เปลือกตาสวยนั้นค่อยๆขยับขึ้นลงช้าๆ ก่อนที่จะลืมกว้างขึ้น เสวี่ยจงมองไปรอบๆในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยอย่างตื่นกลัว ห้องนี้ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนชั้นดีแต่ก็ไม่ได้หรูหราอย่างจวนอ๋อง บ่งบอกว่าเจ้าของบ้านคงเป็นพ่อค้าหรือพวกคนมีเงิน แต่เขามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร
“โอ้ย” ร่างโปร่งครางแผ่วเมื่อรู้สึกว่าร่างกายเจ็บราวไปหมด ใช่สิ เขาโดนม้าชน
แล้วลูกล่ะ ร่างโปร่งลุกพรวดก่อนจะมองหาใครสักคนที่สามารถตอบคำถามเขาได้มือเรียววางบนท้องตัวเองด้วยความกังวล
“เจ้าตื่นแล้วหรือ” เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงที่เสวี่ยจงไม่คุ้นหน้าเลยจะเดินเข้ามาในห้อง
“ยังเจ็บอยู่หรือไม่ เจ้าหลับไปเกือบสองวัน เล่นเอาข้าใจหายใจคว่ำ” เขาคนนั้นว่า
“ลูก ลูกข้าล่ะ ลูกของข้า” ร่างโปร่งถามอย่างร้อนรน ลูกคือสิ่งเดียวที่เขามี เด็กคนนี้เป็นเหมือนลมหายใจของเขา เขาเสียลูกไปไม่
ได้เด็ดขาด
“วางใจเถอะ เขายังอยู่กับเจ้า โชคดีที่วันนั้นม้าไม่ได้ชนจังๆ แต่ก็มีผลอยู่ไม่น้อย ช่วงนี้เจ้าต้องนอนเฉยๆ แล้วก็กินยาตามที่ท่าน
หมอสั่ง”
“ท่านช่วยข้าไว้หรือ”
“อย่าเรียกท่านเลย ข้าเองก็ใช่ว่าจะเป็นขุนนาง ข้าชื่อ มู่หรงเซียน เรียกข้าว่าพี่ก็ได้ ”
“ข้าชื่อ ตู้เสวี่ยจง แต่คนต่ำต้อยไม่อาจเรียกท่านมู่หรงด้วยความสนิทเช่นนั้นได้”
“แล้วไปเถอะ เจ้าอย่าเพิ่งคิดมากเลย กินข้าวต้มแล้วก็ดินยานะ จะได้นอนพัก” เสียงนั้นบอกอย่างอ่อนโยน
มู่หรงเซียนนั่งมองร่างโป่งที่อยู่ในห้วงนิทราก่อนจะยกยิ้ม ร่างโปร่งที่สลบเพราะความตกใจนั้นถูกเขาอุ้มกลับมาก่อนจะตามหมอ
มารักษา แม้จะตกใจอยู่ไม่น้อยกับเรื่องที่ได้ยิน แต่กลับยิ่งรู้สึกสงสารมากขึ้น
ใครกัน ที่กล้าทิ้งให้ ร่างนี้ต้องร้องไห้เพียงลำพังเช่นนั้น
“หากเขาไม่รักเจ้า ข้าจะดูแลเจ้าเอง เสวี่ยจง” บอกกับคนหลับอย่างอ่อนโยนมือหนานั้นเกลี่ยแก้มนุ่มอย่างแผ่วเบา เขาเองก็ไม่รู้
ว่าทำไมถึงรู้สึกอยากจะดูแลคนๆนี้นัก เพียงแค่แรกเห็นกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับกลองศึกแม้จะรู้ว่า ร่างนี้อาจจะของใครมาก่อนแต่เขาก็ไม่นึกรังเกียจ สักนิด
หลายเดือนต่อมา
เสวี่ยจงที่ท้องแก่ใกล้คลอดกำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าเตา เนื้อผัดในกระทะส่งกลิ่นหอมจคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในครัวอดที่จะยกยิ้มไม่ได้ หากว่าเขาได้เห็นมันตลอดไปก็คงดี
“ดูเจ้าสิ ทำไมยังมาทำกับข้าวอีก ไม่เหนื่อยหรือ”
“ท่านมู่หรง รอสักครู่ เนื้อผัดใกล้ได้ที่แล้ว”
“เสวี่ยจง เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี้ในฐานะคนรับใช้ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเองหรอกนะ ” มู่หรงเซียนบอกอย่างอ่อนโยนหลายเดือนมานี้ เขา
ดูแลร่างโปร่งอย่างดี พยายามเสาะหาหมอที่มีความสามารถเพื่อมาดูแลโดยเฉพาะ แม้ไม่ได้พูดตรงๆ แต่เขารู้ว่าอีกคนก็พอเดาออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ให้ข้าทำเถอะครับ ข้าไม่อยากอยู่เฉยๆ จะเป็นภาระท่าเปล่าๆ”
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าเป็นภาระ เจ้ารู้ว่าข้า ระ..”
“แต่ข้ามีสามีแล้วครับ” ร่างโปร่งเอ่ยขัด
“เจ้ายังไม่ลืมคนพรรค์นั้นอีกหรือ หากเขารักเจ้าจริงทำไมถึงปล่อยให้เจ้าออกมาจากบ้านเช่นนั้น จนป่านนี้แล้วยังไม่คิดจะตามหา”
“ท่านมู่หรง อย่าให้ข้าต้องลำบากใจที่จะอยู่ที่นี้เลย เนื้อผัดเสร็จแล้ว ข้าจะให้เด็กๆยกไปจัดโต๊ะเลยนะครับ ใกล้เวลาที่แขกจะมาแล้ว”
มู่หรงเซียนได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหล้าไม่ว่าจะพยายามสักเท่าใดก็ไม่เคยเข้าไปแทนที่คนในใจของ เสวี่ยจงได้เลย
ร่างสูงสง่าของท่านอ๋องแปดก้าวลงจากเกี้ยวด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก หากว่าไม่ใช่ราชโองการของฮ่องเต้ เขาคงไม่ออกมาที่นี้ให้เปลืองเวลา สกุลมู่หรง คือพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของเจ้าของบ้าน เสด็จพ่อจึงส่งเขามาเป็นตัวแทนเพราะ การผูกมิตรกับพ่อค้าเหล่านี้คือรากฐานแห่งอำนาจ
“คารวะท่านอ๋อง” เจ้าของบ้านเอ่ยทักอย่างนอบน้อมก่อนจะเชิญแขกคนสำคัญให้เข้าไปนั่งในที่นั่งประธาน
ร่างสูงลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเมื่อวงสนทนาวันนี้พวกประจบสอพลอต่างแย่งกันเอาใจเขาเสียจนเอียน คำพูดยกยอ
มากมายไม่ได้ทำให้เขาอารมร์ดีสักนิด ซ้ำยังอารมณ์เสียจนแทบอยากจะสั่งประหานคนพวกนี้ให้หมด
“อาหารมาแล้วเชิญทุกท่านทานได้” เจ้าของบ้านเชื้อเชิญก่อนที่สาวใช้จะทยอยยกอาหารมา แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกอยากอาหารแต่การกินก็ถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่งทำให้ ร่างสูงจำใจต้องคีบเนื้อผัดที่อยู่ใกล้มือที่สุดเข้าปาก
“ใครเป็นคนทำอาหารจานนี้!!” เสียงทุ้มตะโกนลั่นพลางปรายตามองเจ้าของบ้าน
“อาหารจานนี้มีอะไรหรือขอรับ” มู่หรงเซียนเอ่ยถาม พลางกลั้นลมหายใจใครๆก็รู้ว่าท่านอ๋องแปดอารมณ์ขึ้นลงยากคาดเดา เขา
เป็นห่วงร่างโปร่งขึ้นมาจับใจ
“ข้าบอกให้ไปตามคนที่ทำเนื้อผัดมา” ร่างสูงบอกเสียงเรียบ
“ท่านมู่หรง ว่าอย่างไรใครเป็นคนทำ” ร่างสูงคาดคั้น แต่เจ้าของบ้านกลับปิดปาดเงียบ
“หากจะลงโทษได้โปรดลงโทษข้าเถิด ข้าเป็นเจ้าบ้านหากมีเรื่องที่ทำให้ท่านอ๋องขุ่นเคืองใจ ข้าย่อมสมควรรับผิดชอบ”
“เด็กๆ ค้นให้ทั่วบ้านหาคนที่ทำเนื้อผัดจานนี้มาให้ได้!!” เสียงทุ้มตวาดลั่นแขกที่มาในงานต่างนั่งนิ่งไม่มีใครกล้าขยับ เพราะกลัวจะทำให้โทสะของท่านอ๋องเพิ่มมากขึ้น
“ท่านมู่หรง เกิดอะไรขึ้นครับ!!” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนที่ร่างหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้อง แต่ก็ต้องชะงักค้างเมื่อเห็นว่า ใคร ยืนอยู่
“ ไม่มีอะไรหรอก เจ้าไปพักเถอะ” มู่หรงเซียนบอก
“เนื้อผัดนี่ ฝีมือเจ้าจริงๆสินะ เสวี่ยจง” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างโปร่ง
“ใช่ ขอรับ”
“มู่หรงเซียน ในเมื่อข้าพบคนที่ทำอาหารจานนี้แล้วข้าคงต้องกลับเสียที” บอกกับเจ้าของบ้านแต่มือหนากลับคว้าท่อนแขนเรียว
นั้นไว้แน่นก่อนจะลากอีกคนออกไปทันที
“ท่านอ๋อง!!”
“ข้าขอเตือน อย่าสอดปากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ” ซาคังชักดาบออกก่อนจะจ่อที่คอของเจ้าของบ้าน
“แต่นั่นมันคนของข้า!!”
“ท่านมู่หรง ข้าไม่อยากจะพูดให้มากความ แต่ พระชายาของเราจะไปเป็นคนของท่านได้เช่นไร ข้าขอตัว”
ร่างโปร่งดิ้นหนีสัมผัสของคนตรงหน้าแต่เพราะท้องที่โตขึ้นมากทำให้ไม่สะดวกอย่างใจคิดจนแล้วจนรอดก็ถูกพากลับมาที่จวนอ๋องจนได้
“ปล่อยข้า!!”
“เสวี่ยจง เมื่อไหร่เจ้าจะอยู่นิ่งๆเสียที”
“ก็เมื่อที่ท่านปล่อยข้าไป” ร่างบางบอก แต่กลับถูกอีกคนรวบเข้าไปกอดแน่น
“ปล่อยข้านะ ถ้าท่านไม่ต้องการข้า ไม่ต้องการลูก ก็ปล่อยเราสองคนไปเถอะ ได้โปรดปล่อยข้าไป” เพราะความกดดันทำให้ร่าง
โปร่งร้องไห้ออกมาอย่างหนัก น้ำตาเม็ดโตไหลอาบแก้ม
หากไม่รัก ก็อย่าเหนี่ยวรั้งเลย
“เสวี่ยจง เจ้าฟังข้าก่อนได้ไหม ได้โปรดฟังข้าสักนิด” ร่างสูงที่ไม่เคยแม้แต่จะขอร้องใครกำลังอ้อนวอนคนที่รักหมดใจให้หยุดฟังเขาบ้าง มือหนาไล้แก้มนวลอย่างแผ่วเบาก่อนจะกดจูบลงบนเปลือกตาสวย
“ข้าขอโทษ ขอโทษที่ไม่เคยดูแลเจ้ากับลูก ขอโทษที่ทำเหมือนกับว่าไม่ต้องการพวกเจ้า เจ้ารู้ไหม วันที่ข้ากลับมาแล้วไม่เจอ
พวกเจ้าหัวใจข้าเหมือนจะหยุดเต้น เจ้ากับลูกสำคัญกับข้านะ เสวี่ยจง”
“ท่านโกหก ทำไมวันนั้นท่านถึงดูไม่ดีใจเลย ที่รู้ว่าข้าท้อง” ร่างโปร่งฟูมฟาย
“ข้าแค่กลัว บุรุษที่ท้องได้มีไม่น้อยที่ต้องจบชีวิตขณะคลอด ข้ากลัว กลัวว่าเจ้าจะจากข้าไป ชีวิตข้าจะอยู่ได้เช่นไรถ้าไม่มีเจ้า เส
วี่ยจง เชื่อข้าสักครั้งเถอะนะ ได้โปรดเชื่อหัวใจของสามีเจ้าสักครั้ง ”
“ลูกพ่อ เจ้าเชื่อพ่อใช่ไหม พ่อทำผิดต่อพวกเจ้ามากนักแต่ได้โปรดยกโทษให้พ่อเถอะนะ” ร่างสูงทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะรั้งเอวของคนรักมากอดแน่น จมูกโด่งกดจูบลงบนหน้าท้องนูนอย่างอ่อนโยน
“พ่อรักพวกเจ้าสองคนมากนะ”
“ท่านพี่” เสวี่ยจงบอกทั้งน้ำตา ไม่เคยมีอ้อมกอดใดที่จะอบอุ่นได้เท่าคนๆนี้ ไม่เคยคำว่ารักใดที่จะ อ่อนโยนได้เท่าคนๆนี้ และไม่
เคยมีผู้ใดที่จะทำให้เขารักได้เท่าคนๆนี้ …
“ข้ารักท่าน”
เกือบเดือนแล้วที่เสวี่ยจง ใช้ชีวิตในนามของพระชายา แม้ว่าจะไม่ค่อยคุ้นชินกับการถูกพินอบพิเทาสักเท่าใดนักแต่เขาก็ขัดร่างสูงไม่ได้
“พระชายา จะไปไหนหรือขอรับ” ซาคังเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าร่างโปร่งเดินออกมาจากห้อง
“ข้าอยากไปที่ศาลาริมสระ ข้าไปได้ใช่ไหม”
“ขอรับ”
ร่างโปร่งยิ้มกว้างการต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องทั้งวันทำเขาเบื่อจนแทบบ้าเพราะ สามีคนดีของเขาไม่ยอมให้หยิบจับไปไหนหรือทำอะไรเลย เพราะกลัวจะแท้ง เหอะนี่ถ้ารู้ว่าตอนนั้นเขาถูกม้าชนคงอาละวาดบ้านแตกไปแล้ว แต่ไม่บอกท่าจะดีกับทุกฝ่ายมากกว่า
“อ่อ ท่านลุง เข้ามาที่นี้ได้ยังไงครับ” ร่างโปร่งเอ่ยถามกับชายชราท่าทางใจดีคนหนึ่ง
“ลุงเป็นญาติของเจ้าของบ้านน่ะ หือ นี่เจ้ากำลังท้องอยู่หรือ” ชายชราบอกก่อนจะมองร่างโปร่งอย่างพิจารณาแม้จะดูอายุมากแต่
ท่าทางที่ดูสง่างามนั้นทำให้เสวี่ยจงอดที่จะกลัวไม่ได้ หากว่าเป็นญาติกับท่านอ๋องคนตรงหน้าก็คงเป็นเชื้อพระวงค์สักคนสินะ
“เจ้ากลัวหรือ”
“เอ่อ คือว่า”
“ไม่ต้องกลัวหรอก คนแก่อย่างข้ามีอะไรน่ากลัวกัน” ชายชราบอกก่อนจะยิ้มน้อยๆ ให้อีกคนคลายกังวล ตาคมมองร่างโปร่งที่อยู่ในชุดของสตรีเพื่อไม่ให้ชุดรัดเกินไป ซ้ำทรงผมก็ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบสตรีชั้นสูง แต่กลับดูไม่ขัดตาเลยสักนิดหากไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นบุรุษ
“ฝ่าบาท ไม่ควรเสด็จออกมาเพียงลำพังนะ พะยะค่ะ” เสียงทุ้มของเจ้าของจวนเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปซ้อนหลังภรรยา ตาคมนั้น
จ้องชายชราอย่างประเมินสถานการณ์
“หึ ก็แค่อยากเห็นหน้าลูกสะใภ้ของตัวเองก็ไม่ได้หรือ” เสวี่ยจงมองคนโน้นคนนี้สลับไปมา อย่างไม่เข้าใจ เมื่อครู่ท่านอ๋องเรียกคนตรงหน้าว่าฝ่าบาทหรือ หรือว่า..
“ฝ่าบาท ฮ่องเต้!” ร่างโปร่งอุทานลั่น เนื้อตัวลั่นเทาไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบกับประมุขของแผ่นดิน
“ฮ่าๆ ดูท่าลูกสะใภ้คนดี จะกลัวข้าเสียแล้ว” ฮ่องเต้แย้มสรวล
“ไม่ต้องกลัว ทำตัวปกติเถอะ หากว่าข้าทำอะไรเจ้าแม้แต่ปลายเส้นผม เจ้าลูกชายตัวดีของข้าคงไม่ยอมแน่”
“กระหม่อมก็คิดเช่นนั้น พะยะค่ะ” ร่างสูงบอกก่อนจะกอดภรรยาไว้แน่น
“ท่านพี่ ข้า อื้อ ข้า ปะ ปวดท้อง อื้อ” ร่างโปร่งร้องลั่น
“ฟู่ซือ พาเมียเจ้าไปในห้องสิ เด็กๆใครอยู่แถวนี้บ้างไปตามหมอที ลูกสะใภ้ข้าจะคลอดแล้ว” ฮ่องเต้ตรัส
สองร่างเดินสลับกันไปมาที่หน้าห้อง พลางเงี่ยหูฟังความโกลาหลวุ่นวายสาวใช้วิ่งเข้าวิ่งออกจนแทบจะเป็นลมแต่ทุกคนก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อคุณหนูคุณชายตัวน้อยๆที่กำลังจะเกิดมา
แง้ๆๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงร้องของทารกทำให้ร่างสูงแทบยืนไม่อยู่ความดีใจเอ่อล้นจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ได้แต่มองไปที่ผู้ให้กำเนิดที่ยืนอยู่ข้างกัน
แม้ว่า กฎเกณฑ์ ในวังหลวงจะเข้มงวดองค์ชายอย่างเขาแทบไม่เคยได้รับไออุ่นจากอ้อมอกของผู้ให้กำหนด แต่เขากลับรู้สึกว่า ความสุขของการได้เห็น ชีวิตน้อยๆถือกำเนิดขึ้นก็คงไม่ต่างกัน
“ฟูซือ เจ้ารู้ไหม ว่าในวันที่เจ้าเกิด พ่อกำลังประชุมขุนนางเกี่ยวกับการวางระบบชลประทาน แต่แม้ว่าพ่อจะไม่ได้อยู่ด้วยแต่พ่อก็
ดีใจ ที่เจ้าเกิดมา”
“เสด็จพ่อ” ร่างสูงครางแผ่ว
“เจ้ามีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว ก็จงทำหน้าที่ให้ดี ในบรรดาลูกท่านหมด เจ้าหัวดื้อที่สุด แต่ก็โดดเด่นที่สุด พ่อหวังว่าเจ้าจะ
เป็นผู้นำครอบครัวที่ดี”
“ขอบพระทัย เสด็จพ่อ”
“ฟู่ซือ เจ้าไม่คิดจะบอกความจริงเรื่องชาติกำเนิดให้ เสวี่ยจงรู้หรือ” ฮ่องเต้ตรัสถาม
“เรื่องบางเรื่องควรปล่อยมันไปจะดีกว่า พะยะค่ะ น้องจิ้ง ก็คือ เสวี่ยจง เสวี่ยจงก็คือ น้องจิ้ง ไม่ว่าจะเป็น หวันเอี้ยนจิ้ง ท่านชายผู้
สูงศักดิ์ หรือ ตู้เสวี่ยจง ลูกชาวบ้านธรรมดา กระหม่อมก็รักคนๆนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
5ปี ผ่านไป
“ท่านแม่ เหวินจิ้งแกล้งข้าอีกแล้ว” ร่างเล็กของเด็กชายอายุราว 4 ขวบวิ่งเข้ามาฟ้องผู้เป็นแม่ ก่อนจะชี้ไปที่เด็กผู้ชายที่ตัวโตกว่า
อีกคน
“เหวินจิ้ง แกล้งน้องอีกแล้วหรือ” เสวี่ยจงหันไปถามกับเด็กชายตัวสูง
“เหวินฟู่ ขี้แย ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แต่เอาเจ้าตัวนี้ให้ดูเท่านั้นเอง เหวินฟู่ก็ร้องไห้จ้าเลย” เด็กชายตัวโตบอกเสียงเรียบพลาง
ยื่นเจ้าหนอนตัวน้อยให้ผู้เป็นแม่ดู เสวี่ยจงได้แต่ส่ายหน้ากับนิสัยของลูกชาย เหวินฟู่ กับ เหวินจิ้ง เป็นฝาแฝดกันแต่กลับไม่เหมือนกันเลยทั้งรูปร่าง หน้าตา หรือแม้แต่ นิสัย จะบอกว่า เหวินจิ้งเหมือนท่านอ๋อง ส่วน เหวินฟู่ เหมือนเขาคงจะไม่ผิดนัก
“เจ้าก็รู้ว่าข้ากลัว ท่านแม่วันนี้ ให้เหวินฟู่ไปนอนที่อื่นเลยนะ ข้าจะนอนกอดท่านคนเดียว แบร่” ร่างเล็กว่า
“ไม่มีทาง ข้าก็จะนอนกับท่านแม่เหมือนกัน” เหวินจิ้งบอกเสียงเรียบ ถึงจะอายุยังน้อยแต่น้ำเสียงนั้นก็ยังคงมีความกดดันคนฟังอยู่
หลายส่วน ช่างเหมือนท่านอ๋อง ราวคนเดียวกัน
“ท่านแม่ ข้าไม่ยอมนะ”
“พวกเจ้าสองคน ไม่ต้องเถียงกันเลย เพราะวันนี้ เจ้าสองคนต้องเข้าวัง” ร่างสูงที่เพิ่งกลับจากวังหลวงเอ่ยขึ้น
“ฝ่าบาททรงรับสั่งอีกแล้วหรือ” เสวี่ยจงเอ่ยถาม
“ใช่ ไม่รู้ว่าเจ้าลูกลิงพวกนี้เป็นลูกใครกันแน่ เอะอะ เสด็จพี่ก็ให้เข้าไปเล่นในวังอยู่เรื่อย” ร่างสูงหมายถึง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่
ครองราชย์ได้เพียงสามปี ซ้ำยังไม่มีโอรส เจ้าลูกลิงแฝดของพวกเขาจึงกลายเป็นคนโปรด
“เพราะว่าพวกเราน่ารัก เสด็จลุงฮ่องเต้ก็เลยเอ็นดูครับ” เหวินฟู่บอกอย่างร่าเริง
ก่อนที่สองพี่น้องจะจูงมือกันกลับห้องเพื่อเตรียมตัวเข้าวัง ร่างสูงรั้งคนรักเข้ามากอดแน่นก่อนจะกดจมูกลงบนแก้มนวล ตลอด 5 ปี
ที่ผ่านมาความรักของเจาที่มีต่อเสวี่ยจงไม่เคยลดน้อยลงไปเลยนับวันก็มีแต่จะเพิ่มขึ้น หัวใจมันเต็มตื้นราวกับว่าการรอคอยที่
ยาวนานได้สิ้นสุดลง
“ข้าอยากมีลูกสาว” เสียงทุ้มบอก
“หือ” ร่างโปร่งเลิกคิ้วถาม
“ไปหาน้องให้เจ้าลูกลิงกันไหม”
“ท่านพี่!!” ร่างโปร่งเหวลั่น ก่อนจะจับมือหนาวางลงบนท้องของตัวเอง
“ไม่ต้องหรอก บางทีลูกสาวอาจจะอยู่ในนี้แล้วก็ได้”
“เจ้าหมายความว่า”
“สองเดือนแล้วครับ”
“เสวี่ยจง!! ข้าดีใจที่สุดเลยรู้ไหม” ร่างสูงบอกก่อนจะกอดคนรักไว้แน่น
กว่าจะได้พบ กว่าจะได้รัก กว่าจะได้ครองคู่ อาจจะต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย จนเหลือคณานับ แต่หาก เพียงหัวใจมั่นในรัก แล้ว บ่วงรักจักคล้องใจ ให้ดวงหทัยทั้งสองนั้น ร้อยรักมัดเรียงอยู่เคียงใจ ตราบชั่วนิจนิรันดร์
แถม…
“นั่นเป็นความฝันของคุณตลอดหลายปีหรือครับ” เสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้นก่อนที่ร่างสูงที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้จะพยักหน้า
“อืม หมอคิดว่า ไม่น่าจะมีความผิดปกติอะไรนะครับ” ชายหนุ่มร่างโปร่งในชุดกราวบอกก่อนจะขยับแว่นที่ใส่อยู่อย่างใช้ความคิด
“เมื่อก่อน ผมก็คิดว่าเรื่องราวบ้าๆพวกนี้มันเพ้อเจ้อนะครับ ผมเอาแต่ฝันซ้ำไปซ้ำมา วนเวียนอยู่สามเรื่องนี้มาหลายปี แต่วันนี้ผม
ไม่คิดแบบนั้นแล้วล่ะ” เสียงทุ้มบอกพลางจะลุกขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะรั้งร่างที่ยืนอยู่ให้เข้ามาในอ้อมกอด
“ในที่สุดก็ได้เจอกันสักทีนะ” เสียงนั้นกระซิบที่ข้างหู
“ฮึก มาช้า รู้ไหมว่ารอมาตั้ง 25 ปี มันเหงานะที่ต้องอยู่คนเดียวแบบนี้” ร่างโปร่งว่าก่อนจะซุกหน้าลงบนอกแกร่ง ปล่อยน้ำตาให้
ไหลจนเสื้อเชิ้ตแบนด์หรูเปียกชุ่ม
“ขอโทษครับ ต่อไปนี้จะไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวอีกแล้ว รักนะรู้ไหม ไม่ว่าจะกี่ภพ กี่ชาติ ผมก็จะรักคุณคนเดียว”
“ผมก็รักคุณเหมือนกัน”
“อ่า แล้วแบบนี้ผมต้องเรียกคุณว่า จิ้นฝู หย่งเจิ้ง ฟู่ซือ หรือ เควิน อู๋ ดีล่ะ” ร่างโปร่งว่าติดตลก
“ฮ่าๆๆ เรียกว่า ที่รักเป็นไงครับ คุณ เอดิสัน หวง”
…………………….จบบริบรูณ์………………………………
ปาดน้ำตา รู้สึกยาวนานเหลือเกิน
กะอิแค่ มินิซีรีย์ ขอบคุณที่ติดตามกันเสมอมา คร่า