“ไง”
เปิดมายังไม่ทันวางของ ไอ้เป๊กก็ทักทายมาอย่างเลือดเย็นเลยทันที ผมเห็นก้นไอ้ถั่วไวๆ มันกำลังวิ่งมาตั้งใจจะจู่โจมผมแน่ๆ
“ไม่ไงอ่ะ” ผมตอบกวนๆ วางของลงกับพื้น แล้วส่งถุงข้าวกล่องไปให้พวกมัน ไอ้เป๊กมองอย่างเย็นชาอีกครั้ง
“อะไร”
“ข้าวกล่อง ซื้อมาฝาก” มันทำหน้าเหมือนเรื่องเหลือเชื่อ
“โอ้โห มีน้ำใจเสียด้วย” ไอ้กายพยักหน้าหงึกหงัก “ให้ตอบความจริงอีกครั้ง”
“ไรวะ” ผมบ่นอุบ “เออ โฟล์คเป็นคนซื้อ พอใจยัง” จบประโยคพวกมันก็ร้องฮิ้วทันที ผมนี่แทบจะมุดดินหนี
“เป็นไงมึง งานเดินไหม ไปอยู่กะแฟนสุดที่รักเนี่ย” ไอ้กายเอ่ยถาม แงะข้าวกล่องเปิดกิน เป๊ก และปอมที่มาช่วยงาน ก็เลยพักมือบ้าง
“ก็ได้ทำบ้าง เหลือแค่ประกอบ” ผมบอก ปอมเอื้อมมือมาหมุนงานผม
“แล้วนี่...” เป๊กเหลือบตามองผม “ตกลงมึงจะเล่าให้พวกกูฟังได้ยังว่ามึงไปรู้จักโฟล์คมันได้ยังไง” มันอัดคำถามมาใส่แบบไม่ทันตั้งตัว ผมที่กำลังยัดข้าวเข้าปาก ทำได้แค่เพียงคาบช้อนเอาไว้อย่างช็อคสุดหัวใจเท่านั้น
ถ้าจำกันไม่ได้ล่ะก็...เป๊กเคยให้เวลาผมถึงแค่วันเสาร์เพื่ออธิบายเรื่องทั้งหมด และผมก็ไม่โง่พอที่จะหลงวันหลงคืน แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันอาทิตย์แล้วก็ตาม
ผมถอนหายใจเบาๆ ไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้อีกแล้ว จึงได้แต่พยายามตั้งต้นที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมด ผมเล่าตั้งแต่วันที่เจอมันในร้านเหล้า วันแรกที่มันลากผมกลับคอนโดมัน วันที่มันลากผมจากคอนโดผมไปกับมัน และวันที่มันอดหลับอดนอนนั่งตัดโมให้ผม วันที่มันลากผมไปออกกอง วันก่อน เมื่อวาน วันนี้ พอมาเรียบเรียงดูดีๆ วันไหนๆก็มีแค่มันทั้งนั้นในชีวิตผม
“แล้วนี่มึงตั้งใจจะคบกันแค่สิบสี่วันจริงๆเหรอ?” เป๊กกอดอกนิ่งๆถามผมหลังจากที่ผมเล่าทุกอย่างจบ ส่วนกายนั่งช็อคไปแล้ว ในขณะที่ปอมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตัดแปะไปเรื่อยเปื่อย เพราะมันรู้ว่า เป๊กแม่งเล่นงานผมยับเยินแน่นอน
“ก็ตกลงกันแบบนั้น”
“ใครตกลงกับใคร?” เป๊กถามนิ่งๆ
“มัน กับ...กู” ผมบอกเสียงอ่อย
“เออดี ไม่ได้รู้จักกันแล้วก็ยอมมัน นี่ถ้าไม่ใช่โฟล์คกูคงไม่ปล่อยมึงทำตัวระรื่นขนาดนี้หรอก” ไอ้เป๊กว่าด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ผมได้แต่ก้มหน้าไม่รู้จะพูดอะไร
“น้ำชา กูถามมึงจริงๆเหอะ” กายที่ปกติจะพูดมากเหมือนเมากัญชาตลอดเวลาเกริ่นขึ้นท่ามกลางความเงียบ “มึงมั่นใจแค่ไหนว่าจะหยุดความรู้สึกกับโฟล์คได้แค่สิบสี่วัน”
“ย-ยังไง”
“โฟล์คมันไม่ชอบใครเล่นๆหรอกนะ ถ้ามันชอบใครสักคน มันก็จะเอาใจใส่คนๆนั้นมากๆ มึงก็น่าจะรู้ดี” กายจ้องตาผมนิ่ง
“...อืม”
“กูไม่รู้ว่าโฟล์คมันจะตัดใจจากมึงได้หรือเปล่า แต่มึงนั่นแหละ ตัดใจจากมันไม่ได้แน่ๆ”
“มันบอกกูแค่เล่นๆ กูก็แค่เล่นๆ มันก็ด้วย” ผมอ้าปากเถียงทันทีที่กายพูดจบ เพราะความรู้สึกบางอย่างตีตื้นมาจนแทบจุกอก “เวลาอยู่ด้วยกันมันสนุกดีก็แค่นั้น”
“มันไม่ใช่แค่สนุกนะน้ำชา” ปอมบอกอย่างเป็นห่วง สายตามันก็ด้วย
“มึงต้องชอบมันเข้าจริงๆสักวัน” กายถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เลิกทำอะไรที่จะทำร้ายตัวเองได้แล้ว ตั้งแต่คราวกฤตฎ์แล้วนะ” กายถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ผมได้แต่เบือนหน้าหนีอย่างจนตรอก
ไม่มีใครพูดอะไรอีก มันสักคนคงอยากจะพูดว่าให้ผมจบเรื่องนี้ซะ แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยออกมา ผมเองก็ยอมรับว่าไม่อยากได้ยิน ผมไม่อยากจะเป็นคนบอกเลิกความสัมพันธ์สิบสี่วันโง่ๆของเรานักหรอก ก็ในเมื่อ...
โฟล์คแม่งก็ทำให้ผมลืมกฤตฎ์ไปได้จริงๆ
“พอเหอะมึง น้ำชามันโตแล้ว” ไอ้ปอมบอกในที่สุด “มันดูแลตัวเองได้น่า อย่าไปห่วงมันมากนักเลย รีบทำงานกันเถอะ” ปอมตัดบท กายส่ายหัวไปมาเบาๆก่อนหยิบข้าวกล่องขึ้นมากินต่อ ไอ้เป๊กมองหน้าผมนิ่ง ก่อนถอนหายใจออกมาอีกคน
“กูขอโทษแล้วกัน”
“......”
“มึงดูแลตัวเองดีๆนะ ถ้าไม่ไหวก็ออกมาซะ”
ผมกำช้อนในมือแน่น แล้วก็เอ่ยขอตัวกับพวกมันแล้วเดินออกมายังระเบียงด้านนอก มันรู้สึกหงุดหงิด หัวเสีย และงุ่นง่านในใจมากมายนัก เพียงแต่ผมไม่นึกโทษใครหรอก ทุกอย่างบนโลกนี้ที่ทำให้ผมไม่สบายใจ ก็ล้วนเกิดจากตัวเองทั้งนั้น จะไปโทษ ไปร้ายใส่ใคร มันคงไม่ใช่เรื่อง
ผมเกาะขอบระเบียงนิ่ง เหม่อมองออกไปด้านนอก แสงไฟจากอาคารบ้านเรือนทำให้ตาพร่ามัวเมื่อจ้องมันท่ามกลางความมืดมิดนานๆ มันคงเหมือนเรื่องของผมกับโฟล์คนั่นแหละ บางทีมันก็ขุ่นมัวจนทำให้ไร้น้ำหนักที่จะเชื่อ แถมเมื่อมองลึกลงไปนานๆ มันก็ทำให้ทุกอย่างพร่ามัวจนมองอะไรไม่ออก
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกยังไง
ผมอยากดูดบุหรี่สักมวน แต่ก็ไม่พร้อมที่จะเดินเข้าไปเอาในห้องและเผชิญหน้ากับใครๆ พวกมันเตือนเพราะมันห่วง โดยเฉพาะกายคงหนักใจ ทางนี้ก็เพื่อน ทางโน้นก็เพื่อน ผมเข้าใจดี แต่จะให้ผมบอกเลิกโฟล์คตอนนี้ ทำให้รอยยิ้มของมันหายไปตลอดกาลในความทรงจำ ผมก็ทำไม่ได้
โดยไม่รู้ตัวนัก ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เบอร์ของมันอยู่ที่ปลายนิ้ว ผมชั่งใจอยู่ไม่กี่วินาทีว่าควรจะโทรหามันหรือไม่ และสุดท้าย ผมก็ห้ามใจไม่ได้ และกดโทรออกหามันในที่สุด...
ไม่กี่เสียงสัญญาณรอสาย ปลายสายก็รับโทรศัพท์ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมโทรหามัน...
(ฮัลโหล...)
“......”
ผมได้ยินเสียงโหวกเหวกมาจากปลายสาย เป็นเสียงของนินและภัทรเถียงกันปาวๆ ประกอบด้วยแบล็คกาวน์เสียงดนตรีอะไรก็ไม่รู้
(ฮัลโหล น้ำชา...ฮัลโหล)
“...โฟล์ค” ผมเรียกชื่อมันไปในที่สุด แม้แต่ชื่อมันตอนนี้ยังเรียกลำบากเลย
(เออ กูโฟล์คไง เรียกชื่อทำไม คิดถึงใช่ไหมครับ) มันหัวเราะร่า นั่นทำให้ผมที่อารมณ์หม่นๆอยู่ นึกอยากจะเตะเสยหน้ามันเสียฉิบ
“พ่อมึง” ผมด่า อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
(เออมีไรเปล่า)
“ถึงบ้านแยมยัง?” ผมเอ่ยถามเหมือนไม่รู้ว่าจะถามอะไร
(ถึงแล้ว เพิ่งถึง นี่อยู่กันหมดเลย ไอก็ไม่ได้กลับ อาบน้ำอยู่ ไอ้เตหลับไปแล้ว) มันบอก (นินกับภัทรทะเลาะกันอยู่)
“อ้าว ทำไมอ่ะ”
(ผัวเมียทะเลาะกันมึงอย่าไปสนใจเลย) จบประโยค ก็มีเสียงด่ากราดมาตามสายพร้อมกับเสียงปะทะดัง อั่ก! แล้วเสียงโฟล์คโอดครวญ (เฮ้ย แม่ง อย่าทำร้ายกูดิวะ เชี่ยนินนน)
“สม” ผมเหยียดปากสมน้ำหน้ามันไปเบาๆ ก่อนถอนหายใจออกมา
(ไม่ทำงานเหรอ?)
“เพิ่งกินเสร็จอ่ะ พักแปปหนึ่ง” ผมเลื่อนปลายนิ้วม้วนผมตัวเองเล่นราวกับคนไม่มีอะไรทำ
(ถ้าเสร็จพรุ่งนี้ เดี๋ยวไปรับมาบ้านแยมนะ มันจะทำหมูกะทะกัน)
“อืม เดี๋ยวบอกอีกทีนะ ไม่รู้ว่าจะไปห้องไอ้เป๊กกันหรือเปล่า”
(ได้) มันไม่ดื้อแฮะคราวนี้
“วันนี้เหนื่อยไหม?” ผมถามมันไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มันเองก็ดูจะชะงักไป เพราะไม่ได้ตอบมาทันที
(เหนื่อย แต่ไม่ตายสักหน่อย) มันว่าพร้อมหัวเราะเบาๆ (ทำไม เหนื่อยเหรอ)
“ก็เหนื่อย แต่ยังไม่ตายเหมือนกัน”
(บ๊อบ ดีแลน เคยบอกว่า คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คือคนที่ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งเข้านอน ได้ทำแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ)
“......”
(กูอยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ) เสียงมันทั้งหนักแน่น และมั่นคง (สิ่งที่กูอยากทำนอกจาก อยู่กับเพื่อน กับครอบครัว ทำหนัง ใช้ชีวิตวันๆนั่งคิดบท แก้บท วุ่นวายอยู่กับมุมกล้อง ที่กูอยากทำมากที่สุดอีกอย่างก็คืออยู่กับมึง)
ผมชะงัก สิ่งที่มันพูดเหมือนจะเสี่ยวแดกสุดๆ แต่เพราะเป็นมัน มันเลยดูจริงใจและน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
“เมาหรือไง?” ผมถามมันแก้เก้อ มันหัวเราะเบาๆ
(เออเมาปุ้น)
“สัด” ผมด่ามันไปเบาๆ “โฟล์ค มึงชอบกูจริงๆเหรอวะ” ผมถามออกไปตรงๆ ดูท่ามันจะตกใจ เพราะมันเงียบไปพักหนึ่ง
(จนป่านนี้แล้วมึงยังกล้าถามอีกเหรอวะ?) มันย้อนถามราวกับอ่อนใจ
“กูต้องถามสิ ก็ในเมื่อเรารู้จักกันแค่สี่ห้าวันเองนะเว้ย” ผมเถียงมันกลับ มันนิ่งไม่ตอบไม่สักพัก
(เออ ห้าวันเองเหรอวะ) มันพึมพำ (อยู่กับมึง เหมือนรู้จักกันมาเป็นปีๆ)
“......อืม”
(ว่าไงนะ)
“กูบอกว่าใช่ไงเล่า!” มันขึ้นเสียงใส่ไปที มันหัวเราะมาตามสาย
(น่ารักจังวะ)
“สัด”
(......)
“โฟล์ค”
(ครับ?)
ตึก... ตึก... ตึก... ตึก... ตึก... ตึก... ตึก... ตึก.
“เราลองมาคบกันแบบจริงจั...”
ตรู๊ด ตรู๊ด ตรู๊ด ตรู๊ด
ไอ้เหี้ย! ไอ้ ไอ้เฮงซวย ไอ้ทรูมูฟ มึงเลือดเย็นมาก รู้ไหมว่ากว่ากูจะรวบรวมความกล้าโทรหามันได้นี่ใช้พลังงานไปมากแค่ไหน กว่าจะพูด กว่าจะกล้าขอมันเป็นแฟนจริงๆจังๆ รู้ไหม!!! รู้ไหมมมมมม!!!!
ผมเข่นเคี้ยวกับมือถือในมืออยู่นานสองนาน แทบจะปามันลงไปนอนวัดสนามหญ้าหน้าคณะ แต่ก็ห้ามใจเอาไว้ ผมถอนหายใจอีกครั้งและอีกครั้ง จริงๆแล้ว ก็แอบโล่งใจที่ไม่ได้พูดออกไป เพราะผมไม่รู้จริงๆว่าจะรับผิดชอบความรู้สึกมันได้มากแค่ไหน และผมจะชอบมันได้มากแค่ไหน
ถ้าความสัมพันธ์เราก้าวหน้าไปอีกขั้น...
ผมไม่อยากใช้ใครเป็นเครื่องมือเพื่อลืมภาพใครบางคน
เพราะในคืนที่หลับตาลง ภาพของกฤษฎ์ยังตามมาหลอกหลอนในบางคืน ในบางคืนที่ผมนอนอยู่ในอ้อมกอดของโฟล์ค...
tbc.
มาแล้วๆ ตอนนี้เต่าคลานมากใช้เวลาเขียนเป็นอาทิตย์เลยค่ะ ช่วงนี้ไม่ได้อยู่กับที่ ออกข้างนอกตลอดเลย
อาทิตย์หน้าเราจะไม่ได้ลงอะไรให้เลยนะคะ เพราะว่าเราไปต่างจังหวัดค่ะ กลับมาเสาร์เลย ล่ารักฯจะลงให้ตอนนั้นนะคะ แต่อาจจะต้องเกลาอีกนิดหน่อย (ใกล้ได้อ่านละ ไม่ได้ดองหรือลืมจริงๆนะคะ อย่าว่ากันเลย เราพยายามแต่งช่วงยากให้ผ่านไปให้ได้ก่อน เราไม่อยากลงแล้วมีการแก้เนื้อหาที่หลัง มันจะเสียความรู้สึกทั้งคนแต่งคนอ่านเนอะ รออีกนิด ได้อ่านจนจบ รับประกันความสนุกแน่นอนค่ะ)
มีอะไรทักทายกันมากได้นะคะ
คราวหน้าเจอกันแจ็คกี้-มิ เลยนะคะ
งดลงรักชาชาไปก่อนนะคะ(หนึ่งสัปดาห์ค่อยว่ากันอีกที)
ขอบคุณที่ติดตามกันค่ะ
