ไม่กี่นาทีต่อมาแยมก็แต่งหน้าเสร็จ พวกผมเลยพากันลงไปด้านล่าง เหลือแค่ฝ่ายเมคอัพ คอสตูม และสวัสดิการสองสามคน เก็บกวาดห้องเท่านั้น เมื่อลงจากบันไดมา ก็เห็นกองถ่ายตั้งอยู่กลางร้านพอดิบพอดี แหม เจ้าของร้านก็ดีเหลือเกิน เอื้อเฟื้อสถานที่ให้ไอ้โฟล์คมาทำลายล้างเล่นๆ ดูเหมือนว่าจะจัดแสงเสร็จแล้ว โฟล์คยืนอยู่ข้างเตที่ถือกล้องตัวที่หนึ่ง (ตามที่มันบอก) สั่งการอะไรอยู่ก็ไม่รู้ มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนจดอะไรบางอย่างอยู่ข้างๆกัน ภัทรยืนดูกล้องของน้องเอที่อยู่อีกมุมหนึ่ง ส่วนนินแกว่งเสลทไปมาไม่ใกล้ไม่ไกล
“แยมมาแล้ว" นินบอกโฟล์ค ก่อนที่โฟล์คจะพยักหน้าให้แยมเข้าฉากกับพิ้งค์ที่มีสีหน้าไม่มีความสุขสุดๆ
“ไอ ตีเสลทให้หน่อย"
“ได้ๆ" ไอกระวีกระวาดไปรับเสลทจากนิน นินเลยถอยฉากออกมายืนข้างๆผมแทน โฟล์คเดินเข้าไปพูดคุยอะไรกับนักแสดงสองคนนิดหน่อย ก่อนถอยออกมา
“โอเคนะ เดี๋ยวกล้องตัวนี้จะถ่ายแบบทูช็อตนะครับ ส่วนกล้องตัวที่สองให้รับหน้าของแยมเอาไว้" โฟล์คตะโกนบอกทุกคนในกอง "เตมึงโฟกัสหน้าทั้งสองคนไว้เลยได้ไหม?”
“ได้ๆ"
“เออ เอาข้างหลังเบลอๆแบบนั้นแหละ โอเค" โฟล์คบอกเต ก่อนพยักหน้า แล้วหันไปหาคนที่ถือไมค์ตัวยาว
“เทปครับ"
“เดินครับ" ฝ่ายเสียงตอบ
“กล้องหนึ่ง"
“สปีด" เตพยักหน้าตอบรับ
“กล้องสอง"
“สปีดครับ"
ไอเดินเข้าไปตีเสลทหน้ากล้องก่อนถอยฉากออกมา พร้อมๆกับโฟล์คที่ยกมือขึ้น "เก็บเสียงนะครับ...สาม สอง หนึ่ง แอคชั่น!”
บรรยากาศของกองถ่ายเงียบสนิทแม้ว่าทั้งร้านจะเต็มไปด้วยเสียงจอแจ โฟล์คจ้องหน้าจอกล้องไม่วางตา เช่นเดียวกับภัทรที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง ไอเดินกลับมาอยู่ข้างๆผม นินเองก็ยืนกอดอกนิ่งเช่นกัน
“คัทครับ แปปหนึ่งนะ พิ้งค์...” โฟล์คสั่งหยุดการถ่ายทำก่อนสาวเท้าเข้าไปพูดคุยกับนั่งแสดงหญิงของเรื่องที่หน้าตาไม่สบอารมณ์อย่างถึงที่สุด พิ้งค์ดูหน้าตาหงุดหงิด แต่แล้วก็จ๋อยลงเมื่อโฟล์คมันพูดอะไรบางอย่างออกไป ผู้กำกับของเรื่องถอยฉากออกมา พร้อมกับสั่งเดินกล้องอีกครั้ง
“เทปครับ"
"เดิน"
“กล้องหนึ่ง"
“สปีด"
“กล้องสอง"
“สปีดครับ"
“โอเค เสลท...เก็บเสียงเหมือนเดิมนะครับ ขอแค่เสียงนักแสดงกับบรรยากาศ สาม...สอง...หนึ่ง แอ็คชั่น...”
ภาพจากกล้องของเตเป็นใบหน้าของแยมและพิ้งค์ที่พูดคุยกันในบทของคู่รักเก่าที่โคจรกลับมาเจอกัน หลังจากเลิกกันไปด้วยความไม่เข้าใจหรืออะไรบางอย่าง ทั้งคู่ได้กลับมาร่วมโต๊ะกัน แต่มื้ออาหารที่เคยมีความสุข ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ผมยังไม่เคยอ่านบททั้งหมดที่โฟล์คเขียน แต่ฟังคร่าวๆมาจากไอที่เล่าให้ฟัง
“คัทครับ เดี๋ยวขอดูฉากนี้หน่อย" โฟล์คบอกกับเต แล้วสุมหัวกันหน้ากล้องสักพัก "โอเค กล้องหนึ่งได้ ภัทร กล้องสองได้ไหม?”
“ได้ๆ" ภัทรยกมือบอก
“งั้นฝากน้องพริมจดรีพอร์ตหน่อยครับ โอเคต่อไปเป็นฉากเดิม แต่เปลี่ยนมุมรับหน้าของกล้องทั้งหนึ่งและสองนะครับ...”
ผมเฝ้าดูการทำงานของโฟล์คเงียบๆเกือบหนึ่งชั่วโมงกับฉากบนโต๊ะอาหารที่มีประโยคพูดคุยกันไม่กี่ประโยค แต่ถ่ายทำกันยาวนานเป็นชั่วโมง นินบอกว่าตัดจริงฉากนี้คงเหลือไม่ถึงสิบห้าวินาที
“โอเค เดี๋ยวพักแปปหนึ่งแล้วจะออกไปเก็บฉากด้านนอกแล้ว เพราะฉากอื่นบนโต๊ะอาหารที่คราวที่แล้วเก็บไปไม่เสียนะครับ เติมหน้านักแสดงให้ด้วย" โฟล์คว่า ไอพยักหน้ารับก่อนวิ่งปรู้ดไปเอากระดาษซับหน้ามาไว้ในมือ ในระหว่างที่นินถูกเรียกไปดูภาพบนกล้อง
พิ้งค์เดินมาหย่อนตัวบนเก้าอี้แถวที่ผมกับไอยืนอยู่ด้วยกัน เธอปรายสายตามองผมนิดหน่อยก่อนนั่งกดมือถือเล่น แยมเดินตามออกมา แล้วมายืนข้างๆผม
“เบื่อไหมน้ำชา?” คนหน้าสวยเอ่ยถามก่อนหาววอดๆ หมดมาดพระเอกแสนเข้าใจยากตามบทในเรื่องกันพอดี
“ไม่นะ สนุกดี"
“ออกกองเหนื่อยจะตาย เคยออกกองโต้รุ่งกันอยู่เกือบอาทิตย์แหนะ" แยมว่า เปิดขวดน้ำดื่มออก
“จริงเหรอ?”
“โอโห ร่างนี่อย่างกรอบ นอนวันละสองสามชั่วโมง" แยมหัวเราะคิก
“งานใครเหรอ?”
“ธีสิตรุ่นพี่ปีที่แล้วน่ะ จบไปแล้ว โฟล์คไปช่วยถ่าย เราไปเล่น" แยมเล่า
“นี่คิดจะเป็นนักแสดงจริงจังหรือเปล่าเนี่ย?” ผมแซว แยมร้องหึปฏิเสธทันที
“โน ไม่มีทาง เราเรียนวารสารฯน่ะ อยากทำคอลัมน์มากกว่า" แยมว่า "ชอบเขียน ชอบอ่าน"
“ดีจัง ไว้เอางานมาให้อ่านบ้างดิ"
“อย่าคาดหวังนะ" แยมว่ายิ้มๆ ก่อนส่งขวดน้ำให้ผม คนอะไรน่ารักเป็นบ้า หน้าแม่งโคตรสวยอย่างกะผู้หญิง คือจริงๆแยมมันก็หล่อนะครับ แต่หน้าคมๆ ตาเฉี่ยวๆ ขาวจัด ปากบาง จมูกโด่ง อะไรแบบนี้ ส่งขึ้นรันเวย์ไปเดินแบบได้เลย ถ้าไม่ติดว่าร่างกายแม่งมีกล้ามเนื้อแบบผู้ชายแถมยังดูเถื่อนและเบลอในเวลาเดียวกันแบบนี้ล่ะก็... จริงๆผมก็เคยเห็นนายแบบข้ามเพศที่เดินแบบชุดผู้หญิงอยู่นะครับ ช่วงนี้เห็นรับงานเยอะแยะ ดังไปทั่วเอเชียแล้วล่ะมั้งเนี่ย
“พิ้งค์อยากกินน้ำเสาวรสอ่ะไอ" เสียงของนางเอกสาวดังขึ้นระหว่างที่ไอกำลังซับหน้าให้ ไอชะงักมือที่กำลังซับหน้าอยู่ก่อนตอบ
“เอาสิ เห็นด้านหน้ามีอยู่ร้านหนึ่ง เดี๋ยวเราออกไปซื้อให้" ไอว่า ทำท่าจะเดินไปหยิบกระเป๋าเงิน
“ไม่ใช่ไอ เราอยากกินร้านหน้าโรงหนังที่คราวก่อนไปกินกัน" นางเอกคนดีเธอว่า
“โห ไกลนะนั่น พิ้งค์รอได้ไหม? เดี๋ยวหาคนไปซื้อให้" ไอเองก็พยายามจะประนีประนอมที่สุด
“พิ้งค์รอได้ แต่จะให้ใครไปซื้อ" พิ้งค์ว่า แล้วจู่ๆเธอก็ปรายตามามองผม ผมขมวดคิ้วงงๆกับอากัปกิริยาของเธอ
“เอ้อ เราออกไปซื้อให้ก็ได้นะพิ้งค์" แยมที่ฟังบทสนทนามาสักพักเสนอตัว "เราว่างอยู่" คุณนางเอกชะงักทันทีที่ไม่ใช่ผมที่เป็นคนออกตัว
“แยมไปได้ยังไง" เธอถาม จิกตาทันที "เดี๋ยวเหงื่อโซมกลับมาจะถ่ายต่อได้ยังไง?” เธอจีบปากจีบคอว่า ผมกอดอกเมินไม่รู้ไม่ชี้แล้วครับจุดนี้
“งั้นเดี๋ยวเราไปเอง-”
“ไอต้องอยู่ช่วยกองนี่ เดี๋ยวเขาจะย้ายของไปข้างนอกแล้ว"
“คือจริงๆเราก็ว่าง-”
“ไม่เอาอ่ะ เราไม่อยากรบกวนไอ"
“แต่-”
“ไม่เอา ถ้าไปไปพิ้งค์โกรธ"
“มีอะไรกันเหรอ" สงสัยว่าที่พวกเราสนทนากันจะเสียงดังเกินไปหน่อย นินที่เดินผ่านมาเลยหยุดถามอย่างช่วยไม่ได้ ผมเหลือบตามองไอ ก่อนมองแยม ก่อนนิ่ง
“คือพิ้งค์อยากกินน้ำเสาวรส" ไอบอกในที่สุด ดูท่าจะไม่อยากให้นินออกลายมากก็เป็นได้ ไม่งั้นคงมีโอกาสกองล่ม
“หน้าร้านไง เอาป่ะล่ะ เดี๋ยวซื้อให้" นินว่าอย่างสบายๆ "กูก็อยากกิน มึงกินป่ะแยม"
“คืออยากได้ร้านหน้าโรงหนังอ่ะ" ไอว่าเจื่อนๆ
“ห้ะ...โรงหนัง ที่มันไกลๆอ่ะนะ" นินกรอกตาไปมา พิ้งค์เองก็เริ่มจะหวั่นๆแล้ว แต่ก็ยังเชิดคอสู้อยู่
“นั่นแหละ ที่คราวก่อนไปซื้อกัน" ไอย้ำ
“เอ้อ เอาจริงเหรอวะ?” นินกอดอก มองนางเอกคนดีที่ทำไม่รู้ไม่ชี้ สลับกับไอ แล้วมองหน้าแยม หน้าผม แล้วสุดท้ายก็ถอนหายใจ คงพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง "ถ้าอยากกินมากขนาดนั้นเดี๋ยวเดินไปซื้อให้ก็ได้ พิ้งค์จะเอากี่ขวด"
“แล้ว-แล้วนินไม่ต้องช่วยโฟล์คเหรอ?” คุณนางเอกถาม ปลายเสียงติดจะสั่นๆ ใช่ครับ เล่นกับใครไม่เล่น เล่นกับนิน
“ก็ไม่เห็นมีไรนี่ เราตัดต่อ นี่มาออกกองเพิ่มภาระเพื่อนเฉยๆ" นินก็ตอบตรงเหลือเกิน
“นินอย่าไปเลย ก็เผื่อโฟล์คจะให้ช่วยดูไฟ ดูเฟรม ดูบท ดู-”
“ไม่มีหรอกน่า เอาเถอะ...ว่ามาจะเอากี่ขวด"
“ให้คนว่างกว่านินไปสิ" คุณพิ้งค์เธอยังคงเชิดคอนิ่งอยู่ครับ ผมเองก็รู้สึกว่ามันถึงเวลาที่กูคงต้องออกโรงกู้โลกเสียที
“ก็เราว่างนี่ไง" นินกอดอกขมวดคิ้ว ดูท่าจะเตรียมเหวี่ยงแล้วครับ ใจเย็น ใจเย็น... “นี่อย่าบอกนะจะให้น้ำชา-”
“เฮ้ย เราไปเอง" ผมดึงไหล่นินเอาไว้ก่อนที่กองจะล่มไปเสียก่อน นินชะงักเตรียมอ้าปากเถียง แต่ผมส่ายหน้าฉับ "เราแม่งโคตรว่างเลย แล้วก็ยินดีจะเดินไปซื้อให้" ผมบอกในที่สุด
“น้ำชาจะไปเหรอ ดีจังเลย พิ้งค์ขอสิบสองขวด"
“ห๊ะ สิบสองขวด! นี่ซื้อมากินหรือเอาไปอาบวะ-”
“นิน...” ไอสะกิดนินเบาๆ
“ก็พิ้งค์จะซื้อไปฝากที่บ้านนี่นิน สิบสองขวดน้อยไปเหรอ งั้นเอาสิบห้า-”
“โอเคสิบสองขวดนะ" ผมตัดบท ไอ้ห่า นี่คุณเธอจะเอาไปรดน้ำต้นไม้เหรอครับ "เดี๋ยวเรามา ร้านอยู่ไหนเหรอ?” ผมหันไปถาม นินดูหัวเสียนิดหน่อยแถมมองผมด้วยสายตาออกจะเป็นห่วงเป็นใย ก่อนบอก
“มึงเดินเลี้ยวขวาไปจากร้านนะ เดินข้ามไปหนึ่งแยกไฟแดง ช่วงกลางๆถนนเส้นหน้าจะมีโรงหนัง ร้านน้ำมันขายอยู่ตรงนั้นเลย มีเสาวรส น้ำส้ม เฉาก๊วย ว่านหาง แต่มึงเอาเสาวรสมาให้พิ้งค์สิบสองขวดนั่นแหละ พอแล้ว เดี๋ยวแบกไม่ไหว"
“ฝั่งนี้ใช่ไหม?”
“ใช่-”
“พิ้งค์จำได้ว่ามันเลี้ยวซ้ายนะนิน แล้วก็อยู่ฝั่งโน้น" แม่นางทำลอยหน้าลอยตา
“งั้นพิ้งค์คงสมองเสิื่อมแล้วแหละ ไปเช็คหน่อยนะ...ชา ถ้าหาไม่เจอโทรหาโฟล์คนะ เดี๋ยวกูถือโทรศัพท์มันไว้ ขอบใจมาก" นินบอก ผมรู้ว่ามันขอบคุณผมเรื่องอะไร ครับ...เรื่องที่ผมกอบกู้กองถ่ายหนังของแฟนผมไว้ยังไงล่ะครับ
ผมถอนหายใจเบาๆ ตอนแรกไอจะออกเงินให้ แต่ผมปฏิเสธ ส่วนโฟล์ควุ่นวายกับกองมันอยู่ผมเลยไม่ได้ทักบอกอะไรไป เพียงแค่มองแผ่นหลังมันนิดหน่อยก่อนเดินไปตามฟุตบาท
ให้ตายเถอะ...เยาวราชนี่มันขายหรือแจกฟรีวะ คนเยอะชิบหาย ผมพาตัวเองเบียดเสียดกับผู้คนและโต๊ะอาหารที่กั้นเต็มถนนและทางเดิน แยกหน้าแม่งก็สามร้อยเมตรได้ เดินไปก็ราวๆสี่ร้อยเมตรได้ อยากจะรู้จริงๆไอ้เสาวรสอะไรนั่นแดกแล้วบินได้เหรอครับ
แต่พอนึกถึงสีหน้าไอ้โฟล์คเวลามันจริงจังกับงาน หรือแม้กระทั่งตอนที่มันบอกว่าดีใจที่ผมมาออกกองกับมันแล้ว...ก็อดอมยิ้มออกมาคนเดียวไม่ได้ จริงๆแล้ว มันก็ไม่ได้พิเศษอะไร ผมเลือกที่จะไม่ค่อยเชื่อคำพูดพวกนั้น ไม่ว่าจากปากใครก็ตามที...แต่สำหรับโฟล์ค ผมก็...อยากฟังมันพูด...ล่ะมั้ง
ผมรอไฟแดงแล้วค่อยๆพาตัวเองเคลื่อนข้ามแยกไปกับฝูงชน เสียงผัดกะทะร้อนดังฉ่า ควันโขมงทำเอาไอค่อกแค่ก ผมก้าวฉับๆผ่านร้านนรกนั่นมาจนติดกับฝูงชนหน้าร้านนมสด ใช้เวลาสักพักกว่าจะเบียดตัวเองออกมาได้ ให้-ตาย-เถอะ
โชคดีอย่างเดียวของตอนนี้คือผมไม่หลงทาง เพราะไอ้นินมันบอกไว้อย่างกระชับแม่นยำ ผมเดินทอดน่องมาเรื่อยๆจนกระทั่งเห็นโปสเตอร์หนังแปะอยู่เต็มกำแพงตึกแถว มีทางเดินแคบๆและบันไดพาขึ้นไปชั้นบน ด้านหน้าบันไดมีพี่สาวหน้าตาหน้ากลัวใช้ได้นั่งตบแป้งกันอยู่ นี่คือตำนานของโรงหนังเยาวราชสินะ ที่เขาบอกกันว่ามีการซื้อ-ขายกัน แล้วพากันขึ้นไปทำบนโรงหนังเลย
พี่สาวมองกูด้วยสายตาเชื้อเชิญด้วยครับ อยากจะตะโกนสุดเสียงว่ากูเป็นเกย์ แถมแฟนกูยังเป็นไบอีกต่างหาก แต่ก็หาไม่ ผมกระโดดแผล็วไปยังร้านรถเข็นด้านหน้าที่มีอาแปะนั่งประจำที่อยู่ อาแปะเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ในมือก่อนถามผม
“เอาอาราย"
“เอ่อ ผมขอน้ำเสาวรสสิบสองขวดครับ" ผมบอกไปตามใบสั่ง อาแปะแกยิ้มกว้างก่อนกุลีกุจอหยิบถุงมาจัดของ
“ขวดละสามสิบ สิบสองขวกสามร้อยหกสิบ แปะลกห้าย สามร้อยสี่สิบก็พอ"
“ขอบคุณมากนะครับ" ผมรับถุงมา ก่อนเปิดกระเป๋าเงินตัวเองรับแบงค์ร้อยสี่ใบเตรียมส่งให้อาแปะ ช่างเถอะ ถ้าเงินสามร้อยสี่สิบแม่งจะทำให้พิ้งค์ยอมถ่ายหนังดีๆ แล้วก็ช่วยกู้กองถ่ายไอ้โฟล์คได้ ถือว่าซื้อความสบายใจแล้วกัน
ผมยื่นเงินส่งให้อาแปะ แต่อาแปะยังไม่ทันจะรับ มือของใครบางคนก็ยื่นเข้ามาแทรกพร้อมแบงค์พันใบใหม่เอี่ยม ผมชะงักกึก
“แปะครับ เอาของผมจ่าย สามร้อยหกสิบใช่ไหมครับ?” ผมมองไล่ไปตามมือ และพบว่าเป็นโฟล์ค ที่เหงื่อโซมหน้าแถมยังหอบแฮ่ก
“สามร้อยสี่สิบ" แปะแก้ราคา โฟล์คพยักหน้าก่อนส่งเงินให้
“ครับ นี่" แล้วมันก็ก้มลงเท้ามือกับเขาแล้วสูดลมหายใจ
“มึง...มาทำไมวะ?” ผมถามมันอย่างไม่เข้าใจ "นี่วิ่งมาเหรอ แล้วกอง?”
“มึงยังจะถาม มึงเล่นเดินหายไปไม่บอกกล่าว ถ้าแฟนกูหายจะทำไงวะ" มันด่าทั้งที่ยังหอบแฮ่ก
“ประสาท ไม่ถึงกิโล กูเดินกลับถูก" ผมถอนหายใจเบาๆ "นี่ทิ้งกองมาทำไม?”
“ไม่ได้ทิ้ง"
“มึงทิ้งมา ดูก็รู้" ผมว่า รับเงินทอนจากอาแปะส่งให้มัน "ไม่ต้องทิ้งกองวิ่งตามหากูก็ได้โฟล์ค กูไม่ไปไหนหรอก เดี๋ยวก็กลับไป" ผมว่า แต่มันมองผมอย่างจริงจัง
“กูไม่ได้กลัวมึงหายไปไหนน้ำชา" มันบอกเสียงเรียบ "แต่แฟนกู โดนใครแกล้งก็ไม่รู้ ถ้ากูยังปกป้องแฟนกูไม่ได้ ไอ้กองห่านั้นก็ไม่ต้องทำมันหรอก" มันว่าอย่างจริงจัง
“กู-”
“มึงไม่ต้องบอกว่ามึงโอเค เพราะกูไม่โอเค กูไม่ได้เอาเรื่องพิ้งค์ มันไร้สาระ แต่ถ้าพิ้งค์จะไม่เล่นหนังให้กู กูก็โอเค"
“พ่อมึง จะบ้าเหรอ มึงจะเอากองมึงมาเป็นตัวประกันทำเชี่ยไรไอ้สัด ไร้สาระ" ผมด่า ขาก็ก้าวเดินนำ เพราะอาแปะเริ่มมองด้วยสายตาแปลกๆ
“ไร้สาระตรงไหนวะ!" ไอ้โฟล์คเถียงเสียงดัง "ถ้ามึงชอบใครสักคน เรื่องแบบนี้แม่งจิ๊บมาก"
“......”
“ที่ไร้สาระมันมึงต่างหาก มึงจะเดินดุ่มๆออกมาทั้งๆที่รู้ว่าโดนแกล้งเนี่ยนะ"
“ก็เปล่า-”
“มึงไม่เห็นต้องทำ"
“กู-”
“นี่กูโมโหจริงๆนะ เชี่ย แม่งไม่อยากถ่ายต่อแล้วสัดเอ้ย-”
“มึงเลิกโวยวายแล้วฟังกูพูดได้ไหม! นี่กูกำลังปกป้องสิ่งที่มึงรักอยู่ไม่เห็นหรือไง!” ผมโยนถุงขวดน้ำเสาวรสใส่มันเต็มๆจนบางขวดตกแตกหล่นพื้น มันดูจุกจากแรงอัดของน้ำหนัก แต่ก็ยังเสนอหน้าเบิกตามองหน้าผม "กูมีเหตุผลของกู ไม่ใช่ว่ากูไม่แคร์มึงหรือตัวกูเอง"
“......”
“แต่มึงเข้าใจไหมว่านี่เป็นเรื่องของเรา แล้วกูก็รู้สึกว่า ไม่อยากให้มึงมารับผิดชอบคนเดียว"
“......”
“จริงๆแล้วกูก็ไม่รู้ว่าแม่งจำเป็นไหม แต่ไหนๆก็ร่วมหอลงโลงกันแล้ว กูจะปกป้องมึงเหมือนกัน"
ผมเบือนหน้าหนีในคำสุดท้าย โฟล์คนิ่งอึ้งอยู่ตรงหน้าผม มันนิ่งค้างสักพัก ก่อนค่อยๆย่อตัวลงเก็บขวดน้ำบางขวดที่ยังสภาพดีใส่ถุง แล้วถือเอาไว้...
“กลับกันเถอะ" มันว่าเรียบๆ ก่อนยื่นมือส่งมาให้ผม ผมมองหน้ามัน สลับกับฝ่ามือนั่น ก่อนยอมส่งมือให้มันไปในที่สุด
มันเดินจูงมือผมไปตามทางที่เราเดินมา เบียดเสียดไปกับฝูงชน ไม่ได้ปริปากพูดอะไรเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกได้
“ขอบคุณนะน้ำชา"
มันกระซิบบอกผมเมื่อเราเดินกลับมาถึงหน้าร้าน โฟล์คเป็นคนเดินเอาของไปส่งให้พิ้งค์ด้วยตัวเอง ผมสบตากับพิ้งค์ และเธอก็สะบัดหน้าใส่ผม ผมเองก็ไม่ได้เดินกลับเข้าไปด้านในอีกเลย เพราะเลือกที่จะยืนอยู่กับนินที่ริมฟุดบาทหน้าร้าน
โฟล์คเดินกลับมาหลังจากคุยกับพิ้งค์เสร็จ นางเอกแสนดีของเรายังคงสีหน้าบึ้งตึง แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะอาละวาดหรือไม่ยอมเล่นต่อให้...
ผู้กำกับเจ้าปัญหาเดินออกมาอีกที มันยืนมองไฟที่ถูกจัดตรงหน้านิ่งๆ ออกปากเล็กน้อยให้แก้เพื่อให้ได้แสงแบบที่มันต้องการ แล้วก็เลื่อนตัวมายืนข้างๆผม
“หิวไหม?” มันถามเบาๆ ผมไหวไหล่
“นิดหน่อย ทนได้"
“เดี๋ยวไปกินข้าวกันนะ" มันบอก ผมพยักหน้ารับ "แต่เหลืออีกหนึ่งซีนย่อย กับหนึ่งซีนใหญ่ว่ะ ทนหน่อยนะ"
“ได้ ไม่มีปัญหาหรอก เดี๋ยวกูแดกน้ำเสาวรสประทังชีวิต" ผมประชดเล่นๆ ไอ้โฟล์คหัวเราะหึก่อนแบมือตรงหน้าผม
“ขอมือหน่อย"
"ทำไม?” ผมขมวดคิ้ว มันไม่ตอบ แต่คว้ามือผมไปจับไว้แทน
“ชาร์ตพลัง" มันพึมพำ "พลังรัก"
“พลังรักพ่อมึงสิ"
11วันก่อนตกหลุมรัก.
tbc.
มาแล้วค่ะ ดึกเชียว แหะๆ
ไม่ค่อยมีอะไรทอล์คเลยค่ะ ง่วงมาก แต่ทำตามสัญญาแล้วนะคะ
ล่ารักฯพยายามปั่นอยู่ เป็นclimaxเรื่องแล้ว เลยพยายามเขียนให้ดีที่สุด ขอให้ลงตัวแล้วจะมาลงให้อ่านจนจบนะคะ รออีกไม่นานนะคะ
ขอบคุณที่รักโฟล์ค-ชา
รวมถึงแจ็คกี้-มิ ด้วยค่ะ