มาเเล้วจ้า ขอโทษที่ให้รอนานนะคะ

ตอน 6
รุ่งเช้าในวันที่อากาศสดใส ท้องฟ้าเปิดกว้างเป็นสีครามเข้ม พระราชวังอลิซาเบธตั้งอยู่บนเชิงเขาเลียบแม่น้ำทอดยาวลัดเลาะสู่ตัวเมืองหลวง สมเด็จพระราชาธิบดีโปรดสร้างพระราชทานให้อนุชาประทับ และนำชื่อมารดาชาวต่างชาติของอนุชามาตั้ง เพื่อเชิดชูเกียรติและอยากให้รู้สึกว่า ที่นี่ก็คือบ้าน
ที่ประทับซึ่งไม่เคยต้องใช้ต้องรับแขกบ้านแขกเมือง ขณะนี้มีชายชาวต่างชาตินั่งงงอยู่บนเตียงในห้องกว้าง มีนางฝ่ายในหน้าหวานยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ไม่ห่าง พร้อมนางพยาบาลวัยกลางคนดึงปรอทใต้ลิ้นไปพิจารณา
“ยังมีไข้นะคะ”
ภาษาอังกฤษสำเนียงหนุงหนิงเป็นที่ซาบซึ้งใจคนป่วย จะได้พูดกันเข้าใจเสียที
“ผมอยู่ที่ไหนคุณพยาบาล?”
นพรัตน์ยิงคำถามทันทีที่สบโอกาส พลางสำรวจรอบๆตัว ห้องพักประดับด้วยเครื่องใช้เครื่องเรือนทำจากไม้ทั้งสิ้น ดูยังไงก็ไม่ใช่โรงพยาบาล ถ้าหญิงสาวตรงหน้าไม่มีเครื่องหมายกาชาดติดที่หน้าอก เขาก็คงไม่รู้ว่าเป็นพยาบาลเพราะเจ้าตัวใส่ผ้าซิ่นกับเสื้อป้ายข้างแขนกระบอกสีขาว ยังมีสาวน้อยวัยกำดัดอมยิ้มน้อยๆคอยช่วยอยู่ไม่ห่าง หากสาวน้อยนางนี้ใส่เสื้อคอตั้งสีกลีบบัวกับผ้าซิ่นสีตองอ่อน ติดเข็มกลัดสีทองตราอะไรสักอย่างที่หน้าอกด้านซ้าย ซึ่งเขามารู้ในภายหลังว่า มันคือสัญลักษณ์บ่งบอกลำดับชั้นยศในหน้าที่การงาน รูปแบบ สี แตกต่างกันไปตามหน่วยงานที่ตนเองสังกัด และสีทองคือสีของผู้ทำงานในสำนักพระราชวัง
“ที่นี่พระราชวังอลิซาเบธ ที่ประทับของเจ้านรพยัคฆาภูบดินทร์ค่ะ”นางพยาบาลยิ้มละไม แต่คนฟังอึ้งไปพักหนึ่ง
“ใครหรือครับ เจ้านรพยัคฆาภูบดินทร์?”
คุณพยาบาลดูจะแปลกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินคำถามของคนป่วยซึ่งทำหน้าสงสัยไม่ปิดบัง “คือ...เออ...ก็พระองค์ที่พาคุณมายังไงล่ะคะ” คนตอบยังเห็นอีกฝ่ายทำหน้าสงสัยต่อ “องค์ที่มีดวงตาสีฟ้าๆไงคะ” ประโยคหลังคุณพยาบาลบอกเสียงเบาคล้ายกระซิบ กลัวใครจะได้ยิน
นพรัตน์นิ่งอึ้งไปอีกครั้ง...ไม่ใช่แค่รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศจริงๆด้วย
แม้จะประหลาดใจแต่ก็รู้สึกโล่งใจตามมา ความเคลือบแคลงใจที่มีเริ่มจางหาย แบบนี้ถ้าอาการทุเลาพอเดินทางได้ เขาก็จะได้กลับเมืองไทยแล้ว
ชายหนุ่มยิ้มออกและทำให้สาวน้อยสาวใหญ่หน้าอุ่นวาบกับดวงตาวาววับสดใส ริมฝีปากเริ่มมีฝ่าเลือดสีเรื่อจับตา อวดฟันขาวเรียงสวย
“คุณพยาบาล ผมอยากใช้โทรศัพท์ จะได้ไหมครับ?”
“เออ เดี๋ยวจะถามเจ้าหน้าที่ทางนี้ให้นะคะ ตอนนี้คุณต้องทานอาหารเช้าก่อนค่ะ แล้วจะได้ทานยา ทายาด้วยค่ะ”
“ครับ แต่ผมขออาบน้ำก่อนดีกว่า”
“ยังมีไข้ แค่เช็ดตัวก็พอค่ะ”
“เช็ดไม่ไหวแล้วครับคุณพยาบาล ผมไม่ได้อาบน้ำมาเป็นอาทิตย์ ผมขอเถอะนะครับ”
ร่างโปร่งส่งสายตาวิงวอน แม้จะไม่เหนียวตัวดังก่อน แต่ก็เหม็นอยู่ดี
คุณพยาบาลยอมใจอ่อนกับดวงตาคู่สวย หันไปบอกนางฝ่ายในเตรียมน้ำอุ่นจัดให้คนป่วย
“ระวังสายน้ำเกลือนะคะ”
ชายหนุ่มลากสังขารทุลักทุเลของตัวเองไปยังห้องน้ำข้างๆ จัดการอาบน้ำให้ตัวเองด้วยมือข้างเดียว จากนั้นจึงสวมเสื้อผ้าเหมือนคนพื้นถิ่นที่เตรียมไว้ คือกางเกงเป้ายาว ส่วนเสื้อแขนยาวป้ายข้างยังแขวนดังเดิม นพรัตน์สางผมเหนียวเหนอะของตัวเอง ก่อนแง้มประตูโผล่ศีรษะออกไปด้านนอก ซึ่งเหลือแต่นางฝ่ายในคนงามกำลังเปลี่ยนผ้าปูที่นอน จึงกวักมือเรียก
ร่างโปร่งถือขวดยาสระผมโชว์ให้ดู จากนั้นชี้ที่ศีรษะตัวเอง เป็นอันเข้าใจ นางฝ่ายในจึงยินยอมเข้าไปสระผมให้คนเจ็บซึ่งสวมกางเกงตัวเดียว หากเมื่อออกมาก็พบนางพยาบาลนำถาดอาหารเข้ามาให้พอดี พร้อมกับค้อนขวับเข้าให้
“เดี๋ยวคุณหมอเข้ามาเห็นต้องถูกดุแน่ๆ รีบเช็ดผมให้แห้งเถอะค่ะ”
เดือดร้อนนางฝ่ายในหน้าสวยต้องรีบนำผ้านุ่มๆมาซับหยาดน้ำให้ชายหนุ่มพัลวัน ส่วนคุณพยาบาลก็ช่วยใส่เสื้อให้ จังหวะนั้นเองที่ประตูห้องพักเปิดออก
องครักษ์เคอแสนเดินนำแพทย์อาวุโสเข้ามาภายใน ตามมาด้วยองค์สูงใหญ่และองครักษ์นัมทัค
ภาพที่ผู้เข้ามาใหม่เห็นคือคนเจ็บกำลังถูกสาวเล็กสาวใหญ่รุมล้อมเอาใจ จนเคอแสนอดเหล่มองนัมทัคเพื่อนรักไม่ได้
มันแน่
นายแพทย์สูงวัยรูปร่างท้วมท่าทางใจดีฉีกยิ้มกว้างกับความเจ้าเสน่ห์ของหนุ่มน้อย ก่อนลงมือตรวจและสอบถามอาการด้วยภาษาอังกฤษช้าชัด
“ระยะนี้ควรพักผ่อนให้มาก อย่าเที่ยวเดินไปเดินมา ให้ร่างกายได้ฟื้นฟูตัวเองซักหน่อยแล้วค่อยไปจีบสาว ถึงนางฝ่ายในวังนี้จะน่ารักจนเกินห้ามใจก็ตามเถอะ เดี๋ยวจะหาว่าหมอไม่เตือนไม่ได้นะ”
คุณหมอยิ้มบางหากนางพยาบาลที่ยืนอยู่ด้วยถึงกับต้องก้มหน้า พวงแก้มแดงเรื่อ ส่วนนางฝ่ายในร่างเล็กนิ่งเป็นหินในบัดดล ด้วยยังอยู่ในสายพระเนตรเจ้านรพยัคฆ์
“ไม่ใช่แบบนั้นคุณหมอ” ร่างโปร่งพลอยเขินตามบรรดาผู้หญิงไปด้วย “ว่าแต่คุณหมอ จะถอดสายน้ำเกลือได้เมื่อไรครับ ผมอยากขึ้นเครื่องกลับประเทศไทยเร็วๆ”
“อีกวันสองวันล่ะ แต่ต้องอยู่พักฟื้นอีกระยะหนึ่งนะ”
แพทย์ยิ้มให้จากนั้นจึงกลับออกไป เหลือแต่คนตัวโตๆเต็มห้อง วรองค์สูงประทับบนเก้าอี้ขาสิงห์ตัวเขื่องใกล้เตียงผู้ป่วย จากนั้นองครักษ์เคอแสนจึงเอ่ยนามขององค์นรพยัคฆาภูบดินทร์ให้อีกฝ่ายได้รับทราบ
“เพราะเกิดเรื่อง เราเลยไม่ได้แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการ” เจ้านรพยัคฆ์จับจ้องใบหน้าตื่นๆของอีกฝ่าย “ยินดีต้อนรับสู่ราชอาณาจักรปัญจคีรี เราเสียใจกับการท่องเที่ยวอันไม่สะดวกในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง”
ดวงตาคู่สุกใสเบิกกว้างแทบถลนออกมา ไม่ใช่แค่ไม่สะดวกหรอกท่าน แต่มันเกือบตายเอา! ภาษานักการทูตฟังแล้วดูดีเป็นบ้า
นพรัตน์สูดลมหายใจเข้าลึก เม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาหรี่ลงข่มความเจ็บปวดตามร่างกายที่ประท้วงขึ้นเมื่อเขาเกิดอาการโมโหควันออกหู แล้วจึงค่อยเอ่ยถามสาเหตุ
“เรื่องที่เกิดขึ้น...เพราะอะไร ทำไมต้องจับตัวกระหม่อม?”
“เป็นความวุ่นวายภายใน เราเสียใจที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดนี้ขึ้น”
“วุ่นวาย วุ่นวายอะไร?”
แม้ตัวเล็กกว่าแต่ดวงตาเอาเรื่องถามเสียงห้วน ไม่สนใจฐานะเจ้าเจี้ยวตรงหน้า องค์นรพยัคฆ์จึงลอบทอดถอนใจ ก่อนตรัส
“กลุ่มติดอาวุธต้องการสร้างเงื่อนไขเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง”
“อะไร?”
“ยังไม่แน่ชัด”
“ไม่แน่ชัด! เป็นไปไม่ได้ ทางนี้ต้องรู้เรื่องมาก่อนแน่” ร่างเล็กถลึงตา รู้สึกถึงเลือดร้อนๆวิ่งพล่านไปทั่วร่าง เขาไม่ใช่เด็กสามขวบนะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีทางที่ทางการจะไม่รู้อะไร นอกเสียจากต้องการจะปิดบัง “พวกนั้นจับคนต่างชาติเป็นตัวประกัน จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้! แล้วที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวต้องเจอแบบนี้ไปกี่คนแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกใช่ไหม? แต่ทางนี้ปิดข่าว ไม่ยอมให้นักท่องเที่ยวหรือคนภายนอกได้รู้ แบบนี้ไม่ใช่การจงใจปล่อยให้คนนอกมาเสี่ยงในประเทศนี้หรอกหรือ เลว เห็นแก่ตัว ทำได้ยังไง!”
“คุณ!เสียมารยาท” นัมทัคปรามเสียงกร้าวใส่คนที่กำลังหอบหายใจแรง หากแต่องค์นรพยัคฆ์เพียงประสานหัตถ์ลงบนพระเพลาแข็งแรง ดวงเนตรคมหรี่ลงพินิจใบหน้าฉุนโกรธของอีกฝ่าย
“ใช่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ขอให้เธอเชื่อ ทางเรากำลังพยายามคลี่คลายเรื่องนี้อย่างสุดความสามารถ” องค์นรพยัคฆ์หยุด ก่อนทอดสายพระเนตรผ่านหน้าต่างสู่ผืนแผ่นดินสีทองด้านนอกแล้วจึงหันกลับมาทอดเนตรคนบนเตียงอีกครั้ง “เพื่อบ้านของทุกคน”
กระแสเสียงราบเรียบทว่าหนักแน่นมั่นคงในสิ่งที่ตรัส ทำเอานพรัตน์นิ่งงัน จู่ๆความรู้สึกกรุ่นโกรธที่อัดแน่นในช่องอกค่อยจางลงไปอย่างฉับพลัน คล้ายถูกดวงเนตรสีฟ้าดุจสายธาราชุ่มฉ่ำชะล้างความขุ่นมัวไปจนสิ้น
“ถ้าเป็นคนที่นี่ เขาจะไม่ยินดีในความฉิบหายของผู้อื่นแน่นอน นอกเสียจาก...คนไม่รักแผ่นดินเกิด”
แวบหนึ่งร่างโปร่งรู้สึกถึงความเงียบงันสุดหยั่งถึง หัวใจกรุ่นโกรธอ่อนไหวไปชั่ววูบ หากต่อมาตัวเองกลับนึกแค้นใจคนหน้าดุตรงหน้าที่กำลังเล่นเอาเถิดเหมือนเขาเป็นเด็กๆ
“เธอจะไม่ต้องประสบพบเจออันตรายเช่นที่ผ่านมาอีกแล้ว ขอให้วางใจ”
“พะ... พ่ะย่ะค่ะ แล้วกระหม่อมจะกลับเมืองไทยได้เมื่อไร?” ร่างโปร่งเรียกสติดึงตัวเองออกมาจากการดำดิ่งในดวงเนตรสีฟ้าลึกสุดหยั่งถึงคู่ตรงหน้า
“ขอให้เราได้ชดเชยสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเธอ นับจากนี้เธอคือแขกของราชวงศ์ เพราะฉะนั้นขอให้วางใจพักอยู่ที่นี่ และท่องเที่ยวชมศิลปวัฒนธรรมของเราดังที่ตั้งใจไว้แต่แรก หากต้องการไปเยี่ยมชมที่ไหนเป็นพิเศษขอให้บอกกับเจ้าหน้าที่ จะจัดการให้เรียบร้อย” องค์สูงไม่ตอบหากเปลี่ยนมาชักจูงร่างโปร่งแทน
“เออ...กระหม่อมอยากกลับบ้านมากกว่า”
“ไม่ต้องการชมป่ากุหลาบพันปีบนเทือกเขาของเราแล้วหรือ ดอกไม้เหล่านั้นยังรอให้เธอไปเยี่ยมอยู่นะ”
“เออ...ไว้คราวหลังดีกว่ากระหม่อม”
ดวงเนตรสีฟ้าตวัดมองใบหน้าเรียวเล็ก ถ้าออกไปได้ไม่มีทางเสียล่ะที่จะหันกลับมามองประเทศวุ่นวายแร้นแค้นนี้อีก หากพระองค์คลี่โอษฐ์
“ถ้าอย่างนั้นก็รอให้หายก่อนเถอะนะ”
นพรัตน์พยักหน้า ลืมเรื่องขอใช้โทรศัพท์ไปเลย ด้วยเพราะกำลังดีใจที่จะได้กลับบ้านในอีกไม่ช้า โดยไม่เฉลียวใจเลยว่า การรอให้หายก่อนนั้น นั่นน่ะเมื่อไร
พระองค์มิได้ปดเลยสักคำ
เคอแสนนำกระเป๋าเดินทางซึ่งทิ้งไว้ที่โรงแรมพร้อมกับเป้ที่ถูกชิงไปมาวางบนเตียง
“หากมีสิ่งใดหายไปขอให้บอกนะครับ ทางเราจะชดใช้ให้” องครักษ์กล่าวก่อนมองรอยเขียวๆช้ำๆบริเวณแก้มอีกฝ่าย “ขอโทษที่ต่อยคุณ”
“ฝีมือลุงเองเหรอ ยังเจ็บจนปวดหัวอยู่เลยนะ” คนเจ็บที่ถูกต่อยจนเบลอจำไม่ได้ว่าถูกใครต่อยเรียกท่านองครักษ์เสียสูงเกินกว่าอายุจริงทำให้คนฟังทำหน้าปูเลี่ยน
ร่างโปร่งทำหน้าขยาดกับแรงกำปั้น แต่ไม่ได้ติดใจเอาความ ก่อนสนใจเป้มีรอยเลือดแห้งกรังติดอยู่ มือขาวชะงัก หวนนึกถึงศีรษะไอ้โจรคนนั้นทะลุเป็นรู ความกลัวแล่นจับจิต รีบเหวี่ยงกระเป๋าเป้วางบนพื้น
“คง...คงครบล่ะ”
นพรัตน์ก้มหน้าอ้อมแอ้มไม่กล้าสบสายพระเนตรติดดุคู่นั้น
“ต้องการอะไรก็บอกนายทหารไว้ จะให้อยู่เป็นเพื่อน”
นพรัตน์พยักหน้า และกว่าจะรู้ว่าการให้นายทหารมาอยู่เป็นเพื่อน นั่นคือการเก็บนางฝ่ายในหน้าตาขาวผ่องออกไปจนเกลี้ยงก็เมื่อตอนอาหารเย็น นางฝ่ายในที่เคยดูแลเขาหายเรียบ และมีนายทหารหนุ่มมาคอยดูแลเรื่องต่างๆแทน
นี่กลัวว่าเขาจะจับนางฝ่ายในกินรึไง เจ็บหนักออกปานนี้ใครจะมีปัญญา ร่างโปร่งค่อนขอดองค์สูงซึ่งเสด็จกลับออกไปพร้อมองครักษ์ แล้วจึงค่อยๆไถลตัวลงนอนเพราะรู้สึกวิงเวียนเหมือนไข้จะขึ้น มือขาวลูบใบหูข้างที่ถูกกระชากตุ้มหูเพชรไปจนเกิดแผล เขาไม่ได้รู้สึกเสียดายตุ้มหู เพียงแต่รอยสัมผัสนั้นยังฝั่งอยู่ในหัว รู้สึกขยักแขยง
ก่อนจะหลับไปด้วยอ่อนเพลีย เจ้าตัวลุกขึ้นไปคุ้ยกระเป๋าเดินทางอยู่ชั่วอึดใจ ค้นหาอยู่สักพักก็เจอแหวนทองที่แอบซ่อนซุกไว้ จึงนำมันขึ้นมาสวมที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างเคยชิน
ไม่ได้มีความหมาย เพียงแต่ชอบใส่ที่นิ้วนี้เท่านั้น...
แสงแดดส่องสว่างทั่วพื้นราบอันน้อยนิดระหว่างหุบเขา นาขั้นบันไดสีเขียวสลับเหลืองเห็นอยู่ลิบๆเมื่อมองจากพระราชวังอลิซาเบธ สายลมพัดพาความเย็นปะทะผิวกายร่างโปร่งจนเส้นผมพลิ้วไสว อุณหภูมิกลางวันอุ่นสบายแต่เวลากลางคืนอาจถึงติดลบ
นพรัตน์ขมวดคิ้วมุ่น จนถึงวันนี้เขาก็ยังไม่ได้โทรศัพท์หาครอบครัวเลยซักครั้ง เพราะถามใครๆก็ตอบว่าต้องขออนุญาตเจ้าก่อน แต่ว่าเจ้าก็ไม่เคยเสด็จมาให้เห็นตั้งแต่วันนั้น ชายหนุ่มครุ่นคิดเหมือนหนูติดจั่น สายน้ำเกลือก็ถูกถอดออกไปแล้ว อาการวิงเวียนหน้ามืดก็หายแล้ว เหลือแต่รอยฟกช้ำ หน้าตากลับมาสดใสดุจเดิม เพียงแต่ทรงผมชี้ๆตั้งๆทิ้งตัวสลวย ส่งผลให้ใบหน้าแลอ่อนเยาว์กว่าอายุยิ่งกว่าเดิม
เสียงประตูในห้องพักเปิด ชายหนุ่มซึ่งยืนชมวิวอยู่ริมระเบียงเหลียวมอง
เคอแสนยื่นเสื้อกั๊กสีน้ำเงินให้ชายหนุ่ม
“วันนี้ผมจะพาคุณไปชมรอบๆเมืองหลวง ไม่ต้องห่วงครับ เราจะไปแบบสบายๆ เหนื่อยเมื่อไรก็กลับ พระองค์ท่านเกรงคุณจะเบื่อครับ”
ภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งทว่าฟังรื่นสบายหู ผิดกับอีกคนที่รัวเร็วเป็นข้าวตอกแตก สำเนียงไม่เพี้ยนจากเจ้าของภาษา
ร่างโปร่งเลิกคิ้ว รับเสื้อกั๊กมาสวมทับอย่างว่าง่าย ตอนนี้เขากลายร่างเป็นคนพื้นเมืองของที่นี่ไปแล้ว ใส่เสื้อคอกลมป้ายข้างแขนยาวกับกางเกงทรงเป้ายาวคล้ายกางเกงชาวเขาสีนวล ชายแขนเสื้อปักด้วยลวดลายของชนเผ่าเทือกเขาสูงสีสันฉูดฉาด หากต้องติดต่อราชการหรือไปงานพิธีต่างๆจะมีผ้าคาดเอวปักลวดลายสวยงามเพิ่มอีกหนึ่งชิ้น
เหมือนหลุดมาอยู่เมืองโบราณ
“เออลุง เอ๊ย! คุณเคอแสน ผมพักจนหายดีพอจะเดินทางกลับประเทศได้แล้ว เมื่อไรผมจะได้รับอนุญาตให้เดินทางได้ หรือไม่ก็ขอผมโทรศัพท์กลับบ้านหน่อยได้รึเปล่าครับ?”
“เออ...คือ...ต้องขออนุญาตเจ้านรพยัคฆ์ก่อนครับ” เคอแสนยิ้มคล้ายกำลังปลอบเด็กซนๆคนหนึ่งที่บังอาจเรียกนายทหารมหาดเล็กใกล้ชิดอย่างเขาว่าลุงทุกครั้งที่เผลอ
“แล้วพระองค์ของเคอแสนเมื่อไรจะเสด็จมาล่ะ ผมจะได้ทูลขออนุญาต?”
“ไม่ทราบครับ”
“งั้นฝากไปทูลหน่อยได้ไหม?” ดวงตาคนขอแวววาว
“ครับ”
“ตอนนี้”
“ไม่ได้ครับ ตอนนี้ต้องพาคุณไปชมเมืองก่อน”
“ทูลแล้วค่อยชมไม่ได้รึไง?”
“พระองค์ไม่อยู่ในวังแล้วครับ” แต่ประทับอยู่แถวริมแม่น้ำห่างพระราชวังไม่ถึงร้อยเมตร เขาไม่ได้ปดสักนิดนะ
“งั้นกลับมาต้องรีบทูล?”
เคอแสนยิ้มรับใบหน้าขาวๆริมฝีปากแดงๆทำท่าคาดโทษ แล้วจึงนำร่างโปร่งไปยังรถยนต์ซึ่งจอดคอยท่าอยู่ก่อนแล้ว
นพรัตน์เห็นเลกซัสคันใหม่เอี่ยมแล้วตงิดในใจ เมื่อเข้าไปนั่งในห้องโดยสารจึงเอ่ยปาก
“น่าจะจัดงบซื้อรถเมล์เพิ่มอีกซักหน่อยนะคุณ คันนี้นั่งได้สี่ห้าคน แต่รถเมล์บรรทุกได้ครึ่งร้อย ราคาพอๆกันใช้ประโยชน์ผิดกันลิบ”
องครักษ์เหลือบมองชายหนุ่มอายุเกินวัยรุ่นมาหลายปี หากหน้าตายังคงสดใสอ่อนเยาว์ เจริญหูเจริญตาคนมอง กำลังทำหน้าทำตาแดกดันรักษาผลประโยชน์ชาติของเขาอยู่
“ครับ ผมก็ว่าอย่างนั้น”
“นี่ลุงกำลังประชดผมรึไง?”
เคอแสนหัวคิ้วกระตุก มองแขกต่างเมืองอย่างอ่อนใจ “ไม่หรอกครับ ดีใจซะอีก ที่คนนอกอย่างคุณจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของเรา”
ร่างโปร่งทำเสียงขึ้นจมูก ก่อนเสมองวิวข้างทางที่กำลังเปลี่ยนจากทุ่งนาเป็นบ้านเรือนมากขึ้นเรื่อยๆ สถาปัตยกรรมคล้ายของทิเบตผสมจีนกลมกลืนไปกับธรรมชาติ ไม่ขัดหูขัดตา ทางการของที่นี่เขาจำกัดความสูงของบ้านเรือนเพียงแค่สี่ชั้น
เมืองหลวงเล็กๆที่มองจากที่สูงก็เห็นได้ถ้วนทั่ว มีแม่น้ำไหลขนาบเป็นสายธารหล่อเลี้ยงผู้คน
แม้ไม่เคยไปบนสวรรค์ แต่อยากจะเปรียบเหลือเกินว่าที่นี่คือสวรรค์บนดินที่สัมผัสได้ด้วยตา
“รถส่วนพระองค์ทุกคัน ใช้ทรัพย์สินส่วนพระองค์ทั้งนั้นครับ คุณอย่าได้รังคัดรังแคเรื่องนี้เลย ” อยู่ๆเคอแสนก็เอ่ยบอกขึ้นเรียบๆ
นพรัตน์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งมองคนเอ่ย “หรือครับ แปลกจริง ที่ผมได้ยินมามีแต่เรื่องไม่ดีของเจ้าของนายทั้งนั้น”
เคอแสนหันมองร่างโปร่งเต็มตา “ไม่ว่าคุณจะได้ยินได้ฟังอะไรมา ผมขอให้ต่อแต่นี้ไปโปรดใช้ใจของคุณสัมผัสเองเถอะครับ แล้วค่อยตัดสินใจสิ่งที่คุณได้ยินว่าจริงหรือไม่”
นพรัตน์อยากจะยักไหล่ใส่คนพูด หากสำนึกอะไรบางอย่างยังนึกปรามกริยาไม่สมควรนั้น
คนเราอย่าฟังความข้างเดียว
“แสดงว่าที่นี่มีแต่คนดี ไม่โกงไม่กิน ไม่หาผลประโยชน์ใส่ตัว ทิ้งชาวบ้านตาดำๆให้อดๆอยากๆหรือครับ?”
“คนที่นี่รังเกียจการคอรัปชั่นครับ” เคอแสนตอบเรียบๆ
“ที่นี่ไม่มีคอร์รับชั่น?”
“ทุกคนมีความโลภอยู่ในจิตใจทั้งนั้นครับ”
นพรัตน์หรี่ตากับความเจ้าสำบัดสำนวนของคนขับ “สรุปว่ามีหรือไม่มี”
“ส่วนน้อยครับ เราเคร่งครัดกับเรื่องนี้มาก เพราะฉะนั้นจึงต้องให้คนดีมีศีลธรรมได้ปกครองคนหมู่มากครับ ไม่อย่างนั้นนโยบายที่สมเด็จท่านวางไว้ก็คงล้มเหลว แล้วประชาชนของเราจะเดือนร้อน แผ่นดินจะลุกเป็นไฟ”
เหมือนบ้านเรา... นพรัตน์สะอึกในอก
“ถามนิดเดียว ตอบซะยาว ผมไม่มีอคติกับที่นี่ขนาดนั้นหรอกน่า เห็นก็ถามเท่านั้น”
เคอแสนยิ้มให้คนหน้ายุ่งๆ “ขอให้ถามเถอะครับ จะได้ไม่เข้าใจเราผิดๆ”
“แล้วเป็นเจ้าเป็นนาย หลวงเขาไม่ให้เงินส่วนพระองค์เลยหรือ ถึงต้องซื้อเอง”
“ให้ครับ” องครักษ์ผู้กินนอนมากับเจ้านรพยัคฆ์กลั้นหัวเราะ “ข้าวของเครื่องใช้หรือเงินปี ก็ได้รับตามที่กำหนดล่ะครับ”
“อ้าว แล้วจะซื้อเองทำไม?”
“อืม นั่นสินะ” คนขับทำท่าคิดอย่างน่าหมั่นไส้ “ถ้ารถปี1980ยังวิ่งได้อยู่ พระองค์ก็คงนำออกมาใช้จนล้อหลุดกันไปข้างหนึ่งล่ะครับ”
“ห๋า!”
“งบประมาณมีจำกัดครับ ต้องนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ข้าวของเครื่องใช้ในวังนี้จึงมาจากทรัพย์สินส่วนพระองค์เกือบทั้งหมดครับ”
ไม่รู้ทำไม ร่างโปร่งจึงรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ฟังเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า