บทที่ 61 ราชทูตแคว้นโหยวเฉิง(2)
ตอนขุนนางทั้งหลายทยอยออกจากงานเลี้ยง เหลียนอันสุ่ยเตรียมเสื้อไว้ตั้งใจจะให้คนที่ถูกเหลียนจิ้งเต๋อทำจนเลอะเทอะได้ผลัดเปลี่ยน จึงชะงักเท้าไว้คิดจะส่งมอบให้ด้วยตัวเอง แต่หานญื่อหลัวกลับดึงเสื้อดังกล่าวมาถือไว้เอง รุนหลังให้เหลียนอันสุ่ยก้าวต่อไป กล่าวว่า
“หากคืนนี้ท่านไม่ต้องการให้มีคนตาย ทางที่ดีควรรีบไปรอที่ตำหนักเสียงวสันต์ เรื่องเหลียนจิ้งเต๋อ เดี๋ยวข้าขอโทษเขาแทนท่านเอง”
เหลียนอันสุ่ยเห็นว่าช่วยชีวิตคนเรื่องใหญ่ แม้ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็เร่งเท้าจากไป
หานญื่อหลัวมองแสงดาว เอนพิงเสาบันได รอจนจั่วชิวถูเดินออกมาก็ส่งชุดสำหรับผลัดเปลี่ยนให้
“คนก่อเรื่องไม่ได้ตั้งใจ ขอท่านอย่าถือสา” หานญื่อหลัวรู้สึกแปลกๆนิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าเขากับลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ลงรอยกันตลอดมาจะมีวันร่วมมือกันเพราะเรื่องพระมาตุลาแคว้นเหลียน
“แล้ว...พวกเขาเล่า ? ” จั่วชิวถูพยายามสอดส่ายสายตาหาคนที่เขาปรารถนาจะรู้จัก
“ถ้าข้าเป็นท่านจะไม่ถามคำถามนี้ ของบางอย่างท่านอย่าอยากจะได้จะดีกว่า เพราะความคิดเช่นนั้นรังแต่นำพาความโชคร้ายมาให้” รอยยิ้มบนใบหน้าของหานญื่อหลัวเยียบเย็น แม้มันจะทำให้เขาหล่อเหลายิ่งขึ้น แต่กลับมิได้ทำให้เขาดูน่าเข้าใกล้แม้แต่น้อย
จั่วชิวถูมองอีกฝ่ายเต็มตาแล้วแทบสำลัก ผู้ชายคนนี้รูปงามจัดจนทำให้ผู้คนรู้สึกหมดคุณค่าในตัวเองได้เลยทีเดียว
เมื่อครู่จั่วชิวถูเห็นแล้วว่าคนที่เขาถูกใจนั่งข้างพระภาดาหานญื่อหลัว และคนที่บังคับให้เขาเก็บสายตากลับไปก็คือพระภาดาหานญื่อหลัว หานญื่อหลัวขึ้นชื่อเรื่องรูปงามมาแต่ไหนแต่ไร แต่จั่วชิวถูมีความเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนมารปีศาจมากกว่าคน ดวงตาสีฟ้าจัดสะท้อนแสงจันทร์ยิ่งดูน่าขนลุกเป็นพิเศษ
ปรกติจั่วชิวถูภูมิใจตลอดว่าว่าเขาดูแลหน้าตาตัวเองได้ไม่เลวนัก แม้วัยจะใกล้เลขสี่และดวงตาหยีเล็กไปบ้าง แต่โดยทั่วไปคนวัยแบบเขา ฐานะระดับเขา ไม่อ้วนลงพุงก็นับว่าหาได้ยาก หากเมื่อเจอกับคนที่หล่อเหลามาแต่กำเนิดยังคงรู้สึกว่าฟ้าดินช่างอยุติธรรม ยิ่งมองความไม่มั่นใจก็ล้นปรี่ขึ้นมา
---------------------
แต่ถามว่าใบหน้าที่ทั้งสุภาพราวเทพบุตร เยียบเย็นราวปีศาจสามารถทำให้จั่วชิวถูตัดใจได้หรือไม่ คำตอบคือไม่
พ่อค้าผู้ทรงอิทธิพลผู้นี้กลับถึงที่พักตัวเองก็เรียกคนมาปรนนิบัติ แต่กระทั่งชายบำเรอที่เคยโปรดปรานที่สุดก็ยังรู้สึกขัดตา
สมัยก่อนจั่วชิวถูเป็นชนชั้นอันต่ำต้อย ชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบาก ปัจจุบันจึงชมชอบคบหากับเชื้อพระวงศ์ หลงใหลรสนิยมอันสูงสง่าของพวกเขา คนที่โปรดปรานนอกจากหน้าตาผิวพรรณยังเลือกที่บุคลิกการวางตัว น่าเสียดายที่ชายบำเรอที่เขามีกลับบุคลิกเทียบเหลียนอันสุ่ยไม่ได้แม้แต่คนเดียว
เมื่อพบเหลียนอันสุ่ยจั่วชิวถูจึงได้เข้าใจ ผู้สูงศักดิ์ที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องวางท่าอยู่เหนือผู้อื่น แต่แค่อากัปกิริยาเรียบง่ายเช่นยกมือวางเท้า เหลียนอันสุ่ยก็สามารถกระทำออกมาได้อย่างน่ามอง
---------------------
กว่าจะมีวันนี้จั่วชิวถูใช้ความเพียรพยายามไม่น้อย ปลูกฝังนิสัยไม่ล้มเลิกอะไรง่ายๆ แม้ทราบแน่แก่ใจว่าอีกฝ่ายเกี่ยวของกับพระภาดาหานญื่อหลัวก็ยังไม่ยอมตัดใจ เพียรสอบถามหาข้อมูล ใต้เท้าที่สนทนาถึงเรื่องนี้แทบพ่นสุราออกจากปาก ร้องว่า
“ท่านคงมิใช่สนใจพระมาตุลาแคว้นเหลียนกระมัง นี่ท่านเสียสติอยากหาที่กลบฝังตัวเองแล้วหรือ”
“ข้าทราบว่าเขาเป็นคนของพระภาดาหานญื่อหลัว แต่ข้า...”
คู่สนทนาสอดคำขึ้น
“เขาเป็นสหายของพระภาดา แต่ไม่ใช่คนของพระภาดา” เหลือบตามองประตูให้แน่ใจว่าปิดสนิทดี กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตัดสินใจโน้มตัวไปกระซิบข้างใบหูอีกฝ่ายว่า “...เขาเป็นคนของเป่ยชางอ๋อง”
จั่วชิวถูหูลั่นอึงอล ตอนแรกที่ได้ยินว่าเหลียนอันสุ่ยมีศักดิ์ฐานะเป็นตัวประกัน ความหวังในใจก็ขยับขยาย เชื้อพระวงศ์ที่ฐานะไม่มั่นคงย่อมต้องพึ่งพาชนชั้นพ่อค้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนความหวังในใจเขาจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว
---------------------
ทว่าความหวังกลับเป็นสิ่งที่ทำให้โลกสวยงามเสมอ และความหวังในใจคนบางคนก็เป็นสิ่งที่ดื้อด้าน
จั่วชิวถูทำกิจการแพรไหม ในตอนที่ร้านสาขามีกำหนดส่งผ้าให้กับในวังจงใจหอบไปด้วยตัวเอง หวังจะได้พบหน้าเหลียนอันสุ่ยซักครา ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น จั่วชิวถูได้พบจริงๆ ซ้ำยังได้สนทนาไปหลายประโยค แค่หลายประโยคก็เพียงพอจะชุ่มชื่นหัวใจ แต่แค่หลายประโยคก็เพียงพอจะทำให้หัวใจของบุรุษผู้หนึ่งลุกเป็นไฟ
ในวันนั้นไม่ทันออกจากตำหนักเสียงวสันต์ จั่วชิวถูจึงได้รับเสด็จเป่ยชางอ๋องอย่างใกล้ชิด
ฉีเซี่ยงหยวนกำลังพยายามเตือนตัวเองว่าชายตรงหน้าเป็นสหายกับองค์ชายแคว้นโหยวเฉิงที่เขาจำเป็นต้องผูกมิตรด้วย องค์ชายสามคิดการณ์ใหญ่ พ่อค้าอย่างจั่วชิวถูก็คือแหล่งเงินทุน หากฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่สามารถลบภาพแล่เนื้อเถือหนังอีกฝ่ายออกไปจากใจเขาได้ และไม่สามารถเค้นรอยยิ้มออกมาแม้แต่กระผีกเดียว เหลียนอันสุ่ยก็เหลือเกินความรู้สึกอย่างอื่นละไวเชียว แต่ตัวเองถูกผู้อื่นใช้สายตาลวนลามกลับไม่ค่อยจะรู้สึก!
---------------------
เย็นวันนั้นพ่อค้าที่บุกบั่นทำการค้ามาตั้งแต่เหนือจรดใต้นั่งรถม้ากลับที่พักด้วยท่าทีซึมเซา
แม้แผนการชิงอำนาจขององค์ชายสามจะมีความสำคัญ เพียงพอจะพลิกเปลี่ยนสถานภาพชั่วชีวิตของเขา แต่จั่วชิวถูยังคงไม่มีแก่ใจจะไปครุ่นคิด ความคิดคำนึงทั้งหมดมีเพียงประการเดียว...เหตุใดความรักแรกพบของเขาจึงมีจุดจบรวดเร็วปานนี้
วันนี้เป็นวันแรกที่เขาได้รู้จักพูดคุยกับเหลียนอันสุ่ย และเป็นวันสุดท้ายสำหรับความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้น
หานญื่อหลัวที่เขารู้สึกว่ารูปลักษณ์เหมือนปีศาจร้าย ความน่ากลัวกลับเทียบไม่ได้กับเป่ยชางอ๋อง ชั่วชีวิตของจั่วชิวถูไม่เคยเจอคนที่ทรงอำนาจถึงเพียงนี้มาก่อน และไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นมดแมลงอันต่ำต้อยมากขนาดนี้มาก่อน
ในต้าอ๋องแคว้นใหญ่ทั้งสาม หนานเหมินอ๋องลึกซึ้งที่สุด แต่ความลึกซึ้งมากเล่ห์กลับทำให้เขาขาดบุคลิกอันงามสง่า โหยวเฉิงอ๋องมีภาพลักษณ์ของราชาที่ทรงธรรม น่าเสียดายที่ปราศจากความมั่นใจและเด็ดขาด เป่ยชางอ๋องอายุเยาว์ที่สุด แต่กลับเป็นคนที่มีบุคลิกกดดันน่าครั่นคร้ามที่สุด
ราวกับเกิดมาเพื่อจะกอบกุมอำนาจที่สามารถใช้สอยบงการผู้อื่น ราวกับมีพลังอันสามารถพลิกผันฟ้าดินของบุรุษวัยฉกรรจ์อยู่เต็มเปี่ยม ตั้งแต่ตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนปรากฏตัว จั่วชิวถูก็ทราบว่ารักแรกพบครั้งนี้ของเขาไม่มีความหวังอีกต่อไป
เขาไม่อาจเป็นศัตรูกับเป่ยชางอ๋อง พอๆกับไม่มีปัญญาดึงสายตาของพระมาตุลาแคว้นเหลียนออกมาจากต้าอ๋องผู้นั้น ที่น่าเจ็บปวดที่สุดคือเมื่อยืนคู่กัน คนคู่นี้กลับเป็นเหมือนความแตกต่างที่เกิดมาเพื่อกันและกัน
---------------
ในห้องหนังสือตั้งฉากบังลมเอาไว้ข้างเตียงเล็กที่เหลียนอันสุ่ยใช้งีบหลับระหว่างวัน บนฉากบังลมเป็นภาพทิวเขาทอดยาวต่อเนื่องสลับซับซ้อน ให้อารมณ์กวีอันสูงสง่า โครงไม้สีเข้มขับเน้นอย่างกลมกลืน
บนเตียงเล็กมีคนนั่ง ข้างฉากบังลมก็มีคนยืนอยู่
“เหลียนอันสุ่ย ท่านไม่เห็นสายตาสกปรกที่พ่อค้านั่นใช้มองท่านหรือ!”
เหลียนอันสุ่ยที่ข้างฉากบังลมกระพริบตาปริบๆ มองคนบันดาลโทสะตรงหน้า คาดเดาอย่างไม่แน่ใจว่า
“ต้าอ๋อง นี่ท่าน...หึงหรือ ? ”
ฉีเซี่ยงหยวนหันขวับมาตอบทันควันตรงประเด็นว่า
“ใช่ ข้าหึง ไม่ใช่แค่หึงยังหวงมากด้วย” คำพูดชัดถ้อยชัดคำไม่บ่ายเบี่ยงแม้แต่น้อย
เหลียนอันสุ่ยอึ้งไปครู่ใหญ่ สุดท้ายวางมือลงบนบ่าหนา พูดปลอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“ข้ากับเขาต่างเป็นบุรุษ...”
“หรือข้ากับท่านมิใช่ ? ” มีคนถามสวนขึ้นอีก
เหลียนอันสุ่ยมองใบหน้าคมคาย สายตาอ่อนโยนกว่าเดิม ตอบตามตรงว่า
“ท่านไม่เหมือนกัน ท่านเป็นคนที่ข้ารัก ดังนั้นท่านใยต้องคิดมากด้วย”
ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินประโยคนี้ก็มีท่าทีอ่อนลง ยินยอมให้เหลียนอันสุ่ยใช้สองมือโอบกอดเขาไว้
เหลียนอันสุ่ยซบใบหน้าลงกับบ่ากว้างอย่างคุ้นชิน พึมพำว่า
“เขาทำให้ข้านึกถึงอวี้เฉียน เพียงแต่อวี้เฉียนไม่เคยใช้สายตาแบบนี้มองข้า”
“เขาใช้สายตาแบบไหนมองท่าน” ฉีเซี่ยงหยวนหมายถึงอวี้เฉียน แต่เหลียนอันสุ่ยไม่ตอบคำ กลับพึมพำว่า
“ข้าทำร้ายเขาไปมากเหลือเกิน ไม่ว่าใครที่รักข้าล้วนถูกข้าทำร้าย...ท่านก็ด้วย”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ
“ท่านก็เป็นของท่านแบบนี้ ภายนอกอ่อนโยนนุ่มนวล เวลาตัดสินใจอะไรกลับใจแข็งเหนือธรรมดา ข้าว่าเขาก็เป็นเหมือนข้า ไม่ว่าอย่างไรก็เต็มใจถูกท่านทำร้ายดีกว่าไม่ได้รักท่าน เป็นพวกเราส่งมอบหัวใจออกไปง่ายดายเอง หาใช่ความผิดของท่าน ท่านใยต้องคิดมากด้วย” ใช้คำของเจ้าตัวมาย้อนเจ้าของ
“...ท่านไม่หึงอวี้เฉียน ? ” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยแปลกใจ
ฉีเซี่ยงหยวนตอบอย่างจริงจังว่า
“ข้าใยต้องหึงเขา ในเมื่อข้ายังมีเวลาอีกทั้งชีวิตที่จะใช้กับคนที่ข้ารัก ในขณะที่เขาไม่มีแล้ว” คนตายจากไป ไม่ว่าอะไรก็ไม่มีแล้วทั้งนั้น
เหลียนอันสุ่ยผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ จริงๆแล้วฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่ได้ขี้หึงขนาด...
“ข้าไม่หึงคนตาย แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่ถือสาคนเป็น ถ้าท่านอยากให้ข้าไม่ถือสาจั่วชิวถู ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าทำให้เขาเป็นคนตายไปเสียก่อน เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว”
...เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว เหลียนอันสุ่ยพูดไม่ออก ฉีเซี่ยงหยวนกลับกล่าวเรื่องกุดหัวคนออกมาได้อย่างปลอดโปร่ง ...อันที่จริงสายตาเมื่อครู่ของฉีเซี่ยงหยวนแค่มองก็รู้แล้วว่าอยากฆ่าคนเต็มแก่
“พรุ่งนี้ท่านมีนัดเล่นพิณกับหานญื่อหลัวอีกแล้ว ? ”
เหลียนอันสุ่ยพยักหน้า คิ้วเรียวยาวขมวดเล็กน้อยอย่างแปลกใจที่อีกฝ่ายจู่ๆก็พูดถึงเรื่องนี้
“ท่านไม่พบเขาได้หรือไม่ ข้าไม่ชอบเลยเวลาท่านอยู่กับเขา” เสียงบ่นอุบอิบดังอยู่ริมหู
“อย่าบอกนะ...ว่านี่ท่านก็หึง” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยไม่อยากจะเชื่อ
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบ
“ต้าอ๋อง คุณชายหานเป็นเพื่อนข้า”
“อ้อ ตอนนี้ถึงกับเรียกหาเป็นคุณชายหานอย่างสนิทสนม”
เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจ บางครั้งต้าอ๋องผู้นี้ก็ทำตัวขี้น้อยใจเหมือนเด็กๆ
“เซี่ยงหยวน เพื่อนก็คือเพื่อน ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ ...หรือว่าท่านอยากจะเป็นอย่างเขา เป็นแค่เพื่อนกับข้า”
ฉีเซี่ยงหยวนนึกถึงภาพคนหนึ่งดีดพิณคนหนึ่งเป่าขลุ่ยที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ถอนหายใจเช่นกัน กล่าวอย่างเสียใจว่า
“ข้าขอโทษที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างมาอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
เหลียนอันสุ่ยกลับไม่เคยถือสาเรื่องนั้น ตัวเขาสมัยก่อนไม่แน่ว่าทำตัวเองจนไม่มีเวลาว่างยิ่งกว่าบุรุษตรงหน้าอีก กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“เอาไว้วันหลังท่านหาเวลาว่างมาช่วงหนึ่ง ข้ากับเขาจะเล่นเพลงให้ท่านฟังดีหรือไม่”
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งคิดอยู่นาน สุดท้ายยินยอมตอบตกลง
---------------------
หานญื่อหลัวกำลังเทียบขลุ่ยเซียวของเหลียนอันสุ่ยกับขลุ่ยเซียวของตัวเอง สีหน้าท่าทางครุ่นคิด เมื่อได้ยินว่าอีกหลายวันข้างหน้าฉีเซี่ยงหยวนจะมาฟังพวกเขาบรรเลงก็ผุดสีหน้าประหลาดใจ ถามขึ้นว่า
“เขาทนได้หรือ มองข้าเล่นเพลงกับท่านเนี่ยนะ ความจริงแค่ทนมานานขนาดนี้ก็เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมากแล้ว”
เหลียนอันสุ่ยชะงัก เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ในมือยังถือขลุ่ยผิวของทางเหนือที่หานญื่อหลัวนำมาให้เขาดูโดยเฉพาะ ได้ยินเสียงทุ้มกล่าวว่า
“ลูกพี่ลูกน้องของข้าคนนี้ขี้หึงมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยนิสัยของเขาต้องอยากกำจัดข้าออกไปเต็มที ที่ไม่ทำก็เพราะเขาเห็นแก่ท่าน เห็นได้ชัดว่าเขารักท่านมาก”
เหลียนอันสุ่ยวางขลุ่ยไม่ไผ่ในมือลงทันที
“ท่านรู้อยู่แล้ว แต่ก็ชอบมาตอนเขากำลังจะไปทุกที นี่ท่าน...นี่ท่านจงใจยั่วโมโหเขาชัดๆ”
หานญื่อหลัวยิ้มบางๆ ถามว่า
“เขาโมโหใส่ท่านหรือ”
เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า พูดว่า
“ท่านนั่นแหละระวังตัวไว้เถอะ ล่วงเกินใครไม่ล่วงเกิน ต้องเจาะจงมาท้าทายคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบเขา”
หานญื่อหลัวหัวเราะ มองเหลียนอันสุ่ยด้วยดวงตาสีฟ้าที่พราวระยับ มุมปากยกเป็นรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ ใบหน้าหล่อเหลายิ่งมองก็ยิ่งปฏิเสธไม่ลง ขณะกล่าวว่า
“ท่านเริ่มเห็นข้อเสียของเขาแล้วใช่หรือไม่ คนๆนี้ขี้หึง ขี้หวง กับเรื่องพรรค์นี้ยิ่งชอบคิดเล็กคิดน้อย ทั้งยังเล่นงานคนลับหลัง...” ถอนหายใจเฮือกอย่างเสแสร้ง “ตอนนี้ท่านยังพอเปลี่ยนใจทัน เปลี่ยนใจมาชอบข้ารับรองว่าข้าใจกว้างมากพอ”
เหลียนอันสุ่ยเลิกคิ้ว ถาม
“นี่ท่านกำลังหว่านเสน่ห์ใส่ข้าหรือ ...พวกท่านสองคนจำเป็นต้องแข่งกันให้ได้ทุกเรื่องเลยใช่หรือไม่” พูดพลางคิดถึงเหตุการณ์ตอนล่าสัตว์
หานญื่อหลัวรับขลุ่ยของตัวเองคืนมา ยิ้มพลางกล่าวว่า
“เป็นความเคยชินประการหนึ่ง ตั้งแต่จำความได้ฉีเซี่ยงหยวนก็เขม่นหน้าข้ามาโดยตลอด ทุกครั้งที่ข้าลงมาเยี่ยมท่านลุง ไม่ว่าอะไรเขาก็จะต้องหาหนทางทำให้ได้เหนือกว่า ตอนเด็กข้าแม้ไม่เกลียดเขา แต่เห็นว่าในเมื่อเขาอยากแข่งนักก็แข่งสิ ใช่ว่าข้าจะกลัวเขา แน่นอนว่าข้าไม่ใช่ประเภทอยู่เฉยๆยอมให้เขามาชนะได้ง่ายๆ มาคิดดูตอนนี้ข้าคิดว่าข้าเข้าใจเขา ถ้าข้าเป็นเขาก็ต้องเกลียดลูกพี่ลูกน้องตัวเองอย่างแน่นอน”
หานญื่อหลัวกล่าวอย่างมั่นใจ พลางยิ้มน้อยๆ จากนั้นหลุบสายตามองขลุ่ยในมือ ลูบช้าๆไปตามรูแต่ละรูของขลุ่ยไม้ไผ่ที่จัดทำอย่างปราณีต พลางกล่าวว่า
“ตั้งแต่เด็กท่านลุงก็ลำเอียงรักแต่ข้า บางครั้งขนาดข้ายังรู้สึกว่าท่านลุงทำเกินไป ท่านไม่เคยเห็นสายตาที่ท่านลุงใช้มองเขา ข้าว่าเด็กคนไหนก็ทนไม่ได้ทั้งนั้น มัน...เหมือนกับ...ไม่มีตัวตน”
พูดจบก็วางขลุ่ยไม้ไผ่ลง หยิบขลุ่ยเซียวของตัวเองขึ้นมาเป่าบรรเลงท่อนหนึ่ง ขลุ่ยเซียวแผ่วทุ้ม ขลุ่ยผิวแหลมสูง แคว้นทางใต้นิยมเป่าเซียว เหลียนอันสุ่ยเป่าเป็นแต่ขลุ่ยเซียวเท่านั้น
“ท่านเป่าเก่งกว่าข้าอีก” เหลียนอันสุ่ยเลิกแปลกใจในความสามารถทางดนตรีของพระภาดาผู้นี้ไปนานแล้ว
“ข้าอยากให้ท่านลองฟังเทียบกับเสียงขลุ่ยผิว ขลุ่ยสองชนิดนี้น้ำเสียงแตกต่างกันมากทีเดียว” ยกขลุ่ยไม้ไผ่พาดเฉียงๆกับเรียวปาก ทำนองกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาช่วงหนึ่งขับไล่บรรยากาศหดหู่ไป
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกแปลกตา ขลุ่ยเซียวเป่าจากปลาย ขลุ่ยผิวกลับเป่าทางด้านข้าง หานญื่อหลัวในรูปลักษณ์เช่นนี้ดูไปกลับดูเหมือนคุณชายผู้กรุ้มกริ่มงามสง่าผู้หนึ่ง
“ทั้งๆที่ท่านไม่ได้เกลียดเขา ทำไมตอนนี้ยังต้องแข่งกับเขาให้ได้ทุกเรื่องอีก”
หานญื่อหลัวลดขลุ่ยลง ยักไหล่พลางกล่าวว่า
“ข้าบอกแล้วว่ามันเป็นความเคยชิน อีกอย่างแข่งกันแบบนี้ก็สนุกดี ข้าเชื่อว่าฉีเซี่ยงหยวนก็มีความเห็นต่อเรื่องนี้ไม่ต่างกัน”
“...” บางทีลูกพี่ลูกน้องคู่นี้คงรู้สึกว่าใต้หล้ายังยุ่งเหยิงไม่พอ
---------------------
กล่าวตามความจริงฉีเซี่ยงหยวนเป็นต้าอ๋อง ส่วนหานญื่อหลัวเป็นขุนนางใต้บัญชาเขา เป็นขุนนางจอมกวนโมโหที่ชอบมาตีสนิท แต่งกลอน เล่นดนตรี ดื่มชา สนทนา เขียนอักษรกับคนรักของเขา ฉีเซี่ยงหยวนแม้ไม่เคยชอบใจและบ่นอุบอิบอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่ได้ลงมืออย่างจริงจังเพราะทราบดีว่าเหลียนอันสุ่ยจำเป็นต้องมีเพื่อน
การที่ฉีเซี่ยงหยวนเคารพการตัดสินใจของเหลียนอันสุ่ยเช่นนี้ ทำให้พระภาดาหานญื่อหลัวแปลกใจไม่น้อย ดูๆไปลูกพี่ลูกน้องที่นิสัยไม่ค่อยดีของเขาก็มีข้อดีอยู่หลายประการทีเดียว
---------------------
ตำหนักชุนเกอเกือบจะเป็นที่นอนถาวรของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน ตัวตำหนักยังคงความเรียบง่าย ตั้งแต่สัญญาสงบศึก แม้ตำหนักเสียงวสันต์จะวุ่นวายเพราะเหลียนจิ้งเต๋ออยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยวุ่นวายเพราะเรื่องทะเลาะกันระหว่างพ่อลูกบุญธรรม ทุกอย่างดูสนิทสนมกลมเกลียว...อย่างน้อยก็ ‘ดูเหมือน’ สนิทสนมกลมเกลียวไม่น้อย
ชานด้านนอกมีหลังคาเป็นฟากฟ้ายามเย็น สีชมพูระบายทับสีม่วงจาง เหลียนอันสุ่ยชอบชงชาด้วยตัวเองเวลานี้จึงไม่อยู่ ทิ้งคนสำคัญทั้งสองของเขาเอาไว้ให้นั่งหันหน้าจ้องตากัน
ลับหลังบิดาไปหลายชั่วอึดใจ เหลียนจิ้งเต๋อก็เปิดบทสนทนา
“ทำไมวันนี้ท่านมาอีกแล้ว”
“ทำไมวันนี้ข้ามาไม่ได้”
“ต้าอ๋อง ท่านกับข้าต้องมาคุยกันให้รู้เรื่อง ท่านพ่อข้าไม่ได้แข็งแกร่งทนทายาดเหมือนอย่างท่าน หักโหมไม่ได้นอนเหมือนกับท่านทุกวันไม่ไหวหรอกนะ ท่านมาได้อย่างมากวันเว้นวันเท่านั้น วันนี้กลับไปได้แล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกโชคดีที่เขายังไม่ได้ดื่มชา ไม่อย่างนั้นต้องสำลักน้ำชาแน่นอน กลั้นหัวร่อสุดความสามารถ มองคนที่วางท่าเคร่งขรึมจริงจัง แล้วกล่าวว่า
“เหลียนจิ้งเต๋อ ข้าไม่เคยบังคับท่านพ่อของเจ้า”
คราวนี้เหลียนจิ้งเต๋อถึงกับลุกขึ้นชี้หน้า
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ท่านพ่อรักท่านมาก ไม่ต้องใช้วิธีบังคับท่านพ่อข้าก็ใจอ่อนกับท่าน ไม้นี้ข้าใช้ประจำ ท่านไม่ต้องมาบ่ายเบี่ยง”
“อ้อ” ฉีเซี่ยงหยวนลากเสียงยาว ดวงตามองไปด้านหลังของเหลียนจิ้งเต๋อ เห็นคนผู้หนึ่งมือถือถาดใส่น้ำชา ยืนกุมถาดไม้หน้าแดงอยู่ตรงนั้น
เหลียนอันสุ่ยก้มหน้าลง วางถาดไม้ลงกับโต๊ะด้วยสีหน้าปกติ ทำราวกับเมื่อครู่ไม่ได้ยินสิ่งใด เอ่ยกับเหลียนจิ้งเต๋อว่า
“องค์รัชทายาทรออยู่ด้านนอก อีกครึ่งชั่วยามก็จะถึงเวลาอาหารเย็น กลับมาให้ทันด้วย”
เหลียนจิ้งเต๋อจากไปแล้ว เหลียนอันสุ่ยยังคงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
ฉีเซี่ยงหยวนรับถ้วยน้ำชามาหมุนเล่น เอียงคอ ยิ้มน้อยๆที่มุมปาก เอ่ยว่า
“จิ้งเอ๋อบอกว่าข้าทรมานท่าน เขาใช้คำว่า...เอ้อ ‘หักโหม’ ” ฉีเซี่ยงหยวนทำหน้าครุ่นคิดนิดหน่อย ราวกับต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งเพื่อนึกคำเมื่อครู่ให้ออก
เหลียนอันสุ่ยทำเป็นไม่ได้ยินคนที่มีจุดประสงค์ต้องการแกล้งเขาโดยเฉพาะ แต่คนผู้นั้นยังคงพูดต่อว่า
“เขาไม่รู้ว่าบางคืนพวกเราก็แค่นอนข้างกันเฉยๆ ท่านว่าข้าสมควรไปหาเขา แก้ไขความเข้าใจผิดนี้หรือไม่”
“ไม่ต้อง” เหลียนอันสุ่ยปฏิเสธทันควัน
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ ที่แท้เหลียนอันสุ่ยมาทันได้ยินทุกคำ ใช้มือรั้งร่างสูงโปร่งเข้ามาใกล้ กล่าวว่า
“เขาว่าท่านรักข้ามาก ใจอ่อนกับข้าอยู่เรื่อย ข้อนี้ข้าว่าเขาค่อนข้างพูดได้ถูกทีเดียว” พูดจบก็หอมแก้มอีกฝ่ายไปฟอดหนึ่ง
เหลียนอันสุ่ยจนปัญญาจะรับมือกับบุรุษผู้นี้ เวลาฉีเซี่ยงหยวนโมโหเหลียนอันสุ่ยไม่เคยหวาดกลัวเพราะมั่นใจว่าจัดการได้ แต่เวลาฉีเซี่ยงหยวนออดอ้อน ตัวเขายิ่งมาก็ยิ่งไม่มีวิธีรับมือ
---------------------