(รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5  (อ่าน 36868 ครั้ง)

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13

แนะนำว่าเตรียมไม้ไว้สอยอารมณ์ด้วยนะคะ  :katai5:


ตอน 8 โชคชะตา (ตอนจบ)

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนมีระยะเวลา ของมัน ไม่เว้นแม้กระทั่ง ความสุข…

“มึงเป็นอะไรวะ ไอ้ดล ช่วงนี้กูเห็นมึงเครียดแปลกๆ” วิชาญถามเพื่อนรัก วันนี้วันหยุดก็เลยหอบขนมมาฝากหลานสาวสุดที่รักเสีย
หน่อย ก็ไม่นึกว่าพอมาถึงจะมาเจอเพื่อนรักนั่งหน้าเครียดอยู่แบบนี้

“กูกลัว”

“กลัว อะไร ของมึงอีกวะ ทุกวันนี้กูก็เห็นมึง มีความสุขดี คุณพุ ออกจะรักมึงขนาดนั้น เมียก็สวย ลูกก็น่ารัก มึงจะเอาอะไรอีกครับ”

“เพราะกูมีความสุขไง กูถึงกลัว ถ้าวันนึงมันหายไป มึงคิดไหมว่ากูจะเป็นยังไง”

“ไอ้ดล มึงนี่คิดมากเนาะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด จะคิดมากทำไม เวลานี้มึงควรใส่ใจคนที่มึงรักมากกว่านะเว้ย”

“ขอบใจว่ะ มึงนี่ก็เป็นเพื่อนที่ใช้ได้เหมือนกันนะเว้ย”

“ห่า กูเป็นคนดีมานานแล้วเถอะครับ แต่มึงไม่เห็นเอง”

“อ้าว คุณวิชาญ มานานแล้วเหรอครับ” เสียงใสเอ่ยถามแขกก่อนจะวางจานขนมลงบนโต๊ะ

“ก็เพิ่งมาถึงครับ แล้วคุณพุสบายดีนะครับ”

“สบายดีครับ พุเพิ่งให้ป้านวลสอนทำลูกชุบ คุณวิชาญ ลองทายดูไหมครับ” ร่างบางบอก

“ทำไม ให้แต่ให้หมอชิมล่ะครับ แล้วพี่ล่ะ” ร่างสูงบอกเสียงเบา พลางกอดอกฉับ จนเพื่อนรักได้แต่เบ้หน้า ด้วยความหมั้นไส้

“เยอะไปแล้วไอ้ดล เยอะไปแล้ว”

“พี่ดล ทำอะไรครับ อายคุณวิชาญบ้างเถอะ”

“ไม่รู้ พี่งอนมาก ง้อด้วย”

ชลัมพุยิ้มแห้ง ก่อนจะยื่นขนมมาตรงหน้าคนขี้งอน

“พุทำเองเลยนะ พี่ดลจะไม่กินจริงๆเหรอครับ”

“ป้อนด้วยนะ ถ้าไม่ป้อนพี่ไม่กิน”

“อ้าปากครับ” คนตัวโตอ้าปากอย่างว่าง่าย ก่อนจะงับขนมนั้นอย่างอ้อยอิ่ง  คุณหมอหนุ่มได้แต่มองตาค้าง คบกันมา 20 ปีเพิ่งจะเห็นคุณธราดล งอน ก็วันนี้ล่ะ สาบานว่าเพื่อนเขาไม่เคยมีท่าทีอย่างนี้สักครั้งแม้แต่กับ  คุณน้ำ

“อร่อยจัง เมียพี่ทำอะไรก็อร่อย”

“พี่ดล อายคุณวิชาญเขาครับ”

“โอ้ย จะอายทำไม คนกันเอง ใช่ไหมไอ้หมอ” ว่าบางยักคิ้วให้เพื่อนรักอย่างเป็นต่อ

“ครับ คนอย่างไอ้ดล หน้ามันหนายิ่งกว่าปูนซีเมนต์ มันไม่อายหรอกครับ คุณพุเถอะ ถ้ามันทำอะไรให้อายต่อหน้าคนอื่น บอกผมได้นะครับ เดี๋ยวผมจัดการให้”

“เมียกูครับ เพื่อน อย่าออกหน้าออกตา” ร่างสูงแหวลั่น ก่อนจะกอดคนตัวบางไว้แน่น

“ครับๆ แล้วแต่ท่านเลยครับเพื่อน”  คุณหมอบอกอย่างเอือมระอา

“พุ ขอตัวไปดูน้องอันดาก่อนนะครับ ไม่รู้ว่าเรียนไปถึงไหนแล้ว” เสียงใสบอกก่อนจะแกะมือปลาหมึกของคนตัวโตอย่างยากเย็น





“คุณแม่มาแล้ว คุณแม่ขาน้องอันดาได้ห้าดาวด้วยค่ะ” เด็กหญิงยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าร่างบางเดินเข้ามาในห้อง ก่อนจะชูกระดาษงานตัวเองขึ้นโบกไปมา

ร่างบางยิ้มรับก่อนจะเดินเข้าไปหาแต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับรู้สึกว่าทุกอย่างดูวูบไหวไปหมด  ร่างกายโงนเงน ราวกับทรงตัวไม่ได้ ก่อนจะทรุดลงกับพื้นทันที

ไม่นะ แย่แล้ว มันต้องไม่เร็วแบบนี้สิ  ร่างบางคิดแม้จะพยายามขยับตัวแต่ร่างกายกลับไม่เป็นไปอย่างที่ใจคิดเลย เขาขยับตัวไม่ได้!!

“คุณแม่ คุณแม่ขา คุณแม่เป็นอะไรคะ” ร่างเล็กร้องลั่นเมื่อเห็นว่าคุณแม่ล้มพับไปต่อหน้า แม้แต่คุณครูคนสวยก็ได้แต่ตะลึงค้าง
เพราะทำอะไรไม่ถูก

“คุณหนูขา มีอะไรกันค่ะ ว๊าย คุณพุ คุณพุขา เป็นอะไรไปคะ” น้อยที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของคุณหนูวิ่งออกมาดู แต่กลับเห็นว่าราง
บางนอนสลบอยู่ข้างๆมีร่างเล็กที่ร้องไห้จ้า

“คุณผู้ชาย ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย” พี่เลี้ยวสาวตะโกนลั่น ก่อนที่ร่างสูงจะรีบวิ่งหน้าตื่นเข้ามา

“มีอะไรเหรอน้อย   พุ!! พุเป็นอะไรพุ ตอบพี่หน่อยสิพุ” ร่างสูงทั้งตะโกนลั่น แต่ร่างบางที่นอนอยู่กลับไม่ตอบโต้อะไรเลย

“เป็นไงบ้างวะ ไอ้หมอ”  ธราดลเอ่ยถามเพื่อนรักเมื่อเห็นว่า คนรักเอาแต่นอนนิ่ง ทั้งๆที่มันก็ผ่านมาราวๆครึ่งชั่วโมงแล้ว

“แปลก โคตรจะแปลกเลยว่ะ”

“อะไรแปลกวะ”

“ก็คุณพุ นี่ไง สรุปง่ายๆนะ คุณพุไม่ได้ป่วย กูตรวจแล้วไม่มีอะไรผิดปกติสักอย่าง ”

“แล้วทำไม พุถึงเป็นแบบนี้”

“กูก็บอกไม่ได้ว่ะ กูพูดตรงๆนะไอ้ดล มึงก็รู้ว่าคุณพุ เป็นอะไร มันอาจจะเป็นผลข้างเคียงจากการขึ้นมาอยู่บนบกก็ได้ล่ะมั้ง มึงคิด
ตามกูนะ เงือกอยู่ในทะเล กูคิดว่า คุณพุเขาก็คงเหมือนปลาทั่วไป คือ อยู่บนบกนานไม่ได้ เพราะร่างกายของเขาไม่ได้ปรับสภาพมาเพื่อให้อยู่บนบก มึงเข้าใจที่กูพูดไหม” คุณหมอหนุ่มพยายามอธิบาย เพราะเขาเองก็จนปัญญาที่จะวินิจฉัยจริงๆว่าร่างบางป่วยเพราะสาเหตุอะไร แต่ถ้าจะให้เดาเรื่องที่พูดไปน่าจะมีมูลที่สุดแล้ว

“แล้วมึงจะให้กูทำยังไง” ถามเสียงแผ่ว ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าคำตอบมันคืออะไร

“กูรู้ว่ามึงรู้”

“ทำไมวะ ทำไมโชคชะตาต้องเล่นตลกกับกูครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมต้องพรากคนที่กูรักไปทุกครั้ง”

คุณหมอหนุ่มได้แต่มองเพื่อนที่จับมือคนรักแน่น ก่อนจะตบไหล่เบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ เขารู้ดีว่าตอนนี้เพื่อนรักกำลังเสียใจมาก และครั้งดีดูเหมือนว่ามันจะทำใจยากกว่าเดิม

“กูไปดูอันดาให้นะ มึงอยู่กับคุณพุเถอะ”




คล้อยหลังเพื่อนรักร่างสูงจับมือนุ่มมาแนบแก้ม ทำไมโชคชะตาต้องทำร้ายเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาทำผิดอะไร

“พุ อย่าทิ้งพี่ไป ได้โปรด อย่าทิ้งพี่ไว้คนเดียว”  ธราดลเคยสาบานกับตัวเองว่าจะไม่มีวันร้องไห้อีกเด็ดขาดตั้งแต่วันที่ภรรยาคนแรกจากไป แต่ตอนนี้เขากลับไม่สามารถห้ามน้ำตาตัวเองได้อีกแล้ว

“พี่รักพุนะ อย่าทำแบบนี้ เลย”

“พี่ดล” เสียงแหบพร่าดังขึ้นเรียกให้ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะรวบร่างบางเข้าไว้ในอ้อมกอด

“พุ พุฟื้นแล้ว ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว”

“พี่ดล ขอโทษ พุขอโทษ”

“ขอโทษทำไมครับ พุไม่ได้ทำอะไรผิด พุแค่ไม่สบายนิดหน่อย อีกไม่กี่วันก็หายแล้ว”

“พี่ดล พุรักพี่ดลนะ รักพี่ดลคนเดียว ฮึก ฮื่อๆ”  เสียงแหบพร่านั้นบอกทั้งน้ำตา เขาไม่ได้ป่วย เขารู้ตัวเอง แต่เขากำลังจะตาย
เงือกออย่างเขาทนสภาพขาดน้ำได้นานที่สุดแค่สามเดือนเท่านั้น

“ขอโทษที่พุ เห็นแก่ตัว ถ้าเราไม่พบกัน ถ้าพุไม่ตัดสินใจมาอยู่ที่นี้ พี่ดลก็จะไม่ต้องเจ็บปวดพุขอโทษ”

“ไม่ครับ พี่ไม่เจ็บปวด การได้พบพุ คือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตพี่ พุคือของขวัญที่มีค่าสำหรับพี่เสมอ นอนพักนะคนดี อีกไม่กี่วันก็
หายแล้ว พี่จะพาพุเข้าไปซื้อของในเมือง เสร็จแล้วเราไปเล่นน้ำตกที่ท้ายเกาะกัน นั่งชิมขนมฝีมือพุด้วย ดีไหมครับ” เสียงทุ้มบอกอย่างอ่อนโยน

“ดีครับ พุอยากเล่นน้ำตก อ่ะ  โอ้ย!!”

ร่างบางร้องลั่น ก่อนจะงอตัวเหมือนกับกำลังทรมาน ผิวหนังที่เคยนุ่มลื่น แห้งกรังราวกับขาดน้ำ ก่อนที่ขาเรียวจะค่อยๆเปลี่ยนสภาพกลายเป็นหาง!!

“พุ พุเป็นอะไรพุ” ธราดลกอดอีกคนไว้แน่น หัวใจของร่างสูงเจ็บปวดเจียนตายเมื่อเห็นคนที่รักกำลังทรมาน ร่างที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่ทำให้หัวใจเขาเหมือนถูกกรีด นี่เขากำลังเห็นแก่ตัวอยู่ใช่ไหม เขากำลังเห็นแก่ตัวอยู่ใช่หรือเปล่า

“อ๊ากกกกก!!”

ร่างบางได้แต่กรีดร้องอย่างทรมาน อากาศที่มีดูเหมือนจะเริ่มหมดลงเรื่อยๆ ผิวหนังเริ่มแห้งมากขึ้น เกร็ดสีเงินค่อยๆหลุดร่อยทุกครั้งที่ขยับตัว

ไม่นะ เขายังไม่อยากตาย เขาอยากอยู่ที่นี่ อยากอยู่กับ คนที่เขารัก อยากอยู่กับลูก ได้โปรด อย่าเพิ่งพรากเขาไปเลย



“พุ ทำใจดีๆไว้นะ พี่จะต้องช่วยพุให้ได้พี่ไม่ปล่อยให้พุตายเด็ดขาด” ร่างสูงบอกก่อนจะอุ้มร่างบางขึ้นแนบอกแล้ววิ่งออกไปที่
ทะเลอย่างรีบร้อน ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคนในบ้าน

“อาโป!!  คุณได้ยินผมไหม ช่วยพุด้วย ได้โปรดขึ้นมาช่วยพุด้วย !!” ร่างสูงตะโกนลั่นพลางเรียกชื่อเจ้าของร่างที่เขาเห็นเมื่อไม่กี่วันก่อนเสียงดัง ใช่ ธราดล เห็น และได้ยินทุกอย่างที่เงือกทั้งสองคุยกัน แต่เขาก็ยังเห็นแก่ตัว เขาฉุดรั้งชลัมพุไว้ด้วยความเห็น
แก่ตัว แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว เขาไม่มีวันยอมให้ร่างบางต้องตาย ไม่มีวันเด็ดขาด

“คุณได้ยินผมไหม อาโป มาช่วยน้องคุณด้วย ช่วยพุด้วยเถอะ ผมขอร้อง” ร่างสูงบอกทั้งน้ำตาก่อนจะอุ้มอีกคนเดินลงไปในทะเล หวังว่าเสียงของเขาจะดังไปถึง พี่ชายของร่างบางได้





“ได้โปรด ช่วยด้วย ช่วยพุด้วย”

“พี่ดล อย่า อย่าเรียกอาโป พุไม่อยากกลับไป”  เสียงแหบพร่าร้องห้าม

“ไม่ได้ พี่ปล่อยให้พุตายไม่ได้”

“แต่ถ้าอาโปมา พุอาจจะต้องกลับไป”

“แต่พี่ปล่อยให้พุตายไม่ได้  อาโป คุณได้ยินไหม พุกำลังจะตาย ช่วยเขาด้วย!!”



“เจ้า เรียกข้าหรือ มนุษย์” ร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ร่างกายที่ดูแล้วสมชายกับเสียงทุ้มต่ำแต่แฝงไปด้วยความนุ่มนวล เอ่ยถามขึ้น

“คุณคือ อาโป ใช่ไหม ได้โปรดช่วยพุด้วย”

“เฮ้อ เจ้าเด็กดื้อ พี่เตือนเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ว่าเจ้าอยู่บนบกนานเกินไปแล้ว กลับไปกับพี่เถอะ”

“ไม่เราไม่กลับ พี่ดล อย่าทิ้งพุไป พุไม่ไปไหนทั้งนั้น พุจะอยู่กับพี่ดลกับน้องอันดา อย่าทำแบบนี้” ร่างบางบอกทั้งน้ำตาแต่ร่างกายกลับไม่มีแรงขัดขืนใดๆ เมื่อคนตัวสูงพาเขาลงไปในทะเลเรื่อยๆ ก่อนจะส่งให้พี่ชายที่รออยู่แล้วอย่างเบามือ

“พี่ดล ทำไมทำกับพุแบบนี้ พี่ดลไม่รักพุแล้วเหรอ”  ชลัมพุถามเสียงสั่น แววตาตัดพ้อทำให้ร่างสูงต้องหลับตาลง

“พี่รักพุเสมอ และจะรักตลอดไป แต่พี่ทำไม่ได้ พี่เห็นแก่ตัวไม่ได้อีกแล้ว”

“พุรักพี่”

นั่นเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ทั้งสองร่างจะจมหายไปในทะเล ธราดลยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะปิดเปือกตาลงช้าๆ ไม่อยากเห็น ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากจะยอมรับความจริงว่าทะเลกำลังพรากหัวใจของเขาไปเป็นครั้งที่สอง








5 ปีผ่านไป (ไวกว่า 4G)


“ไงครับเพื่อน” วิชาญเอ่ยทักร่างสูงที่กำลังอ่านรายงานการประชุมอยู่ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องทำงานอย่างถือวิสาสะ

“เข้ามาหัดเคาะประตูบ้างก็ดีนะ ไอ้หมอ”

“แหมๆ คนกันเองทั้งนั้น จะไปมีพิธีรีตองทำไมกันล่ะ นายหัว” บอกอย่างอารมณ์ก่อนจะนั่งลงบนโซฟารับแขก

“เกรงใจกูบ้างก็ได้นะครับ”

“น่าๆ คิดเล็กคิดน้อยทำไม วันนี้เลิกงานแล้วไปดื่มกันหน่อยไหมครับ”  อีกคนเอ่ยชวน ธราดลได้แต่ส่ายหน้าระอา สาบานเถอะว่า
เพื่อนเขาเป็นหมอ ทำไมมันทำตัวต่างจากอิมเมจหมอได้ขนาดนี้

“ไม่ล่ะ จะกลับบ้านไปอยู่กับน้องอันดา” ร่างบอก พลางคิดถึงลูกสาวตัวน้อยที่ตอนนี้อายุ 10 ขวบแล้วและเรียนที่โรงเรียนประจำในตัวจังหวัด จะกลับบ้านแค่เสาร์อาทิตย์เท่านั้น ตอนนี้เขาย้ายเข้ามาอยู่ในตัวเมืองได้หลายปีแล้ว เพราะที่เกาะมีความทรงจำเกี่ยวกับร่างบางมากมายเหลือเกิน หลายปีที่ผ่านมา เขากลับไปที่เกาะแทบจะนับครั้งได้

“ดล มึงเอาตัวเองออกมาจากความเศร้าบ้างเถอะ จะเป็นแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่” วิชาญถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาเข้าใจดีว่าที่ผ่านมาเพื่อนรักเจ็บปวดขนาดไหน แต่การหนีปัญหา มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลย แม้ว่าจะย้ายบ้านพยายามพาตัวเองออกมาจากความทรงจำเก่าๆ แต่วิชาญกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย เมื่อแววตาคมคู่นั้นยังคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ร่างสูงไม่ตอบเพียงแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่เห็นทะเลอยู่ไกลลิบ

พุจะคิดถึงพี่ เหมือนที่พี่คิดถึงพุ หรือเปล่า




ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูทำให้เพื่อนรักทั้งสองออกจากความคิดของตัวเอง

“นายหัวคะ คุณชล ที่จะมาสัมภาษณ์ งานมาถึงแล้วค่ะ จะให้เข้าพบเลยไหมคะ” เลขาสาวบอก

“ให้ไปรอที่ห้องประชุมเล็กนะเดี๋ยวผมตามไป”

“ได้ค่ะ”




“เฮ้ย ที่ประธานบริษัทต้องไปสัมภาษณ์ งานเองเหรอวะ” วิชาญถามอย่างแปลกใจ

“จริงๆก็ไม่ แต่เมื่อชั่วโมงที่แล้ว คุณยุทธ ท้องเสีย แล้วกูก็ว่าง เลยไปสัมภาษณ์เอกดีกว่า นักออกแบบถือเป็นหัวใจของงาน ถ้ากูได้พิจารณาเองน่าจะดีที่สุดไม่ใช่เหรอ”

“ครับๆ เชิญท่านประธานผู้มีวิสันทัศน์กว้างไกลเถอะครับ”

ร่างสูงส่ายหน้า ก่อนจะเดินออกจากห้องไปที่ห้องประชุมเล็กพรางรับแฟ้มจากเลขาหน้าห้อง แต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะเปิดดูนัก ในเมื่อเขาจะไปพบตัวจริงอยู่แล้ว 




“สวัสดีครับ” คนในห้องเอ่ยทักหลังจากที่ร่างสูงเปิดประตูเข้าไป

ตุ๊บ!!!


แฟ้มในมือหล่นแทบจะทันทีที่เห็นหน้าอีกฝ่าย ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยชื่อคนตรงหน้าออกมาคล้ายละเมอ

“พุ..”


“พุ ใช่ไหม พุกลับมาหาพี่แล้ว ใช่ไหม!!” ร่างสูงรวบคนตรงหน้ามากอดแน่น ก่อนที่คนโดนกอดจะยกมือขึ้นกอดตอบ

“คิดถึง” เสียงใสเอ่ยแผ่วเบา พลางซุกหน้าลงบนอกแกร่ง นานเหลือเกิน กว่าจะได้พบ

“บอกพี่ทีว่าพี่ไม่ได้ฝันไป พุกลับมาหาพี่แล้วใช่ไหม กลับมาอยู่กับพี่จริงๆใช่ไหม”

“ชลัมพุ ไม่ได้กลับมาหาพี่หรอกครับ”

ธราดลเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ชลัมพุ จะไม่กลับมาได้ยังไง เมื่อคนตรงหน้าเขาคือ ชลัมพุ

“เงือกที่ชื่อชลัมพุ ตายไปแล้ว แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า พี่ คนนี้ คือ ชล เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างพี่ตลอดไป”








แสงจันทร์สาดส่องกระทบท้องน้ำเป็นประกายระยับระยิบ เสียงเพลงทำนองหวานปนเศร้าเคล้าไปกับเสียงคลื่น ร่างๆหนึ่งนั่งอยู่บนโขดหินเตี้ยๆ หางสีเงินสะท้องแสงจันทร์เป็นประกายราวกับอัญมณี เด็กหญิงอายุราว 10 ขวบเดินเข้ามาหาร่างนั้น ก่อนจะตะโกนเรียก

“คุณลุงอาโป”

“เจ้ามาแล้วหรือ เด็กน้อย ไม่เจอกันตั้งนาน เจ้าสบายดีใช่ไหม” อาโปถามเสียงเบา

“สบายดีค่ะ น้องอันดาจะมาขอบคุณคุณลุงที่ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง”

“เราไม่ได้ช่วย ทุกอย่างเป็นเพราะโชคชะตา ชีวิตของชลัมพุถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าจะเป็นเช่นไร เราก็แค่ช่วยพูดให้ท่านพ่อเข้าใจความเป็นไปเท่านั้น”  ร่างแกร่งหนายังคงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางยกยิ้มให้เด็กหญิงตัวน้อยอย่างอ่อนโยน อาโป ยังจำได้ดี ในคืนหนึ่งเมื่อ 5 ปีก่อน ร่างเล็กๆน้องเด็กหญิงนั่งร้องไห้อยู่ริมทะเล ปากเล็กๆนั้นเรียกชื่อของน้องชายเขาไม่หยุด อาโปเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร น้ำตาของหนูน้อยจึงมีอิทธิพลกับเขาเหลือเกิน หรืออาจะเป็นเพราะ แววตาแสนบริสุทธิ์คู่นั้น ช่างเหมือนกับ “เธอ” คนนั้นเหลือเกิน คนที่เขาได้แต่แอบมอง มานาน แสนนาน คนที่เขาทำได้แค่มองและปล่อยให้เธอจากไปโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย

“แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณค่ะ ถ้าไม่มีคุณลุง คุณแม่ก็คงจะไม่มีวันได้กลับมา”   เด็กหญิงบอกด้วยรอยยิ้ม ทำให้หัวใจของเงือกหนุ่มกระตุกวาบ…


ศรแห่งกามเทพช่างร้ายกาจ บัดนี้กงล้อแห่งโชคชะตากำลังหมุนวนมาอีกครั้ง  ………




จบ.






 :katai2-1:  เย้ จบแล้วๆๆๆ 

ไม่พูดไรมาก ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

เรื่อง หน้า ยังคิดไม่ออก ฮ่าๆๆๆ แต่คงไม่แฟนตาซีล่ะ

 :katai5: เด๋วเบื่อ

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
ดีใจที่จบแฮปปี้ค่ะ   :katai2-1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-06-2014 22:08:32 โดย yuyie »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันสักที
ดีใจจัง

ส่วนลุงอาโปคะ
พรากผู้เยาว์เลยนะคะ 55555

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
 :laugh: ก๊ากกกกกก
โลลิค่อนชัดๆเลยนะคุณลุง

ออฟไลน์ MK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
ไม่มีตอนพิเศษ?    :hao7: 

จบแฮปปี้ดี  นึกว่าต้องแยกจากกันแล้ววววว

bbc52

  • บุคคลทั่วไป
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ  รออ่านเรื่องต่อไปนะค่ะ

 :mew3:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
อ่า~จบแล้วแฮปปี้เอนดิ้ง~

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ประเด็นคุณพ่อกับคุณแม่แฮปปี้แล้ว แต่เราจับได้ถึงบางอย่างที่คุณลุงมีต่อคุณหลานนะ 55555

ออฟไลน์ ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ในที่สุดก็จบแบบแฮปปี้  :katai2-1:

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13

คำเตือน หึหึหึหึ  o18



Kiss the Rain
 

ฝนตก..

จีนเหม่อมองสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ไม่ได้บอกกล่าว พลางห่อตัวด้วยความหนาว เมื่อละอองฝนเริ่มสาดเข้ามา ภายในทางเชื่อมระหว่างอาคารเรียน เขามองนาฬิกาอย่าง เหนื่อยหน่ายเมื่อ เจ้าเพื่อนตัวดีผิดนัดเขาอีกแล้ว  มองฝนอยู่นานพอสมควร ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในอาคารอีกครั้ง ในเมื่อฝนตกหนักขนาดนี้เขาคงไม่มีทางฝ่าฝนอออกไปรอรถเมล์ได้


 “อาจารย์ จิระ ยังไม่กลับอีกเหรอครับ”    เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนที่ เจ้าลูกศิษย์ตัวแสบของเขาจะเดินเข้ามา

“ยังหรอก คนิน ครูจะอยู่เคลียร์งานอีกสักพักน่ะ เธอล่ะทำไมยังไม่กลับอีก นี่เย็นมากแล้วนะ”

“ผมรอพี่เบียร์อยู่น่ะครับ รายนั้นมีเวรทำความสะอาด…. นั่นไง มาพอดีเลย ผมกลับบ้านก่อนนะครับอาจารย์ สวัสดีครับ” คนินบอกลาครูประจำชั้นก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างเล็กของรุ่นพี่คนสนิท




เสียงเปียโนที่ดังแว่วจากห้องดนตรีทำให้ร่างโปร่งหยุดฟังอย่างตั้งใจ เมื่อไม่คิดว่าเย็นขนาดนี้ จะยังมีเด็กซ้อมเปียโนอยู่ สัญชาตญาณความเป็นครูทำให้ร่างโปร่งก้าวเข้าไปในห้องดนตรีอย่างไม่ลังเล ทำนองที่แสนเศร้าดังขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะทางที่สั้นลง ทำนองเพลงหวานล้ำแต่แสนเศร้านั้นฉุดให้ร่างโปร่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์


เหมือนเคยได้ยินมาก่อน
              แต่กลับเลือนรางเหลือเกินในความทรงจำ




“ครูคิดว่าเธอควรกลับบ้านได้แล้วนะ” เอ่ยออกไปทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องชมรม เสียงเพลงหยุดลงกะทันหันก่อนที่ร่างสูงผมทองที่นั่งหันหลังให้เขาจะค่อยๆหันกลับมา

“ผมยังกลับไม่ได้หรอกครับ ต้องอยู่ซ้อมเปียโน” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ

“เธอเรียนห้องไหนเหรอ เหมือนครูจะเคยเห็นหน้าเธอมาก่อนนะ” ร่างโปร่งถามอย่างแปลกใจเมื่อเขารู้สึก คุ้นเคย กับคนตรงหน้ามาก

“ม ปลาย ปี 2 ห้อง A ครับ” อีกคนตอบ พลางยกยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่รู้สึกคุ้นเคยกับมันเหลือเกิน

 เขาเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ที่ไหนกันนะ 


“แล้วชื่ออะไรน่ะเรา” ถามแก้เก้อเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเผลอมอง เจ้าเด็กตัวสูงนานเกินไป


“วิน ครับ อนาวิน ” เจ้าตัวตอบก่อนจะหันกลับไปสนในโน้ตเพลงในมือตัวเองต่อ

“เพลงที่เธอเล่น มันชื่อเพลงว่าอะไร ครูว่าทำนองมันเพราะดี”

“Kiss the Rain ครับ”

“Kiss the Rain” ร่างโปร่งทวนเมื่อชื่อนั้นช่างคุ้นหู แต่ทำไมถึงนึกไม่ออกสักทีนะ



Rrrrrrrrrrrr แต่ก่อนจะได้พูดอะไร โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขัดจังหวะขึ้นซะก่อน

“ว่าไง โมท” ร่างโปรงกรอกเสียงในเครื่องมือสื่อสาร

(กูรอมึงอยู่หน้าโรงเรียนแล้วนะไอ้จีน ออกมาสิวะ เดี๋ยวรถกูเปียก) คนปลายสายบอกเสียงเข้ม ก่อนที่ร่างโปร่งจะแหวกลับ

“ไอ้นี่ มึงมาช้าเองนะ เออแค่นี้นะ เดี๋ยวกูออกไป”



“ครูต้องไปแล้ว อย่ากลับดึกล่ะ ” บอกลาลูกศิษย์ตัวสูงก่อนจะเดินออกจากห้องชมรมดนตรีไป เสียงเพลง Kiss the Rain ดังขึ้นอีกครั้งทำให้ร่างโปร่งอดที่จะยิ้มไม่ได้ เขาเองก็ไม่ใช่คนที่ถนัดฟังเพลงบรรเลงมากนัก  แต่กลับเพลงนี้   มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย



จีนยังคงเดินไปหยุดที่หน้าชมรมดนตรีเหมือนกับทุกวัน ทำนองหวานปนเศร้ายังคงดังแผ่วเบา

“เราคงจะชอบเพลงนี้มากสินะ”  เอ่ยถามกับร่างสูงที่ยังคงนั่งอยู่หน้าเปียโนหลังเดิม วินยกยิ้มก่อนจะตอบ

“ครับ ชอบมาก เพราะเพลงนี้ ผมแต่งให้กับ คนที่ผมรัก”



ในห้วงหนึ่ง เขา กลับรู้สึก อิจฉา  เจ้าเพลงนี้ขึ้นมา


บ้าน่า ไอ้จีน แกเป็น ครูของเจ้าเด็กพวกนี้นะ



ร่างโปร่งส่ายหน้ากับความคิดแปลกๆของตัวเอง ก่อนจะนั่งฟังลูกศิษย์เล่นเปียโนอย่างเดิมทุกวัน น่าแปลก ที่จู่ๆคนอย่างเขาเกิด ชอบเพลง นี้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แต่เขาก็ไม่เคยหาคำตอบให้กับตัวเองได้สักครั้งว่าทำไม..



“อาจารย์ ชอบฝนไหมครับ” จู่เด็กตัวสูงที่เอาแต่เล่นเปียโนกลับเอ่ยถามขึ้น

“ฝนเหรอ  ชอบสิ ตอนเด็กๆ ครูชอบเล่นน้ำฝน เพราะมันทำให้สดชื่นอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ แม่ครูยังชอบล้อครูอยู่บ่อยๆเลยว่า
ชาติที่แล้วครูคงเกิดเป็นกบเพราะร่าเริงทุกครั้งที่ฝนตก”  ร่างโปร่งตอบด้วยรอยยิ้ม นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่แปลกเมื่อคนที่ค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูงอย่างเขา คุยกับ คนที่เพิ่งพบหน้ากันไม่กี่ครั้ง ได้อย่างเป็นกันเองขนาดนี้

“ผมเองก็ชอบฝนเหมือนกันครับ ชอบ เพราะคนที่ผมรักเขาชอบมัน”

“ละ….”




Rrrrrrrrrrrrrrr เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ ร่างโปร่งส่ายหน้าอย่างขัดใจเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์เจ้าเพื่อนสนิทตัวดี

“เออๆ เดี๋ยวไป”



“ครูต้องกลับแล้วนะ  เราก็อย่าอยู่ดึกให้มันมากนักล่ะ มันอันตราย”  บอกลาคนในห้องก่อนจะเดินออกไป ก่อนที่เจ้าเพื่อนตัวแสบจะโวยวายไปมากกว่านี้





“ไอ้โมท วันนี้กูไปนอนบ้านมึงนะ” เอ่ยบอกกับคนที่ขับรถอยู่

“ทำไมวะ”

“เปล่า กูขี้เกียจกลับบ้าน วันนี้ไม่มีใครอยู่ด้วย”

“เหงาล่ะสิมึง” เพื่อนสนิทเอ่ยล้อ

“มึงก็รู้ว่ากู อยู่คนเดียวได้ที่ไหน เฮ้อ เมื่อไหร่กูจะหายสักทีวะ” เอ่ยอย่างตัดพ้อก่อนจะเสมองออกนอกหน้าต่าง เมื่อไหร่ไอ้โรคบ้าๆนี่มันจะหายสักที เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรเพราะหลังจากที่ไม่สบายตอนม. ปลาย ก็ดูเหมือนว่าเขาจะกลายเป็นคนที่กลัวการอยู่คนเดียว


โมทเหลือบมองเพื่อนสนิทพลางถอนใจอย่างยากเย็น เขากับจีนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมต้น ทำไมจะไม่รู้ว่าเพื่อนสนิท “กลัวการอยู่คนเดียว” มากแค่ไหน แต่เขาเองก็จนปัญญาที่จะทำอะไรเพราะแม้แต่หมอยังรักษาไม่หาย แล้วพนักงานออฟฟิศธรรมดาๆอย่างเขาจะรักษาหายได้ยังไง คงต้องรอ รอวันที่คนข้างๆจะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้สักที




“กูจะอาบน้ำอย่าซนนะมึง” โมทบอกกับคนอาศัยชั่วคราว

“กูไม่ใช่เด็กสามขวบ จะไปไหนก็ไป” เมื่อไม่ได้อยู่ต่อหน้าลูกศิษย์ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาภาพพจน์ อีกต่อไป  เจ้าของบ้านยิ้มขำก่อนจะปล่อยให้เพื่อนนั่งรอในห้อง


ร่างโปร่งกวาดสายตามองรอบห้องที่ถูกแปะโปสเตอร์นักฟุตบอลเต็มไปหมดอย่างเอือมระอาก่อนที่ตามจะสะดุดกับหนังสือเล่มหนาบนชั้น หนังสือที่เจ้าตัวคิดว่าไม่เคยเห็นสักครั้งทั้งๆที่มาห้องเพื่อนออกจะบ่อย จีนเดินไปหยิบหนังสือเจ้าปัญหานั้นมาดู ก่อนจะพบว่า มันคือหนังสือรุ่น สมัยมอต้นนั่นเอง หน้ากระดาษที่ค่อนข้างเก่าถูกเปิดทีละหน้าอย่างเบามือ ความทรงจำต่างๆไหลเข้ามาในหัวอย่างต่อเนื่องทั้งสุขทุกข์ หัวเราะ ร้องไห้ หนังสือเล่มนี้ทำให้เขา ยกยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่

“นี่มัน..” ร่างโปร่งเพ่งรูปที่อยู่ในหน้าสุดท้ายด้วยความสงสัย ภาพเด็กผู้ชายสามคนที่ยืนกอดคอกันนั้นคงไม่แปลกอะไรถ้าคนที่ยืนอยู่ซ้ายสุดไม่ใช่ วิน !!!  มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อวินคือลูกศิษย์ของเขาแต่ทำไม เขาถึงมีรูปถ่ายกับวิน ทำไมกัน..



“โอ้ย!!”  ร่างโปร่งร้องลั่นก่อนจะกุมหัวที่ปวดหนึบจนแทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ ภาพความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อทำให้ ระบบประมวลผลในสมองทำงานหนัก เขาไม่รู้ ไม่เข้าใจว่า ภาพสีดำที่สลับกับใบหน้าของวิน นั้นหมายถึงอะไร ทำไมเขาถึงต้องเจ็บ ทำไมรู้สึกเศร้า ทำไม..






ฝนตก..

ร่างโปร่งยิ้ม เขาชอบฝน แม้ว่าใครหลายคนจะไม่ชอบมัน แม่เขามันจะบอกเสมอว่า เขาเป็นกบที่ออกเริงร่าเวลาฝนตก ฟังแล้วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ยังไงซะ จิระคนนี้ก็ชอบฝนที่สุด  งั้นขอเล่นหน่อยแล้วกันนะ

“จะทำอะไรเหรอ”  เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนที่มือหนาจะคว้าแขนของร่างโปร่งไว้แน่น เมื่อคนสูงกว่ามองออกว่า เขาต้องออกไปเล่นน้ำฝนแน่นอน

“วิน เองเหรอ ” ยิ้มอย่างออดอ้อนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรู้ทันเขาไปซะหมด

“เฮ้อ จะออกไปเล่นน้ำฝนอีกล่ะสิ บอกแล้วว่ามันจะไม่สบายทำไมไม่เชื่อกันบ้างห่ะ เจ้าเด็กดื้อ” คนสูงกว่าบอกพลางบีบจมูกอีกคนอย่างหมั่นเขี้ยว

“อย่ามาบีบสิ ไม่เล่นก็ได้” ร่างโปร่งหน้างอ แต่คนตัวสูงกลับเอาแต่ยกยิ้ม ชอบใจ

“หยุดยิ้มไปเลย”  ร่างโปร่งแหวลั่น แต่อีกคนทำเพียงส่ายหน้าน้อยๆ แล้วจูงมือบางให้เดินไปพร้อมกัน



ชมรมดนตรี

“จีน นั่งตรงนี้นะ ฉันมีอะไรจะให้ฟัง” ร่างสูงจัดแจงให้ ร่างโปร่งนั่งที่เก้าอี้ก่อนที่ตัวเองจะประจำที่แกรนหน้าเปียโนตัวใหญ่

“ฉันเพิ่งแต่งเพลงใหม่ นายช่วยฟังหน่อยได้ไหม”

“อืมได้ๆ”  จีนพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ก่อนที่ทำนองหวานปนเศร้าจะดังขึ้น เขามองแผ่นหลังกว้างก่อนจะยกยิ้ม วินดูดีเสมอ
เมื่อกำลังเล่นเปียโน แต่จริงๆไม่ว่าร่างสูงจะทำอะไร สำหรับเขาแล้วมันก็ดูดีไปซะหมดนั่นแหล่ะ เพราะว่า คนๆนี้ เป็น แฟน ของเขานินา



“เพราะจัง เพลงนี้ชื่ออะไรเหรอ” จีนเอ่ยถามหลังจากที่เพลงจบลง

“Kiss the Rain”เสียงทุ้มตอบกลับมาก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะเดินเข้ามาหา

“เพลงนี้ฉันแต่งให้นายนะ เพราะนายคือฝนที่ทำให้หัวใจของฉันชุ่มช่ำ เป็นน้ำที่หล่อเลี้ยงให้หัวใจของฉันยังคงอยู่ต่อไปได้ ฉันรักนายนะจีน”

จีนไม่ตอบแต่เขารับรู้แค่เพียงริมฝีปากของร่างสูงค่อยกดจูบอย่างแผ่วเบามันไม่ได้ล่วงล้ำหรือเกินเลยไปมากกว่านั้น แต่มันกลับทำให้หัวใจขอบคนถูกจูบเต้นแรงจนแทบจะหายใจไม่ทัน



เฮือก!!!

ร่างโปร่งสะดุ้งจากเตียงพลางหอบหายใจถี่ โมทที่เฝ้าอยู่ไม่ไกลเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง เมื่อครู่ที่เขาออกมาจากห้องน้ำเห็นเพื่อนรักนอนสลบอยู่เขาตกใจแทบตายนึกว่าไอ้เพื่อนบ้านี่มันช็อคไปแล้วซะอีก

“โมทกูเห็นวิน!!”

“มึง พูดอะไรนะ” โมทเบิกตาโพลงเมื่อ ชื่อของบุคคลที่สามหลุดออกมา

“โมท วินอยู่ไหน กะ กู กูต้องไปหาเขา วินกำลังรอกูอยู่ ใช่ๆ กูต้องไปๆ” ร่างโปร่งบอกอย่างกระวนกระวาย ร้อนถึงโมทที่ต้องกอดเพื่อนไว้แน่น

“จีนมึง ฟังกูนะ ฟังกู วินไม่ได้อยู่ที่นี่ มึงไปหามันไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้  มึงปล่อยกูสิ  วินกำลังรอกูอยู่นะ เขารอกูอยู่” ร่างโปร่งบอกเสียงสั่น

“จีน มึงฟังกูนะ วินตายไปแล้ว ไม่มีใครรอมึงทั้งนั้น!!”

“ไม่จริง มึงโกหก วินยังไม่ตาย เขาจะตายได้ยังไง ไหนเมื่อ วันนี้เขายังมาเล่นเปียโนให้กูฟังอยู่เลย !!” ร่างโปร่งแหวลั่น พลางสะบัดตัวจากการเกาะกุมของเพื่อนสนิท

“ไอ้มาร์ค มาช่วยจับพี่จีนหน่อยเร็ว กูจะเอาไม่อยู่แล้วนะ” โมทตะโกนเรียกน้องชายให้มาจับเพื่อนรักไว้อีกแรงก่อน

“จีน มึงใจเย็นแล้วฟังกูนะ วินตายไปแล้ว มันไม่มีวินอีกแล้ว มึงต้องยอมรับความจริง เข้าใจไหม” โมทบอกอย่างใจเย็น พลางลูบหลังคนที่อาละวาดให้สงบลง ก่อนที่มาร์คจะเอายา ระงับประสาท มาให้อย่างรู้งาน

“กินยาแล้วนอนนะ เชื่อกูแล้วทุกอย่างจะดีเอง” บอกคนที่นั่งเหม่ออย่างแผ่วเบา จีนรับยามากินอย่างว่าง่ายก่อนจะหลับไปในที่สุด



โมทมองเพื่อนสนิทอย่างเหนื่อยใจ เขาสงสาร สงสารเพื่อน มากเหลือเกินที่ต้องทนแบกรับความเจ็บปวดไว้มากมาย ขนาดนี้ ….
จีนเริ่มมีอาการ ซึมเศร้า ตั้งแต่วันที่ วินประสบอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน  ดูเหมือนว่าเพื่อนของเขาจะพูดน้อยลง จนถึงขั้นฆ่าตัวตายแต่โชคดีที่เขาช่วยไว้ได้ทัน แต่หลังจากที่ฟื้น ก็ทำราวกับว่าไม่เคยรู้จักวินมาก่อน หมอสันนิษฐานว่ามันอาจจะเป็นกลไกของสมองที่สั่งให้ลืมเพื่อลบความเจ็บปวด  แต่สมองกับหัวใจ มักทำงานสวนทางกันเสมอ สมองลืมได้แต่หัวใจกลับไม่ลืม



ไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่เขาต้องทนนั่งมองเพื่อนรักพูดคนเดียวในห้อง ชมรมดนตรี …
                                   

เขาเพียงแค่หวัง หวังว่าสักวัน จีน จะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้สักที ….




....................................END.....................................

 :katai5:  ได้ดราม่า สบายใจ อิอิ  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
จุกอีกแล้ว

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :mew4:ซดมาม่าพุงอืดอีกแล้ว

ออฟไลน์ ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ฮือออ คนเขียนแกล้งอ่ะ มาดราม่าใส่แล้วก็จากไป  :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
แล้ววินนี่เป็นวิญญาณป่าวเนี่ย  :mew5:

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13




Dandelion's Promise


สายลมเอื่อยๆพัดเอากลีบดอก แดนดิไลออน ที่อยู่ในมือหนาปลิวไปตามลม  กลีบดอกไม้ในมือค่อยๆหลุดลอยไปกลีบแล้วกลีบเล่าคล้ายกับธรรมชาติต้องการจะบอกว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน  บางครั้งเราอาจจะต้องปล่อยให้สิ่งมีค่าที่สุดไป แม้ว่าเราจะไม่เต็มใจก็ตาม

“อ้าว จุนไค มาอีกแล้วเหรอ ลุงนึกว่าวันนี้จะไม่มาซะแล้ว” เสียงหนึ่งเอ่ยทักก่อนที่ชายชราจะยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง

“พอดีวันนี้ งานผมยุ่งนิดหน่อยครับเลยมาช้า ลุงจาง จะรดน้ำต้นไม้เหรอครับให้ผมช่วยไหม”  หวังจุนไค เอ่ยถามกับลุงจางภารโรงของโรงเรียนที่เขาคุ้ยเคยดี

“เป็นคนหนุ่มที่นิสัยจริงๆเลยนะ ไม่ต้องๆลุงรดจะเสร็จแล้วล่ะ เห็นอย่างนี้ลุงยังแข็งแรงนา ฮ่าๆๆ” ชายชราบอกอย่างอารมณ์ดีก่อนจะลงมือรดน้ำต้นไม้อย่างแข่งขัน  จุนไค ยกยิ้มให้ภารโรงดีเด่นของโรงเรียน ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกด้าน สนามหลังโรงเรียนยังเป็นสถานที่ที่เขามักจะมาเสมอ เพราะที่นี่เต็มไปด้วยความทรงจำของเขากับใครอีกคน…

10 ปีก่อน

กริ๊งๆๆๆ

เสียงกริ่งหน้าบ้านทำให้ร่างสูงรีบวิ่งลงมาจากห้องอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยนัก เพราะเมื่อคืนเผลอเล่นเกมส์จนดึกทำให้วันนี้ตื่นสายกว่าปกติ แม้จะอยากทิ้งตัวซุกที่นอนนุ่มๆแค่ไหนเขาก็จนปัญญาจะทำเพราะถ้าไม่ออกจากบ้านภายในสามวินาทีต่อจากนี้ หายนะตามมาแน่

“ไอ้พี่จุนไค!! เมื่อไหร่จะมาห่ะ มันสายแล้วนะเว้ย!!” เสียงของบุคคลอันตรายและร้ายกาจที่สุดเท่าที่หวังจุนไคเคยเจอมาดังขึ้นที่หน้าบ้าน ร่างสูงสวมรองเท้าอย่างลวกๆ ก่อนจะคว้าจักรยานคันเก่งออกมาจากบ้านทันที

“กว่าจะมาได้ รู้ไหมว่ามันกี่โมงแล้วน่ะ….เอ๊ะ” ร่างบางที่กำลังบ่นชะงัก เพราะถูกคนมาสายกดจมูกเข้าที่แก้มใสอย่างไม่ทันตั้งตัว

“อรุณสวัสดิ์ครับแฟน” เสียงทุ้มของคนที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นเต็มตัวบอกก่อนจะยกยิ้มล้อเลียนอีกคนที่กำลังทำอะไรไม่ถูกเพราะความเขิน ปากบางที่เหมือนจะด่าแต่ด่าไม่ออกนั้นยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูน่ารักขึ้นเป็นกอง แต่ว่านะสำหรับ หวังจุนไคแล้ว      หวังหยวน จะทำอะไรก็น่ารักไปหมดนั่นแหล่ะ นี่เขาไม่ใช่คนหลงแฟนอะไรเลยนะ สาบานได้

“ไอ้พี่จุนไค ใครเป็นแฟน มั่วมาก”

“อ้าวเหรอ ดีจัง ถ้าคนแถวนี้เขาไม่ยอมเป็นแฟนพี่ งั้นแปลว่าพี่มีสิทธิ์ไปจีบใครก็ได้อ่ะดิ”  จุนไคบอกพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์

“ถ้าอยากตาย ก็ลองสิ!!” คนอายุน้อยกว่าแหวลั่น พลางชี้หน้าคาดโทษ

“อ้าว ก็หยวนบอกเองว่าไม่ใช่แฟนพี่ ก็แปลว่าพี่โสดสิ”

“พี่จุนไค!!”

“โอ๋ๆ พี่ล้อเล่นหรอกน่า แฟนน่ารักขนาดนี้จะไปจีบคนอื่นทำไม หายงอนแล้วขึ้นมาเร็วมันจะสายแล้วนะ” คนเป็นพี่บอกพลางตบที่เบาะหลังของรถจักรยานคันโปรด

“อย่าให้รู้นะ” ร่างงบางยังคาดโทษไม่เลิก

“ไม่ไปหาที่อื่นหรอกครับ รักอยู่คนเดียวเนี่ย กอดเอวด้วยนะ จะซิ่งแล้ว”

จุนไคอมยิ้ม เมื่อแขนเล็กโอบรอบเอวเขาไว้แน่น ความสัมพันธ์ของเขาเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่แทบจะจำไม่ได้ เพราะทันทีที่ลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้ เขาก็มีหยวนอยู่ข้างๆตลอด อยู่ด้วยกันทุกวันตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ ทุกช่วงชีวิตของเขาไม่จะสุข ทุกข์ ดีใจ หรือเสียใจ จะมีร่างบางอยู่ข้างๆเสมอ จากความเคยชิน กลายเป็นความผูกพัน และ เปลี่ยนเป็น  ความรัก จุนไค รู้ดีมันอาจจะเร็วไปที่เขากับร่างบางจะใช้คำว่า แฟน เพราะคนรอบข้างมองว่าพวกเขายังเด็ก ร่างสูงไม่ปฏิเสธว่ามันคือเรื่องจริง แต่ในชีวิตของเขาตลอด 14 ปีที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่เขาแน่ใจมาตลอดคือ หัวใจของเขามันบอกเสมอว่ารัก คนนี้ๆมากแค่ไหน มันไม่ใช่แค่ความใกล้ชิด ไม่ใช่แค่ความผูกพัน เขารู้หัวใจตัวเองดี ว่ามันคืออะไร..

“พี่จุนไค ดอกแดนดิไลออน สวยจังเลย” ร่างบางชี้ให้ดูกลีบดอกไม้สีขาวที่ปลิวมาตามลม เจ้าดอกไม้พวกนี้ออกดอกตลอดปี ทำให้ที่โรงเรียนมีดอกแดนดิไลออนขึ้นเต็มไปหมดโดยเฉพาะที่สนามของโรงเรียน เจ้าดอกไม้ที่บานและร่วงโรยแค่ข้ามคืนแต่มีความหมายถึง มิตรภาพอันเป็นนิรันดร์  สำหรับเขามันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรนักแต่ดูเหมือนว่า เจ้าดอกไม้เล็กๆพวกนี้จะเป็นดอกไม้ที่เจ้าตัวเล็กข้างหลังนี่ชอบเป็นพิเศษ


“ถึงแล้ว ลงได้แล้ว” ร่างสูงบอกก่อนจะจอดจักรยานเข้าที่

“อ่ะ หยวนรู้หรอกว่าพี่ไม่ได้กินข้าวเช้าใช่ไหม” เจ้าตัวเล็กบอกก่อนจะยื่นกล่องแซนวิชที่ทำเองกับมือให้ร่างสูง

“ทำเองเหรอ”

“แหงสิ ของกล้วยๆ” ร่างบางบอก

“เฮ้อ ต่อไปถ้าแต่งงานกันพี่ต้องอ้วนแน่ๆเลย เพราะภรรยาตัวน้อยทำกับข้าวเก่ง” เสียงทุ้มเอ่ยล้อ ก่อนจะได้หมัดของร่างบางที่
ทุบเข้าที่อกไม่ยั้ง

“พูดบ้าอะไรน่ะ ไปเรียนได้แล้ว ตอนเที่ยงเจอกันที่สนามเหมือนเดิมนะ”

“อูย เขินรุนแรงนะเรา ไม่เจอกันต้งหลายชั่วโมง อย่าลืมคิดถึงพี่นะ” ร่างสูงว่าก่อนจะวิ่งไปอีกทาง

“ไอ้พี่จุนไค บ้า พูดอะไรไม่รู้เรื่อง” ปากเล็กบ่นอีกคนไปตลอดทางแต่ก็แค่เพื่อกลบเกลื่อนความเขนเท่านั้นแหล่ะ
พักเที่ยง

ขายาวพาเจ้าของเดินมาที่สนามก้อนจะทรุดนั่งลงข้างๆร่างบางที่รออยู่ก่อนแล้ว มือหนาวางทาบลงบนกลุ่มผมนุ่มก่อนจะโน้มลงไปถามคนตรงหน้า

“รอนานไหม ขอโทษนะพอดีว่าอาจารย์ปล่อยช้า หิวไหม”

“ไม่หรอกน่า เห็นแบบนี้หยวนก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะ อ่ะอันนี้ของพี่จุนไค” ร่างบางบอกก่อนจะหยับข้าวกล่องจากในกระเป๋า
ให้อีกคนถือไว้

“น่ากินจัง” เสียงทุ้มบอกพลางมองร่างบางไม่วางตา

“น่ากินก็กินสิ มองหยวนแล้วอิ่มหรือไง”

“ที่บอกว่า น่ากินน่ะ คนำต่างหาก ไม่ใช่ข้าว หึๆๆ” คนเจ้าเล่ห์บอกพลางกดจมูกลงลนแก้มใสอย่างรวดเร็ว

“ไอ้พี่จุนไค นี่มันที่โรงเรียนะ”

“แปลว่าถ้าที่บ้าน ทำได้มากกว่านี้นะสิ”

“โว้ย ที่ไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหล่ะ กินไปเลย ไม่ต้องมองแล้ว” ร่างบางแหวลั่น ก่อนจะหันหน้าไปอีกทางเพื่อซ่อนความเขิน

ไอ้พี่จุนไค นี่ยังไง ชอบมาทำให้หัวใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย



“นี่ชอบมันมากเลยเหรอไอ้ดอกเหลืองๆพวกนี้อ่ะ” จุนไคเอ่ยถามกับคนรักที่วันนี้ก็ลากเขามาดูไอ้เจ้าดอกเหลืองๆที่โรงเรียนแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันเสาร์ก็ตาม

“ชอบสิ มันสวยจะตายยิ่งเวลาที่มันลอยไปตามลมนะยิ่งสวย เจ้าดอกไม้แห่งการเดินทาง”

“เพ้อเจ้อใหญ่แล้วนะเราน่ะ เจ้าเด็กบ๊อง” ว่าพลางขยี้ผมนุ่มจนอีกคนได้แต่หน้ามุ่ย

“อย่าขยี้สิ เดี๋ยวหยวนไม่หล่อ”

“เหอะ หน้าอย่างนี้นะหล่อ”

“ทำไมล่ะ” ร่างบางหันมาถามอย่างเอาเรื่อง มีที่ไหนมาพูดว่าเขาไม่หล่อ

“อย่างเราน่ะ เขาเรียกว่า น่ารัก ต่างหาก ไม่ใช่หล่อรู้ไหมครับแฟน”  ร่างสูงบอกก่อนจะรั้งอีกคนเข้ามาในอ้อมกอด

“หยวน สัญญาได้ไหม..ว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป เหมือนความหมายของเจ้าพวกนี้” ว่าพลางเด็ดดอกไม้สีเหลืองส่งให้คนรัก
พลางกดจมูกลงบนกลุ่มผมนุ่ม

“อื้อ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”


ทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนมีเวลาของมัน แม้กระทั่ง ความสุข..

“แม่ ทำไมบ้านนั้นถึงวุ่นวายจัง” จุนไคเอ่ยถามผู้เป็นแม่ เพราะดูเหมือนบ้านฝั่งตรงข้ามจะดูวุ่นวายเป็นพิเศษ

“นี่น้องยังไม่ได้บอกลูกเหรอ จุนไค”

“บอก บอกอะไรเหรอครับ” ร่างสูงเลิกคิ้วถาม จะว่าไปเมื่อวาน ตัวเล็กของเขาก็ดูจะซึมๆไปเหมือนกัน แถมยังทำท่าเหมือนจะพูดอะไรตลอดเวลาด้วย

“วันนี้ นอกจะย้ายไปอยู่ที่อื่น” สิ้นคำของผู้เป็นแม่ ร่างสูงรีบวิ่งออกจากบ้านไปทันที ทั้งที่สัญญากันไว้แล้ว ทั้งที่มีความสุขกันมากขนาดนั้น ทำไมถึงยังต้องไป

“หยวน หยวน หยวนอยู่ไหน ออกมาหาพี่สิ หยวน!!” ร่างสูงตะโกนก้อง แม้ว่าจะมีพนักงานขนของและแม่บ้านมองเขาอย่างใคร่รู้ แต่เด็กหนุ่มกลับเลือกที่จะไม่สนใจเพราะเขาต้องตามหาอีกคนให้เจอ

“คุณหนูจุนไค” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่แม่บ้านของรักจะเดินเข้ามาหา

“ป้าหวัง หยวนล่ะครับ หยวนอยู่ไหน”

“คุณหนูหยวนไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกค่ะ รถของคุณผู้ชายเพิ่งออกไปได้เกือบชั่วโมงแล้ว คุณหนูรู้ว่าคุณจะมาก็เลยฝากจดหมายนี้ไว้กับป้า” มือที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลายื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน

เด็กหนุ่มกำจดหมายในมือแน่น ไม่เข้าใจ ต่อให้พยายามคิดแค่ไหนก็ไม่เข้าใจ ทำไมอีกคนถึงไม่บอกเขาสักคำทำไมถึงทิ้งกันไปแบบนั้น ทำไม….

มือสั่นเทาค่อยๆเปิดจดหมายออกอ่านทันทีที่ถึงห้อง ดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กๆหล่นลงจากจดหมายเด็กหนุ่มได้แต่หยิบมันขึ้นมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น ก่อนจะเริ่มอ่าน




พี่จุนไค

ขอโทษ …ขอโทษ ที่จากไปโดยที่ไม่ได้ลา แต่หยวนทำใจไม่ได้จริงๆที่ต้องพูดคำนั้น

หยวนรักพี่นะ ขอโทษอีกครั้งที่ทำตามสัญญาไม่ได้  ขอโทษ



จดหมายจบลงแค่นั้นพร้อมๆกับน้ำตาของร่างสูงที่ไหลเป็นทาง ไม่เข้าใจ จนถึงตอนนี้ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างมันเร็วมาก เร็วเกินไปจนเขาตั้งตัวไม่ทัน 

มันเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคนกันแน่

…………………………………………………………………………


“อ้าว ลุงนึกว่ากลับแล้วซะอีก” ชายชราเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าร่างสูงยังอยู่ในสนามแม้ว่าตอนี้ดูเหมือนพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว

“ผมนั่งเล่นเพลินไปหน่อยนะครับ ไม่คิดว่าจะค่ำซะแล้วนะเนี่ย”

“เฮ้อ เป็นคนหนุ่มนี่มันดีจริงๆเลย มีเวลาชื่นชมธรรมชาติ กลางวันคน ตอนเย็นคน ดีจริงจิ๊ง”

“มีคนมาที่นี่นอกจากผมด้วยเหรอครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามเพราะจริงๆแล้วที่ที่เขายืนอยู่เป็นสนามเก่าซ้ำยังอยู่หลังโรงเรียนไม่เหมือนสนามใหม่ที่อยู่หน้าโรงเรียนทำให้ นักเรียนรุ่นหลังๆไม่ค่อยมาที่นี่กันแล้ว เรียกว่าคงใกล้ร้างเต็มที

“ใช่สิ ดูท่าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเรานา เห็นมายืนมองเจ้าดอกไม้พวกนี้ตั้งนานสองนาน แน่ะ” ทันทีที่ชายชราเล่าจบหัวใจของชายหนุ่มก็ต้นแรงอย่างประหลาด แม้กลัวจะผิดหวังแต่ก็อดที่จะคาดหวังไม่ได้ จะใช่หรือเปล่า จะใช่คนที่เขารอมาตลอด 10 ปี หรือเปล่านะ



“ทำไมเป็นคนแบบนี้นะ ของสำคัญขนาดนั้นทำหายได้ยังไงกัน” เสียงหวานบ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่ร่างบางจะเดินฝ่าความหนาวเข้ามาในโรงเรียน แม้ว่าอากาศจะเริ่มหนาวแล้วแต่เขาก็ไม่สามารถทนรอให้ถึงพรุ่งนี้ได้ เมื่อของที่ทำหล่นหายไปมันสำคัญมาก เพราะมันเป็นของที่ใครคนนั้นเคยให้ไว้

“อ่ะ พี่ให้” ร่างสูงยืนกล่องขนาดเล็กให้คนรักพลางยกยิ้มอ่อยโยน

“อะไรเหรอ”

“เปิดดูสิ”

“ไอ้พี่จุนไค คงไม่ได้ซื้ออะไรแปลกๆมาให้หรอกนะ” ร่างบางว่าแม้จะระแวงอยู่บ้างแต่ก็รับกล่องมาเปิดอยู่ดี

“เอ๊ะนี่มัน” แหวนเงินวงเล็กที่สลักอักษรภาษาอังกฤษว่า K&Y ถูกหยิบออกมาจากกล่องก่อนที่คนให้จะยกยิ้มกว้าง

“พี่ให้ จองไว้ก่อนเอาไว้ เรียนจบทำงานเมื่อไหร่ สัญญาเลยว่าจะซื้อแหวนเพชรให้”

“ไม่เห็นต้องลำบากเลย ดูก็รู้ว่าว่ามันแพง”

“ไม่มีอะไรแพงเกินไปสำหรับคนที่พี่รักหรอก มานี่พี่ใส่ให้ เก็บไว้ดีๆล่ะอย่าทำหายรู้ไหมเรายิ่งซุ่มซ่ามอยู่ด้วย” ร่างสูงว่าพลาง
สวมแหวนที่นิ้วนางข้างขวาของอีกฝ่าย

“ไม่หายหรอกน่า ขอบคุณนะ พี่จุนไค”

“หยวนรักพี่นะ”

“พี่ก็รักหยวนเหมือนกันครับ”




“อยู่ไหนนะ ทำไมหาไม่เจอล่ะ” ร่างบางบ่นทั้งๆที่พยายามตามหาทั่วสนามแล้วแล้วแต่ก็ไม่เจอสักที แม้ว่าแหวนเงินวงนั้นจะไม่ได้มาคาแพงมากมาย แต่กับเด็กอายุ 13 ในตอนนั้นถือว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องราคา แต่เพราะแหวนวงนั้น คือ ของที่พี่จุนไคให้เขาต่างหาก


“หานี่อยู่หรือเปล่า”  แหวนเงินวงเล็กถูกยืนมาตรงหน้า

“ขอบคุณนะครับ…….พี่จุนไค” ร่างบางเบิกตาโพลงเมื่อเงยหน้ามองคนที่เอาแหวนมาคืนให้เขา ร่างสูงนั้นดูสูงขึ้นกว่าเมื่อตอนเด็กๆมาก รวมทั้งโครงหน้าหล่อเหลานั้นก็ดูคมเข้าสมเป็นผู้ใหญ่ จากเด็กผู้ชายอายุ 14 ตอนนี้คนตรงหน้าเป็นหนุ่มอายุ 24 เต็มตัวแล้วสินะ

“ไม่เจอกันตั้ง 10 ปี ยังซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยนเลยนะ กล้าดียังไงทำแหวนที่พี่ให้หายห่ะ เจ้าเด็กบ๊อง” ร่างสูงว่าก่อนที่มือหนาจะขยี้ผมนุ่มอย่างเคยทำ

“พี่จุนไค พี่จุนไคจริงด้วย หยวนไม่ได้ฝันไปใช่ไหม” เสียงหวานสั่นเครือพลางโผเข้ากอดร่างสูงเต็มรัก คิดถึง คิดถึง อ้อมกอดนี้เหลือเกิน

“อ้าว เจอหน้าดันไหงร้องไห้ล่ะ เจอหน้าพี่ต้อง ยิ้มสิ ไหน ยิ้มสิ” มือหนาเกลี่ยน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา แต่ยิ่งทำดูเหมือนว่าคนในอ้อมกอดจยิ่งร้องหนักขึ้น

“หยวนขอโทษ ขอโทษที่ไปโดยที่ไม่บอกอะไรเลย หยวนมันเห็นแก่ตัว ขอโทษนะ ขอโทษ ”

“ไม่เอา ไม่ร้องครับตาบวมหมดแล้วเนี่ย เดี๋ยวเกิดไม่น่ารักขึ้นมาพี่หนีไปมีกิ๊กไม่รู้ด้วยนะ”

“ก็ลองดูสิ!!” ร่างบางแหวลั่น ร่างสูงหัวเราะเบาๆก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ส่งผ่านความคิดถึงผ่านสัมผัสนี้ให้อีกคนได้รู้ว่ารัก มากแค่ไหน

……………………………………………………………………..

“คราวนี้บอกพี่ได้หรือยัง ว่าเราหายไปไหนมา” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางสวมกอดร่างเปลือยเปล่านั้นแนบอก จมูกโด่งสวยก้มลงสูดกลิ่นหอมจากหัวไหล่เนียนจนอีกคนยู่หน้า

“พี่จุนไค อย่าทะลึ่งได้ไหมเนี่ย นั่งฟังดีๆได้ไหม” ร่างบางแหวลั่นเมื่ออีกคนยังไม่หยุดวุ่นวายกับร่างกายเขา

“ไม่ได้ครับไม่ได้เจอตั้ง 10 ปี พี่ต้องเอาคืนทบต้นเลยนะ พูดมาเลยเร็วๆ หายเหนื่อยแล้วจะได้ไปต่อ หึหึ”

“ไอ้พี่ลามก!!! บอกก็ได้”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่พ่อเขาต้องย้ายไปทำงานต่างประเทศหยวนรู้ก่อนพี่แค่สองวัน แต่ไม่กล้าบอก กลัวว่าพี่จะโกรธ กลัวไปหมด
ทุกอย่าง”

“เลยไปโดยไม่ลา ไม่คิดว่าพี่จะโกรธกว่าหรือไง”

“เพราะแบบนี้ไงเล่าถึงไม่กล้าติดต่อมา หยวนทนไม่ได้หรอกนะที่จะให้พี่เปลี่ยนไป ทนไม่ได้ที่จะเห็นพี่เย็นชาใส่ ทนไม่ได้จริงๆ” บอกเสียงสั่นก่อนจะซุกหน้าลงบนอกแกร่ง

“ฮ่าๆๆ เด็กบ๊อง คิดอะไรแบบนั้น  พี่ไม่มีวันโกรธหรอก รู้ไหม ต่อให้หยวนจะทำผิดร้ายแรงกว่านี้พี่ก็ไม่โกธ เพราะพี่รักหยวน”

“หยวนก็รักพี่”  ริมฝีปากบางถูกอีกคนครอบครองอย่างถือสิทธิ์ จุนไคไล่ลิ้นไปตามแนวกรามก่อนจะตวัดเกี่ยวลิ้นเล็กอย่างหยอกล้อ รสจูบหวานล้ำที่แฝงด้วยความร้อนแรงนั้นดำเนินไปช้าๆอย่างที่มันควรจะเป็น ให้สัมผัสทางร่างกายช่วยตอกย้ำคำว่ารัก เพื่อถ่ายทอดให้อีกฝ่ายรู้ว่ารักมากเพียงใด…

...............................END...................................

เรื่องนี้เป็นแฟนฟิค ของวง TFBoys นะคะ

เอามาลงแกท้องอืด ฮ่าๆๆๆ  :katai2-1:

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
นึกว่าจะดราม่าซะแล้ว

ออฟไลน์ ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ปลื้มปริ่มเรื่องนี้จบแฮปปี้  :m4: :m4:

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
 :hao3: ดีล่ะ ไม่ชอบดราม่า

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :กอด1: จบแล้วมีความสุข

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เราอ่านตอนฝนตกพอดีเลย เศร้าซะ!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
มินิซีรี่ย์ : ลำนำ ร้อยรัก   

เป็นแนว "จีนโบราณ" ยังไม่เฉลยว่ามีกี่เรื่อง

 แต่ทุกเรื่อง เกี่ยวข้องกัน แน่นอน...
[/size]


เพียงใจมั่นรัก (จิ้นฝู & ฟางซิน)




ยามค่ำของเมือง “อู๋ซวง” ร้านค้าบ้านเรือนต่างปิดเงียบ ทันทีที่สิ้นแสงของดวงตะวัน บนถนนที่เคยคึกคักกลับว่างเปล่า แม้แต่แสงตะเกียงในบ้านก็แทบไม่มีให้เห็น เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบราวกับเมืองร้าง มันเป็นเช่นนี้มาได้ราวๆ 3 ปีแล้ว เมื่อจู่ๆ ผู้คนในเมืองก็ หายไปทีละคนสองคนและไม่กี่วันหลังจากนั้นมักจะพบร่างที่ไร้ลมหายใจของพวกเขาอยู่นอกประตูเมือง ไม่มีผู้ใดทราบสาเหตุที่แท้จริง ไม่มีใครรู้ว่าเขาเหล่านั้นพบเจอกับชะตากรรมเช่นไร …..
แต่การที่ชาวเมืองจะตายลงมากมายขนาดนี้ คงมีเพียงแค่ ปีศาจ เท่านั้นที่ทำได้

ไกลออกไปจากเขตเมือง ร่างของอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองมาอย่างมายมาด มันแยกเขี้ยวคำรามก่อนจะกระโจนเข้าไปในเมืองที่เกือบร้างผู้คนนั้นทันที ขนสีเงินสะท้อนแสงจันทร์ดูงดงามชวนหลงใหล แต่ถึงจะงดงาม กลับเต็มไปด้วยอันตราย เมื่อร่างนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ จิ้งจอก ธรรมดา



“จิ้นฝู เจ้าจะออกไปไหน นี่มันกำลังจะค่ำนะ” เสียงของหญิงชราตะโกนถามชายหนุ่มที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน เมื่อเห็นว่าอีกคนดูเหมือนกำลังจะออกจากหมู่บ้าน ทั้งๆที่ตอนนี้เป็นเวลาที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง

“ข้าต้องไปตรวจ คนไข้ที่บ้านตระกูลโจว ครับป้าหนิว ” จิ้นฝูตอบ

“แต่นี่มัน ค่ำแล้วนะ เจ้าก็รู้ว่าในเมืองระยะนี้มีปีศาจออกอาละวาด” ป้าหนิวเอ่ยเตือน  แม้ว่าคนตรงหน้าจะไม่ใช่ลูกหลานโดยตรงแต่ด้วยความที่เห็นชายหนุ่มมาตั้งแต่เด็กทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ เผิงจิ้นฝู เป็น ลูกชายคนเดียวของบ้านเผิง ตระกูลหมอที่มีชื่อเสียงตระกูลหนึ่งแต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดถูกคนใส่ร้ายจนต้องหนีมาอยู่ที่นี่  เมื่อหลายปีก่อนพ่อกับแม่ของชายหนุ่มก็จากไปกันหมดทั้งบ้านจึงเหลือแค่จิ้นฝู เพียงคนเดียว แต่ชายหนุ่มก็ยังสืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ เป็นหมอรักษาคนโดยที่ไม่เรียกร้องค่ารักษาใดใดเลย

“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไปนะมันจะมืดค่ำเสียก่อน” ชายหนุ่มบอกก่อนจะเดินออกจากหมู่บ้านไป ต่อให้ระยะนี้มีปีศาจอาละวาดคนเป็นหมอก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้ หากที่ใดมีคนป่วยเขาย่อมต้องไปรักษา นั่นจึงจะนับว่าเป็นหมอที่แท้จริง

“ขอบคุณท่านหมอเผิง ที่แวะมา เดินทางปลอดภัยนะขอรับ” พ่อบ้านตระกูลโจวเอ่ยกับหมอหนุ่ม หลังจากที่จิ้นฝูมาตรวจอาการฮูหยินของบ้านแล้วก่อนจะรีบปิดประตูทันทีที่ทำหน้าที่เรียบร้อยแม้ว่าจะเป็นการเสียมารยาทแต่ความรักตัวกลัวตายก็ย่อมมีมากกว่า เขายังไม่อยากเป็นเหยื่อให้ปีศาจในคืนนี้

จิ้นฝู ได้แต่ส่ายหน้ากับความรักตัวกลัวตายของพ่อบ้านตระกูลโจว ก่อนจะกระชับห่อผ้าของตัวเองแล้วออกเดินเพื่อกลับหมูบ้าน



แต่ทันใดนั้น!!

เงาดำสายหนึ่งก็กระโดดเข้ามาขวางชายหนุ่มไว้อย่างรวดเร็ว  จิ้นฝูเบิกตาโพลงเมื่อแสงจันทร์นั้นตกกระทบกับ ร่างนั้น  มันคำรามลั่นเผยให้เห็นเขียวคม ตาแดงดังสีชาดจ้องมาที่ชายหนุ่มอย่างหมายมาด เห็นทีมันคงเห็นเขาเป็นอาหารมื้อค่ำของวันนี้แน่

“เอ๊ะ เจ้าบาดเจ็บหรือ” หมอหนุ่มร้องถาม แม้ว่าจะไม่แน่ใจนักว่า จิ้งจอกตัวใหญ่ตรงหน้านั้นจะเข้าใจที่เขาพูดหรือไม่ แต่เลือดสีแดงเข้มที่ไหลออกจากขาของมันต่างหากที่เขาสนใจ


กร๊าซซซซซซซ

มันคำรามลั่น แววตานั่นยังคงจ้องมาที่ชายหนุ่มอย่างไม่ลดละ คล้ายกับว่ามันกำลังโกรธ

“เจ้าบาดเจ็บนะ ให้ข้ารักษาให้ไหม ถึงข้าจะไม่แน่ใจว่าจะสามารถรักษาเจ้าได้แต่อย่างน้อยเจ้าก็ควรให้ข้าห้ามเลือดให้นะ” ชายหนุ่มเอ่ยบอก แต่ไหนแต่ไรมา พ่อของเขามักสอนเสมอว่า คนเราต้องมีความเมตตา การที่เห็นผู้อื่นกำลังลำบากเช่นนี้เขาคงไม่อาจนิ่งดูดายได้ แม้ว่า เจ้าสิ่งนั้นจะไม่ใช่คนก็ตามที



“เฮ้ย!! ตามจับมันมาให้ได้ อย่าให้มันหนีไปได้เด็ดขาด!” เสียงตะโกนดังขึ้นไม่ไกลนัก มันหันรีหันขวางอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร มันอ่อนล้าเกินกว่าจะต่อกรกับมนุษย์เหล่านั้นได้ แต่ก็ไม่อาจไว้ใจมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าได้เช่นกัน

“ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก ตามข้ามา เร็วๆ” หมอหนุ่มบอกอย่างอ่อนโยนก่อนจะเดินนำหมาป่าเข้าไปในตรอกแคบๆ  มันชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินตามไป  ให้เลือกระหว่างสู้กับคนกลุ่มใหญ่กับเจ้าหนุ่มที่ท่าทางซื่อๆคนนี้ มันต้องเลือกอย่างหลังเป็นแน่
ชายหนุ่มเดินลัดเลาะ ตอกเล็กๆนั้นออกมาก่อนจะเดินออกจาตัวเมืองอย่างคล่องแคล่ว ทางนี้เป็นทางลัดที่น้อยคนนักจะรู้

“บ้านขาอยู่ตรงเชิงเขาตรงนั้น ข้าจะพาเจ้าไปรักษา ไม่ต้องห่วงนะบ้านข้าอยู่ไกลจากหมู่บ้านมากไม่มีใครรู้หรอกว่าเจ้าอยู่ที่นี่” ชายหนุ่มว่าพลางชี้ไปที่เชิงเขาที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านพอสมควร



หลังจากมาถึงบ้าน จิ้นฝู ก็จัดแจงห้ามเลือดให้จิ้งจอกทันทีแม้ว่า จะไม่ได้รับความร่วมมือจากอีกฝ่ายเท่าใดนัก

“เจ้าต้องนอนพักนะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่หาย ข้ารับรองว่าไม่มีใครทำอันตรายเจ้าได้หรอก”  บอกกับจิ้งจอกบาดเจ็บพลางปูผ้าให้ คนไข้ที่ไม่ใช่คนรองนอน ก่อนจะล้มตัวลงนอนบ้าง



---เช้า-----

จิ้นฝู ตื่นแต่เช้าเพราะต้องออกไปเก็บสมุนไพรบนเขา ก่อนจะกลับมาแล้วพบว่าเจ้าจิ้งจอกบาดเจ็บดูเหมือนจะยังไม่ตื่น ก่อนที่หมอนุ่มจะจัดแจงทำแผลให้ใหม่อย่างเบามือ

“เจ้าเป็นคนดีนะ” เสียงหนึ่งดังขึ้น มันไม่ได้ดังจากปากของใครแต่มันคล้ายกับว่าเสียงนั้นดังอยู่ในความคิดของชายหนุ่ม จิ้นฝู พยายามมองหาบุคคลที่สามแต่ก็ไม่พบ

“เจ้าไม่ต้องมองหาคนอื่นหรอก ข้าพูดกับเจ้าเอง” เสียงนั้นยังคงบอก

“เจ้า?” จิ้นฝู มองจิ้งจอกตรงหน้าด้วยความตกใจ แม้จะพอเดาออกแล้วว่าเจ้าจิ้งจอกตรงหน้าคงไม่ใช่แค่ สัตว์ป่าธรรมดาแน่แต่ก็ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้เขาจะได้ คุย กับ จิ้งจอก

“ฮ่าๆๆ เจ้าช่างเป็นมนุษย์ที่โง่งม จนข้าอดหัวเราะไม่ได้เสียจริง” เสียงนั้นยังคงดังขึ้น ก่อนจะมีแสงสว่างจ้าเกิดขึ้นรอบตัวจิ้งจอกบาดเจ็บตัวนั้น  ก่อนที่แสงนั้นจะหายไปพร้อมกับกับการปรากฏตัวของ ใคร คนนึง

“เจ้า แปลงเป็นคนได้ด้วยหรือ” จิ้นฝูเอ่ยถาม

“ข้าว่าเจ้าน่าจะรู้แล้วว่า ข้าเป็น ปีศาจ แต่เหตุใดเจ้าถึงไม่กลัวข้า ซ้ำยังช่วยไว้ด้วย” ร่างนั้นเอ่ยถาม

จิ้นฝูที่ยังคงตะลึงอยู่ได้แต่นั่งมองร่างบางที่อยู่ตรงหน้าเงียบๆ คนตรงหน้ารูปร่างบอบบาง ผิวขาวละเอียดสีงาช้างนั้นงดงามจนคนมองใจสั่น แม้น้ำเสียงและรอยยิ้มนั้นก็ทำให้ผู้คนหลงใหลได้ไม่ยาก หรือนี่จะเป็น เวทย์มนต์ของปีศาจจิ้งจอกอย่างที่เขาเล่าลือกัน

“เจ้าหมอทึ่ม! ทำไมเจ้าไม่ตอบข้า” ร่างบางตะคอก

“ขะ ข้าแค่ตกใจ ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น ปีศาจแปลงเป็นคนต่อหน้าต่อตาเช่นนี้”

“เจ้ากลัวข้าเช่นนั้นหรือ”  เสียงนั้นเอ่ยถาม  ยอมรับว่าในหัวของร่างบางตอนนี้กังวลอยู่ไม่น้อยไม่รู้เพราะเหตุใดถึงไม่อยากจะให้ เจ้าหมอทึ่ม คนนี้หวาดกลัวตัวเองเลย

“ข้าไม่ได้กลัว เพียงแค่ตกใจเท่านั้น หากกล้ากลัวเจ้าคงไม่พามาที่บ้านเช่นนี้ ว่าแต่เจ้าเถอะ ดีขึ้นแล้วหรือ ถึงใช้พลังได้”

“ดีขึ้นแล้ว แต่แค่ฟื้นพลังได้แค่สามส่วนเท่านั้นนักพรตนั่นมี ฤทธิ์มาก ข้าเองก็หมดพลังไปหลายส่วน”

“ถ้าเช่นนั้น ก็พักที่นี่สิ ข้าจะดูแลเจ้าเอง” เสียงทุ้มบอก จิ้นฝง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดจึงเอ่ยปากออกไปเช่นนั้น แต่มันคล้ายมีอะไรบางอย่างบอกกับเขาว่า เขาอยากดูแลเจ้าจิ้งจอกตัวนี้

“ข้าชื่อ จิ้นฝู เจ้าชื่ออะไรหรือเจ้าจิ้งจอก”

“ข้าชื่อ ฟางซิน”


……………………………………………………………………………………………..


“เจ้ากลับมาแล้วหรือ” ร่างบางเอ่ยทักเจ้าของบ้าน ที่กลับมาจากเก็บสมุนไพร

“เจ้าลุกขึ้นมาแบบนี้ ขาหายดีแล้วหรือ ทำไมไม่พักสักหน่อยล่ะ ” คนเป็นหมอว่า

“ข้าพัก มาหลายวันแล้วตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว เจ้าไม่รู้หรือ เป็นหมอภาษาอะไรกัน”

“ข้าเป็นหมอคน ไม่ใช่หมอรักษาจิ้งจอก ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าหายดีแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยติดตลก แต่ดูเหมือนว่าคนฟังจะไม่ได้คิดเช่นนั้น

“ใช่สิ ข้าเป็นปีศาจ เจ้าอยากจะไล่ข้าไปให้พ้นๆใช่ไหม” ร่างบางแหวลั่น  หลายวันมานี้ ฟางซินรู้สึกว่าตัวเองมีบางอย่างที่แปลกไป เพราะอะไรถึงได้ใส่ใจกับคำพูดและการกระทำของคนตรงหน้านัก  เขาไม่เคยหาคำตอบให้ตัวเองได้เลย การอยู่มาหลายร้อยปี ทำให้เขาเห็นโลกมามากแต่กลับ ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าความรู้สึกที่มีต่อจิ้นฝู นั้นคืออะไร

“ฟางซิน ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เจ้าอย่าโกรธข้าได้ไหม” ร่างสูงบอกอย่างร้อนรน เรื่องเดียวที่ทำให้ ท่านหมอเผิง เป็นกังวลได้กลับเป็นท่าทางน้อยใจ ของปีศาจจิ้งจอกตนหนึ่ง คิดแล้วน่าขำ แต่กลับขำไม่ออก เขากลัวเหลือเกิน เพราะไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่า ความรู้สึกในใจตอนนี้คืออะไร แต่ ที่กลัวไม่ใช่เพราะฟางซินเป็นปีศาจ แต่เขากำลังกลัวว่าอีกคนจะไม่คิดเช่นเดียวกัน
แม้อาจจะดูรวดเร็วจนน่าตกใจแต่ จิ้นฝู ไม่เคยแน่ใจอะไรเท่านี้มาก่อนในชีวิต การรักใครสักคนนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาด้วยหรือ??



“มาข้าจะดูแผลให้” หมอหนุ่มบอกก่อนจะประคองร่างบางไปที่โต๊ะใกล้ๆแล้วลงมือแกะผ้าพันแผลอย่างเบามือ

“แผลแห้งแล้วนิ แต่ยังไม่สนิทเท่าไหร่ ยังโดนน้ำไม่ได้นะ”

“ข้ารู้แล้วน่า เจ้าบอกข้ามาร้อยรอบแล้วนะ” จิ้งจอกหนุ่มบอกอย่างขัดใจ ก่อนจะลอบยิ้มเมื่อเห็น เจ้าหมอทึ่ม ดูตั้งอกตั้งใจใส่ยา
ให้เขาเหลือเกิน ฟางซิน ยิ้ม แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ ความจริงแล้วแผลแค่นี้เขาใช้พลังรักษาแค่ไม่กี่ชั่วยามก็หายแล้วแต่ หลายวันมานี้ เขากลับไม่อยากให้แผลหายเลย

“เอาล่ะเสร็จแล้ว เจ้าอยู่ในนี้ไปก่อนนะ ข้าจะไปต้มยา”

“ข้าไปด้วยสิ อยู่เฉยๆเสียหายวัน ข้าเบื่อจะแย่แล้ว เจ้าให้ข้าช่วยนะ” จิ้งจอกหนุ่มบอกอย่างกระตือรือร้น ดวงตากลมโตนั้นเป็นประกายอย่างนึกสนุกแต่กลับทำให้หัวใจของคนที่มองอยู่เต้นแรงจนแทบห้ามไม่อยู่



“นี่ เจ้าหมอทึ่ม เจ้าฟังข้าอยู่หรือเปล่า ห่ะ!!” ร่างบางแหวลั่นเมื่ออีกฝ่ายไม่สนใจที่เขาพูดสักนิด

“อะ เอ่อ เจ้าไหวแน่นะ ข้าว่าเจ้าพักดีกว่า”

“ไหวสิ ข้าอยากช่วยเจ้าช่วยข้าไหม ข้าก็อยากจะช่วยเจ้าบ้าง ได้ไหม”

“แต่เจ้าห้ามมาบ่น ว่าข้าใช้งานหนักนะ”

“ได้เลย ไหนๆ ข้าต้องทำอะไรบ้าง” ร่างบางบอกอย่างร่าเริง จิ้นฝู  ลอบมองใบหน้าหวานที่ยิ้มร่าก่อนจะยกยิ้มตาม แม้จะรู้อยู่แก่
ใจว่าอีกฝ่าย ไม่ใช่คนแต่เหตุใด หัวใจ ถึงห้ามไม่ได้เลย




“ข้าไม่เคยคิดว่า การเป็นหมอมันจะเหนื่อยขนาดนี้” เสียงหวานบ่นพึมพำเมื่อวันนี้จิ้งจอกหนุ่ม ตามจิ้นฝู ไปตรวจคนไข้ในเมือง

“ข้าก็บอกแล้วว่าอย่าไปเจ้าก็ไม่ยอมเชื่อ ยืนทั้งวันเจ้าเมื่อยหรือเปล่า” เสียงทุ้มถามอย่างเป็นห่วง เมื่อวันนี้ดูเหมือนคนไข้จะเยอะ
เป็นพิเศษทำให้ร่างบางต้องวิ่งวุ่นทั้งแจกยาทั้ง จดอาการ จนแทบไม่ได้พักเลย

“เมื่อยสิ วันนี้ข้าไม่ได้นั่งเลยตั้งแต่เช้า” ปากบางนั้นยังคงบ่น ก่อนที่จะรับรู้ถึงความเย็นที่เท้า

“เอ๊ะ จิ้นฝู เจ้าทำอะไร” ร่างบางเอ่ยถาม ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อหมอหนุ่มกำลังล้างเท้าให้ตนอย่างเบามือ

“วันนี้เจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน ข้านวดให้นะ”

“ไม่ต้องๆ เจ้าอย่าทำแบบนี้สิ ขะ ข้า ”

“ไม่เป็นไร ข้าเต็มใจทำให้เจ้า” เสียงทุ้มนั้นบอกก่อนจะยกยิ้มให้  ฟางซิน ได้แต่ลอบมองคนตรงหน้าที่ดูตั้งอกตั้งใจนวดเท้าให้เขาเหลือเกินก่อนจะยกมือขึ้นทาบหัวใจ

หัวใจกำลังเต้นแรง   มันเต้นแรงเสียจนเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ได้  สิ่งนี้ มันหมายความว่าอย่างไร มันคืออะไรกันแน่??



…หลายวันต่อมา……

“เจ้าเป็น คนรัก ของท่านหมอเผิงหรือ” หญิงชราที่มารักษากับจิ้นฝู เอ่ยถามขึ้น

  คนรัก??  ร่างบางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“ท่านป้า ข้าไม่ใช่คนรัก ของเจ้า..ของหมอเผิงนะ ” 

“เช่นนั้นหรือ” หญิงชราเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ เมื่อสิ่งที่เห็นกับคำบอกเล่านั้นช่างสวนทางกันเหลือเกิน นางมารักษากับหมอ
เผิงหลายครั้งแล้ว หมอเผิงเป็นคนใจดีก็จริง แต่สายตาของคนที่ผ่านโลกมานานเช่นตนนั้น รับรู้ได้ทันทีว่าแววตาที่หมอหนุ่มมองร่างบางตรงหน้านี้เป็นสายตาแห่งความรักแน่นอน

“ใช่แล้ว ข้ากับท่าหมอ เป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น”


“ฟางซิน เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า” จิ้นฝูเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าตลอดทางกลับบ้านร่างบางเอาแต่เหม่อลอยไม่ยอมพูดจา

“เปล่า ข้าไม่ได้เป็นอะไร”  ร่างบางบอก ก่อนจะผละไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมต้มยาที่จะใช้ในวันพรุ่งนี้อย่างที่เคยทำเป็นประจำ แต่จิตใจกลับ ไม่สงบเสียมี คำพูดของหญิงชราดูเหมือนจะยังวนเวียนอยู่ในความคิดไม่ยอมไปไหน

คนรัก ??  ความรัก??

หลายร้อยปีที่ผ่านมา เขา ได้ยิน คำนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า มัน คืออะไร


เพล้ง!!

“โอ้ย!”  เพราะเอาแต่เหม่อทำให้ หม้อยาที่ถืออยู่ตกแตกจนน้ำร้อนลวกมือทั้งสองข้าง

“ฟางซิน!!” จิ้นฝู วิ่งหน้าตื่นเข้ามาในครัวก่อนจะตักน้ำราด มือที่เริ่มแดงเพราะความร้อน

“เจ็บตรงไหนอีกไหม เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงร้อนรนนั้นเอ่ยถาม ฟางซินได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เหตุใด ต้องร้อนรนถึงขนาดนี้ ก็แค่ถูกน้ำร้อนลวก แม้มันจะเจ็บแต่อีกไม่นานก็หาย

“ข้าเป็นห่วงมากรู้ไหม”  เสียงทุ้มบอกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกดจูบลงไปบนมือเรียวสวย จิ้นฝู รู้สึกเจ็บ เมื่อเห็นว่ามือเรียวของร่าง
บาง เห่อแดงเพราะความร้อน เป็นไปได้เขาไม่อยากให้ฟางซินต้องเจ็บตัวแม้เพียงนิด

เมื่อรู้ว่ารัก แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงใด มันก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาเสมอ

“ห่วง?” จิ้งจอกหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ

“ใช่ ห่วง”

“ทำไม เจ้าต้องเป็นห่วงข้า”

“ฟางซิน ฟังข้านะ มันอาจจะไม่น่าเชื่อ แต่ขอให้รู้ว่าทุกคำที่พูดนั้น ออกมาจากใจของข้า”

“ฟางซิน ข้ารักเจ้า”

“ข้าไม่เข้าใจ อะไร คือ รัก” ร่างบางบอกเสียงแผ่ว อะไรคือ รัก  แล้วตอนนี้เขาควร ทำอย่างไร

จิ้นฝู ไม่ได้ตอบในทันทีแต่กลับจับมือเรียวมาทาบลงบนอกซ้ายของตัวเองก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ เวลาที่อยู่กับเจ้าข้ามีความสุข ยามเจ้ายิ้ม ข้าจะยิ้ม ยามเจ้าเศร้าข้าจะเศร้ายิ่งกว่า และ จะใจเต้นแรงทุกครั้งที่ได้มองตาเจ้า นั่นคือ รัก”

แต่ร่างบางก็ยังคงเงียบ

“เอาเถอะ ข้าไม่ได้เร่งรัดให้เจ้า คิดเหมือนกับข้า แต่ขอให้เจ้ารู้ไว้ ว่าข้ารักเจ้า เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว” หมอหนุ่มบอกก่อนจะดึงร่างบางเข้ามากอดแน่น   

 “จิ้นฝู สอนข้าได้ไหม บอกข้าได้ไหมว่าคนรักกัน เขาต้องทำเช่นไร”

“ได้สิ แต่ไม่ต้องรีบหรอก แค่ใช้หัวใจของเจ้าค่อยๆเรียนรู้ไปเท่านั้น แล้วเจ้าจะเข้าใจเอง”

….วัดหลงซาน…

“อาจารย์ ศิษย์ให้ คนของเราออกตามหาปีศาจตนนั้นแล้วแต่ไม่พบร่องรอยเลยครับ”  ชายหนุ่มคนนึงบอกกับนักพรตผู้เป็น
อาจารย์

“ปีศาจ ตนนั้นจะหนีไปไหนได้ มันต้องมีใครสักคนช่วยมันเอาไว้แน่นอน”

“เจ้าสาม ให้คนออกไปถามตามหมู่บ้าน รอบๆเมืองหลวงว่าระยะนี้มีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านหรือไม่ แล้วให้กลับมารายงาน
ข้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่า แค่ปีศาจจิ้งจอกตัวเดียว ข้านักพรตไท่เหอ จะปราบมันไม่ได้”  บอกอย่างหมายมาด ก่อนจะกำมือแน่น แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีปีศาจตนไหนรอดพ้นเงื้อมือ เขาไปได้ แต่เจ้าปีศาจจิ้งจอก นั่นมันทำให้เขาต้องอับอาย แค้นนี้ต้องชำระ!!!






“เหนื่อยไหม ข้าบอกให้เจ้าอยู่บ้านก็ไม่เชื่อ จะขึ้นเขามาทำไมก็ไม่รู้” จิ้นฝูว่าพลางมองร่างบางอย่างเป็นห่วง

“เจ้าหมอทึ่ม ข้าเป็นจิ้งจอกนะ ข้าอยู่ในป่ามาตั้งแต่เกิด แค่เดินป่าแค่นี้ข้าไม่เหนื่อยหรอก แฮกๆ” ร่างบางบอก แต่คนมองกลับ
หัวเราะลั่นเมื่อคนที่บอกว่าไม่เหนื่อย ยืนหายใจหอบอยู่ข้างๆ

“เจ้าดื้อกว่าที่ข้าคิดอีกนะ เหนื่อยแล้วก็พักเถอะ ดื่มน้ำเสียหน่อย” หมอหนุ่มส่ายหน้าระอา ก่อนจะพาร่างบางไปนั่งพักที่โคนต้นไม้  ร่างบางพยักหน้าก่อนจะรับน้ำจากมือหนามาดื่มดับกระหาย ใครจะไปรู้ว่าการเดินเท้าอย่างมนุษย์มันจะเหนื่อยและลำบากขนาดนี้ เมื่อก่อนอยากไปไหนก็แค่เหาะไป สบายจะตาย

“เหงื่อ ออกแล้วเห็นไหม” ว่าพลางใช้แขนเสื้อบรรจงเหงื่อบนแก้มนวลให้

ตึกๆๆ ตักๆๆ

ฟางซิน กำลังรู้สึกราวกับจะจับไข้  เพียงแค่สบตาคมคู่นั้น  ใบหน้าร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุกับหัวใจที่เต้นรัวเสียใจแทบหลุดออกมายิ่งทำให้สับสบ

เวลาที่อยู่กับเจ้าข้ามีความสุข ยามเจ้ายิ้ม ข้าจะยิ้ม ยามเจ้าเศร้าข้าจะเศร้ายิ่งกว่า และ ใจข้าเต้นแรงทุกครั้งที่ได้มองตาเจ้า นั่นคือ รัก

คำพูดของ จิ้นฝู เมื่อเดือนก่อนดังขึ้นในหัว ก่อนที่ร่างบางจะทาบมือลงบนตำแหน่งหัวใจอีกครั้ง

ตึกๆๆๆ ตักๆๆๆๆ

หัวใจไม่มีท่าทีว่าจะเต้นช้าลงสักนิด

หลายวันมานี้ ร่างบางรู้ว่าบางอย่างมันแปลกไป เขายิ้ม เมื่อ จิ้นฝู ยิ้ม เขาเศร้า เมื่อ จิ้นฝู เศร้า เขาโกรธ เมื่อ จิ้นฝู สนใจคนอื่นมากกว่า และ ตอนนี้หัวใจเขาต้นแรงมาก เมื่อมองตาคมคู่นี้

หรือว่า เขา จะรัก จิ้นฝู เหมือนกัน

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงเงียบไปล่ะ” จิ้นฝูเอ่ยถามเมื่อ ร่างบางที่เคยคุยจ้อไม่หยุดเอาแต่เงียบตั้งแต่อยู่บนเขาจนตอนนี้กลับมาที่บ้านของเขาแล้ว อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมพูดอะไรเลย

“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร” ฟางซินบอก ทำไมนะ อยู่ดีๆถึงรู้สึกเขินอาย เวลาที่มองจิ้นฝู  ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เป็นขนาดนี้

“ฟางซิน เจ้าไม่สบายหรือเปล่า ”

“ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เจ้าอย่าห่วงเลย”

“ข้าไม่ห่วงเจ้าไม่ได้หรอก สำหรับข้าแล้วเจ้าสำคัญกว่าสิ่งใด ”

“จิ้นฝู” ร่างบางคางแผ่ว ก่อนจะซุกหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง เสียงหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบา

“ข้าเองก็ไม่เข้าใจนัก ว่า ความรัก คืออะไร แต่ว่าตอนนี้หัวใจข้าเต็มแรงมาก เจ้ารู้สึกหรือเปล่า ”

“ฟางซินนี่เจ้า” 

“ข้า ข้า ข้าคิดว่า ข้ากำลัง รักเจ้านะ เจ้าหมอทึ่ม!!” จิ้นฝู แทบไม่เชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน เขาได้แต่กอดร่างบางไว้แน่น  กลัว กลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นแค่ฝัน

“ข้าไม่ได้ฝัน ใช่ไหม โอ้ย!! เจ้าตีข้าทำไม”

“เจ้าจะได้รู้ ว่าไม่ได้ฝัน”

“ข้าดีใจมาก รู้ไหม ข้าไม่คิดเลยว่า เจ้าจะใจตรงกันกับข้า ฟางซิน”

“ข้าก็ไม่คิดหรอก ว่าข้าจะรัก หมอทึ่มเช่นเจ้า”  สองร่างตระกองกอดกันแน่น ทุกส่วนบนใบหน้าล้วนเปี่ยมไปด้วยความสุข สุขที่ในวันนี้หัวใจ ทั้งสองงดวงก็ตรงกันเสียที



ปัง!!!!

“มันอยู่นั่นไง ไปจับตัวมันมา!!” เสียงประตูถูกถีบอย่างแรงก่อนที่คนจำนวนหนึ่งจะกรูกันเข้ามาในบ้านหลังเล็ก

“นี่มันอะไรกัน พวกเจ้าเป็นใคร” จิ้นฝูตวาดลั่นเมื่อ คนพวกนั้นพยายามจะจับตัวร่างบางไป

“จิ้นฝู เจ้าออกมานะ นั่นมันปีศาจ!!” ป้าหนิวที่มาด้วยบอกก่อนจะชี้ไปที่ ฟางซิน

“ป้าพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ”

“คนที่อยู่กับเจ้าคือปีศาจจิ้งจอก ส่งมันมาให้ข้าซะ ก่อนที่มันจะก่อกรรมทำเข็ญไปมากกว่านี้” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่นักพรตไท่
เหอจะเดินออกมา ฟางซินตาเบิกโพลงเมื่อเห็นนักพรตผู้มีอาคมแก่กล้า

“ไม่ใช่ พวกเจ้าอย่ามาหลอกข้า ฟางซินเป็นคนรักของข้า” จิ้นฝูตวาดลั่น ไม่มีทางเขาไม่มีทางยอมให้คนพวกนี้เอาตัวฟางซินไป

“ปีศาจจะคืนร่างเดิมดีๆ หรือจะต้องให้ข้าใช้กำลัง” 

“ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าพา ฟางซินไป!!  ถ้าจะเข้ามาก็ข้ามศพข้าไปก่อน” 

“พวกเจ้าไปจับเจ้าหนุ่มนั่นออกมา ส่วนปีศาจนั่นข้าจะจัดการเอง” สิ้นคำสั่ง ลูกศิษย์ของนักพรตก็กรูกันเข้ามาจับ จิ้นฝูไว้ หมอหนุ่มพยายามปัดป้องทุกวิธีทางแต่ หมอธรรมดาเช่นเขาจะไปสู้คนที่ฝึกยุทธได้อย่างไรไม่นานก็ถูกจับไว้จนได้


กร๊าชชชชชช

ฟางซินคำรามลั่น ดวงตาสีแดงนั้น จ้องที่คนกลุ่มนั้นด้วยความโกรธ

“ปีศาจ จิ้งจอก หากเจ้าทำร้ายคน ข้าเองก็คงเลี่ยงที่จะทำร้ายคนที่เจ้ารักไม่ได้” นักพรตไท่เหอว่า ก่อนจะตวัดกระบี่จ่อที่คอของจิ้นฝู

“เจ้านักพรตชั่ว เจ้าต้องการอะไร” ฟางซินตวาดลั่น

“ปราบปีศาจ คือสิ่งที่ข้าควรทำ คนกับปีศาจไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ เจ้าก่อกรรมทำเข็ญ สังหารมนุษย์ไปมากมาย ถึงเวลาที่เจ้าจะ
ต้องชดใช้ ”

“ฟางซิน อย่าไปฟัง หนีไปไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าไม่เป็นอะไรทั้งนั้น!!!”  หมอหนุ่มบอก แต่ดูเหมือนว่ายิ่งดิ้นคมดาบยิ่งบาดลึกลง
บนผิวมากขึ้นเลือดสีแดงสดซึมออกมาจากแผลอย่างน่าตกใจ

“อย่าขยับนะจิ้นฝู เจ้าอย่าขยับนะ ข้ายอมแล้ว ได้โปรดปล่อยจิ้นฝูไป เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยทุกอย่างเป็นเพราะข้า ข้าใช้เวทมนต์ทำให้เขาหลงใหล” ฟางซินบอกทั้งน้ำตา ชีวิตนี้เขาฆ่าคนมามาก เห็นน้ำตามาก็ไม่น้อย แต่ไม่เคยเลย ไม่เคยสักครั้งที่จะรู้สึกเจ็บเจียนตายเช่นนี้

“ดี ฮ่าๆๆ” นักพรตไท่เหอ หัวเราะร่วนก่อนจะใช้ตาข่ายดักมาร จับฟางซินเอาไว้



“ฆ่ามันๆๆ” เสียงนั้นดังก้องไปทั่วหมู่บ้านเมื่อร่างบางถูกมัดติดกับเสาตันหนึ่งรอบๆนั้นเต็มไปด้วยท่อนไม้ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง  ไม่ไกลกันนักจิ้นฝูก็ถูกชายร่างใหญ่สองคนจับเอาไว้เช่นกัน

“ข้าจะใช้ไฟ เพื่อชำระ ดวงวิญญาณให้สะอาด ปีศาจเอ๋ย จงกลับไปอยู่ในที่ที่เจ้าควรอยู่” ว่าจบนักพรตไท่เหอ ก็บริกรรมคาถา
ก่อนจะจุดไฟขึ้นแล้วโยนเข้าไปในกองฟืนทันที!!

“ฟางซิน ฟางซิน ปล่อยข้า ปล่อยข้า!!!”

จิ้นฝูทั้งตะโกนทั้งดิ้นเมื่อเห็นพระเพลิงกำลังลุกไหม้อย่างหนัก ร่างออ่อนแรงเพราะตาข่ายดักมารมองเขาด้วยแววตาเศร้า

“จิ้นฝู ข้ารักเจ้า ชาตินี้เราสองมิอาจครองคู่ แต่ต้องมีสักวันที่เราจะได้รักกัน ต้องมีสักวันที่เราจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ไม่ว่าจะนาน
แค่ไหน ข้าก็จะรอวันนั้น” เสียงอ่อนล้าเอ่ยบอก่อนจะปิดตาลง เมื่อพระเพลิงนั้นเริ่มเข้ามาใกล้ทุกที

“ฟางซิน!!”  จิ้นฝูตะโกนก้องก่อนจะใช้เรียวแรงทั้งหมดที่มีสะบัดตัวหลุดจากพันธนาการ ไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิด หมอหนุ่มกระโดดเข้าไปในกองไฟที่กำลังลุกโชนท่ามกลางความตกตะลึงของคนทั้งหมู่บ้าน !!


“ฟางซิน ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากไปเพียงลำพัง หากต้องตายข้าพร้อมตายไปกับเจ้า” จิ้นฝูบอกก่อนจะกอดรางบางไว้แน่น

“เจ้าหมอทึ่ม ทำไมเจ้าโงเช่นนี้  ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้” ร่างบางถามทั้งน้ำตา

“เพราะข้ารักเจ้า”



..............................END...........................

 :katai5:  :katai5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2014 01:06:30 โดย pita »

ออฟไลน์ PhInNoI

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
 :o12:
แงๆๆๆๆ เศร้าอีกละ มีต่ออีกไหมอะ

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :sad4: แงเศร้าอีกแล้ว

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13



บ่วงรักคล้องใจ (หย่งเจิ้ง&เหยียนอี้)




แคว้นหนานเจ้า

ชายวัยกลางคนนั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ตรงหน้ามี ราชโองการประทับตรามังกรวางอยู่ ตัวอักษรมากมายกล่าวถึงการส่งเครื่องบรรณาการเมืองหลวง ในปีนี้ หลังอ่านจบเขากลับเอาแต่หายใจอย่างหนัก ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็จนปัญญาจะหาทางออกได้

“ท่านอ๋อง ทำเช่นไรดีขอรับ หรือเราจะขอเจรจาผลัดผ่อนไปก่อน” ชายวัยไล่เลี่ยกันเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของผู้นำแค้วนเคร่งเครียด ปัญหานี้เขาเองก็ไม่ใช่จะไม่รับรู้ เมื่อปีนี้ฝนแล้งผลผลิตแทบไม่พอกิน จะเอาข้าวที่ไหนไปส่งบรรณาการแต่หากไม่ทำ เมืองหลวงอาจจะคิดว่าหนานเจ้าก่อกบฏ แคว้นเล็กๆอย่างหนานเจ้าคงไม่อาจต่อต้านทหารหลายแสนจากเมืองหลวงได้

“ไม่ได้หรอกท่านเสนา เมื่อปีกลายเราก็ผลัดมาแล้วครั้งหนึ่ง หากปีนี้ผลัดอีก คาดว่าฝ่าบาทคงไม่ไว้ชีวิตข้าแน่” ผิงเหออ๋อง บอกอย่างหนักใจ 



“เหวินไท่ ท่านพ่อยังไม่นอนอีกหรือ” เสียงหนึ่งเอ่ยถามคนสนิท เมื่อเห็นว่า เรือนตะวันตก ที่พักของบิดายังมีแสงไฟอยู่

“ข้าน้อย คิดว่าอาจจะเป็นเพราะราชโองการที่มาวันนี้ขอรับ” เหวินไท่บอก ร่างเล็กแต่ถอนใจ มือเล็กกำหมัดแน่น เมื่อไหร่กันที่หนานเจ้าจะเป็นไทเสียที การส่งบรรณาการให้เมืองหลวงทุกปีทำให้ประชาชนต้องอยู่อย่างอดๆยากๆ สองปีมานี้ฝนแล้งผลผลิตได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วยังจะต้องส่งบรรณาการอีกหรือ จิตใจของตนพวกนั้นทำด้วยอะไรกัน

“ข้าจะไปคุยกับท่านพ่อ”

“เกรงว่าจะไม่เหมาะขอรับ ท่านชาย นี่มันก็ดึกมากแล้วข้าน้อยว่าเราควรกลับเรือนตะวันออกนะขอรับ” คนที่ถูกเรียกว่าท่านชายมองคนสนิทอย่างไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะความเป็นเด็กทำให้ร่างเล็กไม่สามารถออกความคิดเห็นอะไรได้เลย


“เมื่อไหร่ข้าจะโตสักที”

ผังเหยียนอี้  บุตรชายคนเล็กของ ผิงเหออ๋อง กล่าวอย่างเอาแต่ใจ แม้จะอายุเพียง 15 ปีแต่กลับมีความคิดที่เด็ดเดี่ยว ฉลาดเฉลียว เป็นที่รักของ ผิงเหออ๋องยิ่ง แต่แม้ภายนอกจะดูปกติแต่ ท่านชายน้อยกลับเป็นโรคประหลาดเมื่อ  เหยียนอี้ เกลียดและกลัว เปลวไฟ ยิ่ง ดังนั้นทุกค่ำคืน จึงต้องอาศัยมุกราตรี ให้ความสว่างแทนการจุดเทียน




เมืองหลิงอัน (เมืองหลวง)

ปังๆๆๆๆ

เสียงประทัดดังสนั่นเป็นการต้อนรับชัยชนะของนายทหารที่สามารถปราบกบฏ เหลียงหวังอ๋อง ลงได้อย่างราบคาบแม้จะมีทหารเพียง 300 นายแต่กลับเอาชนะกองกำลัง อินทรี ของหวังเหลียงอ๋อง ได้อย่างง่ายดาย และคนที่นำทัพในครั้งคือ รองแม่ทัพ เจ้าหย่งเจิ้ง ลูกชายของ แม่ทัพเจ้าหยวนหวัง แม่ทัพใหญ่ของราชสำนัก

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่อายุราว 27-28 ปี สวมเกาะเงินนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำตัวใหญ่ เจ้าหย่งเจิ้ง เฝ้ามองการต้อนรับด้วยแววตานิ่งเฉย คิ้วเข้มขมวดแน่นเมื่อเห็นว่าการฉลองชัยนั้นดูเป็นเรื่องที่ไร้สาระ กว่านายทหารทั้งหมดจะมาถึงวังหลวงได้ก็ใช้เวลาหลายชั่วยาม ร่างสูงรีบลงจากหลังม้าก่อนจะเข้าถวายรายงานกับฮ่องเต้ทันที

“กระหม่อม เจ้าหย่งเจิ้ง ถวายบังคม ฝ่าบาท” ร่างสูงคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์ก่อนจะยื่นหนังสือรายงานให้ ขันทีนำไปถวายเจ้าเหนือหัว

“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องมากพิธี ” ฮ่องเต้ตรัส

“หย่งเจิ้ง ครั้งนี้เจ้าทำดีมาก หวังเหลียงอ๋องเป็นหนามตำใจข้ามานาน จนแทบจะกลายเป็นหนอง แต่เจ้ากลับใช้เวลาไม่กี่เดือนสามารถปราบเขาลงได้ ถ้าข้าไม่ให้รางวัลเจ้าดูจะเกินไปจริงๆ”

“กระหม่อน มีหน้าที่ทำเช่นนั้นอยู่แล้วพะยะค่ะ กระหม่อมไม่ได้ต้องการสิ่งใดเป็นรางวัล” หย่งเจิ้งกราบทูล

“ไม่ได้ๆ เอาเป็นว่าให้ข้าคิดก่อนว่าจะให้รางวัลเจ้าอย่างไรดี กลับไปพักผ่อนเถอะ”

“กระหม่อมทูลลา”

 “ฝ่าบาท พระองค์คิดจะทำอะไร กับพี่ชายกระหม่อม พะยะค่ะ” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนที่ร่างบางในเครื่องแต่งกายงดงามอย่างราชนิกูลชั้นสูงจะเดินออกมาจากหลังม่าน

“ข้าอยากจะแกล้งคน” ฮ่องเต้ เหวินหลง ตรัสก่อนจะรั้งร่างบางนั้นเข้าสู้อ้อมพาหา

“แกล้งคน”

“ใช่ แกล้งเจ้าเพื่อนหน้านิ่งนั้นยังไงล่ะ ตั้งแต่เด็กจนโต ข้าไม่เคยเห็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพเจ้ายิ้มเลยสักครั้ง วันๆก็อยู่แต่กับ
ตำราพิชัยสงคราม หรือไม่ก็ฝึกยุทธ์ อายุอานามหรือก็มิใช่น้อยๆแล้ว ยังไม่มีท่าทีว่าจะแต่งงานเสียที พ่อเจ้าเองก็กังวลอยู่ไม่ใช่หรือว่า จะไม่มีลูกหลานสืบสกุล ในเมื่อลูกชายคนรองก็กลายเป็นสนมของข้าไปแล้วแบบนี้ ใช่หรือไม่ หยางหยาง”




ถนนนอกเมืองหลินอันรถม้าคันหนึ่งแล่นมาอย่างไม่รีบร้อนนัก ข้างๆรถม้านั้นมีชายสองคนขี่ม้าอยู่ใกล้ๆ  บนรถม้ามีเพียงสองคนคือ คนบังคับรถและคนโดยสาร

“เหวินไท่ ที่นี้ คือหลินอันหรือ”  เหยียนเปิดม่านออกมาดูอย่างกระตือรือร้น แม้ว่าจะไม่ชอบคนเมืองหลวงอยู่มากแต่การที่ได้เห็น หลินอัน ที่คึกคักก็ทำให้ร่างเล็กอดที่จะสนุกไม่ได้

“ใช่ขอรับ ที่นี่คือหลินอัน” เหวินไท่มองร่างเล็กด้วยสายตาเห็นใจ  วังหลัง แก่งแย่งชิงดี เด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมเช่นท่านชายจะทนอยู่ได้อย่างไรกัน

“เหวินไท่ เหตุใดชอบมองข้าด้วยแววตาเช่นนั้น ถึงเจ้าจะเห็นข้าเป็นเด็ก แต่ข้ารู้ตัวดีว่าการมาเมืองหลวงครั้งนี้ ข้าต้องเจอดับอะไร และข้าก็เตรียมใจยอมรับมันไว้แล้ว เจ้าควรจะดีใจเพราะการที่ข้ามาอยู่ที่นี่อย่างน้อย ประชาชนชาวหนานเจ้าทุกคนก็จะอยู่ดีกินดี
ขึ้น” ร่างเล็กบอกก่อนจะยิ้มกว้างเพื่อให้คนสนิทคลายกังวล เขาคิดดีแล้วที่จะทำมัน เพราะตราบเท่าที่เขายังอยู่ที่นี่ หนานเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องส่งบรรณาการให้เมืองหลวง หากเขาอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต อย่างน้อย หนานเจ้าจะเป็นไทไป 50 ปีหรืออาจมากกว่านั้น เหยียนอี้ ถูกเลี้ยงมาให้มองคนที่ต่ำกว่าเสมอ แต่หาใช่มองอย่างดูแคลนแต่เป็นการมองผู้ที่ด้อยกว่าด้วยสายตาแห่งความเมตตา หน้าที่ของเขาคือทำให้ชาวหนานเจ้าอยู่ดีกินดี นั่นคือสิ่งที่เขาถูกสอนมาตลอด

ต่อให้ต้องกลายเป็นข้ารับใช้เขาก็ต้องทำ เพื่อบ้านเมืองและประชาชนชาวหนานเจ้า



วันต่อมา…

เหยียนอี้ ที่มาถึงหลินอันเมื่อวานนี้ถูกปลุกขึ้นแต่เช้าเมื่อข้ารับใช้บอกว่า ฮ่องเต้ ทรงต้องการให้เข้าเฝ้า แม้ว่าจะยังพักผ่อนไม่เต็มที่แต่ก็มิอาจขัดประสงค์ของโอรสสวรรค์ได้

“กระหม่อม ผังเหยียนอี้ ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆปี”

“ลุกขึ้นเถอะ เจ้าคือ ลูกชายคนเล็กของ ผิงเหออ๋องหรือ ปีนี้อายุเท่าไหร่”  สุรเสียงทุ้มตรัสถาม

“ปีนี้ 15 พะยะค่ะ” ร่างเล็กตอบ

“เช่นนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่เหยียนอี้ว่าเจ้าถูกส่งมาเมืองหลวงเพราะเหตุใด”

“กระหม่อมเต็มใจบุกน้ำลุยไฟ หากเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท”

“ดี เจ้าพูดเองนะ ว่ายินดีทำทุกอย่าง ” สุรเสียงทุ้มบอกก่อนจะ ทรงสรวลเบาๆ เมื่อนึกถึงเรื่องสนุกที่รออยู่ภายหน้า



จวนแม่ทัพ

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกกลับมาแล้ว” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนที่บุรุษร่างบางในอาภรณ์งดงามนั้นจะเดินเข้ามาในจวน

“หยางหยาง เจ้ากลับมาเยี่ยมบ้านหรือ” ฮูหยินเจ้า เอ่ยกับลูกชายคนเล็ก

“ขอรับเท่าแม่ ข้าคิดถึงพวกท่านก็เลยอยากมาหา”

“เหอะ ฮ่องเต้ ปล่อยเจ้ากลับบ้านแบบนี้แปลว่ากำลังมีแผนอะไรอยู่ในใจ สินะ” เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนที่ ร่างสูงจะเดินเข้ามาใบหน้า
เรียบนิ่งแต่แผงแววดุดันดังชายชาติทหารนั้นทำให้ น้องชายได้แต่ย่นจมูก

อยากเห็นรอยยิ้มเหมือนที่ฝ่าบาทบอก อยากรู้ว่าถ้าเจ้าพี่ชายหน้านิ่ง นี่มีความรักจะเป็นเช่นไร


“พี่ใหญ่ ท่านชอบระแวงฝ่าบาทอยู่เรื่อย พระองค์ไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย”

“เหอะ น้อยไปสิ หยางหยาง พี่ชายเจ้าคนนี้ เป็นเพื่อนกับ ฮ่องเต้มากี่ปี แถมตอนนี้ยังมีตัวยุ่งอย่างเจ้าไปอยู่ด้วย ข้ารับรองว่าตัว
ข้าต้องมีเรื่องปวดหัวอีกมากเป็นแน่”

“พี่ใหญ่ ข้าไม่ใช่ตัวยุ่งนะ” ร่างบางแหวลั่น

“ขอประทานอภัยที่ทำให้ พระสนมทรงกริ้ว” ร่างสูงล้อเลียน

“เอาล่ะๆ พวกเจ้าสองพี่น้องเจอกันทีไรก็ทะเลาะกันเสียทุกครั้ง แม่ปวดหัวเสียจริง หยางหยาง วันนี้แม่จะไปไหว้พระขอพรให้พี่
ชายเจ้า เจ้าจะไปกับแม่ไหม” ฮูหยินเจ้าเอ่ยปากห้ามศึกสายเลือด แม้ลูกชายสองคนจะโตจนมีครอบครัวได้แล้วแต่ก็ยังไม่วาย
ทะเลาะกันเป็นเด็กเสียทุกครั้ง แต่นางก็ดีใจ เพราะอย่างน้อยยามที่อยู่กับน้อง ลูกชายคนโตของนางยังมีท่าทางขี้เล่น และสีหน้าอย่างอื่นบ้าง แต่นั่นก็เป็นแค่รอยยิ้มบางๆเท่านั้น

“ท่านแม่จะไปขอพร เรื่องคู่ครองให้พี่ใหญ่หรือ”

“พี่ชายเจ้าปีนี้อายุ 28 แล้วแต่ยังไม่มีคู่ใจเลย แม่เองก็กลัวว่าตัวเองจะไม่ทันเห็นหน้าหลาน”

“โถ่ ท่านแม่ ข้าเพิ่ง 28 ยังมีเวลาอีกมาก ตอนนี้ชายแดนเองก็ยังไม่สงบ ข้าคงไม่อาจแต่งงานตอนนี้ได้”

“เจ้าดูพี่ชายเจ้านะ หยางหยาง สงสัยสกุลเจ้าคงไม่มีทายาทสืบสกุลแน่ แม่ไปก่อนดีกว่า สายมากแล้ว เจ้าก็อยู่ที่นี่รอแม่ก่อน อย่าเพิ่งกลับเข้าวังล่ะ”

“ท่านแม่วางใจได้ คินนี้ข้าจะค้างที่บ้าน” หยางหยางบอก ก่อนจะประคองผู้เป็นแม่ไปส่งที่ประตูจวน



“เจ้าบอกความจริง กับพี่มาดีกว่า หยางหยาง เจ้ากับฮ่องเต้ กำลังคิดจะทำอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยถามก่อนที่แววตาคมจะจ้องน้องชายอย่างคาดคั้น

“พี่ใหญ่ สบายใจได้ ข้ารับรองว่ามันจะดีกับท่าน และครอบครัวเราแน่นอน”

“ยิ่งเจ้าพูดเช่นนี้ พี่ยิ่งกังวลใจ ปกติแค่ ฮ่องเต้ ข้าก็รับมือยากอยู่แล้ว ครั้งนี้มีเจ้าร่วมอีกคน ชีวิตข้าคงจะวุ่นวายหาที่สิ้นสุดไม่ได้”

“โถ่ ท่านรองแม่ทัพ ขนาดกบฏนับหมื่นยังปราบลงได้ จะกลัวอะไรกับน้องชายเช่นข้ากัน” บอกอย่างติดตลกก่อนจะคลี่ยิ้มเอาใจ

“ก็เป็นเป็นเจ้า พี่ถึงต้องกลัว”

“ไม่ต้องกลัว ข้ารับรองว่า มันจะดีแน่นอน”  ร่างบางบอกก่อนจะหัวเราะลั่นยิ่งทำให้พี่ชายกังวลมากขึ้น แค่เพียงรับมือกับฮ่องเต้ที่ชอบแกล้งเขาก็ทำเอาเขาปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว นี่ยังต้องรับมือกับน้องชายจอมแสบอีกคน เห็นทีเรื่องนี้คงทำให้เขาหัวขาวก่อนวัยเป็นแน่

“นายท่าน มีราชโองการถึง คุณชายใหญ่ขอรับ” คนรับใช้วิ่งเข้ามาในห้องโถงที่ประมุขของบ้านนั่งอยู่ ต่างคนต่างมองหน้ากันด้วย
ความสงสัยแต่กลับมีหนึ่งคนที่ยกยิ้มกว้าง

“มาแล้วสินะ” หยางหยางพึมพำ

“รองแม่ทัพ เจ้าหย่งเจิ้ง รับราชโองการ” ขันทีที่เป็นตัวแทนพระองค์ประกาศก้องก่อนที่ยกราชโองการขึ้นอ่าน

“เนื่องจากรองแม่ทัพ เจ้าหย่งเจิ้ง มีความดีความชอบ ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาประทาน สมรสพระราชทานกับ ผังเหยียนอี้ บุตรชายคนเล็กของ ผิงเหออ๋อง ในอีก 7 วัน จบราชโองการ”

“กระหม่อนรับราชโองการ ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆปี”  หย่งเจิ้งที่คุกเข่าอยู่ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะลุกขึ้นน้อมรับราชโองการ

“หยางหยาง นี่ใช่ไหมเรื่องดีของเจ้า” เอ่ยถามน้องชายเสียงเข้ม

“ฮ่องเต้ทรงห่วงใยกลัวว่าบ้านเราจะไม่มีทายาท ไม่สมควรเป็นเรื่องดีหรือ”

“เจ้านี่มัน”

“เห็นที ข้าคงต้องกลับเข้าวังแล้ว ท่านก็เตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวได้เลย อีก 7 วันเกี้ยวเจ้าสาวจะมาที่บ้านเรา”ร่างบางเอ่ยอย่างอารมณ์ดีต่างจากคนฟังที่ขมวดคิ้วแน่น

“ท่านชาย นอนเถอะขอรับ” เหวินไท่ ที่เห็นว่าเจ้านายร่างเล็กยังไม่นอน เอ่ยเตือนขึ้นเบาๆ

“เหวินไท่ เจ้าว่า รองแม่ทัพเจ้าจะเป็นคนเช่นไร” เสียงนั้นเอ่ยถาม แม้จะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็อดกลัวไม่ได้ เหยียนอี้รู้ตัวดี ว สักวันเรื่องเช่นนี้อาจเกิดขึ้นเพียงแต่ไม่คิดว่าจะเร็วถึงเพียงนี้

“จากที่ ข้าน้อยให้ คนไปสืบนั้น ท่านรองแม่ทัพนับว่าเป็นยอดคนแห่งยุคเมื่อไม่กี่วันก่อนสามารถปราบกบฏได้โดยใช้ทหารเพียง 300 นาย”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยดีกว่า ดกมากแล้วเจ้าไปนอนเถอะ” ร่างเล็กบอกก่อนจะล้มตัวลงนอน เหวินไท่ ได้แต่มองอย่างเป็นห่วงแต่ก็จนปัญญาจะช่วยอะไรได้


หากว่านี่คือ ความต้องการของฟ้า คนธรรมดาอย่างเขาจะห้ามมันได้อย่างไร




“ฝ่าบาท กระหม่อมถามอะไรพระองค์ได้หรือไม่ พะยะค่ะ” หยางหยางเอ่ยถามร่างสูงที่ตะกองกอดตนไว้แน่น

“เจ้าจะถามอะไรล่ะ” สุรเสียงทุ้มถามกลับ ก่อนที่โอษฐ์หนาจะกดจูบลงบนหัวไหล่เนียน

“ทั้งๆที่ บุตรของผิงเหออ๋องเป็นชาย ทำไม พระองค์ถึงประทานให้พี่ใหญ่ วันก่อนทรงตรัสเรื่อง ทายาทตระกูลเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ”

“หึ เจ้าไม่ต้องกลัว ตระกูลเจ้า มีทายาทสืบสกุลแน่นอน” 

“กระหม่อมไม่เข้าใจ” ร่างบางเลิกคิ้วถาม

“ตามตำนานเล่าว่า ชาวหนานเจ้า คือ ทายาทแห่งหนี่วา เทพหนี่วาคือ “แม่” ของทุกสรรพสิ่ง ดังนั้น ไม่ว่าหญิงหรือชาย สำหรับชาวหนานเจ้าแล้ว สามารถให้กำเนิดบุตรได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าไม่ใช่ ผู้ชายทุกคนจะให้กำเนิดบุตรได้ คนผู้นั้น ต้องเป็นสายเลือดบริสุทธิ์แห่งหนี่วา และเกิด วันที่ 9 เดือน 9 เท่านั้น”

“พระองค์จะบอกว่า เหยียนอี้ คือ ทายาท หนี่วา หรือ”

“ใช่ เหยียนอี้คือ ทายาทแห่งหนี่วา เขาจึงเป็นสิ่งล้ำค้าที่ถูกส่งมาเพื่อบรรณาการแก่ข้า แลกเปลี่ยนกับ อิสรภาพของหนานเจ้า จนกว่า เหยียนอี้จะสิ้นอายุขัย”

“น่าสงสารจัง เขายังเด็กนักในเวลานี้ ไม่รู้ว่าจะร้องไห้ งอแงหรือเปล่าหากว่าเจอหน้าพี่ใหญ่จริงๆ”

“เจ้าอย่าห่วงไปเลย นอนได้แล้วพรุ่งนี้ต้องไปงานแต่งงานพี่เจ้าไม่ใช่หรือ”




ปังๆๆๆ

เสียงประทัดบนถนนที่ทอดตรงไปยังจวนแม่ทัพเกี้ยวสีแดงขนาดใหญ่เคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ หน้าขบวนร่างสูงของหย่งเจิ้งในชุดเจ้าบ่าว ควบม้านำอยู่ ผู้คนในเมืองหลินอันต่างออกมารอชมขบวนเจ้าสาวที่งดงามนั้นอย่างตื่นเต้น ว่ากันว่า การแต่งงานครั้งนี้เป็นสมรสพระราชทานและเจ้าสาวเองก็เป็นน้องบุตรธรรมของฮ่องเต้ เท่ากับว่าตอนนี้ ตระกูลเจ้า แทบจะเป็นตระกูลทีมีอิทธิพลที่สุดในหลินอัน



ร่างสูงลอบถอนใจ เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงจวนแม่ทัพที่ตอนนี้ประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงละอักษรมงคล แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นหน้าเจ้าสวาของตัวเอง รู้เพียงว่าเป็นบุตรชายคนเล็กของ ผิงเหออ๋องแห่งหนานเจ้าเท่านั้น งานแต่งงานเป็นไปอย่างราบรื่น ตลอดทั้งวันมีแขกมากมายเข้ามาอวยพรตั้งแต่ราชนิกูลชั้นสูง พ่อค้าคหบดี รวมไปถึงประชาชนทั่วไป ข้างหน้ามีการแจกอาหารแก่ผู้ยากไร้อีกด้วย นับว่าเป็นงานที่คึกคักยิ่ง



เหยียนอี้ นั่งอยู่ในห้องหออย่างกระวนกระวาย ร่างเล็กกำลังกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้น เขาไม่รู้ว่าจะหลีกเลี่ยงมันได้อย่างไร แต่เขายังไม่พร้อม ในตอนนี้

“หืม มุกราตรีหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนที่ร่างสูงที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างชายชาตรีจะเดินเข้ามาในห้อง เหยียนอี้สะดุ้งเฮือก
ลมหายใจสะดุดเป็นห้วงๆ แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีได้

“อย่างที่ หยางหยางบอกไว้เลยสินะ ว่าเจ้าอยู่ใกล้เปลวไฟไม่ได้”

“ชะ ใช่” ร่างเล็กตอบ

“เจ้าเป็นอะไรกลัวข้าหรือ” เสียงนั้นเอ่ยถามก่อนที่ ร่างสูงจะก้าวมาตรงหน้า

“ขะ ข้า ไม่ได้กลัว เพียงแต่ว่าข้า..”

“วางใจเถอะ ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก เจ้ายังเด็กนักและข้าเองก็ไม่นิยมชมชอบบุรุษ”  ว่าจบมือหนาก็เปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงออกอย่างเบามือ หยงเจิ้ง พิจารณาเจ้าสาวของตัวเองพลางขมวดคิ้วแน่น เหยียนอี้ไม่ได้งดงามอ่อนหวานอย่างหยางหยาง แต่แววตาคู่นั้นคล้ายมีแววขี้เล่นซุกซนตามวัย เหมือนเด็กชายทั่วไปมากกว่า แต่ถ้าเทียบกับทหารหรือชายหนุ่มทั่วไปแล้วถือว่าอีกฝ่ายค่อนข้าวตัวเล็กเลยทีเดียว คงถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอม

“ท่านจะไม่ทำอะไรข้า แน่นะ ตะ แต่ว่า..”

“เจ้าไม่ต้องกลัว เจ้าจะเป็นภรรยาข้าแต่เพียงในนามเท่านั้น”

“ขอบคุณท่านรองแม่ทัพ”

“ยังจะเรียกรองแม่ทัพอีก เจ้าเป็นภรรยาข้า เรากราบไหว้ฟ้าดินกันแล้ว ต่อไปเรียกข้าว่า ท่านพี่เถอะ”

“เหยียนอี้เข้าใจแล้ว ท่านพี่”

เหยียนอี้ มองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาชื่นชม เจ้าหย่งเจิ้ง เป็นสุภาพบุรุษที่หาได้ยาก แม้ท่าทางจะดูน่าเกรงขามอย่างนายทหารแต่เขารับรู้ถึงความหวังดีและความอ่อนโยนในกระแสเสียงนั้นได้ดี

“นอนเถอะ ดึกมากแล้ว”

“ครับ”  เหยียนอี้รับคำก่อนจะถอดชุดที่รุ่มร่ามนั้นออกอย่างระมัดระวัง ร่างเล็กมองแผ่นหลังกว้างของ สามี ก่อนจะหลบสายตา ยามที่เอ่ยขานอีกฝ่ายว่า ท่านพี่ คล้ายมีกระแสบางอย่างที่ทำให้หัวใจสะท้อนไหว ยิ่งอยู่ใกล้หัวใจยิ่งเต้นแรง นี่เขาเป็นอะไรไปนะ




“พี่สะใภ้ เมื่อคืนหลับสบายไหม” เสียงหวานนั้นเอ่ยขึ้นก่อนที่หยางหยางจะเดินเข้ามาหาร่างเล็กที่นั่งเล่นอยู่ในสวน

“หลับสบายดี พะยะค่ะ พระสนม”

“ไม่เอาสิ อย่าเรียกแบบนั้น เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เรียกห่างเหินเช่นนั้นได้อย่างไร” ร่างบางบอกพลางทำหน้าขัดใจ

“พี่สะใภ้เรียกข้าว่า หยางงหยางก็ได้”

“ไม่ได้ๆ ถึงอย่างไรพระสนมก็อายุมากกว่ากระหม่อม”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าเรียกพี่สะใภ้ว่า เหยียนอี้ ดีไหม แล้วพี่สะใภ้ก็เรียกข้าว่า พี่หยางหยาง แล้วก็ห้ามใช้ราชาศัพท์ด้วย”

“ได้ครับ พี่หยางหยาง”

“ดีจังเลย ข้าอยากมีน้องชายมานานแล้ว มีเจ้าอยู่ด้วยข้าต้องมีเรื่องสนุกๆทำอีกเยอะเลย” ร่างบางบอกอย่างร่าเริง

“เจ้ายังไม่เข้าวังอีกหรือ หยางหยาง” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พลางนั่งลงบนม้าหินใกล้ๆกับเหยียนอี้

“ทำไมพี่ใหญ่ต้องรีบไล่ ข้าด้วย อ้อ อยากอยู่กับพี่สะใภ้ละสิ ข้าไม่กวนก็ได้ ต้องรีบไปกราบทูลฮ่องเต้ดีกว่า ว่าพวกท่านรักกันดี

ยิ่ง”



“หยางหยางมากวนเจ้าหรือเปล่า” ย่งเจิ้งเอ่ยถาม

“ไม่ครับ พี่หยางหยางมาชวนข้าคุยเท่านั้น”

“เจ้าเองก็ควรจะทำใจให้สบาย ตอนนี้ที่นี้คือบ้านของเจ้า ข้ารู้นะว่าเจ้าอาจจะยังไม่คุ้นเคยแต่คนที่นี้ไม่มีใครไม่ต้อนรับเจ้า” ว่า
พลางวางมือหนาลงบนศรีษะของร่างเล็กอย่างเอ็นดู  แม้ว่าหย่งเจิ้งจะยังไม่ได้รู้สึกรักภรรยาของตนอย่างหนุ่มสาวทั่วไป แต่ร่างเล็กตรงหน้าก็ทำให้เขาเอ็นดูได้ไม่อยาก

“เหยียนอี้จะจำไว้”




......................ต่อด้านล่าง....................

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13

ผ่านมาหนึ่งเดือนที่ เหยียนอี้ แต่งงานกับ หย่งเจิ้ง ดูเหมือนว่าร่างเล็กจะสามารถเข้ากับครอบครัวใหม่ได้เป็นอย่างดี ฮูหยินเจ้าทั้งรักทั้งหลงลูกสะใภ้ จนพูดถึงไม่หยุดปาก ซ้ำหยางหยางยังขยันกลับบ้านมาเล่นกับน้องชายคนใหม่อยู่ไม่ขาด

“ท่านแม่ จะไปไหนหรือครับ” เหยียนอี้เอ่ยถาม แม่สามี เมื่อเห็นว่า ฮูหยินเจ้ากำลังจะออกไปข้างนอกพร้อมสาวใช้คนสนิท

“แม่จะไปขอพรพระ พ่อกับแม่อยากเห็นหน้าหลานแล้ว เผื่อว่าพระท่านจะเมตตาประทานหลานมาให้แม่สักคน” ฮูหยินเจ้ายิ้มเมื่อเห็นว่าหน้าของลูกสะใภ้เห่อแดงเพราะความเขิน

“ขะ ข้า คือ ข้า..”

“เอาเถอะๆ แม่รู้ว่าเจ้ายังเด็ก แต่คนแก่ใจร้อน ไปเอง วันนี้แม่ขอพรให้ครอบครัวเรามีความสุขก็พอแล้วเจ้าว่าดีไหม”


“ดูท่าทาง ฮูหยินเจ้าอยากจะมีหลานแล้วนะขอรับ” คล้อยหลังฮูหยินเจ้าคนสนิทของร่างเล็กก็เอ่ยล้อทันที

“เจ้าพูดอะไร ของเจ้าเหวินไท่”

“ก็พูดความจริงไงขอรับ ท่านเองก็แต่งงานแล้ว แล้วก็ดูท่าทาง ท่านรองแม่ทัพก็รักใคร่ท่านดี เรื่องมีทายาทมันไม่น่าจะใช่เรื่องแปลก”

“แต่ข้ากลัว” เหยียนอี้บอกเสียงแผ่ว

“ไม่ต้องกลัวหรอกขอรับ เรื่องนี้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีอะไรน่ากลัวทั้งนั้น” บอกก่อนจะกุมมือเรียวไว้แน่น แม้เหวินไท่จะเป็นคนสนิทและองครักษ์ แต่ความจริงแล้วทั้งสองสนิทกันราวพี่น้องเพราะแม่ของเหวินไท่คือแม่นมของเหยียนอี้ เรียกได้ว่า เหวินไท่เห็นเหยียนอี้มาตั้งแต่เกิด

“ขอบใจเจ้ามากนะ เหวินไท่” ร่างเล็กยิ้มกว้าง



“เหยียนอี้! ข้ากลับมาแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น เหยียนอี้หันไปยิ้มกว้าง ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาร่างสูงที่เพิ่งกลับมาจากเข้าเฝ้า มือเรียวจัดการปลดผ้าคลุมออกให้ ก่อนที่ร่างสูงจะเดินนำเข้าห้อง

“ปกติ อยู่ที่หนานเจ้าเจ้าสนิทกับเหวินไท่มากหรือ”

“ครับ ข้ากับเหวินไท่ถูกเลี้ยงดูด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก อาจจะสนิทกว่าพี่ชายแท้ๆของข้าด้วยซ้ำ” ร่างเล็กตอบพลางถอดชุดรองแม่ทัพที่แสนรุ่มร่ามนั้นออก

“อืม” ร่างสูงขานรับ บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงรู้สึกไม่พอใจนักที่ เหวินไท่จับมือเหยียนอี้ ทั้งๆที่เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้รัก         เหยียนอี้เช่นนั้น  แต่ความรู้สึกในตอนนี้ช่างคล้ายหึงหวงมากเหลือเกิน

“ท่านพี่ กำลังไม่พอใจข้าหรือเปล่า”

“เปล่า ว่าแต่เจ้าเถอะ เพลงกระบี่ที่สอนฝึกไปถึงไหนแล้ว”

“ข้าก้าวหน้าขึ้นมากแล้วนะ รับรองว่าอีกไม่กี่ปีข้าก็สามารถ สู้กับท่านได้แล้ว” เหยียนอี้บอกอย่างร่าเริงจนอีกคนอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มอวบอย่างหมั่นเขี้ยว

“แล้วข้าจะคอยดูว่าเด็กน้อย อย่างเจ้าจะสู้ข้าได้อย่างไร”





……………………………………………………………………………………….


วันนี้เป็นงานเทศกาลโคมไฟ ทั่วทุกแห่งในเมืองหลวงเต็มไปด้วยโคมไฟสีต่างๆทั้งโคมไปธรรมดาไปจนถึงโคมไฟลวดลายแปลกตา ร่างเล็กจากหนานเจ้ากำลังตาลุกวาวกับโคมไฟรูปมังกรขนาดใหญ่ตรงหน้า เรียกรอยยิ้มให้ผู้พบเห็นได้มากโข

“ท่านพี่ โคมไฟพวกนี้สวยจัง” ร่างเล็กชี้ให้ดูโคมไฟหลายหลายรูปแบบที่ประดับอยู่ตามถนน

“ก็ต้องสวยสิงานเทศกลาโคมไฟทั้งที เจ้าไปดูด้านโน้นกับพี่ไหม มีของเล่นแปลกๆให้เจ้าเล่นอีกเยอะเลยนะ” แทนที่รองแม่ทัพหนุ่มจะเป็นฝ่ายตอบแต่ กลับเป็นน้องชายร่างบางของอีกฝ่ายตอบแทนพลางชักชวนให้เหยียนอี้ไปเล่นด้วยกันเสียด้วย

“หยางหยาง เจ้าก็อย่าซนให้มากนัก ดูสิขนาดเหยียนอี้เด็กกว่าเจ้าตั้งหลายปียังไม่ซนเท่าเจ้าเลย” สุรเสียงทุ้มตรัสขึ้นวันนี้ ฮ่องเต้เหวินหลงทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนเพื่อจะมาชมเทศกาลโคมกับสนมคนโปรด

“ฝ่า…ท่านพี่ ก็พูดเกินไปข้าซนที่ไหนกัน” ร่างบางย่นจมูกอย่างไม่พอใจ

“เจ้าหรือไม่ซน”

“พอเถอะ ข้าว่าต่อให้ชาตินี้ทั้งชาติ  ท่านก็ไม่ชนะหยางหยางหรอก” กลายเป็นร่างสูงที่เป็นฝ่ายห้ามทัพ

“ท่านพี่ให้ข้าไปเล่น ด้านโน้นกับพี่หยางหยางได้ไหม” ร่างเล็กเอ่ยถาม มือเรียวจับชายเสื้อของ หย่งเจิ่งแน่น ร่างสูงระบายลม
หายใจก่อนจะพยักหน้าอนุญาต 



“เหอะ ดูท่าเจ้ากับเหยียนอี้ยังไม่เป็นสามีภรรยากันโดยสมบรูณ์สินะ” คล้อยหลังคนรักฮ่องเต้ก็ตรัสถามกับเพื่อนสนิท

“ทำไมถึงพูดเช่นนั้น”

“ท่าทีของพวกเจ้า มันเหมือนผู้ปกครองกับเด็กในปกครองมากกว่า สามี ภรรยานะสิ”

“ท่านก็รู้ว่าข้า ไม่ได้ชอบบุรุษ”

“ข้าเองก็ใช่จะชอบ แต่ข้าก็รักหยางหยาง”

“นั่นย่อมต่างกัน ข้าเอ็นดูเหยียนอี้ เหมือนน้อง เด็กคนนั้นยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องรักๆใคร่ๆ ในคำสั่งของท่านแค่ให้ข้าแต่งงาน
ไม่ใช่หรือ”  หย่งเจิ้งบอกเสียงเรียบ

“หย่งเจิ้งหนอหย่งเจิ้ง มีเพชรอยู่ในมือแต่เจ้ากลับไม่คว้าไว้ หากภายหน้ามีคนเอาเพชรเม็ดนี้จากเจ้าไป เจ้าจะเสียดายไม่ได้นะ”

“หากว่าคนที่รับมันไป เห็นคุณค่าของมันข้าก็ยินดี”

“แล้วข้าจะคอยดู เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะทำเช่นไร” ฮ่องเต้ตรัส



“พี่หยางหยาง โคมรูปดอกบัวพวกนั้นสวยจังเลย” ร่างเล็กบอก

“เจ้าดูตื่นเต้นกับเทศกาลนี้เสียจริง เด็กน้อย”

“ตื่นเต้นสิ ที่หนานเจ้าไม่เคยมีเทศกาลแบบนี้หรอกครับ ”

“งั้นเราไปดูด้านโน้นกัน”

“แต่ว่าทางนั้นมันไกลนะครับแล้วท่านพี่..”

“ช่างเถอะน่า มีเหวินไท่ไปด้วยเจ้าจะกลัวอะไร” รางเล็กพยักหน้าอย่างจำยอมก่อนจะเดินตามร่างบางไปอีกทาง






“ว๊าย!!! แย่แล้ว ฝั่งโน้นมีเรื่องกัน” เสียงโวกเหวกโวยวายของชาวบ้านทำให้ หย่งเจิ้งรีบมองหาร่างเล็กกับน้องชายทันทีแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า

“หย่งเจิ้ง ข้าว่าดูท่าจะดีแล้ว” สุรเสียงทุ้มบอก

ยังไม่ทันที่ ฮ่องเต้จะตรัสจบร่างสูงของ รองแม่ทัพแห่งกองพิทักษ์เวยขวาก็รับวิ่งไปที่เกิดเรื่องทันที ลางสังหรณ์ในใจมันบอกว่าคนที่มีเรื่องคงไม่พ้นคนของเขา


แต่หลังจากที่ไปถึงพบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดสงบแล้ว ร่างของนักเลง 10 กว่าคนนอนโอดโอยอยู่บนพื้นถนน   ฮ่องเต้เหวิน หลงรับไปประคองร่างบางของคนรักเข้ามาในอ้อมกอด ต่างจากหย่งเจิ้งที่กำลังมองมือหนาของเหวินไท่ โอบไหล่ของคนที่เขาเรียกว่า ภรรยา ไว้  คิ้วเข้มขมวดแน่น ความไม่พอใจแล่นริ้วขึ้นภายในอก ก่อนที่จะทันได้คิดอะไร มือหนาก็กระชากข้อมือบางมากำไว้แน่น

“ทะ..”

“เงียบ!!! แล้วกลับบ้านกับข้าเดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มตะคอก เหยียนอี้ที่ในชีวิตไม่เคยถูกตะคอกสักครั้งมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตาซ้ำมือหนายังกำข้อมือเขาแน่นจนเจ็บไปหมด

“ท่านรองแม่ทัพ ปล่อยมือคุณชายเถิด ท่านกำแน่นเกินไปแล้ว”

“หุบปาก!! เจ้าเป็นใครบังอาจมาสั่งสอนจ้า เหยียนอี้เป็นภรรยาข้า ข้าจะทำเช่นใดมันก็เรื่องของข้า!!” ว่าจบก็ลากเด็กหนุ่มจาก
แดนใต้ออกไปทันที



หย่งเจิ้งกำลังโกรธ

โกรธอย่างที่ตัวเองไม่เคยโกรธมาก่อน เขารู้สึกไม่ชอบใจ และระแวงสงสัยในความสัมพันธ์ของ เหยียนอี้กับเหวินไท่ แม้ว่า ร่างเล็กจะบอกเขาว่าเป็นแค่นายบ่าว แต่เขากลับไม่คิดเช่นนั้น
หรือสองคนนี้จะมีความสัมพันธ์ที่เขาไม่ล่วงรู้


ตุ๊บ!!

ร่างสูงเหวี่ยงร่างเล็กลงบนเตียงก่อนที่ตาคมจะจ้องเด็กน้อยที่ตัวสั่นด้วยความกลัวเขม็ง

“ท่านพี่ ท่านเป็นอะไร”

“เจ้าบอกข้ามาตามตรงได้ไหม ว่าเจ้ากับเหวินไท่ มีความสัมพันธ์กันเช่นไร”

“ข้ากับเหวินไท่ เป็นแค่ นายบ่าว ที่รักกันเหมือนพี่น้องเท่านั้น เรื่องนี้ข้าเคยบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือ”

“เหอะ พี่น้องที่ไหน เขาโอบกอดกันเช่นนั้น ซ้ำยังในที่สาธารณะ เจ้าแต่งงานกับข้า แต่ให้ ผู้ชายคนอื่นกอด เจ้ายังเห็นข้าอยู่ใน
สายตาไหม เจ้ายังเห็นข้าเป็นสามีอยู่หรือเปล่า เกียรติยศของข้าถูกการกระทำของเจ้าเหยียบจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว!!!” ร่างสูงตะคอก

“หึ ท่านเป็นห่วงเรื่องนี้หรือ ท่าเอาแต่ถามหาเกียรติของท่านโดยไม่ถามสักคำว่าข้าเป็นอะไรไหม รองแม่ทัพเจ้าท่านมันเห็นแก่ตัว” ร่างเล็กตัดพ้อ มือเรียวกำหมัดแน่นเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ตลอดเวลา เขาเห็นร่างสูงเป็นผู้ชายที่น่าเคารพนับถือ แต่
วันนี้คนตรงหน้าเขากลับเป็นใครที่เขาไม่อาจรู้จัก เป็นคนบ้าที่ห่วงแต่เกียรติจนไม่สนว่าเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร นั่นหรือ ที่กล้าแทนตัวว่า สามี  แม้จะเป็นเพียงแค่ในนาม

“ท่านเอง ก็เป็นแค่ สามี ในนามของข้าเท่านั้น!!”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะทำให้มันเป็นจริงเสียตอนนี้เลยดีไหม” เสียงทุ้มตวาดก่อนจะกระชากอีกคนเข้ามาอย่างแรง ร่างเล็กปะทะแผงอกแกร่ง ก่อนที่ริมฝีปากของหย่งเจิ้งจะกดลงบนปากบาง

รสจูบที่ไร้ความปรานี

เหยียนอี้พยายามขัดขืนแต่ก็ทำได้น้อยนิดมืดหนานั้นดังคีมเหล็กที่ตรึงเขาไว้แน่นรสจูบที่ส่งมาไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเป็นเพียงจูบที่กรุ่นไปด้วยโทสะของร่างสูง จนเหยียนอี้ได้กลิ่นคาวเลือดของตัวเอง มันไม่เจ็บที่ตัว แต่มันเจ็บที่ใจ คนๆนี้ คือคนที่เขายกย่องมาตลอด คนๆนี้คือคนที่เขาไว้ใจมากที่สุด คนๆนี้คือคนที่เขาฝากชีวิตเอาไว้ แต่แล้ว เขากลับได้เพียงแค่ น้ำตา เป็นสิ่งตอบแทนหรือ

ปังๆๆๆๆ

“พี่ใหญ่เปิดประตูให้ข้านะ เปิดเดี๋ยวนี้!!” นอกห้องร้างบางตะโกนลั่นพลางทุบประตูเสียงดังสนั่น เขาจะปล่อยให้พี่ใหฯทำร้ายน้อง
ชายคนสำคัญของเขาไม่ได้

“ฝ่าบาททรงทำอะไรสักอย่างสิ พะยะค่ะ!!”

“เจ้ากำลัวตวาดฮ่องเต้นะ หยางหยาง”

“ข้าไม่สน ถ้าน้องชายของข้าเป็นอะไรไปพวกท่านต้องรับผิดชอบ”

“พี่ใหญ่ถ้าท่านไม่ยอมเปิด ข้าจะพังเข้าไปแล้วนะ!!” หยางหยางยังคงตวาดลั่น ก่อนจะหันไปสั่งคนที่ยืนข้างๆ

“ฝ่าบาทพังประตู เข้าไปสิ พะยะค่ะ” เชื่อว่า บนโลกนี้ คงมีแค่หยางหยางคนเดียวที่กล้าตวาดโอรสสวรรค์ถึงสองครั้ง

“ได้ๆ ข้าจะพังแล้ว” วรองค์สูงตรัสก่อนจะพังประตูเข้าไปอย่างที่คนรักบอก

ปัง!!!

ทันทีที่ประตูพังร่างบางของหยางหยางก็วิ่งเข้าไปช่วยเหยียนอี้ทันที ร่างเล็กที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ถูกโอบกอดแน่น ร่างเล็กนั้นสั่นกลัวราวลูกนกที่ร้องหาแม่

“พี่ใหญ่ท่านทำเกินไปแล้วนะ ข้าจะพาเหยียนอี้ไปอยู่ในวังด้วย!!” ว่าจบร่างบางก็ประคองน้องชายคนสำคัญออกไปทันที


“เจ้าไม่ต้องตามไปหรอก” สุรเสียงทุ้มตรัสห้าม

“บางทีอาจจะเป็นข้าเองที่ผิด หากข้าไม่มีราชโองการนั้น เรื่องมันก็อาจจะไม่ลงเอยเช่นนี้ หย่งเจิ้ง ข้าเคยถามว่าเจ้าคิดอย่างไรกับ
เหยียนอี้ ถึงตอนนี้ข้าจะถามมันซ้ำอีกครั้ง จงกลับไปคิดทบทวนให้ดี ใจของเจ้าคิดเช่นไรกับเหยียนอี้กันแน่ ลองตัดเหตุผลทุกอย่างไป แล้วใช้แค่ความรู้สึกตัดสินใจบ้างนะ  ข้าคงบอกเจ้าได้เท่านี้ หากว่าเจ้าไม่ถนอมเพชรเม็ดนี้เอาไว้ มันก็สมควรถูกส่งให้กับคนที่จะถนอมมันจริงๆ”


ร่างสูงของรองแม่ทัพ ยืนนิ่งอยู่ในห้องก่อนจะทรุดลงที่เก้าอี้อย่างเหนื่อยใจ เขาทำอะไรลงไป เขาทำอะไรอยู่กันแน่ คำถามของ เจ้าเหนือหัว ยังคงวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาไม่มีที่สิ้นสุด


“ท่านรองแม่ทัพ ข้าน้อยขอบังอาจบอกอะไรกับท่านได้หรือไม่” เหวินไท่ค้อมกายอย่างนอบน้อมเป็นเชิงขออนุญาตก่อนจะพูดขึ้น

“ข้ากับท่านชาย โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก  สำหรับข้าน้อยแล้ว ท่านชายไม่ได้เป็นแค่เจ้านาย แต่ยังคือน้องชายคนสำคัญ ไม่มีวันที่
จะคิดเป็นอื่นได้”


3 วัน ผ่านไป

“เหยียนอี้ ยังไม่คุยกับใครอีกหรือ” ฮ่องเต้ตรัสถามคนรัก ก่อนจะทอดพระเนตรร่างเล็กที่ยังคงนั่งนิ่งในเก๋งฤดูร้อนกลางสวน

“ยังเลย พะยะค่ะ พี่ใหญ่นะพี่ใหญ่ทำร้ายน้องชายข้าได้ คอยดูนะถ้ายังไม่มาง้อ เหยียนอี้ พรุ่งนี้ข้าจะบุกถึงจวนเลย” ร่างบางว่า

“ข้าว่า คงไม่ต้องให้เจ้าลงมือหรอก อีกไม่นาน หย่งเจิ้งต้องมาที่นี้”

“พระองค์รู้ได้อย่างไร พะยะค่ะ”

“เพราะข้าได้รับ ฏีกา ว่าชายแดนทางเหนือกำลังมีการซ่องสุมกำลังเพื่อก่อกบฏ ข้ามีราชโองการให้หย่งเจิ้งไปปราบกบฏเดิน
ทางใน 3 วัน ศึกครั้งนี้อาจจะยืดเยื้อกว่าครั้งก่อนด้วยซ้ำถ้าหย่งเจิ้งไม่มา ก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกเมื่อไหร่”


“ฝ่าบาท พระสนม รองแม่ทัพเจ้าขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ” ขันทีคนสนิททูลรายงาน วรองค์สูงแย้มสรวลก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิง
อนุญาต

“ฝ่าบาท เหยียนอี้ อยู่ที่ไหน พะยะค่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยถามหลังจากที่ได้รับราชโองการเมื่อเช้า หย่งเจิ้งแทบจะทนรอที่จะเข้าวังไม่ไหว จิตใจมันกระวนกระวายไปหมด อยากจะพูดอยากจะบอกให้อีกฝ่ายเข้าใจ

“หย่งเจิ้ง ถ้าเจ้าเข้าไปหาเหยียนอี้ตอนนี้ แน่ใจหรือว่าจะไม่ทำร้ายเหยียนอี้อีก หากเจ้าไม่แน่ใจ ไม่พร้อมที่จะดูแล ข้าจะไม่บังคับใจเจ้าอีก” สุรเสียงทุ้มตรัส  พระเนตรคมมองเข้าไปในดวงตาสีนิลของเพื่อนสนิทอย่างหาคำตอบ และหวังว่าวันนี้มันจะเป็นคำตอบที่พระองค์พอพระทัย แม้ในคราแรกเพียงต้องการอยากจะเห็นคนผู้นี้ยามที่อยู่ในห้วงรัก แต่พระองค์กลับลืมคิดถึงจิตใจอันเปราะบางของเหยียนอี้ หากว่า สิ่งที่พระองค์ทำนั้นมันผิด พระองค์ก็ไม่ลังเลที่จะแก้ไขมัน การได้พูดคุยกับร่างเล็กทำให้อดที่จะเอ็นดูไม่ได้ และพระองค์ก็อยากให้ เหยียนอี้กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม

“กระหม่อม บอกได้แต่เพียงว่าเวลานี้ จิตใจของกระหม่อมนั้น ร้อนรนดั่งไฟสุม มันคือความรู้สึกลึกล้ำที่ไม่อาจเข้าใจได้ ทั้งโหยหา
ทั้งคิดถึง แต่เพราะกระหม่อมไม่เคยมีความรัก จึงไม่อาจกราบทูลได้ว่านั่น ใช่ รัก หรือไม่” รองแม่ทัพหนุ่มบอกอย่างหนักแน่น

“คำนี้พูดกับข้าจะมีประโยชน์ อะไร เหยียนอี้อยู่ใน สวน ไปเถอะ ข้าว่าเขาก็รอเจ้าอยู่เช่นกัน”



ร่างสูงคำนับให้ฮ่องเต้ก่อนจะวิ่งไปที่สวนของตำหนัก ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยอยู่เสมอเผยยิ้มกว้างทันทีที่เห็นแผ่นหลังเล็กที่คุ้นเคย

หมับ!!

“เอ๊ะ!!”  ร่างเล็กสะดุ้งเมื่อถูกกอดจากด้านหลัง

“เหยียนอี้ ข้าเอง”

“ท่านพี่”

เหยียนอี้ครางแผ่วเมื่อเสียงทุ้มคุ้นเคยกระซิบที่ข้างหู

“ท่าน ฮึก ท่านพี่” น้ำตาเม็ดโตร่วงเผาะ  ไหล่บางสะอื้นน้อยๆจนคนสูงกว่าต้องโอบไว้แน่น

“อย่าร้องไห้ พี่ขอโทษ ขอโทษนะ ที่ทำร้ายเจ้า ขอโทษที่ไม่ยอมฟังเหตุผล ของเจ้าเลย ขอโทษนะเหยียนอี้” ร่างสูงว่าพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น

“เหยียนอี้ กลับบ้านเรานะ กลับบ้านเรา….กับพี่”

“ทานพี่” เหยียนอี้ โผเข้ากอดร่างสูงแน่น ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยชอบคนเมืองหลวง แต่เขาชอบคนบ้านสกุลเจ้า ชอบพี่หยางหยางที่
ร่าเริง ชอบฮ่องเต้ที่บางครั้งก็ชอบแกล้งเขา และที่สำคัญ เขาชอบ คนตรงหน้านี้มาก  ชอบยามที่ร่างนั้นส่งยิ้มให้ ชอบที่มือหนามักลูบผมเขาอย่างอ่อนโยน ชอบอ้อมกอดที่มีให้มาเสมอ ชอบ…จนคล้าย จะรัก

“เด็กโง่ อย่าร้อง เห็นไหมตาบวมหมดแล้ว” มือหนาประคองไหล่บางอย่างทะนุถนอม  จนคนสองคนที่แอบมองอยู่ยิ้มกว้างตามไปด้วย

..จวนแม่ทัพ..

“ท่านพี่มีอะไรจะบอกข้า หรือ” ร่างเล็กถามก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้

“เหยียนอี้  แต่งงานกันไหม”

“แต่ ข้ากับท่านก็แต่งกันแล้วไม่ใช่หรือ” ร่างเล็กเลิกคิ้วถาม

“ไม่ใช่ นั่นเป็นแค่เรื่องที่เราสองคนทำตามราชโองการ พี่หมายถึง แต่งงานกันจริงๆ การแต่งงานที่เจ้าเต็มใจ”

“ไม่ว่าจะเพราะ ราชโองการ หรือเพราะอะไร วันนี้ เวลานี้ เราสองคนก็แต่งงานกันแล้ว และข้าก็เต็มใจที่จะเป็น ภรรยาท่าน”

“ข้าอาจจะเก่งกาจในเรื่องการรบ แต่สำหรับ ความรัก พี่คงเป็นคนที่โง่งมที่สุด แต่เจ้าจะลองเสี่ยงกับพี่สักครั้งได้ไหม”

“เหยียนอี้….พี่รักเจ้า เจ้าหย่งเจิ้ง คนนี้ ขอสาบานต่อฟ้า ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆจะไม่ขอรักใครอีก นอกจากผังเหยียนอี้ คน
เดียว”

จุมพิตหวานล้ำถูกประทับลงบนริมฝีปากบาง มันอ่อนหวานแต่ก็เต็มไปด้วยแรงปรารถนา ทันทีที่ถูกปล่อยเหยียนอี้หอบตัวโยน
ราวกับถูกดูดอากาศออกไปจากตัว เรียกรอยยิ้มให้อีกฝ่ายได้ไม่อยาก หย่งเจิ้ง ก็ไม่เคยคิดว่า จะต้องมีภรรยาที่อายุน้อยเพียงนี้แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้เวลามันผ่านไปอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว

“พี่จะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเต็มใจจะเป็น ภรรยา ของพี่ใช่ไหม”

“ข้าเต็มใจ…เพราะข้าเองก็รักท่าน เช่นกัน”

คำว่ารัก เกิดขึ้นเมื่อใดไม่มีใครรู้ แต่ในเวลานี้ เมล็ดพันธ์นั้นได้เติบโตงอกงามและหยั่งรากลึกลงไปในหัวใจทั้งสองดวง


ริมฝีปากหนาทาบทับลงมาอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะเลาะเล็ม ชิ้มเนื้อนุ่มอย่างห้ามไม่อยู่ ลิ้นร้อนค่อยๆสอดเกี่ยวกระหวัดตามแรงอารมณ์ที่เพิ่มขึ้น แม้อีกฝ่ายจะไร้เดียงสา แต่มันกลับกระตุ้นให้ชายหนุ่มต้องการมากขึ้น  สองร่างกอดรัดบนเตียงอย่างหื่นกระหาย เสื้อผ้าถูกถอดอย่างรวดเร็วแทบไม่ทันตั้งตัว ทุกสัมผัสที่นั้น สร้างความแปลกใหม่ให้กับเหยียนอี้

“อะ อื้อ” ร่างเล็กครางแผ่วเมื่อมือหนาลูบไล้ไปบนร่างเปลือยเปล่าทุกที่ ที่ถูกสัมผัส ทุกทีที่ ถูกจุมพิต นั้นร้อนผ่าว ร่างเล็กบิดกายด้วยความเสียวซ่าน  หัวใจเต้นแรงกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้รับ
หย่งเจิ้งก้มลงชิมผิวเนื้อเนียนละเอียด ทุรอยที่ฝากไว้เป็นตราประทับว่าร่างกายนี้เป็นของเขา คือคนที่เขาต้องปกป้องดูแลไปตลอดชีวิต

“พี่รักเจ้านะ เหยียนอี้”

“ข้าก็รักท่าน ท่านพี่”

ทุกสัมผัสตราตรึงโหมกระหน่ำ สอดประสานสายใยให้ร่างกายและหัวใจผูกพันกันมากขึ้น  ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ทุกนาทีเต็มไปด้วยคำว่ารัก ทั้งสองเฝ้ากระซิบรักผ่านร่างกายอย่างไม่เบื่อหน่าย


ห่างไกลพันลี้ยังได้พบพาน   บุพเพสรรค์สร้างมิอาจฝืน…



“เหยียนอี้ มีเรื่องหนึ่งที่พี่ต้องบอกเจ้า” เสียงทุ้มเอ่ยกับคนในอ้อมกอด

“ท่านมีมีอะไรหรือ”

“ช่วงนี้ มีรายงานว่า ชายแดนทางเหนือมีการซ่องสุมกำลังหวังก่อกบฏ พี่ต้องนำทัพไปปราบในอีก 3 วัน เจ้าโกรธพี่หรือไม่”

“อย่าห่วงไปเลย ท่านเป็นถึงรองแม่ทัพ ข้าเป็นภรรยาของท่านย่อมต้องยินดีกับเกียรติครั้งนี้เช่นกัน”

“ขอโทษนะ เหยียนอี้ เพราะพี่ไม่ดีเอง ถ้าพี่รู้ใจตัวเองเร็ว เราคงอยู่ด้วยกันได้นานกว่านี้”

“ข้าไม่เคยคาดหวังเรื่องอนาคต เพียงแค่วันนี้ ตอนนี้ แค่ข้าได้อยู่ในอ้อมกอดท่าน ข้าก็มีความสุขแล้ว”


……………………………………………………………………………


“ฮูหยินน้อย จดหมายจากคุณชายใหญ่มาถึงแล้วขอรับ” ข้ารับใช้นำซองจดหมายมายื่นให้ร่างเล็ก อย่างที่ทำเป็นประจำ

“ขอบใจเจ้ามาก” เหยียนอี้บอกก่อนจะ แกะจดหมายนั้นออกอ่านอย่างเบามือ มันเป็นเช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว หลังจากที่ หย่งเจิ้งต้องออกเดินทางไปชายแดน ร่างสูงก็เขียนจดหมายมาหาเขาแทบทุกวันและยังบังคับให้เขาเขียนตอบทุกฉบับอีกด้วย ถึงเขาจะห้ามก็ไม่ยอมฟัง จนกลายเป็นว่าทุกวันเขาต้องตั้งตารอจดหมายของ สามี จนเป็นเรื่องเคยชิน แม้ว่า เนื้อความในจดหมายจะเอาแต่เล่าเรื่องชายแดนที่เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่อย่างน้อย ก็ทำให้ ความคิดถึง คลายลงไปได้บ้าง

“พี่ใหญ่เขียนจดหมายมาอีกแล้วหรือ” เสียงหวานของหยางหยางเอ่ยทักขึ้น

“ใช่ครับ พี่หยางหยางนั่งก่อน วันนี้ท่านแม่สอนข้าทำขนม เยวข้าจะไปหยิบมาให้ท่านชิมนะ” เหยียนอี้บอกอย่างร่าเริง ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อนไปหยิบขนมมาให้พี่ชายคนสนิท

“เอ๊ะ!!”

“เหยียนอี้ เจ้าเป็นอะไรไป” หยางหยางร้องลั่นเมื่อเห็นว่า พี่สะใภ้ ของตนหน้ามืด จนแทบจะทรุดลงไปกับพื้น

“เหยียนอี้ ใครอยู่แถวนี้บ้างไปตามหมอที ฮูหยินน้อย เป็นลม!!!”


“ท่านหมอ อาการของลูกสะใภ้ ข้าเป็นยังไงบ้าง” ฮูหยินเจ้าเอ่ยถามหมอวัยกลางคนที่กำลังจับชีพจรของเหยียนอี้

“เรียน ฮูหยิน ข้าขอถามสักเรื่องได้ไหม ขอรับ”

“มีอะไรหรือ”

“ฮูหยินน้อย เป็นชาวหนานเจ้า ใช่หรือไม่”

“ท่านหมอรู้ได้อย่างไร ว่าเหยียนอี้เป็น ชาวหนานเจ้า” ฮูหยินถามอย่างแปลกใจ

“ตอนแรกข้าแปลกใจกับเรื่องนี้อยู่มาก แต่หากว่า ฮูหยินน้อยเป็นชาวหนานเจ้าเรื่องนี้ก็นับว่าไม่แปลกนัก”

“พี่สะใภ้ข้าเป็นอะไรอย่างนั้นหรือท่านหมอ ได้โปรดบอกมาเถอะ” หยางหยางที่นั่งฟังอยู่นานโพล่งขึ้น

“เรียนพระสนม ฮูหยินน้อยไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร หรอกขอรับ ซ้ำยังเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง ฮูหยินตั้งครรภ์ได้ เกือบเดือนแล้ว
ขอรับ”

“ท้อง!!” หยางหยางตะโกนลั่น คล้ายว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอย่างอื่นได้ ทั้งดีใจทั้งตกใจปนกันมั่วไปหมด ขนาดฮูหยินเจ้าเองก็ยังเอาแต่ ประนมมือไหว้ขอบคุณเทพบนสรรค์ที่ประทานทายาทให้สกุลเจ้า

“ขอรับ เช่นนั้นข้าจะเขียนเทียบยาให้ ต้มกินเช้าเย็นเพื่อลดอาการวิงเวียนและอาการแพ้นะขอรับ”

“ขอบคุณท่านหมอ”



“เหยียนอี้ ได้ยินไหมเจ้าท้อง”

“ข้า ฮึก ข้า ฮึก ฮื่อๆๆๆ” ร่างเล็กที่กำลังจะเป็นแม่คนร้องไห้จ้า มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจ แต่มันคือน้ำตาแห่งความปิติ เพราะนี่คือลูกของเขากับคนที่เขารัก

“เด็กโง่ เป็นแม่คนแล้วยังร้องไห้เป็นเด็กๆ ไม่เอาไม่ร้องเดี๋ยวหลานพี่ ขี้แยนะ”

....ต่อด้านล่าง...
 

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13



สามเดือนผ่านไป

เหยียนอี้ที่ตอนนี้ท้องได้เกือบสี่เดือนแล้วกำลังอ่านจดหมายของ หยงเจิ้ง ให้ลูกฟังอย่างตั้งใจ นั่นเพราะต้องการให้ลูกใกล้ชิดกับพ่อบ้าง เพราะถึงแม้ว่าร่างสูงจะรู้ว่าเขาท้อง แต่ด้วยภาระหน้าที่ทำให้ไม่อาจมาเยี่ยมได้อย่างที่ใจคิด จึงต้องใช้การเขียนจดหมายมาหาแทนจากวันละฉบับกลายเป็นสองฉบับ เพราะร่างสูงดูเหมือนจะมีเรื่องคุยกับลูกเยอะเสียเหลือเกิน

“อ่านจดหมาย พี่ใหญ่อยู่อีกแล้วหรือ”

“ครับ พี่หยางหยาง” ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะสังเกตว่าคนที่นั่งตรงข้ามตนพักนี้ดูไม่ค่อยร่าเริงอย่างที่เคยเป็น

“พี่หยางหยาง มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าครับ”

“เฮ้อ พี่บอกตามตรงนะ เหยียนอี้ ตอนนี้พี่กำลัง อิจฉาเจ้า”

“อิจฉาข้า ข้ามีตรงไหนน่าอิจฉากัน” ร่างเล็กขมวดคิ้วแน่น

“พี่อยากมีลูกได้อย่างเจ้า” เสียงหวานบอก

“ทำไมล่ะครับ”

“เจ้าก็รู้ วังหลัง แก่งแย่ง ชิงดี วันนี้ทรงโปรดพรุ่งนี้อาจจะทรงชัง ฝ่าบาทมีสนม นางใน มากมายมาให้เลือกไม่ขาด ไม่แน่ว่า สักวันพี่อาจจะถูกทอดทิ้ง”

“ไม่หรอกครับ ฝ่าบาทรักท่านจะตาย”

“ใครจะไปรู้เรื่องของอนาคต ข้าก็แค่เหงา ถ้าเกิดวันหนึ่ง ฝ่าบาทไร้เยื่อใยกับพี่ พี่คงต้องอยู่คนเดียว แต่หากว่าพี่มีลูก อย่างน้อยก็ยังมีใครสักคนอยู่กับพี่”

“พี่อยากมีลูก จริงๆหรือครับ”

“อยากสิ” เสียงหวานบอกอย่างหนักแน่น

“ข้าช่วยท่านได้ แต่ว่าผลข้างเคียงของมันอาจจะรุนแรงจนท่านรับไม่ไหว ข้าเคยเห็นคนที่ยอมกินมัน ส่วนมากมักจะไม่รอด”

“เจ้ากำลังพูดให้ข้ากลัวหรือเปล่า”

“ไม่ใช่นะครับ ข้าแค่อยากเตือนท่าน ว่ามันไม่ง่าย”

“เหยียนอี้ ขอร้องล่ะช่วยข้าด้วย”

“ได้ครับ ข้าจะช่วย แต่เดิมนั้น ชาวหนานเจ้าไม่ว่าจะชายหรือหญิง ก็สามารถให้กำเนิดบุตรได้ แต่สำหรับเพศชายนั้น ต้องเป็นบุคคลที่เกิดวันที่ 9 เดือน 9 เท่านั้น แต่ในอดีต เคยมีอ๋อง หนานเจ้าที่มี พระชายาเป็นชายแต่ไม่สามรถกำเนิดบุตรได้ อ๋องคนนั้น ได้เสาะหาหมอเทวดาทั่วแผ่นดินเพื่อปรุงยาวิเศษ”

“ยาพวกนั้นอยู่กับเจ้าใช่หรือเปล่า”

“จริงๆส่วนประกอบพวกนั้น หาซื้อที่ไหนก็ได้ครับ แต่ว่ายาตัวนั้น ต้องผสมกับเลือดของ ทายาทแห่งหนี่วา”

“แปลว่า พี่ต้องดื่มเลือดเจ้าหรือ” ร่างบางตาเบิกโพลง ถ้าพี่ใหญ่รู้เข้าล่ะก็เขาต้องถูกฆ่าแน่

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ มันใช้แค่ 9 หยด แต่ผลข้างเคียงนั่น ต่างหากที่ข้ากลัว ยานี้จะทำให้อวัยวะภายในเปลี่ยนแปลง ทำให้ปวดท้องอย่างหนักติดต่อกันสามวันเต็ม แต่หากพี่ผ่านไปได้พี่จะเป็นเหมือนข้า แต่น้อยคนนักที่จะสามารถผ่านมันไปได้ มันจึงกลาย
เป็นยาต้องห้ามของ หนานเจ้า ครับ” 

“ข้าอยากให้พี่ลองคิดให้ดี”

“พี่ไม่กลัว!” หยางหยางบอกอย่างหนักแน่น



“โอ้ย!!! อึก อ๊ากกกกกกกกกก”

เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของคนรักทำให้วรองค์สูง ได้แต่กำมัดแน่น ทั้งๆที่คนรักต้องทุกทรมานแต่พระองค์กลับทำได้แค่ยืนมอง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!

“หมอหลวง หยางหยางเป็นอะไร มีใครหน้าไหนบอกข้าได้บ้างว่า เมียข้าเป็นอะไร!!” สุรเสียงทุ้มตวาดลั่นทำเอาเหล่าบรรดาหมอ
หลวงต่างโขกศรีษะอย่างหวาดกลัว

“คะ คือ คือ ว่า ข้า พระองค์ ไม่ทราบสาเหตุ จริงๆ พะยะค่ะ” 

“พวกเจ้าเป็นหมอ แต่ทำไมถึงหาสาเหตุไม่ได้!!! มันน่าเอาไปสับแล้วโยนให้สุนัขกินเสียให้หมด ทหาร ลากพวกมันไปประหาร!!”

“ฝ่าบาท ยะ อย่า พะยะค่ะ  หมอหลวงไม่ได้ผิด อย่าทำ อย่าประหาร” เสียงอ่อนแรงนั้นบอก ก่อนที่วรองค์สูงจะกอดยอดดวงใจของพระองค์ไว้แน่น

“หยางหยาง อย่าพูดเลย อย่าพูด เจาจะเหนื่อยนะ” สุรเสียงนั้นสั่นเครือ เมื่อเห็นว่าคนรักอ่อนแรงเหลือเกิน

“เหยียนอี้ มีแค่เหยียนอี้ ที่รู้ ไปตามเหยียนอี้”

“เหยียนอี้หรือ ได้ข้าจะให้คนไปตามเขามาหาเจ้า”

………………………………………………………………………………………….

“เจ้าว่าอะไรนะ!!!” สุรเสียงทุ้มตวาดลั่นเมื่อ ร่างเล็กตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง วรองค์สูงสั่นทิ้มก่อนจะตะกองกอดร่างที่นอนอ่อนแรงบนเตียง

“หยางหยาง ข้ารักเจ้า ข้ารักเจ้านะ ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ แม้ว่าข้าจะมี สนมมากมาย แต่คนเดียวที่ข้ารักก็คือเจ้านะ หยางหยาง” 

เหยียนอี้ยืนมองวรองค์สูงที่กอดร่างบางไว้แน่นก่อนจะยกยิ้ม เขาเชื่อว่าหยางหยางจะผ่านมันไปได้ เพราะความรักและกำลังใจจาก ฮ่องเต้


ตลอดสามวันเหยียนอี้ต้อง อยู่ในวัง เพื่อคอยเฝ้าดูอาการของหยางหยาง  รวมทั้งต้องคอยห้ามปรามฮ่องเต้ ที่มักจะเอาโมโหง่ายเพราะความเป็นห่วงคนรัก จนคนในวังไม่มีใครเข้าหน้าติด

“เหยียนอี้” เสียงอ่อนแรงนั้นเอ่ยเรียก

“พี่ดีขึ้นไหม ยังปวดอยู่หรือเปล่า”

“พี่ดีขึ้นแล้ว ขอบใจเจ้ามากที่อยู่เป็นเพื่อน ทั้งๆที่เจ้าเองก็ท้องอยู่แท้ๆ”

“อย่าห่วงเลย ข้าไม่เป็นอะไร เดี๋ยวฝ่าบาทกลับจากประชุมขุนนาง คงดีใจมากที่ท่านหายแล้ว”


…………………………………………………………………………………………………….

ใกล้กำหนดคลอดเข้าไปทุกทีจดหมายจากหย่งเจิ้งยิ่งมาบ่อย วันๆคนรับใช้แทบจะไม่ต้องทำอะไรนอกจากคอยรับส่งจดหมาย และแน่นอน เหยียนอี้ไม่ลืมที่จะบอกข่าวดีกับหย่งเจิ้งว่า หยางหยางตั้งครรภ์ได้ สี่เดือนแล้ว ตอนนี้ฝ่าบาทแทบไม่ให้เดินออกจากตำหนัก แรกๆเขาก็ไปเยี่ยมได้บ้างแต่พอท้องแก่ก็ไม่สามารถไปไหนได้เกรงว่าจะคลอดก่อนกำหนด

“เหยียนอี้ พวกเจ้าสองสามี ภรรยานี่ วันๆ จะเขียนจดหมายถึงกันอย่างเดียวเลยหรือ” เสียงหวานที่คุ้นเคยเอ่ยทักก่อนที่พระสนมคนโปรดจะเดินเข้ามาพร้อมกับสวามี

“ถวายพระพรฝ่าบาท”

“ไม่ต้องหรอกเราคนกันเองทั้งนั้น ที่สำคัญเจ้าก็ทั้งแก่แล้วจะมาลุกๆนั่งๆ ได้ยังไง ถ้าหย่งเจิ้งกลับมาแล้วรู้ว่าข้าให้เจ้าทำความเคารพทั้งๆที่ท้องแก่ ข้าอาจจะเป็นฮ่องเต้ที่โดนรองแม่ทัพต่อยก็ได้นะ”

“ขอบพระ…………เอ๊ะ!!” ร่างเล็กนิ่วหน้า เมื่อรู้สึกปวดท้องขึ้นมากะทันหัน

“เหยียนอี้เจ้าเป็นอะไร”

“ข้าปวดท้อง”

“หรือว่าเจ้าจะคลอด ตามหมอ ท่านก็ไปตามหมอมาสิ เร็วๆ” ร่างบางตวาด

ความโกลาหลเกิดขึ้นทั้งจวนแม่ทัพ เมื่อ ฮูหยินน้อย กำลังจะคลอดทายาทคนแรกของบ้าน ทุกคนสีหน้าเป็นกังวลเพราะด้วยที่ เหยียนอี้เป็นชายทำให้มีอันตรายในหารคลอดมากแม้ว่า ฮ่องเต้ จะให้นำหมอที่เก่งที่สุดจากหนานเจ้ามาที่นี้ก็ตาม


แง้ๆๆๆๆ
ผ่านไปพอสมควร เสียงเด็กร้องในห้องก็ดังขึ้นพร้อมกับที่สาวใช้ อุ้มคุณหนู คนแรกของบ้านออกมา

“นายท่าน ฮูหยิน เป็นคุณชายน้อยเจ้าคะ”

“จริงเหรอ หลานย่า” ฮูหยินเจ้ายิ้มอย่างดีใจก่อนจะรับหลานชายมาอุ้มไว้แนบอก



เสียงควบม้าดังขึ้นท่ามกลางความมืด ชายหนุ่มร่างสูงหวดแส้อย่างไม่ยั้งมือ ทันทีที่รู้ข่าว หย่งเจิ้งแทบจะกระโดดขึ้นม้าเพื่อมาดูหน้าลูกแต่ก้จนปัญญาเมื่อศึกกำลังอยู่ในช่วงอันตราย เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมมากมายจนในที่สุดก็เอาชนะมาได้แต่ก็ต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์   ร่างสูงยิ้มกว้างเมื่อประตูเมืองหลวงอยู่ไม่ไกล

เหยียนอี้ เยว่เทียน ข้ากลับมาแล้ว


“คะ คุณชายใหญ่” ข้ารับใช้ที่ต่างเห็น หย่งเจิ้งได้แต่ก้มหน้านิ่ง ชายหนุ่มรีบลงจากหลังม้าก่อนจะก้าวเข้าไปในบ้าน ทันที

“เหยียนอี้ พี่กลับมาแล้ว” ตะโกนอย่างดีใจแต่กลับไร้เสียงตอบ บ้านดูเงียบเสียจนเขาแปลกใจ

“หย่งเจิ้ง” เสียงสั่นเครือเอ่ยขึ้น ก่อนที่ฮูหยินที่ในอ้อมกอดมีเด็กชายตัวน้อยอยู่จะเดินออกมาหา

“นี่ เยว่เทียน ของข้าใช่ไหมครับ ท่านแม่”

“ใช่ นี่เยว่เทียนของเจ้า”

“ลูกพ่อ” ชายหนุ่มรับลูกชายมาอุ้มแนบอก ความดีใจแล่นริ้วในอก จนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

“ท่านแม่ เหยียนอี้ล่ะครับ ตั้งแต่ข้ามายังไม่เห็นเลย”

“เหยียนอี้ เหยียนอี้เขา.. ฮึก ” ฮูหยินเจ้าบอกเสียงสั่น ร่างสูงย่นคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะสังเกตชุดของผู้เป็นแม่ แม่อยู่ในชุดไว้ทุกข์

“ท่านแม่ เหยียนอี้ เป็นอะไร”

“เหยียนอี้ จากพวกเราไปแล้ว”

หยงเจิ้งแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน แต่ป้ายวิญญาณที่เขาไม่สังเกตในตอนแรกเป็นสิ่งตอกย้ำได้ดีว่า เขามาช้าเกินไป ..


5 ปี ผ่านไป

“เยว่เทียน พ่อเจ้าล่ะ” หยางหยางเอ่ยถามหลานชายวัยสี่ขวบที่นั่งเล่นอยู่กับเหวินไท่

“อยู่กับท่านแม่ ในสวนครับ” เด็กชายตอบเสียงใส

“เช่นนั้น ให้ เฟยหลง เล่นกับเจ้าได้ไหม ”

“ได้สิครับ เฟยหลงมาเล่นกับข้านะ” เด็กน้อยบอกก่อนจะจูงมือเด็กชายวัยไล่เลี่ยกันอีกคนไป

หยางหยางได้แต่ถอนหายใจอย่างหนัก คำว่า อยู่กับท่านแม่ ของเยว่เทียนทำให้เขายิ่งหนักใจ หลังจากที่เหยียนอี้จากไป พี่ชายเขาก็กลายเป็นคนซึมเศร้าแม้ภายนอกจะไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แต่ทุกคนก็มองออกว่าภายใต้หน้ากากเรียบเฉยนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด หย่งเจิ้ง ยังคงเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยม แต่กลับเหมือนไม่มีชีวิต ทุกครั้งที่ไปรบ จะทุ่มสุดกำลังเหมือนไม่เสียดายชีวิต เขารู้ดีว่าพี่ชายกำลังตรอมใจ  หากไม่มีเยว่เทียน ไม่แน่ว่าพี่ชายเขาอาจจะตามเหยียนอี้ไปแล้วก็ได้  ภาพพี่ชายที่กำลังนั่งกอดป้ายวิญญาณของเหยียนอี้ดูเศร้าเสียจนเขาต้องเบือนหน้าหนี ตั้งแต่วันที่เหยียนอี้จากไป เขาก็เคยเห็นพี่ชายตัวเองยิ้มอีกเลย…


ปีที่ 20 ในรัชสมัยฮ่องเต้ เหวินหลง แม่ทัพเจ้าหย่งเจิ้ง พลีชีพในสนามรบอย่างสมเกียรติ ร่างของเขาถูกนำไปฝังที่เดียวกับภรรยาเพื่อทั้งสองจะได้อยู่เคียงข้างกันชั่วนิจนิรันดร์


……………..END………………………



 :hao5: มีโอกาสได้คุย เสียที ลำนำ ร้อยรัก เป็น นิยายแนวจีนโบราณ

ที่เกี่ยวกัน โดย ภพชาติ ค่ะ

เพียงใจมั่นรัก จะอยู่ในช่วงราชวงศ์ถัง ส่วน บ่วงรักตล้องใจ จะเป็น ช่วงราชวงศ์ ซ่งใต้

แม้ว่าจะเกี่ยวข้องกัน ตามภพชาติ แต่พิตตั้งใจว่า ทั้งสอง จะไม่มีความทรงจำใดใด

ของชาติที่แล้ว เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่จะมีเหตุการณ์เชื่อมโยงเพียง น้อยนิดเท่านั้น

เพื่อให้เห็นว่ายังเหลือ เค้าของอดีตอยู่

"ตอนหน้าก็จบแล้ว"  มันอาจจะดราม่า มาสองเรื่อง แต่ เรื่องนี้ จบแฮปปี้ แน่ๆ

ความรักที่ยาวนาน สามชาติ จะเป็น ยังไงต่อ ใครสนใจ ก็ตามต่อได้ ค่ะ

อิมเมจนะจ๊ะ
เหยียนอี้


หย่งเจิ้ง

ออฟไลน์ ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ดราม่าน้ำตาไหลมาสองชาติแล้ว

สัญญาน๊าาว่าชาติสุดท้ายจะไม่มีแบบนี้แล้ว  :monkeysad:

สงสารเหยียนอี้กับหย่งเจิ้งที่สุดเลยพอรักกันได้มีลูกด้วยกัน แต่เหยียนอี้ก็ต้องมาจากไป

 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ PhInNoI

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
 :mew6: :mew6: :mew6:

หวังว่าตอนจบจะแฮปปี้จริงๆนะ

 :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ตอนสุดท้ายขอแบบน้ำตาลท่วมเลยนะ
เอาแบบหวานๆๆๆๆ

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด