บทที่ 88 Step into The Bad Side
“พลับพลึงสินะ ดอกขาวหรือดอกแดงหละ” เสียงหญิงชราเอ่ยขึ้นทันทีที่เขาเดินเข้ามาในร้านขายยาที่เขาเรียนอยู่ ความจริงบทเรียนจบไปแล้วสำหรับตัวเขา แต่เฟี๊ยตมาเพื่อจะขอลองฝึกปรุงยาเพิ่มอีกสักหน่อยเพื่อจะได้ชินมือ และเตรียมตัวให้พร้อมกับการสอบ
“ครับ?” เสียงของเขาเอ่ยด้วยโทนสูงขึ้นอย่างสงสัย ชายหนุ่มได้ยินประโยคเมื่อครู่ไม่ค่อยชัด จึงเผลอหลุดประโยคที่เหมือนกับคำถามนั่นออกไป
“ได้ข่าวว่าไปวางยาในงานแข่งกินจุมานี่ นิสัยขี้โกงเริ่มมาแล้วนี่ ดีมาก เป็นคนดีแล้วมันไม่รุ่งหรอก ฮ่าฮ่า” เสียงแหบแห้งนั่นดูมีกระแสความยินดีปนอยู่อย่างชัดเจน
“ไม่หรอกครับครู ผมยังรู้สึกผิดอยู่ไม่หายเลยครับ ผมไม่น่าขี้โกงอย่างนั้นเลย” เขาเอ่ยออกมาจากใจจริง พร้อมกับถอนหายใจออกมายาวยืด ถูกแล้ว จนถึงตอนนี้เขายังรู้สึกแย่อยู่ไม่น้อย ปรกติเขาไม่ใช่คนที่มีนิสัยชอบชกใต้เข็มขัดใครอย่างนี้ ติดจะเกลียดเสียด้วยซ้ำ พอมาทำเองอย่างนี้ เขากลับรู้สึกไม่ชอบตัวเองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่มันก็กลับไปแก้อะไรไม่ได้เสียแล้วสินะ
“โถถ พ่อคนดี นี่เจ้าคิดมากอะไรไปหรือเปล่า เจ้าคิดหรอว่าที่เขาแข่งกันนี่เขาแข่งกันด้วยความสะอาดบริสุทธิ์หรอ โถๆๆ ใสซื่อจริงๆ นะพ่อคุณ นี่ข้าจะบอกอะไรให้เอาบุญนะ ที่คนเขาอ้วกกันระเนระนาดบนเวทีหนะ ไม่ได้มาจากเจ้าสักหน่อย มือวางยาพิษอ่อนหัดแบบเจ้าเนี่ยนะ จะไปทำอะไรใครเขาได้ ข้าเห็นแล้วได้แต่ตลก ฮ่าฮ่าฮ่า” ครูของเขาพูดขึ้นอย่างขบขัน เฟี๊ยตไม่ถือสาเลยที่ตนจะดูโดนเยาะๆ อยู่บ้าง เขาชินเสียแล้ว แต่ประโยคเนื้อความนั่นต่างหากที่ทำให้เขาต้องหันมาสนใจหญิงชราคนนั้นอย่างจริงจัง
“ว่าไงนะครับ ก็ผมเป็นคนวางยาทุกคนเอง ถ้าเขาไม่อ้วกออกมาเพราะผม เขาจะอ้วกออกมาได้ยังไง ผมไม่เข้าใจ” เสียงของเขาแย้งอย่างไม่เชื่อนัก เขามั่นใจว่าเขาบรรจงกระจายยาพิษใส่ทุกคนที่เขาเดินผ่านไปบนเวที แล้วผลลัพธ์มันก็ออกมาอย่างที่เขาต้องการเสียด้วย
“นี่เจ้าตั้งใจเรียนหรือเปล่า ข้าสอนเจ้าไปแล้วใช่ไหมว่ายาพิษในกลุ่มพลับพลึงนี่ ถึงแม้ว่าจะออกฤทธิ์เร็วกว่ายาอื่น แต่มันก็ต้องใช้เวลาร่วม 30 – 60 นาทีในการออกฤทธิ์ให้อาเจียนออกมา เจ้าลองกลับไปคิดดูใหม่ว่าเวลาที่เจ้าใช้ตั้งแต่วางยาไปจนถึงที่เหยื่อคนแรกของเจ้ามีอาการมันกี่นาที” เสียงหญิงชราเอ่ยถาม เขาได้แต่คิดทบทวนช้าตามเหตุผลที่ครูของเขาบอก เขาลืมเรื่องเวลาในการออกฤทธิ์ไปจริงๆ เขาถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นก่อนจะกล่าวตอบออกไปอย่างไม่เต็มเสียงเท่าใดนัก
“ประมาณ 10 นาทีครับ”
“เห็นไหม เจ้าคิดหรอว่ามีแต่เจ้าคนเดียวที่คิดจะโกงเกมนี้ คิดง่ายไปหน่อยมั้ง ขนาดคนอย่างเจ้ายังคิด เจ้าไม่คิดว่าคนอื่นเขาจะคิดบ้างหรอ มันไม่ผิดปรกติไปหน่อยหรือไงที่ผู้เล่นคนอื่นแพ้ฟาล์วอย่างน่าสงสัยแต่กลับไม่มีใครประท้วงขึ้นมาสักคน” หญิงชราชี้อีกประเด็นให้เขาเห็น
“ครับ” เขาเอ่ยตอบสั้นๆ อย่างจำนนต่อคำกล่าวนั้น
“Vomiting หรือการ์ดอาเจียน เป็นการ์ดเวทมนตร์ที่ใช้สำหรับปฐมพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษที่ไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร แน่นอนว่ามันมีขายอยู่ทั่วไปตามคลินิกในเมือง ถ้าเจ้าคิดสักนิด เจ้าจะพบว่ามันมีวิธีการทำให้คนสำรอกออกมาโดยวิธีที่ง่ายกว่าการวางยานัก” เสียงแหบๆ นั่นยังคงกล่าวต่อไป
“ครับ” เขาเอ่ยได้เพียงสั้นๆ เท่านั้นจริงๆ เขารู้สึกได้เลยว่าเขายังมองโลกแคบไปมาก ชายหนุ่มกำลังรู้สึกเหมือนเป็นเด็กที่กำลังโดนครูดุอย่างใดอย่างนั้น
“ไอ้อ้วนที่เกือบจะเอาชนะเจ้าได้นั่นใช้การ์ดอาเจียนกับทุกคนบนเวที เจ้าเองก็ไม่รอด แต่เจ้ายังโชคดีที่เจ้ากินไปน้อยมาก อาการมันเลยออกมาช้ากว่าคนอื่น ไม่งั้นเจ้าก็เกมไปนานแล้ว” หญิงชราเอ่ยพูดอย่างเรียบง่าย ชายหนุ่มเริ่มสงสัยเสียแล้วว่าครูของเขาจะอยู่ร่วมในเหตุการณ์การแข่งขันนั่นด้วย แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ถามออกไป เพราะการสังเกตครูของตัวเองไม่เห็นนี่ก็น่าจะเป็นอีกคดีหนึ่งที่อาจจะโดนเล่นงานต่อได้
“มันใช้การ์ดกระเพาะสี่มิติ ถ้าเจ้ารวมจิตสักนิด เจ้าจะรู้ว่าจิตของมันไปเพ่งอยู่ที่กระเพาะอาหารหนาแน่นมาก เจ้าจะจับจุดได้ไม่ยากว่ามันกำลังโกงโดยใช้การ์ดเวทมนตร์อยู่ เจ้าโชคยังดีที่เลือกจะซ้ำยาไปอีกครั้ง มิฉะนั้นหละก็อย่าหวังว่าจะเอาชนะได้เลย ชั้นเชิงในการโกงของเจ้ายังน้อยมาก ฮ่าฮ่าฮ่า” ครูของเขาพูดอย่างง่ายๆ พลางหัวเราะออกมาเมื่อจบประโยคนั้น ถึงเวลานั้นเฟี๊ยตก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันว่าเขาควรจะยินดีไหมที่ตัวเองไร้ชั้นเชิงในการเล่นนอกกติกาขนาดนี้ ตอนนี้เขารู้สึกเพียงแต่ว่า หน้าเขาชาเหลือเกิน
“ข้าว่าเจ้าไม่เหมาะกับการเป็นนักวางยาหรอก กลับไปเถอะ อย่าสอบให้เสียเวลาเลย ถือว่าเอาความรู้ที่ได้ไปศึกษาเรื่องการถอนพิษละกัน คนอย่างเจ้ามันเป็นคนดีเกินกว่าที่จะมาเดินทางสายนี้ กลับไปปรุงยาช่วยคนเหมือนเดิมหนะ ดีแล้ว” หญิงชราผู้มีศักดิ์เป็นอาจารย์ของเขาเอ่ยอย่างจริงจัง ดวงตาคู่นั้นฉายชัดออกมาว่านี่คือคำแนะนำที่แท้จริง แววตานั่นแสดงความเอ็นดูเขาอยู่ไม่น้อยเท่าที่เขารู้สึกได้
“ไม่ครับ!” เสียงของเฟี๊ยตตอบออกมาหลังจากที่เขาใช้เวลาไตร่ตรองไปช่วงเวลาหนึ่ง เขาไม่ยอมให้เรื่องมันจบแบบนี้แน่
“ผมจะต้องเป็นนักวางยาให้ได้ ผมไม่เก่งเรื่องการปะทะกันซึ่งๆ หน้า ถ้าผมไม่มีวิชาที่เอาไว้ลอบโจมตีแล้ว ผมไม่มีทางเอาชนะเกมนี้ได้เลย ผมอยากชนะเกมนี้ครับ ผมไม่ยอมให้มันจบลงแบบนี้แน่” เสียงของเขาปราศจากความเกรี้ยวกราด หากแต่เป็นความมุ่งมั่นของคนที่ทบทวนดีแล้ว นี่มันก็เป็นแค่เกม เขามาที่นี่เพื่อจะเป็นผู้ชนะ เขาอาจจะต้องสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปบ้าง แต่ถ้ามันจะนำมาซึ่งชัยชนะ มันก็คุ้มค่าที่จะแลก เขาต้องข้ามผ่านขีดจำกัดของตัวเองไปให้ได้ เหรียญทองมีไว้ให้ผู้ชนะเพียงคนเดียวเท่านั้น
“พูดออกมาหนะ คิดดีแล้วหรอ คนที่เต็มไปด้วยหลักการบ้าบอกับมโนธรรมสุดแสนจะน่าเบื่ออย่างเจ้าเนี่ยนะ จะเป็นคนเลว ไม่ไหวมั้ง เลิกคิดเถอะ” ครูของเขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่จริงจัง ท่าทางที่ไม่เชื่อถือและเสียงหัวเราะน้อยๆ นั่นทำให้เขากรุ่นๆ ในใจอย่างห้ามไม่ได้
“ไม่ครับ ผมตัดสินใจแล้วครับ ครูช่วยสอนผมหน่อยครับ” เขาดึงดันต่ออย่างไม่ยอมแพ้
“สอน? จะให้ข้าสอนอะไรเจ้าอีก ข้าสอนเจ้าจนจบเนื้อหาแล้ว” หญิงชราเอ่ยถามกลับมาอย่างสงสัย ดวงหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นนั่นหันมามองเขาอย่างรอคำตอบ
“ครูช่วยสอนผมให้เป็นคนเลวหน่อยครับ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เจ้ากำลังบอกว่าข้านี่เลวจนสามารถสอนให้คนอื่นเลวตอนเลยว่างั้น” เสียงหัวเราะแหบห้าวนั่นดังกังวานไปทั่วบริเวณแคบๆ นั่นอย่างน่าหวาดกลัว
“เปล่าครับๆ ผมหมายถึงครูน่าจะมีวิธีสอนให้ผมเปลี่ยนมุมมองชีวิตได้” ชายหนุ่มเริ่มเอ่ยตอบอย่างละล่ำละลัก สายตาจากครูของเขาที่จ้องมาชวนเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก
“คิดให้ดีนะ คนอย่างข้าไม่ชอบทำอะไรเล่นๆ ไม่ใช่ว่าให้สอนให้แล้วจะมาเปลี่ยนใจกลางทาง กลับไปนอนคิดให้ดีก่อนไป” หญิงชราพูดอย่างหนักแน่น ก่อนจะเดินหันหลังเพื่อจะเข้าไปในส่วนลึกของร้าน
“ผมมั่นใจครับ” เขาเอ่ยอย่างมั่นใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับข้อมือของครูของเขาที่กำลังจะเดินหนีไปนั้น ด้วยกลัวว่าครูของเขาจะปฏิเสธคำขอร้องของเขา ดูเหมือนชายหนุ่มทำไปเพราะความตกใจเสียมากกว่า มือของเขาแตะลงบนสร้อยข้อมืออันหนึ่งที่น่าจะทำมาจากโลหะของหญิงชราคนนั้น ครูของเขาหันมามองหน้าเขาช้าๆ ดวงตาที่ลึกโปนราวกับแม่มดในเทพนิยายนั่นหรี่ลงอย่างพินิจพิเคราะห์
“แล้วอย่ามาร้องโอดครวญอะไรกับข้าละกัน” เสียงแหบแห้งนั่นพูดอย่างชวนให้หวาดเสียวอยู่ไม่น้อย แต่ชายหนุ่มยังคงยื้อครูของเขาอยู่อย่างนั้น สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“Bedtime Stories RELEASE!”
เสียงของหญิงชราเอ่ยขึ้น พร้อมกับแสงสีทองที่เปล่งออกมาจากสร้อยข้อมือที่เขาแตะอยู่นั้นสว่างวาบไปจนแสบตาไปหมด
เฟี๊ยตขยี้ตาอีกครั้งหลังจากที่ต้องหลับตาไปเพราะไม่อาจทนแสงสว่างจ้าแสบตาจากสร้อยข้อมือนั่นได้ ทันทีที่เขาลืมตาเขาก็พบว่าตัวเองเหมือนหลุดเข้ามาในอีกโลกเสียแล้ว รอบด้านของเขาเป็นสีขาวสะอาดไปหมดไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนก็ตาม สิ่งเดียวที่ปรากฏอยู่ในโลกที่มีแต่ความว่างเปล่าแห่งนั้น คือ ตัวเขาเอง และหญิงชราผู้เป็นครูของเขาที่บัดนี้กำลังยืนกอดอกมองมาที่เขาอย่างเยือกเย็น
“ที่นี่คือโลกอีกมิติหนึ่ง จะเรียกว่าฝันซ้อนฝันก็ได้ แต่เจ้าจะไม่มีวันตื่นจากฝันนี้ได้เลย หากเจ้าไม่สามารถบรรลุเงื่อนไขที่ข้าตั้งไว้ตอนเรียกใช้การ์ดนี่ได้” ครูของชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างสบายๆ
“เงื่อนไขอะไรครับครู” เฟี๊ยตเอ่ยถามขึ้นทั้งๆ ที่สายตายังกวาดไปรอบด้านไม่หยุด เขาไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย มันดูว่างเปล่าพิกล
“ฆ่าข้าให้ตาย นี่คือเงื่อนไขของข้า ถ้าเจ้าทำให้ข้าตายไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะหลุดไปจากโลกแห่งนี้ได้ เลือกเอาเองว่าจะเอาด้านมืดตัวเองออกมาใช้ หรือจะติดอยู่ในโลกแห่งนี้ตลอดไป!”
จากผู้แต่ง : จากการคอมเมนท์ตอนที่แล้วทำให้ผมรู้สึกว่า ผมเขียนเฟี๊ยตไว้ดูเป็นคนดีขนาดนั้นเลยหรออออออ ห้าห้า step into the bad side กันเถอะทุกค๊นนนนนน
