ขอโทษที่ให้รอค้า

ตอนที่ 5มาเสริฟเเล้วจ้า อ่านให้สนุกนะคะ

ตอนที่ 5
อาคารฉาบปูนสีขาวสองชั้น หลังคาเทลาดเพียงเล็กน้อยคล้ายสถาปัตยกรรมทางทิเบตตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขารายล้อม คือโรงพยาบาลประจำเมือง จำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยไม่ถึงห้าสิบเตียง รอบๆเป็นบ้านเรือนจับกลุ่มเป็นกระจุกๆ ห่างออกไปคือท้องทุ่งการเกษตรแนวยาวหายลับไปในเนินเขาสลับซ้อนสับหว่างจนกลายเป็นเส้นทางสัญจรอันคดเคี้ยว
นพรัตน์นอนให้น้ำเกลือบนเตียงผู้ป่วย ภายในห้องพักรักษาคนป่วยควรโปร่งสบาย หากเวลานี้กลับถูกกลุ่มคนจับจองพื้นที่อันน้อยนิดแลดูน่าอึดอัด
“แพทย์ขอให้คนป่วยพักที่นี่สักสองสามวันก่อนพ่ะย่ะค่ะ ร่างกายเขาอ่อนเพลียรุนแรง ค่อนข้างอันตราย ภายในบางจุดบอบช้ำ แต่ไม่มีกระดูกหักพ่ะย่ะค่ะ” นัมทัคกราบทูลองค์เจ้านรพยัคฆ์ซึ่งประทับบนเก้าอี้เฝ้าไข้อยู่ไม่ห่าง “กระหม่อมให้ทางโรงพยาบาลจัดห้องพักไว้แล้ว ขอพระองค์เข้าไปพักก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ทางนี้เคอแสนจะรับช่วงต่อเอง”
พักตร์คมคายทอดเนตรคนป่วยนิ่งก่อนเอ่ย “วางยามให้รัดกุม พรุ่งนี้เช้าเราจะเดินทางทันที” สุรเสียงกำชับเรียบ ไม่นำพาคำเตือนของแพทย์ผู้รักษา ด้วยสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจได้เลย
สรุปคือถึงแพทย์ไม่อนุญาตก็จะไปนั่นเอง
เจ้านรพยัคฆ์มองคนป่วยนอนหน้าขาวเผือดอีกครั้ง ก่อนเสด็จออกไปจากห้อง
การเข้าพักแบบฉุกละหุกแม้ไม่สะดวกสบายหากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็พยายามจัดถวายเท่าที่จะทำได้ และเป็นพระองค์เองที่ไม่ประสงค์จะทำให้ผู้ใดเดือดร้อนเกินความจำเป็น
หากการอยู่ที่นี่นานคือเป้านิ่งให้พวกกบฏถือโอกาสโอบล้อม ข่าวสารพวกมันก็ใช่ย่อย ที่นี่ใกล้ฐานที่มั่นพวกมันเกินไป ดีที่สุดคือรีบพาคนป่วยกลับไปรักษาตัวในเมืองหลวง
พระองค์เชื่อในความหัวแข็งของคนนอนหลับบนเตียงห้องข้างๆ
เช้าตรู่แพทย์ถูกตามตัวมาตรวจอาการผู้ป่วย เห็นสีหน้าแพทย์กระอักกระอ่วนก็เป็นอันรู้กันว่าไม่เห็นดีเห็นงามในการนำผู้ป่วยออกไปข้ามป่าข้ามเขาเป็นวันๆ
นพรัตน์ถูกฉีดยาก่อนออกอีกสองเข็ม น้ำท่าก็ไม่ได้อาบ ใบหน้าอิดโรยผมเผ้ากระเซอะกระเซิงได้แต่เดินตามการจับจูงของไอ้โม่งชุดดำที่ตอนนี้ปลดผ้าปิดหน้าออก ได้เห็นหน้าเห็นตากันชัดๆ
ก็ดูเป็นมนุษย์ดี
ทหารหน่วยเฉพาะกิจในชุดสีดำ เสื้อแขนยาวคอตั้งมีสายสะพายไขว้ที่อก คาดเข็มขัดหนัง กางเกงพองจีบตรงสะโพกคล้ายคนนุ่งโจง รองเท้าบูททรงสูงถึงใต้เข่า
วันนี้คนพวกนี้ดูน่าไว้ใจในความรู้สึกของชายหนุ่ม
ทว่าเมื่อเข้าไปอยู่ในรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อคันใหม่เอี่ยม ท่ามกลางขบวนคุ้มกันหนาแน่น ร่างโปร่งถึงกับชะงักไปอึดใจเมื่อมีคนนั่งพิงเบาะหลังอยู่ก่อนแล้ว
ดวงเนตรสีฟ้าคมดุกวาดมองร่างโปร่งซึ่งมีท่าทีอึกอักก่อนจะเข้ามานั่งภายในห้องโดยสาร นัมทัคปิดประตูจากนั้นเข้าไปนั่งประจำที่ด้านหน้า
คนป่วยนั่งชิดติดประตู ท่าทางระวังตัวแจ แต่ก็ฝืนไปได้นิดเดียวก็ต้องทิ้งตัวพิงพนัก หลับตาลงข่มอาการวิงเวียนศีรษะไปซักพักถึงได้ค่อยเหลือบมองคนข้างๆที่นั่งกอดอกเงียบไม่พูดไม่จา
“คุณเป็นใคร?”
เจ้านรพยัคฆ์หันไปทอดเนตรคนถามที่เพียงเอียงหน้าเล็กน้อย ศีรษะยังพิงพนักอ่อนแรง
“นอนเถอะ ถึงแล้วจะอธิบายให้ฟัง”
“แต่ผมอยากรู้ ผมเป็นคนเจ็บ คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แล้วต้องมาถูกทำร้ายนะ จะไม่บอกอะไรเลยรึไง?” คนเจ็บเค้นเสียงด้วยฉุนโกรธ
“ถึงแล้วจะบอก”
สีหน้าคนพูดราบเรียบ หากดวงตาสีฟ้านั่นต่างหากที่บอกอะไรหลายอย่าง ถึงเค้นคอให้ตายก็จะไม่พูดอะไรออกจากปากแม้แต่คำเดียว! นั่นคือคำตอบในดวงตาคู่สีฟ้า
นพรัตน์สบถคำไทยออกมาก่อนผินหน้าหนี
เส้นทางไม่ราบเรียบแม้เป็นถนนหลวงสายหลัก หากก็เป็นเพียงถนนแคบๆไม่ต่างจากถนนสายรองของประเทศไทย อีกทั้งความคดเคี้ยวขึ้นเนินลงเขาตลอดเวลายิ่งทำให้คนป่วยอาการทรุด ขมวดคิ้วข่มน้ำขมในลำคอแทบเป็นแทบตาย
กลิ่นเหม็นสาบเหม็นเปรี้ยวจากเนื้อตัวของตัวเองยิ่งทำให้คนอาการแย่หงุดหงิด ไม่สบายตัว กี่วันแล้วที่ไม่ได้อาบน้ำ ตัวเองยังทนไม่ไหวแล้วที่แคบในรถยนต์แบบนี้คนข้างๆจะไหวหรือ ตอนอยู่โรงพยาบาลก็แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าเฉยๆ รู้งี้ทนเจ็บลุกมาอาบน้ำก่อนก็ดีหรอก
คิดไปคนเจ็บก็ยิ่งเบียดตัวเองกับประตู ทำให้ศีรษะโขกกระจกหน้าต่างเวลารถตกหลุม เป็นเหตุให้องค์สูงซึ่งประทับข้างๆขมวดขนง
“นอนลง”
กระแสเสียงสั่ง หากคนฟังก็เฉยเสีย จนหัตถ์ใหญ่คว้าต้นแขนคนเจ็บได้ รั้งลงนอน
“อย่ามาจับสิ!”
“นัมทัค ขอหมอน”
เจ้านรพยัคฆ์ไม่สนใจท่าทีขัดขืน รับหมอนสนามใบย่อมจากองครักษ์ได้ก็วางแปะบนพระเพลา จากนั้นยึดต้นคออีกฝ่ายกดลงมา
“นอน”
นพรัตน์แสดงความไม่พอใจออกนอกหน้ากับความเจ้ากี้เจ้าการของร่างสูงใหญ่ พลางจ้องดวงตาสีฟ้าที่ก้มมาประสานสายตาแน่วนิ่ง ใบหน้าคมคายหากแต่ดูดุดันทำให้คนเจ็บยอมหุบปากหลุบตา
ชิ! ดมซะให้พอเลย
ถึงคิดแดกดันอีกฝ่าย แต่ร่างโปร่งก็พยายามหนีบตัวเองจนคนไม่รู้ได้รู้
มุมโอษฐ์ยักโค้ง เปรยเสียงเบา
“ไม่เหม็นเท่าไรหรอก”
คนเจ็บนอนสะดุ้งพลางเม้มริมฝีปากแน่น
งั้นก็ดมไป!
พวกเขาอาศัยเจ้าโตโยต้า พราโด้ แล่นผ่านเส้นทางเล็กแคบคดเคี้ยวที่นานๆจะมีรถสวนมาซักคัน คนเจ็บนอนหลับไม่สนิทจากเส้นทางวกวน สีหน้าจึงไม่สู้ดีนัก ส่วนรถเรนจ์โรเวอร์ วีโวค กับฮัมเมอร์ เอช 2 ขับเคลื่อนสี่ล้อที่ตามมาไม่ห่างคือตัวล่อให้เกิดความลังเลสับสนกับผู้ไม่ประสงค์ดี
เลยเที่ยงวันขบวนรถยนต์จึงหยุดแวะพักริมทางตามที่กำหนดไว้ก่อนออกเดินทาง
รถยนต์เคลื่อนไปจอดแอบในป่าสน นพรัตน์ถูกพยุงลงมานั่งพักพิงโคนไม้ใหญ่ ชายหนุ่มรับผ้าชุบน้ำจากเคอแสนมาเช็ดหน้าตัวเอง แต่เพียงไม่นานก็โก่งคออาเจียนจนคอพับคออ่อน
เจ้านรพยัคฆ์ส่งขวดน้ำให้พลางลอบถอนปัสสาสะเป็นห่วงอาการอีกฝ่าย
“ค่อยๆดื่ม”
นพรัตน์พยักหน้าก่อนพิงศีรษะกับต้นไม้ ทรมานอะไรแบบนี้
“ทานอะไรซักนิดนะคุณ เรายังต้องเดินทางอีกไกล” เคอแสนแกะอาหารในห่อยื่นส่งให้ ร่างโปร่งรับไปก้มดูนิดเดียวก็ส่ายหน้าหนี ข้าวสวยกับก้อนเนื้อแห้งๆ คนป่วยประสาทรับกลิ่นบกพร่องได้แต่กลิ่นประหลาดๆชวนอาเจียน
“ขนมปังก็มีนะครับ?”
อีกฝ่ายยังพยายาม จนนพรัตน์ยอมหยิบขนมปังมาค่อยๆละเลียดกินหมดแผ่น และตามด้วยยาอีกสองสามเม็ด จากนั้นจึงก้มมองผ้าเช็ดหน้าบนตัก ชายหนุ่มเทน้ำดื่มใส่ผ้าจนเปียกชุ่ม แล้วแหวกเสื้อตัวเองออกเห็นแผ่นอกขาวมีริ้วรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำๆ
นพรัตน์จัดการเช็ดเนื้อตัวลวกๆ อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง ท่ามกลางดวงเนตรองค์นรพยัคฆ์ พระองค์หันไปสั่งอะไรบางอย่างกับนายทหาร สักพักผ้าห่มก็ถูกนำมาให้คนเจ็บ
“ใกล้ค่ำอากาศเย็นมาก จากนี้เราจะไม่หยุดพักอีก เธอต้องพยายามหลับให้ได้”
คนพูดจบลุกยืนโดยดึงร่างโปร่งตามขึ้นไปด้วย ก่อนจะพาไปขึ้นรถยนต์ฮัมเมอร์ เอช 2 อีกคัน
คนพวกนี้ระวังตัวกันมาก มากจนน่าแปลกใจ
ร่างโปร่งมองเสี้ยวหน้าบุรุษสูงใหญ่ข้างๆ แค่รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศคงน้อยไปแล้วมั้ง แต่จะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ ขอให้ส่งเขากลับบ้านได้เป็นพอใจแล้ว
“นอน”
สุรเสียงเข้มเตือนเมื่อยังเห็นคนหน้าซีดเอาแต่นั่งพิงพนัก ศีรษะโคลงไปโคลงมา
“มะ ไม่เป็นไร”
“เดี๋ยวก็เป็น”
แม้จะเจ็บไปทั้งตัวแต่ร่างโปร่งก็หันขวับไปถลึงตาใส่อีกฝ่าย พ่อฉันก็เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศเหมือนกันนะ อย่ามาขู่เสียให้ยาก
อุ๊ก!
เสียงของเก่าในกระเพาะดันขึ้นคอ ทำให้ชายหนุ่มหยิ่งต่อไปไม่ไหว ค่อยๆไหลลงไปนอนหนุนพระเพลาตามเดิม
“หลับเสีย”
หัตถ์เย็นทาบบนหน้าผากมนอย่างปราณี
นัมทัคเหลียวมองภาพเบื้องหลัง ก่อนทูลถามเสียงเบาภาษาถิ่น
“กระหม่อมวิทยุไปแจ้งโรงพยาบาลในเมืองหลวงให้เตรียมห้องพักรักษาไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ ให้แพทย์เตรียมอุปกรณ์ไปรักษาเขาในวัง เราจะรับรองเขาที่นั่นจนกว่าเขาจะต้องกลับ”
ราชองครักษ์รับคำสั่งโดยสงบ เหลือบมองอีกครั้งคนเจ็บก็หลับสนิทไปแล้ว
ขบวนรถยนต์ห้าคันเดินทางราบรื่นจนใกล้เที่ยงคืนอีกวันก็ถึงพระราชวังอลิซาเบธ ที่ประทับบนเชิงเขาใกล้เมืองหลวงตารกา
คนเจ็บถูกอุ้มไปยังห้องพักทั้งยังหลับ แพทย์และพยาบาลเตรียมพร้อม เมื่อร่างคนป่วยนอนทอดบนเตียง แพทย์เข้าเช็กอาการแล้วเสียบสายน้ำเกลือพร้อมยาบำรุงให้ทันที ด้วยประวัติคนไข้ได้ถูกแจ้งมาล่วงหน้าแล้ว
“เคอแสน บอกพยาบาลเช็ดตัวให้เขาด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เจ้านรพยัคห์เสด็จกลับไปยังห้องทรงงาน แฟ้มรายงานเอกสารต่างๆวางบนโต๊ะไม้หนาขาสิงห์ พระองค์กวาดดวงเนตรอ่าน ชั่วครู่จึงได้ยินเสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้น
“เสือน้อย” สุรเสียงพระเจ้าฟ้ารุ่งนฤเบศน์ดังมาตามสาย
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เหนื่อยเธอแล้วนะ อาการเขาเป็นอย่างไร?”
“หัวแข็งออกปานนั้นอีกไม่กี่วันก็หายเป็นปกติพ่ะย่ะค่ะ ทางนี้เรียบร้อยแล้ว”
พระขนงสมเด็จพระราชาธิบดีเลิกขึ้นสนเท่ห์กับคำตอบประชดประชันผิดไปจากปกติ หากก็ปล่อยผ่าน ด้วยมีเรื่องสำคัญกว่านี้อีกมาก
“อืม ดีแล้ว ทางนี้หน่วยสืบราชการลับก็ประกบติดกลุ่มกบฏอยู่ คราวนี้เราอาจกวาดล้างพวกมันได้ นักธุรกิจที่ให้การสนับสนุนบางส่วนถูกคุมตัวไปสอบในทางลับ แต่ท่านเดชาคงยังไม่รู้ตัว”
“ท่านเดชา” เจ้านรพยัคฆ์ขบพระทนต์แน่น คนๆนี้มีเลือดสีน้ำเงินไหลเวียนในร่างกายแท้ๆ เบื้องหลังกลับให้ความช่วยเหลือพวกกลุ่มติดอาวุธ คงคิดว่าถ้าแบ่งแยกดินแดนได้แล้วจะได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน มันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะกลุ่มคนที่ร่วมสนับสนุนปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงก็ไม่ได้โลภไปน้อยกว่ากัน ปัญหาตอนนี้คือ ใครเป็นตัวการใหญ่ที่ยังไม่โผล่หางมาให้เห็น การข่าวยังสาวไปไม่ถึงคนๆนั้น ทำได้เพียงจับตาคนที่น่าสงสัยไว้เท่านั้น “เราจะถูกโต้กลับหนักแน่ การกดดันให้พวกมันจนตรอก ทำให้พวกมันยิ่งพุ่งเป้าไปที่นักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจต่างชาติ พวกมันต้องการหลักประกันในการเรียกร้องขอแยกตัวเป็นอิสระ”
“พี่อาจจะปิดชายแดนชั่วคราว ถึงจะต้องสูญเสียความมั่นใจของต่างชาติ แต่ดีกว่าให้พวกเขามาตายอยู่ที่นี่ สถานที่สำคัญก็ให้ทหารเข้าไปคุมไว้ทุกจุดแล้ว” สมเด็จนิ่งไปนิดแล้วจึงตรัสต่อ
“ตอนนี้เราไม่ออกวีซ่าให้นักท่องเที่ยวไปชั่วระยะหนึ่ง ส่วนที่มาอยู่ก่อนแล้วจะทยอยกลับตามกำหนด ระหว่างนี้ทหารจะรักษาความปลอดภัยอยู่ห่างๆ” นิ่งไปอีกชั่วอึดใจ “สไนเปอร์ถูกส่งออกไปแล้วเสือน้อย แค่มันโผล่หางออกมา”
สุรเสียงสมเด็จพระราชาธิบดีราบเรียบ พระองค์รู้ว่าถึงจะปิดข่าวยังไงก็ย่อมมีทางเล็ดลอดออกไปได้ แต่ทรงกำลังยื้อเวลาเพื่อจะจัดการทุกอย่างให้ได้มากที่สุด เงียบที่สุดก่อนข้อมูลจะถูกตีไข่ใส่สีจนฝ่ายรัฐกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาชาวโลก
คำว่าสิทธิมนุษยชนไม่ทำให้ประเทศชาติสงบได้ในตอนนี้
“ระวังตัวไว้หน่อย เธอคือเป้าหมาย ล้มเธอได้ก็เท่ากับตัดแขนตัดขาประเทศนี้”
“แต่ล้มพระองค์ได้เท่ากับหมดสิ้นทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ พี่ล้มก็ยังมีเธอ เสือน้อย”
“กระหม่อมจะไปนอน”
ผู้เป็นน้องตัดบทวางโทรศัพท์ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี สิ่งที่อยู่ในหทัยพระเชษฐายังคงเดิม มิเปลี่ยนผัน
ทรงเกรงใจน้องชายต่างมารดายิ่งนัก
เจ้านรพยัคฆ์เสด็จยังระเบียง สูดพระอัสสาสะลึก หัตถ์ใหญ่กำราวระเบียงทอดพระเนตรแสงไฟวิบวับจากบ้านเรือนในตัวเมืองหลวง
ที่นี่เงียบสงบ ผู้คนผ่านความทุกข์ยากมานานจากภาวะสงครามกว่าแผ่นดินจะเป็นปึกแผ่น เวลานี้พวกเขากำลังจะลืมตาอ้าปากได้ ชีวิตไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวง ครอบครัวพร้อมหน้า ทรัพย์สินคือพื้นดินที่เพาะปลูกงอกเงยไม่อดอยาก ความอิ่มทำให้พวกเขามีเวลาสร้างสรรค์ศิลปะให้แก่ชีวิตตัวเอง เงินแทบไม่มีความหมายในแถบชนบท
เวลาของที่นี่เดินช้ากว่าที่อื่น
พระองค์มาจากอีกซีกโลกที่เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วดุเดือด การตัดสินพระทัยมาอยู่บ้านเกิดเมืองนอนของพระบิดาทำให้ต้องปรับพระองค์อยู่พักใหญ่ และสร้างความขุ่นเคืองให้ผู้เป็นมารดา หากแต่เลือดครึ่งหนึ่งคือชาวปัญจคีรี แล้วจะให้พระองค์สบายอยู่องค์เดียวได้อย่างไร
เจ้าชายนรพยัคฆาภูบดินทร์เสด็จกลับเข้าไปภายในห้อง หากก่อนบรรทมพระองค์เสด็จไปดูหน้าคนป่วยอีกครั้ง
ร่างโปร่งหลับสนิท สีหน้าดีขึ้นกว่าตอนมาถึงมาก ไม่มีทรงผมฟูๆชี้ๆอย่างดารานายแบบชอบทำดังในรูปถ่ายที่ได้เห็นครั้งแรก ยิ่งในระยะใกล้แบบนี้ทำให้ทรงนึกออกว่าพระองค์เคยเห็นชายหนุ่มผู้นี้ในจอทีวียามเสด็จไปจัดการภาระกิจที่ประเทศไทย
ถึงได้สะดุดพระทัยนัก
คนที่ร้องเพลงไปยิ้มไป และเป็นแฟนกับดาราสาวทรงโตหน้าตาจิ้มลิ้ม
เข้าใจเลือกนะ
โอษฐ์ได้รูปคลี่ออก แม้จะนอนหลับไม่ได้สติ หากวีรกรรมที่ได้เห็นกับเนตรก็ทำให้ทรงชื่นชมในหัวใจเด็ดเดี่ยวที่เกือบจะทำให้ทรงเสียงาน
TBC