ตอนที่ 6
หลังจากที่นั่งพักจากการกินสุกี้แห้งมหาประลัยนั่นไปอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หันมามองหน้าผม “โตขึ้นเยอะเลยนะเรา...”
ผมรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ รอยยิ้มน้อยๆ ของเขามันดูแปลกไปจากก่อนหน้านี้แฮะ
“ตกลงนี่จำเรื่องของพี่ไม่ได้เลยรึไง เรื่องก่อนหน้าที่เราจะหัวฟาดพื้นไปน่ะ”
ผมส่ายหน้า “ตอนแรกก็จำไม่ได้หรอก จำได้แค่ลางๆ ว่าเคยมีพี่ข้างบ้านคนนึงที่ผมรักและชื่นชมมาก แต่จำรายละเอียดไม่ได้...” ผมเหลือบมองหน้าของเขา “เอ้ยย ไม่ได้รักแบบนั้นหรืออะไรนะเว้ย ก็แค่แบบ ติดพี่ ไรงี้อะ”
“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” เขายักไหล่ “แล้วตอนนี้จำอะไรได้บ้างแล้ว”
“ไม่เยอะหรอก” ผมตอบ “ว่าแต่พี่วินเหอะ ตกลงทำไมถึงจำผมได้ จำได้ตั้งแต่ตอนไหน แล้วทำไมถึงมาเป็นครูได้ อย่างน้อยๆ จากความทรงจำผมเนี่ย ผมว่าพี่แม่งโคตรไม่เหมาะกับอาชีพนี้เลยนะ”
เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ “บอกแล้วไงว่าไม่บอก”
“อ้าว! กวน!!”
“ตอนแรกที่เห็นหน้าก็รู้สึกหน้าคลับคล้ายคลับคลาอยู่หรอก แต่พอรู้ชื่อ และได้ยินประโยคนั้น บวกกับที่เราบอกว่ามาจากต่างจังหวัดก็เลยมั่นใจ”
“ก็แล้วประโยคอะไรล่ะพี่”
“คิดเอาเองดิ”
“ถ้าคิดเองแล้วรู้ก็คงไม่ถามหรอก”
“เอาไว้ถึงเวลาอยากบอกจะค่อยบอกเอง ไปนึกดูเล่นๆ ก็แล้วกัน ไม่ยากขนาดนั้นหรอก” เขายิ้มมุมปาก
ผมตัดสินใจยอมแพ้และเปลี่ยนคำถาม “เออๆ จะว่าไปพี่ไปทำอะไรที่ซอยนั้นดึกๆ และถ้าเป็นพี่ ทำไมไม่ต่อยพวกแม่งให้คว่ำไปเองเลยตั้งแต่แรก อย่าบอกนะว่าลืมวิธีชกต่อยไปหมดแล้วน่ะ”
“คนเป็นครู จะไปต่อยเด็กนักเรียนได้ยังไง ถึงจะเด็กโรงเรียนอื่นก็เถอะ ที่ไปอยู่ที่นั่นก็เพราะรู้มาว่าเด็กกลุ่มที่มันชอบมาตามรังควานและมีปัญหากับเด็กโรงเรียนเรา มักไปสุมกันอยู่ที่นั่นกันดึกๆ ดื่นๆ เลยตามไปดูว่าจริงรึเปล่า เพื่อจะได้ตักเตือนและแจ้งไปยังโรงเรียนของพวกมันด้วย ก็แค่นั้นแหละ”
“โหเว้ย ทำงานนอกเวลาซะด้วย ทุ่มเทน่าดู”
“ก็มันอยู่ใกล้ๆ บ้านแค่นี้ แวะไปดูก็ไม่เสียหาย ว่าแต่เราเองเหอะ ค่ำมืดอย่าเผลอไปเดินแถวนั้นคนเดียวล่ะ เกิดพวกมันดักรอแก้แค้นอยู่ จะซวยเอา ส่วนตอนกลางวันมันคงไม่กล้ามาหาเรื่องถึงที่โรงเรียนหรอก”
“ผมดูแลตัวเองได้น่า”
“งั้นเรอะ ถึงแม้ว่ามันจะมากันสัก 10 คน พกอาวุธมาด้วย หรือใช้ไม้หน้าสามฟาดเข้าที่หัวเข่า ก็คิดว่าดูแลตัวเองได้เรอะ” เขาตีลงบนหัวเข่าของผม
ผมรีบชักขาหลบทันที “เออๆ เอาเป็นว่าผมจะระวังก็แล้วกัน ว่าแต่พี่เถอะ ทำไมถึงมาเป็นครู ยังไม่ตอบผมเลย แล้วตอนนั้นทำไมถึงย้ายออกไปจากที่บ้าน”
“ก็มาเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ น่ะสิ ถึงได้ย้ายกลับมา ส่วนที่ว่าทำไมมาเป็นครู ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอก ทำไปเล่นๆ ฆ่าเวลาแค่นั้นแหละ” เขาลุกขึ้นยืนและเดินไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าต่าง จากนั้นสักพักก็หันกลับมามองผม “พี่รู้เรื่องส่วนมากมาจากแม่เราแล้วนะ ทำวีรกรรมไว้เยอะไม่เบานี่หว่า”
“เลิกแล้ว” ผมพูดเซ็งๆ “และผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปหาเรื่องใครก่อนสักหน่อย ก็บอกแล้วไง”
“ดีแล้ว” เขายิ้ม “แล้วไง ดีใจมั้ย ได้มาอยู่ใกล้ๆ พี่อีกครั้งน่ะ”
การที่จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องไปแบบนี้ทำเอาผมเขินจนตั้งหลักไม่ถูก “จะไปดีใจอะไรเล่า ก่อนนี้ผมยังจำพี่ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เฉยๆ มากกว่าเหอะ”
“แต่ตอนนี้ก็จำได้แล้วนี่ ไม่ดีใจรึไง ไม่อยากกอด ไม่อยากขี่คอ ขี่หลัง หรืออาบน้ำด้วยกันแล้วเหรอ”
“เฮ้ย! เป็นถึงครูบาอาจารย์มาพูดจาอะไรวะเนี่ย ทะลึ่งว่ะ! โหยยย!”
“เกี่ยวอะไรวะ นี่ไม่ได้พูดในฐานะอาจารย์เว้ย พูดในฐานะพี่น้อง คนเคยสนิทกัน บ้านใกล้กัน” เขาเดินกลับมานั่งลงข้างๆ ผมเหมือนเดิม “ตอนที่ก้องตกจากต้นไม้น่ะ พี่กำลังจะย้ายบ้านพอดี เลยไม่ได้อยู่รอจนกว่าเราจะฟื้น เห็นว่าสลบไปตั้ง 2-3 วัน ตอนนั้นพี่เป็นห่วงเรามากเลยนะเว้ย และไม่คิดด้วยว่าเราจะเสียความทรงจำบางส่วนไปแบบนี้”
“สมองมันคงอยากจะลืมๆ ความทรงจำไม่ดีๆ ออกไปล่ะมั้ง”
“เออ ก็คงเป็นไปได้...” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงและแววตาที่เย็นชา
“ผมหมายถึงอย่างไอ้เรื่องตุ๊กแกหรือเรื่องที่พี่ไปขังผมไว้ในบ้านร้างอะไรพวกนั้นนะ” ผมรีบพูดต่อด้วยความรู้สึกผิด
“ตอนนั้นพี่ยังเด็กว่ะ อยู่กับเพื่อนก็ทำตัวเป็นหัวโจกไปงั้นแหละ แต่ที่จริงแล้วพี่เองก็...”
“ก็อะไร”
“ไม่มีอะไร” เขาหันหน้าหลบไปอีกทาง
“เฮ้ย อะไรเล่า บอกมาดิ ไหนบอกให้มาคุยไง แล้วทำไมทีแบบนี้ไม่พูด” ผมเร้า
“เออๆ ไม่มีอะไรเว้ย แค่จะบอกว่า ตอนนั้นพี่ก็เห็นเราเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ ของตัวเองเหมือนกัน แค่นั้นแหละน่ะ” เขาพูดทั้งที่หน้าแดง ทำเอาผมอึ้งๆ ไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะได้เห็นเขาเป็นแบบนี้
“เออออ... แต่ตอนนี้จะเป็นพี่เป็นน้องกันแบบเดิมก็ไม่ได้แล้วดิ กลายเป็นครูกับนักเรียนแทนซะงั้น” ผมพูดขึ้นหวังว่าจะช่วยทำให้เราสองคนต่างก็รู้สึกเขินอายน้อยลงได้บ้าง
“เรามันไม่ใช่เด็กๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไอ้ก้อง” เขาหันกลับมามองผม “ลำพังแค่เป็นครูกับนักเรียนแม่งคงไม่แย่เท่าไหร่หรอก”
ผมนิ่วหน้า “ยังไงวะพี่ ผมงง”
“ไม่ต้องรู้หรอก” จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นอีกครั้ง “ไปๆ กลับห้องตัวเองไปได้แล้ว พี่จะทำงาน”
อ้าว จู่ๆ ก็ไล่กูซะงั้นเลย
ผมที่ไม่อยากจะเถียงเขาลุกออกจากโซฟา แต่ก่อนออกจากห้อง ก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณเขาสำหรับอาหารที่ทำให้ แล้วจากนั้นเขาก็ปิดประตูลง ผมจึงเดินกลับห้องของตัวเองอย่างงงๆ ในใจก็รู้สึกสับสนนิดหน่อยเหมือนกันว่าตกลงแล้วความสัมพันธ์ของเราสองคนนี่มันยังไงกันวะ เราจะเป็นพี่น้อง ครูกับนักเรียน เพื่อนต่างวัย หรือเป็นแค่เพื่อนบ้านกันแน่ นี่ถ้าผมไม่โกหกตัวเองล่ะก็ ผมว่าผมก็รู้สึกชอบเขานะ ผมเริ่มนึกเรื่องราวเมื่อสมัยเด็กๆ ออกตั้งหลายเรื่อง ความรู้สึกชอบและชื่นชมแบบสมัยก่อนนั้นมันเริ่มหวนกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่ในตอนนี้ที่ผมโตขึ้น ความรู้สึกเหล่านั้นมันก็เลยแลดูจะลึกซึ้งตามขึ้นไปด้วย แต่ผมไม่อยากทำให้เรื่องระหว่างเรามันสับสนไปยิ่งกว่านี้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมไม่อยากจะคิดอะไรไปเองเพียงแค่เพราะผมไม่เคยมีแฟนมาก่อนแค่นั้น
“ก็แม่งเสือกหล่อ สเป๊กกูอีกนี่...” ผมพูดขึ้นลอยๆ ในขณะที่นอนลืมตามองเพดานห้องอยู่บนเตียง “แม่งเอ๊ยยย!!”
อีกราวๆ สองสัปดาห์ถัดมา ผมก็เริ่มปรับตัวเข้ากับโรงเรียนใหม่และเพื่อนใหม่ได้มากขึ้น รวมทั้งความใกล้ชิดของผมกับพี่วินก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน บางทีเขาก็ชวนผมไปออกกำลัง ว่ายน้ำ หรือกินข้าวเย็นด้วย เราคุยเรื่องสมัยตอนที่ผมกับเขาเคยเป็นเพื่อนบ้านกันหลายเรื่อง และเขาก็ถามถึงชีวิตของผมในช่วงหลังจากที่เขาไม่อยู่ด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้ก็คือเขามักไม่ค่อยพูดถึงเรื่องของตัวเองนัก ซึ่งก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาไม่อยากบอก ผมก็ไม่อยากเสือก เพราะแค่สิ่งที่เราเป็นกันอยู่นี้ก็ทำให้ผมมีความสุขและคลายเหงาไปได้เยอะแล้ว
สิ่งที่ผมรู้สึกชอบใจเกี่ยวกับเขาอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาที่อยู่โรงเรียน เขาจะปฏิบัติกับผมแบบนักเรียนปกติธรรมดาคนหนึ่ง เราไม่เคยคุยกันเรื่องที่บ้าน เรื่องส่วนตัว หรือแสดงความสนิทสนมอะไรกันให้คนอื่นเห็น เขาจะมีมาดความเป็นครูที่ดุและน่าเกรงขาม แต่เวลาที่อยู่กับผมที่บ้าน เขาจะกลายเป็นพี่ชายที่... อืมม... ก็ยังคงดุเหมือนเดิม แต่เป็นกันเองมากขึ้น กวนตีนมากขึ้น ผมเล่นหัวกับเขาได้ และเขาก็ถึงเนื้อถึงตัวผมมากขึ้นด้วย ตอนแรกๆ ผมก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันนะ ที่ว่าทำไมพออยู่โรงเรียนแล้วเขามักจะทำเป็นเหมือนไม่รู้จักผม ไม่ค่อยยิ้มให้หรือทักทาย นอกจากผมจะยกมือไหว้เขาก่อนเวลาเดินผ่าน ไม่เหมือนตอนเราบังเอิญเจอกันข้างนอกโรงเรียน เขามักจะเป็นฝ่ายเข้ามาทักผมก่อนเสมอๆ ซึ่งพอมาคิดๆ ดู การที่เป็นแบบนี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษของเขา และนอกจากนั้นผมว่ามันเป็นความรู้สึกแบบที่ผมคุ้นเคยมาก่อนยังไงบอกไม่ถูก
วันหนึ่งเพื่อนๆ ของผมตัดสินใจที่จะไปนั่งเล่นที่ห้องของผมหลังเลิกเรียน หลังจากที่พวกมันเตะบอลเสร็จ ผมก็พาพวกมันเดินไปยังคอนโด เพราะพวกเรามีกันหลายคน เดินไปคุยไปแป๊บเดียวก็ถึง และเราก็ตั้งใจจะเดินเลยไปซื้อขนมที่เซเว่นกันก่อนด้วย และในระหว่างทาง เราก็สังเกตเห็นกลุ่มของนักเรียนโรงเรียนอื่นที่กำลังยืนคุยกันอยู่ พอพวกเราเดินผ่านพวกมัน พวกมันก็หันมามองเราเป็นตาเดียวกัน ก่อนจะหันกลับไปซุบซิบอะไรบางอย่าง
“แม่งจะมาหาเรื่องเหี้ยอะไรพวกเรารึเปล่าวะ” ไอ้เอิร์ธพูดขึ้น
“มึงอย่าป๊อดน่า ไอ้เชี่ยเอิร์ธ คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง” ผมส่ายหน้า
“มึงไม่รู้อะไร ไอ้ก้อง โรงเรียนแม่งกับโรงเรียนเราอะ ไม่ถูกกันมาตั้งนานแล้ว มีกลุ่มมีก๊กที่แม่งฟัดกันมาตลอดอยู่หลายกลุ่มนะเว้ย” ไอ้ภูมิโน้มเข้ามาพูดใกล้ๆ ผม
“ใช่ๆ อย่างล่าสุดเมื่อราว 2-3 อาทิตย์ก่อนกูก็ได้ยินข่าวลือว่ามีเด็กโรงเรียนเราแม่งไปไล่กระทืบพวกแม่งซะกระเจิงมาด้วย รู้สึกว่าเรื่องแม่งก็เกิดแถวๆ ใกล้ๆ คอนโดมึงนี่แหละว่ะ ไอ้ก้อง” ไอ้บอมพูดเสริมขึ้น
ผมกระแอมในลำคอเบาๆ “แฮ่ม.. เอ่ออ แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับพวกเรามั้ง อย่าไปสนใจเลย”
ในที่สุดพวกมันทุกคนก็เปลี่ยนหัวข้อคุยไปเรื่องอื่น ผมหันกลับไปมองยังด้านหลังของตัวเองแล้วก็เห็นว่าเด็กกลุ่มนั้นก็ยังคงมองตามพวกเรามาอยู่ ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง ผมคิดว่าผมจำเด็กคนหนึ่งในกลุ่มนั้นได้ด้วย แต่เมื่อเราสบตากัน มันก็รีบหันหลบผมไปทันที
ผมพยายามไม่คิดอะไรและบอกตัวเองว่าผมอาจจะคิดไปเอง แต่สัญชาติญาณของผมก็ส่งเสียงเตือนให้ผมระวังตัวและจำเอาไว้ให้ดี ว่าผมมันเป็นคนประเภทที่เรื่องมักจะวิ่งเข้ามาหาเป็นประจำ ฉะนั้นจะทำเฉยเกินไปก็คงไม่ดี
ค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปอย่างดีและไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากที่เพื่อนๆ ของผมกลับไปแล้ว ผมก็เข้านอนด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่เมื่อผมไปถึงโรงเรียนในตอนเช้า ผมก็ต้องตกใจเมื่อได้รับข่าวว่าไอ้เอิร์ธไม่มาโรงเรียนเพราะถูกนักเรียนโรงเรียนคู่อริดักทำร้ายเอาในตอนหัวค่ำ โชคดีที่มันไม่เป็นอะไรมาก แต่ก็คงต้องหยุดเรียนไปสักพักเพื่อรักษาตัวให้หาย แต่สิ่งที่แย่กว่าร่างกายคือการที่พ่อแม่ของมันกังวลจนไม่พร้อมให้มันมาโรงเรียนตามปกติมากกว่า
เมื่อรู้ข่าวนั้น ผมก็รู้สึกโกรธจนแทบจะระเบิด ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าต้องเป็นไอ้พวกเหี้ยนั่นที่เราเจอแน่ๆ ถ้าพวกมันจะทำอะไรผม ผมจะไม่ว่าเลย แต่ไม่ใช่มาเล่นงานเพื่อนของผมแบบนี้ ผมอยากจะโดดเรียนและลุยไปถึงโรงเรียนของพวกแม่งให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำไม่ได้ ผมพยายามสงบสติอารมณ์และนึกถึงสัญญาที่ให้กับแม่เอาไว้ พอตอนพักกลางวัน พวกเราก็โทรไปหาไอ้เอิร์ธเพื่อพูดคุยและให้กำลังใจมัน แต่เมื่อถึงคราวที่โทรศัพท์ถูกยื่นมาที่ผม ผมกลับรู้สึกผิดจนพูดอะไรไม่ออก
“เฮ้ย ไอ้เอิร์ธ กู... กู... กูขอโทษนะเว้ย” ผมพูดออกไปเบาๆ
“ขอโทษเหี้ยอะไรของมึงวะ ไอ้เชี่ยก้อง”
“ก็ถ้าตอนนั้นกูเดินออกมาส่งมึง มึงก็คงไม่เจอเรื่องแบบนี้ว่ะ ไม่ดิ ไอ้เหี้ย ถ้ากูไม่พาพวกมึงไปที่บ้าน มึงก็คงไม่เจอเรื่องแบบนี้แล้ว และตอนนั้นกูก็เสือกเป็นคนปากดีบอกพวกมึงว่ามันคงไม่มีเรื่องอะไรอีก...”
“พอเลยๆ ไอ้ก้อง มึงเพ้อเจ้ออะไรของมึงวะเนี่ย กูงง” มันหัวเราะเบาๆ “กูถึงคราวซวยของกูเอง เรื่องนี้แม่งไม่ได้เกี่ยวกับมึงสักหน่อย อย่าคิดมากน่า”
ผมเงียบไปพักหนึ่ง “จริงๆ ก็อาจจะเกี่ยวนะเว้ย...”
“หมายความว่ายังไงวะ”
“คือ กู...” ผมอ้ำอึ้ง เพื่อนคนอื่นๆ ที่โต๊ะก็กำลังมองผมอยู่ด้วยแววตาสงสัย
“เฮ้ย ไอ้เด็กใหม่!” เสียงของเด็กคนหนึ่งตะโกนขึ้นจากทางด้านหลังของผม
เมื่อผมหันไปตามเสียง ก็เห็นไอ้วีกับเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่โต๊ะด้านหลังกำลังมองมายังพวกเราอยู่
“ได้ข่าวว่าเพื่อนมึงเพิ่งโดนเด็ก ส.ค. เล่นงานเมื่อคืนไม่ใช่เหรอวะ มันเป็นไงบ้าง ตายไปยัง” ไอ้วีพูดตามด้วยเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ของมัน “แม่งโคตรอ่อนเลยว่ะ เสียชื่อเด็กโรงเรียนเราชิบหาย!”
เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง ส่วนผมก็ได้แต่กำหมัดแน่น
“เฮ้ย มีเรื่องอะไรวะ ไอ้ก้อง” ไอ้เอิร์ธที่อยู่ในสายถาม
“ไม่มีอะไรว่ะ มึงอย่าสนใจเลย” ผมตอบพลางหันกลับมาที่เดิม
“เฮ้ย ไอ้บ้านนอก!” มันตะโกนเรียกผมอีกครั้ง แถมยังปาอะไรบางอย่างใส่หัวผมด้วย พอผมหันกลับไปมองก็เห็นลูกชิ้นลูกหนึ่งกำลังกลิ้งอยู่บนพื้น
“แล้วมึงจะไม่บอกเพื่อนมึงเหรอววะว่าที่แม่งโดนเค้ากระทืบน่ะ มันเป็นเพราะมึงไปก่อเรื่องครวยอะไรไว้น่ะ!”
“มึงพูดเหี้ยอะไรของมึง!!”
เมื่อเห็นผมมีปฏิกิริยาอย่างนั้น มันก็ดูเหมือนจะยิ่งได้ใจ ไอ้วีลุกขึ้นยืนและเดินตรงเข้ามาหาผม 2-3 ก้าว
“อ้าว หรือไม่จริงวะ” มันหัวเราะในลำคอเบาๆ “กูน่ะ มีเพื่อนเยอะนะเว้ยย เด็ก ส.ค. กูก็รู้จักอยู่หลายคน มึงคิดว่าที่พวกมันไปเจอมึงระหว่างทางกลับบ้านน่ะ... เรื่องบังเอิญเหรอวะ”
ผมลุกพรวดขึ้นและพุ่งตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อของไอ้เวรตะไลนี่เอาไว้ทันที “มึงรู้อะไรมา! ไอ้สัตว์!! มึงทำอะไรลงไป!”
“มึงนั่นแหละทำอะไรลงไป!” มันคว้าคอเสื้อของผมกลับ บรรดาเพื่อนๆ ของเราทั้งสองฝ่ายต่างก็ลุกฮือขึ้นจากโต๊ะพร้อมๆ กัน “ไม่ใช่เพราะมึงไปหาเรื่องกับไอ้พวกนั้นก่อนรึไงวะ พวกมันถึงได้จ้องจะมาเอาคืนน่ะ! แล้วแบบนี้มึงจะโทษใครได้ถ้าไม่ใช่ตัวมึงเอง ไอ้ควาย!” มันตะคอกใส่หน้าผม จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดขึ้นชกหน้าผมทันที
ใบหน้าของผมสะบัดไปตามแรงต่อย สิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยินคือเสียงเส้นบางๆ บางอย่างในหัวที่ขาดดังผึง ผมเหวี่ยงหมัดสวนกลับไปอย่างแรง แล้วจากนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปราวกับความฝัน ภาพทุกอย่างแลดูพร่ามัว ผมได้ยินเสียงของผู้คนร้องตะโกนอยู่รอบข้าง แต่ก็จับใจความอะไรไม่ได้ ทุกสิ่งแลดูโกลาหลและสับสนวุ่นวายไปหมด สิ่งถัดมาที่ผมรู้สึกตัวหลังจากที่เริ่มสงบสติอารมณ์ได้แล้วคือแขนหลายแขนที่พยายามดึงรั้งตัวของผมเอาไว้ ภาพที่ผมเห็นเบื้องหน้าคือไอ้วีและเพื่อนๆ ของมันทุกคนที่ลงไปนอนกองอยู่บนพื้น สภาพโต๊ะและเก้าอี้ที่กระจัดกระจาย เสื้อนักเรียนสีขาวของผมมีรอยเลือดอยู่ 2-3 จุด และเมื่อผมหันไปมองรอบตัว เด็กนักเรียนหลายๆ คนต่างก็กำลังยืนมุงดูผมด้วยสีหน้าซีดเผือด แม้แต่เพื่อนๆ ของผมเองก็ยังคงมองผมด้วยแววตาหวาดกลัวแทบไม่ต่างกัน
“พอได้แล้ว! ไอ้ก้อง!!” เสียงของไอ้บอมดังขึ้นที่ข้างหูของผม
ผมหันไปมองหน้าของมันแล้วก็เห็นว่ามีรอยช้ำอยู่ตรงมุมปากด้วย
“ใครทำอะไรมึง! ไอ้บอม! ไอ้พวกเหี้ยนั้นแม่งทำอะไรมึง!” ผมโวยวายพลางสะบัดตัวพยายามหลุดเป็นอิสระ
“ไม่ใช่ไอ้พวกเหี้ยนั่นหรอก! แต่เป็นมึงนั่นแหละ!” ไอ้ภูมิที่ช่วยจับผมอยู่อีกคนพูดขึ้น “มึงใจเย็นได้แล้ว ไอ้ก้อง! พอแล้วเว้ย!!”
ผมหันไปมองที่ไอ้บอมอีกครั้ง สีหน้าของมันแลดูหวาดหวั่น แต่แขนของมันก็ยังคงล็อคตัวของผมเอาไว้แน่น
เมื่อผมรู้สึกตัวว่าพวกมันกำลังกลัวผมอยู่มากขนาดไหน และคนที่ทำร้ายพวกมันก็คือผมเอง ผมจึงเริ่มผ่อนคลายลง พวกมันจึงยอมค่อยๆ ปล่อยตัวผม
“กูไม่เป็นไรแล้ว กูขอโทษว่ะ... กูขอโทษนะเว้ยไอ้บอม กูไม่ได้ตั้งใจ” เมื่อพูดเสร็จ ผมก็เดินออกจากโรงอาหารไปทันที แต่คราวนี้ไม่มีใครเดินตามผมมาสักคนเดียว
ผมเดินเข้าไปล้างหน้าล้างมือในห้องน้ำ แล้วจากนั้นก็ขังตัวเองอยู่ในนั้นครู่หนึ่ง จนกระทั่งได้ยินเสียงประกาศเรียกชื่อของตัวเองออกทางลำโพงว่าให้ไปพบอาจารย์ที่ห้องปกครอง ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วจึงเดินออกไปพบกับชะตากรรมของตัวเอง
ที่ห้องปกครอง อาจารย์ศุภกรณ์กำลังยืนรอผมอยู่ด้วยสีหน้าโกรธจัด แต่นอกจากเขาแล้วผมก็ยังเห็นไอ้วีและเพื่อนๆ ของมันนั่งอยู่บนพื้นห้องด้วย พวกมันทุกคนได้รับการปฐมพยาบาลเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหนักหนาอะไร แต่เห็นแบบนี้แล้วแม่งก็น่ากระทืบซ้ำให้แม่งสลบคาตีนไปเลยจริงๆ ว่ะ!
“จะยืนอยู่อีกนานมั้ย!!” อาจารย์ศุภกรณ์ตะคอกขึ้น ทำเอาผมถึงกับสะดุ้ง ผมว่าพี่วินน่ากลัวแล้วนะ แต่อาจารย์คนนี้กลับยิ่งมีน้ำเสียงที่น่ากลัวยิ่งกว่าอีก “นั่งลง!!”
ผมเดินไปนั่งลงบนพื้นตามที่เขาชี้
“ผมให้โอกาสพวกคุณอธิบายมาว่าเกิดอะไรขึ้น!”
เงียบ... ไม่มีใครพูดอะไร
“จะพูดหรือไม่พูด!!” อาจารย์ศุภกรณ์ฟาดไม้เรียวที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะก่อให้เกิดเสียงดังขึ้นจนทำเอาคนอื่นๆ สะดุ้งตัวโยน ยกเว้นแค่ผมเพียงคนเดียว
แปลกแฮะ ทั้งๆ ที่ผมว่าเขาก็มีบุคลิกที่น่าเกรงขามและน้ำเสียงที่น่าหวั่นเกรงมากอยู่หรอกนะ แต่ไม่รู้ทำไม ผมกลับไม่รู้สึกกลัวเขาเลย
“ขออนุญาตครับ” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งที่ผมคุ้นหูดังขึ้นจากตรงประตูห้อง เมื่อผมหันไปมองก็พบว่าพี่วินกำลังเดินเข้ามาข้างในห้องด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ “ผมขอเป็นคนรับเรื่องนี้ต่อเองได้มั้ยครับ อาจารย์”
“คุณคุยกับเด็กคนอื่นๆ รึยัง”
“คุยแล้วครับ”
“เด็กคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่เพื่อนๆ ของเจ้าพวกนี้นะ”
“ใช่ครับ” เขาตอบอย่างหนักแน่น แต่ตลอดเวลาที่เขาพูดอยู่กับอาจารย์ศุภกรณ์ เขาไม่ได้แม้แต่ปรายตามามองผมเลยสักนิดเดียว “ผมอยากให้อาจารย์จับเด็กพวกนี้แยกแล้วสอบสวนทีละคนมากกว่าครับ ดูว่าจะพูดตรงกันรึเปล่า แบบนั้นน่าจะดีกว่านะครับ”
“ก็จริงของคุณ” อาจารย์ศุภกรณ์พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หันไปหาไอ้วี “นายวิทวิสิทธิ์ ตามผมเข้ามาในห้องเดี๋ยวนี้!”
ผมมองอาจารย์ศุภกรณ์เดินนำไอ้วีหายเข้าไปในห้องรับรองห้องเล็กที่อยู่ด้านใน จากนั้นพี่วินก็เปิดประตูออกและสั่งให้เพื่อนๆ ของไอ้วี ซึ่งรวมถึงไอ้ข้าว เพื่อนในห้องของผมก็ด้วย ออกไปนั่งรออยู่ที่ส่วนหน้าของห้องปกครองซึ่งมีโต๊ะประชาสัมพันธ์และอาจารย์ท่านอื่นนั่งอยู่ จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาหาผม
“ตามผมมาในห้อง” เขาพูด จากนั้นก็เดินนำผมเข้าไปยังในห้องที่ผมได้พบกับเขาในโรงเรียนนี้เป็นครั้งแรก
เมื่อเขานั่งลงแล้ว เขาก็สั่งให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าของเขาก็ยังคงเรียบเฉยเหมือนเดิม และสิ่งนี้แหละที่ทำให้ผมกลัว แต่ไม่ได้กลัวเขา หากแต่มันคือความรู้สึกกลัวแบบเดียวกับที่ผมกลัวว่าแม่จะรู้เรื่องนี้... ความกลัวที่จะทำให้เขาผิดหวังในตัวของผม
“ผมไม่คิดว่าคุณจะเป็นคนที่ทำผิดสัญญาได้ง่ายๆ แบบนี้นะ...” ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นหลังจากที่เงียบอยู่พักหนึ่ง “มีอะไรจะแก้ตัวมั้ย”
“ไม่มีครับ” ผมตอบ
“มีอะไรจะอธิบายมั้ย”
“ไม่มีครับ”
เขามองหน้าผมด้วยแววตาทะลุทะลวง “ผมมีหน้าที่จะต้องสอบสวนคุณ และคุณต้องตอบคำถามของผม เข้าใจสถานะของตัวเองรึเปล่า”
“เข้าใจครับ”
“ถ้างั้นก็ตอบผมมา”
“ครับ”
“ใครเป็นคนเริ่มก่อน”
“ไอ้วีครับ”
“แล้วคุณก็เลยตอบโต้”
“ผมโมโหครับ”
“ทำไมถึงโมโห”
“เพราะมันเป็นคนที่ทำให้เพื่อนของผมต้องบาดเจ็บ”
“หมายถึงใคร”
“ไอ้เอิร์ธ อาจารย์น่าจะรู้ วันนี้มันไม่มาโรงเรียนเพราะโดนเพื่อนๆ ของไอ้วีมันรุมกระทืบเมื่อคืน”
เขาเงียบลงไปอีกครั้ง “...เล่ามาซิ”
ผมเริ่มต้นเล่าตั้งแต่เรื่องที่พวกเราเจอเด็กกลุ่มนั้นระหว่างทางกลับบ้านของผมเมื่อวานตอนเย็นให้เขาฟัง ผมบอกเขาว่าผมเห็นเด็กคนหนึ่งในนั้นที่น่าจะอยู่กลุ่มเดียวกับคนที่เคยจะทำร้ายเขา และเล่าว่าไอ้วีพูดอย่างไรออกมา เขานั่งฟังผมโดยไม่ได้พูดหรือถามอะไรจนกระทั่งผมพูดจบ จากนั้นเขาจึงนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งท่าทางใช้ความคิด ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและส่งสัญญาณบอกให้ผมทำตาม
“เชิญคุณกลับไปห้องเรียนได้แล้ว” เขาเดินไปจับที่ลูกบิดประตู
ผมหันไปมองเขางงๆ “ผมไม่ต้องถูกลงโทษเหรอครับ”
“อันนั้นเป็นหน้าที่ของผมกับอาจารย์ศุภกรณ์ที่ต้องตัดสินใจ แล้วเดี๋ยวคุณจะถูกเรียกตัวอีกที”
“ครับ... เอ่ออ... ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ”
“ถามว่า”
“แม่ของผม... เค้าจะต้องรู้เรื่องนี้มั้ยครับ”
“ตามกฎของโรงเรียน ผู้ปกครองจะต้องได้รับทราบเมื่อบุตรหลานก่อเรื่องทะเลาะวิวาทขึ้นภายในโรงเรียนทุกครั้งและทุกกรณี...” เขาตอบ จากนั้นก็เน้นคำสุดท้ายเป็นพิเศษ “ไม่มีข้อยกเว้น”
“ครับ...” ผมก้มหน้า รู้สึกผิดแบบสุดๆ ที่ทำให้แม่ต้องเสียใจอีกแล้ว
“แต่ในกรณีของคุณ...” เขาพูดต่อ “ผมจะเป็นคนโทรไปบอกผู้ปกครองของคุณด้วยตัวเอง” บางอย่างในน้ำเสียงนั้นทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าของเขาด้วยความแปลกใจ เขามองหน้าผมก่อนจะยิ้มมุมปากออกมาน้อยๆ “อย่าก่อเรื่องให้กูนักได้มั้ยวะ ไอ้แสบเอ๊ย!”
เขาเขกกำปั้นลงบนหัวของผมอย่างแรงจนผมต้องร้องโอ๊ยออกมา ผมยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ แต่ในขณะเดียวกันผมกลับอดยิ้มและหัวเราะออกมาไม่ได้
“คืนนี้ค่อยคุยกัน สองทุ่มตรงที่ห้อง ถ้าคราวนี้ไม่ขึ้นไปอีก ไม่ช่วยแล้วนะเว้ย” เขากระซิบเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูออก
“ครับ! อาจารย์วิน!” ผมรับคำอย่างหนักแน่น