ถ้าให้รักก็อย่าร้าย ตอนที่ 20
สถานที่ที่พี่ชินพาผมมานี้เรียกว่าเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์อยู่ในกรุงเทพฯนี่เองครับ มองไปรอบๆแล้วบรรยากาศดีใช้ได้เลย อ่านป้ายคร่าวๆจะมี 4 ย่านคือ
ย่านเจริญกรุงมีพวกร้านขายของที่ระลึกและโรงละครที่แสดงหุ่นละครเล็กโจหลุยส์ โชว์จากคาลิปโซ่ คาบาเร่ต์ ย่านกลางเมืองเป็นโซนอาหารนานาชาติแล้วก็ลานกิจกรรมต่างๆครับ ส่วนย่านโรงงานมีร้านค้า ร้านอาหารและผับ โซนสุดท้ายเรียกย่านริมน้ำย่านนี้ถือเป็นจุดชมวิวแบบพาโนราม่าริมแม่น้ำเจ้าพระยาเลยทีเดียว ดูแล้วน่าเที่ยวเกือบทุกย่านเลยครับ ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีที่แบบนี้อยู่ในกรุงเทพฯด้วย
ผมกับพี่ชินลงเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมกินข้าวกันอีกรอบ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งก่อนเรือจะเทียบท่าแล้วพี่ชินก็พาผมเดินเล่นต่อ เข้าร้านโน้นออกร้านนี้ทั้งร้านเสื้อผ้า ของที่ระลึก หรือพวกโปรเตอร์ต่างๆพี่ชินชวนผมแวะเกือบทุกร้าน ก่อนหน้านี้มีถามเหมือนกันครับว่าอยากดูการแสดงรึเปล่า แต่ผมบอกไม่ดูขอเดินย่อยดีกว่าเลย ได้เดินสมใจ เล่นพาผมเดินซะหอบลิ้นห้อย
วันนี้เป็นวันหยุดคนค่อนข้างเยอะเหมือนกัน พี่ชินเดินจูงมือหรือไม่ก็ยกแขนขึ้นมาพาดไหล่ผมตลอด ถ้าไม่ใช่คอยกันคนเดินมาชนก็คงกลัวผมไปทำอันตรายคนอื่น แต่ผมคิดว่าเป็นอย่างหลังมากกว่าครับ
“พี่ชินผมหิวน้ำ” ผมบอกหลังเดินคอแห้งมาได้ซักพัก
“เอาน้ำอะไรเดี๋ยวไปซื้อให้”
“ไม่เป็นไร ผมไปเองดีกว่าพี่”
“นั่งรอตรงนี้แหละเดี๋ยวกูมา”พี่ชินเดินแยกออกไปไม่ฟังที่ผมพูด ผมก็ได้แต่มองหาที่นั่งรอตามคำสั่ง แล้วก็เจอเก้าอี้ว่างไม่ไกลเท่าไหร่
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ ช่วยถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหมคะ” นั่งตูดยังไม่ทันร้อนก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาถามผมพร้อมโทรศัพท์ในมือเตรียมยื่นให้
“ได้ครับ” ผมตอบก่อนรับไอโฟนมาถือ ผู้หญิงที่เดินมาหาผมกวักมือเรียกเพื่อนเกือบ 10 คนให้มาถ่ายรูปพร้อมกัน ความวุ่นวายเล็กๆจึงเริ่มขึ้นแต่พอจัดท่าได้ผมก็เริ่มกดชัตเตอร์พร้อมบอกให้เปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ
“แกๆ มีผู้ชายแอบมองฉันแหละ” ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มพูดกับเพื่อนที่เป็นสาวประเภทสองเสียงไม่เบาเลยครับ ได้ยินกันทั่ว
“แอร๊ยยย มองฉันรึเปล่าแก ยิ้มให้ด้วยดูสิๆ”
“เขาต้องแอบชอบแกแน่เลย ฉันเห็นเขามาหยุดมองตั้งแต่พวกเราเริ่มถ่ายรูป” เพื่อนอีกคนเสริมขึ้นมาบ้างครับ
“แกจะบ้าเหรอ หล่อขนาดนั้นฉันว่ามองนังหลิวนั่นแหละ” คราวนี้คนที่เดินมาหาผมเป็นคนสนับสนุนเพื่อนคนแรกที่คาดว่าชื่อหลิวครับ
“เออฉันยอมแกก็ได้นังหลิว แกมันสวยนี่ แล้วเอาไงเข้าไปคุยเลยไหม” สาวประเภทสองพูดขึ้น
“จะบ้าเหรอจะให้ฉันไปคุยกับผู้ชายก่อนเนี๊ยะนะ”
“ถ้าแกไม่เอาฉันเอานะนังหลิว”
“ได้ไง เขาสนใจฉันไม่ได้สนใจแกซะหน่อย” พูดเสร็จคนชื่อหลิวก็เดินแยกตัวออกไปทางที่บอกว่ามีคนมองอยู่ทันที ผมมองตามยิ้มๆอดขำไม่ได้ทั้งที่ตัวเองก็หน้าตาดี แต่ไม่รู้เพราะกลัวเพื่อนแย่งหรืออะไรถึงทำให้กล้าออกตัวแรงไม่แค่ภาพลักษณ์เรียบร้อยที่ผมเห็นขนาดนั้น
จังหวะที่ผมเอาโทรศัพท์คืนเจ้าของสายตาก็ดันเห็นผู้ชายที่ถูกพูดถึงมาตั้งแต่แรกว่าคือพี่ชินนั่นเองครับ แม่งบอกไปซื้อน้ำ ที่ไหนได้มาแอบยืนมองสาว
“ขอโทษครับพอดีผมไม่สะดวก” เสียงพี่ชินดังมาแว่วๆ
“ทำไมล่ะคะ ถ้าไม่สะดวกให้ไลน์จะให้เป็นเบอร์โทรเลยก็ได้ค่ะ” ตอนแรกบอกไม่กล้า แต่ที่ผมเห็นนี่เลยคำว่าหน้าด้านไปไกลแล้วนะครับ ผู้ชายไม่ให้ยังจะตื้ออีก
“ผมมีแต่ hi 5 ทักมาก็ได้นะครับ”
“แหม รูปหล่อแล้วยังตลกอีกนะคะ แบบนี้สเป็คเลย”
“ฮ่าๆ ถ่ายรูปเสร็จแล้วใช่ไหมครับ” อยู่ๆพี่ชินที่หัวเราะกับสาวก็ถามขึ้นทำเอาบรรดาเพื่อนๆที่กำลังมองทำหน้างงกันเป็นแถวเลยครับรวมทั้งผมด้วย
“เสร็จแล้วค่ะ มีอะไรหรือป่าวคะ”
“ถ้าเสร็จแล้ว ผมขอตัวแฟนผมคืนน่ะครับว่าจะพาไปเที่ยวต่อ” พี่ชินพูดพร้อมรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้าหล่อกระชากใจ ไม่รู้ต้องการทดสอบเสน่ห์ของตัวเองรึไงถึงได้ชอบทำให้ผมตาพร่าเพราะรอยยิ้มแบบนี้บ่อยๆ
“กรี๊ดดดดดด......มึง กูจะเป็นลมเขาเป็นแฟนกันอ่ะ” ผมที่กำลังหน้าร้อนฉ่าเพราะความอายถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของเหล่าสาวแท้สามเทียมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“แอร๊ยย อะไรยังไงมึงบอกกูที”
“ไม่จริงอ่ะ ชะนีอย่างกูจะเหลืออะไร”
“อดนะคะนังหลิว สุดหล่อเค้าไม่แดกชะนีค่ะ”
“ไปกันเถอะ เวลาของมึงเป็นของกูไม่ใช่ของคนอื่น”
ไอ้พี่ชินแม่งโคตรหน้าด้านเลยครับ กล้าประกาศตัวว่าเป็นแฟนกับผู้ชายด้วยกันยังไม่พอ พี่แกเล่นเดินยิ้มหวานเข้ามากอดคอแล้วก้มลงกระซิบข้างซอกหูให้ผมขนลุกขึ้นไปอีก เสียงกรี๊ดที่เพิ่งเงียบดังขึ้นอีกรอบผมนี่ก้มหน้ามองพื้นอย่างเดียวเลยไม่กล้าสบตากับใครเลยบอกได้คำเดียวว่าโคตรอาย
ได้ยินเสียงซุบซิบรอบๆตัวนะแต่จับใจความไม่ได้ เพราะเสียงหัวใจตัวเองมันเต้นดังกว่าอีกครับ
ระหว่างที่ทำอะไรไม่ถูกรู้ตัวอีกทีข้อมือผมก็ถูกดึงให้เดินห่างจากคนกลุ่มนั้นซะแล้ว
“อ่ะน้ำมึง”
“ขอบคุณครับ” ผมขอบคุณเบาๆหลังพี่ชินส่งขวดน้ำเปล่าเย็นเจี๊ยบมาให้ ผมกับพี่ชินเดินมาไม่ไกลก็เจอเก้าอี้ว่างเลยนั่งพักขาข้างกัน
“เหนื่อยไหม
“เหนื่อยแต่สนุกมากเลยพี่”
“แล้วยังไหวไหม”
“ตอนนี้ไม่ไหว ขอพักซัก 10 นาทีนะพี่ ไม่งั้นขาผมขาดแน่ๆ”
“เวอร์นะมึง ขี่หลังกูเอาไหม”
“ไม่! เดี๋ยวพี่ก็มาว่าผมตัวหนักเป็นหมูอีก”
“รู้ดีนะมึง เหนื่อยก็นั่งพักก่อนเดี๋ยวค่อยเดินต่อก็ได้ ยังไม่เห็นได้อะไรซักชิ้นเลยนี่”
“แค่ดูก็พอแล้วพี่ ผมไม่อยากได้อะไรหรอก”
“แล้วพี่ล่ะไม่อยากได้อะไรบ้างเหรอ ผมไม่เห็นพี่ซื้ออะไรเลย” ผมถามพี่ชินบ้างเมื่อมองดูแล้วยังไม่เห็นพี่ชินซื้ออะไรเหมือนกันครับ
“ของที่กูอยากได้มันซื้อไม่ได้หรอก ถึงมีเงินมากขนาดไหนก็ซื้อไม่ได้ แต่แค่ที่ได้รับอยู่ตอนนี้ก็พอแล้วว่ะ”
“...” ไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆครับ ถ้าความรักมันสั่งกันได้ผมจะสั่งให้ตัวเองรักพี่ชินซะเดี๋ยวนี้เลยจะได้ไม่มีใครต้องเจ็บ พี่ชินก็ไม่ต้องเจ็บเพราะผม ผมก็ไม่ต้องเจ็บเพราะไปหลงรักพี่ตินณ์ แต่เพราะมันสั่งไม่ได้ทั้งผมและพี่ชินถึงต้องเจ็บเหมือนตอนนี้
“เงียบเลย กูล้อเล่นน่าอย่าไปคิดมากกูพามาเที่ยวให้สนุกจะมาทำหน้าเครียดทำไมวะ เอ้ายิ้มหน่อย ” เสี้ยววินาทีผมเห็นแววตาเศร้าๆของพี่ชินมองตรงมาที่ผม ก่อนเปลี่ยนเป็นร่าเริงเหมือนเดิมพร้อมยกมือขึ้นยีหัวผมแรงๆ
รู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่เห็นแววตาแบบนั้น ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากให้พี่ชินต้องมีสายตาแบบนั้นเพราะผม
พี่ชินไม่ควรเลย....ไม่ควรรักผมจริงๆ
“ยิ้มแบบนี้รึเปล่า” ผมแกล้งยิงฟันจนเกือบครบสามสิบสองซี่ใส่พี่ชิน
“เออแบบนี้แหละยิ้มไว้นะอย่าหยุดยิ้ม”
“เฮ้ย! ผมไม่ได้บ้านะพี่ คนดีๆที่ไหนจะยิ้มได้ตลอดเวลา”
“อ้าวเหรอ แต่กูว่ามึงทำได้นะ”
“นี่พี่เห็นผมเป็นคนบ้ามาตลอดเลยเหรอ”
“กูไม่ได้พูดนะ มึงพูดเอง” นี่หลอกด่าผมทั้งที่ยิ้มๆเนี๊ยะนะ แม่งร้ายจริงๆผู้ชายคนนี้
“พี่ชิน!!” ผมเรียกพี่ชินเสียงดัง แต่กลับได้รับรอยยิ้มกวนๆกลับมาแทนหน้าตาสำนักผิดที่ผมอยากได้รับ
“กูล้อเล่นน่ามึงจะได้ไม่เครียด แล้วหายเหนื่อยรึยังจะได้เดินต่อ” แบบนี้จะเครียดหนักกว่าเดิมไหมล่ะ พี่ชินแม่งชอบเอาเรื่องจริงมาล้อเล่นหว่ะ
“ไม่ไหวอ่ะ สงสัยผมต้องเสียขาอันเป็นที่รักไปแล้วแน่เลย” ผมแกล้งว่าพร้อมทำท่านวดขาไปด้วย
“ถ้าเสียไปแล้วก็คงไม่มีประโยชน์ ต้องตัดทิ้งแล้วว่ะ”
“เฮ้ย! พี่ชินแม่งใจโหดไปนะ จะตัดขาผมเลยเหรอ”
“แล้วจะเอาไว้ทำไม”
“พี่แม่ง ก็คนมันขี้เกียจเดินแล้วอ่ะ เออใช่พี่ชินขึ้นชิงช้าสวรรค์กันไหม” ผมบ่นก่อนนึกขึ้นได้ ที่นี่มีชิงช้าสวรรค์ด้วยครับเป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงมาก สูงกว่าชิงช้าสวรรค์ตามงานวัดไม่รู้กี่เท่า ผมแหงนหน้าขึ้นมองชิงช้าสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้า ทำไมไม่คิดได้ตั้งนานแล้ววะอยู่ตรงหน้าแท้ๆ
“ขึ้นชิงช้าสวรรค์เนี๊ยะนะ มึงเป็นเด็กรึไง”
“อื้อ เด็กโข่งอ่ะ” ตอบแต่ตาก็ยังไม่ล่ะไปจากชิงช้าสวรรค์ตรงหน้า
“หึหึ ไม่อายรึไง ผู้ชายสองคนขึ้นชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน” ผมหันมาสบตาพี่ชินที่จ้องผมอยู่ก่อน
“ไม่อาย หรือพี่อาย” ก็ตอนนี้มันเมื่อยผมขี้เกียจเดินแล้วอ่ะ เรื่อยอายเอยอะไรไม่สนแล้วขอนั่งดูวิวรอบๆแบบไม่ต้องเดินดีกว่า
“ไม่อาย” พี่ชินตอบนิ่งๆ จริงจังไปไหนวะ
“พี่ไม่อาย งั้นก็ไปดิ” ผมว่ายิ้มๆก่อน มองไปทางที่ขายตั๋ว
“ก็ไปดิ๊” พี่ชินว่ากลับกวนๆเหมือนกันครับ พูดจบก็จูงมือผมออกเดินไปที่ช่องขายตั๋วทันที
ไม่นานผมก็มาห้อยต่องแต่งอยู่บนกลางอากาศ กระเช้าที่ผมกับพี่ชินนั่งเคลื่อนตัวไปช้าๆ ข้างบนนี้นอกจากวิวจะสวยแล้วบรรยากาศยังดีมากเลยครับ มีทั้งแม่น้ำ แสงไฟ และลมเย็นๆที่พัดมาตลอดเวลา
ผมนั่งมองวิวกรุงเทพฯยามค่ำคืนที่มีแต่แสงไฟ ตัดกับความมืดของท้องฟ้าที่ไม่มีดาวซักดวงทั้งที่ตอนนี้ก็ ใกล้จะ 5 ทุ่มเข้าไปทุกที ผมปล่อยใจให้คิดถึงเรื่องต่างๆระหว่างผมกับพี่ชินและพี่ตินณ์
อีกไม่นานก็จะหมด1วันที่ได้เป็นแฟนกับพี่ชินแล้ว หลังจากนี้ระหว่างผมกับพี่ชินจะเป็นยังไงต่อไปผมนึกภาพไม่ออกจริงๆครับ แต่ที่รู้ๆคือวันนี้ผมมีความสุขมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พี่ชินดูแล เอาใจใส่ผมอย่างดีแม้ว่าจะไม่ต้องทำก็ได้ แล้วที่ผมแปลกใจคือทั้งๆที่รู้ว่าระหว่างผมกับพี่ชินมันเป็นแค่เรื่องหลอกลวง แล้วทำไมถึงต้องพาผมไปหาแม่ของพี่ชินด้วย ผมรู้สึกไม่ได้เพราะมันเหมือนจงใจหลอกท่าน
ลึกๆความรู้สึกของผมบอกตัวเองว่า นี่แหละมันคือความสุขแล้วยังต้องการอะไรอีก ให้ลืมพี่ตินณ์ซะแล้วก็เป็นแฟนกับพี่ชินเหมือนวันนี้ไง แต่อีกใจผมก็อยากให้พี่ชินเจอคนที่ดีกว่าผม คนที่รักพี่ชินได้อย่างหมดใจ พร้อมทำทุกอย่างให้พี่ชินเหมือนที่พี่ชินบอกผมว่าจะซื่อสัตย์กับคนรักเพียงคนเดียวและไม่ทำให้คนรักของตัวเองเสียใจ ไม่ใช่ผู้ชายอย่างผมที่กำลังทำให้พี่ชินเสียใจ เพราะความไม่แน่ใจอะไรซักอย่าง ไม่รู้แม้กระทั้งว่าตอนนี้ตัวเองต้องการอะไร
“วี....วี!”
“พี่ว่าอะไรนะครับ” เสียงเรียกของพี่ชินทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ กำลังคิดอะไรเพลินๆเลยไม่ได้ฟังที่พี่ชินว่า
“กูถามว่าสวยไหม ชอบรึเปล่า” พี่ชินถามซ้ำอีกครั้ง
“สวยครับและก็ชอบมากเลยพี่ ขอบคุณนะครับที่พาผมมา” ผมขอบคุณพี่ชินเบาๆ วันนี้ผมมีความสุขมากจริงๆที่ได้ใช้เวลาทั้งวันกับพี่ แม้ว่าจะไม่อยากให้หมดวันนี้แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้
“แค่มึงชอบกูก็ดีใจแล้ว” พี่ชินว่ายิ้มๆก่อนมองวิวข้างนอกต่อ ผมรู้สึกว่าวันนี้พี่ชินจะขยันยิ้มเป็นพิเศษนะ แต่ผมก็ชอบเห็นพี่ชินยิ้มเพราะดูดีกว่าเวลาทำหน้าเรียบๆเยอะเลย
“พี่ชินผมถามหน่อยได้ไหมว่า ทำไมพี่ถึงรักผมเหรอ” ผมตัดสินใจถามคำถามที่อยากรู้มานานแต่ยังไม่มีโอกาสได้ถามซักที และที่เลือกใช้คำว่ารักเพราะพี่ชินเคยบอกว่ารักผมไม่ใช่แค่ชอบ
“...ไม่รู้สินะทำไมกูถึงรักวะ” พี่ชินเงียบไปนาน ก่อนพูดเหมือนคุยกับตัวเองเบาๆ
“...”
“มึงไม่ได้มีอะไรที่เรียกว่าตรงสเป็คกูซักอย่าง ผมก็ไม่ยาว นมไม่มี แถมบางทียังชอบปากดีกับกูอีก ที่สำคัญมึงไม่ใช่ผู้หญิง ซึ่งแค่ข้อนี้ข้อเดียวมึงก็ควรจะอยู่ไกลจากคำว่ารักของกูแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมตั้งแต่วันแรกที่กูเจอมึงที่หอประชุม แค่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ หน้ารูปไข่ผิวขาวปากแดงๆที่วิ่งมาเข้ากิจกรรมช้ากว่าคนอื่นถึงทำให้กูละสายตาไม่ได้ ตอนแรกก็แค่มองมึงเฉยๆนะไม่ได้คิดอะไร แต่มึงก็ทำให้กูได้เห็นความซวยของตัวเองบ่อยๆ จนบางครั้งกูยังสงสัยเลยว่าวันนึงมึงจะซวยมากสุดกี่ครั้งวะ เห็นมาช้าโดนทำโทษตลอด” ไอ้ที่โดนทำโทษก็เพราะพี่สั่งไม่ใช่เหรอวะ
“จากที่เห็นบ่อยๆพอไม่เห็นมึงในสายตา หรือวันไหนมาช้ากูก็เริ่มมองหาแล้ว บางวันยังไปถามจากเพื่อนมึงเลยตลกตัวเองชะมัดเลยว่ะ แล้วกูก็ได้เป็นพี่เทคมึงซะงั้น ไอ้จดหมายที่มึงเขียนมาด่ากู บ่นกูน่ะกูอ่านทุกอัน บางอันอ่านเสร็จกูยังอยากไปกระทืบมึงตอนนั้นก็มีนะ เด็กเปรตอะไรวะด่ากูซะเหมือนกูไปเผาแปลงนาบ้านมึง”
“ก็ตอนนั้นพี่ชอบแกล้งผมอ่ะ ผมจะรู้ได้ไงว่าพี่เป็นพี่เทคผมล่ะ” ถ้ารู้ผมจะไม่เขียนจดหมายไปหาซักฉบับแน่ๆครับ
“มึงก็เลยด่ากูซะจัดเต็มเลยดิ กูยังไม่ได้เอาคืนนะบอกไว้ก่อน”
“นี่ยังไม่เรียกเอาคืนอีกเหรอพี่ พี่ใช้งานผมจนแทบสลบเกือบทุกวันเลยนะ”
“ยัง อันนั้นเป็นเพราะมึงดันมาซวยทำรถกูพังเอง หึหึ”
“พี่แม่ง....” ผมว่าได้แค่นั้นเพราะไม่รู้จะว่าอะไรดี หมดคำพูดจะว่าพี่ชินจริงๆครับ
“จากเด็กที่กูไม่ค่อยชอบหน้ากลับกลายเป็นคนที่กูอยากเห็นหน้าทุกวันโดยไม่รู้ตัว แล้วกูก็รู้ว่ากูรักมึงหลังจากที่เห็นมึงไปวุ่นวายกับไอ้โย กูแทบอยากต่อยหน้าเพื่อนตัวเองเพียงเพราะมันได้รับรอยยิ้มจากมึงแต่กูไม่เคยได้
กูหึงทุกคนที่อยู่ใกล้มึงตั้งแต่น้องลูกแพร ไอ้แบต และที่มากที่สุดแต่กูทำอะไรไม่ได้ก็คือพี่ตินณ์ กูคิดจะตัดใจถ้าต้องมาสู้กับคนอย่างพี่ตินณ์ แต่ในความหมดหวังนั้นกูก็ยังมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าพี่ตินณ์ตามเฝ้าเด็กคณะอื่น กูหวังให้มึงเปลี่ยนใจและมองเห็นกูที่อยู่ข้างๆมึงมาตลอดบ้าง แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้ ยังไงก็ขอบใจนะที่ทำตามคำขอครั้งนี้ของกู”
“....” จุกเลยครับ ฟังพี่ชินเล่าจนจบผมก็ได้แต่อึ้งกับสิ่งที่เพิ่งได้รู้ ตลอดเวลาผมไปทำอะไรอยู่วะ ทำไมผมถึงโง่ขนาดนี้ ทำไมถึงมองไม่เห็นความรู้สึกของพี่ชินที่ส่งมาให้ แล้วรู้ตอนนี้มันจะทำอะไรได้ในเมื่อใจผมไปอยู่ที่คนอื่นแล้ว
“ใกล้จะครบรอบแล้ว เดี๋ยวลงไปแล้วกลับกันเลยไหมกว่าจะถึงหอมึงคงเที่ยงคืนพอดี” พี่ชินเห็นผมเงียบไปนานเลยเปลี่ยนเรื่องเหมือนทุกครั้ง ที่ผมสัมผัสได้ จริงๆแล้วพี่ชินก็เป็นคนดีคนหนึ่งเลยครับ
“พี่ชินทำไม...เอ่อ...ไม่มีอะไร กลับเลยก็ได้ครับ” ตอนแรกผมว่าจะถามเรื่องที่พาไปบ้าน แต่พอพี่ชินหันมาผมก็รู้ว่าถามไปมันจะมีประโยชน์อะไร ยังไงวันนี้ที่ผมเป็นแฟนกับพี่ชินมันก็ต้องจบอยู่ดี
ชิงช้าสวรรค์หมุนครบ 4 รอบผมก็เดินตามพี่ชินลงมาเงียบๆก่อนจะเดินต่อไปยังลานจอดรถ ทั้งที่พี่ชินยังคงจับมือผมเหมือนเมื่อตอนที่เดินเข้าไป แต่ทำไมความรู้สึกมันถึงต่างกันขนาดนี้
“หิวข้าวอีกไหม แวะกินอะไรก่อนเข้าหอรึเปล่า” พี่ชินหันมาถามผมที่เอาแต่นั่งมองออกไปนอกรถ
“ไม่หิวครับ พี่หิวก็แวะเลยเดี๋ยวผมนั่งเป็นเพื่อน”
“กูไม่ได้หิว แต่กลัวมึงจะหิวแล้วปวดท้องตอนกลางคืน” ไม่ต้องมาเป็นห่วงผมได้ไหม แค่นี้ผมก็รู้สึกผิดจนไม่รู้จะรู้สึกยังไงแล้ว เมื่อผมไม่ตอบอะไรพี่ชินเลยเงียบแล้วตั้งใจขับรถต่อปล่อยให้ภายในรถมีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่กำลังทำงานเบาๆแข่งกับความเงียบ
“ขอบคุณครับสำหรับทุกอย่างในวันนี้ ผมสนุกมากเลย ขับรถกลับบ้านดีๆนะพี่ เจอกันที่มอ”
ผมบอกพี่ชินก่อนเปิดประตูลงจากรถ หลังรอพี่ชินพูดอะไรซักอย่างแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าพี่ชินจะพูดตั้งแต่มาจอดรถที่หน้าหอผมเกือบ 10 นาทีได้แล้วครับ ดูเวลาตอนนี้อีก 5 นาทีก็เที่ยงคืนพอดีครับ
“วีขอกอดทีได้ไหม ตอนนี้ยังไม่หมดเวลาใช่ไหม” กำลังจะเดินเข้าหอพักก็ได้ยินพี่ชินเปิดประตูรถแล้วตะโกนถามผมเสียงดัง ถึงตอนนี้จะดึกแล้วแต่มันก็เงียบนะ ถ้าคนอื่นได้ยินผมไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนเลยครับที่อยู่ดีๆก็มีผู้ชายมาตะโกนขอกอดผู้ชายด้วยกันหน้าหอพักแบบนี้
แต่แทนที่ผมจะปฏิเสธผมกลับยืนนิ่งราวกับรูปปั้นเพื่อรอพี่ชินที่กำลังเดินมาหา พี่ชินหยุดตรงหน้าผมก่อนเอื้อมมือมารวบตัวผมเข้าไปกอดจนแน่น แน่นมากครับมากจนผมนึกว่ากระดูกตัวเองจะแตกจนป่นไปแล้ว แต่มันคงไม่ใช่ในเมื่อแขนของผมมันยังสามารถเอื้อมไปโอบแผ่นหลังของพี่ชินได้
“ขอบคุณนะที่มึงทำให้กูได้รู้จักกับความรัก แม้ว่ามันจะไม่สมหวังก็ตาม แต่กูจะไม่เสียใจที่ได้รักมึงเลย วันนี้เป็น 1 วันดีๆที่กูจะไม่มีวันลืม กูมีความสุขทุกครั้งที่เห็นมึงยิ้ม เห็นมึงหัวเราะ กูอยากให้มึงเป็นแบบนั้นมากกว่าทำหน้าเศร้านะ หลังจากนี้ก็มีความสุขให้มากๆกูจะคอยดูอยู่ห่างๆ มีอะไรต้องการใช้กูช่วยก็บอกได้เสมอ เวลาที่มึงมีความสุขมึงไม่ต้องนึกถึงกูก็ได้ แต่ถ้าเวลาไหนที่มึงทุกข์คนแรกที่กูอยากให้นึกถึงขอให้เป็นกูได้ไหม” ตอนนี้หลายความรู้สึกกำลังเข้าจู่โจมผมพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆไหลอย่างไม่รู้สาเหตุ มันทั้งจุก ทั้งเจ็บกับคำพูดของพี่ชินที่เหมือนหลังจากนี้ระหว่างเรามันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“ผะ...ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ทั้งที่ผมกำลังทำร้ายพี่ พี่ก็ยังดีกับผมอีกนะ”
“ไม่เอาไม่ร้อง มึงจะร้องทำไม มึงต้องมีความสุขสิ กูปล่อยให้มึงไปมีความสุขนะ ถ้ากูรู้ว่ามึงไม่มีความสุขแบบนี้เดี๋ยวกูก็ไม่ปล่อยไปซะเลยนิ ปล้ำซะดีไหม” พี่ชินยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ผมพร้อมกับพูดล้อๆ แต่แววตานั้นเศร้าแบบที่ผมไม่อยากเห็นมันเลย
“ปล้ำก็ได้ ตอนนี้ผมยอม พี่ช่วยปล้ำผมหน่อยนะ” ไม่เอาแล้วผมไม่อยากรู้สึกอึกอัดเหมือนตอนนี้ ทำยังไงก็ได้ให้ความรู้สึกแบบนี้มันหายไปที ถ้าการปล้ำมันจะทำให้ผมไม่ต้องตัดสินใจอะไรอีกต่อไปผมก็ยอมแล้วครับ
“อย่าทำแบบนี้ อย่าพูดแบบนี้กับใครอีกนะ รักตัวเองให้มากๆ รักเผื่อความรักของกูที่ให้ไปด้วย อย่าหนีปัญหา ถ้าเกิดกูปล้ำขึ้นมาจริงๆ คนที่จะทุกข์ไม่ใช่กูคนเดียวแต่เป็นมึงด้วยเข้าใจไหม” พี่ชินพูดเสียงนุ่มๆพร้อมมือที่ลูบหัวผมเบาๆเหมือนต้องการให้ผมคลายความสับสน
“พี่ชิน...” ผมเรียกพี่ชินเสียงเบา
“หือ...ว่าไง...”
“พี่เลิกรักผมได้ไหม” เป็นคำขอที่สิ้นคิด และงี่เง่าที่สุดเท่าที่ผมคิดได้ในตอนนี้
“ไม่แน่ใจว่ะว่ากูจะเลิกรักมึงได้ไหม แม้ว่ากูจะใช้เวลาไม่นานที่จะรัก แต่อาจใช่เวลาทั้งชีวิตเพื่อลืมใครซักคน เพราะฉะนั้นอย่าบอกให้กูเลิกรักมึงเลยนะ กูสัญญาแล้วไงว่าจะไม่เข้าไปวุ่นวายกับมึงอีกถ้ามึงไม่ต้องการ” พูดจบตัวผมก็ถูกดึงเข้าไปกอดอีกครั้งจากวงแขนเดิม
“พี่ชินผม...”
“เลยเที่ยงคืนแล้วสินะหมดเวลาของกูแล้ว มึงขึ้นห้องเถอะ ขอบคุณสำหรับความทรงจำดีๆในวันนี้อีกครั้ง เจอที่คณะก็ทักกูบ้างล่ะ ฝันดีไอ้น้องชาย” พี่ชินไม่ฟังที่ผมพูดแต่ดันตัวผมออกจากอ้อมกอดก่อนพูดยิ้มๆพร้อมมือที่ยีหัวผมอีกครั้ง แล้วหันหลังเดินกลับไปรถที่ยังติดเครื่องอยู่
จบแล้วสินะ หลังจากนี้ผมก็จะเป็นแค่น้องชายของพี่ชิน แต่เหมือนผมจะไม่ชอบคำคำนี้เพราะเพียงแค่พี่ชินพูดจบน้ำตาที่แห้งไปแล้วกลับไหลลงมาอีกครั้งอย่างที่ผมแทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
ผมมองพี่ชินที่กำลังเดินจากไปอย่างพร่าเลือนเพราะน้ำตาที่กำลังไหลมันกลบการมองเห็นของดวงตาจนเกือบหมด
ไปแล้วซินะ ต่อไปนี้จะไม่มีพี่ชินที่คอยมาวุ่นวายกับผม ไม่ต้องมีใครมาคอยแย่งมาม่าให้ตู้ผมตอนดึกๆ ไม่ต้องคอยดูโทรศัพท์บ่อยๆเพราะกลัวว่าจะไม่เห็นข้อความที่มีคนส่งมาตามตัว ไม่ต้องไปทำความสะอาดห้องรกๆนั่นแล้ว แถมไม่ต้องนอนแบ่งเตียงกับใครอีกด้วย มันดีจริงๆ
ดีจริงๆนะ
ดีที่สุดเลย
แต่….
ผมไม่ต้องการ
“พี่ชิน!...” ผมตะโกนสุดเสียงเพียงเพื่อให้ร่างหนาของพี่ชินที่กำลังจะก้าวขึ้นรถหยุดชะงักแล้วผมก็ทำสำเร็จ
พี่ชินหันมามองผมแล้ว
“ถ้า...ถ้าพี่คิดว่าผมดีพอ ถ้าพี่คิดว่าจะไม่เปลี่ยนใจ ถ้าคิดว่าทนคนอย่างผมได้ พี่รอผมหน่อยได้ไหมขอเวลาไม่นานผมขอจัดการกับความรู้สึกของตัวเองก่อน” ผมตะโกนบอกพี่ชินเสียงดังด้วยความรีบเร่ง เพราะกลัวพี่ชินจะจากผมไป แต่เมื่อตะโกนออกไปแล้วผมได้เห็นรอยยิ้มที่นึกว่าจะไม่ได้เห็นอีกแล้วค่อยๆปรากฏบนใบหน้าพี่ชิน
ผมออกวิ่งให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ระยะทางจะสั้นแต่ตอนนี้ผมกลับคิดว่ามันไกลหลายร้อยกิโล เหมือนวิ่งเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึงพี่ชินซักที
“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ พูดอีกครั้งสิกูไม่ได้หูฝาดใช่ไหม” พี่ชินถามอีกครั้งเมื่อผมมายืนอยู่ตรงหน้า
“ตอนนี้ผมอาจจะยังบอกไม่ได้ว่าผมรักพี่หรือป่าว เพราะผมก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง แต่ถ้าพี่คิดว่าผมดีพอสำหรับพี่ พี่จะคิดว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้ ขอเวลาให้ผมหน่อยนะผมขอจัดการความรู้สึกของตัวเองซักพัก แล้วผมจะให้คำตอบของคำถามที่ผมยังไม่ได้ตอบพี่แน่นอน”
“รอๆ กูรอได้เสมอ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว” พี่ชินพูดพร้อมใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
“แต่ไม่รู้มันจะนานซักเท่าไหร่นะพี่”
“เท่าไหร่ก็รอได้ แค่มึงให้โอกาสกูได้รอก็พอ” ผมยิ้มตอบพี่ชินที่ตอนนี้ดึงผมเข้าไปกอดอีกแล้วครับ
แต่กอดคราวนี้มันเต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ ที่ไม่เหมือนกอดก่อนหน้าสักนิด
ขอบคุณนะครับพี่ชินที่คิดว่าผมดีพอ
----- To Be Con. -----
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์แล้วการติดตามค่ะ
สดใหม่แบบได้กลิ่นควันอยู่เลย
เพราะฉะนั้นคำผิดยังไม่ได้ตรวจถ้ามีก็ขออภัยมาณที่นี้ค่ะ
ตอนนี้หวานปนหน่วงเหมือนเดิม แต่ก็มาจากความตั้งใจล้วนค่า
รักเหมือนเดิมนะคะ