ตอนที่ 32 Vapour
“ยังสู้กันไหวหรือเปล่า” เฟี๊ยตเอ่ยถามขึ้น หลังจากเพื่อนใหม่ทั้งสองลุกขึ้นมาอยู่เคียงข้างเขาเผชิญกับเจ้าอสรพิษยักษ์นี้
“ไหว!” ชายทั้งสองคนเอ่ยตอบรับพร้อมๆ กัน แต่จะต่างกันออกไปบ้างก็ที่น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความรู้สึกคนละแบบ เสียงของชายผิวเข้มบ่งบอกถึงความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่เสียงของชายผิวขาวดูจะเป็นเสียงของความท้อถอยอยู่กลายๆ
“กำลังหาจุดอ่อนของมันอยู่ ดูจากท่าทางแล้วสู้กันซึ่งๆ หน้าคงจะเอาชนะมันไม่ได้ ช่วยถ่วงเวลาให้หน่อย ต้องการเวลาคิดอีกนิด” เฟี๊ยตเอ่ยปากโดยไม่ได้เจาะจงไปว่ากำลังพูดอยู่กับใคร
“เดี๋ยวเราจะร่ายกำแพงมนต์ให้ ระหว่างนั้น…”
“เดี๋ยวแทนจะโจมตีหลอกล่อมัน ถ่วงเวลารอให้ปันร่ายเวทมนตร์จนเสร็จเอง” ยังไม่ทันที่ชายผิวขาวจะพูดจบ ชาวผิวเข้มก็เอ่ยตอบขัดขึ้น ราวกับรู้ใจกันเป็นอย่างดี
‘นายขาวบางนี่ชื่อว่าปันสินะ ส่วนนายเข้มหนานี่ก็ชื่อว่าแทน’ เฟี๊ยตคิดในใจ
ตอนนี้ เฟี๊ยตมั่นใจว่าตัวเองมองออกถึงจุดอ่อนที่ใหญ่หลวงข้อคู่ต่อสู้ตัวนี้แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ เขายังมองไม่เห็นทางออกว่าจะเอาชนะปีศาจร้ายตรงหน้าได้อย่างไร การมองจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ออก กับการเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ มันเป็นคนละประเด็นกัน ถูกไหม?
‘ไบเบิ้ล มอนสเตอร์ตรงหน้านี้มีชื่อว่าอะไร’ เขาเอ่ยถามหนังสือคู่ใจ
“ไบเบิ้ลตอบไม่ได้ นายท่าน ท่านต้องใช้คัมภีร์รอบรู้ขั้นกลางหรือขั้นสูงในการหาคำตอบนี้” ไบเบิ้ลตอบ
‘งั้นงูที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เป็นสายพันธุ์ไหน ไบเบิ้ล งูเห่า งูจงอาง งูหางกระดิ่งอะไรอย่างนี้ รู้ไหม’ เขาถามต่อ
“เรื่องสายพันธุ์ของงูก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในฐานข้อมูลของเกมเช่นกันนายท่าน ไบเบิ้ลไม่รู้ว่าจะไปหาคำตอบมาจากไหน” หนังสือเล่มตอบออกมาอย่างจนปัญญา
‘ไม่เป็นไร ไบเบิ้ล ขอบคุณมาก’
‘สุดท้าย ตนก็ต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน’ เฟี๊ยตคิดในใจ ก่อนจะถอนหายใจ ราวกับว่าต้องการระบายความอึดอัดที่อัดแน่นอยู่ในใจออกไปเสียบ้าง
เฟี๊ยตเฝ้ามองงูยักษ์นั่นอย่างพิจารณา จริงๆ เขาเป็นคนชอบหาความรู้รอบตัวอยู่ไม่น้อยเหมือนกันนะ เนื่องจากเป็นคนชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆ จึงเสาะแสวงหาเรื่องน่าสนใจมาอ่านอยู่เสมอๆ งู และประเภทของงูก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เคยผ่านตาเขามาไม่น้อย เพียงแต่เป็นความทรงจำที่ลางเลือนเกินกว่าจะชี้ชัดจำแนกอสรพิษตรงหน้าออกไปให้ได้ในเวลาอันสั้น
อสรพิษตรงหน้าเขามีลักษณะโดดเด่นที่น่าสนใจอย่างมากคือ ลำตัวของมันพรางไปด้วยเกล็ดสีขาวสลับดำถัดไปเป็นช่วงๆ ราวกับทางม้าลายตามท้องถนนอย่างใดอย่างนั้น เฟี๊ยตขมวดคิ้วอย่างคิดไม่ตก เพราะไอ้ทางม้าลายนี่แหละที่ติดค้างอยู่ในใจเขา เขาเคยอ่านจากที่ไหนสักที่ถึงเผ่าพันธุ์และอุปนิสัยของเจ้างูทางม้าลายนี่ ตอนนี้ เขาพยายามรวบรวมข้อมูลทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ เพื่อนำไปสู่กุญแจแห่งความสำเร็จ
‘คุ้นๆ ว่าเหมือนเคยคิดวิธีการจำไว้น้า ท่องว่าอะไรนะ ทางม้าลาย จำได้ว่าชื่อเจ้างูนี่มีตัวทอทหาร งูอะไรน้า’ เฟี๊ยตเริ่มเห็นเค้ารางของความทรงจำ
‘งูทอทหาร งูทางม้าลาย งูทออะไรน้า อ่อ งูทับสมิงคลา!’ ชายหนุ่มกำมืออย่างยินดีกับความทรงจำที่เหนียวแน่นอย่างไม่เลวนักของตนเอง
ทางด้านชายหนุ่มอีกสองคนที่กำลังรับมือกับเจ้างูยักษ์อยู่ เมื่อเฟี๊ยตหันไปมองก็พบว่าสถานการณ์ดูดีขึ้นมาก รอบๆ บริเวณนั้น มีสิ่งของลักษณะคล้ายกระจกใหญ่ ที่เขาสันนิษฐานว่าเป็นกำแพงเวทที่ปันร่ายขึ้น ตั้งอยู่โดยรอบ ในขณะที่เจ้างูใหญ่ที่ตอนนี้ดูอืดอาดไปมาก เนื่องจากต้องหาช่องว่างในการจู่โจมมากขึ้นกว่าปรกติ แถมยังคอยต้องหลบลูกปืนจากปากไรเฟิลของแทนอยู่ตลอดเวลา หลายครั้งที่ดูเหมือนว่าเจ้าอสรพิษจะตัดใจจากเหยื่อแล้วผละหนีไป แต่ก็จะมีลูกกระสุนพุ่งออกไปดักหน้า ไม่ยอมให้มันหนีไปได้ ชัยชนะที่มาจากการถอดใจสู้ของเจ้างูยักษ์ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นที่ต้องการของชายผิวสีน้ำผึ้งอีกต่อไปแล้ว
‘งูทับสมิงคลา มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเจ้าตัวนี้อีกน้า ตอนนั้นจำได้ว่ามีเรื่องที่น่าสนใจมาก ตอนนั้นท่องว่าอะไรนะ คิดให้ออกสิเฟี๊ยต คิดให้ออก’ ชายหนุ่มใช้ความคิด
‘ทับสมิงคลา ตอนนั้นท่องว่าอะไรมานะ สมิง สะ สะ สะ สะตรีม ใช่ stream สายน้ำ มันชอบอยู่ใกล้น้ำ งูทับสมิงคลาชอบอาศัยอยู่ใกล้น้ำ!’ ทันที่ที่คิดได้ เฟี๊ยตก็เผลอตะโกนร้องออกมาด้วยความยินดีอย่างเผลอตัว
“ทั้งคู่ยังไหวอยู่ใช่ไหม เดี๋ยวเรามานะ ขอไปจัดการจุดอ่อนของมันแป๊บเดียว มองออกแล้ว” เฟี๊ยตหันไปพูดกับเพื่อนใหม่ทั้งสองอย่างรัวเร็ว ทันทีที่ได้ยินคำบอกดังกล่าว ชายทั้งสองก็แสดงความยินดีออกมาทางแววตาอย่างรู้สึกได้
“แผนการเป็นยังไง บอกได้ไหม” ชายผิวขาวเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
“เดี๋ยวกลับมาอธิบายนะ มันค่อนข้างยาว โอเคนะ ยังไหวอยู่ใช่ไหม” เฟี๊ยตเอ่ยถามอีกครั้ง คนทั้งสองรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
เฟี๊ยตขยับกายจะมุ่งหน้าไปสู่ที่ที่ตนหมายตาไว้ แต่ก็ชะงักเมื่อนึกถึงแผนการใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ในสมองเขาเมื่อครู่นี้
“ทั้งคู่มีการ์ด พลัง หรือเวทมนตร์ที่เกี่ยวข้องกับไฟและน้ำไหม”
“ปืนแทนยิงลูกไฟได้”
“คฑาปันใช้เวทย์น้ำได้”
“ดีมากๆ แผนคืออย่างนี้นะ ใช้เวทย์น้ำกับไฟผสมผสานกัน เฟี๊ยตไม่ได้ต้องการแค่ไฟอย่างเดียว หรือน้ำอย่างเดียวนะ เฟี๊ยตต้องการไอน้ำ ดังนั้น ทั้งคู่ต้องพยายามยิงเวทย์เพื่อรบกวนเจ้างูยักษ์ไปด้วย โดยเล็งไปที่จุดเดียวกัน พอไฟมาเจอกันน้ำ ก็ตู้มม กลายเป็นไอน้ำหายไป เข้าใจไหม” ทั้งสามหันมาสุมหัวกันอย่างรวดเร็ว ปันกับแทนพยักหน้าหงึกหงักอย่างรับทราบต่อแผนการ
“นาย แบ่งเวทย์มาใช้สร้างกำแพงเวทย์ด้วย สลับๆ จังหวะกันไป โอเคไหม” เฟี๊ยตหันไปทางเพื่อนร่วมทัพผิวขาว ที่ตอนนี้กำลังจดจำในสิ่งที่ตนต้องทำ
“โอเค เวทย์น้ำยิงให้โดนไฟ แล้วก็แบ่งพลังมาสร้างกำแพงมนต์” ปันทวนความ
“ส่วนนาย ตอนที่เพื่อนนายแบ่งเวลามาสร้างกำแพงมนต์ นายยังคงยิงลูกไฟต่อไป แต่เน้นมาที่พื้นผิวราบ เน้นที่ระยะไล่เลี่ยพื้น ไม่ต้องยิงขึ้นฟ้า โอเคไหม” เฟี๊ยตหันไปทางอีกคนที่เหลือ
“โอเค ยิงลูกไฟให้โดนน้ำ ช่วงที่ไม่มีน้ำให้ยิงกราดไปตามพื้น” แทนพูดไปยิ้มไป
“ทุกคนเข้าใจตรงกันนะ อ่อ อีกอย่าง อย่าพยายามฆ่ามัน เพราะมันไม่สามารถฆ่ามันตอนนี้ได้ จุดอ่อนของมันไม่ได้อยู่ตรงนี้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องหลบการโจมตีของมันด้วย จำไว้ว่ากำแพงเวทย์ของเราเข้มแข็งพอ” เฟี๊ยตเอ่ยขึ้นสำทับอีกครั้ง พลางยิ้มให้ทั้งคู่เพื่อแบ่งปันขวัญและกำลังใจให้แก่กัน
“รอเราอยู่ที่นี่ก่อน อีกไม่นาน เราจะกลับมา” เฟี๊ยตเอ่ยเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนจะเรียกใช้การ์ดรองเท้าชีตาร์ แล้วมุ่งจิตไปที่เท้าทั้งสองข้าง ออกทะยานวิ่งไปสู่จุดหมายที่เล็งเป้าหมายไว้แต่แรกอย่างว่องไว
ทันทีที่ผู้ที่เข้ามาช่วยแก้สถานการณ์คับขันได้วิ่งจากไปแล้ว ชายทั้งสองก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับอสูรกายอีกครั้ง แต่คราวหน้าสีหน้าของทั้งสองดูมั่นใจขึ้นมาก กำแพงเวทย์ที่ถูกร่ายผ่านมาสักพักขนาดนี้เริ่มดูเบาบางลงและเสื่อมถอยอยู่ในที ชายทั้งสองหันมาพยักหน้าให้กัน ก่อนจะเริ่มดำเนินไปตามแผนการ
“Watery!” ชายร่างบางตะโกนสั่ง ขณะเดียวกันกับที่สายน้ำจำนวนหนึ่งพุ่งออกจากก้อนแซฟพลายตรงปลายคทาเข้าจู่โจมกับคู่ต่อสู้
“Fire!” ชายร่างหนาตะโกนสั่งในเวลาไล่เลี่ยกัน พร้อมเหนี่ยวไกปืนที่ยังคงตั้งค้างอยู่บนไหล่ ลูกกระสุนวิ่งออกจากลำกล้องอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่ลูกกระสุนสัมผัสกับอากาศก็กลายสภาพกลายเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ประมาณลูกบอลที่ลุกไหม้ราวกับเป็นอุกกาบาตขนาดย่อมๆ ที่พ้นผ่านการเสียดสีของชั้นบรรยากาศมาได้ฉะนั้น
ทันทีที่สายน้ำจากคทาไพลินมาปะทะเข้ากับลูกไฟที่ออกมาจากลำกล้องไรเฟิลนั้น ก็เกิดการระเบิดหายไปด้วยน้ำก็ถูกพลังงานความร้อนเปลี่ยนสภาพกลายเป็นไอหายไปในอากาศ ขณะที่ลูกอุกกาบาตที่เคยห่อหุ้มไปด้วยไฟ เมื่อเจอน้ำมาดับอุณหภูมิให้เย็นลงก็กลายเป็นเหมือนหินหนักๆที่ไร้พลังงาน ตกลงจากอากาศ และทันทีที่ลูกไฟที่สิ้นฤทธิ์แล้วตกลงสู่พื้นดิน สสารของมันก็สลายหายไป ราวกับว่ามีมือล่องหนมาฉกชิงไปยังมิติอื่นที่ไม่อาจมองเห็นได้
จากผู้แต่ง : วันนี้วางเป้าหมายไว้ว่าต้องแต่งให้ได้ 10 ตอน!!! สลบด้วยพิษไข้ไปกว่าครึ่งวัน ตื่นมากระเซาะกระแซะแต่งได้แค่ 2 ตอน หลังจากนั้นก็ไปนอนดูเดอะว๊อยซ์หาแรงบันดาลใจ ว๊าวววววว นึกได้ก็กลับมาแต่งนิยายต่อ ปั่นกันสุดฤทธิ์ 555
โอมจงเมนท์ โอมจงเมนท์