ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่
มอเตอร์ไซค์เก่าคร่ำคร่าเลี้ยวจากถนนใหญ่เข้ามาในซอยที่เชื่อมกับถนนอีกสายซึ่งขนานกับลำน้ำวัง ป้าย ‘ถนนตลาดเก่า’ ทำให้มั่นใจว่ามาไม่ผิด แต่ทันทีที่มอเตอร์ไซค์ขี่พ้นซอยก็กลายเป็นว่ามีสองทางให้เลือก
ไม่ซ้ายก็ขวาแต่สุดท้ายคุณบุรุษไปรณีย์ฝึกหัดก็เลือกที่ขี่ย้อนกลับออกไปเพื่อเริ่มต้นสำรวจมาตั้งแต่หัวถนน ซึ่งเป็นที่ตั้งของย่านชุมชนเก่าแก่ที่ชาวบ้านพากันเรียกติดปากว่ากาดกองต้าหรือตลาดจีน ถนนทั้งสายแวดล้อมไปด้วยอาคารสวย ๆ แปลกตา รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นการผสมผสานระหว่างยุโรป จีน และพม่า มีทั้งที่เปิดเป็นเกสต์เฮาส์ หอศิลป์ ร้านอาหาร รวมไปถึงร้านขายของที่ระลึก และที่เป็นที่อยู่อาศัยจริง ๆ ชายหนุ่มตัดสินใจหยุดรถเมื่อมาสายตาสะดุดเข้ากับสะพานโค้งครึ่งวงกลมสีขาว ซึ่งเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กทอดข้ามแม่น้ำวัง ที่บริเวณสะพานมีเครื่องหมายไก่ขาวและครุฑประดับอยู่
“เริ่มจากตรงนี้ก็แล้วกัน” มือหนายกขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมอยู่ตามไรผมก่อนจะหยิบโปสการ์ดในกระเป๋าเสื้ออกมาพลิกดูที่อยู่ “อย่างน้อยก็แค่ถนนสายนี้”
มอเตอร์ไซค์เก่าค่อย ๆ เคลื่อนไปตามถนนที่ดูเงียบเหงาเพราะร้านรวงต่าง ๆ ยังไม่เปิดให้บริการ เสียงดังแต้ก ๆ ของมันฟังแล้วน่ารำคาญจนคุณลุงเจ้าของร้านขายยาจีนต้องแง้มประตูออกมาดู ทันทีที่ประตูบานพับซึ่งทำจากเหล็กถูกเปิดออก กลิ่นหอมของสมุนไพรหลายชนิดก็ฟุ้งกระจายสัมผัสเข้ากับปลายจมูกโด่ง บุรุษไปรษณีย์หนุ่มจึงถือโอกาสนี้จอดรถเพื่อถามหาเบาะแสของชื่อคนในโปสการ์ด
“สวัสดีครับลุง” ศิธาพัฒน์ทักทายอย่างมีไมตรี ดังนั้นชายวัยกลางคนจึงพับประตูไปรวมกันไว้ที่ด้านหนึ่งก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตูออกมา
“ว่ายังไงหนุ่ม”
“คือ..ผมมีเรื่องจะรบกวนถามคุณลุงหน่อยน่ะครับ” ริมฝีปากอิ่มฝืนยิ้มแบบกล้า ๆ กลัว ๆ นั่นเพราะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำมันช่างแปลกประหลาดนัก แต่ที่แปลกประหลาดกว่าก็คงไม่พ้นเจ้าของโปสการ์ดที่ไม่ยอมเขียนเลขที่บ้านของผู้รับใบนี้ “คุณลุงพอจะรู้จัก..คุณตามไหมครับ”
หน้าผากที่เต็มไปด้วยรอยย่นของคนถูกถามยิ่งย่นหนักเข้าไปอีก หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด “นามสกุลอะไรล่ะ ลูกเต้าเหล่าใคร
“เอ่อ...คือ...ผมก็ไม่ทราบจริง ๆ ครับ ทราบแค่ว่าชื่อคุณตาม บ้านอยู่ถนนตลาดเก่า”
“ถนนตลาดเก่ามันก็ถนนสายนี้ทั้งสายนะหนุ่ม บ้านช่องก็มีเป็นร้อย ไม่มีรายละเอียดมากกว่านี้เรอะ”
“ผมก็ทราบแค่นี้จริง ๆ ครับ” ศิธาพัฒน์ยิ้มแหย ๆ
“ลุงไม่รู้หรอกถ้าบอกมาแค่นี้น่ะ ลองไปถามที่ร้านโชห่วยกลางตลาดดูก็แล้วกัน” พูดจบคุณลุงเจ้าของร้านก็หันกลับไปเปิดร้านต่อเล่นเอาไปรษณีย์จำเป็นถึงกับคอตก ขี่รถจากมาพร้อมกับสอดส่ายสายตามองหาคนที่พอจะให้ถามได้ ในที่สุดก็มาถึงร้านโชห่วยที่ว่า ซึ่งอาม่าเจ้าของร้านก็ไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่าง แสงแดดที่เริ่มร้อนระอุขึ้นทำให้ศิธาพัฒน์ต้องยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ทั้งเข็มยาวและเข็มสั้นต่างก็พร้อมใจเดินมาพบกันตรงจุดกึ่งกลางหน้าปัดพอดี มีเวลาเพียงแค่เพียง 60 วินาทีเท่านั้นในการทักทายกันก่อนจะต้องเดินจากกันไปในที่สุด
จากจุดนี้ก็เป็นจุดกึ่งกลางของถนนสายยาวพอดี ร้านต่าง ๆ เริ่มเปิดให้บริการ เกสต์เฮาส์มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินเข้าออกพอให้เห็นบ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือสร้างความลำบากขึ้นกันแน่ ชายหนุ่มตัดสินใจจอดมอเตอร์ไซค์ที่ข้างทางก่อนจะใช้วิธีการเดินถามตามบ้านโดยไม่คิดจะย้อนกลับไปเริ่มที่จุดเริ่มต้นอีกแน่นนอน ไม่ใช่สมองที่สั่งให้ทำแบบนั้น แต่เสียงโครกครากในท้องต่างหากที่ทำให้เขาย้อนกลับไม่ได้
‘ฉันมาไกล...มาไกลเหลือเกิน ไม่คิดจะเดิน เดินกลับหลังไป’ อะไรมันจะพอดีขนาดนั้น..ศิธาพัฒน์อดคิดไม่ได้เมื่อเพลงดังของนักแสดงชาวฮ่องกงที่มาโด่งดังในประเทศไทยเมื่อสมัยเขายังเด็กดังขึ้นจากร้านขายของที่ระลึกที่ฝั่งตรงข้ามของถนน ซึ่งเป็นอาคารไม้สองชั้น ด้านหน้าเป็นบานเฟี้ยมแบบพับเก็บด้านข้าง ภายในร้านเต็มไปด้วยของที่ระลึกน่ารัก ๆ และโปสการ์ดมากมาย ไปรษณีย์หนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลงขอถือโอกาสนี้เข้าไปนั่งพักให้หายเหนื่อยหน่อยก็แล้วกัน
“โปสการ์ดสวยดีนะครับ” ศิธาพัฒน์เอ่ยกับคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาจัดของอยู่หน้าเคาน์เตอร์คิดเงิน ซึ่งถ้าคาดเดาไม่ผิดก็คงเป็นเจ้าของร้าน เพราะเท่าที่พยายามสอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ ในร้านก็ไม่ใครอีกแล้วนอกจากเขา
“ขอบคุณครับ” คนที่น่าจะอายุมากกว่าอยู่สัก 4-5 ปียิ้มให้พร้อมกับลอบสำรวจหนุ่มหน้ามนในชุดพนักงานไปรษณีย์ที่เพิ่งเข้ามาอย่างถ้วนถี่ “เพิ่งมาทำงานใหม่เหรอครับ ผมก็ไปทำธุระที่ไปรษณีย์บ่อยนะ แต่รู้สึกไม่คุ้นหน้าคุณเลย”
“เพิ่งย้ายมาน่ะครับ”
คนถามพยักหน้าอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรนักก่อนจะก้มลงเรียงโปสการ์ดในกระบะ จนในที่สุดตัวเองก็เป็นฝ่ายโดนถามบ้าง ด้วยคำถามเดียวกันกับที่ศิธาพัฒน์ให้ถามคุณลุงเจ้าของร้านขายยาจีน
“อืม...ไม่เคยได้ยินนะ ตามอะไรล่ะ ตามใจ ตามลำพังหรือว่าตามสะดวก” หนุ่มเจ้าของร้านพูดไปหัวเราะไป แต่ดูเหมือนบุรุษไปรณีย์คนใหม่จะไม่มีอารมณ์ร่วมเอาเสียเลย จนคนที่กำลังหัวเราะร่วนรีบเม้มปากแทบไม่ทัน “มุกนี้ไม่ขำเหรอ”
ศิธาพัฒน์ส่ายหน้าช้า ๆ อย่างอ่อนใจ
“งั้นนั่งพักก่อนแล้วค่อยเดินหาต่อก็แล้วกันนะ” เดินไปหมุนเร่งเสียงลำโพงแต่ก็ยังไม่วายหันกลับมายิ้ม “ตาม..สบายนะ”
'เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน มันเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน แม้เรี่ยวแรงจะเดินนั้นยังหมด...'“เฮ้อ...ตามลำบากสิไม่ว่า” ศิธาพัฒน์พึมพำเมื่อเดินออกจากร้าน จากนั้นก็เดินเข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกือบสุดถนน กลิ่นหอมจากกระทะผัดปลุกให้พยาธิที่เคยร้องระงมจนหมดแรงร้องตื่นขึ้นอีกครั้ง เสียงดังโครกครากในท้องทำให้ต้องตัดสินใจเดินตามกลิ่นผ่านรั้วไม้เข้าไปในเกสต์เฮาส์ซึ่งด้านหน้ามีป้ายติดว่าบริการอาหารตามสั่ง
“เชิญนั่งก่อนค่ะ” หญิงสาวผิวพรรณดีที่กำลังยกถาดอาหารไปเสิร์ฟให้แขกชาวต่างชาติเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน
“มาส่งจดหมายหรือมาทานข้าวคะ”
“ทานข้าวครับ” ศิธาพัฒน์ยิ้มให้เธอขณะนั่งลงที่โต๊ะริมระเบียงที่ยื่นออกสู่แม่น้ำ
“รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวไปเอาเมนูมาให้”
ชายหนุ่มละสายตาจากเจ้าของเกสต์เฮาส์หน้าหวานมองสำรวจไปรอบ ๆ ถัดจากระเบียงเป็นสนามหญ้ามีซุ้มประตูเปิดออกไปเป็นบันไดปูนเล็ก ๆ ที่ทอดตัวลงสู่แม่น้ำซึ่งตอนนี้ระดับน้ำยังคงไม่สูงมากนัก ส่วนที่เขานั่งอยู่เป็นส่วนของใต้ถุนของเรือนหลังใหญ่ซึ่งแวดล้อมไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับเขียวครึ้มให้ความรู้สึกเย็นสบายตั้งแต่ที่ได้ก้าวเท้าเข้ามา เว้นช่องตรงกลางเป็นโถง จัดเป็นสวนหย่อม ปลูกต้นปาล์มที่สูงขึ้นไปถึงชั้นสองของตัวบ้าน ดูแล้วอาณาบริเวณก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไรนักแต่ก็ถือว่าใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า เรือนหลักปลูกด้วยไม้ทั้งหลัง ซึ่งชั้นบนน่าจะประกอบด้วยห้องพักไม่ต่ำกว่า 5-6 ห้อง พื้นที่ที่เหลือถูกแบ่งเป็นสัดเป็นส่วนมีทั้งส่วนที่เป็นห้องพักและส่วนที่ให้คนงานอยู่ ฝั่งหน้าบ้านซึ่งติดถนนถูกจัดเป็นมุมสำหรับนั่งพักผ่อนดื่มน้ำชากาแฟ
“นี่ค่ะเมนู” หญิงสาวที่ศิธาพัฒน์คาดคะเนว่าน่าจะวัยไล่เลี่ยกับพี่สาวของเขาวางเมนูอาหารลงที่โต๊ะก่อนจะตั้งท่าจด
“ผมเอาข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่ แล้วก็น้ำเปล่าครับ” สั่งแบบไม่เหลียวแลเมนูจนคนรับออร์เดอร์อดขำไม่ได้
“ไม่ดูเมนูหน่อยเหรอคะ ร้านเราอาหารอร่อยหลายอย่างนะคะ”
“วันนี้เอาแบบนี้ก่อนแล้วกันครับ วันไหนหิวไม่มาก ผมจะอ่านให้ครบทุกรายการเลย” คำตอบของบุรุษไปรษณีย์หนุ่มเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าหวานได้อีกครั้ง เธอจัดการจดสิ่งที่เขาสั่งลงสมุดฉีกก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอก็กลับมาพร้อมกับน้ำเย็น ๆ หนึ่งแก้ว
กลิ่นหอมของอาหารทำให้ศิธาพัฒน์ลืมภารกิจของเขาไปเสียสนิท ไม่นานนักข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่ก็ถูกยกมาวางตรงหน้า และด้วยความหิวเขาก็ใช้เวลาไม่นานนักจัดการมันจนเกลี้ยง
“คิดเงินด้วยนะครับ”
“ทั้งหมดสามสิบห้าบาทค่ะ”
ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับปริมาณ ส่วนคุณภาพและความอร่อยให้แปดจุดห้าเต็มสิบ ร้านนี้จะเป็นอีกหนึ่งร้านที่ถูกบันทึกเอาไว้ในลิสต์ร้านอร่อยของศิธาพัฒน์ ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าสตางค์จากออกมาก่อนจะหยิบธนาบัตรใบแดงส่งให้
“รอเงินทอนสักครู่นะคะ” พูดจบสาวหน้าหวานก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น
“ชล ลุงตรัยมาหรือยังน่ะลูก” หญิงวัยกลางคนที่เดินหอบถุงใส่ของจากซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อดังที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยขึ้น
“ยังเลยจ้ะแม่” ชลธรกล่าวก่อนจะเดินถือเงินทอนมาให้ไปรษณีย์หนุ่มพร้อมกับกล่าวขอบคุณเขา
“อ้อ นั่นไงคะมาพอดีเลย” เธอกล่าวเมื่อรถขับเคลื่อนสี่ล้อคันหนึ่งแล่นมาจอดที่หน้าบ้าน ครู่หนึ่งหนุ่มใหญ่วัยใกล้ห้าสิบก็เปิดประตูลงมาจากรถ ทั้งการแต่งตัวรวมถึงท่วงท่าการเดินชวนให้นึกถึงพระเอกหนังคาวบอยย้อนยุคที่มักจะหยิบปืนขึ้นมาควงเท่ ๆ ก่อนจะยิงกันกระจายในที่สุด
“มารับน้องกลับบ้านเหรอคะลุง”
“ตอนแรกก็ว่าจะอย่างนั้นแหละ พอรู้ว่าไอ้พี่ชายตัวดีจะกลับมาก็โทรไปอ้อนให้มารับตั้งแต่เมื่อคืน” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าว พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างสูงของชายหนุ่มในชุดพนักงานไปรษณย์ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะอาหารไม่ไกลนัก รู้สึกคุ้นหน้าแต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน หรืออาจจะเคยเจอที่ไปรษณีย์? พ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่หยุดความคิดเอาไว้แค่นั้นก่อนจะมองหาลูกชายคนเล็ก “แล้วนี่ไอ้เจ้าลูกชายลุงมันไปไหนเสียล่ะ ชลถึงต้องเสิร์ฟอาหารอยู่คนเดียว”
“อยู่ในห้องนั่งเล่นค่ะลุง ช่วยชลมาตั้งแต่เช้าแล้ว ก็เลยบอกให้ไปทำอย่างอื่นบ้าง งั้นเดี๋ยวชลเรียกให้นะคะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินหายเข้าไปในทางเดินเล็ก ๆ ระหว่างห้องครัวกับห้องอีกห้องหนึ่ง จากนั้นเธอก็กลับมาพร้อมกับเด็กตัวเล็กที่สะพายเป้ใบโตที่หลัง
“เตรียมพร้อมเลยนะจ๊ะพ่อหนุ่ม” ผู้เป็นน้าเอ่ยขึ้นในขณะที่หลานชายของเธอได้แต่อมยิ้ม จริงอย่างว่าเขาเตรียมเก็บเสื้อผ้าใส่เป้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนที่รู้ว่าพี่ชายคนโตกำลังจะกลับมาบ้าน หลายปิดเทอมแล้วที่ไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย
“เก็บของมาครบแล้วใช่ไหมจ๊ะ”
“ครบแล้วครับน้าเดือน”
“แล้วนี่พี่ตรัยมาเอาป่านนี้ รถไฟไม่ถึงสถานีไปแล้วเหรอคะ จะเที่ยงครึ่งแล้วนะ” เดือนดาราหันมาถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลานชายคนโตของเธอจะต้องมากับรถไฟซึ่งจะถึงนครลำปางตอนสิบโมงเศษ หากรถเสียเวลาก็ไม่น่าจะเกินหนึ่งชั่วโมง แต่นี่เที่ยงกว่าแล้วผู้เป็นพ่อยังดูมีทีท่าว่าจะรีบร้อน
“วันนี้ไม่ได้ไปรับเจ้าเต็มแล้วละ มันโทร.มาบอกว่าซื้อตั๋วได้เที่ยวที่จะมาถึงพรุ่งนี้เช้า บอกให้นั่งเครื่องมาก็ไม่เอา ไม่รู้จะอารมณ์ศิลปินอะไรนัก” ผู้เป็นพ่อถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะก้มลงมองดูลูกชายคนเล็กที่แสดงสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
“เดี๋ยววันนี้ลูกคงต้องอยู่บ้านน้าเดือนไปก่อนนะ เพราะว่าพรุ่งนี้พ่อต้องไปเชียงใหม่” เมื่อสิ้นคำของพ่อเด็กชายตัวน้อยก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“อ้าว แล้วถ้าพรุ่งนี้พี่เต็มมาล่ะครับ”
‘พี่เต็ม?’ไม่ได้แอบฟังแต่บังเอิญได้ยิน ศิธาพัฒน์พยายามเปิดหน้าหนังสือพิมพ์ให้เบาที่สุด เมื่อกี้เด็กผู้ชายคนนั้นพูดว่า ‘พี่เต็ม’
แล้ว ‘ตาม’ ล่ะ?คำถามของลูกชายคนเล็กทำให้นึกขึ้นมาได้ พ่อเลี้ยงตรัยจึงหันไปกล่าวกับน้องสาวแท้ ๆ ของภรรยาผู้ล่วงลับ “พรุ่งนี้พี่คงต้องฝากเดือนช่วยรับเจ้าเต็มให้ด้วยนะ เพราะว่าพี่ต้องขึ้นไปงานศพเพื่อนที่เชียงใหม่ พี่บอกมันไว้แล้วละว่าให้มันกับน้องอยู่บ้านเดือนสัก 2-3 วันแล้วพี่จะมารับกลับไร่”
เดือนดารารับปากด้วยความเต็มใจก่อนจะขอตัวเอาของเข้าไปเก็บในบ้าน
“เดี๋ยววันนี้พ่อพาซื้อหนังสือเรียน แล้วเราไปกินไอติมแก้เซ็งไอ้พี่ชายตัวดีก็แล้วกันนะ” ผู้เป็นพ่อกล่าวก่อนจะใช้มือหนาโยกศีรษะของลูกชายเบา ๆ
“ถ้าอย่างนั้นตามเอากระเป๋าไปเก็บก่อนนะพ่อ” พูดจบหนุ่มน้อยก็หมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในบ้านด้วยความรวดเร็ว แต่ก็ยังได้ยินคำที่พ่อตะโกนบอกว่าจะไปรอเขาที่รถ
‘ตาม?’
เด็กผู้ชายคนเมื่อกี้ชื่อตาม ศิธาพัฒน์คิดทบทวนให้แน่ใจว่าเขาได้ยินไม่ผิด คนที่พอจะให้ถามได้ก็สบายตัวกันไปหมด ชายหนุ่มวางหนังสือลงบนโต๊ะทันทีที่ได้ยินเสียงรองเท้าเตะกระทบกับพื้นปูนดังใกล้เข้ามา
ริมฝีปากที่เม้มแน่นค่อย ๆ คลายออก ตัดสินใจเปล่งเสียง “น้องครับน้อง” ทำให้เด็กชายที่กำลังจะวิ่งพ้นชายคาบ้านต้องชะงัก
“พี่เรียกผมเหรอครับ”
ศิธาพัฒน์พยักหน้า เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับหยิบโปสการ์ดเจ้าปัญหาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “น้องชื่อตามใช่ไหม”
“ครับ”
ชายหนุ่มค่อย ๆ ย่อตัวลงก่อนจะยื่นโปสการ์ดใบนั้นให้ “พี่คิดว่านี่อาจจะเป็นของน้อง”
ตามตะวันรับมันมาก่อนจะอ่านข้อความทั้งหมด พลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนุ่มน้อย
“พี่เต็มตอบจดหมายตามแล้ว” เสียงนั้นดังพอที่จะเรียกคนที่กำลังยืนคิดเงินอยู่ที่โต๊ะด้านในสุดให้หันกลับมามอง ชลธรเดินเข้ามาหาน้องชายด้วยความแปลกใจก่อนจะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในที่สุดเรื่องราวทั้งหมดก็ถูกเฉลยโดยคุณบุรุษไปรณีย์ที่ยืนยิ้มชื่นชมผลงานชิ้นโบว์แดงของตัวเอง...
ตามตะวันนั่งรถออกไปกับพ่อของเขาพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม แม้วันนี้จะไม่ได้พบกับพี่ชาย แต่โปสการ์ดใบเล็ก ๆ ใบนี้ก็เหมือนเป็นตัวแทนที่ทำให้ยิ้มได้เมื่อได้เห็น
‘พี่เต็ม’
“คงเหนื่อยแย่เลยนะคะที่ต้องเดินตามหาตั้งแต่หัวถนนแบบนี้” ชลธรเอ่ยขึ้นขณะเดินออกมาส่งศิธาพัฒน์ที่หน้าบ้าน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงมันก็เป็นหน้าที่ของไปรษณีย์อยู่แล้วที่ต้องนำส่งจดหมายให้ถึงมือผู้รับ” ตาคมสะดุดเข้ากับมอเตอร์ไซค์คลาสิคสีฟ้าที่จอดอยู่หน้าบ้าน มันเป็นรถแบบที่เขาเคยคิดจะซื้อขี่ไปทำงานตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักการตลาด แต่ทุกคนในบ้านลงความเห็นว่ามันไม่น่าจะเหมาะกับสภาพการจราจรและสาพอากาศในกรุงเทพฯ สุดท้ายก็เลยนั่งรถไฟฟ้าเหมือนเดิม
“รถสวยจังครับ”
“อ๋อ ค่ะ พี่ก็เห็นมันสวยดี เลยยืมเจ้าของเขาไว้โชว์หน่อย เห็นไม่ค่อยได้ใช้”
“อ้าว ไม่ค่อยได้ใช้เหรอครับ แล้วเขาคิดจะขายหรือเปล่า”
“น้องปุ่นสนใจเหรอจ๊ะ”
“ก็เห็นว่าสวยดีน่ะครับ อีกอย่างมาอยู่ที่นี่ก็ยังไม่มีอะไรเลยทั้งจักรยานทั้งมอเตอร์ไซค์”
“อืม..ถ้าอย่างนั้นพี่จะลองถามเจ้าของเขาให้นะ ได้ความว่ายังไงจะบอกอีกทีก็แล้วกัน”
ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้พูดอะไรกันต่อ มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็แล่นผ่านมา คนขับก็คือ “บัส” พนักงานไปรษณีย์ที่ออกมานำส่งจดหมายตั้งแต่เช้านั่นเอง
“มาทำอะไรแถวนี้วะปุ่น”
“เอาจดหมายมาส่ง เลยแวะกินข้าวน่ะ”
“แล้วมายังไง”
“เอามอเตอร์ไซค์ประจำตำแหน่งไอ้ซ้งมา จอดอยู่กลางซอยโน่น”
“งั้นซ้อนท้ายเลย เดี๋ยวพาไปเอารถจะได้กลับกัน ร้อนจะแย่แล้ว”
ศิธาพัฒน์พยักหน้าก่อนจะหันไปลาชลธร จากนั้นจึงกระโดดขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ระหว่างทางเขาก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้บัสฟังไปด้วย
“แหม่....มาทำงานไม่ถึงเดือนก็โดนรับน้องเสียแล้ว”
“เออ รับโหดด้วยนะ ให้เดินหาทั้งถนนเนี่ย”
“แล้วถ้าไม่เจอน้องเขาจะทำยังไง”
“อืม..ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ไม่ได้คิดเลย คิดแต่ว่ายังไงก็ต้องหาให้เจอ” ศิธาพัฒน์ค่อย ๆ คลี่ยิ้ม นึกถึงเจ้าของโปสการ์ดใบนั้น เขาต้องเป็นเด็กผู้ชายอายุ 12-13 ขวบที่ไม่ตั้งใจฟังครูสอนในชั่วโมงการเขียนจดหมายแน่ ๆ
..มีต่อค่ะ..