี้  อันที่จริงบุรุษในวัยเช่นฉีเซี่ยงหยวนแทบทุกคนสมควรมีบุตร  รวมถึง...มีภรรยา
ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยซีดขาวจนแทบไม่มีสีเลือด  ในใจเจ็บปวดจนเริ่มรู้สึกชา เมื่อเด็กคนนั้นประคองมือคารวะตามธรรมเนียม  มุมปากของเหลียนอันสุ่ยก็ฝืนเค้นเป็นรอยยิ้มจางๆ  บอกกับตัวเองว่าเด็กไม่รู้เรื่องคนนั้นไม่สมควรได้รับการปฏิบัติตอบที่เย็นชา  ดวงตาคู่งามเป็นประกายอ่อนโยน  เก็บซ่อนบดบังความหม่นเศร้าเข้มข้นเอาไว้เพียงในเงาของจิตใจ...

...เหลียนอันสุ่ยเพิ่งจะเคยรู้สึก  ที่แท้การยิ้มเป็นเรื่องยากเย็นถึงเพียงนี้...
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งได้รับรายงานระหว่างทางไปตำหนักเสียงวสันต์ว่าเหลียนจิ้งเต๋อมิได้กลับตำหนักคนเดียว  แต่เชิญเด็กอีกคนไปด้วย  ทันทีที่ทราบว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร  ใบหน้าของว่าที่ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางพลันแข็งค้าง  ท่าทีร้อนรนกว่าเดิม  ในใจดุจมีไฟแผดเผา 
เมื่อเท้าเหยียบตำหนักเสียงวสันต์  ไม่มีใครกระทั่งอิ๋งฮวาสามารถชะลอให้ฉีเซี่ยงหยวนก้าวช้าลงได้แม้แต่ก้าวเดียว  หูได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย  เท้าสาวมุ่งไปทันที

ภาพที่ฉีเซี่ยงหยวนพบคือเด็กสองคนนั่งเคียงกัน  แข่งกันคัดอักษร  ผู้ใหญ่เพียงคนเดียวในห้องเดินวนผ่านด้านหลังเด็กทั้งคู่  จิตใจจดจ่ออยู่กับตัวอักษรที่ถูกลากขึ้นมาจากพู่กันในมือน้อยๆของผู้อื่น  ฉีเซี่ยงหยวนเห็นความอ่อนโยนอย่างยิ่งในแววตา  เหลียนอันสุ่ยอ่อนโยนเสมอเมื่ออยู่กับบุตรชาย  เพียงแต่วันนี้สิ่งที่แฝงเร้นโดยเจ้าตัวปิดไม่มิดคือความเจ็บปวดลึกซึ้ง  ซึ่งทำให้ฉีเซี่ยงหยวนทั้งเจ็บปวดทั้งร้อนรน  มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้!

ขณะคิดร่างกายก็ขยับไปก่อน  รู้ตัวอีกทีฉีเซี่ยงหยวนก็พบว่าตัวเองคว้าข้อมือเหลียนอันสุ่ย  ฉุดดึงออกมาด้วยกัน
“ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกท่าน” ฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยทันทีที่ทั้งคู่เดินมาถึงมุมลับตาคน
“...” เหลียนอันสุ่ยนิ่งไป  มิได้เอ่ยอะไร
ฉีเซี่ยงหยวนจึงรีบพูดต่อว่า
“เด็กคนนั้น...”
“ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านชมชอบรับบุตรบุญธรรม” คำกล่าวแทรกขึ้นมาช้าๆของพระมาตุลาแคว้นเหลียนทำให้คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนค้างอยู่แค่กลางประโยค
อึดใจใหญ่ๆหลังลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก  ฉีเซี่ยงหยวนก็ต่อประโยคของตัวเองจนสมบูรณ์ว่า
“...เด็กคนนั้นเป็นลูกของพี่ชายข้า  พี่ใหญ่ฝากฝังไว้กับข้าก่อนเขาจะตาย”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งฟัง  ที่แท้เด็กคนนั้นเป็นบุตรขององค์ชายใหญ่  องค์รัชทายาทที่จากไป
“แล้วลูกของท่านเล่า” คำถามง่ายๆของเหลียนอันสุ่ยทำให้ฉีเซี่ยงหยวนถึงกับชะงัก  สุดท้ายตอบว่า
“...กระทั่งชายาข้ายังไม่มี  แล้วจะมีลูกได้ยังไง”
ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย  คิ้วขมวดเข้าหากัน  พึมพำกับตัวเองมากกว่าจะเป็นคำถามว่า
“เป็นไปได้อย่างไรกัน” ด้วยตำแหน่งของท่าน...
“คนอื่นมิใช่ไม่พยายามหามาให้  แต่เป็นข้าที่ไม่ต้องการ  ...อย่างน้อยตำแหน่งชายาของข้า  ข้าก็ไม่ต้องการให้เป็นไปเพราะการเมือง”
ใช่แล้ว  สิ่งที่พวกเขาพูดถึงมิใช่ความรัก  แต่เป็นเรื่องของการเมือง  คนในตำแหน่งเช่นฉีเซี่ยงหยวน  ปัจจัยหลักในการเลือกคู่ครองลำดับแรกมิใช่ความรัก  แต่เป็นความเหมาะสมและผลประโยชน์
“...ท่านมีสตรีมากมาย  หรือไม่มีซักนางที่ดีพอสำหรับตำแหน่งนั้นเลย”
“มิใช่ไม่ดีพอ  แต่เป็นยังไม่ใช่” พวกนางมักจะมีบางอย่างที่ยังไม่ใช่อยู่เสมอ
“ถ้าเช่นนั้นท่านสมควรรีบหาได้แล้ว  เพราะอีกไม่กี่วันท่านก็จะเป็นเป่ยชางอ๋อง  ตำแหน่งพระชายาในเป่ยชางอ๋องไม่มีทางที่จะไม่เกี่ยวพันกับการเมือง” คำพูดทิ้งท้ายด้วยความปรารถนาดีของเหลียนอันสุ่ย  ก่อนคนพูดจะหันหลังจากไป
 
แววตาองค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนจมลงในภวังค์ครุ่นคิด  ขณะจับจ้องแผ่นหลังสูงโปร่งที่ห่างออกไปทีละน้อย
รีบหาอย่างนั้นหรือ ?  อันที่จริงข้าเสาะแสวงหาสตรีนางนั้นมาโดยตลอด  แต่ไม่รู้ทำไม  โดยไม่รู้ตัว  ข้าก็ได้เลิกเสาะหาอย่างจริงจังไปเสียแล้ว...อาจเป็นเพราะตั้งแต่ข้าได้พบกับท่าน  จิตใจข้าก็แต่วนเวียนจดจ่ออยู่กับท่าน  จนมิได้ครุ่นคิดถึงสิ่งใดอีก...
ขณะขบคิดเท้าก็ก้าวตามอีกฝ่ายไป
---------------------
หากฉีเซี่ยงหยวนยังมิทันก้าวตามเหลียนอันสุ่ยจนทันก็พบคนสองคนมาขัดขวางอยู่กลางทางเสียก่อน  เป็นจางจื่อหยูกับหลี่กวงเว่ย  สองในห้าคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวนเอง
“ท่านอ๋องน้อยกรุณากลับตำหนักด้วย” จางจื่อหยูพูดด้วยท่าทีจริงจังพลางคุกเข่าลงกับพื้น
คิ้วหนาของฉีเซี่ยงหยวนขมวดเข้าหากันทันที
“นี่พวกท่านจะมาไล่ต้อนให้ข้ากลับตำหนัก ?” น้ำเสียงบ่งชัดว่าไม่พอใจ แต่ยังไม่แสดงออก
“ท่านอ๋องน้อย  ท่านก็รู้ว่าอะไรเหมาะสมอะไรไม่เหมาะ” หลี่กวงเว่ยพูดขึ้นช้าๆ  ที่ปรึกษาของฉีเซี่ยงหยวนผู้นี้ยังคงสงบเยือกเย็นกับโทสะของนายเหนือหัว
“ใช่  ข้ารู้” ฉีเซี่ยงหยวนพูดจบก็ทำท่าจะก้าวไปตามทางที่ตั้งใจไว้แต่เดิม  เล่นเอาจางจื่อหยูร้อนรนจนหน้าแดงก่ำ หากหลี่กวงเว่ยเพียงพูดตามหลังคนที่สูงศักดิ์กว่าไปด้วยน้ำเสียงช้าๆชัดๆ สงบราบเรียบว่า
“ท่านจะยอมให้ความไม่อดทนในช่วงเวลาเล็กน้อยนี้  ทำลายทุกอย่างที่ท่านทำมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ? ...ท่านอ๋องน้อย  แค่ช่วงนี้เท่านั้น”
หลังผ่านไปอึดใจใหญ่ๆ  ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็ยินยอมก้าวไปในทิศที่สองคนสนิทมุ่งหวัง
ทั้งสามคนต่างไม่ทราบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของเจ้าของตำหนัก  เพราะต้องการถามเรื่องเด็กคนนั้นจากฉีเซี่ยงหยวน  เหลียนอันสุ่ยจึงวกย้อนกลับมา  และเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้แต่นิ่งฟัง  ดวงตามองตามเงาหลังกว้างของคนที่จากไปหลุบต่ำลง
ช่วงเวลาเปลี่ยนถ่ายอำนาจเป็นช่วงที่เปราะบางเสี่ยงต่อการพลักผันที่สุด  ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวเอง  ไม่เว้นแม้แต่ฉีเซี่ยงหยวน  ดังนั้นหลายวันมานี้อีกฝ่ายจึงมิได้เหยียบเข้าประตูตำหนักเสียงวสันต์ 

...ทั้งๆที่รู้ว่าอันตราย  เหตุใดต้องเพียรพยายามยื้อไว้ ? 

บางครั้งเหลียนอันสุ่ยก็ไม่เข้าใจองค์ชายสี่ผู้นี้เลย  ผู้หญิงของอีกฝ่ายสมควรมีมากมายอย่างยิ่งเหตุใดต้องเจาะจงมายุ่งเกี่ยวกับเขา  และทั้งๆที่มีมากมายอย่างยิ่งเหตุใดจึงไม่มีแม้แต่คนเดียวที่พอจะเป็นชายาของท่านได้  ...คนที่ท่านต้องการต้องเพียบพร้อมถึงขั้นไหนกัน ?

และบางครั้งเหลียนอันสุ่ยก็ไม่เข้าใจตัวเองเลย 
...ว่าเหตุใดต้องให้ความสนใจ  เหตุใดต้องรู้สึกเจ็บปวด  กับความจริงที่ว่าฉีเซี่ยงหยวนมิใช่คนที่จะหยุดอยู่กับคนเพียงคนเดียว 
ความสัมพันธ์ที่เปราะบางนี้มิได้ให้ประโยชน์อันใดกับท่านเลย  เหตุใดจึงไม่ยอมให้มันสิ้นสุดเสียที  เหตุใดจึงไม่ยินยอมปล่อยข้าไป

============

ขอบคุณสำหรับเป็ดทุกตัวที่มอบให้  รักคนอ่านมากมาย :กอด1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 24
«ตอบ #63 เมื่อ18-08-2014 22:54:16 »

ขอบคุณค่ะ  ปกติเราไม่ค่อยอ่านแนวนี้  หรือแนวแฟนตาซี  แต่เรื่องนี้  ทำเราติด !!!!!!   

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 22
«ตอบ #64 เมื่อ18-08-2014 23:25:58 »

มาให้กำลังใจจ้า

ยังอ่านไม่ทัน

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 24
«ตอบ #65 เมื่อ19-08-2014 11:53:52 »

ตามมาอ่านจากนิยายแนะนำค่ะ

สนุกมากๆเลย พลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไงเนี่ย

ทั้งเรื่องการเมือง ก็ลุ้นสนุก เรื่องของท่านอ๋องน้อย กับ พระมาตุลา ยิ่งเข้มข้น

เป็นความรักที่ค่อยๆเกิด จนฝังรากลึกจริงๆ อ่านไปลุ้นไป ชอบมากๆ

อยากให้สมหวังจัง แต่จั่วหัวตอนขึ้นภาคหลักนี่สิ ทำเอาหวั่นไปเลย

พระมาตุลา มีความสามรถมากนะ อยากให้ท่านอ๋องมอบงานที่เหมาะสมให้จัง ท่านจะได้ไม่คิดมาก ว่าเป็นของเล่นบนเตียง
 :pig4: นักเขียน ตามอ่านตั้งแต่เมื่อวาน อ่านจนหยุดไม่ได้ สนุกค่ะ

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 24
«ตอบ #66 เมื่อ19-08-2014 22:57:59 »

ยังอ่านไม่ทัน

ตามอ่านได้้2วันแล้ว

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 25
«ตอบ #67 เมื่อ20-08-2014 19:35:06 »

บทที่ 25 โหยหา

เสียงดนตรีโลดแล่นอยู่ในสายลม  พิธีแต่งตั้งยามเที่ยงยิ่งใหญ่แค่ไหน  งานเลี้ยงยามค่ำก็ตระการตาเทียมกัน  ข่าวแพร่กระจายออกไป  เป่ยชางเปลี่ยนต้าอ๋องแล้ว!  ข่าวนี้สั่นสะเทือนไปทั้งพิภพ  แคว้นใหญ่น้อยรีบร้อนส่งตัวแทนมาร่วมแสดงความยินดี  ในทางกลับกันก็ลอบปาดเหงื่ออย่างหวั่นวิตก  ดวงดาวบนฟากฟ้าเปลี่ยนตำแหน่ง  แสงของดาวดวงใหม่เจิดจ้าบาดตานัก  เจิดจ้าจนดูราวกับประกายดาบมากกว่าประกายดาว  เป่ยชางเป็นแคว้นที่เข้มแข็งและยิ่งใหญ่  แต่ทูตของทุกแคว้นที่ที่มีโอกาสได้ยลบุคลิกของต้าอ๋ององค์ใหม่ต่างรู้สึกเหมือนความยิ่งใหญ่ของแคว้นเป่ยชางเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น !

เหลียนอันสุ่ยก็คิดเช่นนั้น ขณะปลดเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงินออกจากบ่า  เงาร่างของฉีเซี่ยงหยวนในงานเลี้ยงยังคงแจ่มชัด  เฉียบคมเด็ดขาดจนข่มบรรดาผู้ที่อยู่รายรอบให้กลายเป็นฝุ่นธุลี  โดดเด่นจนเหลียนอันสุ่ยต้องเบือนหน้าหนี  ขมขื่นที่จะยอมรับความต่ำต้อยในตัวเอง  เขากับอีกฝ่ายอยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน 

งานเลี้ยงยังไม่จบ แต่เหลียนอันสุ่ยกลับถึงตำหนักชุนเกอแล้ว  ตัวประกันสงครามของแคว้นที่ล่มสลายเช่นเขาความจริงมิได้เกี่ยวข้องกับงานเลี้ยงนี้เลย  และงานเลี้ยงนี้ตัวเขาก็ไม่สมควรได้รับเชิญเลย  มีหลายคนสนใจจะทำความรู้จักกับเขา  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับมิได้อยากรู้จักพวกเหล่านั้น  หากก็ทราบว่ามิอาจไม่ไป  เพราะนอกจากตัวเขาจะถือเป็น ‘ของแปลก’ และเหลียนอันสุ่ยยังเป็นหลักฐานแห่งชัยชนะ   แคว้นเหลียนเป็นของเป่ยชางอย่างเด็ดขาด  ความคิดนี้ตอกย้ำกดลึกเข้าไปในบาดแผลที่เจ็บปวดจนด้านชา  ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้หนาวเหลือเกิน  หรืออาจบางที...เป็นหัวใจเขาเองที่เหน็บหนาวว่างเปล่า

ฉีเซี่ยงหยวนจะไม่มาคืนนี้  เหลียนอันสุ่ยทราบดี  ความเหน็บหนาวคล้ายกับทวีขึ้นอีก  หลายครั้งที่เหลียนอันสุ่ยถามตัวเอง เขามีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด...คงเพื่อชดใช้ในสิ่งที่ได้ก่อกระมัง  รอยยิ้มขมขื่นผุดขึ้นมาบางๆ...
---------------------
แสงดาวถักทอลำนำรัตติกาลอ้อยอิ่งอยู่บนท้องฟ้ากว้าง  แสงโคมในห้องสาดอ้อยอิ่งอยู่บนร่างของคนสองคน   หนึ่งเป็นคนที่พลัดถิ่นมาไกล  อีกหนึ่งเป็นคนที่ทรงศักดิ์สูงสุดในแคว้นเป่ยชาง

ธรรมเนียมพิธีการแต่โบราณมาคล้ายมิสำคัญกับเป่ยชางอ๋องหมาดๆผู้นี้แม้แต่น้อย  ในคืนอันควรจะเข้านอนในตำหนักเยี่ยอวิ๋นอันโอ่อ่าสมฐานะเพื่อชำระจิตใจ  ตั้งมั่นกับภาระอันยิ่งใหญ่ที่แบกอยู่บนสองบ่า  ฉีเซี่ยงหยวนกลับมาปรากฏกายหน้าตำหนักรับรองแขกเสียงวสันต์เอาดื้อๆ  พาให้เจ้าของตำหนักทั้งมึนงงทั้งลำบากใจจนพูดไม่ออก  ได้แต่ขมวดคิ้วเบิกตามองผู้มาเยือนก้าวตรงดิ่งเข้ามาหา

ฉีเซี่ยงหยวนกลับไปสวมชุดลำลองสีดำตามปรกติอีกแล้ว  หากสิ่งที่เพิ่มมาคืออำนาจบารมีของเป่ยชางอ๋อง  อำนาจบารมีที่เจ้าตัวเพียรเก็บงำไว้ตลอดมา  นี่จึงเป็นบุคลิกที่แท้จริงของฉีเซี่ยงหยวน  ตำแหน่งองค์ชายสี่แท้จริงมิได้เหมาะสมกับเขาเลย...
ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าตัวเองไม่สมควรมาอยู่ที่นี่  อันที่จริงถ้าเขาคิดจะเป็นเป่ยชางอ๋องที่รอบคอบมีศีลธรรมก็สมควรจะเลิกยุ่งกับเหลียนอันสุ่ยโดยถาวร  แต่พอดีว่าเขาเป็นเป่ยชางอ๋องที่ยึดถือตัวเองเป็นใหญ่  และการไม่ได้พบหน้ากันหลายวันก็นานเกินไปแล้ว

คิดถึง  แต่มิอาจไปหา  ช่างเป็นความทรมานอย่างยิ่ง
ที่น่าเดือดดาลไปกว่านั้นคือทุกคนในงานเลี้ยงแม้กระทั่งหานญื่อหลัวล้วนสามารถทักทายเหลียนอันสุ่ย  มีแต่ฉีเซี่ยงหยวนคนเดียวที่ต้องอยู่ห่างๆ  เรื่องแบบนี้มันมีที่ไหนกัน!  ...ดีที่ว่าในที่สุดก็พ้นช่วงที่ตกลงในเงื่อนไขกับหลี่กวงเว่ยไปแล้ว
คิดพลางมองคนที่วนเวียนอยู่ในห้วงคิดคำนึงตลอดช่วงหลายวันมานี้  เหลียนอันสุ่ยสวมชุดนอนสีเงินยวง  สว่างนุ่มนวลราวกับทอมาจากแสงจันทร์  แถบรัดเอวสีขาวเดินด้ายสีฟ้าอ่อนเก็บริมเป็นลายละเอียดประณีต  ผมดำขลับปล่อยยาวเคลียบ่ามิได้รวบมัดเพราะเตรียมตัวเข้านอนแล้ว

“คืนนี้เป็นคืนสำคัญของท่าน  เหตุใดมาอยู่ที่นี่”  หลังสั่งให้หญิงรับใช้ออกไปจนหมด  เจ้าของตำหนักก็ถามขึ้นเบาๆ
“ข้ามาทวงสุราจอกหนึ่ง  มีแต่ท่านที่ยังมิได้ร่วมดื่มแสดงความยินดีกับข้า” อันที่จริงคือในงานเลี้ยงเหลียนอันสุ่ยประพฤติราวมองไม่เห็นเขาก็ปาน  วางตัวสงบเงียบราวไม่มีตัวตน  มีแต่ฉีเซี่ยงหยวนที่เป็นฝ่ายลอบกวาดตามองตามอีกฝ่ายอยู่ทุกก้าว
สุราถูกรินลงในจอกเคลือบช้าๆ  ผู้รินประคองจอกหยกขาวเอาไว้ระหว่างมือทั้งสองข้าง
“ยินดีกับท่านด้วย  ในที่สุดท่านก็ก้าวมาจนถึงจุดนี้  ขอให้เส้นทางหลังจากนี้ของต้าอ๋องราบรื่นไร้อุปสรรค” เหลียนอันสุ่ยกล่าวพลางคารวะเต็มพิธีการ
ฉีเซี่ยงหยวนดื่มสุรา หากตายังคงมองคนที่คารวะสุราให้เขา
‘ท่านทราบหรือไม่ว่า  เพราะคืนนี้เป็นคืนสำคัญ  ข้าถึงได้อยู่ที่นี่...’
...คืนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของข้า  ข้าอยากใช้มันร่วมกับท่าน...
---------------------
สุราคารวะเรียบร้อยไปนานแล้ว  แต่คนที่ปากบอกว่ามาแค่ทวงสุราจอกหนึ่ง  จนบัดนี้ยังคงไม่จากไป  เหลียนอันสุ่ยเอ่ยปากเตือน
“นี่ก็ดึกมากแล้ว  ต้าอ๋อง...”
“ใช่ดึกมาแล้ว  เราสมควรจะนอนกันเสียที” คำพูดง่ายๆของฉีเซี่ยงหยวนทำให้ฟังถึงกับชะงัก
“เรา...นอน ?” ทะ ท่านมิใช่ตกลงกับหลี่กวงเว่ย จางจื่อหยูไว้ว่าช่วงนี้...
“ใช่  นี่ดึกมากแล้ว  และข้าก็ขี้เกียจกลับตำหนักที่ไม่มีอะไรเลยนั่น  ค้างที่นี่แหละ” พูดสรุปจบก็เดินเข้าห้องนอนผู้อื่นไปเสียเฉยๆ  ทิ้งให้พระมาตุลาแคว้นเหลียนนิ่งค้างอยู่กับที่
เป็นเหลียนอันสุ่ยเข้าใจข้อตกลงผิดไป  คำว่า ‘ช่วงนี้’ ของหลี่กวงเว่ยเพียงหมายถึงช่วงก่อนขึ้นรับตำแหน่งเป่ยชางอ๋อง  มิใช่คลุมตลอดช่วงการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ  เพราะหลี่กวงเว่ยทราบนิสัยเจ้านายตัวเองดี  หากช่วงในข้อตกลงทอดยาวกว่านี้ฉีเซี่ยงหยวนไม่มีทางยอมรับปากแน่นอน
---------------------
พระมาตุลาแคว้นเหลียนยืนมองคนที่นอนเหยียดอยู่บนเตียงของเขาด้วยสายตาสับสน  ไม่แน่ใจว่าตัวเองสมควรนอนลงไปหรือไม่  แต่จะไม่นอนลงไปก็ไม่ได้
บางที...ฉีเซี่ยงหยวนอาจเหน็ดเหนื่อยกับพิธีการที่ทำมาตลอดทั้งวันจนไม่คิดทำอย่างอื่นนอกจากนอนก็เป็นได้  เหลียนอันสุ่ยปลอบใจตัวเองขณะก้าวเข้าไปใกล้ร่างที่นอนนิ่งอีกก้าวหนึ่ง
“ท่านนอนลงมาเถอะ  ข้าไม่ทำอะไรท่านหรอก” คำพูดประโยคนั้นดังในความเงียบ
ฉีเซี่ยงหยวนยอมรับว่าตัวเองต้องการอีกฝ่าย  ต้องการตลอดมา  เมื่อไม่ได้อยู่ร่วมมาพักใหญ่ก็ยิ่งปรารถนา  แต่กลับทนไม่ได้ที่จะเห็นแววตาหม่นหมองคู่นั้นอีก  เหลียนอันสุ่ยในงานเลี้ยงคล้ายจะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ  ข้าไม่ควรเชิญท่านไป...ความจริงก็คือในวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของข้า  ข้าแค่อยากรู้สึกว่าตัวเองมีท่านอยู่ข้างๆ  แต่นั่นกลับทำร้ายท่านสาหัสนัก

เหลียนอันสุ่ยนอนลงบนเตียงช้าๆ  ตัวแข็งเมื่อถูกโอบกอดไว้  แต่ฉีเซี่ยงหยวนเพียงโอบกอด  ซบใบหน้าคมกับเรือนผมนิ่มแล้วก็แนบนิ่งอยู่อย่างนั้น  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยสับสน  แต่ใจกลับไม่เหน็บหนาวว่างเปล่าอย่างที่เคยเป็น

ฝ่ายฉีเซี่ยงหยวนที่โอบกอดร่างหอมกรุ่นไว้ในอ้อมแขน  ขณะนี้กำลังพยายามสะกดคำว่ายับยั้งชั่งใจอย่างลำบากยากเย็น  พยายามจะไม่คิดว่าผิวกายอีกฝ่ายนุ่มเนียนแค่ไหน  เขาต้องรักษาคำพูด  ในคืนพิเศษคืนนี้  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ต้องการความรู้สึกเหมือนถูกมีดค่อยๆเสียบทะลุหัวใจ  สายตาปวดร้าวของเหลียนอันสุ่ยทำร้ายฉีเซี่ยงหยวนได้เสมอ  หลังความสุขสมผ่านพ้นไปสิ่งที่ต้องจ่ายคือความเจ็บปวดราคาแพง  เหลียนอันสุ่ยไม่เคยเต็มใจมีความสัมพันธ์กับเขา  ฉีเซี่ยงหยวนรู้ดีแต่ก็ยังแส่หาความเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า  บางครั้งความรักก็ทำให้ผู้คนไม่มีเหตุผล  เจ็บในสิ่งที่ไม่ควรเจ็บ  ทนในสิ่งที่ไม่ควรทนและทำในสิ่งที่รู้ว่าตัวเองต้องปวดร้าว  แค่เพื่อจะดึงดันยื้อคนๆหนึ่งเอาไว้

เวลาเคลื่อนผ่าน  จันทร์เสี้ยวนอกหน้าต่างลอยสูงขึ้นกลางฟ้า  คนในห้องสองคนยังคงตื่นอยู่  เพราะจิตใจทั้งคู่ต่างไม่สงบ  ที่ประหลาดก็คือเรื่องที่รบกวนจิตใจกลับเป็นเรื่องเดียวกัน

เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าร่างแข็งแกร่งที่แนบอยู่ด้านหลังร้อนผ่าว  ร้อนจนพลอยทำให้ร่างกายของเขาอบอุ่นในคืนที่อากาศหนาวเย็นจนน้ำค้างจับแข็ง  ไม่เคยมีใครโอบกอดเขาเช่นนี้  โอบกอดเหมือนจะปกป้องคุ้มครองไปชั่วชีวิต  ...นี่เขากำลังเพ้อเจ้ออะไรกัน  ชั่วชีวิต?  ยาวนานเกินไปกระมัง  อีกไม่นานความโปรดปรานของฉีเซี่ยงหยวนก็จะย้ายไปที่คนอื่น  และเขา...ก็จะได้เป็นอิสระเสียที  ความคิดนั้นนำพามาซึ่งความความโล่งอกที่ผสมอยู่กับความเจ็บปวด  เหลียนอันสุ่ยขยับตัวเล็กน้อย  จากนั้นก็ตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับอีกเลยเพราะรู้แล้วว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความร้อนเป็นกองไฟกองหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนต้องการเขาแต่กลับยังมิได้ครอบครอง  ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...คงมิใช่ตั้งแต่ต้น...!

เหลียนอันสุ่ยตัวสั่นสะท้าน  หัวเริ่มคิดถึงสิ่งที่ไม่ควรคิด  ทราบว่าอีกฝ่ายพยายามจะรักษาคำพูด  อันที่จริงระหว่างพวกเขาไม่เคยมีช่วงเวลาแบบนี้  ตอนอยู่แคว้นเหลียนคืนไหนที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ฉีเซี่ยงหยวนจะปล่อยตัวเขากลับตำหนัก  ส่วนคืนไหนที่ต้องการ  หลังจากฉีเซี่ยงหยวนได้สิ่งที่ต้องการไปแล้ว  เหลียนอันสุ่ยก็จะรีบร้อนกลับตำหนัก  พวกเขาไม่เคยแค่นอนกอดกัน  จึงไม่แปลกที่ฉีเซี่ยงหยวนจะคิดเลยเถิด

เมื่อความคิดสกปรกผ่านเข้ามาในหัว  มันก็ดูจะไม่ยอมผ่านไปง่ายๆ ลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยเริ่มกระชั้น  ด้วยระลึกได้ว่าฉีเซี่ยงหยวนตักตวงสิ่งที่ต้องการไปอย่างไร  รายละเอียดชัดเจนกระทั่งคืนแรกที่เขา  ที่เขา...  สะ สวรรค์ หัวเขาเป็นอะไรไปแล้ว  ทำไมจดจำแต่เรื่องพรรค์นี้  ทั้งยังเต็มไปด้วยรายละเอียดจนน่าตกใจ  ความคิดเหมือนโรคระบาดที่เพิ่มจำนวนเองได้เรื่อยๆ  รู้ตัวอีกทีเหลียนอันสุ่ยก็พบว่าหัวตัวเองมีแต่ความคิดที่เข้าใจว่าฝังกลบไปจนหมดแล้ว

ฉีเซี่ยงหยวนขบกรามกรอด  คนในอ้อมแขนของเขายังไม่หลับ  ความคิดที่ว่าร่างหอมกรุ่นในอ้อมแขนยังไม่หลับช่างเย้ายวนยิ่งนัก  ยั่วยุให้เขาชัก...อยากผิดคำพูด  ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินเสียงหายใจหนักหน่วงของตัวเอง  หลับตาลงเพื่อจะปรับความปั่นป่วนทุกอย่างให้กลับคืนสู่สภาพปรกติ  หากกลายเป็นว่าเขากลับได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาอีกเสียง  เสียงหายใจกระชั้นของคนในอ้อมแขน  สวรรค์  นี่มันเป็นบททดสอบที่ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว  เขาโหยหาอีกฝ่ายมากจนตัวเองนึกไม่ถึง  ตอนนี้ในหัวก็มีแต่ความคิดก็มีแต่ความคิดที่เป็นอันตรายต่อสัจจะของตัวเองเต็มไปหมด  ในอ้อมกอดยังเพิ่มเสียงหายใจที่เป็นยิ่งกว่าคำเชิญชวนขึ้นมาอีกเสียง !
ฉีเซี่ยงหยวนตัดสินใจคลายอ้อมกอด  อย่างน้อยการเอามือออกมาห่างๆอาจพอช่วยอะไรได้บ้าง
ความรู้สึกหนาววาบที่แทรกเข้ามาทันทีที่ร่างสูงใหญ่คลายอ้อมแขน  เหลียนอันสุ่ยหันกลับไปอย่างตื่นตระหนกก่อนที่ตัวเองจะทันคิด  ทุกอย่างชะงักกึกในเสี้ยววินาทีเมื่อใบหน้าของทั้งสองฝ่ายใกล้จนจมูกแทบจรดกัน  ลมหายใจกระชั้นปะปนกับลมหายใจหนักๆ  ริมฝีปากห่างกันไม่ถึงคืบ  ความยับยั้งชั่งใจหายวับไปกับตาเมื่อริมฝีปากหนาประกบลงมา  ความโหยหาในส่วนลึกผลักดันให้ริมฝีปากของทั้งคู่ขยับเข้าหากัน

เหลียนอันสุ่ยรู้สึกถึงริมฝีปากอีกฝ่ายที่เริงร่ายอยู่กับปากเขา  รอยประทับแต่ละครั้งแผดเผาลึกซึ้งไปจนถึงวิญญาณ  ไม่ทันรู้กระทั่งว่าตัวเองเผลอไผลจูบตอบ
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง  สมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่เรียวปากนุ่มละมุน  โยนคำว่ายับยั้งชั่งใจไปไกลๆชั่วคราว  ขอแค่นิดเดียว  ขอแค่ตอนนี้...ที่อีกฝ่ายจูบตอบเขา  ฉีเซี่ยงหยวนบอกตัวเอง

มันเป็นความผิดพลาด  พวกเขาไม่ควรจูบกัน  จูบกันบนเตียงทั้งๆที่มุมหนึ่งของหัวใจโหยหากันและกันอย่างลึกซึ้ง  เพราะมันจะไม่หยุดแค่จุมพิต

ริมฝีปากผละออกจากกัน  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยหรี่ปรือ  จากนั้นก็เบิกกว้างเมื่อพบว่ามือของตัวเองไต่ขึ้นไปโอบอยู่รอบคอหนา  สำนึกได้ว่าทำอะไรลงไป  ความรู้สึกอับอายทำให้ร่างสูงโปร่งรีบร้อนดิ้นรนออกจากอ้อมแขนแกร่ง  การดิ้นรนทำให้เกิดการเสียดสีโดยมิได้ตั้งใจ  ฉีเซี่ยงหยวนขบกรามกรอดพึมพำเสียงแหบพร่าว่า
“อย่ายั่วข้า” แรงของเหลียนอันสุ่ยสู้เขาไม่ได้  ทุกครั้งที่ขัดขืนจึงเป็นการเบียดร่างเรียบเนียนเข้ากับร่างที่คล้ายจะลุกเป็นไฟของฉีเซี่ยงหยวน
“ผู้...ผู้ใดยั่วท่าน” ใบหน้าของพระมาตุลาแดงเรื่อ  ยังคงพยายามผลักไหล่ของผู้ที่ทาบทับอยู่ด้านบนออกไป
“ท่าน” ฉีเซี่ยงหยวนตอบโดยไม่เสียเวลาคิด  แล้วก็จูบอีก  ถ่ายทอดความทรมาน  อย่างน้อยเขาก็อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาพยายาม...อย่างน้อยก็เคยพยายาม...ที่จะรักษาคำพูด  แต่นี่มันเกินไป!
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกถูกริมฝีปากของอีกฝ่ายมอมเมา  ม่านหนาหนักทิ้งตัวลงมาบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดี  ร่างกายเครียดเกร็งด้วยความคาดหวัง  ลำคอแห้งผาก  ความคิดที่พยายามควบคุมไว้หลุดออกจากกรอบควบคุม  รู้สึกตัวอีกทีเป็นตอนที่ริมฝีปากหอบหายใจ  พบว่าร่างกายมีบางอย่างที่แปลกไป  ใบหน้าหมดจดซีดขาว  ดวงตาทอแววตื่นตระหนก  นอกจากจูบฉีเซี่ยงหยวนยังมิได้ลงมือปลุกเร้าเขาเลย  ทำไมเขา...
“ปล่อยข้า” กระทั่งเสียงที่เปล่งออกไปยังสั่นสะท้าน  ร่างทั้งร่างสั่นระริกไม่หยุด
ร่างกายสัมผัสแนบชิด  เพียงไม่นานฉีเซี่ยงหยวนก็รู้สึกถึงความผิดปรกติ  ดวงตามีแววเหลือเชื่อ
“นี่ท่าน...!”
“ปละ...ปล่อยข้า” เหลียนอันสุ่ยเบือนหน้าหนี  อับอายที่จะต้องการ  หากก็ยังปรารถนาเหลือเกิน
“ร่างกายท่านไม่เห็นบอกข้าอย่างนั้นเลย” พูดพลางรั้งร่างสูงโปร่งมากอดไว้แนบอก  ฝ่ามือใหญ่ไม่เรียบร้อยอีกต่อไป  เหลียนอันสุ่ยถูกความปรารถนาฉีกทึ้งจนอ่อนแรงเกินกว่าจะดิ้นรนขัดขืน  ยินยอมให้ฝ่ามือใหญ่โลมไล้ไปทั่วอย่างถือกรรมสิทธ์  รู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของอีกฝ่าย  โครงร่างของฉีเซี่ยงหยวนข่มจนร่างของเหลียนอันสุ่ยดูบอบบาง  ใบหน้าเนียนแดงซ่าน  ร่างกระตุกทุกครั้งที่ถูกปลุกเร้าในส่วนที่ไวความรู้สึก

ปากของฉีเซี่ยงหยวนซุกไซ้ซอกคอหวานละมุน  ประทับรอยที่เป็นของเขา  ใช่  ผู้ชายคนนี้เป็นของเขา
เหลียนอันสุ่ยขยับร่างอย่างกระสับกระส่ายเมื่อถูกฉีเซี่ยงหยวนดันให้นอนลง  สายตาคมกวาดไปทั่ว  เต็มไปด้วยความปรารถนาแรงกล้าจนเหลียนอันสุ่ยไม่กล้าจ้องตอบ  ฉีเซี่ยงหยวนเปลือยเปล่า  ในขณะที่เหลียนอันสุ่ยมีเสื้อสีขาวเงินติดกายเพียงชิ้นเดียว  ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้ร่างหนาเข้าถึงเขาได้ยากกว่าเดิมเลย  พระมาตุลาแคว้นเหลียนใช้มือยันแผงอกแข็งดุจศิลาที่ทาบทับลงมาเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่  ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจมือเรียว  เพียงแนบสะโพกแกร่งกับโคนขาเพรียวในตำแหน่งที่เป็นของเขา  คนใต้ร่างสั่นระริกด้วยรู้ว่าฉีเซี่ยงหยวนต้องการอะไรและต้องได้อะไร

ผ่ามือใหญ่ที่ประคองอยู่ที่เอวเลื่อนลงไปถึงเรียวขา  ช้อนใต้ข้อพับบังคับให้เรียวขาเนียนแยกออกจากกัน  เหลียนอันสุ่ยหลับตาลงอย่างทรมานเมื่อร่างกายร้อนผ่าวขึ้นมาอีก  ยอมจำนนต่อแรงปรารถนา

เมื่อร่างกายสอดประสานทุกประการก็ไม่ดำรงคงอยู่  คำปฏิเสธพร่าเลือนไปกับเสียงครวญครางราวกับคนรัก  การรุกเร้าลึกซึ้งรุนแรงเติมเต็มความโหยหาที่สั่งสมมานาน  เหลียนอันสุ่ยปล่อยให้ร่างกายตอบสนองโดยไม่มีปัญญาควบคุมบังคับ  คืนนี้ฉีเซี่ยงหยวนอยู่กับเขา  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจน  ใช่อยู่กับเขา  ครอบครองเขา  มิใช่ความอ้างว้างหนาวเหน็บเหมือนเช่นคืนวาน  มือเรียวงามยึดมัดกล้ามตึงแน่น  ใบหน้าซบกับบ่ากว้าง  ความปวดร้าวที่ไม่ทราบที่มาบีบรัดลึกซึ้งแล้วค่อยๆสลายหายไปในความเร่าร้อน
-----------
สีสันอันสงบเยือกเย็นของเช้าตรู่ฤดูชิวเทียนฉาบลงบนผิวกายเรียบเนียนที่ชื้นเหงื่ออ่อนๆจนดูนวลเนียนราวสลักเสลาขึ้นจากงาช้าง  ขาเพรียวยาวแนบนิ่งอยู่ข้างลำตัวหนา  ลมหายใจผ่อนช้าฟังดูละเมียดละไม  ร่างสูงโปร่งหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อนหลังการร่วมรักครั้งสุดท้าย 

ฉีเซี่ยงหยวนรู้ว่าตัวเองผิดคำพูด  แต่หากให้เริ่มใหม่อีกครั้งเขาก็ยังจะผิดคำพูดอยู่ดีนั่นเอง  เหลียนอันสุ่ยพร้อมเหลือเกิน  พร้อมสำหรับเขาทั้งคืนโดยแทบไม่ต้องปลุกเร้า  ที่ผิดปรกติกว่านั้นคือสัมพันธ์รักครั้งนี้ไม่ต้องการความอ่อนโยน  มีความอ้างว้างลึกล้ำในตัวตนของพระมาตุลาผู้นี้  ชัดเจนยิ่งกว่าครั้งแรกที่ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกได้  มากมายจนฉีเซี่ยงหยวนสงสัยว่าคนที่โดดเดี่ยวที่สุดไม่ใช่ตัวเอง

เหลียนอันสุ่ยมักจะมอบสิ่งที่เขามีให้กับคนอื่นที่ต้องการมัน  หากตัวท่านเล่า  เคยได้อะไรที่ท่านต้องการจริงๆบ้าง ?

ฉีเซี่ยงหยวนคาดเดาว่าสาเหตุของทุกอย่างเมื่อคืนนี้ครึ่งหนึ่งมาจากความอ้างว้าง  ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง...น่าจะมาจากแผนการชั่วร้ายของเขาเอง
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกตัวช้าๆ  ความจริงที่ว่าเขาเปลือยเปล่าอยู่ในอ้อมแขนของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหลียนอันสุ่ยตื่นเต็มตา  คว้าเสื้อผ้า  ดิ้นรนลงจากเตียง  ใบหน้าซีดขาวสลับกับแดงเรื่อ
นี่เขาทำอะไรลงไป!  มีความสุขอย่างหน้าไม่อายในขณะที่ลูกชายนอนห่างออกไปอีกแค่ฟากตึกอย่างนั้นหรือ ?
ฉีเซี่ยงหยวนเกือบคว้าร่างอีกฝ่ายไว้ไม่ทัน  แต่เมื่อคว้าได้แล้วสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้าของเหลียนอันสุ่ยก็ไม่อนุญาตให้เจ้าตัวมีแรงหลบหนีไป
“ปล่อยข้า !” น้ำเสียงเกือบจะเป็นวิงวอนขอร้อง  เหลียนอันสุ่ยขดอยู่ในเสื้อตัวหนาที่คลุมอยู่บนร่าง  ความเจ็บปวดกัดกินไปถึงกระดูก  ใบหน้าชาราวกับถูกฟาดแรงๆด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
ฉีเซี่ยงหยวนมองสภาพอีกฝ่ายแล้วใจเจ็บปวดจนมีโลหิตหยดหยาด  รั้งร่างสูงโปร่งเข้ามาใกล้  กล่าวว่า
“เป็นข้าที่ไม่รักษาคำพูด  เป็นความผิดของข้าเอง  ข้าเสียใจ ขอโทษ”
เหลียนอันสุ่ยหันไปมองดวงตาคมกล้าที่เต็มไปด้วยคำขอโทษและความเสียใจอย่างงงัน  พวกเขาต่างรู้ดี มันไม่ใช่ความผิดพลาดของคนใดคนหนึ่ง  สติของเหลียนอันสุ่ยเริ่มกลับมา  มือสวมเสื้อผ้าช้าๆ  มองท้องฟ้าที่สว่างขึ้นทุกขณะ  กล่าวว่า
“ต้าอ๋อง  งานของท่านเริ่มแล้ว  ท่านไม่สมควรอยู่ที่นี่”
“อืมม์” ฉีเซี่ยงหยวนรับคำ  ดึงอีกฝ่ายมากอดเบาๆ  ยอมรับว่าตัวเองมีความคิดต่ำช้าที่จะพันธนาการคนๆนี้ไว้ข้างกายตลอดไป  แต่ตอนนี้ความรู้สึกห่วงใยกลับเอาชนะทุกอย่าง  กระทั่งลังเลว่าตัวเองสมควรเปลี่ยนเป็นใช้วิธีใสสะอาดหรือไม่  ในห้วงความคิดไม่อาจตกลงใจ  แต่ก็ทราบว่าเวลานี้มีเรื่องอย่างอื่นที่รอให้ตัวเองไปจัดการ  เมื่อจ้องจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรแล้ว  เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนจึงยินยอมจากไป
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าร่างกายไม่มีแรงต้องทรุดลงกับเตียง  ...อย่าทำดีต่อข้าอีกเลย  อย่าทำให้ข้ารักท่าน...เพราะข้าไม่มีคุณค่าอะไรที่คู่ควรกับท่านเลย ความอิ่มเอมที่ได้รับตอกย้ำพฤติกรรมที่ได้กระทำลงไป  สถานะที่เพียรปฏิเสธตลอดมาวนซ้ำกลับมาทำร้าย  เหลียนอันสุ่ยรังเกียจร่างกายตัวเองที่ดูราวกับพร้อมจะยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคนผู้นั้น  ทุกครั้งที่ผ่านไปตัวเขายิ่งทำตัวเข้าใกล้สถานะ ‘ชายบำเรอ’ มากขึ้นทุกขณะ...
---------------------
หลิวฉางเฟยรอคอยนายเหนือหัวอยู่นานแล้ว  ทราบดีว่าอีกฝ่ายไปไหนมา  แต่ไม่คิดจะเอ่ยปากยุ่งเกี่ยว  ฉีเซี่ยงหยวนสวมชุดว่าราชการอย่างเงียบเชียบ  ใจคิดถึงคนที่เพิ่งจากมา
ข้าจะปกป้องท่านอย่างไรดี  ในเมื่อคนที่ทำร้ายท่านรุนแรงที่สุดมักจะเป็นตัวข้าเอง
บางครั้งความรักก็ทำให้ผู้คนเห็นแก่ตัว  สิ่งที่ข้าได้เริ่มไปแล้ว  ข้าจะไม่หยุด  ข้าให้ท่านได้ทุกอย่าง  ขอแค่อย่างเดียว...อย่าไปจากข้า  ข้าจะใช้ทุกวิถีทางพันธนาการท่านไว้กับข้า  หัวใจท่านไม่ใช่ของข้าก็ไม่เป็นไร  อย่าไปจากข้าก็พอ
สายตาของเป่ยชางอ๋ององค์ใหม่เลื่อนลงมาจับที่ฝ่ามือตัวเอง  สัมผัสของอีกฝ่ายยังคงติดตรึง
แรกเริ่มข้าเป็นฝ่ายพันธนาการท่าน  แต่มาจนบัดนี้ข้ากลับตอบไม่ได้  ที่แท้ข้าพันธนาการผู้อื่น...หรือพันธนาการตัวเอง ?
---------------------
ที่ตำหนักชุนเกอ เหลียนอันสุ่ยจับตะเกียบค้างอยู่นานแล้ว  เหม่อมองสำรับอาหารที่จัดแบบชาวเหลียน  มุมปากมีรอยยิ้มขม  ท่านบังคับให้ข้าคิดถึงท่านอีกแล้ว  ทำไมต้องดีกับข้า  ทำไมต้องทำเหมือนห่วงใย  พ่อครัวชาวเหลียนคนนี้ปรุงอาหารออกมาคราวใด  ข้าเป็นต้องนึกถึงท่าน 
ข้าพยายามจะไม่คิดถึงท่าน  แต่ยิ่งหักห้ามอาการก็เหมือนจะยิ่งหนักหนา 
ข้าไม่อาจรักท่าน 
ข้าไม่ควรรักท่าน 
ข้าบอกกับตัวเองว่าจะไม่รักท่าน  ...แต่ทำไมทุกการกระทำของท่านถึงสลักลงไปลึกนัก 
ข้ารู้แต่แรกว่าเรื่องระหว่างเราเป็นไปไม่ได้  มันเริ่มจากความสัมพันธ์ฉาบฉวยคืนเดียวและมันควรจะเป็นแค่นั้น  แต่ท่าน...ก็ชอบทำให้เรื่องราวมันยากขึ้นอยู่เรื่อย
เหลียนอันสุ่ยเพิ่งจะรู้ซึ้งในตอนนั้นว่าสิ่งที่ควบคุมบังคับได้ยากเย็นที่สุดในหล้าก็คือจิตใจคน  หัวใจเป็นเพียงก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง  แต่มันกลับมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง

==============
คนที่ตามอ่านไม่ทันไม่ต้องตื่นตกใจ  ค่อยๆอ่านไปค่ะ 
ช่วงนี้พยายามอัพให้เยอะๆเพราะกลัวช่วงหลังจะหาเวลามาอัพให้ไม่ได้
ดังนั้นตามอ่านไม่ทันเป็นสิ่งที่ดีค่ะ  อ่านทันเดี๋ยวค้างนะเออ555

ปล.ดีใจที่มีคนชอบฉากการเมืองนะคะ  โดยส่วนตัวรู้สึกว่าเรื่องชิงอำนาจถ้าจะเขียนให้มันสนุกก็สนุกได้  ไม่จำเป็นต้องโฟกัสอยู่แค่เรื่องรักอย่างเดียว  เพราะยังไงสุดท้ายแกนเรื่องก็เป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่อยู่แล้ว :man1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-08-2014 20:43:00 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ jinjin283

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 934
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 24
«ตอบ #68 เมื่อ20-08-2014 19:41:41 »

ชอบอิ๋งฮวาอะ น่าหาคู่ให้นางนะคะ ทำงานดี๊ดีอะ ตามอ่านแต่ในเด็กดี ยังไม่ว่างมาอ่านตอนที่นีไรท์ใหม่เลย  แต่ รอติดตามตอนหน้าอยุนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 24
«ตอบ #69 เมื่อ20-08-2014 19:59:34 »

สารภาพว่าอยากอ่านมาก เลยไปตามอ่านที่เด็กดีจนถึงตอนล่าสุดแล้ว

ชอบมากเลย ทำหนังสือเถอะ อยากได้มาเก็บเลย แต่งดีจริงๆ

 :pig4: นักเขียน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 24
« ตอบ #69 เมื่อ: 20-08-2014 19:59:34 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
«ตอบ #70 เมื่อ20-08-2014 20:40:54 »

บทที่ 26 สายลมสายน้ำ

ตำหนักเสียงวสันต์มีแขกอีกแล้ว  อิ๋งฮวาไม่พอใจ นายท่านไม่ค่อยสบาย นางพยายามไล่แขกผู้นี้ไปให้พ้นๆ  แต่แขกผู้ดื้อด้านยืนยันว่าจะไม่ไปไหนจนกว่าจะได้พบนายท่าน  ดีจริงเชียวพวกชาวเป่ยชางจอมวางอำนาจ  ชมชอบใช้ตำแหน่งตัวเองมาบีบบังคับผู้อื่นนัก  เฮอะ  หัวหน้าหญิงรับใช้คิดพลางเชิดหน้าขึ้น  นางจะไม่ให้อภัย  ต่อให้คนผู้นั้นจะมีรอยยิ้มที่น่าดูมากจนนางปฏิเสธไม่ลงก็ตาม  เขามันก็พวกเดียวกับต้าอ๋องของพวกเขานั่นแหละ !

ผู้มาเยือนเหลือบตาสีฟ้าขึ้นมามองเจ้าของตำหนัก  ด้านข้างของหานญื่อหลัวมีทั้งหวังเชียน  หม่าหลง  ต้วนจิน ยืนสงบสำรวมอยู่  เห็นได้ชัดว่าหานญื่อหลัวเป็นที่ ‘ต้อนรับ’ มากทีเดียว
พระมาตุลาแคว้นเหลียนสั่งให้บรรดาพวกที่มายืนกดดันไล่แขกมากกว่าจะคอยต้อนรับออกไปจนหมด

“ต้องขออภัยพระภาคิไนยที่พวกเขาประพฤติตัวไม่เหมาะสม” เหลียนอันสุ่ยมีความรู้สึกที่ดีกับเชื้อพระวงศ์เชื้อสายเป่ยชางผู้นี้  อย่างน้อยตอนที่เคว้งคว้างอยู่ในงานเลี้ยงหานญื่อหลัวก็เป็นคนเดียวที่ทักเหลียนอันสุ่ยด้วยมารยาทของคนที่เท่าเทียมกัน  มิได้ใช้สายตามอง ‘ตัวประกันสงคราม’ มาจับจ้องเขา

“ข้ามิใช่พระภาคิไนยแล้ว  รบกวนพระมาตุลาเปลี่ยนคำเรียกหาเป็นพระภาดา” หานญื่อหลัวแก้ให้  ในใจแท้จริงมิได้รู้สึกแปลก  เพราะทราบว่าหม่าหลง ต้วนจินเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวน  ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีอิดโรยของพระมาตุลาแคว้นเหลียน
มุมปากกลับคลี่ยิ้มถามเรื่อยๆว่า
“ข้าคงมารบกวนเวลาพักผ่อนของท่าน” 
เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้าขณะก้มลงรินชาให้  แววตาของหานญื่อหลัวเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นรอยจูบที่ซอกคอขาว  คำถามหลุดออกมาคำถามหนึ่ง
“เมื่อคืน ‘เขา’ มาที่นี่หรือ ?”
ถ้วยชาหลุดออกจากมือเรียว  จอกเคลือบแตกบิ่น  น้ำชากระฉอกหกกระเซ็น  สีเลือดบนใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยเผือดหายไปดุจเดียวกับจอกที่แห้งขอด
“ท่านพูดเรื่องอะไรกัน” เหลียนอันสุ่ยถามเสียงแผ่ว  ลมหายใจติดขัด  ท้องไส้ปั่นป่วน
“สงสัยเป็นข้าที่เข้าใจผิดไปเอง  สีหน้าท่านไม่ดีเลย  ข้าจะให้คนตามหมอ” หานญื่อหลัวกล่าวทั้งๆที่รู้ว่าจะถูกปฏิเสธ
จริงดังคาด เหลียนอันสุ่ยตอบทันทีว่า
“ข้าไม่เป็นไร  แค่  แค่พักผ่อนไม่พอ” นี่เป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยเห็นประกายเฉียบคมที่แฝงอยู่ในดวงตาสีฟ้าปลอดโปร่งเปิดเผยคู่นั้น  และเป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยนึกหวาดกลัวที่จะสบตาด้วย
หานญื่อหลัวกำลังรอประโยคนี้ 

“ถ้าเช่นนั้น ท่านก็สมควรไปพักผ่อน” กล่าวสำทับไปมิยอมให้อีกฝ่ายปฏิเสธ  มือสะอาดแข็งแรงดึงท่อนแขนของพระมาตุลาแคว้นเหลียนเบาๆ  แต่แค่การดึงเบาๆเหลียนอันสุ่ยยังทรงกายไม่อยู่  เซจนหานญื่อหลัวต้องพยุงไว้

คนที่ได้ตำแหน่งใหม่เป็นพระภาดาหน้าเคร่งเครียดลง  หานญื่อหลัวจงใจดึงทดสอบสภาพของเหลียนอันสุ่ย  ...แต่นี่มันเลยเถิดไปมากกว่าที่เขาคิด  มิน่าเล่าเขาถึงรู้สึกว่าประกายของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป

เหลียนอันสุ่ยยังคงน่ามองเช่นเดียวกับครั้งแรกที่พบกัน  หากความหม่นหมองในแววตาเข้มจัดกว่าเดิม  ในความสงบอ่อนโยนมีความอ่อนเพลียที่แฝงความเย้ายวนชนิดหนึ่ง  นี่มิใช่ประกายธรรมชาติของเหลียนอันสุ่ย  แต่เป็นตัวตนที่ถูกผู้อื่นดึงออกมา
หานญื่อหลัวรู้สึกว่าตัวเองกำลังไม่พอใจ  บุคคลที่ไม่ค่อยยึดติดกับอะไรจริงจังเช่นเขานานๆทีจะมีโทสะ  แต่ครานี้เขานับว่ามีโทสะจริงๆ เมื่อนึกถึงว่าฉีเซี่ยงหยวนกำลังทำอะไร  และได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง

หานญื่อหลัวพยุงเหลียนอันสุ่ยไปส่งถึงเตียง  เป็นนัยบังคับกลายๆว่าให้พักผ่อน  กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะปิดประตูว่า
“ท่านพักผ่อนเถอะ  ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว” และใครอื่นก็รบกวนท่านไม่ได้เช่นกัน !  คิดพลางก้าวออกห่างจากบานประตูที่หับสนิท...
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนสะสางพิธีการน่าเบื่อเสร็จสิ้นตั้งแต่หัววัน  ตั้งใจว่าจะแวะไปดูเหลียนอันสุ่ย  ดูจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่เป็นไรมาก  แล้วจิบชาซักถ้วยที่อีกฝ่ายชงให้  แต่ทุกประการเป็นอันต้องยกเลิกไปเมื่อทราบว่าคนผู้หนึ่งแวะมาเยี่ยมตำหนักเสียงวสันต์  ที่หนักกว่านั้นคือจนบัดนี้ก็ยังไม่ไป!  บางทีหานญื่อหลัวอาจจะรอไปนรกเลยทีเดียวไม่ต้องวกอ้อมให้วุ่นวาย 

นั่นไง...เจ้าคนน่ารังเกียจนั่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่แท้จริงควรจะเป็นของเขา  แถมในมือยังจิบชาที่ควรจะเป็นของเขาอีก!  ตาของฉีเซี่ยงหยวนแวววาวยิ่งกว่าดาบที่สะท้อนเปลวแดดของทะเลทราย

หานญื่อหลัวสงบเยือกเย็นอย่างยิ่งขณะมองคนซึ่งขณะนี้มีศักดิ์สูงสุดในแคว้นเป่ยชางสาวเท้าเข้าหาตัวเองทีละก้าว  ฝีเท้าของฉีเซี่ยงหยวนเงียบกริบ  แต่ตัวตนกลับคุกคามดุจพยัคฆ์ย่างเข้าหาเหยื่อ  หากหานญื่อหลัวมั่นใจว่าตัวเองมิใช่เหยื่อตัวนั้น

“ต้าอ๋อง  ตามกำหนดการเดิมพิธีการสมควรเสร็จก่อนตะวันตรงหัวเพียงเล็กน้อย  นี่เพิ่งยามซื่อ(9.00น.-11.00น.)  คิดไม่ถึงข้ากลับพบท่านที่นี่” หานญื่อหลัวกล่าวพลางยืนขึ้น  ค้อมหัวให้ด้วยบุคลิกสง่างาม
“พิธีการเหล่านั้นถ้าตัดทอนเอาเฉพาะส่วนสำคัญก็ไม่ยืดยาวจนถึงเที่ยงหรอก” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนราบเรียบเย็นชา
“ท่านนี่ดูจะไม่ให้ความสนใจกับพวกพิธีการรวมถึงพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดต่อกันมาเอาเสียเลย”

คนฟังไม่ตอบแต่เหยียดยิ้มดูแคลนต่อมุมมองอันตื้นเขินที่อีกฝ่ายเอ่ย  สำหรับฉีเซี่ยงหยวนพิธีกรรมเหล่านั้นเป็นแค่การโน้มน้าวประชาราษฏร์ให้คาดหวังถึงความรุ่งเรืองในรัชกาลใหม่  แก่นที่แท้จริงอยู่ที่ความสามารถและการทุ่มเททำงานของผู้ปกครอง  หากสิ่งเหล่านั้นไม่มีรัชสมัยที่รุ่งเรืองก็ไม่มีวันมาถึง
คนเป็นพระภาดาไม่สนใจรอยยิ้มดูแคลน  หานญื่อหลัวเอ่ยถึงเรื่องนี้เพราะมีจุดประสงค์  สายตาสงบราบเรียบมองเท้าเป่ยชางอ๋องที่ก้าวไปทางประตูชั้นใน  ปากกล่าวขึ้นว่า
“แต่ข้ารับประกันได้ว่ามีคนสนใจ  ถ้าท่านยังก้าวเข้าไปใกล้ประตูบานนั้นอีกก้าวเดียว  ท่านลุงจะได้รู้ว่าเมื่อคืนต้าอ๋องมิได้ประทับที่ตำหนักเยี่ยอวิ๋น”
เท้าของฉีเซี่ยงหยวนชะงักกึก  ตาสาดประกายเย็นเยียบ  ท่านลุงของหานญื่อหลัวก็คืออดีตเป่ยชางอ๋อง  พระบิดาของฉีเซี่ยงหยวนเอง
“หานญื่อหลัวเอยหานญื่อหลัว  บางคราวข้าก็สงสัยว่าเจ้าเป็นคนฉลาดหรือแท้จริงโง่มากกันแน่”  การเป็นศัตรูกับเป่ยชางอ๋องมิใช่เรื่องฉลาดแน่นอน  แต่หานญื่อหลัวไม่สนใจเรื่องนั้น
“คำถามนี้กระทั่งข้ายังยากจะตอบได้  แต่ข้ารู้ว่าต้าอ๋องเป็นคนฉลาด  ดังนั้นจึงแปลกใจที่ท่านกระทำเรื่องที่ขาดความรอบคอบเช่นนี้”  สืบเท้าเข้าไปหาอีกฝ่ายอีกก้าว  กล่าวเสียงแผ่วเบากว่าเดิมว่า
“ท่านไม่ควรมาตำหนักชุนเกอ  ทั้งเมื่อวานและวันนี้...ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าท่านขึ้นเตียงกับเขา  ท่านตั้งใจจะเปลี่ยนเขา  ท่านทำได้ยังไง” สามประโยคหลังแผ่วเบาแต่ชัดเจน  ดวงตาสีฟ้าเย็นจัดจนคล้ายจะเยือกแข็ง  กล่าวต่อ
“กลับไปซะ  วันนี้ข้าไม่ยอมให้ท่านแตะต้องเขา  ไม่เช่นนั้นท่านลุงจะได้ทราบแน่ว่าบุตรชายเขาละเมิดพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์อย่างไร”

สายตาที่เหมือนไฟกับน้ำแข็งจ้องกันอยู่อย่างนั้น  สุดท้ายฉีเซี่ยงหยวนเป็นฝ่ายถอยออกไปในใจหมายหัวจดบัญชีอีกฝ่ายเอาไว้  หลิวฉางเฟยที่ติดตามอยู่ด้านหลังรู้สึกว่าบัญชีนั้นน่าจะยาวพอๆกับแม่น้ำเหอสุ่ยแล้วตอนนี้

ยังไม่ทันที่ฉีเซี่ยงหยวนจะลับไปดี  หานญื่อหลัวก็ได้ยินเสียงของตกชั้นวางของเลื่อนดังมาจากห้องชั้นใน  ร่างสูงสง่าผลุนผลันผลักประตูเข้าไป  พบเหลียนอันสุ่ยพยุงตัวเองอยู่กับตู้ที่เคยจัดวางกระถางกำยาน  แต่ตอนนี้กระถางใบที่ว่ากลิ้งตัวอยู่กับพื้น  ชั้นวางด้านข้างถูกเจ้าของผลักจนเบี้ยวไป

“ข้าบอกให้ท่านพักผ่อนไง” น้ำเสียงเป็นเชิงห่วงใยมากกว่าตำหนิจริงจังดังออกจากปากหานญื่อหลัว  เหลียนอันสุ่ยมิได้ตอบคำ  แต่มือเรียวฉุดแขนอีกฝ่ายไว้  ดวงตาคู่งามหวาดประหวั่นพรั่นพรึง  เหลียนอันสุ่ยได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ครบถ้วนทุกถ้อยความ
“ท่านรู้ ?  รู้...ได้ยังไง”
เห็นท่าทีที่ถูกเคี่ยวกรำจากความหวาดกลัวของเหลียนอันสุ่ย  หานญื่อหลัวก็เพิ่มความผิดให้กับฉีเซี่ยงหยวนไปอีกหนึ่งกระทง
“ท่านวางใจเถอะ  เรื่องนี้มีข้ารู้แค่คนเดียว  และข้าจะไม่บอกมันกับใครทั้งนั้น” พูดจบก็อุ้มร่างอีกฝ่ายไปวางไว้บนเตียง  เหลียนอันสุ่ยตื่นตระหนก  แต่ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืน  ไม่คิดว่าเชื้อพระวงศ์ที่บุคลิกสุภาพงามสง่าผู้นี้จะอุ้มเขาได้โดยไม่ลำบากกินแรง  มีหลายอย่างที่หานญื่อหลัวซ่อนเอาไว้ใต้บุคลิกบุรุษเจ้าเสน่ห์  ภายใต้เสื้อผ้ามีรสนิยมหานญื่อหลัวมีเลือดแข็งแกร่งของชาวเป่ยชางอยู่ครึ่งหนึ่ง  กับส่วนผสมของความอิสระเสรีของชนเผ่าเยวี่ยถานอีกครึ่งหนึ่ง

“ทำไมท่านต้องช่วยข้า” เหลียนอันสุ่ยถามออกไปอย่างอ่อนแรง
“เพราะข้าหวังผลตอบแทน” หานญื่อหลัวตอบพลางขยิบตาให้ด้วยท่าทีไม่จริงจัง  จนคนฟังต้องเผยอยิ้มออกมาบางๆ
หานญื่อหลัวมองรอยยิ้มอีกฝ่ายแล้วก็พึมพำกับตัวเองในใจ  ถูกล่ะ สาเหตุอย่างแรกคือหวังผล ตอบแทน  ส่วนสาเหตุที่สองคือทนดูไม่ได้  หานญื่อหลัวพบว่าเหลียนอันสุ่ยเป็นคนใส่ใจผู้อื่น  คนเช่นนี้จะทุกข์ง่าย  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนก็เป็นพวกถนัดสร้างความทุกข์ร้อนให้กับชาวบ้านเสียเหลือเกิน  คิดถึงตรงนี้นัยน์ตาสีฟ้าก็หรี่ลงอย่างไม่พอใจ
---------------------
เหลียนอันสุ่ยแม้ไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองของแคว้นเป่ยชางให้วุ่นวาย  แต่เมื่ออยู่ที่นี่  มีบางเรื่องไม่อาจไม่ทราบไว้  แน่นอนว่าคนที่น่าจะทราบทุกเรื่องราวอย่างละเอียดย่อมหนีไม่พ้นคนคุ้มกันชาวเป่ยชางทั้งสองคนที่เคยเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวนมาก่อน  ต้วนจินเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า  เพราะแม้จะสุขุมเยือกเย็นเช่นเดียวกับหม่าหลง  แต่มีความตรงไปตรงมาและอ่านได้ไม่ยากเท่า

เช้าวันถัดมา  ขณะต้วนจินกำลังจะออกจากห้องจึงถูกเรียกรั้งไว้
เหลียนอันสุ่ยเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
“ข้ารู้ว่าตอนแรกพวกเจ้าเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวน...จนตอนนี้ก็ยังเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวน  แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นคนของข้าครึ่งหนึ่ง  ข้ามีบางเรื่องที่ต้องการทราบ  แต่ถ้าเรื่องไหนเจ้าลำบากใจที่จะตอบหรือตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร  นั่งลงก่อนเถอะ”
ต้วนจินนั่งลงทั้งๆที่ตัวแข็งทื่อหน้าเผือดไปเล็กน้อย  ตอนแรกเข้าใจว่าเหลียนอันสุ่ยอาจกำลังเสียดสี  แต่จากน้ำเสียงและสีหน้ากลับดูเหมือนจะไม่ใช่  มีผู้ใดใช้น้ำเสียงสงบเมตตามาเสียดสีคน ?
“...นายท่านต้องการทราบอะไร ? ”
“ข้าต้องการทราบเกี่ยวกับพระภาดาหานญื่อหลัว”...!?
ต้วนจินได้แต่นึกเสียใจอยากให้คนที่นั่งอยู่ตรงนี้เปลี่ยนเป็นหม่าหลง  คำถามนี้ตอบได้ยากยิ่ง  ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าพูดอะไรออกไปได้บ้าง  สุดท้ายตัดสินใจตอบเฉพาะข้อมูลโดยทั่วไปที่คนส่วนใหญ่ก็ทราบกัน
เหลียนอันสุ่ยได้ฟังคำตอบแล้วก็ยังคงถามไปเรื่อยๆ  น้ำเสียงคล้ายจะชวนสนทนาซะมากกว่า  เพียงไม่นานต้วนจินก็ชักจะผ่อนคลายจนหลงลืมความตั้งใจเดิมที่ตั้งใจจะพูดน้อยๆ ไปทีละน้อย
---------------------
สายลมแห้งๆของยามบ่ายพัดพรูผ่านหมู่ไม้ให้เอนลู่เป็นแนวยาว  ใบไม้สีเขียวบิดตัวเกี่ยวใบไม้สีส้มทองร่ายระบำลงแตะผิวน้ำในสระใสดุจกระจกของตำหนักชุนเกอ

เสียงของสายน้ำหรือสายลมที่เคลื่อนไหวต่างไม่อาจกลบกลืนเสียงขลุ่ยแผ่วหวาน เยือกเย็น ที่ดังลอดออกมา  หานญื่อหลัวที่ริมระเบียงยาวรับฟังอย่างเคลิบเคลิ้มจนต้องเอื้อนออกมาเป็นกลอนเบาๆ  กระทั่งจังหวะสุดท้ายทอดตัวเนิบช้า  ดวงตาสีฟ้าที่หลับลงอย่างดื่มด่ำกับบรรยากาศจึงค่อยลืมขึ้น  ปรบมือพลางกล่าวชมเชย
“บทเพลงของพระมาตุลาบทนี้จับใจนัก  ถ่ายทอดเสน่ห์ของแคว้นเหลียนออกมาจนหมดสิ้น ”
เหลียนอันสุ่ยเพียงยิ้มรับ  เลาขลุ่ยงามประณีตในมือวางลงในกล่องอย่างแช่มช้า  รู้สึกว่าคนตรงหน้าช่างมีวิธีทำให้ผู้คนไม่อาจปฏิเสธ  ในตอนแรกเหลียนอันสุ่ยมิได้คิดตอบแทนอีกฝ่ายด้วยวิธีนี้เพราะขลุ่ยเลานี้มีความทรงจำเกี่ยวกับบ้านเกิดที่เข้มข้นเกินไป  หากสุดท้ายพูดไปพูดมาเหลียนอันสุ่ยก็พบว่าตัวเองเป่าขลุ่ยให้อีกฝ่ายฟังจนจบเพลงเสียแล้ว  วิธีการของหานญื่อหลัวไม่เพียงแนบเนียน  ที่ร้ายที่สุดคือคนถูกบีบคั้นไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกบีบคั้น  คนถูกเรียกร้องไม่รู้สึกว่าตัวเองสูญเสีย

“ข้าได้ยินมาว่าชนเผ่าทางเหนือชมชอบเสียงดนตรี เครื่องดนตรีของแต่ละชนเผ่าก็มีมากหลากหลาย  และข้าก็ได้ยินมาอีกว่าท่านเองก็โปรดปรานดนตรี  ทั้งยังเล่นได้หลายอย่าง  ไม่ทราบเป็นความจริงหรือไม่”
คิ้วของหานญื่อหลัวเลิกขึ้นน้อยๆ  เมื่อพบว่าอีกฝ่ายท่าทางจะศึกษาเกี่ยวกับตัวเขามาเป็นอย่างดี
“เรื่องที่ข้าสนใจดนตรีเป็นความจริง...รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พระมาตุลาให้ความสนใจในตัวข้า”
ถ้าคำพูดของต้วนจินไม่ผิด  ผู้นำชนเผ่าเยวี่ยถานผู้นี้เล่นเครื่องดนตรีได้ถึงห้าชนิด  ซ้ำแต่ละชนิดยังสามารถเล่นออกมาได้อย่างไม่ธรรมดา
“ข้าจะรู้สึกเป็นเกียรติมากกว่า  ถ้าท่านจะเล่นเพลงให้ฟังซักเพลง” เหลียนอันสุ่ยกล่าวดวงตามีแววหยั่งเชิง ทั้งๆที่หานญื่อหลัวได้เข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องราวหลายประการ  และจัดเป็นบุคคลที่จำเป็นต้องอ่านให้ออก  จนบัดนี้เหลียนอันสุ่ยก็ยังไม่ทราบว่าคนตรงหน้าซ่อนสิ่งได้ไว้บ้าง  กระทั่งจำแนกไม่ออกว่าอีกฝ่ายแค่ฉลาดเฉลียวหรือจัดเป็นตัวอันตราย

เมื่อได้ฟังคำขอ  หานญื่อหลัวก็หันไปสั่งต่อเด็กรับใช้ที่ไม่ทราบโผล่มาจากที่ไหน  หรือยืนอยู่นานแล้วแต่ไม่มีใครสังเกต  เวลาชั่วน้ำเดือดพิณเจ็ดสายตัวหนึ่งก็ถูกลำเลียงส่งมา  ตัวพิณเรียบง่ายแต่แลดูขรึมขลังล้ำค่า 

เมื่อปลายนิ้วของหานญื่อหลัวสัมผัสสายพิณ  แผ่นฟ้าแผ่นดินก็ถูกฉุดดึงเข้าไปในโลกแห่งความฝัน   เป็นฝันที่โลดโผนมีชีวิตชีวา  ทั้งสนุกสนานทั้งหวานซึ้ง  ดุจความรักในอ้อมกอดของขุนเขาและสายลมแห่งทะเลทราย  เสียงพิณโผนตัวเป็นจังหวะราวควบม้าเหยาะย่างไปทั่วหล้า  ผ่านวันผ่านคืนด้วยความรื่นรมย์  ในสำเนียงมีบางคราวทุ้มต่ำ  บางคราวสูงใส ดุจเสียงหัวร่อต่อกระซิกกันของคู่รักหนุ่มสาว

เหลียนอันสุ่ยเหม่อมองอีกฝ่ายอย่างตะลึงลาน  ฉินเป็นพิณเจ็ดสายที่เล่นให้ไพเราะได้ยากอย่างยิ่ง  ทั้งไม่เหมาะจะใช้เล่นทำนองที่มีชีวิตชีวาจนเกินไป  หากเสียงพิณของหานญื่อหลัวถึงกับไม่มีข้อด้อยใดๆเหลืออยู่  ไร้ที่ติจนถึงขั้นสามารถสะกดทุกสรรพสิ่งให้ลุ่มหลงงมงาย  ต่อให้เอานักดนตรีที่มีฝีมือพิณยอดเยี่ยมทั้งแคว้นเหลียนมาประกวดประชันก็ไม่อาจเทียบเปรียบได้  ตั้งแต่มีชีวิตมาสามสิบเอ็ดปีเหลียนอันสุ่ยยังไม่เคยเจอใครเล่นพิณได้เหลือเชื่อถึงเพียงนี้มาก่อน

ทำนองของเพลงแปลกหู  แต่ก็ร้อยเรียงได้อย่างงดงามลงตัว  ใบหน้าของผู้บรรเลงก้มต่ำ  สมาธิจดจ่ออยู่กับสายพิณทั้งเจ็ด  นิ้วมือเรียวยาวขาวสะอาดแข็งแรงทั้งสิบกดเกลาดีดอย่างคล่องแคล่วผ่อนคลาย  ท่วงท่าปลอดโปร่งงามสง่า  ดวงตาที่ปรกติพราวระยับสาดแววลุ่มลึก  หล่อเหลาจับตาสมฉายาบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเป่ยชางอย่างแท้จริง 

เสียงพิณในตอนท้ายผ่อนช้าลง  ดุจความสงบสวยงามของทะเลทรายเมื่อย่างเข้าสู่ยามค่ำ  ยังคงอ่อนหวานแต่แฝงความโศกเศร้าล้ำลึก  โศกเศร้าจนผู้คนแทบหลั่งน้ำตาให้  ความรู้สึกสูญเสียชัดเจนจนวิหคตัวจ้อยที่เกาะขอบหน้าต่างรอฟังด้วยต้องมนต์แห่งเสียงพิณต้องกรีดร้องด้วยหัวใจที่แหลกสลาย

‘...วาระวันผันผ่าน  ฤดูกาลไม่หวนคืนมา  จิตใจคะนึงหา  ฝากความรักกับหยาดน้ำตาในรอยทราย’

ท่อนสุดท้ายจบลงโดยสมบูรณ์  พิณเสียงสุดท้ายขีดเส้นคั่นแบ่งความฝันออกจากความเป็นจริง หากกลิ่นอายโศกาอาดูรยังอ้อยอิ่งไม่ยอมจางไปจากหูผู้ฟัง
“พระมาตุลา  บทเพลงเป็นอย่างไรบ้าง” หานญื่อหลัวถามคนที่อึ้งงันให้ได้สติด้วยรอยยิ้มบางๆ
“เพลงนี้เป็นเพลงอะไร  เหตุใดจึงเศร้าโศกถึงเพียงนี้” เหลียนอันสุ่ยถามเบาๆ
“เพลงนี้มาจากเรื่องเล่าเก่าแก่ในชนเผ่าข้า  เป็นชายหญิงคู่หนึ่งหนีตามกัน  ผ่านวันและคืนท่ามกลางทะเลทราย  ท่องเที่ยวไปจนสุดหล้า  ความรักทำให้ทุกอย่างสวยงาม  โลกทั้งใบมีอิสรเสรี  ...น่าเสียดายที่ตอนสุดท้ายฝ่ายชายถูกโจรร้ายฆ่าตาย  เรื่องราวจึงจบลงด้วยโศกนาฏกรรม”
“...ทะเลทรายคงเป็นสถานที่ที่มีเสน่ห์นัก”  เหลียนอันสุ่ยรำพึง  ยังคงจมอยู่กับบรรยากาศเมื่อครู่
“ท่านผิดแล้ว  ทะเลทรายความจริงเป็นสถานที่ที่ไม่มีอะไรเลย  ความอุดมสมบูรณ์เทียบไม่ได้ครึ่งของที่นี่  ยิ่งเทียบไม่ได้กับแคว้นเหลียนที่ท่านจากมา  ยังดีที่ว่าชนเผ่าของข้าอยู่ตามรอยต่อของทะเลทรายกับแคว้นเป่ยชาง  สภาพความเป็นอยู่จึงยังไม่แห้งแล้งนัก  ...หากที่นั่นจะมีอะไรที่ดึงดูดใจข้า  สิ่งนั้นคงเป็นความมีอิสระเสรี”
สายตาของเหลียนอันสุ่ยมีแววเหม่อลอย
อิสระเสรี  ...ที่แท้เป็นเช่นไรกัน ?
คนที่ถูกสิ่งต่างๆรัดพันธนาการมาแต่กำเนิดเช่นเขา  ฟังคำๆนี้แล้วกลับนึกภาพไม่ออกเลย
ความคิดหมกมุ่นอยู่ในภวังค์  ไม่รู้ตัวกระทั่งว่าหลุดพึมพำออกไป  หานญื่อหลัวมองเชื้อพระวงศ์แคว้นเหลียน  ขณะตอบคำถามที่ความจริงไม่ได้คาดหวังคำตอบใดๆ
“ที่ข้าจำได้คือโลกกว้างเท่ากับที่สายตาไปถึง  แผ่นฟ้าจรดผืนทราย  เปลวแดดร้อนแรงกับสายลมซึ่งไม่เคยหยุดพัด  พัดพาความหลากหลายของวัฒนธรรมให้เกาะกลุ่มและกระจัดกระจาย  มีวัฒนธรรมแปลกๆสิ่งใหม่ๆที่พวกชอบความท้าทายคงหวังจะปราบพิชิตมัน  แต่พวกเขาเหล่านั้นจะได้รับทราบโดยเร็วว่าหนึ่งเดียวที่มีคุณค่าให้ปราบพิชิตก็คือตัวเอง  ธรรมชาติยิ่งใหญ่กว่าตัวท่านเสมอ  ทุกสิ่งในหล้าคือความไม่แน่นอน  ...สำหรับข้าช่วงชีวิตตอนนั้นแม้ดูภายนอกอาจไม่สวยงามสะดวกสบายเท่าตอนนี้  แต่ก็เป็นช่วงที่ข้ารู้สึกได้ว่าตัวเอง ‘มีชีวิตอยู่’ อย่างแท้จริง” เว้นวรรคไปเล็กน้อย หานญื่อหลัวก็กล่าวต่อว่า
 
“ทุกครั้งที่ข้าเล่นเพลงนี้  ตอนต้นคิดถึงทะเลทราย  ตอนท้ายคิดถึงท่านแม่  ชีวิตในวัยเด็กของข้าผูกพันอยู่กับที่นั่น  ...พระมาตุลา  ท่านสนใจจะลองไปสัมผัสดูบ้างหรือเปล่า  ข้ารับรองได้ว่าชนเผ่าเยวี่ยถานไม่ได้ตั้งอยู่กลางทะเลทรายที่แห้งแล้งกันดาร”

เหลียนอันสุ่ยรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกล่อลวงด้วยสิ่งที่หอมหวานที่สุด...อิสระเสรี  สิ่งที่ผู้คนทั้งหลายในรั้วกำแพงวังได้แต่ใฝ่ฝันถึงแต่ไม่อาจครอบครอง
ความรู้สึกแรกของเหลียนอันสุ่ยไม่ผิดพลาด ผู้ชายคนนี้คือสายลม  กำแพงวังของเป่ยชางไม่เคยกังขังสายลมได้อย่างแท้จริง  ตัวตนของหานญื่อหลัวโดดเด่น  และไม่มีทางถูกสิ่งใดผูกมัดหรือหลอมกลืนไปเป็นอันขาด  หานญื่อหลัวอาจเป็นเพียงคนเดียวที่มีอิสระเข้าออกราชสำนักแคว้นเป่ยชางได้ตามอำเภอใจ  และอาจเป็นเพียงคนเดียว...ที่สามารถช่วยให้เหลียนอันสุ่ยหลุดพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ 

มีแต่ไปอยู่เสียให้ไกล  ไกลจนถึงชนเผ่าเยวี่ยถาน  อิทธิพลของฉีเซี่ยงหยวนจึงแผ่ไปไม่ถึง  หานญื่อหลัวกำลังเสนอทางออกนั้นให้กับเขา  แต่ทว่า...
“...ขอบคุณ  การเป็นวิหคที่สามารถโบยบินอย่างอิสระเสรีคงวิเศษนัก...แต่มีวิหคบางชนิด  ถึงแม้จะโบยบินไปที่อื่นในฤดูหนาว  สุดท้ายยังคงต้องโบยบินกลับมาที่เดิม”

“ท่านจะบอกว่าเป็นบ้านเกิดที่รั้งท่านไว้? ...นี่ ฉีเซี่ยงหยวนใช้แคว้นเหลียนมาผูกท่านไว้หรือ!”  ดวงตาสีฟ้ามีแววไม่พอใจชัดเจน
เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป ลูกพี่ลูกน้องของฉีเซี่ยงหยวนผู้นี้ไม่เพียงฟังความนัยออก  ยังโยงลึกลงไปถึงสิ่งทีเหลียนอันสุ่ยไม่ตั้งใจจะเปิดเผย  ความหลักแหลมของหานญื่อหลัวเข้าขั้นอันตรายแล้วจริงๆ

“ข้าเพียงหมายถึงว่านกบางตัวอาจเคยชินกับการอยู่ในกรง” เหลียนอันสุ่ยกลบเกลื่อนพลางหันหน้าไปทางอื่น  ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายอ่านอะไรได้อีก 
หานญื่อหลัวไม่สนใจคำกลบเกลื่อน  รู้สึกว่าตัวเองคาดเดาไม่ผิด  ต้องลอบขบกรามกรอด  ฉีเซี่ยงหยวนนับว่าใช้สารพัดวิธีสกปรกจริงๆ
“ทำไมท่านไม่กลับไป” เหลียนอันสุ่ยถามขึ้น
คนถูกถามชะงักเล็กน้อย  ปรับอารมณ์กลับมาเป็นปรกติ  ยิ้มแล้วตอบว่า
“เมืองหลวงของเป่ยชางรุ่งเรืองอย่างยิ่ง  ซ้ำอยู่ที่นี่ก็สะดวกสบายกว่ามาก  ทำไมข้าต้องกลับไปด้วยเล่า”
“...” เหลียนอันสุ่ยไม่ตอบ  แต่ใช้ดวงตากระจ่างที่คล้ายมองทะลุเข้าไปถึงจิตใจคนจับจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆ พร้อมรอยยิ้มบางๆ
จนในที่สุดหานญื่อหลัวก็พูดขึ้น
“ข้าเองก็ไม่ต่างจากท่าน  ท่านอยู่ที่นี่เพื่อแคว้นเหลียน  ส่วนข้าอยู่ที่นี่เพื่อชนเผ่าเยวี่ยถาน เมืองหลวงเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ  เมื่อข้าอยู่ที่นี่ก็เป็นที่แน่นอนว่า ‘ความรุ่งเรือง’ ต้องกระจายไปถึงชนเผ่าเยวี่ยถาน  ...และเมื่อข้าอยู่ที่นี่สถานะของชนเผ่าเยวี่ยถามก็จะมั่นคงขึ้น  ไม่มีวิธีใด ‘สะดวก’ และมีประสิทธิภาพกว่านี้อีก” หานญื่อหลัวตอบตามความจริง  พบว่าบางทีตัวเองอาจไม่จำเป็นต้องเก็บงำอะไรมากมายเมื่ออยู่ต่อหน้าพระมาตุลาผู้นี้

สายตาของพระมาตุลาแคว้นเหลียนคล้ายสายน้ำที่ใสสะอาดจนเห็นก้น  มองทะลุไปถึงตัวตนที่ผู้คนเก็บซ่อนไว้  ภายใต้สายตาที่ปราศจากธุลีเจือปนคู่นี้  คล้ายกับความลับใดๆก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป

หานญื่อหลัวก็เป็นเช่นเดียวกับเหล่าบุรุษที่โดดเด่นในยุคสมัย  คนที่อยู่ในสถานะเช่นเขาการจะพูดอะไรต้องผ่านการไตร่ตรองครุ่นคิด  คนที่ชาญฉลาดล้วนทราบว่ามีบางเรื่องที่ไม่สมควรพูดและมีบางเรื่องที่พูดไปก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์

ดวงตาสีฟ้ามองคนที่มีตัวตนดุจสายน้ำ  สดชื่น ใสเย็น  ชุดยาวสีม่วงอ่อนเหลือบครามบนพื้นขาวทำให้เหลียนอันสุ่ยดูประดุจละอองพราวของสายน้ำตกในริ้วหมอก  เริ่มเข้าใจถึงสิ่งที่ผูกมัดเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนไว้อย่างแท้จริง  ประกายปัญญากับความเมตตาหวังดีทำให้ผู้คนวางใจที่จะเปิดเผยตัวตน  ความสงบอ่อนโยนที่เป็นดุจบรรยากาศประจำตัวยิ่งทำให้ผู้คนสงบผ่อนคลาย  ทั้งสองประการล้วนเป็นของล้ำค่าหายากในวังหลวง  มิน่าเล่าคนผู้นั้นให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ

จู่ๆเหลียนอันสุ่ยก็เอ่ยขึ้นว่า
“ข้าไม่เข้าใจ  ท่านช่วยข้าทำไม  ในเมื่อข้าถือเป็นฝ่ายฉีเซี่ยงหยวน  ส่วนท่านเองกลับไม่ถูกกับเขา” คำถามนี้ติดค้างในใจเหลียนอันสุ่ยมานานเหลือเกิน
“ท่านก็คือท่าน  ท่านกับเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนละคนกัน  ส่วนข้าเป็นพวกพอใจจะทำอะไรข้าก็จะทำ  พอใจจะช่วยใครข้าก็จะช่วย” หานญื่อหลัวตอบด้วยรอยยิ้มที่เหลียนอันสุ่ยเห็นแล้วต้องต้องลอบทอดถอนใจแทนสตรีแคว้นเป่ยชาง

หานญื่อหลัวเป็นคนรูปงามประเภทที่ทราบว่าตัวเองรูปงาม  บุคลิกของเขาจึงเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง  ในความสุภาพแฝงความมั่นใจในตัวเอง  ดังนั้นต่อให้ลบรูปร่างหน้าตาออกไป  หานญื่อหลัวก็ยังคงเป็นบุรุษที่มีบุคลิกน่าดึงดูดใจเช่นเดิม  และเป็นบุรุษประเภทที่อิสตรีตัดใจไม่ลงมากที่สุด

“ข้าต้องขอบคุณในเจตนาอันดีของท่าน  แต่ว่ามันไม่จำเป็น  ...ข้าเป็นแค่ ‘ของเล่น’ ชิ้นหนึ่งของเขา  นานวันเข้าเขาก็จะเบื่อหน่ายไปเอง  ท่านไม่ควรต้องเสี่ยงกับการเป็นปฏิปักษ์กับเป่ยชางอ๋องเพิ่มด้วยเรื่องแค่นี้” ในรอยยิ้มที่เจือความขื่นมีแววสงบ
ดวงตาของคนฟังเช่นหานญื่อหลัวมีแววประหลาด  กล่าวช้าๆ ว่า
“ถ้าท่านเข้าใจว่าต้าอ๋องจะปล่อยท่านไปง่ายๆท่านก็ผิดแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยลุ่มหลงบุรุษ  แต่กลับลุ่มหลงในตัวท่านจนถอนตัวไม่ขึ้น  ในคืนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา  เขากลับเอาเวลาทั้งหมดมาใช้อยู่กับท่าน  พระมาตุลา  ท่านคิดว่าจะมีวิธีไหนที่เขาไม่กล้าใช้เพื่อรั้งท่านไว้อีกหรือ ? ”

คำเตือนสติของหานญื่อหลัวทำให้เหลียนอันสุ่ยนิ่งอึ้งไป  ตลอดมามิใช่มองไม่เห็น  แต่เป็นไม่ต้องการจะครุ่นคิดถึง  เนื่องด้วยทุกครั้งที่ครุ่นคิดจิตใจเป็นต้องถูกลากเข้าไปพัวพันเงาร่างที่ไม่ว่าอย่างไรก็ลบไม่หาย  ซ้ำยังทำท่าว่าจะประทับลึกล้ำขึ้นทุกที
ดวงตาสีฟ้าของหานญื่อหลัวจับอยู่ที่ใบหน้าหมดจดที่ซีดขาวของคู่สนทนา  กล่าวต่อ
“ท่านรู้รึเปล่าว่าฉีเซี่ยงหยวนมีนิสัยเสียมากอยู่ข้อหนึ่ง  คือถ้ามีของที่เขาหมายตา  เขาต้องทำทุกวิถีทางให้ของชิ้นนั้นเป็นของเขาโดยสมบูรณ์  ดังนั้นเขาจะไม่มีทางปล่อยมือเด็ดขาดถ้าเขายังไม่ได้ท่านไปทั้งหมด ...ที่ข้ากับเขาไม่ถูกกันเป็นเพราะฉีเซี่ยงหยวนไม่ชอบขี้หน้าข้า  ส่วนข้าไม่ชอบวิธีการของเขา  เพราะวิธีการของฉีเซี่ยงหยวน...คือไม่เลือกวิธีการ ! ” ประโยคสุดท้ายเสียงทุ้มหนักย้ำชัดๆทีละคำ

“...ตอนนั้น  ท่าน...บอกว่า ‘เขาจะเปลี่ยนข้า’ ท่านหมายถึงอะไร” คำถามของเหลียนอันสุ่ยแผ่วเบา
หานญื่อหลัวส่ายหัวกับตัวเอง
“นี่ท่านแอบฟังจนได้ยินทุกคำพูดจริงๆ  ข้าหมายความว่าเขาจะเปลี่ยนให้ท่านไม่มีปัญญาไปจากเขา”
“...ข้าไม่เข้าใจ”
“เอาเป็นว่าหลังจากนี้อย่าขึ้นเตียงกับเขา  ข้าจะทิ้งบ่าวรับใช้ของข้าเอาไว้ที่นี่  ฉีเซี่ยงหยวนจะไม่กล้าล่วงเกินท่าน” หานญื่อหลัวทิ้งท้ายไว้แค่นั้น


ออฟไลน์ beery25

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 808
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +130/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
«ตอบ #71 เมื่อ20-08-2014 21:04:38 »

ในที่สุดก็มาลงในเล้าเป็ด ตามอ่านที่ในเด็กดีตลอด ผูกเรื่องเก่งๆมากๆ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
«ตอบ #72 เมื่อ20-08-2014 23:27:18 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mkyok5

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
«ตอบ #73 เมื่อ21-08-2014 00:37:53 »

หน้าติดตามคะ รอตอนต่อไปอยู่นะ

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
«ตอบ #74 เมื่อ21-08-2014 14:11:31 »

ติดตามสนุกมากค่ะ รอตอนต่อไป ~

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
«ตอบ #75 เมื่อ21-08-2014 14:21:03 »

รอติดตามอยู่นะ

อยากให้ต้าอ๋องกับพระมาตุลา หาทางออกที่มีความสุขทั้งสองคนได้ในที่สุด

หาญยื่อหลัว คนหล่อสุดในแผ่นดิน ก็เป็นสหายที่ดีมากจริงๆ

ออฟไลน์ jubujubu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
«ตอบ #76 เมื่อ22-08-2014 11:31:54 »

สนุกอ่ะ ชอบๆ :oni2:

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 26
«ตอบ #77 เมื่อ22-08-2014 21:05:10 »

ตามอ่านที่เด็กดีจนถึงตอนล่าสุดแล้ว

คือ...เรื่องนี้แต่งได้ล้ำลึกมาก มีปรัญชาแอบแฝงตรรกะ
ตัวละครมีความเป็นคนสูงมาก มีดำมีขาวมีความซับซ้อนทางอารมณ์

คือคุณมืออาชีพมากจริงๆ คุณคือนักเขียนที่ไม่ธรรมดาเลย
รอซื้อรวมเล่มแน่นอนค่ะ เฝ้ารออ่านเรื่องนี้จากแผ่นกระดาษ
เอามือลูบปกสวยๆ แอบมองภาพประกอบ แค่คิดก็อยากได้แล้ว

สู้ๆนะคะ รอตอนต่อๆไป

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 27
«ตอบ #78 เมื่อ23-08-2014 12:19:18 »


บทที่ 27 กลิ่นบุปผายามสนธยา

ตะวันยามบ่ายกำลังคล้อยลงสู่ยามเย็น  มีเสียงโหวกเหวกดังออกมาจากประตูชั้นนอกของตำหนักชุนเกอ  หญิงรับใช้รีบร้อนออกไปดู  แล้วก็ต้องเบิกตาโตเมื่อเห็นเจ้าของตำหนักเดินตามนางออกมาด้วย...
“ข้าต้องการพบพระมาตุลาแคว้นเหลียน” เป็นเสียงแปลกหูของสตรีนางหนึ่ง

 เมื่อเห็นตัวผู้มาเยือนเหลียนอันสุ่ยก็ยิ่งมั่นใจว่าตัวเองไม่เคยพบพานอีกฝ่ายมาก่อน  เพราะสตรีเช่นนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะลืมเลือน  รูปโฉมของนางงดงามดุจตะวันรอน  โดดเด่นและเต็มไปด้วยเสน่ห์อันเข้มข้น  ทั้งเค้าหน้าประกายตาล้วนงามจนแทบทำให้ผู้คนหลงใหลคลั่งไคล้
 
ขณะที่เหลียนอันสุ่ยเห็นนาง  นางก็เห็นเขาเช่นกัน  ดวงตาคมสวยกวาดมองเชื้อพระวงศ์แคว้นเหลียนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาไร้มารยาท  จนอิ๋งฮวาที่ยืนขวางอยู่ตรงกลางแทบจะถลันออกไป  ดีที่เสียงสงบนุ่มนวลของเหลียนอันสุ่ยกล่าวขึ้นเสียก่อนว่า
“ท่านเป็นใครกัน ?  เราเหมือนไม่เคยพบกันมาก่อน”
สตรีแปลกหน้าได้ยินดังนั้นก็กล่าวว่า
“เราย่อมไม่เคยพบกันมาก่อน  ข้าเองก็ไม่ต้องการพบท่าน  ทำไมท่านต้องมาที่นี่!  ทำไมท่านไม่อยู่ที่แคว้นเหลียน !” ขณะถามดวงตางามซึ้งเจ็บแค้นจนวาววามคล้ายกับมีหยาดน้ำตา
“...ข้าไม่เข้าใจ ท่านเป็นใครกันแน่” เหลียนอันสุ่ยถามด้วยความรู้สึกตกใจกับท่าทีของอีกฝ่าย
“ข้าเป็นใครหรือ...อันที่จริง  เราควรรู้จักกันไว้สินะ  เพราะอย่างน้อยเราก็ถือว่าปรนนิบัติผู้ชายคนเดียวกัน”...!

ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยเบิกกว้าง  รู้สึกราวร่วงหล่นจากยอดเขาสูงชันลงไปในหล่มน้ำแข็งเยียบเย็น  ในที่สุดก็คาดเดาสถานะของสตรีตรงหน้าออก 
“...ข้าว่าท่านต้องเข้าใจอะไรผิดไปแล้ว” เหลียนอันสุ่ยได้ยินตัวเองตอบออกไปเช่นนั้น
คนฟังเหยียดยิ้ม
“หึ  จะผิดได้อย่างไร  ท่านเป็นคนของเขา  ข้าก็เป็นเช่นกัน  ท่านอาจสามารถวางตัวสูงส่งในตอนนี้  แต่อีกไม่นานท่านก็จะเป็นเช่นเดียวกันกับข้า...เป็นของใช้แล้วที่เขาไม่ต้องการ” น้ำเสียงมาดร้ายในตอนท้ายมีความขมขื่นอยู่บ้าง
“แม่นางหลันเซียง ! ” เสียงทุ้มหนักเป็นเชิงปรามดังออกมาจากปากต้วนจิน   หม่าหลง ต้วนจินซึ่งไม่ทราบหายตัวไปที่ไหนพลันปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าอย่างรีบร้อน  ขวางกลางระหว่างสตรีแปลกหน้ากับพระมาตุลาแคว้นเหลียน
“อะไรกัน  พูดความจริงก็ผิดด้วยหรือ...” คำพูดร้ายกาจแต่เจ้าของกลับมิอาจห้ามหยาดน้ำตาที่หยดลงมาเป็นสาย
“ผู้ใดให้เจ้ามาก่อความวุ่นวายที่นี่ ! ” เสียงเฉียบขาด กังวานด้วยอำนาจของผู้เป็นเจ้าของดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน
เมื่อครู่พอดีเป็นช่วงเวลาที่หม่าหลงต้องไปส่งรายงานเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของพระมาตุลาแคว้นเหลียนจึงมิได้อยู่ที่ตำหนัก  ส่วนต้วนจินเมื่อพบว่าผู้มาเป็นใครก็ตัดสินใจไปส่งข่าวต่อฉีเซี่ยงหยวน  เพราะสตรีนางนี้หากฉีเซี่ยงหยวนไม่มีคำสั่งลงมา  ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าจัดการโดยพลการ  แต่ต้วนจินเพียงหวังให้ฉีเซี่ยงหยวนถ่ายทอดคำสั่งลงมา  คาดไม่ถึงว่านายเหนือหัวถึงกับมาด้วยตัวเอง
ท่าทีของฉีเซี่ยงหยวนแสดงชัดแจ้งว่ามีโทสะ  สั่งให้หลิวฉางเฟยที่ติดตามมาด้วยเอาตัวนางออกไป  หลันเซียงก้มหน้านิ่ง  ผิวหน้าซีดขาว  กัดริมฝีปากอย่างไม่ยินยอมรับชะตากรรม

ขณะที่หลิวฉางเฟยกำลังจะก้าวถึงตัวสตรีผู้เป็นต้นเรื่อง  ชายเสื้อสีอ่อนก็ก้าวเข้ามาขวางหัวหน้าราชองครักษ์เอาไว้
 “ท่านไม่ควรปฏิบัติต่อนางเช่นนี้” น้ำเสียงของคนพูดสงบนุ่มนวล
ทุกผู้คนล้วนเบิกตากว้าง  คนที่เหลือเชื่อที่สุดย่อมเป็นหลันเซียง  เพราะบุคคลที่ช่วยนางถึงกับเป็นบุรุษที่นางเพิ่งรังควานหาเรื่อง...พระมาตุลาเหลียนอันสุ่ย !
 “นี่นางล่วงเกินท่านนะ” คิ้วเข้มของฉีเซี่ยงหยวนขมวดลง ขณะกล่าวเป็นเชิงถาม
“นางล่วงเกินข้าหรือไม่  ความจริงมิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร  เพราะนางเพียงเข้าใจผิดเท่านั้น”
ดวงตาคมกร้าวด้วยอำนาจสบกับดวงตาดำสนิทที่สงบราบเรียบของคนกล่าวอยู่เป็นนาน  เมื่อพบว่าเหลียนอันสุ่ยยืนยันจะปกป้องผู้หญิงคนนี้เอาไว้  ดวงตาทรงอำนาจก็มีประกายไม่พอใจ
“นางถือเป็นคนของข้า  ส่วนท่านเป็นแขกของข้า  นางล่วงเกินท่าน  เป็นเรื่องที่ข้าต้องจัดการ  ละเลยไม่ได้เด็ดขาด” เสียงเฉียบขาดของของฉีเซี่ยงหยวนกล่าวอย่างยืนกราน  ในเมื่อเหลียนอันสุ่ยคิดจะปกปิดความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไว้เป็นความลับ  ฉีเซี่ยงหยวนจึงอ้างถึงสถานะ ‘แขกบ้านแขกเมือง’ ของเหลียนอันสุ่ยแทน

“ต้าอ๋อง  เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ข้าไม่ถือสา  อีกอย่างมิใช่นางมารังควานข้าแต่เป็นข้าเชื้อเชิญนางมาเอง  นางเป็นแค่สตรีตัวเล็กๆคนหนึ่ง  ขอต้าอ๋องอย่าถือสานาง” เหลียนอันสุ่ยกล่าว  ทุกผู้คนต่างทราบแน่แก่ใจว่าเหลียนอันสุ่ยบิดเบือนความจริงเพื่อปกป้องสตรีที่มีนามว่าหลันเซียง
“ท่านถึงกับออกปากขอร้องให้นางเชียวหรือ ? ” ฉีเซี่ยงหยวนมิได้หันไปมองหลันเซียง  สายตาของเขาจับอยู่ที่เหลียนอันสุ่ย  น้ำเสียงย้ำราวกับพยายามสะกดกั้นอารมณ์ที่แตกปะทุกอยู่ภายใน
“...เพราะนี่มิใช่ความผิดของนาง”
หลังคำตอบนี้ดังออกจากปากเหลียนอันสุ่ย  ฉีเซี่ยงหยวนจึงค่อยเหลือบมองไปยังร่างอ้อนแอ้นบอบบางของของหลันเซียง  แล้ววกกลับมาที่ร่างสูงโปร่งของเหลียนอันสุ่ยอีกครั้ง
เหลียนอันสุ่ยไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เต้นระริกอยู่ในแววตาวาวโรจน์เป็นโทสะอันบ้าคลั่งหรือความปวดร้าวเร้นลึก 
‘ท่านจะบอกว่าเป็นความผิดของข้าอย่างนั้นสิ’   ดวงตาคู่นั้นคล้ายกำลังถามคำถามนี้กับเขา
“...ก็ได้  ท่านจะจัดการกับนางอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน” พูดจบเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนก็สะบัดหน้าจากไป

เหลียนอันสุ่ยมองตามชายอาภรณ์สีดำ  ดวงตาปรากฏแววเจ็บปวดที่มากมายเกินกว่าจะปกปิดไว้ได้อีก  ข้าควรจัดการอย่างไรกัน ?   ควรจะจัดการกับความสัมพันธ์ครึ่งๆกลางๆที่แสนปวดร้าวนี้อย่างไรกัน  ทิ้งไว้ความเจ็บปวดก็ยิ่งทับถมทวีขึ้น  ตัดให้ขาดเสียก็ทำไม่ได้  ทั้งๆที่รู้ดีอยู่แล้วก็ยังเจ็บปวดเหมือนคนโง่ 

ข้าไม่อาจงมงายไปกับความสำคัญที่ท่านมอบให้  และก็ไม่อาจหลีกหนีไปจากความเป็นจริงที่ว่า...ข้าไม่สมควรรักท่านเลย  เพราะท่านไม่มีทางเป็นของใครอย่างแท้จริง...

บางครั้งความทุกข์ของคนฉลาดก็คือพวกเขาล่วงรู้มากเกินไป  รู้ในสิ่งที่ไม่ทราบแล้วจะสบายใจกว่า  ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ไม่ควรคิดถึง  หลายครั้งความสุขของคนโง่งมหนึ่งคนจึงมากมายกว่าความสุขของคนฉลาดสิบคนรวมกัน  เพราะพวกเขาต่างไม่ต้องคาดหวังกับตัวเองมากเกินไปนัก  และผู้อื่นต่างก็มิได้คาดหวังในตัวเขา  ชีวิตของพวกเขาอาจวุ่นวายกับสถานการณ์ภายนอกที่ควบคุมไม่ได้  หากน้อยครั้งนักที่จะต้องเจ็บปวดกับความกลัดกลุ้มภายในใจ  ยิ่งไม่ต้องเผชิญกับทัณฑ์ทรมานซับซ้อนซึ่งสลัดไม่หลุดอันเกิดเนื่องมาจากจิตใจเขาเอง
---------------------
ณ ชานด้านนอกซึ่งยื่นออกไปค้ำอยู่บนบางส่วนของสระน้ำและสวนมีชุดโต๊ะกึ่งนั่งกึ่งนอนสำหรับผ่อนคลายอิริยาบถ  เหลียนอันสุ่ยนั่งเงียบๆ  ดวงตาสงบแฝงแววห่วงใย  หลันเซียงถือถ้วยชานั่งอยู่เบื้องหน้าเขา  ดวงตาสับสนลังเลและยังคงปิดปากเงียบ 
ใต้กลิ่นหอมอวลของใบชา  ในที่สุดความจริงก็ค่อยๆกลั่นตัวออกมา

“...ครั้งแรกที่ข้าได้พบกับเขา  เขาก็โดดเด่นคมคายเช่นนี้  ทั้งยังเฉียบขาดจนน่ากลัว  แต่เขาก็ปฏิบัติต่อข้าดียิ่ง  ข้าพยายามจะไม่รักเขา...แต่สุดท้ายก็ยังคงรักอยู่ดีนั่นเอง  รักจนวาดฝันเอาไว้อย่างสวยงาม  เพราะข้ารู้...ว่าเขาเองก็ชอบข้าเช่นกัน  ข้าไม่สนใจว่าเขาจะเคยมีผู้หญิงมากี่คน  แค่ข้าเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายของเขาก็พอ  ดังนั้นข้าจึงได้กลายมาเป็นผู้หญิงของเขา...” นางนิ่งไปครู่หนึ่ง  มือกุมกันแน่นเข้าจนเห็นข้อนิ้วซีดขาว  กล่าวต่อว่า

“...เมื่อข้าเป็นผู้หญิงของเขาข้าถึงได้รู้...ว่าชีวิตสวยงามที่ข้าเฝ้าฝันถึงเป็นเพียงความฝันไม่มีวันเป็นจริง  ข้าไม่มีทางเป็นคนสุดท้ายของเขา  ...ก่อนหน้าข้าเขามีสตรีมากมาย  แต่ละนางงดงามยิ่งกว่าบุปผาในเดือนสาม  อ่อนละมุนยิ่งกว่าแสงดาว  พร่างพราวยิ่งกว่าสายน้ำตก  แต่เขาก็ทอดทิ้งพวกนางมาแล้ว  แม้ข้าจะถือว่าตัวเองงดงามเหนือใคร  แต่ก็ทราบว่าตัวเองมิได้งดงามที่สุด  ...เพียงแต่ตอนนั้นเรื่องราวเหล่านี้ช่างห่างไกลนัก  ข้าหลงงมงายกับความรักที่หวานชื่น  ปิดหูปิดตาตัวเองอยู่แค่ความจริงที่ว่า เขาหลงใหลข้า  หากยิ่งนานวันข้าก็ยิ่งหวาดหวั่น  กลัวตัวเองจะลงเอยเช่นสตรีคนอื่นๆของเขา  เขาเป็นบุรุษที่โดดเด่น  วันๆหนึ่งมีสตรีผ่านเข้ามาในสายตาเขามากมาย  และมันก็ไม่ยากเลยที่จะครอบครองพวกนางหากเขาเกิดสนใจเข้าซักคน   ข้า  ข้า...ไม่รู้จะทำอย่างไร  ได้แต่ปลอบตัวเองว่าวันนั้นคงไม่มาถึง...แต่เมื่อเขากลับมาจากแคว้นเหลียน  ข้าก็ได้รู้...ว่าข้าสูญเสียเขาไปแล้ว” พูดจบน้ำตาก็ร่วงรินดุจไข่มุกที่หลุดจากสาย  หลันเซียงสะอื้นจนตัวโยน  ร่างบอบบางคู้ลง  เจ็บปวดจนสั่นระริกไปทั้งร่าง

เหลียนอันสุ่ยมองนางเจ็บปวด  ทราบว่าตัวเองมิอาจช่วยเหลือ  จิตใจก็พลอยเจ็บปวดไปด้วยเช่นกัน  ...ข้ามิได้ต้องการเป็นต้นเหตุแห่งความเสียใจของท่านเลย

ยังมีความเจ็บปวดอีกประการหนึ่งผุดขึ้นมา  หลันเซียงคล้ายภาพสะท้อนของชะตากรรมเลวร้ายที่เขาไม่ต้องการเผชิญ  เจ็บปวดที่จะยอมรับว่าเขาและนาง...แท้จริงมิได้ต่างกัน
‘...อีกไม่นานท่านก็จะเป็นเช่นเดียวกันกับข้า...เป็นของใช้แล้วที่เขาไม่ต้องการ !’
พระมาตุลาแคว้นเหลียนมองร่างงามตรงหน้าอย่างเหม่อลอย  ดวงตาของสตรีนางนี้มีเสน่ห์จับใจ  เรือนร่างยิ่งไม่ต้องพูดถึง  ท่านยังไม่พอใจอีกหรือ  ...ฉีเซี่ยงหยวนเอย  หากสตรีแต่ละนางของท่านล้วนงดงามปานนี้   ท่านจะเอาสตรีแคว้นเหลียนมาอีกทำไมกัน  และท่านจะบีบบังคับเอา ‘ตัวประกัน’ เช่นข้ามาอีกทำไมกัน ?

“อัน  อันที่จริง  ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าใจของฉีเซี่ยงหยวนมิได้อยู่ที่ข้า  เขาสนใจข้า ชอบข้า แต่มิได้รักข้า  เขา...คนที่เขารักคือผู้หญิงที่งามยิ่งกว่าบุปผาต้องน้ำค้างคนนั้น  สตรีเพียงหนึ่งเดียวที่เขามิเคยแตะต้อง แต่กลับให้ความคุ้มครองตลอดมา  นางมีนามว่าเสิ่นชิงอี” สามพยางค์สุดท้ายเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก  หลันเซียงหัวเราะเบาๆกับตัวเองด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“เมื่อข้าได้เห็นนางข้าถึงได้ทราบ  ที่แท้ตัวเองมิได้เหมาะกับนามหลันเซียงเลย  เสิ่นชิงอีจึงเป็นดอกกล้วยไม้  และกลิ่นหอมของบุปผาใดๆก็ไม่มีทางเทียบกับนางได้  เพราะนางคือบุปผาที่งดงามที่สุดในวังหลวง  ทั้งรูปโฉม ความสามารถ ชาติตระกูล ข้ายังห่างไกลกับนางเหลือเกิน”

สตรีที่เขารัก?  ที่แท้ฉีเซี่ยงหยวนมีสตรีที่พิเศษต่อเขาอยู่ในมือแล้ว  เหลียนอันสุ่ยทราบนิสัยของฉีเซี่ยงหยวนดี  บุรุษผู้นั้นเอะอะก็ชมชอบครอบครองเป็นเจ้าของ   หากจะมีสตรีที่ฉีเซี่ยงหยวนให้ความสำคัญแต่ไม่เคยแตะต้อง  สตรีนางนั้นก็ต้องพิเศษต่อเขามากจริงๆ  ส่วนคำที่เคยบอกว่ายังหาไม่เจอ...คงเป็นเพราะฉีเซี่ยงหยวนยังไม่รู้ใจตัวเอง

เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันอยู่นาน  ใบหน้ายังคงเรียบเฉย  หากวาจาที่ได้ยินซึมลึกลงไปมีฤทธิ์ราวกับน้ำกรด  จนตอนนี้หัวใจรู้สึกราวกับถูกแช่อยู่ในน้ำกรด  ปวดแสบจนยากทนทาน  ถูกกัดกร่อนทีละน้อยอย่างเลือดเย็น
 “ข้าไม่น่าหลงรักเขาเลย  ทำไมใจข้าถึงไม่หยุดรักเขาเสียที  ทั้งๆ...ทั้งๆที่ทรมานถึงเพียงนี้  ฮึก...” เสียงสะอึกสะอื้นทำให้นางไม่มีปัญญาพูดต่อได้  ดวงตาของหลันเซียงทอแววสมเพชตัวเอง  น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด  นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ระบายออกมา  และเป็นครั้งแรกที่มีคนยินยอมรับฟัง  น้ำตาจึงดูราวกับไม่มีวันเหือดแห้ง  เพราะมันสะสมมานานเหลือเกิน

ร่างบอบบางโงนเงนจนเหลียนอันสุ่ยตัดสินใจดึงตัวนางมาพิงซบกับตัวเอง  รู้สึกราวได้กลับไปมีน้องสาวอีกครั้ง  ...ถึงแม้ว่าน้องสาวจริงๆของเขาจะทระนงอย่างยิ่ง  จนเหลียนอันสุ่ยไม่เคยเห็นนางเสียใจมานานมากแล้วก็ตาม

หลันเซียงยึดบ่าอบอุ่นมั่นคงไว้แน่น  ราวกับยึดถือเป็นหลักพึ่งพิงกลางมรสุมแห่งความเศร้าโศก  ใบหน้างามซบลงกับบ่าของคนที่เมื่อครู่เกลียดชังหนักหนา  ร้องไห้ราวกับจะระบายความคับแค้นใจทั้งหมดออกมา  ร้องไห้ด้วยจิตใจที่แหลกสลาย
เหลียนอันสุ่ยรอให้เสียงสะอื้นซาลง  ให้ความเงียบเป็นสิ่งปลอบโยนนาง  ราวกับมีเวลาไม่หมดไม่สิ้นที่จะสิ้นเปลืองไปกับร่างบอบบางข้างกาย  นี่มิใช่ครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยเห็นคนที่ทุกข์ทรมานจากความรัก 

ความรักช่างเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดเหลือเกิน  มันสามารถสร้างทุกสิ่งขึ้นมาจากความไม่มีอะไรเลย  และก็สามารถทำลายสิ่งที่มันสร้างจนไม่เหลืออะไรเลยได้เช่นกัน...

พระมาตุลาแคว้นเหลียนไม่มีโอกาสได้รู้หรอกว่า  มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาอย่างปวดร้าว  เหลียนอันสุ่ยนั่งหันหลังให้กับสวนกว้าง  ส่วนหลันเซียงซบพิงอยู่ข้างกายเขา  เงาร่างสองร่างชิดใกล้กัน  ไม่ว่าคนที่ยืนอยู่ด้านนอกมองอย่างไร  ภาพที่ปรากฏก็มิอาจเปลี่ยนแปลงไป  ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าตัวเองมองไม่ผิด เพราะหนึ่งในนั้นเป็นเงาหลังที่เขาไม่มีวันลืมเลือนชั่วชีวิต

ฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งมาถึง  แม้ครั้งก่อนจะจากไปด้วยความไม่พอใจ  แต่ก็ทราบว่าคนที่ควรเอ่ยปากขอโทษชี้แจงก็คือตัวเอง  สุดท้ายจึงลดทิฐิตัดสินใจเป็นฝ่ายมาหา  เพียงลังเลที่จะก้าวเข้าไปในตัวตำหนักอยู่บ้าง  จึงเดินวนอยู่รอบนอก  ...และก็ได้เห็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกราวถูกแช่แข็งด้วยคำสาปหมื่นปี

ในสายตาของฉีเซี่ยงหยวนภาพที่ได้เห็นมิใช่หลันเซียง  แต่เป็นเหลียนอันสุ่ยกับสตรีอีกคน...คนที่เขาไม่มีวันแทนที่ได้ 
หึ  เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าใจของเหลียนอันสุ่ยไม่เคยมีเขา  ฉีเซี่ยงหยวนเกลียดความใจกว้างที่ไม่ค่อยนึกถึงตัวเองของเหลียนอันสุ่ย  ยิ่งเกลียดท่าทีสงบไม่เดือดร้อนที่เหลียนอันสุ่ยมีต่อหลันเซียงเพราะนั่นยิ่งตอกย้ำว่าเหลียนอันสุ่ยไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษใดๆต่อเขาเลย 

หลังนิ่งไม่ขยับอยู่เป็นนาน  เท้าก็ก้าวถอยออกมาช้าๆ  สายตาเหลือบมองไปที่ต้นท้อหนึ่งเดียวในสวนแห่งนี้  ต้นท้อเล็กๆที่รากยังไม่แข็งแรง  แต่กลับเชื่อมสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง เพราะมันคือความรักที่ตัดมิขาด
‘สุดท้ายในใจท่านก็ไม่เคยมีข้า...คนที่ท่านรักยังคงเป็น ‘นาง’ ’ เสียงอดีตพระชายารอง พระมารดาของฉีเซี่ยงหมิงดังแว่วอยู่ข้างหู 

สุดท้ายรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นเช่นเดียวกับอดีตพระชายารอง  เช่นเดียวกับขุนพลใหญ่แคว้นเหลียนอวี้เฉียน   พยายามไขว่คว้าในสิ่งที่ไม่มีวันได้มา...
---------------------
ดวงตาคู่สวยที่เต็มไปด้วยประกายน้ำตามองตามเงาหลังกว้างในอาภรณ์สีดำไป  เหลียนอันสุ่ยไม่เห็นฉีเซี่ยงหยวน  แต่หลันเซียงเห็น  เพราะศีรษะของนางซบอยู่กับไหล่ของพระมาตุลาแคว้นเหลียน  มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้มสมใจ...!?
---------------------
สุราจอกแล้วจอกเล่าถูกกรอกเข้าปากของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน  คล้ายพยายามจะกรอกตัวเองให้เมามาย  เมามายไปก็ดีจะได้ลืมไปเสียให้หมด  แต่ไม่ว่าสุราจะหมดไปกี่ป้าน  ภาพก็ยังคงไม่จางหาย  และใจของฉีเซี่ยงหยวนก็มิได้สงบลงเลย
เหลียนอันสุ่ยคงไม่ต้องการคำอธิบายจากเขาแล้ว  ...คิดๆดูแล้วจะอธิบายหรือไม่ผลลัพธ์ก็ไม่แตกต่างกัน  ในใจของเหลียนอันสุ่ยไม่เคยมีเขา  แล้วจะเจ็บปวดได้อย่างไร

ฉีเซี่ยงหยวนเหยียดยิ้มสมเพชตัวเองที่เอาแต่เป็นห่วงอีกฝ่าย  ราตรีที่เมืองอู๋เล่ยฝังลงในลมหายใจของเขา  แต่สำหรับเหลียนอันสุ่ยคงเป็นแค่การช่วยเหลือคนที่เจ็บปวดคนหนึ่ง  คนเดียวที่อีกฝ่ายยึดมั่นคือชายานามเหวินจี 

ฉีเซี่ยงหยวนพยายามจะไม่นึก  มิอาจยอมรับว่าหากเป็นคนอื่นเหลียนอันสุ่ยก็จะปฏิบัติดุจเดียวกัน  แต่ก็ไม่สามารถหนีไปจากภาพที่ผุดขึ้นมาในหัว ภาพเหลียนอันสุ่ยปลอบโยนสตรีที่เป็นเครื่องบรรณาการนามจือหลัน  ภาพเหลียนอันสุ่ยปลอบโยนหลันเซียง  เหตุผลที่เหลียนอันสุ่ยอยู่ข้างเขาในคืนนั้นเป็นเพียงเพราะว่าเหลียนอันสุ่ยคือเหลียนอันสุ่ย...คนที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันเดินหนีไปจากผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ

ก่อนจากมาฉีเซี่ยงหยวนยังเห็นเด็กรับใช้ของพระภาดาหานญื่อหลัว  เด็กรับใช้ที่เหลียนอันสุ่ยจะส่งตัวคืนไปก็ได้  แต่ก็มิได้ทำ  นั่นยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่าเหลียนอันสุ่ยไม่เคยเต็มใจเป็นของเขา 
...ก็ได้  หากท่านไม่ต้องการให้ข้าแตะต้องท่านถึงขนาดนั้น  หลังจากนี้ข้าก็จะไม่แตะต้องท่านอีก

ใต้คืนมืดมิดมีแสงจันทร์ส่องลงมาเพียงบางเบา  จันทร์เสี้ยวรูปเคียวเรียวดุจคิ้วโฉมสะคราญ  ฉีเซี่ยงหยวนนั่งดื่มสุราราวกับอยู่ตัวคนเดียว  แท้จริงข้างร่างสูงใหญ่ยังมีคนอีกผู้หนึ่ง  คนที่คอยรินสุราเติมลงไปในจอกที่ว่างเปล่า  คนผู้นี้เป็นสตรีโฉมสะคราญ  หากหลันเซียงคือสตรีที่มีเสน่ห์จับใจ  สตรีผู้นี้ก็คือความฝันที่จะตราตรึงไปชั่วชีวิต  ความงดงามของนางคือความใฝ่ฝันของเหล่าสตรีทั้งหลาย  ตัวตนของนางเป็นตัวแทนของภาพฝันที่เหล่าบุรุษคะนึงหา  บุปผชาติยามค่ำคืนถึงกับถูกความงามนี้ข่มจนหมองประกาย

นางคือเสิ่นชิงอี  สตรีที่งามดุจบุปผาต้องน้ำค้าง

ฉีเซี่ยงหยวนมิได้เอ่ยวาจา  นางก็มิได้เอ่ยวาจา  เพียงนั่งเงียบๆเป็นเพื่อนเขา
สุดท้ายหลังกรอกสุราลงไปอีกจอก  ฉีเซี่ยงหยวนก็หันมามองใบหน้าที่ผุดผาดสะคราญตา  พูดคล้ายกับพึมพำว่า
“ชิงอี  ทำไมคนที่ข้ารักถึงไม่เป็นเจ้านะ” ทำไมคนที่นุ่มนวลอ่อนหวานจึงไม่รัก  เอาแต่คิดถึงคนที่ทั้งใจแข็ง  ทั้งเอาแต่ผลักไส  แถมหัวใจยังเป็นของผู้อื่นอีกด้วย
เสิ่นชิงอียิ้มบางๆ  รอยยิ้มของนางงามยิ่งกว่าบุปผาแย้มกลีบใต้แสงจันทร์
“เพราะว่าข้ามิใช่เขา”
ได้ฟังคำของนางฉีเซี่ยงหยวนก็นิ่งไป ยอมรับว่าอีกฝ่ายพูดถูก  สำหรับฉีเซี่ยงหยวนต่อให้คนทั้งคู่จะอ่อนโยนนุ่มนวลดุจเดียวกัน  แต่ไม่เหมือนกันโดยเด็ดขาด  และแทนที่กันไม่ได้ด้วย  เนื่องเพราะในใจของฉีเซี่ยงหยวนไม่ว่าใครก็มิอาจแทนที่เหลียนอันสุ่ย  อย่าว่าแต่โดยเนื้อแท้แล้วเสิ่นชิงอีมิได้คล้ายคลึงกับเหลียนอันสุ่ยเลย

นอกจากความเจ็บปวดระคนอยู่กับความสิ้นหวัง  ฉีเซี่ยงหยวนยังมีความกังวล  เพราะเหลียนอันสุ่ย...ไม่รู้จักหลันเซียง
ประกายตาของโฉมสะคราญมีร่องรอยของความประหลาดใจอยู่บ้าง  ฉีเซี่ยงหยวนที่นางรู้จักไม่เคยศรัทธาในเรื่องของความรักมาก่อน  นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เสิ่นชิงอีเห็นบุรุษผู้นี้เดือดร้อนเป็นกังวลเกี่ยวกับความรัก  จนนางพลันอยากทราบขึ้นมาว่าคนเช่นใดกันหนอ  จึงสามารถทำให้บุรุษที่เฉียบขาดปราดเปรื่องเดือดร้อนเป็นกังวลได้ถึงเพียงนี้

อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนเปลี่ยนไปมากมายนับแต่กลับมาจากแคว้นเหลียน  คล้ายตัวตนของใครบางคน...ได้เปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างในตัวเขา
เสิ่นชิงอีเงยหน้ามองจันทร์เสี้ยว  แสงจันทร์ไม่เปลี่ยนไปแต่ใจคนกลับเปลี่ยนแปลง  หรือนี่คืออำนาจของความรัก ?
---------------------
หลันเซียงมองของว่างบนโต๊ะกับชาที่ยังอุ่นอยู่ด้วยสายตาสับสนไม่เข้าใจ  ของเหล่านี้ล้วนเป็นพระมาตุลาสั่งให้หญิงรับใช้จัดมาเพื่อนาง  ตัวเขายังปรึกษาเรื่องการเรียนกับอาจารย์ของบุตรชายไม่เสร็จ  จึงให้นางรอคอยอยู่ด้านนอก  หลันเซียงรู้ว่าหัวหน้าหญิงรับใช้ตำหนักนี้ไม่ชอบนางตั้งแต่การพบหน้าครั้งแรกที่หลันเซียงเสียมารยาทต่อเหลียนอันสุ่ย  แต่ก็ยังดูแลรับรองด้วยความละเอียดรอบคอบและมารยาทอันดี  หลันเซียงมาที่นี่บ่อยขึ้นเรื่อยๆ  พอๆกับที่เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนไม่แวะเวียนมาเลย  บ่อยจนบางครั้งนางเริ่มไม่เข้าใจตัวเอง

ตั้งแต่แรกมาจุดประสงค์ของนางมีเพียงหนึ่งเดียว  คือตอบแทนคนสองคนที่ทำให้นางเจ็บปวดด้วยความปวดร้าวดุจเดียวกัน !
นางรักฉีเซี่ยงหยวน  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับทรยศความรู้สึกของนางด้วยการไปหาคนอื่น  นางจึงจงใจทำลายชื่อเสียงของเขาด้วยการมารังควานหาเรื่องที่นี่  หากนางกลับได้พบว่าเจ้าของตำหนักแห่งนี้มีความหมายต่อชายที่นางทั้งรักทั้งแค้นยิ่ง    ถึงพระมาตุลาจะขัดขวางการตัดสินใจของเขา  ฉีเซี่ยงหยวนกลับยังให้เกียรติอีกฝ่าย  บุรุษที่ทำอะไรตามอำเภอใจตลอดมาถึงกับยอมรับฟังคำของผู้อื่น?  นางแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง  ไม่เคยมีสตรีคนไหนเคยมีสิทธิ์ถึงขั้นนั้น  ต่อให้เป็นชั่วขณะที่ฉีเซี่ยงหยวนโปรดปรานพวกนางมากก็ตาม  ขนาดเสิ่นชิงอี ฉีเซี่ยงหยวนยังมิได้ฟังทุกถ้อยความหากเขามิได้เห็นด้วย  ...บางทีอาจเป็นเพราะเหลียนอันสุ่ยมิใช่สตรี 

ความคิดนั้นทำให้หลันเซียงยิ่งเกลียดชังตัวประกันผู้สูงศักดิ์จากแคว้นเหลียนผู้นี้  นางทราบดีว่าถ้าทำลายเหลียนอันสุ่ย  ฉีเซี่ยงหยวนต้องเจ็บปวดสุดทนทาน  ทุกคำพูดที่นางสนทนากับเหลียนอันสุ่ยจึงเป็นความจงใจมาโดยตลอด

นางต้องการเห็นเหลียนอันสุ่ยเจ็บปวด  ต้องการเห็นบุรุษที่แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างของนางไปต้องทุกข์ทรมาน  แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งทำยิ่งสับสนไม่เข้าใจ  ไม่ว่าวาจาแหลมคมปานใด  เหลียนอันสุ่ยก็มิได้ทุรนทุราย  สายตาของเขามีแต่ความสงบห่วงใย  และความสงบห่วงใยนั้นก็ย้อนกลับมาทำร้ายนางอย่างร้ายกาจ  นางไม่เข้าใจ  ที่แท้พระมาตุลาเป็นคนเช่นไรกัน  รู้สึกอย่างไรกับฉีเซี่ยงหยวนกันแน่  ยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดตัวเองยิ่งพูดยิ่งมิอาจควบคุมตัวเอง  การร้องไห้ที่เสแสร้งขึ้นมาไฉนกลับกลายเป็นสะอื้นอย่างหนักจนหยุดไม่ได้

นางเคยพยายามเอ่ยวาจาทำร้ายเหลียนอันสุ่ยอีก  ทำเป็นขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้เหลียนอันสุ่ยต้องผิดใจกับเป่ยชางอ๋อง  จนทำให้ฉีเซี่ยงหยวนไม่แวะมาตำหนักชุนเกออีกเลย  ยัดเยียดความผิดให้กับการที่นางรักฉีเซี่ยงหยวนมากเกินไป  เหลียนอันสุ่ยกลับตอบนางว่า
‘ไม่เป็นไรหรอก  ตอนนี้ท่านก็ได้รู้แล้ว  ว่าแท้จริงข้ามิได้ขวางทางท่านเลย  เพราะฉีเซี่ยงหยวนมิใช่คนที่จะหยุดอยู่ที่คนเพียงคนเดียวมาตั้งแต่แรก  และสาเหตุที่เขาไม่มาที่นี่ก็มิได้เป็นเพราะท่าน...อย่าได้โทษตัวเอง’ 

นางอยากจะหัวร่อ  แต่หัวร่อไม่ออก  ในใจรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ  ทำไมสีหน้าของเหลียนอันสุ่ยถึงได้สงบนัก  เขาควรจะเดือดร้อนยิ่งกว่านางอีกเพราะตอนนี้ต้าอ๋องกำลังจะเลิกโปรดปรานเขาแล้ว  หรือแท้จริงเป็นนางเองที่เดินแผนผิดมาตั้งแต่ต้น  เหลียนอันสุ่ยมิได้มีความรู้สึกใดๆต่อฉีเซี่ยงหยวนเลย ?

นางไม่เชื่อ  สัญชาตญาณของนางไม่เคยผิดพลาด  แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน !?

ที่หลันเซียงเกิดคำถามเหล่านี้เป็นเพราะนางไม่เข้าใจในตัวเหลียนอันสุ่ย  เหลียนอันสุ่ยอาจจะเจ็บปวด  แต่เขามิใช่คนประเภทจะฟูมฟายทุรนทุรายโดยไม่มีประโยชน์  อย่าว่าแต่เหลียนอันสุ่ยทราบดีมาตั้งแต่ต้นว่าเรื่องเช่นนี้ซักวันก็ต้องเกิดขึ้น  บางทีเหลียนอันสุ่ยถึงกับเฝ้ารอให้มันเกิดขึ้น  แม้บางส่วนในจิตใจจะรู้สึกปวดร้าวว่างเปล่ามากก็ตาม

ในคราวที่เหล่าอดีตนางบำเรอคนอื่นๆของฉีเซี่ยงหยวนพากันมาคารวะขอบคุณเหลียนอันสุ่ยที่ออกหน้าช่วยเหลือหลันเซียงหนึ่งในพวกนางไว้  สายตาของเหลียนอันสุ่ยแค่หม่นหมองลง  มองบุปผางามเหล่านั้น  ในเสียงทอดถอนใจคล้ายกับมีความปวดร้าว  แต่หลันเซียงกลับมิแน่ใจเสียแล้ว  ว่าที่แท้เหลียนอันสุ่ยปวดร้าวเรื่องอะไร  เพราะเขายังคงดูสงบลึกซึ้งอยู่เช่นเดิม  ลึกซึ้งจนนางอ่านไม่ออก

หลันเซียงพบว่าทุกครั้งที่นางพูดคุยกับพระมาตุลา  หรือแม้แค่อยู่ข้างๆ  นางก็จะรู้สึกว่าตัวเองสกปรกโสมมจนน่ารังเกียจ  บางทีอาจเป็นเพราะประกายของเหลียนอันสุ่ยสะอาดเกินไป  สะอาดจนน่าชิงชัง  เพียงแค่ตัวตนของเขาก็สามารถทำร้ายนางได้อย่าลึกล้ำโดยไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย

สวรรค์!  เหตุใดนางจึงมักพาตัวเองมาที่นี่  พามารับความรู้สึกอัปยศต่ำต้อย  พามาพบว่าเหลียนอันสุ่ยจัดการกับเรื่องไม่ได้รับความโปรดปรานจากฉีเซี่ยงหยวนได้ดีกว่านางเป็นร้อยเท่า  ในตัวนางคล้ายกับมีบางอย่างที่ขัดแย้งกันเอง  บางอย่างที่นางไม่ต้องการจะไปเข้าใจ

...หลันเซียงไม่ต้องการจะยอมรับว่านอกจากความเจ็บปวด  สถานที่แห่งนี้ยังมอบความสงบที่อบอุ่นให้กับนางด้วย



--------------------
หมายเหตุ: ชื่อของหลันเซียง  หลัน แปลว่าดอกกล้วยไม้   ส่วน เซียง แปลว่ากลิ่นหอม
เป็นที่มาของชื่อตอนนี้นะคะ

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 28
«ตอบ #79 เมื่อ23-08-2014 12:54:35 »


บทที่ 28 พันธนาการบ่วงที่สอง

สายลมโชยไล้ผิวกายอย่างเกียจคร้าน  ชานด้านนอกที่เคยทำร้ายให้ฉีเซี่ยงหยวนเจ็บปวดขณะนี้มีคนจับจองอีกแล้ว  คนสองคน  เครื่องดนตรีสองชิ้น  เลาขลุ่ยอยู่ในมือพระมาตุลา  ด้านหน้าของหานญื่อหลัวมีพิณเจ็ดสาย 

นอกจากหลันเซียง  อาคันตุกะที่แวะเวียนมาบ่อยกว่าเดิมตั้งแต่ฉีเซี่ยงหยวนหายหน้าหายตาไปก็คือพระภาดาหานญื่อหลัว
ทำนองเพลงเพิ่งจางไป  จู่ๆเหลียนอันสุ่ยก็ถามขึ้นว่า
“ท่านรู้จักสตรีนามเสิ่นชิงอีรึเปล่า ?”

นัยน์ตาสีฟ้าเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำถาม  เงยหน้าขึ้นมามองพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ถามว่า
“ท่านรู้จักนาง ? ...อ้อ  คงเป็นแม่นางหลันเซียงเอ่ยถึงนางต่อท่านสินะ...” กล่าวเพียงแค่นั้นก็หยุดไปพักหนึ่ง  คิ้วขมวดมุ่นลง
“ท่านไม่ควรเชื่อถือหลันเซียงมากจนเกินไปนัก  ผู้หญิงคนนี้มีบางอย่าง...” ที่ไม่น่าไว้วางใจ
ก่อนหน้านี้หานญื่อหลัวรู้จักหลันเซียงเพียงผิวเผิน  หลังจากได้ยลโฉมที่งดงามดุจตะวันรอนครั้งแรกก็พบว่าหลันเซียงหลงรักฉีเซี่ยงหยวนจนถอนตัวไม่ขึ้นไปแล้ว  หานญื่อหลัวเป็นคนประเภทที่ไม่ชมชอบพยายามในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้  ยิ่งไม่ชมชอบฝืนใจใคร  จึงมิได้ยุ่งเกี่ยวกับสตรีนางนี้มากนัก  แต่หลังจากหลันเซียงแวะเวียนมาพบเหลียนอันสุ่ยบ่อยครั้ง  หานญื่อหลัวก็เริ่มสะดุดใจในพฤติกรรมของนาง

นางดูเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง  แต่บางการกระทำกลับขัดกับตัวตนที่แท้จริงที่หานญื่อหลัวรู้สึกได้

ไม่เพียงเท่านั้น  ข่าวที่เหลียนอันสุ่ยมักเชิญหลันเซียงอดีตนางบำเรอของเป่ยชางอ๋องมาพบกำลังแพร่กระจายออกไป  ยิ่งหลังจากบรรดานางบำเรอทั้งหมดของฉีเซี่ยงหยวนยกขบวนกันมาขอบคุณถึงตำหนักชุนเกอโดยอ้างบุญคุณที่พระมาตุลาช่วยเหลือหลันเซียง  ข่าวก็ยิ่งลือกันหนักขึ้น  ดีที่ว่ามีหานญื่อหลัวกับฉีเซี่ยงหยวนคอยควบคุมอยู่เบื้องหลังโดยลับๆ จึงยังไม่ขยายวงกว้าง 
ข่าวนี้ไม่เหมาะสมและไม่เป็นผลดีต่อพระมาตุลาแคว้นเหลียนเลย  หากมองในระยะยาวยังมีผลกระทบต่อเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนด้วย !  ไม่ว่าจะในทางไหนการคงอยู่ของหลันเซียงก็เป็นอันตรายทั้งสิ้น

เหลียนอันสุ่ยได้ฟังคำของหานญื่อหลัวแล้วกลับกล่าวช้าๆว่า
“นางเป็นแค่ผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น  ...บางครั้งเมื่อคนเราเจ็บปวดก็ชมชอบทำร้ายผู้อื่นเพียงเพื่อจะระบายความเจ็บปวดนั้นออกไปบ้าง”
หานญื่อหลัวเบิกตากว้าง  อึ้งไปพักหนึ่ง  แล้วจึงหัวเราะออกมาเบาๆ
“...ดูเหมือนว่า...ข้าจะไม่จำเป็นต้องเตือนท่านสินะ”
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณท่านสำหรับความหวังดี” บางอย่างซึมซาบลงไปในใจ  วังหลวงแคว้นเป่ยชางมิได้ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่เคยเป็น
หานญื่อหลัวยังมีข้อสงสัย  เอ่ยถาม
“ท่านระแวงนางตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ข้ามิได้ระแวงนาง  ข้าแค่รู้ว่าคนที่นางรักคือฉีเซี่ยงหยวน  นางจึงไม่ควรมาวนเวียนอยู่ข้างกายข้า”  ดวงตาสงบนุ่มนวลมีแววลึกซึ้ง
 “แล้ว...ท่านจะทำอย่างไรกับกับนางต่อไป”
“ข้าไม่คิดจะทำอะไรกับนาง  คำพูดบางประโยคอาจเป็นความจงใจ  แต่น้ำตาของนางเป็นของจริง  การที่นางตั้งใจทำร้ายผู้อื่นมากเพียงใด  ก็ยิ่งสะท้อนว่าในใจของนางเจ็บปวดมากเท่านั้น” และนั่นก็ยิ่งแสดงว่าหลันเซียงรักฉีเซี่ยงหยวนอย่างล้ำลึก...ดวงตาของพระมาตุลาแคว้นเหลียนหม่นแสงลง

ส่วนดวงตาสีฟ้ามีแววครุ่นคิด
หลายครั้งที่การกระทำของคนเราก็เปิดโปงตัวเราเอง  เพียงแต่ในหล้านี้อาจมีพระมาตุลาแคว้นเหลียนคนเดียวที่ถึงแม้จะเป็นฝ่ายถูกรังควานหาเรื่องก็ยังสามารถมองเรื่องราวได้อย่างมีสติถึงเพียงนี้  เป็นเพราะไม่มีโทสะบดบังอย่างนั้นหรือ  หรือว่าเพราะเหลียนอันสุ่ยเป็นคนใจกว้างอย่างยิ่ง หรือว่าเพราะ...เรื่องราวเหล่านี้เหลียนอันสุ่ยมิได้รู้สึกว่าตัวเองเกี่ยวข้องด้วย ?

เมื่อเห็นแววตาที่หม่นแสงลงของอีกฝ่าย  หานญื่อหลัวก็พบว่าไม่ใช่  หลันเซียงทำสำเร็จ  ใจของบุรุษที่อยู่ตรงหน้าเขาทุกข์ทรมานยิ่ง  แต่หานญื่อหลัวกลับไม่กล้าตัดสินไปเองว่าอีกฝ่ายทุกข์ทรมานเรื่องอะไร  ยอมรับว่าบุรุษที่มีบุคลิกดุจสายน้ำผู้นี้มีความคิดลึกซึ้งซับซ้อนจนยากคาดเดา  ที่สำคัญคือสิ่งที่เหลียนอันสุ่ยคำนึงถึง  มักเป็นสิ่งที่ผู้อื่นนึกไม่ถึง

หลังความเงียบอ้อยอิ่งอยู่นาน  หานญื่อหลัวก็เอ่ยขึ้น
“สรุปคือท่านต้องการพบเสิ่นชิงอี ?”
เหลียนอันสุ่ยสั่นศีรษะ
“ข้าเพียงต้องการทราบว่านางเป็นใคร” การฟังความข้างเดียวมิใช่วิสัยของเหลียนอันสุ่ย

“เสิ่นชิงอีเป็นคนฝึกนางรำให้กับกรมพิธีการ  ถือเป็นหัวหน้าของฝ่ายร้องรำ  รับผิดชอบจัดชุดการแสดงในพิธีบวงสรวงและงานเฉลิมฉลองต่างๆ  นับว่าเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามอย่างยิ่งจริงๆ  มีคนมากมายปรารถนาในบุปผางาม  แต่ติดกริ่งเกรงอำนาจยิ่งใหญ่ที่หนุนหลังนางอยู่” ขณะกล่าวดวงตาสีฟ้าเป็นประกายดุจกำลังระลึกถึงรูปโฉมอันน่าประทับใจของผู้ถูกเอ่ยนาม 
“อำนาจที่หนุนหลังนาง ?” เหลียนอันสุ่ยกังขา
หานญื่อหลัวตอบว่า
“เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน”...!
---------------------
ไอน้ำในอ่างคล้ายหมอกเลือนรางที่คลี่คลุมความลับอันมิอาจเอื้อนเอ่ย  บดบังไมตรีและความผูกพัน  ซุกซ่อนความทรงจำและความโหยหา  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยจับจ้องกลุ่มควันสีขาวที่อบอุ่นแต่มิอาจจับต้อง  ดุจเดียวกับใจของท่าน...ที่แท้มีข้าหรือไม่หนอ 
เราใช่จะจากกันในลักษณะเช่นนี้หรือ  ค่อยๆเหินห่าง  มิพบหน้า  มิยินเสียง  มุมปากคล้ายปรากฏรอยยิ้มบางๆขึ้นมาวูบหนึ่ง  เสียงหายใจหอบถี่คล้ายกับมีความรวดร้าว  ปลายนิ้วยึดกุมขอบอ่าง  หางคิ้วปรากฏเค้าทุกข์ทรมาน  ความทรงจำที่ไล่ไม่ไปวนเวียนรุมเร้า  เหตุใดต้องคิดถึง  เหตุใดมิอาจลืมเลือน ?

ใบหน้ายิ่งมายิ่งเผือดขาว  ดวงตาทอแววเหลือเชื่อ  ตื่นตระหนกเมื่อพบว่าตัวเองเกิดอารมณ์ปรารถนา  ถ้อยความที่ก่อนหน้านี้ฟังไม่เข้าใจพลันกระจ่างขึ้นมา
‘...ท่านบอกว่า‘เขาจะเปลี่ยนข้า’ ท่านหมายถึงอะไร ?’
‘...หมายความว่าเขาจะเปลี่ยนให้ท่านไม่มีปัญญาไปจากเขา’
ไม่มีปัญญาไปจากเขา  ไม่มีปัญญา...  ร่างสูงโปร่งสะท้านเฮือก  ในที่สุดก็เข้าใจว่าฉีเซี่ยงหยวนกำลังทำอะไร 
เหลียนอันสุ่ยพยายามดิ้นรนที่จะไม่รัก  แต่กลับลืมนึกถึงบ่วงพันธนาการที่เรียกว่า ความใคร่
‘...หลังจากนี้อย่าขึ้นเตียงกับเขา...’
คำเตือนของหานญื่อหลัวสายไปเสียแล้ว  เพราะกระทั่งหานญื่อหลัวก็คิดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่เกิดขึ้นจะสานต่อกันมานานจนเกินแก้ไข  คนมิได้อยู่ร่วม  แต่รสชาติที่เคยถูกแตะต้องกลับเป็นพิษร้าย

มิน่าเล่าฉีเซี่ยงหยวนจึงไม่เคยอนุญาตให้ปฏิเสธสัมผัส  เพราะฉีเซี่ยงหยวนรู้ดีว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่แน่นอนที่สุดที่จะมีอำนาจเหนือเขา  มีอำนาจเหนือความคิด  มีอำนาจเหนือร่างกาย  บุรุษที่แท้จริงแล้วมิใช่คนมักมากถึงได้เรียกร้องเอาจากเขาอยู่เสมอ  เหลียนอันสุ่ยครางออกมาอย่างสิ้นหวัง 

ทำไมจึงไม่เฉลียวใจเลย  ทั้งๆที่ทุกประการชัดเจนตั้งแต่คืนที่ความโหยหาบดบังทุกสิ่ง  ชัดเจนว่าร่างกายของเขา...ถูกปรนเปรอจนกำลังจะขาดอีกฝ่ายไม่ได้ !
เขาช่างโง่เขลา  อันที่จริงควรจะเฉลียวใจนานแล้ว เพราะมันไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย  ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอดีตภรรยาเป็นความอ่อนหวานทะนุถนอม  แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบุรุษผู้นั้นกลับเหมือนเปลวไฟที่กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง  ทำลายความยับยั้งชั่งใจ  ทำลายความรู้สึกผิดชอบชั่วดี  เหลือแต่ความโหยหาปรารถนาที่ตะกละตะกลาม  คล้ายกับยามอมเมาสติให้ปรารถนามากขึ้น  มากขึ้น โดยไม่รู้จักพอ 

เหลียนอันสุ่ยกระทั่งนึกก็นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะตกเป็นทาสของอารมณ์พิศวาส  ความสามารถในการควบคุมตัวเองที่มีตลอดมาสลายหายไปเมื่อต้องขึ้นเตียงกับบุรุษผู้นั้น  สวรรค์  นี่มันฝีมือใดกัน  คนผู้หนึ่งไม่สมควรจะมีอำนาจเช่นนี้ !

ตอนแรกเขาเพียงเข้าใจว่าความจัดเจนของฉีเซี่ยงหยวนเป็นเพียงอุปสรรคที่ทำให้ยากปฏิเสธ  แต่กลับลืมนึกไปว่าความใคร่ก็ถูกจัดไว้เช่นเดียวกับความโลภ  ในเมื่อผู้คนสามารถตกเป็นทาสของทรัพย์สินเงินทอง  เหตุใดจึงมิอาจตกเป็นทาสของความปรารถนาทางกาย ?
---------------------
“ออกไป ! ” เสียงตวาดไล่หลัง  ร่างบอบบางในอาภรณ์ไม่เรียบร้อยสองนางวิ่งออกมาจากห้องส่วนตัวของเป่ยชางอ๋องอย่างลนลาน
หลิวฉางเฟยเหลือบตามองโฉมงามหยาดเยิ้มที่เข้าไปไม่ทันไรก็ต้องล่าถอยออกมา  พลางสาวเท้าก้าวสวนเข้าไปในห้อง 
บนเตียงหลังใหญ่ดูยุ่งเหยิง  ส่วนเจ้าของห้องกลับย้ายตัวเองมาอยู่บนเก้าอี้  มือมีจอกสุรา  ปากพึมพำว่า
“ไม่เหมือนกัน  ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน...”
ดวงตาทรงอำนาจมีประกายเจ็บปวดโหยหา  แม้พยายามหาคนอื่นมาทดแทน  ยังคงมิอาจแทนกันได้  เพราะคนที่เขาต้องการมีเพียงคนเดียว
สุราแม้อาจมอมเมาผู้คน  แต่ฤทธิ์ของมันเทียบไม่ได้กับความรัก  คนเมาสุราไม่พ้นชั่ววันก็สร่าง  แต่หากสิ่งที่มอมเมาท่านเป็นความรัก...บางครั้งกระทั่งเวลาชั่วชีวิตก็อาจไม่เพียงพอ
---------------------
จันทราโดดเดี่ยวกระจ่างฟ้า  เมฆที่ลอยสูงเคียงคู่กันมาพลันผละห่าง  ไอเย็นเยือกทิ้งตัวลงสัมผัสเงาไม้ที่ปราศจากใบ

เหลียนอันสุ่ยแนบฝ่ามือกับใบหน้าที่หลับสนิทของบุตรชาย  ตั้งแต่ความสัมพันธ์อันผิดบาปเริ่มต้นขึ้น  เหลียนอันสุ่ยก็มิอาจมองหน้าเด็กคนนี้ได้อย่างสนิทใจอีกเลย  ส่วนเหลียนจิ้งเต๋อก็สัมผัสได้ว่าบิดามีบางอย่างเปลี่ยนไป  ในสายตาที่มองสบมาจึงมักมีความคลางแคลงที่เจ้าตัวไม่กล้าเอ่ยถาม  เหลียนอันสุ่ยเองก็ไม่ต้องการจะตอบ  ไม่ต้องการสรรหาคำโกหกมาหลอกลวงบุตรชาย  จึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการพบหน้า  เพียงมักลอบมองดูจากที่ไกลๆ  มักถามไถ่เรื่องราวจากปากผู้อื่น  และมักมาเยือนในยามที่เหลียนจิ้งเต๋อหลับไปแล้ว  ดั่งเช่นวันนี้

หากปลายนิ้วที่ไล้ไปตามผิวแก้มอ่อนเยาว์กลับสั่นระริก
เหลียนอันสุ่ยมองมือที่สั่นระริกของตัวเองอย่างซึมเซา  ยอมรับว่าครั้งนี้ตัวเองหวาดกลัวจนต้องใช้บุตรชายเป็นที่ยึดเหนี่ยว  อาการนอนไม่หลับยิ่งมาก็ยิ่งรุนแรง  ทั้งไม่ต้องการกลับไปหาเตียงที่เต็มไปด้วยความทรงจำหลังนั้น

น่าเสียดายที่อาการของเขา...กลับสาหัสจนเกินเยียวยา  ที่ๆเคยทำให้สงบใจได้ตลอดมามิอาจช่วยเหลือได้อีกแล้ว  กระทั่งอยู่ต่อหน้าบุตรชาย  อยู่ต่อหน้าสายเลือดอีกครึ่งหนึ่งของเหวินจี  ใจของเขายังคงคิดถึงบุรุษที่ทรงศักดิ์สูงสุดในแคว้นเป่ยชาง  ร่างกายยังคงปรารถนาอีกฝ่าย

 มันเป็นความผิดพลาด  ข้าไม่ควรดื่มน้ำชาถ้วยนั้นของเฉินเสีย  ยิ่งไม่ควรปล่อยให้คนผู้นั้นวนเวียนอยู่ข้างกายทั้งๆที่สังหรณ์แต่แรกว่าเขาไม่เหมือนอวี้เฉียน

ข้าคุ้นชินกับการมีผู้คนอยู่ข้างกายโดยพวกเขาเหล่านั้นมิได้สัมผัสลงไปถึงหัวใจข้า  ข้าเคยคุ้นชินกับความโดดเดี่ยวอ้างว้าง  แต่บัดนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว  เพราะท่านทำให้ข้าเปลี่ยนไป  ความโดดเดี่ยวอ้างว้างกลายเป็นสิ่งที่ยากจะทนทานรับไหว

ในตอนแรกข้าเข้าใจว่าตัวเองสามารถแบ่งแยกความรู้สึกออกจากกัน  ตอนกลางคืนชดใช้ให้กับท่านตามข้อแลกเปลี่ยน  ส่วนในยามกลางวันก็กลับมาเป็นตัวข้า  แต่ข้าผิดพลาดแล้ว  จิตใจของคนเราแท้จริงไม่สามารถแบ่งแยกได้มาก่อน

ท่านชอบพาตัวเองมาอยู่รอบกายข้า  ส่วนข้าก็ไม่มีอำนาจไล่ท่านไป  และลึกๆแล้วใจก็มิได้อยากไล่เลย  เพราะข้าหวังอยู่ตลอดมาว่าความสัมพันธ์ของเราจะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นมิตรสหาย  วันเวลาสิบกว่าปีในราชสำนักแคว้นเหลียน เพิ่งจะมีท่านเป็นคนแรกที่ข้าคิดว่าเราจะเป็น ‘เพื่อน’ กันได้จริงๆ  แต่ข้าก็ผิดพลาดแล้ว  ตั้งแต่ต้นมาสวรรค์ก็มิได้อนุญาตให้เราเป็นเพื่อนกันและท่านก็มิได้มองข้าเป็นเพื่อนเลย

ช่วงแรกข้าแม้ยังระมัดระวังท่านอยู่มาก  แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับไว้วางใจท่านโดยไม่รู้ตัว  และเมื่อท่านเอ่ยถึงความไว้วางใจในกระโจมหลังนั้น  ความระมัดระวังที่ข้าเคยมีก็ไม่คงอยู่อีกต่อไป  นี่ก็เป็นความผิดพลาด  และยิ่งผิดพลาดโดยมิอาจแก้ไขในคืนก่อนศึกสงครามที่เมืองอู๋เล่ย  เพราะหลังจากคืนนั้นข้าก็สัมผัสได้ว่าสายตาที่ท่านมองข้าได้เปลี่ยนไปแล้ว

ตัวข้ามิได้ต่างจากหลันเซียงเลย  นางรู้ตัวเมื่อสาย ส่วนข้าแม้รู้ดีอยู่แล้วว่าเราห่างกันแค่ไหน  แต่คำว่า ‘รู้’ กับ ‘รู้ซึ้ง’ นั้นแตกต่าง   คนเราจะ ‘รู้ซึ้ง’ ได้ก็ต่อเมื่อได้พบเจอสัมผัสด้วยตัวเอง  เมื่อมาถึงแคว้นเป่ยชาง  เมื่อท่านเอาชนะองค์ชายรอง  ข้าถึงเพิ่งรับทราบอย่างแท้จริงว่าระยะห่างระหว่างเรามากมายจนไม่อาจถมเต็ม !

ที่แคว้นเหลียนท่านเป็นองค์ชายสี่  ข้าเป็นพระมาตุลาสิ้นแคว้น  แต่ไม่ว่าจะอย่างไรท่านยังคงให้เกียรติข้าอยู่มากและปฏิบัติดุจเราเท่าเทียมกัน  หากตอนนี้ท่านคือเป่ยชางอ๋อง  แผ่นดินเป็นของท่าน  แคว้นเหลียนเป็นของท่าน  อดีตเชื้อพระวงศ์เช่นข้าก็เป็นเพียงของชิ้นหนึ่งที่เป็นกรรมสิทธ์ของท่านโดยชอบธรรม

ทำไมท่านจะต้องเอาพันธนาการที่เรียกว่าความใคร่มาผูกซ้ำไว้อีก  ทั้งๆที่เพียงแค่พันธนาการที่เรียกว่าอำนาจข้าก็มิอาจดิ้นหลุดแล้ว...?
---------------------
เท้าของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนกำลังจะเหยียบออกไปนอกห้อง  แต่สุดท้ายกลับเปลี่ยนใจชักกลับ  เดินย้อนมาที่โต๊ะทำงานซึ่งจัดวางม้วนฎีกาสูงท่วมศีรษะ

หลิวฉางเฟย คนสนิทที่กลั้นหายใจด้วยความเขม็งตึงเครียดค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ  ไม่ทราบเป็นความเสียดายหรือความโล่งอก
ตั้งแต่ขุนนางผู้สูงวัยจางจื่อหยูได้ข่างพฤติกรรมที่กลับมา ‘เข้ารูปเข้ารอย’ ของต้าอ๋องก็มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น  แอบกระซิบให้หลิวฉางเฟยช่วยจับตามองเอาไว้ให้ดีๆ  แต่ตัวหลิวฉางเฟยเองเมื่อเห็นพฤติกรรมเมื่อครู่วนซ้ำถึงรอบที่แปดก็พบว่าตัวเองภาวนาให้นายเหนือหัวตัดสินใจก้าวๆออกไปซะ  ความทุกข์ทรมานที่ต้องทนดูพฤติกรรมที่วนเวียนซ้ำไปมาด้วยจิตใจอันตึงเครียดจะได้จบๆไปเสียที!

คนภายนอกเพียงเห็นว่าต้าอ๋องโหมงานหนัก  ขยันจัดประชุมขุนนาง  แล้วก็ไม่เห็นอะไรอีก  แต่คนสนิทเช่นหลิวฉางเฟยกลับพบว่าฉีเซี่ยงหยวนดื่มสุราบ่อยอย่างยิ่ง  ในรอบสองอาทิตย์นี้ต้าอ๋องหลับไปทั้งๆที่เมามายถึงสี่ครั้งด้วยกัน  คนที่ดื่มสุราไม่เมามายถึงกับเมามายไปสี่ครั้ง !  ปริมาณที่ดื่มลงไปน่ากลัวมากพอจะอาบได้

ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปขณะทำงาน  ไม่ว่าจะฟังรายงานหรืออ่านฎีกาล้วนจดจ่อจนผิดปรกติ  ราวกับเกรงว่าถ้าตัวเองเสียสมาธิเมื่อใดจะต้องนึกถึงสิ่งที่ไม่ต้องการจะนึก  นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่อารมณ์เสียถี่ขึ้น  ในสองอาทิตย์นี้ถ้าหลิวฉางเฟยทัดทานไว้ไม่ทัน  ห้าครอบครัวจะต้องสูญเสียหัวที่วางอยู่บนบ่าแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนแม้มีมุมที่โหดร้าย  แต่มิใช่คนที่เหี้ยมโหดถึงขนาดนี้
หลิวฉางเฟยรู้แน่แก่ใจว่าคนเดียวที่สามารถทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้คือเชื้อพระวงศ์ต่างแคว้นผู้นั้น  แต่ก็นั่นแหละ...สายสัมพันธ์ต้องห้าม  กำแพงที่สูงเทียมฟ้า  จะคงอยู่หรือเลิกราล้วนเจ็บปวดมิต่างกัน... 


==========
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์ 
ไม่อยากจะบอกว่าทุกครั้งที่เห็นคนแนะนำนิยายเรื่องนี้ในหน้าแนะนำนิยายเป็นอะไรที่ปลื้มปริ่มมาก :hao5:
ขอบคุณที่รักนิยายเรื่องนี้นะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 28
« ตอบ #79 เมื่อ: 23-08-2014 12:54:35 »





ออฟไลน์ sosi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 28
«ตอบ #80 เมื่อ23-08-2014 22:20:10 »

 :katai2-1:
อ่านแล้วซึ้งมากเลยพระปิตุลา เป็นคนดีมาก ๆ

ออฟไลน์ Alone Alone

  • ขอตายในอ้อมกอดฮยอกแจ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 28
«ตอบ #81 เมื่อ24-08-2014 13:00:25 »

ช่วยใส่วันที่ด้วยได้ไหมคะ จะได้รู้ว่าอัพแล้ว ><

ยิ่งอ่านยิ่งสงสารต้าอ๋อง ฮื้อ...

ออฟไลน์ pasallatel

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 28
«ตอบ #82 เมื่อ26-08-2014 18:20:19 »

สงสารเหลียนอันสุ่ยจัง แต่ก็ทั้งคู่แหละค่ะ
ดูน่าสงสารพอกันทั้งคู่เลย
ต่างคนตั้งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับตัวเอง
  :เฮ้อ: มันหน่วงงง.......จิตตตตต

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 28
«ตอบ #83 เมื่อ26-08-2014 18:28:43 »

เข้ามารอ ตอนต่อไป

รักต้าอ๋องรักเหลียนเหลียน :กอด1:

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 29
«ตอบ #84 เมื่อ27-08-2014 16:39:22 »


บทที่ 29 มิอาจขาดท่าน

แต่ละวันล่วงเลยผ่าน  แต่ละคืนยาวนานเหมือนเป็นปี  คนสองคนต่างนอนมิหลับ  ต่างคิดถึงคะนึงหา  ราวสวรรค์กำลังลองใจว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายทนทานรับมิได้ก่อน
 
ฉีเซี่ยงหยวนแม้คิดถึงอีกฝ่ายแทบตาย  แต่ก็เพียรเฝ้าบอกตัวเองให้รอ  อยากให้ผู้อื่นเป็นฝ่ายมาหา  นานวันเข้าความเจ็บปวดไม่ได้ดั่งใจกลับกลายเป็นทิฐิและความดึงดัน  เหตุใดจึงมีแต่เขาที่เอาแต่คิดถึงอีกฝ่ายมากมาย  ส่วนคนใจแข็งอย่างไรก็ใจแข็งอยู่อย่างนั้น  ให้มันรู้กันไปสิว่าเหลียนอันสุ่ยมิได้คิดถึงเขาเลย!

ฉีเซี่ยงหยวนทะเลาะกับทิฐิ  ส่วนเหลียนอันสุ่ยขัดแย้งกับกำแพงที่ตัวเองสร้างขึ้น  กำแพงที่เรียกว่าความไม่เหมาะสม  กำแพงที่เรียกว่าความจริง  รอบตัวเหลียนอันสุ่ยมีกำแพงอยู่หลายชั้น  และไม่ว่าจะกำแพงชั้นใดๆล้วนมิอนุญาตให้เขาคิดถึงฉีเซี่ยงหยวน

บางครั้งคนเราก็ชอบตั้งเงื่อนไขให้กับความรัก  โดยมิได้รู้เลยว่าคนที่ท่านทำร้ายก็มีแต่ตัวท่านเองกับคนที่รักท่าน
---------------------
คืนนี้ลมแรงครางหวืดหวืออยู่เหนือน่านฟ้า  แรงจนคล้ายสามารถพัดพาเอาทิฐิให้กระจัดกระจายหายไป  จันทร์สลัวมิอาจส่องลอดสายลม  โคมตะเกียงในห้องยังคงอบอุ่น

อากาศด้านนอกเหน็บหนาว  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับสั่นสะท้านด้วยความร้อนผ่าวที่ไม่ยินยอมจางหายไป 
พระมาตุลาแคว้นเหลียนอาบน้ำมาได้สักพักแล้ว  แต่มันก็มิได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น  เหลียนอันสุ่ยแม้สามารถเสาะหาคนมาระบายสิ่งเหล่านี้ออกไป  แต่ก็ทราบว่าไม่มีประโยชน์  มีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเติมเต็มความรวดร้าวว่างเปล่านี้

ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจเสียงลมครืนครั่น  บุรุกล่วงล้ำเข้ามาในตำหนักผู้อื่นหน้าตาเฉย  ใช้สิทธิอำนาจของเป่ยชางอ๋องอย่างเต็มที่  เมื่อผลักเปิดประตูไม้  กราดสายตาไปเห็นเงาร่างในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มตะแคงขดอยู่บนเตียงหลังงาม  อารมณ์ที่ไม่สงบราบเรียบนักก็เดือดดาลขึ้นมาทันที  เขาคิดถึงอีกฝ่ายจนนอนไม่หลับมาครึ่งเดือน  คิดไม่ถึงเหลียนอันสุ่ยกลับนอนหลับอย่างสุขสงบยิ่ง!
เท้าค่อยๆย่างสามขุมเข้าไปอย่างเงียบเชียบ  เสียงลมยังคงดังแต่สงบลงมากแล้วเมื่อเข้ามาอยู่ในห้องหับที่ปิดหน้าต่างมิดชิด  ประสาทหูปราดเปรียวพลันได้ยินเสียงหอบหายใจ  เมื่อก้าวเข้าใกล้ก็ยิ่งต้องเบิกตากว้าง  ร่างสูงโปร่งที่เขาคะนึงหาคล้ายสั่นสะท้านไม่หยุด  ปลายนิ้วเรียวงามจิกลงกับผ้าคลุมเตียง  ใบหน้าแดงเรื่อซบอิงกับหมอน  ดวงตาหลับแน่นด้วยความทรมาน  หว่างคิ้วแฝงความรวดร้าว  ทั่วทั้งร่างบิดกระสับกระส่าย

พริบตานั้นความเดือดดาลพลันหายไป  เหลือเพียงความห่วงใยที่ท่วมทะลักเข้ามา
“ท่านเป็นไรไปแล้ว ?”
เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดวงตาที่หลับอยู่ก็ลืมขึ้นมาช้าๆ  เหลียนอันสุ่ยชันตัวขึ้นด้วยท่าทีอ่อนแรงอยู่บ้าง  เส้นผมยาวทิ้งตัวลงมาปรกหน้า  ดวงตาคู่งามที่มองลอดม่านผมออกมามีเค้าของความงุนงงตื่นตระหนก  และก็แฝงความอ่อนเชื่อมจากแรงปรารถนา  ดูราวกับเป็นภาพมายาฝัน 

ดวงตาของคนเป็นต้าอ๋องยิ่งเบิกกว้างเข้าไปอีก  แทบไม่กล้าผ่อนลมหายใจ 
เป็นจังหวะเดียวกับที่เหลียนอันสุ่ยมิอาจทรงตัวคว่ำหน้าลงมา  ฉีเซี่ยงหยวนรีบยื่นมือเข้าไปประคองรับไว้  เมื่อสัมผัสพบว่าร่างอีกฝ่ายร้อนราวกับไฟก็ยิ่งร้อนรน  ดึงร่างสูงโปร่งเข้ามาไว้ในอ้อมกอด  ลอบตำหนิตัวเองที่เอาแต่ตะลึงลานกับรูปโฉมงดงามยั่วยวนใจ  ถามซ้ำอีกครั้ง
“ท่านเป็นไรไปแล้ว ?”
“ข้า...  อือ...” เสียงแผ่วเบาไม่ทันเป็นประโยคก็พร่าเลือนเข้ากับเสียงครางในลำคอ  ร่างบิดเกร็งเมื่อความร้อนรุ่มแทรกเข้ามาอีกระลอก  สติรับรู้เลือนราง  เข้าใจว่าตัวเองเพียงแค่ฝันไป  นี่เขาต้องการฉีเซี่ยงหยวนจนถึงขั้นฝันถึงเลยหรือ ?   เหลียนอันสุ่ยคิดอย่างปวดร้าว
ฉีเซี่ยงหยวนเอะใจ โอบร่างสูงโปร่งเข้ามาแนบชิด  ...เหลียนอันสุ่ยไม่ได้เป็นไข้  ใจที่เดือดร้อนค่อยๆเย็นลงอย่างแช่มช้า  เหลือบมองคนที่ทุกข์ทรมานในอ้อมกอด  กดความรู้สึกผิดที่ทำท่าจะล้นขึ้นมาลงไป  เขาตกลงใจแล้วมิใช่หรือ  ว่าจะใช้ทุกวิถีทางพันธนาการอีกฝ่ายเอาไว้  ใจของท่านไม่เป็นของข้าก็ไม่เป็นไร  แต่ร่างกายของท่าน  วิญญาณของท่านคะนึงหาข้าได้แค่คนเดียว !
เมื่อใจเย็นลงสายตาก็กระจ่างชัดขึ้น  ชุดที่สวมอยู่บนร่างของเหลียนอันสุ่ยมิใช่ชุดนอนแต่เป็นชุดคลุมอาบน้ำสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำซึ่งตัดกับผิวขาวแบบชาวเหลียนจนผุดผาดนวลเนียน  กลายเป็นความเย้ายวนในความสูงศักดิ์  เปลี่ยนความหมายของเฉดสีน้ำเงินอันสงบลึกล้ำไปโดยสิ้นเชิง  เสื้อผ้าชั้นเดียวที่ทึบแต่เบาบาง  ชุดคลุมอาบน้ำที่สวมทับอยู่บนร่างเปลือยเปล่า ทำให้เขาดูไปน่ารุกล้ำกว่าเดิม  เพียงคิดว่าร่างร้อนผ่าวนี้กระสับกระส่ายรอคอยอยู่นานเท่าใด  หัวใจก็พลอยร้อนผ่าวขึ้นมา  หากสายตาคมกริบกลับแฝงแววเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ

ฉีเซี่ยงหยวนสอดมือเข้าไปลูบคลำช่วงขาเพรียวยาว  เลิกชายอาภรณ์ให้พ้นไปจากเรียวขาเปลือยเปล่าคู่นั้น  ร่างปวกเปียกที่แนบกับเขาสั่นสะท้านน้อยๆ  เสียงหอบครางรุนแรงกว่าเดิม  แสงโคมไล้ลงบนผิวกายละมุน  เรียวขาของเหลียนอันสุ่ยเย็นนิดๆ  กลิ่นกายสะอาดหมดจดเพราะเพิ่งอาบน้ำ  แต่เมื่อไล่สูงขึ้นไปถึงต้นขาปลายนิ้วก็สัมผัสถึงอุณหภูมิที่ร้อนรุ่มขึ้นทีละน้อย

สัมผัสของฉีเซี่ยงหยวนอ่อนโยนทะนุถนอมยิ่ง  หวนคิดถึงคืนแรกว่าเรียวขาคู่นี้ต่อต้านเขาอย่างไร  มอบความสุขให้เขาอย่างไร  แล้วก็เลื่อนสูงขึ้นไปอีกตามแนวข้างลำตัว  แถบรัดเอวกว้างกุ๊นขอบสีทองทำให้ช่วงเอวดูเพรียวบาง  ฝ่ามือใหญ่ไล้อย่างแช่มช้าผ่านลายสีทองที่กระหวัดสานดุจตาข่ายบนสายรัดเอว  แล้วค่อยย้อนกลับไปยังเรียวขาคู่นั้นอีก  จงใจหลีกเลี่ยงผิวส่วนที่ไวความรู้สึก  เพียงลูบคลำอย่างผิวเผินแผ่วเบา 

คิ้วของเหลียนอันสุ่ยขมวดแน่น  ตาที่ปรือขึ้นน้อยๆมีแววไม่เข้าใจ  และก็คล้ายกับแฝงความหมายเรียกร้อง  ฉีเซี่ยงหยวนถูกอากัปกิริยาช้อนมองผ่านแพขนตาละเอียดดึงดูดอย่างรุนแรง  ใบหน้าหมดจดเคลื่อนมาอยู่ใกล้แค่เอื้อม  และพริบตาต่อมาบุรุษผู้มีศักดิ์ฐานะอยู่เหนือชาวเป่ยชางทั้งแคว้นก็ต้องเบิกตากว้าง  เมื่อกลีบปากละมุนเป็นฝ่ายประกบเข้ากับเรียวปากของเขา!

เรียวปากนุ่มๆ อ้าน้อยๆ บดเบียดกับริมฝีปากหนา  ยินยอมให้ลิ้นร้อนแทรกลึกเข้าไปในโพรงปาก  ฉีเซี่ยงหยวนตอบรับการเรียกร้องร้อนแรงที่เสนอให้ด้วยความเต็มใจ  จูบที่ดูดดื่มเช่นนี้เป็นฉีเซี่ยงหยวนสอนให้กับเหลียนอันสุ่ย  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับพบว่าเมื่อเป็นเรียวปากคู่นี้ตัวเขากลับสูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเอง  ต้องการมากขึ้น...มากขึ้น  ไม่เพียงพอ
เรียวปากสั่นสะท้านของเหลียนอันสุ่ยยังคงคลอเคลียกับเรียวปากหนาขณะพึมพำว่า
“ครอบครองข้า”
ความปรารถนาของเหลียนอันสุ่ยในตอนนี้เลยขีดของคำว่ายับยั้งชั่งใจไปนานแล้ว  เสียงพึมพำแผ่วเบาฟังดูแหบพร่าเชิญชวนอย่างไรบอกไม่ถูก  มือทั้งคู่โอบรอบลำคอหนา  ดวงตาที่เป็นประกายดุจน้ำค้างกลับหรี่ปรือเหลือแค่ครึ่งเดียว
ฉีเซี่ยงหยวนสอดมือเข้าไปในกลุ่มผมนุ่มสลวยที่ยิ่งดำสนิทเมื่อระอยู่บนเสื้อผ้าสีเข้มของเจ้าตัว  ดึงรั้งศีรษะของพระมาตุลาแคว้นเหลียนเข้ามาจูบอีกครา  มืออีกข้างรวบบั้นเอวจัดให้ร่างสูงโปร่งเปลี่ยนมาคุกเข่าอยู่บนตักแกร่ง

มือเรียวงามที่โอบรอบคอของเหลียนอันสุ่ยโอบแน่นเข้า  เมื่ออีกฝ่ายปลุกเร้าเขาตรงหว่างขา  ใบหน้าเนียนซบลงกับบ่ากว้าง  แต่มิอาจกลั้นเสียงครางสั่นสะท้าน  รู้สึกเหมือนกับกำลังถูกเหวี่ยงไปมาอยู่บนปากเหวของความสุขสม  สะโพกเพรียวขยับเข้าหาฝ่ามือใหญ่โดยไม่รู้ตัว

ฉีเซี่ยงหยวนซอกซอนริมฝีปากไปตามช่วงคอหอมกรุ่น  เงี่ยฟังเสียงครวญครางหวานหู  ทราบว่าต้องปลุกเร้าอย่างไร  ทุกตารางนิ้วบนร่างกายอีกฝ่ายล้วนเป็นของเขา  และก็ทราบว่าต้องทำเช่นไรเหลียนอันสุ่ยจึงเข้าใกล้ความรู้สึกปลดเปลื้องแต่ยังไปไม่ถึง
ใช่แล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดจะให้เหลียนอันสุ่ยมีความสุขเร็วไปนัก  ไม่มีใครเคยทรมานเขาได้เท่าบุรุษตรงหน้า  ทรมานกับความต้องการ  ทรมานกับการเฝ้ารอ  ทรมานกับความคิดถึงคะนึงหา  รวมถึงทรมานกับความรู้สึกหึงหวง  ฉีเซี่ยงหยวนเคยพยายามทำตัวเป็นคนดี  แต่พบว่าการทำตัวเป็นคนดีไม่ใช่ตัวเขาเลย  พอกันที!  วันนี้เขาต้องเค้นออกมาให้ได้ว่าคนไม่มีหัวใจที่แท้เคยมีความรู้สึกอันใดต่อเขาหรือไม่!

ความคิดร้ายกาจ  หากลึกๆในใจกลับเป็นห่วงสภาพร่างกายอีกฝ่ายอยู่บ้าง  เหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนไปจนเหมือนคนละคน  พระมาตุลาที่รู้จักยับยั้งชั่งใจ  กลายเป็นบุรุษที่แทบไม่อาจทนทานรับการปลุกเร้า  ฉีเซี่ยงหยวนรู้  เขาได้อีกฝ่ายมาแล้ว  ได้มาอย่างสมบูรณ์  ไม่ว่าเจ้าตัวจะยอมรับหรือไม่  แต่หลังจากนี้เหลียนอันสุ่ยขาดเขาไม่ได้อีกแล้ว 
เพียงแต่ว่า...  หลังจากรู้ความจริงข้อนี้พระมาตุลาแคว้นเหลียนจะรับได้หรือไม่หนอ ? 

ช่างเถอะ  เรื่องของวันพรุ่งนี้ก็คือเรื่องของวันพรุ่งนี้  เหลียนอันสุ่ยเกลียดเขาก็ดี  คนที่ไม่เคยเกลียดใครมาตลอดชีวิตเกลียดเขาเป็นคนแรก  เชื่อว่าในใจของเหลียนอันสุ่ยคงไม่มีทางลืมเขาได้ตลอดกาล  ในเมื่อเป็นคนที่ท่านรักไม่ได้  ก็เป็นคนที่ท่านเกลียดเถอะ!  ฉีเซี่ยงหยวนคิดพลางก้มลงมองใบหน้าขาวที่แดงระเรื่อด้วยความปรารถนา  คำถามอีกประการหนึ่งก็ผุดขึ้นมา

ถ้าคืนนี้เขาไม่มาหรืออีกฝ่ายตั้งใจจะทนทรมานกับความต้องการไปเรื่อยๆ ?  ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยินยอมไปหาเขา?  ประเสริฐมาก  การรอคอยของเขาสูญเปล่าโดยแท้  ฉีเซี่ยงหยวนกัดฟันกรอด  สอดมือเข้าไปในข้อพับดึงให้ขาทั้งสองข้างพาดอยู่กับตัก
เหลียนอันสุ่ยยึดบ่ากว้างอย่างตื่นตระหนก คล้ายเพิ่งสำนึกได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร  ปลายนิ้วสากสอดเข้ามาส่งความรู้สึกเสียวสะท้านปราดไปทั้งกาย  ไม่  ไม่ใช่ความฝัน  ฉีเซี่ยงหยวนกำลัง... เฮือก  ปลายนิ้วสากมิได้เย็นก็จริง  แต่เมื่อเทียบกับภายในร่างที่ร้อนจนแทบจะลุกเป็นไฟกลับให้ความรู้สึกที่เด่นชัดยิ่ง  ความรู้สึกรวดร้าวว่างเปล่ายิ่งชัดเจน  เรียวขาหนีบแน่นเข้ากับหว่างเอวแกร่ง  แต่ปลายนิ้วที่ล่วงล้ำกลับหยุดชะงักเสียเฉยๆ

“ท่านต้องการขนาดนี้ทำไมไม่ใช้ให้คนไปหาข้า” เสียงพร่าต่ำคุกรุ่นด้วยโทสะมีแววคาดคั้นชัดเจน  ทั้งโมโห ทั้งปวดร้าว
เหลียนอันสุ่ยขบริมฝีปากสกัดกั้นความรู้สึกว่างเปล่าที่แล่นมาจรดลำคอ  ตื่นตระหนกกับความคิดวูบหนึ่งที่นึกอยากให้ร่างกายอีกฝ่ายบดขยี้เขา สั่นระริกรุนแรงไปทั้งร่างเมื่อปลายนิ้วอีกฝ่ายใช้ส่วนที่สากที่สุดเสียดสีกับผิวส่วนที่อ่อนไหวที่สุดในกาย
“ตอบ!” เสียงเค้นมีแววบังคับ
“ข้า...ไม่...อ๊ะ” ปลายนิ้วสากเคลื่อนไหวอีกครา  ยังจะบ่ายเบี่ยงไม่ตอบอีก !
“ถ้าท่านไม่ตอบข้าจะไปจริงๆ ” น้ำเสียงเฉียบขาดเย็นชา  ทำท่าจะดึงมือออกจริงๆ
เหลียนอันสุ่ยถูกความปรารถนาต้อนจนจนมุม  ได้แต่ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านว่า
“ท่าน...ท่านต้องการให้ข้าไปหาท่านด้วยฐานะใด? ” ของเล่นของท่าน ?  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยมีความปวดร้าวที่เจ้าตัวเหนื่อยล้าเกินกว่าจะปิดบังขณะเงยสบกับแววตาคาดคั้น  ...ตัวประกันสงครามเช่นข้าใช้สิทธิ์ใดไปขอพบต้าอ๋อง ?
คนฟังนิ่งอึ้งไป  อึ้งกับความเจ็บปวดในแววตาอีกฝ่าย  อึ้งกับคำพูดแต่ละคำที่ค่อยๆย้ำลึกลงไปในหัวใจอย่างแช่มช้า

“ต้าอ๋อง  ท่านที่แท้...ที่แท้ยึดถือข้าเป็นอะไรกันแน่” ภายนอกท่านให้เกียรติข้า  แต่กลับใช้วิธีการเช่นนี้มาเหยียดหยามข้า  หรือว่าลึกๆท่านยังเข้าใจว่าข้าเคยเป็นของเล่นของอวี้เฉียน  น่าแปลกที่คนซึ่งไม่นำพากับสายตาผู้อื่นว่าจะมองตัวเองอย่างไรเช่นข้า  เมื่อคิดว่าท่านมองข้าเช่นนี้จิตใจกลับเจ็บปวดจนยากจะทนทานรับไหว

“...คนรักของข้า” คำตอบของฉีเซี่ยงหยวนแผ่วเบาแต่หนักแน่น  ดุจเดียวกับจูบของเขาที่ประทับลงบนเรียวปากบาง
เหลียนอันสุ่ยเบิกตากว้างกับคำตอบที่คาดไม่ถึง
...คนรัก...?
ในหัวปรากฏภาพอดีตคนรักของบุรุษตรงหน้า  จิตใจยิ่งแตกตื่นลนลาน
“ข้าไม่ใช่หลันเซียง...ถึงแม้ข้าจะเป็นของเล่นของท่านเช่นเดียวกับนาง  แต่ข้าไม่ใช่หลันเซียง” ข้าจะไม่มีวันรักท่าน  เพราะข้ารักท่านไม่ได้ !
เหลียนอันสุ่ยพูดพลางดิ้นรนหลบหนีจากเรียวปากหนา  หากมือแข็งแกร่งที่โอบอยู่ที่เอวเลื่อนขึ้นมากุมท้ายทอยบังคับให้เรียวปากนุ่มละมุนหันหลับมา  ฉีเซี่ยงหยวนจูบไล่ไปจนถึงใบหู  แล้วกระซิบแผ่วเบา
“ท่านไม่ใช่หลันเซียง  และท่านก็ไม่ใช่ของเล่นของข้า  ท่านเป็น...คนสำคัญของข้า”
“ไม่  ไม่ใช่” หัวตอนนี้ของเหลียนอันสุ่ยสับสนจนแทบคิดอะไรไม่ออก  เข้าใจอะไรไม่ได้  หวังเพียงให้ฝันร้ายที่คล้ายกับไม่ใช่ฝันนี้เมื่อไหร่จะจบๆไปเสียที  หยุดเถอะ  ไม่ต้องพูดแล้ว!  เพราะหากตื่นขึ้นมาข้าคงทนไม่ได้เมื่อพบว่าทุกอย่างเป็นแค่คำลวงที่ตัวเองสร้างขึ้น  คำลวงที่จะหลอกหลอนข้าไปตลอดชีวิต

“ใช่สิ” ฉีเซี่ยงหยวนยืนยัน  ปลายนิ้วไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายปฏิเสธขยับเคลื่อนไหวอีกครั้ง  ปากที่อ้าออกคล้ายต้องการจะพูดอันใดจึงหลุดออกมาแต่เสียงคราง  ร่างอ่อนปวกเปียกไม่มีแรงล้วนพึ่งพาลำแขนมั่นคงที่โอบอยู่รอบเอว

เมฆหมอกแห่งความโมโหและความเจ็บปวดที่กดทับในใจของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนอยู่เนิ่นนานค่อยๆสลายหายไป  ที่แท้ท่านมิใช่ไม่คิดไปหาข้า  ที่แท้หลันเซียงก็ทำให้ท่านสับสน  ที่แท้ในใจท่านก็มิได้ปราศจากข้าโดยสิ้นเชิง  ความรู้สึกพลุ่งพล่านยินดียึดครองความคิดทั้งหมด  ใจที่เคยเกือบจะสิ้นหวังกลับมามีชีวิตอีกครา  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยรู้สึกว่าหัวใจตัวเองยังเต้นอยู่ชัดเจนถึงเพียงนี้มาก่อน  ตลอดมาเขาเพียงหวังให้เหลียนอันสุ่ยมีใจให้เขาบ้าง  ซักนิดก็ยังดี  เพราะนั่นแสดงว่าทุกอย่างที่เขาทำลงไปไม่ได้ถมเติมลงไปในความว่างเปล่า 

ลึกๆแล้วฉีเซี่ยงหยวนหวาดกลัวอย่างยิ่งว่าเหลียนอันสุ่ยจะยึดถือเขาเป็นอวี้เฉียนคนที่สอง  กับคนที่ไม่หวั่นไหวเหลียนอันสุ่ยถึงกับไม่หวั่นไหวเอาเลยจริงๆ  อวี้เฉียนพยายามมาครึ่งชีวิตยังไม่มีปัญญาแทรกเข้าไปในใจพระมาตุลาผู้นี้  ดังนั้นฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจแล้วว่าหลังจากคืนนี้เหลียนอันสุ่ยจะเกลียดเขาหรือไม่  ขอเพียงในใจท่านมีข้าบ้าง  ข้าจะใช้ทุกวันหลังจากนี้ทำให้ท่านรักข้าเหมือนกับที่ข้ามิอาจขาดท่าน

ฉีเซี่ยงหยานประทับจูบซ้ำๆ    ราวจะจรดคำว่ารักลงไปในหัวใจอีกฝ่ายผ่านรอยจูบดูดดื่ม  มันเป็นจูบที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกจนเหลียนอันสุ่ยรู้สึกหัวใจอุ่นวาบคล้ายถูกพันธนาการบางอย่างร้อยรัดเอาไว้  หากความใคร่ลึกซึ้งยังคงไม่ลดน้อยลง  ร่างกายยังคงไม่เป็นตัวของตัวเอง  ลิ้นที่ไม่เชื่อฟังสอดเข้าไปในปากของเป่ยชางอ๋อง  บังคับให้รสสัมผัสแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อน 
ความจริงห้องทั้งห้องคุกรุ่นด้วยอารมณ์ปรารถนานานแล้ว  ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการอีกฝ่าย  เพียงแต่ความสามารถในการรับมือกับอารมณ์ปรารถนาของเหลียนอันสุ่ยต่างชั้นกับฉีเซี่ยงหยวนมาก  ขณะที่ฉีเซี่ยงหยวนสามารถกดความใคร่ของตัวเองลงไป  ตั้งใจจะค่อยๆชดเชยให้กับอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน  ร่างกายของเหลียนอันสุ่ยกลับเรียกร้องอย่างหนัก  รับรู้แต่ว่าสัมผัสที่ได้รับมิอาจเติมเต็ม 

กึ่งๆถูกบังคับผลักไสไปจนถึงทางตัน  เมื่อปลายนิ้วของฉีเซี่ยงหยวนขยับลึกเข้ามาอีก  เหลียนอันสุ่ยก็ส่ายหน้า  สีหน้าแลดูสับสนระคนรวดร้าว  เสียงครวญครางแทบจะเป็นสะอื้น 
“ไม่ใช่นิ้ว  ข้า  ต้องการ...ต้องการตัวท่าน” กล่าวจบก็อับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี  ไม่อยากจะเชื่อว่าน้ำเสียงตัวเองจะพร่ากระเส่าได้ถึงเพียงนั้น
ริมฝีปากหนาจูบหนักๆบนหน้าผากมน ดุจจะปลอบประโลม  ดึงเอวอีกฝ่ายเข้ามา
ฟันของเหลียนอันสุ่ยขบแน่นลงบนเรียวปาก  ไม่ทราบเป็นความสุขสมหรือความปวดร้าวที่ทำให้เขาหลั่งน้ำตา

สายลมยังคงพัดโหม  อากาศยังคงเยือกเย็น แต่ภายในห้องกลับร้อนระอุราวอังด้วยเปลวเพลิง  ความยับยั้งชั่งใจถูกแผดเผาจนกลายเป็นไอ  เหลียนอันสุ่ยตื่นตระหนกเมื่อพบว่าร่างกายขยับเคลื่อนไหวไปเอง  แต่ความรู้สึกถูกเติมเต็มทำให้เขามิอาจปฏิเสธ  ยิ่งความแนบแน่นทวีขึ้นสติก็ยิ่งเลือนราง  ฉีเซี่ยงหยวนก็พยายามมีสติ  แต่ถูกเรือนกายที่เสนอสนองปรนเปรอให้กับเขาบังคับให้จมดิ่งเมามาย...มิอาจถอนตัว

เพราะความรักความใคร่พัวพันลึกซึ้งยุ่งเหยิง  ความสัมพันธ์บนเตียงกลายมาเป็นทางออก  เนื่องจากมันเป็นชั่ววินาทีที่พวกเขามิอาจควบคุมตัวเอง  กำแพงหรือทิฐิใดๆล้วนมลายหายสิ้น  โลกทั้งโลกเหลือแค่คนเพียงคนเดียว

เรียวขาเปลือยเปล่าโอบรอบเอวหนา  ความรู้สึกแนบชิดทำให้เล็บจิกลึกลงบนไหล่แกร่ง  เอวเพรียวหยัดขึ้นรองรับการรุกล้ำ  ดวงตาปรือฉ่ำอ่อนเชื่อม  ใบหน้างามแหงนขึ้น  ผมดำสนิททิ้งตัวราวน้ำตกลงมาจรดเอว  ส่ายไหวทุกครั้งที่ร่างสูงโปร่งบิดเร่าตอบสนอง  จมจ่อมอยู่กับความสุขสมในอารมณ์รวดร้าวต้องการ  เพียงหวังให้อีกฝ่ายคุกคามเขารุนแรงกว่านี้  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับยึดขาเพรียวเอาไว้  ยับยั้งจังหวะสอดประสานที่หักโหมขึ้นทุกที  เสียงครางเครือของเหลียนอันสุ่ยสะอื้นหนัก  แพขนตาเกาะพราวไปด้วยหยาดน้ำ  รู้สึกเหมือนกำลังจะไขว่คว้าได้บางสิ่งแต่ถูกบังคับให้พลาดไป 

ฉีเซี่ยงหยวนสูดลมหายใจลึกเมื่อร่างสูงโปร่งบิดเบาๆ บดเบียดซอกขาเนียนละเอียดเข้ากับร่างของเขาอย่างยั่วยวน  ระงับความรู้สึกที่อยากบดขยี้คนที่หวานไปทั้งตัว  ฉีเซี่ยงหยวนมิอาจให้เหลียนอันสุ่ยไปถึงเร็วนัก  พระมาตุลาผู้นี้ถูกความปรารถนาเคี่ยวกรำมานานจนเกินไป  ความรีบร้อนไม่มีทางเติมเต็มได้หมดสิ้น  จังหวะการรุกล้ำแปรเปลี่ยนเป็นเนิบช้าหนักแน่น  บังคับให้อีกฝ่ายเก็บเกี่ยวความสุขตามรายทาง  ฝ่ามือที่ยึดช่วงขาเพรียวยาวไล้เบาๆอย่างปลอบประโลม  แต่ก็ยังคงยึดไว้มั่น  บังคับถือสิทธิ์ในการเคลื่อนไหว

เหลียนอันสุ่ยรู้สึกเหมือนถูกบังคับเสือกไสไปตามทางเหยียดยาวเส้นหนึ่งที่ไม่ทราบจะไปจบลงที่ใด 
จนถึงจังหวะที่ทุกอย่างระเบิดพร่างอย่างรุนแรง  ร่างสูงโปร่งเกร็งแน่น  สยบอยู่ใต้ร่างกำยำโดยสิ้นเชิง 
ฉีเซี่ยงหยวนหอบหายใจ  ความรู้สึกสุขสมรุนแรงทำให้เขาต้องใช้เวลาซักพักจึงสามารถเรียกคืนสติ  ขณะจะผละออกห่าง  สะโพกละมุนกลับผวาเข้าหา  ขาเรียวงามรัดเอวเขาไว้แน่น
“อย่าไป!” ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยตื่นตระหนก เจ็บปวดสูญเสีย “อย่าไปจากข้า” ฉีเซี่ยงหยวนมองคราบน้ำตาที่เปรอะอยู่บนผิวแก้มเนียน  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเหลียนอันสุ่ยร้องไห้  สำนึกได้ว่าตัวเองทำร้ายอีกฝ่ายอย่างล้ำลึกไปโดยไม่รู้ตัว  ความรู้สึกผิดจุกแน่นอยู่ในลำคอ  ยื่นมือสั่นสะท้านออกไปประคองไปหน้าหมดจดที่แดงเรื่อแต่ก็ซีดขาว  รับคำ
“ข้าจะไม่ไปจากท่าน”
เหลียนอันสุ่ยค่อยๆสงบลง  มือที่พาดอยู่หลังลำคอหนาโน้มร่างอีกฝ่ายลงมา  แววตาเหมือนอยู่ในเมฆหมอกแห่งความฝัน  พึมพำว่า
“รักข้าอีก  ข้าต้องการให้ท่านรักข้า” สติการรับรู้ล่องลอยไปที่ไกลแสนไกล  ร่างกายเพียงรู้สึกถึงความไม่เพียงพอ  เปลวเพลิงพิศวาสมิได้มอดดับ  ตลอดคืนนั้นฉีเซี่ยงหยวนมิได้ผละออกห่างจากร่างสูงโปร่งเลย
---------------------
สายมากแล้ว  ลมที่เคยพัดโหมเหลือเพียงกระแสที่กวาดเบาๆเป็นพักๆ  แสงแดดอุ่นเจิดจ้าในบรรยากาศที่ไม่อุ่นของฤดูใบไม้ร่วง 

การรับรู้ของเหลียนอันสุ่ยเลือนรางไปวูบหนึ่งด้วยความอ่อนเพลีย  แต่ก็มิได้หลับใหล 
ฉีเซี่ยงหยวนโอบกอดร่างเนียนละเอียดไว้ในอ้อมแขน  ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆนวดเฟ้นผ่อนคลายความเครียดเกร็งให้กับร่างสูงโปร่งอย่างเอาใจใส่
‘มันมิใช่ความฝัน’
สิ่งที่อีกฝ่ายทำลงไป  และสิ่งที่เขาทำลงไป  ต่างมิใช่ความฝัน  เหลียนอันสุ่ยยังจดจำมันได้ชัดเจน  ดวงตาของพระมาตุลาแคว้นเหลียนแห้งผากว่างเปล่า  อารมณ์เกือบจะเป็นด้านชา

ฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆสางผมให้อีกฝ่ายอย่างรักใคร่  ประชุมขุนนางเริ่มนานแล้ว  แต่ตัวเขายังมิอาจตัดใจจากไป  ดวงตาที่เฉียบขาดเสมอมาอ่อนโยนอย่างยิ่ง แม้แววตาของเหลียนอันสุ่ยจะทำให้เขากลัวขึ้นมาวูบหนึ่งว่าจะสูญเสียอีกฝ่ายไป  แต่ฉีเซี่ยงหยวนมิใช่คนที่จะฟูมฟายกับสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว  อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถิด  ต่อให้ต้องคุกเข่าลงเพื่อขอให้ท่านให้อภัยข้าก็จะทำ

เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว  เพียงปิดเปลือกตาลงช้าๆแล้วก็หลับใหลไป
---------------------
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่อยู่แล้ว  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ถามถึงอีกฝ่าย  ดวงตาเรียบเฉยจนเกือบจะเป็นเฉยชา  หลังอาบน้ำล้างทุกสิ่งทุกอย่างออกไปก็เดินไปผลักเปิดหน้าต่าง

เมื่อคืนเขากลายเป็นคนที่กระทั่งตัวเองก็ไม่รู้จัก  มันไม่สำคัญหรอกว่าฉีเซี่ยงหยวนใช้วิธีอะไรมาเหยียดหยามเขา  ยิ่งไม่สำคัญว่าอีกฝ่ายอ่อนโยนกับเขาแค่ไหน  ดวงตาเหม่อมองกำแพงของตำหนักเสียงวสันต์ที่อยู่ลิบๆ  ...กรงที่เขาดิ้นไม่หลุด
พอแล้ว  เขาจะไม่ดิ้นรนอีกแล้ว  เพราะความรู้สึก...ไม่สามารถเรียกคืนกลับมา 
---------------------
ยังไม่ทันจะค่ำดี  หากเมื่อฉีเซี่ยงหยวนมาถึงตำหนักชุนเกอก็พบว่าเหลียนอันสุ่ยเข้านอนไปแล้ว 
เป่ยชางอ๋องยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าประตูไม้กั้นห้องชั้นในหับสนิท  สายตามองความมืดที่ลอดผ่านออกมาอยู่พักใหญ่ มิได้สนใจอิ๋งฮวาที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้าง  แล้วก็หมุนกายจากไป

เมื่อได้ยินเสียงเลื่อนปิดประตูชั้นนอก  คนที่นอนหันหลังให้กับบานประตูก็ลืมตาขึ้นมาอย่างแช่มช้า  ประกายตาสงบราบเรียบ  เหลียนอันสุ่ยรู้อยู่ตลอดว่าฉีเซี่ยงหยวนมาเยือนแล้วก็จากไป...และอาจบางทีฉีเซี่ยงหยวนก็รู้เช่นกันว่าเขามิได้หลับ...
---------------------
ดวงตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนมองภาพสะท้อนของดวงจันทร์ที่พร่าระริกอยู่ในสายน้ำตกจำลอง
เหลียนอันสุ่ยไม่ยอมพบเขา
ฉีเซี่ยงหยวนยินดีให้อีกฝ่ายโมโหใส่เขา  ด่าว่าเขา  เพราะทราบว่าตัวเองทำตัวเลวร้ายอย่างยิ่งจริงๆ  วิธีการที่ใช้ก็ต่ำทรามเกินไปจริงๆ  แต่ทว่า... 
ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจ
‘บุรุษที่รูปงามประดุจหยก  ตอนนี้กลับเหมือนสลักเสลาขึ้นมาจากหยกจริงๆ’ นี่คือคำที่หม่าหลงต้วนจินรายงานมา 
เหลียนอันสุ่ยเก็บตัวเองอยู่แต่ในห้อง  ขนาดกับบุตรชายยังมิได้ออกไปหา  กับอิ๋งฮวาก็พูดด้วยน้อยอย่างยิ่ง  หม่าหลงต้วนจินแทบจะสามารถจดจำสี่ห้าประโยคที่ดังลอดออกมาจากห้องเพื่อสั่งหญิงรับใช้ได้ชัดเจน

เหลียนอันสุ่ยโกรธเขา? หรือจริงๆถึงขั้นเกลียดเขา?  หรือจริงๆถึงขั้นแค้นเขาไปแล้ว?  ฉีเซี่ยงหยวนคาดเดาอันใดไม่ออกทั้งสิ้น  อีกฝ่ายอาจไม่ได้รู้สึกทั้งหมดนั่นก็ได้  อาจจะแค่ถูกเขาทำร้ายมากเกินไป  จนไม่เห็นเขามีตัวตนอีกแล้ว  คิดแล้วหัวใจก็เจ็บแปลบ  ความในใจของบุรุษผู้นั้นนับเป็นปริศนาที่อ่านยากที่สุดในชีวิตของฉีเซี่ยงหยวน

คนเป็นเป่ยชางอ๋องมองเงาจันทร์ที่พร่าเลือนคลุมเครือ  คำตอบของปริศนาในใจก็พร่าเลือนคลุมเครือเช่นกัน
---------------------

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 30
«ตอบ #85 เมื่อ27-08-2014 16:54:04 »


บทที่ 30 ฐานะแท้จริงของบุคคลสามคน

บ่ายนี้ท้องฟ้าสลัวมัวซัว  ดุจเดียวกับจิตใจที่ไม่ค่อยจะปลอดโปร่งนักของหลันเซียง  เมื่อวานนางไม่ได้พบเหลียนอันสุ่ย  หัวหน้าหญิงรับใช้อ้างว่าพระมาตุลาพักผ่อน  หากวันนี้หลันเซียงยังคงรุดมาอีก  ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนที่ฉีเซี่ยงหยวนบุกรุกเข้าตำหนักชุนเกอ  ใจของนางก็มิอาจสงบ นอนหลับไม่สนิท  หวั่นวิตกว่าคนทั้งคู่จะคืนดีกัน

ทว่าน่าเสียดาย  ครานี้แม้ได้พบหน้า  หลันเซียงกลับอ่านอันใดไม่ออกทั้งสิ้น...
---------------------
 “พวกเรามีเรื่องต้องรายงานต่อท่าน” ต้วนจินรวบรวมความกล้าพูดขึ้นเมื่อหลันเซียงคล้อยหลังไป  จะเกิดอะไรก็ช่างเถิด  เก็บไว้นานกว่านี้คงไม่ดีแล้ว  ตั้งแต่ได้รับคำสั่งมาให้รายงานเรื่องนี้พวกเขาก็มัวรอดูท่าทีของเหลียนอันสุ่ยจนเรื่องชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่
เหลียนอันสุ่ยผินหน้ากลับมา  ในจิตใจยังคงมีเงาร่างที่แฝงความไม่สบายใจของหลันเซียง
ความรักเอยความรัก  เหตุใดมันจึงสามารถควบคุมบงการผู้คนได้ถึงเพียงนี้  ให้รุ่มร้อนกระวนกระวาย  ให้เจ็บปวด  ให้ยึดติดผูกพัน  ซักวันเขาเองใช่จะถูกความรักเปลี่ยนแปลงจนเป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่ ?
ดวงตาจ้องคนคุ้มกันทั้งสองที่เคยเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวน  ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ ‘เขา’ สั่งให้พวกเจ้ามารายงานต่อข้าหรือ ?”

“เอ่อ...” ต้วนจินถึงกับพูดไม่ออก  หันไปมองหน้าหม่าหลงอย่างขอความช่วยเหลือ 
คนคุ้มกันทั้งสองต่างทราบว่าเรื่องของพระมาตุลาจะจัดการชุ่ยๆไม่ได้เป็นอันขาด  ถึงกับยังต้องรอบคอบกว่าเรื่องของแม่นางหลันเซียงอีก  หลันเซียงมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา  แต่บุรุษผู้นี้กลับมีน้ำหนักในใจต้าอ๋องที่ไม่ธรรมดา  จะว่ากันตามจริงความใส่ใจที่ต้าอ๋องมีต่อคนผู้นี้เลยขีดขั้นที่พึงมีไปนานมากแล้ว

พระมาตุลาแคว้นเหลียนถอนหายใจยาว  กล่าวว่า
“เอาเถอะ  ว่ามา”
หม่าหลงที่สงบเยือกเย็นกว่าหลังจากเหลือบมองท่าทีของเหลียนอันสุ่ย ก็รายงานด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำว่า
“พระมาตุลาอาจยังไม่ทราบ  แม่นางหลันเซียงความจริงเป็นสายของแคว้นหนานเหมิน  ต่อมาทรยศต่อหนานเหมินอ๋อง  ส่วนตอนนี้ไม่ชัดเจนว่ารับคำสั่งจากฝ่ายไหน  กับสตรีผู้นี้พระมาตุลาควรระมัดระวังให้มากไว้  หลีกเลี่ยงไม่พบได้ก็ควรจะไม่พบ”

เรื่องราวของหลันเซียงทำให้ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยเบิกกว้าง  จากนั้นความเข้าใจก็ค่อยๆตกตะกอนลงมา
มิน่าเล่า ฉีเซี่ยงหยวนถึงไม่ฆ่าหลันเซียงและมิได้ขับนางออกไปจากวัง  แม้ไม่พอใจพฤติกรรมของนางอย่างยิ่ง...เพราะหลันเซียงเป็นหมากที่มีประโยชน์ !
“...ที่หลันเซียงทรยศต่อหนานเหมินอ๋องใช่เป็นเพราะต้าอ๋องของพวกเจ้าหรือไม่ ?”
คำถามนี้ถามอย่างแช่มช้า  แต่กลับทำให้คนฟังยากจะตั้งรับ  หม่าหลงกับต้วนจินหันไปมองหน้ากันสีหน้าลำบากใจที่จะตอบ  หากไม่สามารถบ่ายเบี่ยง  สุดท้ายหม่าหลงยอมรับว่า
“ที่หลันเซียงทรยศหนานเหมินอ๋องเป็นเพราะนางรักต้าอ๋องจริง”
เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก
“ต้าอ๋องของพวกเจ้าถึงกับหลอกลวงน้ำใจนางเพื่อแคว้นเป่ยชาง ?”
ต้วนจินที่ฟังอยู่ด้านข้างรีบแย้งอย่างร้อนรน
“พระมาตุลาเข้าใจผิดแล้ว  ตอนนั้น...ตอนนั้นต้าอ๋องชอบนางจริงๆ  ส่วนแม่นางหลันเซียงเองก็ทราบว่าต้าอ๋องรู้ว่านางเป็นใคร” ตอนท้ายยิ่งพูดก็ยิ่งเบา  รู้สึกได้ว่าแทนที่จะแก้แทนนายเหนือหัว  กลายเป็นยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่งเหยิง  ปมรักของต้าอ๋องช่างซับซ้อนน่าปวดหัวโดยแท้  เห็นทีภารกิจที่หัวหน้าหลิวแอบกำชับมาคงยากจะสำเร็จ

ฝ่ายเหลียนอันสุ่ยได้ฟังก็นิ่งงันไป  ที่แท้นี่กลับเป็นตำนานรักบทหนึ่งที่เกิดระหว่างสองแคว้น  องค์ชายผู้สูงศักดิ์กับสายลับของแคว้นศัตรู  ...หากเป็นนิยายเรื่องเล่าหลังฟันฝ่าอุปสรรคจนได้ครองคู่ก็สมควรจะจบลงอย่างสวยงาม  เพียงแต่น้ำใจคนกลับจืดจางเร็วเกินไป  บุปผาไม่ทันโรยราเจ้าของก็ปันใจเป็นอื่น 

พริบตานั้น เหลียนอันสุ่ยพลันเข้าใจความเจ็บแค้นของหลันเซียง  นางรักฉีเซี่ยงหยวนถึงขั้นยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขา  ทว่าสุดท้าย...
“เป่ยชางอ๋องตอบแทนนางอย่างโหดร้ายเกินไปแล้ว”
ได้ฟังคำพูดของเหลียนอันสุ่ย  หม่าหลงก็ตัดใจ ในเมื่อได้รับคำสั่งอนุญาตให้พูดแล้ว  ก็พานบอกอย่างหมดจดเถอะ!
“พระมาตุลา ใจคนมิใช่สิ่งที่บังคับกันได้  ส่วนการเก็บนางไว้เป็นหมากเป็นความคิดของจางจื่อหยูกับมู่ซาง  ซึ่งต้าอ๋องไม่เคยเห็นด้วยกับเรื่องนี้  เพียงแค่ปล่อยนางจากไปไม่ได้  นางรู้เรื่องมากเกินไป  มีฐานะซับซ้อนเกินไป  ถ้าไม่อยู่ใต้ปีกของต้าอ๋องไม่มีทางมีจุดจบที่ดี”

เหลียนอันสุ่ยเงียบไปอีกครา  ในหัวย้อนคิดไปถึงการพบกันเมื่อหลายวันก่อนของเขากับสตรีที่ไม่รู้จักนามนางหนึ่ง  ระหว่างทางกลับจากหอตำราหลวง

แรกเริ่มเป็นนางส่งยิ้มให้เขา  ส่วนเขาแม้จดจำชื่อนางไม่ได้ แต่จดจำใบหน้านางได้  นางเป็นหนึ่งในบรรดาอดีตนางบำเรอของฉีเซี่ยงหยวนที่มาเยี่ยมคารวะเขาในคราวนั้นเอง
 ‘...ขออภัยที่ทำให้พระมาตุลาต้องลำบากใจ  ซ้ำยังเกิดข่าวที่ไม่ค่อยดีขึ้นมา  ความจริงวันนั้นข้าไม่ได้คิดจะไปรบกวนท่าน  แต่สุดท้ายยิ่งฟังหลันเซียงก็ยิ่งหักห้ามความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไว้ไม่ได้...ต้าอ๋องไม่เคยโปรดปรานบุรุษมาก่อน’ ประโยคสุดท้ายกล่าวไปก็หน้าแดงขึ้นมาวูบหนึ่ง  น้ำเสียงแผ่วค่อยขณะบอกเหตุผล

เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วชะงักไป  แต่มิได้แปลกใจอะไรมากนัก  เพราะพอคาดเดาได้รางๆว่าบุปผาเหล่านั้นล้วนมาเพราะหลันเซียง  ส่วนตอนนี้ยิ่งไม่แปลกใจ  หากหลันเซียงเป็นสายข่าวของแคว้นหนานเหมิน  การกระจายข่าวสารนางย่อมชำนาญอย่างยิ่ง

เขาถามนามของอีกฝ่าย  แต่สตรีนางนั้นเพียงแย้มยิ้ม ตอบว่า
‘ข้ากำลังจะไปแล้ว  ไปถึงที่นั่นไม่แน่ว่าเปลี่ยนนามใหม่  มีวาสนาได้พบพานคราหนึ่ง  ถึงมิทราบนามจะเป็นไร’
คนฟังนิ่งอึ้งอย่างงงงัน  สตรีที่ทีรอยยิ้มเหมือนรุ้งบนขอบเมฆเช่นนี้  ฉีเซี่ยงหยวนถึงกับขับไล่ไสส่งนางไป ?
ได้ฟังความคิดของเขานางก็หัวเราะ  ตอบว่า
‘ท่านเข้าใจผิดแล้ว  นี่เป็นข้าขอร้องต่อเขาเอง  ชาตินี้ข้ากับเขาสิ้นสุดวาสนาต่อกัน  ถูกกักขังมาสิบกว่าปีที่ปรารถนาคืออิสระที่ได้เห็นโลกกว้าง  ว่ากันว่าน้ำตกของแคว้นโหยวเฉิงงดงามนัก  ข้าฝันจะได้เห็นกับตามาโดยตลอด’
เห็นแววตาอีกฝ่ายยังคงไม่ใคร่เข้าใจ  นางจึงอธิบายต่อว่า
‘ตั้งแต่หมดสิ้นเยื่อใย  ต้าอ๋องก็มิได้รั้งพวกเราไว้  พวกเราทุกคนต่างมีอิสระที่จะจากไป  มีคนที่อยากอยู่อย่างมีหน้ามีตา  ต้าอ๋องที่ตอนนั้นยังเป็นองค์ชายสี่จึงยกนางให้กับผู้อื่น  ส่วนแม่นางอี้ที่ฟื้นฟูเยื่อใยกับอดีตคนรักก็แต่งงานจากไปแล้ว  พวกที่ยังอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นมิอาจหักใจจากไป  บางคนหวาดกลัวสายตาคนอื่น  หลายคนไม่ยอมรับความพ่ายแพ้สูญเสีย  และก็มีบ้างที่ยังติดชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยในวัง  ส่วนข้าเพียงอยากเริ่มต้นใหม่  ชีวิตของผู้หญิงในหอนางโลมเพียงหวังอยากจะเริ่มต้นใหม่’

ดวงตาของนางเจือความเศร้า  แต่รอยยิ้มยังคงงดงามพร่าพรายเหมือนสายรุ้ง  หากที่นางกล่าวเป็นความจริง  ทั่วทั้งสามแคว้นคงมีฉีเซี่ยงหยวนคนเดียวที่ให้ทางเลือกกับอดีตนางบำเรอของตัวเองมากมายปานนี้ !?
‘...ท่านไม่เจ็บปวดที่เขาทอดทิ้งท่าน ?’
สตรีนิรนามสบสายตากับเขาแล้วก็กล่าวช้าๆ
‘พวกเราทุกคนต่างเคยได้เลือก ทั้งๆที่รู้ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างนี้แต่ข้าก็ได้เลือกแล้ว  และอย่างน้อยก็มีช่วงหนึ่งที่ต้าอ๋องรักข้าจริงๆ  ผู้หญิงเช่นข้าไม่เคยมีผู้ชายเป็นของตัวเอง  แต่ตอนนั้นเขาก็เป็นของข้าคนเดียวจริงๆ  ถึงให้เลือกใหม่อีกครั้งข้าก็ยังคงเลือกแบบเดิม  แลกกับหลังจากนี้ได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง  พลาดรักซักครั้งจะเป็นไรไป’

นางช่างเป็นผู้หญิงที่มองโลกในแง่ดีอย่างยิ่ง  บางทีอาจเพราะมองโลกเช่นนี้  จึงผ่านวันเวลาเลวร้ายที่ถูกกักขังในหอนางโลมมาได้โดยไม่สูญเสียแสงอันอบอุ่นในจิตใจ  เหลียนอันสุ่ยรู้แต่ว่าตัวเองไม่มีทางลืมรอยยิ้มของนาง  สตรีนางหนึ่งที่มีใบหน้าไม่ถึงกับโดดเด่น  หากเมื่อแย้มยิ้มโลกทั้งโลกล้วนต้องเหม่อมอง  เพราะรอยยิ้มของนางเป็นความหวังที่หวานละมุน  สตรีแต่ละนางของฉีเซี่ยงหยวนล้วนพิเศษนัก

‘ท่านอย่าได้คิดว่าพวกเราผ่านชะตากรรมอันเลวร้าย  ยิ่งไม่ต้องเวทนาสงสาร  พวกเราที่อยู่ที่นี่แม้รักต้าอ๋อง  แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เจ็บปวดเพราะเขา  ชีวิตของคนเรามีเหตุผลอื่น  และหลายคนก็มิได้ยึดถือมันจริงจังเหมือนเช่นหลันเซียง’...

ความคิดในหัวจางไปช้าๆ  เหลียนอันสุ่ยพูดเหมือนรำพึงกับตัวเองว่า
“คิดไม่ถึงบุปผาแต่ละดอกของเขาต่างมีเรื่องราวมากมายปานนี้” 
สองคนที่เฝ้ารอดูปฏิกิริยาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก  ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็เอ่ยอะไรออกมาบ้างแล้ว หลังเงียบไปนานจนพวกเขากระสับกระส่าย 
ต้วนจินกล่าวอย่างจริงจังว่า
“พระมาตุลาอย่าได้เข้าใจผิด  ปรกติพวกนางแม้เป็นอดีตของต้าอ๋อง  แต่ก็ไม่เคยมาก้าวก่ายระราน  แต่ละเรือนแยกออกจากกัน  ส่วนครั้งนั้นที่มาเยี่ยมเยือนท่านจนครบเป็นฝีมือการยุยงของแม่นางหลันเซียง”

“ช่างเป็นวิธีการปัดความรับผิดชอบที่น่าสนใจนัก” เสียงของพระภาดาหานญื่อหลัวดังแทรกขึ้นมา  ตัวคนตอนนี้ยืนพิงกับกรอบประตู  คนคุ้มกันทั้งสองได้ยินเสียงก็หันขวับไปทันใด
ต้วนจินกล่าวขึ้นเรียบๆว่า
“เรื่องปัดความรับผิดชอบสับรางเห็นจะไม่มีใครช่ำชองยิ่งไปกว่าพระภาดา  ต้าอ๋องอาจจะเคยมีคนรักมาแล้วไม่น้อย  แต่ไม่เคยคบหาเกี้ยวพาคราวละหลายๆคนเช่นท่าน” หม่าหลงรู้สึกว่าคำพูดของต้วนจินไม่เหมาะสมไปบ้าง  แต่ก็มิได้ห้ามปราม

หานญื่อหลัวกลับตัดบทอย่างไม่สนใจด้วยบุคลิกปรอดโปร่งดุจเดิมว่า
“ตอนนี้ข้าต้องการสนทนากับพระมาตุลาแค่สองคน”
หม่าหลง ต้วนจินจำต้องล่าถอยออกไปอย่างไม่ยินยอม
 
หานญื่อหลัวเพ่งตามองพระมาตุลาแคว้นเหลียนด้วยความเป็นห่วง  พลางถามขึ้น
“ทำไมท่านถึงส่งตัวเด็กรับใช้คนนั้นกลับมา ?”  เด็กรับใช้คนนั้นพ้นตำหนักได้ไม่ถึงวัน  ฉีเซี่ยงหยวนก็บุกรุกเข้าตำหนักชุนเกอ
เหลียนอันสุ่ยเงียบไปอึดใจหนึ่ง  ก็ตอบเสียงแผ่วเบาว่า
“เพราะมันไม่มีประโยชน์  ข้า...ขาดเขาไม่ได้แล้ว”
ดวงตาของหานญื่อหลัวทอแววตกตะลึง  ฉับพลันดวงตาสีฟ้าก็วาวโรจน์
“ข้าจะไปสั่งสอนเขา !” พูดจบก็ผลุนผลันจะจากไป 
เหลียนอันสุ่ยรีบยึดท่อนแขนอีกฝ่ายไว้  ส่ายหน้าช้าๆ โดยไม่เอ่ยอะไร
 “คนผู้นั้นเอาบ้านเกิดมาข่มขู่ท่าน!  บีบบังคับท่าน  ใช้วิธีการต่ำช้ากับท่าน  นี่ท่านยังอภัยให้เขาอีกหรือ ? ” หานญื่อหลัวถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เหลียนอันสุ่ยมิได้มองคู่สนทนา  สายตาจับอยู่ที่กรอบประตู  รอจนเงาของคนคุ้มกันทั้งสองห่างออกไปจนพ้นขอบเขตสายตา  จึงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบทีละคำว่า
“ท่านยังไม่ทราบ  ...คืนแรกที่กลายเป็นของเขา...ข้าถูกวางยา”
ดวงตาของคนฟังเบิกกว้าง  อึ้งจนพูดไม่ออก
“และท่านก็ยังไม่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนไม่เพียงใช้แคว้นเหลียนมาข่มขู่ข้า  ชีวิตของบุตรชายข้าก็อยู่ในกำมือเขา” กล่าวจบก็เบือนหน้ากลับมาสบตากับคู่สนทนา
“...ทำไมท่านไม่เกลียดเขา” เรื่องราวเหล่านี้เพียงพอจะให้คนสองคนแค้นกันจนเข้ากระดูกดำ 
“เมื่อวานข้าก็ถามคำถามนี้กับตัวเอง  เหตุใดจึงยังไม่เกลียดเขา...” แววตาของเหลียนอันสุ่ยล่องลอยไปไกล เวลาทั้งวันล้วนหมดสิ้นไปกับการไถ่ถามตัวเอง
“ท่านใจกว้างเกินไปแล้ว”

เหลียนอันสุ่ยได้ยินก็หลุบตาลง  คำพูดคำนี้ดันไปเหมือนกับคนๆนั้นเสียได้  พลางส่ายหน้า  กล่าวว่า
“การให้อภัยของคนมีขีดจำกัด  เรื่องราวบางเรื่องมิใช่เรื่องที่สามารถให้อภัยกันได้  ...แต่ถ้าหากท่านสามารถอภัยให้กับคนๆหนึ่งได้ทุกเรื่องราว  สาเหตุมีเพียงหนึ่งเดียวคือท่านรักคนๆนั้นอย่างลึกซึ้ง” แววตาของเหลียนอันสุ่ยแม้หม่นหมองอยู่บ้าง  แต่ก็ใสกระจ่างอ่อนโยน  มุมปากปรากฏรอยยิ้มฝืนๆอย่างอับจนปัญญา

“...ดังนั้นไม่ว่าเขาจะทำอะไรล้วนไม่สำคัญ  เพราะว่าข้าได้รักเขาไปแล้ว”
---------------------
กิ่งท้ออ่อนไหวเบาๆ คล้ายกับมีความเศร้าอาลัย  แต่ก็แฝงลักษณะหลุดพ้นชนิดหนึ่ง
เหลียนอันสุ่ยนั่งอ่านรายงานที่ผู้เป็นอาจารย์เขียนถึงการเรียนของบุตรชาย  ในหัวกลับมิอาจปล่อยวางคำพูดของหานญื่อหลัวที่กล่าวหลังอารมณ์ทั้งหมดสงบลง

‘...ถ้าท่านรักเขาจริงก็วางใจเถอะ  คนคุ้มกันสองคนนั้นไม่ได้โกหก  ถึงพวกเขาจะวิจารณ์ ‘การให้เกียรติและให้โอกาสซึ่งกันและกัน’ ของข้าผิดไป  แต่คำว่าฉีเซี่ยงหยวนรักคนทีละคนเดียวเป็นเรื่องจริง  ถ้าเขาให้ความสำคัญกับท่าน  ก็จะทุ่มเททั้งหมดของเขาให้กับท่าน  ...และตราบใดที่คนคุ้มกันสองคนนั้นยังไม่ไปไหน  ใจของฉีเซี่ยงหยวนก็จะอยู่ที่ท่าน  เพราะในบรรดาองครักษ์ทั้งหมดของฉีเซี่ยงหยวน  หม่าหลง ต้วนจินเพียงเป็นรองจากหลิวฉางเฟย  อันที่จริงข้ายังไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ข้างกายใครอื่นนอกจากฉีเซี่ยงหยวน’...!?

คำพูดพวกนี้แทบสะกดเหลียนอันสุ่ยจนนิ่งอึ้งไป  เพียงวันเดียวเขาได้รับทราบฐานะที่แท้จริงของบุคคลสามคน  ได้รู้ถึงความจริงหลายประการที่ตัวเองไม่เคยรู้ 

ในคราก่อนที่ฉีเซี่ยงหยวนจงใจหมางเมินเขา  เหลียนอันสุ่ยเพียงรู้สึกว่าฉีเซี่ยงหยวนยังไม่ถึงกับไม่ใส่ใจโดยสิ้นเชิง  เพราะยังทิ้งคนคุ้มกันของตัวเองไว้  จนวันนี้เหลียนอันสุ่ยถึงได้เข้าใจว่าทำไมหานญื่อหลัวจึงมั่นใจนักหนาว่าฉีเซี่ยงหยวนไม่มีทางปล่อยมือไปจากเขาง่ายๆ
‘...ท่านเป็นคนสำคัญของข้า’ 
เมื่อคำพูดนี้ดังก้องขึ้นมามือที่พลิกม้วนไม้ไผ่ก็หยุดชะงัก  เหลือบมองของว่างที่อิ๋งฮวายกมาตั้งไว้ให้เสียนานแล้ว...ขนมกลีบบัว  ของว่างเลื่องชื่อของแคว้นเหลียน  จากนั้นสายตาก็เลื่อนไปหยุดอยู่ที่ม้วนหนังสือตรงขอบโต๊ะโดยมิได้ตั้งใจ...หนังสือเหล่านั้นล้วนหยิบยืมมาจากหอตำราหลวง  สถานที่ที่เขาได้รับทราบในภายหลังว่าเข้มงวดกวดขันอย่างยิ่ง

ท่านยังทำอะไรเพื่อข้าไปอีก ?
เงาร่างของผึ่งผายองอาจชัดเจนขึ้นมาในบรรยากาศที่ว่างเปล่า  ความรู้สึกหวานซึ้งที่ไม่ทราบที่มากลับชัดเจนอยู่ในหัวใจ  ทั้งๆที่เด่นชัดถึงเพียงนี้เหตุใดจึงเพิ่งมารู้สึก  เหตุใดจึงต้องรอจนไม่มีปัญญากลับไปเริ่มต้นใหม่จึงได้ไหวตัวว่าตัวเองรัก ‘เขา’  ความรู้สึกลึกล้ำในตอนนี้จะทำลายทิ้งก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว

...ต้นไม้ที่ชื่อว่าความรักต้นนี้งอกขึ้นมาอย่างเงียบเชียบเกินไป  มีรากที่แข็งแกร่งเกินไป  แม้ปลูกอยู่ไม่ถูกที่  แต่กลับยึดครองพื้นที่ทั้งหมดในจิตใจ...

ฉีเซี่ยงหยวนเอย ข้าควรทำเช่นไรกับท่านดี ?

========
เห็นมีคนเรียกร้องมาเรื่องรวมเล่ม 
คนเขียนเองก็อยากจะรวมอะนะ  แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ายังแต่งไม่จบ :katai1:
ดังนั้นเอาไว้แต่งจบแล้วจะแจ้งอีกทีนะคะ


ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 28
«ตอบ #86 เมื่อ27-08-2014 16:57:22 »

รอรวมเล่ม ชอบๆ :pig4: นักเขียน

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
 o13
 :L1:
สู้ๆนะ

ซื้อแน่นอนค่ะ
รักเรื่องนี้ที่สุด


รอจนทรมาน เป็นเรื่องแรกที่แอบรอขนาดนี้ ติดขนาดนี้
แต่เข้าใจว่านักเขียนเรียนหนัก แถมเนื้อเรื่องกำลังเข้มข้น
เป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 31
«ตอบ #89 เมื่อ31-08-2014 11:33:50 »


บทที่ 31 มึนงงเหมือนอยู่ในหมอกควัน

ใต้เปลือกนอกอันสงบเยือกเย็น  ฉีเซี่ยงหยวนมีความกระสับกระส่ายกังวล  หวั่นเกรงว่าประตูบานนั้นจะมีแต่ความมืดมิดลอดผ่านออกมาอีกครา  เมื่อวานเหลียนอันสุ่ยรีบดับไฟเข้านอนเพื่อไล่เขา  ส่วนวันนี้ไฟในห้องยังสว่างอยู่  แต่ไม่ทราบว่าเจ้าตัวจะยินยอมพบเขาหรือไม่

อิ๋งฮวายืนอยู่ข้างประตูตรงที่ประจำของนางพลางรายงานเข้าไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจอยู่บ้างว่าเป่ยชางอ๋องมาถึง 
เสียงรายงานเงียบหายไปนานจึงค่อยมีเสียงตอบกลับมาว่า
 “เชิญต้าอ๋องเข้ามา”
ประตูเปิดออก  เสียงหนึ่งดังออกมา
 “พระมาตุลาแคว้นเหลียนคารวะเป่ยชางอ๋อง”
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วหนาววาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า  คนคารวะคารวะได้อย่างถูกต้องตามแบบแผน  แต่เส้นแบ่งระหว่างพวกเขาทั้งสองคล้ายชัดเจนยิ่งกว่าเวลาใดๆ

เหลียนอันสุ่ยมิได้สนใจบุรุษที่ยืนชาค้างอยู่ตรงหน้าเขา เหลือบมองท้องฟ้าที่เพิ่งจะมืดได้ไม่นาน  ทราบว่าหลังเลิกประชุมขุนนางที่ยืดเยื้อฉีเซี่ยงหยวนคงรีบรุดมาทันที  ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงหันไปกล่าวกับหัวหน้าหญิงรับใช้ของตัวเองว่า
“ให้คนยกอาหารเข้ามาเถอะ”
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ  นี่...นี่ใช่กำลังลองใจอะไรเขาหรือไม่  ไม่ทันที่เป่ยชางอ๋องหมาดๆจะสามารถหาคำตอบให้กับตัวเอง  เบื้องหน้าก็ปรากฏอาหารที่ดูพิถีพิถันสามจาน 
เหลียนอันสุ่ยเชิญเขานั่งลง  ฉีเซี่ยงหยวนก็นั่งลง  มองชามข้าวที่มีเพียงชามเดียวแต่ตะเกียบกลับมีสองคู่ตรงหน้าตัวเองอย่างงงงัน
ตะเกียบคู่หนึ่งตกไปอยู่ในมือเรียวยาวได้สัดส่วน  เหลียนอันสุ่ยใช้มือข้างหนึ่งจับชายแขนเสื้อ  อีกมือคีบกับให้อีกฝ่าย  ปากกล่าวว่า
“ต้าอ๋อง  อาหารทั้งสามอย่างล้วนปรุงแบบชาวเป่ยชาง  แต่คนปรุงเป็นชาวเหลียน  รสชาติอาจแตกต่างไปบ้าง”
“...อะ อืมม์” ฉีเซี่ยงหยวนมองชามข้าวที่ถูกเลื่อนมาอยู่ตรงหน้า  มองเนื้อที่วางอยู่บนข้าว  พลันรู้สึกคล้ายเข้าใจ  คล้ายสับสนงุนงง  บุคคลที่ชาญฉลาดตลอดมาขบคิดอยู่เป็นนานจึงค่อยๆยื่นตะเกียบออกไป...

“ท่านไม่จำเป็นต้องเกรงใจ  พ่อครัวท่านนี้เป็นท่านเชื้อเชิญมา  รับประทานได้อย่างเต็มที่” เสียงที่สงบนุ่มนวลทำให้ฉีเซี่ยงหยวนต้องเงยหน้ามองคนกล่าววาจา  แต่เหลียนอันสุ่ยยังคงไม่มองเขา  คีบกับอีกคำใส่ลงในชาม

บรรยากาศที่แปลกประหลาดดำเนินต่อไป  ในความเป็นจริงฉีเซี่ยงหยวนรับประทานมาแล้ว  แต่อิ่มแค่ครึ่งท้อง  เพราะรีบร้อนรับประทานลวกๆเพื่อที่จะรีบรุดมาตำหนักเสียงวสันต์  หากถึงจะเป็นเช่นนั้นรสชาติอาหารก็ยังคงไม่สามารถซึมซาบเข้าไปในประสาทการรับรู้ของต้าอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้  เหลียนอันสุ่ยคีบกับใส่ชามคำหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนก็รับประทานลงไปคำหนึ่ง  ในใจมีแต่ความอึ้งงันที่วุ่นวาย...เอาเป็นว่าตัวเป่ยชางอ๋องเองยังไม่แน่ใจว่าตกลงตัวเองอึ้งงันจนคิดอะไรไม่ออก  หรือวุ่นวายใจจนคิดอะไรไม่ออก 

ฉีเซี่ยงหยวนขบคิดถึงสภาพการเผชิญหน้าระหว่างพวกเขาไว้สารพัดรูปแบบ  แต่ละแบบล้วนตระเตรียมวิธีรับมือมา  แต่สภาพที่เกิดขึ้นจริงกลับไม่ตรงกับที่เขาคาดเดาไว้ซักอย่าง  มือไม้จึงอดปั่นป่วนอยู่บ้างไม่ได้
เมื่อชามข้าวว่างเปล่า  เหลียนอันสุ่ยก็สั่งให้คนมาเก็บออกไป  จากนั้นหันมากล่าวว่า
“ต้าอ๋อง ข้าให้คนเตรียมน้ำไว้แล้ว  ท่านไปอาบน้ำเถอะ” 

แน่นอนว่าครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนก็ได้แต่ปฏิบัติตามอย่างว่าง่ายเช่นกัน...
---------------------
วิกาลที่มืดมิด  สายตาของฉีเซี่ยงหยวนเหลือบมองร่างสูงโปร่งของบุรุษที่นอนอยู่ข้างกาย  ไม่แน่ใจว่าตัวเองได้รับการให้อภัยแล้วหรือยัง  ยิ่งไม่เข้าใจท่าทีในวันนี้ของเหลียนอันสุ่ย  หลังตัดสินใจอยู่เป็นนาน  มือใหญ่ก็ค่อยๆยื่นเข้าไปใกล้มือเรียวทีละน้อย  ลังเลแล้วลังเลอีก  สุดท้ายจึงค่อยกอบกุมมืออีกฝ่ายไว้ด้วยท่าทีไม่แน่ใจอยู่บ้าง  คล้ายหวาดกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ  หัวใจเต้นถี่เร็วจนตัวเองรู้สึกได้ 

มือของเหลียนอันสุ่ยขยับเล็กน้อย  แต่มิได้สลัดออก  ในความรู้สึกของฉีเซี่ยงหยวนราวกับตัวเองกลายเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งมีความรักครั้งแรก  ไม่มั่นใจแต่ก็แอบคาดหวัง  ...บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรกจริงๆที่ห้องหัวใจอบอุ่นถึงเพียงนี้  ไม่ว่าเหลียนอันสุ่ยจะยังตื่นอยู่หรือไม่  ฉีเซี่ยงหยวนเพียงภาวนาให้วันพรุ่งนี้ท่าทีของอีกฝ่ายอย่าได้พลิกผันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเลย
---------------------
คืนนั้นฉีเซี่ยงหยวนหลับสนิทยิ่ง  หลับลึกจนคล้ายไม่อยากตื่นจากความฝันอันสวยงาม  แต่กลับมีมือข้างหนึ่งเขย่าตัวเขาเบาๆ
“ต้าอ๋อง  ตื่นเถอะ  แม่ทัพหลิวรอคอยจนกระวนกระวายแล้ว”  เสียงนี้จะคุ้นก็คุ้น  จะไม่คุ้นก็ไม่คุ้น  เหลียนอันสุ่ยไม่เคยปลุกเขามาก่อน  ฉีเซี่ยงหยวนลืมตาช้าๆ  เหลียนอันสุ่ยเห็นอีกฝ่ายรู้สึกตัวแล้วจึงค่อยดึงมือออกมาจากการยึดกุม 

ฉีเซี่ยงหยวนอดกำมือเข้าหากันไม่ได้  อาลัยอาวรณ์กับความอบอุ่นที่เพิ่งผละจากไป  ความอบอุ่นที่เขากอบกุมมาตลอดทั้งคืน...
---------------------
หลิวฉางเฟยรอจนกระวนกระวายแล้วจริงๆ  ข้างตัวมีหญิงรับใช้คนหนึ่งซึ่งประคองชุดว่าราชการเต็มยศของเป่ยชางอ๋องเอาไว้ในมือ  ดีที่ว่าในที่สุดประตูบานนั้นก็เลื่อนเปิด  ปรากฏร่างสูงใหญ่ก้าวออกมา
ยังไม่ทันที่ชุดว่าราชการจะถูกคลุมลงบนร่างของฉีเซี่ยงหยวน  เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นว่า
“แม่ทัพหลิวไปจัดการเรื่องอาหารเช้ากับขบวนเสด็จเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทัน  ตรงนี้ข้าจัดการเอง”
หลิวฉางเฟยไม่แน่ใจว่าวันนี้หูของตัวเองใช่ใช้การได้ตามปรกติหรือไม่  แต่ก็บอกให้หญิงรับใช้ส่งชุดสูงค่าให้กับพระมาตุลาแคว้นเหลียน  เหลือบมองต้าอ๋องแวบหนึ่ง  แล้วทั้งหลิวฉางเฟย ทั้งหญิงรับใช้ก็พากันล่าถอยออกไป

เหลียนอันสุ่ยยังคงมิได้รวบผม  สวมชุดให้อีกฝ่ายด้วยท่าทีละเอียดถี่ถ้วน  ฉีเซี่ยงหยวนแข็งทื่อไปทั้งร่าง  บุรุษที่รับมือสถานการณ์มาทุกรูปแบบ  ทั้งรู้จักฉวยโอกาสเป็นที่สุด  มาจนตอนนี้กลับทำอะไรไม่ถูก  ไม่อยากเสี่ยงกับอะไรทั้งนั้น  ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คนผู้นี้สำคัญจนเกินไป  สำคัญจนหวาดกลัวที่จะสูญเสีย  กลิ่นหอมอ่อนๆของเหลียนอันสุ่ยครอบคลุมอยู่รอบตัวเขา  กลายเป็นอาภรณ์ชั้นหนึ่งที่ห่มคลุมจิตใจของเขา  ดวงตาสับสนของฉีเซี่ยงหยวนอ่อนแสงลง  ดูท่าเช้านี้...แท้จริงแล้วเขายังมิได้ตื่นจากฝัน...
---------------------
เขา...ทำถูกหรือไม่นะ
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าจิตใจตัวเองมิได้แข็งแกร่งอย่างที่เคยเป็น  ยิ่งมิได้มั่นคงอย่างที่เคยเป็น 
ที่น่าแปลกประหลาดก็คือถึงแม้ฉีเซี่ยงหยวนจะนำพาความเจ็บปวดมากมายมาให้กับเขา  ความหาในใจกลับไม่พบความโกรธเคืองอยู่เลย  ไม่ว่าเรื่องที่อภัยกันได้  หรือเรื่องที่อภัยมิได้  ล้วนอภัยให้อีกฝ่ายไปจนหมดสิ้น  ที่แท้เวลาคนเรารักใครคนหนึ่งก็เป็นไปได้ถึงเพียงนี้
เหวินจี  ข้าขอโทษ  แต่ข้าหลอกตัวเองต่อไปไม่ได้แล้ว  ...เจ้าวางใจเถอะ  สุดท้ายข้าจะชดใช้ทุกอย่างให้กับเจ้า  ขอแค่เวลานี้...ให้ข้าได้รักเขา...
เพราะการขัดขืนความรักไม่มีประโยชน์  เนื่องจากมันยังคงถูกเขียนไว้ในหัวใจของท่าน  ยิ่งพยายามผลักไส  ก็ยิ่งยัดเยียดความเจ็บปวดให้กับตัวเอง
---------------------
    วันแรกเหลียนอันสุ่ยดับไฟไล่เขา  วันที่สองกลับดีกับเขาจนเหมือนฝันไป  วันที่สามนี้ฉีเซี่ยงหยวนยังคาดเดาไม่ออกว่าตัวเองจะเจอเข้ากับอะไร 
บนโต๊ะอาหารยังคงเป็นเช่นเดิม  คือข้าวหนึ่งถ้วยกับตะเกียบสองคู่  ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้ว  ขณะจะร้องสั่งให้คนเอาข้าวมาเพิ่มอีกถ้วย  เหลียนอันสุ่ยกลับห้ามปรามไว้  กล่าวว่า
“ท่านรับประทานเถอะ  ข้ารับประทานกับจิ้งเต๋อไปแล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนลมหายใจขาดห้วงไปครู่หนึ่งเพราะความรู้สึกเจ็บลึกที่ผุดวาบขึ้นมา  ข้าวยังคงอุ่นร้อนแต่กลับมีรสชาติของความโดดเดี่ยวอ้างว้างอันขมฝาด
ที่แท้...ท่านไม่เคยมองข้าเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวท่านเลย

เหลียนอันสุ่ยไม่ทันเห็นแววตาที่เปลี่ยนไป  ยิ่งไม่ทราบว่าเมื่อตัวเองหลับใหลไปแล้ว  กลับถูกบุรุษผู้หนึ่งดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด  จมูกของฉีเซี่ยงหยวนจรดลงกับผิวกายละเอียด  สัมผัสคลอเคลียแผ่วเบาแฝงเยื่อใยอาลัยอาวรณ์  ดวงตาที่แม้มีแววเจ็บปวดแต่กลับมีแววรักใคร่ลุ่มหลงจนหมดหัวใจหลับลงอย่างแช่มช้า

ท่านดีต่อข้าทั้งๆที่ในใจกลับไม่เคยนับข้าเป็นคนสำคัญ  ใจของข้าแม้เจ็บปวดแต่ก็ยังปิติยินดี  ข้าคุ้นชินเสียแล้วกับการที่มีคนเข้าหาเพราะหวังผลตอบแทน  ยิ่งคุ้นชินก็ยิ่งโดดเดี่ยวนัก  ข้าเพียงหวังให้ท่านดีต่อข้าเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ 
ใช่แล้ว...แค่ท่านดีต่อข้าก็พอ  อื่นๆข้าล้วนไม่สนใจ 
---------------------
เหลียนอันสุ่ยตื่นนอนด้วยความงุนงงเล็กน้อย  ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตัวเองกลายไปอยู่ในอ้อมกอดของร่างสูงใหญ่ได้  ...ยิ่งไม่คุ้นชินกับความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยที่เกิดขึ้น 
ขณะเหลียนอันสุ่ยช่วยอีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้า  ฉีเซี่ยงหยวนก็หลุดคำถามหนึ่งออกมาโดยมิได้ตั้งใจ
“ข้ากินมื้อเช้าที่นี่ได้หรือไม่...” หลังหลุดคำพูดออกไปก็ได้แต่สำนึกเสียใจ  ขณะจะกล่าวกลบเกลื่อน  เหลียนอันสุ่ยที่นิ่งคิดอยู่กลับหันไปเอ่ยกับบานประตูว่า
“อิ๋งฮวา  ให้คนจัดชามตะเกียบเพิ่มอีกชุด  ...แล้วก็ไปตามจิ้งเต๋อมาได้แล้ว  เป็นเด็กเป็นเล็กไม่สมควรหัดตื่นสาย”
“เจ้าค่ะ” เสียงรับคำดังออกมาจากด้านนอก
ฉีเซี่ยงหยวนรับฟังจนชะงักค้างไป  รู้สึกว่าตัวเองถูกผลักเข้าไปในห้วงหมอกควันอันคลุมเครืออีกครา  ไม่อาจเข้าใจเหตุและผลของเรื่องที่เกิด  คาดเดาตอนต่อของเรื่องราวไม่ออก    รู้สึกหมิ่นเหม่ราวสามารถร่วงหล่นลงไปได้ทุกเมื่อ 
---------------------
เหลียนจิ้งเต๋อกระพริบตาปริบๆมองพ่อแท้ๆกับพ่อบุญธรรมที่นั่งเคียงกันตรงหน้า  สับสนมึนงงราวถูกผลักเข้าไปในห้วงหมอกควันอันหนาทึบเช่นกัน  ทำไมพ่อบุญธรรมถึงโผล่มาที่นี่เอาตั้งแต่เช้าป่านนี้ ?  ยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านพ่อจึงยอมให้อีกฝ่ายร่วมโต๊ะอาหาร  ท่านพ่อมิใช่ไม่ชอบพ่อบุญธรรมที่เขารับมาโดยพลการคนนี้เอามากๆหรอกหรือ ?

แน่นอนว่าสงสัยก็ส่วนสงสัย  จะถามขึ้นมาทำลายบรรยากาศก็ออกจะเป็นการโง่เขลาจนเกินไป  อันที่จริงเหลียนจิ้งเต๋อไม่สบายใจเรื่องที่ท่านพ่อของเขาเกลียดพ่อบุญธรรมมาโดยตลอด  ...อีกอย่างมีพ่อบุญธรรมร่วมโต๊ะด้วยก็ไม่ใช่จะไม่ดี  อาหารเช้าที่แต่ก่อนมักมีน้อยอย่าง  วันนี้ถึงกับงอกมาอีกห้าอย่างด้วยกัน !

แน่นอนว่าเมื่อเป็นอาหารที่จัดให้เป่ยชางอ๋อง กลิ่น สี และรสชาติจึงล้วนสูงล้ำทั้งสิ้น  เหลียนจิ้งเต๋อมองจนตาเป็นประกาย  มิได้สนใจกระทั่งบรรยากาศแปลกๆรอบตัว ‘ท่านพ่อ’ ทั้งสอง  ตะเกียบในมือสู้รบกับอาหารทั้งห้าจานอย่างดุเดือด
ความจริงบนโต๊ะมีคนมีความสุขจนสุดประมาณอยู่อีกคนหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนแม้รู้สึกว่าตัวเองยังอยู่ในหมอกควัน  แต่ก็รู้สึกว่าเป็นหมอกควันที่ดียิ่ง  ทั้งเบาสบาย ทั้งหวานละมุน  ปากที่ชมชอบเหยียดสนิทจนเป็นนิสัย ขณะนี้กลับมีรอยยิ้มอ่อนบาง  รสชาติของความสุขอบอวลอยู่เต็มคำ  เกรงว่าต่อให้รสชาติอาหารย่ำแย่กว่านี้  เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนก็จะยังคงรู้สึกว่ามันยอดเยี่ยมที่สุดในหล้าอยู่ดีนั่นเอง

ที่แท้...เหลียนอันสุ่ยก็มิได้เห็นเขาเป็นคนห่างไกล
---------------------
สรุปก็คือวันนั้นฉีเซี่ยงหยวนอารมณ์ดีไปทั้งวัน  ไม่ว่าเรื่องใหญ่น้อยใดๆล้วนไม่อาจทำให้เขาโมโหได้ทั้งสิ้น  ส่วนหลิวฉางเฟยตอนเช้าแม้ขอบคุณเหลียนอันสุ่ย  แต่เมื่อคล้อยบ่ายกลับเกิดอาการหัวร่อไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ขึ้นมา

งานที่เป่ยชางอ๋องต้องรับทราบมีมากมายอย่างยิ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนเพราะรีบร้อนไปตำหนักเสียงวสันต์เมื่อวานจึงสุมงานไว้กองใหญ่  แต่ถึงแม้จะมีงานกองสูงเท่าหัวบุคคลที่สมควรรับผิดชอบกลับพานคิดซ้ำๆอยู่เรื่องเดียว คือจะปลีกตัวไปหาพระมาตุลาแคว้นเหลียนได้อย่างไร...

“ต้าอ๋อง  งานกองซ้ายสุดเร่งด่วนจนไม่อาจเร่งด่วนมากไปกว่านี้  ไม่ว่าอย่างไรภายในวันนี้ก็ต้องมีคำสั่งลงไป  คนรับไปปฏิบัติจึงจะปรับแก้ได้ทัน” คำพูดของหลิวฉางเฟยสงบราบเรียบ  แต่นับเป็นคำขาด  ฉีเซี่ยงหยวนฟังคำเตือนแล้วขมวดคิ้ว คิดเพียงครู่เดียวก็กล่าวว่า
“งั้นยกทั้งกองไปให้หลี่กวงเว่ยเถอะ”
เส้นเลือดบนขมับของหลิวฉางเฟยเต้นตุบ  กล่าวท้วงอย่างอดทนว่า
“ต้าอ๋อง  งานของใต้เท้าหลี่มีมากอย่างยิ่ง  ตั้งแต่ท่านยัดเยียดตำแหน่งขุนนางให้เขา  เกรงว่าไม่มีวันไหนที่ได้นอนเกินสองชั่วยาม” ความหมายคือท่านอย่าได้คิดเพิ่มงานให้เขาอีก!
ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้วอีกครา  หลังคิดอยู่นานก็กล่าวว่า
“งั้นเจ้าก็ให้คนยกอะไรที่เจ้าบอกว่าต้องทำภายในวันนี้  แล้วตามข้ามา” พูดจบคนพูดก็เดินตัวปลิวออกไปแล้ว
หลิวฉางเฟยรู้สึกหางตากระตุกอยู่หลายครั้ง  ปวดหัวจนอยากจะไปเกิดใหม่ เอาเถอะ...บางทีต่อหน้าพระมาตุลาผู้นั้น  นายเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่ของเขาอาจไม่สามารถอู้งานตามใจชอบก็เป็นได้
---------------------
เหลียนอันสุ่ยไปหอตำราหลวงมา  เส้นทางขากลับกลับรู้สึกว่าบรรยากาศภายในตำหนักตัวเองเปลี่ยนไป  เสียงร้องสดใสที่จดจำได้แม่นยำว่าเป็นของบุตรชายดังแว่วมา
ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี  หาได้เหตุผลอันสมเหตุสมผลสุดประมาณที่จะมาเยือนตำหนักเสียงวสันต์...สอนดาบให้บุตรบุญธรรมมีอันใดไม่ถูกต้อง ?
เกรงว่าต่อให้คนคิดหาคำครหาก็หาไม่ได้  เหลียนอันสุ่ยยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะไล่เขาไปเพราะมาเยือนก่อนเวลาอันควรเด็ดขาด
...คิดไม่ถึงว่าการดับไฟเข้านอนปฏิเสธการพบหน้าในครั้งนั้น  จะทำให้ฉีเซี่ยงหยวนฝังใจหวาดวิตกมาจนบัดนี้ 

ในความเป็นจริงเหลียนอันสุ่ยมิได้ตั้งใจจะเย็นชา  เพียงแค่ต้องการเวลาในการตกลงใจว่าจะปฏิบัติกับบุรุษผู้นี้อย่างไร  ฉีเซี่ยงหยวนกลับตีความคลาดเคลื่อนไปกันใหญ่  ผลก็คือบุรุษที่แต่ก่อนมาไม่เคยต้องมองสีหน้าใคร  ตอนนี้กลับเกรงใจตัวประกันที่มีศักดิ์ฐานะต่ำกว่าตัวเองผู้นี้เป็นอย่างมาก  ยิ่งเหลียนอันสุ่ยดีต่อเขา  ใจก็ยิ่งไม่ต้องการจะสูญเสีย

เหลียนอันสุ่ยมองคนตัวโตกับคนตัวเล็กที่ประดาบบนลานหน้าตำหนัก  เสียงดาบฟังสูสี  แต่เหลียนจิ้งเต๋อดูฝืนจนเห็นได้ชัด ส่วนต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางกลับมีท่าทีแทบไม่ต่างจากยามปรกติ  กระทั่งลมหายใจยังไม่เปลี่ยนแปลง  ด้านข้างมีเด็กผู้ชายกุมดาบรอจังหวะอยู่ไม่ไกล  เป็นเด็กคนนั้นเอง  บุตรบุญธรรมอีกคนของฉีเซี่ยงหยวน  บุตรชายเพียงคนเดียวของรัชทายาทองค์ก่อน  หลังจากพบหน้าในคราวนั้นเหลียนอันสุ่ยก็ได้ยินมาว่าฐานะของเด็กคนนั้นเลื่อนขั้นเป็นรัชทายาทแล้ว

ชมดูอยู่นานจึงเข้าใจ นี่เป็นการประมือแบบสองรุมหนึ่งโดยแท้  ตอนแรกเด็กทั้งสองแม้ผลัดกันเข้าไป  ภายหลังกลับกลายเป็นฉีเซี่ยงหยวนต้องรับมือทั้งซ้ายขวาด้วยดาบเล่มเดียว 
ความสามารถของรัชทายาทวัยเยาว์แคว้นเป่ยชางยังเหนือกว่าเหลียนจิ้งเต๋ออีก  ท่าทีสุขุมรอบคอบ  รู้จักงำประกายของเขาทำให้เหลียนอันสุ่ยคิดถึงเหลียนอ๋อง  บุตรบุญธรรมของฉีเซี่ยงหยวนคนนี้วัดภาวะทางจิตใจแล้วโตกว่าเหลียนจิ้งเต๋อมากมายทีเดียว
“พระมาตุลา” มีเสียงเรียกดังมา  เหลียนอันสุ่ยหันไปก็พบเห็นหลิวฉางเฟย  คนสนิทของเป่ยชางอ๋องผู้นี้ดูไปคล้ายมีเรื่องไม่สบายใจ
---------------------
เสียงดาบบนลานเงียบไปแล้ว  คนอู้งานขณะนี้จำต้องนั่งสะสางราชกิจอย่างเรียบร้อยบนโต๊ะตัวใหญ่ในตำหนักเสียงวสันต์  ในคราแรกฉีเซี่ยงหยวนแทบจะจับคนสนิทไปถ่วงน้ำ  แต่พอเหลียนอันสุ่ยจัดการเรื่องราวของเด็กทั้งสองเสร็จ  โผล่มาฝนหมึกให้กับเขา  อาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของฉีเซี่ยงหยวนก็ปลาสนาการหายไปอย่างรวดเร็ว  ลอบร้องชมเชยว่าหลิวฉางเฟยทำได้ดีอย่างยิ่ง
เมื่อมีครั้งที่หนึ่งย่อมต้องมีครั้งต่อไป  หลังจากนี้ขนงานมาทำที่ตำหนักเสียงวสันต์ย่อมเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้แล้ว
อันที่จริงจิตใจของฉีเซี่ยงหยวนปลอดโปร่งเกินจะถือโทษหลิวฉางเฟยเป็นจริงเป็นจัง  การรับประทานอาหารอย่าง ‘พร้อมหน้า’ เมื่อเช้าเท่ากับเป็นการอนุญาตให้เขาพูดคุยกับเหลียนจิ้งเต๋อ  ทุกคนต่างทราบว่าเหลียนอันสุ่ยรักบุตรชายคนนี้มากมายเพียงใด  นั่นจึงแสดงว่าฐานะของฉีเซี่ยงหยวนในใจของพระมาตุลาแคว้นเหลียนไม่ได้จัดอยู่ในทางเลวร้ายอีกแล้ว

กลิ่นของน้ำหมึกฟุ้งจางๆ  ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองถูกหลอมจนอ่อนโยนลง  ดวงตาอดมิได้ที่จะเหลือบมองคนข้างกาย  รูปลักษณ์ของเหลียนอันสุ่ยสงบสันติยิ่ง  ดูราวไม่แปดเปื้อนตลอดกาล  ความรู้สึกละอายกลับเข้มข้นขึ้นมาในหัวใจ  ฉีเซี่ยงหยวนรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเหลียนอันสุ่ยเลย  หยกที่สูงค่าชิ้นนี้ของแคว้นเหลียนถูกเขาทำลายจนแปดเปื้อนแล้ว  หากมิใช่ศักดิ์ฐานะของเขาสูงกว่าอีกฝ่ายจนทาบไม่ติด  หากมิใช่แคว้นเหลียนถูกกลืนจนล่มสลายไปแล้ว  เหลียนอันสุ่ยไหนเลยจะมาฝนหมึกให้กับเขา  ด้วยความสามารถของบุรุษผู้นี้คู่ควรจะมาฝนหมึกให้กับเขาที่ไหนกัน

ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินตัวเองกล่าวออกไปว่า
“ด้วยความสามารถของท่าน...ตำแหน่งขุนนางในแคว้นเป่ยชาง  ถ้าท่านไม่รังเกียจว่าต่ำต้อย  ข้าสามารถเสาะหาให้ท่านได้”
แท่งหมึกในมือของเหลียนอันสุ่ยชะงักไป
“ต้าอ๋อง...ข้าเพิ่งรอดพ้นจากวังวนอำนาจมาได้รอบหนึ่ง  ตอนนี้ไม่ต้องการจะไปเกี่ยวข้องอีก”
ฉีเซี่ยงหยวนขบคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วกล่าวว่า
“ที่โรงหมอของแคว้นเป่ยชาง  หมอที่มียังคงไม่เพียงพอ  หากวันเวลาในตำหนักแห่งนี้น่าเบื่อเกินไป  ท่านสามารถไปที่นั่นได้”
จากท่าทีของเหลียนอันสุ่ยเห็นได้ชัดว่าถูกข้อเสนอนี้ชักจูงจนหวั่นไหวใจ
เหลียนอันสุ่ยเป็นพระมาตุลา  แต่ละวันเคยมีงานกองสุมไม่ต่างจากเขา  คุ้ยเคยกับชีวิตที่ไม่มีกิจธุระในตำหนักเสียงวสันต์ที่ไหนกัน  ฉีเซี่ยงหยวนยังนึกภาพวันที่ตัวเองไม่ต้องทำงานไม่ออก  เขาพรากหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินไปจากบุรุษตรงหน้า  ความรู้สึกผิดนี้ฝังลึกในใจฉีเซี่ยงหยวนมาโดยตลอด  ครุ่นคิดเพียงแต่ว่าจะชดเชยให้บุรุษตรงหน้าอย่างไร
“เหลียนอันสุ่ยขอบพระทัยต้าอ๋อง”
คิ้วของฉีเซี่ยงหยวนขมวดมุ่นลง  สับสนจนเอื้อมมือออกไปคว้าตัวบุรุษข้างกายเข้ามา  จ้องลงไปในดวงตาที่แฝงแววแตกตื่นของอีกฝ่าย
‘ทำไมท่านถึงให้อภัยข้า  ท่านที่แท้ให้อภัยข้าหรือไม่ ? ’
อยากถามเหลือเกิน  แต่ไม่มีความกล้าที่จะถามออกไป  กลัวไปขุดตะกอนที่ท่านฝังไปแล้วขึ้นมาอีก  กลัวจะทำให้ท่านเจ็บปวดใจ
“ต้าอ๋อง  พวก...พวกเด็กๆยังอยู่ด้านนอก” เสียงทักท้วงแผ่วเบา  หน้าแดงไปจนถึงใบหู  เหลียนอันสุ่ยกลับเข้าใจจิตเจตนาของอีกฝ่ายผิดไป
ลมหายใจของฉีเซี่ยงหยวนขาดห้วง  ดวงตาทอแววตกตะลึง
“ท่าน...อภัยให้ข้าแล้วหรือ?”
เหลียนอันสุ่ยใช้เวลาพักใหญ่จึงเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร  ดวงตาคู่งามมองแววสับสนไม่มั่นใจของบุรุษตรงหน้า  ใจอ่อนลงโดยไม่รู้สาเหตุ  สุดท้ายจึงรับคำแผ่วเบาว่า
“อืมม์”
ฉับพลันนั้นความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงก็เกิดขึ้นในดวงตาของฉีเซี่ยงหยวน  ในอารมณ์ทั้งหมดทั้งมวลความละอายกลับเด่นชัดเป็นพิเศษ  เหลียนอันสุ่ยกลับตอบแทนวิธีการชั่วร้ายเห็นแก่ตัวของเขาด้วยวิธีที่เจ็บแสบที่สุด  นั่นคือการให้อภัย  เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉีเซี่ยงหยวนคาดหวังให้ตัวเองเป็นคนดีกว่านี้  ได้ยินเสียงอีกฝ่ายดังขึ้นว่า
“ต้าอ๋อง  งานของท่าน...” พูดไม่ทันจบประโยคกลีบปากนุ่มละมุนก็ถูกครอบครองด้วยจูบอ่อนเบา 
ใจของฉีเซี่ยงหยวนขมวดเกร็ง  ทั้งละอายทั้งปวดร้าวจนบอกไม่ถูก  หากมือทั้งคู่ของเหลียนอันสุ่ยกลับเลื่อนขึ้นไปโอบรอบลำคอหนา  คนประทับจูบชะงักไปวูบหนึ่งเพราะคาดไม่ถึง...ก่อนจูบนั้นจะเปลี่ยนเป็นแนบแน่นด้วยความรู้สึก...ลึกซึ้งด้วยรอยอารมณ์ 
มันยังคงเป็นแค่ริมฝีปากประทับแตะกัน  มิได้ล่วงล้ำ  หากสิ่งที่ถ่ายทอดกลับเหนือกว่าคำพูดนับพัน

สำหรับกับฉีเซี่ยงหยวน ในวินาทีที่เหลียนอันสุ่ยใช้มือโอบรอบลำคอเขา  หัวใจก็จมดิ่งลงไปใน ‘สายน้ำ’ สายนี้จนงมไม่ขึ้นแล้ว  เพิ่งเข้าใจในตอนนั้นว่าอะไรคือรักจนลุ่มหลงงมงาย

เหลียนอันสุ่ยหลับตาลงช้าๆ  ยินยอมให้อีกฝ่ายจูบสักพักก็ขืนตัวออก เนื่องเพราะสำนึกได้ว่าบรรดาบุตรชายของพวกเขา...เอ้อ  ไม่  ไม่ใช่...เด็กๆพวกนั้นยังอยู่ด้านนอก
“ต้าอ๋องงานของท่านไม่อาจรอช้า  ข้า  ข้าจะไปดูว่าเด็กพวกนั้นพากันไปไหนแล้ว  อีกไม่นานอาหารน่าจะใกล้เสร็จ  พวกเขาสมควรอยู่แถวๆนี้” พูดจบเหลียนอันสุ่ยก็ผละจากไป
ฉีเซี่ยงหยวนสูดลมหายใจลึก  รู้สึกเพียงอยากจะหยุดช่วงเวลานี้ไว้ตลอดกาล...
---------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด