(รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5  (อ่าน 36910 ครั้ง)

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง
ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,
ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง
ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก
ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ
กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว
ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง
ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะ
เสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น
คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว
ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย
และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย
เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ
ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ
ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ
โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


สารบัญ


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2014 02:57:33 โดย pita »

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
นี่ทู้รวมเรื่องสั้น ตามอารมณ์ ของ นังพิต  มีทุกแนว นะฮ๊าฟฟฟฟ  ตามอารมณ์ นางจริงๆ แต่กลัวจะดราม่าเป็นหลัก
ตามสไตส์พิตต้า ฮ่าๆๆๆ
:pig4: :pig4:


No.1 เธอคือทั้งหัวใจ (YAOI)

คนบางคน เกิดมาให้เรารัก เราก็ทำได้แค่รัก ….

ใครคนหนึ่งยืนหลบมุมอยู่ภายในสวนสวยเสียงของเพลงบรรเลงหวานๆ ยังคงดังคลออยู่อย่างต่อเนื่อง ผู้คนที่อยู่รายรอบกำลังยิ้มอย่างเป็นสุข  โดยเฉพาะคนสองคนที่ยืนอยู่หน้าบาทหลวงในตอนนี้ 

ยิ้มได้แล้วสินะ

เขายิ้มเมื่อเห็นว่า “ใครคนนั้น” กำลังยิ้ม ก่อนที่จะหันหลังเดินออกจากงานไปเงียบๆ
เขาทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้ว ในที่สุดเขาคนนั้นก็ยิ้มได้แล้ว รอยยิ้ม ที่มาจากหัวใจ ทำให้เขามีความสุข เช่นกัน…



8 ปีก่อน

ร่างเพรียวยืนมองอาคารเรียนกับบรรยากาศที่แปลกตา แหงล่ะ ก็เขาเพิ่งจะวันแรกอะไรๆมันก็ดูแปลกไปซะหมด ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูกกันนะ ที่มาย้ายโรงเรียนตอนมอปลาย คิดถึงเพื่อนชะมัด ไม่รู้ว่าที่นี่จะได้เจอคนแบบไหน เขาจะมีเพื่อนบ้างหรือเปล่านะ

เพี๊ย!!

“ไอ้ห่า กูเรียกทำไมไม่หัน” 

“ใครแมร่งตบหัวกูว่ะ!!” สบถก่อนจะหันกลับไปด่าไอ้คนไร้มารยาทที่มันตบหัวผมแรงจนเห็นดาว

“มึงตบหัวกูไมวะ!!”

“โทษที กูนึกว่ามึงเป็นเพื่อนกู น่ะ แหะๆ” ไอ้คนไร้มารยาทบอกก่อนจะมองร่างเพรียวด้วยแววตาสำนึกผิด

“ทีหลังก็หัดดูซะบ้างสิวะ ไม่ใช่เอะอะก็ตบ กูเจ็บนะสัด ” คนเตี้ยกว่ายังตะคอกไม่หยุด พลางมองคนตัวสูงตรงหน้าอย่างเจ็บใจ

“กูก็ขอโทษแล้วไง มึงจะเอาไงอีกตบกูคืนเลยม่ะ เดี๋ยวกูยืนให้ตบเลย”

ผลั๊ว!!

อย่าคิดนะว่าเขาจะไม่กล้า ถึงจะเพิ่งมาเรียนที่นี่เป็นวันแรกแต่คนอย่าง นาย “วาคิม” ไม่ เล็กนะครับ (หมายถึงใจน่ะ)

“โหไอ้นี่ มึงทำจริงเหรอว่ะ”

“ก็เออเดะ ใครจะให้มึงตบฟรีๆล่ะสัด”

“ฮ่าๆๆ เออกูชอบว่ะ มึงแมร่งแปลกดี กูชื่อ เคน ม 4 ห้อง 1 มึงอ่ะ” อีกคนถามผม

“กูชื่อ วา อยู่ห้อง 3 ”

“มึงเพิ่งย้ายมาเรียนนี่เหรอ” อีกคนถามพร้อมกับอาสาพาไปส่งที่ห้องเรียน อย่าถามว่าทำไมถึงไปถูกนั่นเพราะอีกคนเรียนที่นี่มา
สามปีแล้วไง

“อืม ”

“ดีล่ะ งั้นกูก็เป็นเพื่อนคนแรกของมึงสินะ”

“เออ ไอ้เพื่อนคนแรก”


นั่นเป็นวันแรกที่เขาได้พบกับ เคน…




“เชี่ย ตื่นๆ ลืมตาขึ้นมาอ่านหนังสือเดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มตะโกนก่อนที่จะลากร่างเพรียวที่หลับให้หนังสืออ่านมานานสองนานให้ลุกขึ้น

“กูขออีก ห้านาที นะ” อีกคนบอกอย่างงัวเงีย

“ไม่ได้เด็ดขาด  จะสอบอยู่แล้วนะมึงยังขี้เกียจตัวเป็นขนอยู่อีกเหรอ แล้วนี่นะจะสอบมหาลัยC” ร่างสูงบ่นเป็นหมีกินผึ้งพลางดีด
หน้าผากคนที่นอนอยู่ไปด้วย

“ก็กูเกลียคณิต มึงเข้าใจไหมว่ากูเกลียดมัน อะไรก็ไม่รู้ใช้ไม่ได้สักอย่าง กูถามมึงหน่อยสิ ว่าถ้ามึงไปซื้อผักที่ตลาดมึงต้องถอดรูทไหม กูไม่เข้าใจจะเรียนทำไมยากขนาดนี้” บ่นยาวเยียดก่อนจะฟุบหน้าลงกับหนังสือคณิตศาสตร์เล่มหนา ข้อเดียวอย่างเดียว
ของมันก็คงใช้แทนหมอนได้สบายที่สุดนี่แระ

“ไม่ได้ๆ ถึงยังไงมึงต้องอ่านเข้าใจไหม”

“เออ บังคับกูจัง ไอ้เด็กห้องคิงเอ้ยยยยยยยย” ร่างเพรียวบอกอย่างขัดใจ ก่อนจะก้มหน้าก้มตา ทำโจทย์คริตของตัวเองต่อไปโดยมีร่างสูงนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ




วาคิมเงยหน้าขึ้นมองด้านข้างของคนที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสืออย่างจริงจังก่อนจะยกยิ้ม สามปีแล้วสินะที่เขากับไอ้คนตัวสูงนี่เป็นเพื่อนกัน ทั้งๆที่ ไม่เคยคาดคิดว่าจะสนิทกันได้ แต่เขากับเคนกลับมาสนิทกันอย่างไม่น่าเชื่อ จากความสนิท เริ่มเป็นความผูกพัน และจากความผูกพัน มันเริ่มกลายเป็นความ….รัก

แม้ในใจลึกๆ ร่างเพรียวอยากจะบอกให้อีกคนรู้เหลือเกินว่าตอนนี้เขารู้สึกยังไง แต่กลับไม่กล้า  ไม่กล้าจริงๆที่จะพูดคำๆนั้นออกไป กลัว   กลัวว่า ความเป็นเพื่อนที่ผ่านมา มันจะหายไป เพราะเขารู้ดี ว่าอีกคน ไม่เคยคิดอะไรกับเขานอกจากคำว่าเพื่อน ร่างสูงเป็นคนร่าเริงและมีมนุษย์สัมพันธ์ดีกับคนอื่นเสมอถึงมีเพื่อนมากมายต่างจากเขาที่หน้าตาท่าทางไม่ค่อยรับแขกสักเท่าไหร่ก็เลยมีเพื่อนอยู่ไม่กี่คน  เขายังไม่อยากเสียเพื่อนรักไป  ไม่อยากเลยจริงๆ



1 เดือนผ่านไป

“เย้ๆๆ  ติดแล้วโว้ย!!!!” เสียงตะโกนโห่ร้องอย่างดีใจของร่างเพรียวที่ดังลั่นบ้านทำเอาผู้เป็นแม่ที่อยู่ชั้นล่างถึงกับส่ายหน้าระอา

“เป็นไรห่ะ วา เบาๆหน่อยสิลูก”

“แม่  ผมทำได้แล้ว  ผมทำได้แล้ว!!” ร่างเพรียวที่วิ่งลงมาจากชั้นสองกระโดดกอดผู้เป็นแม่แน่น

“อะไรลูก ไหนพูดช้าๆสิ”

“ผมสอบติดมหาลัยC แล้วนะแม่” ร่างเพรียวร้องลั่นด้วยความดีใจ ก็มหาลัยนี้เป็นความฝันของเขาเลยนะ ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเด็กห้องซีอย่างเขาจะสอบติด คงต้องยกความดีความชอบให้ติวเตอร์จอมโหดของเขานั่นแหล่ะ ว่าแล้วก็โทรไปอวดมันดีกว่า


“โหลๆๆๆ” วาคิมกรอกเสียงลงไปในเครื่องมือสื่อสารทันที

“ใครว่ะ” คนในสายตอบกลับมา

“ไอ้เคน นี่กูวานะ”

“มีอะไรเหรอมึง”

“วันนี้ประกาศผลสอบ มึงจำไม่ได้เหรอ”

“เออว่ะ กูลืมไปเลย มังแต่ยุ่งๆ ว่าแต่มึงโทรมาทำไมว่ะ จะโทรมาฟ้องกูอ่ะดิว่าสอบไม่ติด ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะของอีกคนทำ  เอาร่างเพรียวหน้ามุ่ย

“ดูถูกๆ คนเก่งๆอย่ากูนะ  …… สอบติดแล้วโว้ย!!!“ ตะโกนบอกอีกคนอย่างดีใจ

“เฮ้ย จริงเหรอ งั้นต้องฉลองดิว่ะ  ดีเลยงั้นมึง โทรชวน ไอ้ชา ไอ้แซน แล้วก็ไอ้ก้องด้วยนะ ของแบบนี้ต้องฉลอง กูลี้ยงเองเจอกัน
ที่ร้าน XX นะ กูมีเรื่องจะบอกมึงอยู่เหมือนกัน”

“เออ เดี๋ยวเย็นเจอกันนะ”  วาคิมบอกก่อนจะวางสาย 





“เฮ้ย ทางนี้ๆ” ร่างเพรียวกวักมือเรียกเพื่อนอีกสามคนให้มานั่งที่โต๊ะ

“โห แมร่งไอ้เคน นี่มันใจป้ำไว้ เลี้ยงร้านหรูซะ” คนมาใหม่เอ่ยก่อนที่จะนั่งลงข้างๆวาคิม

“แน่ล่ะ ไอ้ชา มึงคิดดูสิ คนอย่างไอ้วาเนี่ยนะ ติดมอC  ถ้าเป็นกูนะกูปิดซอยเลี้ยงด้วยซ้ำ” คนแก้มป่องเอ่ยบอกเพื่อไขข้อข้องใจของเพื่อน แต่ดูเหมือนคนที่ถูกพาดพิงจะไม่พอใจเท่าไหร่

“โห่ ไอ้แซน คนอย่างกูก็มีสมองนะเว้ย ถึงจะอยู่ห้องซีก็เถอะ ”

“เอาน่า  อย่าไปถือสาสองคนนี้เลย แล้วนี่ไอ้เคนไปไหนล่ะ” คนที่นั่งถัดจากคนแก้มป่องเอ่ยถาม

“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ  มันบอกให้กูกับพวกมึงมารอมันที่นี่ เดี๋ยวมันจะตามมา”

“อย่าไปสนใจมันเลย ไอ้ก้อง  ไอ้นั่นมันก็สายประจำ”  คนที่ถูกเรียกว่า “ไอ้ชา” หรือชื่อจริงๆคือ ใบชา บอกเพื่อน

“มึงก็ไปว่ามัน มันอาจจะติดธุระก็ได้นะ” ร่างเพรียวแก้ตัวแทน

“แก้ตัวแทนมันตลอด”  แซน  ผู้ชายแก้มป่องเอ่ยล้อ  ก็นะพวกเขาทั้งสามคนน่ะ ดูออกตั้งแต่ปีมะโว้แล้วไอ้เนี่ยมันแอบชอบไอ้เคน จะมีก็แต่ไอ้เจ้าตัวคนถูกชอบนั่นแหล่ะ ไม่รู้ว่าโง่หรือแกล้งโง่กันแน่ที่ไม่ยอมรู้สักที





“เฮ้ย  โทษทีว่ะ ”  ร่างสูงเดินมาที่โต๊ะก่อนจะขอโทษขอโพยเพื่อนเป็นการใหญ่

“เออ ไม่เป็นไร ว่าแต่ใครว่ะ” ก้องตอบ ก่อนจะมองเลยไปที่อีกคนที่ร่างสูงพามาด้วย

“อ้อ นี่ เน   แฟนกูเอง” เคนตอบก่อนที่กุลีกุจอ จัดเก้าอี้ให้คนที่มาด้วยนั่ง



ร่างเพรียวกำลังอึ้ง  อึ้งที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าร่างสูงมีคนที่รักอยู่แล้ว สัมผัสแผ่วเบาจากเพื่อนที่นั่งข้างๆทำให้เขารู้สึกตัว ก่อนที่มือของใบชาจะบีบเข้าที่มือเรียวเพื่อให้กำลังใจ

“มึงโอเคนะ” ใบชากระซิบ

“โอเคสิ เพื่อนมีแฟนกูก็ต้องโอเคอยู่แล้ว” วาคิมตอบ แม้ว่าตอนนี้จะเจ็บ  เจ็บมากๆ ที่รู้ว่ามือคู่นั้นไม่ว่างอีกต่อไปแล้ว แต่ไม่
เห็นจะเป็นอะไร ในเมื่อวันนี้  เคนยังยิ้มให้เขาอยู่



“เออ จริงๆที่กูมาวันนี้ กูมีเรื่องจะมาบอกพวกมึงว่ะ”

“เรื่องอะไรว่ะ” แซนโพล่งถามออกไปตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น

“คือว่านะ” ร่างสูงยิ้มเขินก่อนจะกุมมือของคนที่นั่งข้างๆแน่น

“กูกับเนจะหมั้นกันว่ะ”

“หมั้น!!!” สามเสียงตะโกนแทบจะพร้อมกัน  แต่มีบางคนที่กำลังพูดไม่ออก

“อืม กูสองคนน่ะ คบกันมาได้สักพักแล้ว ก็เลยคิดว่าจะหมั้นกันก่อนแล้วไปเรียนต่อที่แคนนาดาด้วยกัน เรียนจบก็คงแต่งงานกัน
เลยน่ะ พวกมึงไม่โกรธกูใช่ไหมที่กูบอกกะทันหันแบบนี้”



“ไม่หรอก  พวกกูจะโกรธมึงได้ยังไง พวกกูต้องยินดีกับมึงสิ จริงไหม” วาคิมที่เหมือนเพิ่งจะหาเสียงตัวเองเจอบอกออกไปก่อนจะหันไปถามความเห็นจากเพื่อน

“อื้อ พวกกูต้องดีใจสิ” สามเสียงตอบพร้อมกันแม้ว่าบรรยากาศมันจะกระอักกระอ่วนพิกลก็ตามน่ะนะ





ร่างเพรียวจ้องมองนกเหล็กที่บินขึ้นท้องฟ้า อย่างอาวรณ์ 

เคนไปแล้ว

ไปพร้อมกับคนที่ร่างสูงรัก

“มึงไหวแน่นะ” ใบชาเอื้อมมือเตะไหล่คนที่นั่งเหม่ออย่างเห็นใจ แต่เขาเป็นคนนอก เรื่องแบบนี้คงพูดมากไม่ได้ในเมื่อเจ้าตัวมันเลือกที่จะไม่บอก เขาก็คงไม่มีสิทธิ์ไปบังคับให้มันบอกรัก ได้หรอก

“ไหวสิ กูไหว ”  ร่างเพรียวซบหน้าลงกับไหล่บางของเพื่อนก่อนที่จะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาช้าๆ ไม่มีเสียงสะอื้น  ไม่มีการฟูมฟาย แค่เพียงปล่อยให้หัวใจ มันได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นบ้าง  ก็เท่านั้น….


7 ปี ผ่านไป

กริ๊งๆๆๆๆๆ

เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นปลุกให้ร่างที่นอนอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทันเมื่อรู่ว่าวันนี้ต้องไปทำอะไร

วันนี้เคนจะกลับมา 

กลับมาหลังจากที่ได้เจอกัน 7 ปี




สนามบิน

ร่างเพรียวยืนชะเง้อมองหาเพื่อนสนิทของตัวเองแต่หายังไงก็หาไม่เจอสักที นี่มันก็เลยเวลามานานแล้วนะ

“ไอ้วา” เสียงเรียกดังขึ้นก่อนที่ผู้ชายผมทองคนนึงจะยิ้มให้

“ไอ้เคน” เขายิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะโผเข้ากอดร่างสูงด้วยความคิดถึง  คิดถึงมากเหลือเกิน

“เฮ้ย พอๆ  นี่มึงคิดถึงกูมากขนาดนั้นเลยเหรอว่ะเนี่ย”

“อื้อ” ร่างเพรียวพยักหน้า

“โห ร้องไห้ด้วย ไม่ได้เจอกัน เจ็ดปีนี่มึงเปลี่ยนจากไอ้วา จอมซ่าเป็นไอ้วา ขี้แยแล้วเหรอว่ะ” ร่างสูงเอ่ยล้อ

“ใครขี้แยว่ะ  เออ แล้วนี่ แฟนมึงล่ะ”

“เขากลับมาก่อนกูได้ เดือนนึงแล้วล่ะ” ร่างสูงบอกแต่กลับเป็นประโยคบอกเล่าที่มันแฝงไปด้วยความเศร้าชอบกล

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“เอาไว้ถึงห้องก่อนได้ไหม เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง” ร่างสูงบอกก่อนจะเดินนำ






“เฮ้อ  เหนื่อยว่ะ”  เคนสบถ ก่อนจะกระแทกตัวลงบนโซฟาตัวใหญ่ เพราะครอบครัวย้ายไปตั้งรกรากที่แคนนาดาทำให้ตอนนี้เขาไม่มีบ้านที่ไทยอีกแล้ว ก็เลยต้องมาอาศัยห้องเพื่อนรักอยู่ไปก่อนจนกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ได้

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ บอกกูได้นะ”

“หึ มึงนี่สมเป็นเพื่อนรักกูจริงๆเลยว่ะ รู้ด้วยสินะว่ากูกำลังไม่สบายใจ”

เพื่อนรัก??    ไม่รู้ทำไมเวลาที่ได้ยินทีไร มันเจ็บทุกทีสิน่า

“เคน  เวลาที่มึงมีความสุขน่ะ ไม่ต้องคิดถึงกูก็ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ทุกข์ให้นึกถึงกูเป็นคนแรก เข้าใจไหม” ร่างเพรียวบอกก่อนจะจับมืออีกคนไว้แน่น

“ชอบใจนะ ขอบใจมาก”

“อืม พูดมาเถอะ”

“เนไม่สบาย  ไม่สบายหนักมากจนหมอที่โน่นบอกว่าโอกาสรอดมีไม่กี่เปอร์เซ็น เขาก็เลยอยากกลับมาที่จีน แต่กู กู กูรักเขามากนะเว้ย กูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา กูอยู่ไม่ได้จริงๆนะ” ร่างสูงบอกก่อนที่จะกอดเพื่อนรักไว้แน่น น้ำตาลูกผู้ชายที่เขาไม่เคยเห็นร่างสูงหลั่งเพื่อใครสักครั้ง กำลังหยดลงบนเสื้อของเขาจนเปียกชุ่ม มันไหลออกมาเพื่อใครคนนั้น  คนที่ ร่างสูงรักหมดหัวใจ   

“อย่าร้องสิ  เนไม่เป็นไรหรอก หมอเขาเก่งจะตายมึงเชื่อกูสิว่าเนต้องหาย ร้องไห้แบบนี้ไม่สมเป็นมึงเลยนะ ” อีกคนปลอบใจ

เคนอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเน

เขาก็อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเคน



ความรักมักเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายเสมอ ไม่มีอะไรกำหนดได้ ว่าเราจะรักใคร  แต่เมื่อรักไปแล้ว ก็จงรักให้ถึงที่สุด








4 เดือนต่อมา


ใครคนหนึ่งยืนหลบมุมอยู่ภายในสวนสวยเสียงของเพลงบรรเลงหวานๆ ยังคงดังคลออยู่อย่างต่อเนื่อง ผู้คนที่อยู่รายรอบกำลังยิ้มอย่างเป็นสุข  โดยเฉพาะคนสองคนที่ยืนอยู่หน้าบาทหลวงในตอนนี้ 

ยิ้มได้แล้วสินะ

เขายิ้มเมื่อเห็นว่า “ใครคนนั้น” กำลังยิ้ม ก่อนที่จะหันหลังเดินออกจากงานไปเงียบๆ

เขาทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้ว ในที่สุดเขาคนนั้นก็ยิ้มได้แล้ว รอยยิ้ม ที่มาจากหัวใจ ทำให้เขามีความสุข เช่นกัน…


รอยยิ้มของเคน ทำให้ เขามีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่แม้ว่าวันนี้ เขาจะไม่ใช่คนที่ถูกรัก


“มึงมาทำไม” ใบชาเอ่ยถามเสียงเข้มเมื่อกี้ตอนที่ยู่ในงานเขาเห็นเงาคนแวบๆที่หลังต้นไม้  คิดไว้ไม่มีผิดว่ามันต้องมา  ในเมื่อวันนี้เป็นงานแต่งงานของ เคนกับเน

“กูก็มาแสดงความยินดีไง เพื่อนรักกูจะแต่งงานนะ กูก็ต้องมาสิ” บอกด้วยรอยยิ้มแม้จะเป็นรอยยิ้มที่เหนื่อยล้าเต็มที

“ มึงไหวแน่นะ!!!”  ใบชาแทบจะตะโกนเมื่อเห็นว่าเพื่อนมีท่าทางเหมือนจะทรุดลง ก่อนที่ร่างบางจะวิ่งเข้าไปประคองเพื่อนไปที่
เก้าอี้ ที่อยู่ไม่ไกลนัก


“ไหวสิ กูไม่ใช่คนอ่อนแขนาดนั้นนะ” ร่างเพรียวยังคงยิ้มตอบ ใบชาได้แต่ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะกดโทรศัพท์เพื่อ
โทรเรียกรถพยาบาล







“นอนอยู่นิ่งๆ เลยนะ แล้วก็ไม่ต้องคิดจะไปที่ไหนอีก” บอกด้วยเสียงจริงจังหลังจากที่พาคนดื้อมาที่โรงพยาบาลแล้ว

“อ้อ ง่วงจังขอนอนก่อนนะ” วาคิมบอกก่อนที่เปลือกตาจะปิดลง


“ไอ้ชา กูมีอะไรจะคุยกับมึง”  แซนหรือที่ตอนนี้กลายเป็นคุณหมอแซนไปแล้ว เอ่ยบอก

“มีอะไรว่ะ” ร่างบางเอ่ยถามเพื่อน

“ตอนนี้ร่างกายของไอ้วา มันอ่อนแอลงมากนะ  อ่อนแอลงจนกูกลัวว่ามัน…”

“กูรู้” ใบชาพูดแทรก เขารู้  รู้ดีว่าตอนนี้สภาพของเพื่อนเขาแย่ขนาดไหน รู้ดีมาตลอดเลยล่ะ



ย้อนกลับไปเมื่อ สี่เดือนก่อนตอนที่ไอ้เคนกลับมาใหม่ๆ วันนั้นเขาเข้ามาเยี่ยมเพื่อนรักที่เป็นศัลยแพทย์หัวใจที่โรงพยาบาล แต่กลับเจอว่าตอนนี้เพื่อนรักของเขาอีกคนกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องด้วย

“ไอ้วา มาทำอะไรที่นี่”

“กูมีเรื่องมาปรึกษาไอ้แซนมันน่ะ”  ร่างเพรียวบอกเสียงเครียด

“ชา มึงรู้ไหมว่า เนเขาเป็นโรคหัวใจ”

“อะไรนะ  แฟนไอ้เคนนะเหรอว่ะ” ใบชาถามก่อนจะหันไปขอความเห็นจากคุณหมอแก้มป่อง

“อืม เขากลับมารักษาที่นี่ได้เกือบเดือนแล้วล่ะ เท่าที่ดูจากตอนนี้ โอกาสรอดน้อยมาก นอกจากจะเปลี่ยนหัวใจ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกว่าจะหาผู้บริจาคได้ ไหนจะต้องมาตรวจสอบโน่นนี่ กูว่ามันคงไม่ทันการ ว่ะ” คนเป็นหมอบอกอย่างอ่อนใจ


สามวันหลังจากนั้น …

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรว่ะ” ใบชาตะโกนเมื่อเห็นว่าร่างเพรียวของเพื่อนกำลังคุกเข่าอยู่โดยมีเพื่อนแก้มป่องยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ

“ไอ้ชา มึงดูเพื่อนมึงสิ มึงดูมันสิ มันทำอะไรโง่ๆอีกแล้ว!!” คนแก้มป่องโวยวายดังลั่น พร้อมกับที่ร้องไห้ไปด้วย

“เฮ้ย นี่มันอะไรกันว่ะ” ก้องที่ตอนนี้กลายเป็นตำรวจเต็มตัวกำลังตะลึงเมื่อเมื่อเห็นว่าคุณหมอแก้มป่องคนรักของตัวเองกำลังร้องไห้เสียยกใหญ่ไหนจะ วาคิมที่คุกเข่าอยู่หน้าห้องอีก นี่มันเรื่องบ้าอะไรว่ะเนี่ย

“แซนเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” ก้องเอ่ยถามพลางปลอบคนรักที่ดูเหมือนจะสติแตกไปแล้ว

“ก็ไอ้เพื่อนบ้านี่สิ  เป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้มา ขอให้กูเปลี่ยนหัวใจมันกับเน มึงจะบ้าไปแล้วเหรอห่ะ  เนกำลังจะตายถ้ามึงเปลี่ยนหัวใจเท่ากับมึงจะต้องตายเข้าใจไหม” ร่างอวบตะโกนไปร้องไห้ไป

“กูขอร้องล่ะ ถ้ามึงไม่ทำกูจะไม่ยอมไปไหน กูจะอยู่หน้าห้องมึง จนกว่ามึงจะยอม” ร่างเพรียวบอกอย่างแน่วแน่

“มึงทำไปเพื่ออะไร” ใบชาที่เงียบมานานเอ่ยถาม

“กูรักมัน พวกมึงก็รู้  กูเจ็บ ทุกครั้งที่เห็นมันเจ็บ กูทุกข์ทุกครั้งที่เห็นมันทุกข์ กูทนไม่ได้ ทนไม่ได้จริงๆที่เห็นมันเป็นแบบนี้”

“นะ  ช่วยกูขอร้องไอ้หมอที กูขอร้องล่ะ ช่วยเนด้วย” ชายหนุ่มอ้อนวอนทั้งน้ำตา

“ไม่ กูไม่ทำ กูไม่ยอมฆ่าเพื่อนตัวเองเด็ดขาด” แซนแหวลั่น

“ไอ้แซน มึงก็มีความรัก ไม่ใช่เหรอ มึงรู้ไม่ใช่เหรอว่า ความทุกข์ที่เห็นคนที่ตัวเองรักต้องเจ็บปวด มันเป็นยังไง มึงไม่ได้ฆ่ากู แต่มึงกำลังช่วยกูนะ กูอยู่ไม่ได้ถ้าวันนี้มันยังร้องไห้อยู่แบบนั้น กูอยู่ไม่ได้จริงๆ” ร่างเพรียวบอกทั้งน้ำตา เขาอาจจะโง่ ในสายตาคนอื่นแต่เขาได้เลือกแล้ว เลือกแล้วที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ ได้รอยยิ้มนั้นคืนมาไม่ว่าต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม

“นะ กูขอร้อง”

“ไอ้แซน มึงช่วยมันเถอะ” คนที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น

“ไอ้ชา!!”

“กูรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ผิด แต่กูเชื่อว่า มันคิดดีแล้ว” ใบชาบอก ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักเพื่อน แต่เพราะรัก เลยรู้ว่าวาคิมไม่มีทางที่จะหยุดเพียงแค่นี้ มันต้องทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้เปลี่ยนหัวใจกับเน เขารู้ดี  แม้ว่าการเปลี่ยนหัวใจอาจจะเสี่ยงที่มันอาจจะต้องตายแต่อย่างน้อยมันก็คงยืดเวลาออกไปได้บ้าง

………………………………………………………………………………………………….


“คุณหมอคะ คนไข้ แย่แล้วค่ะ” พยาบาลวิ่งหน้าตื่นออกมาจากห้องที่คุ้นตาทำให้ทั้งสองยิ่งกังวล


“หัวใจเต้นอ่อนมาก แถมความดันยังลดลงเรื่อยๆ” หมอหนุ่มเอ่ยบอกอีกคนอย่างกังวล

“แล้วต้องทำยังไง” ใบชาเอ่ยถาม

“ผ่าตัด มีแค่ทางเดียวเท่านั้น ที่เราจะยื้อชีวิตมันไว้ได้”






“ไม่ต้องหรอก”  เสียงที่อ่อนล้าเอ่ยห้าม ก่อนที่มือเรียวจะจับมือคนหมอแก้มป่องไว้แน่น

“ทำไมล่ะ  มึงไม่อยากหายเหรอ”

“มึงก็รู้ ว่ากูไม่มีทางหาย ” เขาบอกด้วยรอยยิ้ม

“กูขอบคุณมึงสองคนมากนะ ที่ช่วยกูมาตลอด ขอบคุณที่ยอมเป็นเพื่อนกับคนโง่ๆ อย่างกู  ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง และขอโทษด้วย ที่กูทำให้พวกมึงเป็นห่วงมาตลอด แต่ตอนนี้กูอยากพักแล้วล่ะ ตอนนี้ไอ้เคนมันยิ้มอีกครั้งแล้ว กูไม่มีอะไรที่ต้องกังวลอีกแล้ว ฮึก..”

“แต่กูขอร้องอะไรได้ไหม” เสียงอ่อนแรงเอ่ยถาม

“ว่ามาสิ” คนเป็นเพื่อนพูดทั้งน้ำตา

“อย่าบอกไอ้เคน ว่ากูหายไปไหน ให้มันเข้าใจว่าตอนนี้กูไปทำงานที่อื่นก็พอแล้ว ถ้ามันถามก็ตอบมันไปแค่ว่า กูสบายดี และจะสบายใจมากถ้ามันยิ้มเยอะๆ” แม้น้ำเสียงจะอ่อนล้าแต่คนป่วยกลับยิ้มให้เพื่อนอย่างอ่อนโยน

“ลาก่อนนะ เพื่อนรัก กูคงต้องไปพักรอพวกมึง บนโน่นก่อน แล้วสักวันนึงเราจะได้เจอกัน”

วาคิมบอกก่อนที่มือเรียวจะวางทาบลงบนหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง หัวใจ กำลังเต้นแผ่วลงทุกที แต่เขากลับยิ้มได้ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน แต่หัวใจของเขามันยังคงเต้นอยู่เพื่อรักใครคนนั้น   แม้ว่ากายจะไม่ได้อยู่ใกล้ แต่หัวใจของเขามันกำลังทำหน้าที่บอกรักแทนเขาอยู่ทุกวินาที….

เคน ฉันรักนายนะ






“อื้อ” ร่างที่นอนบนเตียงครางก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆขยับขี้นช้าๆ พลางมองเพดานสีขาวด้วยความแปลกใจ

“ตื่นแล้วเหรอ  ไอ้วา” คุณหมอแก้มป่องเดินมาหาเพื่อน

“ทำไมล่ะ  ทำไมกูถึงยังไม่ตาย” เสียงแหบพร่าเอ่ยถาม เขาควรจะตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงยังหายใจอยู่ล่ะ

“มึงเพิ่งฟื้นอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย พักเถอะ”

“ มึงเป็นอะไร ทำไมมึงทำหน้าแบบนั้น” เอ่ยถามเพื่อนแก้มป่องที่ตอนนี้กำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“กูแค่ไม่เข้าใจ”

“ไม่เข้าใจอะไร ยิ่งพูดยิ่งงง ช่วยบอกกูหน่อยได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วไอ้ชาไปไหน” วาคิมเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เขาสับสนไปหมดแล้ว

“ไอ้ชาเหรอหึ ” ร่วงอวบแค่นเสียงก่อนที่น้ำตามากมายจะไหลอาบแก้ม

“ไอ้แซนบอกกูมะว่า ไอ้ชา เป็นอะไร”

“ไอ้ชา ตายแล้ว”

ตาย  ตายเหรอ  ตายได้ยังไง  ได้ยังไงกันน่ะ

“ตะ  ตาย  ตายได้ยังไง” เอ่ยถามเสียงแผ่ว

“กูไม่เข้าใจ ไม่เคยเข้าใจพวกมึงเลยรู้ไหม  ทำไมพวกมึงต้องทำเพื่อคนที่รักมากมายขนาดนี้ ทำไมกัน” แซนเว้นช่วงพูดเพื่อกลั้น
น้ำตาไม่ให้ไหลออกมามากกว่านี้

“ไอ้ชา มันฆ่าตัวตายเพื่อเอาหัวใจ มาให้มึง!!!”


ความรักมักเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายเสมอ ไม่มีอะไรกำหนดได้ ว่าเราจะรักใคร  แต่เมื่อรักไปแล้ว ก็จงรักให้ถึงที่สุด


………………………….END…………………………………

โอเค สมใจแล้วไปล่ะ ฮ่าๆๆ ลงเอามัน จริงๆเรื่องนี้

คุ้นๆไหม ฮ่าๆๆ

มันคือนิยายรีเมค ถ้าคุ้นคงไม่แปลก

แต่อยากลองเขียนเวอร์ชั่นที่มันไม่ใช่ฟิค

 :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2014 09:12:01 โดย pita »

ออฟไลน์ greenapple

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-5
หืมมม ยังไม่ทันได้รัก
ก็อกหักแล้วเหรอหนูวา
 :pig4:

ออฟไลน์ question09

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1501
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-10

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ติดตามตอนต่อไป~

ออฟไลน์ TheP

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
ไม่สมหวังแต่แรกเลย หนูเอ๋ย :katai5:

ออฟไลน์ MK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
ลู่ห่าน ............... คือ?  :m28:
-----------------------------------------------

ปล่อยมันไป อย่างที่เป็น ...

ว่าแล้วว่าต้องเศร้าแน่ สังหรณ์ใจตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้ว ว่าจะไม่อ่าน เปิดเข้ามาแล้วรอบนึง แต่ก็ปิดไป

เห็นอีก ว่าเป็น pita เลยตัดสินใจอ่าน เจอทิ้งระเบิดใส่แบบนี้   :heaven

ออฟไลน์ liza sarin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-14

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
ลู่ห่าน ............... คือ?  :m28:
-----------------------------------------------

ปล่อยมันไป อย่างที่เป็น ...

ว่าแล้วว่าต้องเศร้าแน่ สังหรณ์ใจตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้ว ว่าจะไม่อ่าน เปิดเข้ามาแล้วรอบนึง แต่ก็ปิดไป

เห็นอีก ว่าเป็น pita เลยตัดสินใจอ่าน เจอทิ้งระเบิดใส่แบบนี้   :heaven


อ่า แก้ไม่หมดสินะ ฮ่าๆๆ จริงๆมันเป็น ฟิค EXO มาก่อน แหะๆ

ว้า อายจุง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
 :sad4: จบแบบปาหมอนสุดๆไปเลย

ช็อคอ่ะ คือถ้าวาตายก็จะเศร้าธรรมดา พอชาตายนี่ช็อคอ่ะ
เคนจะรู้มั้ยเนี่ยว่าต้องเสียเพื่อนไปเพราะรักษาชีวิตแฟนตัวเอง  :hao5:

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
โฮๆๆๆ มันจะเศร้าซ้ำซ้อนกันไปถึงหนายยยยยยยยยยยยยยย
 :o12:

na-au

  • บุคคลทั่วไป
 :m15:  ตกลงแล้วใครที่เศร้าใจที่สุดล่ะเนี้ย

 :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
เจ็บ จุก ร้องไห้เลย!
พูดจริงนะคนจะตายก็ปล่อยให้เค้าตาย คนที่อยู่ก็จงทำทุกสิ่งที่ตัวเองควรทำให้ดีที่สุด
ว่ากันตามจริงชาบาปมากเลยนะ รองลงมาก็เป็นคิม ทำไม่ไม่ลองคิดดูล่ะว่าร่างกายที่เรากำลังใช้อยู่ตอนนี้มันไม่ใช่ของเรา แล้วยิ่งมาทำอย่างนี้มันยิ่งบาปมาก คนที่ตายเร็วก็คือคนที่หมดเวรหมดกรรมแล้วก็จงปล่อยให้เค้าไป มายื้อกันไปกันมาอย่างเนี่ย ฝ่ายที่มารู้ที่หลังเค้าจะเสียใจขนาดไหน
แบบนี้มันไม่เรียกช่วยเหลือ แต่มันเรียกว่าเห็นแก่ตัว มัวแต่เอาความรักมาเป็นหลักโดยไม่ยอมมองความเป็นจริงว่าสิ่งไหนควรสิ่งไหนไม่ควร
เมนไปร้องไห้ไปเลยเรื่องนี้ ตอนนี้ก็ยังกลั้นสะอื้นอยู่เลย มันเศร้านะ ถ้าเราเป็นคิมเราจะคิดว่าเราจะทำยังไงต่อไปดีความรู้สึกผิดมันติดตัวอยู่อย่างนี้ แล้วถ้าเนกับคนที่คิมรักมารู้ที่หลังว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดมาจากตนเอง ฝ่ายนั้นก็ต้องโทษตัวเองเหมือนกัน เข้าใจชาอยู่นะ แต่แบบนี้ไม่ไหวจริงๆ เป็นเราเราก็คงเป็นแบบแซนว่ามันจะอะไรกันนักกันหนา

ออฟไลน์ My_yunho

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1683
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
โอ้ ขอเศร้าแป๊บ

มาแบบช็อคๆ จบแบบทำไมมันเป็นยังงี้อะ

รับไม่ได้อ่ะ มันหนักเกินไปจริงๆ

Pita ทำร้ายเราอย่างมากจริงๆ  เรื่องนี้ อ่านแล้วหน่วงจิตกว่าทุกเรื่องเลยจริงๆ ขอบอก

 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
เราว่านะ เอาจริงไม่ได้อยากจะใจร้ายหรอก
แต่อยากจะบอกว่า คนที่ต้องตายดันไม่ตายแล้วคนที่ไม่สมควรตายดันมาตายนี่
อยากจะให้ปล่อยคนที่ต้องตายตั้งแต่แรกไปเถอะเพราะมันถึงเวลาของเขา
เราว่าเคนคงเข้าใจ ตั้งแต่วาแล้ว เสียใจมากแล้วนะ แต่พอเป็นชานี่สิ เสียใจเยอะกว่าเก่าอีก
ส่วนคุณเคนก็ไม่แปลกใจเล้ยที่ว่าที่เมียหายดี๋ดีเนี่ย บอกจริงหมั่นไส้สุดว่ะ

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
ว่ากันตามจริงผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะมันไม่ได้ง่ายขนาดนี้หรอกนะ555 ต้องให้เลือดเข้ากันได้ ต้องนู่นนั่นนี่บลาๆ แต่ก็นิยายนี่เนอะ พอเข้าใจได้ อิอิ

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
ต่อไป ทู้นี้จิกลายเป็นทูระบายอารมณ์  เอ้ย  ทู้รวมเรื่องสั้น ของ เค้านะตะเอง

วันไหน แดดดีๆ  อากาศเย็นๆ  อาจจะมี เรื่องสั้นมาให้อ่านกันนะคะ

ยังไง ก็ ฝากด้วยนะตะเอง ^_^

Pita ....

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






minimonmon

  • บุคคลทั่วไป
น้ำตาซึมเลยอ่ะ

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13





เรื่องสั้น กลิ่นแก้ว

บทที่ 1 ลางนิมิต

                   
                                 ดอกแก้วนี้พี่มอบด้วยใจภักดิ์        ดั่งคำรักฝากไว้ให้ถนอม
                             ใครมาสู่ ตัวเจ้าอย่ายินยอม             จงถนอมตัวใจให้พี่ยา
                                 พี่จากไกลเมื่อใดไม่อาจรู้            ตายหรืออยู่ล้วนสวรรค์ท่านสรรหา
                            แต่ความรักที่พี่มอบแก่แก้วตา          จักคงอยู่ค้ำฟ้าชั่วนิรันดร์


เฮือก!!!

ร่างที่นอนอยู่สะดุ้งตื่น พลางมองความมืดรอบกาย อย่างเหนื่อยหน่าย ฝันแบบนี้อีกแล้ว ความฝันซ้ำๆที่มักจะเกิดขึ้นทุกคืนเพ็ญ ในฝันนั้นเขาเหมือนกลายเป็นใครสักคนที่ที่ไม่ใช่ ตัวเอง เป็นคนโบราณที่น่าจะย้อนกลับไปร้อยปี ร่างในชุดทหารโบราณที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเขาราวกับฝาแฝดที่กำลังเอ่ยลาใครบางคนที่เขาไม่เคยเห็นหน้า รู้เพียงว่าเธอเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างบอบบางห่มสไบเฉียงอย่างลูกผู้ดีในฝันเขามักจะเรียกเธอว่า แม่แก้ว เขาไม่อยากเชื่อว่านั่นจะเป็น อดีตชาติ เพราะตัวเขาเกิดมาในยุคที่มนุษย์มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หากว่าเขาเอาเรื่องนี้ไปบอกเล่าให้ใครต่อใครฟังคงมีคนเชื่อไม่มากนักและในฐานะนักวิทยาศาสตร์เขาไม่เชื่ออะไรที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้  ร่างสูงเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลที่หัวเตียงเวลาหกนาฬิกาอาจจะดูเช้าไปสำหรับการตื่นไปทำงานวันนี้แต่เขาคงไม่สามารถข่มตานอนได้อีกแล้ว คงต้องตื่นมาเตรียมแผนการสอนแทนจะดีกว่า
เวลาแปดนาฬิกา ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีดำเดินเข้ามาในตึกคณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง พร้อมๆกับหอบหนังสือเล่มโตก่อนจะตรงเข้าไปที่ห้องพักอาจารย์

“สวัสดีค่ะ อาจารย์ วันนี้อาจารย์มีสอนเช้าเหรอคะ” อาจารย์สาวที่สอนในสาขาวิชาเดียวกันเอ่ยทัก

“เปล่าหรอกครับ วันนี้ตื่นเช้าก็เลยกะว่าจะมาตรวจรายงานฆ่าเวลาซะหน่อย อาจารย์สาวิตรี มีสอนเช้าเหรอครับ” เขาตอบพลางยิ้มให้กับเพื่อนร่วมอาชีพ

“วันนี้มีสอน 10 โมงค่ะ อาจารย์จะรับกาแฟไหมคะ สาจะไปชงพอดี” อาจารย์สาวเอ่ยถาม

“ยังดีกว่าครับ ขอบคุณมากนะครับ” ร่างสูงตอบพลางก้มหัวขอบคุณอย่างมีมารยาท

สาวิตรี ลอบยิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องพักอาจารย์ไปหญิงสาวรู้สึกใจเต้นอยู่ไม่น้อยที่วันนี้เธอได้เจอกับอาจารย์หนุ่มที่เนื้อหอมที่สุดในมหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้า เท่าที่เธอรู้ อาจารย์ พระนาย ภักดีดำรง  หัวหน้าสาขาชีววิทยาที่เธอสังกัดอยู่เข้ามาสอนก่อนเธอเพียงไม่กี่ปีแต่กลับประสบความสำเร็จจนได้รับเลือกเป็นหัวหน้าสาขาตั้งแต่สองปีแรกที่ทำงาน นอกจากจะมีรูปสมบัติที่หล่อเหลาแล้ว ร่างสูงยังมีทรัพย์สมบัติติดตัวมาไม่น้อยเพราะเป็นทายาทของตระกูล ภักดีดำรง ตระกูลขุนนางเก่าแก่ตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ปัจจุบันยังคงรับราชการทหารมาแทบทุกรุ่น ยกเว้นเพียงร่างสูงที่เลือกรับราชการครู

“เฮ้อ” ร่างสูงวางปากกาที่ใช้ตรวจงานก่อนจะเสมองออกไปนอกหน้าต่าง ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากรู้ ความฝันที่ยังคงเกิดขึ้นทุกคืนเพ็ญนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องที่เขาคิดไปเองหรือมีอะไรที่มากกว่านั้นกันแน่ นับตั้งแต่เขาเริ่มฝันประหลาดเมื่ออายุครบ 15 เขาไม่เคยบอกใครหรือหาคำตอบของความฝันนั้นเลย ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเขาปล่อยเวลาให้เลยผ่านไปด้วยความสงสัย    หรือมันถึงเวลาแล้วที่เขาต้องหาคำตอบของความฝันนั้นสักที


กริ๊งๆๆ

เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกสติของร่างสูงให้กลับมาสู่โลกแห่งความจริงเจ้าเครื่องมือสื่อสารยังคงแผดเสียงลั่นเมื่อยังไม่มีใครกดรับ

“ครับแม่” อาจารย์หนุ่มบอกกับปลายสาย

“คุณพระนาย ใจคอไม่คิดจะโทรหาแม่บ้างเลยนะ” ปลายสายบอกคล้ายตำหนิแต่ร่างสูงรู้ดีว่าเป็นเพียงอารมณ์ขันของผู้เป็นแม่เท่านั้น

“ช่วงนี้งานผมยุ่งมากเลยครับ”

“งานยุ่งแค่ไหนก็ควรโทรกลับบ้านบ้าง ไม่ใช่ให้แม่โทรหาอยู่เรื่อย หรือว่าตอนนี้คุณพระนายของแม่มีกำลังมีความลับอะไรหรือเปล่า” ผู้เป็นแม่ยังคงเอ่ยติดตลก

“โถ่ แม่ครับ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ผมงานยุ่งจริงๆครับ” อาจารย์หนุ่มโอด จริงอยู่ที่อายุอย่างเขาคงต้องคิดเรื่องมีครอบครัวแล้วแต่อาจารย์มหาวิทยาลัยเงินเดือนน้อยอย่างเขาก็ยังไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนต้องมากัดก้อนเกลือกินด้วยเสียหน่อย แม้ว่าฐานะทางบ้านของเขาจะไม่ใช่คนยากจนแต่นั่นก็เป็นทรัพย์สินของบรรพบุรุษไม่ใช่สิ่งที่เขาหามาได้ด้วยตัวเอง เขาคงไม่ภูมิใจนักหากว่าต้องเอาสมบัติเหล่านั้นมาใช้ และที่สำคัญ เขารู้สึกเหมือนยังมีเรื่องมากมายที่ค้างคาอยู่ในใจ

“ไม่รู้ล่ะ วันรวมญาติพ่อเขาอยากให้ลูกมานะ บางทีคุณพระนายของแม่อาจจะเจอใครที่ถูกใจบ้างก็ได้”
ร่างสูงได้แต่ลอบถอนใจเงียบๆ เมื่อดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะขัดผู้เป็นแม่ไม่ได้เสียแล้ว งานรวมญาติที่จัดขึ้นทุกปีนั้นจะว่าไปมันเป็นงานเลือกคู่เสียมากกว่า เพราะนอกจากญาติๆที่มาร่วมงานแล้วยังมีสายตระกูลที่เคยใกล้ชิดกับ ภักดีดำรง มักจะมาพบปะสังสรรค์กันด้วย

“ว่ายังไงคะ”

“ครับแม่ งานรวมญาติปีนี้ผมไปแน่นอนครับ”

“ลูกรับปากแม่แล้วนะ ต้องมาให้ได้ล่ะ ว่าแต่แม่ได้ข่าวว่า ลูกสาวของ พิทักษ์โยธร ไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเหมือนกัน ลูก
เจอน้องหรือยังคะ ”

“ลูกสาว?? ใครเหรอครับแม่”

“ก็น้องกิ่งแก้วไงคะ จำน้องไม่ได้เหรอตอนเด็กยังเคยเล่นด้วยกันอยู่เลย” คุณอนงค์นาถบอกกับลูกชาย ร่างสูงลองทบทวนความจำเมื่อครั้งเป็นเด็กคลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อวันรวมญาติเคยเจอกับลูกหลานของตระกูล พิทักษ์โยธร อยู่บ้างแต่จะให้ระบุจำเพาะเจาะจงว่า หญิงสาวที่ชื่อ กิ่งแก้ว  ที่มารดาพูดถึงหน้าตาเป็นยังไงเห็นทีคงจะลำบาก เพราะเรื่องราวสมัยเด็กนั้นเขาจำได้เลือนรางเต็มที

“โห นานขนาดนั้นผมไม่น่าจะจำได้แล้วนะครับแม่ เพราะครั้งสุดท้ายที่ไปงานรวมญาติก็ตอน 10 ขวบ”

“ก็เพราะเราบ่ายเบี่ยงตลอดนะสิ ไม่อย่างนั้นคงเจอน้องไปแล้ว”

“แม่ดูเหมือนอยากจะให้ผมเจอน้องกิ่งแก้ว มากเลยนะครับ มีอะไรหรือเปล่า”

“โถ่ คุณพระนาย แม่ก็แค่อยากให้ ลูกสองคนรู้จักกันไว้เท่านั้น ทำงานที่เดียวกันจะได้ช่วยเหลือดูแลกันได้”

“แม่คิดแค่นั้นจริงๆเหรอครับ”

“เอ คุณพระนายนี่ยังไง จะต้อนแม่ทำไมคะ” ปลายสายเอ็ดเสียงเข้ม

“ครับๆ ไม่มีอะไรก็ไม่มี แล้วน้องกิ่งแก้ว สอนคณะไหนครับ เผื่อว่าผมเจอจะได้ทำความรู้จัก”

“รู้สึกว่าจะสอน ภาษาไทย นะคะ น้องจบด้านนั้นมาโดยตรง”

“ครับๆ เอาไว้ถ้าผมไปแถวตึกคณะนั้น จะเข้าไปทำความรู้จักนะครับ”

“อุ้ย แม่นึกได้ว่ามีธุระกับเพื่อน แค่นี้ก่อนนะคะ แล้วอย่าลืมมางานรวมญาติด้วยนะคะ”

“ครับแม่ สวัสดีครับ”  ร่างสูงวางสายจากผู้เป็นแม่ก่อนจะพลางนึกถึงชื่อของคนที่อยู่ในบทสนทนา

“ กิ่งแก้วเหรอ มีคำว่า แก้ว เหมือนกัน ด้วยสินะ   เฮ้อ ท่าจะบ้าแล้วพระนาย เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว” ร่างสูงส่ายหน้ากับความคิดไม่
เข้าท่าของตัวเองก่อนจะลงมือทำงานที่ค้างอยู่ต่อ



“อาจารย์ครับ” เสียงของคนมาใหม่ทำให้ร่างสูงเงยหน้าขึ้นจากกองรายงาน

“มีอะไรครับอาจารย์ นพ” เอ่ยกับเพื่อนร่วมอาชีพอีกคนอย่างเป็นกันเอง พลางมองซองสีขาวที่คนตรงหน้ายื่นมาให้

“ซองบัตรเชิญงานของ เอก ภาษาไทย ครับ วันครบรอบอกปีนี้เป็นปีที่ 20 คงจัดงานใหญ่น่าดู เห็นว่าปีนี้มีการแสดงละครเวทีด้วยนะครับ”

“ขอบคุณมากนะครับ”

“เอ่อ อาจารย์ครับ วันนี้อาจารย์คนอื่นๆมีนัดเลี้ยงส่ง อาจารย์องอาจ สาขาเคมี ที่กำลังจะไปเรียนต่อก็เลยอยากจะชวนอาจารย์ไป
ด้วยน่ะครับ” อีกคนบอก พลางมองหัวหน้าสาขาอย่างมีความหวัง แม้ว่าอาจารย์พระนายจะไม่ใช่หัวหน้าสาขาจอมเนี๊ยบหรือขี้บ่นขี้โวยวายแต่คนตรงหน้าก็ค่อนข้างสันโดษ ถึงจะเป็นคนอัธยาศัยดีแต่ก็ค่อนข้างที่จะรักความเป็นส่วนตัวทำให้บางครั้งไม่ค่อยได้ออกไปสังสรรค์ตามประสาเพื่อนร่วมงานเหมือนคนอื่นๆ

“หืม คืนนี้เหรอ” ร่างสูงเลิกคิ้วถาม

“ใช่ครับ คืนนี้”

“ตกลงครับ” อาจารย์หนุ่มขมวดคิ้วแน่นก่อนจะพยักหน้าตกลงเพราะดูเหมือนว่าเขาเองจะห่างหายจากการสังสรรค์กับเพื่อนร่วม
งานมานานมากแล้ว



เสียงเพลงร่วมสมัยที่เปิดคลอเบาๆของร้านอาหารกึ่งผับที่เหล่าอาจารย์ร่วมคณะชวนร่างสูงมาในวันนี้ถูกใจอยู่ไม่น้อย เพราะด้วยอายุที่มากขึ้นการจะเข้าไปในร้านที่เปิดเพลงดังๆเห็นทีจะไม่ไหว

“ร้านนี้เป็นยังไงบ้างคะอาจารย์”  สาวิตรีเอ่ยถามกับร่างสูงที่นั่งตรงข้าม

“บรรยากาศดีมากครับ อาหารก็อร่อย” เสียงทุ้มตอบ

“ร้านนี้เป็นร้านของเพื่อนสาเองค่ะ ถ้าอาจารย์ติดใจบอกสาได้นะคะ” หญิงสาวชวนคุย

“ขอบคุณมากครับ” อาจารย์หนุ่มเพียงแต่ยิ้มให้ก่อนจะยกเครื่องดื่มขึ้นจิบเพื่อไม่ให้เสียมารยาท การผ่านโลกมา 35 ปี ทำให้เขาพอจะดูออกว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้ไม่ได้คิดกับเขาแบบธรรมดาแน่ แต่เขาคงไม่อาจสานสัมพันธ์กับใครได้ในตอนนี้ เพราะมันเหมือนมีบางอย่างที่ติดค้างอยู่ในใจเขา บางอย่างที่อาจจะเกี่ยวกับ คนในฝัน ของเขา

“อาจารย์ เติมหน่อยไหมครับ จืดจนจะเลี้ยงปลากัดได้อยู่แล้ว” เพื่อนร่วมอาชีพอีกคนที่ ร่างสูงจำได้ว่าชื่อ เขมชาติ เป็นอาจารย์
สาขา ฟิสิกส์  เอ่ยถาม

“ยังดีกว่าครับ วันนี้ผมขับรถมากลัวจะกลับไม่ไหว”

“แหม มาฉลองทั้งที ทำไมไม่สนุกให้เต็มที่ล่ะค่ะ” ร่างบางบอก แต่อาจารย์หนุ่มกลับทำเพียงปฏิเสธ

“ไม่ดีกว่าครับ ขอบคุณมาก”

ดูเหมือนว่าหลังจากที่พยายามปฏิเสธรอบที่สามเพื่อนร่วมงานต่างเลิกสนใจหัวหน้าสาขาหนุ่มและกลับไปให้ความสนใจเจ้าของงานอีกครั้ง ทำให้ร่างสูงถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มอีก ใช่ว่าเขาจะไม่เคยดื่มเพียงแต่ว่าวันนี้ยังต้องขับ
รถกลับบ้านเองมันคงไม่ดีนักหากเขาเมา



ร่างสูงขับรถกลับมาจากงานเลี้ยงด้วยอาการมึนนิดๆ แม้ว่าจะพยายามปฏิเสธแล้วแต่เอาเข้าจริงเขาก็ดื่มไปเยอะพอควร ถึงจะไม่มากจนครองสติไม่ได้แต่ถ้าเป่าแอลกอฮอล์เขาคงกลายเป็นอีกคนที่ต้องไปบำเพ็ญประโยชน์

“หือ กลิ่นดอกอะไรเนี่ย หอมดี” ร่างสูงบอกกับตัวเองเสียงเบาเมื่อกลับมาถึงบ้านพักที่เขาลงทุนซื้อด้วยตัวเอง ทั้งๆที่ตัวบ้านเขาไม่ได้ปลูกไม่ดอกแต่กลับมีกลิ่นดอกไม้ลอยมาตามลม  อาจจะเป็นของข้างบ้าน ร่างสูงคิด พลางสะบัดหน้าอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากที่อาบน้ำตามปกติ ก็ล้มตัวลงนอนพร้อมกับที่นาฬิกาบนหัวเตียงกำลังจะเริ่มวันใหม่



“ดอกแก้วมิเคยร้างกลิ่นหอม ฉันใด

กาลเวลาก็มิอาจพรากหัวใจรักไปได้ ฉันนั้น”

“เสียงใครกัน” ร่างสูงเอ่ยกับตัวเองเบาๆ แต่เมื่อมองไปรอบๆตัวกลับพบว่า ตนไม่ได้นอนหลับอยู่บนเตียงแต่กลับยืนอยู่ในสวนของใครสักคน ผู้คนที่อยู่รอบตัวล้วนแต่งกายด้วยชุดโบราณ กอปรกับบ้านทรงไทยหลังงานที่ไม่น่าจะมีอยู่แล้วในยุคนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ทำให้อาจารย์หนุ่มพอจะเข้าใจอะไรได้บ้าง

“ฝันอีกแล้วสินะ” แต่ความฝันครั้งนี้กลับดูเหมือนจริงยิ่งกว่าทุกครั้ง มันคล้ายกับเขาย้อนเวลาเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์จริงเพียงแต่คนรอบข้างไม่สามารถเห็นเขาได้เท่านั้น ร่างสูงกวาดสายตาไปทั่วก่อนจะหยุดลงที่ร่างในชุดทหารโบราณที่เขามักจะฝันถึงเป็นประจำหรือบางทีอาจจะเป็น ตัวเขาในอดีต


“คุณพระนาย คุณพระนายเจ้าคะ” เสียงหวานดังขึ้นก่อนที่ร่างบอบบางนั้นจะเดินเข้ามาหาร่างสูงในชุดทหารโบราณที่ยืนหันหลังอยู่ในสวน

“แม่แก้วหรือ” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยขึ้นแต่ก็ยังไม่ยอมหันหน้ากลับมา

“เจ้าค่ะ น้องเอง”

“มาหาพี่ถึงเรือน มีเรื่องอันใดหรือ”

“น้องได้ยินว่า คุณพระนายจักต้องออกไปรบกับสมเด็จท่านหรือเจ้าคะ” เสียงหวานนั้นเอ่ยถาม

“น้องได้ยินมามิผิด อีกสามวัน พี่จักต้องออกไปรบ” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยพลางถอนใจอย่างหนัก มิใช่เพราะขลาดกลัวข้าศึกแต่เพราะจิตใจมัวห่วงร่างบางผู้เป็นคู่หมายของตน ไปรบครั้งนี้ไม่รู้ว่าจักต้องไปนานเพียงใด จะเป็นตายร้ายดีเช่นไร ห่วงก็แต่แม่แก้ว คนรัก ที่อาจจะต้องรอคอยอย่างมิมีจุดหมาย

“คุณพระนายจักไปนานเท่าใดเจ้าคะ”

“เฮ้อ” ร่างสูงได้แต่ถอนใจ “หลวงท่านยังมิได้ประกาศ แต่ศึกครั้งนี้เป็นศึกใหญ่หากว่าศึกติดพันอาจจักต้องอยู่ตั้งรับจนถึงฤดูฝนปีหน้าหรือนานกว่านั้น”

“แม่แก้ว”

“เจ้าคะ”

“หากว่าเจ้ามิอยากให้ความสาวร่วงโรย ถ้าภายในสามปีพี่ยังมิกลับมาให้ถือเสียว่าพี่ได้ตายจากไปแล้ว อย่าได้ยึดคำสัญญานั้นอีก
หากมีชายที่พึงใจจงตบแต่งออกเรือนไปอย่าได้รอพี่”

“คุณพระนาย” ร่างบางเอ่ยเสียงเครือ น้ำตาเม็ดโตไหลอาบแก้มนวล

“อย่าดูถูกน้ำใจน้องสิเจ้าคะ ดอกแก้วดอกนี้หล่นลงในอุ้งมือของผู้ใด มันจักเป็นของผู้นั้นตลอดกาล มิมีวันเปลี่ยนเจ้าของ”

“แต่หากว่าพี่ตาย”

“ไม่เจ้าค่ะ คุณพระนายของน้องมีวิชาดาบล้ำเลิศ มิมีทางพลาดพลั้งศัตรูได้ดอก”

“แม่แก้ว การศึกนั้นใช่จะอาศัยเพียงเชิงดาบ หากแต่ต้องอาศัยทั้งกำลังพลแลการวางแผนจะแพ้หรือชำนะนั้นไม่อาจบอกได้ในเร็ว
วัน พี่มิอยากให้เจ้าต้องรอ”

“ต่อให้ต้องรอจนถึง ภพหน้าตัวน้องก็จักรอ   ดอกแก้วมิเคยร้างกลิ่นหอม ฉันใด กาลเวลาก็มิอาจพรากหัวใจรักไปได้ ฉันนั้น”
เสียงหวานนั้นเอ่ยบอก ร่างสูงค่อยๆหันมาช้าๆก่อนจะเด็ดดอกแก้วที่กำลังบานสะพรั่งนั้นยื่นให้คนรัก

                            “  ดอกแก้วนี้พี่มอบด้วยใจภักดิ์        ดั่งคำรักฝากไว้ให้ถนอม
                             ใครมาสู่ ตัวเจ้าอย่ายินยอม             จงถนอมตัวใจให้พี่ยา
                                 พี่จากไกลเมื่อใดไม่อาจรู้            ตายหรืออยู่ล้วนสวรรค์ท่านสรรหา
                            แต่ความรักที่พี่มอบแก่แก้วตา          จักคงอยู่ค้ำฟ้าชั่วนิรันดร์”



“แม่แก้ว ไม่ว่าชาตินี้ตัวพี่จะมีลมหายใจอยู่หรือไม่ แต่ความรักที่พี่มีให้แม่แก้วจะมิมีวันจางหาย ต่อให้กี่ภพกี่ชาติ พี่ก็จักรักแม่แก้ว ผู้เดียวตลอดไป”

“น้องก็จะรอคอย คุณพระนายเช่นกันเจ้าค่ะ”

สิ้นคำบอกรัก เหมือนหมอกหนาที่มักจะบดบังหน้าตาของ แม่แก้ว กลับค่อยๆเลือนหายไป อาจารย์หนุ่มที่ยืนมองอยู่นานได้แต่กลั้นหายใจเพราะความตื่นเต้น สิ่งที่ค้างคาในใจ ใบหน้าของ แม่แก้ว ที่เขาไม่เคยได้เห็นเลยตลอด 20 ปี กำลังจะปรากฏตรงหน้า ….






ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
“แม่แก้ว!!!” ร่างที่นอนอยู่สะดุ้งเฮือก ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อเห็นห้องที่แสนคุ้นตา นี่เขาฝันจริงๆสินะ ร่างสูงคิด ฝันครั้งนี้มันเหมือนจริงซ้ำยังยาวนานที่สุดเท่าที่เคยฝันมา ในความทรงจำอันลางเลือนของความฝัน เขาได้เห็นหน้า แม่แก้ว เป็นครั้งแรก หากว่านั่นคืออดีตของเขา หากว่า คำมั่นนั้นเป็นเรื่องจริง แล้ว ภพนี้ เขากับแม่แก้วจะได้เจอกันไหม…

“เพ้อเจ้อน่า เรื่องแบบนี้มันมีจริงที่ไหนกัน” ร่างสูงย้ำกับตัวเองอีกครั้ง เรื่องนี้มันเหลือเชื่อเกินไป ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นจริงได้
ร่างสูงยังคงเดินเข้ามาในมหาวิทยาลัยด้วยหนังสือเล่มโตและเอกสารสำหรับสอนจำนวนมากเช่นเดิม ความฝันเมื่อคืนยังคงรบกวนโสตประสาทไม่ยอมหยุด ทั้งๆที่ไม่ควรคิด แต่กลับหยุดคิดไม่ได้ ทั้งๆที่ไม่เคยเชื่ออะไรที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์กลับเริ่มเอนเอียง ไม่น่าเชื่อว่าแค่ความฝันจะมีอิทธิพลกับเขามากถึงขนาดนี้

แต่ร่างสูงอาจจะลืมไปว่า เมื่อคืน ไม่ใช่ คืนเพ็ญ…


กริ๊งๆๆ เสียงเรียกเข้าจากเจ้าเครื่องมือสื่อสารดังขึ้น แทบจะทันทีที่ร่างสูงถึงห้องทำงาน

“ครับแม่”

“แม่โทรมาย้ำว่า พรุ่งนี้ คุณพระนายต้องมางานรวมญาตินะคะ” เสียงของผู้เป็นแม่บอกย้ำ

“ครับแม่ ผมไปแน่นอน ปีนี้รับรองว่าไม่เบี้ยวครับ”

“ให้มันจริงนะคะ คุณพระนายเบี้ยวแม่มาหลายปีแล้ว คุณย่าใหญ่กับคุณทวดก็บ่นถึงอยู่ทุกวัน”

“ท่านทั้งสองสบายดีนะครับ ช่วงนี้ไม่ได้เข้าไปกราบท่านเลย”

“สบายดีค่ะ แต่เริ่มบ่นแล้วว่าหลานชายคนโปรดเป็นนินจา ชอบแวบไปแวบมาไม่ยอมกลับบ้าน” คุณอนงค์นาถบ่น

“ครั้งนี้บอกคุณย่าใหญ่กับคุณทวด แต่งตัวสวยๆไว้รอหลานชายคนนี้ได้เลยครับ รับรองว่าจะไปกอดให้หายคิดถึงเลย”

“แม่ครับ ผมคงต้องวางแล้วนะครับวันนี้มีสอนเช้า”

“ค่ะ รักลูกนะคะ”

“รักแม่เหมือนกันครับ”

อาจารย์หนุ่มวางสายจากผู้เป็นแม่ก่อนจะเริ่มเตรียมเอกสารที่ต้องใช้สอนเหมือนที่ทำเป็นประจำ โดยที่ไม่อาจรู้เลยว่า กงล้อแห่งโชคชะตากำลังเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง …




ร่างสูงก้าวลงจากรถยุโรปคันหรูหลังจากที่จอดสนิทในบ้าน “ภักดีดำรง”   ก่อนที่ขายาวจะพาเจ้าของก้าวไปที่ เรือนเล็ก ของคุณทวดและคุณย่าใหญ่ที่อยู่ถัดเข้าไปจากตัวบ้านหลัก เรือนไทยหลังงามที่หลบซ่อนอยู่ภายในความหรูหราของคฤหาสน์ ภักดีดำรง ยังคงร่มรื่นไปด้วยไม้ดอกและไม้ยืนต้นที่คุณทวดสั่งให้ปลูกไว้เสียเต็มบริเวณ ร่างสูงสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยมาตามลม ก่อนจะก้าวขึ้นเรือนที่ไม่ได้มานานหลายเดือน พลางสอดส่ายสายตาหาบุคคลที่เขาแสนคิดถึง

“คุณทวด” ร่างสูงนั่งลงตรงหน้าหญิงชราที่กำลังร้อยพวงมาลัยดอกพุดอยู่ก่อนจะก้มลงกราบที่ตัก

“คุณพระนาย หรือจ๊ะ” เสียงแหบพร่าของหญิงชราเอ่ยถาม

“ครับ ผมเอง” ร่างสูงตอบ ไม่แปลกใจเลยที่คนทั้งบ้านจะเรียกเขาว่า “คุณพระนาย” เพราะแม้แต่คนที่ตั้งชื่อให้เขาอย่างคุณทวด
ก็ยังเรียกเขาแบบนั้น เขาเองก็ไม่รู้ที่มาชองชื่อ รู้เพียงว่าคุณทวดตั้งตามบรรพบุรุษของตระกูลเท่านั้น

“มาให้ทวดกอดสิลูก”

“ครับ” ร่างสูงตอบก่อนจะโผเข้ากอด คุณทวดอิ่ม เสียเต็มรัก

“เหมือนเหลือเกิน ยิ่งโตยิ่งเหมือน”

“เหมือนใครเหรอครับ” ร่างสูงเลิกคิ้วถามเมื่อได้ยินสิ่งที่คุณทวดพูด

“คุณพระนาย เหมือน ท่านมาก เหมือนมาจริงๆ”

“ท่านไหนหรือครับ”

“คุยอะไรกันอยู่หรือคะ คุณแม่”

 “คุณย่าใหญ่สวัสดีครับ”

“ไหว้พระเถอะลูก”

“เราคุยกันเรื่องหน้าเหมือนอยู่ครับ คุณทวดบอกว่าผมเหมือนท่าน คุณย่าใหญ่เข้าใจที่คุณทวดบอกไหมครับ”

“เข้าใจสิจ๊ะ คุณทวดบอกย่าตลอดว่า คุณพระนายเหมือน  จมื่นภักดีดำรง  ที่เป็นต้นตระกูลภักดีดำรงของเรามาก”

 “ใช่จ๊ะ คุณพระนายเหมือนท่านมาก  เสียดายที่ท่านอายุสั้น ยังไม่ถึง 28 ดีก็สิ้นบุญในสงคราม” คนที่มากอาวุโสอธิบายเพิ่ม 

“แล้วท่านมีลูกหลานสายตรงบ้างไหมครับ” เพราะเท่าที่รู้ แม้ว่าเขาจะใช้นามสกุล ภักดีดำรง แต่ก็ไม่ใช่ทายาทสายตรงของท่านซะทีเดียวแต่เป็นลูกหลานของน้องชายท่าน และเพื่อระลึกถึงท่าน บ้านเขาจึงเอายศของท่านในขณะนั้นมาใช้เป็นนามสกุล

“ไม่มีจ๊ะ ยังไม่ทันได้แต่งงานท่านก็สิ้นในสงครามเสียก่อน” คุณย่าใหญ่อธิบายเพิ่ม

“แต่คู่หมายของท่าน น่าสงสาร หลังจากท่านสิ้นบุญไม่นานเธอก็ล้มป่วยออดๆแอดๆ เขาว่าตรอมใจตามท่านไม่นานก็สิ้นไปอีกคน”

“เศร้าจังนะครับ” ร่างสูงบอก ไม่อยากจะเชื่อว่านั่นจะเป็นเรื่องจริง นึกว่าเรื่องราวทำนองนี้จะมีแค่ในนิยายเท่านั้น

“ไม่หรอกจ๊ะ เพราะความรักของท่านไม่ได้ตายไปด้วย แต่มันยังคงอยู่ อยู่ในตัว ภักดีดำรง ทุกคน เพื่อรอคอยเวลาที่จะได้พบกับ
คนที่ท่านรักอีกครั้ง” คุณทวดบอกด้วยรอยยิ้ม พลางยกมือที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาลูบผมเหลนอย่างรักใคร่

คุณพระนาย กลับมาแล้วสินะเจ้าคะ ท่านกลับมาแล้ว 

“มาแล้วเหรอคะ ลูกชายตัวดี” คุณอนงค์นาถเอ่ยทักทันทีที่ลูกชายเดินเข้ามาในบ้าน

“ครับแม่ จริงๆมาได้สักพักแล้ว แต่ไปกราบคุณทวดกับคุณย่าใหญ่ ที่เรือนมาน่ะครับ”

“ดีแล้ว คุณทวดท่านจะได้สบายใจ นี่บ่นถึงคุณพระนายทุกวันเลยนะ”

“ครับแม่แล้ว พี่แพง กับเจ้าพี ไปไหนกันครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามถึง แพงขวัญ และ พีรภัทร พี่สาวและน้องชาย เพราะไม่เห็นทั้งสองเลยตั้งแต่เข้ามาในบ้าน

“แพงไปรับตาอ้น ที่โรงเรียน ส่วนนายพี รายนั้นคงไปส่งสาวๆสักคน กลุ้มใจ กับพ่อพวงมาลัยของคุณแม่จริงๆค่ะ”

“เอาน่าครับ เจ้าพีเพิ่งจะ 28 ปล่อยน้องไปเถอะครับ ว่าแต่คุณแม่ไม่เตรียมตัวเรื่องงานรวมญาติเหรอครับ” ร่างสูงเอ่ยถาม

“เรื่องนั้น เรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วง คุณพระนายไปแต่งตัวหล่อๆดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะให้เด็กไปเรียกนะคะ”

“ครับแม่ เอ๊ะ นั่นดอกแก้วนิครับ” ร่างสูงที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดต้องขมวดคิ้วแน่น เมื่อเห็นดอกไม้สีขาวถูกประดับบนแจกัน

“ค่ะ ปีนี้คุณทวดท่านบอกว่าอยากจะให้จัดดอกแก้วประดับทั่วงานด้วย แม่เห็นว่ามันสวยดีก็เลยให้เขาจัดใส่แจกันตั้งในห้อง
รับแขกซะเลย สวยไหมคะ”

“สวยครับ ผมขอตัวก่อนนะครับคุณแม่”  น่าแปลกที่แค่เห็นดอกแก้วกลับทำให้เขาคิดถึง ใบหน้าของ แม่แก้ว ขึ้นมาทันที ร่างสูง
สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปก่อนจะเดินขึ้นห้องอย่างที่ตั้งใจตั้งแต่แรก




ตกเย็นงานเลี้ยงประจำปีของ ภักดีดำรง ที่เรียกกันชินปากว่า งานรวมญาติ ก็เริ่มขึ้น โดยมี คุณ อนงค์นาถ ภักดีดำรง ภรรยาของ
พ.อ. พงพันธ์ ภักดีดำรง เป็นแม่งานเช่นเดิม

 ร่างสูงในชุดสูทสากล เรียกรอยยิ้มจากสาวน้อยสาวใหญ่ที่อยู่ในงานได้มากโข ก่อนที่ลูกชายคนกลางของบ้าน ภักดีดำรง จะเดิน
เข้าไปนั่งรวมกับสมาชิกคนอื่นๆในบ้าน

“น้องชายพี่ ยังหล่อจนสาวหลงเหมือนเดิมสินะ” พี่สาวคนโตอย่างแพงขวัญเอ่ยแซวน้องชาย

“ใช่ๆ ตอนที่พี่นาย ออกมานะ สาวๆไม่มองผมเลย” พีรภัทรบ่นอุบ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพี่ชายแย่งความสนใจจากสาวๆไปจากเขาเสีย
หมด

“พี่แพงกับเจ้าพี พูดกันเกินไป”

“ไม่เกินหรอกค่ะ คุณพระนายของแม่ หล่อมากเลยค่ะวันนี้” ผู้เป็นแม่บอกด้วยรอยยิ้ม

“คุณแม่มีแผนอะไรในใจอยู่หรือเปล่าครับถึงยิ้มแบบนั้น” เป็นพีรภัทรที่เอ่ยขึ้นก่อนจะได้ค้อนวงโตจากผู้เป็นแม่

“ตาพี มองคุณแม่ในแง่ร้ายตลอดเลยนะคะ แม่ไม่ได้มีแผนอะไรทั้งนั้น ไม่มีเลยค่ะ”

“พี่นายผมว่า พี่เตรียมตัวตัดชุดเจ้าบ่าวได้เลยนะ ลองคุณ อนงค์นาถยิ้มกว้างขนาดนี้พี่ไม่รอดแน่” น้องชายกระซิบบอก ร่างสูง
ทำได้เพียงส่งยิ้มให้ ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้แต่เพราะรู้ถึงต้องมา เพื่อให้ให้คุณอนงค์นาถจับเขาคลุมถุงชนได้

“คุณคะ นี่บ้านโน้น ยังไม่มาเลยนะคะ งานเริ่มตั้งนานแล้วจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” คุณอนงค์นาถเอ่ยถามสามีพลางมองนาฬิกาเรือนหรูไปด้วย

“คิดมากน่าคุณ ไอ้อดุลย์ มันคงจะกลัวหล่อไม่สู้ผมเลยไม่กล้ามา”  พ.อ. พงพันธ์ บอกกับภรรยาอย่างติดตลก เมื่อคุณอนงค์นาถดู
จะเป็นเดือนเป็นร้อนกับการมาถึงของ ครอบครัว พิทักษ์โยธร เหลือเกิน

“คุณก็ ไม่เข้าใจฉันเลยนะคะ”

“เอาน่าคุณ เดี๋ยวก็มา อย่าใจร้อนสิ” นายทหารนอกราชการเอ่ยกับภรรยาเบาๆ

ร่างสูงที่นั่งเงียบฟังบทสนทนามาได้สักพักก็พอจะเดาออกแล้วว่า แม่คงต้องการให้เขาดองกับพิทักษ์โยธร หรือ บางทีอาจจะเป็น คนที่ชื่อ กิ่งแก้ว อะไรนั่น ที่แม่เขาหมายตาไว้

“นั่นไงคุณ มาพอดีเลย” พ.อ. พงพันธ์บอกกับภรรยา เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทของตนกำลังเดินเข้ามาในงาน



“สวัสดีค่ะ คุณอดุลย์ คุณดลยา” คุณอนงค์นาถที่ทำหน้าที่แม่งานเอ่ยทัก ก่อนจะปลายตามอง หญิงสาวร่างบางและชายหนุ่มที่มาพร้อมกับทั้งสองคนไปด้วย

“สวัสดีค่ะ คุณอนงค์นาถ สบายดีนะคะ” เป็นคุณดลยาที่เอ่ยตอบ

“สบายดีค่ะ แล้วนี่พาใครมาด้วยหรือคะ”

“นี่ลูกสาวกับลูกชาย ดิฉัน ไงคะ จำได้ไหม หนูกิ่งแก้ว กับ ตากานต์ ไงคะ” คุณดลยาแนะนำ

“สวัสดีค่ะ / สวัสดีครับ” สองพี่น้อง พิทักษ์โยธร ยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างมีมารยาท เรียกรอยยิ้มจากคุณอนงค์นาถได้มากโข
โดยเฉพาะ กิ่งแก้ว ที่เธอหมายมั่นจะให้เป็นลูกสะใภ้ ยิ่งเห็นยิ่งถูกใจ งามทั้งหน้าตาและกิริยาท่าทาง

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่บอกเสียงนิ่งก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง

“ขอโทษด้วยนะคะ ตากานต์ แกไม่ชอบออกงานนี่กว่าจะพาออกมาได้ต้องกล่อมเกือบค่อนวัน”

“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันไม่ถือ เราไปที่โต๊ะกันดีกว่านะคะ” เจ้าของงานบอกก่อนจะพาครอบครัว พิทักษ์โยธร ไปที่โต๊ะ

“แพง พระนาย พี ไหว้คุณอาอดุลย์ กับ คุณอาดลยาสิลูก”

“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ”

“อ่า ใช่สิ คุณแม่มีอีกคนจะแนะนำด้วย นี่หนู กิ่งแก้ว ลูกสาวของคุณอาทั้งสองนะคะ” คุณอนงค์นาถบอกก่อนที่หญิงสาวรูปร่างบอบบางจะก้าวออกมาพร้อมกับยกมือไหว้คนที่อาวุโสกว่า

“สวัสดีค่ะ พี่ๆ”

ทันทีที่ร่างบางเงยหน้าขึ้น ชายหนุ่มกับต้องเบิกตาโพลง เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ คือ คนๆเดียวที่เขาฝันถึงมาตลอด 20 ปี

“แม่แก้ว”



จบตอนที่ 1


เพิ่มเติม   พระนาย น. คำเรียกหัวหมื่นมหาดเล็ก เช่น เจ้าหมื่นไวยวรนาถ เรียก ว่า พระนายไวยวรนาถ.         บรรดาศักดิ์ จมื่น (เจ้าหมื่น) หรือ พระนาย นั้น เป็นบรรดาศักดิ์ หัวหน้ามหาดเล็ก ในกรมมหาดเล็ก ศักดินา 800-1000 ไร่ เทียบได้เท่ากับ บรรดาศักดิ์ พระ ที่มีศักดินาใกล้เคียงกัน แต่ จมื่นนั้น ได้รับการยกย่องมากกว่า เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน และมักจะมีอายุยังน้อย อยู่ในระหว่าง 20-30 ปี มักเป็นลูกหลานของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่นำมาถวายตัวรับใช้ใกล้ชิด พระเจ้าแผ่นดินในที่นี้ “คุณพระนาย” จึงเป็นชื่อเรียกตามยศ ของ จมื่นภักดีดำรง ที่คนทั่วไปใช้เรียกนะคะ


...................................TBC...........................

 :z3: ยาวที่สุดตั้งแต่เคยลง นิยายมา เลยอ่ะ
เรื่องนี้ 3 ตอนจบนะคะ ที่รัก  ไปล่ะจร้า

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13

บทที่ 2 คิดไตร่ตรอง

“แม่แก้ว” ร่างสูงนั้นเอ่ยเสียงเบาไม่น่าเป็นไปได้ จะเป็นไปได้ยังไง ทั้งๆที่นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่คนตรงหน้านั้นเหมือน แม่แก้ว ทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งหน้าตา ท่าทาง หรือแม้แต่ น้ำเสียง

“คุณพระนาย คุณพระนายคะ เป็นอะไรหรือเปล่า” คุณอนงค์นาถเรียกลูกชายเบาๆ ทำให้สติของร่างสูงนั้นกลับมา แต่ก็ยังคงมองร่างบอบบางที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่วางตา

“ดูสิ เสียมารยาทจริง จ้องน้องแบบนั้นได้ยังไงคะ น้องเป็นผู้หญิงนะลูก” ผู้เป็นแม่บอกเหมือนจะเอ็ดแต่ใบหน้าที่ยังคงสวยนั้นกลับยิ้มกว้าง เมื่อสิ่งที่เธอหวังไว้กำลังจะเป็นจริง

“ขอโทษด้วยนะครับ” ชายหนุ่มบอกพลางก้มหัวเป็นเชิงขอโทษที่เสียมารยาท

“ไม่เป็นไรค่ะ” เสียงหวานนั้นเอ่ยตอบ


“คุณเห็นไหมคะ คุณพระนายต้องชอบหนูกิ่งแน่ๆ” คุณอนงค์นาถกระซิบบอกกับสามีเบาๆ

“อย่าเพิ่งคิดไปเลยคุณ เรื่องแบบนี้ปล่อยให้เด็กๆเขาจัดการกันเองเถอะ เรื่องของหัวใจเราจะไปเจ้ากี้เจ้าการมากมันจะไม่ดีนะ”

“คุณนี่ก็ ดิฉันแค่อยากจะให้ลูกชายเราได้เจอกับผู้หญิงดีๆอย่างหนูกิ่ง ไม่ใช่เป็นคว้าเอาใครก็ไม่รู้มาเป็นสะใภ้นะคะ”

“จ้าๆ ตามใจคุณเถอะ ผมขอตัวไปหาเพื่อนฝูงก่อนแล้วกัน” พลเอกนอกราชการบอกกับภรรยาก่อนจะชวนคุณอดุลย์เพื่อนสนิทออกจากโต๊ะ ไป

“แหม คุณดลยาคะ เราสองคนก็ไปบ้างดีกว่า ดูเหมือน คุณรุจิรากับคุณวรรณ จะรอเราอยู่นะคะ” คุณอนงค์นาถบอกเป็นเชิงใบ้ก่อนที่ทั้งสองจะลุกออกจากโต๊ะไป ทั้งโต๊ะจึงเหลือแค่ ร่างบางกับลูกชายเจ้าของบ้านเพียงสองคนเพราะแพงขวัญกับพีรภัทรนั้นขอแยกตัวออกไปก่อนหน้านั้นแล้ว

“เอ่อ คุณพระนาย เป็นอาจารย์เหมือนกันใช่ไหมคะ” เสียงหวานั้นเป็นฝ่ายถามก่อน

“ครับ ผมสอนชีววิทยาครับ” ร่างสูงตอบ ยามที่เสียงนั้นเรียกเขาว่า คุณพระนาย มันช่างคล้ายกับในความฝันเหลือเกิน แต่จะเป็นไปได้ยังไง เรื่องทั้งหมดนั้นอาจจะเป็นแค่ความบังเอิญ

“เก่งจังเลยนะคะ เป็นกิ่งก็คงทำไม่ได้ เพราะไม่ค่อยชอบวิทยาศาสตร์เท่าไหร่ ”

“ไม่หรอกครับ ผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไรแค่ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบเท่านั้น”

“คุณพระนาย พูดเหมือนพี่กานต์ เลยนะคะ” หญิงสาวบอกเสียงใส

“กานต์ ใครเหรอครับ”

“พี่ชายของ กิ่ง เองค่ะ รายนั้นเขาเป็น สถาปนิก จริงๆวันนี้ก็มาด้วยนะคะ แต่ว่าคงแยกออกเดินเล่นเหมือนเคย”  ร่างสูงก็พอจะจำได้คับคล้ายคับคลาว่า พิทักษ์โยธร มี ทั้งลูกสาวและลูกชาย เหมือนกัน แต่ก็จนปัญญาที่จะคิดออกจริงๆว่าอีกฝ่ายจะมีรูปร่าง
หน้าตายังไง

“ผมได้ข่าวมาว่า ตอนนี้คุณกิ่งเริ่มงาน อาจารย์ ได้สักพักแล้วสินะครับ”

“ใช่ค่ะ ยากเอาการอยู่เหมือนกัน กิ่งเพิ่งเริ่มได้ยังไม่ถึงปีก็มีงานใหญ่เข้ามาซะแล้ว ตอนนี้ที่สาขากำลังวุ่นกันใหญ่”

“งานสถาปนานะเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ ปีนี้จะมีการแสดงละคร แล้วกิ่งเอกก็ต้องเป็นคนดูแลเด็กๆในการจัดละครด้วย” เธอบอกด้วยรอยยิ้ม สิ่งเดียวที่ คนตรงหน้าต่างจากแม่แก้วในความทรงจำนั้น คงเป็น นิสัยที่ค่อนข้างจะมั่นใจในตัวเองเหมือนผู้หญิงยุคปัจจุบันทั่วไป ต่างจากแม่แก้วที่ดูเรียบร้อย หัวอ่อน อย่างผู้หญิงไทยโบราณ


“ขอโทษนะคะ คุณพระนาย วิมลขอตัวกิ่งสักครู่ได้ไหมคะ พอดีว่าเพื่อนๆของเราอยู่ทางนั้นอยากจะเจอน่ะค่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่หญิงสาวคนหนึ่งจะเดินเข้ามาหา

“ได้ครับ”

“กิ่งขอตัวก่อนนะคะ” ร่างบางบอกก่อนจะเดินตามเพื่อนไป ลูกชายคนกลางของภักดีดำรง มองตามแผ่นหลังบางพลางขมวดคิ้ว
แน่น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าบนโลกใบนี้จะมีคนหน้าตาท่าทางเหมือนกับคนในฝันของเขามากขนาดนี้

“ต่อให้ต้องรอจนถึง ภพหน้าตัวน้องก็จักรอ   ดอกแก้วมิเคยร้างกลิ่นหอม ฉันใด กาลเวลาก็มิอาจพรากหัวใจรักไปได้ ฉันนั้น”  คำสัญญาที่ร่างบางบอกกับเขาในความฝันนั้นยิ่งทำให้คิ้วเข้มขมวดแน่น หรือว่า เรื่องราวในฝันนั้นจะเป็นเรื่องจริง แม่แก้ว ยังคงรอเขาอยู่อย่างนั้นเหรอ




“เฮ้อ” ร่างสูงถอนหายใจอย่างแรงพลางสูดกลิ่นหอมของดอกแก้วเข้าเต็มปลอด กลิ่นหอมที่ไม่ว่าจะได้กลิ่นเมื่อไหร่ก็ทำให้จิตใจ หวนนึกถึงความฝันเมื่อนั้น  เพราะความสับสนทำให้ ร่างสูงต้องปลีกตัวออกจากงานเพื่อมาเดินเล่นรับลมในสวน หวังแค่ว่าที่นี่คง
พอทำให้จิตใจของเขาสงบได้บ้าง

“ดูท่าทาง คุณจะกลุ้มน่าดูนะครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนที่ร่างแกร่งหนาของใครบางคนจะเดินเข้ามา พระนายคิดว่าคนมาใหม่ช่างดู
คุ้นเหลือเกินแต่ก็นึกไม่ออกสักทีว่าเคยเห็นหน้าอีกฝ่ายที่ไหน

“เอ่อ คุณ”

“ขอโทษที่เสียมารยาทครับ ผม กานต์ ครับ กานต์ พิทักษ์โยธร” ร่างหนาแนะนำตัว เจ้าของบ้านพยักหน้ารับรู้ที่เขารู้สึกคุ้นอาจจะเพราะ คนตรงหน้ามีหน้าตาที่คล้ายกับน้องสาวมาก แต่ความสูงที่น่าจะเท่าๆกับเขา กับกล้ามเนื้อที่ดูเหมือนคนออกกำลังกายเสมอนั้น ทำให้ใบหน้าที่เกือบจะหวานนั้นดูสมชายมากขึ้น

“ครับ ผม พระนาย ภักดีดำรง ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”  ร่างสูงยื่นมือเป็นเชิงทักทายก่อนที่มือหนาของอีกฝ่ายจะยื่นมาสัมผัส

“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”


                                       กรุ่นกลิ่นแก้วกำจายในยามค่ำ   ยิ่งครวญคร่ำถึงนางที่ห่างหาย
                               แสนคิดถึงตัวเจ้ามิเว้นวาย              พี่นั้นหมายได้พิศชิดนวลนาง
                                 
                                      ยิ่งไกลนางห่างเจ้ายิ่งเฝ้าฝัน       ถึงยามวันใกล้ชิดพิสมัย
                              อยากจะกอดตัวเจ้าไม่ห่างกาย         ได้แต่เพียงกอดกายต่างแก้วตา

เสียงกลอนที่แว่วมาตามลมดึงความสนใจของทั้งสองได้อย่างไม่ยากเย็นนัก โดยเฉพาะกับเจ้าของบ้าน ที่รู้สึกคุ้นเคยกับกลอนบทนี้อย่างประหลาด แต่กลับหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน

“เพราะจัง ไม่คิดว่าสมัยนี้จะมีคนอ่านกลอนได้เพราะแบบนี้อยู่อีก” อาจารย์หนุ่มพึมพำเสียงเบาแต่คนที่ยืนอยู่ถัดไปไม่ไกลกลับได้ยินอย่างชัดเจน

“นั่นเสียงของยัยกิ่ง ครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น

“คุณกิ่ง น้องสาวคุณกานต์นะเหรอครับ” เจ้าของบ้านเลิกคิ้วถาม

“ครับ ยายกิ่ง ชอบแต่งโคลงกลอนมาตั้งแต่เด็กแล้ว จนตอนนี้กลายเป็นอาจารย์สอนภาษาไทยไปเรียบร้อย”

“เพราะจริงๆครับ ไม่น่าเชื่อว่าคนรุ่นใหม่อย่างคุณกิ่งจะชอบอะไรที่เป็นไทยแบบนี้”

“เห็นทีผมคงต้องเอาไปบอกยัยกิ่งแล้วสิครับว่ามีคนชม”

“อ่า ครับ” อาจารย์หนุ่มเริ่มประหม่าเมื่อแววตาคมของคนตรงหน้ามองด้วยสายตาที่เขาอ่านไม่ออก มันคล้ายจะล้อเลียนแต่กลับเหมือนมีบางอย่างที่ไม่ใช่ เหมือนว่าคนตรงหน้าพยายามใช้สายตาล้อเลียนเพื่อกลบเกลื่อนบางอย่าง

“ผมได้ยินคุณกิ่งบอกว่า คุณกานต์ เป็นสถาปนิกเหรอครับ”

“ใช่ครับ ตอนนี้เปิดบริษัทเล็กๆกับเพื่อนอยู่น่ะครับ”

และแล้วบทสนทนาของทั้งคู่ก็ต้องหยุดลงเมื่อสาวใช้เดินมาตามเจ้าของบ้านให้กลับไปนั่งที่โต๊ะตามคำสั่งของคุณอนงค์นาถ

“ผมขอตัวก่อนนะครับ หวังว่าจะได้พบกันอีก”

“ครับ”  คนเป็นแขกตอบรับพลางมองแผ่นหลังที่เดินห่างออกไป

ผมก็หวังจะเจอคุณอีกครั้ง เหมือนกัน คุณพระนาย




ผ่านวันรวมญาติมาได้เกือบอาทิตย์แล้วแต่อาจารย์หนุ่มก็ยังไม่คิดไม่ตกเรื่องของร่างบางที่เขาพบในงาน เขาไม่รู้จะปรึกษาใครเพราะดูเหมือนว่าคนรอบตัวเขาจะไม่มีใครที่เชื่อเรื่องพวกนี้เลย

คุณพระนาย เหมือนท่านมาก ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือน  คำของผู้ที่อาวุโสที่สุดในภักดีดำรงลอยเข้ามาในหัว บางทีคุณทวดอาจจะเป็นคนที่ไขข้อข้องใจของเขาได้มากที่สุดก็ได้  หลังจากถึงเวลาเลิกงาน ร่างสูงก็ตรงกลับบ้านใหญ่ทันที  ตั้งใจว่าจะบอกทุกเรื่องกับคุณทวด เพราะคงมีแค่คุณทวดคนเดียวเท่านั้นที่ยอมรับฟังเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่มีทางเป็นไปได้พวกนี้


“อ้าว คุณพระนายทำไมวันนี้กลับบ้านได้คะ” คุณอนงค์นาถที่กำลังจะออกไปงานสังสรรค์เอ่ยถามกับลูกชายคนกลาง

“ผมคิดถึงคุณทวดน่ะครับ ก็เลยจะมากราบท่าน”

“แหม คิดถึงแต่คุณทวดนะคะ ไม่คิดถึงคุณแม่เลยเหรอ”

“คิดถึงสิครับ ใครจะไม่คิดถึงคุณอนงค์นาถคนสวยล่ะครับ” ลูกชายอ้อนพลางกดจมูกลงบนแก้มของผู้เป็นแม่

“ปากหวานจริง คุณพระนายเนี่ย หัดปากหวานกับสาวๆเหมือนเจ้าพี บ้างสิ แม่อยากจะมีหลานย่าแล้วนะ”

“โถ่ แม่ครับเรื่องแบบนี้มันเป็นความสามารถเฉพาะบุคคลนะครับ”

“ค่ะๆ แต่อย่าให้คุณแม่รอนานนะคะ เดี๋ยวหลานย่าจะโตไม่ทันตาอ้น” คุณอนงค์นาถบอกเสียงเข้ม

“ครับๆ ลูกชายคนนี้จะพยายามให้เร็วที่สุดนะครับ”

“คุณแม่ไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่ทันงาน ไปนะคะ” เธอบอกก่อนจะก้าวขึ้นรถคันหรูไป



ร่างสูงสาวเท้าอย่างเร่งรีบเพื่อไปที่เรือนเล็ก เพราะกลัวว่าผู้อาวุโสของบ้านจะพักผ่อนไปแล้ว พลางเหลือบมองนาฬิกาที่เข็มสั้นอยู่ใกล้เลขเจ็ดเต็มที แม้ว่าจะเป็นเวลาหัวค่ำสำหรับคนทั่วไปแต่สำหรับคนสูงอายุและยังติดวิถีชีวิตแบบเดิมของคุณทวดมักเข้านอนตอนหนึ่งทุ่มเสมอ

“อ้าว คุณพระนาย มาซะมืดเชียวนะคะ” เสียงของ “คุณย่าใหญ่” ทักขึ้น เมื่อเห็นว่าคนที่มายามวิกาลคือหลานชายคนโปรด

“พอดีผมมีเรื่องจะรบกวนคุณทวดน่ะครับ ไม่ทราบว่าท่านหลับหรือยัง”

“ยังหรอกจ๊ะ เพิ่งจะทานข้าวเย็นไป ตอนนี้คงนั่งรับลมเล่นที่ชานบ้าน”

“ขอบคุณครับ”  เสียงนุ่มบอกขอบคุณผู้สูงวัยกว่าก่อนจะสาวเท้าไปที่ชานบ้านตามคำบอก


“คุณทวดครับ”

“คุณพระนาย มาเสียค่ำเชียว” หญิงชราเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ให้เหลนคนโปรด

“ผมมีเรื่องจะรบกวนคุณทวดได้ไหมครับ”

“เรื่องอะไรหรือจ๊ะ”

“คุณทวดเชื่อเรื่อง การกลับชาติมาเกิดหรือเปล่าครับ”

“ทำไมคุณพระนายถึงถามทวดแบบนั้น”

“คุณทวดครับ บางทีบอกไปคุณทวดอาจจะไม่เชื่อ แต่ว่าทุกเรื่องที่ผมจะเล่าเป็นเรื่องจริงนะครับ  ตั้งแต่ผมอายุครบ 15 ผมมักจะฝันถึงคนสองคนเสมอ คนหนึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนผมซะจนผมอดคิดไม่ได้ เขาคนนั้นอาจจะเป็นตัวผมในชาติที่แล้ว และในฝันของผมเขาคนนั้นจะอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมักจะเรียกเขาว่า คุณพระนาย และเขา ก็เรียกเธอว่า แม่แก้ว ”

“คุณทวดครับ มันจะเป็นไปได้ไหม ที่สิ่งที่ผมฝันจะเป็นเรื่องจริง ผมคือ คุณพระนายคนนั้น จริงๆ” ร่างสูงหยุดเล่าพลางมองคุณทวดที่ตอนนี้ มีหยดน้ำใสคลอที่ดวงตา มือเหี่ยวย่นค่อยยกขึ้นลูบหน้าของเหลนคนโปรดอย่างแผ่วเบา

“กลับมาแล้ว คุณพระนาย กลับมาแล้วจริงๆ สินะเจ้าคะ ท่านกลับมาแล้วจริงๆ” หญิงชราบอกทั้งน้ำตา

“คุณทวด”

“คุณพระนาย ไม่ได้เพียงแค่เหมือน แต่คุณพระนายคือ ท่าน คือ จมื่นภักดีดำรง จริงๆ สินะจ๊ะ ทวดดีใจเหลือเกิน”

“คุณทวดจะบอกว่า ผมคือ จมื่นภักดีดำรง กลับชาติมาเกิดหรือครับ” ร่างสูงถาม เขาแทบไม่อยากจะเชื่อที่ตัวเองพูดสักนิดแต่แวว
ตาของคุณทวด ไม่ได้มีร่องรอยของการโกหกเลยแม้แต่น้อย

“ใช่จ๊ะ แม่ชะเอม ไปเอารูปของท่านในห้องแม่มาสิ” คุณทวดอิ่มบอกลูกสาวก่อนจะหันกลับมาสนใจเหลนอีกครั้ง

“คุณทวดพอจะเล่าเรื่องของ จมื่นภักดีดำรง ให้ผมฟังได้ไหมครับ”

“แม้ว่าทวดจะเกิดไม่ทันสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ แต่ก็ได้ฟังเรื่องเล่ามากมาย ที่มักจะเล่าว่า จมื่นภักดีดำรงนั้น นอกจากจะหล่อเหลาคมคายแล้ว ฝีมือดาบยังเยี่ยมที่สุดในหมู่มหาดเล็ก อาศัยเพียงเพลงดาบก็ได้รับแต่งตั้งเป็น จมื่น เมื่ออายุเพียง 23 ปี แม้ว่าท่านจะไม่ใช่ลูกขุนนางผู้ใหญ่เพราะสายตระกูลของท่านจริงๆแล้วเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา การที่ชาวบ้านจะกลายเป็นจมื่นได้เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ท่านก็ทำสำเร็จ หลังจากที่รั้งตำแหน่ง จมื่น ได้สองปี ท่านก็พบรักกับ แม่แก้ว ลูกสาวของพระยา พิทักษ์โยธร แต่ก็อย่างที่รู้ ท่านสิ้นบุญหลังจากนั้นเพียงสามปี”

“คุณทวดบอกว่า แม่แก้ว มาจาก พิทักษ์โยธร เหรอครับ”  ร่างสูงเอ่ยถาม มันบังเอิญเกินไปที่ คุณกิ่งเอง ก็เป็น พิทักษ์โยธร

“ใช่จ๊ะ แม่แก้ว เป็นคนของ พิทักษ์โยธร แต่ดูเหมือนว่าสายตระกูลที่อยู่ในปัจจุบันจะเป็นสายที่มาจากพี่ชายของแม่แก้วเพราะแม่
แก้วเองก็สิ้นหลังจากที่ท่านสิ้นไม่ถึงขวบปีด้วยซ้ำ”

“แต่แม่แก้ว เรียกคนในฝันของผมว่าคุณพระนาย นะครับ ทำไมเธอถึงเรียกเขาแบบนั้น”

“คุณพระนาย เป็น คำที่คนโบราณใช้เรียก คนที่มียศ เป็น จมื่นจ๊ะ มันเป็นชื่อที่เรียกตามยศในสมัยนั้นเขาถือว่าเป็นการให้เกียรติ”

“คุณแม่คะ ได้แล้วค่ะ” เสียงของคุณย่าชะเอมเอ่ยขึ้นก่อนจะยื่นกระดาษที่ดูเก่าจนแทบจะขาดนั้นให้กับผู้เป็นแม่

“นี่อะไรเหรอครับคุณทวด”

“รูปเหมือนของ คุณพระนายท่านจ๊ะ ทวดเองก็คิดว่ามันหายไปเมื่อครั้งไฟไหม้ใหญ่ตอนนั้น แต่พอให้แม่ชะเอมหาดูแล้วก็เจออยู่
รูปหนึ่งพอดี ”

“บ้านเราเคยมีไฟไหม้ด้วยเหรอครับ” คนเป็นเหลนเลิกคิ้วถาม

“มันเป็นไฟไหม้ใหญ่ เมื่อตอนที่เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา บ้านแถบนี้ถูกภัยจากระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้ เสียหายเกือบครึ่ง รวมถึงบ้านหลังเดิมของคุณพระนายท่านด้วย รูปเหมือนของท่านรวมถึงแม่แก้วและคนอื่นๆก็ถูกไฟไหม้ไปเกือบหมดตั้งแต่ครั้งนั้น พวกรูปที่คุณพระนายเห็นในบ้านส่วนใหญ่จะเป็นภาพที่วาดขึ้นใหม่แทบทั้งนั้น แต่รูปของท่านวาดไม่ได้เพราะไม่มีแบบ คุณพระนายคงจะไม่เคยเห็นรูปท่านสินะจ๊ะ” ผู้มากอาวุโสบอกก่อนจะคลี่กระดาษแผ่นนั้นให้ร่างสูงดู

“เป็นไปไม่ได้”  อาจารย์หนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองเลยว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าคือ บรรพบุรุษของเขา ในเมื่อ คนใน
ภาพนั้นเหมือนเขาทุกระเบียดนิ้ว และยังเป็นคนๆเดียวกับที่อยู่ในความฝันของเขาด้วย

“คุณทวด” ร่างสูงแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ พลางมองคุณทวดอย่างขอความช่วยเหลือ

“ไม่ต้องตกใจหรอกจ๊ะ คุณพระนาย มนุษย์เรามีกรรมเป็นที่ตั้ง จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อชดใช้กรรม มันไม่แปลกหากว่าจะมี
ชาตินี้ ชาติหน้า แต่ในลักษณะของคุณพระนายอาจจะเป็นเพราะแรงอธิฐาน ที่ต้องการจะได้อยู่กับคนที่รัก ทำให้คุณพระนายยังคงกลับมาเพื่อรอคอยวันที่จะได้พบกับคนรักอีกครั้ง”

“ผมขอเก็บรูปนี้ไว้ได้ไหมครับ คุณทวด”

“ได้สิจ๊ะ รูปนี้มันเป็นของคุณพระนายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทวดเพียงแค่รักษาไว้จนกว่าจะถึงเวลาเท่านั้น”

“เฮ้อ นี่มันเรืองอะไรกัน” ร่างสูงที่ไม่สามารถข่มตาหลับได้พึมพำเสียงเบาพลางมองม้วนกระดาษที่ได้มากจากคุณทวดอย่างคิดไม่
ตก คนเราจะสามารถมีความรักที่ก้าวผ่านกาลเวลาได้จริงๆเหรอ ความรักของ คุณพระนาย และ แม่แก้ว ที่มีให้กันยังคงมีอยู่ในตัวของเขาอย่างนั้นเหรอ ร่างสูงคิดยังไงก็คิดไม่ตก แม้จะถามกับคุณทวดแล้วแต่คำตอบที่ได้มากลับทำให้เขายิ่งต้องคิดหนัก
เรื่องของหัวใจ คุณพระนายก็ต้องใช้หัวใจตัดสินสิจ๊ะ ไม่ต้องไปยึดติดกับเหตุผลให้มากนัก แต่คุณพระนายต้องทำตามที่หัวใจนำทาง


ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13

ร่างสูงยังคงมาทำงานในเวลาปกติเช่นทุกวันแต่วันนี้ดูเหมือนว่าที่มหาลัยกำลังจะมีงานอะไรบางอย่างเพราะเขาเห็นว่ามีการประดับตกแต่งเวทีกลางแจ้งของมหาวิทยาลัยด้วย

“อาจารย์ วันนี้ไปงานสาขาภาษาไทยไหมคะ” อาจารย์สาวิตรีเอ่ยถาม

“งานจัดวันนี้เหรอครับ” ร่างสูงเลิกคิ้วถาม

“วันนี้สิคะ แบบนี้แปลว่าอาจารย์ยังไม่ได้อ่านบัตรเชิญสินะคะ”

“จริงด้วยสิ ผมลืมไปสนิทเลย แล้วนี่งานเขาเริ่มกันกี่โมงครับ”

“เห็นว่า ช่วงเช้าจะเป็นงานสัมมนา งานการประชุมทางวิชาการ แล้วก็จัดนิทรรศการน่ะค่ะ ส่วนตอนเย็นจะมีการแสดงละครเวที ครั้งนี้เขาว่าน่าจะอลังการกล่าวทุกครั้งนะคะ” อาจารย์สาวบอก

“ครับ ขอบคุณมากนะครับ” ร่างสูงบอกขอบคุณ ก่อนจะเดินไปเตรียมเอกสารการสอนในห้องทำงาน เกือบสองอาทิตย์ที่เขาไม่ได้เจอเจ้าของร่างบอบบางที่ทำให้ เขาสับสน ไม่รู้ว่าครั้งนี้หากเจอกันอีกเขาจะต้องทำหน้ายังไง เมื่อรู้ชัดแล้วว่าเรื่องที่ฝันทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง แม้จะยังไม่ยอมรับเต็มร้อยแต่ความเป็นไปได้ก็มีเกินครึ่งแล้ว

ตกเย็นร่างสูงไปร่วมงานของสาขาวิชาภาษาไทยที่ตนได้รับเชิญแต่เพราะกว่าเขาจะสะสางงานเสร็จก็ล่วงเลยมาจนถึงช่วงการแสดงละครและดูเหมือนว่าการแสดงจะเริ่มได้นานพอสมควรแล้ว

                                “ ดอกแก้วนี้พี่มอบด้วยใจภักดิ์        ดั่งคำรักฝากไว้ให้ถนอม
                             ใครมาสู่ ตัวเจ้าอย่ายินยอม             จงถนอมตัวใจให้พี่ยา
                                 พี่จากไกลเมื่อใดไม่อาจรู้            ตายหรืออยู่ล้วนสวรรค์ท่านสรรหา
                            แต่ความรักที่พี่มอบแก่แก้วตา          จักคงอยู่ค้ำฟ้าชั่วนิรันดร์”


“ไม่จริง ทำไมถึง..”  อาจารย์หนุ่มแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน กลอนบทนั้นกลอนที่เขาได้ยินในฝันมาตลอดกลอนที่คุณพระนายพูดกับแม่แก้ว มันจะเป็นไปได้ยังไงเมื่อเขาไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับกลอนบทนี้เลย ทำไมนักแสดงคนนั้นถึงได้พูดมันได้


“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณ” เสียงทุ้มเอ่ยถามก่อนที่มือหนาจะแตะเบาๆที่ไหล่เพื่อเรียกสติ

“เปล่าครับ” คนที่กำลังตกตะลึงตอบก่อนจะหันกลับไปหาคนที่อยู่ข้างหลัง

“คุณ กานต์”

“สวัสดีครับ คุณพระนาย เจอกันอีกแล้วนะครับ” ร่างหนาตอบพลางอมยิ้มน้อยๆ แต่กลับมีผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจคนมองอย่างมาก   ใจเต้นแรง อาจารย์หนุ่มอดที่จะแปลกใจไม่ได้ ว่าทำไมหัวใจของเขาถึงเต้นแรงขนาดนี้ เพียงแค่อีกฝ่ายยิ้มให้

“ครับ คุณกานต์ มางานนี้ด้วยเหมือนกันเหรอครับ”

“ต้องมาสิครับ งานนี้ยัยกิ่ง ลงทุนเขียนบทแล้วก็กำกับเองเลยนะครับ ดูทุ่มเทมาก แถมยังคุยโม้ไว้อีกว่าบทเรื่องนี้ได้มาจากความฝัน”

“ฝันเหรอครับ”  ร่างที่บางกว่าเลิกคิ้วถาม

“ใช่ครับ ฝัน ตลกไหมล่ะครับ ใครมันจะไปฝันได้เป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น เหลวไหลทั้งเพ”  ร่างหนาบอกติดตลกแต่คนฟังกลับ
ไม่ได้รู้สึกตลกด้วยสักนิด  เพราะ คนประเภท เหลวไหลทั้งเพนั้นคงมีเขารวมอยู่ด้วย

“ไปเถอะครับ ถ้ายังไม่มีที่นั่งไปนั่งกับผมก็ได้ขืนอยู่ขวางทางออกกันอยู่แบบนี้จะโดนว่าเอานะครับ”  กานต์บอก ก่อนจะพาอีกคนกลับไปนั่งที่นั่งพิเศษ ที่น้องสาวสุดที่รักจองไว้ให้ครอบครัวแต่ทั้งบ้านกลับมีแค่ร่างหนาที่ว่างทำให้เหลือที่นั่งอีกสองที่

“ขอบคุณนะครับ”

อาจารย์หนุ่มแทบจะไม่สามารถละสายตาจากเวทีได้เลย เพราะ ทุกฉากทุกตอน ทุกคำพูดที่นักแสดงกำลังแสดงนั้นมันคือสิ่งที่เขาฝันถึงมาตลอด มันคือสิ่งที่ คุณพระนายและแม่แก้ว ทำร่วมกันมาตลอด หรือว่า ลูกสาวของพิทักษ์โยธร คือ แม่แก้ว ของเขาจริงๆ
ละครเรื่อง “กลิ่นแก้ว” จบลงพร้อมกับเสียงปรบมือกึกก้อง เมื่อตอนจบนั้นหักมุมจบด้วยการพรากจากกันตลอดการของ คุณพระนายและแม่แก้วตัวละครหลัก ร่างสูงสังเกตว่ามีผู้ชมบางคนถึงกับน้ำตาซึมในฉากที่แม่แก้วกำลังจะสิ้นใจ

“คุณพระนายเจ้าขาน้องขอสัญญา ไม่ว่าจักภพกี่ชาติ ดอกแก้วดอกนี้ ก็จักเป็นของคุณพระนายผู้เดียวเท่านั้น ต่อให้ตั้งรอคอยเนิ่นนานชั่วอสงไขย น้องก็จักรอ รอวันที่เราสองจักได้ครองคู่กัน ตลอดไป”

 คำพูดของแม่แก้ว ที่เขาหรือคุณพระนายก็ยังไม่เคยได้ยิน คำสัญญาสุดท้ายของหญิงอันเป็นที่รักของ จมื่นภักดีดำรง คำสัญญาที่ทำให้ตัวเขาเองรู้สึกสะเทือนใจจนแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่

“แม่แก้ว คุณรักคุณพระนายมากขนาดนั้นเลยเหรอ”




“คุณพระนาย มาดูด้วยเหมือนกันเหรอคะ” เสียงหวานั้นปลุกให้ร่างสูงตื่นจากภวังค์

 “แม่แก้ว”

“เมื่อครู่คุณพระนายเรียกกิ่งว่าอะไรนะคะ”  กิ่งแก้วเลิกคิ้วถาม

“แม่แก้ว ของพี่” ร่างสูงบอกก่อนจะรั้งร่างบอบบางตรงหน้าเข้ามากอดแน่น  ไม่อยากจะรออีกแล้ว ไม่อยากจะพิสูจน์ความจริง
อะไรอีกแล้ว เขาอยากจะตอบแทนความรักที่แม่แก้วมีให้ อยากจะดูแล โอบกอด แม่แก้ว ของเขาไว้ตลอดไป

“คุณพระนาย นี่อะไรกันคะ”

“คุณกิ่งครับ ผมรู้ว่าคุณเข้าใจ ละครเรื่องนั้นมันบอกทุกอย่างในตัวมันอยู่แล้ว อย่ารออีกเลยนะครับ ผมไม่อยากให้คุณต้องรอผม
อีกแล้ว ผมขอโทษ ขอโทษแทนตัวผมในอดีตที่ไม่สามารถดูแลคุณได้เลย ตั้งแต่วินาทีนี้ไป ขอให้ผมได้ดูแลคุณบ้างได้ไหมครับ”

“ค่ะ กิ่งตกลง”

“ผมจะรักคุณ คนเดียวตลอดไป” เสียงนุ่มบอกกับร่างในอ้อมกอดแผ่วเบา พลางกระชับอ้อมกอดนั้นแน่นขึ้น





“ครับคุณแม่ ผมกำลังจะไปรับคุณกิ่งไปทานข้าวครับ” ร่างสูงบอกกับปลายสายพลางเดินไปตามทางเดินของตึกภาควิชาภาษาไทย

“แค่นี้ก่อนนะครับแม่ ผมถึงที่ทำงานคุณกิ่งแล้ว รักแม่นะครับ”  เขาบอกกับปลายสายก่อนจะกดวางเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องพักอาจารย์ สาขาภาษาไทย 

ตอนนี้ก็เกือบจะสองเดือนแล้ว ที่เขากับร่างบางเป็นคนรักกัน แต่มันเหมือนมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง บางสิ่งที่ยังคงค้างอยู่ในใจที่เขาไม่รู้ที่มา นับตั้งแต่วันที่เขาพบกับ แม่แก้ว  ความฝันประหลาดของเขาก็หายไป แต่มันไม่ใช่การที่ไม่ฝันอีก แต่กลับกลายเป็น ว่าความฝันของเขาเปลี่ยนไป เขามักจะฝันเห็นแม่แก้ว ที่กำลังนั่งรอใครบางคนอยู่ในสวน พร้อมกับดอกแก้วในมือ บางครั้ง ก็ได้ยินคล้ายเสียงร้องไห้เบาๆ อยู่ในความฝันด้วย เขาอยากจะเข้าไปปลอบ อยากจะไปเช็ดน้ำตา แต่กลับทำไม่ได้ ทั้งๆที่ ตอนนี้เขาน่าจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดแต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย

“อ้าวคุณพระนาย มานานแล้วเหรอคะ” เสียงหวานเอ่ยถาม

“ไม่นานหรอกครับ เพิ่งมาถึง”

“รอกิ่งหน่อยนะคะ พอดีว่ามีรายงานต้องตรวจอีกนิดหน่อย”

“ตามสบายครับ” ร่างสูงตอบ ก่อนจะได้รับรอยยิ้มกลับมาเช่นเคย นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่แปลก ทั้งๆที่เขาคิดว่า คุณพระนาย ชอบรอยยิ้มของแม่แก้วมาก แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้สึกใจเต้นหรือรู้สึกพิเศษกับรอยยิ้มที่คนรักส่งมาให้เลย ต่างจาก เขา คนนั้น ที่เพิ่งแค่คลี่ยิ้มบางๆก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงจนห้ามไม่อยู่

“คิดอะไรไม่เข้าท่าอีกแล้ว” ร่างสูงไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว คนที่เขารักคือแม่แก้ว และแม่แก้วก็คือ คนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ จะเป็นคนอื่นไปได้ยังไง

ร่างสูงสมส่วนกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามทางเดินแคบในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังก่อนจะหยุดที่หน้าห้อง ICU เมื่อครู่คุณอนงค์นาถโทรไปบอกเขาว่าจู่ๆคุณทวดก็หมดสติไป เขาก็แทบจะทิ้งงานทั้งหมดไว้ทันทีที่ได้ยิน แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้แม้ว่าปีนี้คุณทวดอิ่มจะอายุได้ 110 ปีแล้วแต่ท่านก็ยังดูท่าทางแข็งแรงไม่ได้เจ็บออดๆแอดๆเหมือนคนสูงอายุทั่วไป ไม่ได้มีท่าทีหรือท่าทางที่จะล้มป่วยได้เลยด้วยซ้ำ

“คุณพระนาย” คุณอนงค์นาถเรียกร่างสูงทั้งน้ำตา แม้จะเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้วแต่การที่คุณทวดล้มป่วยกะทันหันก็ทำให้รู้สึกใจเสียไม่น้อย

“คุณแม่ คุณทวดต้องไม่เป็นอะไรครับ”

“แม่กับคุณย่าใหญ่แทบจะทำอะไรไม่ถูกที่เปิดประตูเข้าไปแล้วเจอท่านนอนไม่ได้สติ จะทำยังไงกันดีคะคุณพระนาย ”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นครับ คุณทวดท่านยังแข็งแรงยังอยู่ได้อีกนาน” ร่างสูงเอ่ยปลอบ



“คุณอนงค์นาถครับ” เสียงของคุณหมอวิทย์ หมอประจำตัวของคุณทวดอิ่มเอ่ยเรียกก่อนจะเดินเข้ามาหาญาติของผู้ป่วย

“คุณทวดเป็นยังไงบ้างครับ”

“ตอนนี้ท่านฟื้นแล้วครับ แต่ว่า..”

“แต่อะไรคะหมอ”

“คงต้องเตรียมใจกันไว้นะครับ คุณทวดท่านอายุมากแล้ว แม้ว่าภายนอกจะดูแข็งแรงแต่ผมคงต้องแจ้งตามตรง ท่านเองก็อายุมากแล้วสุขภาพร่างกายก็เริ่มร่วงโรยไปตามวัย ท่านอาจจะอยู่กับเราได้ไม่นานนัก ” หมอวัยกลางคนบอกเสียงเบา

“ขอผม เยี่ยมท่านได้ไหมครับ” ร่างสูงถามเสียงเบา มันยากเหลือเกินที่ต้องทำใจ ยากเหลือเกินที่ต้องทนเห็นคนที่รักกำลังจะจากไป

“ได้ครับ เชิญทางนี้”


ร่างสูงที่เข้ามาในห้องปลอดเชื้อ เหม่อมองหญิงชราที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงพลางไล่น้ำตาที่กำลังจะไหลออกมานั้นให้หยุดลง เขาไม่อยากให้คุณทวด ต้องเห็นน้ำตา หากว่าวันนี้ท่านต้องจากไป เขาก็หวังจะให้ท่านได้เห็นรอยยิ้มสุดท้ายชองเขา

“คุณทวดครับ”

“คุณพระนายเหรอจ๊ะ” เสียงแหบพร่าที่ดูอ่อนล้ากว่าครั้งไหน เอ่ยขึ้น ร่างสูงแทบจะไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้

“ไม่เอา ไม่ร้องจ๊ะ ทวดไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย คนเราเกิดจากดินก็แค่กลับไปสู่ดิน ทวดเองก็สมหวังในสิ่งที่คิดแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ต้องฝืนอยู่ในสังขารที่ร่วงโรยนี้แล้ว”

“แต่ผมยังอยากจะกอดคุณทวดอยู่นะครับ ยังอยากฟังเพลงที่คุณทวดร้องกล่อม ยังอยากกินขนมกลีบลำดวนของคุณทวด”

“อย่ายึดติดกับสังขารเลยจ๊ะ คุณหลวงรอทวดนานแล้ว ถึงเวลาที่ทวดต้องไปพบท่านเสียที”

“คุณทวด” ร่างสูงที่เอ่ยเสียงสั่นก่อนจะคุกเข่าลงพร้อมกับกราบลาคุณทวดเป็นครั้งสุดท้าย

“คุณพระนาย จำคำทวดไว้นะจ๊ะ รูปกายภายนอกนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาแต่จิตใจที่อยู่ภายในต่อให้ผ่านกาลเวลาไปนานแค่ไหนก็จะยังคงอยู่ เรื่องบางเรื่องอย่ามองด้วยตาแต่จงสัมผัสมันด้วยใจ”


จบตอนที่ 2

.....................TBC.....................

รูปปากอบ





ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ลุ้นอ้ะๆๆๆๆ
แต่เรื่องแรกดราม่าเกิ๊นนนน ฮือออออ

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
คุณพระนายเข้าใจผิดแน่ ๆ เลย

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
 :sad4: นึกว่าจะจบแบบ normal ซะแล้ว

ออฟไลน์ sittikorn

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
รอติดตามตอนต่อไปนะคับ  :o8:

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
มันต้องมีอะไรที่ทำให้สับสนแน่ เราว่าพระนายจำสลับคนแน่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด