ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน
วิดวิ้ว!!เสียงลมผ่านริมฝีปากดังขึ้นทุกครั้งเมื่อบรรดาสาว ๆ ในชุดนักศึกษาเดินผ่านบันไดข้างหอสมุดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของคณะศิลปกรรมศาสตร์คณะที่ได้ชื่อว่ารวมความเป็นที่สุดในหลาย ๆ เรื่องของมหาวิทยาลัยเอาไว้ หนุ่ม ๆ คณะศิลปกรรมศาสตร์พากันยึดเอาจุดยุทธศาสตร์นี้เป็นที่ตั้ง รอแซวสาว ๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมา จนหลายคนพากันเรียกพื้นที่ตรงนี้ว่า ‘สามแยกปากหมา’
“พ่อเป็นนกเหรอวะไอ้ดุ่ย” ชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาสะอาดสะอ้านกล่าวขณะกำลังหย่อนตัวลงนั่ง จากนั้นก็เปิดหนังสือเล่มหนาที่เพิ่งยืมมาจากหอสมุดออก พลิกดูภาพไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้สนใจเสียงผิวปากที่หยุดตั้งแต่เริ่มต้นคำถาม
หนุ่มเคราแพะรีบหุบยิ้มให้สาวน้อยที่กำลังเดินผ่านมาทันทีก่อนจะหรี่ตามองคนข้าง ๆ “อ้าวไอ้เต็ม มาถึงก็พูดจากวนเบื้องล่างพี่ดุ่ยเลยนะครับ”
“ก็เห็นวิดวิ้ว ๆ อยู่นั่นแหละ เลยคิดว่ามีพ่อเป็นนก วันหลังจะได้ฝากหนอนไม้ไผ่ไปให้กิน”
“โห ไอ้เต็ม เล่นถึงบุพการีเลยนะเอ็ง” พูดจบพี่ดุ่ยของน้อง ๆ ก็หันกลับไปแซวสาวต่อ สี่ปีที่เรียนด้วยกันมาทำให้เต็มฟ้ารู้ดีว่าใครที่สามารถจะพูดจาเล่นหัวกันแรง ๆ ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนโกรธ ซึ่งนอกจากกีรติแล้ว ‘ดุ่ย ก็คือหนึ่งในนั้นด้วย
เมื่อสี่ปีก่อน...
“ผมชื่อเอกชัย ไชยคีรี หรือ มรว.ดุ่ยครับ” เมื่อจบประโยค หลาย ๆ คนอดไม่ได้ที่ตั้งคำถามขึ้นเงียบ ๆ ภายในใจ ‘หม่อมราชวงศ์เหรอวะ’
“อะไรของเอ็งวะ มรว. น่ะ หม่อมราชวงศ์เหรอ” คนถามถามแบบกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็ไม่วายมองตั้งแต่หัวจดเท้าชายหนุ่มร่างกระทัดรัด สวมเสื้อเชิ้ตนักศึกษาติดกระดุมยันคอเสื้อดูเรียบร้อยเกินชาวบ้าน แทนที่จะสะพายกระเป๋าแบบที่วัยรุ่นเขาสะพายกันก็กลับสะพายย่ามให้กระแทกลูกตาคนมองเสียอย่างนั้น
“แม่เรียกว่าดุ่ยครับ” เสียงนั้นตอบอย่างหนักแน่นแต่ก็เรียกเสียงฮาจากบรรดาเพื่อน ๆ พี่ ๆ ร่วมสาขาวิชาได้ไม่น้อย และนั่นก็คือครั้งที่แรกที่ใคร ๆ ได้รู้จักกับชายหนุ่มสะพายย่ามคนนี้
แม้ว่านายเอกชัย ไชยคีรีจะพยายามบอกใคร ๆ ว่าตัวเองคือ ‘มรว.ดุ่ย’ แต่อย่างไรเสียเขาก็คือ ‘ไอ้ดุ่ย’ ของเพื่อน ๆ อยู่ดี ถึงอายุจะเยอะกว่าเพื่อนในรุ่นหรือรุ่นพี่บางคนอยู่มากเพราะเปลี่ยนที่เรียนมาหลายที่ ถึงใบหน้าจะนำอายุไปอีกไกลก็ตาม แต่ดุ่ยก็ยังคงทำตัวเด็กเสมอ จนกลายเป็นคนที่รักของเพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมสาขาวิชา และเป็นที่รู้จักของทุกคนในคณะตั้งแต่คณบดียันยามเฝ้าตึก เวลาย่างกรายไปที่ไหนก็มักจะมีแต่คนทักและมักจะรู้จักคนอื่นเขาไปทั่วจนบางครั้งเพื่อน ๆ ก็รำคาญในความป๊อปปูลาร์นี้
“เฮ้ย ๆ ไอ้เต็ม ๆ” มือของคนข้าง ๆ ที่ปัดป่ายให้มั่วไปหมดทำให้เต็มฟ้าต้องเงยหน้าจากหนังสือในมือ
“อะไรวะ” ปากบางขยับพร้อมกับปัดมือของเพื่อนให้พ้นหน้าตัวเอง
“น้องคนนั้นน่ะ เอ็งรู้จักหรือเปล่าวะ”
เต็มฟ้ามองตามหญิงสาวในชุดนักศึกษาที่เพิ่งเปิดประตูลงมาจากรถแท็กซี่สีเขียวเหลือง
“อ๋อ น้องแป้งที่อยู่เอกนาฏศิลป์ไง”
“งั้นลุก” ไม่พูดเปล่าดุ่ยลุกขึ้นเต็มความสูงของตัวเองที่ไม่ค่อยจะสูงนักเมื่อเทียบกับเพื่อนผู้ชายคนอื่น ๆ ก่อนจะหันกลับมารั้งแขนเต็มฟ้าให้ลุกขึ้นตาม
“อะไรวะ”
“แนะนำให้ข้ารู้จักหน่อย”
“เดี๋ยวก็ได้”
“ไม่ได้ ต้องเดี๋ยวนี้ ไปเร็ว ข้าอยากรู้จักน้องเขา”
คนตัวสูงกว่าส่ายหน้าพร้อมกับกระชับหนังสือสองเล่มใหญ่ในมือก่อนจะเดินตามแรงรั้งของเพื่อนข้ามฝั่งกลับไปยังคณะของตัวเอง
นักศึกษากลุ่มสุดท้ายกำลังพยายามเบียดกันเข้าไปยืนในลิฟท์เป็นภาพชินตาในเวลาเร่งด่วนแบบนี้ เสียงเตือนน้ำหนักเกินทำให้สาวร่างบางที่ก้าวเข้าไปเป็นคนสุดท้ายต้องชักเท้ากลับ เธอโบกมือให้เพื่อนก่อนที่ประตูลิฟท์จะปิดลง ตาคู่สวยภายใต้คอนแท็คเลนส์สีน้ำตาลเข้มจ้องมองนาฬิกาข้อมือด้วยท่าทางที่ดูไม่รีบร้อนนักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตัวเลขดิจิตัลที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามชั้น
“อ้าวพี่เต็ม พักนี้ไม่ค่อยเหนหน้าเห็นตา” หญิงสาวที่เพิ่งละสายตาจากตัวเลขดิจิตัลเหนือประตูลิฟท์ทักทาย “มีเรียนเหรอคะ”
“เปล่าหรอก พี่จะแวะไปเอาของที่ล็อกเกอร์น่ะ” ชายหนุ่มกล่าวเพียงแค่นั้นจนกระทั่งเสียงกระแอมของคนข้าง ๆ ดังขึ้น
“ตี..น ติด..” เต็มฟ้าเหลือบมองคนข้าง ๆ นึกขึ้นมาได้ว่าที่ต้องพากันมายืนอยู่หน้าลิฟท์นี้เพราะมีจุดประสงค์ เขาจึงจำต้องกลืนคำพูดนั้นลงคอแล้วเปลี่ยนมาเป็นการแนะนำให้หนุ่มทัศนศิลป์และสาวนาฏศิลป์ได้รู้จักกันแทน
“เอ้อ..น้องแป้ง นี่เพื่อนพี่ ชื่อพี่ดุ่ย” เสียงนั้นดูเป็นมิตรทีเดียวเมื่อเทียบกับตอนที่เขาหันไปพูดกับคนที่มาด้วยกัน “ไอ้ดุ่ยนี่น้องแป้ง นาฏศิลป์”
“สวัสดีค่ะพี่ดุ่ย” หญิงสาวยกมือไหว้
“สะ สวัสดีครับ”
“แม่มันขายดอกไม้อยู่ปากคลองตลาดน่ะ แนะนำให้รู้จักไว้เผื่อน้องแป้งมีงานแล้วต้องใช้ดอกไม้เยอะ ๆ ก็สั่งกับไอ้ดุ่ยมันได้เลยนะ เดี๋ยวมันเอามาส่งให้”
“จริงเหรอคะ ดีจังเลยค่ะ งั้นแป้งขอเบอร์พี่ดุ่ยหน่อยได้ไหมคะ”
เต็มฟ้าเหลือบมองแพะแคระที่ยืนตะลึงอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์รุ่นเก่าเก็บในย่ามของเพื่อนแล้วส่งให้เธอแทน
แม่สาวนาฏศิลป์คว้าโทรศัพท์มากดเบอร์ของตัวเองแล้วกดโทรออกจนแน่ใจว่ามีเสียงเตือนสายเข้าจากกระเป๋าสะพายของตัวเองแล้วจึงส่งโทรศัพท์คืนให้ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ประตูลิฟท์เปิดออกทั้งหมดจึงพากันก้าวเข้าไปในลิฟท์
“ชั้นไหนคะ” คนที่ยืนอยู่ใกล้ปุ่มกดเลือกชั้นที่สุดเอ่ยขึ้น
“ชั้นรักเธอครับ” หนุ่มเคราแพะตอบ ในขณะที่หญิงสาวทำหน้าเบ้เหมือนอยากเอาข้าวเช้าออกจากกระเพาะเสียเดี๋ยวนี้
“ถุย! เสี่ยวตลอด” เต็มฟ้าเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ “ชั้นเจ็ดครับ”
ในขณะที่ประตูลิฟท์กำลังจะปิดพลันเสียงของใครคนหนึ่งที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาก็ดังขึ้น
“รอด้วยคร้าบบบบบ”
รองเท้าผ้าใบเก่า ๆ ขาด ๆ รอดผ่านช่องว่างแคบ ๆ ตัดเซ็นเซอร์ทำให้ประตูลิฟท์เปิดออกอีกครั้ง สามคนที่ยืนอยู่ก่อนต่างเบี่ยงตัวหลบรัศมีบาทากันให้วุ่น โดยเฉพาะสาวน้อยที่ยืนชิดมุมด้านหนึ่งหน้าของเธอบอกให้รู้ว่ากำลังตกใจสุดขีด
“โธ่ ไอ้เวร นึกว่าใคร” รุ่นพี่เคราแพะกล่าวก่อนจะพาร่างของตัวเองออกจากผนังที่เกาะเป็นตุ๊กแกอยู่เมื่อครู่
“แหะ ๆ ขอโทษครับ” เจ้าของรองเท้าผ้าใบขาดกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้รุ่นพี่ในสาขาก่อนจะเดินเข้าไปยืนด้านในอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว
“วันหลังมาแค่เสียงก็ได้นะ ไม่ต้องเอาเท้านำมา รีบอะไรขนาดนั้นวะ” เต็มฟ้ากล่าว
“โหพี่ ไม่รีบได้ไง นี่จะแปดโมงสี่สิบแล้ว อีกห้านาทีอาจารย์จะล็อคห้องแล้วเนี่ย” ชายหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาใหม่กล่าวพร้อมกับกระชับสายสะพายกระเป๋ากล้องที่บ่า
“ว่าจะคุยกับเอ็งเรื่องถ่ายรูปทำสูจิบัตรก็คงไม่ได้คุยแล้วสิ”
“วันหลังแล้วกันพี่ดุ่ย วันนี้ผมรีบจริง ๆ”
“เรียนอะไรวะถึงได้รีบขนาดนั้น” เต็มฟ้าถามอย่างไม่ได้ใส่ใจคำตอบนัก
“เรียนโฟโต้พี่ วันนี้เข้าห้องมืดด้วย”
“กับอาจารย์อาทิตย์ทัศน์น่ะเหรอ”
“ช่ายยยยยยยยพี่เต็ม” หนุ่มสกินเฮดกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือกดลิฟท์
สาวน้อยที่ยืนเงียบ ๆ ขยับยิ้มเมื่อนึกถึงอาจารย์หนุ่มหล่อผู้ได้รับการโหวตแบบลับ ๆ จากสาวแท้หนุ่มเทียมให้เป็นขวัญใจชาวคณะศิลปกรรมศาสตร์คนนั้นก่อนจะแสดงความเห็น “ท่าทางใจดีออก”
“อาจารย์อาทิตย์ทัศน์ไม่ได้ใจดีเหมือนหน้าตานะเธอ”
ประตูลิฟท์เปิดอีกครั้งที่ชั้นเจ็ด ทั้งเต็มฟ้าและดุ่ยจึงต้องแยกกับรุ่นน้องของพวกเขาโดยปล่อยให้การสนทนาหยุดอยู่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มร่างสูงเหลือบมองเพื่อนเคราแพะที่กำลังยืนโบกมือให้สาวน้อยหน้าสวยที่ยืนอยู่ในลิฟท์ด้วยความรู้สึกขบขัน
“เกิดมายังไม่เคยมีสาวขอเบอร์เลยว่ะไอ้เต็ม” คนที่เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์เอ่ยขึ้น
“เป็นเอามากว่ะ” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะเดินเข้าไปในห้องสโมสรนักศึกษา ซึ่งนอกจากภายในห้องจะมีโต๊ะสำหรับให้นักศึกษานั่งทำงานแล้วยังมีล็อกเกอร์สำหรับเก็บของส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ เรียงเป็นแถวตามชั้นปีอีกด้วย ชายหนุ่มเดินตรงไปยังล็อกเกอร์ที่อยู่ติดหน้าต่างก่อนจะหยิบกุญแจเล็ก ๆ จากกระเป๋าเสื้อมาไขเปิดตู้ กลิ่นหอมจากพวงมาลัยดอกมะลิที่ซื้อจากคุณยายที่มักจะมานั่งร้อยมาลัยขายที่ตรอกเล็ก ๆ ใกล้กับประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยยังคงส่งกลิ่นจาง ๆ แม้ว่าเขาจากฝากป้าแม่บ้านเอาไปบูชาพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ในห้องพักอาจารย์แล้วก็ตาม ในวันครบรอบวันตายของแม่เช่นนี้คนเป็นลูกก็คงทำได้ดีที่สุดแค่เพียงการทำบุญขอพรพระให้แม่มีความสุขในที่ที่แม่อยู่เท่านั้น ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมดึงเอาเป้สะพายหลังออกมา ซิปที่ถูกรูดเปิดคาเอาไว้เมื่อตอนหยิบถุงใส่พวงมาลัยออกจากเป้ทำให้สมุดสเก็ตซ์ที่อยู่ข้างในตกลงบนพื้น
“มือไม้อ่อนเชียวนะเอ็ง” หนุ่มเคราแพะที่เดินตามเข้ามาเอ่ยขึ้นพร้อมกับนั่งลงที่โต๊ะในขณะที่คนถูกเหน็บค่อย ๆ ก้มลงเก็บสมุดสเก็ตซ์และซองจดหมายที่ยังไม่ได้ถูกเปิดออกอ่าน มือเรียวเอื้อมหยิบซองจดหมายก่อนจะนั่งลงเอนหลังพิงล็อกเกอร์ ดวงตาทอดมองลายมือแชมป์คัดไทยของระดับชั้นที่เขียนไว้ที่หน้าซอง
‘พี่เต็ม’ มันเป็นจดหมายจากน้องชายคนเดียวที่ถูกฝากมากับ ‘ชลธร’ ลูกสาวของน้าแท้ ๆ ของเขาซึ่งช่วยผู้เป็นแม่ดูแลกิจการเกสต์เฮาส์และร้านอาหารเล็ก ๆ ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวในจังหวัดลำปาง
จดหมายเจ้าปัญหานี้ถูกส่งถึงมือของเขาตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากนั้นเกือบทุกวันเขาก็มักจะได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากน้าเดือนถามว่าเมื่อไรจะตอบกลับจดหมายฉบับนั้นเสียที
นิ้วเรียวค่อย ๆ ฉีกซองออกก่อนจะดึงกระดาษมีเส้นที่ถูกพับสอดเอาไว้ออกมาคลี่อ่าน ข้อความในจดหมายถูกเขียนด้วยดินสอ ตัวครึ่งบรรทัดหัวกลมหลังคาโค้งอ่านง่าย ดวงตาที่ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ ค่อย ๆ ไล่มองไปทีละตัวอักษรที่ประกอบกันจนเป็นคำ...
สวัสดีครับพี่เต็ม
จดหมายฉบับนี้น้าเดือนช่วยตามเขียนละ พี่เต็มเป็นยังไงบ้าง น้าเดือนบอกว่าพี่เต็มยุ่ง ๆ ไม่มีเวลารับโทรศัพท์ ตามก็เลยเขียนจดหมายฝากพี่ชลมา น้าเดือนบอกว่าอีกไม่กี่เดือนพี่เต็มก็จะเรียนจบ กลับไปอยู่บ้านเรา ทั้งพี่ชล น้าเดือน แล้วก็พ่อพากันทำความสะอาดห้องพี่เต็มทั้งที่ร้านแล้วก็ที่ไร่ไว้รอ ตามอยากให้พี่เต็มกลับมาเร็ว ๆ จัง ตามคิดถึง ^^
จาก ตาม
เต็มฟ้าผ่อนลมหายใจเบา ๆ พร้อมกับใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามตัวอักษรในบรรทัดสุดท้ายซึ่งเป็นชื่อน้องชายของเขา ที่ท้ายข้อความมีรูปดวงอาทิตย์ยิ้มแฉ่งดวงเล็ก ๆ มีรัศมีห้าเส้น นอกจากรูปครอบครัวที่มีกันทั้งหมดสี่คนพ่อแม่และลูก ๆ นั่นก็เป็นรูปภาพรูปแรก ๆ ที่เขามักจะเห็นในกระดาษวาดเขียนเมื่อน้องของเขาเริ่มขีด ๆ เขียน ๆ ได้คล่องขึ้น
“จดหมายใครวะเต็ม หลานเทคเหรอ” หนุ่มเคราแพะเจ้าของล็อกเกอร์ข้าง ๆ กันเอ่ยขึ้นขณะเดินมาเปิดหยิบนิตยสารพระเครื่องที่วางอยู่ข้างในก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ โดยมีเต็มฟ้าลุกตามไปนั่งด้วยกัน
“จดหมายน้องว่ะ” คนถูกถามกล่าวก่อนจะพับจดหมายใส่ซองตามเดิม จากนั้นจึงจัดการสอดมันไว้ในสมุดสเก็ตซ์
“น้อง นี่เอ็งมีน้องด้วยเหรอวะ ข้าไม่ยักรู้”
“มีสิวะ ไม่เหมือนไอ้พวกลูกคนเดียว ไม่มีใครอยากเกิดตาม”
“พูดจากวนเบื้องล่างพี่ดุ่ยตลอดเลยนะครับน้องเต็ม” หนุ่มเคราแพะกล่าวพร้อมกับเปิดนิตยสารในมือออกอ่าน เต็มฟ้าไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงแต่กลับเงี่ยหูฟังเสียงพื้นยางของรองเท้าผ้าใบซึ่งเสียดสีกับหินแกรนิตที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่ช้าร่างของชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของทรงผมเดทร็อคก็ปรากฏขึ้น
“มาอยู่นี่กันนี่เอง เมื่อกี้ไปดูที่ช็อปมาไม่เจอใคร ทำอะไรกันอยู่วะ” กีรติกล่าวขณะเดินมานั่งลงข้าง ๆ เต็มฟ้า
“กำลังคุยเรื่องน้องไอ้เต็ม” คนที่ก้มหน้าก้มตาดูภาพพระผงเนื้อดีในหน้าหนังสือเอ่ยขึ้น “เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานไม่ยักรู้ว่ามีน้องด้วย”
กีรติเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ถึงความเป็นไปภายในครอบครัวของคนที่ยังคงนั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ “เอ้อ ฉันเอาใบสมัครบริษัททำกราฟิกของพวกแกไปส่งกับอาจารย์แล้วนะ อาจารย์บอกว่าจะเอาไปให้รุ่นพี่ที่ทำอยู่ในนั้นอีกที ทีนี้ก็แค่รอแลเขาเรียกมาแล้วว่ะ”
“เอ่อ...นี่น้องเก้อย่าบอกนะครับ ว่าน้องเก้เขียนใบสมัครให้พี่ดุ่ยแล้วก็ส่งไปด้วย”
“ก็ใช่ไง” กีรติตอบหน้าตาเฉย
“อะ ไอ้เวรเก้ ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่สมัคร พวกเอ็งจะสมัครก็สมัครไปสิ” ดุ่ยโวยวายอย่างไม่เกรงใจพระสงฆ์องค์เจ้าองตรงหน้า
“อะไรวะ เป็นเพื่อนกันก็ต้องไปด้วยกันสิ” อีกคนก็กล่าวอย่างไม่ใส่ใจคำทักท้วงใด ๆ หนุ่มเคราแพะเองได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“แกจะหงุดหงิดทำไม ส่งไปก็ใช่ว่าจะได้แน่ ๆ เสียเมื่อไร”
คนหน้ามุ่ยช้อนตามองเพื่อนพร้อมกับกอดอกพูด “ก็คนมันโพรไฟล์ดี มีการศึกษา หน้าตาเพอร์เฟค ใคร ๆ ก็อยากรับเข้าทำงาน”
“นั่นแกพูดถึงไอ้เต็มใช่ไหม”
“ถุย! ข้าพูดถึงตัวข้าเองโว้ย”
“นึกว่าตัวเองเป็นพระเอกในนิยายหรือไง” กีรติยังคงต่อล้อต่อเถียง
“ว่าแต่ข้า แล้วเอ็งล่ะ ไปชวนไอ้เต็มมันทำงานในกรุงเทพฯ ทั้งที่มันตั้งใจจะกลับไปช่วยพ่อมันดูแลโรงงานเซรามิคที่บ้าน ระวังเถอะพ่อมันจะเอาปืนมายิงเอ็ง โทษฐานที่ทำให้ลูกชายไม่ยอมกลับบ้าน”
กีรติชะงักนิดหนึ่งก่อนจะหันไปหาคนที่ถูกพาดพิงเมื่อสักครู่ ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ในมือเหมือนไม่ได้สนใจฟัง ไม่แน่ใจว่าเขาจะได้ยินสิ่งที่เพื่อนพูดเมื่อสักครู่หรือไม่
“แล้วนี่เอ็งบอกพ่อหรือยังวะเต็ม” คนจุดประเด็นตั้งคำถาม
เต็มฟ้ายังคงจ้องมองปลายนิ้วที่ลากไปมาบนหน้าจอสัมผัส เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตาคนถามเพียงแต่ตอบปฏิเสธอย่างแผ่วเบา
“แล้วแกจะไปอยากรู้เรื่องของมันทำไมวะ” กีรติแทรกขึ้น
“ผมก็อยากมีส่วนร่วมบ้างสิครับ”
“แต่แบบนี้แถวบ้านฉันเขาเรียกว่า..สะ..”
“หยุด! ไอ้เก้ อย่าใช้คำแบบนั้นกับพี่ดุ่ย พี่ดุ่ยขอร้อง”
เต็มฟ้ามองดูสองคนที่กำลังเถียงกันก่อนจะตัดสินใจห้ามทัพอย่างอดรนทนไม่ไหวด้วยการหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเพลงเสียงดัง “จะเถียงกันทำไมวะ น่ารำคาญ ฟังเพลงดีกว่า”
“ไอ้เต็ม!!!!” สองหนุ่มที่กำลังเถียงกันอยู่เมื่อสักครู่ต่างร้องเสียงหลงก่อนจะพร้อมใจทิ้งฝ่ามือลงบนศีรษะทุย ๆ ของคนที่เอาแต่โยกตามจังหวะเพลงโดยไม่ได้สนใจชาวบ้าน
“เจ็บนะโว้ย!” เต็มฟ้าโวยวายพร้อมกับยกมือขึ้นจับศีรษะของตัวเอง
“ใครใช้ให้กวนตีน” กีรติกล่าวก่อนจะคว้าโทรศัพท์มือถือจากมือของเพื่อนมากดปิด
“ทีอย่างนี้ละสามัคคีกันขึ้นมาเลยนะ”
“ไอ้นี่...ชอบให้ใช้กำลังอยู่เรื่อย” พูดจบหนุ่มเดทร็อคก็ส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้เพื่อน “เอาคืนไป”
“สมองเสื่อมหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“เวอร์แล้วไอ้เต็ม โดนตบกบาลแค่นี้ทำสำออย เดี๋ยวปั๊ดซ้ำด้วยหนังสือพระ” ดุ่ยกล่าวพร้อมกับม้วนนิตยสารพระเครื่องในมือทำท่าเตรียมพร้อม ในขณะที่เต็มฟ้าเองก็เตรียมตั้งการ์ดสู้ไม่ถอย
“พอเลย แกนี่นอกจากตัวเองจะก่อกรรมทำเข็ญแล้ว หลวงพ่อท่านไม่รู้อิโหน่อิเหน่ยังจะดึงท่านมาทำบาปด้วยอีก อะ..ไอ้คนเลว ไอ้ดุ่ย ไอ้คนบาป”
“เต็ม” สัมผัสอุ่น ๆ ที่ไหล่ทำให้ต้องชะงัก เต็มฟ้าลดมือลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สายตาของกีรติที่มองมาเตือนว่าเขากำลังปกป้องตัวเองจากความรู้สึกเศร้าหมองที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจด้วยการทำตัวเองให้ดูร่าเริงอีกแล้ว
“ไอ้ดุ่ยด้วย” หนุ่มเดทร็อคละสายตาจากคนตรงหน้าก่อนจะหันไปหาเพื่อนเคราแพะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “เดี๋ยวหลังจากจบนิทรรศการพวกเราไปเที่ยวกันดีกว่า”
“นึกยังไงชวนไปเที่ยววะ”
“ก็เที่ยวอำลาความเป็นเด็กไง เที่ยวอำลาชีวิตมหาวิทยาลัยอะไรทำนองนี้”
“ไปไหนวะ” เต็มฟ้าถาม
“สุราษฎร์ดีไหม”
“บ้านเอ็งเลยนี่หว่า”
“ใช่” กีรติกล่าวพร้อมกับเชิดหน้าขึ้น อ้าแขนเหมือนจะเตรียมรับลำแสงอุ่น ๆ ของดวงอาทิตย์ยามเช้า “จะพาพวกแกไปอยู่ในอ้อมกอดขุนเขาและสายน้ำของเขื่อนเชี่ยวหลาน พายเรือกินลมชมวิว” ท่าทางและน้ำเสียงของเขาเกือบทำเพื่อน ๆ เคลิ้มตาม ถ้าใครคนหนึ่งไม่สอดขึ้น
“มีคลื่นหรือเปล่าวะ”
“อ้าวไอ้ดุ่ย ก็บอกอยู่ว่าไปเขื่อนไม่ได้ไปทะเล มันจะมีคลื่นได้ยังไงวะ”
“ข้าหมายถึงคลื่นโทรศัพท์โว้ย เผื่อน้องแป้งนาฏศิลป์โทรหาข้า เราสองคนจะได้ไม่ขาดการติดต่อ” ดุ่ยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะหยิบโทรศัพท์รุ่นเก่าของตัวเองออกมากดดูเบอร์ที่เพิ่งได้มา
“โทรศัพท์เก่าเก็บแบบนี้ แกเก็บไว้ทับกระดาษเถอะ” เต็มฟ้านั่งฟังมานานเอ่ยขึ้น
“อ้าว ๆ ถึงจะเก่าเก็บ ถึงจะใช้ปลายนิ้วสัมผัสไม่ได้ แต่รับสายเมื่อไรใจก็สัมผัสได้ว่าคิดถึงนะครับ”
สามัคคี...ถุย!!!!!!
ในที่สุดก็วงแตก...
(มีต่อค่ะ)