นี่ทู้รวมเรื่องสั้น ตามอารมณ์ ของ นังพิต มีทุกแนว นะฮ๊าฟฟฟฟ ตามอารมณ์ นางจริงๆ แต่กลัวจะดราม่าเป็นหลัก
ตามสไตส์พิตต้า ฮ่าๆๆๆ No.1 เธอคือทั้งหัวใจ (YAOI)
คนบางคน เกิดมาให้เรารัก เราก็ทำได้แค่รัก ….
ใครคนหนึ่งยืนหลบมุมอยู่ภายในสวนสวยเสียงของเพลงบรรเลงหวานๆ ยังคงดังคลออยู่อย่างต่อเนื่อง ผู้คนที่อยู่รายรอบกำลังยิ้มอย่างเป็นสุข โดยเฉพาะคนสองคนที่ยืนอยู่หน้าบาทหลวงในตอนนี้
ยิ้มได้แล้วสินะ
เขายิ้มเมื่อเห็นว่า “ใครคนนั้น” กำลังยิ้ม ก่อนที่จะหันหลังเดินออกจากงานไปเงียบๆ
เขาทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้ว ในที่สุดเขาคนนั้นก็ยิ้มได้แล้ว รอยยิ้ม ที่มาจากหัวใจ ทำให้เขามีความสุข เช่นกัน…
8 ปีก่อน
ร่างเพรียวยืนมองอาคารเรียนกับบรรยากาศที่แปลกตา แหงล่ะ ก็เขาเพิ่งจะวันแรกอะไรๆมันก็ดูแปลกไปซะหมด ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูกกันนะ ที่มาย้ายโรงเรียนตอนมอปลาย คิดถึงเพื่อนชะมัด ไม่รู้ว่าที่นี่จะได้เจอคนแบบไหน เขาจะมีเพื่อนบ้างหรือเปล่านะ
เพี๊ย!!
“ไอ้ห่า กูเรียกทำไมไม่หัน”
“ใครแมร่งตบหัวกูว่ะ!!” สบถก่อนจะหันกลับไปด่าไอ้คนไร้มารยาทที่มันตบหัวผมแรงจนเห็นดาว
“มึงตบหัวกูไมวะ!!”
“โทษที กูนึกว่ามึงเป็นเพื่อนกู น่ะ แหะๆ” ไอ้คนไร้มารยาทบอกก่อนจะมองร่างเพรียวด้วยแววตาสำนึกผิด
“ทีหลังก็หัดดูซะบ้างสิวะ ไม่ใช่เอะอะก็ตบ กูเจ็บนะสัด ” คนเตี้ยกว่ายังตะคอกไม่หยุด พลางมองคนตัวสูงตรงหน้าอย่างเจ็บใจ
“กูก็ขอโทษแล้วไง มึงจะเอาไงอีกตบกูคืนเลยม่ะ เดี๋ยวกูยืนให้ตบเลย”
ผลั๊ว!!
อย่าคิดนะว่าเขาจะไม่กล้า ถึงจะเพิ่งมาเรียนที่นี่เป็นวันแรกแต่คนอย่าง นาย “วาคิม” ไม่ เล็กนะครับ (หมายถึงใจน่ะ)
“โหไอ้นี่ มึงทำจริงเหรอว่ะ”
“ก็เออเดะ ใครจะให้มึงตบฟรีๆล่ะสัด”
“ฮ่าๆๆ เออกูชอบว่ะ มึงแมร่งแปลกดี กูชื่อ เคน ม 4 ห้อง 1 มึงอ่ะ” อีกคนถามผม
“กูชื่อ วา อยู่ห้อง 3 ”
“มึงเพิ่งย้ายมาเรียนนี่เหรอ” อีกคนถามพร้อมกับอาสาพาไปส่งที่ห้องเรียน อย่าถามว่าทำไมถึงไปถูกนั่นเพราะอีกคนเรียนที่นี่มา
สามปีแล้วไง
“อืม ”
“ดีล่ะ งั้นกูก็เป็นเพื่อนคนแรกของมึงสินะ”
“เออ ไอ้เพื่อนคนแรก”
นั่นเป็นวันแรกที่เขาได้พบกับ เคน…
“เชี่ย ตื่นๆ ลืมตาขึ้นมาอ่านหนังสือเดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มตะโกนก่อนที่จะลากร่างเพรียวที่หลับให้หนังสืออ่านมานานสองนานให้ลุกขึ้น
“กูขออีก ห้านาที นะ” อีกคนบอกอย่างงัวเงีย
“ไม่ได้เด็ดขาด จะสอบอยู่แล้วนะมึงยังขี้เกียจตัวเป็นขนอยู่อีกเหรอ แล้วนี่นะจะสอบมหาลัยC” ร่างสูงบ่นเป็นหมีกินผึ้งพลางดีด
หน้าผากคนที่นอนอยู่ไปด้วย
“ก็กูเกลียคณิต มึงเข้าใจไหมว่ากูเกลียดมัน อะไรก็ไม่รู้ใช้ไม่ได้สักอย่าง กูถามมึงหน่อยสิ ว่าถ้ามึงไปซื้อผักที่ตลาดมึงต้องถอดรูทไหม กูไม่เข้าใจจะเรียนทำไมยากขนาดนี้” บ่นยาวเยียดก่อนจะฟุบหน้าลงกับหนังสือคณิตศาสตร์เล่มหนา ข้อเดียวอย่างเดียว
ของมันก็คงใช้แทนหมอนได้สบายที่สุดนี่แระ
“ไม่ได้ๆ ถึงยังไงมึงต้องอ่านเข้าใจไหม”
“เออ บังคับกูจัง ไอ้เด็กห้องคิงเอ้ยยยยยยยย” ร่างเพรียวบอกอย่างขัดใจ ก่อนจะก้มหน้าก้มตา ทำโจทย์คริตของตัวเองต่อไปโดยมีร่างสูงนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ
วาคิมเงยหน้าขึ้นมองด้านข้างของคนที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสืออย่างจริงจังก่อนจะยกยิ้ม สามปีแล้วสินะที่เขากับไอ้คนตัวสูงนี่เป็นเพื่อนกัน ทั้งๆที่ ไม่เคยคาดคิดว่าจะสนิทกันได้ แต่เขากับเคนกลับมาสนิทกันอย่างไม่น่าเชื่อ จากความสนิท เริ่มเป็นความผูกพัน และจากความผูกพัน มันเริ่มกลายเป็นความ….รัก
แม้ในใจลึกๆ ร่างเพรียวอยากจะบอกให้อีกคนรู้เหลือเกินว่าตอนนี้เขารู้สึกยังไง แต่กลับไม่กล้า ไม่กล้าจริงๆที่จะพูดคำๆนั้นออกไป กลัว กลัวว่า ความเป็นเพื่อนที่ผ่านมา มันจะหายไป เพราะเขารู้ดี ว่าอีกคน ไม่เคยคิดอะไรกับเขานอกจากคำว่าเพื่อน ร่างสูงเป็นคนร่าเริงและมีมนุษย์สัมพันธ์ดีกับคนอื่นเสมอถึงมีเพื่อนมากมายต่างจากเขาที่หน้าตาท่าทางไม่ค่อยรับแขกสักเท่าไหร่ก็เลยมีเพื่อนอยู่ไม่กี่คน เขายังไม่อยากเสียเพื่อนรักไป ไม่อยากเลยจริงๆ
1 เดือนผ่านไป
“เย้ๆๆ ติดแล้วโว้ย!!!!” เสียงตะโกนโห่ร้องอย่างดีใจของร่างเพรียวที่ดังลั่นบ้านทำเอาผู้เป็นแม่ที่อยู่ชั้นล่างถึงกับส่ายหน้าระอา
“เป็นไรห่ะ วา เบาๆหน่อยสิลูก”
“แม่ ผมทำได้แล้ว ผมทำได้แล้ว!!” ร่างเพรียวที่วิ่งลงมาจากชั้นสองกระโดดกอดผู้เป็นแม่แน่น
“อะไรลูก ไหนพูดช้าๆสิ”
“ผมสอบติดมหาลัยC แล้วนะแม่” ร่างเพรียวร้องลั่นด้วยความดีใจ ก็มหาลัยนี้เป็นความฝันของเขาเลยนะ ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเด็กห้องซีอย่างเขาจะสอบติด คงต้องยกความดีความชอบให้ติวเตอร์จอมโหดของเขานั่นแหล่ะ ว่าแล้วก็โทรไปอวดมันดีกว่า
“โหลๆๆๆ” วาคิมกรอกเสียงลงไปในเครื่องมือสื่อสารทันที
“ใครว่ะ” คนในสายตอบกลับมา
“ไอ้เคน นี่กูวานะ”
“มีอะไรเหรอมึง”
“วันนี้ประกาศผลสอบ มึงจำไม่ได้เหรอ”
“เออว่ะ กูลืมไปเลย มังแต่ยุ่งๆ ว่าแต่มึงโทรมาทำไมว่ะ จะโทรมาฟ้องกูอ่ะดิว่าสอบไม่ติด ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะของอีกคนทำ เอาร่างเพรียวหน้ามุ่ย
“ดูถูกๆ คนเก่งๆอย่ากูนะ …… สอบติดแล้วโว้ย!!!“ ตะโกนบอกอีกคนอย่างดีใจ
“เฮ้ย จริงเหรอ งั้นต้องฉลองดิว่ะ ดีเลยงั้นมึง โทรชวน ไอ้ชา ไอ้แซน แล้วก็ไอ้ก้องด้วยนะ ของแบบนี้ต้องฉลอง กูลี้ยงเองเจอกัน
ที่ร้าน XX นะ กูมีเรื่องจะบอกมึงอยู่เหมือนกัน”
“เออ เดี๋ยวเย็นเจอกันนะ” วาคิมบอกก่อนจะวางสาย
“เฮ้ย ทางนี้ๆ” ร่างเพรียวกวักมือเรียกเพื่อนอีกสามคนให้มานั่งที่โต๊ะ
“โห แมร่งไอ้เคน นี่มันใจป้ำไว้ เลี้ยงร้านหรูซะ” คนมาใหม่เอ่ยก่อนที่จะนั่งลงข้างๆวาคิม
“แน่ล่ะ ไอ้ชา มึงคิดดูสิ คนอย่างไอ้วาเนี่ยนะ ติดมอC ถ้าเป็นกูนะกูปิดซอยเลี้ยงด้วยซ้ำ” คนแก้มป่องเอ่ยบอกเพื่อไขข้อข้องใจของเพื่อน แต่ดูเหมือนคนที่ถูกพาดพิงจะไม่พอใจเท่าไหร่
“โห่ ไอ้แซน คนอย่างกูก็มีสมองนะเว้ย ถึงจะอยู่ห้องซีก็เถอะ ”
“เอาน่า อย่าไปถือสาสองคนนี้เลย แล้วนี่ไอ้เคนไปไหนล่ะ” คนที่นั่งถัดจากคนแก้มป่องเอ่ยถาม
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ มันบอกให้กูกับพวกมึงมารอมันที่นี่ เดี๋ยวมันจะตามมา”
“อย่าไปสนใจมันเลย ไอ้ก้อง ไอ้นั่นมันก็สายประจำ” คนที่ถูกเรียกว่า “ไอ้ชา” หรือชื่อจริงๆคือ ใบชา บอกเพื่อน
“มึงก็ไปว่ามัน มันอาจจะติดธุระก็ได้นะ” ร่างเพรียวแก้ตัวแทน
“แก้ตัวแทนมันตลอด” แซน ผู้ชายแก้มป่องเอ่ยล้อ ก็นะพวกเขาทั้งสามคนน่ะ ดูออกตั้งแต่ปีมะโว้แล้วไอ้เนี่ยมันแอบชอบไอ้เคน จะมีก็แต่ไอ้เจ้าตัวคนถูกชอบนั่นแหล่ะ ไม่รู้ว่าโง่หรือแกล้งโง่กันแน่ที่ไม่ยอมรู้สักที
“เฮ้ย โทษทีว่ะ ” ร่างสูงเดินมาที่โต๊ะก่อนจะขอโทษขอโพยเพื่อนเป็นการใหญ่
“เออ ไม่เป็นไร ว่าแต่ใครว่ะ” ก้องตอบ ก่อนจะมองเลยไปที่อีกคนที่ร่างสูงพามาด้วย
“อ้อ นี่ เน แฟนกูเอง” เคนตอบก่อนที่กุลีกุจอ จัดเก้าอี้ให้คนที่มาด้วยนั่ง
ร่างเพรียวกำลังอึ้ง อึ้งที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าร่างสูงมีคนที่รักอยู่แล้ว สัมผัสแผ่วเบาจากเพื่อนที่นั่งข้างๆทำให้เขารู้สึกตัว ก่อนที่มือของใบชาจะบีบเข้าที่มือเรียวเพื่อให้กำลังใจ
“มึงโอเคนะ” ใบชากระซิบ
“โอเคสิ เพื่อนมีแฟนกูก็ต้องโอเคอยู่แล้ว” วาคิมตอบ แม้ว่าตอนนี้จะเจ็บ เจ็บมากๆ ที่รู้ว่ามือคู่นั้นไม่ว่างอีกต่อไปแล้ว แต่ไม่
เห็นจะเป็นอะไร ในเมื่อวันนี้ เคนยังยิ้มให้เขาอยู่
“เออ จริงๆที่กูมาวันนี้ กูมีเรื่องจะมาบอกพวกมึงว่ะ”
“เรื่องอะไรว่ะ” แซนโพล่งถามออกไปตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น
“คือว่านะ” ร่างสูงยิ้มเขินก่อนจะกุมมือของคนที่นั่งข้างๆแน่น
“กูกับเนจะหมั้นกันว่ะ”
“หมั้น!!!” สามเสียงตะโกนแทบจะพร้อมกัน แต่มีบางคนที่กำลังพูดไม่ออก
“อืม กูสองคนน่ะ คบกันมาได้สักพักแล้ว ก็เลยคิดว่าจะหมั้นกันก่อนแล้วไปเรียนต่อที่แคนนาดาด้วยกัน เรียนจบก็คงแต่งงานกัน
เลยน่ะ พวกมึงไม่โกรธกูใช่ไหมที่กูบอกกะทันหันแบบนี้”
“ไม่หรอก พวกกูจะโกรธมึงได้ยังไง พวกกูต้องยินดีกับมึงสิ จริงไหม” วาคิมที่เหมือนเพิ่งจะหาเสียงตัวเองเจอบอกออกไปก่อนจะหันไปถามความเห็นจากเพื่อน
“อื้อ พวกกูต้องดีใจสิ” สามเสียงตอบพร้อมกันแม้ว่าบรรยากาศมันจะกระอักกระอ่วนพิกลก็ตามน่ะนะ
ร่างเพรียวจ้องมองนกเหล็กที่บินขึ้นท้องฟ้า อย่างอาวรณ์
เคนไปแล้ว
ไปพร้อมกับคนที่ร่างสูงรัก
“มึงไหวแน่นะ” ใบชาเอื้อมมือเตะไหล่คนที่นั่งเหม่ออย่างเห็นใจ แต่เขาเป็นคนนอก เรื่องแบบนี้คงพูดมากไม่ได้ในเมื่อเจ้าตัวมันเลือกที่จะไม่บอก เขาก็คงไม่มีสิทธิ์ไปบังคับให้มันบอกรัก ได้หรอก
“ไหวสิ กูไหว ” ร่างเพรียวซบหน้าลงกับไหล่บางของเพื่อนก่อนที่จะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาช้าๆ ไม่มีเสียงสะอื้น ไม่มีการฟูมฟาย แค่เพียงปล่อยให้หัวใจ มันได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นบ้าง ก็เท่านั้น….
7 ปี ผ่านไป
กริ๊งๆๆๆๆๆ
เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นปลุกให้ร่างที่นอนอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทันเมื่อรู่ว่าวันนี้ต้องไปทำอะไร
วันนี้เคนจะกลับมา
กลับมาหลังจากที่ได้เจอกัน 7 ปี
สนามบิน
ร่างเพรียวยืนชะเง้อมองหาเพื่อนสนิทของตัวเองแต่หายังไงก็หาไม่เจอสักที นี่มันก็เลยเวลามานานแล้วนะ
“ไอ้วา” เสียงเรียกดังขึ้นก่อนที่ผู้ชายผมทองคนนึงจะยิ้มให้
“ไอ้เคน” เขายิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะโผเข้ากอดร่างสูงด้วยความคิดถึง คิดถึงมากเหลือเกิน
“เฮ้ย พอๆ นี่มึงคิดถึงกูมากขนาดนั้นเลยเหรอว่ะเนี่ย”
“อื้อ” ร่างเพรียวพยักหน้า
“โห ร้องไห้ด้วย ไม่ได้เจอกัน เจ็ดปีนี่มึงเปลี่ยนจากไอ้วา จอมซ่าเป็นไอ้วา ขี้แยแล้วเหรอว่ะ” ร่างสูงเอ่ยล้อ
“ใครขี้แยว่ะ เออ แล้วนี่ แฟนมึงล่ะ”
“เขากลับมาก่อนกูได้ เดือนนึงแล้วล่ะ” ร่างสูงบอกแต่กลับเป็นประโยคบอกเล่าที่มันแฝงไปด้วยความเศร้าชอบกล
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เอาไว้ถึงห้องก่อนได้ไหม เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง” ร่างสูงบอกก่อนจะเดินนำ
“เฮ้อ เหนื่อยว่ะ” เคนสบถ ก่อนจะกระแทกตัวลงบนโซฟาตัวใหญ่ เพราะครอบครัวย้ายไปตั้งรกรากที่แคนนาดาทำให้ตอนนี้เขาไม่มีบ้านที่ไทยอีกแล้ว ก็เลยต้องมาอาศัยห้องเพื่อนรักอยู่ไปก่อนจนกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ได้
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ บอกกูได้นะ”
“หึ มึงนี่สมเป็นเพื่อนรักกูจริงๆเลยว่ะ รู้ด้วยสินะว่ากูกำลังไม่สบายใจ”
เพื่อนรัก?? ไม่รู้ทำไมเวลาที่ได้ยินทีไร มันเจ็บทุกทีสิน่า
“เคน เวลาที่มึงมีความสุขน่ะ ไม่ต้องคิดถึงกูก็ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ทุกข์ให้นึกถึงกูเป็นคนแรก เข้าใจไหม” ร่างเพรียวบอกก่อนจะจับมืออีกคนไว้แน่น
“ชอบใจนะ ขอบใจมาก”
“อืม พูดมาเถอะ”
“เนไม่สบาย ไม่สบายหนักมากจนหมอที่โน่นบอกว่าโอกาสรอดมีไม่กี่เปอร์เซ็น เขาก็เลยอยากกลับมาที่จีน แต่กู กู กูรักเขามากนะเว้ย กูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา กูอยู่ไม่ได้จริงๆนะ” ร่างสูงบอกก่อนที่จะกอดเพื่อนรักไว้แน่น น้ำตาลูกผู้ชายที่เขาไม่เคยเห็นร่างสูงหลั่งเพื่อใครสักครั้ง กำลังหยดลงบนเสื้อของเขาจนเปียกชุ่ม มันไหลออกมาเพื่อใครคนนั้น คนที่ ร่างสูงรักหมดหัวใจ
“อย่าร้องสิ เนไม่เป็นไรหรอก หมอเขาเก่งจะตายมึงเชื่อกูสิว่าเนต้องหาย ร้องไห้แบบนี้ไม่สมเป็นมึงเลยนะ ” อีกคนปลอบใจ
เคนอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเน
เขาก็อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเคน
ความรักมักเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายเสมอ ไม่มีอะไรกำหนดได้ ว่าเราจะรักใคร แต่เมื่อรักไปแล้ว ก็จงรักให้ถึงที่สุด
4 เดือนต่อมา
ใครคนหนึ่งยืนหลบมุมอยู่ภายในสวนสวยเสียงของเพลงบรรเลงหวานๆ ยังคงดังคลออยู่อย่างต่อเนื่อง ผู้คนที่อยู่รายรอบกำลังยิ้มอย่างเป็นสุข โดยเฉพาะคนสองคนที่ยืนอยู่หน้าบาทหลวงในตอนนี้
ยิ้มได้แล้วสินะ
เขายิ้มเมื่อเห็นว่า “ใครคนนั้น” กำลังยิ้ม ก่อนที่จะหันหลังเดินออกจากงานไปเงียบๆ
เขาทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้ว ในที่สุดเขาคนนั้นก็ยิ้มได้แล้ว รอยยิ้ม ที่มาจากหัวใจ ทำให้เขามีความสุข เช่นกัน…
รอยยิ้มของเคน ทำให้ เขามีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่แม้ว่าวันนี้ เขาจะไม่ใช่คนที่ถูกรัก
“มึงมาทำไม” ใบชาเอ่ยถามเสียงเข้มเมื่อกี้ตอนที่ยู่ในงานเขาเห็นเงาคนแวบๆที่หลังต้นไม้ คิดไว้ไม่มีผิดว่ามันต้องมา ในเมื่อวันนี้เป็นงานแต่งงานของ เคนกับเน
“กูก็มาแสดงความยินดีไง เพื่อนรักกูจะแต่งงานนะ กูก็ต้องมาสิ” บอกด้วยรอยยิ้มแม้จะเป็นรอยยิ้มที่เหนื่อยล้าเต็มที
“ มึงไหวแน่นะ!!!” ใบชาแทบจะตะโกนเมื่อเห็นว่าเพื่อนมีท่าทางเหมือนจะทรุดลง ก่อนที่ร่างบางจะวิ่งเข้าไปประคองเพื่อนไปที่
เก้าอี้ ที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ไหวสิ กูไม่ใช่คนอ่อนแขนาดนั้นนะ” ร่างเพรียวยังคงยิ้มตอบ ใบชาได้แต่ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะกดโทรศัพท์เพื่อ
โทรเรียกรถพยาบาล
“นอนอยู่นิ่งๆ เลยนะ แล้วก็ไม่ต้องคิดจะไปที่ไหนอีก” บอกด้วยเสียงจริงจังหลังจากที่พาคนดื้อมาที่โรงพยาบาลแล้ว
“อ้อ ง่วงจังขอนอนก่อนนะ” วาคิมบอกก่อนที่เปลือกตาจะปิดลง
“ไอ้ชา กูมีอะไรจะคุยกับมึง” แซนหรือที่ตอนนี้กลายเป็นคุณหมอแซนไปแล้ว เอ่ยบอก
“มีอะไรว่ะ” ร่างบางเอ่ยถามเพื่อน
“ตอนนี้ร่างกายของไอ้วา มันอ่อนแอลงมากนะ อ่อนแอลงจนกูกลัวว่ามัน…”
“กูรู้” ใบชาพูดแทรก เขารู้ รู้ดีว่าตอนนี้สภาพของเพื่อนเขาแย่ขนาดไหน รู้ดีมาตลอดเลยล่ะ
ย้อนกลับไปเมื่อ สี่เดือนก่อนตอนที่ไอ้เคนกลับมาใหม่ๆ วันนั้นเขาเข้ามาเยี่ยมเพื่อนรักที่เป็นศัลยแพทย์หัวใจที่โรงพยาบาล แต่กลับเจอว่าตอนนี้เพื่อนรักของเขาอีกคนกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องด้วย
“ไอ้วา มาทำอะไรที่นี่”
“กูมีเรื่องมาปรึกษาไอ้แซนมันน่ะ” ร่างเพรียวบอกเสียงเครียด
“ชา มึงรู้ไหมว่า เนเขาเป็นโรคหัวใจ”
“อะไรนะ แฟนไอ้เคนนะเหรอว่ะ” ใบชาถามก่อนจะหันไปขอความเห็นจากคุณหมอแก้มป่อง
“อืม เขากลับมารักษาที่นี่ได้เกือบเดือนแล้วล่ะ เท่าที่ดูจากตอนนี้ โอกาสรอดน้อยมาก นอกจากจะเปลี่ยนหัวใจ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกว่าจะหาผู้บริจาคได้ ไหนจะต้องมาตรวจสอบโน่นนี่ กูว่ามันคงไม่ทันการ ว่ะ” คนเป็นหมอบอกอย่างอ่อนใจ
สามวันหลังจากนั้น …
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรว่ะ” ใบชาตะโกนเมื่อเห็นว่าร่างเพรียวของเพื่อนกำลังคุกเข่าอยู่โดยมีเพื่อนแก้มป่องยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ
“ไอ้ชา มึงดูเพื่อนมึงสิ มึงดูมันสิ มันทำอะไรโง่ๆอีกแล้ว!!” คนแก้มป่องโวยวายดังลั่น พร้อมกับที่ร้องไห้ไปด้วย
“เฮ้ย นี่มันอะไรกันว่ะ” ก้องที่ตอนนี้กลายเป็นตำรวจเต็มตัวกำลังตะลึงเมื่อเมื่อเห็นว่าคุณหมอแก้มป่องคนรักของตัวเองกำลังร้องไห้เสียยกใหญ่ไหนจะ วาคิมที่คุกเข่าอยู่หน้าห้องอีก นี่มันเรื่องบ้าอะไรว่ะเนี่ย
“แซนเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” ก้องเอ่ยถามพลางปลอบคนรักที่ดูเหมือนจะสติแตกไปแล้ว
“ก็ไอ้เพื่อนบ้านี่สิ เป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้มา ขอให้กูเปลี่ยนหัวใจมันกับเน มึงจะบ้าไปแล้วเหรอห่ะ เนกำลังจะตายถ้ามึงเปลี่ยนหัวใจเท่ากับมึงจะต้องตายเข้าใจไหม” ร่างอวบตะโกนไปร้องไห้ไป
“กูขอร้องล่ะ ถ้ามึงไม่ทำกูจะไม่ยอมไปไหน กูจะอยู่หน้าห้องมึง จนกว่ามึงจะยอม” ร่างเพรียวบอกอย่างแน่วแน่
“มึงทำไปเพื่ออะไร” ใบชาที่เงียบมานานเอ่ยถาม
“กูรักมัน พวกมึงก็รู้ กูเจ็บ ทุกครั้งที่เห็นมันเจ็บ กูทุกข์ทุกครั้งที่เห็นมันทุกข์ กูทนไม่ได้ ทนไม่ได้จริงๆที่เห็นมันเป็นแบบนี้”
“นะ ช่วยกูขอร้องไอ้หมอที กูขอร้องล่ะ ช่วยเนด้วย” ชายหนุ่มอ้อนวอนทั้งน้ำตา
“ไม่ กูไม่ทำ กูไม่ยอมฆ่าเพื่อนตัวเองเด็ดขาด” แซนแหวลั่น
“ไอ้แซน มึงก็มีความรัก ไม่ใช่เหรอ มึงรู้ไม่ใช่เหรอว่า ความทุกข์ที่เห็นคนที่ตัวเองรักต้องเจ็บปวด มันเป็นยังไง มึงไม่ได้ฆ่ากู แต่มึงกำลังช่วยกูนะ กูอยู่ไม่ได้ถ้าวันนี้มันยังร้องไห้อยู่แบบนั้น กูอยู่ไม่ได้จริงๆ” ร่างเพรียวบอกทั้งน้ำตา เขาอาจจะโง่ ในสายตาคนอื่นแต่เขาได้เลือกแล้ว เลือกแล้วที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ ได้รอยยิ้มนั้นคืนมาไม่ว่าต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม
“นะ กูขอร้อง”
“ไอ้แซน มึงช่วยมันเถอะ” คนที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น
“ไอ้ชา!!”
“กูรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ผิด แต่กูเชื่อว่า มันคิดดีแล้ว” ใบชาบอก ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักเพื่อน แต่เพราะรัก เลยรู้ว่าวาคิมไม่มีทางที่จะหยุดเพียงแค่นี้ มันต้องทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้เปลี่ยนหัวใจกับเน เขารู้ดี แม้ว่าการเปลี่ยนหัวใจอาจจะเสี่ยงที่มันอาจจะต้องตายแต่อย่างน้อยมันก็คงยืดเวลาออกไปได้บ้าง
………………………………………………………………………………………………….
“คุณหมอคะ คนไข้ แย่แล้วค่ะ” พยาบาลวิ่งหน้าตื่นออกมาจากห้องที่คุ้นตาทำให้ทั้งสองยิ่งกังวล
“หัวใจเต้นอ่อนมาก แถมความดันยังลดลงเรื่อยๆ” หมอหนุ่มเอ่ยบอกอีกคนอย่างกังวล
“แล้วต้องทำยังไง” ใบชาเอ่ยถาม
“ผ่าตัด มีแค่ทางเดียวเท่านั้น ที่เราจะยื้อชีวิตมันไว้ได้”
“ไม่ต้องหรอก” เสียงที่อ่อนล้าเอ่ยห้าม ก่อนที่มือเรียวจะจับมือคนหมอแก้มป่องไว้แน่น
“ทำไมล่ะ มึงไม่อยากหายเหรอ”
“มึงก็รู้ ว่ากูไม่มีทางหาย ” เขาบอกด้วยรอยยิ้ม
“กูขอบคุณมึงสองคนมากนะ ที่ช่วยกูมาตลอด ขอบคุณที่ยอมเป็นเพื่อนกับคนโง่ๆ อย่างกู ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง และขอโทษด้วย ที่กูทำให้พวกมึงเป็นห่วงมาตลอด แต่ตอนนี้กูอยากพักแล้วล่ะ ตอนนี้ไอ้เคนมันยิ้มอีกครั้งแล้ว กูไม่มีอะไรที่ต้องกังวลอีกแล้ว ฮึก..”
“แต่กูขอร้องอะไรได้ไหม” เสียงอ่อนแรงเอ่ยถาม
“ว่ามาสิ” คนเป็นเพื่อนพูดทั้งน้ำตา
“อย่าบอกไอ้เคน ว่ากูหายไปไหน ให้มันเข้าใจว่าตอนนี้กูไปทำงานที่อื่นก็พอแล้ว ถ้ามันถามก็ตอบมันไปแค่ว่า กูสบายดี และจะสบายใจมากถ้ามันยิ้มเยอะๆ” แม้น้ำเสียงจะอ่อนล้าแต่คนป่วยกลับยิ้มให้เพื่อนอย่างอ่อนโยน
“ลาก่อนนะ เพื่อนรัก กูคงต้องไปพักรอพวกมึง บนโน่นก่อน แล้วสักวันนึงเราจะได้เจอกัน”
วาคิมบอกก่อนที่มือเรียวจะวางทาบลงบนหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง หัวใจ กำลังเต้นแผ่วลงทุกที แต่เขากลับยิ้มได้ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน แต่หัวใจของเขามันยังคงเต้นอยู่เพื่อรักใครคนนั้น แม้ว่ากายจะไม่ได้อยู่ใกล้ แต่หัวใจของเขามันกำลังทำหน้าที่บอกรักแทนเขาอยู่ทุกวินาที….
เคน ฉันรักนายนะ
“อื้อ” ร่างที่นอนบนเตียงครางก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆขยับขี้นช้าๆ พลางมองเพดานสีขาวด้วยความแปลกใจ
“ตื่นแล้วเหรอ ไอ้วา” คุณหมอแก้มป่องเดินมาหาเพื่อน
“ทำไมล่ะ ทำไมกูถึงยังไม่ตาย” เสียงแหบพร่าเอ่ยถาม เขาควรจะตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงยังหายใจอยู่ล่ะ
“มึงเพิ่งฟื้นอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย พักเถอะ”
“ มึงเป็นอะไร ทำไมมึงทำหน้าแบบนั้น” เอ่ยถามเพื่อนแก้มป่องที่ตอนนี้กำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“กูแค่ไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจอะไร ยิ่งพูดยิ่งงง ช่วยบอกกูหน่อยได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วไอ้ชาไปไหน” วาคิมเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เขาสับสนไปหมดแล้ว
“ไอ้ชาเหรอหึ ” ร่วงอวบแค่นเสียงก่อนที่น้ำตามากมายจะไหลอาบแก้ม
“ไอ้แซนบอกกูมะว่า ไอ้ชา เป็นอะไร”
“ไอ้ชา ตายแล้ว”
ตาย ตายเหรอ ตายได้ยังไง ได้ยังไงกันน่ะ
“ตะ ตาย ตายได้ยังไง” เอ่ยถามเสียงแผ่ว
“กูไม่เข้าใจ ไม่เคยเข้าใจพวกมึงเลยรู้ไหม ทำไมพวกมึงต้องทำเพื่อคนที่รักมากมายขนาดนี้ ทำไมกัน” แซนเว้นช่วงพูดเพื่อกลั้น
น้ำตาไม่ให้ไหลออกมามากกว่านี้
“ไอ้ชา มันฆ่าตัวตายเพื่อเอาหัวใจ มาให้มึง!!!”
ความรักมักเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายเสมอ ไม่มีอะไรกำหนดได้ ว่าเราจะรักใคร แต่เมื่อรักไปแล้ว ก็จงรักให้ถึงที่สุด
………………………….END…………………………………
โอเค สมใจแล้วไปล่ะ ฮ่าๆๆ ลงเอามัน จริงๆเรื่องนี้
คุ้นๆไหม ฮ่าๆๆ
มันคือนิยายรีเมค ถ้าคุ้นคงไม่แปลก
แต่อยากลองเขียนเวอร์ชั่นที่มันไม่ใช่ฟิค