ตอนที่ 7
ตลอดช่วงบ่าย ไม่มีเพื่อนในห้องคนไหนเข้ามาคุยกับผมเลยสักคน แต่ก็แน่ล่ะ ก็ผมเสือกลืมตัวโชว์ถ่อยออกไปขนาดนั้นแล้ว ใครมันจะอยากคบกับผมอีกวะ แบบนี้ชีวิตหลังจากนี้ของผมก็คงไม่แคล้วกลับไปเป็นแบบเดิมๆ อีกแหงๆ
หลังเลิกเรียน ผมถูกเรียกไปยังห้องปกครองอีกครั้งเพื่อรับคำตักเตือน และบทลงโทษให้ทำความสะอาดโรงเรียนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็ม ผมจะต้องมาเริ่มทำงานตั้งแต่หกโมงครึ่งจนถึงเจ็ดโมงครึ่งทุกวัน สาเหตุที่ผมโดนลงโทษเแค่นี้ก็เป็นเพราะว่าอาจารย์ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าผมเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำก่อน และนอกจากนั้นยังมีเรื่องของเด็กโรงเรียน ส.ค. มาเกี่ยวข้องอีก ซึ่งถึงแม้พวกเขาจะไม่พูดออกมา แต่ผมก็รู้ดีว่าน่าจะหมายถึงกลุ่มของเด็กนักเรียนที่เคยทำร้ายพี่วิน และตอนนี้น่าจะกำลังพุ่งเป้ามาที่ผมและเพื่อนๆ ของผมอยู่ในตอนนี้
หลังจากที่เดินออกจากห้องปกครอง ผมก็ต้องแปลกใจที่เจอพวกไอ้บอมกำลังยืนรออยู่ ไอ้บอมเป็นคนแรกที่เดินเข้ามาหาผม ก่อนที่จะตบหัวผมหนึ่งที
“โอ๊ยย!!” ผมร้องออกมา “อะไรวะ!”
“เอาคืนไง ไอ้สัตว์ คราวหลังช่วยระวังเพื่อนรอบข้างมึงด้วยนะ ไอ้เหี้ย!”
“หรือถ้าจะให้ดี มึงกรุณาอย่ามีเรื่องชกต่อยเลยจะดีที่สุดปะวะ” ไอ้ภูมิพูดขึ้นอีกคน
“เออๆ กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายพวกมึงอยู่แล้ว มึงก็น่าจะรู้กันนี่หว่า แต่ตอนนั้นกูกำลังโมโหอะ” ผมนิ่วหน้า
“กูรู้น่าว่ามึงกำลังโมโห ไอ้ห่า ตอนนั้นมึงแม่งโคตรน่ากลัวขนาดนั้น ใครจะไม่รู้วะ” ไอ้บอมกอดคอผม “แต่ทำไมมึงแม่งบู๊เก่งขนาดนั้นวะ ไอ้ก้อง มึงนักเลงเก่าเหรอมึงอะ หรือว่านักมวย เหี้ยแม่งยังกะในหนังแน่ะ แป๊บเดียวพวกไอ้เชี่ยวีลงไปกองหมดเลย แต่มึงไม่โดนพวกแม่งสักหมัด”
ผมหัวเราะแห้งๆ แต่ไม่ตอบคำถามนั้นของมัน และพวกมันก็ไม่ได้ซักไซ้ผมต่อด้วย ผมรู้สึกดีใจจริงๆ ที่พวกมันไม่โกรธหรือกลัวผมและยังอยากจะเป็นเพื่อนกับผมต่อ
“เอ้า มีคนเค้าอยากคุยกับมึงด้วยว่ะ” ไอ้ภูมิยื่นโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือให้ผม
“ฮัลโหล” ผมพูดไปในโทรศัพท์ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร
“ไอ้ก้อง เป็นไงมั่งวะ โดนเหี้ยไรไปบ้าง” ไอ้เอิร์ธพูดพลางหัวเราะในลำคอเบาๆ
“เฮ้ย ไอ้เอิร์ธ กูขอโทษนะเว้ย กู...”
“เออๆ ช่างมันเหอะมึง พวกไอ้บอมเล่าให้กูฟังแล้ว มันไม่เกี่ยวกับมึงหรอกน่า คนที่เหี้ยคือไอ้พวกที่แม่งมารุมกู กับไอ้เชี่ยวีต่างหากที่แม่งขายเพื่อนโรงเรียนเดียวกันน่ะ”
ผมถอนหายใจแล้วยิ้มออกมา “ขอบใจมากว่ะ ไอ้เอิร์ธ กูสัญญาว่าคราวหน้าจะไม่มีแบบนี้อีกแล้วเว้ย”
“ดีแล้วล่ะมึง กูไม่ได้ชอบเจ็บตัวฟรีบ่อยๆ หรอกนะ” มันหัวเราะ “แต่กูมีเรื่องจะบอกว่ะ รู้กันสองคนนะเว้ย...”
“อะไรวะ” ผมสงสัย
“ถ้ามึงอยากจะเอาคืนรึแก้แค้นแทนกูอะ กูก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะเว้ย แค่ระวังอย่าให้โดนจับได้เป็นพอ”
คำพูดทีเล่นทีจริงของมันทำให้ผมหัวเราะออกมา เราคุยกันต่ออีกพักหนึ่งแล้วก็วางสาย เมื่อกลับถึงบ้าน ผมก็รอว่าเมื่อไหร่แม่ถึงจะโทรมาเล่นงานผม แต่ก็ไม่มี จนกินข้าว อาบน้ำเสร็จ และเวลาผ่านเลยไปจนถึงสองทุ่มแล้วแม่ก็ยังไม่โทรมา ผมนึกแปลกใจ แต่ก็ไม่คิดที่จะเป็นฝ่ายโทรไปหาก่อนหรอกนะ สุดท้ายก็เลยปล่อยเลยตามเลยและเดินขึ้นไปหาอาจารย์เพื่อนบ้านของผมที่ชั้น 17
“เข้ามาได้เลย” เขาตะโกนตอบกลับมาหลังจากที่ผมเคาะประตูห้อง
เมื่อเปิดประตูเข้าไป ผมก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเขากำลังยืนอยู่หน้าทีวีในกางเกงบ็อกเซอร์แค่ตัวเดียว แถมท่าทางว่าจะไม่ได้ใส่กางเกงในอีกด้วย
เขาหันมาหาผม “อ้าว มัวยืนทำอะไรอยู่ได้ รีบๆ ปิดประตูแล้วเข้ามานั่ง วันนี้เราต้องคุยกันยาว”
“ครับๆ” ผมทำตามที่เขาบอก
เขารินน้ำเย็นให้ผมหนึ่งแก้ว ในขณะที่ตัวเองกลับเปิดกระป๋องเบียร์เย็นๆ ขึ้นจิบ
แม่งโคตรจะไม่แฟร์เลย!
“ไม่ต้องมามอง อายุแค่ 16 คิดเหรอว่าพี่จะให้กินเบียร์” เขานั่งลงข้างๆ ผม
“กินเป็นเหอะ”
“ไม่เกี่ยวกับกินเป็นหรือไม่เป็น แต่มันไม่ควร” เขาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พี่วินอายุเท่าไหร่แล้วนะ ผมจำไม่ได้”
“24”
ผมพยักหน้าเบาๆ “งั้นตอนที่พี่วินอยู่ข้างบ้านผม ตอนนั้นพี่ก็อายุ...”
“พี่ย้ายออกตอนอายุ 17 ส่วนเราน่ะ เก้าขวบ ไม่ต้องนับหรอก” เขาพูดขึ้นก่อนที่ผมจะนับนิ้วเสร็จ “ตอนนั้นเราอยู่ด้วยกันสามปี เราติดพี่จะตาย แรกๆ ก็กลัวพี่ ไม่กล้ามาเล่นด้วยอยู่หรอก แต่ไปๆ มาๆ ก็ชอบติดสอยห้อยตามไปนั่นมานี่ด้วยตลอด” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ จากนั้นก็ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม
“ตอนนั้นพี่วินรำคาญผมมั้ย”
“รำคาญดิ” เขาตอบแบบไม่ต้องคิดเลย “แต่สักพักก็ชิน พี่ไม่มีน้องชาย ก็รู้สึกเอ็นดูเราอยู่” เขาหันมายิ้มให้ผมและยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ “ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมนะ”
ผมพยายามฝืนตัวเองไม่ให้ยิ้มออกมา แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถบังคับตัวเองไม่ให้เขินได้แฮะ
“แต่ทำไมต้องเสือกสร้างปัญหาด้วยวะ!” จู่ๆ เขาก็ตบหัวผมซะจนหน้าคะมำ “ถ้าพี่โดนไล่ออกซะก่อนจะรับผิดชอบพี่มั้ย”
“เฮ้ย! ทำไมเค้าจะไล่พี่ออกอะ!”
“ยังไม่ไล่ แต่ก็ไม่แน่ ถ้าเรื่องไอ้เด็กโรงเรียนนั้นมันบานปลายขึ้นมา พี่ก็อาจจะโดนบีบออกได้”
“ยังไงวะครับพี่”
“ฟังให้ดีๆ เลยนะ พี่บอกไปแล้วใช่มั้ยว่าพี่เป็นครู ไปมีเรื่องกับเด็กนักเรียนไม่ได้ ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม แต่วันนี้พี่คุยกับอาจารย์ท่านอื่นๆ และผู้อำนวยการแล้วว่า กลุ่มเด็กที่มาทำร้ายนักเรียนของเราเมื่อคืน คือพวกเดียวกับที่เคยจะทำร้ายพี่ในตรอกนั้น ซึ่งมันคงมาเอาคืน ตอนแรกพี่ไม่ได้เล่าให้เค้าฟังหรอกว่าเรามาเกี่ยวข้องด้วย จนกระทั่งเพื่อนๆ ของไอ้วิทวิสิทธิ์ มันพูดออกไปให้อาจารย์ศุภกรณ์ฟังนั่นแหละ พี่ก็เลยโดนเค้าต่อว่าเอาว่าทำไมไม่พูดให้หมด และถึงอาจารย์บางคนเค้าจะปกป้องพี่ แต่บางคนเค้าก็ไม่พอใจ หาว่าพี่ทำไม่ถูกที่ดึงเด็กนักเรียนมาเกี่ยวข้องและเป็นเหตุให้นักเรียนต้องได้รับบาดเจ็บ”
“อ้าว! ไม่เห็นเกี่ยวกับพี่เลย! ถ้าเค้าจะว่าใครเค้าก็ต้องว่าผมดิ!!”
“พี่ออกตัวปกป้องเราไปแล้ว” เขาตอบสั้นๆ จากนั้นก็ดื่มเบียร์ที่เหลือจนหมดกระป๋อง “เอาเข้าจริง ไอ้การที่พี่ไปอยู่ในตรอกในซอยนั้นดึกๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำนักหรอก แต่พี่แค่อยากจะไปดูให้เห็นว่าไอ้คนที่มันเคยมีเรื่องกับเด็กโรงเรียนเรามีใครบ้าง เพื่อที่จะได้ไปรายงานกับทางโรงเรียนนั้นให้ช่วยจัดการ”
“อ้าว แล้วพี่จะแจ้งไปยังไง ไปพูดเฉยๆ เหรอ ใครเค้าจะเชื่อ หรือจะไปนั่งอธิบายหน้าตาให้เค้าฟังเนี่ยนะ”
เขาหันมายิ้มให้ผม แต่เป็นรอยยิ้มและแววตาเจ้าเล่ห์ที่ทำให้ผมถึงกับต้องขนลุก “ก็ถ้าในช่วงชุลมุนกันอยู่แล้วมัน ‘บังเอิญ’ มีเด็กทำกระเป๋าตังค์ตกเอาไว้ แล้วพี่ ‘บังเอิญ’ เก็บขึ้นมาได้ ก็จะเท่ากับว่าพี่แค่ ‘บังเอิญ’ ไปอยู่ในที่แห่งนั้นและเจ้าพวกนั้นมันจงใจเข้ามาหาเรื่องพี่ก่อนเองไปโดยปริยาย จริงมั้ยล่ะ”
“โหหหห!! เลวววว!”
“อย่ามาทะลึ่ง” เขาตบหัวผมดังป้าบ
“โอ๊ยยยย” ผมลูบหัวตัวเอง “แล้วกระเป๋าตังค์ใบนั้นอยู่ไหนแล้ว”
“ส่งคืนโรงเรียนไปแล้วไง”
“เหยดดด โจรในคราบอาจารย์ เอ๊ย อาจารย์ในคราบโจรชัดๆ”
“เดี๋ยวก็ตบคว่ำให้อีกทีหรอก ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วจะได้เรื่องเหรอวะ ว่าแต่ห่วงเรื่องของตัวเองก่อนจะดีกว่ามั้ย ไอ้ก้อง เพราะพรุ่งนี้พี่จะโทรไปหาแม่เราแล้วนะ เตรียมใจเอาไว้เลย”
“อ้าว พี่จะโทรจริงๆ เหรอ...”
“ไม่ต้องทำเสียงอ่อย เป็นลูกผู้ชาย ทำอะไรไว้ก็ต้องยืดอกรับผลของการกระทำตัวเองด้วย เคยสอนไปแล้ว จำไม่ได้รึไง”
“ก็บอกแล้วไงว่าจำไม่ได้ แต่ก็รู้แล้วล่ะน่า”
“แต่เรายังโชคดีที่โดนลงโทษแค่นั้นและทางโรงเรียน ซึ่งหนนี้ก็คือพี่ ก็จะช่วยพูดให้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเราคนเดียว เพราะอีกฝ่ายเป็นคนหาเรื่องก่อน แถมยังใช้จำนวนคนที่มากกว่าเข้ารุมด้วย เรื่องนี้มีพยานเห็นอยู่หลายคน”
“มันก็แหงดิ”
“อย่าได้ใจไปนัก คราวหลังหัดใจเย็นให้มันมากหน่อย ไม่อยากผิดสัญญากับแม่ไม่ใช่รึไง” น้ำเสียงของเขาไม่ใช่การดุหรือสั่งสอน แต่มันเจือไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ ทำให้ผมถึงกับต้องก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด “การที่เราชกต่อยเก่งกว่าคนอื่น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องโต้ตอบเวลาที่ถูกหาเรื่องไปซะทุกครั้งนะ จำไว้”
“ครับๆ”
“ก้อง เราคิดว่าทำไมเราถึงต้องมีเรื่องต่อยตีกับคนอื่น ไหนลองบอกพี่มาซิ”
“สำหรับผม มันคือการป้องกันตัวและปกป้องคนอื่น”
“ถ้าคิดได้อย่างนั้นแล้ว จากนี้ก็ระวังให้ดีแล้วกัน”
“ครับ”
เราสองคนต่างก็นั่งเงียบไปพักหนึ่ง พี่วินเอนหลังแล้วยกขาขึ้นพาดลงบนโต๊ะรับแขก ทำให้ขากางเกงบ็อกเซอร์ร่นขึ้นเล็กน้อย ผมพยายามที่จะไม่มอง แต่แม่งก็ยากจริงๆ ต้นขาขาวๆ และเงาดำๆ ภายใต้ขากางเกงที่เลิกขึ้นนั่นทำเอาผมต้องใจเต้นแรง
“เรามีแฟนรึเปล่า” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น
“ฮะ เหออ ไม่มีอะครับ”
“ทำไมไม่มีล่ะ หน้าตาก็ไม่ได้ขี้เหร่ ออกจะหล่อด้วยซ้ำ สาวๆ น่าจะมาชอบเยอะไม่ใช่รึไง”
ผมนึกในใจว่า ‘ชอบ’ เหรอ ‘กลัว’ น่ะสิ ไม่ว่า
“ไม่หรอกพี่ ผมมีแต่เพื่อนผู้ชาย... แต่จะว่าไป เรียกเพื่อนยังลำบากเลยมั้ง”
“ถ้าไม่ใช่เพื่อนแล้วอะไร ลูกน้องรึไง” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ
“ก็คงราวๆ นั้นมั้ง ฟังดูทุเรศนะพี่ ถึงจะรุ่นเดียวกัน แต่พวกมันก็ยกให้ผมเป็นหัวหน้า ตัดสินใจทุกอย่าง ผมไปไหนก็ตามไปด้วย เพื่อนปกติในโรงเรียนที่ไม่ได้เป็นแบบไอ้พวกเหี้ยนั่นก็มี แต่ก็เหมือนแค่คุยกันในห้อง เตะบอลด้วยกัน แต่ไม่เคยได้ไปไหนมาไหนด้วย เพื่อนที่เรียนพิเศษก็คุยกันแต่ในที่เรียน เจอกันในโรงเรียนก็แค่ทักทาย แต่ไม่ได้สนิทสนมด้วยจริงๆ จังๆ” ยิ่งพูดไป ผมก็ยิ่งรู้สึกมันน่าเศร้ามากขึ้นทุกทีๆ นี่ชีวิตผมเมื่อก่อนหน้านี้มันแลดูแห้งแล้งขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย “เพราะแบบนี้ไง ผมถึงได้โมโหไอ้เหี้ยวีมาก แม่งทำร้ายเพื่อนผมอะ ผมอุตส่าห์มีเพื่อนดีๆ กับเค้าทั้งที... ผมอยากเริ่มต้นใหม่นะพี่ อยากเป็นคนดีกับเค้าบ้าง ผม...”
ผมพูดไม่ออกจริงๆ ว่ะ ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผมจะเป็นแบบนี้ ผมไม่เคยรู้ตัวเลยว่าผมมีความรู้สึกแบบนี้หลบซ่อนอยู่ภายในใจด้วย มันเป็นความอัดอั้นและอ่อนไหวแบบที่ผมเพิ่งเคยรู้จักเป็นครั้งแรก ที่ผ่านมาผมปกปิดความเหงาของตัวเองด้วยการเชื่อว่าไอ้เหล่าบรรดาคนที่ห้อมล้อมอยู่รอบกายผมคือ ‘เพื่อน’ แต่ความเป็นจริงคือในช่วงที่ผมนอนโรงพยาบาล แม่งไม่เคยมีหมาตัวไหนโผล่ไปเยี่ยมผมสักคน และนี่ผมมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ตั้งหลายวันแล้ว ผมยังไม่เคยได้รับโทรศัพท์จากพวกมันเลยแม้แต่ครั้งเดียวด้วย
ผมนั่งก้มหน้าและพยายามกล้ำกลืนความรู้สึกขมขื่นพวกนั้นลงคอไปให้หมด ผมจะมาอ่อนไหวแบบนี้ได้ยังไง ที่ผ่านมาผมไม่เคยเป็นแบบนี้เลยสักครั้งนะเว้ย!
พี่วินที่นั่งอยู่ข้างๆ เหยียดแขนออกมาโอบบ่าผม แล้วจากนั้นก็ดึงตัวของผมเข้าไปล็อคคอ
“โอ๊ยยๆๆ อะไรล่ะพี่!!”
“อย่ามาทำตัวอ่อนแอนะ ไอ้ก้อง! พี่ไม่ได้สอนแกให้โตมาให้ขี้แงนะ!”
“อะไรเว้ยเฮ้ย! ไม่ได้ขี้แงสักหน่อย! ยังไม่ได้มีน้ำตาสักหยดเลยเนี่ย จะบ้ารึไง!!” ผมตบแขนเขาเป็นการยอมแพ้
เขายอมคลายแขนออกนิดหน่อยเพื่อให้ผมหยุดดิ้น แต่ก็ยังคงรัดคอของผมเอาไว้ในท่าเดิม “ถึงเมื่อก่อนจะเป็นยังไง มันก็ไม่ได้มีผลกับในตอนนี้ไม่ใช่เหรอวะ และที่สำคัญ แกก็ยังมีพี่อยู่นี่ไง... เราอุตส่าห์ได้มาเจอกันอีกครั้งทั้งที อย่าทำหน้าเป็นตูดเป็ดแบบนั้นให้เห็นอีกนะเว้ย!” เขาขยี้กำปั้นลงบนหัวของผม
“โอ๊ยยยย!! เจ็บๆๆ” ผมเริ่มดิ้นอีกครั้ง “อย่าให้หลุดไปได้นะเว้ย! น่าดู!!”
“อะไร! มึงจะทำอะไรกู!” เขาเริ่มเปลี่ยนเป็นจี้เอวผมแทน “กูจำได้นะว่ามึงบ้าจี้น่ะ!”
ทันทีที่นิ้วของเขาจิ้มลงบนเอวของผมเท่านั้นแหละ ผมก็ดิ้นพล่านทันที นี่เขารู้กระทั่งว่าผมบ้าจี้เหรอเนี่ย!
“ฮ่าๆๆๆ พอแล้วๆๆ ผมขอโทษๆ ผมยอมม!! ฮ่าๆๆ”
เมื่อเขาคลายแขนที่ล็อคคอของผมออก ผมจึงรีบผละตัวออกจากเขาอย่างรวดเร็ว ดีนะที่เขาไม่ได้จี้ผมนานกว่านั้น เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ผมอาจจะต้องยิ่งอับอายมากกว่าเดิมถ้าหากเขารู้ว่าผม ‘มีปฏิกิริยา’ กับการถูกจี้ด้วยเหมือนกัน
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะทันได้หายใจหายคอ เขาก็โถมตัวเข้ามาทับผมและเริ่มจี้เอวของผมต่อ ทำเอาผมหัวเราะและดิ้นอย่างบ้าคลั่ง แต่นั่นกลับทำให้เขาดูเหมือนจะยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ ท่อนขาของเขาที่เบียดเข้าตรงหว่างขาของผมเริ่มกระตุ้นอารมณ์ผมมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่กำลังหัวเราะอยู่จนเหนื่อยอ่อน ผมกลับเริ่มรู้สึกถึงไอ้น้องชายที่ค่อยๆ แข็งตัวขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน
“พอแล้ว...!! พี่วิน ผมขอโทษ ผมยอมแล้วจริงๆ พอเถอะครับ! ผมข... ขออ ร้องง...!!” ผมพยายามพูดแทรกเสียงหัวเราะออกไปอย่างบากลำบาก
“เออๆ พอก็ได้” ในที่สุดเขาก็ยอมชูมือทั้งสองข้างขึ้น แต่ยังคงนั่งทับตัวของผมอยู่ เขายิ้มมุมปากน้อยๆ ก่อนจะคว้าหมับเข้าที่เป้ากางเกงของผม “แล้วจู๋แข็งแบบนี้เนี่ยนะ ดันต้นขาพี่อยู่ได้ตั้งนาน”
“พี่วิน!!” ผมพยายามจะบิดตัวหนี แต่ก็ทำไม่ได้
“ทำไมวะ ทำยังกับไม่เคยถูกจับไปได้”
“ก็ไม่เคยน่ะสิพี่!”
“เฮ้ย นี่แกยังบริสุทธิ์อยู่เหรอเนี่ย”
คำพูดของเขาทำเอาผมเขินและโกรธจนใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด
“อ้าวๆ หน้าแดงหมดแล้วว่ะเฮ้ย... น่ารักไม่เปลี่ยน” เขาหัวเราะ
“เลิกแกล้งผมเป็นเด็กๆ ได้แล้ว!!” ผมคำรามออกมา
“ไม่ต้องทำเป็นโกรธ ไอ้ที่แกล้งเนี่ย ก็เพราะรักหรอกนะ” เขายิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนจะลุกออกจากตัวผมแล้วดึงตัวผมเข้าไปโอบบ่า “โตเป็นหนุ่มขนาดนี้แล้วเหรอวะเนี่ย ยังไม่อยากจะเชื่อเลย...”
“พี่จะทำไรอะ ปล่อยผม!” ผมดันตัวเขาออก
“ทำไม โอบไหล่แค่นี้ก็ไม่ได้เหรอ ทีตอนเด็กๆ ยังชอบวิ่งมาให้พี่กอดประจำ”
“มันเหมือนกันที่ไหนเล่า นั่นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ผมโตแล้วนะเว้ย!”
“แล้วมันต่างกันยังไง” เขาเลิกคิ้วขึ้น
“มันก... ก็... เอ่ออ...” ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี “ถ้าพี่อยากกอดก็ไปกอดแฟนตัวเองนั่นดิ ไปหาสาวๆ มากอดนู่น”
“ไม่มีแฟน เลิกไปแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ถามไรหน่อยดิ ก้อง”
“อะไร”
“พูดให้มันดีๆ” เขาเงื้อมือขึ้นทำท่าจะตบหัวผมอีก
“อะไรครับ! อะไรครับๆ ขอโทษครับ...” ผมรีบยกมือขึ้นกันเอาไว้ทันที
“ดีมาก” เขายักคิ้วข้างเดียว “ตอบพี่มาตามตรงนะ สัจจะลูกผู้ชาย”
ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าเขาจะถามเรื่องอะไร “เออๆ ครับ”
“เราชอบผู้หญิงหรือผู้ชายวะ”
“เฮ้ย! พี่ถามอะไรอะ จะบ้าเหรอ!” ผมดันตัวเขาออกแล้วลุกขึ้นยืน “ไม่ตลกนะเว้ย!”
“ทำไม แค่ตอบมาตามความจริงมันยากตรงไหน ชอบผู้หญิงก็บอกว่าผู้หญิง แต่ถ้าชอบผู้ชายก็บอกมาว่าชอบผู้ชาย แค่นั้น”
“แล้วจู่ๆ พี่มาถามเรื่องนี้ทำไมวะ มันใช่เรื่องรึไง” ผมเขินจนไม่รู้จะพูดบ่ายเบี่ยงยังไงดี “ผมกลับห้องละนะ”
“หยุดเลย ก้อง” เขาออกคำสั่ง แต่ผมไม่หยุด ผมเดินตรงไปที่ประตูและเริ่มกำลังจะสวมรองเท้า “ก็บอกให้หยุดไง!”
พี่วินเดินตรงเข้ามาดึงตัวของผมให้หันกลับไปหาเขา แล้วจากนั้นเขาก็รวบแขนกอดผมเอาไว้ ผมมองหน้าเขาด้วยใจที่เต้นแรง ถ้าเป็นคนอื่นมาทำแบบนี้กับผม ผมคงต่อยแม่งหน้าแหกไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม พอผมมองหน้าเขาแล้วผมกลับรู้สึกตัวเองไร้เรี่ยวแรงชอบกล
“พี่จะทำเหี้ยอะไรอีกอะ ผมไม่ตลกแล้วนะเว้ย”
เขามองหน้าผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เป็นอีกครั้งที่ผมไม่สามารถอ่านแววตาของเขาออก เราสองคนต่างก็ยืนจ้องตากันและกันอยู่สักพักจนกระทั่งเขายอมปล่อยตัวของผม
“กลับไปเหอะ” เขาพูดขึ้น จากนั้นก็หันหลังให้กับผมและเดินไปกลางห้อง “จะไปทำอะไรก็ทำ”
ผมมองแผ่นหลังของเขาด้วยความสับสน นี่เขาเป็นเหี้ยอะไรของเขาวะ จะเอายังไงกับผมกันแน่ ผมใส่รองเท้าแล้วจากนั้นก็เดินออกจากห้องของเขาไปโดยไม่พูดอะไรออกไปอีกเลย