“พี่ศิ! ทำแบบนั้นทำไมนั่นมือถือกรนะ!” ผมร้องเสียงหลงแต่พี่ศิแกก็ไม่ได้สนใจอะไรครับแถมยังยึดโทรศัพท์มือถือของผมไปเสียอีก ไอผมก็คิดจะโวยวายนะครับแต่คุณพี่ศิรวิทย์แกพูดทวนไปถึงคำชวนของเขาที่เอ่ยชวนผมเมื่อวันที่ 23 นะครับว่า “พี่บอกแล้วไงครับว่าเราจะไปเคาท์ดาวน์กันสองคน” รอยยิ้มเย็น ๆ ของพี่สิ่งถูกส่งมาพร้อมกับเอาโทรศัพท์มือถือของผมย่อนเข้าไปในกระเป๋าสูทของตัวเองอีกครับ ไอผมที่เห็นรอยยิ้มแบบนั้นของพี่แกทำเอาผมปิดปากเงียบสนิทและก้มหน้าก้มตากินไอศกรีมในถ้วยของตัวเองต่อ
ไม่นานนักผมก็จัดการไอศกรีมในถ้วยของผมจนหมด ผมลอบแอบตาเหลือบมองหน้าของพี่ศิที่ตอนนี้แสดงถึงอาการไม่พอใจ ไอหน้าตาแบบนั้นทำผมร้อน ๆ หนาว ๆ จนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวครับนิ้วชี้ของผมถูกยื่นไปพร้อมกับจิ้มไปตรงระหว่างคิ้วเข้มที่ขมวดเป็นปม รอยยิ้มจาง ๆ ของผมถูกส่งไปพร้อมกับพูดอ้อน ๆ เล็กน้อย (ความจริงผมก็อายเหมือนกันนะครับที่ต้องพูดแบบนั้น แต่ทำไงได้ล่ะผมไม่อยากให้พี่ศิรู้สึกหงุดหงิดรับปีใหม่นี่ครับ ตอนนี้ก็เกือบจะ 3 ทุ่มแล้วด้วยถ้าปล่อยให้พี่ศิแกหงุดหงิดต่อไปท่าทางจะยาวครับ) “พี่ศิอย่าขมวดคิ้วสิ น้องกรคนนี้ไม่ชอบหน้าของพี่ศิตอนเคร่งเครียดเลยน้า ยิ้ม ๆ ยิ้มนะพี่ศิ” เมื่อพูดจนจบประโยคผมก็เอียงคอส่งยิ้มให้พี่ศิครับและดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะคลายความตึงเครียดของตัวเองได้เล็กน้อยครับเพราะพี่แกก็ส่งยิ้มตอบกลับมาให้ผมครับ
ผมนั่งเท้าคางพลางมองบรรยากาศยามค่ำคืนใจกลางกรุงเทพไปสักพักในที่สุดพี่ศิก็เรียกบริกรให้มาเช็คบิลครับ ไอผมก็ไม่อยากจะรู้ราคาของค่าอาหารทั้งหมดครับผมก็เลยเลี่ยงที่จะดูใบเสร็จครับ แต่พี่ศิแกก็รู้สึกจะไม่สนใจราคาเหมือนกันบัตรเครดิทสีทองก็ถูกร่อนไปวางบนสมุดหนังและพนักงานก็โค้งตัวและเดินจากไป ผมนั่งเคาะนิ้วรอบริกรนำบัตรเครดิทของพี่ศิกลับมาคืนสักพักบัตรเครดิทใบนั้นก็คืนสู่เจ้าของพร้อมกับร่างของผมกับพี่ศิก็ลุกขึ้นยืนและเดินย้อนกลับไปที่ลิฟท์
ผมยกมือทั้งสองข้างประกบกับที่หัวพร้อมกับสาวเท้าเดินไปที่รถแต่พี่ศิแกก็เดินนำผมไปก่อนนะครับและทำหน้าที่ประจำของแกคือการเปิดประตูรถให้ผมขึ้นไปนั่ง และผมก็ว่าง่ายอีกรอบครับผมก็ขึ้นไปนั่งที่นั่งข้างคนขับและทันทีที่ก้นของผมสัมผัสกับเบาะพี่ศิก็ปิดประตูรถทันทีและเดินอ้อมไปขึ้นรถอีกฝั่ง ผมปรายตามองพี่ศิที่ตอนนี้เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยแต่ดูแล้วก็ยังเหมือนจะมีความไม่พอใจแฝงอยู่ภายในครับ ผมก็เลยจัดการทำลายความเงียบด้วยการแกล้งหยอกพี่ศิพร้อมกับถามว่าพี่ศิตั้งใจจะพาผมไปเคาท์ดาวน์ที่ไหน
“พี่ศิของน้องกรครับ พี่ศิจะพาน้องกรคนนี้ไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนเหรอครับ หรือว่าพี่ศิจะพาน้องกรคนนี้เข้าไปเคาท์ดาวน์ที่โรงแรมไม่น่ะ!” ผมพูดพร้อมกับแอ็คติ้งเต็มที่ซึ่งไอคำพูดของผมทำพี่ศิแกอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง มือกร้านถูกยกมือขึ้นมายีผมของผม (ที่ผมใช้เวลาเกือบสามสิบนาทีเซทมัน) จนยุ่งก่อนจะพูดตอบผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่หน้าไว้ใจพร้อมกับรอยยิ้มร้ายที่ส่งมา “ถ้ากรอยากเคาท์ดาวน์ที่โรงแรมหรู ๆ พี่วนรถกลับไปก็ได้นะครับแล้วพี่จะจองห้องสวีทให้เลย”
ไอคำตอบนั่นของพี่ศิเอาผมชะงักไปเลยครับผมเอามือฟาดไปที่ไหล่พี่ศิทีหนึ่งแล้วบ่นคำว่า ‘พี่ศิบ้า’ ไปตลอดทางเลยครับ
ผมนั่งกอดอกพร้อมกับสะบัดหน้าหันไปมองทางนอกหน้าต่างภาพวิวภายนอกที่ตอนแรกเป็นตึกสูงตระหง่านระฟ้าตอนนี้เริ่มเปลี่ยนไปเป็นตึกเตี้ย ๆ และแปรสภาพเป็นพื้นที่ว่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไหมแล้วหละครับ ท่าทางพี่ศิแกจะขับรถพาผมออกนอกตัวเมืองซะแล้วสิ สงสัยจริงว่าจะพาผมไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนกันนะ
ผมนั่งเคาะกอดอกและหันไปมองภาพบรรยากาศด้านนอกตลอดทาง ในที่สุดพี่ศิก็ชะลอรถลงครับพร้อมกับเลี้ยวรถเข้าไปจอดในบ้านเรือนไทยหลังหนึ่งซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางพอดู ผมไม่รู้ว่าสถานที่นี่มันคือที่ไหนแต่พี่ศิที่ลงจากรถไปก่อนแกก็อ้อมตัวรถลงมาเปิดประตูให้ผมแล้วครับ ผมแหงนหน้ามองพี่ศิด้วยความงุนงงแต่ผมก็ยอมลงจากรถและเดินตามพี่ศิขึ้นบ้านเรือนไทยหลังนั้นไป
ผมคิดว่าพี่ศิคงไม่พาผมมาล่าท้าผีฉลองปีใหม่หรอกนะครับบ้านเรือนไทยหลังนี่ท่าทางจะเก่าพอตัวเลยและที่สำคัญพื้นที่ของบ้านเรือนไทยหลังนี้กว้างมากครับทำให้ระยะห่างจากบ้านหลังนี้ไปบ้านหลังอื่น ๆ ออกจะห่างสักเล็กน้อยและนั่นก็ทำให้บ้านหลังนี้โคตรวังเวงเลยครับ
และในทุก ๆ ครั้งที่ก้าวเดินไปตามไม้กระดาน พื้นไม้ก็จะลั่นดังทุกครั้ง ไอผมที่เดินตามพี่ศินี่ก็ทำเอาผมสะดุ้งไปหลายรอบแต่บ้านหลังนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เห็นภายนอกนะครับเพราะทันทีที่เราขึ้นถึงตัวบ้านคนรับใช้ของบ้านนี้ก็เดินออกมาต้อนรับพี่ศิครับแถมเรียกพี่ศิว่าคุณหนูเสียอีก
‘เออ…อย่าบอกนะว่านี่คือบ้านของพี่ศิเขาน่ะ’ ไอผมที่คิดไปอย่างนั้นก็เริ่มหนาวสันหลังและก็รีบเดินไปเกาะหลังพี่ศินี่แสดงว่าผมจะได้เจอหน้าคุณพ่อคุณแม่ของพี่ศิแล้วใช่ไหมเนี่ย
ซึ่งไอท่าทางของผมที่แสดงออกมาทำให้พี่ศิหลุดหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับเอื้อมมือมากุมมือของผมไว้ “นี่บ้านคุณยายของพี่ครับไม่ใช่บ้านของคุณพ่อคุณแม่พี่หรอกครับ” พี่สิพูดให้ผมคลายกังวลแต่มันกลับผิดถนัดเลยครับผมนึกว่าจะได้เจอคุณแม่คุณพ่อของพี่ศิ แต่นี่กลับมาเจอแจ็คพอร์ตครับผมโดนพี่ศิล่อลวง? ให้มาเจอหม่อมยายของพี่ศิเลยครับ
ไอสภาพครอบครัวที่ทำให้พี่ศิดูเป็นคนเคร่งขรึมและบรรยากาศโดยรอบ ๆ ตัวดูกดดันเนี่ย…มันจะเป็นยังไง สภาพหม่อมยายของพี่ศินี่ต้องอารมณ์คุณหญิงน่ากลัว ๆ แน่ ๆ เลยครับ ผมยืนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนที่จะเดินตามพี่ศิไปหาหม่อมยายของพี่เขาในห้องรับแขกครับ
ผมเดินก้มหน้าก้มตาตามไปและเมื่อพี่ศิแกหยุดฝีเท้าลงผมก็เดินชนแผ่นหลังของพี่ศิเขาเต็มเปา ไอผมนี่ตั้งใจจะเอ่ยปากว่าพี่เขาแต่ถ้อยคำที่คิดไว้ทั้งหมดก็ต้องถูกกลืนลงไปคอเสียหมดเพราะตอนนี้ผมกับพี่ศิกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าคุณยายของพี่ศิแล้วแหละครับร่างขอองพี่ศิค่อย ๆ นั่งพับเพียบลงกับพื้นพร้อมกับรั้งมือของผมให้ลงไปนั่งข้าง ๆ
“สวัสดีครับคุณยาย ไม่ได้เจอหน้ากันนานเลยนะครับ” พี่ศิยกมือไหว้และพูดอย่างนอบน้อม ส่วนผมก็ต้องยกมือไหว้ตามพี่ศิเขาครับ แต่คุณยายของพี่ศินี่แตกต่างไปจากที่ผมคิดไว้เยอะนะครับผมนึกว่าคุณยายของพี่ศิจะเชิดหน้าแล้วดูขรึม ๆ หยิ่ง ๆ (เรื่องนี้อย่าไปบอกพี่ศินะครับเพราะขืนพวกคุณเอาไปบอกผมนี่อาจจะโดนพี่ศิเทศน์ยกใหญ่เลยแหละครับ) แต่นี่มันคนละเรื่องจากที่ผมคิดเลยครับเพราะคุณยายของพี่ศินี่ใจดีมาก ๆ แถมยังมีบรรยากาศอบอุ่นโอบล้อมรอบกายด้วยครับ แต่ทำไมหลานชายของคุณยายถึงได้มีบรรยากาศไม่น่าไว้ใจรายล้อมรอบตัวเองหละครับเนี่ย ผมตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองไปสักพักพลันเสียงเรียกของพี่ศิก็ฉุดสติของผมให้กลับร่างพร้อมกับเอ่ยพูดแนะนำผมให้คุณยายท่านแกรู้จักครับ
“กรครับมาใกล้ ๆ หน่อยสิคุณยายเขามองหน้ากรไม่ชัดนะ” ไอเสียงเรียกนั้นทำให้ผมต้องเขยิบไปใกล้ ๆ คุณยายของพี่ศิเขาครับ ผมแหงนหน้ามองคุณยายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พร้อมกับส่งยิ้มให้
“สวัสดีครับคุณยาย ผมชื่อกรครับ รณกรเป็นรุ่นน้องของพี่ศิเขาครับ” ผมเอ่ยแนะนำตัวอย่างนอบน้อมพร้อมกับทำตัวเป็นเด็กดีมากขึ้นไปอีกโดยการก้มลงไปกราบที่เท้าของคุณยายพี่ศิครับ (อันนี้เรียกว่าซื้อใจผู้ใหญ่ครับถึงผมจะเกรียนและบ้าแต่เรื่องมารยาทกับผู้หลักผู้ใหญ่เนี่ยผมแหละได้เป็นที่หนึ่งเลยครับ)
คุณยายของพี่ศิซึ่งเห็นกิริยาแบบนั้นของผมท่านก็ยิ้มออกมาเสียงยกใหญ่พร้อมกับพยุงตัวให้ผมลุกขึ้นไปนั่งข้าง ๆ แก (นี่ไงผมบอกแล้วว่าเรื่องมารยาทกับผู้หญิงผมเป็นที่หนึ่งครับ) ท่านจับหน้าผมและบิดไปบิดมาเพื่อมองหน้าของผมแกจ้องมองหน้าของผมสักพักในที่สุดริมฝีปากของคุณยายก็เปิดออกแต่เป็นคำพูดที่หันไปพูดคุยกับพี่ศิครับ “คนนี้เหรอใหม่…ทั้งนิสัยและหน้าตาน่ารักตามที่เราบอกยายจริง ๆ เลยนะ”
ผมสงสัยว่าคุณยายท่านพูดถึงใครผมจึงหันไปมองพี่ศิที่นั่งประกบคุณยายอีกข้างพี่เขากำลังส่งยิ้มให้กับคุณยายก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้แก่ผม ‘นี่ผมไม่ได้อยากได้รอยยิ้มมาเป็นคำตอบนะแต่ผมอยากรู้ว่าคนชื่อใหม่คือใครครับพี่ช่วยเคลียร์ให้ผมสงสัยสักทีดิพี่’ พี่ศิที่เห็นคิ้วของผมที่ขมวดเป็นปมพี่เขาถึงกับหลุดหัวเราะออกมาท่าทางพี่เขาจะรู้แล้วครับว่าผมกำลังสงสัยว่าคนชื่อใหม่ที่คุณยายของพี่ศิท่านพูดหมายถึงใคร
“คุณยายครับท่าทางคุณยายจะทำให้น้องเขาสงสัยซะแล้วสิครับว่าคนชื่อใหม่คือใคร” พี่ศิพูดกลั้วหัวเราะน้อย ๆ ใบหน้าคมเบนหันไปสบตามองกับคุณยายของเขาและดูเหมือนคุณยายท่านแกจะรู้ในสิ่งที่ผมสงสัยใบหน้าที่มีริ้วรอยตามวัยคลี่ยิ้มพร้อมกับมือที่ถูกยกขึ้นมาลูบที่หัวของผมอย่างแผ่วเบา
“สงสัยสินะจ๊ะว่ายายเรียกใครว่าใหม่...ส่วนตาใหม่นี่ก็แย่จริง ๆ ชื่อนี้ยายอุตส่าห์ตั้งให้สมกับเวลาที่เราเกิด แต่เราก็ดันชอบไปบอกคนอื่นว่าชื่อศิ ทำแบบนี้ยายเสียใจนะ” คำพูดของคุณยายของพี่ศิเริ่มจะทำให้ผมคลายความสงสัยขึ้นเล็กน้อยแล้วหละครับว่าคนชื่อใหม่นั่นหมายถึงใคร
เพราะมันเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากพี่ศิรวิทย์ผู้ที่บอกชื่อเล่นให้ผมฟังว่าตัวเองชื่อศิ ผมเบนสายตาจากคุณยายไปมองพี่ศิพร้อมกับคิ้วด้านหนึ่งที่กระตุกเบา ๆ การแสดงสีหน้าแบบนั้นของผมทำให้พี่ศิรู้ว่าผมต้องการคำอธิบายจากปากของพี่เขาอย่างแรง ซึ่งพี่ศิก็หัวเราะแห้ง ๆ ใส่พร้อมกับพูดอธิบายให้ผมฟัง
“จริง ๆ แล้วชื่อเล่นของพี่คือ วันใหม่ ครับเพราะพี่เกิดช่วงเที่ยงคืนพอดีคุณยายท่านเลยตั้งให้ชื่อนั้น ตอนแรกพี่ก็บอกทุก ๆ คนไปว่าพี่ชื่อวันใหม่แต่มันดูจะน่ารักน่าหยิกเกินไปเพื่อน ๆ พี่ก็ไม่ค่อยเรียกกันส่วนใหญ่ก็จะเรียกว่าศิ พี่เลยเปลี่ยนชื่อเล่นตัวเองว่าศิ ส่วนชื่อเล่นว่าวันใหม่จะเป็นชื่อที่คนในบ้านเรียกกันครับกร” พี่สิอธิบายด้วยรอยยิ้มส่วนคุณยายท่านก็ดูภาคภูมิใจกับชื่อเล่นนี่ของพี่ศิมากเลยล่ะครับ พวกทั้งสามคนนั่งคุยกันไปสักพักใหญ่ ๆ การคุยครั้งนี้ทำให้ผมรู้อีกว่าพี่ศิเป็นคนที่ติดคุณยายมากเลยครับ และที่สำคัญการคุณกับคุณยายทำให้ผมได้รับรู้ว่าคนในบ้านพี่ศิไม่ได้น่ากลัวเหมือนพี่ศิเขาทุกคนครับ เราพูดคุยกันต่อไปอีกสักพักคุณยายท่านก็ขอตัวเข้านอนก่อนเพราะว่าตอนนี้มันก็เป็นเวลาดึกมากแล้วผมกับพี่ศิจึงช่วยกันประคองคุณยายพาไปที่ห้องนอนของท่าน หลังจากนั้นพวกผมก็เดินออกนั่งที่ชานบ้านของบ้านเรือนไทยหลังนี้
ผมนั่งเท้าคางมองพี่ศิอย่างปลง ๆ ดูเหมือนพี่ศิแกจะดูหงอยมากเลยครับ (จะไม่หงอยให้ได้ยังไงหละผมเล่นไม่พูดกับแกเลยหลังจากที่พาคุณยายท่านไปส่งที่ห้อง) ถ้าให้เปรียบเทียบสภาพของพี่ศิตอนนี้ผมก็ของเปรียบเทียบเลยครับว่าพี่แกเหมือนน้องหมาโกลเด้นรีทีฟเวอร์ที่กำลังนั่งหูหางลู่สำนึกผิดอยู่ครับ ที่จริงผมก็ไมได้โกรธอะไรพี่ศิเขาหรอกครับแต่แค่ตกใจที่พี่เขาทำเซอร์ไพรส์พาผมมาหาผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้ แต่ผมก็ทนนั่งเมินพี่ศิแกไปได้ราว ๆ สิบถึงสิบห้านาทีเท่านั้นหละครับผมก็ทนต่อความเงียบไม่ไหวหันไปหาพี่ศิ (ที่หูหางลู่ เอ้ย ไม่ใช่!) พร้อมเปิดริมฝีปากตนเพื่อคุยกับพี่เขา “นี่คือสถานที่ที่พี่ตั้งใจว่าจะพาผมมาเคาท์ดาวน์สินะ”
เมื่อผมเปิดปากพูดน้องหมาศิรวิทย์ที่นั่งหูหางลู่อยู่ก็กระดิกหางแล้วพยักหน้าตอบผมครับ (…ทุกคนอย่าว่าที่ผมเปรียบพี่ศิเขาแบบนี้เลยนะครับเพราะว่ามันเหมือนจริง ๆ นี่นาผมเลยพูดเปรียบไปแบบนั้น) ริมฝีปากคมนั้นยิ้มจนแก้มแทบปริที่ผมหันมาคุยกับเขา แถมนอกจากจะพยักหน้าตอบผมกับยิ้มแล้วพี่ศิมีการบอกถึงโปรแกรมในวันพรุ่งนี้ด้วยครับว่าจะพาผมไปทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และกี่โมง
“กรครับพรุ่งนี้เราจะไปทำบุญวันปีใหม่กับคุณยายพี่นะครับ แล้วก็ไปให้อาหารปลากันวัดที่เราจะไปนี่เป็นวัดเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มากแต่เป็นวัดที่ขึ้นชื่อของจังหวัดปทุมธานีเลยนะครับ” อ่อ…พี่แกพาผมมาจังหวัดปทุมนี่เองท่าทางจะอยู่ในตัวเมืองปทุมซะด้วยเพราะผมได้ยินมาว่าทางตัวเมืองปทุมไม่ค่อยจะเจริญเท่าชานเมืองที่ติดกับตัวกรุงเทพอย่างเช่นรังสิตแต่มันก็ให้อารมณ์คราสสิคอีกแบบหนึ่งแหละครับ ผมนั่งมองสวนเล็ก ๆ ของบ้านหลังนี้พร้อมกับหลับตาลงฟังเสียงพลุที่ถูกจุดขึ้นเพื่อนฉลองวันขึ้นปีใหม่ ‘เป็นการเคาท์ดาวน์ที่เงียบสงบกว่าทุก ๆ ปีที่ผมเคยเจอมา แต่มันก็เป็นการเคาท์ดาวน์ที่อบอุ่นใจที่สุดเท่าที่ผมเคยได้พบมา’ ผมยังคงนั่งมองพลุแบบนั้นไปอีกสักพักหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นและถามหาถึงที่ห้องนอนที่จัดเตรียมไว้
เมื่อคืนผมนอนราว ๆ ตีหนึ่งกว่าครับเพราะกว่าผมจะได้นอนนี่ต้องถอดเสื้อถอดผ้าอาบน้ำสระหัวที่เต็มไปด้วยเจลแล้วก็ทะเลาะกันแย่งที่นอนกับพี่ศิอีกราว ๆ สามสิบนาทีครับ ในที่สุดหัวของผมก็ได้สัมผัสกับหมอนครับ (ซึ่งผมแย่งเตียงนอนได้สำเร็จและไล่พี่ศิไปนอนที่พื้นได้ครับ) และหลับยาวจนถึงตอนนี้แหละครับ ในความรู้สึกแรกที่ผมได้นอนบนเตียงและไล่พี่ศิไปนอนที่พื้นได้ผมนี่ก็รู้สึกสงสารพี่เขาอยู่หรอกครับ
แต่ตอนนี้…ผมชักจะสงสารพี่ศิไม่ออกแล้วครับ ซ้ำผมยังอยากจะประเคนเท้าให้พี่ศิไปสักทีเพื่อให้พี่เขาคลายวงแขนออกจากตัวผม ‘พี่ศิ…ไอคนฉวยโอกาส’ ผมกลั้นลมหายใจก่อนจะค่อย ๆ เอามือเสยคางพี่ศิไปหนึ่งที คราวนี้ร่างที่โอบกอดผมอยู่ถึงกับสะดุ้งตื่นและคลายวงแขนออกจากตัวผมทันที มือกร้านถูกยกขึ้นมากุมที่คางพร้อมกับบ่นพึมพำเรื่องที่ผมใช้หมัดสอยพี่เขาไปหนึ่งที “รุนแรงไปแล้วนะครับกร ถ้าจะปลุกพี่ก็ปลุกดี ๆ หน่อยได้ไหมครับแล้วนี่กี่โมงแล้วเนี่ย แล้วพี่จะไปทำบุญกับคุณยายทันไหมเนี่ย” พี่ศิแกดูร้อนรนนิดหน่อยครับแต่แกไม่ได้คิดไปถึงสิ่งที่ตัวเองทำเมื่อคืนเลยครับ
“พี่ศิ ไหนบอกว่าจะนอนข้างล่าง แล้วไหงตอนเช้าขึ้นมานอนกอดกรได้เล่า” ผมพูดพร้อมกับเอาหมอนข้างฟาดไปที่พี่ศิ พี่ศิก็เอามือปัดป้องนะครับแต่แกก็หัวเราะแห้ง ๆ ตอบกลับมา ไอเสียงหัวเราะนั่นทำให้ผมรู้สึกปรี๊ดขึ้นมาอีกผมจึงใช้หมอนข้างฟาดพี่ศิรัว ๆ เลยครับ “ไม่สำนึกเลยเหรอ นี่แหนะ!”
“เปล่านะพี่ไม่ใช่ไม่สำนึก คือยุงมันกัดแล้วมุ้งมันก็มีอยู่บนเตียงพี่เลยขอไปนอนด้วยแต่กรนอนดิ้นเหลือเกินพี่ก็เลยใช้วิธีที่เจมส์กับบาสบอกเพื่อแก้อาการนอนดิ้นของกรครับ” คำพูดของพี่ศิทำเอาผมชะงักค้างพร้อมกับหมอนข้างที่อยู่ในมือร่วงไปนอนแหมะบนเตียง
‘ไอเพื่อนเวร อย่าให้กรูเจอหน้าพวกมรึงนะ จะต่อยคนละทีสองทีข้อหาสอนอะไรให้พี่ศิ’ ผมเอามือกุมหัวแล้วส่ายหัวไปมา แต่ผมก็สติหลุดได้แค่แปปเดียวเท่านั้นแหละครับเสียง ๆ หนึ่งก็เรียกสติของผมให้กลับคืนมาและเจ้าของเสียงนั่นก็คือคุณหญิงยายของท่านพี่ศินั่นเอง
“ตาใหม่ลูก ตื่นนอนหรือยังเดี๋ยวยายจะไปวัดแล้วนะถ้าไม่รีบเดี๋ยวยายทิ้งไว้นะจ๊ะ อ่อ อย่าลืมปลุกน้องกรด้วยนะลูก” สิ้นของคุณยายพูดอยู่หน้าประตูผมก็เด้งตัวลงจากเตียงทันทีเลยครับ ซ้ำผมยังรีบวิ่งเข้าห้องน้ำและอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แต่รู้สึกว่าผมลืมอะไรบางอย่างไปแหละครับ ตอนมาผมมาแต่ตัวแต่เสื้อผ้าผมไม่ได้เอามาเปลี่ยนครับ
ดังนั้นไอผมที่ตั้งใจว่าวันนี้จะไม่คุยกับพี่ศิก็ต้องยอมแพ้กับปณิธานกับตัวเองครับ ผมเกิดประตูพร้อมกับชะโงกหน้าไปหาพี่ศิแล้วร้องเรียกหาเสื้อผ้าครับ “พี่ศิ! มีเสื้อให้กรเปลี่ยนไหมตอนกรมากรมาแต่ตัวอ่ะ” ผมพูดแบบนี้ไปพี่ศิก็ได้แต่หัวเราะจาง ๆ พร้อมกับส่งเสื้อและกางเกงสีสุภาพมาให้ผม
ในที่สุดผมก็ได้ออกมาจากห้องน้ำครับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาว (ที่ผมพับแขนขึ้น) สีฟ้าอ่อนกับกางเกงกึ่งสแลคสีขาวครับส่วนพี่ศิ (ที่ไปอาบน้ำอีกห้องหนึ่ง) เขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีดำครับ เราทั้งสองคนที่แต่งตัวกันเสร็จแล้วก็รีบวิ่งลงบันไดไปหาคุณยายที่ยืนรอกันอยู่หน้าบ้านครับ
คุณยายที่ยืนรอพวกผมท่านก็ส่งยิ้มมาให้นะครับและพวกผมก็พาท่านขึ้นรถและขับรถไปที่วัดกันครับ เราใช้เวลาขับรถกันไปไม่นานครับ สักพักเราก็ไปถึงวันที่คุณยายท่านคิดจะไปทำบุญ พวกผมเดินกันเข้าโบสถ์เพื่อไปถวายสังฆทาน แต่ไอผมผู้ที่นั่งพับเพียบไม่ได้นาน ๆ ก็ขอปลีกตัวไปให้อาหารปลาก่อนดีกว่าซึ่งพี่ศิแกก็ไม่ต่างกับผมครับแกก็ขอตัวมาให้อาหารปลากับผมเช่นกัน เราซื้ออาหารปลากันคนละสองถังพร้อมกับไปหาที่นั่งเหมาะ ๆ ให้อาหารปลากัน
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่วันขึ้นปีใหม่กรได้มาทำบุญแบบนี้” ผมพูดไปพร้อมกับโปรยอาหารปลาไปใบหน้าของผมยิ้มแย้มและดูแจ่มใสมากเลยครับส่วนพี่แกก็พยักหน้าตอบผมมานะครับแต่พี่แกก้ไม่หยุดเพียงแค่นั้นใบหน้าคมหันมามองผมพร้อมกับพูดถ้อยคำที่ทำให้ผมหน้าขึ้นสีแดงจัด
“แบบนี้พี่ก็สบายใจแล้วหละครับได้ทำบุญกับกรแล้วชาติหน้าเราคงได้เจอกันอีกและขอให้เราทั้งสองคนเจอกันในชาติต่อ ๆ ไปด้วยนะครับ” รอยยิ้มและน้ำเสียงยืนดีที่ออกมาจากริมฝีปากของพี่ศิทำให้ผมเกิดอาการหน้าร้อนขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งซึ่งผมก็พยายามจะเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุยกับพี่ศิเขาแต่ไม่ว่ายังไงผมก็เปลี่ยนเรื่องคุยไม่ได้เลยในท้ายที่สุดผมก็ต้องนั่งฟังคำพูดของพี่ศิต่อไป ไอผมนี่เขินจนแทบจะกระโดดลงไปว่ายน้ำเป็นเพื่อนกับปลาที่อยู่ในน้ำแล้วครับ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมือของผมข้างหนึ่งถูกพี่ศิกอบกุมอยู่ พี่ศินั่งกุมมือผมแบบนี้มาตั้งแต่แกพูดประโยคแรกแล้วครับ เสียงทุ้มยังคงพูดพร่ำต่อไป มืออีกข้างที่พี่เขาไม่ได้กอบกุมมือของผมไว้ก็พลางชี้ไปโน่นมานี่ให้ผมดู ไอผมก็อยากจะสะบัดมือออกจากมือของพี่ศิอยู่หรอกครับแต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างผมก็อยากให้พี่ศิแกกุมมือผมอยู่แบบนั้นผมนั่งมองบรรยากาศโดยรอบอย่างสบายใจและในที่สุดคุณยายของพี่ศิท่านก็ออกมาจากโบสถ์ครับ ไอผมก็เตรียมตัวจะลุกขึ้นและเดินไปหาท่านแต่ทว่าพี่ศิกับรั้งมือของผมเอาไว้และพูดประโยคสุดท้ายออกมา
“แต่ก่อนจะถึงชาติหน้า...ชาตินี้พี่ดีใจนะครับที่ได้เจอกรได้รู้จักกับกรและสนิทกับกร” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาข้างหูก่อนจะเดินนำและจูงมือผมกลับไปหาคุณยายที่ยืนรออยู่ด้านบน
______________________________
เค้าเรียกว่าทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันค่ะกร