ถ้าให้รักก็อย่าร้าย ตอนที่ 26“ทำไมวะ ทำไมชีวิตกูถึงเป็นแบบนี้” ผมว่าเสียงดังก่อนกระแทกแก้วในมือลงกับโต๊ะเสียงดัง ไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง
“เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเชื่อกูสิ” ไอ้แบตปลอบผมเบาๆก่อนคนหลอดในแก้วโกโก้ไปมาๆ ใช่ครับแก้วโกโก้เพราะตอนนี้พวกผมกำลังนั่งอยู่ที่ร้านนมสดหน้ามอ คิดว่าเวลาเครียดถ้าได้เติมน้ำตาลให้กระแสเลือดซะหน่อยคงดีขึ้นแต่เปล่าเลยมันไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นซักนิด
“ชีวิตกูแม่งบัดซบว่ะ ต้องให้กูเสียใจต้องให้กูช้ำใจอีกเท่าไหร่ถึงจะพอ กูไปรักใครแม่งก็ไม่รักกู คนที่มารักกูกูก็ดันไม่รักเขาแต่พอกูรักแม่งก็ไปรักคนอื่น เหี้ยเอ๊ย! อึก”
“ถ้าทนไม่ไหวมึงก็ระบายออกมา ร้องออกมาอย่าเก็บไว้”
“อึก....กู........กูเสียใจ ทำไมพี่ชินไม่รอกูวะ ทำไม” ผมว่าเสียงดังไม่เลิก ตอนนี้สิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจพร้อมที่จะระเบิดออกมาทุกเมื่อ อยากรู้จริงๆทำไมพี่ชินถึงทำกับผมได้ขนาดนี้
“....................”
“ชีวิตกูโดนสาปใช่ไหมวะ มึงบอกกูสิมึงบอกกู ไอ้แบตมึงบอกกู”
“ไม่ใช่หรอกชีวิตมึงไม่ได้โดนสาป แต่มันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด”
“กูเหนื่อยวะ เหนื่อยเหลือเกินกับความรัก ถ้ามันจะร้ายขนาดนี้กูจะไม่รักใครอีกแล้ว” ผมว่าอย่างถอดใจตอนนี้ไม่เหลืออะไรให้หวังอีกแล้ว
ทุกวันนี้เวลามาเรียนผมต้องเห็นภาพบาดตาระหว่างพี่ชินกับพี่น้ำที่อยู่ด้วยกัน ถึงมันไม่ได้เป็นภาพที่หวานอะไรแต่ไม่รู้ทำไมผมเห็นทีไรต้องปวดใจทุกครั้ง การพยายามลืมคนที่เรามันเป็นเรื่องที่ทรมานมากจริงๆครับ ตอนแรกคิดว่าการตัดใจจากพี่ตินณ์เป็นเรื่องที่ยากแล้วแต่การต้องมาตัดใจจากพี่ชินยิ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่า ทรมานกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า
ตอนนี้ไม่ว่าผมจะมองไปทางไหนเดินไปทางไหนก็มีแต่ภาพพี่ชินอยู่ในหัว ตั้งแต่ตื่นมาก็เจอกับห้องนอนเล็กเท่ารังหนูที่พี่ชินเคยนอนเบียดด้วยกัน ผ้าเช็ดตัวที่เคยใช้ร่วมกัน หรือแม้แต่แปรงสีฟันที่ตอนนี้ยังวางอยู่คู่กัน ถึงเจ้าของมันจะไม่ต้องการแล้วแต่ผมก็ไม่เคยคิดจะทิ้งมันซักครั้ง
“มึงเชื่อกูสิมันไม่มีอะไรที่ดีเสมอและร้ายเสมอหรอก เหมือนเวลาฝนตก ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ ชีวิตมึงก็เหมือนกันมันต้องดีซักวันสิน่า”
“มันจะมีเหรอ มันจะมีวันนั้นจริงๆเหรอวะ” ผมว่าอย่างเลือนลอย จิตใจตอนนี้ไปอยู่ที่พี่ชินอีกแล้วครับ ผมมักจะไม่มีสมาธิและเอาแต่คิดเรื่องของพี่ชินจนบางครั้งอยู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาไม่รู้ตัว
“ไอ้วีมึงเตรียมกระเป๋าเสร็จหรือยังวะ”
“เสร็จแล้วกูเอาไปแค่สองสามชุด ไม่มีอะไรมากหรอก” ผมตอบไอ้แบตที่เปิดประตูห้องเข้ามาถาม
“อะไรวะไปตั้งหลายคืน มึงเอาชุดไปแค่นี้เหรอ”
“ใส่ตัวเดิมเอาก็ได้ กูไม่ได้อยากใส่ไปอวดใครอยู่แล้ว” ผมว่าเรื่อยๆ สายตาทอดยาวไปบนท้องฟ้ากว้างจากริมหน้าต่างเหมือนทุกๆวัน
“ไอ้เชี้ยวีใส่อวดกับซกมกมันคนละเรื่องกันเว้ย มึงจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนวะ หัดหันมาสนใจตัวเองบ้างเถอะผอมจนเหลือแต่หนังติดกระดูกแล้วมึง” เสียงมันว่าเอ็ดตะโลลั่นห้องแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดอยากทำอะไรไปมากกว่าการนั่งอยู่ตรงนี้ นั่งเฉยๆเพื่อให้วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เผื่อซักวันผมจะสามารถลืมผู้ชายคนนั้น คนที่ทำให้ผมเสียใจมาถึงทุกวันนี้ได้
หลังจากวันที่ผมก้าวลงมาจากรถพี่ชินก็เหมือนผมก้าวออกมาจากชีวิตพี่ชินด้วย แม้ว่าแรกๆผมยังคอยมองพี่ชินอยู่ห่างๆ มองอย่างคนที่เคยรัก คนที่เคยมีใจแต่ไม่ได้ครอบครอง แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ซักสองสามสัปดาห์ผมก็ค้นพบว่ายิ่งคอยมองพวกเขาอยู่ด้วยกันผมก็ยิ่งเจ็บผมจึงเลิกมอง เลิกเฝ้าดูว่าเขาจะทำอะไร หรือมีความสุขกันแค่ไหน
ในเมื่อตอนนี้พี่ชินมีคนอื่นแล้ว ผมก็มีศักดิ์ศรีพอที่จะไม่รั้งไว้ ไม่แย่งใคร ผมตัดสินใจปล่อยให้พี่ชินไปมีชีวิตตามทางที่ตัวเองเลือก ถึงจะเสียใจ ถึงจะเจ็บแต่ถ้าพี่ชินไม่เห็นค่าผมแล้วก็หมดประโยชน์ที่จะยื้อ ชีวิตหลังจากนี้ผมจะใช้มันเพื่อลืมพี่ชินให้ได้ อาจจะไม่ใช่เร็วๆนี้เพราะถึงแม้เรื่องจะผ่านมาหลายเดือนแล้วผมก็ยังลืมไม่ได้แต่มันคงมีซักวันที่วันนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน ผมมั่นใจ
“วี....วี........ ไอ้วี!!!”
“ฮ๊ะ! มึงว่าอะไรนะ” ผมหันไปสนใจไอ้แบตที่ตะโกนเรียกเสียงดังทั้งที่อยู่ด้วยกันภายในห้องแคบๆไม่รู้มันจะตะโกนทำไม
“มึงนี่เนอะช่วยสนใจสิ่งรอบข้างหน่อยเถอะ กูบอกว่าไปกินข้าวกันกูเลี้ยง”
“ไม่อยากกินว่ะมึงไปกินเถอะ เดี๋ยวกูจะนอนแล้ว”
“มึงจะนอนได้ไงมึงยังไม่ได้กินข้าวเย็น มานี่เลยเดินตามกูมาดีๆเดี๋ยวกูพาไปกินข้าวมันไก่ร้านอร่อยหน้ามอ” มันจับข้อมือผมก่อนลากออกจากห้องทั้งที่ผมพยายามขืนตัวแต่เหมือนเรี่ยวแรงไม่รู้มันหายไปไหนหมด ทั้งที่เมื่อก่อนยังพอสู้มันได้บ้างแต่เดี๋ยวนี้แค่มันสะกิดนิดเดียวผมก็แทบจะปลิวตามมือมันแล้วครับ
“ไอ้แบตกูไม่อยากกิน กูไม่กินไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ถ้ามึงยังเห็นกูเป็นเพื่อนมึงต้องกิน มึงไม่ได้มีแค่พี่ชินคนเดียวนะรอบตัวมึงยังมีกูมีลูกแพร มีพ่อมีแม่ที่รักมึงอยู่เพราะฉะนั้นมึงต้องกิน กูขอสั่งให้มึงกินเดี๋ยวนี้” มันว่าเสียงดัง
“แต่.....................” ผมไม่ได้อยากทำร้ายตัวเองแต่จากช่วงแรกที่ไม่อยากกินอะไรกลายเป็นตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นโรคต่อต้านอาหาร ไม่ว่าจะกินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมาจนหมด ทำให้ไม่คิดจะอยากกินอะไรมากกว่าเดิมอีกครับ
“กูเข้าใจแต่มึงกินซะหน่อยเถอะไม่ต้องเยอะก็ได้” เมื่อผมทำท่าจะไม่ยอมกินจากที่เสียงดังมันเริ่มพูดเสียงอ่อนพร้อมส่งสายตาขอร้องมาให้
“อืม.....นิดเดียวนะ” ผมว่าก่อนเริ่มตักข้าวมันไก่ร้านโปรดเข้าปากเงียบๆ มื้อนี้ก็คงต้องกินเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้เพื่อคนตรงหน้า และเพื่อคนอื่นๆที่รักผม
“วี แบตทางนี้ๆ”
“ลูกแพรทำไมมาถึงไวจัง รถไม่ติดเหรอ” ไอ้แบตถามลูกแพรที่ตะโกนเรียกเสียงดัง
วันนี้พวกผมต้องไปทำกิจกรรมรับน้องที่ต่างจังหวัดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนปิดเทอม ก็เป็นที่ระยองที่ที่ผมกับพี่ชินเคยไปสำรวจที่พักมาด้วยกันเมื่อเทอมที่แล้วนั่นแหละครับ ความจริงกิจกรรมนี้ต้องจัดขึ้นเทอมที่แล้วแต่ไม่รู้เกิดปัญหาอะไรถึงมีการเลื่อนมาจัดในเทอม 2 แทน
“วันนี้พี่พรตมาส่งน่ะเลยออกมาไว แล้วกระเป๋าวีไปไหนเหรอ” ลูกแพรตอบไอ้แบตก่อนหันมาถามผมที่เดินตัวปลิวตามไอ้แบตมาตั้งแต่ออกจากหอ
“อยู่กระเป๋าเดียวกับไอ้แบตน่ะ มันไปวุ่นวายเอาใส่ของมันเอง” ผมว่าก่อนมองกระเป๋าใบใหญ่ที่ไอ้แบตสะพายบ่าอยู่ ในกระเป๋าใบนั่นบรรจุไปด้วยเสื้อผ้า ของใช้ และกางเกงในทั้งของผมและของมัน
ตอนแรกผมก็จัดของผมใส่กระเป๋าไว้แล้ว แต่พอกินข้าวเสร็จไม่รู้ไอ้แบตเมาข้าวมันไก่รึไงเข้ามาจัดโน่นจัดนี่ให้ผมแล้วเอาใส่กระเป๋าร่วมกับของตัวเองเฉยเลยครับ ผมขี้เกียจจะบ่นมันอยากทำอะไรก็ปล่อยมันไป ดีซะอีกผมไม่ต้องถือให้หนัก
“อย่างนี้วีก็สบายเลยสิไม่ต้องถือ อ่อ!ลืมบอก ไปลงชื่อก่อนเลยเดี๋ยวรุ่นพี่จะเช็คชื่อขึ้นรถแล้ว”
“ไอ้วีเดี๋ยวกูลงให้”
“กูลงเองได้ ไม่ได้เป็นง่อยเว้ย” ผมว่าก่อนผลักหัวมันไปทีแล้วรีบเดินนำมาบริเวณที่รุ่นพี่กำลังเช็คชื่อ ทำไมมันชอบทำเหมือนผมเป็นง่อยวะ ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย
“คนต่อไปเชิญครับ ชื่ออะไรครับ”
“นาวีครับ” ผมตอบก่อนยิ้มจางๆให้รุ่นพี่ที่กำลังขานชื่อ
“น้องวี! หายไปไหนมาพี่ไม่เคยเจอเลย” หลังผมบอกชื่อพี่โยรีบเงยหน้าขึ้นจากเอกสารมามองคล้ายตกใจที่เห็นผม
“ผมก็ไม่ได้ไปไหนนี่ครับ แค่ไม่ค่อยได้อยู่มอเรียนเสร็จผมก็กลับห้องเลย”
“รู้ไหมพี่เป็นห่วง ถามไอ้แบตมันก็ว่าวีสบายดีแต่พี่ว่าดูวีซูบไปเยอะเลยนะ” พี่โยว่าก่อนจับผมหมุนไปมาทำเอาผมเวียนหัว
“ผมสบายดีจริงๆพี่ไม่ต้องห่วง ว่าแต่เช็คชื่อเสร็จแล้วใช่ไหมครับผมจะได้ไปรอขึ้นรถ”
“เสร็จแล้วๆ ไอ้น็อตเช็คชื่อแทนกูหน่อย”
“อ้าวมึงจะไปไหน”
“เรื่องของกูมั่งได้ไหมวะ มึงว่างก็มาเช็คให้ก่อนเดี๋ยวกูมา” ผมได้ยินเสียงพี่โยตะโกนคุยกับเพื่อนร่วมภาคดังไล่หลังแต่ก็ไม่สนใจจะหันไปมอง ตอนนี้อยากออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดเพราะไม่รู้ว่าพี่ชินอยู่แถวนี้ด้วยรึเปล่า ถึงจะรู้ว่ายังไงก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอแต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมขอทำใจก่อนได้ไหม
“วีนั่งกับลูกแพรนะเดี๋ยวให้แบตไปนั่งข้างหลัง” หลังเช็คชื่อเสร็จก็ได้เวลาเรียกขึ้นรถครับ รถที่รุ่นพี่จัดไว้ให้จะเป็นรถทัวร์ 5 คัน เบาะนั่งเป็นเบาะคู่ลูกแพรจะให้ผมนั่งด้วย แต่ผมรู้ว่าไอ้แบตกับลูกแพรมันเป็นแฟนกันแล้วก็อยากให้มันนั่งด้วยกันมากกว่าครับ
“ลูกแพรนั่งกับไอ้แบตเถอะเดี๋ยววีไปนั่งข้างหลังเอง” ผมว่าก่อนมองหาที่นั่งว่างๆ
“แต่แพรว่าวีนั่งกับแพรดีกว่า”
“เอามึงนั่งกับลูกแพร เดี๋ยวกูไปนั่งข้างหลังเอง”
“น้องๆครับเลือกที่นั่งกันเสร็จรึยังครับ ถ้าเสร็จแล้วจะได้ออกรถ” ระหว่างที่พวกผมยังตกลงกันไม่ได้นั้นเสียงรุ่นพี่คนหนึ่งก็ตะโกนถามขึ้นมาจากหน้ารถ ผมที่กำลังจะเดินไปนั่งเบาะหลังไอ้แบตถึงกับขาชาก้าวไม่ออกซะอย่างนั้น ก็เสียงที่ได้ยินนั้นมันเป็นเสียงที่ผมจำได้ดีแม้การได้ยินครั้งสุดท้ายจะผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ตาม
“วีมานั่งกับพี่ตรงนี้มา” ผมมองพี่โยที่เรียกให้ผมไปนั่งด้วยอย่างลังเล ก่อนจะพบว่าตอนนี้คนอื่นเลือกที่นั่งไปจนเกือบหมดแล้วครับเหลือแต่ที่ว่างข้างๆพี่โยกับที่ว่างข้างๆผู้ชายคนนั้น
“เดี๋ยวกูไปนั่งให้มึงนั่งนี่แหละ” เสียงไอ้แบตพูดนิ่งๆ สายตาก็จ้องไปยังคนที่นั่งลงบนเบาะหน้าพี่โย
“ไม่ต้องกูไปเอง มึงนั่งนี่แหละ” ผมตัดสินใจก่อนเดินกลับไปทางหน้ารถ แล้วจังหวะที่ผมใกล้จะถึง อยู่ๆก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งเดินมานั่ง ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นพี่น็อตครับ
“ไอ้เชี้ยน็อตลุกเลย ตรงนี้มีคนนั่งแล้ว” พี่โยว่าอย่างอารมณ์เสียก่อนส่งสายตามาบอกให้ผมรอแกเคลียร์กับเพื่อนก่อน
“ก็ให้ไปนั่งที่อื่นดิ กูจะนั่งตรงนี้”
“มึงเป็นเชี้ยอะไรต้องมานั่งตรงนี้ ตกลงกันแล้วไงมึงไปนั่งข้างไอ้ชินดิ”
“ก็ไอ้ชินมันไล่กูมานั่งนี่ มึงก็รู้ช่วงนี้มันอารมณ์ไม่ดี ใครจะกล้าไปขัดใจมันวะ น้องๆที่น้องเหรอพี่ขอนะ น้องมานั่งข้างหน้าพี่มา” พี่น็อตตอบพี่โยก่อนหันมาบอกผม ผมหันไปมองหน้าพี่โยเพื่อขอความช่วยเหลือแต่เหมือนพี่โยจะไม่เข้าใจ เพราะนอกจากจะไม่ช่วยแล้วพี่โยยังบอกผมว่าไปนั่งข้างหน้าแกอีก ในเมื่อไม่มีทางเลือกผมเลยตัดสินใจเดินไปนั่งที่ว่างข้างๆพี่ชิน
ตอนนี้ใจผมเต้นรัวเร็วมากจนแทบนับไม่ทันเลยครับ ต้องถือว่าครั้งนี้เป็นการอยู่ใกล้กันมากที่สุดในรอบ 3 เดือนก็ว่าได้ ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นทำให้ผมไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำยังไงต้องทักทายหรือจะทำเหมือนไม่รู้จักกันแบบนี้ ผมนั่งคิดวนเวียนไปมาพร้อมกับรถที่เริ่มเคลื่อนตัว
“ไม่เจอกันนานนะ สบายดีไหม” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน อยู่ๆคนข้างๆผมก็เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
“สะสบายดีครับ” ผมตอบเสียงสั่นก่อนค่อยๆหันไปมองหน้าพี่ชินอย่างเต็มตาครั้งแรก
พี่ชินที่ผมเคยคิดว่าหล่อ สมาร์ทจนผู้ชายหลายๆคนต้องอิจฉา ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะเลยครับ ดวงตาคมที่แฝงไว้ด้วยความขี้เล่นตอนนี้มันกลับหม่นหมอง ใบหน้าที่เคยสดใสตอนนี้ก็ดูโทรมลงไปแถมมีหนวดเคราขึ้นไรเขียว ผมที่เมื่อก่อนสั้นได้รูปก็ยาวจนผิดรูปบ่งบอกได้เลยว่าเจ้าของไม่ให้ความสนใจ แถมพี่ชินยังดูผอมลงไปเยอะเลยครับ ผมเห็นแล้วถึงกับใจหายทำไมพี่ชินถึงปล่อยตัวเองให้โทรมขนาดนี้ 3 เดือนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นผมพลาดอะไรไปรึเปล่า ใครทำให้พี่ชินที่เคยสดใส ยิ้มง่ายใจเย็นของผมกลายเป็นแบบนี้หรือว่าพี่น้ำทิ้งพี่ชินไปแล้ว ใช่สิพี่น้ำไปไหนตั้งแต่มาผมยังไม่เห็นพี่น้ำเลย
“สบายดีก็ดีแล้ว ดูแลตัวเองบ้างซูบไปนะ” ผมมองค้างเหมือนจะเห็นความห่วงใย ความอาทร ที่ถ่ายทอดออกมาจากตาคู่นั้นแต่มันก็เป็นเวลาชั่ววินาทีก่อนพี่ชินจะเบือนหน้าหนีออกไปมองนอกหน้าต่างรถ
“แล้วพี่........สบายดีไหมครับ” ผมตัดสินใจถามในที่สุด
“อืม....สบายดี” พี่ชินตอบเสียงเบาพร้อมสายตาที่ทอดมองออกไปนอกรถ
แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมระหว่างผมกับพี่ชินอีกครั้ง ผมไม่รู้จะชวนพี่ชินคุยอะไรพี่ชินเองก็คงไม่อยากคุยกับผมเท่าไหร่เพราะเอาแต่มองวิวข้างทางไม่หันมาทางผมอีกเลย ผมนั่งคิดถึงสาเหตุที่ทำให้พี่ชินเป็นแบบนี้แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกนอกจากเรื่องของพี่น้ำแต่ก็ไม่กล้าถามอยู่ดีเลยได้แต่คิดเองจนเผลอหลับไปบนรถ
“วีๆ ถึงแล้วครับ”
“ถึงแล้วเหรอพี่ชิน” ผมถามคนที่กำลังเขย่าตัวเรียกก่อนค่อยๆลืมตาขึ้นมอง
“เอ่อ............ลงไปข้างล่างกันเถอะถึงแล้ว” แล้วผมก็ได้รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดด้วยความเคยคิด เพราะคนที่ปลุกผมไม่ใช่พี่ชินแต่เป็นพี่โย
“ขอโทษครับ.........เอ่อ” ผมรีบขอโทษพี่โยก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วทันใดนั่นก็มีบางอย่างหล่นลงที่เท้า มันเป็นเสื้อแจ็คเก็ตที่ผมจำได้แม่นว่าก่อนจะหลับไปมันยังอยู่บนตัวพี่ชิน
“ไอ้วีลงมาเร็ว ที่นี่สวยมากเลยวะ อากาศดี๊ดี” เสียงไอ้แบตตะโกนเรียกผมมาจากด้านล่าง คงไม่มีใครรู้สินะว่าผมเคยมาที่นี่แล้ว และก็ไม่ได้มาคนเดียวแต่ผมมากับคนที่ขโมยหัวใจผมไปในครั้งนั้น
“ขอบคุณครับ” ผมว่าก่อนหันไปยื่นเสื้อคืนให้ พี่ชินก็รับไปถือนิ่งๆไม่ว่าอะไร
ตอนนี้ผมไม่เข้าใจการกระทำของพี่ชินที่สุดเลยครับ ทำเหมือนยังมีใจแต่ก็เหมือนไม่มีใจในเวลาเดียวกัน ถ้าไม่รักผมแล้วทำไมยังมาทำดีกับผมยังมาดูแล มาห่วงใยผมอยู่ทำไม แล้วตอนนี้ทำไมพี่ถึงเฉยชากับผมมันเป็นเพราะอะไรผมอยากรู้
“ไอ้วีเป็นอะไรวะ เงียบเชียว”
“กูไม่ได้เป็นอะไร มึงเก็บของเสร็จรึยังจะได้ออกไปข้างนอก” ผมตอบก่อนถามกลับ ตอนนี้รุ่นพี่ให้พวกผมพักกินข้าวแล้วเอากระเป๋ามาเก็บในที่พัก ผู้ชายกับผู้หญิงแยกกันพักชัดเจน มาบ้านให้เป็นหลังหลังละ 5-15 คน แล้วแต่ขนาดของบ้าน พวกผมกับรุ่นพี่ก็พักแยกกันครับ
“เสร็จแล้วออกไปเดินเล่นก็ดีเหมือนกันว่ะ” ไอ้แบตว่าก่อนเดินนำผมออกมาจากบ้านพัก
“แบต วี ไปเดินเล่นกัน”
“กำลังจะไปเลยแพรเอาของไปเก็บเสร็จแล้วเหรอ”
“เสร็จแล้ว”
“ชินคะ รอน้ำก่อนสิคะ” ผมหันไปมองตามที่มาของเสียงก่อนจะเห็นพี่น้ำเดินตามพี่ชินเข้าไปบริเวณที่ทำเตรียมจัดกิจกรรม สงสัยขอสันนิฐานของผมจะผิดซะแล้วครับในเมื่อพี่น้ำก็ดูยังรักพี่ชินดีนี่นา
“ไปกันเถอะวีอย่าไปสนใจเลย” ลูกแพรว่าก่อนดึงมือผมให้เดินตาม
“อื้อ....ไปเดินเล่นกันดีกว่า ไปทางนี้ไหมมีร้านขายไอศกรีมด้วย” ผมเดินนำก่อนหันไปถาม บ่ายๆแบบนี้อากาศกำลังร้อนได้กินไอศกรีมเย็นๆซักแท่งคงดี
“วีรู้ได้ยังไงว่าข้างหน้ามีร้านขายไอศกรีม” เท้าที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงักตามเสียงทัก
“เออ กูก็สงสัยเหมือนลูกแพรมึงรู้ได้ยังไงวะ” ไอ้เชี้ยแว่นสงสัยอีกคนครับ แล้วผมจะบอกว่ายังไงดีล่ะ ไม่ใช่ว่าอยากปิดบังอะไรเพียงแต่ไม่อยากนึกถึงมันเท่านั้น
“กูเห็นก่อนรถเลี้ยวเข้ามาน่ะ” หวังว่าจะไม่มีใครจำได้น่ะว่าผมนั่งหลับมาเกือบตลอดทาง
“เออกูก็ว่าอยู่” ไอ้แบตว่าก่อนเดินนำไป แต่ลูกแพรกลับมองหน้าผมเหมือนไม่ค่อยเชื่อแต่ก็เลือกที่จะไม่ถามแล้วเดินตามไอ้แบตไปเหมือนกันครับ
หลังจากพวกผมเดินไปไม่ไกลก็เดินกลับมาที่รีสอร์ตเพราะได้เวลาเรียกรวม ก่อนจะทำการเปิดกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ กิจกรรมหลักๆที่รุ่นน้องได้รับมอบหมายคือ ต้องล่าลายเซ็นต์รุ่นพี่ที่มาร่วมกิจกรรมนี้ให้ครบทุกคนโดยทำยังไงก็ได้ให้ได้ลายเซ็นต์รุ่นพี่มาให้ครบภายในเวลา 3 วันที่อยู่ที่นี่ จากนั้นก็มีเข้ากิจกรรมฐานในแต่ละฐาน แสดงละครรอบกองไฟช่วงกลางคืน ส่วนอีก 2 วันรุ่นพี่ยังไม่ได้แจ้งครับ
“ซ้ายอีกๆๆ ขวาๆ ซ้ายหน่อย พอๆ ช้าๆ” เสียงทุกคนร่วมกันเชียร์กิจกรรมที่ 3 ของกลุ่มผมครับ กิจกรรมแรกที่ผ่านมารุ่นพี่ให้นั่งส่งคนไปนั่งบนลูกโป่ง 3 ลูกนั่งยังไงก็ได้ไม่ให้แตกภายในเวลาที่กำหนด กิจกรรมนี่เป็น 2 เป็นการแข่งวิ่งผลัดโดยการให้ส่งไม้ต่อกันแต่ไม้จะใช้มือจับไม่ได้ ต้องใช้หน้าขาหนีบไว้แล้วส่งต่อกันไปเรื่อยๆ เกมส์นี้เรียกเสียงหัวเราะได้ดีทีเดียวครับ
ส่วนเกมส์ที่ผมกำลังเล่นกันอยู่นี้เป็นเกมส์ที่ต้องใช่สมาธิและสติปัญญาโดยจะมีขวดแก้วล้มอยู่ที่พื้น 1 ขวดแล้วมีเชือกล้อมเป็นวงกลมห่างรัศมีประมาณ 1 เมตร แล้วมียางวงให้ 1 กำมือให้ทุกคนช่วยกันคิดว่าจะเอาขวดตั้งได้ยังไง
“ไอ้วีเดินหน้าไปหน่อย” เสียงไอ้แบตสั่งก่อนผมจะทำตามพร้อมดึงยางที่ผูกต่อกันแล้วดึงไปคนละฝั่งทั้งหมด 4 ฝั่งไปด้วย
“ดีๆ พอ เบาๆนะ”
“เย้ ได้แล้วๆ ขึ้นแล้ว” เสียงเพื่อนๆที่ร่วมเชียร์ต่างแสดงความดีใจไม่ต่างกับผมครับ
“เฮ้ย! วี” อยู่ๆผมก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อตัวเองคล้ายอาการตกใจ ก่อนความรู้สึกจะวูบดับไป
----- โปรดติดตามตอนต่อไป -----
ช่วงนี้น้องวีเราจะนึกเยอะนิดนึง ตามแบบฉบับละครหลังข่าวนะคะ
ที่เวลาใครจบไม่นางเองก็พระเอกจะนึกแล้วนึกอีกย้อนไปย้อนมา ยืดดดจนจบ
นิยายเราก็จะเป็นเยี่ยงนั้น ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (ล้อเล่นค่ะ)
ขอ 1 กอดให้น้องวีค่ะ