- 2 -“พี่ธารตำหนักเย็นอยู่ส่วนไหนครับ” ผักตบถามพี่สาว พอมีจังหวะอยู่ตามลำพังในพระตำหนัก
ขณะนี้ทั้งคู่สนทนาในห้องโถงของพระตำหนัก จิบชาร้อนก่อนเข้าบรรทมตามธรรมเนียม
“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร ว่าที่นี่มีตำหนักเย็น” ผู้เป็นพี่ถาม ด้วยทรงรู้สึกแปลกพระทัย
เนื่องจากตำหนักลึกลับมีกฎห้ามมิให้ผู้ใดกล้ำกราย ถือเป็นตำหนักที่มีไว้กักขังเหล่าสนมประพฤตินอกรีต
ให้หมดลมหายใจตายไปในตำหนัก โดยมิอาจเห็นแสงเดือนแสงตะวัน
“มีใครไม่พูดถึงตำหนักลึกลับของเวฬุวรรณ นครอื่นไม่มีใครเขาสร้างตำหนักสำหรับกักขังนางสนม
ที่กระทำความผิดแบบนี้หรอก ไตรคานเองก็ไม่มี แปลกตรงไหนที่ผมจะได้ยินได้ฟังมาครับ”
ผักตบรีบออกตัวก่อน หลังจับพิรุธจากสีหน้าพี่สาวฝาแฝดได้ชัดเจน
“เป็นเช่นนั้นดอกหรือ ข้าเพิ่งรู้ชื่อเสียงตำหนักเย็นกลับเป็นที่สนใจของผู้คนแล้ว
เหตุใดเจ้าจึงสนใจเช่นเดียวกัน” นางตั้งข้อสงสัย
“พี่ไม่สนใจบ้างหรือ พี่เติบโตในวัง เคยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตำหนักเย็นบ้างไหม
เอาตรงๆ พี่เคยเข้าไปดูในตำหนักหรือเปล่า”
“ไม่ดอก..ถือเป็นข้อห้ามมีอาญาร้ายแรง จัดเป็นโทษทัณฑ์สูงสุดสำหรับผู้ฝ่าฝืน ไม่เว้นแม้แต่ราชนิกุล
หากล่วงล้ำเข้าไป จักได้รับการตัดสินลงอาญาโดยมิต้องรอไต่สวน” องค์หญิงผู้พี่ ไขความข้องใจให้ผักตบฟัง
“ยิ่งห้ามก็ยิ่งน่าสนนะพี่ เอาเป็นว่าสมมติ ผมหมายถึงยกตัวอย่าง ว่าพ่อกับแม่เรายังไม่ตาย
แต่ถูกกักขังไว้ในตำหนักเย็น โดยคนที่ลงมือทำประสงค์ให้พวกท่านสิ้นพระชนม์ในนั้น
พี่ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ครับ แล้วแกล้งประกาศราชโองการปลอมว่าพ่อแม่เราสองคน สิ้นพระชนม์แล้ว”
ผักตบยกอ้างแนวความคิดของตนเองให้พี่สาวฟัง
“มิน่าเป็นเช่นนั้นได้ คราเสด็จแม่ข้ามิอาจยืนยัน แต่เสด็จพ่อแล้ว ข้าเติบโตจนรู้ความ ท่านเย็นชาต่อข้านัก
หาได้ใกล้ชิดมอบความรักดังบิดาพึงกระทำต่อธิดาตนแต่อย่างใด กระนั้นพระศพข้าก็ได้เข้าเฝ้าประจักษ์ชัด
มิเป็นดังที่เจ้ากล่าวแน่แท้” ชลธารหลงกลน้องชาย โดยไม่ทันรู้องค์เข้าแล้ว เมื่อพลั้งเผลอหลุดเผยความลับในพระทัยออกมา
“พี่พูดอะไร พ่อไม่รักดูแลพี่อย่างนั้นหรือ ไหนพี่เคยบอกผมว่าพ่อเราถูกชิงราชบัลลังก์ไป”
ผักตบจ้องพักตร์ขาวซีดของพี่สาว หลังรู้องค์ทรงพลั้งพระโอษฐ์ตรัสอะไรออกมา
“คะ..ข้าหมายความเช่นนั้น เพียงแต่เสด็จพ่ออาจไม่ทรงโปรดธิดาแล้วกระมัง หากเป็นเจ้าซึ่งเป็นโอรสคงแตกต่างกัน
มิมีกษัตริย์องค์ใดไม่โปรดปรานโอรสที่จักสืบทอดราชบัลลังก์” ถือว่าเธอยังมีไหวพริบที่แก้ไขทัน
“พี่คิดมากไปหรือเปล่า ผมว่าเรื่องความรู้สึกของเสด็จพ่อยังไม่ต้องนำมาเป็นประเด็น ถ้าพี่ยืนยันพ่อเราตายยังไง
ร่วมพิธีศพท่านด้วย ตัดประเด็นนี้ออกไป พูดถึงแม่ดีกว่า เป็นไปได้แม่เรายังมีพระชนม์ชีพ แต่ถูกกักขังไว้ในตำหนักเย็น”
ผักตบเซ้าซี้ไม่เลิก
“เจ้าคิดเยี่ยงนี้หรือ” คราวนี้ได้ผล เมื่อจุดประกายความอยากรู้ให้พี่สาวคล้อยตามได้ เธอเองแม้จะเติบใหญ่ขึ้นที่นี่
แต่ไม่เคยย่างกรายเฉียดตำหนักเย็น ซ้ำไม่เคยตั้งประเด็นหาคำตอบเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของพระมารดา
ได้แต่รับฟังคำบอกเล่าที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาเท่านั้น จะโทษเธอไม่ได้ ในเมื่อขณะนั้นพระบิดาผู้เป็นเสด็จพ่อ
ซ้ำยังเป็นกษัตริย์ทรงครองราชบัลลังก์ ทรงมีอำนาจทุกอย่างใยมิคลี่คลายหาคำตอบ พานทำให้องค์หญิงผู้พี่
จ้องหน้าน้องชายอย่างสับสนปนเปไปหมด
“หากเป็นดังที่เจ้ากล่าว ข้ากลับแปลกใจใยเสด็จพ่อจึงไม่ค้นหาความจริง ครั้งที่พระองค์ทรงครองราชบัลลังก์”
เธอตรัสถามตามที่คิด
“พี่คงไม่เฉลียวใจ ผมฟังจากผู้คนในไตรคานเขาเล่าลือ หลังแม่สิ้นพระชนม์พ่อก็ไม่เป็นอันทำอะไร
ยกให้พระปิตุลาสำเร็จราชการทุกอย่าง จนเรืองอำนาจกอบกุมไว้ในมือหมด แบบนี้ท่านจะมีเวลาใคร่ครวญได้ไหม
บางทีคนวางแผนอาจจะรู้จุดอ่อนของพ่อเราดี ว่าแม่คือจุดอ่อนนั้น จึงใช้วิธีกักขังท่านไว้ แล้วแจ้งว่าท่านสิ้นพระชนม์
จนทำให้พ่อจมอยู่ในโรคซึมเศร้า ไม่เป็นอันทำอะไรได้” ผักตบมีเหตุผลที่ฟังดูน่าเชื่อถือทีเดียว
คนเป็นพี่เริ่มขมวดพระโขนงเรียว ความจริงที่เธอไม่อาจปฏิเสธคือ พระบิดาจมอยู่กับความโศกเศร้า
ไม่เป็นอันทำอะไรอย่างที่น้องชายพูดไม่ผิด คนรับหน้าที่สำเร็จราชการคือ ‘พระปิตุลา’
“เช่นนั้นเจ้ากำลังชักชวนข้า..” องค์หญิงผู้พี่จ้องสบตาผักตบนิ่ง
“ถูกแล้วครับ..คืนนี้เราลักลอบเข้าตำหนักเย็นกันเถอะ” คำตอบของผักตบ ไม่ผิดไปจากที่เธอคาดเดาไว้
“เจ้ามิกลัวต้องอาญากระนั้นหรือ หากถูกจับได้เราสองพี่น้อง ใยมิศีรษะหลุดจากบ่า
อย่าลืมแม้นเราจักเป็นทายาทอดีตกษัตริย์ แต่อำนาจตกอยู่กับพระปิตุลา
กษัตริย์องค์ปัจจุบันยังเป็นเจ้าพี่ธรณิน เกรงจักมิได้รับพระเมตตาเป็นแน่”
องค์หญิงผู้พี่ กลับไม่แน่ใจในตัวเหนือหัวธรณิน เพราะเคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาก่อน
ถึงยามคับขันเกรงมิทรงละเว้นโทษตายให้
“พี่อย่าลืมสิ ผมกับพี่มีเทพมหาธาตุคุ้มครองกาย ทำไมจะลักลอบเข้าในตำหนักไม่ได้
ปล่อยเป็นหน้าที่ผมจัดการทหารยาม พี่แค่นำทางผมไปก็พอ ตกลงไปกันนะ”
ผักตบเร่ง โดยสร้างความมั่นใจให้พี่สาวไปในตัว
“กระนั้นเจ้าก็มิควรลืมเช่นกัน ในวังหลวงนอกจากทหารยามแล้ว ยังมีการกำกับด้วยเขตแดนเวทย์มนต์
ยังมีมหาธาตุธรณีของเจ้าพี่ธรอีก ไว้ป้องกันไส้ศึกศัตรูที่ลักลอบเข้ามา
แมลงสักตัวก็ใช่จะหลุดเข้าไปในเขตกางอาคมได้ เจ้ากับข้าเกรงว่ามิอาจลอดหูลอดตาเช่นกัน”
เป็นข้อมูลใหม่ ที่ผักตบเพิ่งรู้ สถานที่ต้องห้ามถูกกำกับด้วยเขตเวทย์มนต์
“มีวิธีทำลายไหม” เขาเผลอถามอย่างลืมตัว
“หากข้ารู้ ใยต้องรอให้เจ้าถามกันเล่า” เจอพี่สาวย้อนเฉย
“อ้าว! พี่ก็มีเวทย์มนต์ ไม่รู้วิธีทำลายหรือครับ”
ผักตบแม้จะรู้สึกเคืองพี่สาวเล็กน้อย ดันย้อนหน้าตายเล่นเอาเขาอึ้งเหมือนกัน
แต่ก็แก้ลำยกอ้างความสามารถเวทย์มนต์ของพี่สาว
กึ่งยกยอกึ่งหวังเป็นที่พึ่งไม่ให้แผนเกิดการล้มเลิกขึ้นกลางคัน
“บางทีเจ้าแลดูฉลาดลึกล้ำ บางครั้งดุจทารกไร้เดียงสาเสียเช่นนั้น
อย่าได้โกรธเคืองที่ข้าวิจารณ์ เวทย์มนต์ย่อมมีข้อจำกัด ผู้ใดจักเก่งกล้าสามารถเทียบเท่ากันได้
ยุคนี้จอมขมังเวทย์ย่อมเป็นพระปิตุลา ผู้ถ่ายทอดให้ข้าได้เรียนรู้ เช่นนี้เจ้ายังจะมั่นใจข้าอีก
สามารถประมือเวทย์มนต์กับผู้เป็นพระอาจารย์กระนั้นหรือ ใยมิเท่ากับลูกไก่ท้าตีท้าต่อยพญาอินทรีย์”
ผักตบอึ้งกิมกี๋เป็นหนสอง เจอพี่สาวย้อนไปไม่เป็นทีเดียว เขาดันมั่นใจในตัวชลธาร พอฟังแบบนี้คงเกินกำลังอีกฝ่ายจริงๆ
“อ้า! นึกออกแล้ว ผมสามารถสร้างเกราะอำพรางกายเราสองคน ลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง
คราวนี้ก็ไม่มีอะไรมาตรวจจับได้แล้ว” เหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ เผลอดีใจยิ้มปากกว้าง..
จนองค์หญิงผู้เป็นพี่สาวนึกเอ็นดูในพระทัยอย่างไร้อคติเป็นครั้งแรก
กิริยาท่าทางผักตบในสายพระเนตรสร้างความรู้สึกเอ็นดูให้เธอยิ่งนัก..
“เจ้าทำข้าขบขันแล้ว หากเกราะมหาธาตุช่วยกำบังกายต้านพระเวทย์ได้ ใยข้าต้องลำบากอีก
ข้าก็สามารถสร้างเกราะเทพมหาธาตุเช่นกัน ต้องรอให้เจ้านึกออกเยี่ยงนี้หนอ..คิกคิก!!”
เธอหัวเราะไม่เก็บพระอาการ เพราะทรงขบขันความคิดพระอนุชาขึ้นมาจริงๆ
“ไม่เหมือนกันครับ เกราะมหาธาตุของพี่ไม่ทรงพลังเหมือนของผม พี่ลืมไปข้อผมมีจตุรเทพมหาธาตุ
ไม่ใช่เทพมหาธาตุทั่วไป เวทย์มนต์หรือพลังเทพมหาธาตุไม่สามารถตรวจจับได้ ไม่เชื่อพี่ลองทดสอบดู
ตรวจรู้ถึงขุมพลังของผมหรือเปล่า” ผักตบท้าพิสูจน์ ปกติก่อนจะมีพลังจตุรธาตุทั้ง 4
พลังเทพมหาธาตุธรรมดาสามารถตรวจเจอได้ เหมือนที่องค์ชายวายุภักษ์เพียงจับชีพจรเข้าก็รู้ในทันที
แต่หากนับพลังล่าสุด มีแต่ผู้ซึ่งมีพลังชนิดเดียวกันเท่านั้นที่ตรวจรู้ได้
“น่าแปลกนัก ข้ากลับไม่รับรู้ถึงการคงอยู่ของพลังมหาธาตุในกายเจ้าเสียแล้ว
เสมือนเจ้ามิมีพลังอันใด เจ้ามีอยู่จริงหรือล้อข้าเล่น” องค์หญิงทรงตรัสถามด้วยความสงสัย
เมื่อเธอไม่สามารถตรวจหาขุมพลังในร่างของพระอนุชา เลือดลมล้วนสงบปานน้ำไร้ระลอกก็ว่าได้
“บอกแล้วพี่ตรวจไม่เจอหรอก นอกจากพี่จะครองจตุรธาตุเหมือนผมเท่านั้น ผมรู้แค่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
อยู่ในสภาวะสมดุลไม่แยกกลุ่ม น้ำหนักมวลสารบริสุทธิ์รวมเป็นหนึ่ง
ไม่ต้องยกมือวาดท่ากำหนดลมปราณเรียกใช้ เพียงกำหนดจิตสั่งการก็สามารถใช้พลังมหาธาตุได้แล้ว”
ผักตบอธิบายให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้พี่สาวไม่เปลี่ยนแผนที่เขาตั้งใจไว้
“เอาเถอะ..เมื่อเจ้าสามารถกระทำได้จริง ข้าจักนำเจ้าลักลอบเข้าไปในตำหนักเย็น”
ผักตบยิ้มกว้าง กว่าเขาจะล่อหลอกชักจูงชลธารสำเร็จ
ก็ต้องใช้กลยุทธ์ไม่น้อยเลยทีเดียว ในที่สุดก็ได้รับการรับคำเรียบร้อย
“ถ้างั้นไปกัน นี่ก็ดึกแล้วด้วย” ผักตบชวนขึ้นในทันที
“เจ้าสร้างเกราะเสียที่นี่ แค่ก้าวออกประตูก็เจอกับเขตอาคมแล้ว”
องค์หญิงผู้พี่ทรงรับสั่ง คนเป็นน้องไม่รอช้า
รีบกำหนดจิตสร้างเกราะรอบวรกายของทั้งคู่ ค่อยสาวเท้าเคียงคู่ออกไปจากห้อง
“ขอประทานอภัยพะยะค่ะ พระองค์จักเสด็จหนใด”
กลับชะงักอึ้ง จู่ๆ ร่างใหญ่โตใบหน้าชวนขนหัวลุก โผล่มาขวางค้อมหัวถามเขาดื้อๆ
“ผมจะไปข้างนอก คุณไม่ต้องตามไป รออยู่ในนี้ไม่นานก็กลับมา”
ผักตบถอนหายใจ ยอมบอกให้องครักษ์พิทักษ์ม้ารับรู้
“หามิได้พะยะค่ะ ข้าน้อยรับคำสั่งองค์ชายให้มาคุ้มครองพระองค์ หากจักทรงเสด็จยามวิกาล
ทรงอนุญาตให้ข้าน้อยไปด้วยเถิด..พะยะค่ะ”
ผักตบอึ้งไปกับท่าทีของพยัพนนท์แล้วจริงๆ ไม่คิดอีกฝ่ายจะขอตามไปด้วย
“เห้ย! คุณไปไม่ได้ มันอันตราย” เขาหลุดห้ามเสียงหลง
“นั่นยิ่งต้องกระทำแล้วพะยะค่ะ สถานที่อันตรายใยพระองค์เสด็จ
เยี่ยงนี้ข้าน้อยมิอาจปล่อยผ่านได้เช่นกัน ทรงโปรดยินยอมให้ข้าน้อยตามไปอารักขาเถิด..พะยะค่ะ”
ผักตบจนคำพูดที่จะห้ามปรามแล้วตอนนี้
“เจ้าช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง อย่าได้เสียเวลาอันใดกับชายอัปลักษณ์ผู้นี้อีก
ปล่อยเป็นหน้าที่ให้ข้าตรึงร่างเขาเถอะ ขืนชักช้าจักเสียการใหญ่ได้”
องค์หญิงชลธารทรงรับสั่ง ค่อยผายพระหัตถ์เรียกใช้เทพมหาธาตุ
“เดี๋ยวครับพี่ธาร! ให้เขาไปกับเราด้วย” ผักตบสบตาที่มีหนังห้อยปุ่มป่ำปิดจนแทบมองไม่เห็น
แต่เขาสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่น รีบห้ามไม่ให้พี่สาวสะกดร่างของอีกฝ่าย
“เจ้าแน่ใจ ใยไม่เพิ่มภาระเราแล้ว” องค์หญิงทัดทาน
“ข้าน้อยจักมิเป็นภาระให้พระองค์ พะยะค่ะ”
พยัพนนท์รีบรับคำทันควันเช่นเดียวกัน ด้วยทีท่ามั่นใจจักไม่เป็นภาระให้ผู้ใด
“ถ้างั้นตามมา” พูดจบกำหนดจิต สร้างเกราะมหาธาตุยังร่างหนุ่มเลี้ยงม้าเพิ่มอีกคน
ก่อนยกขบวนก้าวตามชลธารไปยังจุดหมาย น่าแปลกมาก ตลอดรายทางไม่มีใครเห็นพวกเขาเลย
เป็นผลของเทพมหาธาตุกำบังกายหยาบ ให้กลายเป็นอากาศธาตุไปแล้ว
“ข้าต้องขอชื่นชมเจ้า ที่สามารถกำบังกายดุจหายตัวได้”
พี่สาวชมน้องชายจากความรู้สึกในพระทัย เพราะทดสอบแล้วว่าได้ผล
“ขอบคุณครับ” ผักตบยิ้มให้องค์หญิงชลธาร ใช้เวลาไม่นานก็สามารถลัดเลาะจนถึงหน้าพระตำหนักดำทะมึน
แลดูทรุดโทรมดุจตำหนักร้างอันเก่าแก่ เหมือนปราสาทผีสิงในหนังที่ผักตบเคยดูยังไงยังงั้น
“อึมครึมทรุดโทรมได้น่ากลัวขนาดนี้ ยังมีทหารยามดูแลแน่นหนาแปลกไหมพี่ธาร”
ผักตบเปรยขึ้น หลังพวกเขาลอบดูการตรวจตราเวรยามของหน่วยทหารรักษาการณ์ ที่มีไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนเห็นจะได้
“นั่นสิ ใยข้าไม่นึกถึงเรื่องเหล่านี้มาก่อน”
องค์หญิงธารทรงรู้สึกคล้อยตามความคิดของพระอนุชาอยู่พอสมควร
“ไม่ต้องชักช้า..เราแอบเข้าไปข้างในกันเถอะ” ผักตบตัดสินใจเอง
“เดี๋ยวก่อน! เจ้าจักผลุนผลันเข้าไป โดยมิจัดการทหารยามเกรงว่า
คงไม่ง่ายที่เราจะผ่านเข้าไปเสียแล้ว” องค์หญิงผู้พี่ทักท้วง
“จัดการพวกเขาทำไมครับ ขืนเราทำแบบนั้นย่อมเป็นที่ผิดสังเกต” ผักตบตอบกลับทันควัน
“เช่นนี้จักเข้าไปเยี่ยงไร ต่อให้มองไม่เห็น แต่ใช่จักไม่รับรู้ตัวตนของพวกเรา
เกราะมหาธาตุกำบังกาย แต่หาได้ช่วยกำบังดวงจิตมีชีวิตของพวกเราไว้ได้ไม่
ทหารยามบางนายมีจิตสัมผัสพิเศษ แม้นไม่แน่ใจก็ต้องถวายรายงานพระปิตุลาเป็นแน่แท้
หากความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ คาดว่าคงไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิดเสียแล้ว”
ผักตบพอได้ฟัง ค่อยรับรู้เกี่ยวกับความสามารถพิเศษของหน่วยทหารยามบางนาย ที่จัดมาดูแลตำหนักเย็น
“โห!..ทหารของเวฬุวรรณมีความเก่งกล้าเฉพาะตัวขนาดนี้เชียว” เขาเผลอหลุดปากชม กึ่งป้อนคำถามตามไปด้วย
“ใยมีเพียงเวฬุวรรณพะยะค่ะ ไตรคานใช่จักไม่มี แม่ทัพนายกอง
ล้วนเก่งกล้าด้านเวทย์มนต์จิตสัมผัส เช่นองครักษ์กลกะลาคือหนึ่งในนั้น”
ผู้เอ่ยแทรกกลับเป็นพยัพนนท์ที่หุบปากนิ่ง ไม่แสดงความคิดเห็นตลอดทาง ดันแก้หน้าให้ไตรคานไปแล้ว
“เจ้าช่างมิอาจยอมให้ไตรคานด้อยค่า แต่องครักษ์ผู้นี้กลับกล่าวถูกต้อง เป็นเช่นนั้นแล้ว
หาใช่มีเพียงเวฬุวรรณดอกที่ทหารจักสามารถด้านเวทย์มนต์ นครอื่นก็ย่อมมีเช่นกัน” ผักตบจึงเข้าใจเพิ่มขึ้นอีก
“ถ้างั้นต้องสะกดพวกเขาสินะ แต่ขืนสะกดพวกเขาก็ต้องรู้ตัวอยู่ดี
คงไม่แตกต่างกับเปิดเผยให้รู้ว่าพวกเราบุกรุก มีค่าเท่ากันจะเกิดประโยชน์อะไรเล่าครับ” ผักตบแสดงความคิดเห็น
“มิลำบากเช่นนั้นดอกพะยะค่ะ ข้าน้อยจักล่อเป้าสร้างเหตุการณ์ให้พวกเขาสับสน
สองพระองค์ฉวยโอกาสที่ข้าน้อยเบนความสนใจครั้งนี้ ลักลอบเข้าส่วนในพระตำหนักเถิดพะยะค่ะ”
องค์หญิงกับผักตบพอรับฟัง แม้ว่าจะเกิดคำถามคาใจ อีกฝ่ายจะทำยังไง แต่ก็ยอมผงกศีรษะรับคำ
ไม่ทันไรร่างใหญ่โตก็ทะยานออกไป ยังส่วนที่เป็นพุ่มไม้ขึ้นบดบัง พร้อมกับก่อเสียงดังกร๊อบแกร๊บ
เจตนาให้เกิดการเคลื่อนไหวขึ้น จนพวกทหารตรวจตราในบริเวณนี้ เคลื่อนขบวนดิ่งมาตรวจสอบยังจุดของสาเหตุ
สร้างโอกาสให้สองพี่น้องฝาแฝด แอบลอบเข้าพระตำหนักอย่างไม่รอช้า
ผักตบไม่รู้ตื้นลึกหนาบางทักษะฝีมือพยัพนนท์ แต่คนที่ทำให้เขาคลายกังวลกลับเป็นชลธารพี่สาว
ที่เปรยด้วยพระสุรเสียงกึ่งชมเชยเบาๆ
“เจ้าคนเลี้ยงม้าดูท่าฝีมือไม่ใช่ชั่ว กลับเข้าขั้นงำประกายเสียด้วย ผู้คนไตรคานล้วนประมาทมิได้จริงๆ”
ผักตบถือเป็นดำรัสช่วยให้เขามั่นใจ พยัพนนท์จะเอาตัวรอดจากการถูกจับกุมได้แน่
“เทพอัคคีจงฟังข้า จงให้แสงสว่างแก่ข้าในบัดดล”
สิ้นพระดำรัส เปลวเพลิงก็ลุกพรึ่บ ขับไล่ความมืดมิดในพระตำหนัก ให้สามารถมองเห็น
“พี่ธารเป็นอะไรไปครับ” ผักตบรีบเข้าประคองร่างพี่สาว มีท่าทางเหมือนจะล้ม
องค์หญิงเองก็งุนงง เพียงเรียกใช้พลังเทพมหาธาตุ ถึงกลับคล้ายจะหมดแรงไปเสียเช่นนั้น
“หยุดเรียกใช้พลังเถอะครับ” ผักตบรีบบอกให้เธอยุติ
การเรียกใช้เทพมหาธาตุลงในทันที พระอาการจึงค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว
“เช่นนั้นเราจักอยู่ในความมืดมิด หากเจ้าไม่เรียกเทพอัคคีเพื่อให้ช่วยสร้างแสงสว่าง”
นางยังคงรับสั่งกับพระอนุชา ให้ทราบปัญหาสำคัญ
“ไม่ต้องห่วง ดูนี่เสียก่อน” ผักตบล้วงเข้าไปในเสื้อผ้า
ก่อนจะนำไฟฉายที่ติดตัวเตรียมมาพร้อม กดเปิดสร้างแสงสว่างแทนมหาธาตุอัคคี
“โอ้! เจ้ามีเวทย์มนต์น่าทึ่ง” องค์หญิงชลธารเพิ่งประจักษ์หนแรก
กลับทรงคิดไม่แตกต่างผู้คน ที่เคยเข้าใจว่าผักตบมีเวทย์มนต์เช่นกัน
“ฮะฮ่าๆๆ..ครับเวทย์มนต์ทันสมัย” ผักตบบอกแค่นั้น แอบขำไปกับความคิดของพี่สาวอีกเล็กน้อย
สองพี่น้องค่อยสาดไฟสำรวจภายในพระตำหนัก ซึ่งมีกลิ่นตุๆ ไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่
ก่อนเกิดเสียงประหลาดพาเอาให้ตกใจเล่น หากขวัญอ่อนคงขนหัวลุกตั้งชันกันไปแล้วเรียบร้อย
“ฮือออ..อือออ..” เสียงครางแหบโหย อยู่มุมใดมุมหนึ่งดังพอได้ยิน
เสริมบรรยากาศประหนึ่งบ้านผีสิง แต่ไม่สามารถข่มขวัญสองพี่น้องผู้ถือครองเทพมหาธาตุได้สำเร็จ
“มีผู้คนอยู่มุมนั้น” ชลธารพี่สาวรีบบอก น้องชายสาดไฟส่องยังจุดที่มาของเสียงประหลาด
เห็นร่างตะคุ่มผมเผ้ากระเซิงปิดบังหน้าตา แต่ยังพอเดาได้ไม่ยากเป็นสตรีสองนาง
ลุกลี้ลุกลนมุดหัวหลบแสงไฟหัวซุกหัวซุน ด้วยพวกนางมิเคยพานพบแสงเจิดจ้าเช่นนี้มาก่อน
“กลัว..กลัวแล้ว ข้ากลัวแล้ว” ต่างละล่ำละลักบอกให้รู้กำลังกลัว
“พวกคุณเป็นใครครับ ไม่ต้องกลัว..พวกเรามาดี”
ผักตบก้าวเข้าไปใกล้ให้มากขึ้น พวกนางยิ่งคลานหลบชุลมุนลนลานเข้าไปใหญ่
“มิมีประโยชน์อันใด นางมิใช่พระมารดาดอก หากจำไม่ผิดคงเป็นแม่นมกับนางกำนัลที่เล่าลือ
ล้วนมีสติวิปลาสกันกระมัง” ชลธารพี่สาวตรัสบอกกับผักตบ จนเขาเริ่มนึกถึงบุคคลจากการบอกเล่าที่รับฟังมา
มหาโหราผู้เฒ่าเล่าให้ฟัง ตอนเปิดเผยชาติกำเนิดของเขาครั้งนั้น
ร่วมกับการวิเคราะห์ขององค์ชายวายุภักษ์พระสวามี พลันแจ่มชัดในหัว
“พวกเขาสติไม่ดีจริงหรือครับ” ผักตบย้ำถาม
“ย่อมเป็นเช่นนั้น หามีประโยชน์อันใดหากเจ้าจักถามความกับผู้มีสติวิปลาสเยี่ยงนี้
ข้าบอกเจ้าแล้วว่า มิมีอันใดในตำหนักเย็นดอก” ชลธารรีบตอกย้ำ เพื่อให้ผักตบเลิกล้มความสนใจพวกนาง
“ถ้าไม่สำคัญ แล้วทำไมถึงเป็นเขตห้วงห้ามคุ้มกันอย่างแน่นหนา”
ผักตบกลับแย้งพี่สาวให้ฉุกคิด จนเธอเองก็จนคำพูดโต้กลับ
“เรื่องนี้ข้ามิอาจล่วงรู้เช่นกัน พอจำความได้ก็รับรู้ตำหนักนี้เป็นสถานที่ต้องห้ามเสียแล้ว” องค์หญิงทรงตรัสบอก
“หรือพวกนางกุมความลับสำคัญ ซึ่งมีใครสักคนไม่ต้องการให้เปิดเผยเรื่องราว
ถึงได้กักขังพวกนางเอาไว้ พร้อมทั้งทำให้มีสติวิปลาสด้วย พี่ธารว่าพอเป็นไปได้ไหม”
ผักตบจี้ตรงประเด็น เขาไม่เคยคาดหวังว่าแม่ผู้ให้กำเนิดจะยังมีชีวิตอยู่
เพียงแค่ต้องการความจริงที่ไม่มีการใส่สีตีไข่ หรือปั้นเรื่องแต่งขึ้นใหม่ก็เท่านั้น
โดยมั่นใจว่าคำตอบที่ถูกต้อง อยู่กับสตรีสูงวัยซอมซ่อสองคนตรงหน้าขณะนี้แล้ว
“แล้วจักทำเยี่ยงไร เจ้าสามารถช่วยให้พวกนางคืนสติกลับคืนดุจผู้คนปกติได้เยี่ยงนั้นหรือ
หากเป็นเช่นนั้นอย่าได้รีรอ ขืนชักช้าอาจถูกจับ” ชลธารไม่ยอมเสียเวลาไปกว่านี้ จึงถามผักตบตรงๆ
“ไม่แน่ใจ แต่ผมจะลองดู” พูดจบ เขาตรึงสตรีสูงวัยทั้งคู่ด้วยพลังเทพมหาธาตุทันที
แม้แต่ชลธารยังไม่รับรู้ถึงการเรียกใช้พลังเลยด้วยซ้ำ เพราะผักตบไม่ต้องแสดงท่าทางเอ่ยคำพูด
ก็สามารถใช้พลังมหาธาตุได้ จากนั้นก็ตรงเข้าไปจับชีพจรข้อมือ กำหนดจิตส่งพลังผ่านนิ้วไปยังร่างของสตรีคนแรก
ที่ยังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามเป็นใคร เขาไม่รู้วิธีรักษา อาศัยเดินพลังมหาธาตุ
ตั้งใจนึกถึงความต้องการอยากให้คนตรงหน้าที่เขากำลังสัมผัสขณะนี้ หายจากอาการที่เป็นอยู่ด้วยจิตมุ่งมั่นเท่านั้น
กลับส่งผลให้กลุ่มควันขาวลอยออกจากศีรษะนาง พร้อมอาการตาเบิกค้างเหลือกลานกันครู่ใหญ่
แล้วแน่นิ่งลงไปทันที สร้างความร้อนใจให้ผักตบ พานคิดว่าเธออาจถูกเขาเผลอทำร้ายเข้าโดยไม่รู้ตัว
“แย่แล้วพี่ธาร ผมทำเขาบาดเจ็บหรือเปล่า” ด้วยไม่แน่ใจ จึงไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ
“ไม่น่าใช่รอดูสักครู่เถอะ ข้าเห็นกลุ่มควันบางอย่างลอยออกจากศีรษะของนางอยู่พักนึง เจ้าอาจทำสำเร็จ”
พอฟังพี่สาวตอบมาแบบนั้น เขาค่อยเบาใจ ไม่ต้องรอนานร่างที่ฟุบไป ค่อยขยับลืมตาจ้องพวกเขางงๆ
เหมือนไม่เข้าใจว่า หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีงดงามสูงศักดิ์ตรงหน้าคือใครกัน
“พวกเจ้าเป็นใคร แล้ว..แล้วมารร้ายราชครูเล่า อยู่ที่ใดเสียแล้ว”
นางเอ่ยถาม ตามด้วยอาการตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“เดี๋ยว..ใจเย็นก่อน พวกผมมาดีไม่ได้มาร้าย ผมเป็นคนช่วยคุณ”
ผักตบรีบบอก นางยิ่งตกใจสีหน้างงหนักต่อคำพูดคำจาของเขา เป็นผลให้องค์หญิงผู้พี่ต้องเขาช่วยคลี่คลาย
“เรามีนามองค์หญิงชลธาร ธิดาของกษัตริย์หัสดินและพระมเหสีนรินทร์ธร
ส่วนท่านนี้คืออนุชาของเรานามผักตบ อาจเอื้อนเอ่ยวาจาแปลกหูท่านบ้าง
เพราะเขามิได้เติบโตตามธรรมเนียมของพวกเรา”
“โอ้! ข้าน้อยสมควรคารวะพระธิดาพระโอรสเพคะ ฮึก..โฮฮฮๆๆ!!”
นางรีบคลานหมอบราบพร้อมกับปล่อยโฮ สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับสองพี่น้องไม่แตกต่างกัน
“เกิดอันใดขึ้น..เจ้าอย่าเพิ่งร่ำร้อง ขืนเสียงดังเกรงจักไม่ปลอดภัย ผักตบจักทำการใดรีบลงมือเร็วเถิด
หากเจ้าจักช่วยพวกนางก็อย่าได้ชักช้า รีบนำพาพวกนางออกไปพำนักตำหนักข้า
มีเพียงที่นั่นเขตอาคมครอบงำไม่ได้ ข้าใช้เทพมหาธาตุสร้างเกราะป้องกันเอาไว้”
ชลธารรีบบอกอนุชา เมื่อเห็นท่าไม่ดีเสียแล้ว ขืนรอช้าจะยุ่งกันไปใหญ่
“ได้ครับ ถ้างั้นผมพาอีกคนกลับไปรักษาตำหนักพี่จะดีกว่าครับ”
ผักตบไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบอุ้มเอาร่างที่โดนเขาสะกดมาไว้ในอ้อมแขน
แล้วก้าวนำออกไปก่อน โดยชลธารผู้เป็นพี่สาวรับหน้าที่พยุงอีกคน
ที่ได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นแอบลอบกลับออกจากตำหนัก โดยเล็ดลอดทหารยามได้อย่างไม่ลำบาก
เห็นพากันยกขบวนโร่ไปทางนั้นทีทางนี้ที ไม่รู้กำลังเล่นซ่อนแอบหาอะไรกันอยู่
ที่แน่ๆ คงไม่พ้นตามหาพยัพนนท์คนเลี้ยงม้า ถือว่าการลักลอบเข้ายังตำหนักเย็นครั้งนี้
ไม่เสียเที่ยวแล้ว เมื่อพบต้นตอความลับสามารถคลี่คลายปมปริศนา
พามาหลบยังพระตำหนักขององค์หญิงชลธารเป็นที่เรียบร้อย
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่า..เกราะมหาธาตุที่ทรงมั่นพระทัยได้กำกับขึ้นหามีเสียแล้ว
สาเหตุจากพระกำลังที่อ่อนแรงถูกสูบกลืนเทพมหาธาตุของตะขาบแก้ว
ความเข้าใจที่ว่าทรงสร้างเกราะเทพมหาธาตุป้องกันรอบตำหนัก จึงเป็นการหลงผิดมหันต์
ผักตบก็ไม่ล่วงรู้สักนิดว่าเกราะมหาธาตุของพี่สาวไม่ได้มีอยู่ เพราะเขาเชื่อถือชลธารจึงไม่ทันได้ระวัง...
มาอัพตามนัดแล้วนะคะ เจอกันอีกทีวันพุธนะคะ
ขอบคุณทุกกำลังใจมากๆ ค่ะ ที่คอยติดตามกันมาจนเข้าสู่โค้งสุดท้ายของเรื่องแล้ว
ปล.ใครที่โอนตังค์แล้วยังไม่ได้แจ้งโอน พร้อมชื่อที่อยู่จัดส่งหนังสือ รบกวนแจ้งมาด่วนนะคะ