คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก
เรื่องย่อ :
เพราะโปสการ์ดที่ไม่ได้เขียนเลขที่บ้านทำให้พนักงานไปรษณีย์บรรจุใหม่อย่าง ‘ศิธาพัฒน์’ จำต้องเดินตามหาผู้รับเสียจนเหนื่อย
และเพราะโปสการ์ดเจ้าปัญหาใบนี้เองจึงทำให้เขามีโอกาสได้พบกับ ‘เต็มฟ้า’ หนุ่มอารมณ์ศิลปินผู้ต้องสูญเสียแม่ไปในวันที่น้องชายถือกำเนิด
นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเต็มฟ้าจึงเย็นชากับ ‘ตามตะวัน’ น้องแท้ ๆ ที่อายุห่างกันถึง 11 ปีนัก
วันเวลาผ่านไปทำให้ช่องว่างในความสัมพันธ์ระหว่างกันยิ่งขยายกว้าง แต่นั่นก็ไม่ทำให้ตามตะวันท้อถอย
น้องชายยังคงใช้จดหมายฉบับน้อยเป็นสื่อกลางถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อพี่ชายที่ดูเหมือนว่าจะเกลียดตนเองเสียเหลือเกิน
และผู้รับหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องคู่นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ...คุณบุรุษไปรษณีย์คนใหม่นั่นเอง
เรื่องอื่น ๆสารบัญ
ตอนที่ 1 เต็มฟ้าตอนที่ 2 ศิธาพัฒน์ตอนที่ 3 จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคนตอนที่ 4 รับน้องตอนที่ 5 ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่ตอนที่ 6 คู่กัดตอนที่ 7 ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงาตอนที่ 8 ชุดกระโปรงสีฟ้าและคำบอกลาพี่ชายตอนที่ 9 คำขอบคุณตอนที่ 10 เรื่องชกต่อยตอนที่ 11 ทบทวนตอนที่ 12 มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้นตอนที่ 13 ความรู้สึกแปลก ๆตอนที่ 14 คนเป็นน้องตอนที่ 15 ไม่ใช่ใครก็ได้ตอนที่ 16 สนธิสัญญาระยะทดลองตอนที่ 17 ก่อนวินาทีสุดท้ายตอนที่ 18 อุ่นตอนที่ 19 ไม่เป็นไรตอนที่ 20 คนในภาพถ่าย (ไม่เป็นไรจริง ๆ)ตอนที่ 21 คำถามของคุณย่าตอนจบ รักแบบไม่ครอบครองตอนพิเศษ
ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อยตอนที่ 1 : เต็มฟ้า
ในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ มีเพียงโคมไฟตั้งโต๊ะให้แสงสว่าง ไดอารี่เล่มเก่าถูกหยิบจากลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือขึ้นมาเปิดกางเอาไว้ที่หน้ากระดาษหน้าหนึ่งซึ่งตัวหนังสือตัวสุดท้ายสิ้นสุดลง มันเป็นสมุดที่ใช้เขียนบันทึกเหตุการณ์ตลอดระยะเวลาเก้าเดือนเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งรู้ว่ากำลังมีชีวิตเล็ก ๆ ชีวิตหนึ่งเกิดขึ้นในท้องของเธอ...
‘....พ่อของลูกถูกแม่ปลุกให้ลุกขึ้นเมื่อช่วงเช้ามืดเพราะอาการเจ็บท้องที่มันถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดพ่อก็ตัดสินใจเอารถออกจากไร่เพื่อพาแม่ไปโรงพยาบาล ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก มารู้ตัวอีกทีแม่ก็นอนอยู่บนขาหยั่งแล้ว ตอนนั้นในใจของแม่คิดอะไรให้วุ่นวายไปหมด อย่างหนึ่งก็คือขอให้ลูกปลอดภัย เจ็ดชั่วโมงเต็มกับการนอนทรมานอยู่ในห้องคลอด ความเจ็บค่อย ๆ ทวีความรุนแรงขึ้น มันเป็นความเจ็บอย่างที่สุดจนแม่ไม่รู้จะหาคำอะไรมาบรรยายได้ รู้เพียงแค่ว่าความเจ็บในคราวนี้มันทำให้แม่ไม่รู้สึกกลัวความเจ็บปวดใด ๆ ในโลกอีกเลย ....แล้วในที่สุดเราก็ได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรกนะจ๊ะ เด็กชายเต็มฟ้า ลูกชายตัวน้อย ๆ ที่เกิดในวันที่บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยรัศมีของดวงอาทิตย์ทรงกลด’เป็นเวลาสิบปีแล้วที่ลูกชายยังคงอ่านข้อความในไดอารีซ้ำไปซ้ำมาจนแทบจะจำได้ทุกตัวอักษรนับตั้งแต่วันที่แม่จากไป ชายหนุ่มเจ้าของไดอารีผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะค่อย ๆ ปิดบันทึกความทรงจำเล่มนั้นลงและใส่มันในลังกระดาษข้างโต๊ะเขียนหนังสือเพื่อรอแพ็ครวมกับสิ่งของอื่น ๆ หน้าคมหันไปมองร่างของเพื่อนร่วมห้องที่นอนหลับอยู่บนเตียงฝั่งที่อยู่ติดกับห้องน้ำ รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมื่อนึกถึงคนที่เอาแต่บ่นเสียดายผมที่เฝ้าทะนุถนอมมาเกือบสี่ปี เพราะอีกไม่นานผมทรงเดทร็อคที่ดูรุงรังขัดลูกตาคนมองนั่นก็ต้องถูกตัดตามระเบียบ และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าชีวิตการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยของพวกเขาก็จะต้องสิ้นสุดลง
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ถูกตั้งเป็นระบบสั่นซึ่งดังครืดคราดอยู่บนโต๊ะทำให้ชายหนุ่มต้องละสายตาจากภาพตรงหน้า เขารีบลุกขึ้นคว้าโทรศัพท์ก่อนจะเลื่อนประตูกระจกออกไปรับสายที่ระเบียงเพราะกลัวว่าการสนทนากับคนที่ปลายสายจะรบกวนการนอนของเพื่อนร่วมห้อง
‘เต็ม หลับหรือยังลูก’ ทันทีที่กดรับคนที่ปลายสายก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน แม้จะเป็นเสียงที่คุ้นเคยแต่ก็ทำให้คนฟังรู้สึกใจหายทุกครั้งที่ได้ยิน เสียงอันแสนอ่อนโยนนี้ช่างเหมือนเสียงของแม่ไม่มีผิด
“ยะ ยังครับน้าเดือน เต็มยังไม่นอน”
‘ทำอะไรอยู่ อ่านไดอารีของแม่อีกแล้วละสิ’ เมื่อได้ยินเสียถอนหายใจเบา ๆ คนถูกถามจึงจำต้องหาสาเหตุของการยังไม่นอนที่ทำให้คนที่ปลายสายสบายใจ
“เปล่าหรอกครับ เต็มเก็บของน่ะ ว่าแต่น้าเดือนเถอะโทรมามีอะไรหรือเปล่าครับ”
‘ก็พ่อเต็มนั่นแหละ ให้น้าโทรมาถามว่าจะให้เอารถที่บ้านไปขนของไหม’
“ไม่ต้องหรอกครับ ของไม่เยอะ บางอย่างเต็มถือขึ้นรถไฟไปก็ได้ แต่ถ้าเป็นพวกของใหญ่ ๆ เต็มว่าจะใช้บริการโลจิสโพสต์ พ่อจะได้ไม่ต้องให้คนงานขับรถมาไกล ๆ”
‘อืม ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเต็มแล้วกันนะ’
‘น้าเดือนคุยกับพี่เต็มเหรอครับ’ เสียงของเด็กชายที่ดังลอดเข้ามาทำให้ชายหนุ่มต้องเงี่ยหูฟัง ‘จ้ะ’
‘ตามขอคุยกับพี่เต็มได้ไหมครับ’
ยังไม่ทันที่คนเป็นน้าจะได้พูดอะไร ฝั่งของพี่ชายก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน “เต็มไม่คุยนะ”
‘เต็ม’ มีแต่ความเงียบเมื่อสิ้นเสียงอันแผ่วเบานั้น ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายจนในที่สุดผู้เป็นน้าก็เป็นฝ่ายต้องแก้สถานการณ์ ‘พี่เต็มเขายุ่งน่ะตาม ตามขึ้นไปนอนก่อนนะลูก เดี๋ยวเอาไว้พี่เต็มกลับมาเมื่อไร ตามชวนพี่เต็มคุยทั้งวันให้หายคิดถึงไปเลยนะ’
‘ครับน้าเดือน’ น้ำเสียงกระตือรือร้นนั้นยิ่งตอกย้ำถึงความไม่หมดหวัง
เมื่อเสียงรองเท้าเดินในบ้านที่เสียดสีกับพื้นไม้ปาเก้เริ่มห่างออกไป คนที่ปลายสายก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ‘น้องคิดถึงนะเต็ม’
“แต่เต็มคิดถึงแม่มากกว่า”
‘เต็ม ทำไมพูดแบบนั้นล่ะลูก ยังไงตามก็เป็นน้องของเต็มนะ’
“ถ้าเกิดมาแล้วทำให้แม่ต้องตาย จะเกิดมาทำไม” แม้จะเป็นคำพูดที่หลานชายแท้ ๆ พูดให้ได้ยินบ่อย ๆ แต่ทุกครั้งก็ทำเอาหัวใจของคนเป็นน้าแทบแตกสลาย
‘เต็มรู้ไหม ทำไมแม่ของเต็มถึงได้ตั้งชื่อให้น้องว่าตามตะวัน’
คนถูกถามได้แต่นิ่งเงียบ นั่นไม่ใช่เพราะไม่อยากตอบแต่เป็นเพราะว่าเขาไม่รู้คำตอบ ไม่เคยรู้...
‘นั่นก็เพราะแม่ของเต็มอยากให้ตามเด็กดี เป็นน้องชายที่น่ารัก คอยเดินตามพี่ชายของเขาไปเรื่อย ๆ เแม่เขารู้ตัวเองว่าเขาสุขภาพไม่แข็งแรง ไม่รู้ว่าจะอยู่กับเต็ม ตามแล้วก็พ่อไปได้อีกนานแค่ไหน...’
“พอเถอะน้าเดือน เต็มไม่อยากฟังเรื่องเก่า ๆ”
คำพูดตัดบทของหลานชายทำให้คนเป็นน้าต้องกลืนคำพูดที่จะพูดต่อลงคอ การสนทนาจึงหยุดอยู่เพียงเท่านั้นก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างวางสาย
ดวงตาหม่นเศร้าจ้องมองโทรศัพท์ในมือพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ คำพูดเมื่อสักครู่ยังคงชัดเจนอยู่ในความรู้สึก มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับน้องชายที่อายุห่างกันถึงสิบเอ็ดปี หรืออาจเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้สนใจใคร่รู้จนแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองมีน้องชายอีกคน น้อง...ที่ทำให้แม่ต้องจากเขาไปเมื่อสิบปีก่อน น้อง...ที่มีวันเกิดวันเดียวกับวันตายของแม่ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมความสัมพันธ์ตลอดสิบปีที่ผ่านมาระหว่างเขากับน้องชายจึงไม่เหมือนพี่น้องครอบครัวอื่น ๆ
ติ๊ง!
สัญญาณเตือนประตูลิฟท์ดังขึ้นจากโถงกลางใกล้บันไดตามด้วยเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดชวนเสียวฟันของพื้นยางของรองเท้าผ้าใบเก่า ๆ ขาด ๆ ที่เสียดสีไปกับพื้นหินแกรนิตขัดมันตรงช่องทางเดินระหว่างห้องเรียน
“มีใครเห็นไอ้เต็มบ้างวะ” ชายหนุ่มเจ้าของทรงผมเดทร็อคยาวถึงกลางหลังชะโงกหน้าเข้ามาถามกลุ่มนักศึกษาชายหญิงที่นั่งสุมหัวทำงานกลุ่มกันอยู่ภายในห้องสโมสรนักศึกษาภาควิชาทัศนศิลป์
“เห็นขลุกอยู่ในช็อปเซตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว พี่ลองลงไปดูสิ” ในที่สุดก็มีเสียงตอบจากสวรรค์ ที่ว่าเป็นเสียงสวรรค์ก็เพราะว่าในช่วงเวลาเร่งด่วนก่อนส่งงานแบบนี้แต่ละคนมักจะขยันกันเป็นพิเศษ ถ้าไม่ทำงานกันจนไม่กินข้าวกินปลาก็แทบจะไม่มีใครคุยกับใครเลย พอถึงฤดูกาลสอบทีไร แทนที่จะรวมหัวกันติวหนังสือกลับทำตัวให้เป็นภาระสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นกันแบบนี้ทุกรุ่นแม้จะเป็นปี 1 เพิ่งเข้าใหม่ก็ตาม หนุ่มเดทร็อคพยักหน้าก่อนจะมุ่งหน้าสู่ ‘ช็อปเซ’ ตามที่รุ่นน้องบอกทันที
‘ช็อปเซ’ หรือ ‘ช็อปเซรามิค’ อาศัยพื้นหนึ่งในสามส่วนใต้ตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์เป็นห้องปฏิบัติการเซรามิคสำหรับนักศึกษา ข้าง ๆ กันเป็นช็อปสำหรับปฏิบัติการภาพพิมพ์ อีกส่วนถูกจัดให้เป็นลานพลาซามีโต๊ะไม้สำหรับนั่งทำงาน อ่านหนังสือ หรือพักผ่อนของนักศึกษาแต่ละสาขาวิชา
หนุ่มเดทร็อคเดินผ่านประตูลูกกรงอะลูมิเนียมขนาดใหญ่เข้าไปภายในห้องเปิดโล่งที่เต็มไปด้วยชั้นวางดินเหนียวที่ถูกปั้นเป็นรูปทรงต่าง ๆ เพื่อรอนำเข้าเตาเผาพร้อมกับมองหาใครคนหนึ่ง เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือที่เปิดแบบไม่สนใจสุขภาพหูของชาวบ้านทำให้คนที่เพิ่งเดินเข้ามาค้นหาตำแหน่งของเจ้าของโทรศัพท์ได้ไม่ยากนัก อีกอย่างคนที่จะทำแบบนี้ได้ในช็อปเซรามิคต้องเป็นพี่ที่ชั้นปีสูงที่สุดเท่านั้นนั่นก็คือพี่ปี 4 ปี 5 หรืออาจจะมากกว่านั้น? เพราะเป็นปีที่ใหญ่คับฟ้า แต่ถึงจะใหญ่มาจากไหนสุดท้ายคนที่ใหญ่ที่สุดก็คืออาจารย์อยู่ดี เหมือนเพลงที่มักจะได้ยินในห้องประชุมสโมสรนักศึกษาทุก ๆ ปีการศึกษา
....ปีหนึ่ง ปีหนึ่งน้องใหม่ ปีหนึ่งยิ่งใหญ่กว่าใคร ๆ ทั้งนั้น
ปีหนึ่ง ปีหนึ่งว่าใหญ่ ยังสู้ปีสองไม่ได้ เพราะปีสองใหญ่กว่า ใคร ๆ ทั้งนั้น
ปีสอง ปีสองว่าใหญ่ ยังสู้ปีสามไม่ได้ เพราะปีสามใหญ่กว่า ใคร ๆ ทั้งนั้น
ปีสาม ปีสามว่าใหญ่ ยังสู้ปีสี่ไม่ได้ เพราะปีสี่ใหญ่กว่า ใคร ๆ ทั้งนั้น
ปีสี ปีสี่ว่าใหญ่ ยังสู้อาจารย์ไม่ได้ เพราะอาจารย์ใหญ่กว่า ใคร ๆ ทั้งนั้น...ชายหนุ่มเจ้าของผมทรงเดทร็อคยืนกอดอกมองดูชายหนุ่มสวมเสื้อช็อปสีน้ำตาลกับกางเกงยีนส์สีเข้มที่กำลังนั่งกระดิกปลายรองเท้าผ้าใบตามจังหวะเพลงอย่างสบายใจ ในขณะที่ดวงตาจ้องมองปลายเป็นห่วงลวดของเครื่องมือปั้นที่ค่อย ๆ เฉือนก้อนดินเหนียวตรงหน้าออกทีละน้อย
“มาอยู่นี่เอง หาเสียรอบมหาวิทยาลัย” หนุ่มเดทร็อคนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามตะโกนแข่งกับเสียงเพลง
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะเงยหน้าขึ้นก่อนจะขยับปากพอจับใจความได้ว่า “อะไรนะ”
คิ้วหนาของคู่สนทนาขมวดเข้าหากันก่อนที่จะตัดสินใจเอื้อมมือกดปิดเพลงที่ดังน่ารำคาญนั้นเสีย
“บอกว่า มาอยู่นี่เอง ตามหาจนจะรอบมหาวิทยาลัยแล้ว”
“มากไป” เจ้าของโทรศัพท์กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะจรดปลายนิ้วแต่งขอบดินที่ถูกตัดออก
“เออ มากก็มาก จริง ๆ ก็รู้แหละว่าถ้าแกไม่อยู่ที่หอสมุดก็ต้องอยู่ที่คณะ”
“แล้วมีอะไร”
“ก็ไม่มีอะไร พอดีตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอ อีกอย่างวันนี้ก็ไม่มีเรียนด้วยเลยสงสัยว่าแกไปไหน”
“ไม่มีเรียนแต่มีงานต้องเอาเข้าเตานะโว้ย ทำชะล่าใจไป เดี๋ยวงานก็เสร็จไม่ทันนิทรรศการหรอก ไหนจะต้องถ่ายสูจิบัตรอีก”
“ขี้บ่นจังวะ บ่นยังกับผู้หญิง” หนุ่มเดทร็อคกล่าวพร้อมกับมองสำรวจคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เกือบสี่ปีสำหรับความเป็นเพื่อนที่เริ่มต้นจากการเป็นเพื่อนร่วมห้องในหอพักนักศึกษาค่อย ๆ พัฒนามาเป็นเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว จนกระทั่งถึงปัจจุบันถ้าจะใช้คำว่า ‘เพื่อนยาก’ ก็คงไม่เกินไปนักสำหรับความสัมพันธ์ของพวกเขา
‘เต็มฟ้า ตติยพัฒน์’ คือชื่อของเด็กหนุ่มจากลำปางที่เจอกันครั้งแรกเมื่อวันรับน้องของภาควิชาทัศนศิลป์ ในความคิดของหนุ่มจากแดนใต้อย่าง ‘กีรติ กิ่งแก้ว’ หรือ ‘เก้’ ของพ่อและแม่ ‘น้องเก้’ ของพี่ ๆ ‘พี่เก้’ ของน้อง ๆ และ ‘ไอ้ห่านเก้’ ของเพื่อน ๆ มันช่างเป็นชื่อที่แปลกประหลาดเหมาะกับคนนิสัยแปลก ๆ อย่างไอ้หน้าจืดนี่เสียจริง ๆ
“ตกลงที่ตามหาน่ะมีอะไร”
“เอ๊า! ไอ้นี่ ก็บอกแล้วไงว่าไม่มี”
“มีอะไรก็ว่ามา แค่แกอ้าปากก็มองเห็นไปถึงไส้ติ่งแล้ว”
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” กีรติกล่าวพร้อมกับใช้มือถูท้องตัวเองอย่างใช้ความคิด
“เออสิ”
“อะ ๆ มีก็ได้ ก็ว่าจะชวนไปสมัครงานบริษัทที่อาจารย์แนะนำเมื่อวันก่อน ที่ว่าเป็นบริษัทของรุ่นพี่น่ะ”
เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงของใครคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“อย่างนายเต็มฟ้า ตติยพัฒน์น่ะ ไม่ต้องดิ้นรนหางานหรอก” ชายหนุ่มเจ้าของเคราแพะม้วนเป็นกระจุกอยู่ที่ปลายคางกล่าวพร้อมกับโอบไหล่เจ้าของชื่อเอาไว้ “เป็นถึงลูกพ่อเลี้ยงเมืองลำปางยังไงก็สบายไปทั้งชาติอยู่แล้ว จริงไหววะไอ้เต็ม”
“ไปไกล ๆ ไปไอ้ดุ่ย” คนถูกโอบกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะดึงแขนหนัก ๆ บนบ่าของตัวเองออก
“เรียกพี่ดุ่ยสิครับน้องเต็ม”
“เข้าก่อนสิแล้วจะเรียก ไม่เคยได้ยินเหรอวะที่เขาว่าเข้าก่อนเป็นพี่ เข้าทีหลังเป็นน้อง เข้าพร้อมเป็นเพื่อนน่ะ แก่กว่าตั้งหลายปีแต่ดันเข้าเรียนพร้อมกันที่ยอมลดตัวเพื่อนด้วยก็บุญหัวแล้ว” กีรติหัวเราะ
“โห ไอ้พวกนี้ ชอบรังแกพี่ดุ่ยอยู่เรื่อย” หนุ่มเคราแพะบ่นก่อนจะล้วงมือลงไปควานหาอะไรบางอย่างในย่ามที่สะพายมา
“เฮ่ย ๆ อย่าบอกนะว่าควานหาข้าวสารเสก”
“ไอ้บ้าเต็ม ไม่ใช่โว้ย ข้ากำลังหานี่โว้ย...” พูดพลางหยิบกระดาษยับยู่ยี่แผ่นหนึ่งออกมาจากย่าม “นี่บริษัทเพื่อนข้า ก็รุ่นพี่พวกเอ็งนั่นแหละ เขารับสมัครคนทำกราฟฟิก ข้าเอามาฝากเผื่อพวกเอ็งจะสนใจ”
กีรติรับกระดาษแผ่นนั้นมาดูอย่างสนใจ
“ไม่ต้องขอบใจพี่ดุ่ยนะครับ”
“เออ ไม่ขอบใจอยู่แล้ว จะไปไหนก็ไปเถอะ” เต็มฟ้ากล่าวพร้อมกับยกมือไล่
“หูย ไอ้เต็ม ไอ้เนรคุณ ไอ้อกตัญญู ไอ้ ๆๆ ๆ โอ๊ย! ไม่รู้จะหาอะไรมาด่าให้เอ็งเจ็บ”
“เอ้า ๆ ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ นึก เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งไปหรอก อายุยิ่งเยอะอยู่” เต็มฟ้าหัวเราะก่อนจะใช้เท้าเขี่ยเก้าอี้ให้ “อ่ะ นั่งก่อน”
“เออ ขอบใจ” หนุ่มเคราแพะกล่าวห้วน ๆ ก่อนจะนั่งลง
“เอามาให้คนอื่น ทำตัวเองไม่ไปสมัครวะ”
“ไม่เอาหรอก มันคนกันเองไปว่ะ”
“อย่างนี้ก็มีด้วย ได้ทำงานกับคนกันเองแทนที่จะชอบ”
“มันเป็นสไตล์ว่ะเต็ม เอ็งไม่เข้าใจหรอก”
“สไตล์อะไรวะ”
“ก็สไตล์ดุ่ยไง” หนุ่มเคราแพะยักไหล่ “สบาย ๆ สไตล์ดุ่ย ว่าแต่พวกเอ็งเถอะ สนใจหรือเปล่า ถ้าสนใจก็รีบ ๆ ไปสมัครนะโว้ย บริษัทเขามีชื่อเสียง ใคร ๆ ก็อยากเข้า”
“แล้วข้าสองคนจะสู้เขาได้เหรอวะ” คนที่เพิ่งอ่านรายละเอียดในแผ่นกระดาษจบเอ่ยขึ้น “ข้อแม้ก็เยอะ ต้องมีประสบการณ์ ต้องใช้ระบบปฏิบัติการแม็คอินทอช ต้องอดทนต่อแรงกดดันได้”
“เอาน่า อย่าเพิ่งถอดใจสิวะ เอ็งเคยได้ยินสุภาษิตกะเหรี่ยงคอยาวไหม ที่เขาว่ากะเหรี่ยงคอยาวหว่านเมล็ดผักเพื่อให้ได้ต้นผักไว้กินฉันใด คนเราก็หว่านใบสมัครไปเพื่อให้ได้งานทำฉันนั้น”
“สุภาษิตบ้าบออะไรวะ” เต็มฟ้าพึมพำทั้งที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับผลงานดินปั้นตรงหน้า
“เฮ่ย ก็จริงของไอ้ดุ่ยมันนะเว้ย แล้วนี่มันก็ที่เดียวกับที่ฉันจะชวนแกไปเลยว่ะเต็ม แต่ที่เปลี่ยนใจไม่ชวนเพราะนึกได้ว่าแกเคยบอกจะกลับไปช่วยงานที่บ้าน”
“ลองดูก็ได้” เต็มฟ้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“อ้าว แล้วเรื่องช่วยงานที่บ้านล่ะ” กีรติท้วง
“เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ”