มินิซีรี่ย์ : ลำนำ ร้อยรัก
เป็นแนว "จีนโบราณ" ยังไม่เฉลยว่ามีกี่เรื่อง
แต่ทุกเรื่อง เกี่ยวข้องกัน แน่นอน...
[/size]
เพียงใจมั่นรัก (จิ้นฝู & ฟางซิน)
ยามค่ำของเมือง “อู๋ซวง” ร้านค้าบ้านเรือนต่างปิดเงียบ ทันทีที่สิ้นแสงของดวงตะวัน บนถนนที่เคยคึกคักกลับว่างเปล่า แม้แต่แสงตะเกียงในบ้านก็แทบไม่มีให้เห็น เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบราวกับเมืองร้าง มันเป็นเช่นนี้มาได้ราวๆ 3 ปีแล้ว เมื่อจู่ๆ ผู้คนในเมืองก็ หายไปทีละคนสองคนและไม่กี่วันหลังจากนั้นมักจะพบร่างที่ไร้ลมหายใจของพวกเขาอยู่นอกประตูเมือง ไม่มีผู้ใดทราบสาเหตุที่แท้จริง ไม่มีใครรู้ว่าเขาเหล่านั้นพบเจอกับชะตากรรมเช่นไร …..
แต่การที่ชาวเมืองจะตายลงมากมายขนาดนี้ คงมีเพียงแค่ ปีศาจ เท่านั้นที่ทำได้
ไกลออกไปจากเขตเมือง ร่างของอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองมาอย่างมายมาด มันแยกเขี้ยวคำรามก่อนจะกระโจนเข้าไปในเมืองที่เกือบร้างผู้คนนั้นทันที ขนสีเงินสะท้อนแสงจันทร์ดูงดงามชวนหลงใหล แต่ถึงจะงดงาม กลับเต็มไปด้วยอันตราย เมื่อร่างนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ จิ้งจอก ธรรมดา
“จิ้นฝู เจ้าจะออกไปไหน นี่มันกำลังจะค่ำนะ” เสียงของหญิงชราตะโกนถามชายหนุ่มที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน เมื่อเห็นว่าอีกคนดูเหมือนกำลังจะออกจากหมู่บ้าน ทั้งๆที่ตอนนี้เป็นเวลาที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
“ข้าต้องไปตรวจ คนไข้ที่บ้านตระกูลโจว ครับป้าหนิว ” จิ้นฝูตอบ
“แต่นี่มัน ค่ำแล้วนะ เจ้าก็รู้ว่าในเมืองระยะนี้มีปีศาจออกอาละวาด” ป้าหนิวเอ่ยเตือน แม้ว่าคนตรงหน้าจะไม่ใช่ลูกหลานโดยตรงแต่ด้วยความที่เห็นชายหนุ่มมาตั้งแต่เด็กทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ เผิงจิ้นฝู เป็น ลูกชายคนเดียวของบ้านเผิง ตระกูลหมอที่มีชื่อเสียงตระกูลหนึ่งแต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดถูกคนใส่ร้ายจนต้องหนีมาอยู่ที่นี่ เมื่อหลายปีก่อนพ่อกับแม่ของชายหนุ่มก็จากไปกันหมดทั้งบ้านจึงเหลือแค่จิ้นฝู เพียงคนเดียว แต่ชายหนุ่มก็ยังสืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ เป็นหมอรักษาคนโดยที่ไม่เรียกร้องค่ารักษาใดใดเลย
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไปนะมันจะมืดค่ำเสียก่อน” ชายหนุ่มบอกก่อนจะเดินออกจากหมู่บ้านไป ต่อให้ระยะนี้มีปีศาจอาละวาดคนเป็นหมอก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้ หากที่ใดมีคนป่วยเขาย่อมต้องไปรักษา นั่นจึงจะนับว่าเป็นหมอที่แท้จริง
“ขอบคุณท่านหมอเผิง ที่แวะมา เดินทางปลอดภัยนะขอรับ” พ่อบ้านตระกูลโจวเอ่ยกับหมอหนุ่ม หลังจากที่จิ้นฝูมาตรวจอาการฮูหยินของบ้านแล้วก่อนจะรีบปิดประตูทันทีที่ทำหน้าที่เรียบร้อยแม้ว่าจะเป็นการเสียมารยาทแต่ความรักตัวกลัวตายก็ย่อมมีมากกว่า เขายังไม่อยากเป็นเหยื่อให้ปีศาจในคืนนี้
จิ้นฝู ได้แต่ส่ายหน้ากับความรักตัวกลัวตายของพ่อบ้านตระกูลโจว ก่อนจะกระชับห่อผ้าของตัวเองแล้วออกเดินเพื่อกลับหมูบ้าน
แต่ทันใดนั้น!!
เงาดำสายหนึ่งก็กระโดดเข้ามาขวางชายหนุ่มไว้อย่างรวดเร็ว จิ้นฝูเบิกตาโพลงเมื่อแสงจันทร์นั้นตกกระทบกับ ร่างนั้น มันคำรามลั่นเผยให้เห็นเขียวคม ตาแดงดังสีชาดจ้องมาที่ชายหนุ่มอย่างหมายมาด เห็นทีมันคงเห็นเขาเป็นอาหารมื้อค่ำของวันนี้แน่
“เอ๊ะ เจ้าบาดเจ็บหรือ” หมอหนุ่มร้องถาม แม้ว่าจะไม่แน่ใจนักว่า จิ้งจอกตัวใหญ่ตรงหน้านั้นจะเข้าใจที่เขาพูดหรือไม่ แต่เลือดสีแดงเข้มที่ไหลออกจากขาของมันต่างหากที่เขาสนใจ
กร๊าซซซซซซซ
มันคำรามลั่น แววตานั่นยังคงจ้องมาที่ชายหนุ่มอย่างไม่ลดละ คล้ายกับว่ามันกำลังโกรธ
“เจ้าบาดเจ็บนะ ให้ข้ารักษาให้ไหม ถึงข้าจะไม่แน่ใจว่าจะสามารถรักษาเจ้าได้แต่อย่างน้อยเจ้าก็ควรให้ข้าห้ามเลือดให้นะ” ชายหนุ่มเอ่ยบอก แต่ไหนแต่ไรมา พ่อของเขามักสอนเสมอว่า คนเราต้องมีความเมตตา การที่เห็นผู้อื่นกำลังลำบากเช่นนี้เขาคงไม่อาจนิ่งดูดายได้ แม้ว่า เจ้าสิ่งนั้นจะไม่ใช่คนก็ตามที
“เฮ้ย!! ตามจับมันมาให้ได้ อย่าให้มันหนีไปได้เด็ดขาด!” เสียงตะโกนดังขึ้นไม่ไกลนัก มันหันรีหันขวางอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร มันอ่อนล้าเกินกว่าจะต่อกรกับมนุษย์เหล่านั้นได้ แต่ก็ไม่อาจไว้ใจมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าได้เช่นกัน
“ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก ตามข้ามา เร็วๆ” หมอหนุ่มบอกอย่างอ่อนโยนก่อนจะเดินนำหมาป่าเข้าไปในตรอกแคบๆ มันชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินตามไป ให้เลือกระหว่างสู้กับคนกลุ่มใหญ่กับเจ้าหนุ่มที่ท่าทางซื่อๆคนนี้ มันต้องเลือกอย่างหลังเป็นแน่
ชายหนุ่มเดินลัดเลาะ ตอกเล็กๆนั้นออกมาก่อนจะเดินออกจาตัวเมืองอย่างคล่องแคล่ว ทางนี้เป็นทางลัดที่น้อยคนนักจะรู้
“บ้านขาอยู่ตรงเชิงเขาตรงนั้น ข้าจะพาเจ้าไปรักษา ไม่ต้องห่วงนะบ้านข้าอยู่ไกลจากหมู่บ้านมากไม่มีใครรู้หรอกว่าเจ้าอยู่ที่นี่” ชายหนุ่มว่าพลางชี้ไปที่เชิงเขาที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านพอสมควร
หลังจากมาถึงบ้าน จิ้นฝู ก็จัดแจงห้ามเลือดให้จิ้งจอกทันทีแม้ว่า จะไม่ได้รับความร่วมมือจากอีกฝ่ายเท่าใดนัก
“เจ้าต้องนอนพักนะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่หาย ข้ารับรองว่าไม่มีใครทำอันตรายเจ้าได้หรอก” บอกกับจิ้งจอกบาดเจ็บพลางปูผ้าให้ คนไข้ที่ไม่ใช่คนรองนอน ก่อนจะล้มตัวลงนอนบ้าง
---เช้า-----
จิ้นฝู ตื่นแต่เช้าเพราะต้องออกไปเก็บสมุนไพรบนเขา ก่อนจะกลับมาแล้วพบว่าเจ้าจิ้งจอกบาดเจ็บดูเหมือนจะยังไม่ตื่น ก่อนที่หมอนุ่มจะจัดแจงทำแผลให้ใหม่อย่างเบามือ
“เจ้าเป็นคนดีนะ” เสียงหนึ่งดังขึ้น มันไม่ได้ดังจากปากของใครแต่มันคล้ายกับว่าเสียงนั้นดังอยู่ในความคิดของชายหนุ่ม จิ้นฝู พยายามมองหาบุคคลที่สามแต่ก็ไม่พบ
“เจ้าไม่ต้องมองหาคนอื่นหรอก ข้าพูดกับเจ้าเอง” เสียงนั้นยังคงบอก
“เจ้า?” จิ้นฝู มองจิ้งจอกตรงหน้าด้วยความตกใจ แม้จะพอเดาออกแล้วว่าเจ้าจิ้งจอกตรงหน้าคงไม่ใช่แค่ สัตว์ป่าธรรมดาแน่แต่ก็ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้เขาจะได้ คุย กับ จิ้งจอก
“ฮ่าๆๆ เจ้าช่างเป็นมนุษย์ที่โง่งม จนข้าอดหัวเราะไม่ได้เสียจริง” เสียงนั้นยังคงดังขึ้น ก่อนจะมีแสงสว่างจ้าเกิดขึ้นรอบตัวจิ้งจอกบาดเจ็บตัวนั้น ก่อนที่แสงนั้นจะหายไปพร้อมกับกับการปรากฏตัวของ ใคร คนนึง
“เจ้า แปลงเป็นคนได้ด้วยหรือ” จิ้นฝูเอ่ยถาม
“ข้าว่าเจ้าน่าจะรู้แล้วว่า ข้าเป็น ปีศาจ แต่เหตุใดเจ้าถึงไม่กลัวข้า ซ้ำยังช่วยไว้ด้วย” ร่างนั้นเอ่ยถาม
จิ้นฝูที่ยังคงตะลึงอยู่ได้แต่นั่งมองร่างบางที่อยู่ตรงหน้าเงียบๆ คนตรงหน้ารูปร่างบอบบาง ผิวขาวละเอียดสีงาช้างนั้นงดงามจนคนมองใจสั่น แม้น้ำเสียงและรอยยิ้มนั้นก็ทำให้ผู้คนหลงใหลได้ไม่ยาก หรือนี่จะเป็น เวทย์มนต์ของปีศาจจิ้งจอกอย่างที่เขาเล่าลือกัน
“เจ้าหมอทึ่ม! ทำไมเจ้าไม่ตอบข้า” ร่างบางตะคอก
“ขะ ข้าแค่ตกใจ ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น ปีศาจแปลงเป็นคนต่อหน้าต่อตาเช่นนี้”
“เจ้ากลัวข้าเช่นนั้นหรือ” เสียงนั้นเอ่ยถาม ยอมรับว่าในหัวของร่างบางตอนนี้กังวลอยู่ไม่น้อยไม่รู้เพราะเหตุใดถึงไม่อยากจะให้ เจ้าหมอทึ่ม คนนี้หวาดกลัวตัวเองเลย
“ข้าไม่ได้กลัว เพียงแค่ตกใจเท่านั้น หากกล้ากลัวเจ้าคงไม่พามาที่บ้านเช่นนี้ ว่าแต่เจ้าเถอะ ดีขึ้นแล้วหรือ ถึงใช้พลังได้”
“ดีขึ้นแล้ว แต่แค่ฟื้นพลังได้แค่สามส่วนเท่านั้นนักพรตนั่นมี ฤทธิ์มาก ข้าเองก็หมดพลังไปหลายส่วน”
“ถ้าเช่นนั้น ก็พักที่นี่สิ ข้าจะดูแลเจ้าเอง” เสียงทุ้มบอก จิ้นฝง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดจึงเอ่ยปากออกไปเช่นนั้น แต่มันคล้ายมีอะไรบางอย่างบอกกับเขาว่า เขาอยากดูแลเจ้าจิ้งจอกตัวนี้
“ข้าชื่อ จิ้นฝู เจ้าชื่ออะไรหรือเจ้าจิ้งจอก”
“ข้าชื่อ ฟางซิน”
……………………………………………………………………………………………..
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ” ร่างบางเอ่ยทักเจ้าของบ้าน ที่กลับมาจากเก็บสมุนไพร
“เจ้าลุกขึ้นมาแบบนี้ ขาหายดีแล้วหรือ ทำไมไม่พักสักหน่อยล่ะ ” คนเป็นหมอว่า
“ข้าพัก มาหลายวันแล้วตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว เจ้าไม่รู้หรือ เป็นหมอภาษาอะไรกัน”
“ข้าเป็นหมอคน ไม่ใช่หมอรักษาจิ้งจอก ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าหายดีแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยติดตลก แต่ดูเหมือนว่าคนฟังจะไม่ได้คิดเช่นนั้น
“ใช่สิ ข้าเป็นปีศาจ เจ้าอยากจะไล่ข้าไปให้พ้นๆใช่ไหม” ร่างบางแหวลั่น หลายวันมานี้ ฟางซินรู้สึกว่าตัวเองมีบางอย่างที่แปลกไป เพราะอะไรถึงได้ใส่ใจกับคำพูดและการกระทำของคนตรงหน้านัก เขาไม่เคยหาคำตอบให้ตัวเองได้เลย การอยู่มาหลายร้อยปี ทำให้เขาเห็นโลกมามากแต่กลับ ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าความรู้สึกที่มีต่อจิ้นฝู นั้นคืออะไร
“ฟางซิน ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เจ้าอย่าโกรธข้าได้ไหม” ร่างสูงบอกอย่างร้อนรน เรื่องเดียวที่ทำให้ ท่านหมอเผิง เป็นกังวลได้กลับเป็นท่าทางน้อยใจ ของปีศาจจิ้งจอกตนหนึ่ง คิดแล้วน่าขำ แต่กลับขำไม่ออก เขากลัวเหลือเกิน เพราะไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่า ความรู้สึกในใจตอนนี้คืออะไร แต่ ที่กลัวไม่ใช่เพราะฟางซินเป็นปีศาจ แต่เขากำลังกลัวว่าอีกคนจะไม่คิดเช่นเดียวกัน
แม้อาจจะดูรวดเร็วจนน่าตกใจแต่ จิ้นฝู ไม่เคยแน่ใจอะไรเท่านี้มาก่อนในชีวิต การรักใครสักคนนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาด้วยหรือ??
“มาข้าจะดูแผลให้” หมอหนุ่มบอกก่อนจะประคองร่างบางไปที่โต๊ะใกล้ๆแล้วลงมือแกะผ้าพันแผลอย่างเบามือ
“แผลแห้งแล้วนิ แต่ยังไม่สนิทเท่าไหร่ ยังโดนน้ำไม่ได้นะ”
“ข้ารู้แล้วน่า เจ้าบอกข้ามาร้อยรอบแล้วนะ” จิ้งจอกหนุ่มบอกอย่างขัดใจ ก่อนจะลอบยิ้มเมื่อเห็น เจ้าหมอทึ่ม ดูตั้งอกตั้งใจใส่ยา
ให้เขาเหลือเกิน ฟางซิน ยิ้ม แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ ความจริงแล้วแผลแค่นี้เขาใช้พลังรักษาแค่ไม่กี่ชั่วยามก็หายแล้วแต่ หลายวันมานี้ เขากลับไม่อยากให้แผลหายเลย
“เอาล่ะเสร็จแล้ว เจ้าอยู่ในนี้ไปก่อนนะ ข้าจะไปต้มยา”
“ข้าไปด้วยสิ อยู่เฉยๆเสียหายวัน ข้าเบื่อจะแย่แล้ว เจ้าให้ข้าช่วยนะ” จิ้งจอกหนุ่มบอกอย่างกระตือรือร้น ดวงตากลมโตนั้นเป็นประกายอย่างนึกสนุกแต่กลับทำให้หัวใจของคนที่มองอยู่เต้นแรงจนแทบห้ามไม่อยู่
“นี่ เจ้าหมอทึ่ม เจ้าฟังข้าอยู่หรือเปล่า ห่ะ!!” ร่างบางแหวลั่นเมื่ออีกฝ่ายไม่สนใจที่เขาพูดสักนิด
“อะ เอ่อ เจ้าไหวแน่นะ ข้าว่าเจ้าพักดีกว่า”
“ไหวสิ ข้าอยากช่วยเจ้าช่วยข้าไหม ข้าก็อยากจะช่วยเจ้าบ้าง ได้ไหม”
“แต่เจ้าห้ามมาบ่น ว่าข้าใช้งานหนักนะ”
“ได้เลย ไหนๆ ข้าต้องทำอะไรบ้าง” ร่างบางบอกอย่างร่าเริง จิ้นฝู ลอบมองใบหน้าหวานที่ยิ้มร่าก่อนจะยกยิ้มตาม แม้จะรู้อยู่แก่
ใจว่าอีกฝ่าย ไม่ใช่คนแต่เหตุใด หัวใจ ถึงห้ามไม่ได้เลย
“ข้าไม่เคยคิดว่า การเป็นหมอมันจะเหนื่อยขนาดนี้” เสียงหวานบ่นพึมพำเมื่อวันนี้จิ้งจอกหนุ่ม ตามจิ้นฝู ไปตรวจคนไข้ในเมือง
“ข้าก็บอกแล้วว่าอย่าไปเจ้าก็ไม่ยอมเชื่อ ยืนทั้งวันเจ้าเมื่อยหรือเปล่า” เสียงทุ้มถามอย่างเป็นห่วง เมื่อวันนี้ดูเหมือนคนไข้จะเยอะ
เป็นพิเศษทำให้ร่างบางต้องวิ่งวุ่นทั้งแจกยาทั้ง จดอาการ จนแทบไม่ได้พักเลย
“เมื่อยสิ วันนี้ข้าไม่ได้นั่งเลยตั้งแต่เช้า” ปากบางนั้นยังคงบ่น ก่อนที่จะรับรู้ถึงความเย็นที่เท้า
“เอ๊ะ จิ้นฝู เจ้าทำอะไร” ร่างบางเอ่ยถาม ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อหมอหนุ่มกำลังล้างเท้าให้ตนอย่างเบามือ
“วันนี้เจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน ข้านวดให้นะ”
“ไม่ต้องๆ เจ้าอย่าทำแบบนี้สิ ขะ ข้า ”
“ไม่เป็นไร ข้าเต็มใจทำให้เจ้า” เสียงทุ้มนั้นบอกก่อนจะยกยิ้มให้ ฟางซิน ได้แต่ลอบมองคนตรงหน้าที่ดูตั้งอกตั้งใจนวดเท้าให้เขาเหลือเกินก่อนจะยกมือขึ้นทาบหัวใจ
หัวใจกำลังเต้นแรง มันเต้นแรงเสียจนเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ได้ สิ่งนี้ มันหมายความว่าอย่างไร มันคืออะไรกันแน่??
…หลายวันต่อมา……
“เจ้าเป็น คนรัก ของท่านหมอเผิงหรือ” หญิงชราที่มารักษากับจิ้นฝู เอ่ยถามขึ้น
คนรัก?? ร่างบางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“ท่านป้า ข้าไม่ใช่คนรัก ของเจ้า..ของหมอเผิงนะ ”
“เช่นนั้นหรือ” หญิงชราเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ เมื่อสิ่งที่เห็นกับคำบอกเล่านั้นช่างสวนทางกันเหลือเกิน นางมารักษากับหมอ
เผิงหลายครั้งแล้ว หมอเผิงเป็นคนใจดีก็จริง แต่สายตาของคนที่ผ่านโลกมานานเช่นตนนั้น รับรู้ได้ทันทีว่าแววตาที่หมอหนุ่มมองร่างบางตรงหน้านี้เป็นสายตาแห่งความรักแน่นอน
“ใช่แล้ว ข้ากับท่าหมอ เป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น”
“ฟางซิน เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า” จิ้นฝูเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าตลอดทางกลับบ้านร่างบางเอาแต่เหม่อลอยไม่ยอมพูดจา
“เปล่า ข้าไม่ได้เป็นอะไร” ร่างบางบอก ก่อนจะผละไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมต้มยาที่จะใช้ในวันพรุ่งนี้อย่างที่เคยทำเป็นประจำ แต่จิตใจกลับ ไม่สงบเสียมี คำพูดของหญิงชราดูเหมือนจะยังวนเวียนอยู่ในความคิดไม่ยอมไปไหน
คนรัก ?? ความรัก??
หลายร้อยปีที่ผ่านมา เขา ได้ยิน คำนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า มัน คืออะไร
เพล้ง!!
“โอ้ย!” เพราะเอาแต่เหม่อทำให้ หม้อยาที่ถืออยู่ตกแตกจนน้ำร้อนลวกมือทั้งสองข้าง
“ฟางซิน!!” จิ้นฝู วิ่งหน้าตื่นเข้ามาในครัวก่อนจะตักน้ำราด มือที่เริ่มแดงเพราะความร้อน
“เจ็บตรงไหนอีกไหม เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงร้อนรนนั้นเอ่ยถาม ฟางซินได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เหตุใด ต้องร้อนรนถึงขนาดนี้ ก็แค่ถูกน้ำร้อนลวก แม้มันจะเจ็บแต่อีกไม่นานก็หาย
“ข้าเป็นห่วงมากรู้ไหม” เสียงทุ้มบอกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกดจูบลงไปบนมือเรียวสวย จิ้นฝู รู้สึกเจ็บ เมื่อเห็นว่ามือเรียวของร่าง
บาง เห่อแดงเพราะความร้อน เป็นไปได้เขาไม่อยากให้ฟางซินต้องเจ็บตัวแม้เพียงนิด
เมื่อรู้ว่ารัก แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงใด มันก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาเสมอ
“ห่วง?” จิ้งจอกหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ
“ใช่ ห่วง”
“ทำไม เจ้าต้องเป็นห่วงข้า”
“ฟางซิน ฟังข้านะ มันอาจจะไม่น่าเชื่อ แต่ขอให้รู้ว่าทุกคำที่พูดนั้น ออกมาจากใจของข้า”
“ฟางซิน ข้ารักเจ้า”
“ข้าไม่เข้าใจ อะไร คือ รัก” ร่างบางบอกเสียงแผ่ว อะไรคือ รัก แล้วตอนนี้เขาควร ทำอย่างไร
จิ้นฝู ไม่ได้ตอบในทันทีแต่กลับจับมือเรียวมาทาบลงบนอกซ้ายของตัวเองก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ เวลาที่อยู่กับเจ้าข้ามีความสุข ยามเจ้ายิ้ม ข้าจะยิ้ม ยามเจ้าเศร้าข้าจะเศร้ายิ่งกว่า และ จะใจเต้นแรงทุกครั้งที่ได้มองตาเจ้า นั่นคือ รัก”
แต่ร่างบางก็ยังคงเงียบ
“เอาเถอะ ข้าไม่ได้เร่งรัดให้เจ้า คิดเหมือนกับข้า แต่ขอให้เจ้ารู้ไว้ ว่าข้ารักเจ้า เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว” หมอหนุ่มบอกก่อนจะดึงร่างบางเข้ามากอดแน่น
“จิ้นฝู สอนข้าได้ไหม บอกข้าได้ไหมว่าคนรักกัน เขาต้องทำเช่นไร”
“ได้สิ แต่ไม่ต้องรีบหรอก แค่ใช้หัวใจของเจ้าค่อยๆเรียนรู้ไปเท่านั้น แล้วเจ้าจะเข้าใจเอง”
….วัดหลงซาน…
“อาจารย์ ศิษย์ให้ คนของเราออกตามหาปีศาจตนนั้นแล้วแต่ไม่พบร่องรอยเลยครับ” ชายหนุ่มคนนึงบอกกับนักพรตผู้เป็น
อาจารย์
“ปีศาจ ตนนั้นจะหนีไปไหนได้ มันต้องมีใครสักคนช่วยมันเอาไว้แน่นอน”
“เจ้าสาม ให้คนออกไปถามตามหมู่บ้าน รอบๆเมืองหลวงว่าระยะนี้มีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านหรือไม่ แล้วให้กลับมารายงาน
ข้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่า แค่ปีศาจจิ้งจอกตัวเดียว ข้านักพรตไท่เหอ จะปราบมันไม่ได้” บอกอย่างหมายมาด ก่อนจะกำมือแน่น แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีปีศาจตนไหนรอดพ้นเงื้อมือ เขาไปได้ แต่เจ้าปีศาจจิ้งจอก นั่นมันทำให้เขาต้องอับอาย แค้นนี้ต้องชำระ!!!
“เหนื่อยไหม ข้าบอกให้เจ้าอยู่บ้านก็ไม่เชื่อ จะขึ้นเขามาทำไมก็ไม่รู้” จิ้นฝูว่าพลางมองร่างบางอย่างเป็นห่วง
“เจ้าหมอทึ่ม ข้าเป็นจิ้งจอกนะ ข้าอยู่ในป่ามาตั้งแต่เกิด แค่เดินป่าแค่นี้ข้าไม่เหนื่อยหรอก แฮกๆ” ร่างบางบอก แต่คนมองกลับ
หัวเราะลั่นเมื่อคนที่บอกว่าไม่เหนื่อย ยืนหายใจหอบอยู่ข้างๆ
“เจ้าดื้อกว่าที่ข้าคิดอีกนะ เหนื่อยแล้วก็พักเถอะ ดื่มน้ำเสียหน่อย” หมอหนุ่มส่ายหน้าระอา ก่อนจะพาร่างบางไปนั่งพักที่โคนต้นไม้ ร่างบางพยักหน้าก่อนจะรับน้ำจากมือหนามาดื่มดับกระหาย ใครจะไปรู้ว่าการเดินเท้าอย่างมนุษย์มันจะเหนื่อยและลำบากขนาดนี้ เมื่อก่อนอยากไปไหนก็แค่เหาะไป สบายจะตาย
“เหงื่อ ออกแล้วเห็นไหม” ว่าพลางใช้แขนเสื้อบรรจงเหงื่อบนแก้มนวลให้
ตึกๆๆ ตักๆๆ
ฟางซิน กำลังรู้สึกราวกับจะจับไข้ เพียงแค่สบตาคมคู่นั้น ใบหน้าร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุกับหัวใจที่เต้นรัวเสียใจแทบหลุดออกมายิ่งทำให้สับสบ
เวลาที่อยู่กับเจ้าข้ามีความสุข ยามเจ้ายิ้ม ข้าจะยิ้ม ยามเจ้าเศร้าข้าจะเศร้ายิ่งกว่า และ ใจข้าเต้นแรงทุกครั้งที่ได้มองตาเจ้า นั่นคือ รัก
คำพูดของ จิ้นฝู เมื่อเดือนก่อนดังขึ้นในหัว ก่อนที่ร่างบางจะทาบมือลงบนตำแหน่งหัวใจอีกครั้ง
ตึกๆๆๆ ตักๆๆๆๆ
หัวใจไม่มีท่าทีว่าจะเต้นช้าลงสักนิด
หลายวันมานี้ ร่างบางรู้ว่าบางอย่างมันแปลกไป เขายิ้ม เมื่อ จิ้นฝู ยิ้ม เขาเศร้า เมื่อ จิ้นฝู เศร้า เขาโกรธ เมื่อ จิ้นฝู สนใจคนอื่นมากกว่า และ ตอนนี้หัวใจเขาต้นแรงมาก เมื่อมองตาคมคู่นี้
หรือว่า เขา จะรัก จิ้นฝู เหมือนกัน
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงเงียบไปล่ะ” จิ้นฝูเอ่ยถามเมื่อ ร่างบางที่เคยคุยจ้อไม่หยุดเอาแต่เงียบตั้งแต่อยู่บนเขาจนตอนนี้กลับมาที่บ้านของเขาแล้ว อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมพูดอะไรเลย
“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร” ฟางซินบอก ทำไมนะ อยู่ดีๆถึงรู้สึกเขินอาย เวลาที่มองจิ้นฝู ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เป็นขนาดนี้
“ฟางซิน เจ้าไม่สบายหรือเปล่า ”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เจ้าอย่าห่วงเลย”
“ข้าไม่ห่วงเจ้าไม่ได้หรอก สำหรับข้าแล้วเจ้าสำคัญกว่าสิ่งใด ”
“จิ้นฝู” ร่างบางคางแผ่ว ก่อนจะซุกหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง เสียงหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“ข้าเองก็ไม่เข้าใจนัก ว่า ความรัก คืออะไร แต่ว่าตอนนี้หัวใจข้าเต็มแรงมาก เจ้ารู้สึกหรือเปล่า ”
“ฟางซินนี่เจ้า”
“ข้า ข้า ข้าคิดว่า ข้ากำลัง รักเจ้านะ เจ้าหมอทึ่ม!!” จิ้นฝู แทบไม่เชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน เขาได้แต่กอดร่างบางไว้แน่น กลัว กลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นแค่ฝัน
“ข้าไม่ได้ฝัน ใช่ไหม โอ้ย!! เจ้าตีข้าทำไม”
“เจ้าจะได้รู้ ว่าไม่ได้ฝัน”
“ข้าดีใจมาก รู้ไหม ข้าไม่คิดเลยว่า เจ้าจะใจตรงกันกับข้า ฟางซิน”
“ข้าก็ไม่คิดหรอก ว่าข้าจะรัก หมอทึ่มเช่นเจ้า” สองร่างตระกองกอดกันแน่น ทุกส่วนบนใบหน้าล้วนเปี่ยมไปด้วยความสุข สุขที่ในวันนี้หัวใจ ทั้งสองงดวงก็ตรงกันเสียที
ปัง!!!!
“มันอยู่นั่นไง ไปจับตัวมันมา!!” เสียงประตูถูกถีบอย่างแรงก่อนที่คนจำนวนหนึ่งจะกรูกันเข้ามาในบ้านหลังเล็ก
“นี่มันอะไรกัน พวกเจ้าเป็นใคร” จิ้นฝูตวาดลั่นเมื่อ คนพวกนั้นพยายามจะจับตัวร่างบางไป
“จิ้นฝู เจ้าออกมานะ นั่นมันปีศาจ!!” ป้าหนิวที่มาด้วยบอกก่อนจะชี้ไปที่ ฟางซิน
“ป้าพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ”
“คนที่อยู่กับเจ้าคือปีศาจจิ้งจอก ส่งมันมาให้ข้าซะ ก่อนที่มันจะก่อกรรมทำเข็ญไปมากกว่านี้” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่นักพรตไท่
เหอจะเดินออกมา ฟางซินตาเบิกโพลงเมื่อเห็นนักพรตผู้มีอาคมแก่กล้า
“ไม่ใช่ พวกเจ้าอย่ามาหลอกข้า ฟางซินเป็นคนรักของข้า” จิ้นฝูตวาดลั่น ไม่มีทางเขาไม่มีทางยอมให้คนพวกนี้เอาตัวฟางซินไป
“ปีศาจจะคืนร่างเดิมดีๆ หรือจะต้องให้ข้าใช้กำลัง”
“ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าพา ฟางซินไป!! ถ้าจะเข้ามาก็ข้ามศพข้าไปก่อน”
“พวกเจ้าไปจับเจ้าหนุ่มนั่นออกมา ส่วนปีศาจนั่นข้าจะจัดการเอง” สิ้นคำสั่ง ลูกศิษย์ของนักพรตก็กรูกันเข้ามาจับ จิ้นฝูไว้ หมอหนุ่มพยายามปัดป้องทุกวิธีทางแต่ หมอธรรมดาเช่นเขาจะไปสู้คนที่ฝึกยุทธได้อย่างไรไม่นานก็ถูกจับไว้จนได้
กร๊าชชชชชช
ฟางซินคำรามลั่น ดวงตาสีแดงนั้น จ้องที่คนกลุ่มนั้นด้วยความโกรธ
“ปีศาจ จิ้งจอก หากเจ้าทำร้ายคน ข้าเองก็คงเลี่ยงที่จะทำร้ายคนที่เจ้ารักไม่ได้” นักพรตไท่เหอว่า ก่อนจะตวัดกระบี่จ่อที่คอของจิ้นฝู
“เจ้านักพรตชั่ว เจ้าต้องการอะไร” ฟางซินตวาดลั่น
“ปราบปีศาจ คือสิ่งที่ข้าควรทำ คนกับปีศาจไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ เจ้าก่อกรรมทำเข็ญ สังหารมนุษย์ไปมากมาย ถึงเวลาที่เจ้าจะ
ต้องชดใช้ ”
“ฟางซิน อย่าไปฟัง หนีไปไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าไม่เป็นอะไรทั้งนั้น!!!” หมอหนุ่มบอก แต่ดูเหมือนว่ายิ่งดิ้นคมดาบยิ่งบาดลึกลง
บนผิวมากขึ้นเลือดสีแดงสดซึมออกมาจากแผลอย่างน่าตกใจ
“อย่าขยับนะจิ้นฝู เจ้าอย่าขยับนะ ข้ายอมแล้ว ได้โปรดปล่อยจิ้นฝูไป เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยทุกอย่างเป็นเพราะข้า ข้าใช้เวทมนต์ทำให้เขาหลงใหล” ฟางซินบอกทั้งน้ำตา ชีวิตนี้เขาฆ่าคนมามาก เห็นน้ำตามาก็ไม่น้อย แต่ไม่เคยเลย ไม่เคยสักครั้งที่จะรู้สึกเจ็บเจียนตายเช่นนี้
“ดี ฮ่าๆๆ” นักพรตไท่เหอ หัวเราะร่วนก่อนจะใช้ตาข่ายดักมาร จับฟางซินเอาไว้
“ฆ่ามันๆๆ” เสียงนั้นดังก้องไปทั่วหมู่บ้านเมื่อร่างบางถูกมัดติดกับเสาตันหนึ่งรอบๆนั้นเต็มไปด้วยท่อนไม้ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง ไม่ไกลกันนักจิ้นฝูก็ถูกชายร่างใหญ่สองคนจับเอาไว้เช่นกัน
“ข้าจะใช้ไฟ เพื่อชำระ ดวงวิญญาณให้สะอาด ปีศาจเอ๋ย จงกลับไปอยู่ในที่ที่เจ้าควรอยู่” ว่าจบนักพรตไท่เหอ ก็บริกรรมคาถา
ก่อนจะจุดไฟขึ้นแล้วโยนเข้าไปในกองฟืนทันที!!
“ฟางซิน ฟางซิน ปล่อยข้า ปล่อยข้า!!!”
จิ้นฝูทั้งตะโกนทั้งดิ้นเมื่อเห็นพระเพลิงกำลังลุกไหม้อย่างหนัก ร่างออ่อนแรงเพราะตาข่ายดักมารมองเขาด้วยแววตาเศร้า
“จิ้นฝู ข้ารักเจ้า ชาตินี้เราสองมิอาจครองคู่ แต่ต้องมีสักวันที่เราจะได้รักกัน ต้องมีสักวันที่เราจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ไม่ว่าจะนาน
แค่ไหน ข้าก็จะรอวันนั้น” เสียงอ่อนล้าเอ่ยบอก่อนจะปิดตาลง เมื่อพระเพลิงนั้นเริ่มเข้ามาใกล้ทุกที
“ฟางซิน!!” จิ้นฝูตะโกนก้องก่อนจะใช้เรียวแรงทั้งหมดที่มีสะบัดตัวหลุดจากพันธนาการ ไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิด หมอหนุ่มกระโดดเข้าไปในกองไฟที่กำลังลุกโชนท่ามกลางความตกตะลึงของคนทั้งหมู่บ้าน !!
“ฟางซิน ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากไปเพียงลำพัง หากต้องตายข้าพร้อมตายไปกับเจ้า” จิ้นฝูบอกก่อนจะกอดรางบางไว้แน่น
“เจ้าหมอทึ่ม ทำไมเจ้าโงเช่นนี้ ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้” ร่างบางถามทั้งน้ำตา
“เพราะข้ารักเจ้า”
..............................END...........................