(รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5  (อ่าน 36897 ครั้ง)

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เศร้าจัง...เรื่องสามจะไม่เศร้าใช่ไหม?

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :m15: เศร้ามาอีกแล้วอ่ะ

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
เศร้าอ่ะ
ถึงจะได้รักกัน แต่ก็มิได้ครองคู่กัน มันเจ็บปวดนะ T-T

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13


ร้อยรักเคียงใจ (ฟู่ซือ <3 เสวี่ยจง)


..ปักกิ่ง..

บนถนนหลวงในมหานครปักกิ่งอันรุ่งเรืองปรากฏเกี้ยวขนาดแปดคนหามที่งดงามเกินกว่าจะเป็นเกี้ยวของขุนนางคนใด ตามด้วยทหารองค์รักษ์นับ 10 นายที่เดินอย่างเป็นระเบียบ ชาวบ้านต่างพากันหยุดเดินและหลีกทางให้ขบวนนั้นผ่านไปอย่างง่ายดาย หากจะนับเรื่องอำนาจบารมีแล้ว เกรงว่าคนในเกี้ยวนั้นคงจะเป็นรองแค่เพียง ฮ่องเต้ พระองค์เดียว

“นั่นเกี้ยวของท่านอ๋องแปดหรือ” ชาวบ้านคนหนึ่งกระซิบถาม

“ย่อมต้องใช่แน่นอน”

“ท่านอ๋องช่างเป็นผู้มี บารมีโดยแท้จริงๆ”

ท่านอ๋องแปด หรือ เหอซั่วชินหวังฟู่ซื่อ ที่ชาวบ้านพูดถึงเป็นโอรสองค์ที่แปดของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่แม้จะมิใช่ องค์ชายที่เกิดจากฮองเฮา แต่ด้วยความสามารถที่โดดเด่นทำให้ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องทั้งๆที่พี่น้องคนอื่นยังคงเป็นเพียงองค์ชาย แต่เหนือสิ่งอื่นใดคนผู้นี้คือ ผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง แม้ไม่มีใครเอ่ยปากพูดแต่ก็รู้กันดี อำนาจในราชสำนักเวลานี้เป็นของผู้ใด
แต่ก่อนที่เกี้ยวหลังงามจะผ่านถนนไป พลัน!! มีร่างๆหนึ่งวิ่งมาตัดหน้าก่อนที่ร่างนั้นจะโงนเงนราวกับหมดแรงแล้วเป็นลมล้มไป ชาวบ้านและทหารองครักษ์ทั้งหมดกลั้นลมหายใจกับภาพตรงหน้า ไม่ใช่ตื่นกลัวที่มีคนๆหนึ่งล้มไปต่อหน้าแต่ตื่นกลัวบุรุษทรงอำนาจที่ยังคงอยู่ในเกี้ยวต่างหาก ทุกคนในปักกิ่งต่างรู้กันดีว่า ท่านอ๋องแปด นั่นอารมณ์ขึ้นลงยากจะคาดเดา ยามสั่งประหารนั้นใบหน้าเรียบเฉยราวกับเป็นเรื่องธรรมดา ซ้ำยังค่อนข้างถือตัว ไม่ชอบ ความวุ่นวาย แล้วเจ้าคนไม่กลัวตายที่ไหนกล้าไปขวางทางเกี้ยวของท่านอ๋องกัน!!

“หยุดเกี้ยวทำไม ซาคัง” เสียงทุ้มทรงอำนาจนั้นเอ่ยขึ้นทำเอาคนถูกเรียกชื่อหายใจไม่ทั่วท้อง

“เรียนท่านอ๋อง มีคนหมดสติขวางทางอยู่ขอรับ” ซาคัง หัวหน้าองค์รักษ์เอ่ยอย่างนอบน้อม

“งั้นหรือ วางเกี้ยวสิ ข้าจะลงไปดูหน่อย”

“ท่านอ๋องอย่าลำบากเลยขอรับ เดี๋ยวข้าน้อยให้ทหารลากออกไปก็ได้ขอรับ”

“วางเกี้ยว” เสียงนั้นไม่ตะคอกเสียงดังแต่เป็นการพูดที่ชัดถ้อยชัดคำยิ่ง คนที่อยู่ข้างกายมานานอย่างซาคังย่อมรู้ดีว่าท่านอ๋อง
กำลังไม่พอใจ

“วางเกี้ยว!!” ซาคังตะโกนสั่งคนรับใช้ก่อนที่จะกุลีกุจอไปเปิดม่านให้เจ้านายหลังจากที่เกี้ยวถูกวางลง ชาวบ้านที่ยังคงยืนออกันอยู่ ต่างรอที่จะพบหน้าท่านอ๋องแปดด้วยความตื่นเต้น แม้ผู้คนในเมืองหลวงล้วนรู้จัก แต่น้อยคนนักที่จะได้เห็นหน้าเพราะท่านอ๋องแปดเป็นคนถือตัว ยามไปไหนมาไหนมักจะใช้เกี้ยวและผู้ติดตามจำนวนมาก วันนี้พวกเขานับว่าเป็นบุญตาแล้ว
ร่างสูงโปร่งในเครื่องแต่งกายหรูหราอย่างเชื้อพระวงศ์ก้าวออกมาจากเกี้ยวท่ามกลางสายตาของชาวบ้านนั้นบริเวณนั้น ท่านอ๋องแปด นับว่าเป็นชายหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหลาคมคายสมชายชาตรี อีกทั้ง ท่าทางที่สง่างาม นั้นทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ต่างอดที่จะขวยเขินไม่ได้



ตาคมทอดมองไปยังร่างๆหนึ่งที่หมดสติอยู่บนถนน คิ้วเข้มขมวดแน่นพลางพิจารณา คนๆนี้เป็นเด็กหนุ่มที่น่าจะอายุไม่มาก ทั้งเสื้อที่อีกคนสวมใส่อยู่ก็สกปรกมอมแมม แต่ดูจากลักษณะแล้ว คนตรงหน้าจึงน่าจะเป็น ชาวบ้านธรรมดา

“ไปตรวจดูสิว่าเขาเป็นยังไงบ้าง” เสียงทุ้มสั่งคนสนิท ซาคังเดินเข้าไปที่ร่างนั้นก่อนจะพลิกงายขึ้นมาแล้วลองตรวจชีพเจ้าดู

“เขายังมีชีวิตอยู่ขอรับแต่คงเพราะอ่อนเพลียมากเลยเป็นลมไป”

“เช่นนั้นหรือ เอาเงินให้เขาสิบตำลึง แล้วให้ทหารลากออกไปข้างทางซะ”

“ขอรับท่านอ๋อง” ร่างแกร่งหนาของซาคัง รับคำก่อนจะสั่งทหารให้ลากเด็กหนุ่มคนนั้นไป

“เดี๋ยวก่อน!!” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะเดินตรงไปที่เด็กหนุ่ม มือหนาคว้าหยกประดับเอวของอีกฝ่ายขึ้นมาพิจารณา

“มีอะไรขอรับท่านอ๋อง”

“ซาคัง ช่วยพาคนๆนี้กลับไปรักษาที่จวนด้วย”  ท่านอ๋องแปดสั่งการก่อนจะเดินกลับขึ้นเกี้ยวไป

“ได้ขอรับ”  ซาคังรับคำแม้จะไม่เข้าใจการกระทำของผู้เป็นนายแต่เขาก็รู้ดีว่าไม่ควรสอดปากเข้าไปยุ่งในสิ่งที่เจ้านายไม่ได้สั่ง

ภายในเรือนตะวันออก ร่างสูงที่อยู่ในห้องกำลังมองป้ายหยกอย่างพิจารณา ไม่ผิดแน่ นี่คือป้ายหยกของตระกูล “หวันเอี้ยน”   แค่ตระกูลนั้นถูกโจรปล้นและฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเมื่อ 15 ปีก่อน 130 ชีวิตถูกสังหารภายในคืนเดียว จะเป็นไปได้หรือที่มีคนรอด
เขาต้องรู้ให้ได้ว่า ป้ายหยกชิ้นนี้อยู่กับเจ้าเด็กนั่นได้อย่างไร


ภายในห้องหนึ่ง เด็กหนุ่มปริศนานอนหลับอยู่บนฟูกข้างๆมีเด็กรับใช้กำลังนั่งสัปหงกอยู่  เปลือกตาของคนป่วยค่อยๆขยับขึ้นช้าๆ
ก่อนที่มองไปรอบๆห้องที่ไม่คุ้นเคย

ที่นี่ที่ไหน

เด็กหนุ่มคิด ก่อนจะสำรวจร่างกายตัวเองที่ตอนนี้เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนเรียบร้อย บาดแผลตามตัวก็ถูกรักษาและใส่ยาอย่างดี เด็กหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจเขาจำได้ว่ากำลังวิ่งหนีนักเลงในตลาด พอถึงถนนสายหนึ่งจู่ๆเขาก็รู้สึกหน้ามืดและสลบไป แต่เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน

 “เจ้าฟื้นแล้วหรือ” เด็กรับใช้ที่ดูเหมือนยังงัวเงียอยู่เอ่ยถาม ขึ้น

“ทีนี่ที่ไหนแล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” คนป่วยถามกลับ

“ที่นี้คือ จวนของท่านอ๋องแปด เมื่อวานท่านอ๋องไปเจอเจ้าหมดสติเลยให้พาเจ้ามารักษา เจ้าหลับไปหนึ่งวันเต็มๆเลยนะเจ้ารู้ไหม” เด็กรับใช้บอก

 “เจ้าอย่าเพิ่งลุกนะ ข้าต้องไปบอก พ่อบ้านกับท่านซาคังก่อนว่าเจ้าฟื้นแล้ว” เสี่ยวหลงบอกก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป

เสวี่ยจง สำรวจห้องที่ตัวเองนอนอยู่อย่างเงียบๆ ที่นี้ดูท่าจะเป็นเรือนคนใช้ เพราะดูจากตัวเรือนแล้วตกแต่งหยาบๆ เครื่องเรือนก็มีเพียงแค่เตียงและโต๊ะเก่าๆเท่านั้น  แต่ทีนี้ก็ยังดีกว่าบ้าน ของเขาเป็นไหนๆ


ก๊อกๆๆๆ

เสียงเคาะประตูทำให้ร่างสูงที่อยู่ในห้องเงยหน้าขึ้น ก่อนจะวางหยกที่ทำให้เขาสงสัยมาตลอดทั้งวันไว้ในกล่อง เอาเถอะ หากว่าเด็กคนนั้นฟื้นเขาอาจจะรู้ความจริงก็ได้

“เข้ามา”

“เรียนท่านอ๋อง คนรับใช้รายงานว่าเด็กหนุ่มคนนั้นฟื้นแล้วขอรับ ข้าน้อยให้พ่อบ้านไปตามหมอมาดูอาการแล้ว ท่านจะให้เขาเข้าพบเลยหรือไม่” ซาคังรายงาน

“ยังก่อน เอาไว้ให้หายดีก่อนแล้วค่อยพามาหาข้า” เสียงเรียบนั้นบอก ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงไล่

ร่างหนาได้แต่ส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจเด็กหนุ่มคนนั้นมีดีอะไรทำไมท่านอ๋องถึงใจดีด้วยเช่นนี้  แม้ว่าเรื่องเช่นนี้อาจจะดูปกติทั่วไปแต่สำหรับท่านอ๋องแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่พิเศษมากทีเดียว เพราะท่านอ๋องไม่ใช่คนที่จะยุ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง จะว่าเด็กคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับทานอ๋องก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เมื่อ ดูแล้วนั่นก็แค่เด็กชาวบ้านธรรมดา



“ข้าตรวจดูแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงนอนพักอีกสักวันก็หายแล้ว” หมอชราบอกกับคนป่วย หลังจากที่ลองตรวจดูแล้ว

“ขอบคุณท่านหมอมาก” เด็กรับใช้บอกก่อนจะเดินไปส่งที่หน้าประตู

“เจ้าชื่ออะไร ข้าชื่อเสี่ยวหลงนะ” เด็กรับใช้คนนั้นบอก ก่อนจะนั่งลงข้างๆคนป่วย

“ข้าแซ่ตู้ ชื่อ เสวี่ยจง  ตู้เสวี่ยจง ขอบคุณเจ้ามากนะที่ช่วยดูแลข้า” เสวี่ยจงบอก

“อย่าเลย คนที่เจ้าควรขอบคุณคือท่านอ๋องต่างหากล่ะ ข้าก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น เจ้านอนพักเถอะ จะได้หายเร็วๆ”
คนป่วยพยักหน้าก่อนจะหลับตาลง


เสียงนกร้องกับแสงแดดที่รบกวนการนอนทำให้เด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนฟูกลืมตาขึ้นมาช้าๆ พลางบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้นอนเต็มอิ่มอย่างนี้ เด็กหนุ่มยิ้ม ก่อนจะเสมองออกไปที่นอกหน้าต่าง

“เจ้าตื่นแล้วเหรอ หิวหรือยัง ข้าเอาโจ๊กมาให้น่ะ” เสี่ยวหลงที่กำลังประคองชามโจ๊กเข้ามาเอ่ยถาม

“อืม ขอโทษนะ ข้าตื่นสายไม่ได้ช่วยเจ้าเลย”

“เจ้าไม่สบายอยู่ พักผ่อนเถอะ ”

“ได้ยังไงกัน พ่อข้าสอนว่า เกิดเป็นคนต้องรู้จักทดแทนบุญคุณ ข้าเองก็หายดีแล้วข้าอยากจะทำงานทดแทนบุญคุณท่านอ๋อง
บ้าง”

“เจ้านี่เป็นคนดีนะ เอาเถอะ กินเสร็จแล้วเจ้าไปช่วยข้าในครัวแล้วกัน ”

“ได้ๆ ข้าทำกับข้าวอร่อยนะ เอาไว้ข้าจะทำให้กิน”  เสวี่ยจงบอกอย่างร่าเริง รอยยิ้มสดใสแต้มบนใบหน้าทั้งลักยิ้มสองข้างนั้นยัง
ทำให้คนตรงหน้าดูน่ามองจนอีกคนอดใจเต้นไม่ได้

“เสี่ยวหลง เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” เสวี่ยจงที่เห็นเพื่อนนิ่งไปเอ่ยเรียก

“ปะ เปล่า เจ้ารีบกินเถอะถ้าเย็นมันจะไม่อร่อยนะ”

“อื้ม ขอบคุณเจ้าอีกครั้งนะ”



ตกเย็น

ร่างสูงที่เพิ่งกลับจากงานเลี้ยงในวัง มีสีหน้าบูดบึ้ง จนแม้แต่คนสนิทอย่าง ซาคัง ก็เข้าหน้าไม่ติด

“ท่านอ๋องเป็นอะไรหรือขอรับ ท่านซาคัง” พ่อบ้านกระซิบถามเมื่อเห็นว่าบนหน้าของท่านอ๋องแปดนั้น ราวกับมีพายุคลั่ง กำลังก่อ
ตัว

“เรื่องเดิมๆ” ร่างหนาบอกก่อนจะถอนหายใจ 

“ฝ่าบาททรงถามถึง พระชายา อีกแล้วหรือ” พ่อบ้านเปรยอย่างเหนื่อยใจ ปีนี้ท่านอ๋องแปดอายุครบ 29 แล้ว แต่กลับไม่คิดแม้แต่จะชายตามองผู้ใด แม้จะมี กิน เที่ยว บ้างดั่งชายทั่วไป แต่ก็ไม่เคยจริงจัง ทั้งๆที่ มีทั้งบรรดาขุนนาง พ่อค้า คหบดี ต่างอยากจะดองกับท่านอ๋องเสียจนตัวสั่น นั่นเพราะ ถ้าใครได้เป็นพระชายาอ๋องแปดล่ะก็ หากคิดจะครองแผ่นดินนี้ก็เป็นง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ


ร่างสูงของบุคคลในบทสนทนาเดินไปมาอย่างหงุดหงิด บางครั้งเขาก็เกลียดงานเลี้ยงที่แสนจอมปลอมนั่น เจตนาของพวกขุนนางเจ้าเล่ห์พวกนั้นมีหรือเขาจะไม่รู้ คงอยากจะดองกับเขาเสียจนตัวสั่นล่ะสินะ หึ ถ้าเขายอมให้จับคลุมถุงชนได้ง่ายๆ วันนี้เขาคงมาไม่ถึงจุดนี้หรอก  แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เขาหงุดหงิดได้เสมอจริงๆ


เรือนคนรับใช้

“นี่เจ้าทำเองทั้งหมดเลยหรือ เสวี่ยจง” เสี่ยงหลงเอ่ยถามเมื่อเห็นอาหารมากมายวางอยู่ตรงหน้า แม้ว่ามันจะไม่ใช่อาหารหรูหราอะไรแต่สีสันกลับน่ากินอย่างไม่น่าเชื่อ

“ใช่ เจ้ารู้ไหมวันนี้หลังจากทำอาหารเสร็จพวกพ่อครัวจะเอา ของสดพวกนี้ไปทิ้ง ข้าเลยอาสาจะเอาไปทิ้งให้ แต่ว่าข้าแอบเอามาทำให้เจ้ากิน ทำไมคนรวยถึงกินทิ้งกินขว้างอย่างนี้นะ เจ้ารู้ไหมว่าที่บ้านนอกน่ะ แทบไม่มีเนื้อให้เจ้ากินเลยด้วยซ้ำไป” เสวี่ยจงบ่นอุบ วันนี้เขาไปช่วยในครัวตามที่เสี่ยวหลงบอกเห็นว่าอาหารของ จวนอ๋อง ช่างหรูหราเหลือเกินซ้ำวัตถุดิบก็มีแต่ของชั้นดีแต่พอของเหลือแทนที่จะเก็บไว้ทำกินดันจะเอาไปทิ้งอย่างน่าเสียดาย ช่างไม่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเสียเลย

“เจ้าว่าเจ้าขอวัตถุดิบที่เหลือจาก อาหารของท่านอ๋องหรือ”  เสี่ยงหลงเบิกตาโพลง

“เจ้าทำราวกับข้าจุดไฟเผาจวน ข้าแค่ไม่อยากให้มันเสียของ”

“โอ้ย เจ้าอย่าทำเช่นนี้อีกนะ เสวี่ยจง ของของท่านอ๋องหากไม่ได้รับอนุญาตเจ้าอย่าได้เอาไปใช้ ท่านอ๋องแปดเป็นคนถือตัวมาก ถ้าพ่อบ้านรู้เข้าเจ้าต้องโดนตีหลังลายแน่”

“ท่านอ๋อง ดุร้าย ขนาดนั้นเลยหรือ”

“ปกติท่านอ๋องเป็นคนที่อารมณ์ขึ้นลง ยากคาดเดาหากเจ้าทำอะไรไม่ระวังแล้วท่านอ๋องโกรธขึ้นมาล่ะก็ต่อให้เจ้ามีสิบชีวิตก็ไม่พอชดใช้หรอก”

“เอาเถอะๆ วันนี้ถือว่าข้าไม่รู้ไม่เห็น รีบกินเถอะก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า” เสี่ยวหลงที่เห็นว่าอีกฝ่ายดูสีหน้าไม่สู้ดีนักพูดขึ้น ก่อนจะคีบอาหารให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ  เสี่ยวหลงยอมรับอย่างเต็มใจเลยว่าอาหารของ ร่างโปร่งนั้นอร่อยมากจริงๆ แม้จะเทียบกับพ่อครัวของจวนไม่ได้แต่ถ้าไปแข่งกับพ่อครัวข้างนอกนั้นถือว่าอร่อยกว่าหลายส่วนเลยทีเดียว


2 วันผ่านไป

เสวี่ยจง ยังคงอยู่ในจวนอ๋องเพราะไม่มีที่ไป และท่านอ๋องดูเหมือนจะลืมไปเสียแล้วว่าเคยช่วยคนๆหนึ่งไว้ แต่ยังไงเขาก็ต้องจากไปอยู่ดีเพราะเขาอยู่ที่นี่ก็จะเป็นภาระของเสี่ยวหลงเปล่าๆ แต่เขาก็อยากจะขอบคุณท่านอ๋องสักครั้งที่เมตตาช่วยเหลือ

“เสวี่ยจง เจ้าจะไปไหน”

“ข้าต้องไปแล้ว ข้าจะไปไหนสมัครเป็นพ่อครัวอยากที่เจ้าบอกดีหรือไม่”

“เจ้ายังคิดจะไปอีกเหรอ ข้างนอกนั่นมีอันตรายอยู่มาก ถ้าเจ้าไปแล้วใครจะดูแลเจ้า” เสี่ยวหลงบอก

“ข้าดูแลตัวเองได้น่า เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ลูกผู้ชายเดินหน้าแล้วต้องไม่ถอยกลับ ข้ายังมีภาระที่ต้องหาเงินส่งไปให้พ่อกับแม่ที่บ้านนอก ข้าอยู่ที่นี้ไม่ได้หรอกนะ ที่อยู่ที่นี้แค่อยากจะขอบคุณท่านอ๋องที่ช่วยข้าไว้เท่านั้น แต่เท่าที่เห็นดูเหมือนท่านอ๋องจะลืมไปแล้วว่าเคยช่วยข้าไว้ เสี่ยงหลงเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีของข้านะ แต่ข้าต้องไปแล้วพรุ่งนี้เช้าคงต้องออกเดินทางเสียที”

“ข้าขอให้เจ้าโชคดีนะ” เสี่ยงหลง บอก เขาเองก็ไม่สามารถรั้งใครไว้ได้เพราะตนเป็นแค่คนรับใช้ แม้จะมีความรู้สึกดีๆให้ร่างโปร่ง
นี้อยู่ไม่น้อย แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้อยู่ดี

“เจ้าก็เช่นกัน”


…………………………………………………………………..

“เจ้าว่าอะไรนะ ซาคัง!!” เสียงทุ้มตวาดลั่น ร่างสูงกำมือแน่นเมื่อได้ฟังในสิ่งที่คนสนิทมารายงาน 

เด็กที่ช่วยมาวันนั้นจากไปแล้ว

“แค่คนๆเดียวยังดูแลกันไม่ได้ คำสั่งของข้ายัง สำคัญอยู่ไหม!!”

“ท่านอ๋อง ได้โปรดใจเย็นๆก่อนเถิดขอรับ”

“พวกเจ้า จะไปไหนก็ไป อย่ามาให้ข้าเห็นหน้า!!” ท่านอ๋องแปด ตวาดลั่นก่อนจะกระแทกตัวลงบนเก้าอี้อย่างแรงเพื่อระบายความโกรธ มือหนาล้วงหยกที่ได้จากเด็กคนนั้นมากำแน่น

ทั้งๆที่คิดว่า จะสืบเรื่องราวป้ายหยกนั่นได้แล้วแท้ๆ


คำว่าประหาร ถูกเขียนลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากปลายพู่กันของร่างสูงที่ ระยะนี้ดูเหมือนท่านอ๋องจะอารมณ์ไม่ดีจนขุนนางทั้งหลายไม่มีใครเข้าหน้าติด แม้จะเสนอนโยบายอะไรก็มักจะได้คำตอบว่า ไม่เห็นด้วย แทบจะทุกครั้ง ลำพังท่านอ๋องยามปกติก็รับมือได้ยากยิ่งอยู่แล้ว การรับมือท่านอ๋องยามโกรธนั้น มันน่ากลัวราวกับอยู่ในกรงราชสีห์

“นอกจาก ฎีกา พวกนี้แล้ว มีอะไรอื่นจะเสนออีกหรือไม่” เสียงทุ้มเอ่ยถามหลงจาเงยหน้าจากกองฎีกา

“ไม่มีแล้วขอรับท่านอ๋อง” เหล่าขุนนางต่างพร้อมใจกันพูด จนคนมีอำนาจสูงสุดได้แต่แค่นเสียงในลำคอ

“หึ ดี เช่นนั้น ข้าจะกลับจวน”

คล้อยหลังร่างสูงเหล่าขุนนางต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก ได้แต่ภาวนาให้ท่านอ๋องอารมณ์ดีเสียที พวกเขาจะได้ไม่ต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้อีก



“เชิญแวะทานบะหมี่ ก่อนได้นะครับ” ร่างโปร่งยืนเรียกลูกค้าที่หน้าร้านบะหมี่ข้างทางแห่งหนึ่ง  เสวี่ยจง นั่นเอง เขาทำงานที่ร้าน
บะหมี่ได้ 5 วันแล้ว แม้ว่าจะเป็นร้านเล็กๆและได้ค่าแรงไม่มาก แต่เพราะเจ้าของร้านใจดีทั้งยังให้ที่พักและอาหารสามมื้อ ทำให้เขาไม่ต้องใช้จ่ายอะไรเลย อีกไม่นานเขาคงมีเงินเก็บมากพอที่จะเอาไปให้พ่อแม่ที่บ้านนอก

“เสวี่ยจง เอาบะหมี่ไปส่งที่ร้านแลกเงิน ด้วย”

“ครับเถ้าแก่” ร่างโปร่งรับคำก่อนจะถือถาดบะหมี่ไปส่งที่ร้านแลกเงินที่อยู่ไม่ไกลนัก


“เฮ้ย!! ระวัง” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นก่อนที่ชายร่างผอมแต่งตัวเหมือนขอทานจะวิ่งมาชนเด็กหนุ่มอย่างจัง จนเสวี่ยจงเสียการทรงตัว ถาดบะหมี่ที่ถือมาโครงเครงจนในที่สุด มันก็หกใส่คนที่เดินผ่านไปมา

“บังอาจ!!! นี่เจ้า” เสียงทรงพลังนั้นตวาดลั่น เสวี่ยจงลนลานเมื่อเห็นว่าคนที่เขาทำบะหมี่หกใส่นั้น แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดี ซ้ำ
ยังดูจะมีองค์รักษ์ คงจะเป็นพวกขุนนางเป็นแน่ หรือว่าคราวนี้เขาจะต้องถูกโบยกันนะ

“ขะ ข้า ไม่ได้ตั้งใจนะ ขอรับ อย่าโบยข้าเลยนะขอรับ” เสวี่ยจงบอกอย่างลนลานพลางโขกศีรษะเป็นการขอโทษ

“เจ้ารู้ไหมว่าท่าน อะ เอ่อ นายท่านของข้าเป็นใคร ต่อให้เจ้ามีสิบชีวิตก็ไม่พอชดใช้!!”

“พอก่อน ซาคัง” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยบอก

“นายท่าน ข้าน้อยขอโทษขอรับ ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจทำให้ชุดของท่านเปื้อน อย่าโบยข้าน้อยเลยนะขอรับ” เสวี่ยจงที่ยังไม่กล้าเงย
หน้าบอกเสียงสั่น

“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าจะโบยเจ้า”

“ที่บ้านเกิด หากว่าทำผิดพวกขุนนางก็จะโบย ข้าไม่อยากถูกโบย”

“ทำไมเจ้าถึงไม่อยากถูกโบย”

“เพราะว่า ข้าน้อยต้องทำงาน ลำพังแค่ต้องชดใช้บะหมี่ชามนี้ ค่าแรงของวันนี้ก็แทบจะหมดแล้วหากว่าถูกโบยข้าน้อยต้องหยุดงานหลายวันคงขาดรายได้ กว่าจะเก็บเงิน 100 ตำลึงเพื่อไปไถ่ที่นาคืนคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี”

“เจ้าเงยหน้าขึ้นสิ เอาแต่ก้มหน้าอยู่ทำไมกัน” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยขึ้น ก่อนที่ร่างโปร่งที่ก้มหน้าอยู่จะเงยหน้าตามคำสั่ง

“เจ้า นี่เจ้า  เป็นเจ้าเองหรือ” เสวี่ยจงมอง ร่างแกร่งหนานั้นทักเหมือนรู้จัก แต่เขามั่นใจว่าไม่เคยพบคนรูปร่างหน้าตาเช่นนี้มาก่อนเลย

“ท่านรู้จักข้าหรือ ขอรับ”

“ใครหรือ ซาคัง” คราวนี้เป็นบุรุษหน้าตาคมคาย เอ่ยถาม เสวี่ยจงได้แต่มองคนโน้นคนนี้ สลับไปมา แม้จะยังไม่เข้าใจนักแต่ก็เบาใจได้เมื่อคนตรงหน้าไม่ได้สั่งโบยเขา

“ท่านอ๋องคนนี้ คือคนที่ท่านช่วยเมื่อคราวก่อนไงขอรับ” ซาคังกระซิบกับผู้เป็นนาย

“เช่นนั้นหรือ” มุมปากของร่างสูงยกยิ้ม ก่อนจะก้มลงไปหาร่างโปร่ง

“เจ้าบอกว่าเป็นหนี้อยู่ 100 ตำลึงเช่นนั้นหรือ”

“ขะ ขอรับ”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้เงินเจ้า แต่มีข้อแม้เจ้าจะต้องไปทำงานกับข้า”

“จริงหรือขอรับ”

“คนอย่างข้า ไม่เคยโกหก เจ้าจะตกลงหรือไม่”

“ขอเพียงเป็นงาน สุจริตไม่ผิดศีลธรรม ข้าน้อยยอมทำทุกอย่างขอรับ” ร่างโปร่งบอกอย่างดีใจ

“ดีเช่นนั้น อีก 3 วันไปพบข้าที่ จวนอ๋องแปด เจ้าคงจักใช่ไหม ”

“ขอรับ ท่านเป็นคนของท่านอ๋องหรือ”

“อืม คิดว่า น่าจะใช่นะ”

“แล้วท่านจะให้ข้าแจ้งว่าขอพบใครหรือขอรับ”

“ข้าชื่อ ฟู่ซือ ส่วนนี้ตั๋วแลกเงิน 100 ตำลึง เอากลับไปให้พ่อแม่เจ้าซะ” ร่างสูงบอก่อนจะเดินหันหลังกลับไป ทิ้งให้ซาคังได้แต่ อ้าปากค้าง ชื่อของท่านอ๋อง สูงส่งเพียงใด เหตุใดจึงยอมบอกชื่อกับ คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้


3 วัน ผ่านไป

“ท่านอ๋อง ข้าขอเสียมารยาทถามท่านได้หรือไม่ ขอรับ”

“เจ้าจะถามอะไรล่ะ”

“ท่านคิดว่า เด็กหนุ่มคนนั้นจะกลับมาจริงๆหรือขอรับ”

“ไม่รู้ แต่นี่เป็นวิธีที่ดีที่จะพิสูจน์ไม่ใช่หรือ ซาคัง หากว่าเขากลับมาแปลว่าเด็กคนนี้ จะไม่มีวันทรยศข้า แต่ถ้าหากเขาไม่กลับมาข้าก็แค่เสียเงิน 100 ตำลึงแลกกับการได้รู้จักนิสัยคนก็เท่านั้นเอง” ร่างสูงบอกเสียงเรียบ พลางลูบหยกสลักอย่าเบามือ


ก๊อกๆๆ

“เรียนท่านอ๋อง เด็กคนนั้นมาแล้วขอรับ” พ่อบ้านที่ถูกสั่งให้ไปเฝ้าที่หน้าประตูเข้ามารายงาน

“พาเข้ามา”

“คารวะท่านอ๋อง” เด็กหนุ่มที่กำลังก้มหน้าอยู่ทำความเคารพก่อนจะคุกเข่าลง

“เงยหน้าขึ้นเถอะ”  เจ้าของห้องบอกเสียงเรียบ

“ท่าน เป็นท่าน..” เด็กหนุ่มเบิกตาโพลง ไม่คิดไม่ฝันว่าคนที่เขาทำบะหมี่หกใส่คือท่านอ๋องแปด หรือว่าคราวนี้เขาจะถูกประหาร

“เจ้ากลัวข้าหรือ”

“ขะ ข้า ”

“ไม่ต้องกลัวข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก เจ้าชื่ออะไรหรือ มาจากที่ไหน”

“ข้าน้อย แซ่ตู้ ชื่อ เสวี่ยจง  ข้าน้อยมาจาก หมู่บ้าน เผิงไหล ขอรับ ”

“เอาล่ะ เจ้าไปพักเถอะวันนี้ยังไม่ต้องทำงาน พ่อบ้านต่อไป ตู้เสี่ยวจงคนนี้จะเป็นคนใช้ประจำตัวของข้า จัดห้องที่เรือนตะวันตก
ให้เขา แล้วก็หาเสื้อผ้าให้เปลี่ยนด้วย”

“ขอรับท่านอ๋อง”

“ซาคัง เจ้าไปที่หมู่บ้านเผิงไหล สืบมาให้ได้ว่า เสวี่ยจงมีที่มาเช่นไร ” คล้อยหลังคนทั้งสองร่างสูงก็หันกลับไปสั่งคนสนิททันที

“ขอรับท่านอ๋อง”



....ต่อด้านล่าง....

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
“โห ห้องนี้กว้างเท่าบ้านข้าทั้งหลังเลยนะครับ” เสวี่ยจงมองห้องที่กำลังจะกลายเป็นของตัวเองอย่างตกใจ เพราะทั้งการตกแต่งทั้งเครื่องเรือนดูแตกต่างจากห้องที่ไปพักคราวก่อนมากโข

“ย่อมต้องดีกว่าอยู่แล้ว นี่มันจวนของท่านอ๋องแปดเชียวนะ เรือนตะวันตกเป็นเรือนสำหรับคนสนิท ปกติจะมีเพียงแค่ข้ากับท่านซาคังเท่านั้นที่พักที่นี้ เรือนนี้ยังไม่ถือว่าเป็นเขตหวงห้าม แต่เรือนตะวันออกจะเป็นที่พักของท่านอ๋อ หากไม่ได้รับอนุญาตเจ้าห้ามไปที่นั่นเด็ดขาด”

“ข้าจะจำไว้ขอรับ”    

“ดี ส่วนนี่เสื้อผ้าของเจ้า ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วเปลี่ยนชุดซะ”

หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ร่างโปร่งจึงเดินเล่นรอบๆ หวังจะสำรวจจวนไปด้วย ยิ่งเดินยิ่งเห็นว่าจวนอ๋องแห่งนี้ใหญ่โต ทั้งยังหรูหรามากเสียจนเขาแอบเอาไปเปรียบเทียบกับวังหลวงไม่ได้ แม้จะไม่เคยเห็นแต่เขาได้ยินคนในตลาดพูดกันว่า จวนอ๋องแปดนั้นงดงามใหญ่โตจนแทบจะเทียบได้กับตำหนักของฝ่าบาทเลยที่เดียว ร่างโปร่งเดินเล่นจนเข้าไปในสวน ในนั้นมีสระน้ำขนาดใหญ่ทั้งน้ำตกจำลองที่ดูสวยงามสมจริง ศาลาหลังเล็กที่ยื่นเข้าไปในสระทำให้ เสวี่ยจงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปชม

“เจ้าไม่ควรเข้ามาในนี้ รู้หรือไม่” เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนที่ร่างโปร่งจะหันกลับไปมอง แต่ต้องตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเพราะคนที่ยืนอยู่ข้างหลังคือ เจ้าของจวน

“ทะ ท่านอ๋อง ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยไม่ทราบมาก่อนว่าที่นี้ก็เป็นเขตหวงห้าม” เสวี่ยจงบอกเสียงสั่น ขาอ่อนจนแทบประคอง
ตัวไม่อยู่ คำขู่ ของ ใครหลายๆคนเกี่ยวกับความโหดร้ายของคนตรงหน้าทำให้เขากลัว จนไม่มีแรงขยับ

“หึ เจ้าเห็นข้าเป็นยักษ์เป็นมารหรือ ถึงได้กลัวข้าขนาดนั้น”

“มิได้ขอรับ ตะ แต่ ว่า..”

“แล้วไปเถอะ เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าสร้างสวนนี้ใช้เงินไปหลายพันตำลึงมันคงน่าเสียดายที่เก็บไว้ดูคนเดียว เจ้าว่าจริงไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ก่อนที่ร่างโปร่งจะทำได้เพียงพยักหน้าราวกับคนโง่งม ท่านอ๋องแปดยกยิ้ม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ร่างโปร่งนี้ดูน่าสนใจเหลือเกิน ยิ่งเห็นท่าทางราวกับลูกนกเช่นนี้ยิ่งน่าแกล้ง

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปยกสุรามาให้ข้าที่นี่ก็แล้วกัน”

“ขอรับ”


ไม่นานร่างโปร่งก็กลับเข้ามาในสวนพร้อมกับสุราละกับแกล้มสองสามอย่าง

“เจ้าจะไปไหน” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังจะหันหลังกลับ

“ข้าน้อยต้องกลับไปช่วยงานพ่อบ้านขอรับ”

“เจ้าไม่ต้องไปหรอก หน้าที่ของเจ้าคือรับใช้ใกล้ชิดข้า ไม่ใช่ลูกน้องของพ่อบ้าน จำเอาไว้ว่าในบ้านนี้คนที่สั่งเจ้าได้ คือข้าคน
เดียว ข้าสั่งให้เจ้าดื่มเป็นเพื่อนข้า”

“ตะ แต่ ว่า..”

“คำสั่งของข้า คือที่สุด พวกข้างนอกไม่ได้บอกเจ้าหรือ ข้าสั่งให้เจ้าดื่มเป็นเพื่อนข้า” ร่างสูงบอกเสียงเรียบจน แต่กลับแฝงไปด้วยความกดดัน เสวี่ยจง ย่อตัวนั่งบนม้านั่งข้างๆร่างสูงอย่างเสียมิได้


“อาหารวันนี้ รสชาติไม่เหมือนเดิม” ร่างสูงที่คีบกับแกล้มเข้าปากบอกก่อนจะขมวดคิ้วแน่น

“ข้าน้อยสมควรตาย!! ถ้าท่านอ๋องไม่ชอบข้าจะเททิ้ง” ร่างโปร่งลนลานเมื่ออาหารทั้งหมดบนโต๊ะล้วนเป็นฝีมือของเจ้าทั้งสิ้น

“หึ ฮ่าๆๆ ดูเจ้าสิ ข้าแค่บอกว่ารสชาติไม่เหมือนเดิมยังไม่ได้บอกว่าไม่อร่อยเลย หรือว่าเจ้าเป็นคนทำกัน หืม”

“ขะ ข้า ขออภัยด้วยขอรับ แต่ในครัวยุ่งมาก ข้าน้อยเลยต้องทำเอง”

“ฝีมือทำอาหารของเจ้านับว่าไม่เลวนัก ข้าไม่โกรธหรอก แต่ทีหลังไม่ต้องทำอีก คนทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองถ้าเจ้าแย่งหน้าที่ทำอาหาร พ่อครัวพวกนั้นเขาจะทำอะไร จริงหรือไม่”


ร่างโปร่งทำเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะลอบมองร่างสูงที่จิบสุราอย่างสบายอารมณ์อยู่ข้างๆ ทั้งๆที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแต่ท่านอ๋องกลับดีกับเขามาก ไม่เห็นเหมือนกับคำบอกเล่าของผู้คนเลย



จอกแล้วจอกเล่าที่ทั้งสองต่างยกสุราชั้นดีขึ้นจิบจากบ่ายคล้อยจนตอนนี้ตะวันตกดินแล้ว แต่ดูท่าท่านอ๋องยังมิยอมลุกไปไหน

“เสวี่ยจง เจ้าเคยเห็นหยกชิ้นนี้หรือไม่ ” ร่างสูงถามก่อนจะล้วงเอาหยกที่พกติดตัวตลอดเวลาออกมา

“เอ๊ะ นี่มันหยกของข้า ท่านอ๋องได้มันมาได้อย่างไรขอรับ ข้านึกว่าตัวเองทำหายไปแล้วเสียอีก”

“หยกนี่ของเจ้าหรือ เจ้าได้มันมาได้ยังไง”

“พ่อกับแม่ข้าให้ไว้นานแล้ว ข้าพกมันติดตัวตลอดตั้งแต่เด็กแล้วขอรับ”

“หยกชิ้นนี้เป็นหยกเนื้อดี ราคาหลายร้อยตำลึง ทำไมเจ้าถึงไม่เอามันไปขายล่ะ”

“ไม่ได้หรอกขอรับ หยกชิ้นนี้เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวของข้า ท่านพ่อบอกว่าต่อให้ต้องอดตายก็ห้ามขายมันเด็ดขาด” ร่างโปร่งบอกก่อนจะกอดหยกสลักชิ้นนั้นไว้แน่น

“เจ้าเป็นเด็กดีกว่าที่ข้าคิดนะ เสวี่ยจง” ร่างสูงว่าก่อนที่มือหนาจะเกลี่ยแก้มนิ่มที่เริ่มขึ้นสีเพราะความมึนเมา

“นี่ก็ดึกมากแล้วเจ้าไปนอนเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี้อีกสักพัก”

“แต่ว่า”

“ไม่มีแต่ เจ้ารีบไปพักเถอะ นื่อคำสั่ง”

“ขอรับ” ร่างโปร่งรับคำก่อนจะเดินออกจากศาลาไป


คล้อยหลังร่างโปร่งได้ไม่นาน ร่างแกร่งหนาของซาคังก็คุกเข่าลงตรงหน้าท่านอ๋องแปด

“ได้เรื่องแล้วสินะ”

“ขอรับท่านอ๋อง”
……………………………………………………………………………………………..

สามวันต่อมา เจ้าของตำแหน่งอ๋อง สั่งให้เสวี่ยจงย้ายข้าวของออกจากเรือนตะวันตกแล้วเข้าไปอยู่ที่เรือนตะวันออกแทน ทำให้คนในบ้านเกิดข้อสงสัย เมื่อไม่เคยมี ข้ารับใช้คนใด ได้เข้าไปอยู่ในเรือนตะวันออก แม้แต่ ซาคัง

“เสวี่ยจง ข้าได้ยินว่าเจ้าจะต้องไปอยู่ที่เรือนตะวันออกหรือ” เสี่ยงหลงถามอย่างร้อนรน เขามาที่นี้ทันทีที่รู้ข่าว แต่เพียงร่างโปร่งนี้
อยู่ในเรือนตะวันตกกว่าจะพบกันก็แสนยาก หากว่าเสวี่ยจงไปอยู่ที่เรือนตะวันออกเขาคงแทบไม่มีโอกาสได้พบ

“ใช่ เจ้ามีอะไรหรือ”

“ข้าเป็นห่วงเจ้านะสิ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ท่านอ๋องไม่ยักษ์ใช่มาร ท่านไม่ทำอะไรข้าหรอก ท่านอ๋องใจดีมากนะ” เสวี่ยจงบอก

ท่านอ๋องแปดนะหรือใจดี เกรงว่าทั้งแผ่นดินนี้คงมีแค่เสวี่ยจงที่คิดเช่นนั้น

“ยังไงก็ตาม เจ้าต้องระวังตัวนะ ถ้ามีเรื่องอะไรให้ไปหาข้าได้ตลอด”

“ได้สิ ถ้าว่างข้าจะไปหาเจ้านะ”

เสี่ยงหลงมองตามแผ่นหลังบางไปก่อนจะถอนหายใจ ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็เป็นคนรับใช้เช่นกันแต่ทำไม เขาถึงได้รู้สึกว่า เสวี่ยจงสูงส่งจนไม่อาจเอื้อมถึงได้กันนะ


2 เดือนผ่านไป

เสวี่ยจงที่อาศัยอยู่ในเรือนตะวันออกมาได้สองเดือนแล้วยิ้มอย่างร่าเริง เมื่อผู้เป็นเจ้าของเรือนกลับมา เขายอมรับว่าเหงาอยู่บ้างเวลาที่อยู่คนเดียวเพราะเรือนตะวันออกเป็นเขตหวงห้ามทำให้คนในจวนไม่สามารถเข้ามาได้ ครั้นจะออกไปหาเสี่ยวหลงก็กลัวว่าจะเป็นการรบกวนเสียเปล่าๆ เลยได้แต่นั่งๆนอนๆไปวันๆ เพราะหน้าที่หลักของเขาคือการดูแลท่านอ๋องแต่วันๆท่านอ๋องก็มักจะอยู่ในวังจะกลับมาแค่ตอนเย็นเท่านั้น  แรกๆก็สบายดีแต่นานวันเข้า เขาก็อยากจะมีเพื่อนเล่นบ้าง

“หือ เจ้าเป็นอะไร” ร่างสูงเอ่ยถามกับคนที่อยู่ร่วมบ้านมาแรมเดือน

“ข้าน้อย ไม่ได้เป็นอะไรขอรับ”

“เสวี่ยจง เอาสุรากับกับแกล้มมาให้ข้าที่ศาลาริมน้ำด้วยนะ”

“ขอรับ”


ไม่นานสุราและกับแกล้มสองสามอย่างก็ถูกวางบนโต๊ะ ระยะหลังมานี้ นอกจากอาหารมื้อหลักแล้ว ของว่างของท่านอ๋องเป็นฝีมือของเสวี่ยจงทั้งสิ้น นอกจากเรื่องอาหารแล้ว เรื่องเสื้อผ้า หรือแม้แต่ ชาที่ท่านอ๋องดื่มก็ล้วนต้องผ่านมือเขา        แต่เรื่องเช่นนี้ ต้องเป็นหน้าที่ของ พระชายามิใช่หรือ  เสวี่ยจงชะงักกับความคิดไม่เข้าท่าของตัวเองแม้ว่าการอยู่ใกล้ชิดกันมาร่วมสองเดือนจะทำให้ ร่างโปร่งเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่ใครหลายคนบอก ซ้ำยังใจดีกับเขามากด้วยซ้ำ แต่ ท่านอ๋อง ก็คือท่านอ๋อง คือมังกรที่อยู่เหนือผู้คน ที่คนอย่างเขาไม่มีวันเอื้อมถึง

“เสวี่ยจง เป็นอะไรไป” เสียงทุ้มเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าอีกคนเอาแต่นั่งเงียบ

“ไม่มีอะไรขอรับ”

“ไม่มีก็ดื่มสิ นี่มัน สุรานารีแดง 18 ปีเชียวนะ” กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว ที่ทุกครั้งที่ท่านอ๋องดื่มสุราร่างโปร่งต้องดืมเป็น
เพื่อนเสมอ


“เสวี่ยจง เคยคิดไหมว่า ถ้าวันหนึ่งข้าไม่ใช่อย่างที่เจ้าเห็นเจ้าจะรู้สึกเช่นไร” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางยกจอกสุราขึ้นดื่ม

“ข้าน้อยไม่เคยคิดขอรับ สำหรับ เสวี่ยจงแล้ว ท่านอ๋องเหมือนเซียนบนสวรรค์ ท่านช่วยชีวิตของข้าน้อยไว้ ซ้ำยังช่วยครอบครัวข้าน้อยด้วย บุญคุณของท่านชาตินี้เสวี่ยจงไม่รู้จะตอบแทนเช่นไร”

“เสวี่ยจง เด็กโง่ ข้าไม่ใช่คนดีขนาดนั้นหรอกนะ ข้ามันก็แค่คนเห็นแก่ตัว เท่านั้น” เสียงทุ้มบอกก่อนที่มือหนาจะไล้แก้มนวลอย่าง
แผ่วเบา เสวี่ยจงรับรู้ได้ว่าหัวใจของเขาเต้นแรงมาก มันเป็นเช่นนี้มาได้พักใหญ่แล้ว ทุกครั้งที่ใกล้ชิดทุกครั้งที่ถูกสัมผัส หัวใจของเขาจะเต้นแรงจนไม่สามารถควบคุมมันได้

เสวี่ยจง คนโง่  รู้ตัวว่าไม่อาจเอื้อมแต่กลับห้ามใจไม่ได้ 


“เสวี่ยจง” เสียงทุ้มเอ่ยชื่อร่างโปร่งอย่างแผ่วเบาก่อนที่ริมฝีปากหนาจะแตะลงบนปากบางอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะค่อยๆเลาะเล็มชิมเนื้อนิ่มนั้นอย่างย่ามใจจากอ่อนโยน สัมผัสนั้นค่อยๆเพิ่มความร้อนขึ้นด้วยไฟปรารถนา ลิ้นร้อนซอกซอนไปตามแนวฟันเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อ ราวกับกลั่นแกล้ง เสวี่ยจง ราวกับไร้การควบคุมเมื่อทั้งร่างกายและหัวใจต่างโอนอ่อนตามสัมผัสของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย  เสวี่ยจงคนโง่  อาศัยความมึนเมาเป็นข้ออ้างในการตามใจตัวเอง แค่สักครั้ง ที่ได้ถูกกกกอดอย่างอ่อนโยน แค่เพียงสักครั้งที่ได้ถูกสัมผัสด้วยความรัก เสวี่ยจงไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน ว่าทำไมถึงรู้สึก รัก อีกฝ่ายมากขนาดนี้ แม้จะพบกันเพียงไม่นานแต่ความรู้สึกนั้นกลับคุ้นเคยเหลือเกิน

“ทะ ท่านอ๋อง อื้อ” ร่างโปร่งครางแผ่วเมื่อมือหนาลากไล้เข้าไปในเสื้อนอกก่อนมันจะถูกถอดออกอย่างไม่ไยดี ปากหนาผละจาก
ริมฝีปากบางก่อนจะซุกไซ้ลงบนซอกคอหอกกรุ่น ทิ้งรอยแห่งความรักไว้ประปราย มือหนาแหวกสาปเสื้อตัวในออกอย่างเบามือ
ก่อนที่ร่างขาวนวลที่สะท้อนแสงจันทร์จะปรากฏตรงหน้า ร่างสูงยอมรับว่าไม่ใช่หนุ่มน้อยที่ไม่ประสีประสา แต่เขาคือชายหนุ่มที่ผ่านสรภูมิรัก มาอย่างโชกโชนแต่กลับไม่เคยมีใครเลยที่จะทำให้ หัวใจของเขาเต้นแรงได้เท่าเสวี่ยจง มันเกิดขึ้นเมื่อใดไม่อาจรู้ แต่ทุกครั้งที่หลับตา ร่างโปร่งมักจะเข้ามาในห้วงแห่งความฝันเสมอ ทุกสัมผัสนั้นแปลกใหม่แต่กลับคุ้นเคย คุ้นเหมือนเลยเจอกันเมื่อนานแสนนาน

“เสวี่ยจง เสวี่ยจงของข้า” ร่างสูงพร่ำบอกก่อนจะหยอกล้อกับผิวเรียบลื่นนั้นทันที รอยรักสีกุหลาบมากมายถูกสร้างไว้เพื่อตีตรา ร่างกายนี้ คนๆนี้ และหัวใจนี้จะเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว

เสวี่ยจงไม่รู้ว่าตัวเองถูกพาเข้ามาในห้องได้อย่างไร รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังเปลือยเปล่าก็สัมผัสกับที่นอนไปแล้ว

“ท่านอ๋อง อ๊า” ร่างโปร่งบิดกาย ด้วยความกระสันเมื่อ มือหนาปัดผ่านยอดอก พร้อมกับที่ปากหนาครอบครองมันไว้ พลางขบเม้นอย่างแรง

ร่างสูงลากไล้ไปตามเนื้อนิ่ม กางเกงผ้าไหมเนื้อดีถูกถอดอย่างรวดเร็ว มือหนาฟอนเฟ้นจนร่างโปร่งครางลั่น ก่อนที่จะหยุดที่ช่องทางรัก

“อะ อื้อ” ร่างโปร่งกัดปากแน่น เมื่อถูกล่วงล้ำในครั้งแรก

“เจ็บหรือ” เสียงนั้นถามอย่างอ่อนโยน

“ข้าน้อย มะ ไม่ ไร ขอรับ ท่านอ๋อง”

“ข้าชอบที่เจ้าเรียกข้าว่าท่านอ๋องนะ แต่จะชอบมากกว่าถ้าต่อไปนี้เจ้าจะเรียกข้าว่า ท่านพี่”  เสียงทุ้มกระซิบบอก

“อ๊ะ อื้อ  ตะ แต่ว่า”

“สิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่ ไม่ใช่แค่คนรู้จักแล้วนะ เสวี่ยจง” ร่างสูงบอกก่อนจะเพิ่มจำนวนนิ้วกดย้ำที่จุดกระสันจนร่างโปร่งนั้นคราง
ลั่น

“อะ อะ อ๊า อื๊อ”

ร่างสูงจูบซับน้ำตาของคนใต้ร่างก่อนจะถอดกางเกงผ้าของตัวเองออกบ้าง ความเป็นชายที่ปวดหนึบนั้นต้องการปลดปล่อยอย่าง
เต็มที่

“อะ อื๊อ” เสวี่ยจงกัดปากแน่นเมื่อความคับแน่นนั้นถาโถมเข้ามา

“เสวี่ยจง อย่ากลัว” บอกพลางกดจูบลงบนริมฝีปากบางก่อนจะสอดร่างกายเข้ามาจนมิด

“เสวี่ยจง เจ้าจะไม่เรียกจริงๆหรือ” เสียงทุ้มที่แฝงน้ำเสียงอ้อนอยู่ในทีเอ่ยถามพลางขยับกายเข้าออกอย่างต่อเนื่อง

“อะ อะ อะ อื๊ออออ ทะ ท่าน อะ อื๊อ ท่านพี่ ข้าต้องการ ข้าต้องการ ท่าน อ๊า” ปากหนายกยิ้ม เมื่อคนใต้ร่างยอมทำในสิ่งที่ตนเรียก
ร้อง

ร่างสองร่างต่างตะกองกอดกันอย่างไม่รู้เบื่อ เสียงกระทบกันของร่างกายนั้นฟังดูหยาบโลนแต่กลับฝังรากลึกลงไปในหัวใจของคน
ทั้งสอง ราวกับกับคือสิ่งที่ต่างเฝ้ารอมาแสนนาน

“อะ อะ ท่านพี่ ข้า ไม่ไหวแล้ว อะ อื๊อ”

“พร้อมกันนะคนดี” เสียงทุ้มเอ่ยบอกก่อนจะกระแทกร่างกายเข้ามา อย่างแรงตามห้วงอารมณ์ที่เพิ่มสูงขึ้น ร่างโปร่งกอดอีกคนไว้
แน่น ก่อนที่อารมณ์จะถึงขีดสุด

“อะ อะ อ๊า !” ร่างโปร่งซบหน้าลงบนอกแกร่งก่อนที่ ร่างสูงกระแทกกลายเข้ามาไม่หยุดก่อนจะปลดปล่อยเข้ามาไปในตัวของร่าง
โปร่งในที่สุด

“เสวี่ยจง”

“หือ”

“ข้ารักเจ้า”

“ทะ ท่านอ๋อง” เสวี่ยจง เบิกตาโพลงไม่คิดไม่ฝันว่าคนต่ำต้อยเช่นเขาจะได้ยินคำนี้  เขาดีใจ แม้ว่าพรุ่งนี้ท่านอ๋องจะทำเป็นลืม
เขาดีใจแม้ว่า คำว่ารักจะกลายเป็นเพียงคำลวง

“ข้าบอกให้เรียกว่าอะไร พูดไหมสิ”

“ข้าก็รักท่านนะ…ท่านพี่”

คืนนี้ เสวี่ยจงหลับไปด้วยใบหน้าแห่งความสุข เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ขอแค่ได้หลับไปในอ้อมกอดแกร่งนี้เขาก็มีความสุขมากเกินพอแล้ว แม้ว่าพรุ่งนี้ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมเขาก็ไม่มีทางเสียใจ


“ตื่นได้แล้ว เจ้าคนขี้เซา” เสียงกระซิบที่ข้างหู ทำให้เสวี่ยจงเริ่มรำคาญ

“อื้อ อย่ามายุ่งนะ คนจะนอน”

“แต่เจ้าต้องตื่นได้แล้วนะ สายแล้ว สามีต้องเข้าวังแล้วรู้ไหม” เสียงนั้นบอกก่อนที่เสวี่ยจงจะรับรู้ถึงแรงกดหนักๆที่แก้มซ้าย พร้อมกับเสียงดัง ฟอด

สามี!!!

“เฮ้ย!!” ร่างโปร่งสะดุ้ง ก่อนจะมองคนที่หัวเราะเขาด้วยความไม่เข้าใจ เมื่อคืนเขากับท่านอ๋อง..

“ท่านอ๋อง”


“เรียกใหม่ ข้าให้เจ้าเรียกข้าว่าอะไร” ท่านอ๋องบอกเสียงเรียบ

“ข้าไม่ได้ฝันไปหรือ”

“เด็กโง่ มันจะไปเป็นฝันได้ยังไง ข้านอนกอดเจ้าทั้งคืนรู้ไหม ไหนเรียกให้ชื่นใจสิ”

“ท่านพี่”


3 เดือนผ่านไป

“ท่านพี่ กลับมาแล้ว” ร่างโปร่งยิ้มรับก่อนจะวางเจ้าแมวเปอร์เซียลงแล้ววิ่งออกไปรับอีกคนที่ดำลังเดินเข้ามา

“เหงาไหม” ร่างสูงเอ่ยถาม ก่อนจะกดจูบลงบนแก้มเนียนให้หายคิดถึง สามเดือนแล้วที่เขาสองคนอยู่กันเช่นสามีภรรยา ทั่วไป
แม้ว่า ฐานะ ของ เสวี่ยจงในจวนจะยังเหมือนเดิม แต่ทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังการแสดงความรัก ต่อกันเป็นสิ่งที่ ร่างสูงทำเสมอ
เสวี่ยจงเองก็ไม่เคยเรียกร้องอะไร เขารู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นใคร แค่ได้อยู่ใกล้ๆท่านอ๋องเช่นนี้ก็มีความสุขมากที่สุดแล้ว

“ข้ามี ปิงปิง เป็นเพื่อนจะเหงาได้ยังไง” ร่างโปร่งบอกก่อนจะชี้ไปที่เจ้าแมวเปอร์เซียแสนรัก เพราะบ่นว่าเหงาไม่มีเพื่อนเล่น ร่าง
สูงเลยไปเสาะหาสัตว์เลี้ยงมาให้อย่างเอาใจ ดูเหมือนว่าจะถูกใจคนรับไม่น้อย

“ข้าหิวแล้ว มีอะไรให้กินบ้างนะ”

“พ่อบ้านเพิ่ง เอามาให้กำลังร้อนๆเลย ท่านไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะ ข้าจะจัดสำรับไว้รอ” ร่างโปร่งบอกก่อนจะดันหลังอีกคนเข้าไปในห้อง


“หืม วันนี้มี ผัดถั่วงอกของโปรดเจ้าด้วยหรือ” ร่างสูงว่าก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้

“เช่นนั้นวันนี้ ข้าต้องเจริญอาหารแน่นอน” เสวี่ยจงบอกก่อนจะยกกาน้ำชามาให้ร่างสูง

ตุ๊บ!!

“เอ๊ะ ท่านทำอะไร” ร่างโปร่งแหวลั่น เมื่อ คนตัวสูงดึงให้เขานั่งบนตัก

“ข้าอยากให้เจ้าป้อน เจ้าป้อนข้าหน่อยได้ไหม”

“แต่ก็ไม่เห็น ต้องนั่งแบบนี้” เสวี่ยจงว่า

“ก็ข้าอยากกอดเจ้า นะ ภรรยาที่รัก ป้อนสามีหน่อยนะ”

“อื้อ” ร่างโปร่งรับคำ แม้ว่าจะเขินอายอยูมากแต่พอเห็นแววตาที่ร่างสูงส่งมาให้แล้วพาลให้ใจอ่อนเสียทุกครั้ง


“อื๊อ ท่านพี่ ทำไมผัดถั่วงอกถึงรสชาติ เช่นนี้ ” ร่างโปร่งว่าหลังจากที่กินอาหารจานโปรดเข้าไป

“ก็เหมือนเดิน อร่อยมากเลยนะ ไหนเจ้าลองกินใหม่สิ”

“อื๊อ มันเหม็น ข้าไม่กินแล้ว” เสวี่ยจงว่าก่อนจะลุกขึ้นจากตักหนา ไปอย่างรวดเร็ว หลายวันมานี้เขามักรู้สึกเช่นนี้เสมอทั้ง วิงเวียน หน้ามืด บางครั้งก็รู้สึกเหมือนจะอาเจียน โดยเฉพาะเวลาที่ได้กลิ่นอาหาร

“เสวี่ยจง เป็นอะไร เจ้าไม่สบายตรงไหน” ท่านอ๋องแปดถามอย่างร้อนรน ตลอดชีวิตเขาไม่เคยทุกข์ร้อนกับอาการป่วยของใครแต่กับเสวี่ยจงแค่เห็น ร่างโปร่งนี้กินข้าวได้น้อยลงเขาก็ใจไม่ดีแล้ว มันเหมือนมีบางอย่างคอยรบกวนจิตใจเขาตลอดเวลา เขากลัว กลัวที่จะสูญเสียคนตรงหน้าไป แม้มันจะไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยแต่ส่วนลึกในจิตใจของเขากลับหวาดกลัวมันมากเหลือเกิน

“ข้าไม่รู้ แต่ระยะนี้ข้าชอบหน้ามืดบ่อยๆ”

“เจ้าไปนอนพักนะ ข้าจะไปตาหมอ” ร่างสูงว่าก่อนจะประคองคนรักเข้าไปในห้อง


หมอชราขมวดคิ้วแน่น สีหน้าของหมออันดับหนึ่ง อ่านยากเพราะมันมีทั้งความตกใจ ตื่นเต้น หวาดกลัว และอีกหลากหลายอารมณ์ที่แสดงออกจนเจ้าของจวนผู้ใจร้อนแทบจะทนไม่ไหว

“ท่านหมอ เขาเป็นอะไร” ร่างสูงถามเสียงเรียบเมื่อคนเป็นหมอไม่ยอมอธิบายอาการของคนรักสักที

“เอ่อ..” หมอชราอึกอัก เมื่อสิ่งที่เขาตรวจพบนั้นมันช่างเหลือเชื่อ จนเขาเองก็ไม่กล้าเอ่ยปาก

“เรียนท่านอ๋อง คุณชายท่านนี้ไม่ได้เป็นโรคอะไรหรอกขอรับแต่ว่า…”

“แต่ว่าอะไร ทำไมไม่รีบพูด!!” เสียงทุ้มทรงอำนาจตวาดลั่น

“ทะ ท่านโปรดอภัยด้วย ข้าน้อยตรวจแล้วพบว่า คุณชายท่านนี้ เอ่อ คือ คุณชาย ตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว ขอรับ” หมอชราบอกอย่างกล้าๆกลัวๆ

“ท้อง เสวี่ยจงนะหรือท้อง” ร่างสูงครางแผ่วคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

“ข้าน้อยคิดว่าไม่ผิดแน่ ในอดีตก็เคยมีบุรุษท้องได้เช่นกันแต่โดยมากมักจะเป็นชาวหนานเจ้าขอรับ”

“แต่หนานเจ้าล่มสลายมาเกือบสองร้อยปีแล้ว เจ้ากำลังกุเรื่องหลอกข้าหรือ ไม่รู้หรือว่าหลอกลวงข้ามีโทษสถานใด”

“ข้าน้อยมิกล้า แต่จากที่ตรวจคุณชายแล้ว เป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอรับ”

“หึ เจ้ากลับไปได้แล้ว แล้วก็อย่าบอกเรื่องนี้กลับใคร หากว่าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เจ้าจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกเลย”

“ขอรับ”

คล้อยหลังหมอชรา ร่างสูงกลับถอนหายใจอย่างแรง เรื่องที่ได้ยินเมื่อครู่มันเกินกว่าที่เขาจะเชื่อได้จริงๆแม้ว่าในอดีตจะเคยมีบันทึกการที่บุรุษให้กำเนิดทายาทเอาไว้บ้างแต่นั่นก็เป็นไปได้น้อยเต็มที ทั้งแคว้นหนานเจ้าก็ล่มสลายไปแล้ว เรื่องเช่นนี้จะยังมีอยู่ได้อีกหรือ

ร่างโปร่งที่นิ่งเงียบมาตั้งแต่เมื่อครู่ลอบมองคนรัก ก่อนที่มือเรียวจะยกขึ้นลูบหน้าท้องเบาๆ เสวี่ยจงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตัวเขาจึงตั้ง
ครรภ์ได้ แต่สิ่งนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีมิใช่หรือ แต่ทำไม อีกคนถึงดูไม่ยินดีเลย


เกือบเดือนแล้วที่ร่างสูงไม่กลับมาที่จวนถามจากพ่อบ้านก็ทราบเพียงว่าท่านอ๋องต้องไปตรวจราชการที่ชายแดน เสวี่ยจงจึงพบเพียงพ่อบ้าน และหมอชราที่มาตรวจอาการบ้างเท่านั้น

เมี๊ยววววว เสียงแมวเปอร์เซียร้องลั่นก่อนที่มันจะคลอเคลียกับเจ้าของ

“ปิงปิง รู้ไหมว่าในนี้มีน้องอยู่นะ ” เสวี่ยจงบอกกับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด ก่อนจะจับอุ้งเท้านั้นวางบนท้องที่เริ่มนูนเล็กน้อย

เมี๊ยววววววว

“เจ้าดีใจใช่ไหมที่จะมีน้อง คงมีแค่เจ้ากับข้าเท่านั้น ที่อยากให้เขาเกิดมา” ร่างโปร่งว่า น้ำตาเม็ดโตที่พยายามกลั้นไว้ไหลลงตาม
แก้มนวล

มันจบแล้วหรือ  ในที่สุดก็เดินมาถึงปลายทางสินะ ความสุขที่ผ่านมาช่างผ่านไปเร็วราวกับภาพฝัน แต่ก็คิดแล้วว่าสักวันมันคงจบลงเช่นนี้ เป็นเขาเองที่ผิด ท่านอ๋องสูงส่งเพียงใด ส่วนเขาเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น ไม่มีอะไรเลยที่จะคู่ควร

“ลูกแม่ ไปอยู่กับแม่นะ ไปอยู่ด้วยกันสองคน” บอกกับเจ้าตัวเล็กอย่างแผ่วเบา ถ้าต้องรอจนถึงวันที่ถูกออกปากไล่เขาคงไม่มีแรง
เดินด้วยซ้ำ ฉะนั้น คงต้องไป ไปในวันที่ยังสามารถประคับประคองตัวเองได้

ร่างโปร่งอาศัยแสงจันทร์นำทางก่อนจะเดินลัดเลาะผ่านสวนไปจนถึงประตูเล็กที่อยู่หลังจวน ประตูนี้เขาเจอเมื่อหลายเดือนก่อน ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้เขาจะต้องใช้มัน เพราะเรือนตะวันออกเป็นเขตหวงห้ามทำให้ไม่ต้องระวังว่าใครจะมาเจอ เสวี่ยจงมอง จวนอ๋องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะตัดสินใจก้าวออกจากประตูไป

แผ่นดินกว้างใหญ่ ต้องมีสักที ที่เป็นของเรา

เสวี่ยจงเดินไปตามถนนในเมืองหลวงอย่างไร้จุดหมาย เขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มที่ตรงไหน ไม่รู้เลยว่าชีวิตจะเป็นเช่นไร แต่จะให้เขากลับไปก็คงไม่ได้ เขาไม่อยากให้ท่านอ๋อง ลำบากใจ


กรุ๊บกรั๊บๆๆๆๆ

เสียงควบม้านั้นดังขึ้นท่ามกลางความมืด เสวี่ยจงในหายวาบ เมื่อตอนนี้เขายืนอยู่กลางถนนและม้านั่นก็ควบเร็วเสียจนแทบจะ
ประชิดตัวอยู่แล้ว!!!

“หลีกไป!!” ร่างบนม้านั้นตวาดลั่น แต่ดูเหมือนว่า เสวี่ยจงจะทำอะไรไม่ถูก ข้าไม่ยอมก้าวตามที่สั่งได้แต่ยืนตกตะลึงอยู่กลางถนน

ม้าตัวนั้นพุ่งทะยานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนที่เสวี่ยจงจะรับรู้ถึงแรงกระแทก

พลั๊ก!!!

ตุ๊บ!!!



เพล้ง!!!! เสียงแจกันลายครามใบสวยที่ถูกทุ่มลงพื้น แตกละเอียดก่อนที่คนทุ่มจะกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ข้างหน้าด้วยความโกรธ

“ไหนพวกเจ้าพูดมาอีกครั้งสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น” เสียงราบเรียบนั้นเอ่ยถาม พ่อบ้านสะดุ้งตัวโยนก่อนจะตอบ

“เรียนท่านอ๋อง คะ คือว่า เราหา เสวี่ยจงไม่เจอขอรับ”

“ไม่เจอมากี่วันแล้ว”

“ตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนที่ท่านหมอมาตรวจ หลังจากนั้นเราก็ไม่เจอเขาอีกเลยครับ”

“หึ ดี ข้าไว้ใจเจ้าให้เจ้าดูแลบ้านหลังนี้แต่คนจะเข้าจะออก เจ้ากลับทำไม่รู้ไม่เห็น ทำไมถึงไม่ยอมส่งคนออกตามหา!!” เสียงทุ้ม
ตะคอก ในใจของร่างสูงพลันปวดหนึบ สามวันมานี้เสวี่ยจงจะอยู่ยังไง ข้างนอกอากาศเริ่มหนาวแล้ว ไหนจะลูกของเขา คนพวกนี้
มันน่าตายนัก!!

“ข้าเห็นว่าไม่ใช่ ระ เรื่องสำคัญอะไรจึงไม่ได้ให้คนตามหาขอรับ” พี่บ้านบอกเสียงสั่น

“พ่อบ้าน เจ้ากล้าพูดว่าชีวิต ของลูกเมียข้าไม่สำคัญเช่นนั้นหรือ ” ร่างสูงว่าเสียงเหี้ยมแววตาวาวโรจน์นั้นสะท้อนความโกรธอย่าง
ชัดเจน แต่คำพูดของท่านอ๋องกลับทำให้คนทั้งจวนตื่นตะลึง “ลูกเมีย”

“ถ้าเช่นนั้นข้าสั่งให้คนนำลูกเมียเจ้าไปประหารเดี๋ยวนี้ท่าจะดีนะว่าไหม”

“ท่านอ๋อง โปรดระงับโทสะด้วย ได้โปรดปล่อยลูกเมียข้าน้อยไปเถอะขอรับ ข้าน้อยผิดไปแล้ว!!” พ่อบ้านบอกเสียงสั่นพลาง

“หึ ซาคังถ่ายทอดคำสั่งข้าออกไป ให้กรมอาญา ตามหา เสวี่ยจงให้เจอ ถ้าไม่เจอให้พวกมันหิ้วศรีษะมาหาข้า ส่วนลูกเมีย ของ
พ่อบ้านให้ขังไว้ก่อนจนกว่าจะหาเสวี่ยจงเจอ” ว่าจบร่างสูงก็หันกายไปที่เรือนตะวันออกทันที


ร่างสูงทอดมองเรือนตะวันออก พลันหัวใจก็ปวดหนึบ ทุกส่วนของที่นี้ล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำ แม้มันจะเป็นระยะเวลาเพียงไม่
นาน แต่หัวใจเขาก็มีความสุขเหลือเกินที่เสวี่ยจงอยู่ด้วย น้ำตาเม็ดโตไหลจากดวงตาคมเป็นครั้งแรกที่น้ำตาของท่านอ๋องแปดหลั่งริน นั่นเพราะเขากลัว  ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจจนแทบจะทนไม่ไหว กลัวหรือเกินว่าจะเสียอีกคนไปตลอดกาล

“เสวี่ยจง เจ้าอยู่ที่ไหน ข้าขอโทษ”


“ท่านอ๋อง” ซาคังเฝ้าดูเจ้านายที่เอาแต่นั่งเหม่ออย่างไร้จุดหมายมาหลายวันพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อคนตรงหน้าแทบไม่เหลือเค้าโครงความองอาจของ ท่านอ๋องแปดที่เขาเคยรู้จักเลย

“กรมอาญายังไม่มารายงานอีกหรือ ซาคัง”

“ยังเลยขอรับ เราระดมหาอย่างเต็มที่แล้วแต่ไม่พบ พระชายาเลย”

พระชายา คือสรรพนามที่เขาให้ทุกคนเรียกขาน แต่มันจะมีประโยชน์อะไร เมื่อ ไม่มีเสวี่ยจง เขาผิด ผิดเองที่ไม่เคยดูแล ผิดเองที่ไม่ใส่ใจ เขาผิดทั้งหมด

“ท่านอ๋อง ท่านควรถนอมร่างกายด้วยนะขอรับ อีกไม่นานข้าเชื่อว่าเราจะต้องตาหาพระชายาเจอแน่นอน” 



ต่อด้านล่าง

NC  กากมาก

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13

เปลือกตาสวยนั้นค่อยๆขยับขึ้นลงช้าๆ ก่อนที่จะลืมกว้างขึ้น เสวี่ยจงมองไปรอบๆในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยอย่างตื่นกลัว ห้องนี้ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนชั้นดีแต่ก็ไม่ได้หรูหราอย่างจวนอ๋อง บ่งบอกว่าเจ้าของบ้านคงเป็นพ่อค้าหรือพวกคนมีเงิน แต่เขามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร

“โอ้ย” ร่างโปร่งครางแผ่วเมื่อรู้สึกว่าร่างกายเจ็บราวไปหมด ใช่สิ เขาโดนม้าชน
แล้วลูกล่ะ ร่างโปร่งลุกพรวดก่อนจะมองหาใครสักคนที่สามารถตอบคำถามเขาได้มือเรียววางบนท้องตัวเองด้วยความกังวล

“เจ้าตื่นแล้วหรือ” เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงที่เสวี่ยจงไม่คุ้นหน้าเลยจะเดินเข้ามาในห้อง

“ยังเจ็บอยู่หรือไม่ เจ้าหลับไปเกือบสองวัน เล่นเอาข้าใจหายใจคว่ำ” เขาคนนั้นว่า

“ลูก ลูกข้าล่ะ ลูกของข้า” ร่างโปร่งถามอย่างร้อนรน ลูกคือสิ่งเดียวที่เขามี เด็กคนนี้เป็นเหมือนลมหายใจของเขา เขาเสียลูกไปไม่
ได้เด็ดขาด

“วางใจเถอะ เขายังอยู่กับเจ้า โชคดีที่วันนั้นม้าไม่ได้ชนจังๆ แต่ก็มีผลอยู่ไม่น้อย ช่วงนี้เจ้าต้องนอนเฉยๆ แล้วก็กินยาตามที่ท่าน
หมอสั่ง”

“ท่านช่วยข้าไว้หรือ”

“อย่าเรียกท่านเลย ข้าเองก็ใช่ว่าจะเป็นขุนนาง ข้าชื่อ มู่หรงเซียน เรียกข้าว่าพี่ก็ได้ ”

“ข้าชื่อ ตู้เสวี่ยจง แต่คนต่ำต้อยไม่อาจเรียกท่านมู่หรงด้วยความสนิทเช่นนั้นได้”

“แล้วไปเถอะ เจ้าอย่าเพิ่งคิดมากเลย กินข้าวต้มแล้วก็ดินยานะ จะได้นอนพัก” เสียงนั้นบอกอย่างอ่อนโยน

มู่หรงเซียนนั่งมองร่างโป่งที่อยู่ในห้วงนิทราก่อนจะยกยิ้ม ร่างโปร่งที่สลบเพราะความตกใจนั้นถูกเขาอุ้มกลับมาก่อนจะตามหมอ
มารักษา แม้จะตกใจอยู่ไม่น้อยกับเรื่องที่ได้ยิน แต่กลับยิ่งรู้สึกสงสารมากขึ้น

ใครกัน ที่กล้าทิ้งให้ ร่างนี้ต้องร้องไห้เพียงลำพังเช่นนั้น

“หากเขาไม่รักเจ้า ข้าจะดูแลเจ้าเอง เสวี่ยจง” บอกกับคนหลับอย่างอ่อนโยนมือหนานั้นเกลี่ยแก้มนุ่มอย่างแผ่วเบา เขาเองก็ไม่รู้
ว่าทำไมถึงรู้สึกอยากจะดูแลคนๆนี้นัก เพียงแค่แรกเห็นกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับกลองศึกแม้จะรู้ว่า ร่างนี้อาจจะของใครมาก่อนแต่เขาก็ไม่นึกรังเกียจ สักนิด



หลายเดือนต่อมา

เสวี่ยจงที่ท้องแก่ใกล้คลอดกำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าเตา เนื้อผัดในกระทะส่งกลิ่นหอมจคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในครัวอดที่จะยกยิ้มไม่ได้  หากว่าเขาได้เห็นมันตลอดไปก็คงดี

“ดูเจ้าสิ ทำไมยังมาทำกับข้าวอีก ไม่เหนื่อยหรือ”

“ท่านมู่หรง  รอสักครู่ เนื้อผัดใกล้ได้ที่แล้ว”

“เสวี่ยจง เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี้ในฐานะคนรับใช้ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเองหรอกนะ ” มู่หรงเซียนบอกอย่างอ่อนโยนหลายเดือนมานี้ เขา
ดูแลร่างโปร่งอย่างดี พยายามเสาะหาหมอที่มีความสามารถเพื่อมาดูแลโดยเฉพาะ แม้ไม่ได้พูดตรงๆ แต่เขารู้ว่าอีกคนก็พอเดาออกว่าเขาคิดอะไรอยู่

“ให้ข้าทำเถอะครับ ข้าไม่อยากอยู่เฉยๆ จะเป็นภาระท่าเปล่าๆ”

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าเป็นภาระ เจ้ารู้ว่าข้า ระ..”

“แต่ข้ามีสามีแล้วครับ” ร่างโปร่งเอ่ยขัด

“เจ้ายังไม่ลืมคนพรรค์นั้นอีกหรือ หากเขารักเจ้าจริงทำไมถึงปล่อยให้เจ้าออกมาจากบ้านเช่นนั้น จนป่านนี้แล้วยังไม่คิดจะตามหา”

“ท่านมู่หรง อย่าให้ข้าต้องลำบากใจที่จะอยู่ที่นี้เลย เนื้อผัดเสร็จแล้ว ข้าจะให้เด็กๆยกไปจัดโต๊ะเลยนะครับ ใกล้เวลาที่แขกจะมาแล้ว”

มู่หรงเซียนได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหล้าไม่ว่าจะพยายามสักเท่าใดก็ไม่เคยเข้าไปแทนที่คนในใจของ เสวี่ยจงได้เลย


ร่างสูงสง่าของท่านอ๋องแปดก้าวลงจากเกี้ยวด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก หากว่าไม่ใช่ราชโองการของฮ่องเต้ เขาคงไม่ออกมาที่นี้ให้เปลืองเวลา  สกุลมู่หรง คือพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของเจ้าของบ้าน เสด็จพ่อจึงส่งเขามาเป็นตัวแทนเพราะ  การผูกมิตรกับพ่อค้าเหล่านี้คือรากฐานแห่งอำนาจ

“คารวะท่านอ๋อง” เจ้าของบ้านเอ่ยทักอย่างนอบน้อมก่อนจะเชิญแขกคนสำคัญให้เข้าไปนั่งในที่นั่งประธาน

ร่างสูงลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเมื่อวงสนทนาวันนี้พวกประจบสอพลอต่างแย่งกันเอาใจเขาเสียจนเอียน คำพูดยกยอ
มากมายไม่ได้ทำให้เขาอารมร์ดีสักนิด ซ้ำยังอารมณ์เสียจนแทบอยากจะสั่งประหานคนพวกนี้ให้หมด

“อาหารมาแล้วเชิญทุกท่านทานได้” เจ้าของบ้านเชื้อเชิญก่อนที่สาวใช้จะทยอยยกอาหารมา แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกอยากอาหารแต่การกินก็ถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่งทำให้ ร่างสูงจำใจต้องคีบเนื้อผัดที่อยู่ใกล้มือที่สุดเข้าปาก

“ใครเป็นคนทำอาหารจานนี้!!” เสียงทุ้มตะโกนลั่นพลางปรายตามองเจ้าของบ้าน

“อาหารจานนี้มีอะไรหรือขอรับ” มู่หรงเซียนเอ่ยถาม พลางกลั้นลมหายใจใครๆก็รู้ว่าท่านอ๋องแปดอารมณ์ขึ้นลงยากคาดเดา เขา
เป็นห่วงร่างโปร่งขึ้นมาจับใจ

“ข้าบอกให้ไปตามคนที่ทำเนื้อผัดมา” ร่างสูงบอกเสียงเรียบ

“ท่านมู่หรง ว่าอย่างไรใครเป็นคนทำ” ร่างสูงคาดคั้น แต่เจ้าของบ้านกลับปิดปาดเงียบ

“หากจะลงโทษได้โปรดลงโทษข้าเถิด ข้าเป็นเจ้าบ้านหากมีเรื่องที่ทำให้ท่านอ๋องขุ่นเคืองใจ ข้าย่อมสมควรรับผิดชอบ”

“เด็กๆ ค้นให้ทั่วบ้านหาคนที่ทำเนื้อผัดจานนี้มาให้ได้!!” เสียงทุ้มตวาดลั่นแขกที่มาในงานต่างนั่งนิ่งไม่มีใครกล้าขยับ เพราะกลัวจะทำให้โทสะของท่านอ๋องเพิ่มมากขึ้น

“ท่านมู่หรง เกิดอะไรขึ้นครับ!!” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนที่ร่างหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้อง แต่ก็ต้องชะงักค้างเมื่อเห็นว่า ใคร ยืนอยู่

“ ไม่มีอะไรหรอก เจ้าไปพักเถอะ” มู่หรงเซียนบอก

“เนื้อผัดนี่ ฝีมือเจ้าจริงๆสินะ เสวี่ยจง”  เสียงทุ้มเอ่ยถาม ก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างโปร่ง

“ใช่ ขอรับ”

“มู่หรงเซียน ในเมื่อข้าพบคนที่ทำอาหารจานนี้แล้วข้าคงต้องกลับเสียที” บอกกับเจ้าของบ้านแต่มือหนากลับคว้าท่อนแขนเรียว
นั้นไว้แน่นก่อนจะลากอีกคนออกไปทันที

“ท่านอ๋อง!!”

“ข้าขอเตือน อย่าสอดปากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ”  ซาคังชักดาบออกก่อนจะจ่อที่คอของเจ้าของบ้าน

“แต่นั่นมันคนของข้า!!”

“ท่านมู่หรง ข้าไม่อยากจะพูดให้มากความ แต่ พระชายาของเราจะไปเป็นคนของท่านได้เช่นไร ข้าขอตัว”


ร่างโปร่งดิ้นหนีสัมผัสของคนตรงหน้าแต่เพราะท้องที่โตขึ้นมากทำให้ไม่สะดวกอย่างใจคิดจนแล้วจนรอดก็ถูกพากลับมาที่จวนอ๋องจนได้

“ปล่อยข้า!!”

“เสวี่ยจง เมื่อไหร่เจ้าจะอยู่นิ่งๆเสียที”

“ก็เมื่อที่ท่านปล่อยข้าไป” ร่างบางบอก แต่กลับถูกอีกคนรวบเข้าไปกอดแน่น

“ปล่อยข้านะ ถ้าท่านไม่ต้องการข้า ไม่ต้องการลูก ก็ปล่อยเราสองคนไปเถอะ ได้โปรดปล่อยข้าไป”  เพราะความกดดันทำให้ร่าง
โปร่งร้องไห้ออกมาอย่างหนัก น้ำตาเม็ดโตไหลอาบแก้ม

หากไม่รัก ก็อย่าเหนี่ยวรั้งเลย

“เสวี่ยจง เจ้าฟังข้าก่อนได้ไหม ได้โปรดฟังข้าสักนิด” ร่างสูงที่ไม่เคยแม้แต่จะขอร้องใครกำลังอ้อนวอนคนที่รักหมดใจให้หยุดฟังเขาบ้าง มือหนาไล้แก้มนวลอย่างแผ่วเบาก่อนจะกดจูบลงบนเปลือกตาสวย

“ข้าขอโทษ ขอโทษที่ไม่เคยดูแลเจ้ากับลูก ขอโทษที่ทำเหมือนกับว่าไม่ต้องการพวกเจ้า เจ้ารู้ไหม วันที่ข้ากลับมาแล้วไม่เจอ
พวกเจ้าหัวใจข้าเหมือนจะหยุดเต้น เจ้ากับลูกสำคัญกับข้านะ เสวี่ยจง”

“ท่านโกหก ทำไมวันนั้นท่านถึงดูไม่ดีใจเลย ที่รู้ว่าข้าท้อง” ร่างโปร่งฟูมฟาย

“ข้าแค่กลัว บุรุษที่ท้องได้มีไม่น้อยที่ต้องจบชีวิตขณะคลอด ข้ากลัว กลัวว่าเจ้าจะจากข้าไป ชีวิตข้าจะอยู่ได้เช่นไรถ้าไม่มีเจ้า เส
วี่ยจง เชื่อข้าสักครั้งเถอะนะ ได้โปรดเชื่อหัวใจของสามีเจ้าสักครั้ง ”

“ลูกพ่อ เจ้าเชื่อพ่อใช่ไหม พ่อทำผิดต่อพวกเจ้ามากนักแต่ได้โปรดยกโทษให้พ่อเถอะนะ” ร่างสูงทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะรั้งเอวของคนรักมากอดแน่น จมูกโด่งกดจูบลงบนหน้าท้องนูนอย่างอ่อนโยน

“พ่อรักพวกเจ้าสองคนมากนะ”

“ท่านพี่” เสวี่ยจงบอกทั้งน้ำตา ไม่เคยมีอ้อมกอดใดที่จะอบอุ่นได้เท่าคนๆนี้ ไม่เคยคำว่ารักใดที่จะ อ่อนโยนได้เท่าคนๆนี้ และไม่
เคยมีผู้ใดที่จะทำให้เขารักได้เท่าคนๆนี้ …

“ข้ารักท่าน”


เกือบเดือนแล้วที่เสวี่ยจง ใช้ชีวิตในนามของพระชายา แม้ว่าจะไม่ค่อยคุ้นชินกับการถูกพินอบพิเทาสักเท่าใดนักแต่เขาก็ขัดร่างสูงไม่ได้

“พระชายา จะไปไหนหรือขอรับ”  ซาคังเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าร่างโปร่งเดินออกมาจากห้อง

“ข้าอยากไปที่ศาลาริมสระ ข้าไปได้ใช่ไหม”

“ขอรับ”

ร่างโปร่งยิ้มกว้างการต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องทั้งวันทำเขาเบื่อจนแทบบ้าเพราะ สามีคนดีของเขาไม่ยอมให้หยิบจับไปไหนหรือทำอะไรเลย เพราะกลัวจะแท้ง เหอะนี่ถ้ารู้ว่าตอนนั้นเขาถูกม้าชนคงอาละวาดบ้านแตกไปแล้ว แต่ไม่บอกท่าจะดีกับทุกฝ่ายมากกว่า

“อ่อ ท่านลุง เข้ามาที่นี้ได้ยังไงครับ” ร่างโปร่งเอ่ยถามกับชายชราท่าทางใจดีคนหนึ่ง

“ลุงเป็นญาติของเจ้าของบ้านน่ะ หือ นี่เจ้ากำลังท้องอยู่หรือ” ชายชราบอกก่อนจะมองร่างโปร่งอย่างพิจารณาแม้จะดูอายุมากแต่
ท่าทางที่ดูสง่างามนั้นทำให้เสวี่ยจงอดที่จะกลัวไม่ได้ หากว่าเป็นญาติกับท่านอ๋องคนตรงหน้าก็คงเป็นเชื้อพระวงค์สักคนสินะ

“เจ้ากลัวหรือ”

“เอ่อ คือว่า”

“ไม่ต้องกลัวหรอก คนแก่อย่างข้ามีอะไรน่ากลัวกัน” ชายชราบอกก่อนจะยิ้มน้อยๆ ให้อีกคนคลายกังวล  ตาคมมองร่างโปร่งที่อยู่ในชุดของสตรีเพื่อไม่ให้ชุดรัดเกินไป ซ้ำทรงผมก็ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบสตรีชั้นสูง แต่กลับดูไม่ขัดตาเลยสักนิดหากไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นบุรุษ


“ฝ่าบาท ไม่ควรเสด็จออกมาเพียงลำพังนะ พะยะค่ะ” เสียงทุ้มของเจ้าของจวนเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปซ้อนหลังภรรยา ตาคมนั้น
จ้องชายชราอย่างประเมินสถานการณ์

“หึ ก็แค่อยากเห็นหน้าลูกสะใภ้ของตัวเองก็ไม่ได้หรือ” เสวี่ยจงมองคนโน้นคนนี้สลับไปมา อย่างไม่เข้าใจ เมื่อครู่ท่านอ๋องเรียกคนตรงหน้าว่าฝ่าบาทหรือ หรือว่า..

“ฝ่าบาท ฮ่องเต้!” ร่างโปร่งอุทานลั่น เนื้อตัวลั่นเทาไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบกับประมุขของแผ่นดิน

“ฮ่าๆ ดูท่าลูกสะใภ้คนดี จะกลัวข้าเสียแล้ว” ฮ่องเต้แย้มสรวล

“ไม่ต้องกลัว ทำตัวปกติเถอะ  หากว่าข้าทำอะไรเจ้าแม้แต่ปลายเส้นผม เจ้าลูกชายตัวดีของข้าคงไม่ยอมแน่”

“กระหม่อมก็คิดเช่นนั้น พะยะค่ะ” ร่างสูงบอกก่อนจะกอดภรรยาไว้แน่น

“ท่านพี่ ข้า อื้อ ข้า ปะ ปวดท้อง อื้อ” ร่างโปร่งร้องลั่น 

“ฟู่ซือ พาเมียเจ้าไปในห้องสิ เด็กๆใครอยู่แถวนี้บ้างไปตามหมอที ลูกสะใภ้ข้าจะคลอดแล้ว” ฮ่องเต้ตรัส

สองร่างเดินสลับกันไปมาที่หน้าห้อง พลางเงี่ยหูฟังความโกลาหลวุ่นวายสาวใช้วิ่งเข้าวิ่งออกจนแทบจะเป็นลมแต่ทุกคนก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อคุณหนูคุณชายตัวน้อยๆที่กำลังจะเกิดมา

แง้ๆๆๆๆๆๆๆๆ

เสียงร้องของทารกทำให้ร่างสูงแทบยืนไม่อยู่ความดีใจเอ่อล้นจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ได้แต่มองไปที่ผู้ให้กำเนิดที่ยืนอยู่ข้างกัน
แม้ว่า กฎเกณฑ์ ในวังหลวงจะเข้มงวดองค์ชายอย่างเขาแทบไม่เคยได้รับไออุ่นจากอ้อมอกของผู้ให้กำหนด แต่เขากลับรู้สึกว่า ความสุขของการได้เห็น ชีวิตน้อยๆถือกำเนิดขึ้นก็คงไม่ต่างกัน

“ฟูซือ เจ้ารู้ไหม ว่าในวันที่เจ้าเกิด พ่อกำลังประชุมขุนนางเกี่ยวกับการวางระบบชลประทาน แต่แม้ว่าพ่อจะไม่ได้อยู่ด้วยแต่พ่อก็
ดีใจ ที่เจ้าเกิดมา”

“เสด็จพ่อ” ร่างสูงครางแผ่ว

“เจ้ามีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว ก็จงทำหน้าที่ให้ดี ในบรรดาลูกท่านหมด เจ้าหัวดื้อที่สุด แต่ก็โดดเด่นที่สุด พ่อหวังว่าเจ้าจะ
เป็นผู้นำครอบครัวที่ดี”

“ขอบพระทัย เสด็จพ่อ”

“ฟู่ซือ เจ้าไม่คิดจะบอกความจริงเรื่องชาติกำเนิดให้ เสวี่ยจงรู้หรือ” ฮ่องเต้ตรัสถาม

“เรื่องบางเรื่องควรปล่อยมันไปจะดีกว่า พะยะค่ะ น้องจิ้ง ก็คือ เสวี่ยจง เสวี่ยจงก็คือ น้องจิ้ง ไม่ว่าจะเป็น หวันเอี้ยนจิ้ง ท่านชายผู้
สูงศักดิ์ หรือ ตู้เสวี่ยจง ลูกชาวบ้านธรรมดา กระหม่อมก็รักคนๆนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”


5ปี ผ่านไป

“ท่านแม่ เหวินจิ้งแกล้งข้าอีกแล้ว” ร่างเล็กของเด็กชายอายุราว 4 ขวบวิ่งเข้ามาฟ้องผู้เป็นแม่ ก่อนจะชี้ไปที่เด็กผู้ชายที่ตัวโตกว่า
อีกคน

“เหวินจิ้ง แกล้งน้องอีกแล้วหรือ” เสวี่ยจงหันไปถามกับเด็กชายตัวสูง

“เหวินฟู่ ขี้แย ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แต่เอาเจ้าตัวนี้ให้ดูเท่านั้นเอง เหวินฟู่ก็ร้องไห้จ้าเลย” เด็กชายตัวโตบอกเสียงเรียบพลาง

ยื่นเจ้าหนอนตัวน้อยให้ผู้เป็นแม่ดู เสวี่ยจงได้แต่ส่ายหน้ากับนิสัยของลูกชาย เหวินฟู่ กับ เหวินจิ้ง  เป็นฝาแฝดกันแต่กลับไม่เหมือนกันเลยทั้งรูปร่าง หน้าตา หรือแม้แต่ นิสัย จะบอกว่า เหวินจิ้งเหมือนท่านอ๋อง ส่วน เหวินฟู่ เหมือนเขาคงจะไม่ผิดนัก

“เจ้าก็รู้ว่าข้ากลัว ท่านแม่วันนี้ ให้เหวินฟู่ไปนอนที่อื่นเลยนะ ข้าจะนอนกอดท่านคนเดียว แบร่” ร่างเล็กว่า

“ไม่มีทาง ข้าก็จะนอนกับท่านแม่เหมือนกัน” เหวินจิ้งบอกเสียงเรียบ ถึงจะอายุยังน้อยแต่น้ำเสียงนั้นก็ยังคงมีความกดดันคนฟังอยู่
หลายส่วน ช่างเหมือนท่านอ๋อง ราวคนเดียวกัน

“ท่านแม่ ข้าไม่ยอมนะ”

“พวกเจ้าสองคน ไม่ต้องเถียงกันเลย เพราะวันนี้ เจ้าสองคนต้องเข้าวัง” ร่างสูงที่เพิ่งกลับจากวังหลวงเอ่ยขึ้น

“ฝ่าบาททรงรับสั่งอีกแล้วหรือ” เสวี่ยจงเอ่ยถาม

“ใช่ ไม่รู้ว่าเจ้าลูกลิงพวกนี้เป็นลูกใครกันแน่ เอะอะ เสด็จพี่ก็ให้เข้าไปเล่นในวังอยู่เรื่อย” ร่างสูงหมายถึง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่
ครองราชย์ได้เพียงสามปี ซ้ำยังไม่มีโอรส เจ้าลูกลิงแฝดของพวกเขาจึงกลายเป็นคนโปรด

“เพราะว่าพวกเราน่ารัก เสด็จลุงฮ่องเต้ก็เลยเอ็นดูครับ” เหวินฟู่บอกอย่างร่าเริง

ก่อนที่สองพี่น้องจะจูงมือกันกลับห้องเพื่อเตรียมตัวเข้าวัง ร่างสูงรั้งคนรักเข้ามากอดแน่นก่อนจะกดจมูกลงบนแก้มนวล ตลอด 5 ปี
ที่ผ่านมาความรักของเจาที่มีต่อเสวี่ยจงไม่เคยลดน้อยลงไปเลยนับวันก็มีแต่จะเพิ่มขึ้น หัวใจมันเต็มตื้นราวกับว่าการรอคอยที่
ยาวนานได้สิ้นสุดลง

“ข้าอยากมีลูกสาว” เสียงทุ้มบอก

“หือ” ร่างโปร่งเลิกคิ้วถาม

“ไปหาน้องให้เจ้าลูกลิงกันไหม”

“ท่านพี่!!” ร่างโปร่งเหวลั่น ก่อนจะจับมือหนาวางลงบนท้องของตัวเอง

“ไม่ต้องหรอก บางทีลูกสาวอาจจะอยู่ในนี้แล้วก็ได้”

“เจ้าหมายความว่า”

“สองเดือนแล้วครับ”

“เสวี่ยจง!! ข้าดีใจที่สุดเลยรู้ไหม” ร่างสูงบอกก่อนจะกอดคนรักไว้แน่น 


กว่าจะได้พบ กว่าจะได้รัก กว่าจะได้ครองคู่ อาจจะต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย จนเหลือคณานับ แต่หาก เพียงหัวใจมั่นในรัก แล้ว บ่วงรักจักคล้องใจ ให้ดวงหทัยทั้งสองนั้น ร้อยรักมัดเรียงอยู่เคียงใจ ตราบชั่วนิจนิรันดร์


แถม…

“นั่นเป็นความฝันของคุณตลอดหลายปีหรือครับ” เสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้นก่อนที่ร่างสูงที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้จะพยักหน้า

“อืม หมอคิดว่า ไม่น่าจะมีความผิดปกติอะไรนะครับ” ชายหนุ่มร่างโปร่งในชุดกราวบอกก่อนจะขยับแว่นที่ใส่อยู่อย่างใช้ความคิด

“เมื่อก่อน ผมก็คิดว่าเรื่องราวบ้าๆพวกนี้มันเพ้อเจ้อนะครับ ผมเอาแต่ฝันซ้ำไปซ้ำมา วนเวียนอยู่สามเรื่องนี้มาหลายปี  แต่วันนี้ผม
ไม่คิดแบบนั้นแล้วล่ะ” เสียงทุ้มบอกพลางจะลุกขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะรั้งร่างที่ยืนอยู่ให้เข้ามาในอ้อมกอด

“ในที่สุดก็ได้เจอกันสักทีนะ”  เสียงนั้นกระซิบที่ข้างหู

“ฮึก มาช้า รู้ไหมว่ารอมาตั้ง 25 ปี มันเหงานะที่ต้องอยู่คนเดียวแบบนี้” ร่างโปร่งว่าก่อนจะซุกหน้าลงบนอกแกร่ง ปล่อยน้ำตาให้
ไหลจนเสื้อเชิ้ตแบนด์หรูเปียกชุ่ม

“ขอโทษครับ ต่อไปนี้จะไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวอีกแล้ว รักนะรู้ไหม ไม่ว่าจะกี่ภพ กี่ชาติ ผมก็จะรักคุณคนเดียว”

“ผมก็รักคุณเหมือนกัน”

“อ่า แล้วแบบนี้ผมต้องเรียกคุณว่า จิ้นฝู หย่งเจิ้ง ฟู่ซือ หรือ เควิน อู๋  ดีล่ะ” ร่างโปร่งว่าติดตลก

“ฮ่าๆๆ เรียกว่า ที่รักเป็นไงครับ คุณ เอดิสัน หวง”



…………………….จบบริบรูณ์………………………………



 :sad4: :o12: ปาดน้ำตา รู้สึกยาวนานเหลือเกิน
กะอิแค่ มินิซีรีย์ ขอบคุณที่ติดตามกันเสมอมา คร่า  :mew3:


ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 : :pig4 :hao5: ปาดน้ำตาเรื่องนี้จบไม่เศร้า เสีวยจงหายไปจากอ๋องแปดอยู่เรื่อยนึกว่าจะจบเศร้าอีกแล้ว

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ยาวจุใจและจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันซะทีน๊าา

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
ค่อยยังชั่วนึกว่าจะเหมือนเรื่องที่สอง
ในที่สุดก็ได้รักกันซะทีน้าาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
เหมือนจะมาม่าแต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยดี  :mew1:

ออฟไลน์ KKKwanGGG

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
สนุกมากทุกเรื่องเลยครับ แต่ชอบ พระนาย กับ กานต์ และ ฟู่ซื่อ กับ เสวี่ยจง ชอบทั้งสองคู่ที่สุดครับ

ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
*ขออนุญาตเม้นท์ตั้งแต่เรื่องแรกนะคะ ^^

เธอคือทั้งหัวใจ
… ความรู้สึกของวาดูเหมือนจะเปลี่ยนจากคำว่า 'รัก' กลายเป็น 'ลุ่มหลง' ไปแล้วนะคะเนี่ย เหมือนกับมัวเมาไปกับคนๆ เดียวจนดูไร้สติเลยค่ะ ทำไมถึงไม่หันกลับมามองดูรอบๆ ตัวบ้างว่ามีคนที่รักและหวังดีกับวาอยู่อีกตั้งหลายคน แล้วสุดท้ายเป็นยังไงล่ะ เสียใจกันไปทุกคนเลย ไม่ได้บอกว่าวาผิดนะคะกับสิ่งที่ทำลงไป แต่บางครั้งช่วยมีสติในการที่จะรักมากๆ กว่านี้หน่อยเน้อ (รวมไปถึงใบชาด้วยนั่นล่ะค่ะ) เฮ้อ~

กลิ่นแก้ว
… เหมือนเราหลุดเข้าไปในยุคนั้นด้วยเลยค่ะ บรรยากาศรอบๆ ดูล่องลอยๆ ชอบแนวนี้มากๆ ค่าา เป็นการกลับมาเกิดใหม่ที่สลับบทบาทกันแบบไม่คาดคิดเลย ถึงบุคลิกของคุณพระนายในตอนแรกที่บรรยายจะดูแมนสมชายมากแค่ไหน แต่พอคุณพระนายมาเข้าฉากกับคุณกานต์ปุ๊บ เรามีความรู้สึกว่าคุณพระนายดูน่าปกป้อง น่าทะนุถนอมขึ้นมาเลยเชียวค่ะ ส่วนคุณกานต์ก็อบอุ๊นอบอุ่น เหมาะสมกันมากๆ ^^

รหัท..รัก
… กรี๊ด~ น้ำตาอาบหน้าเลยค่าา คิดว่าทั้งสองคนจะไม่สมหวังเสียแล้ว สนุกมากๆ เลยค่ะ พุ (ชล) น่าร๊ากกกก.. ใสมาก น่าเอ็นดูสุดๆ ไปเลย โอ๊ยๆ ขีดความน่ารักเกินต้านทาน ชอบเวลาที่พุเรียนรู้วิธีการเป็นมนุษย์จังค่ะ ตอนที่ทำหน้างงหรือไม่เข้าใจตรงไหนคงน่าหยิกเป็นที่สุด ><

Kiss the Rain
… เศร้าค่ะ จุกกันเลยทีเดียว พออ่านจนจบ มีความรู้สึกว่าอยากให้เรื่องที่วินตายไปแล้วเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น T^T

Dandelion's promise
… ^_______^ อ่านแล้วมีความสุขจังเลยค่ะ เป็นรักที่มั่นคงมากๆ แม้จะไม่ได้เจอหน้ากันเลยตลอด 10 ปี *กอดจุนไคกับหยวนแน่นๆ*

เพียงใจมั่นรัก
… เหมือนกับความรู้สึกจากเรื่องสั้นก่อนหน้านี้เป็นแค่ฝันไปเลยค่ะ ฟางซินน่าจะฆ่าเจ้าหมอผีนั่นก่อนนะคะ แล้วจะโดนเผาทีหลังก็ไม่ว่ากันค่ะ หมั่นไส้หมอผีมากค่ะบอกเลย~ ขอให้จิ้นฝูกับฟางซินได้เกิดมาคู่กันอีกนะค้าา (^O^)

บ่วงรักคล้องใจ
… อยู่ๆ ก็มีแต่น้ำตา~~ :o12: เศร้าค่ะ คือตอนตั้งท้องก็ไม่ได้อยู่ดูแล แถมตอนคลอดยังมาไม่ทันได้ดูใจเหยียนอี้อีกต่างหาก ที่หย่งเจิ้งตรอมใจขนาดนี้เราเข้าใจเลยล่ะค่ะ กระซิกๆ

ร้อยรักเคียงใจ
… ฟินนนค่ะ :heaven น้ำตาปริ่มด้วยความดีใจที่ทั้งสองได้ครองรักกันจริงๆ สักที

ออฟไลน์ miniminiXD

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 313
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-3
ชอบนิยายที่มีกลิ่นอายพีเรียดแบบเรื่อง กลิ่นแก้ว มากค่ะ :-[

ออฟไลน์ miniminiXD

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 313
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-3
เรื่องเศร้าเยอะจังงง :hao5:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เรื่องแรกจุกเลย เสียสละให้แฟนของคนรัก จนทำให้คนที่รักเราต้องมาเสียสละให้ โอ้ว่าความรักหนอ

เรื่องสอง แม่แก้ว แม้กลับชาติมาเกิดแบบพลิกโผ ดีนะที่ใช้ใจคิด ลงเอยกันแบบมีความสุขได้ เป็นอะไรที่มาช่วยฮีลใจตอนอ่านเรื่องแรกจบได้ดีมาก 555 เรื่องนี้ดีจริง

เรื่องสาม เจ้าชายเงือกน้อยกับนายหัวพ่อหม้าย โอ๊ยยยนึกว่าจะไม่แฮปปี้ ดีที่ท่านพ่อท่านพี่อาโปช่วยให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้ มันเป็นโชคชะตาจริงๆ

เรื่องสี่ สั้นๆแต่จุก สงสารจีนไม่ไหวแล้ว T_T ยังคงทำใจไม่ได้ที่มาวินต้องจากไป จนสร้างจินตนาการขึ้นมา ฮือออมันเศร้า

เรื่องห้า แง๊สงสารท่านหมอและเจ้าจิ้งจอก ขอให้ได้ครองรักกันทุกชาติไปนะ

เรื่องหก สงสารเหยียนอี้กับหย่งเจิ้งที่สุดเลยพอรักกันได้มีลูกด้วยกัน แต่เหยียนอี้ก็ต้องมาจากไป น้ำตาไหลพราก TT________TT

เรื่องเจ็ด เสวี่ยจงองค์ชายแปด โอ๊ยยยท่านองค์ชายผู้เย็นชาแต่รักเมียคนเดียว มันดี๊ ขยันเอาลูกมาก 555 ดีที่จบไม่ตายจากกันหลังคลอด เด็กแฝดก็น่ารัก

สนุกกกกกทุกเรื่องเล้ยยยย สนุกจริง ชอบมาก  :pig4: :pig4:



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด