ตอนที่ 33 Plan B
เฟี๊ยตใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีเพื่อมาถึงเป้าหมายที่ตนเองต้องการ บัดนี้ เขายืนอยู่บริเวณแอ่งน้ำผุดที่เป็นแหล่งน้ำเดียวในเขตหลายตารางกิโลเมตรนี้ เขากวาดสายตาจนทั่วบริเวณ แหล่งน้ำดังกล่าวเปรียบได้ราวกับโอเอซิสของป่าสนนี้อย่างแท้จริง ลักษณะแสดงความอุดมสมบูรณ์ปรากฏอยู่อย่างชัดเจนภายในพื้นที่ไม่กี่ตารางวานั้น พืชพันธุ์หลากสีสันมากมายขึ้นอยู่ตามขอบริมแอ่งน้ำ รอยเท้าของสัตว์ต่างๆ มากมายหลายชนิดเหยียบย่ำทับซ้อนกันอยู่อย่างกลาดเกลื่อน เขารู้สึกได้ถึงความมีชีวิต เฟี๊ยตรู้สึกสงบอย่างประหลาด เมื่อได้มาอยู่เบื้องหน้าของทิวทัศน์อันเป็นธรรมชาติแห่งนี้ ชีวิตที่อยู่ในเมืองหลวงมานานอย่างเขาได้เจอกับต้นไม้ใบหญ้าครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ เขายังจำไม่ได้ บางที เขาอาจจะต้องเลื่อนกำหนดการการกลับบ้านอย่างถาวรของเขาเข้ามาให้เร็วขึ้น
“Transparent RELEASE”
ทันทีที่เขาเรียกใช้การ์ดที่ได้มาจากเจ้าเด็กแชมพูนั่น ทัศนวิสัยที่เขามองเห็นก็เปลี่ยนไปอย่างน่าอัศจรรย์ สายตาของเขาตอนนี้มองเห็นวัตถุต่างๆ ราวกับเป็นกล้องตรวจจับคลื่นความร้อนในความมืดฉะนั้น สิ่งใดมีชีวิต เขาจะมองเห็นเป็นสีแดงเรืองๆ ขึ้น ในขณะที่ภาพพื้นหลังเป็นวัตถุอื่นๆ ที่มีสีหม่นไร้แสงสว่าง เขาหมุนตัวจนครบสามร้อยหกสิบองศา เขามองหาสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นต้นตอของอสูรกายร้ายที่เขาเพิ่งผละหนีออกมาเมื่อครู่นั้น แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ยังไม่เห็นร่องรอยหรือเบาะแสใดๆ ณ ที่แห่งนี้เลย
‘ออกมาสิ อยู่ที่ไหน แสดงตัวออกมา’ ชายหนุ่มบ่นพึมพำในใจอย่างร้อนรน ขณะที่มือก็พยายามแหวกกิ่งไม้และสิ่งกีดขวางไปพลาง ทั้งๆ ที่ไม่มีประโยชน์อันใดเลย เพราะสายตาตอนนี้ของเขาก็มองเห็นทะลุผ่านสิ่งไม่มีชีวิตเหล่านั้นอยู่แล้ว แต่การยืนกวาดสายตาอยู่เฉยๆ นั้น มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังพยายามไม่พอ
“The Fatty Sparrow RELEASE”
ชายหนุ่มตัดสินใจเรียกใช้การ์ดนกอ้วนอีกครั้ง เพื่อเปลี่ยนมุมมองจากบนพื้นราบเป็นบนอากาศดูบ้าง เผื่อจะได้มีทัศนวิสัยใหม่ๆ ที่อาจจะพาเขาไปสู่คำตอบที่ต้องการได้
เฟี๊ยตลอยตัวอยู่เหนือหมู่ต้นสนประมาณ 2 เมตร สายตาของเขากวาดไปทั่วบริเวณดังกล่าว โดยพยายามมองหาเบาะแสอะไรสักอย่างที่น่าจะทำให้เขากำชัยชนะเหนือเจ้าอสรพิษร้ายนั่นได้
“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ”
เฟี๊ยตเอ่ยขึ้นอย่างนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เมื่อกวาดสายตาไปพบกับภูมิประเทศช่วงหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากแหล่งน้ำนั้นไม่มากนัก เขาสั่งให้นกของเขาพาตัวเขาเองไปถึงบริเวณแห่งนั้น
เท้าของชายหนุ่มเหยียบเข้ากับพื้นทรายนุ่มต่างกับพื้นที่บริเวณอื่นของป่าทิวสนอย่างเห็นได้ชัด ภูมิทัศน์ส่วนใหญ่ของป่าทิวสนจะเป็นพื้นค่อนข้างแข็ง สลับกับต้นสนที่สูงสง่า พื้นส่วนใหญ่มักปูไปด้วยต้นหญ้าเขียวขจี แต่บริเวณกว่า 500 ตารางเมตรที่เขากำลังยืนอยู่นี้ ถือได้ว่าเป็นความประหลาดที่ซ่อนอยู่ในป่าดังกล่าวอีกชั้นหนึ่ง พื้นที่ที่ประดับไปด้วยผืนทรายนุ่มขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็ถือได้ว่าไม่เล็กนัก เฟี๊ยตพยายามกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไรเพิ่มเติมมากนัก และในขณะที่เขากำลังจะสั่งให้เจ้านกบินขึ้นเพื่อตรวจตราพื้นที่โดยรอบของทุ่งทรายแห่งนั้น สายตาเขาก็กลับมามองเห็นแสงตะวันยามบ่ายตามปรกติอีกครั้ง เขาก้มลงมองแขนตัวเอง ก่อนจะพบว่าสายตาของเขามองเห็นเป็นสีเนื้อตามปรกติ การทำงานของไพ่เวทมนตร์ใบดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้ว
เฟี๊ยตเปลี่ยนใจในทันที จากที่ตั้งใจจะสั่งให้นกนั่นบินไปที่ตรงกลางของผืนทรายนั้น มาเป็นบินกลับไปบริเวณแหล่งน้ำนั้นแทน ความเป็นจริงแล้ว แอ่งน้ำนั้นกับผืนทรายดังกล่าวเรียกได้ว่าอยู่ห่างกันไม่มาก โดยพื้นที่ทั้งสองถูกขวางกั้นด้วยหมู่ต้นสนปริมาณไม่มากนัก โดยมีทางด่านขนาดกว้างประมาณ 1 เมตร เชื่อมต่อบริเวณทั้งสองเข้าด้วยกัน ทางเดินที่น่าจะเคยมีต้นหญ้าขึ้นอยู่เหมือนกับส่วนอื่นของป่า แต่ด้วยถูกการเหยียบย่ำทำเป็นทางเดินอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ จึงทำให้หญ้าที่เคยปูไว้ตายหายไป กลายเป็นทางเดินที่ราบเรียบราวกับว่าใครมาทำเป็นถนนย่อมๆ ตัดผ่านอยู่ฉะนั้น
เขาสั่งให้เจ้านกอ้วนปล่อยตัวเขาลงบนถนนแคบๆ แห่งนั้น ก่อนจะเรียกใช้สมุดการ์ดคู่ใจเพื่อหยิบการ์ดใบหนึ่งที่ตั้งใจไว้ใช้แผนการขึ้นมา
“RELEASE”
‘สุดท้ายก็ต้องใช้ แผนบี’ ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองในใจ หลังจากที่เขาวางกับดักด้วยการ์ดใบหนึ่งไว้เรียบร้อย ก็ตัดสินใจสั่งให้เจ้านกอ้วนพาเขากลับไปยังสมรภูมิที่เพื่อนใหม่ของเขากำลังรับมืออยู่นั้น
บริเวณที่เป็นสนามรบระหว่างชายทั้งสองกับเจ้าพญามัจจุราชนั้น ขณะนี้ ได้มีสภาพเปลี่ยนไปอย่างรู้สึกได้ พื้นหญ้าเบื้องล่างมีรอยไหม้เกรียมกระจายเต็มไปหมด ราวกับมีใครมาราดน้ำมันไว้ แล้วจุดไฟเผาฉะนั้น อากาศบริเวณนั้นร้อนอบอ้าวชวนอึดอัด เมื่อเฟี๊ยตไปถึง ก็ตรงเข้าไปร่วมวงกับปันและแทนที่ยังคงทำตามแผนของเขาอยู่ ท่าทีของทั้งสองดูสบายๆ อยู่มาก กำแพงเวทย์ของปันในขณะนี้กระจายกันอยู่อย่างหนาแน่น แต่ไม่ถึงกับปิดล้อมรอบบุคคลไว้อย่างสนิทนัก เนื่องจากต้องเว้นที่ส่วนหนึ่งให้เพื่อนรักยิงลูกไฟเข้าโรมรันกับคู่ต่อสู้ ส่วนแทนก็ดูเหมือนจะอัตราการยิงที่ช้าลงมาก ราวกับว่าทำไปเพื่อควบคุมสถานการณ์และป้องกันไม่ให้มันหนีเท่านั้น ยื้อเวลาต่อไปเรื่อยๆ ให้ชายอีกคนกลับมา
“เฟี๊ยต มันจะหนีไปหลายรอบแล้ว แต่แทนไม่ยอมปล่อยมันไป ยิงดักหน้าดักหลังมันอยู่นั่นแหละ ปันบอกให้ปล่อยมันไปๆ ก็ไม่ยอม ดูดิ คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ เล่นไม่รู้เวล่ำเวลา” ชายร่างบางเอ่ยฟ้องเขาทันทีที่เขากลับมาถึง ท่าทางชายหนุ่มดูจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
“ก็เฟี๊ยตบอกให้รอเฟี๊ยตกลับมาก่อน แทนก็รอ แทนผิดตรงไหนอ่ะปัน” ชางร่างหนาเอ่ยตอบกับเพื่อนของตน แต่กลับส่งสายตาเป็นประกายมาที่เฟี๊ยต
“โอเคๆ ไม่ต้องเถียงกันนะ ฮ่าฮ่า แผนเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นแผนสองก็เถอะ คอยดูนะ เดี๋ยวเฟี๊ยตจะทำอะไรให้ดู” เขาพูดพลางอมยิ้มด้วยความมั่นใจ ได้เวลาแสดงฝีมือสักที
“The Fortune-telling Centaur RELEASE”
เฟี๊ยตตะโกนสั่งเรียกการ์ดออกมาจากสมุดเล่มเดิม ทันทีที่สิ้นเสียงคำสั่ง อมนุษย์ครึ่งคนครึ่งม้าก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา โดยหันหน้าออกเผชิญกับเจ้ามฤตยูลิ้นสองแฉกนั่น เซนทอร์ที่เขาเรียกออกมานั้นมีลักษณะเป็นลูกครึ่งระหว่างคนกับม้า โดยครึ่งตัวบนมีลักษณะเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่ร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามราวกับแม่ทัพกองทัพหลุดมาจากสนามรบยุคโรมัน ในขณะที่ครึ่งตัวร่างเป็นร่างกายของม้าขนาดใหญ่ ลำตัวและท่อนขาทั้ง 4 ปกคลุมไปด้วยขนสีน้ำตาลเข้มแซมดำ พวงหางสะบัดไปมาเตรียมพร้อมในการต่อสู้อยู่ทุกขณะจิต มือข้างขวาถือไม้เท้าแกร่งที่ทำด้วยไม้ขนาดยาวร่วม 2 เมตร ไหล่ด้านซ้ายสะพายด้วยคันศรขนาดใหญ่ โดยมีกระบอกลูกธนูสะพายแล่งพาดผ่านแผ่นอกแสนสง่าไขว้อยู่ทางด้านหลัง ลูกครึ่งมอนสเตอร์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด สีหน้าแสดงถึงความสงสัยบางอย่างอยู่ในใจ ที่ไม่ได้แสดงเป็นคำพูดออกมา
“Fortune Telling!” เฟี๊ยตตะโกนออกคำสั่ง
ครึ่งบุรุษครึ่งอาชาคนนั้นผละสายตาที่เฝ้ามองฟ้านั้น หันกลับมามองคู่ต่อสู้ตรงหน้า พลางหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะยกไม้เท้าที่มือขวาสูงขึ้น และกระแทกมันลงที่พื้นดินจนเสียงดังกังวานก้องไปทั่วบริเวณ
“It’s terrible rain!” เสียงกร้าวของสินธพหนุ่มก้องกังวานขึ้นพร้อมกับเสียงคำรามของท้องฟ้า ขณะนี้แผ่นฟ้าเบื้องบนขมุกขมัวไปด้วยก้อนเมฆสีเข้มที่เข้ารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ลมกระโชกหมู่สนจนต้นไม้เหล่านั้นเอนเอียงอย่างรู้สึกได้ ชายทั้งสามคน ณ ที่นั้นขยับตัวเข้าหากันโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน บรรยากาศตอนนี้น่าสะพรึงอยู่ไม่น้อย หมู่เมฆบนท้องฟ้าสามัคคีกันร้องคำรนอย่างก้าวร้าว แสงประกายระยิบระยับปรากฏให้เห็นอยู่ระหว่างพวกมันอย่างประปราย กระแสลมแรงขึ้นๆ ในทุกๆ ขณะ นี่มันไม่ใช่แค่ฝน แต่มันเรียกว่าพายุฝนได้เลยทีเดียว
เจ้างูยักษ์ในขณะนี้แสดงอาการระส่ำระสายอย่างเห็นได้ชัด หัวของมันเชิดขึ้นพลางแลบลิ้นสองแฉกของมันชูขึ้นในอากาศ เจ้าอสรพิษแสดงอาการตื่นตระหนกอย่างสะพรึงกลัวสุดขีด มันหมดความสนใจในมนุษย์ทั้งสามลงอย่างสิ้นเชิง และบิดตัวหันกลับพร้อมจะหนีเข้าไปสู่ส่วนลึกเข้าไปในป่าอย่างร้อนรน
“The rain begins!”
อมนุษย์อาชาเพศตะโกนขึ้นอย่างประกาศกร้าว ทันทีที่สิ้นคำทำนายดังกล่าว หยาดฝนเย็นยะเยียบก็แผ่เข้าปกคลุมทั่วบริเวณ หยดน้ำมากมายเข้ากระทบร่างกายของชายทั้งสามจนพวกเขาสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ความหนาวเข้าจู่โจมพวกเขาทั้งสามในทันใด อุณหภูมิของเม็ดฝนเหล่านี้ต่ำกว่าที่เฟี๊ยตคาดคิดไว้นัก ชายหนุ่มยืนกอดอกหนาวสั่นอย่างห้ามไม่ได้
‘ตามแผนการแล้วมันต้องมีฝน แต่ไม่ได้วางแผนไว้สักหน่อยว่าจะให้ฝนมันหนาวขนาดนี้!’

จากผู้แต่ง : มีอะไรจะบอกแหละทุกคน
แถ่นแทนแท๊นนนนน
ผมลงนิยายติดต่อกันทุกวันมาครบหนึ่งเดือนเต็มแล้วนะ ฮู่เร่ ~
ฉลองหน่อยเร็วววววว >///<
ให้รางวัลเลยยยย
ใครไม่เคยเมนท์ให้เมนท์ให้ด้วย
ใครเมนท์อยู่แล้วให้เมนท์ยาวๆๆๆๆ อย่างต่ำร้อยบรรทัด 55555555
ขอบคุณที่ตามอ่านกันมา ขอบคุณครับ
