- 2 - “ตบ..เป็นไงบ้างลูก ดีขึ้นหรือยัง” แม่เล็กมาเยี่ยมอาการลูกชาย หลังทราบข่าวจากสุรทัศว่าพระชายาทรงประชวร
ไม่ได้ร่วมโต๊ะเสวยดังเช่นทุกวันที่ทำเป็นประจำ หายหน้าหายตาทั้งลูกชาย..ลูกเขย
“ไม่เป็นไรมากครับแม่ ผมไม่ได้มีไข้แค่เวียนหัวลุกแล้วมันดูโคลงๆ อยากอ้วกนิดหน่อย”
ผักตบตอบแม่ แอบหลบตาไม่กล้าสบด้วยอย่างเคย เขาไม่อยากบอกแม่เรื่องตั้งท้อง
เพราะมีภารกิจสำคัญให้ต้องสะสางรออยู่ หากแม่รู้เขาท้องอาจจะถูกสั่งห้ามยุ่งเกี่ยว
เช่นเดียวคุณสามีที่ถกเถียงกันมาก่อนหน้านี้ กว่าจะใจอ่อนยอมคล้อยตามแบบไม่เต็มใจยอมด้วยซ้ำ
“แล้วหมอหลวงว่ายังไง” แม่เล็กค่อยเบาใจเมื่อรู้ลูกไม่ได้เป็นอะไรมากมาย
ตั้งแต่เลี้ยงมานับครั้งได้ที่ผักตบจะเจ็บป่วย พอรู้ไม่สบายเลยเป็นกังวลไม่น้อย
ได้เห็นสีหน้าอาการแล้ว ค่อยโล่งอกที่ลูกยังดูปกติแข็งแรงดี ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่
“หมอเขาจัดยาบำรุงให้แล้ว วันสองวันก็หาย” ผักตบรีบบอกแม่ไปตามจริง
หมอหลวงยืนยันแล้วว่า อาการแพ้จะหายอีกวันสองวันนี้
“แม่ชักแปลกใจแล้ววะ แกเป็นแบบนี้อย่าบอกองค์ชายเขารุนแรงกับแกในคืนส่งตัวเข้าหอ”
สีหน้าท่าทางแม่เล็กตอนถาม ดูจริงจังมาก
“แค่กๆๆ!!..แม่ถามอะไรเนี่ยะ” ผักตบถึงกับสำลักน้ำลาย
“อ้าว! ที่ถามนี่ไม่ได้อยากละลาบละล้วง เรื่องส่วนตัวแกหรอกนะ แม่เข้าใจของแบบนี้จนทะลุปรุโปร่ง
แกรู้ดีนะตบอาชีพเดิมแม่ทำอะไรมา การมีอะไรกันผ่านช่องทางด้านนี้ หากฝ่ายทำไม่อ่อนโยนก็นักหนาสาหัสน่าดูเลยทีเดียว
หรือแกอาย..หา!” เจอแม่เล็กทะลุกลางปล้องแบบไม่มีอ้อม ผักตบต้องยอมรับว่าแม่เขามีนิสัยตรงเผงแบบนี้
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกน่า..แม่สบายใจได้ ลูกเขยแม่ไม่ใช่คนหื่นจนไม่สามารถยับยั้งชั่งใจทำรุนแรงผมหรอก
ขืนเป็นแบบนั้นผมสอยร่วงแล้ว แม่ก็รู้ผมยอมใครที่ไหน” ผักตบรีบคลี่คลายสถานการณ์ ให้แม่เข้าใจใหม่
ก่อนจะตีความไปใหญ่โต
“แกยืนยันแบบนี้ค่อยเบาใจ นี่แกถึงกับชมผัวไม่หื่น แสดงว่าคนที่หื่นกลายเป็นแกสิ..ฮะฮ่าๆ..ก็น่าหื่นอยู่หรอก
ผัวหล่อลากปานนี้ ตอนแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ ผู้หญิงปาดน้ำลายเช็ดน้ำหมากแทบไม่ทัน
อะไรจะหล่อสุดติ่งขนาดน้าน!! แม่ล่ะภูมิใจแทนแกจริงๆ ได้ผัวหล่อเป็นถึงองค์ชายว่าที่กษัตริย์
ถ้ายังอยู่สลัมจะเดินอวดยืดคอตั้งเลยคอยดู ใครที่เคยดูถูกเราจะได้รู้กันเสียที..คึคึ!!”
แม่เล็กพรรณนาท่าทางอารมณ์แจ่มใสสุดๆ ผักตบได้แต่อมยิ้มขำอาการแม่ ทั้งชมลูกเขยทั้งอยากอวด เอาเข้าไป..
“แม่..เดี๋ยวนะ..แม่ว่าผมหื่นเหรอ” พอนึกทวนประโยค เริ่มรู้ว่าโดนแม่หลอกด่าไปแล้วยก
“ฮะฮ่าๆๆ..ระหว่างผัวกับเมีย ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่หื่น ไม่หื่นกันสักคนเป็นพวกจืดชืด
มันจะสปาร์คติดได้ยังไงห๊ะ! แกยืนยันเองว่าไม่หื่น ถ้าลูกเขยฉันไม่หื่น ก็ต้องเป็นลูกกูแล้วที่หื่น...ฮะฮ่าๆ เอิ้ก!”
ผักตบหยุดการต่อล้อต่อเถียงแม่ลงทันที สภาพนี้ขืนโต้ด้วยมีแต่พรุนทั้งตัว ในเมื่อเขาจับทางแม่จนรู้แกวดี
มาอีหรอบนี้ตั้งใจแหย่ให้เขาอายอีกตามเคย..
>
>
“เสด็จพ่อว่ายังไงบ้าง” ผักตบถามพระสวามี หลังอีกฝ่ายเข้าเฝ้าเหนือหัวมาก่อนหน้า
“ท่านได้ดำเนินการแล้ว ช่วงที่เจ้าพักฟื้นอาการแพ้ครรภ์ เรามิได้เข้าร่วมไต่สวนหาข้อเท็จจริงประการใด
เสด็จพ่อทรงมีพระประสงค์จัดการด้วยพระองค์เอง เห็นว่าทรงให้ออกจากวังหลวง ห้ามหวนกลับไตรคานอีก
ถือเป็นพระอาญาสถานเบาสุด..ที่จักทรงพระราชทานให้ได้แล้ว”
“ผมเข้าใจ เหตุผลที่พระองค์ทรงเลือกดำเนินการเอง มิให้ตั้งคณะไต่สวนลงอาญา
เป็นเพราะคำว่าสายเลือดเพียงอย่างเดียวจริงๆ”
“เราย่อมเข้าใจเสด็จพ่อเช่นกัน แม้แต่เสด็จแม่เองยังเสียพระทัยไม่คิดไส้ศึกของไตรคานจักเป็นคนใกล้ตัวถึงเพียงนี้”
องค์ชายวายุภักษ์ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงเศร้าหมอง ผักตบอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปกุมพระหัตถ์ของพระสวามีเพื่อปลอบประโลม
“อย่าคิดมากสิครับ คนเราบางทีอำนาจก็ยั่วยวนให้หลงผิดได้ง่าย
ผมเพียงแต่อยากรู้..ทำไมพระปิตุลาถึงยอมหักหลังพวกพ้องของตนเอง”
“เรื่องนี้มีสาเหตุ เสด็จลุงเป็นโอรสที่เกิดจากพระสนมของเสด็จปู่ หากไม่มีเสด็จพ่อ
เสด็จลุงคงได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ไปแล้ว เสด็จพ่อเคารพนับถือเสด็จลุงดั่งพระเชษฐาร่วมพระมารดาด้วยซ้ำ
ทั้งสองพระองค์สนิทกันตั้งแต่เล็ก ใครจะรู้ในพระทัยเสด็จลุง จักเคลือบแฝงความริษยาต้องการราชบัลลังก์
จนยอมร่วมมือกับพระปิตุลาเวฬุวรรณนคร ถึงขั้นยอมตกเป็นเครื่องมือให้เขาใช้สอย
แลกกับการได้เป็นกษัตริย์หากไตรคานกลายเป็นนครใต้อาณัติ เขาสัญญาจักแต่งตั้งเสด็จลุงเป็นกษัตริย์องค์ใหม่
ปลดเสด็จพ่อลงจากราชบัลลังก์แทน” องค์ชายไขข้อข้องใจให้ผักตบทราบในมูลเหตุ
“เรื่องราวซับซ้อนทีเดียว แล้วองค์หญิงศศิธรล่ะ” ผักตบถาม
“น้องหญิงคงเสียใจมาก เก็บตัวเงียบอยู่แต่ตำหนัก” พระองค์ตอบ
“คุณจะไม่ไปเยี่ยมเธอหน่อยเหรอ เธอเหมือนเหลือตัวคนเดียวคงต้องการกำลังใจเป็นอย่างมาก” ผักตบแนะนำพระสวามี
“เรารอเจ้าหายจากอาการแพ้ครรภ์เสียก่อน นี่เจ้าเพิ่งหายได้เพียงสองทิวา อย่างไรเสียเจ้าไปกับเราไหม”
พระองค์ชี้แจงพร้อมตรัสชวนผักตบ ที่ผ่านมาไม่ใช่ไม่คิดไปดูอาการหญิงอ้าย แต่เป็นเพราะว่าผักตบแพ้ท้องอยู่
ซ้ำเรื่องราวเพิ่งจบลงไปไม่กี่วันนี้เอง
“ผมไม่สะดวกหรอก คุณไปให้กำลังใจเธอเถอะ ขืนเธอเห็นผมเข้า แทนที่จะหายเศร้าพานจะอาการหนักเพิ่มเปล่าๆ
ผมตั้งใจไปดูพี่ธารหน่อย แม่บอกพักนี้พี่สาวผมเธอดูไม่ค่อยดี ซูบเซียวผอมกว่าเดิม ไม่สดชื่นเหมือนคนกำลังป่วย
แต่เธอปากแข็งยืนกรานไม่ได้เป็นอะไร” ผักตบบอกเหตุผล
“หลังพิธีอภิเษก เราไม่ได้พบพานองค์หญิงชลธารนานแล้วเช่นกัน มิได้ร่วมเสวยด้วยกันอีก
เช่นนั้นเราฝากเยี่ยมเยือนนางด้วย ข่าวร้ายล่าสุดองค์ชายธรณินพระคู่หมั้น ทรงเข้าพิธีอภิเษกกับองค์หญิงทิพย์เกสร
แห่งนครไอยรา ถือเป็นเรื่องเลวร้ายอยู่มิใช่น้อย สำหรับองค์หญิงชลธาร”
องค์ชายวายุภักษ์ทรงตรัสด้วยความห่วงใย นับว่าพระญาติชายาของพระองค์ที่ใกล้ชิด
นอกจากแม่เล็กก็มีองค์หญิงผู้พี่ซึ่งเป็นฝาแฝดแล้ว
“ครับ..ผมจะบอกเธอให้ คุณไปเถอะ ผมต้องไปแล้วเหมือนกัน”
ปิดท้ายต่างแยกย้ายไปเยี่ยมเยือนบุคคล ที่เป็นหัวข้อสนทนากันแล้ว
“พี่ธารสบายดีหรือครับ” ผักตบถาม หลังเข้ามาภายในห้องนอนของแม่กับพี่สาว
ตอนนี้มีแต่องค์หญิงผู้พี่อยู่เพียงลำพัง ส่วนแม่เล็กเข้าเฝ้าพระมเหสี พักหลังสนิทกันจนไม่ยอมให้ห่าง
“ข้าสบายดีหาได้เจ็บป่วยอันใด เจ้าเล่าเป็นเช่นไร อภัยด้วยที่ข้ามิได้ทำหน้าที่ดูแลเจ้าในยามป่วยไข้
คงรู้ข้าไม่สะดวกจักเข้าห้องบรรทมซึ่งเป็นที่พำนักขององค์ชายวายุภักษ์ กระนั้นข้ายังถามไถ่พระมารดาอยู่เสมอ
มิได้หลงลืมเจ้าแม้เพลาเดียว” องค์หญิงธาร ทรงรับสั่งกับน้องชายฝาแฝด
“ผมหายแล้ว ไม่ต้องขอโทษขอโพยผมหรอก ผิดที่ผมทำพี่กับแม่ต้องเป็นห่วง
ที่จริงไม่ได้เป็นอะไรหนักหนาสาหัสไม่ได้ป่วยไข้ เวียนศีรษะกับอาการไม่คงที่ของกระเพาะอาหารเท่านั้นเอง
ตอนนี้หายดีแล้วครับ เป็นห่วงพี่มากกว่า พักนี้พี่ซูบผอมลงไปมาก ผิวพรรณหน้าตาไม่สดชื่นสดใสอย่างเคย
พี่แน่ใจไม่เป็นอะไรจริง” ผักตบวกถามเข้าเรื่องพี่สาวอีกครั้ง ด้วยความกังวลจากใจ
“ข้าบอกเจ้าแล้วมิเป็นไร อาจเป็นเพราะเสวยน้อยไม่เจริญอาหาร ทั้งสถานที่พำนักสิ่งแวดล้อมมีผลเล็กน้อย
เจ้าอย่าได้กังวล ว่าแต่มาหาข้าด้วยเหตุนี้กระนั้นหรือ” องค์หญิงทรงตรัสถามถึงเหตุผลอื่น
“ผมเป็นห่วง..เราไม่ได้พบหน้าหลายวันทีเดียว” ผักตบบอกตรงๆ
“หึหึ! เจ้าเอาเพลามาห่วงใยข้าสวามีเจ้าเล่า มิเสด็จมาพร้อมเจ้า”
นางถามถึงองค์ชายวายุภักษ์ด้วยรู้สึกแปลกพระทัยไม่น้อย ยากที่สองคนนี้จักห่างกัน ทุกทีตัวติดกันตลอด
ได้ข่าวอนุชาประชวร พระสวามีแทบมิย่างกรายออกจากห้องบรรทมด้วยซ้ำ ยกเว้นเลี่ยงไม่ได้เมื่อมีราชการให้เข้าเฝ้า
“องค์ชายไปตำหนักองค์หญิงอ้าย” อีกฝ่ายทำพระพักตร์แปลกพระทัยในคำพูดเขา
“เจ้ายินยอมให้พระสวามี ไปเพียงลำพังเยี่ยงนั้นหรือ”
“เป็นไรครับองค์หญิงอ้ายกำลังลำบาก พี่ธารอย่าบอกผมเชียวนะ
ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเสด็จพ่อองค์หญิง ที่เป็นไส้ศึกให้พระปิตุลา” ผักตบหรี่ตาจ้องสบเนตรสวยพี่สาวอย่างจับผิด
“ข้ามิปฏิเสธดอกย่อมรู้เช่นกัน ก่อนหน้าข้ามิอาจล่วงรู้ผู้ใดกันหรือ ที่พระปิตุลาทรงเลือกใช้ให้เป็นไส้ศึกในไตรคาน
บางเรื่องราวข้าก็มิอาจรู้ได้ เช่นเรื่องพระบิดาพระมารดาเราสองพี่น้อง ถูกปล้นราชบัลลังก์เยี่ยงไรเล่า”
องค์หญิงอธิบายให้พระอนุชาฟังอย่างมีเหตุผล
“เรื่องนี้ผมไม่วางเฉยแน่ครับ ตั้งใจปรึกษาพี่ธาร พี่มีแผนหรือเปล่าทำให้เราสองคนเข้าวังหลวงได้
จากนั้นค่อยลงมือแก้แค้น ไม่ให้พระปิตุลาไหวตัวได้ทัน ทำได้ไหมครับ” ผักตบเสนอแนะวิธี
“เจ้าคิดกระทำเยี่ยงไร” นางรับสั่งถามทันควัน
“ผมแค่ต้องการกลับไป โดยไม่ประกาศตั้งตัวเป็นศัตรูพระปิตุลาอย่างโจ่งแจ้ง พี่ติดต่อขอรับผิดนำผมกลับไป
ทำยังไงก็ได้ให้ทางนั้นไว้ใจ ว่าเราไม่มาแก้แค้นเอาคืน ผมอยากกลับบ้านเกิดกับพี่
บอกเขาไปตามจริงผมไม่ถนัดปกครองบ้านเมือง ตามจารีตประเพณีที่นี่หรอก ผมเติบโตยังดินแดนที่วัฒนธรรมแตกต่าง
ขอให้ได้เหยียบแผ่นดินถิ่นกำเนิด แค่ได้รู้ว่าแผ่นดินนี้คือ ที่ซึ่งครอบครัวบรรพบุรุษของผมอยู่กันมา
พี่ธารพอทำได้ไหม แบบแนบเนียนไม่ให้พวกเขาคิดว่าเราหวังแก้แค้น ทำให้พวกเขาเชื่อว่าพี่สำนึกผิดแล้ว”
สีหน้าท่าทางผนวกแววตาของผักตบ ดูจริงจังหนักแน่นไม่เสแสร้งในคำพูดแต่อย่างใด องค์หญิงผู้พี่สำรวจอย่างระมัดระวัง
“ข้าสามารถกระทำได้ เช่นนั้นเจ้าจักให้ข้าเริ่มดำเนินแผนเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วกระมัง
ว่าเจ้าพร้อมที่จะออกเดินทางยามใดกัน” ผักตบคลี่ยิ้มอย่างหล่อ หลังพี่สาวรับปาก
“พี่เริ่มได้เลยครับ ผมพร้อมออกเดินทางไปกับพี่ทันที”
“พระสวามีเจ้ายินยอมกระนั้น พระมารดาเล่าจักทำเยี่ยงไรดีหรือ” นางยังมิอาจคลายพระทัยต่อบุคคลที่กล่าวถึง
“ไม่เป็นปัญหา ผมมีวิธีจัดการ” ผักตบรับคำ
“ก่อนอื่น ข้าว่าเจ้าหาวิธีแก้ปัญหาของเจ้าเสียก่อนเถิด”
“ปัญหาอะไรครับ” ผักตบถามทันควัน
“ข้ารู้สึกสังหรณ์บางอย่าง แลมิชอบมาพากล เจ้าจักไปตำหนักองค์หญิงอ้ายพร้อมข้าหรือไม่ บางทีอาจมีคำตอบอยู่ที่นั่น”
“ทำไมหรือครับ พี่มีอะไรบอกผมมาตรงๆ”
ถามด้วยรู้สึกตงิดใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว กับท่าทางมีลับลมคมในของพี่สาวฝาแฝด
“ข้ามิอาจพลั้งวาจาอันใดไป นอกเสียจากเจ้าประจักษ์เอาเอง”
“ถ้างั้นไปครับ พาผมไปตำหนักองค์หญิงอ้ายกันเลย ผมก็อยากรู้ว่ามีอะไรที่นั่น”
ผักตบตัดบท ก่อนจะลุกยืนรอคนชี้นำเป็นผู้พาไปตำหนักองค์หญิงศศิธร ซึ่งก่อนหน้าพระสวามีไปนานแล้ว
ทั้งสองต่างดำเนินโดยไร้ผู้ติดตาม ผักตบสั่งห้ามไม่ให้องครักษ์หรือผู้ใดตามมาด้วย
โดยไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มบางเบาที่จุดขึ้นมุมโอษฐ์ ขององค์หญิงชลธารเลยแม้แต่น้อย
“โปรดประทานอภัยเพคะ องค์หญิงไม่สะดวกต้อนรับผู้ใด ทรงมีรับสั่งห้ามมิให้ผู้ใดรบกวนเพคะ”
นางกำนัลรีบเข้าสกัด ขัดขวางสองพี่น้องในทันที หลังแจ้งความจำนงว่าจักมาเยี่ยมเยือนเจ้าของตำหนัก
“เป็นเช่นนั้นดอกหรือ ใยเราไม่ทราบมาก่อน เรารู้แค่ว่าก่อนหน้านี้องค์ชายวายุภักษ์
พระสวามีอนุชาเราเสด็จมาประทับที่นี่” องค์หญิงผู้เจนชั้นเชิง กลับมีรับสั่งดักทางนางไว้ได้อย่างทรงพระปรีชายิ่ง
ยังผลให้นางกำนัลผู้รับบัญชาถึงกับหน้าถอดสี เรื่องที่ทรงตรัสล้วนเป็นความจริง แต่นางยังคงยืนกรานดื้อแพ่ง
มิให้เสด็จล่วงล้ำไปยังห้องบรรทม แม้จะรู้ว่าบุคคลตรงหน้ามีศักดิ์ฐานะใดก็ตาม
“กระนั้นข้าพระองค์มิอาจทราบเพคะ คงเป็นข่าวโคมลอยกระมัง องค์หญิงของเรามิได้ต้อนรับผู้ใดในพระตำหนักเพคะ รบกวนพระชายากับพระพี่นางเสด็จกลับเถิดเพคะ ข้าพระองค์จักถวายรายงานองค์หญิงทราบ หากมีพระประสงค์อันใด
จักถวายรายงานทั้งสองพระองค์อีกครั้ง..เพคะ” ถือว่านางกำนัลผู้นี้ ทำหน้าที่ได้แข็งขันนัก
“บังอาจ!..เจ้ากล้าโป้ปดมดเท็จต่อหน้าเรา กับพระชายาเชียวหรือ รู้หรือไม่มีโทษสถานใด”
พระสุรเสียงทรงตวาดจากโอษฐ์สวย ที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจ ทำเอานางอกสั่นขวัญแขวนยืนเหงื่อตก
หน้าซีดปากสั่นไปแล้ว ด้วยไม่มีใครไม่รู้ถึงพลังฝีมือ ขององค์หญิงผู้ถือครองเทพมหาธาตุผู้นี้
“เจ้าไม่อนุญาต คิดหรือเราจักยินยอม” รับสั่งเสร็จผายพระหัตถ์เรียกเทพมหาธาตุอัคคีตรึงนางเป็นหุ่นไปในพริบตา
จากนั้นไม่รีรอย่างบาทก้าวนำผักตบเข้ายังส่วนในของตำหนัก ดิ่งตรงไปยังห้องบรรทมประหนึ่งคุ้นเคยอย่างดิบดี
แทบไม่ต้องมองทางด้วยซ้ำ ว่าเลาะเลี้ยวมุมไหน ทรงใช้เวลาไม่ถึงอึดใจ ทั้งคู่ก็มายืนอยู่หน้าประตูที่ปิดสนิท
มีนางกำนัลรับใช้สนิทสองนาง เฝ้าหน้าประตูด้วยอาการใบหน้าแดงก่ำ ผิดปกติพอสมควรกับท่าทางหน้าขึ้นสี
เหมือนขวยอายอะไรกันอยู่ คำตอบไม่ต้องรอให้สืบ เสียงที่เล็ดลอดดังออกจากภายในห้อง
“อ๊ะ!..อย่าซุกซนสิเพคะเสด็จพี่วายุ..อ้าหห์” ไม่รอช้า ผู้ที่ขมึงเนตรดุดันจนน่ากลัวยิ่ง
สายพระเนตรแดงเพลิงประหนึ่งโทสะลุกโหม ข่มขวัญพวกนางได้แต่ยืนตะลึงนิ่งค้าง
ไม่สามารถทัดทานห้ามปรามพระหัตถ์ขาวซึ่งเต็มไปด้วยพลัง เพียงสะบัดก็พังประตูให้เปิดผั๊วะ! ในทันทีทันใด
“ว๊ายย!!..โอ๊ะ!..”
ภาพที่เห็น บนเตียงบรรทมขนาดใหญ่ องค์ชายวายุภักษ์ถูกคร่อมทับ ด้วยร่างแน่งน้อยบอบบางเจ้าของตำหนัก
อาภรณ์เนื้อบาง มีบางส่วนหลุดร่นจากลาดไหล่เนียน เปิดเปลือยผิวพรรณผุดผาดให้เห็น แม้จะยังไม่หลุดจากพระวรกาย
แต่ก็เพียงพอแล้วกับคำตอบที่เห็นกันโจ่งแจ้ง ว่าทั้งคู่กำลังปฏิบัติภารกิจอันใดอยู่
ผักตบนิ่งค้าง สีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกหรือแสดงอาการใดๆ ผิดคาดในความนึกคิดขององค์หญิงชลธารนัก
ที่เห็นกิริยาพระอนุชาสงบเยือกเย็นน่ากลัวอย่างไม่มีสาเหตุ ส่วนพระองค์นะหรือ..ทั้งที่เตรียมพระทัยเอาไว้ล่วงหน้า
พอเห็นภาพหวาดเสียวกับสายพระเนตร ทำไมพระอุระด้านซ้ายเหมือนดั่งถูกฉีกกระชากแตกเป็นเสี่ยงๆ
ความรู้สึกนี้ช่างทรมานเจ็บปวดรวดร้าวสิ้นดี มิเคยคาดคิดสักนิดพระองค์ต่างหากคือผู้ที่เจ็บปวดกว่าใคร
เมื่อเห็นคาสายพระเนตรว่าสตรีงดงามที่เคยกกกอดสิเน่หาหลายราตรีก่อนหน้า กำลังอยู่ในอ้อมพระกรแกร่งของบุรุษ
ที่ขึ้นชื่อเป็นพระสวามีพระอนุชา แม้นจะเป็นแผนการที่เตรียมเอาไว้ แต่ไฉนพระองค์ร้อนรุ่มพระทัยยิ่งนักเล่า...
“ผักตบ..เจ้า..เจ้า” องค์ชายวายุภักษ์ รับสั่งกระท่อนกระแท่นไม่ปะติดปะต่อ ผุดลุกขึ้นประทับยืนสำรวม
ด้วยสภาพอาภรณ์ฉลองพระองค์ยับย่นพอสมควร พระพักตร์ซีดเผือดประหนึ่งนักโทษที่มีความผิดร้ายแรง
กำลังวิงวอนขอความเมตตาจากผู้พิพากษา
“ขออภัยองค์หญิงด้วยที่เข้ามาอย่างไร้มารยาท ขัดขวางภารกิจสำคัญ ไม่ให้ค้างคาเชิญต่อตามสบายเลยครับ”
พูดจบหันหลังออกจากห้องด้วยท่าทางนิ่งมาก ลำคอแกร่งตั้งตรงลาดไหล่ผายไม่มีงองุ้ม
สีหน้าแววตายากคาดเดาที่สุด ว่าคนพูดเสียใจผิดหวังหรือประชดประชันกันแน่
องค์ชายไม่รอช้ารีบผลุนผลันถลันตามออกไปในทันที
“เสด็จพี่เพคะ เสด็จพี่กลับมาก่อน” พระองค์ไม่สนใจหยุดรับฟังหรือหันวรกายกลับด้วยซ้ำ
แม้เสียงร่ำร้องอัสสุชลนองพักตร์สวย จะแลดูน่าสงสารสักปานใด เพลานี้ดวงหทัยของพระองค์
ทรงมุ่งมั่นอยู่เพียงผู้เดียวที่พระองค์ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้
“เจ้าทำสำเร็จแล้ว..น้องหญิง” สุรเสียงแผ่วโหย พร้อมวรกายทรุดฮวบยังพระเก้าอี้เหมือนสิ้นแรง
พระพักตร์อ่อนล้าอาดูร มิได้รู้สึกดีพระทัยในแผนการณ์ ที่ริเริ่มจากแนวความคิดของพระองค์เลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่องค์หญิงศศิธร ผู้ที่สมควรจะปรีดาในความสำเร็จตามพระดำรัสองค์หญิงผู้มอบโอกาสซึ่งหลุดลอยไป
ให้ยื้อแย่งกลับคืนด้วยการใช้เพทุบายสร้างความร้าวฉานเกิดขึ้น เห็นชัดว่าเรื่องนี้สำเร็จลงแล้ว
เหตุไฉนในความดีใจนั้น กลับมีหมอกควันบางอย่างที่ปกคลุมให้รู้สึกหดหู่อย่างไม่มีเหตุผล ยามสบดวงเนตรงามโศกสลด
ของผู้ที่ประทับนั่งประหนึ่งสิ้นเรี่ยวแรงพระกำลัง ร่างงดงามดูกระจ้อยร่อยบอบบางอย่างน่าสงสาร
องค์หญิงศศิธรมิอาจปฏิเสธได้ว่า สตรีตรงหน้ากำลังทำพระองค์ไขว้เขวอย่างหนัก
จนถึงกับตัดใจทอดทิ้งไม่ดูดายนิ่งเฉยได้เลย
“ท่านเป็นไรแล้ว ใยเป็นเช่นนี้” ทรงตรัสถามด้วยรู้สึกกังวล
“ข้าคงเจ็บป่วยแล้ว ขอพักสักครู่จักกลับตำหนัก” องค์หญิงธารทรงดำรัสตอบ
“อย่าได้กล่าวห่างเหินเยี่ยงนี้อีก” พระดำรัสปิดตาย ก่อนโอษฐ์อิ่มได้รูปสวย
จักแนบสนิทหยุดวาจาทั้งหลายทั้งมวลลงไว้แต่เพียงแค่นั้น....
มาตอนดึก หนังตาจะปิดแล้ว พรุ่งนี้มาต่ออีกตอนนะคะ
ราตรีสวัสดิ์ค่ะ หลับฝันดีทุกคน

ปล. ใครที่โอนเงินจองหนังสือ แล้วยังไม่ได้แจ้งหลักฐานการโอนพร้อมชื่อที่อยู่
รบกวนส่งเมลล์แจ้งมาด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่ะที่อุดหนุนให้กำลังใจกันเสมอมา
