ขอโทษที่ให้รอจ้า เลยเอามาให้ สองตอนรวบเลยยยยย

ตอนที่8
ละอองหมอกปกคลุมทั่วเทือกเขาไม่จางหายแม้จะสายแล้วก็ตาม ทำให้ทัศนวิสัยการมองเห็นไม่ถึงสามเมตร นพรัตน์เดินลงเนินเขาลาดไปยังพื้นราบที่มีน้อยนิด ต้นหญ้าเตี้ยติดดินสีเขียวแซมน้ำตาลขึ้นเบียดขนัดดังพื้นแพร เกล็ดน้ำค้างบนใบหญ้าละลายหายเป็นไอรวดเร็วเมื่อต้องแสงตะวันอ่อน จากจุดยิงธนูนี้มองลงไปเห็นนาขั้นบันไดของชาวบ้านสลับสีอ่อนแก่ บ้างก็เป็นดินแดงจากการไถกลบบนเนินเขาลดหลั่นกัน
ธรรมชาติอันงดงามตระการตาที่ต้องแลกมาด้วยความโหดร้ายทารุณของสภาพอากาศและภูมิประเทศ ชาวบ้านอยู่ห่างกันเพียงภูเขากั้นกับไม่เคยรู้จักกันเพราะไร้ซึ่งถนนหนทางตัดผ่าน ทางเดียวที่จะติดต่อกันได้คือการปีนข้ามเขาเป็นวันๆ ที่นี่จึงยังรักษาขนบประเพณีดังเดิมไว้ได้แม้กระแสเวลาของโลกจะเปลี่ยนผันรวดเร็ว หากที่ๆเขายืนอยู่นี้เหมือนเวลาจะหยุดเดินเสียดื้อๆ
เคอแสนนำคันธนูสมัยใหม่พร้อมลูกธนูมาให้นพรัตน์ ส่วนตัวเองใช้คันธนูไม้ไผ่แบบดังเดิม
“มันยิงยากกว่ากันครับ แต่ผมถนัดแบบเก่า”
ร่างโปร่งพยักหน้ารับพลางหรี่ตามองเป้าเล็กจิ๋วห่างออกไปกว่าร้อยเมตร
แล้วมันจะยิงถูกไหมเนี่ย
ครูฝึกอีกคนเห็นใบหน้าแขกแล้วอดขำไม่ได้ เพราะมันน่าเอ็นดูผิดวิสัยผู้ชายตัวโตๆ ก่อนเข้าไปสอนวิธียิงธนูให้แบบตัวต่อตัว
ความสนุกสนานห้อมล้อมทุกผู้คนบนสนามฝึกยิง ทั้งกองเชียร์ทั้งผู้ยิง การแข่งขันที่ไม่เน้นการแพ้ชนะ หากเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เมื่อใครยิงถูกเป้าทุกคนก็จะมาร่วมร้องยินดี และถ้ายิงพลาดไปก็จะได้รับคำแนะนำพร้อมกำลังใจ
กระต่ายน้อยขนปุยกระโดดโลดเต้นท่ามกลางผู้คนใจดี จนลืมไปแล้วว่าไม่กี่วันที่ผ่านมาเกือบตายไปแล้วกี่ครั้ง
“ใช้ได้เลยครับ เพิ่งเริ่มหัดแท้ๆ”
ครูฝึกมองผลงานของลูกศิษย์สดๆร้อนๆ ก่อนยิ้มกว้างเมื่ออีกฝ่ายหันมายิ้มให้ตาหยี
“ฝีมือๆ”
“ว่าแต่คุณไปรู้จักท่านมหาดเล็กตั้งแต่เมื่อไรกันครับ ปกติท่านจะติดตามเจ้าชายเป็นเงา”
“ก็...ก็ไม่นานนี่หรอก” นพรัตน์หัวเราะขื่นๆ นายเคอแสนเป็นท่านมหาดเล็กด้วย ก่อนเสพูดชวนคุยเรื่องอื่น “ที่นี่หลายๆอย่างคล้ายประเทศไทยนะครับ”
“อ้าว! คุณมาจากประเทศไทยหรอกหรือ ผมคิดว่าเป็นคนจีน หรือญี่ปุ่นเสียอีก”
“หา!เปล่าครับ ผมเป็นคนไทย” ร่างโปร่งลูบเส้นผมตัวเองเขินๆ ไม่ได้ตี๋ขาวขนาดนั้นซะหน่อย
“คนไทยน่ารักนะครับ มีน้ำใจ ใจดี ผมไปมาหลายครั้งแล้ว”
“ฮะๆขอบคุณที่ชม” ร่างโปร่งหัวเราะเบารับสมอ้าง “ไปหลายครั้งก็แสดงว่าไปเที่ยวมาหลายที่แล้วสิครับ”
“ก็ไปวัดพระแก้ว หัวหิน หมู่เกาะสุรินทร์ แต่ส่วนใหญ่เราชอบไปช็อปปิ้งที่มาบุญครองกันครับ”
ครูฝึกเล่าให้ฟังอย่างสบายอารมณ์ แต่บางอย่างกลับแวบผ่านเข้ามาในหัวกระต่ายบางกอก ก่อนหันซ้ายหันขวา เห็นเคอแสนกำลังง้างธนูเล็งเป้า จึงขยับเข้าไปใกล้ครูฝึก
“เออ ผมอยากรู้ว่าที่นี่มีไปรษณีย์ไหมครับ ผมอยากส่งโปสการ์ดกลับเมืองไทย”
“มีครับ อยู่ที่หมู่บ้านข้างล่าง แต่ถ้าคุณจะส่งอะไรฝากรถเอกสารที่นี่ไปส่งให้ก็ได้ เขาต้องไปทุกวันอยู่แล้ว ฝากผมเอาไปให้รถเอกสารก็ได้”
“ได้หรือครับ ถ้างั้นผมขอฝากส่งจดหมายซักฉบับนะครับ”
“ได้สิครับ”
เสียงตอบรับของเคอแสนแทนครูฝึกทำเอากระต่ายสะดุ้ง หน้าเผือดลง
ท่านมหาดเล็กซึ่งปกติยิ้มง่ายมาบัดนี้ก็ยังยิ้ม หากยิ้มแต่ปาก ตากลับดุเหมือนเจ้าเหมือนนายเข้าไปทุกที
“เดี๋ยวเราจะไปข้างล่างกันแล้ว ไม่ต้องไปฝากเขาหรอกครับ” เคอแสนยังยิ้มเย็น
“คะ...ครับ”
นพรัตน์หันไปยิ้มแหยให้ครูฝึกจากนั้นขอบคุณเบาๆแล้วเดินออกมาจากสนามยิงธนู
“คุณคิดจะทำอะไรครับ?” เคอแสนเดินตามหลังร่างโปร่งไปติดๆ
“ก็แค่อยากส่งข่าวให้ทางบ้านบ้างก็เท่านั้นหละ” คนถูกจับได้ขมวดคิ้วย่น
“เราก็ไม่ได้ห้ามนี่ครับ”
“ไม่ได้ห้ามแต่ก็จำกัดข้อมูล!”
“เพื่อความปลอดภัยหลายๆด้าน และก็แค่ช่วงนี้เท่านั้นล่ะครับ อยากให้คุณเข้าใจทางเราซักนิด”
“แล้วใครเข้าใจผมล่ะ ผมอยากกลับบ้าน โอเค๊!”
นพรัตน์กระแทกเสียงพลางเดินจ้ำขึ้นเนินไปยังตึกสูงขาว ความจริงก็เข้าใจสถานการณ์ของที่นี่ดี และไม่คิดจะทำให้ทางนี้ยุ่งยาก แต่พอมาถูกจำกัดถูกตรวจสอบก็ทำให้นึกขุ่นใจจนเผลอตวาดใส่ท่านมหาดเล็กจนหน้าเสีย
คนเดินนำเหล่มองคนเดินตามหลัง ใบหน้าเรียบสงบเห็นสันกรามชัดบ่งบอกอายุอานามไม่มากไม่น้อยไปกว่านายเหนือหัวซักเท่าไร ทำงานใกล้ชิดคงมีตำแหน่งใหญ่โตไม่น้อยแน่ๆ แต่กลับต้องมาสงบปากสงบคำเดินตามหลังเขาต้อยๆ
ก็เพราะคำว่าหน้าที่คำเดียว พวกเขากำลังทำเพื่อบ้านเกิดเมืองนอน
ร่างโปร่งหยุดเดินหันไปเผชิญหน้าอีกฝ่าย
“ขอโทษ มันไม่ชิน คุณคงเข้าใจนะ”
เคอแสนเลิกคิ้วก่อนพยักหน้าส่งยิ้มเล็กๆให้อีกฝ่ายคลายความอึดอัด พากันเดินคุยหนุงหนิงไปนั่งพักเพื่อรอติดตามเจ้านรพยักฆ์ออกไปนอกค่าย
นัมทัคเปิดประตูให้นพรัตน์เข้าไปนั่งเคียงข้างนายเหนือหัว ทว่าท่าทีอีกฝ่ายคงอยากตามไปคุยกับเคอแสนที่นั่งประจำคันหน้ามากกว่า
เข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว
การพาไปชมหมู่บ้านของเจ้านรพยัคฆ์ก็คือการออกไปเยี่ยมประชาชนและตรวจโครงการเกษตรที่สมเด็จพระราชาธิบดีได้ทรงริเริ่มไว้
ร่างโปร่งถูกจัดให้อยู่ท้ายขบวนเสด็จ และที่ทำให้แปลกใจคือขบวนเสด็จดำเนินไปตามทางเดินหรือเรียกว่าทางเกวียน ผ่านบ้านเรือนไปทีละหลัง หากมีอะไรสะดุดพระเนตรพระกรรณก็จะเข้าไปดูไปสนทนาด้วยอย่างไม่ถือพระองค์
“นี่ๆ เขาไม่ได้ให้ประชาชนมารอเฝ้ารับเสด็จหรอกเหรอ” นพรัตน์เอี้ยวหน้าถามผู้ตามเสด็จข้างๆ
“ตามพิธีการก็ต้องเป็นแบบนั้นครับ แต่ว่าฝ่าบาททรงมาตรวจงานไม่ประสงค์ให้ใครมารอรับเสด็จครับ”
คนรับฟังพยักหน้ารับหงึกๆ มองวงองค์สูงใหญ่ตรัสกับผู้ใหญ่บ้านอย่างใส่พระทัยในทุกถ้อยคำที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา นพรัตน์มองพระพักตร์คมคายแย้มพระโอษฐ์เป็นบางคราวและขมวดพระขนงเป็นบางที แม้ฟังไม่เข้าใจเพราะเป็นภาษาถิ่น หากความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างกำลังแล่นขึ้นจุกอก
ขบวนเสด็จเดินกันจนเหงื่อชุ่มหลัง ผ่านท้องไร่ท้องนา แปลงปลูกมันฝรั่งที่กำลังเก็บเกี่ยว พอรู้ว่าเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเสด็จมาเยี่ยมก็รีบนำผลผลิตใส่ตะกร้ามาถวาย ผ่านสวนแอปเปิ้ลก็ได้แอปเปิ้ล กระต่ายท้ายขบวนเลยได้อานิสงส์ เพราะเคอแสนนำผลไม้สีแดงสดมายื่นส่งให้
“ฝ่าบาทให้เอามาให้ แล้วก็เดินไหวรึเปล่า?” เคอแสนถามร่างโปร่งที่ทำหน้าสงสัย ก่อนอมยิ้ม “ถ้าเหนื่อยจะเรียกรถมารับพาไปที่เรือนพักในโครงการเกษตรข้างหน้าโน่นก่อน อีกไกลอยู่นะ ท่านเป็นห่วง”
“อ๋อ ไหวๆ ไม่ต้องห่วง สบายมาก”
นพรัตน์ยิ้มและกัดแอปเปิ้ลในมือโชว์ให้ท่านมหาดเล็กนำความไปทูลคนเป็นห่วง