<<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58  (อ่าน 214838 ครั้ง)

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
ความุขที่รู้ว่าไม่มีพรุ่งนี้นี่ทำร้ายจิตใจดิฉันเหลือเกินค่ะ  :ling2:

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ตอนนี้สวยงาม แต่หน่วงหนัก หวังแค่ให้จบแฮปปี้ก็ดีใจแล้วค่ะ
ตอนหน้าจะได้น้ำตาซึมมั้ยเนี่ย เพราะตอนนี้มันดีเกินไป
แต่สิ่งต่างๆก็ต้องดำเนินไป รอลุ้น ฮือ

รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ท่านรักข้าใช่หรือไม่  ข้ารู้ว่าท่านรักข้า  ที่ข้าไม่เคยมั่นใจตลอดมาไม่ใช่เพราะท่านไม่เอ่ยปาก แต่ที่จริงเป็นเพราะข้านึกไม่ออกว่าท่านจะรักข้าได้อย่างไร  ข้าทำเรื่องเลวร้ายกับท่านไปมากเพียงใดข้าล้วนทราบดี
 :hao5:

เห็นเชียงหยวนเจ็บปวดขนาดนี้ ยกโทษให้กับความร้ายกาจที่ทำกับอันซุ่ยช่วงแรกอย่างสนิทใจแล้ว จริงสินะอันซุยรักเจ้าคนร้ายกาจนี้ได้ยังไง ขนาดตัวคนถูกรักยังไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่แปลกที่เชียงหยวนจะหลงรักทุกอย่างของเหลียนๆ แต่คงไม่คิดว่าเหลียนๆจะรักตนขนาดนี้เช่นกันสินะ แทบไม่กล้าจะใช้อำนาจที่มีมากักขังอีกฝ่ายไว้อีกแล้ว ฮืออออ อย่างให้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ แต่ก็ไม่กล้าใช้อำนาจบังคับใจอีกฝ่าย ท่านรักเหลียนอันซุ่ยจนหมดใจแล้วจริงๆ  :hao5:


ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
สนุกมากกกกกกกก เห็นเรื่องนี้มานานแล้วในอีกบอร์ด ไม่กล้าอ่าน สุดท้ายเห็นมาลงที่เล้าอดไม่ได้ สนุกอย่างที่คิดจริงด้วย นิยายเลอค่ามากฮ่ะ!

ออฟไลน์ rk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
เรื่องนี้ชอบมากกกกกกกกก  :katai2-1:  :katai2-1:  :katai2-1:

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 58
«ตอบ #157 เมื่อ20-10-2014 20:14:07 »

บทที่ 58 สัปดาห์ที่สอง(1)

ห้วงเวลาดำเนินไปเช่นนี้  ราวมีกฎที่รับรู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายว่าจะไม่เอ่ยถึงการแยกจากที่คืบใกล้เข้ามาทุกที  มีเพียงครั้งเดียวที่ฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยถามเหลียนอันสุ่ยเกี่ยวกับช่วงวันหลังพ้นสิบสี่วันนี้ไป 
นั่นเป็นตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนโอบกอดเหลียนอันสุ่ยไว้  แนบใบหน้ากับช่วงคอละเอียด  เพ่งมองลงไปในสระน้ำ  มองระลอกน้ำที่วาดเป็นวง  วงแล้ววงเล่าแผ่กระจายออกไปราวการตัดบรรจบของอดีตและปัจจุบัน
“หลังจากนี้ท่านจะไปไหน  เรา...จะได้พบกันอีกหรือไม่”
แต่เหลียนอันสุ่ยกลับตอบเขาว่า
“ในเมื่อตัดใจแยกจากแล้วก็อย่าพบกันอีกเลย” ยิ่งพบหน้า  ก็ยิ่งตัดไม่ขาด  พบหน้ากันอีกครารังแต่เพิ่มความทรมานขึ้นเท่านั้น...
---------------------
ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็ยินยอมรับความจริงที่ว่าเขาต้องปล่อยเหลียนอันสุ่ยไป  ปล่อยไปโดยไม่มีวันได้กลับคืนมา  แต่คนผู้หนึ่งกลับยังไม่ยินยอมให้ฉีเซี่ยงหยวนละทิ้งความหวัง  ในแง่ของความเป็นเพื่อนแล้วเสิ่นชิงอีไม่ได้ด้อยไปกว่าสหายคนใดของฉีเซี่ยงหยวนเลย
เรือนไม้เล็กกะทัดรัดแยกตัวออกมาจากเรือนพักรวมของเหล่านางรำ  เป็นพื้นที่ส่วนตัวของหัวหน้าฝ่ายร้องรำที่มีรูปโฉมเลื่องลือไปทั่วสามแคว้นผู้นี้  เหลียนอันสุ่ยรอคอยอยู่หน้าเรือนอย่างมีมารยาท  ตอนแรกที่เสิ่นชิงอีเชิญเขามาพบ  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจว่าสาเหตุเกี่ยวกับนางรำจากแคว้นเหลียน  แต่เมื่อเสิ่นชิงอีเอ่ยปากจึงได้ทราบว่าแท้จริงเป็นเรื่องของฉีเซี่ยงหยวน

เสิ่นชิงอีชมชอบชาดอกไม้  เวลานี้นางกำลังละเลียดชาดอกไม้ในมือ  เอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยนุ่มนวล
“ได้ยินว่าท่านจะจากไป”
เหลียนอันสุ่ยรับคำ  ขณะนึกแปลกใจ  สตรีตรงหน้าแค่ท่าจิบชายังงามจนชวนให้คนลุ่มหลง  เหมือนธรรมชาติที่บริสุทธิ์งดงามโดยไม่ต้องการคนมาแต่งเติม  นางงามขนาดนี้  ฉีเซี่ยงหยวนอยู่ข้างๆมาเป็นปีๆ  เหตุใดจึงไม่รู้สึกหวั่นไหว
“ข้าภูมิใจในแคว้นตัวเองตลอดมา  คิดไม่ถึงว่าแคว้นเป่ยชางไม่อาจทำให้ท่านประทับใจ  อย่างที่ข้าประทับใจ”
“ไม่  แคว้นเป่ยชางมีสเน่ห์อย่างยิ่ง”
“ถ้าเช่นนั้นที่ทำให้ท่านไม่ประทับใจคงเป็นคน”
เหลียนอันสุ่ยส่ายหัว  ตอบว่า
“คนก็ดีอย่างยิ่ง”
“ไม่จริงกระมัง  อย่างน้อยสมควรมีคนผู้หนึ่งที่ทำให้ท่านไม่พอใจ  ทำผิดต่อท่านแต่ไม่เคยรู้ตัว  ข้าบอกได้แค่ว่าคนผู้นั้นรักท่านมาก  แต่เขาไม่เคยรู้ตัวจริงๆว่าทำให้ท่านไม่พอใจในเรื่องใด”
“แม่นางเสิ่นเข้าใจผิดแล้ว  เขาไม่ได้ทำผิดต่อข้า  และที่ข้าจะจากไปก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากที่เราทะเลาะกัน  เราไม่ได้มีปัญหากัน  อย่างน้อยก็ไม่ได้มีปัญหาในแบบที่ท่านเข้าใจ”
“ปัญหาก็คือปัญหา  ต้องหาทางแก้ไข  มิใช่หันหลังให้กัน  ท่านบอกมาเถิด  เผื่อข้าจะช่วยได้”
เหลียนอันสุ่ยมองใบหน้างามสะคราญที่เอ่ยปากอย่างจริงใจ  เรียวปากเขามีรอยยิ้มบางๆ  ไม่ได้เอ่ยอะไรอยู่พักหนึ่ง
ผู้ชายคนนี้มีรอยยิ้มที่น่ามองนัก  และมีดวงตาที่ใสกระจ่างราวกับรู้ซึ้งในทุกสิ่ง บัลดาลให้คนทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง  เสิ่นชิงอีก้มหน้าลง  ดื่มชาดอกไม้อีกหนึ่งอึก  รอคอยให้อีกฝ่ายตอบคำ
“ท่านว่าถ้าข้าจากไปจะเกิดอะไรขึ้น” จู่ๆเหลียนอันสุ่ยก็ถามคำถามนี้ขึ้นมา
เสิ่นชิงอีตอบทันทีว่า
“จะต้องมีคนผู้หนึ่งเสียใจมาก  ทุกข์ใจมาก”
เหลียนอันสุ่ยยังคงยิ้มบางๆ  หลุบตาลงต่ำ  สูดกลิ่นชาหอมจรุง  พลางตอบว่า
“เสียใจนั้นเสียใจ  ทุกข์ใจนั้นทุกข์ใจ  แต่ความเสียใจทุกข์ใจไม่ได้อยู่กับคนตลอดไป  หลายเดือนให้หลังความเสียใจทุกข์ใจย่อมต้องเบาบางไปเอง”
เสิ่นชิงอีแย้ง
“มีความเสียใจบางประเภทไม่อาจเลือนหายไปตามกาลเวลา  ข้าเห็นว่าเรื่องนี้เป็นความเสียใจประเภทนี้”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป  สุดท้ายกล่าวว่า
“สามเดือน” เห็นดวงตาอีกฝ่ายทอแววไม่เข้าใจ  เหลียนอันสุ่ยจึงพูดต่อว่า “ไม่เกินสามเดือนท่านจะได้ต้าอ๋องคนเดิมของท่านกลับมา”
ดวงตาคู่งามของเสิ่นชิงอีหรี่ลง  กล่าวอย่างจริงจังว่า
“ท่านดูถูกความรักที่ต้าอ๋องมีให้ท่านเกินไปแล้ว  ข้าไม่เคยเห็นเขารักใครเท่าท่านมาก่อน  เขาไขว่คว้ามาชั่วชีวิต  คนเช่นนี้มีหรือที่จะไม่กล้า  แต่เขากลับบอกข้าว่าเขาไม่กล้ารั้งท่านไว้  ตอนข้าได้ยินครั้งแรกยังแทบไม่อยากจะเชื่อ  ข้ายังคิดไม่ออกเลยว่าถ้าท่านทิ้งเขาไป  เขาจะมีสภาพเป็นเช่นไร”
เหลียนอันสุ่ยเหลือบตาขึ้นมาสบกับโฉมงามตรงหน้า  กล่าวช้าๆว่า
“ท่านต่างหากที่ดูถูกต้าอ๋องของท่านเกินไป  ชีวิตของเขาผ่านเรื่องหนักหนากว่านี้มามากนัก แค่เรื่องของข้าไม่อาจโค่นล้มเขาลงได้หรอก  ข้าบอกท่านได้ว่าไม่เกินสามเดือน  ไม่ว่าความเสียใจหรือความทุกข์ใจล้วนไม่อาจทำร้ายเขาอีก  เพราะฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนเช่นนั้น”...และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้ข้ารักเขา 
ประโยคสุดท้ายเหลียนอันสุ่ยไม่ได้พูดออกมา  แต่ทุกพยางค์กลับแจ่มชัดอยู่ในแววตา  สิ่งที่เหลียนอันสุ่ยยอมรับว่าตัวเขาไม่มีทางเทียบชั้นกับฉีเซี่ยงหยวนได้ก็คือการปล่อยวางอดีต
เสิ่นชิงอีนิ่งอึ้งพูดอันใดไม่ออกไปชั่วขณะ  ได้ยินเหลียนอันสุ่ยกล่าวต่อว่า
“ข้าคือคนที่ทำให้เขาไม่แต่งตั้งพระชายา  ดังนั้นถ้าข้าจากไปสิ่งที่เกิดขึ้นคือแคว้นเป่ยชางจะได้อัครชายา”
“...เขาไม่มีทางลืมท่านได้ง่ายๆหรอก”
“มันไม่เกี่ยวกับว่าเขาลืมข้าหรือไม่ลืม  ท่านรู้จักเขามาอย่างยาวนาน  สมควรรู้ความปรารถนาที่จะรวมสามแคว้นเป็นหนึ่งของเขา  ดูภายนอกเขาแทบไม่เอ่ยถึง  และไม่ได้รีบร้อน  เพราะเขารู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้จะรีบร้อนไม่ได้  ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่รีบร้อนหรือไม่  แต่อยู่ที่การรู้จักคว้ากุมโอกาส  ตอนนี้โอกาสที่ดียิ่ง  ละมุนละม่อมยิ่ง มาถึงมือเขาแล้ว  เขาเพียงปฏิเสธมันเพราะข้า  หากไม่มีข้า  ตำแหน่งอัครชายาจะต้องเป็นขององค์หญิงแคว้นโหยวเฉิงแน่นอน”
มือที่กุมถ้วยชาของเสิ่นชิงอีนิ่งค้าง  นางรู้จักฉีเซี่ยงหยวนมาเกินสิบปีเหตุใดจะไม่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนมุ่งหมายจะรวมสามแคว้นเป็นหนึ่งมาโดยตลอด  แต่นางกลับไม่เคยนึกถึงประเด็นนี้มาก่อน 
นิ่งเงียบไปนาน  สุดท้ายเสิ่นชิงอีก็ถามว่า
“ท่านจากไปครั้งนี้  คือตั้งใจจะกลับแคว้นเหลียนหรือ? ” อย่างน้อยนางก็สมควรจะหาเบาะแสในภายภาคหน้าของพระมาตุลาให้กับฉีเซี่ยงหยวน
เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า
“แคว้นเหลียนอยู่ในมือต้าอ๋องของท่านแล้ว  ข้าวางใจอย่างมาก  ข้าเพียงคิดจะพาจิ้งเอ๋อติดตามท่านนักพรต  ไปถึงที่ใดก็ไปถึงที่นั่น  ชีวิตใยต้องมุ่งหมายมากมาย  ไม่ว่าจะอยู่บนแว่นแคว้นใดใยมิใช่แผ่นดินผืนเดียวกัน”
เสิ่นชิงอีมองเข้าไปด้านใน  ถอนหายใจคราหนึ่ง
ตอนที่นางเดินออกมาส่งพระมาตุลาถึงหน้าเรือนเล็กนางก็ถอนหายใจอีกครา  ใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลใสกระจ่างยิ่งกว่าหยาดน้ำค้างบนพรมหญ้าเอ่ยว่า
“พระมาตุลา  มีความเสียใจบางประเภทไม่อาจเลือนหายไปตามกาลเวลา  ข้าหวังว่าท่านจะไม่ต้องเจอกับความเสียใจประเภทนี้”
เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วนิ่งงัน 
ขณะเสิ่นชิงอีจะหันหลังกลับไป  กลับได้ยินคำถามแผ่วเบาประโยคหนึ่ง
“แล้วท่านเล่า  ที่ท่านทำอยู่มิใช่ความเสียใจประเภทนี้หรอกหรือ  หลายปีที่ผ่านไปท่านรอคอยใครอยู่กันแน่”
เงาหลังอ้อนแอ้นบอบบางของเสิ่นชิงอีชะงัก  หันหน้ามาช้าๆ  เผยรอยยิ้มบางๆแล้วตอบว่า
“ที่ข้ารอคอยมิใช่ใคร  ข้าเพียงรอคอยวันที่จะเป็นอิสระ...ไม่ใช่สิ  บางทีคงต้องบอกว่าข้ารอคอยคนแบบท่าน  น่าเสียดายที่ท่านจะจากไปแล้ว”
“ข้ากำลังจะจากไปแล้ว  ดังนั้นหลังจากนี้ ‘เขา’ เป็นของท่าน  ฝากท่านดูแลเขาด้วย” อายุยี่สิบสองถือว่ามากเกินไปสำหรับวัยออกเรือนของผู้หญิงคนหนึ่ง  และยิ่งมากเกินไปสำหรับผู้หญิงที่งามสะคราญถึงขั้นนี้    เหตุใดนางจึงยังไม่แต่งงาน  นางรอคอยผู้ใดอยู่กันแน่  เหลียนอันสุ่ยคิดว่าเขาพอจะตอบได้  เพราะว่าเขามองเห็นแล้ว  เวลาสตรีพูดถึงบุรุษที่นางรักจะไม่มีทางเหมือนเวลาที่นางพูดถึงบุรุษผู้อื่น  โฉมงามนางหนึ่งอยู่เคียงข้างบุรุษที่โดดเด่นผู้หนึ่งมาอย่างยาวนาน  ความในใจของนางผู้ใดสามารถทราบได้
แต่เสิ่นชิงอีฟังที่อีกฝ่ายพูดแล้วกลับแย้มยิ้มกว้างกว่าเดิม  กล่าวช้าๆว่า
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว  ‘เขา’ เป็นของท่าน  ไม่ว่าวันนี้หรือหลังจากนี้เขาก็เป็นของท่าน”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งขึงไป 
“พระมาตุลา  ข้ารู้จักเขามาเกินสิบปี  ถ้าเขาจะรักข้าก็คงรักไปนานแล้ว  ในเมื่อข้ามิอาจเป็นคนที่เขารัก  ข้าจะไม่เอามิตรภาพที่สามารถยืนยาวชั่วชีวิตไปแลกกับการเหลือบแลชั่วครั้งชั่วคราวจากเขาหรอก  แต่ท่านไม่เหมือนกัน  ดังนั้นข้าหวังว่าท่านจะไม่จากไป  เพราะข้าอยากตัดใจให้ได้อย่างเด็ดขาดเสียที”
เสิ่นชิงอีหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ขณะกล่าวประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงจริงจังนุ่มนวล
“...บางครั้งหัวใจคนเรามันก็ดื้อด้าน  แม้จะตัดใจไปแล้วก็ยังคงห่วงพะวงถึง  แต่ถ้าเขามีคนที่เขารักอยู่เคียงข้าง  ข้ามั่นใจว่าข้าจะตัดใจได้”
---------------------
เหลียนอันสุ่ยจากไปด้วยท่าทีเหม่อลอย  ส่วนเสิ่นชิงอีเดินกลับเข้าเรือนของตัวเอง
หยิบถ้วยน้ำชาออกมาอีกถ้วย  รินชาดอกไม้ลงไป  ขณะเอ่ยเชื้อเชิญ
“ต้าอ๋อง  ท่านยังไม่ได้ดื่มชา  วันนี้เป็นชาดอกมะลิ  ข้าต้องให้คนอบกลิ่นตั้งนานกว่าจะหอมได้ขนาดนี้”
ผ้าม่านบางเบาของห้องชั้นในถูกเลิกขึ้น  เงาร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งเดินออกมา  กลับเป็นผู้ที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่...เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน
“ข้าบอกเจ้าแล้ว  ว่าเจ้าโน้มน้าวเขาไม่สำเร็จหรอก”
“เซี่ยงหยวน  มีผู้ชายไม่กี่คนหรอกนะที่ปฏิเสธคำวิงวอนของข้าได้  อีกอย่างข้าก็แค่อยากช่วย  ข้าไม่เคยเห็นท่านเป็นแบบนี้”
ฉีเซี่ยงหยวนเดินมา  รับน้ำชาดอกไม้ไปสูดกลิ่น พลางเอ่ยว่า
“...ขอบคุณ” ทั้งเรื่องชาและทุกเรื่อง
ดวงตาของเสิ่นชิงอีทอแววเป็นห่วงขณะถาม
“แล้วท่าน...จะปล่อยเขาไปง่ายๆแบบนี้”
รอยยิ้มบนเรียวปากของฉีเซี่ยงหยวนเจือความขม  กล่าวด้วยน้ำเสียงจนใจว่า
“ชิงอี  ข้ายังทำอันใดได้อีกหรือ  คิดไม่ถึงเขากลับเข้าใจข้ากระจ่างปานนี้  กระจ่างจนข้าจะหาข้อโต้แย้งยังหาไม่ได้เลย”

ได้ยินคำพูดนี้เสิ่นชิงอีก็พลอยรู้สึกจนใจไปด้วย  นางพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดฉีเซี่ยงหยวนถึงหลงรักพระมาตุลาผู้นี้  ความจริงสมควรกล่าวว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่ฉีเซี่ยงหยวนจะไม่หลงรักพระมาตุลาผู้นี้  ในเมื่อทุกความรู้สึกนึกคิดของฉีเซี่ยงหยวนเหลียนอันสุ่ยล้วนเข้าใจกระจ่างยิ่งกว่าใคร  ฉีเซี่ยงหยวนอยู่ในกำมือพระมาตุลาผู้นี้มาตั้งแต่แรกแล้ว
---------------------
 ‘...ข้าหวังว่าท่านจะไม่จากไป...’
พระมาตุลาแคว้นเหลียนไล้มือไปตามกิ่งใบของต้นไม้ในอุทยานหลวง  จดหมายอำลาที่เขียนให้หานญื่อหลัวยังเขียนไม่เสร็จดี  วันนี้เขามีนัดสนทนากับท่านนักพรต  แต่เวลายังเช้าอยู่มากจึงมาเดินเล่นในอุทยานหลวงซึ่งพอดีตั้งอยู่ไม่ไกลนักจากที่ที่แคว้นเป่ยชางจัดให้นักพรตผู้มากชื่อเสียงผู้นี้พำนัก
ประโยคของเมื่อวานยังคงยึดครองความคิดในจิตใจเขา
‘...เขาเป็นของท่าน  ไม่ว่าวันนี้หรือหลังจากนี้เขาก็เป็นของท่าน’
เสิ่นชิงอีกลับสามารถวางความรักของนางได้อย่างสง่าผ่าเผยนัก  สตรีผู้นี้คู่ควรกับฉีเซี่ยงหยวนอย่างไม่ต้องสงสัย  แต่ชะตากลับเล่นตลกบันดาลให้คนที่ฉีเซี่ยงหยวนรักกลับเป็นตัวเขา  เรื่องราวทุกอย่างผิดทำนองคลองธรรมไปเสียหมด

‘...มีความเสียใจบางประเภทไม่อาจเลือนหายไปตามกาลเวลา  ข้าหวังว่าท่านจะไม่ต้องเจอกับความเสียใจประเภทนี้’
เขาเองก็หวังว่าตัวเองจะไม่เจอกับความเสียใจประเภทนี้จึงยินยอมเป็นฝ่ายจากไป...

“ต้นไม้ถูกจำกัดกรอบในอุทยาน  คนจำกัดกรอบตัวเองออกมาจากธรรมชาติ  แบ่งเขาแบ่งเรา  ทั้งๆที่แท้จริงสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียว  ฟ้าดินไพศาลใยต้องจำกัดกรอบตัวเอง” เสียงสงบเรื่อยเฉื่อยเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า 
เหลียนอันสุ่ยหันหน้ากลับไปก็เห็นชายชราเคราขาวในอาภรณ์เรียบง่ายผู้หนึ่ง
“ที่แท้ท่านนักพรตก็มาเดินเล่นอุทยาน”
“เป็นความเมตตาของอดีตพระสนม  ข้ามาเดินอุทยานเพราะไม่คุ้นชิน  ข้าไม่ค่อยพำนักในเมืองนานขนาดนี้”
ฟังว่าอดีตพระสนม  พระมารดาขององค์ชายสาม  ตั้งแต่สูญเสียบุตรชายก็นิยมเลื่อมใสฝักใฝ่ทางพรต  ครั้งนี้เป็นเพราะนางเชื้อเชิญ  เต้าหยินผู้มีชื่อเสียงผู้นี้จึงได้พำนักในวังหลวง
ผู้มากวัยกว่ามองประเมินบุรุษชาวเหลียนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า  เหลียนอันสุ่ยนิสัยไม่แสวงหาลาภยศ  ไม่มุ่งมั่นครอบครอง  ความจริงเหมาะสมกับมรรคาแห่งเต๋าไม่น้อย  มีแต่เข้าใจชีวิต  ปล่อยวางชีวิต  จึงสามารถคืนสู่ความสงบและบริสุทธิ์  น่าเสียดายขั้นตอนที่เรียกว่า ‘การปล่อยวาง’ นี้  ดูไปแล้วพระมาตุลาแคว้นเหลียนยังทำได้ไม่หมดจดนัก
“รู้จักกรอบรู้จักขอบเขตจึงทำให้คนเป็นคน  เหลียนอันสุ่ยเคยได้ยินมาเช่นนี้  หวังให้ท่านนักพรตช่วยชี้แนะด้วย”
ผู้มากวัยกว่ายิ้ม  บุคลิกสงบน่าเลื่อมใส  ชวนให้ผู้พบเห็นเกิดความรู้สึกนิยมยกย่อง
“กรอบกฎเกณฑ์ล้วนเป็นภาพลวงตา  คงมีแต่มนุษย์ที่สร้างภาพลวงตานี้ขึ้นมาเอง  แล้วก็หลงเชื่อเป็นจริงเป็นจัง  ท่านดูหนองบึง  ถึงแม้เราท่านจะเห็นว่ามันมีขอบเขตอันเด่นชัด  แต่แท้จริงหนองบึงล้วนเชื่อมโยงกับฟ้าดิน  รับน้ำจากฟ้า  แทรกซึมสู่ผิวดิน  อาณาเขตไหนเลยจำกัดเพียงตาเห็น  ได้มาหรือสูญเสียไปไหนเลยต้องยึดติด  ในเมื่อไม่นำพาต่อการได้มาและสูญเสีย กรอบกฎเกณฑ์ไหนเลยมีอิทธิพลต่อท่านอีก”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป  นักพรตชราลูบเครายาว  มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเมตตา  พลางกล่าวว่า
“ใกล้เวลาแล้ว  ข้าจะไปรอท่านที่เดิม  ท่านค่อยๆคิด  ค่อยๆเดินตามมาก็ได้  เวลาเหลืออีกไม่กี่วัน  ข้าอยากให้เมื่อถึงตอนที่ท่านจากไปสามารถจากไปอย่างปลอดโปร่งปล่อยวาง  แต่ละก้าวที่เดินตามข้าไปเป็นความสมัครใจและหลุดพ้นอย่างแท้จริง”
---------------------
ท่านรู้หรือไม่  ไม่ว่าวันคืนจะยาวนานเพียงใด  แต่วันสุดท้ายย่อมต้องมีวันมาถึง
ในที่สุดสองสัปดาห์ที่ประกอบไปด้วยวันที่แสนพิเศษและวันที่แสนจะธรรมดาก็ดำเนินมาจนถึงหนึ่งวันสุดท้าย

คืนนี้พวกเขาควรจะได้อยู่ด้วยกันก่อนแสงตะวันจะมาทำให้ผู้คนต้องลาจาก  น่าเสียดายที่ความรักครั้งนี้คล้ายเป็นความรักที่ฟ้าไม่ส่งเสริมมาตั้งแต่ต้น  ในวันสุดท้าย  คืนสุดท้าย  เหตุปั่นป่วนวุ่นวายในเมืองหลวงก็เกิดขึ้น

มีคนวางเพลิงเผาจุดสำคัญในเมืองหลวง  เพลิงกองใหญ่ลุกโชนขึ้นฟ้า  อาบย้อมรัตติกาลจนเรื่อแสงสีแดงน่าพรั่นพรึง
เขตทิศใต้เชื่อมต่อถึงประตูวังเกิดไฟผลาญขวางกั้นการสัญจร  ผู้คนคาดเดาสาเหตุไปต่างๆนานา  บ้างก็ว่าข้าศึกจู่โจม  บ้างก็ว่าพรรคพวกกบฏขององค์ชายรองก่อเหตุเตรียมฉวยจังหวะบ้านเมืองปั่นป่วน  ไฟลามแทบถึงบ้านเสนาบดีตระกูลต้วน  แถบบ้านผู้ดีมีอันจะกินหนีตายกันจ้าละหวั่น  สาเหตุยังไม่อาจสรุป  หากที่ยากกว่าคือดับไฟในคืนที่ลมโหมแรงอากาศแห้งจัดเช่นนี้  ได้แต่โทษว่าฤดูร้อนปีนี้ที่มาถึงก่อนกำหนด  ไม้แต่ละต้นที่สร้างเป็นเสาเรือนจึงมีสภาพพร้อมติดไฟ

ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดว่านี่จะเป็นผลงานของข้าศึกหรือกบฏ  แต่ถ้าภายในคืนนี้ยังดับไฟไม่ได้  ปล่อยให้ลุกลามเข้าเขตที่อยู่อาศัยหนาแน่น  เมืองหลวงของแคว้นเป่ยชางจะถูกเผาไปหนึ่งในสี่ในพริบตาซ้ำรอยเหตุเพลิงไหม้เมื่อหลายปีก่อน  ซึ่งหลังจากนั้นไม่เพียงท้องพระคลังต้องร่อยหรอ  ข้าศึกที่หลายคนคาดหมายคงได้จังหวะฉวยโอกาสกันจริงๆแล้ว
ตอนที่ข่าวนี้มาถึงเหลียนอันสุ่ยกับฉีเซี่ยงหยวนเหลือบตาขึ้นมองกัน  ต่างเห็นความเจ็บปวดในแววตาฝ่ายตรงข้าม  คืนสุดท้ายของพวกเขาต้องถูกไฟเผาไปในลักษณะนี้หรือ ?

เหลียนอันสุ่ยคว้าเสื้อคลุม กล่าวว่า
“ข้าจะไปช่วยท่าน”
แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับสั่นศีรษะ  เอื้อมมือขึ้นมาลูบใบหน้าหมดจดอย่างอาลัย  พลางกล่าวว่า
“ถ้าควบคุมเพลิงได้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว  พรุ่งนี้ท่านต้องจากไปแต่เช้า...นอนเถอะ  หลังจากนี้ไม่รู้ว่าจะได้นอนเตียงดีๆแบบนี้อีกหรือไม่  ดังนั้นคืนนี้ท่านต้องหลับให้สนิทรู้ไหม  ข้าไปไม่นานหรอก  จัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้วจะรีบกลับมา”
นิ้วมือเรียวยาวของเหลียนอันสุ่ยทาบลงไปบนฝ่ามือใหญ่ที่วางอยู่บนผิวแก้มเขา  พึมพำว่า
“ท่านต้อง...ต้องรีบกลับมา”
ฉีเซี่ยงหยวนยิ้ม  พลางตอบคำ
“แน่นอน  ข้าจะรีบกลับมา” อย่างน้อยข้าต้องกลับมาเห็นหน้าท่านเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากไป
ไม่ต้องลังเลใจ  และไม่ต้องรวบรวมความกล้า  เหลียนอันสุ่ยยื่นหน้าออกไปจูบบุรุษเพียงหนึ่งเดียวที่ฝังลึกอยู่ในใจเขา  หลังจูบเร็วๆหนึ่งครั้ง  ฉีเซี่ยงหยวนก็กระพริบตา  กล่าวว่า
“จูบลาหรือ  ไม่ละเมียดละไมเลย  ไว้ข้าจะกลับมาจูบลาแบบจริงๆให้ท่านดู”
คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหลียนอันสุ่ยหัวเราะ  แต่ในใจกลับรู้สึกว่างโหวง  ‘จูบลา’...  พวกเขาต่างพยายามทำเหมือนมันไม่มีอะไร  กลบเกลื่อนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติธรรมดา  ที่จะจากไปและพบหน้ากันใหม่
ฉีเซี่ยงหยวนพยายามจะไม่นึกถึงชั่วยามที่ต้องสูญเสียไปเพราะเปลวไฟกองนี้  หักใจก้าวจากไป
ทั้งคู่โกหกใครก็ได้  แต่ไม่อาจโกหกตัวเอง  เปลวเพลิงที่เดือดร้อนถึงต้าอ๋องจะดับได้เพียงไม่กี่ชั่วยามจริงหรือ  เวลาของพวกเขาน่ากลัวไม่เหลืออีกแล้ว

เหลียนอันสุ่ยทรุดตัวลงบนเตียงช้าๆ  เมื่อการจากลาที่แท้จริงมาถึง  มันกลับ...กะทันหันถึงเพียงนี้  นึกอยากจะวิ่งออกไปช่วยเหลืออยู่ข้างกายบุรุษผู้นั้น  แต่ฐานะของตัวเขาไหนเลยสามารถทำเช่นนั้น  ลู่ทางในแคว้นเป่ยชางก็รู้จักอยู่ไม่มากถึงดันทุรังไปก็ไม่แน่ว่าจะเกะกะขึ้นมา
‘...หลังจากนี้ไม่รู้ว่าจะได้นอนเตียงดีๆแบบนี้อีกหรือไม่  ดังนั้นคืนนี้ท่านต้องหลับให้สนิทรู้ไหม...’
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆ  ล้มตัวลงนอนบนเตียง  พยายามระงับความเหน็บหนาวปวดร้าวอันแผ่ซ่านขึ้นมาจากกระดูก  แม้จะบอกว่าช่วงเวลาสิบสี่วันนี้ทำสิ่งที่อยากทำไปหมดแล้ว  แต่เวลาเพียงสิบสี่วันไหนเลยเพียงพอ  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนในวินาทีที่ฉีเซี่ยงหยวนหันหลังเดินไปจากเขา  ว่ายังมีเรื่องอีกมากมายที่อยากทำร่วมกับบุรุษผู้นี้  และรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสำหรับบุรุษผู้นี้...บางทีต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตร่วมกันก็ไม่แน่ว่าจะรู้สึกเพียงพอ

เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง  และหวังว่าคืนนี้ตัวเองจะฝันถึงฉีเซี่ยงหยวน

แต่เหลียนอันสุ่ยก็รู้อีกเช่นกันว่าคืนนี้เขาไม่แน่ว่าจะนอนหลับ  ในตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนหันหลังจากไป ใจของเขากลับลิ้มรสความเจ็บปวดรวดร้าวชนิดไม่เคยพบเจอมาก่อน  คนผู้หนึ่งหลังลิ้มรสความเจ็บปวดระดับนั้น  คิดหลับให้ลงนับเป็นเรื่องที่ยากเย็น

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 59
«ตอบ #158 เมื่อ20-10-2014 20:58:42 »

บทที่ 59 สัปดาห์ที่สอง(2)

เปลวเพลิงวาดสีอย่างฉูดฉาดบาดตา  นี่เป็นเรื่องของคนหัวใจสลายเรื่องหนึ่ง...และเป็นเรื่องที่ชวนแค้นใจเรื่องหนึ่ง
ฉีเซี่ยงหยวนกระหืดกระหอบกลับมาในตอนเช้า  นานๆครั้งผู้คนจะเห็นต้าอ๋องผู้เยือกเย็นผู้นี้รีบเร่งจนกระหืดกระหอบ  แต่วันนี้ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจว่าตัวเองจะดูรีบร้อนแค่ไหนก็ต้องมาถึงตำหนักชุนเกอก่อนฟ้าสางให้จงได้  เดินผ่านห้องโถงชั้นนอกเห็นหีบสัมภาระยังจัดวางอยู่ที่เดิม  ใจที่ห้อยแขวนอยู่กลางอากาศค่อยสงบลงได้บ้าง
ในห้องนอนมืดสนิท  คนที่ควรอยู่บนเตียงก็ยังอยู่บนเตียง  เหลียนอันสุ่ยนอนไม่หลับมาค่อนคืน  สุดท้ายมาเผลอหลับเอาช่วงเช้า
ฉีเซี่ยงหยวนมองหน้าต่างที่เริ่มเปลี่ยนจากสีดำเป็นสลัวมัวซัว  พลันเกิดความเห็นแก่ตัววูบหนึ่ง  ถ้าเขาไม่ปลุกไม่แน่ว่าพระมาตุลาที่หลับลึกผู้นี้จะไปไม่ทันแล้ว  ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจ  แต่มือใหญ่กลับเอื้อมไปเขย่าคนบนเตียงเบาๆ

เมื่อท่านรักคนผู้หนึ่งท่านจะไขว่คว้าเพื่อให้ได้เขามาไว้ข้างกาย  แต่เมื่อท่านรักคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริง  สุดท้ายท่านจะปล่อยเขาไป  เพราะเมื่อถึงตอนนั้นความรู้สึกของตัวท่านเองจะไม่สำคัญอีก  ที่สำคัญกว่า...คือความรู้สึกของเขา

“เหลียนอันสุ่ย  ตื่นเถอะ  ท่านไม่ตื่นตอนนี้จะล้างหน้าแต่งตัวไม่ทันแล้วนะ”
เหลียนอันสุ่ยสะท้านตื่นขึ้นมา  เห็นหน้าฉีเซี่ยงหยวนคำถามแรกที่ถามคือ
“ท่านกลับมาแล้ว ? ”
“อืมม์” ตอบพลางเรียกให้หญิงรับใช้เอาน้ำล้างหน้าเข้ามา
“แล้วเพลิงไหม้ ? ”
“ดับได้แล้ว  โชคดีที่คนวางเพลิงเลือกเขตผู้ดีมีอันจะกิน  แต่ละหลังมีกำแพงกั้น  ไม่ประชิดติดกันเท่าไหร่  ไฟจึงลามได้ไม่เร็ว”
“คนวางเพลิงเป็นใคร”
ฉีเซี่ยงหยวนดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นนั่ง  มือค่อยๆสางผมที่ยุ่งเหยิง  ตอบคำว่า
“เป็นคนใจสลายผู้หนึ่ง” คำว่า คนใจสลาย กลับทำให้หัวใจของเหลียนอันสุ่ยหดรัดจนเจ็บปวด  เงยหน้าขึ้นเห็นฉีเซี่ยงหยวนมองมาด้วยแววตาอ่อนโยนสุดประมาณ  เรียกผู้อื่นเป็นคนหัวใจสลาย  ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองใยมิใช่เป็นคนหัวใจสลายเช่นกัน

“คนวางเพลิงเป็นบ่างของสกุลเซียว  หลงรักคุณหนูตระกูลเซียว  แต่นางรักใคร่หมั้นหมายกับผู้อื่นอยู่ก่อนแล้ว  ชีวิตบ่าวไพร่ถูกคนสกุลใหญ่ดูถูกเหยียดหยาม  นานวันฝังเป็นความแค้น  เพราะหัวใจสลายจึงผลักดันให้คิดสั้น  ใช้เพลิงเผาผู้อื่นและคร่าชีวิตตัวเอง” บุรุษประชดรักผู้นี้กลับเลือกเอาวันสุดท้ายที่พวกเขาสามารถอยู่ด้วยกันมาก่อการ  ตัวเองหัวใจสลายไปแล้วเหตุใดต้องพาลขัดขวางความรักของผู้อื่นด้วย  ความประจวบเหมาะนี้ทำให้คนที่ไม่เชื่อถือฟ้าดินเช่นฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าฟ้าดินกำลังเอาคืนเขาอย่างโหดร้าย
“เซี่ยงหยวน  ขอบคุณที่ปลุกข้า” ดวงตาคู่งามของเหลียนอันสุ่ยจับจ้องลงไปในแววตาของอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง  ราวพยายามหาคำตอบบางอย่างจากดวงตาเจิดจ้าคู่นั้น
ฉีเซี่ยงหยวนสูดลมหายใจลึก  ระงับอารมณ์ความรู้สึกที่ประเดประดังเข้ามา  เอ่ยว่า
“ท่านรีบแต่งตัวเถิด  เหลือเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามแล้ว  ท่านควรเผื่อเวลาไปตรวจดูสัมภาระตัวเองด้วยว่าครบถ้วนหรือไม่”
เหลียนอันสุ่ยจับจ้องใบหน้าคมคายนิ่ง  ราวไม่เคยเห็นบุรุษผู้นี้มาก่อน 
ประตูเปิดออก  บ่าวรับใช้ยกอ่างน้ำเข้ามา  ฉีเซี่ยงหยวนรอจนเหลียนอันสุ่ยล้างหน้าเสร็จแล้ว  จึงค่อยส่งผ้าสะอาดผืนเล็กไปให้  เหลียนอันสุ่ยรับผ้าจากมือใหญ่  เพ่งมองดูอยู่ครู่หนึ่งก็ยกขึ้นซับน้ำบนใบหน้า พลางกล่าวว่า
“เมื่อคืนท่านไม่ได้นอน  อย่าลืมพักผ่อนให้มาก”
ฉีเซี่ยงหยวนช่วยเหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนเสื้อผ้า หัวเราะแล้วตอบว่า
“คาดว่าคงยังไม่ได้พัก  วันนี้ข้ามีประชุมขุนนาง  ...ข้าแวะกลับมาส่งท่านก่อน  หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วค่อยไปที่ท้องพระโรง”
“...” เหลียนอันสุ่ยพูดอันใดไม่ออก  หันหลังให้กับฉีเซี่ยงหยวน  ทำเป็นยกเสื้อคลุมตัวนอกขึ้นสวม  ซ่อนประกายน้ำตาในแววตา  แต่แผ่นหลังโปร่งกลับถูกโอบกอดไว้  มือใหญ่รัดรอบเอวเขา  เจ้าของมือพึมพำว่า
“เหลียนอันสุ่ย  อย่าเพิ่งหันหลังให้ข้า  ไว้ตอนที่ท่านจะไปแล้วค่อยหันหลังให้ข้าได้หรือไม่”
เหลียนอันสุ่ยรีบหมุนตัวกลับไป  มองเค้าใบหน้าของบุรุษที่เขาไม่อาจลืม  ขบริมฝีปาก  เอ่ยออกไปอย่างยากลำบากว่า
“เซี่ยงหยวน  ท่าน...ท่านต้อง...รักข้ามากขนาดนี้เลยหรือ  ท่าน...” เหลียนอันสุ่ยไม่อาจกล่าวจนจบ  เพราฉีเซี่ยงหยวนก้มลงจูบเรียวปากเขาอย่างดูดดื่ม  จูบอย่างรักใคร่  จูบด้วยหัวใจทั้งหมด  เพราะมันคือ...จุมพิตอำลา
ฉีเซี่ยงหยวนถอนเรียวปากออกไป  พึมพำด้วยน้ำเสียงพร่าต่ำว่า
“ใช่ข้าแวะกลับมาส่งท่าน  และก็แวะกลับมาจูบลาท่านด้วย  ข้าหวังว่าหลังจากนี้ท่านจะถนอมตัว...ถนอมตัวเองให้ดี  ดูแลตัวเองให้ดี  เข้าใจหรือไม่” เห็นเหลียนอันสุ่ยพยักหน้าก็พูดว่า “ไปเถอะ  ได้เวลาแล้ว  ข้าจะไปส่งท่าน” มือใหญ่กุมมือเรียวทำท่าจะพาเดินไป
“ท่าน...ไม่ต้องไปส่งข้าก็ได้  ข้า...” เห็นท่าทีฉีเซี่ยงหยวนแล้วเหลียนอันสุ่ยกลับไม่อาจทรมานอีกฝ่ายไปมากกว่านี้
แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับกล่าวสั้นๆประโยคเดียวว่า
“ข้าไม่วางใจ”
เหลียนอันสุ่ยมองสองมือที่กุมกัน  ดวงตาคู่งามมีประกายเหม่อลอย  แต่ก็แฝงแววตัดสินใจแน่วแน่  ขานเรียกหญิงรับใช้ประจำตัว
“อิ๋งฮวา”
“เจ้าคะ” เสียงขานรับพลางผลักประตูเข้ามา
“ของในหีบสัมภาระที่ห้องโถงทั้งหมด  ฝากเจ้าเอาเข้าที่ด้วย”
สีหน้าของอิ๋งฮวานิ่งอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด
“นายท่าน  ท่านมิใช่จะไป...”
“ไม่ไปแล้ว” ตอบพลางถอนหายใจเบาๆ  รู้สึกได้ว่ามือใหญ่ที่กุมมือเขาเกร็งจนแข็งค้างไปแล้ว
“...เจ้าค่ะ” นิ่งเงียบไปพักหนึ่งอิ๋งฮวาก็รับคำ  ล่าถอยออกไป
“เหลียนอันสุ่ย  ท่าน...!?”
เมื่อท่านรักคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริงท่านจะปล่อยเขาไป  และก็เพราะปล่อยเขาไป...ท่านจึงได้มา
---------------------
มีของบางอย่างเมื่อท่านปล่อยมันไป  ท่านจึงได้มา
ความรักเป็นเช่นนั้น  น้ำใจเป็นเช่นนั้น  ความสุขก็เป็นเช่นนั้น  เพราะของเหล่านี้ความจริงไม่ใช่สิ่งที่ต้องดิ้นรนไขว่คว้า  ไม่สามารถบังคับเอามา  มันอยู่เพียงเอื้อมมือ 
หากมันมีอยู่...มันก็มีอยู่  แต่หากมันไม่มี  ท่านจะไปหามันมาจากที่ใด?
---------------------
จะว่าความรักครั้งนี้เป็นความรักที่ฟ้าไม่ส่งเสริมกลับไม่ถูกต้อง  ความจริงแล้วทั้งฟากฟ้า ทั้งคน ต่างเอาใจช่วยลุ้นจนตัวโก่ง 
ท่านรู้หรือไม่  ความเจ็บปวดที่สุดของการพรากจากคืออะไร ?
คือการคำนึงถึงช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน

ในคืนที่เปลวไฟแผดเผาลามเลีย  เหลียนอันสุ่ยได้ลิ้มรสความเจ็บปวดชนิดนี้  ความเจ็บปวดที่แท้จริงของการพรากจากที่แท้จริงซึ่งไม่อาจบังเอิญได้พบหน้าอีกตลอดกาล 
ความทรงจำเมื่อหลายวันก่อน  ความทรงจำเมื่อหลายเดือนก่อน  ทุกช่วงเวลาที่เหลียนอันสุ่ยพับเก็บไว้ในลิ้นชักอย่างเรียบร้อยถูกรื้อขึ้นมาในคืนเดียว  ในคืนก่อนหน้านั้นเหลียนอันสุ่ยไม่กล้าเปิดลิ้นชักๆนี้  หวาดกลัวตัวเองไม่ยินยอมจากไป  แต่คืนนี้เหลียนอันสุ่ยปรารถนาให้ฉีเซี่ยงหยวนอยู่กับเขา  อยู่กับเขาไปจนรุ่งสาง  อย่างน้อยแค่ตัวตนในความคิดคำนึงก็ยังดี
เป็นครั้งแรกที่พระมาตุลาแคว้นเหลียนพบว่าตัวเขายึดติดผูกพันกับบุรุษชาวเป่ยชางผู้นั้นถึงเพียงนี้  เขาพยายามซุกซ่อนทุกสิ่งทุกอย่าง  ซุกซ่อนจนตัวเองหลงเชื่อไปจริงๆ  ว่าสามารถหักใจได้  ว่าสามารถเดินจากไปอย่างปลอดโปร่ง  แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย
ความทรงจำที่หมุนวนนำพาเหลียนอันสุ่ยไปที่จุดเริ่มต้นและดำเนินไปถึงจุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์  ช่วงเวลาสิบสี่วันทุกอย่างพิสูจน์ชัดเจนยิ่ง  ที่แท้การมีอิสระที่จะรักใครคนหนึ่งก็มีรสชาติเช่นนี้เอง  มุมปากของเหลียนอันสุ่ยมีรอยยิ้มเมื่อนึกถึงคืนวันเก่าๆ  เขาเพิ่งเคยรู้ว่าชีวิตสามารถใช้แบบนี้ก็ได้ด้วย  ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสามารถเป็นเช่นนี้ก็ได้ด้วย  ไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผลและความเหมาะสมมากความ  ซื่อตรงกับหัวใจตัวเอง  เซี่ยงหยวน ขอบคุณที่ทำให้ข้ารู้จักรสชาติเช่นนี้  ข้าอยากจะให้สิบสี่วันยาวนานอีกซักหน่อย  แต่ช่วงเวลาสิบสี่วันนี้ท่านก็ให้ข้ามาหลายอย่างแล้วจริงๆ

ความทรงจำที่หมุนวนนำพาเหลียนอันสุ่ยไปที่จุดเริ่มต้นและดำเนินไปถึงจุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์  ที่แท้เมื่อเลือกบ้านเมืองกับเขา  ฉีเซี่ยงหยวนยังคงเลือกบ้านเมือง  ช่วงเวลาสิบสี่วันทุกอย่างพิสูจน์ชัดเจนยิ่ง  เหลียนอันสุ่ยแม้เสียใจที่คืนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน  แต่ไม่ได้เสียใจที่ฉีเซี่ยงหยวนเลือกบ้านเมืองไม่เลือกเขา  หากความรักนี้ทำลายตัวตนที่ฉีเซี่ยงหยวนเคยเป็น  ตัวตนที่ทำให้เขาภาคภูมิใจในตัวอีกฝ่ายตลอดมา  ตัวตนที่ทำให้เขาหลงรัก  ความรักที่มีฤทธิ์น่ากลัวปานนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้อีกแล้ว 
แต่ทว่าท่านยังคงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้  รอยยิ้มบางๆของเหลียนอันสุ่ยกระจ่างชัดกว่าเดิม  รู้สึกพึงพอใจและเบาสบายไปทั้งตัว  เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยมองเห็นความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา
รอยยิ้มบนเรียวปากของเหลียนอันสุ่ยสลายหายไป

‘พระมาตุลา  มีความเสียใจบางประเภทไม่อาจเลือนหายไปตามกาลเวลา  ข้าหวังว่าท่านจะไม่ต้องเจอกับความเสียใจประเภทนี้’
เหลียนอันสุ่ยเคยถามตัวเองเป็นพันครั้งว่าเขาควรไปจากฉีเซี่ยงหยวนหรือไม่  แต่นี่เป็นครั้งแรกที่คำตอบดูเหมือนจะเปลี่ยนไป
‘กรอบกฎเกณฑ์ล้วนเป็นภาพลวงตา  คงมีแต่มนุษย์ที่สร้างภาพลวงตานี้ขึ้นมาเอง  แล้วก็หลงเชื่อเป็นจริงเป็นจัง...’
บางทีเขาคงขังตัวเองอยู่ในนั้น  เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกับกรอบระเบียบและเหตุผล

 ‘ความรัก’ กับ ‘อำนาจ’ เป็นเรื่องอันตรายสองประการที่ยากจะคงอยู่ร่วมกัน  แต่หากคิดจะให้มันอยู่ร่วมกัน  นั่นต้องเป็นความท้าทายประการหนึ่ง  บางทีในใจเขาคงปฏิเสธความท้าทายเช่นนี้มาตลอด  เพราะหวาดกลัวที่จะสูญเสียไป  เพราะเดิมพันราคาแพงเกินไป
การรักบุรุษที่โดดเด่นผู้หนึ่งอาจแลกมาซึ่งความเจ็บปวดขมขื่นตลอดชีวิต  การรักบุรุษที่สูงศักดิ์ผู้หนึ่ง  ต้องแลกมากับความพยายามและการยอมรับได้ทุกอย่างเพื่อที่จะทำให้ตัวเองสามารถยืนอยู่เคียงข้างเขา  การรักบุรุษที่เป็นเจ้าของแผ่นดินยิ่งทำให้เขาไม่มีวันเป็นของท่านคนเดียว  เขาไม่สามารถทำเพื่อท่านคนเดียว  ระหว่างท่านกับเขาจะมีผู้คนนับพันนับหมื่นคั่นอยู่ตรงกลาง  ความสัมพันธ์เช่นนี้เปราะบางสุดประมาณ  เปราะบางจนเหลียนอันสุ่ยไม่กล้าเสี่ยงตลอดมา
แต่ทว่า...
‘...ได้มาหรือสูญเสียไปไหนเลยต้องยึดติด...’
เหลียนอันสุ่ยถามตัวเอง  เดินจากไปในลักษณะนี้หรือจะไม่สำนึกเสียใจไปชั่วชีวิต  ฉีเซี่ยงหยวนทำเพื่อเขามามากมาย  ท้าทายแทบทุกกรอบกฎเกณฑ์เพื่อเขา  กับแค่เอื้อมมือออกไปคว้าไว้  เหตุใดจึงยังไม่มีความกล้าอีก
เหลียนอันสุ่ยตกลงใจจะให้โอกาสความรักของพวกเขาครั้งหนึ่ง  และตกลงใจจะเดิมพันประการหนึ่ง  เดิมพันกับความรักที่ฉีเซี่ยงหยวนมีต่อเขา
เหลียนอันสุ่ยรู้ดี  สิ่งที่ยากที่สุดของฉีเซี่ยงหยวนคือการปล่อยมือ  หากฉีเซี่ยงหยวนยินยอมปล่อยเขาไป  หากในชั่วขณะนี้ฉีเซี่ยงหยวนรักเขามากพอ  ทุกกรอบเหตุผลจะไม่มีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอีก

ดังนั้นตั้งแต่วินาทีที่ฉีเซี่ยงหยวนกุมมือเขาแล้วบอกให้เขาจากไป  เหลียนอันสุ่ยก็ทราบแล้วว่าตัวเองจะไม่ไปไหน  ไม่ว่าหลังจากนี้ฉีเซี่ยงหยวนจะปฏิบัติต่อเช่นไร  ไม่ว่าความรักนี้จะคงอยู่ได้ยาวนานแค่ไหน เหลียนอันสุ่ยก็ไม่สนใจอีก  เพราะเขาได้ ‘เลือก’ แล้ว  เลือกที่จะรักด้วยทั้งหมดของหัวใจ 

แม้ความรักที่ดีจะเป็นความรักที่มีเหตุผล  แต่แก่นแท้ของความรักกลับมิใช่เหตุผล  ท่านไม่สามารถรักคนผู้หนึ่งด้วยสมอง  แต่ท่านต้องรักเขาด้วยหัวใจ...ทั้งหมดของหัวใจ
---------------------
ในชั่วขณะของความตะลึงงันนั้น  หัวสมองของฉีเซี่ยงหยวนว่างเปล่า  เบิกตามองร่างสูงโปร่งตรงหน้า  ได้ยินเหลียนอันสุ่ยสั่งอิ๋งฮวาเสร็จก็ไม่อาจนิ่งเฉยอีกต่อไป  มือที่กุมรอบมือเรียวฉุดร่างอีกฝ่ายเข้ามาหา  บังคับให้เหลียนอันสุ่ยสบตากับเขา  พลางกล่าวทีละคำว่า
“เหลียนอันสุ่ย  อย่าทำแบบนี้  นี่เป็นโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้ายที่ข้าให้ท่านได้  ถ้าท่านไม่เดินจากไปตอนนี้  หลังจากนี้เกรงว่าข้าคงไม่อาจใจกว้างพอจะปล่อยท่านไปอีกแล้ว” คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนจริงจังอย่างยิ่ง
เหลียนอันสุ่ยมองใบหน้าคมคาย  มุมปากกลับปรากฏรอยยิ้มบางๆ ขณะกล่าวว่า
“หลังจากนี้ต่อให้ท่านยินยอมปล่อยข้าจากไป  ต่อให้ท่านไม่ต้องการข้าอีกแล้ว  ข้าก็จะอยู่ข้างกายท่าน  ไม่ไปจากท่านชั่วชีวิต”
ลมหายใจของฉีเซี่ยงหยวนติดขัด  ยามกะทันหันพูดอะไรไม่ออก

“เซี่ยงหยวน  ขอโทษที่ข้าไม่อาจปล่อยมืออย่างที่ปากว่า  ทั้งๆที่ทำแบบนั้นจะดีกับท่านมากกว่า  พวกเขากล่าวกันมาไม่ผิดเลย  ความรักทำให้คนเห็นแก่ตัว  ข้าปล่อยมือจากท่านไม่ได้  วันนี้ปล่อยไม่ได้  พรุ่งนี้ก็เกรงว่าไม่อาจปล่อยได้อีกแล้ว  ข้าขอโทษที่กลับคำ ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องเจ็บปวด  ขอโทษที่ไม่เคยบอกท่านเลยว่าในใจข้าท่านสำคัญแค่ไหน  ต้าอ๋อง  ข้ารักท่าน  ไม่ว่าท่านจะเป็นฉีเซี่ยงหยวนหรือเป็นเป่ยชางอ๋องข้าก็รักท่าน  ไม่ว่าท่านจะเป็นฉีเซี่ยงหยวนหรือเป็นเป่ยชางอ๋องข้าก็ไม่อยากปล่อยมือทั้งนั้น”
ข้ารักท่าน  คำสามคำที่ฉีเซี่ยงหยวนคิดว่าชาตินี้คงไม่มีวันได้ยินจากปากเหลียนอันสุ่ย ตอนนี้ถูกกล่าวออกมาแล้ว
 “ข้าขอโทษ  ที่ก่อนหน้านี้เอาแต่หวาดกลัวว่าจะสูญเสียท่านไป  ข้าขอโทษที่ก่อนหน้านี้เอาแต่คิดถึงเหตุผลแต่กลับมองข้ามความสำคัญของความรู้สึกที่ท่านมีให้  ข้าขอโทษที่ไม่เคยมีความกล้าเพียงพอจะบอกรักท่าน  ขอโทษที่ไม่เคยทำอะไรเพื่อความรักของเราเลย...” น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ารินออกมาจากหางตาของเหลียนอันสุ่ย  ขณะพูดต่อด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“ขอบคุณทุกความรู้สึกที่ท่านมีให้ข้า  ขอบคุณสำหรับทุกเรื่องราวที่ท่านทำเพื่อข้า  ขอบคุณทุกความพยายามที่ท่านมีให้กับความรักของเรา...ขอบคุณจริงๆ ”

ฉีเซี่ยงหยวนใช้ริมฝีปากจูบซับน้ำตาบนใบหน้าเนียน  จูบซับเรื่อยมาจนถึงผิวแก้ม  พึมพำว่า
“ท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า  เพราะข้าขอบคุณโชคชะตาตลอดมาที่ทำให้ข้าได้มาเจอท่าน” ไม่ว่ามันจะเป็นความเจ็บปวดหรือความสุข  ข้าล้วนยินดีที่ท่านก้าวเข้ามาในชีวิตของข้า

รู้สึกถึงเรียวปากร้อนผ่าวที่เคลื่อนลงสู่เรียวปากเขา  เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง  จูบด้วยความรู้สึกที่พลุ่งพล่านอยู่เต็มหัวใจ  มันคือความรักที่ไม่อาจกดข่มไว้ได้อีกแล้ว  มันคือความรักที่เป็นอิสระจากพันธนาการใดๆ  ปลายลิ้นทั้งสองรุกเร้าพัวพัน  การแตะสัมผัสแต่ละครั้งคือความโหยหา  รสชาติขมฝาดของน้ำตากลืนไปกับรสชาติอีกประการที่ติดตราตรึงยิ่งกว่า...รสชาติของการได้อยู่ร่วมไม่พรากจากชั่วชีวิต
ไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น  พวกเขาจะอยู่ด้วยกัน

ความรักมักสามารถทำสิ่งที่น่าเหลือเชื่อเสมอ  มันทำให้คนที่คิดแต่จะไขว่คว้า  รู้จักที่จะปล่อยมือ  และทำให้คนที่ไม่เคยดิ้นรนแสวงหา  รู้จักที่จะคว้ากุมไว้  ตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิตเหลียนอันสุ่ยก็ไม่เคยไปจากข้างกายของฉีเซี่ยงหยวน
แม้พวกเขาจะพัวพันกันอยู่เนิ่นนาน  แต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นกลับลึกซึ้งเกินกว่าจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ทางกาย  มันมากกว่านั้น  หากมันจะเป็นความปรารถนา  มันก็เป็นความปรารถนาของสิ่งที่ขาดหายไปในวิญญาณคน...และมันได้รับการเติมเต็มแล้ว

เหลียนอันสุ่ยซบอยู่ในอ้อมกอดของฉีเซี่ยงหยวน  ความรู้สึกต่างๆยังอ้อยยิ่งไม่จาง กล่าวเบาๆว่า
“ข้าต้องไปบอกท่านนักพรตว่าข้าไม่ไปแล้ว  ท่านเองก็ต้องเข้าราชสำนัก  เอาไว้ข้าจะกลับมารอท่านที่นี่...” เหลียนอันสุ่ยพูดไม่ทันจบคำ  ฉีเซี่ยงหยวนก็ขัดขึ้นมาทันที
“ไม่มีทาง!  ข้าไม่ให้ท่านไปไหนทั้งนั้น  เรื่องนักพรตผู้นั้นส่งคนไปบอกก็พอแล้ว” เป็นครั้งแรกที่หวาดกลัวถึงเพียงนี้  ไม่ต้องการสูญเสียไป  และไม่อาจเสี่ยงที่จะสูญเสียไปอีกครั้ง
เหลียนอันสุ่ยรับรู้ถึงความหวาดกลัวในถ้อยคำนั้น  ใช้สองมือประคองใบหน้าคมคาย  กล่าวอย่างจริงจังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“ทำแบบนั้นมันขาดความจริงใจ  เซี่ยงหยวน  ท่านต้องเชื่อใจข้า  ข้าบอกว่าไม่ไปจากท่านก็คือไม่ไปจากท่าน  ไม่ไปจากท่านอีกแล้ว  ต่อให้สุดท้ายท่านจะอยากให้ข้าไปให้พ้นๆก็เถอะ”
จับจ้องมองอีกฝ่ายอยู่นาน  สุดท้ายใบหน้าเครียดขรึมก็หัวเราะ  พึมพำว่า
“ตกลง  ข้าจะเชื่อใจท่าน”
---------------------
ในความเป็นจริงแล้ว  คนแรกที่พระมาตุลาแคว้นเหลียนไปพบไม่ใช่นักพรตชรา  แต่เป็นบุตรชายของตัวเอง
เหลียนจิ้งเต๋อเมื่อได้ฟังว่าบิดาจะไม่ไปแล้วก็ตื่นเต็มตา  ร้องว่า
“แย่แล้ว  ข้าต้องรีบไปบอกองค์รัชทายาท  เดี๋ยวเขาจะเศร้าเสียใจไปเปล่าๆ” พูดไม่ทันจบประโยคดีคนก็วิ่งตัวปลิวจากไปแล้ว  ทิ้งผู้เป็นบิดาให้ยืนอึ้งอยู่กับที่ 
สุดท้ายเหลียนอันสุ่ยหัวเราะออกมาเบาๆ  ในเสียงหัวเราะมีความโล่งใจเจืออยู่เจือจาง
---------------------
จากนั้นเหลียนอันสุ่ยจึงค่อยไปหาท่านนักพรต 
ตอนที่ได้ยินคำปฏิเสธจากปากพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ดวงตาของนักพรตชราปรากฏแววงงงัน
“...คิดเรียนรู้มรรคาแห่งฟ้าต้องเริ่มจากการปล่อยวาง  น่าเสียดายที่เหลียนอันสุ่ยยึดติดมากเกินไป  เป็นความยึดติดที่แก้ไม่หาย  สุดท้ายก็ไม่อาจจากไปอย่างปลอดโปร่งได้  เหลียนอันสุ่ยขอให้การเดินทางของท่านนักพรตราบรื่น  และรู้สึกขอบคุณยิ่งสำหรับคำชี้แนะอันทรงคุณค่า  ถึงแม้ข้าและลูกจะไม่มีวาสนาได้ติดตามท่าน  แต่เหลียนอันสุ่ยจะจดจำคำสอนของท่านตลอดไป”

ในดวงตาของผู้มากวัยกว่ามีแววเสียดาย  ซึ่งหากนักพรตชราทราบที่มาที่ไปของเรื่องราวคงจะต้องนึกเสียดายหนักกว่านี้  เพราะคำพูดที่เขาหวังให้อีกฝ่ายสามารถปล่อยวางเมื่อคราวก่อน  กลับเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เหลียนอันสุ่ยล้มเลิกความคิดที่จะจากไป
---------------------
ห้องชั้นนอกเงียบสงบ
ร่างสูงโปร่งใช้ศอกข้างหนึ่งเท้าแขนเก้าอี้  หลังมือเท้าคาง  ตรวจทานอักษรในม้วนหนังสืออย่างจดจ่อ  ชายอาภรณ์สีฟ้าเทาดูราวหมอกควันที่คลี่คลุมผืนฟ้า  เส้นผมครึ่งศีรษะรวบไว้หลวมๆด้วยปิ่นหยกขาวมันแพะ  หยกขาวกระจ่างดั่งปลายเมฆา  เส้นสายหมดจดบนใบหน้าละมุนตา  เท้าเปลือยเปล่าทั้งคู่วางอยู่บนพรมขนสัตว์หนานุ่มผืนหนึ่ง  เหลียนอันสุ่ยในรูปลักษณ์เรียบง่ายเช่นนี้ให้อารมณ์ผ่อนคลายปล่อยตัวตามธรรมชาติ  นี่กลับเป็นภาพที่งดงามที่สุดในชีวิตของฉีเซี่ยงหยวน

เป่ยชางอ๋องที่สามแคว้นต่างครั่นคร้ามหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู  หวาดกลัวว่าภาพดังกล่าวจะเป็นเพียงหมอกควัน  ฉีเซี่ยงหยวนเคยนึกฝันถึงช่วงเวลานี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ปรารถนาจากส่วนลึกของหัวใจให้ทุกวันหลังจากนี้ของเขาสามารถมีเหลียนอันสุ่ย
เมื่อมันเป็นจริงขึ้นมามันกลับดูเหมือนความฝันจนยากจะเชื่อ

ที่แท้รสชาติของการมีคนรอคอยให้กลับไปก็เป็นรสชาติเช่นนี้เอง  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยคาดหวังว่าสักวันตัวเองจะมี ‘บ้าน’  แต่ในวินาทีนั้น  ฉีเซี่ยงหยวนกลับภาวนาให้ที่แห่งนี้เป็น ‘บ้าน’ ของเขาตลอดไป
---------------------
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นเห็นฉีเซี่ยงหยวนก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“ต้าอ๋อง  เมื่อคืนท่านไม่ได้นอน  วันนี้ในเมื่อกลับมาเร็วก็นอนให้มากหน่อย  หลับซักตื่นหนึ่งก่อนเถอะ” เหลียนอันสุ่ยยังจำท่าทีอิดโรยในตอนย่ำรุ่งของฉีเซี่ยงหยวนได้
หากวินาทีถัดมาพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็ตกใจจนทำม้วนตำราในมือตกพื้น  เมื่อท่อนแขนกำยำช้อนร่างเขาขึ้นมาจากเก้าอี้
ร่างสูงโปร่งถูกวางลงบนเตียงใหญ่  ร่างสูงใหญ่ทาบทับลงมา  ใบหน้าคมคายฝังลงกับซอกคอละมุน  กลิ่นหอมอ่อนจางราวกับมิได้ดำรงอยู่จริง  ราวกับเป็นเพียงความฝันของเขาเท่านั้น  มือใหญ่เลื่อนลงไปตามเอวเพรียว  เพื่อยืนยันกับตัวเองว่าอีกฝ่ายมีตัวตน  ท่าทีของร่างสูงทำให้หัวใจของเหลียนอันสุ่ยบีบรัด  แนบริมฝีปากเข้ากับใบหูของฝ่ายตรงข้าม  กล่าวอย่างจริงจังว่า
“ท่านใยต้องรีบร้อน  ในเมื่อระหว่างเรายังมีเวลาอีกชั่วชีวิต” น้ำเสียงปลอบประโลมโน้มน้าว  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างที่คร่อมอยู่เหนือร่างเขาผ่อนคลายลง  แต่ยังไม่ยอมขยับไปไหน  เพียงทิ้งน้ำหนักค่อนมาทางด้านข้าง  ทำให้เป็นกึ่งๆเกยกึ่งๆตะแคง  มือใหญ่รวบเอวของเขาเอาไว้
ปิ่นหยกขาวหลวมจนเลื่อนหลุดลงมา  ฉีเซี่ยงหยวนดึงมันออกจากเกลียวผม วางไว้บนโต๊ะด้านข้าง
เหลียนอันสุ่ยกลับมิได้คิดจะสลัดอีกฝ่ายออก  เพียงใช้ปลายนิ้วเรียวยาวไล้ปอยผมที่ระใบหน้าคมคายไปทัดที่หลังใบหู  ยิ้มบางๆ กล่าวถามเบาๆว่า
“ข้านอนเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่”
“...ดี” เมื่อมีข้อเสนอเช่นนี้ในที่สุดร่างสูงก็ยอมเลื่อนตัวห่างออกไปด้านข้างอีกหน่อย  เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่อึดอัด
 “แต่ก่อนหน้านั้นท่านต้องถอดกวานก่อน” จู่ๆเหลียนอันสุ่ยก็เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา
ฉีเซี่ยงหยวนกระพริบตา  เพิ่งนึกได้ตัวเองลืมอะไร  หัวเราะเบาๆแล้วหันหลังกลับไป  ยินยอมให้เหลียนอันสุ่ยปลดรัดเกล้าออกจากศีรษะเขา
เส้นผมสีดำสนิท  ครอบกวานสีทองเจิดจ้า  ปิ่นเสียบสีทองเช่นกัน  ปลายนิ้วเรียวยาวขาวสะอาดดึงปิ่นอันนั้นออกอย่างแช่มช้า  ปล่อยเส้นไหมสีดำให้เป็นอิสระ  และปล่อยหัวใจคนจากกรงขัง
บ่ายวันนั้นกลิ่นอายแดดสดชื่นเป็นพิเศษ
======

ในที่สุดก็พ้นช่วงที่เนื้อหาต่อเนื่องเป็นพืด  หลังจากนี้จะอัตรการอัพจะเปลี่ยนเป็นอาทิตย์ละครั้ง  ครั้งละสองตอนนะคะ


ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
เย่ พ้นช่วงหน่วงหัวใจเสียที แต่เรื่องชายา ท่านอ๋องจะทำงายเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
เรากลัวเรื่องขั้วอำนาจจังค่ะ  :ling2:

ออฟไลน์ _himura_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาให้กำลังใจค่ะ รักเรื่องนี้ รักคนแต่ง มาต่อไวๆนะคะ
 o13 :3123:

ออฟไลน์ Alone Alone

  • ขอตายในอ้อมกอดฮยอกแจ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
ในที่สุดเขาก็ได้รักกันเสียที

ยังเหลือเรื่องสนมสินะ...

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หวานละมุนดีจริงๆ อยากอ่านต่อแล้ววว

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ดีใจที่เหลียนอันสุ่ยตัดสินใจแบบนี้
แต่ก็นึกถึงเรื่องพระอัครชายา การมีอำนาจเหนือแคว้นต่างๆ
ทำให้หดหู่ต่ออีก กลัวว่าจะไม่แฮปปี้เอนดิ้ง
อ่านแล้วชอบสำนวนแบบนี้จริงๆค่ะ
ขอบคุณมากๆที่เขียนเรื่องดีๆภาษาสวยๆให้ได้อ่านกัน

รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 60
«ตอบ #166 เมื่อ25-10-2014 23:44:44 »

บทที่ 60 ราชทูตแคว้นโหยวเฉิง(1)

สามวันถัดมา  พระภาดาหานญื่อหลัวกลับถึงเมืองหลวง
“ตอนมีข่าวว่าท่านจะจากไป  ข้าก็รีบเร่งเดินทางกลับ  คิดว่าจะไม่ทันเสียแล้ว  คิดไม่ถึงยังคงได้พบหน้าท่าน”
เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วยิ้ม  ข่าวของหานญื่อหลัวกลับไม่เคยล่าช้าเลย  คนที่เมืองหลวงของหานญื่อหลัวทำงานอย่างขยันขันแข็งไม่น้อย
“ความจริงตอนนั้นข้าตั้งใจจะทิ้งจดหมายอำลาไว้ให้ท่านฉบับหนึ่ง  แต่สุดท้ายในเมื่อไม่ได้จากไป  เลยเผาทิ้งไปแล้ว”
หานญื่อหลัวหัวเราะ  พึมพำว่า
“ดีแล้วที่ท่านไม่ไป  ไม่เช่นนั้นข้ากลับมาคงพอดีช่วงมรสุมเข้า” พูดพลางลูบพิณในมือ 
อันที่จริงหานญื่อหลัวอิจฉาฉีเซี่ยงหยวนอยู่บ้าง  คิดไม่ถึงฉีเซี่ยงหยวนที่งานยุ่งกว่าเขา  กลับได้พบคนรู้ใจเร็วกว่าเขา
เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง  ฟังเสียงลมและเสียงพิณที่เนิบช้าสง่างาม  คิดไม่ถึงเพลงที่เชื่องช้าปานนี้หานญื่อหลัวยังคงเรียบเรียงมันออกมาได้ไม่น่าเบื่อเลย  เสียงและความเงียบลงตัวอย่างที่สุด

หานญื่อหลัวปล่อยนิ้วมือไปตามอารมณ์  มองบุรุษเบื้องหน้า  ในใจอดรู้สึกเสียดายจางๆ  เหลียนอันสุ่ยกับฉีเซี่ยงหยวนเป็นส่วนผสมที่ลงตัวกันได้อย่างน่าประหลาด  คนหนึ่งมุ่งมั่นแสวงหา  อีกคนปล่อยวางไร้การกระทำ  ทั้งที่อยู่สุดปลายแต่กลับเข้าใจกันและกันอย่างลึกซึ้ง
มุมปากของหานญื่อหลัวปรากฏรอยยิ้ม  ลูกพี่ลูกน้องที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อสิ่งใดของเขาในที่สุดก็พ่ายต่อสิ่งที่เรียกว่าความรักจนได้  ตอนที่ได้ยินว่าฉีเซี่ยงหยวนปล่อยให้พระมาตุลาแคว้นเหลียนจากไป  หานญื่อหลัวยิ่งฟังยิ่งไม่เชื่อ  ฉีเซี่ยงหยวนที่ไม่เลือกวิธีการ  ฉีเซี่ยงหยวนที่มีแผนการสารพัด  ฉีเซี่ยงหยวนที่มีอำนาจเพียงพอจะพลิกฟ้าดิน  กลับกลายเป็นสามัญธรรมดาถึงเพียงนี้  น่าแปลกที่เมื่อเผชิญหน้ากับความรักไม่ว่าบุคคลโดดเด่นปานใดก็จะแปรเปลี่ยนเป็นเช่นเดียวกับคนสามัญธรรมดา  ต้องรู้จักที่จะก้าวถอย  รู้จักที่จะประนีประนอมต่อความรัก  เข้าใจและให้เกียรติ  อภัยและซื่อตรง 
...บางทีหากฉีเซี่ยงหยวนไม่ยินยอมปล่อยมือคงไม่มีวันได้รู้เลย  ว่าแม้จะเลือกได้เหลียนอันสุ่ยจะยังคงอยู่ข้างกายเขา
---------------------
ชีวิตหลังจากนี้ของพวกเขาราบรื่นหรือไม่...คงไม่อาจใช้คำว่าราบรื่นได้เต็มปากนัก
เหลียนจิ้งเต๋อยังคงตั้งตัวเป็นศัตรูกับพ่อบุญธรรมของตัวเอง  เพียงแต่เมื่อมีท่านพ่อมาเป็นตัวแปรหนึ่ง  ความขัดแย้งเบื้องหน้าก็แปรสภาพเป็นสงครามเบื้องหลัง
ช่วงก่อนค่ำไม่นาน  ที่ตำหนักชุนเกอ
เหลียนอันสุ่ยกำลังเช็ดผมให้กับฉีเซี่ยงหยวนอยู่ในห้องตัวเอง  ตั้งแต่เช็ดผมให้ในคราวนั้นเป่ยชางอ๋องผู้นี้ก็ดูเหมือนจะติดใจ  ไม่ค่อยยินยอมเช็ดผมเอง  บรรดาหญิงรับใช้ก็ไม่ยอมให้แตะ  อาศัยให้พระมาตุลาแคว้นเหลียนรับเป็นธุระประจำวัน  เหลียนอันสุ่ยได้แต่ส่ายหัว  รู้สึกเหมือนตัวเองเลี้ยงเด็กสองคน  จำได้ว่าแต่ก่อนเขาก็ต้องเช็ดผมให้เหลียนจิ้งเต๋อ  มาตอนนี้กลับต้องมาเช็ดผมให้เด็กโข่งตัวโต
เพิ่งเช็ดไปได้ครึ่งเดียว  เหลียนจิ้งเต๋อก็โผล่มา  ร่ำร้องโอดโอยว่าปวดหัว
“ท่านพ่อ  ท่านพ่ออยู่ไหน  จิ้งเอ๋อปวดหัวเหลือเกิน...”
ได้ยินเหลียนอันสุ่ยก็ตกใจ  ยัดผ้าใส่มือฉีเซี่ยงหยวน  รีบร้อนลุกขึ้นอังมือกับใบหน้าของบุตรชาย  ไม่ทันเห็นสีหน้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของคนตัวโต  ฉีเซี่ยงหยวนกำผ้าในมือแน่น  และกำแน่นยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นสายตาเหนือกว่าที่ลอบส่งมาจากลูกบุญธรรมของตัวเอง
---------------------
“ฉางเฟย  บอกพระอาจารย์รัชทายาท  ว่าข้าว่าเขาให้การบ้านเหลียนจิ้งเต๋อน้อยไปแล้ว  จึงได้มีเวลาว่างก่อเรื่องวุ่นวายมากขนาดนี้”
ไม่ทันพ้นวัน  เหลียนจิ้งเต๋อก็แทบถูกการบ้านทับตาย  รีบร้อนกลับตำหนักเสียงวสันต์  บ่นโอดครวญกับบิดา
ตอนฉีเซี่ยงหยวนเปิดประตูเข้ามา  ก็พบว่าห้องของเหลียนอันสุ่ยกระจายเต็มด้วยม้วนไม้ไผ่  เหลียนจิ้งเต๋อนั่งอยู่ท่ามกลางม้วนไม้ไผ่เหล่านั้น  ส่วนเหลียนอันสุ่ยนั่งอยู่ข้างกายเขา  อธิบายอย่างเอาใจใส่

แน่นอนว่าการบ้านมากมาย  คนที่ช่วยได้ก็คือบิดากับสหาย  เย็นนั้นในห้องส่วนตัวของเหลียนอันสุ่ยจึงมีคนปักหลักอยู่ถึงสี่คน  รัชทายาทเหลือบมองสายตาขวางๆของพระบิดาบุญธรรมเป็นพักๆ  อยากจะหาข้ออ้างหลบไปเต็มแก่  แต่เหลียนจิ้งเต๋อก็หาสารพัดวิธีมาหน่วงเหนี่ยวกำลังสำคัญที่จะช่วยทำการบ้านผู้นี้เอาไว้สุดความสามารถ  เหลียนอันสุ่ยยิ่งมิได้ปฏิเสธบุตรชาย  เหลียนจิ้งเต๋อสงสัยอะไรก็จะเงยหน้าถาม  ผูกขาดบทสนทนาไว้แต่เพียงผู้เดียว
สรุปแล้ววันนั้นฉีเซี่ยงหยวนก็ได้รู้ว่า  แม้เหลียนจิ้งเต๋อจะไม่ถนัดแผนการลึกล้ำ  แต่ความสามารถในการปรับตัวกลับเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า
---------------------
พระจันทร์กลมโตกระจ่างราวโคมดวงหนึ่งที่แขวนประดับเหนือน่านฟ้า
เหลียนจิ้งเต๋อเอนกายอยู่บนเตียงบิดา  ลิ้มรสชาติของชัยชนะ 
วันนี้เขาใช้ข้ออ้างว่าเมื่อวานฝันร้าย  ฝันว่าสูญเสียท่านแม่  แล้วสุดท้ายยังสูญเสียท่านพ่อไปอีก  ตื่นขึ้นมาเสียขวัญไม่วางใจ  จึงต้องมาเฝ้าด้วยตัวเอง  ท่านพ่อได้ยินชื่อท่านแม่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ  สรุปแล้วข้ออ้างนี้นับว่าใช้ได้ผล
เสียงเปิดประตู  ร่างสูงใหญ่ของเป่ยชางอ๋องเดินเข้ามา  เมื่อเห็นว่าบนเตียงมีใครจับจองอยู่ก็หรี่ตาลง
เหลียนจิ้งเต๋อไม่สะทกสะท้าน  กล่าวขึ้นว่า
“ท่านเอาชนะข้าไม่ได้หรอก  ท่านพ่อรักข้าที่สุด” อาศัยแค่ข้อได้เปรียบข้อนี้  ท่านก็เทียบไม่ได้แล้ว
แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง  ถามขึ้นว่า
“พรุ่งนี้เจ้าไปเรียนที่สำนักศึกษา  ไม่อยากเที่ยวที่นอกวังหน่อยหรือ”
คนเยาว์วัยกว่าชะงัก  จ้องอีกฝ่ายเขม็ง  เห็นฉีเซี่ยงหยวนยิ้มที่มุมปากแล้วกล่าวว่า
“ข้าอนุญาตให้ได้นะ  เที่ยวสัปดาห์ละสองครั้ง  ไม่เลวเลยใช่หรือไม่  เรา...จะไม่ทำข้อตกลงกันหน่อยหรือ?”
ข้อเสนอนี้เย้ายวนสุดบรรยาย  เหลียนจิ้งเต๋อกลอกตาวุ่นวาย  สุดท้ายลุกขึ้นนั่ง  กระแอมหนักๆกล่าวว่า
“อันที่จริงพวกเราก็โตๆกันแล้ว...  เห็นแก่ที่ท่านพ่อรักท่านมาก  ข้ายอมสงบศึกกับท่านก็ได้”
“วาจาลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ? ”
เหลียนจิ้งเต๋อผงกศีรษะ  ตอบอย่างหนักแน่น
“วาจาลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ! ”
ตบมือทำสัญญา  ข้อตกลงสำเร็จลุล่วง
---------------------
ประตูวังอันแข็งแกร่งมั่นคงของแคว้นเป่ยชางเปิดออกจนสุดบานไม่บ่อยนัก  ทหารม้าเรียงรายสองฟาก  คุ้มกันอารักขาอย่างเป็นระเบียบ  ทางเดินหินแกร่งกว้างขวาง  ต้อนรับราชทูตแคว้นโหยวเฉิงสู่ศูนย์กลางอำนาจแห่งแคว้นเหนือ
เหยี่ยวตัวใหญ่กรีดร้องก้องฟ้า  ขับเน้นความน่าเกรงขามอันเงียบกริบ  แคว้นเป่ยชางไม่หรูหราแต่กลับยิ่งใหญ่จนกดข่มคนให้เหลือตัวนิดเดียว  ไม่ว่าใครที่ลอดใต้ประตูวังของแคว้นเป่ยชางเข้ามามักมีความรู้สึกราวกับผ่านพ้นอดีตอันอลังการช่วงหนึ่งเข้าสู่โลกอันไม่คุ้นเคยที่กว้างใหญ่เหลือคณา
ราชทูตแคว้นโหยวเฉิงมาคราวนี้  เบื้องหน้าเชื่อมสัมพันธไมตรี  ลึกลงไปหวังผูกเป็นทองแผ่นเดียวกัน  หัวหน้าคณะทูตมีศักดิ์ฐานะเป็นถึงองค์ชาย  โหยวเฉิงอ๋องส่งโอรสมาเอง  เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญกับการนี้เป็นอย่างมาก

ผู้มาเยือนทอดมองกองทหารม้าอันทรงอานุภาพ  ในดวงตาขององค์ชายแคว้นโหยวเฉิงพลันปรากฏแววยอมรับนับถือระคนวาดหวัง  หากได้รับการสนับสนุนจากแคว้นเป่ยชาง  แคว้นโหยวเฉิงยังต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกหรือ
แคว้นโหยวเฉิงหวังใช้ประโยชน์จากแคว้นเป่ยชาง  หรือแคว้นเป่ยชางจะไม่หวังใช้ประโยชน์จากแคว้นโหยวเฉิงเช่นกัน  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ปรารถนาการอภิเษกเชื่อมสัมพันธไมตรี  แต่การมาถึงขององค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงกลับเป็นที่สบอารมณ์ของเขา

ใต้หล้ากว้างใหญ่  ใจคนยากจะหยั่ง  ในสายลมแผ่วจาง  พายุเริ่มก่อหวอด
---------------------
มีคนบอกว่า  รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งมิพ่าย
เรารู้จักเขามากเพียงใด  เขารู้จักเรามากแค่ไหน  และเรารู้จักตัวเองมากแค่ไหน  นี่เป็นคำถามที่ฉีเซี่ยงหยวนมักถามตัวเอง  รับมือเหล่าขุนนางฉีเซี่ยงหยวนมีวิธี  รับมือคณะทูตคนที่ต้องคิดหาวิธีก็คือเหล่าขุนนาง  ทุกประการล้วนมีเหตุผล  แต่ละคนล้วนมีความมุ่งหมาย ทำความเข้าสถานการณ์โดยรวมให้กระจ่างชัดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
หลายสัปดาห์ก่อน  ขุนนางใกล้ชิดร่วมกันถวายฎีกา  คุกเข่าโดยพร้อมเพรียง  ฉีเซี่ยงหยวนกลับกวาดมองแต่ละคนด้วยรอยยิ้มบางๆ  วางฎีกาลงบนโต๊ะช้าๆ  กล่าวขึ้นว่า
“เรื่องใหญ่ในชีวิตของข้า  ต้องให้ทุกท่านเป็นกังวลแล้ว”
เหล่าขุนนางฟังแล้วกลืนน้ำลาย  รีบกล่าวว่า
“พวกกระหม่อมไม่บังอาจ  ราชทูตแคว้นโหยวเฉิงเดินทางมาคราวนี้มีความตั้งใจอันดี  คิดสานสัมพันธไมตรีด้วยการแต่งงาน  พวกกระหม่อมจึงมีความเห็นว่าการณ์นี้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย...”
“พวกท่านล้วนเป็นขุนนางที่ข้าไว้ใจ  แต่อัครชายาตำแหน่งนี้คิดแต่งตั้งคนพอใจควรเป็นข้า  ขอถามพวกท่าน  แคว้นเป่ยชางเราจำเป็นต้องประจบเอาใจแคว้นโหยวเฉิงหรือ ? ” ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้บันดาลโทสะ  แต่วาจากลับคล้ายดาบที่ถูกลับจนคมกริบ
สุดท้ายขุนนางขุนนางชั้นผู้น้อยผู้หนึ่งก็กล่าวขึ้นว่า
“กราบทูลต้าอ๋อง  สามแคว้นใหญ่ศักดิ์ฐานะเท่าเทียม  พวกเราทำอันใดไม่จำเป็นต้องรอดูสีหน้าพวกเขา”
“แล้วเหตุใดข้าจะต้องอภิเษกชายาที่ข้าไม่พอใจ  เพื่อความพอใจของแคว้นโหยวเฉิงด้วยเล่า  พวกท่านล้วนทราบดี  ความยิ่งใหญ่ของแคว้นเป่ยชางเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแคว้นโหยวเฉิง  อีกไม่นานแคว้นโหยวเฉิงต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายพึ่งพาเรา  คอยดูสีหน้าเรา”…!
บรรยากาศเงียบกริบ  เหล่าขุนนางมองสบกันไปมาด้วยความกังขา  มีเพียงหลี่กวงเว่ยที่ไม่สบตากับใครแต่หลุบตามองพื้น  เพราะเขาคาดเดาออกแล้วว่าฉีเซี่ยงหยวนจะล้มแผนการทั้งหมดของเขาด้วยวิธีไหน
“ใต้เท้าหลี่  ข้าได้ยินว่าท่านศึกษาสถานการณ์ของแคว้นโหยวเฉิงมาอย่างลึกซึ้ง  ข้าอยากให้ท่านแจกแจงต่อปวงขุนนางทั้งหลาย” คิดไม่ถึงหลี่กวงเว่ยสงบปากสงบคำอยู่ด้านข้าง  นายเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่กลับไม่ยอมละเว้นเขา
หลี่กวงเว่ยประสานมือ  แจกแจงด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
 “โหยวเฉิงอ๋องชราภาพมากแล้ว  โอรสกลับมีหลายคนเกินไป  สภาพอำนาจของแคว้นโหยวเฉิงไม่มั่นคงเท่าแคว้นหนานเหมิน  อีกไม่กี่ปีต้องมีสงครามภายในแน่นอน”
เหล่าขุนนางรับฟังพลางเห็นด้วยในใจ  นี่เป็นจังหวะที่ทุกผู้คนปรารถนาจะฉกฉวย  หากตอนนั้นแคว้นโหยวเฉิงกับแคว้นเป่ยชางเป็นทองแผ่นเดียวกันทุกประการจะยิ่งง่าย
 
ท่าทีของฉีเซี่ยงหยวนลึกซึ้งจนยากจะอ่าน  ขณะเอ่ยช้าๆ
“พวกเราต่างรู้กันดีว่าสภาพอำนาจในแคว้นโหยวเฉิงไม่มั่นคง  องค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงที่จะมาถึงผู้นี้เป็นพี่ชายแท้ๆขององค์หญิงที่ได้ชื่อว่ารูปงามที่สุด  มีศักดิ์ฐานะคู่ควรกับข้าที่สุด  เขาเดินทางมาด้วยตัวเองเช่นนี้ไม่ต้องบอกพวกท่านคงทราบได้ว่าเขาอยากให้ข้าอภิเษกองค์หญิงองค์ไหน  ในใจเขาวาดฝันอะไรไว้  แม้ข้าจะไม่ต้องการแต่งงานกับน้องสาวเขา  แต่สัมพันธไมตรีระว่างสองแคว้นข้ายังคาดหวังให้มันเป็นไปด้วยดี  ความฝันครั้งนี้ของเขาพวกเราใยไม่ช่วยส่งเสริม  วกอ้อมเป็นวงกว้างไม่สู้ลงมือกับความแตกแยกภายใน”
พี่ชายเจรจาการแต่งงานให้น้องสาวความจริงเป็นเรื่องธรรมดา  แต่เรื่องธรรมดาเช่นนี้เมื่อเกิดในราชวงศ์มักไม่เคยสิ้นสุดที่ความวาดหวังธรรมดาๆ  ดังนั้นราชทูตคณะนี้พวกเขาต้องต้อนรับขับสู้ให้ดี
---------------------
งานเลี้ยงต้อนรับราชทูตแคว้นโหยวเฉิงดำเนินถึงดึกดื่น  จัดอย่างยิ่งใหญ่  คนได้รับเชิญมีมากมาย  พระมาตุลาแคว้นเหลียนเองก็ได้รับเชิญเข้าร่วมด้วย
ดวงตาคู่งามมองจอกเหล้าอย่างเหม่อลอย  ในหัวยังคงเป็นคำพูดเก่าของฉีเซี่ยงหยวน
‘ท่านไม่ต้องกังวล  ข้าจะแสดงให้ท่านเห็นว่าข้าปฏิเสธแคว้นแคว้นโหยวเฉิงอย่างไร’ 
เหลียนอันสุ่ยส่ายหัว  ความจริงแล้วเขาไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้  เพียงในใจท่านมีข้าก็เพียงพอแล้ว
ราชทูตแคว้นโหยวเฉิงนั่งฝั่งซ้าย  ขุนนางเป่ยชางนั่งฝั่งขวา กั้นกลางด้วยเวทีใหญ่บรรจุนางรำเพริดแพร้วละลานตา  เป่ยชางอ๋องนั่งบนแท่นยกสูง  โต๊ะยาวแต่ละตัวจัดวางสุราอาหาร  ขุนนางลำดับชั้นสูงนั่งติดหน้าเวที  ที่ตำแหน่งต่ำกว่ากระจายออกไปด้านหลังเป็นชั้นๆ  ที่นั่งของเหลียนอันสุ่ยอยู่ใกล้พระภาดาหานญื่อหลัว  แต่วางอยู่ในมุมที่ไม่สลักสำคัญมุมหนึ่ง

ราชทูตจากแดนไกลสนทนากับเป่ยชางอ๋องที่ตำแหน่งประธาน  ที่น่าแปลกคือวันนี้ฉีเซี่ยงหยวนกลับดูเป็นมิตรอย่างยิ่ง  คนผู้นั้นคงกำลังเดินแผนการอีกแล้ว  ผู้คนในงานเลี้ยงล้วนใส่หน้ากากเข้าหากัน  จริงใจกี่ส่วน  แผนการแอบแฝงกี่ส่วน  เหลียนอันสุ่ยไม่ปรารถนาจะแยกแยะ  ที่คนพวกนี้เดิมพันคือบ้านเมือง  ไม่ถึงผลสุดท้ายไม่อาจตัดสินแพ้ชนะ

เหลียนอันสุ่ยฟังคำปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม  ฟังคำสัญญาเกี่ยวกับความร่วมมือ   แคว้นเป่ยชางยินดีจะเป็นพี่น้องกับแคว้นโหยวเฉิง  เป่ยชางอ๋องพูดคุยถูกคอกับองค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงเป็นอย่างมาก  เห็นได้ชัดว่าแคว้นเป่ยชางตกลงใจจะสนับสนุนองค์ชายสามแล้ว  แม้เจรจาเรื่องงานอภิเษกไม่ประสบผล  แต่ได้แคว้นเป่ยชางหนุนหลัง  องค์ชายจากแดนไกลเบิกบานกว่าใคร  หัวเราะพูดคุยไม่ขาดปาก  เพียงแต่เขาชิงแผ่นดินให้ตัวเอง  หรือชิงแผ่นดินให้ผู้อื่น ?

เกรงว่ามีเพียงบทสรุปในภายภาคหน้าที่ตอบได้

มีอยู่ช่วงหนึ่ง  ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นในงานเลี้ยง  เหลียนอันสุ่ยกวาดมองไปพอดีสบกับสายตาคมกริบคู่นั้น  ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลพอสมควร  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับสามารถคาดเดาความหมายที่ปรากฏในแววตาฝ่ายตรงข้ามได้ 
‘ไม่ต้องแต่งตั้งอัครชายา ข้าก็มีวิธีกลืนกินแคว้นโหยวเฉิงในแบบของข้าเอง’
เหลียนอันสุ่ยเบือนสายตากลับมา  ไม่คิดจะจับจ้องนานเกินไป  มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ  สั่นหัวช้าๆ  แค่แผนการขั้นแรกสำเร็จ  จำเป็นต้องลำพองใจถึงเพียงนี้เลยหรือ
เหลียนจิ้งเต๋อที่ดึงดันขอติดตามมาชมดูความสนุกสนาน  นั่งอยู่ข้างกายบิดา  กำลังง่วนอยู่กับการเทสุราให้เข้าจอกด้วยวิธีพิสดาร  เทไปเทมากาสุราหลุดจากมือ  ปลิวฉิวออกไป  จังหวะที่กระแทกร่วงหล่นกระฉอกใส่หน้าคนผู้หนึ่ง
เป็นโชคดีของเหลียนจิ้งเต๋อที่คนส่วนมากกำลังสนใจการร่ายรำบนเวที  เสียงพูดคุยเสียงดนตรีจอแจครึกโครม  เสียงกาสุราแตกจึงไม่ดังเท่าไหร่
จั่วชิวถูลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยดน้ำ  รู้สึกถึงความซวยของตัวเองอย่างชัดเจน 
ความจริงจั่วชิวถูเดินทางมากับคณะทูตแคว้นโหยวเฉิง  ตามเหตุผลควรได้ที่นั่งฝั่งซ้าย  แต่จั่วชิวถูความจริงเป็นพ่อค้าชาวเป่ยชาง เดินทางไปมาหลายแว่นแคว้น  รู้จักมักคุ้นกับขุนนางของแคว้นเป่ยชางไม่น้อย  เมื่อออกปากจึงได้รับการเจียดที่นั่งให้ด้วยความเต็มใจ
จุดประสงค์ของจั่วชิวถูคือตั้งใจจะสืบหยั่งท่าทีของแคว้นเป่ยชางให้กับคณะทูตโหยวเฉิง  คิดไม่ถึงไม่ทันจะสืบหยั่งได้ความที่ต้องการก็เปียกไปทั่วทั้งหน้า  ขณะหรี่ตาลงอย่างกรุ่นโกรธ  ก็เห็นเด็กหน้าตาน่ารักคมคายผู้หนึ่งวิ่งปราดมาประสานมือขอโทษขอโพย
พ่อค้าผู้ทรงอิทธิพลกระพริบตา  รู้สึกเจิดจ้าอยู่บ้าง  เด็กคนนี้ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายราวกับแสงอาทิตย์  โตอีกไม่กี่ปีรับรองต้องเป็นหนุ่มน้อยที่น่าดูคนหนึ่ง
ตอนแรกเหลียนจิ้งเต๋อยังรู้สึกผิด  ต่อมาถูกสายตาเล็กหยีของฝ่ายตรงข้ามจับจ้องมองจนตะครั่นตะครอไปทั่วร่าง  ปรารถนาจะถอดรองเท้ากระแทกใส่ดวงตาคู่นั้น น่าเสียดายที่บิดาสั่งสอนมาดีเกินไป  จึงกล่าวขอโทษไปอีกสองคำก็เผ่นกลับที่
หนุ่มน้อยมีราคาค่างวดของหนุ่มน้อย  แม้ปรกติจั่วชิวถูจะชอบประเภทที่โตกว่านี้สักหน่อย  แต่สินค้าชั้นนี้ก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายดาย  กิจการของจั่วชิวถูกว้างขวางทั่วสามแคว้น  รสนิยมกลับพิเศษเฉพาะ  ชมชอบบุรุษไม่ชอบสตรี  คิดไม่ถึงราชสำนักแคว้นเป่ยชางกลับโผล่หนุ่มน้อยชาวเหลียนขึ้นมาคนหนึ่ง

เหลียนจิ้งเต๋อพบว่าสายตาน่าขนลุกนั่นยังกวาดตามมา  ก็ย้ายหลบไปนั่งอีกฝั่งของบิดา  ท่าทีร้อนรนนี้เหลียนอันสุ่ยมองแล้วเข้าใจว่าอีกฝ่ายหลบหนีความผิดมา  จึงหันกลับไป  ตั้งใจจะสะสางเรื่องราวแทนบุตรชายที่ไม่รู้ความของเขา
จั่วชิวถูมองตามร่างเล็กที่หลบพ้นไปอย่างเสียดาย  เงยหน้าขึ้นก็พอดีสบสายตากับเหลียนอันสุ่ยที่ประสานมือขอขมาอยู่นานแล้ว  พริบตานั้นจั่วชิวถูทำได้แค่นิ่งงันอยู่กับที่  เค้าไปหน้าที่คล้ายคลึงทำให้จั่วชิวถูคาดเดาออกว่าคนผู้นี้ต้องเป็นบิดา  คิดไม่ถึงบิดาของเด็กคนนั้นจะน่าดูปานนี้  จนเหลียนอันสุ่ยหันหลังไปแล้ว  จั่วชิวถูยังคงไม่อาจถอนสายตากลับมา

บิดากับบุตรชายมีบรรยากาศรอบกายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  คนเป็นบุตรรูปงามนัก  แต่คนเป็นบิดากลับทำให้พ่อค้าที่สนิทสนมกับองค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงผู้นี้หวั่นไหวใจ  วัยของเหลียนอันสุ่ยไม่อ่อนเยาว์แล้ว  แม้จะยังอ่อนกว่าเขาแต่ต้องไม่จัดเป็นคนอายุน้อยเด็ดขาด  หากเหลียนอันสุ่ยกลับมีเสน่ห์อันลุ่มลึกที่คนเยาว์วัยกว่านี้ล้วนไม่อาจมีได้  เป็นครั้งแรกที่จั่วชิวถูถามตัวเองว่าการที่เขาเอาแต่มองหาบุรุษที่อายุไม่เกินยี่สิบปีใช่เป็นความผิดพลาดมาโดยตลอดหรือไม่
สายตาของจั่วชิวถูวนเวียนอยู่กับร่างเหลียนอันสุ่ย  สำรวจไปทั่วแผ่นหลังสูงโปร่ง  หาทราบไม่ว่ามิใช่เขาคนเดียวที่จับจ้องมองคนผู้นี้
‘เป๊าะ’
เป่ยชางอ๋องบนบัลลังก์บีบตะเกียบไม้จนหักคามือ  จอกสุราในมือขององค์รัชทายาทชะงักไปขณะเหลือบสายตามองตามพระบิดาบุญธรรม  ตัวหานญื่อหลัวที่นั่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากกว่าขมวดคิ้ว  รู้สึกถึงสายตาแปลกๆมาตั้งแต่เมื่อครู่  หันหลังไปมองก็หมดความรู้สึกอยากอาหาร  ...มีคนหาเรื่องตายอีกแล้ว
นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองคนบนบัลลังก์  เห็นสายตาที่แฝงคำบัญชาอย่างชัดเจนก็ตัดสินใจสะกิดให้เหลียนอันสุ่ยสลับที่นั่งกับเขา  พระมาตุลาแคว้นเหลียนงุนงงอยู่บ้าง  แต่ก็ยินยอมสลับที่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังของอีกฝ่าย  หานญื่อหลัวจ้องไปด้านหลังเขม็ง  บีบบังคับให้จั่วชิวถูต้องถอนสายตากลับคืนไป
นับว่ายังพอรู้ความ  หากยังไม่เลิกอีกน่ากลัวคนที่เจรจาการทูตอยู่จะลงมาจัดการด้วยตัวเองแน่นอน

“...ต้าอ๋อง  ท่านว่าแบบนี้ดีหรือไม่” ฉีเซี่ยงหยวนดึงความสนใจกลับมาก็พอดีได้ยินประโยคนี้
มุมปากของบุรุษที่อยู่เหนือทุกผู้คนในแผ่นดินเป่ยชางขยับเป็นรอยยิ้ม  ตอบกลับไปอย่างเยือกเย็นไม่ลนลานว่า
“เรื่องนี้ยังต้องหารืออีกซักพัก  เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นก่อนไม่ดีหรือ”

“...ไม่ผิด  คุยเรื่องอื่นน่าจะเหมาะสมกว่า  ข้า  เอ่อ  ข้าเลื่อมใส่ในระเบียบวินัยของกองทัพแคว้นเป่ยชางมาก  ไม่ทราบขอไปเยี่ยมชมการฝึกฝนระหว่างวันได้หรือไม่” องค์ชายแคว้นโหยวเฉิงไม่กล้าขัดใจรีบเออออเปลี่ยนไปอีกเรื่องในทันที  ในใจลอบทบทวนว่าตัวเองพูดอันใดผิดไปหรือไม่  เหตุใดเป่ยชางอ๋องที่เมื่อครู่อารมณ์ดีๆจึงแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์ไม่ดีไปเสียได้


ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 61
«ตอบ #167 เมื่อ25-10-2014 23:56:54 »

บทที่ 61 ราชทูตแคว้นโหยวเฉิง(2)

ตอนขุนนางทั้งหลายทยอยออกจากงานเลี้ยง  เหลียนอันสุ่ยเตรียมเสื้อไว้ตั้งใจจะให้คนที่ถูกเหลียนจิ้งเต๋อทำจนเลอะเทอะได้ผลัดเปลี่ยน  จึงชะงักเท้าไว้คิดจะส่งมอบให้ด้วยตัวเอง  แต่หานญื่อหลัวกลับดึงเสื้อดังกล่าวมาถือไว้เอง  รุนหลังให้เหลียนอันสุ่ยก้าวต่อไป  กล่าวว่า
“หากคืนนี้ท่านไม่ต้องการให้มีคนตาย  ทางที่ดีควรรีบไปรอที่ตำหนักเสียงวสันต์  เรื่องเหลียนจิ้งเต๋อ เดี๋ยวข้าขอโทษเขาแทนท่านเอง”
เหลียนอันสุ่ยเห็นว่าช่วยชีวิตคนเรื่องใหญ่  แม้ไม่ค่อยเข้าใจ  แต่ก็เร่งเท้าจากไป
หานญื่อหลัวมองแสงดาว  เอนพิงเสาบันได  รอจนจั่วชิวถูเดินออกมาก็ส่งชุดสำหรับผลัดเปลี่ยนให้
“คนก่อเรื่องไม่ได้ตั้งใจ ขอท่านอย่าถือสา”  หานญื่อหลัวรู้สึกแปลกๆนิดหน่อย  คิดไม่ถึงว่าเขากับลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ลงรอยกันตลอดมาจะมีวันร่วมมือกันเพราะเรื่องพระมาตุลาแคว้นเหลียน

“แล้ว...พวกเขาเล่า ? ” จั่วชิวถูพยายามสอดส่ายสายตาหาคนที่เขาปรารถนาจะรู้จัก
“ถ้าข้าเป็นท่านจะไม่ถามคำถามนี้  ของบางอย่างท่านอย่าอยากจะได้จะดีกว่า  เพราะความคิดเช่นนั้นรังแต่นำพาความโชคร้ายมาให้” รอยยิ้มบนใบหน้าของหานญื่อหลัวเยียบเย็น  แม้มันจะทำให้เขาหล่อเหลายิ่งขึ้น  แต่กลับมิได้ทำให้เขาดูน่าเข้าใกล้แม้แต่น้อย
จั่วชิวถูมองอีกฝ่ายเต็มตาแล้วแทบสำลัก  ผู้ชายคนนี้รูปงามจัดจนทำให้ผู้คนรู้สึกหมดคุณค่าในตัวเองได้เลยทีเดียว 
เมื่อครู่จั่วชิวถูเห็นแล้วว่าคนที่เขาถูกใจนั่งข้างพระภาดาหานญื่อหลัว  และคนที่บังคับให้เขาเก็บสายตากลับไปก็คือพระภาดาหานญื่อหลัว  หานญื่อหลัวขึ้นชื่อเรื่องรูปงามมาแต่ไหนแต่ไร  แต่จั่วชิวถูมีความเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนมารปีศาจมากกว่าคน  ดวงตาสีฟ้าจัดสะท้อนแสงจันทร์ยิ่งดูน่าขนลุกเป็นพิเศษ
ปรกติจั่วชิวถูภูมิใจตลอดว่าว่าเขาดูแลหน้าตาตัวเองได้ไม่เลวนัก  แม้วัยจะใกล้เลขสี่และดวงตาหยีเล็กไปบ้าง  แต่โดยทั่วไปคนวัยแบบเขา  ฐานะระดับเขา  ไม่อ้วนลงพุงก็นับว่าหาได้ยาก  หากเมื่อเจอกับคนที่หล่อเหลามาแต่กำเนิดยังคงรู้สึกว่าฟ้าดินช่างอยุติธรรม  ยิ่งมองความไม่มั่นใจก็ล้นปรี่ขึ้นมา
---------------------
แต่ถามว่าใบหน้าที่ทั้งสุภาพราวเทพบุตร  เยียบเย็นราวปีศาจสามารถทำให้จั่วชิวถูตัดใจได้หรือไม่  คำตอบคือไม่ 
พ่อค้าผู้ทรงอิทธิพลผู้นี้กลับถึงที่พักตัวเองก็เรียกคนมาปรนนิบัติ  แต่กระทั่งชายบำเรอที่เคยโปรดปรานที่สุดก็ยังรู้สึกขัดตา 
สมัยก่อนจั่วชิวถูเป็นชนชั้นอันต่ำต้อย  ชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบาก  ปัจจุบันจึงชมชอบคบหากับเชื้อพระวงศ์  หลงใหลรสนิยมอันสูงสง่าของพวกเขา  คนที่โปรดปรานนอกจากหน้าตาผิวพรรณยังเลือกที่บุคลิกการวางตัว  น่าเสียดายที่ชายบำเรอที่เขามีกลับบุคลิกเทียบเหลียนอันสุ่ยไม่ได้แม้แต่คนเดียว

เมื่อพบเหลียนอันสุ่ยจั่วชิวถูจึงได้เข้าใจ  ผู้สูงศักดิ์ที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องวางท่าอยู่เหนือผู้อื่น  แต่แค่อากัปกิริยาเรียบง่ายเช่นยกมือวางเท้า  เหลียนอันสุ่ยก็สามารถกระทำออกมาได้อย่างน่ามอง
---------------------
กว่าจะมีวันนี้จั่วชิวถูใช้ความเพียรพยายามไม่น้อย  ปลูกฝังนิสัยไม่ล้มเลิกอะไรง่ายๆ  แม้ทราบแน่แก่ใจว่าอีกฝ่ายเกี่ยวของกับพระภาดาหานญื่อหลัวก็ยังไม่ยอมตัดใจ  เพียรสอบถามหาข้อมูล  ใต้เท้าที่สนทนาถึงเรื่องนี้แทบพ่นสุราออกจากปาก  ร้องว่า
“ท่านคงมิใช่สนใจพระมาตุลาแคว้นเหลียนกระมัง  นี่ท่านเสียสติอยากหาที่กลบฝังตัวเองแล้วหรือ”
“ข้าทราบว่าเขาเป็นคนของพระภาดาหานญื่อหลัว  แต่ข้า...”
คู่สนทนาสอดคำขึ้น
“เขาเป็นสหายของพระภาดา  แต่ไม่ใช่คนของพระภาดา” เหลือบตามองประตูให้แน่ใจว่าปิดสนิทดี  กลืนน้ำลายอึกใหญ่  ตัดสินใจโน้มตัวไปกระซิบข้างใบหูอีกฝ่ายว่า “...เขาเป็นคนของเป่ยชางอ๋อง”
จั่วชิวถูหูลั่นอึงอล  ตอนแรกที่ได้ยินว่าเหลียนอันสุ่ยมีศักดิ์ฐานะเป็นตัวประกัน ความหวังในใจก็ขยับขยาย  เชื้อพระวงศ์ที่ฐานะไม่มั่นคงย่อมต้องพึ่งพาชนชั้นพ่อค้า  แต่ตอนนี้ดูเหมือนความหวังในใจเขาจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว
---------------------
ทว่าความหวังกลับเป็นสิ่งที่ทำให้โลกสวยงามเสมอ  และความหวังในใจคนบางคนก็เป็นสิ่งที่ดื้อด้าน
 
จั่วชิวถูทำกิจการแพรไหม  ในตอนที่ร้านสาขามีกำหนดส่งผ้าให้กับในวังจงใจหอบไปด้วยตัวเอง  หวังจะได้พบหน้าเหลียนอันสุ่ยซักครา  ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น  จั่วชิวถูได้พบจริงๆ  ซ้ำยังได้สนทนาไปหลายประโยค  แค่หลายประโยคก็เพียงพอจะชุ่มชื่นหัวใจ  แต่แค่หลายประโยคก็เพียงพอจะทำให้หัวใจของบุรุษผู้หนึ่งลุกเป็นไฟ
ในวันนั้นไม่ทันออกจากตำหนักเสียงวสันต์  จั่วชิวถูจึงได้รับเสด็จเป่ยชางอ๋องอย่างใกล้ชิด

ฉีเซี่ยงหยวนกำลังพยายามเตือนตัวเองว่าชายตรงหน้าเป็นสหายกับองค์ชายแคว้นโหยวเฉิงที่เขาจำเป็นต้องผูกมิตรด้วย  องค์ชายสามคิดการณ์ใหญ่  พ่อค้าอย่างจั่วชิวถูก็คือแหล่งเงินทุน  หากฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่สามารถลบภาพแล่เนื้อเถือหนังอีกฝ่ายออกไปจากใจเขาได้  และไม่สามารถเค้นรอยยิ้มออกมาแม้แต่กระผีกเดียว  เหลียนอันสุ่ยก็เหลือเกินความรู้สึกอย่างอื่นละไวเชียว  แต่ตัวเองถูกผู้อื่นใช้สายตาลวนลามกลับไม่ค่อยจะรู้สึก!
---------------------
เย็นวันนั้นพ่อค้าที่บุกบั่นทำการค้ามาตั้งแต่เหนือจรดใต้นั่งรถม้ากลับที่พักด้วยท่าทีซึมเซา 
แม้แผนการชิงอำนาจขององค์ชายสามจะมีความสำคัญ  เพียงพอจะพลิกเปลี่ยนสถานภาพชั่วชีวิตของเขา  แต่จั่วชิวถูยังคงไม่มีแก่ใจจะไปครุ่นคิด  ความคิดคำนึงทั้งหมดมีเพียงประการเดียว...เหตุใดความรักแรกพบของเขาจึงมีจุดจบรวดเร็วปานนี้
วันนี้เป็นวันแรกที่เขาได้รู้จักพูดคุยกับเหลียนอันสุ่ย  และเป็นวันสุดท้ายสำหรับความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้น

หานญื่อหลัวที่เขารู้สึกว่ารูปลักษณ์เหมือนปีศาจร้าย  ความน่ากลัวกลับเทียบไม่ได้กับเป่ยชางอ๋อง  ชั่วชีวิตของจั่วชิวถูไม่เคยเจอคนที่ทรงอำนาจถึงเพียงนี้มาก่อน  และไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นมดแมลงอันต่ำต้อยมากขนาดนี้มาก่อน
ในต้าอ๋องแคว้นใหญ่ทั้งสาม  หนานเหมินอ๋องลึกซึ้งที่สุด  แต่ความลึกซึ้งมากเล่ห์กลับทำให้เขาขาดบุคลิกอันงามสง่า  โหยวเฉิงอ๋องมีภาพลักษณ์ของราชาที่ทรงธรรม  น่าเสียดายที่ปราศจากความมั่นใจและเด็ดขาด  เป่ยชางอ๋องอายุเยาว์ที่สุด  แต่กลับเป็นคนที่มีบุคลิกกดดันน่าครั่นคร้ามที่สุด
ราวกับเกิดมาเพื่อจะกอบกุมอำนาจที่สามารถใช้สอยบงการผู้อื่น  ราวกับมีพลังอันสามารถพลิกผันฟ้าดินของบุรุษวัยฉกรรจ์อยู่เต็มเปี่ยม  ตั้งแต่ตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนปรากฏตัว  จั่วชิวถูก็ทราบว่ารักแรกพบครั้งนี้ของเขาไม่มีความหวังอีกต่อไป

เขาไม่อาจเป็นศัตรูกับเป่ยชางอ๋อง  พอๆกับไม่มีปัญญาดึงสายตาของพระมาตุลาแคว้นเหลียนออกมาจากต้าอ๋องผู้นั้น  ที่น่าเจ็บปวดที่สุดคือเมื่อยืนคู่กัน  คนคู่นี้กลับเป็นเหมือนความแตกต่างที่เกิดมาเพื่อกันและกัน
---------------
ในห้องหนังสือตั้งฉากบังลมเอาไว้ข้างเตียงเล็กที่เหลียนอันสุ่ยใช้งีบหลับระหว่างวัน  บนฉากบังลมเป็นภาพทิวเขาทอดยาวต่อเนื่องสลับซับซ้อน  ให้อารมณ์กวีอันสูงสง่า  โครงไม้สีเข้มขับเน้นอย่างกลมกลืน
บนเตียงเล็กมีคนนั่ง  ข้างฉากบังลมก็มีคนยืนอยู่
“เหลียนอันสุ่ย  ท่านไม่เห็นสายตาสกปรกที่พ่อค้านั่นใช้มองท่านหรือ!”
เหลียนอันสุ่ยที่ข้างฉากบังลมกระพริบตาปริบๆ  มองคนบันดาลโทสะตรงหน้า  คาดเดาอย่างไม่แน่ใจว่า
“ต้าอ๋อง  นี่ท่าน...หึงหรือ ? ”
ฉีเซี่ยงหยวนหันขวับมาตอบทันควันตรงประเด็นว่า
“ใช่  ข้าหึง  ไม่ใช่แค่หึงยังหวงมากด้วย” คำพูดชัดถ้อยชัดคำไม่บ่ายเบี่ยงแม้แต่น้อย
เหลียนอันสุ่ยอึ้งไปครู่ใหญ่  สุดท้ายวางมือลงบนบ่าหนา  พูดปลอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“ข้ากับเขาต่างเป็นบุรุษ...”
“หรือข้ากับท่านมิใช่ ? ” มีคนถามสวนขึ้นอีก
เหลียนอันสุ่ยมองใบหน้าคมคาย  สายตาอ่อนโยนกว่าเดิม  ตอบตามตรงว่า
“ท่านไม่เหมือนกัน  ท่านเป็นคนที่ข้ารัก  ดังนั้นท่านใยต้องคิดมากด้วย”
ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินประโยคนี้ก็มีท่าทีอ่อนลง  ยินยอมให้เหลียนอันสุ่ยใช้สองมือโอบกอดเขาไว้ 
เหลียนอันสุ่ยซบใบหน้าลงกับบ่ากว้างอย่างคุ้นชิน  พึมพำว่า
“เขาทำให้ข้านึกถึงอวี้เฉียน  เพียงแต่อวี้เฉียนไม่เคยใช้สายตาแบบนี้มองข้า”
“เขาใช้สายตาแบบไหนมองท่าน” ฉีเซี่ยงหยวนหมายถึงอวี้เฉียน  แต่เหลียนอันสุ่ยไม่ตอบคำ  กลับพึมพำว่า
“ข้าทำร้ายเขาไปมากเหลือเกิน  ไม่ว่าใครที่รักข้าล้วนถูกข้าทำร้าย...ท่านก็ด้วย”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ 
“ท่านก็เป็นของท่านแบบนี้  ภายนอกอ่อนโยนนุ่มนวล  เวลาตัดสินใจอะไรกลับใจแข็งเหนือธรรมดา  ข้าว่าเขาก็เป็นเหมือนข้า  ไม่ว่าอย่างไรก็เต็มใจถูกท่านทำร้ายดีกว่าไม่ได้รักท่าน  เป็นพวกเราส่งมอบหัวใจออกไปง่ายดายเอง  หาใช่ความผิดของท่าน  ท่านใยต้องคิดมากด้วย” ใช้คำของเจ้าตัวมาย้อนเจ้าของ
“...ท่านไม่หึงอวี้เฉียน ? ” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยแปลกใจ
ฉีเซี่ยงหยวนตอบอย่างจริงจังว่า
“ข้าใยต้องหึงเขา  ในเมื่อข้ายังมีเวลาอีกทั้งชีวิตที่จะใช้กับคนที่ข้ารัก  ในขณะที่เขาไม่มีแล้ว” คนตายจากไป  ไม่ว่าอะไรก็ไม่มีแล้วทั้งนั้น
เหลียนอันสุ่ยผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ  จริงๆแล้วฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่ได้ขี้หึงขนาด...
“ข้าไม่หึงคนตาย  แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่ถือสาคนเป็น  ถ้าท่านอยากให้ข้าไม่ถือสาจั่วชิวถู  ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าทำให้เขาเป็นคนตายไปเสียก่อน  เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว”
...เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว  เหลียนอันสุ่ยพูดไม่ออก  ฉีเซี่ยงหยวนกลับกล่าวเรื่องกุดหัวคนออกมาได้อย่างปลอดโปร่ง  ...อันที่จริงสายตาเมื่อครู่ของฉีเซี่ยงหยวนแค่มองก็รู้แล้วว่าอยากฆ่าคนเต็มแก่
“พรุ่งนี้ท่านมีนัดเล่นพิณกับหานญื่อหลัวอีกแล้ว ? ”
เหลียนอันสุ่ยพยักหน้า  คิ้วเรียวยาวขมวดเล็กน้อยอย่างแปลกใจที่อีกฝ่ายจู่ๆก็พูดถึงเรื่องนี้
“ท่านไม่พบเขาได้หรือไม่  ข้าไม่ชอบเลยเวลาท่านอยู่กับเขา” เสียงบ่นอุบอิบดังอยู่ริมหู
“อย่าบอกนะ...ว่านี่ท่านก็หึง” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยไม่อยากจะเชื่อ
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบ
“ต้าอ๋อง  คุณชายหานเป็นเพื่อนข้า”
“อ้อ  ตอนนี้ถึงกับเรียกหาเป็นคุณชายหานอย่างสนิทสนม”
เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจ  บางครั้งต้าอ๋องผู้นี้ก็ทำตัวขี้น้อยใจเหมือนเด็กๆ
“เซี่ยงหยวน  เพื่อนก็คือเพื่อน  ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้  ...หรือว่าท่านอยากจะเป็นอย่างเขา  เป็นแค่เพื่อนกับข้า”
ฉีเซี่ยงหยวนนึกถึงภาพคนหนึ่งดีดพิณคนหนึ่งเป่าขลุ่ยที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ  ถอนหายใจเช่นกัน  กล่าวอย่างเสียใจว่า
“ข้าขอโทษที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างมาอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
เหลียนอันสุ่ยกลับไม่เคยถือสาเรื่องนั้น  ตัวเขาสมัยก่อนไม่แน่ว่าทำตัวเองจนไม่มีเวลาว่างยิ่งกว่าบุรุษตรงหน้าอีก  กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“เอาไว้วันหลังท่านหาเวลาว่างมาช่วงหนึ่ง  ข้ากับเขาจะเล่นเพลงให้ท่านฟังดีหรือไม่”
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งคิดอยู่นาน สุดท้ายยินยอมตอบตกลง
---------------------
หานญื่อหลัวกำลังเทียบขลุ่ยเซียวของเหลียนอันสุ่ยกับขลุ่ยเซียวของตัวเอง  สีหน้าท่าทางครุ่นคิด  เมื่อได้ยินว่าอีกหลายวันข้างหน้าฉีเซี่ยงหยวนจะมาฟังพวกเขาบรรเลงก็ผุดสีหน้าประหลาดใจ  ถามขึ้นว่า
“เขาทนได้หรือ  มองข้าเล่นเพลงกับท่านเนี่ยนะ  ความจริงแค่ทนมานานขนาดนี้ก็เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมากแล้ว”
เหลียนอันสุ่ยชะงัก  เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย  ในมือยังถือขลุ่ยผิวของทางเหนือที่หานญื่อหลัวนำมาให้เขาดูโดยเฉพาะ  ได้ยินเสียงทุ้มกล่าวว่า
“ลูกพี่ลูกน้องของข้าคนนี้ขี้หึงมาแต่ไหนแต่ไร  ด้วยนิสัยของเขาต้องอยากกำจัดข้าออกไปเต็มที  ที่ไม่ทำก็เพราะเขาเห็นแก่ท่าน  เห็นได้ชัดว่าเขารักท่านมาก”
เหลียนอันสุ่ยวางขลุ่ยไม่ไผ่ในมือลงทันที 
“ท่านรู้อยู่แล้ว  แต่ก็ชอบมาตอนเขากำลังจะไปทุกที  นี่ท่าน...นี่ท่านจงใจยั่วโมโหเขาชัดๆ”
หานญื่อหลัวยิ้มบางๆ  ถามว่า
“เขาโมโหใส่ท่านหรือ”
เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า  พูดว่า
“ท่านนั่นแหละระวังตัวไว้เถอะ  ล่วงเกินใครไม่ล่วงเกิน  ต้องเจาะจงมาท้าทายคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบเขา”
หานญื่อหลัวหัวเราะ  มองเหลียนอันสุ่ยด้วยดวงตาสีฟ้าที่พราวระยับ  มุมปากยกเป็นรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์  ใบหน้าหล่อเหลายิ่งมองก็ยิ่งปฏิเสธไม่ลง  ขณะกล่าวว่า
“ท่านเริ่มเห็นข้อเสียของเขาแล้วใช่หรือไม่  คนๆนี้ขี้หึง  ขี้หวง  กับเรื่องพรรค์นี้ยิ่งชอบคิดเล็กคิดน้อย  ทั้งยังเล่นงานคนลับหลัง...” ถอนหายใจเฮือกอย่างเสแสร้ง “ตอนนี้ท่านยังพอเปลี่ยนใจทัน  เปลี่ยนใจมาชอบข้ารับรองว่าข้าใจกว้างมากพอ”
เหลียนอันสุ่ยเลิกคิ้ว  ถาม
“นี่ท่านกำลังหว่านเสน่ห์ใส่ข้าหรือ  ...พวกท่านสองคนจำเป็นต้องแข่งกันให้ได้ทุกเรื่องเลยใช่หรือไม่” พูดพลางคิดถึงเหตุการณ์ตอนล่าสัตว์
หานญื่อหลัวรับขลุ่ยของตัวเองคืนมา  ยิ้มพลางกล่าวว่า
“เป็นความเคยชินประการหนึ่ง  ตั้งแต่จำความได้ฉีเซี่ยงหยวนก็เขม่นหน้าข้ามาโดยตลอด  ทุกครั้งที่ข้าลงมาเยี่ยมท่านลุง  ไม่ว่าอะไรเขาก็จะต้องหาหนทางทำให้ได้เหนือกว่า  ตอนเด็กข้าแม้ไม่เกลียดเขา  แต่เห็นว่าในเมื่อเขาอยากแข่งนักก็แข่งสิ  ใช่ว่าข้าจะกลัวเขา  แน่นอนว่าข้าไม่ใช่ประเภทอยู่เฉยๆยอมให้เขามาชนะได้ง่ายๆ  มาคิดดูตอนนี้ข้าคิดว่าข้าเข้าใจเขา  ถ้าข้าเป็นเขาก็ต้องเกลียดลูกพี่ลูกน้องตัวเองอย่างแน่นอน”
หานญื่อหลัวกล่าวอย่างมั่นใจ  พลางยิ้มน้อยๆ  จากนั้นหลุบสายตามองขลุ่ยในมือ  ลูบช้าๆไปตามรูแต่ละรูของขลุ่ยไม้ไผ่ที่จัดทำอย่างปราณีต  พลางกล่าวว่า
“ตั้งแต่เด็กท่านลุงก็ลำเอียงรักแต่ข้า  บางครั้งขนาดข้ายังรู้สึกว่าท่านลุงทำเกินไป  ท่านไม่เคยเห็นสายตาที่ท่านลุงใช้มองเขา  ข้าว่าเด็กคนไหนก็ทนไม่ได้ทั้งนั้น  มัน...เหมือนกับ...ไม่มีตัวตน”
พูดจบก็วางขลุ่ยไม้ไผ่ลง หยิบขลุ่ยเซียวของตัวเองขึ้นมาเป่าบรรเลงท่อนหนึ่ง  ขลุ่ยเซียวแผ่วทุ้ม  ขลุ่ยผิวแหลมสูง  แคว้นทางใต้นิยมเป่าเซียว  เหลียนอันสุ่ยเป่าเป็นแต่ขลุ่ยเซียวเท่านั้น 
“ท่านเป่าเก่งกว่าข้าอีก” เหลียนอันสุ่ยเลิกแปลกใจในความสามารถทางดนตรีของพระภาดาผู้นี้ไปนานแล้ว

“ข้าอยากให้ท่านลองฟังเทียบกับเสียงขลุ่ยผิว  ขลุ่ยสองชนิดนี้น้ำเสียงแตกต่างกันมากทีเดียว” ยกขลุ่ยไม้ไผ่พาดเฉียงๆกับเรียวปาก  ทำนองกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาช่วงหนึ่งขับไล่บรรยากาศหดหู่ไป 
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกแปลกตา  ขลุ่ยเซียวเป่าจากปลาย  ขลุ่ยผิวกลับเป่าทางด้านข้าง  หานญื่อหลัวในรูปลักษณ์เช่นนี้ดูไปกลับดูเหมือนคุณชายผู้กรุ้มกริ่มงามสง่าผู้หนึ่ง
“ทั้งๆที่ท่านไม่ได้เกลียดเขา  ทำไมตอนนี้ยังต้องแข่งกับเขาให้ได้ทุกเรื่องอีก”

หานญื่อหลัวลดขลุ่ยลง  ยักไหล่พลางกล่าวว่า
“ข้าบอกแล้วว่ามันเป็นความเคยชิน  อีกอย่างแข่งกันแบบนี้ก็สนุกดี  ข้าเชื่อว่าฉีเซี่ยงหยวนก็มีความเห็นต่อเรื่องนี้ไม่ต่างกัน”
“...” บางทีลูกพี่ลูกน้องคู่นี้คงรู้สึกว่าใต้หล้ายังยุ่งเหยิงไม่พอ
---------------------
กล่าวตามความจริงฉีเซี่ยงหยวนเป็นต้าอ๋อง  ส่วนหานญื่อหลัวเป็นขุนนางใต้บัญชาเขา  เป็นขุนนางจอมกวนโมโหที่ชอบมาตีสนิท  แต่งกลอน  เล่นดนตรี  ดื่มชา  สนทนา  เขียนอักษรกับคนรักของเขา  ฉีเซี่ยงหยวนแม้ไม่เคยชอบใจและบ่นอุบอิบอยู่หลายครั้ง  แต่กลับไม่ได้ลงมืออย่างจริงจังเพราะทราบดีว่าเหลียนอันสุ่ยจำเป็นต้องมีเพื่อน 

การที่ฉีเซี่ยงหยวนเคารพการตัดสินใจของเหลียนอันสุ่ยเช่นนี้ ทำให้พระภาดาหานญื่อหลัวแปลกใจไม่น้อย  ดูๆไปลูกพี่ลูกน้องที่นิสัยไม่ค่อยดีของเขาก็มีข้อดีอยู่หลายประการทีเดียว
---------------------
ตำหนักชุนเกอเกือบจะเป็นที่นอนถาวรของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน  ตัวตำหนักยังคงความเรียบง่าย  ตั้งแต่สัญญาสงบศึก  แม้ตำหนักเสียงวสันต์จะวุ่นวายเพราะเหลียนจิ้งเต๋ออยู่บ่อยครั้ง  แต่ไม่เคยวุ่นวายเพราะเรื่องทะเลาะกันระหว่างพ่อลูกบุญธรรม  ทุกอย่างดูสนิทสนมกลมเกลียว...อย่างน้อยก็ ‘ดูเหมือน’ สนิทสนมกลมเกลียวไม่น้อย

ชานด้านนอกมีหลังคาเป็นฟากฟ้ายามเย็น  สีชมพูระบายทับสีม่วงจาง เหลียนอันสุ่ยชอบชงชาด้วยตัวเองเวลานี้จึงไม่อยู่  ทิ้งคนสำคัญทั้งสองของเขาเอาไว้ให้นั่งหันหน้าจ้องตากัน
ลับหลังบิดาไปหลายชั่วอึดใจ  เหลียนจิ้งเต๋อก็เปิดบทสนทนา
“ทำไมวันนี้ท่านมาอีกแล้ว”
“ทำไมวันนี้ข้ามาไม่ได้”
“ต้าอ๋อง  ท่านกับข้าต้องมาคุยกันให้รู้เรื่อง  ท่านพ่อข้าไม่ได้แข็งแกร่งทนทายาดเหมือนอย่างท่าน  หักโหมไม่ได้นอนเหมือนกับท่านทุกวันไม่ไหวหรอกนะ  ท่านมาได้อย่างมากวันเว้นวันเท่านั้น  วันนี้กลับไปได้แล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกโชคดีที่เขายังไม่ได้ดื่มชา  ไม่อย่างนั้นต้องสำลักน้ำชาแน่นอน  กลั้นหัวร่อสุดความสามารถ  มองคนที่วางท่าเคร่งขรึมจริงจัง  แล้วกล่าวว่า
“เหลียนจิ้งเต๋อ  ข้าไม่เคยบังคับท่านพ่อของเจ้า”
คราวนี้เหลียนจิ้งเต๋อถึงกับลุกขึ้นชี้หน้า
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้  ท่านพ่อรักท่านมาก  ไม่ต้องใช้วิธีบังคับท่านพ่อข้าก็ใจอ่อนกับท่าน  ไม้นี้ข้าใช้ประจำ  ท่านไม่ต้องมาบ่ายเบี่ยง”
“อ้อ” ฉีเซี่ยงหยวนลากเสียงยาว  ดวงตามองไปด้านหลังของเหลียนจิ้งเต๋อ  เห็นคนผู้หนึ่งมือถือถาดใส่น้ำชา  ยืนกุมถาดไม้หน้าแดงอยู่ตรงนั้น
เหลียนอันสุ่ยก้มหน้าลง  วางถาดไม้ลงกับโต๊ะด้วยสีหน้าปกติ  ทำราวกับเมื่อครู่ไม่ได้ยินสิ่งใด  เอ่ยกับเหลียนจิ้งเต๋อว่า
“องค์รัชทายาทรออยู่ด้านนอก  อีกครึ่งชั่วยามก็จะถึงเวลาอาหารเย็น  กลับมาให้ทันด้วย”
เหลียนจิ้งเต๋อจากไปแล้ว  เหลียนอันสุ่ยยังคงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
ฉีเซี่ยงหยวนรับถ้วยน้ำชามาหมุนเล่น  เอียงคอ  ยิ้มน้อยๆที่มุมปาก เอ่ยว่า
“จิ้งเอ๋อบอกว่าข้าทรมานท่าน  เขาใช้คำว่า...เอ้อ ‘หักโหม’ ” ฉีเซี่ยงหยวนทำหน้าครุ่นคิดนิดหน่อย  ราวกับต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งเพื่อนึกคำเมื่อครู่ให้ออก
เหลียนอันสุ่ยทำเป็นไม่ได้ยินคนที่มีจุดประสงค์ต้องการแกล้งเขาโดยเฉพาะ  แต่คนผู้นั้นยังคงพูดต่อว่า
“เขาไม่รู้ว่าบางคืนพวกเราก็แค่นอนข้างกันเฉยๆ  ท่านว่าข้าสมควรไปหาเขา  แก้ไขความเข้าใจผิดนี้หรือไม่”
“ไม่ต้อง” เหลียนอันสุ่ยปฏิเสธทันควัน
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ  ที่แท้เหลียนอันสุ่ยมาทันได้ยินทุกคำ  ใช้มือรั้งร่างสูงโปร่งเข้ามาใกล้  กล่าวว่า
“เขาว่าท่านรักข้ามาก  ใจอ่อนกับข้าอยู่เรื่อย  ข้อนี้ข้าว่าเขาค่อนข้างพูดได้ถูกทีเดียว” พูดจบก็หอมแก้มอีกฝ่ายไปฟอดหนึ่ง 
เหลียนอันสุ่ยจนปัญญาจะรับมือกับบุรุษผู้นี้  เวลาฉีเซี่ยงหยวนโมโหเหลียนอันสุ่ยไม่เคยหวาดกลัวเพราะมั่นใจว่าจัดการได้  แต่เวลาฉีเซี่ยงหยวนออดอ้อน  ตัวเขายิ่งมาก็ยิ่งไม่มีวิธีรับมือ
---------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2014 23:04:23 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ Alone Alone

  • ขอตายในอ้อมกอดฮยอกแจ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
ยิ่งอ่านยิ่งเกลียดพ่อเฉียงหยวน เฮ้อ...

เนื้อเรื่องมาหวานๆ แต่อ่านแล้วเหมือนหน่วงๆ (เอ๊ะยังไง)

ออฟไลน์ zazoi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 970
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-1
ชอบเรื่องนี้มากค่า อ่านจาก Dek-D แล้ว มาเห็นลงที่นี่ก็มาเริ่มตามอ่านใหม่อีก อ่านกี่รอบก็สนุกค่ะ

หลังจากที่เค้ารักกันแล้ว หวังว่าจะไม่มีอุปสรรคใดๆที่หนักหน่วงอีกนะคะ สงสารทั้งสองคนมาก รอวันที่แต่งตั้งเหลียนอันสุ่ยเป็นอัครชายานะคะ เราว่าพระเอกของเราทำได้ ไม่สนใจขุนนางแน่ๆอ่ะ 5555


ปล. ชอบเวลาเค้าหึงหวงกัน น่ารักอ่ะค่ะ อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เขินตัวบิดแล้วเรา ฮ่าๆ

ออฟไลน์ ReiSei

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-5
อ่านครึ่งแรกมาจากเด็กดีค่ะ อ่านต่อจากที่นี่ คือเห็นอัพหลายตอนแล้วแหละ แต่จด ๆ จ้อง ๆ อยู่เพราะตอนนั้นมันยังหน่วง ๆ อยู่ รู้ล่วงหน้าว่าต้องอินจัดแน่ ๆ  เลยรอหลาย ๆ ตอนก่อน  ได้จังหวะพอดี หายใจหายคอคล่องหน่อย สองคนเคลียร์หัวใจกันแล้ว เป็นโมเม้นท์ที่ดีงาม ่ชอบบบบบบบ  คือเรื่องนี้มันดีงาม ไม่รู้จะอธิบายยังไงได้อีก มันเป๊ะไปซะทุกอย่างเลย
ประโยคเด็ดของเหลียน ๆ ยกให้คำนี้เลย "ไม่ไปแล้ว"  อ่านปุ๊บหัวเราะลั่นแทบกรี๊ด เด็ดมาก บอกรักกันละด้วยในที่สุดวันนี้ก็มาถึง :man1:

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
น่ารักอะ ชอบมากเลย อ่านไปด้วยใจหวาดหวั่นแอบกลัวมาม่าต้มยำ 555

ออฟไลน์ mutoo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-37
ชอบตอนจิ้งเต๋อทะเลาะกับพ่อบุญธรรม
แหมๆๆ ใครจะไปรู้ใจคุณพ่อสุดที่เลิฟมากไปกว่าลูกชายสุดที่เลิฟได้ล่ะ

ออฟไลน์ maru

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-7
จิ้งเต๋อไม่ค่อยเลยนะ

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
อ่านแล้วชอบครับ รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ valenna yy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
 :pig4: ขอบคุนคะ ชอบมาก
อ่านมารธอน สองวันไม่นอน

ออฟไลน์ MeepadA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1069
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
อย่าหักโหมกันนักซิ จิ้งเต๋อเป็นห่วง   :z1:

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
 :impress2: :-[ :o8:
อ่านแล้วฟินนนนนนนนนนนนนนนน ชอบช่วงเวลาแบบนี้จัง

ออฟไลน์ ~มือวางอันดับ1~

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด