ตอนที่ 6 : คู่กัด
เดือนดาราผู้เป็นเจ้าของ ‘แสงจันทร์เกสต์เฮาส์’ ยืนเกาะประตูมองดูหลานชายที่รับอาสาช่วยงานในครัวแทนแม่ครัวที่เพิ่งจะลาออกไปเมื่อ 2-3 วันก่อน แม้จะเป็นผู้ชายแต่ก็สามารถหยิบจับอะไรได้อย่างคล่องแคล่ว นั่นคงเป็นเพราะหลังจากที่แม่เสียชีวิตลงเขาก็ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองมาตลอด ฝีมือการทำอาหารก็ถือว่าไม่เป็นรองใครเพราะได้รับการถ่ายทอดวิชาจากพ่อเลี้ยงตรัยผู้ที่เป็นทั้งพ่อและพ่อครัวหัวป่าก์ประจำบ้าน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกนักที่ 2-3 วันมานี้แสงจันทร์เกสต์เฮาส์จะมีลูกค้าทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่แวะเวียนกันมาไม่ขาด หรือหากจะมีอะไรผิดปกติก็คงจะเป็นออเดอร์ “ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่” ที่ถูกสั่งโดยคนคนเดิมเป็นวันที่สาม
“กินซ้ำกันทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือไง” พ่อครัวจำเป็นบ่นอุบขณะเทหอมใหญ่สับละเอียดยิบลงในกะทะก่อนจะผัดรวมกับข้าว หมู และไข่ เสียงตะหลิวกระทบกับผิวของกะทะและกลิ่นหอม ๆ ช่วยเรียกน้ำย่อยบรรดาลูกค้าที่นั่งรออยู่ด้านนอกได้ไม่น้อย
“สงสัยเต็มจะผัดอร่อยละมั้ง คุณคนนั้นเขาถึงได้สั่งทานทุกวันไม่เบื่อเลย”
“แต่เต็มเบื่อ” เต็มฟ้ากล่าวด้วยน้ำเสียงสุดเซ็งขณะเหยาะซอสปรุงรสเติมลงไปอีกเล็กน้อย ผัดต่อไปอีกหน่อยก็ตักใส่จานที่มีผักกาดหอม แตงกวาและมะเขือเทศวางประดับเอาไว้
“เดี๋ยวน้าทำต่อเอง เต็มยกออกไปเสิร์ฟแล้วก็ไปบอกน้องให้เตรียมเก็บกระเป๋าเถอะ เมื่อกี้พ่อเขาเพิ่งโทรมาบอกว่ากำลังจะมารับ อีกสักพักก็น่าจะถึงแล้วละ” เดือนดารากล่าวขณะเดินเข้ามาดูกระดาษจดออเดอร์ที่เหลือ เมื่อได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มก็พยักหน้าก่อนจะจัดการถอดผ้ากันเปื้อนออกแขวนและยกจานข้าวผัดออกไป ทันทีที่ก้าวพ้นประตูห้องครัว สายตาก็สอดส่ายหาเจ้าของออเดอร์ จนในที่สุดก็พบร่างสูงที่กำลังนั่งทอดสายตามองดูสายน้ำในลำน้ำวังที่กำลังไหลเอื่อย ๆ เต็มฟ้าเดินตรงไปยังโต๊ะที่อยู่ริมระเบียงก่อนจะวางจานข้าวผัดลงพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่ได้แล้วครับ”
เสียงที่เคยได้ยินมาแล้วก่อนหน้านี้ทำให้ศิธาพัฒน์จำต้องละสายตาจากภาพตรงหน้าเปลี่ยนมาพิจารณาสิ่งที่อยู่ในจานแทน เป็นไปตามคาด มันคือ ‘ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่ ใส่แต่หอมเล็ก’ เขากดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขอบคุณไอ้เด็กบ้าเจ้าคิดเจ้าแค้นที่กำลังจะเดินจากไป เป็นอีกมื้อที่ต้องจำใจกล้ำกลืนฝืนทนกินสิ่งที่ไม่ชอบ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่สั่งเมนูอื่น หรืออาจเป็นแค่เพียงต้องการที่จะเอาชนะเท่านั้น?
หลังจากพนักงานไปรษณีย์หนุ่มกลับไปได้สักพัก พ่อเลี้ยงตรัยซึ่งเพิ่งกลับจากงานศพของเพื่อนที่เชียงใหม่ก็ขับรถเข้ามาจอดที่หน้าเกสต์เฮาส์ หนุ่มใหญ่ก้าวลงจากรถอย่างอารมณ์ดีเพราะจะได้พบกับลูกชายคนโตซึ่งไม่ได้เจอกันนาน ในใจนึกถึงสัญญาที่เคยให้กันไว้เมื่อสี่ปีก่อนว่าหากเต็มฟ้าเรียนจบเมื่อไร เขาจะกลับมารับช่วงดูแลกิจการโรงงานเซรามิคของแม่เพื่อแลกกับการที่พ่อจะไม่ขายมันให้กับใคร
“ไงไอ้ลูกชาย” พ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่กล่าวขณะเดินเข้าไปสวมกอดลูกชาย “เห็นน้าเดือนบอกว่าทำกับข้าวอร่อยจน 2-3 วันนี้ลูกค้าแน่นร้านเลยเหรอ”
“ช่วงนี้ลูกค้าแน่นร้านจริง ๆ ครับพ่อ สงสัยติดใจฝีมือพี่เต็มแน่ ๆ เลย” ตามตะวันเสริม
“ไม่ขนาดนั้นหรอกพ่อ อย่าไปฟังตามมาก” ลูกชายคนโตปฏิเสธ
“เดือนว่าจะขอซื้อตัวตาเต็มจากโรงงานเซรามิคของพี่ตรัยมาเป็นพ่อครัวที่เกสต์เฮาส์จะได้ไม่ต้องประกาศรับคนใหม่”
พ่อเลี้ยงตรัยมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก่อนจะยิ้ม “เรื่องนั้นน่ะ ให้เจ้าเต็มมันตัดสินใจเถอะ”
เมื่อประเด็นที่ตั้งใจเตรียมมาคุยถูกยกขึ้นมาพูดเร็วกว่ากำหนด เต็มฟ้าจึงตัดสินใจบอกความต้องการของตัวเองให้ทุกคนในครอบครัวได้รู้
“เต็ม...ตั้งใจจะบอกเรื่องนี้ให้พ่อกับน้าเดือนรู้อยู่พอดี” ชายหนุ่มพยายามเรียบเรียงคำพูด “เต็มได้งานที่กรุงเทพฯ เป็นบริษัทของรุ่นพี่ เต็มก็เลยจะขอทำงานที่กรุงเทพฯ สักพัก”
เดือนดารามองหน้าคนพูดสลับกับพี่เขยของเธอ แม้สีหน้าของเขาจะไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกใด ๆ ก็ตาม แต่เธอรู้ดีว่าตรัยรอเวลานี้มานาน เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา เวลาที่เต็มฟ้าจะกลับมาช่วยดูแลกิจการที่โรงงานเซรามิคของพี่สาวของเธอ ซึ่งอันที่จริงพ่อเลี้ยงตรัยตัดสินใจจะขายมันตั้งแต่ 3-4 ปีหลังการเสียชีวิตของดารกา แต่เด็กหนุ่มกลับขอให้เก็บสมบัติชิ้นสุดท้ายของแม่เอาไว้ และนี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเต็มฟ้าจึงเลือกเรียนเซรามิค
“ตามใจแกก็แล้วกัน” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนจะเดินไปที่รถ โดยมีลูกชายทั้งสองสะพายเป้เดินตามไปห่าง ๆ
ตั้งแต่ออกมาจากเกสต์เฮาส์สามพ่อลูกก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย ผู้เป็นพ่อยังคงขับรถเงียบ ๆ ตามตะวันซึ่งนั่งกอดเป้อยู่ที่นั่งด้านหลังก็เอาแต่มองออกไปที่นอกหน้าต่าง ส่วนเต็มฟ้าเองก็มองดูบ้านเรือนสองข้างทาง ทุก ๆ ที่ที่รถของพ่อขับผ่านล้วนมีแต่ความทรงจำ ซึ่งเป็นความทรงจำในตอนที่แม่ยังคงมีชีวิตอยู่ทั้งสิ้น
เพียงไม่นานรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อของพ่อพาทุกคนตัดออกจากถนนสายหลักซึ่งทางเริ่มคดเคี้ยวและชันขึ้นเล็กน้อย แวดล้อมไปด้วยเรือกสวนไร่นา เมื่อถึงทางแยกซึ่งมีป้ายบอกทางปักเอาไว้ พ่อเลี้ยงตรัยก็หมุนพวงมาลัยเลี้ยวไปตามป้ายบอกทางที่เขียนว่า ‘ไร่แสงดาว’ ทันที รถเล่นไปตามทางบนเนินเขาที่ขนาบข้างด้วยนาขั้นบันไดและสวนลำไยของชาวบ้าน หลังคาสีขาวปรากฏขึ้นไกล ๆ เหนือยอดไม้ใหญ่จากนั้นจึงค่อย ๆ ใกล้เข้ามาทุกทีเหมือนความทรงจำเก่า ๆ ที่แจ่มชัดขึ้นทุกขณะ ในที่สุดรถก็มาหยุดที่หน้าบ้านไม้สองชั้นสีฟ้าอ่อนซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ
เต็มฟ้าเปิดประตูลงจากรถ เงยหน้ามองบ้านหลังใหญ่ตรงหน้า เป็นเวลาเกือบปีแล้วที่ไม่ได้กลับมา แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม จะว่าไปมันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อตอนที่เขายังเด็กเลยด้วยซ้ำ พ่อเลี้ยงตรัยเดินมาตบบ่าลูกชายคนโตเบา ๆ ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันเดินเข้าไปในบ้าน
ที่ห้องใต้หลังคาซึ่งพ่อและแม่เตรียมไว้สำหรับเป็นห้องส่วนตัวของลูกคนแรกถูกทำความสะอาดไว้รอตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน เต็มฟ้าเปิดประตูเข้าไปในห้องพร้อมกับมองสำรวจไปรอบ ๆ ที่โต๊ะเขียนหนังสือมีกรอบรูปตั้งโต๊ะซึ่งเป็นภาพถ่ายครอบครัววางเรียงรายอยู่ ชายหนุ่มเจ้าของห้องวางเป้ใบใหญ่ลงก่อนจะหยิบกรอบรูปอันหนึ่งขึ้นมาก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ตาคมจ้องมองภาพของหญิงสาวท่าทางใจดีที่กำลังย่อตัวลงเพื่อจัดเสื้อนักเรียนให้ลูกชายเมื่อวันแรกของการไปโรงเรียน นิ้วเรียวค่อย ๆ สัมผัสลงบนแผ่นกระจกใส รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนของแม่ยังคงตราตรึงไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแสนนานเพียงใด
ก๊อก ๆเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้เจ้าของห้องต้องรีบปาดน้ำตาทันที “ไม่ได้ล็อคครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้นคนที่อยู่ด้านนอกจึงเอ่ยปากขออนุญาตเปิดประตูเข้าไป “ตามขอเข้าไปนะครับ”
เด็กชายร่างเล็กค่อย ๆ โผล่หน้าเข้ามาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้ามายืนในห้อง
“ถึงแล้ว แล้วแกล่ะเป็นยังไงบ้าง” เต็มฟ้าที่กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบกับหูกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ พร้อมกับวางกรอบรูปลงข้างตัวก่อนจะหันไปมองน้องชาย “มีอะไรหรือเปล่า พี่กำลังคุยโทรศัพท์”
“ปละ เปล่าครับ งั้นเดี๋ยวตามออกไปก่อนดีกว่า” พูดจบหนุ่มน้อยก็ค่อย ๆ หันหลังกลับเปิดประตูเดินออกไป
เต็มฟ้าถอนหายใจทันทีเมื่อประตูถูกปิดลงก่อนจะโยนโทรศัพท์ลงบนเตียง เขาเดินไปเปิดประตูกระจกออกไปยืนที่ระเบียง จากตรงนี้สามารถมองเห็นแนวทิวสนที่ท้ายไร่ซึ่งเป็นที่ที่เขามักจะไปบ่อย ๆ เวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจ คิดถึงโรงงานเซรามิคเล็ก ๆ ของแม่ และต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ต้นใหญ่ที่มักจะผลิดอกสีชมพูสะพรั่งเมื่อถึงฤดูหนาว เมื่อคิดได้ดังนั้นเต็มฟ้าจึงออกจากบ้านตรงไปยังโรงรถเพื่อจูงจักรยานคันเก่งออกมาและปั่นไปยังจุดหมายปลายทางทันที
ชายหนุ่มปั่นจักรยานลัดเลาะไปตามแปลงผัก ผ่านเรือนเพาะชำกล้าไม้และและโรงเพาะเห็ด จนกระทั่งมาถึงทางดินแคบ ๆ ระหว่างแนวทิวสนที่กั้นด้วยรั้วสีขาวเตี้ย ๆ ไม่นานก็ถึงโรงนาเก่าที่ถูกแปรสภาพเป็นโรงงานเซรามิคซึ่งเป็นธุรกิจเล็ก ๆ เมื่อสมัยที่แม่ยังมีชีวิต คนงานจำนวนหนึ่งกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้นนั่นคงเพราะมีออเดอร์จากลูกค้าประจำเหมือนเคย ถัดจากโรงงานเซมิคไปไม่ไกลนักมีธารน้ำเล็ก ๆ ที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงทุกชีวิตรอบ ๆ ไร่แสงดาวแห่งนี้ เต็มฟ้าจอดจักรยานที่ริมลำธารก่อนจะทอดสายตามองระดับน้ำซึ่งมีไม่มากนักก่อนจะก้มลงพับขากางเกงขึ้นเพื่อเดินข้ามไปยังอีกฝั่ง ชายหนุ่มเงยหน้ามองต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ที่ยืนต้นตระหง่านแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอยู่ตรงหน้าก่อนจะเอื้อมมือสัมผัสเปลือกแข็งของลำต้นพร้อมกับลูบไปมาเบา ๆ ราวกับได้พบเพื่อนเก่า...
แม้จะดึกมากแล้วแต่แสงไฟที่ห้องใต้หลังคายังคงสว่าง พ่อเลี้ยงตรัยเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปในห้องที่เจ้าของกำลังยืนรับลมอยู่ที่ระเบียง
“ยังไม่นอนอีกเหรอ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นพร้อมกับโอบไหล่ลูกชายเอาไว้
“เต็มยังไม่ง่วงน่ะพ่อ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะทอดสายตามองออกไปยังแสงไฟจากบ้านเรือนของชาวบ้านที่เห็นอยู่ลิบ ๆ “พ่อโกรธหรือเปล่าที่เต็มตัดสินใจแบบนั้น”
พ่อเลี้ยงตรัยผ่อนลมหายใจเบา ๆ พร้อมกับวางมือบนศีรษะของลูกชายและโยกเบา ๆ “พ่อบอกแกแล้วไงว่าทุกอย่างมันแล้วแต่แก ไอ้ลูกชาย”
รอยยิ้มแสนอ่อนโยนของพ่อทำให้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย เต็มฟ้าโอบเอวผู้เป็นพ่ออย่างประจบพร้อมกับกล่าวขอบคุณ แต่ไหนแต่ไรมาพ่อไม่เคยบังคับให้เขาทำอะไรหรือห้ามไม่ให้ทำอะไร ไม่ว่าจะเรื่องเรียนหรือเรื่องของการใช้ชีวิต นั่นคือสิ่งที่รู้สึกขอบคุณพ่อจนทุกวันนี้
‘เต็มขอเวลาพิสูจน์บางอย่างสักพักนะพ่อ แล้วเต็มจะกลับมา เต็มสัญญา’ แม้จะเป็นคำสัญญาที่ไม่มีเสียง แต่มันกลับดังก้องอยู่ภายในใจของชายหนุ่ม...
ช่วงพักกลางวันของวันต่อมา พนักงานไปรษณีย์หนุ่มยังคงเลือกฝากท้องที่ครัวของแสงจันทร์เกสต์เฮาส์โดยไม่ลืมสั่งเมนูเดิม ๆ อีกเป็นวันที่สี่ ศิธาพัฒน์ยิ้มให้กับตัวเองเมื่อจานข้าวถูกยกมาวางตรงหน้าโดยลูกสาวคนสวยของเจ้าของเกสต์เฮาส์ แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจในวันนี้ก็คือ “ข้าวผัดหมูใส่หอมเล็ก” ที่เขาต้องฝืนกินมาตลอดสามวัน เพราะพ่อครัวจงใจซอยหอมเสียละเอียดยิบจนไม่สามารถเขี่ยออกได้หมดนั้นเปลี่ยนเป็นข้าวผัดหมูที่ไม่ใส่หอมแม้แต่ชิ้นเดียวไม่ว่าจะหอมชิ้นเล็กหรือชิ้นใหญ่ ที่ผ่านมาตัวเขาเองก็จงใจสั่งเมนูเดิมทุกวันเพราะต้องการเอาชนะ ซึ่งก็ได้ผลในวันที่สี่นี้เอง ชายหนุ่มยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะค่อย ๆ ตักข้าวเข้าปาก แต่กลับมีอะไรบางอย่างที่บอกให้รู้ว่าวันนี้พ่อครัวจอมกวนของเขาต้องลาป่วยแน่ ๆ
“วันนี้ไม่อร่อยเหรอจ๊ะ” ชลธรถามคนที่กำลังทำท่าจะรวบช้อน ทั้งที่ข้าวผัดในจานพร่องไปไม่ถึงครึ่ง
ศิธาพัฒน์ยิ้มให้หญิงสาวผู้มีอัธยาศัยไมตรีก่อนจะตอบอย่างมีมารยาท “อร่อยครับ แต่ผมยังไม่ค่อยหิว”
“แหม พี่ตกใจแย่ คิดว่าฝีมือแม่ครัวคนใหม่จะสู้ฝีมือพ่อครัวจำเป็นไม่ได้เสียแล้ว แต่ถ้าไม่อร่อยน่ะปุ่นบอกพี่ได้เลยนะจ๊ะ ไม่ต้องเกรงใจ ช่วงนี้เป็นช่วงให้เขาทดลองงาน พี่เองก็ต้องคอยถามลูกค้าคนอื่น ๆ ด้วยเหมือนกัน”
“ครับ” ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ อย่างไรเสียเขาก็ต้องรักษาน้ำใจกันไว้อยู่ดี
“เอ้อ พี่ถามเจ้าของมอเตอร์ไซค์ให้แล้วนะจ๊ะ”
“เขาว่ายังไงบ้างครับ”
“ตกลงเขายอมขายให้จ้ะ ที่สำคัญคือขายให้ในราคาไม่แพงด้วยนะ”
เมื่อได้ฟังราคาของมอเตอร์ไซค์คลาสิคสภาพดีที่จอดอยู่หน้าบ้านแล้วศิธาพัฒน์ถึงกับไม่เชื่อหูตัวเองเหมือนกัน “ทำไมขายถูกนักล่ะครับ”
“เขาบอกว่ามีคนเอาไปใช้ก็ยังดีกว่าจอดทิ้งไว้เฉย ๆ น่ะจ้ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเย็นวันพรุ่งนี้ผมจะเอาเงินมาให้ก็แล้วกันนะครับ ส่วนเรื่องโอนก็แล้วแต่ทางพี่ชลสะดวกก็แล้วกัน”
“เรื่องเงินไม่ต้องรีบก็ได้จ้ะ ส่วนเรื่องโอนน่ะเจ้าของเขาฝากให้พี่จัดการแทนให้ ยังไงปุ่นก็ลองเชคสภาพรถดูก่อนก็แล้วกันเพราะมันจอดเฉย ๆ มานานแล้ว ถ้าเรียบร้อยเราค่อยนัดวันไปโอนกัน”
“ขอบคุณมากนะครับพี่ชลที่ช่วยเป็นธุระให้” ศิธาพัฒน์กล่าวกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าแต่สายตากลับมองไปยังห้องครัวเล็ก ๆ ที่ถูกต่อเติมแยกออกไปจากส่วนของที่พักอาศัย
(มีต่อค่ะ)