หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14  (อ่าน 392196 ครั้ง)

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
ถึงเจ้สองคนสวย ครับ

จากการใช้หลัก เคมีวิเคราะห์ ผมว่า

" ไม่ใช่เหยาไม่มีที่ไปหลอกครับ แต่เหยาเลือกที่จะอยู่กลับทอม เพราะ เหยาเลือกที่จะแก้แค้นทอม  ให้ทอมจมอยู่กับตราบาปที่ ทอมสร้างไว้ให้กับเหยา 

การที่ทอมเห็นเหยาเจ็บ ผมว่าคนที่เจ็บปวดที่สุดคือ ทอม เองนั้นแหละ เหยาจึงเลือกที่จะอยู่กับทอม เลือกที่จะทำร้ายตัวเอง เพื่อจะได้ให้ทอมเจ็บปวดยิ่งกว่า "

" ถ้าผมเป็นเหยา ผมก็เลือกที่จะอยู่กับทอม  ผมจะทำให้ทอมเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่ในขณะเดียวกัน ในความเจ็บปวดที่สร้างให้ทอม ผมก็มีความรักมอบให้ทอมด้วยเช่นเดียวกัน "

แต่ไอ้ตอนปาถุงปลาทองผมก็ยังวิเคราะห์ไม่ได้เหมือนกัน 

แต่เอกพลาดที่สุด ก็ เรื่องงานดอกไม้แหละ เอกเป็นคนชวนเหยาตั้งแต่วันลอยกระทง  แต่เอกไม่สามารถทำตามคำพูดได้ พลาดอย่างแรง


คุณภัคD อยู่ไหนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :laugh: :laugh: :laugh: เข้าเล้าเป็ดด่วนๆๆๆๆ

ปล.คิดถึงพี่ทิพย์มากมายอ่ะ  :m1:

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
มาซาบซึ้ง สับสน วกวน มืดมัว กับเรื่องนี้อีก o7

ชอบบบบบบบบบบบบสุดยอดดดดดดดดดดดดดดด o13

นิยายในดวงใจขอบอกกกกกกกกกกกกกก :a1:

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
เครียดจัง ไม่รู้จะสงสารใคร และเกลียดใคร

รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 13

แม้จะคิดว่าพี่เหยาคงไม่ให้อภัยผมอีกแล้ว แต่ผมก็ยังเขียนทุกอย่าง เฝ้าเขียนแต่คำว่าขอโทษ ขอโทษและขอโทษ อธิบายทุกสิ่ง ทุกอย่าง และทุกความรู้สึก ส่งไปยังอีเมล์ที่ตัวเองเพิ่งเปิด

มันเป็นaddressง่ายๆ รวมทั้งพาสเวิร์ดง่ายๆที่พี่เหยาไม่จำเป็น ต้องเก็บกระดาษที่ผมจดให้ไป ก็น่าจะจำได้ เพียงมองผ่านตาแค่หนเดียว...ผมเฝ้าบอกตัวเองอย่างนั้น... เฝ้าเขียนคำขอโทษไปเป็นหมื่นๆหน ด้วยหวังว่าพี่เหยาจะเปิดอ่าน แต่เมื่อผมเปิดเข้าไปดู...จดหมายที่ผมเฝ้าเขียน และเพียรส่ง มันไม่เคยถูกเปิดอ่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว...

ผมบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ไอ้วิทย์ หรืออย่างน้อยก็พี่เก้า หรือ พี่นัท ต้องมีเบอร์โทรศัพท์ หรืออะไรสักอย่างที่จะติดต่อพี่เหยาได้ แต่ผมคิดผิด...ไม่มีใครสักคนที่มี...ไม่ใช่แค่ผม ที่พี่เหยาหันหลังทิ้งไว้ให้เป็นอดีต พี่เหยาปล่อยวางทุกอย่าง ราวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ ราวกับความทรงจำทุกอย่างในช่วงเวลาที่อยู่ที่เชียงใหม่นี่ เป็นความเจ็บปวด ที่ควรปล่อยวางลงทันทีที่มีโอกาส

“ช่างหัวมัน!”พี่เก้ามักพูดอย่างเดือดดาล เมื่อผมถามถึงพี่เหยา

“มันยุ่งๆมั๊ง”พี่นัทแก้ตัวแทนพี่เหยา

“บ้านมันอยู่กรุงเทพนะ ไม่ต้องเดินข้ามดอยทีละสองลูกเพื่อยกหูโทรศัพท์ โทรหามึง!”พี่เก้าว่า

“ก็มันรู้มั๊งว่า กูต้องวิ่งข้ามดอยทีละสองลูกมารับโทรศัพท์มัน มันเลยเกรงใจไม่กล้าโทร”พี่นัทพูดไปหัวเราะไป ไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังสักเท่าไหร่

“เออ ก็ช่างหัวมัน!”แต่พี่เก้าไม่ขำด้วย

เมื่อทุกครั้งที่ถามถึงข่าวคราวพี่เหยาจากพี่นัทและพี่เก้า มักจบลงด้วยคำว่า...ช่างหัวมัน...ของพี่เก้า ผมจึงเลิกถาม

ผมบอกตัวเองว่าท้ายที่สุดแล้ว ผมอาจขอร้องพ่อและแม่ ให้ขอที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ของพี่เหยา จากทอมก็ได้ หากเป็นพ่อและแม่เอ่ยปากขอ ทอมหรือจะกล้าปฎิเสธ แต่แล้วทอมก็ปิดประตูความหวังของผม ด้วยการขายบ้าน และย้ายออกไปแบบที่เรียกว่าแทบจะ กะทันหัน... ผมรับรู้ข่าวนี้พร้อมๆกับพบหน้าเจ้าของบ้านคนใหม่ เมื่อกลับมาบ้านในวันหนึ่ง กับคำบอกกล่าวสั้นๆของพ่อ

“เห็นว่าไปซื้อคอนโด...อยู่คนเดียวขี้เกียจดูแล”

พ่อบอก และคล้ายจะจริงอย่างพ่อว่า เพราะตั้งแต่พี่เหยากลับไป ต้นไม้บนระเบียงที่พี่เหยามักเอาหน้าบอกบุญไม่รับของตัวเองออกมารดน้ำทุกๆวัน ก็ค่อยๆแห้งตายไปทีละต้น เหมือนความหวังของผมไม่ผิดเพี้ยน

ทางเลือกสุดท้ายของผมคือ หันไปฝากความหวังทั้งหมดไว้กับน้องชายพี่เหยา ที่พี่เหยาเคยบอกไว้...จะมาเรียนเชียงใหม่ปีหน้า...

ทันทีที่ผลสอบประกาศ ผมไล่รายชื่อ ดูนามสกุล...และเจอ...น้องชายพี่เหยา สอบเข้าเรียนที่เชียงใหม่ในคณะที่คะแนนสอบสูงลิบลิ่วได้จริงๆ...

ผมนึกสงสัย น้องชายพี่เหยาจะอยู่คนเดียว หรืออยู่กับทอม แล้วเหตุการณ์เลวร้ายจะเกิดขึ้นซ้ำอีกหรือเปล่า...

พี่เหยาคงไม่ยอม ผมบอกตัวเองอย่างนั้น...และหากคิดอย่างยุติธรรม บางทีอาจเป็นทอมเองที่ ไม่อยากให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นซ้ำสอง...ทอมจึงขายบ้าน...มันอาจเป็นข้ออ้างของการเลือกอยู่ตามลำพัง เพราะทอมอาจไม่เชื่อใจตัวเอง ทอมอาจเข็ดขยาดอย่างที่ผมเข็ด ด้วยผ่านบทเรียนแห่งการเริ่มต้น ที่มิอาจยุติมันลงได้

เปิดเทอมใหม่ พร้อมๆกับที่พี่เก้ากับพี่นัทเก็บกระเป๋าเดินทางไปเรียนต่ออย่างที่ตั้งใจ คนที่เศร้าที่สุดเห็นจะเป็นพี่เก่ง

“พวกมึงไปกันทั้งคู่ กูเลยไม่เหลือเพื่อนเลย!”พี่เก่งบ่น ในวันที่นัดกันกินข้าวก่อนวันเดินทางของพี่นัทและพี่เก้า

“ก็ไอ้เหยาไง!”พี่นัทแนะ

“ใครวะ?... ชื่อคุ้นๆ”พี่เก่งว่า เพราะไม่เพียงแค่พี่เก้า กับพี่นัท แต่รวมถึงพี่เก่งด้วย ที่พี่เหยาขาดการติดต่อไป

“เฮ้ย...เดี๋ยวมันก็ติดต่อมาเองแหละ”พี่นัทยังคงแก้ตัวแทนพี่เหยาเสมอ

“เออ...ช่างหัวมัน!”และพี่เก้าก็ยังคงตัดบทด้วยประโยคเดิมๆเช่นกัน

ส่วนผม หลังจากเปิดเทอม ผมก็เฝ้าเพียรขี่มอเตอร์ไซด์วนเวียน มองหาน้องชายพี่เหยาที่สาขาวิชาที่น้องชายของพี่เหยาเรียน...

ผมเฝ้ามองหาคนที่ไม่เคยเห็นหน้า...และทุกครั้งที่รู้ตัว ผมกลับเฝ้ามองหาพี่เหยา...

ผมเฝ้าแต่มองหา แต่ก็ไม่มีความกล้าพอจะเดินเข้าไปถามหา...

ผมกลัว เพราะอะไรบางอย่างทำให้ผมมั่นใจว่า น้องชายพี่เหยาคงไม่รู้จักผม...

ผมกลัวหากต้องรับรู้เช่นนั้น เพราะมันคล้ายจะยิ่งย้ำชัดว่า ผมเป็นอดีตที่พี่เหยาพร้อมปล่อยวาง...เป็นสิ่งที่พี่เหยาเตรียมวางลงตั้งแต่ครั้งที่ผมยังเป็นปัจจุบัน

ดังนั้นผมจึงไม่เคยมีความกล้าพอที่จะเข้าไปถามหาน้องชายพี่เหยาแม้สักครั้ง

“น้ำมันถูกหรือไงวะ ไอ้ชัยมันว่า เดี๋ยวนี้มึงก็ยังขี่รถจงกรมรอบมหาลัย”ไอ้วิทย์ถาม เพราะการขี่มอเตอร์ไซด์วนไปวนมาดูจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมที่ทำอย่างสม่ำและเสมอมานานเป็นปีแล้ว

“ถามจริง...มึงเล็งใครอยู่หรือเปล่าวะ?”มันถามอย่างสงสัยจริงๆ แต่ผมก็ไม่เคยบอกเหตุผลมัน เพราะรู้ว่า เรื่องพี่เหยาเป็นปัญหาที่มันเคยบอกให้ผมวางลง

“เออ!... แค่นี้บอกไม่ได้ จำไว้นะมึง น้ำตาเช็ดหัวเข่า แล้วอย่ามาขอให้กูซับน้ำตา...แล้วนี่อะไรวะ?...ลายมือมึงนี่หว่า” มันพูดก่อนโยนกระดาษแผ่นเล็กที่หล่นออกมาจากหนังสือเรียนมันให้ผม

“ของกูแล้วจะไปอยู่ในหนังสือมึงได้ไง?”ผมพูด แต่ไม่ทันได้หยิบดู ไอ้ชัยก็คว้าขึ้นไปดูเสียก่อน

“เออ ลายมือไก่เขี่ยยังงี้ของมึงนั่นแหละ!”ไอ้ชัยยืนยันก่อนส่งต่อให้ผม

ผมรับกระดาษแผ่นนั้นมาดู พร้อมๆกับชำเลืองมองดูหนังสือเรียนของไอ้วิทย์

ผมจำกระดาษแผ่นนั้นได้ในทันที พร้อมๆกับที่บอกตัวเองได้ว่าหนังสือเรียนของไอ้วิทย์นั้นมักรับต่อช่วงจากของพี่เหยา

กระดาษแผ่นบางๆ ที่เขียนตารางเวลาอย่างง่ายๆ แต่ตัวอักษรตัวแรกที่สะดุดตากลับไม่ใช่ชื่อพี่เหยา อย่างเช่นตารางเวลาทุกๆแผ่นของผม ที่บรรจงเขียนชื่อพี่เหยาลงไป

...ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้...ลายมือที่ไม่ใช่ลายมือผม แต่คุ้นเคยจนไม่ต้องเสียเวลาแม้แต่วินาทีคิดว่า ลายมือใคร

...ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้...ลายมือพี่เหยาที่ค่อยๆบรรจงเขียนและกดเน้นหนักกว่าปกติ

อีกครั้งที่ผมมองดูปกหนังสือของไอ้วิทย์...มันไม่ใช่วิชาที่พี่เหยาเรียนในเทอมที่แล้ว เทอมที่ผมเริ่มทำตารางเวลาที่ชื่อว่าพี่เหยา

อีกครั้งที่ผมก้มอ่านตัวหนังสือเพียงไม่กี่ตัวนั้น สลับกับดูปกหนังสือเรียนของไอ้วิทย์... ไม่ใช่เพื่อความแน่ใจ หากแต่เพราะทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้

... เอกมาแค่สองวันเท่านั้น... จะมาพูดรวมอะไรทั้งอาทิตย์!...พี่เหยาพูดกับผมอย่างนั้น ในวันหนึ่ง เมื่อเรายังเป็นปัจจุบันของกันและกัน

... พี่โกรธอะไร?...ผมจำได้ ผมถามพี่เหยาอย่างนั้น ในวันหนึ่ง ที่เรานั่งคุยกันที่โต๊ะ...ไอ้ชัยต่อปากต่อคำอยู่กับพี่เก้า...และพี่เหยาหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆแผ่นหนึ่งขึ้นมาอ่าน...

...โกรธพี่เก้าแล้วมาพาลผม!...วันนั้นผมพูดกับพี่เหยาอย่างนั้น และพี่เหยาเพียงถอนหายใจ

...ใครจะไปรู้...เพื่อนพี่ พี่ไม่รู้ แล้วผมจะรู้เหรอ!...และผมตอบพี่เก้าไปแบบนั้น เมื่อพี่เก้าถามว่าพี่เหยาเป็นอะไร...

แต่วันนี้ผมรู้แล้ว...กระดาษแผ่นเล็กๆที่พี่เหยาอ่านคือกระดาษอะไร และผมรู้แล้ว พี่เหยาโกรธอะไร...

ผมจำได้เย็นวันนั้น...เย็นวันที่พี่เหยาเพียงยืนก้มหน้านิ่ง มองดูปลาทองตัวเล็กๆ ที่ดีดตัว ดิ้นรนหนีความตายบนพื้นปูนเย็นเยียบ...

กระดาษแผ่นเล็กๆเพียงแผ่นเดียว ที่ผมทำขึ้นเผื่อหนีจากความเจ็บปวดของตัวเอง...มันทำร้ายพี่เหยาได้มากมาย ยิ่งกว่าที่ผมจะเคยคิด

...ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้...พี่เหยาคงตั้งใจบอกผม จึงเลือกสอดมันไว้ในหนังสือที่รู้ว่าไอ้วิทย์จะใช้ในภาคเรียนต่อมานี้

...ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้...ประโยคสั้นๆ แต่ผมทำความเข้าใจอยู่กับมันอย่างยาวนาน

“พี่เขาเอาหนังสือเล่มนี้ให้มึงเมื่อไหร่?”ผมถามไอ้วิทย์ ตายังจ้องกระดาษแผ่นเล็กในมือ

“ปีที่แล้ว...”มันตอบ ผมรู้มันคงไม่ตั้งใจกวน

“ช่วงไหน?”ผมถาม

“ทำไมวะ?”

“ก็แค่อยากรู้...ก่อนวันพี่เหยากลับ หรือก่อนหน้านั้น?”

“ก่อนหน้านั้นสิ...”มันตอบคำตอบที่ผมคิดรู้อยู่แล้ว เพราะผมรู้วันก่อนพี่เหยากลับ...พี่เหยาไม่ได้เจอไอ้วิทย์...วันก่อนพี่เหยากลับ มีแค่พี่เหยา...ผม...ทอม...ฝรั่งคนหนึ่ง กับใครอีกคนที่ผมคิดว่าเพราะมัน...ความจริงจึงถูกบิดเบือน เพราะมัน...พี่เหยาถึงทิ้งผมไป...แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าไม่ใช่เพียงแค่นั้น

กระดาษแผ่นนี้มันบอกว่าไม่ใช่...พี่เหยาตั้งใจทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง รวมทั้งผม...ตั้งแต่ก่อนวันนั้น... ตั้งแต่ที่พี่เหยาสอดกระดาษแผ่นนี้ไว้ในหนังสือ และส่งมันให้ไอ้วิทย์ เพื่อส่งต่อถึงมือผมในวันนี้...

แม้วันสุดท้ายนั้น ทอมจะไม่ยื่นมือเข้ามาทำลายความสัมพันธ์ของผมกับพี่เหยา พี่เหยาก็ตั้งใจทิ้งผมไว้เป็นอดีตตั้งแต่แรก...กระดาษแผ่นนี้มันบอกผมเช่นนั้น

...ถ้าอย่างนั้นก่อนกลับ ทำไมพี่เหยายังยิ้ม ยังพยายามเข้ามาคุยกับผม?...อีกครั้งที่อีกใจผมคิดค้าน ผมจำได้ พี่เหยายิ้มอย่างยินดี พยายามหาโอกาสเข้ามาคุยกับผม และตัวผมเองที่ปัดโอกาสเหล่านั้นทิ้งไป เพราะไม่อาจทนเห็นสีหน้ายินดีนั้นได้ ไม่อาจยอมรับได้ว่าตัวเองกำลังจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

...หรือระหว่างนั้น ที่พี่เหยาเพิ่งตัดสินใจ...ผมคิดอย่างสับสน

...ไม่ใช่!...ผมบอกตัวเองอีกครั้ง พี่เหยายังยิ้ม แม้ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ทอมจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาผม เพื่อทำลายทุกอย่าง...พี่เหยายังยิ้ม ผมยังจำรอยแย้มยิ้มยินดีในตอนเช้า ที่พี่เหยาเข้ามาหาผมที่ร้านได้

‘พรุ่งนี้พี่จะกลับแล้ว เอกคุยกับพี่แป๊บนึงสิ...’พี่เหยาพูดกับผม ปากแดงๆของพี่เหยายังยิ้ม

‘ผมไม่ว่าง กำลังรีบ!’ผมบอกพี่เหยาไปอย่างนั้น ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรจะต้องทำ และไม่ยอมแม้เงยหน้ามองดูพี่เหยา

‘งั๊นเย็นๆพี่มาหาใหม่นะ เอกว่างหรือเปล่า?’พี่เหยาถาม

‘ไม่รู้สิ...’และผมตอบ โดยไม่รู้เลยว่านั้นคือครั้งสุดท้ายที่มีโอกาสพูดกับพี่เหยา...ผมตอบโดยไม่รู้เลยว่าอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง คนที่เดินเข้ามาคือทอม...ผมตอบเพราะตอนนั้นคิดว่ารอยยิ้มยินดีของพี่เหยามันทำให้ผมเจ็บปวด ผมตอบโดยไม่รู้ว่า...น้ำตาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า...คำว่าเจ็บปวด มันน้อยนิดเสียเหลือเกิน

ทุกอย่างดูไร้คำตอบ และสับสน...หากแต่สิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจและนึกบอกตัวเองได้คือ...โอกาสที่พี่เหยาหยิบยื่น...ผมเองที่ปัดมันทิ้งไป...อาจจะครั้งแล้วและครั้งเล่า โดยที่ผมไม่รู้ตัว

“ทำไมมึงไม่ปล่อยให้จบๆไป!”อยู่ๆไอ้วิทย์ก็พูดขึ้นมา

“อะไร?”ผมถาม ตายังจับจ้องอยู่ที่กระดาษแผ่นเดิม ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามันพูดเรื่องอะไร หากแต่ไม่อยากจะยอมรับ

“ไม่รู้...กูละเมอมั๊ง!”มันตอบก่อนคว้าหนังสือบนโต๊ะ แล้วลุกไป

“ไปไหนวะ?”ไอ้ชัยถามเพราะยังไม่ถึงเวลาเรียนของไอ้วิทย์

“ไปหานกเอี้ยง!”ไอ้วิทย์ตอบ

“นกเอี้ยง?”

“เออ หามาเลี้ยงควาย!”ไอ้วิทย์พูด แล้วก็เดินไป ปล่อยให้ไอ้ชัยนั่งหน้าเมื่อยอยู่กับผมที่โต๊ะ

“ปากหมาอีกแล้วมัน!... แต่มันไม่ได้คิดอะไรหรอก... มึงก็รู้...”ไอ้ชัยหันมาพูดกับผม

“กูรู้!...แต่...แต่กูไม่รู้จะทำยังไง...”ผมพูดกับมัน...บอกความจริงกับมันคือผมไม่รู้...ไม่รู้ที่ผ่านมาตัวเองทำอะไร...และกำลังจะทำอะไร เพื่ออะไร และยังหวังอะไรอยู่หรือเปล่า...

บ่อยครั้งที่ผมเคยถามตัวเองว่าทำไปเพื่ออะไร ...

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าความรู้สึกที่มีต่อพี่เหยาเรียกว่าอะไร...ความรัก ความหลง หรือแค่ความใคร่...หรือเป็นเพียงความรู้สึกผิด

ผมไม่รู้ว่าตัวเองคาดหวังอะไร...แค่ได้เอ่ยปากขอโทษ...ได้รับการยกโทษ หรือหวังอะไรที่มากกว่านั้น...



--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
บ่อยครั้งที่เผลอตัวพลิกเปิดหนังสือว่าด้วยหลากหลายทฤษฎีความรักอ่าน และพบว่าทุกคำจำกัดความของความรักล้วนงดงาม...และยิ่งใหญ่

...ความรัก คือ การเสียสละ...

...ความรัก คือ การให้...

...ความรัก คือ ความสุขเมื่อเห็นคนที่รักเป็นสุข ...

ผมอ่าน และ พบว่าตัวเองเป็น และทำเฉกเช่นหลักการความรักที่ว่าไว้ คือเป็น และทำ สิ่งตรงกันข้ามถ้วนทุกข้อ...แล้วความรู้สึกของผมจะใช่ความรักได้อย่างไร

...ผมเห็นแก่ตัว...

...ผมเรียกร้อง เพียงสิ่งที่ตัวเองหวังและต้องการ...

...รอยยิ้มยินดีของพี่เหยา กลับทำให้ผมเป็นทุกข์ และเมินเฉยรอยยิ้มยินดีนั้น...

อาจเป็นอย่างที่ไอ้วิทย์ว่า มันเป็นการเรียกร้อง อยากครอบครองสิ่งที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้มาเท่านั้น...

ผมบอกตัวเองว่า วันหนึ่ง ความรู้สึกเหล่านี้ก็จะค่อยเบาบางลง และ หายไป...

วันหนึ่งพี่เหยาอาจจะกลายเป็นแค่คนๆหนึ่ง ที่จดจำได้ แต่ไม่มีความหมายใดๆในความรู้สึก...มองเห็นก็ยินดี หากต้องปล่อยมือจาก ก็ไม่อาลัย

ผมเฝ้ารอวันนั้น...และพบว่า ความรู้สึกคิดถึง ไม่เคยลดน้อยไปแม้สักนิด...

วินาทีนี้...และวินาทีถัดไป ความคิดถึงมันเท่าเดิม...

นาทีนี้...และนาทีที่ผ่านมา ความรู้สึกมันไม่แปรเปลี่ยน...

ชั่วโมงนี้...และชั่วโมงต่อมา ผมยังทนทรมานอยู่กับความคิดถึง

วันนี้ และทุกๆวัน...ไม่มีสักวันที่ผมเลิกคิดถึง...

จนวันนี้ที่พี่เหยาจากผมไปเกือบปี ความรู้สึกมันไม่ได้แตกต่างไปจากวินาทีแรกที่รู้ว่าพี่เหยาจากไป...ไม่แตกต่างกันแม้สักนิด...คิดถึงและสิ้นหวัง...

มันไม่สำคัญอีกแล้ว ว่าคือความรัก หรือแค่ความใคร่...อยากครอบครอง หรือเพียงแค่จะเอาชนะ

เพราะ ขณะนี้ และทุกขณะที่หายใจ...ผมรู้แล้ว ว่าไม่มีวันที่จะลืมได้...

เพราะ ขณะนี้ และทุกขณะที่หายใจ...ผมยังคงทรมานอยู่กับความคิดถึง

เมื่อคำตอบจากจดหมายที่เฝ้าเพียรเขียนและส่งไปคือความเงียบว่างเปล่ากับกระดาษหนึ่งใบ ผมจึงต้องยอมรับกับไอ้ชัยว่า...แต่กูไม่รู้จะทำยังไง...

ผมยังเฝ้าเพียรส่งจดหมายไป แม้จะรู้ว่ามันไม่เคยถูกเปิดอ่าน หากแต่ก็หลอกตัวเองให้ตั้งความหวังว่าสักวันพี่เหยาจะยอมอ่านมัน...

ผมยังคงวนเวียนขี่มอเตอร์ไซด์ วนไปเวียนมารอบๆคณะที่น้องชายพี่เหยาเรียน แม้ไม่เคยมีโอกาสรู้จักหน้าคาดตาคนที่มองหา หรือแม้รู้ว่าตัวเองไม่มีวันมีความกล้าที่จะยื่นหน้าเข้าไปเพื่อรอรับฟังคำปฏิเสธ หากแต่ก็ยังเฝ้าหลอกตัวเองให้ตั้งความหวังว่า สักวัน คงได้เจอพี่เหยา...ยืนมองผมและยิ้มให้...

ผมยังเฝ้าเพียรเขียนจดหมาย...เขียนคำว่า ขอโทษ และขอโทษ...

ผมยังเฝ้าเพียรเขียนจดหมาย...หากแต่ไม่มีสักครั้งที่ผมจะกล้าเขียนคำว่ารัก...ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยนึกถึงมัน หากแต่ทุกครั้งที่อยากเขียน ใจผมนึกกังขา...ความรู้สึกผมมันดีพอ สำหรับคำๆนั้นหรือเปล่า...

ผมจึงเฝ้าเขียนทุกอย่าง...ยกเว้นก็เพียงคำว่า...รัก

เมื่อจบภาคเรียนปีที่สาม ในขณะที่เพื่อนบางคนหวาดหวั่นกลัวได้ไปฝึกงานไกลบ้าน ผมกลับตั้งความหวัง ว่าจะได้ไปฝึกงานที่กรุงเทพ

เมื่อผลออกมา และผมผิดหวัง...เพื่อนๆว่าผมโชคดี แต่ผมกลับคิดว่าตัวเองโชคร้าย สถานที่ฝึกงานผมอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกมด ผมจึงไม่รอช้า ขออาจารย์แลกเปลี่ยนสถานที่ฝึกงานกับเพื่อนที่ได้ไปฝึกงานที่กรุงเทพ

แม้จะรู้ว่า ถึงอาจารย์อนุญาต ความหวังที่จะได้เจอพี่เหยา ก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่ผมก็ไม่ลังเลที่จะร้องขอ

“เมื่อก่อนคนข้างบ้านผมเขาเป็นฝรั่ง เขามีบริษัทส่งออกอยู่ที่กรุงเทพ...เขาเคยชวนผม ว่าถ้ามีโอกาสก็ไปดู...ไปเรียนรู้งานที่บริษัทเขา...ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสเดียวที่ผมจะได้ไป ถึงจะมีเวลาว่างจากฝึกงานแค่เสาร์ อาทิตย์ ก็ยังดี”ผมให้เหตุผลอาจารย์โดยแอบอ้างถึงทอม และรีบให้เหตุผลเพิ่มเติม เมื่ออาจารย์ขยับปากจะคัดค้าน

“อาจารย์ว่ามันไม่น่าสนใจเหรอครับ? เขาเป็นฝรั่งแท้ๆ แต่ทำธุรกิจ ทำกำไรได้จากสิ่งที่อยู่แค่บนปลายจมูกเรา ผมอยากรู้เขาทำยังไง ถ้าอาจารย์ไม่ให้ผมไป ผมอาจต้องรอจนเรียนจบ หรือไม่มีโอกาสอีก...ให้ฝรั่ง ให้คนต่างถิ่นมาฉกฉวยโอกาส จากสิ่งที่เป็นของเรา”ผมยืมสิ่งที่ไม่เคยคิด แต่ได้ยินไอ้วิทย์พูดจนชินหู จนจำได้ มาพูดได้คล่องปาก จนอาจารย์คล้อยตามและอนุญาตในที่สุด

“มึงทำแบบนี้ทำไมวะ ทำไมไม่ปล่อยให้จบๆไป...”ไอ้วิทย์ถามอีกครั้ง เมื่อรู้ถึงสิ่งที่ผมเลือกทำ

“มึงไปแล้วได้อะไร...มึงคิดว่ามันจะเหมือนนิยายสิ้นคิด ที่มึงจะเดินชนพี่เขาตรงสี่แยกไฟแดงหรือไง?”มันถามอีก แต่ผมก็ไม่มีคำตอบให้มันนอกจากความเงียบ

ผมไม่คิดว่าจะเดินชนพี่เหยาที่สี่แยกไฟแดง หรือที่ไหนๆ ผมไม่คิดว่าจะมีโอกาสเจอพี่เขาเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อสิ่งที่ใจผมเชื่อว่าเป็นโอกาสมาถึงมือ แม้จะน้อยนิดจนคิดว่าเปล่าประโยชน์ที่จะคิดหวัง ผมก็เอื้อมคว้ามันไว้โดยไม่เสียเวลาคิดแม้สักนิด

“ก่อนที่มึงจะทำอะไรสักอย่าง...ทำไมไม่หัดถามตัวเองว่า ทำไปทำไม แล้วก็เพื่ออะไร?”ไอ้วิทย์พูด และผมคิด หากสุดท้ายก็ยังไม่อาจบอกตัวเองได้ ว่าผมหวังอะไร...

“กูถามจริงๆ...มึงไปเพื่ออะไร?”ไอ้วิทย์มันถามอีกครั้ง เป็นการบ่งบอกว่ามันต้องการคุย และต้องการคำตอบจากผมจริงๆ

ไม่บ่อยนัก หรืออาจจะเรียกว่าไม่เคยเลยสักครั้ง ที่ผมจะมานั่งพล่ามพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดและรู้สึกกับใครสักคนหนึ่ง แม้กับพวกไอ้วิทย์ก็ตาม

นั่นเป็นครั้งแรก ที่ผมเปิดปากพูด และอาจเพราะความสิ้นหวังที่บีบบีบบังคับให้ผมพูดออกมา คล้ายเพื่อหาอะไรสักอย่างมาค้ำจุนความหวังในใจของตัวเอง...ผมจึงพูด...จึงอาจเป็นครั้งแรก ที่ผมมีโอกาสจับต้นและชนปลายในสิ่งที่เกิดขึ้น มีโอกาสทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและอาจจะแค่เกิดขึ้นในห้วงความคิดที่ถูกทำให้บิดเบี้ยวเพราะความกลัว...

“กูอยากเจอ”

“ไม่เจอแล้วจะตายม่ะ?”

อีกครั้งที่ผมเงียบ...ใช่แล้ว ผมคงไม่ล้มลงไปตาย ถ้าไม่ได้เจอ...

“ไม่!...แต่...กูไม่ชอบความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้ มึงอย่าบอกว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป อย่าบอกว่ามันเป็นปัญหาที่ต้องวาง อย่าบอกว่ามันเป็นปัญหาที่อย่ากำไว้ให้หนักหัว......กูไม่รู้จะพูดยังไง...แต่มัน...แต่ถ้าให้กูเลือก...”

“อย่าพูดเน่าๆนะว่ามึงเลือกตาย กูไม่เชื่อ!”ไอ้วิทย์ขัด

“เปล่า...กูบอกว่ากูไม่ชอบความรู้สึกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้...แต่กูอยากรู้สึกแย่อยู่อย่างนี้ มากกว่าที่กลายเป็นว่ากูไม่รู้สึกอะไร...”

“พูดห่าอะไรวะ ไม่รู้เรื่อง!”

ใช่...ผมไม่เคยคิด แต่เมื่อพยายามอธิบายให้มันฟัง ผมจึงเริ่มคิด...

การคิดถึงมันทำให้ผมเจ็บปวด...

หากแต่ผมกลัว...ว่าวันหนึ่งผมจะเลิกคิดถึง...

ทั้งที่การเลิกคิดถึงอาจทำให้ผมมีความสุข...

หากแต่ถ้าเลือกได้ณ.เวลานี้ แม้เจ็บปวด แต่ผมไม่อยากลืมพี่เหยา...แม้ต้องเจ็บปวด หากแต่ผมจะยอมรับความเจ็บปวดนั้นไว้... แม้จะเจ็บปวดไปตลอดชีวิต ผมก็ยอม เพียงขอให้พี่เหยาเป็นส่วนหนึ่งในหัวใจผมตลอดไป...อย่าให้หัวใจผมชินชา กับการอยู่โดยไม่มี่พี่เหยา อย่าให้ใจผมปราศจากความเจ็บปวด ในเวลาที่คิดถึงพี่เหยา...

“กูบอกมึงว่า...กูรักเขา”ผมบอกมันในที่สุด...

เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าพูดคำๆนี้ออกมา...

แม้คำว่ารักของคนอื่นจะสูงส่ง...เต็มไปด้วยความดีงามแค่ไหน...และดูห่างไกลเหลือเกินจากตัวตนของผม

หากแต่เมื่อคำว่ารักคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับหัวใจหรือความรู้สึกของคนๆหนึ่งที่พึงจะมีและเป็นได้...ผมจึงกล้าพูด...ผมรักพี่เหยา...นั่นคือสิ่งสูงสุดเท่าที่หัวใจผมพึงจะมีได้ แม้อาจห่างไกลจากความดีงามของคำว่ารักของคนอื่นๆ...แต่ผมก็อยากให้ความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อพี่เหยาคือ...ความรัก...

“กูรู้กูเห็นแก่ตัว...กู...”

“ใครบอกว่ามึงเห็นแก่ตัว?”ไอ้วิทย์ มันขัด

“กูรู้สิ!...กูเห็นแก่ตัว... กูเลว...กูนึกถึงแต่ตัวเอง...”ผมพูดกับมัน แล้วก็ร้องไห้ออกมา...ผมร้องไห้ นึกถึงสิ่งที่ตัวเองกระทำ นึกถึงพี่เหยา นึกถึงวันที่ไอ้วิทย์ร้องไห้ วันที่รู้ว่าพี่โอ๋ตาย...นึกถึงวันนั้น วันที่ผมไม่เคยพูดกับมันสักคำว่าขอโทษ...

“ถ้ามึงเห็นแก่ตัว กูเลิกคบมึงไปนานแล้ว...ถ้ามึงเลว...ถ้ามึงนึกถึงแต่ตัวเอง พวกกูไม่คบมึงมาจนถึงทุกวันนี้หรอก!”มันพูด

“แต่กูเลวกับพี่เขา!”

“ถ้าจริงอย่างที่มึงพูด...พี่เขาคงไม่ยกโทษให้มึงหรอก...แต่เขาก็ยกโทษให้มึงไม่ใช่หรือไง?”

“แต่เขาไม่ยกโทษให้กูอีกแล้ว...”

“เกิดอะไรขึ้น? วันสุดท้ายที่กูเจอเขา กูไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง เขาก็ยังเฉยๆ”มันถาม และผมทำเพียงแต่ส่ายหัว...ผมพูดไม่ได้...ผมรู้พี่เหยาต้องไม่อยากให้ผมพูด...และถ้าผมพูด ผมคงไม่อาจห้ามตัวเองได้อีก...ผมคงพูดออกไปทุกๆอย่าง...ทุกอย่างที่พี่เหยาไม่อยากให้ใครเห็น ไม่อยากให้ใครรู้...ทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่วันนั้น วันที่โลกของผมกับพี่เหยาโดนทำลายไปพร้อมๆกับแสงโคมบนท้องฟ้า...วันที่พี่เหยาร้องไห้และพร่ำพูด...อย่ามอง...

“เกิดอะไรขึ้น...ทำไมมึงไม่บอกกู?...วันนั้นด้วย วันที่มึงไปหากูที่บ้าน...ลอยกระทงเมื่อปีที่แล้ว!”มันถามย้ำ และมันย้ำถึงวันนั้น...วันที่ผมรู้ ผมจะต้องเก็บมันไว้เป็นความลับจนวันตาย ไม่ใช่เพราะความอับอายในความขี้ขลาดของตัวเอง...หากแต่เพราะผมจำเสียงความสิ้นหวังของพี่เหยาได้...พี่เหยาไม่อยากให้ใครรู้...พี่เหยาไม่อยากให้ใครเห็น....ผมรู้

“ไม่มีอะไร!”ผมบอกมัน ทั้งที่น้ำตาไหลอาบหน้า ความทรงจำทั้งหมด มันย้อนกลับมาเล่นงานความรู้สึกของผมได้อย่างสมบูรณ์เหลือเกิน

“บอกกูสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น...กูไม่ได้ถามเพราะอยากรู้...แต่กูอยากช่วย...มึงปิดปากเงียบ แล้วใครจะช่วยห่าอะไรมึงได้!”มันยังเค้นคอถาม

“กูบอกไม่ได้ พี่เขาต้องไม่อยากให้กูพูด!”

“เขาไม่อยู่แล้วเอก เหลือแต่มึงที่นั่งร้องไห้ เหลือแต่มึงที่จะเป็นจะตายอยู่หน้ากูทุกวันๆนี่!”มันพูด

“กูพูดไม่ได้จริงๆ!”

“แปลว่าแม่งโครตเลว..โครตระยำ!?”มันถามและผมพยักหน้ารับ มันก็ไม่พูดอะไรอีก

“ถ้ามันเลวร้ายขนาดนั้น...พี่เขาไม่กลับมาหรอก มึงอย่าหวังให้เสียเวลาเลย!”มันถอนหายใจ และพูดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะไม่เคยพูดถึงอีก

“กูรู้...”และผมบอกมัน

แม้จะบอกมันว่าผมรู้...แม้จะยอมรับว่าไม่มีหวัง แต่ผมก็พยายามส่งข่าวบอกพี่เหยาว่าผมจะไปฝึกงานที่กรุงเทพ แต่ก็เหมือนเดิม จดหมายที่ส่งไป ไม่เคยถูกเปิดอ่าน

ผมถามพ่อและแม่ว่าเรามีญาติสักคนอยู่ที่กรุงเทพบ้างหรือเปล่า

“แค่เอกถามแม่ว่า เรามีญาติที่ไหนอีกไหม...ไม่ต้องกรุงเทพหรอก...แม่ยังนึกไม่ออกเลย”แม่ตอบด้วยคำตอบที่ผมก็รู้อยู่แก่ใจ

ยิ่งใกล้วันไปฝึกงานผมก็ยิ่งเคว้ง เพราะตั้งแต่เล็กจนโต...ต่างจังหวัดที่ผมกล้าพูดได้ว่าเคยไปก็มีแค่ลำพูนกับเชียงรายเท่านั้น และทั้งสองที่ ผมไม่เคยไปคนเดียว อย่างน้อยก็ต้องมี ไอ้วิทย์ ไอ้ชัยหรือไอ้รงค์พ่วงไปด้วยทุกครั้ง

หากแต่ให้กลัวหรือสิ้นหวังยังไง...ผมก็ก้าวเท้าเข้าสู่ความกลัว ความสิ้นหวังนั้น...แม้ไม่ใช่เพราะความกล้าหาญ หากแต่ก็แค่เพราะ...อยากเจอพี่เหยาเหลือเกิน...

สุดท้ายผมก็ต้องก้าวเท้าสู่ทางที่ตัวเองเลือก เพื่อเดินลงจากรถไฟ มองซ้ายขวาอย่างคนไม่รู้จะไปทางไหน ในใจนึกภาวนา อยากให้พี่เหยามาปรากฏตัวที่ตรงหน้า แต่ก็เปล่าประโยชน์...

ผมเปิดกระดาษแผ่นเล็กๆในมือขึ้นดูอีกครั้ง อ่านที่อยู่ อันเป็นปลายทางที่ผมต้องไป เป็นปลายทางที่เคยได้ยินชื่อ แต่ก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันมากไปกว่าชื่อที่เคยได้ยิน



--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ผมนึกถึงพวกไอ้วิทย์ ถ้าพวกมันมากับผมด้วยได้ก็คงจะดี...

“ไม่ต้องห่วง มีเงิน กับมีตีนมึงก็ไปได้ทุกที่แหละ!”ไอ้วิทย์พูดคล้ายจะปลอบใจ เมื่อเย็นวานที่มายืนส่งผมขึ้นรถไฟ

“แปลว่ากอดกระเป๋าตังค์มึงไว้...มีแต่ตีนไม่มีเงิน ก็ไปไหนไม่รอด!”ไอ้ชัยช่วยปลอบ

“เฮ้ย...โลกมันกลม มึงเดินมาตรงๆเดี๋ยวก็ถึงเชียงใหม่!”ไอ้รงค์ว่า

“ปอดมันแหกหมดแล้วพวกมึง!...ไม่ต้องห่วง มีอะไร เงินไม่พอใช้ ก็โทรหาไอ้ชัย”ไอ้วิทย์ช่วยปลอบอีกรอบ

“เออ ในกรณีที่มึงลืมเบอร์ไอ้วิทย์นะ แล้วกูจะโทรบอกมันให้อีกที”และไอ้ชัยรับ เพื่อโยนต่ออีกหน

“เฮ้ยเอก!...ก่อนขึ้นรถไฟ เขาให้เก็บปากใส่กระเป๋าหรือไงวะ ใบ้แดกเลยมึง!”ไอ้รงค์ถามอย่างเหลืออด เมื่อผมเอาแต่เงียบ

“กูไปฝึกงานแค่เดือน...พูดห่าอะไรให้เปลืองน้ำลายวะ!”ผมตอบพวกมัน ก่อนกระโดดขึ้นรถไฟอย่างคล้ายจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทั้งๆที่ในใจนึกหวั่นๆ สุดท้ายก็มายืนคว้างอย่างไม่รู้จักใคร ที่อีกปลายทางของทางรถไฟที่ผมเคยหลอกตัวเองว่ามีความหวัง

ในที่สุดผมก็เดินตามคนอื่นๆออกไปจนเจอจุดที่พอจะหารถแท็กซี่ได้

หลังจากที่เหวี่ยงกระเป๋าเข้าไปไว้บนรถ และพาตัวเองเข้าไปนั่งอย่างคนสิ้นหวัง ผมก็มองเห็นสิ่งที่ยากจะบอกว่า จุดประกายความหวัง หรือทำให้ความหวังของผมดับลงจนสนิท...

แม้ไม่ได้เห็นหน้ามาเป็นปี...แต่พี่เหยายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดจากภาพที่ผมจดจำไว้ในใจไม่เคยลืมแม้สักนาที...พี่เหยายังเหมือนเดิมไม่ผิดไปจากวันสุดท้ายที่เจอกัน...เหมือนเดิมแม้แต่ดวงตาและสีหน้าที่หมางเมินและ เฉยชา

ในขณะที่ผมกำลังขึ้นรถ จากไปจากตรงนั้น พี่เหยาทำเพียงยืนมองผมนิ่งๆ...ไม่ทักท้วง ไม่ร้องเรียก แค่มองผมเท่านั้น....ความยินดีและความหวังมันเกิดขึ้นในชั่ววินาทีที่ได้เห็นหน้า และดับสนิทลงในเสี้ยววินาทีต่อมา...

ผมถามตัวเองว่าควรทำอย่างไร...เมินเฉยต่อความเฉยชานั้น แล้วตรงเข้าไปหา หรือยอมรับความหวังที่ดับสนิทลงและยอม จากไปอย่างเงียบๆ อย่างที่พี่เหยาคงต้องการให้เป็นไป

แต่ไม่ทันที่ผมจะตัดสินใจ...เสียงคุ้นหูก็ร้องเรียกผมจากอีกทาง ผมหันไปมองตามเสียงร้องเรียก หากแต่ก็ช้ากว่าพี่เหยา ผมจึงทันได้เห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นราวกับขัดใจของพี่เหยา...พี่เหยาอยากให้ผมจากไปอย่างเงียบๆ...ผมบอกตัวเองได้จากสีหน้าของพี่เหยา

ผมหันมองดูทอมที่วิ่งเข้ามาหาผมด้วยสายตาที่คงไม่ต่างจากพี่เหยาที่มองดูผม คือ หมางเมินและเฉยชา

ทอมวิ่งเข้ามาอย่างเหนื่อยหอบ เสื้อเชิ้ตเนื้อดีเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ทอมบอกว่าเจอพ่อผม เมื่อวานนี้ที่เชียงใหม่ และพ่อบอกทอมว่าผมจะมาถึงกรุงเทพในเช้าวันนี้ ทอมที่มาถึงกรุงเทพแต่เช้าตรู่ด้วยเครื่องบินเที่ยวเช้าสุด จึงตรงจากสนามบินเพื่อมารับผม และโชคดีเหลือเกินที่เจอ

ผมรู้ว่าทอมไม่ได้โกหก ใบหน้าแดงชื้นเหงื่อ และเสื้อเชิ้ตที่เปียกชุ่มบอกผมว่าทอมพูดความจริง และที่มากกว่าที่บอกคือ ทอมคงวิ่งตามหาผมจนเจอ...ผิดกับพี่เหยา ที่เพียงมองผมนิ่งๆ รอเวลาให้ผมจากไปอย่างเงียบๆ

ทอมบอกว่าพ่อและแม่ของพี่เหยารอที่จะพบผม...

ทอมยังบอกอีกว่าคืนนี้ให้ผมนอนค้างที่บ้านของพี่เหยา และพรุ่งนี้จะไปส่งผมที่หอพัก

ทอมคว้ากระเป๋าผมลงจากรถ จ่ายค่าเสียเวลาให้กับคนขับรถแท็กซี่ โดยไม่เปิดโอกาสให้ผมตอบรับหรือปฏิเสธ

ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลัง ผมทำเพียงเงียบฟังทอมพูด...ทำเพียงนั่งมองพี่เหยาที่ขับรถไปเงียบๆ...และทำเพียงเก็บกลืนความผิดหวังลงคอไป

มันเป็นเรื่องน่ายินดี ที่ปราศจากความรู้สึกยินดี...เป็นความหวังของคนที่ยังเฝ้าหลอกตัวเองว่ายังมีหวัง

เพราะทุกสิ่งที่ทอมพูด ผมได้ยินก็แต่ความเงียบงันของพี่เหยา

เพราะทุกท่าทีกระตือรือร้นของทอม ผมมองเห็นก็เพียงความเฉยชาของพี่เหยา

เพราะทุกเสียงหัวเราะของทอม ผมได้ยินก็แต่เสียงความชิงชังของพี่เหยา...

แม้เมื่อทอมเอ่ยปากชักชวนให้พี่เหยาร่วมบทสนทนา พี่เหยาก็นิ่งเฉยไม่ยินดียินร้าย หมางเมินโดยไม่ปิดบังสักนิด

ผมมาทำไม?...ผมถามตัวเองเมื่อแอบยกมือขึ้นป้ายปัดน้ำตาของตัวเองโดยไม่ให้ใครเห็น...

‘โตจนป่านนี้ยังร้องไห้!’ผมนึกได้ยินเสียงพี่เหยาพูด วันที่เรายังเป็นพี่น้องกัน วันสุดท้ายที่ผมร้องไห้ด้วยเรื่องไร้สาระ...ไร้สาระจนผมจำไม่ได้ว่าร้องไห้เพราะอะไร แต่ที่จำได้คือพี่เหยาพูดไปหัวเราะไป...

คนสุดท้ายที่ผมนั่งร้องไห้ด้วยอย่างไร้สาระคือพี่เหยา...คนที่ทำให้ผมเลิกร้องไห้แบบเด็กไม่รู้จักโตคือพี่เหยา และคนที่ทำให้ผมร้องไห้อีกครั้ง ด้วยความเจ็บปวดอย่างสาสมทุกๆครั้งก็คือพี่เหยาอีกเช่นกัน...

น้ำตาในวันที่เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ล้วนเป็นน้ำตาที่กลั่นกรองออกมาจากความเจ็บปวดอย่างแท้จริง หากแต่บ่อยครั้งเรากลับต้องเก็บกลืนมันไว้เพียงลำพัง...และวันนี้ก็เช่นกัน...ผมเจ็บปวด...และเจ็บปวดยิ่งขึ้นเมื่อมายืนอยู่ท่ามกลางครอบครัวของพี่เหยา

ทอมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพี่เหยาอย่างแท้จริง...ไม่มีสักนิดที่ให้ความรู้สึกของความแปลกแยก...กลับเป็นผมที่รู้สึกแปลกแยก...ไม่ใช่ความแปลกแยกทางร่างกาย หากแต่ความแปลกแยกทางจิตใจ...

ผมละอายใจต่อทุกๆคนที่รักพี่เหยาและพี่เหยารัก...

ผมเสแสร้งแกล้งยิ้มให้แม่ของพี่เหยา พอๆกับเสแสร้งแกล้งหัวเราะกับเรื่องเล่าตลกๆบนโต๊ะอาหาร

บ่อยครั้งผมไม่อาจห้ามใจให้คิด ให้นึกสงสัยว่า...เสียงพุดคุย เสียงหัวเราะเหล่านี้จะยังหลงเหลืออยู่หรือเปล่า ถ้าพวกเขารู้ว่า...คนที่เขารัก ถูกทำร้ายมาอย่างไรบ้าง...คนที่พวกเขาต่างยอมรับ นับเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวอย่างเต็มใจนั้น ทำร้ายคนที่พวกเขารักขนาดไหน และผม ที่พวกเขาให้ความเมตตาและสนิทสนมนั้น ทำให้คนที่พวกเขารักร้องไห้มากี่ครั้ง...

“จึเหยา!”เสียงเรียกชื่อพี่เหยาเสียงเข้ม ทำให้ผมลุกขึ้นจากความคิดตัวเอง ทันเห็นพี่เหยากำลังตักอะไรสักอย่างจากจานตัวเอง วางลงในจานข้าวของน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ

...น้องชายพี่เหยา ชื่อ ฟง...พี่เหยาเคยบอกผม

...น้องชายพี่เหยา ที่ผมขี่มอเตอร์ไซด์วนเวียนมองหาแต่ก็ไม่เคยเจอ...และวันนี้เมื่อเจอผมก็ไม่แปลกใจนัก ว่าทำไมผมไม่เคยเจอ...ไม่ใช่ว่าผมจำฟงไม่ได้...ตรงข้ามผมจำได้แม่นยำ หากแต่ก็นึกขำ ผมไม่เคยคิดสักนิด ว่า ฟงคือน้องชายพี่เหยา...เพราะฟงไม่เหมือนพี่เหยาสักนิดแม้แต่สีผิว ที่ผมเคยคิดว่าน่าจะขาวเหมือนๆพี่เหยา

ฟง...สูงกว่าผม ด้วยเหตุผลที่เจ้าตัวบอกผมว่า

“จึเหยาไม่กินอะไร ก็หย่อนใส่จานหว่อหมด ใช้สิทธิ์ของความเป็นพี่ข่มขู่...แต่ตอนนี้ขู่หว่อไม่ได้แล้ว!”

น้องชายพี่เหยาเรียกตัวเองว่า...หว่อ...และเรียกฝ่ายตรงข้ามว่า...หนี่...

ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับทุกคน...เช่นเดียวกันกับพี่เหยา...

ที่บ้านหลังนี้ ไม่มีใครเรียกพี่เหยา ด้วยชื่อ...เหยา...อย่างที่ผมเคยคุ้น หากแต่เรียกเต็มๆว่า...จึเหยา...ไม่เว้นแม้แต่น้องสาวและน้องชายของพี่เหยา...แรกๆฟงยังหัวเราะ เมื่อได้ยินผมเรียก...พี่เหยา

“พอกี๋เกิด อาม่าเอาไปชั่งดู แล้วกี๋ขาดธาตุดิน...เหยาคือดิน...จึ ก็คือความขยันขันแข็ง”อาม่าของพี่เหยาอธิบายถึงชื่อของพี่เหยาให้ผมฟัง

“กี่กิโลครับ?”ผมถามซื่อ เพราะเพิ่งรู้ว่าน้ำหนักแรกเกิดเอามาคำนวณหาธาตุในตัวได้ด้วย และหลังจากถามทั้งโต๊ะก็เงียบสนิท

“อะไรกี่กิโล?”แม่พี่เหยาถามอย่างงงๆ

“ระวังคุยกันรู้เรื่องนะ!”ฟง พูดก่อนหันไปหัวเราะกับพี่เหยา

“ไม่ได้หมายถึงน้ำหนัก...หมายถึงเอาวัน เวลาเกิดไปคำนวณ...”พี่เหยาอธิบายให้ผมฟัง...เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าคนในครอบครัว พี่เหยาก็เสแสร้งแกล้งลืมความเฉยชาที่มีต่อผม

“จึเหยา...แปลเป็นภาษาไทยว่าหนอน!”น้องสาวพี่เหยาที่ชื่อคิม ที่ขาวเช่นเดียวกันกับพี่เหยาหันมาบอกผม ก่อนจะหัวเราะ เพราะโดนอาม่าหันมาดุด้วยภาษาที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง คือภาษาจีน

“ก็หนอนไงอาม่า...ขยันจะตาย อยู่ในดินด้วย!”พี่คิมหันไปบอกอาม่าด้วยภาษาที่ผมฟังเข้าใจ

“ทอมเคยบอกว่า...จึเหยาเคยไปสอนหนังสือเอก?”แม่พี่เหยาถามผม

“ครับผม”ผมตอบไม่เต็มเสียงนัก...เพราะคำว่าทอมบอก ย่อมหมายถึงพี่เหยาไม่เคยบอก

“อะหม๊าก็ดุกี๋ ว่าไปสอนหนังสือให้น้องแค่นี้ ทำไมต้องเอาตังค์”แม่พี่เหยา ที่เวลาคุยกับผมมักเรียกตัวเองว่าอะหม๊า พูดคล้ายบ่นอยู่กลายๆ

“แต่จึเหยาว่าขาดทุน เพราะหักลบค่าไอติมกับการ์ตูนแล้ว ติดลบทุกที!”ฟงบอก และทำให้ผมยิ้มออกมาได้ เพราะครั้งนี้ ฟงบอกว่า...พี่เหยาบอก

“จึเหยา!”เสียงเรียกชื่อพี่เหยาเสียงเข้มอีกครั้ง ทำให้ผมละตาจากฟง หันไปมองพี่เหยาอีกครั้ง

“ก็หม๊าใส่นมในต้มยำทำไม ก็รู้ว่าหว่อไม่กิน!”ฟังคล้ายจะเป็นพี่เหยาพูด...หากแต่ความจริง เสียงดังมาจากฟง ที่ทำทีเป็นพูดแทนพี่เหยา ...ส่วนพี่เหยาก็ทำท่าไม่สนใจอะไร นอกจากสะบัดส้อมในมือซึ่งมีกุ้งตัวโตเสียบไว้เบาๆ คล้ายจะสลัดให้น้ำต้มยำที่ว่า ออกจากกุ้งให้หมด

“อาฟง!”แม่พี่เหยาหันไปดุฟง ที่แกล้งเขี่ยกุ้งจากปลายส้อมพี่เหยาตกลงไปในชามต้มยำแทน และต้องหันไปดุพี่เหยาอีกรอบ เมื่อพี่เหยาหันไปส่งภาษาจีนคล้ายจะว่าฟง ที่ทำแค่นั่งหัวเราะก่อนจิ้มกุ้งเข้าปาก

“ก็ทำไมไม่แบ่งไว้ให้กี๋ก่อน แล้วค่อยใส่นมลงไป?”พ่อพี่เหยาหันไปถามแม่พี่เหยา ก่อนจะหันมาพูดกับผม

“พอมีแล้วก็เลือกกิน ตอนที่ธุรกิจอาป๊าล้มนะ ตอนนั้นลำบาก มีอะไรกี๋ก็กินกัน ไม่ยุ่งยาก ทำตัวเป็นเด็กๆกันยังงี้”

“อีกล่ะ...อีกล่ะ... ฟังจนเบื่อแล้วป๊า!”ฟงขัดคอ หากแต่พ่อพี่เหยาไม่สนใจ

“ตอนนั้นอะไรก็ต้องขายหมด อาหม๊ากี๋เหลือแหวนแค่วงเดียว...อาฟงมันบ่นว่าอยากกินกุ้ง เลยเอาสมบัติชิ้นสุดท้าย ไปขายซื้อกุ้งกินมันซะเลย!”พ่อพี่เหยาเล่าไปหัวเราะไป

“ขับรถออกไปซื้อกุ้งกับจึเหยา... รถเจ้าหนี้กี๋ขับแซงหน้าเลี้ยวเข้าหมู่บ้านไปก่อน เลยต้องจอดรออยู่ข้างทาง...โทรไปถามอาหม๊าว่า กี๋กลับยัง... กี๋กลับยัง อาหม๊าก็บอกมาว่าต่อผิดค่ะบ้าง...ไม่อยู่ค่ะบ้าง...แปลว่ากี๋ยังอยู่...เลยบอกอาหม๊ารีบๆไล่กลับไปเดี๋ยวกุ้งเสียหมด...”

“กุ้งต้มของอาม่า...กุ้งอบวุ้นเส้นของอาคิม...ต้มยำกุ้งของอาจึเหยา...จึเหยาน่ะ กี๋บ่นตั้งแต่ขึ้นรถยันกลับถึงบ้าน...เก็บไว้จ่ายค่าไฟเหอะป๊า เดี๋ยวเขาจะมาตัดไฟแล้ว...เก็บไว้จ่ายค่ารถเหอะป๊า เดี๋ยวจะถึงค่างวดรถอีกแล้ว...เก็บไว้จ่ายค่าเทอมให้อาฟงกับอาคิมเหอะป๊า เดี๋ยวก็ได้ออกจากโรงเรียนกันหมด...เก็บไว้จ่ายค่ายาให้อาหม๊าเหอะป๊า เดี๋ยวก็ถึงวันหมอนัดแล้ว...เมื่อก่อนอาหม๊าว่าลูกป๊าหัวดี ป๊าไม่ค่อยเชื่อ มาเชื่อก็วันนั้นแหละ... ขึ้นรถยันถึงบ้าน กี๋ท่องได้หมด ตั้งแต่ต้นเดือนยันท้ายเดือน ต้องจ่ายค่าอะไรบ้าง... แต่พอถึงบ้าน บอกอาหม๊าตั้งแต่ลงจากรถเลย...ต้มยำของหว่อ ห้ามใส่นมนะ!... ไอ้ที่บ่นๆมาจนอาป๊าหูชา กี๋ลืมหมด แล้วอาหม๊าก็ลืมใส่นมลงไปอีกจนได้... อ๋อ...แล้วก็ยังมีกุ้งชุบแป้งทอดของอาฟงอีก...”

“มีแต่กุ้งเต็มโต๊ะ...พออีกวันก็กุ้ง...ข้าวกับน้ำปลาตราคนแบกกุ้ง!”คราวนี้ฟงเป็นคนเล่า

“ใช่เพราะน้ำปลาตราทิพรสที่อาหม๊าชอบ มันแพงไป!”พี่คิมช่วยเสริม

“อาป๊ากลับมามีวันนี้ได้ก็เพราะทอม...เพื่อนแท้น่ะเห็นกันก็ยามยาก หนี่จำไว้อาเอก...หนี่มีเพื่อนแท้แค่สักหนึ่งคน หนี่ก็เหมือนกับได้เพิ่มมาอีกหนึ่งชีวิต...พวกหนี่ด้วย จำกันไว้ให้ดี...ใครทำให้พวกหนี่กลับมามีวันนี้ได้!”พ่อพี่เหยาพูดต่อ หากแต่ครั้งนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง...แววตาที่หันมามองผม ก่อนไล่เรียงไปที่ลูกๆแต่ละคน และสิ้นสุดลงที่ทอมนั้น บ่งบอกว่าทุกคำพูด หมายความตามนั้นจริงๆ

ทอมยิ้มรับและส่ายหัว กล่าวตอบกลับอย่างอ่อนน้อมและจริงใจว่า...ที่ตนเองอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะการช่วยเหลือของพ่อพี่เหยาเช่นกัน...ทอมยังบอกอีกว่า...สิ่งที่ตนทำนั้นเพียงตอบแทนสิ่งที่เคยได้รับ หากแต่อาจจะน้อยกว่าเสียด้วยซ้ำ

ผมนึกขำรอยยิ้มรับจริงใจ อันปราศจากความละอายใจใดๆเลยของทอม...และพี่เหยาที่จ้องมองผมอยู่นั้น ก็เบือนหน้าหนี หลบตาคล้ายนึกรู้ในสิ่งที่ผมกำลังนึกคิดอยู่

พ่อพี่เหยาจะว่ายังไง...ถ้ารู้ว่าเพื่อนแท้ที่ตัวเองว่าคืออีกหนึ่งชีวิตนั้น...ทำอย่างไร กับอีกหนึ่งชีวิตที่ตัวเองแสนรัก ในเวลาที่อยู่ไกลตา...

ทอมยังยิ้ม ยังหัวเราะได้ อาจเพราะรู้ว่าทุกสิ่งที่ตนทำจะไม่มีวันถูกเปิดเผย ทั้งจากปากพี่เหยา และปากของผม...

ผมชิงชังรอยยิ้มนั้น...และยิ่งชิงชัง เมื่อบางคาบบางคราของคำพูดและเสียงหัวเราะของทอมนั้น...พี่เหยายิ้มรับเช่นกัน...แม้ไม่เต็มเสียงและบางครั้งก็คล้ายจะไม่เต็มใจนัก หากแต่มันก็บ่งบอกถึงการไม่โกรธ ไม่ถือโทษใดๆทอมเลย...

ทุกสิ่งที่ทอมทำ พี่เหยากลับยอมรับและยกโทษให้โดยไร้ข้อแม้ใดๆ...หากแต่กับผมพี่เหยากลับทิ้งผมไว้ให้จมอยู่กับความรู้สึกผิดและสิ้นหวัง อย่างไม่แยแสเลยสักนิด...

ผมพยายามบอกให้ตัวเองหยุดคิด..เพราะเมื่อยิ่งจมอยู่กับความคิดตัวเอง ผมก็ยิ่งโกรธ ยิ่งชิงชัง...




--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ผมพยายามเตือนตัวเอง ว่าผมรอคอยเพียงโอกาสที่จะขอโทษ และอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้พี่เหยาเข้าใจ...หากผมโกรธ คงมิแคล้ว ทุกอย่างคงก้าวสู่หนทางเดิมๆ...คือทำร้ายพี่เหยา ด้วยความโกรธและความชิงชังที่คุกรุ่นอยู่ในใจตัวเอง

ผมพยายามคิด พยายามเตือนตัวเอง จนเมื่อไหร่ไม่รู้ที่ลืมหัวเราะไปกับเสียงรอบข้าง...รู้สึกตัวก็เมื่อได้ยินเสียงแม่พี่เหยาเรียก และเพิ่งรู้ตัวว่าตลอดเวลาที่ผมเงียบคิด ตาผมจับจ้องอยู่แต่ที่พี่เหยาเท่านั้น

“เป็นอะไร?”แม่พี่เหยาถาม

“เปล่าครับ...กำลังคิดว่าจะตักจานไหนดี อร่อยทุกอย่างเลย”ผมหันไปตอบแม่พี่เหยา และแม่พี่เหยาก็ยิ้มยินดี

หลังเสร็จมื้อเช้า ที่ดูคล้ายจะสายกว่าเคย...ผมก็ถูกทิ้งให้อยู่ที่บ้านกับอาม่าที่เอนหลังนอนเกือบทั้งวัน กับฟง และพี่คิมที่มานั่งคุยเป็นเพื่อนผม

“ป๊าพาหม๊าไปหาหมอ แล้วรวดไปธุระที่ธนาคาร ส่วนจึเหยาไปกับทอม...ช่วงนี้ยุ่งๆเพราะเดือนหน้าทอมจะไปงานแสดงสินค้าที่เยอรมัน...จึเหยาจะไปด้วย”พี่คิมอธิบาย ก่อนที่ผมจะทันได้ถามว่าสมาชิกแต่คนในบ้าน แยกย้ายกันไปไหนบ้าง ซึ่งจริงๆ ผมก็อยากรู้แค่ว่าพี่เหยาไปไหนเท่านั้น

พี่คิมน้องสาวพี่เหยา เหมือนพี่เหยา มากกว่าที่ฟงเหมือน...และเพราะโดนฟงหัวเราะ เมื่อเรียกพี่เหยาว่า...พี่...ผมจึงเรียกพี่คิมที่อายุมากกว่าว่า...พี่คิม ไม่ถนัดปากนัก...

“เราเคยเจอกันครั้งนึง จำได้มั๊ย?”พี่คิมถามผม เมื่อยกอัลบั๊มรูปตั้งใหญ่ มาวางที่ตรงหน้าตามที่ผมร้องขอ

“ทอมชอบถ่ายรูป...ส่วนใหญ่ทอมเป็นคนถ่าย...นี่ไง รูปตอนไปเที่ยวเชียงใหม่...นี่ไงเอก!”พี่คิมเปิดอัลบั๊มรูป ก่อนชี้ชวนให้ดู รูปๆนึง

ภาพพี่เหยายังตัวกระเปี๊ยก กับฟง กับพี่คิม ที่ยืนยิ้มเห็นฟันหลออยู่หน้าบ้านทอมที่เชียงใหม่...กับผมที่ยืนหันหลัง ไกลลิบ และอุตส่าห์โผล่มาตั้งครึ่งตัว

“รู้ได้ไงว่าเป็นผม?...พี่คิมจำได้เหรอ?”ผมถาม พยายามเพ่งมองดูตัวเองในรูปที่ถ้าพี่คิมไม่บอก ผมก็ไม่มีทางรู้ว่าเป็นรูปตัวเอง

“ใครจะไปจำได้...จึเหยาบอก!”พี่คิมตอบ และผมยิ้ม เพราะ...พี่เหยาบอก...อีกแล้ว

“ฟงบอกว่าเอกเป็นพวกถ้ำมอง...”แต่คราวนี้ผมยิ้มไม่ออก

“ก็ไปดอมๆมองๆ สาวๆที่คณะฟงบ่อยๆ...ขี่รถป้วนเปี้ยนทุกวัน...ฟงจำได้”พี่คิมอธิบายเพิ่มเติม

“เปล่า...ขี่จงกรม ทำสมาธิไง...เดินมันเหนื่อย!”ผมตอบและพี่คิมหัวเราะ ผมนึกอยากถามว่า...แล้วพี่เหยารู้หรือเปล่า เรื่องที่ผมทำ...แต่ก็ไม่ได้ถาม เพราะมันคงแปลกพิลึก ถ้าถามออกไป

ผมเปิดอั๊ลบั๊มรูปดูไปเรื่อยๆ ดูภาพพี่เหยาที่โตขึ้นที่ละนิดๆ...บ่อยครั้งที่มีทอมยืนยิ้มอยู่ในรูปด้วย แต่ไม่มีรูปถ่ายครบครอบครัวเลยสักใบ...

“ไม่มีรูปถ่ายครบๆคนเลย”ผมเปรย ทั้งที่พี่เหยาก็เคยบอกเหตุผล

“อือ...บางเล่มมันหายไปตอนย้ายบ้าน นี่ยังน้อยนะ...เมื่อก่อนหอบไม่ไหว...ป๊าว่า ทอมเห่อยังกับเป็นลูกตัวเอง”พี่คิมบอก และคงจริงอย่างที่พูด...เพราะอัลบั๊มรูปทุกเล่ม เต็มไปด้วยรูปพี่เหยา พี่คิม และฟง

“คนนี้พี่เหยาหรือฟง?”

“ฟง...เมื่อก่อนตัวมันไม่ใหญ่แล้วก็ดำปี๋ เป็นหมีดำอย่างนี้หรอก!”พี่คิมตอบหลังจากมองดูรูป เด็กผู้ชายผิวขาวจั๊วะ ที่อยู่ในเครื่องแบบนักเรียนประถม และผมรองทรงสั้น ที่ดูคล้ายพี่เหยา จนแทบจะแยกไม่ออก

“เอาอัลบั๊มรูปมาโชว์ ทำอย่างกับคนแก่!”ฟงที่เพิ่งพาอาม่าไปนอนที่ห้อง เดินเข้ามาสมทบก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม พร้อมยกขาขึ้นพาดยาวบนโต๊ะรับแขกตัวเตี๊ย

“เอาขาลงไป ไอ้หมาฟง!”พี่คิมพูด พลางหยิบอัลบั๊มรูปเล่มโต ทำท่าจะตีลงบนขาของฟง

“รูปนี้จึเหยาถ่ายให้...ที่ระลึกก่อนย้ายไปเรียนโรงเรียนวัดข้างบ้าน!”ฟงบอก พลางดึงขาหลบ

“มันไม่เดือดร้อนอะไร ยกเว้นอย่างเดียว...ผมห้ามยาวเกินหนังหัวหนึ่งเซน!”พี่คิมพูดไปหัวเราะไป

“คิมก็นั่งร้องไห้ เพราะต้องตัดหางเปียทิ้งเหมือนกันแหละ!”

“อย่างน้อยก็ยาวกว่าหนี่ได้ ตั้งเกือบครึ่งไม้บรรทัด!”พี่คิมหันไปเถียง...ผมเส้นเล็กๆเหมือนพี่เหยาที่ตอนนี้ยาวกว่ากลางหลังสะบัดสยายไปมาตามแรงหันของพี่คิม

“แต่จึเหยาไม่ต้องตัด เพราะต้องออกจากโรงเรียน...”ฟงเล่า พลางยกมือขึ้นลูบหัวตัวเอง...ตอนนี้ผมฟงก็ไม่ได้สั้นติดหนังหัวเหมือนกัน หากแต่ยาวยิ่งกว่าพี่คิม และถักเด็ดร็อคเสียทั้งหัว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แม้จะสะดุดตาฟงแค่ไหน หากแต่ผมก็ไม่เคยคาดคิดว่า ฟงคือน้องชายพี่เหยา

“ใช่...ร้องไห้หนักกว่าเพื่อน ทั้งๆที่ไม่ต้องตัดผม...ไม่เข้าใจเลยเนอะ?”พี่คิมพูด หันไปพยักพเยิดกับฟง

“ใช่! ไม่ต้องตัดผม แล้วจะร้องทำไม!”ฟงรับ แล้วก็นั่งหัวเราะชอบใจกันกับพี่คิมสองคน

ดูคล้ายว่าเมื่อเวลาผ่านไป...ความทุกข์ก็ผ่านพ้นไปด้วย พี่คิมกับฟงจึงนั่งหัวเราะกับน้ำตาของตัวเองในอดีตได้

ผมนึกสงสัยว่า...สำหรับพี่เหยา ความทุกข์และความเจ็บปวด...ผ่านพ้นไปหมดแล้วหรือยัง...

“รูปนี้ตอนจึเหยารับรางวัลอะไรสักอย่าง...เมื่อก่อนหม๊ากับป๊าจะตั้งรางวัลให้...ระดับห้องให้ห้าบาท...ระดับชั้นให้ห้าสิบ...ระดับโรงเรียนให้หนึ่งร้อยบาท...”พี่คิมชี้รูปที่พี่เหยากำลังรับโล่ห์อะไรสักอย่าง

“ไม่ยักให้ห้าร้อยเนอะ?”

“ใช่!...จึเหยาเคยได้ระดับจังหวัดด้วย ได้พันนึง...จึเหยาเก็บได้เยอะกว่าเพื่อน...”

“ก็เริ่มเก็บก่อน...เริ่มพร้อมๆกัน หว่อก็ตามทัน!”ฟงพูดด้วยท่าทางมั่นใจ และพี่คิมก็แค่หันไปส่งสายตาให้รู้ว่าหมันไส้

“ป๊ากับหม๊าให้ แต่ห้ามใช้ ตอนหลังป๊ากับหม๊าก็เอาคืนหมด ใบประกงประกาศก็รวมๆเอาไปชั่งกิโลขายหมด...”พี่คิมพูดเท่านั้นแล้วก็หัวเราะออกมาคล้ายกลั้นไม่อยู่ ส่วนฟงก็ไม่ต่างกันนั่งหัวเราะกันงอหงาย จนผมชักจะงงๆว่ามีอะไรขำนักหนา

“อันนี้เรื่องเศร้านะ!...บอกไว้ก่อนเผื่อเดาไม่ถูก!”ฟงทำท่ากลั้นอก กลั้นใจสูดลมหายใจลึก เก็บกักเสียงหัวเราะของตัวเองแล้วหันมาพูดกับผมอย่าง คล้ายๆจะจริงจัง

“ตอนที่ย้ายบ้าน...แบบว่าที่บ้านเก่าหิ้งของเหล่าม่า เหล่ากง...พี่รู้จักใช่เปล่า เหล่าม่า เหล่ากง?”ฟงเล่า และหันมาถามอย่างนึกขึ้นได้ และเพื่อผมพยักหน้ารับว่ารู้จัก ฟงก็เล่าต่อ

“ก็หิ้ง มันเป็นแบบย้ายไม่ได้...ย้ายมาบ้านใหม่ ป๊ากับหม๊าก็ขนๆพวกกระดาษ พวกเอกสารเก่าๆไปขาย...ได้มาเท่าไหร่นะคิม?”ฟงแกล้งหันไปถามพี่คิม

“สี่ร้อยยี่สิบสองบาท”พี่คิมบอกตัวเลขได้แม่น

“แล้วป๊ากับม๊า ออกจากร้านขายของเก่า แล้วไปไหนต่อ?”ฟงถามต่อ

“ไปร้านขายหิ้ง”พี่คิมตอบและยิ้ม

“แล้วหิ้งอันเท่าไหร่นะ?”

“สี่ร้อยยี่สิบ!”

“ตอนป๊ากับม๊าให้จุดธูปไหว้เหล่าม่า เหล่ากงตอนตั้งหิ้ง จึเหยาไหว้แล้วบอกว่า...ขอบคุณครับ เหลือเงินให้ต่อทุนตั้งสองบาท...โดนป๊าหันมาตบกระโหลก!”ฟงเล่าแล้วก็หัวเราะกันกับพี่คิมอีกรอบ ส่วนผมคิดภาพตามแล้วก็อดหัวเราะตามไม่ได้

“แล้วตอนนั้น ทอมอยู่ไหน?”ผมถาม

“เมื่อก่อน ทอมยังไปๆมาๆ...แต่ช่วงนั้นทอมกลับไปบ้านร่วมสอง สามปี... ตอนนั้น ก็มีเงินทอมอยู่ในมือป๊า...ก้อนใหญ่เลยแหละ... แต่ป๊าไม่ยอมใช้...ทอม กลับมาโกรธป๊าใหญ่เลย...”ฟงเล่าและ หยุดหัวเราะ แต่ก็ยังยิ้มอย่างภูมิใจ

“ใช่ แต่ป๊าไม่ผิดสักหน่อย...คนให้กับคนรับ ความรู้สึกมันต่างกัน ป๊าบอกทอม อย่างนั้นตลอด...แต่ทอมยืนยันว่ายังไงป๊าก็ต้องรับความช่วยเหลือ...ทอมยืนยันว่ายังไงก็ต้องให้พวกเราเรียน ต้องให้จึเหยากลับไปเรียน...จึเหยาร้องไห้ใหญ่เลย ตอนที่ทอมกลับมา พอทอมกลับไป โดนป๊าตีแทบตาย...เนื้อแตกเลย...”พี่คิมเล่า

“คิมก็ร้อง หว่อจำได้น๊า!”ฟงหันไปแซว

“ก็เลยโดนตีด้วยกันพร้อมจึเหยาไง...แต่ไม่โดนหนักเท่าจึเหยา เพราะจึเหยาโตกว่า...หนี่เป็นลูกชายคนโต ไม่เป็นตัวอย่างให้น้อง...ป๊าตีไป ก็ด่าไป... ส่วนไอ้หมาฟง มันวิ่งไปหลบใต้เตียงอาม่า แต่ถึงอยู่ มันก็ไม่โดนป๊าตีหรอก ตอนนั้นมันเพิ่งแปดขวบ ตัวอย่างกับลูกกอก ไม่เหมือนหมีดำอย่างนี้ ”พี่คิมเล่าและหัวเราะ

พี่คิมยังเล่าโน้น เล่านี่ให้ผมฟังไปพลาง ชี้ชวนดูรูปในอัลบั๊มไปพลาง เช่นเดียวกันกับฟง ที่พูดคุยกับผมอย่างเปิดเผย ผมเดาเอาเองว่า ฟงกับพี่คิมคงคิดว่าผมได้ยินเรื่องราวต่างๆจากพี่เหยาบ้างแล้ว

และผมก็เลือกที่จะไม่บอกพี่คิมกับฟงว่า ในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้จากปากพี่เหยาเลย

“ทำไมรูปนี้ถ่ายหน้า...โรงรับจำนำ?”ผมชี้มือให้ดูรูปที่ พี่เหยา พี่คิมและฟง ยืนเรียงแถวกันอยู่หน้าป้ายชื่อ...โรงรับจำนำ...หากแต่ แต่ละคนยิ้มร่า โดยเฉพาะพี่คิม ที่ทำท่าหันกลับไปโบกมือบ๊ายบาย

“อ๋อ!”พี่คิมชะเง้อดูรูปที่ผมชี้แล้วก็หันไปหัวเราะกับฟงอีกเช่นเคย

“แบบว่า...รูปนี้ชื่อ ลาก่อนโรงรับจำนำที่รัก...”พี่คิมพูด ก่อนชักรูปออกจากอัลบั๊มและพลิกด้านหลังรูปให้ผมดูชื่อรูปที่เขียนไว้ด้วยลายมือแบบเด็กๆที่ข้างหลังรูป

“ก็ตอนนั้นเราไม่ค่อยไว้ใจแบงค์เท่าไหร่ ป๊ากับหม๊าเลยเปลี่ยนจากฝากของที่แบงค์ ไปฝากที่โรงรับจำนำแทน...”พี่คิมเล่าและยิ้ม

“ใช่ คิดค่าฝากถูกกว่าแบงค์ แถมจ่ายค่าประกันของหายให้เราก่อนล่วงหน้าด้วย!”ฟงเสริม

“ไม่ต้องเลย! ตอนนั้นหนี่ตัวแค่ลูกหมา จำอะไรได้?”พี่คิมหันไปขัดคอฟง

“ก็จำได้ว่าลูกหมาที่แก่กว่าแค่สองปีหยิกโคตรเจ็บเลย!”ฟงบอก และพี่คิมหัวเราะ

“ก็ตอนนั้นอาหม๊าเป็นคนไปจ่ายดอกที่โรงรับจำนำ อาหม๊าว่าอาหม๊าไปเอง เป็นผู้หญิงไปดีกว่าให้อาป๊าที่เป็นผู้ชายไป แต่พอกลับมาทีไร อาหม๊าก็น้ำตาซึมทุกที...แล้วตอนหลังอาหม๊าก็ไม่ค่อยสบาย พอเครียดมากๆ ก็เลยทรุด...จึเหยาเลยบอกว่าจึเหยาจะไปเอง แต่อาหม๊าว่าไม่ได้ เพราะจึเหยายังไม่มีบัตรประชาชน จึเหยาเลยบอกว่าลองดู แล้วก็จูงพี่กับฟงไปด้วย อาหม๊าโวยวายใหญ่... จะเอาน้องไปทำไม”พี่คิมเล่าแล้วก็หัวเราะ

“จึเหยาบอกว่าเด็กไปจะได้ดูน่าสงสารไง...แต่พอไปถึงเขาก็ไม่ยอมจริงๆ...จึเหยาก็เอาบัตรของหม๊า กับบัตรนักเรียนของตัวเองให้ดู แล้วก็เอาใบเสร็จโรงพยาบาลของหม๊าให้เขาดู ว่าหม๊าไม่สบายมาไม่ไหว แล้วมันก็ถึงกำหนดแล้ว...ยังไงเขาก็ไม่ยอมเพราะจึเหยายังอายุไม่ถึง ก็เลยนั่งแช่กันอยู่อย่างนั้นแหละ ไปกันตั้งแต่แปดโมงกว่าๆ พอนานเข้าหน่อยไอ้หมาฟงมันก็เริ่มงี่เง่า พี่รำคาญก็เลยหยิกมัน... ร้องลั่นโรงรับจำนำเลย มันว่ามันหิว จะกลับบ้าน จึเหยาก็บอกยังกลับไม่ได้ มันเลยบอกมันจะซื้อขนมปังที่เขาหาบมานั่งขายตรงทางเข้า จึเหยาก็บอก ไม่มีตังค์ มีแค่ที่ต้องจ่ายเขา....แต่จึเหยาน่ะโกหก เพราะหม๊าให้ตังค์มาบอกว่าให้หาข้าวกินกันเลย เพราะหม๊าไม่สบายทำให้กินไม่ไหว...รอจนเที่ยงนั่นแหละ ไม่มีคนเพราะเขาพัก เขาบอกว่ายอมให้ครั้งเดียวนะ...พอเขาให้จึเหยาปั๊มนิ้ว ไอ้หมาฟงมันก็ไม่ยอม มันจะปั๊มด้วย เขาเลยต้องหากระดาษมาให้มันปั๊มเล่น...พอครั้งหน้าจึเหยาก็เอาพี่กับไอ้หมาฟงไปอีก แต่คราวนี้ไปตอนเที่ยงๆแทน...ตอนหลังพอจึเหยาจบม.3... ป๊าว่าจึเหยาต้องหยุดเรียนก่อน จึเหยาถามว่า แล้วหว่อจะเอาบัตรนักเรียนที่ไหน ไปจ่ายดอกที่โรงรับจำนำ...โดนป๊าตบเลย...”พี่คิมเล่า และเสียงหัวเราะของพี่คิมก็เหลือแค่รอยยิ้มบางๆก่อนเล่าต่อ

“แต่ตอนหลังก็หลุดหมด ไม่มีเงินไปจ่ายดอก...ตอนทอมกลับมา ตอนนั้นก็ไม่เหลืออะไรแล้ว...อ๋อเหลือแหวนอาหม๊าวงนึง...แต่จริงๆก็ไม่เหลือหรอก ...ไม่ใช่ของอาหม๊าน่ะ...ทอมไปทำใหม่ให้อาหม๊า เลียนแบบของเก่าของอาหม๊า...วงที่อาหม๊าเคยใส่ติดนิ้วไว้เป็นประจำน่ะ...แล้วทอมก็พาพวกพี่ไปที่โรงรับจำนำไง...ทอมบอกไปถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก เลยเป็นรูปนี้แหละ...มีรูป...ลาก่อนไฟแนนซ์ที่รักด้วยนะ...”พี่คิมเปิดอีกรูปให้ดู ที่ทั้งพี่เหยา พี่คิม และฟงยังยืนยิ้ม ยืนโบกมือบ๊ายบาย แต่คราวนี้ที่ด้านหลัง มีรถจอดอยู่เรียงราย

“มีครั้งหนึ่ง จึเหยาเป็นคนโทรไปที่บริษัทไฟแนนซ์...ปกติหม๊าจะเป็นคนโทร ก็โทรไปขอผลัดเขานั่นแหละ... ครั้งนึง ตอนนั้นป๊าไปต่างจังหวัด จึเหยาโทรไป พอเขารับ...”พี่คิมเล่าแล้วหันไปสะกิดฟง ฟงก็ทำท่ายกหูโทรศัพท์ขึ้นมาไว้ที่ปาก

“สวัสดีครับ...ใจโคตรดี ลิสซิ่ง รับจัดไฟแนนซ์แถมบริการยึดรถถึงบ้าน ครับ ”ฟงพูดไป ขำไป

“สวัสดีครับ ผมโทรมาจากบ้านคุณวิชัยเรื่องรถครับ...จะให้เอารถไปส่งหรือจะมาเอาเองครับ?!”พี่คิมพยายามกลั้นหัวเราะพร้อมเอื้อมมือไปหยิกฟง ก่อนพูดด้วยท่าทีที่น่าจะเป็นของพี่เหยา

“หม๊านะ ตาค้างเลย แย่งหูโทรศัพท์จากจึเหยาแทบไม่ทัน...แต่หม๊าบอก ทุกทีโทรไปขอผลัดเขาจะพูดอย่างโน้นอย่างนี้...ต้องได้นะครับ ต้องสองงวดนะครับ...แต่พอทีนี้นะ หม๊ายังไม่ทันพูดอะไรเลย เขาถามว่า ไม่ทันเหรอครับ... ไม่เป็นไรครับ... อีกสักสองอาทิตย์พอไหวไหมครับ...หม๊าว่า เขาคงเห็นว่าเป็นเสียงเด็กโทรมาเลยใจอ่อน หรือไม่ก็คงงง เพิ่งเคยเจอแบบจึเหยา...”

ตลอดเวลาที่พี่คิมและฟงเล่า ผมนึกย้อนไปวันเวลานั้น...วันเวลานั้นของพี่เหยา นึกเปรียบเทียบกับวันเวลาของผมในช่วงวันวัยเดียวกัน...ผมยิ่งนึกรังเกียจตัวเอง



--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“แม่พี่คิมเป็นอะไรครับ ถึงต้องไปหาหมอ?”ผมถาม หวังเปลี่ยนเรื่อง

“อาหม๊าเป็นโรคเลือด...ยารักษาโรคเลือด ผลข้างเคียงมันเยอะ...ตอนหลังเลยเป็นทั้งความดัน เบาหวาน แล้วก็มะเร็ง...หมอว่าโชคดี ที่ตรวจพบเร็ว เพราะระดับเกร็ดเลือดมันผิดปกติ ก็เลยตรวจเจอมะเร็งตั้งแต่เริ่ม...ถามหมอว่าแล้วสาเหตุของมะเร็งล่ะ...หมอว่า ยาโรคเลือดตัวหนึ่งที่หม๊าต้องกิน มันส่งผลข้างเคียงให้มีโอกาสเป็นโรคมะเร็ง มากกว่าคนทั่วไปเก้าเท่า...ป๊าถามว่า แล้วอย่างนี้มันโชคดีตรงไหน หมอว่าก็เพราะโรคเลือด ทำให้ตรวจพบมะเร็งเร็วไง...นี่ถ้าไม่เพราะเป็นโรคเลือด มะเร็งอาจกระจาย!”พี่คิมเล่าแล้วหัวเราะ

“หมอว่ามะเร็งของหม๊าน่ะ นิดเดียว ผ่าก็จบ แต่หมอเลือดไม่ให้ผ่า เพราะระดับเลือดต่ำ ก็เลยต้องรักษาด้วยการฉายแสงไปก่อน...แต่ยิ่งฉายแสง หม๊าก็ยิ่งทรุด เกร็ดเลือดก็ยิ่งต่ำลงๆ...หมอก็ยังยืนยันว่ามะเร็งของหม๊าน่ะนิดเดียวไม่ต้องกังวล หมอเลือดอนุญาตเมื่อไหร่ ก็ผ่าได้ทันที หายเลย แต่ระหว่างรอหมอเลือดอนุญาต หม๊าต้องฉายแสงรักษาไปก่อน...มันเลยเหมือนปัญหา ไก่กับไข่ อะไรจะตายก่อน!”ฟงช่วยเล่าต่อให้

“ใช่...เล่าอย่างกับหนี่จำได้!”พี่คิมขัด

“โห ก็ฟังมากี่รอบแล้วล่ะ!...แต่ตอนนี้ผ่าเรียบร้อยแล้ว! เหลือแต่โรคเลือด อันนี้รักษาไม่หาย ต้องรักษาไปเรื่อยๆ”ฟงเสริมอีกที

แม้ไม่รู้จักว่าโรคเลือดเป็นอย่างไร ร้ายแรงมากน้อยแค่ไหน แต่ผมก็เลือกที่จะหยุดคำถามไว้แค่นั้น...

“แล้วที่เชียงใหม่ ฟงอยู่กับทอมหรือเปล่า?”ผมถาม คำถามที่ติดใจสงสัย

“เปล่า...ผมอยู่หอหน้ามอ...ใกล้ๆหอแฟนเพื่อนพี่ไง!”ฟงเงียบไปสักพัก ก่อนตอบ ฟังครั้งแรกผมยังนึกไม่ออกว่าฟงหมายถึงใคร

“แฟนเพื่อนพี่?”

“ก็แฟนพี่รงค์...ก็พี่หยกไง!...ที่ตัวเล็กๆ ผมยาวๆ ยิ้มเก่งๆ”ฟงตอบและยิ้ม

“ฟงรู้จักไอ้รงค์?”

“ก็ไม่เชิงรู้จัก...รู้จักแต่พี่หยก...ผมจีบเขา แต่เขาไม่เล่นด้วย เขาว่าเขามีแฟนแล้ว ชื่อรงค์...”

“แต่ไม่ต้องห่วง...รู้แล้วว่าเป็นแฟนเพื่อนพี่ ผมไม่ยุ่งหรอก!”ฟงรีบออกตัวก่อนที่ผมจะพูดอะไร

“ก็เคยชี้ให้จึเหยาดู ไม่เห็นจึเหยาว่าไร...”ฟงคล้ายจะเล่าให้ฟัง แต่เมื่อผมเห็นพี่คิมที่อยู่ๆก็เริ่มเงียบฟัง ไม่พูดจาขัดคอฟงเล่นอย่างที่ชอบทำ และยังเหลือบตาขึ้นมองดูผม ผมจึงรู้ว่าฟงคงไม่ใช่หวังแค่เล่าให้ฟัง

“ตอนที่ชี้ให้ดู...พี่รงค์ก็อยู่...กับเพื่อนๆพี่รงค์...พี่ด้วย!”ฟงพูด แต่เมื่อมันไม่ใช่คำถาม ผมจึงแกล้งเฉย ไม่ตอบหรือพูดอะไร

“ทำไมจึเหยาไม่บอกว่ารู้จักพี่?...จึเหยาบอกแค่ว่า ถ้าเขามีแฟนแล้วก็อย่าไปยุ่ง แต่ไม่บอกว่ารู้จักพี่... รู้จักพี่รงค์... พี่หยกด้วย...”ฟงเปลี่ยนมาถามผมด้วยสีหน้า สีตาจริงจัง

“จำไม่ได้มั๊ง...”ผมพูดได้แค่นั้น เพราะนึกไม่ออกว่าจะแก้ตัวว่าอะไร และฟงทำท่าคล้ายจะพูดอะไรอีก แต่พี่คิมพูดขัดขึ้นด้วยภาษาจีนเบาๆ ฟงจึงหยุดแค่นั้นแม้ดูจะไม่เต็มใจนัก

สิ่งที่รับรู้และได้รับฟังจากฟง ยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้...สำหรับพี่เหยา ผมเป็นอดีตที่ถูกพี่เหยาวางลง ไม่คิดจะกลับไปแตะต้องอีก หากตัวเองเป็นฝ่ายเลือกได้...

เมื่อการนั่งอยู่ด้วยกันเริ่มน่าอึดอัด ผมก็อ้างว่าเหนื่อย เพราะนั่งรถมาทั้งคืน ขอตัวไปนอนพัก พี่คิมกับฟงก็ไม่ได้ทักท้วง คงเพราะเริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดใจเช่นเดียวกันกับผม

ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของพี่เหยา ซึ่งแม่ของพี่เหยาจัดเตรียมไว้ให้สำหรับผมในคืนนี้ ด้วยคงเข้าใจว่าผมสนิท และคุ้นเคยกับพี่เหยาดี

“ให้จึเหยาไปนอนกับฟง เอกนอนห้องจึเหยา”แม่พี่เหยาบอกผมเมื่อเช้านี้เมื่อแรกมาถึง

“ไม่เป็นครับ ผมนอนห้องเดียวกับพี่เหยาก็ได้”ผมบอก และรีบเสริมก่อนที่ใครจะทันได้ปฏิเสธ

“จะได้นอนคุยกับพี่เหยาด้วย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”ผมพูดออกไปอย่างนั้น เพราะตอนแรกมาถึงนั้น ยังไม่รู้สักนิดว่า ภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มต้อนรับของฟง หรืออาจจะรวมถึงพี่คิมด้วยนั้น มีความระแวงสงสัยในตัวผม ตั้งแต่แรกเห็นหน้า

และเมื่อผมเสนอตัวออกไปพร้อมเหตุผลเช่นนั้น พี่เหยาจึงไม่อาจปฏิเสธอะไรได้

ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนของพี่เหยา ทั้งๆที่ข้างๆมีเบาะนอนที่น่าจะเตรียมไว้สำหับผม ปูเตรียมไว้ให้...

ผมนอนมองดูไปรอบๆห้อง อยู่ๆก็นึกสงสัยว่า ตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง...

นึกสงสัยว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไร...มีหวัง หรือ สิ้นหวัง?

นึกถึงสิ่งที่ได้ยินจากฟงและพี่คิม...นึกถึงพี่เหยาในวันนั้น วันที่พี่คิมและฟงเล่า...นึกถึงพี่เหยาในวันเวลาที่อยู่ที่เชียงใหม่...และนึกถึงภาพพี่เหยาเมื่อมีโอกาสกลับมาพบหน้าอีกครั้ง...

ผมนึกสงสัย ผมมายืนอยู่ตรงนี้ ผิดหรือถูก...

สิ่งที่ได้รับฟัง...แม้จะยังชิงชัง...หากแต่ก็ต้องยอมรับ...สำหรับพี่เหยา ทอมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างแท้จริง...

อาจจะจริงอย่างที่ไอ้รงค์ว่า...ทอมรู้จักพี่เหยามากกว่าที่ผมรู้จัก...และพี่เหยาก็รู้จักทอม มากยิ่งกว่าที่ผมรู้จัก...

เมื่อผมบอกว่าตัวเองเลว ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ...แต่ไอ้วิทย์มันบอก...ถ้ามึงเลว กูไม่คบมึงมาถึงวันนี้...

เมื่อผมบอกมันว่าผมเห็นแก่ตัว...ไอ้วิทย์กลับบอก...ถ้ามึงเห็นแก่ตัว กูคงไม่คบมึงเป็นเพื่อน...

ผมสงสัย...ผมไม่เลวอย่างที่ตัวเองคิด...หรือเพราะมันมองข้ามความเลวของผมไป...

ด้วยเหตุผลดุจเดียวกัน...อาจเป็นเหตุผลว่าทำไม พี่เหยาถึงยกโทษให้ทอม...

ผมรู้ สิ่งที่พี่คิมและฟงเล่า...สิ่งที่ผมได้รับฟังในชั่วเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง มันย่อมไม่มีวันเทียบเท่า เวลาชั่วตลอดชีวิตของพี่เหยาที่มีทอมร่วมเป็นส่วนหนึ่งนับแต่วันที่ลืมตาขึ้นดูโลก จวบจนถึงปัจจุบัน...

ผมคิด...ผมรู้...ผมไม่มีวันเข้าใจ

ผมคิด และรู้...หากต้องเลือก...พี่เหยาจะเลือกทอม...ไม่ใช่ผม

ผมคิด และรู้...หากแต่ก็ห้ามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมาไม่ได้...ห้ามไม่ให้ตัวเองเสียใจไม่ได้...ห้ามไม่ให้ตัวเองอิจฉาและชิงชังไม่ได้...ผมควรจะทำอย่างไร...ผมถามตัวเอง แต่ไม่กล้าตอบคำถามตัวเอง

ผมไม่อยากสูญเสีย...ไม่อยากเป็นคนผิดหวัง...

ความรักของผมไม่ใช่การเสียสละ...หากแต่ตรงกันข้าม ผมยังเห็นแก่ตัว อยากครอบครอง ไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง...ผมไม่อยากสูญเสียพี่เหยา...ไม่อยากต้องเอาวันเวลาทุกวัน ทุกนาที มาจมปลักอยู่กับความคิดถึงและผิดหวัง

สุดท้ายผมก็บอกตัวเองได้เท่านั้น...บอกตัวเองว่าไม่อยากสูญเสียพี่เหยาไปอีกแล้ว...ผมบอกตัวเองได้เท่านั้นจริงๆ

มื้อเย็นวันนั้น ไม่มีพี่เหยากับทอมร่วมโต๊ะด้วย

พี่คิมกับฟงก็กลับมาคุยเล่นเป็นปกติ ราวกับไม่มีเรื่องติดค้างอยู่ในใจ

กว่าที่ทอมกับพี่เหยาจะกลับเข้าบ้านมาก็ร่วมดึก

และทันทีที่เห็นพี่เหยาและทอมเดินเข้ามาด้วยกัน สิ่งแรกที่ผมคิดก็คือ..พวกเขาแค่ไปเรื่องงาน เท่านั้นจริงหรือเปล่า...ความสัมพันธ์แบบที่เคยดำเนินมา มันยังคงดำเนินต่อไปหรือเปล่า ในเมื่อวันนี้ เวลานี้ พี่เหยาได้กลับมาอยู่ท่ามกลางคนที่รักพี่เหยา และปกป้องพี่เหยาได้...ทอมจะยังกล้าแตะต้องพี่เหยาอีกหรือเปล่า...

จนดึกแล้ว หากแต่ทอมก็ยังนั่งคุยอยู่กับพี่เหยาที่โต๊ะกินข้าว ที่เช็ดถูจนสะอาดแล้ว

พี่เหยานั่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ โดยที่ขาทั้งสองไขว้เหยียดพาดบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ในตำแหน่งตรงข้าม...และทอมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวข้างๆด้วยอากัปกิริยาคล้ายๆกัน

ผมเห็นพวกเขาคุยกัน...ทั้งที่ผ่านมาทั้งวัน แทบไม่มีสักคำที่พี่เหยาจะยอมคุยกับผมหากไม่จำเป็น

ผมเห็นพี่เหยายิ้ม ตอบรับคำพูดของทอม

และเห็นทอมหัวเราะ เมื่อพี่เหยายิ้ม...

ส่วนผม...นั่งมองพวกเขาอยู่เงียบๆ...ราวกับไม่มีตัวตน...

“บ้านทอมอยู่ไหน?”ผมถามพี่คิม ที่ยังนั่งดูทีวีเป็นเพื่อนผมที่ห้องนั่งเล่น...

พี่คิมชี้มือไปทางบ้านข้างๆ โดยที่อีกมือยกขึ้นปิดปากหาว

“พี่ง่วงไปนอนก่อนก็ได้”

“เอกไม่ง่วงเหรอ นั่งรถมาทั้งคืน?”

“ก็ผมนอนมาทั้งวันแล้ว กลางคืนตาเลยค้างเลย!”ผมโกหก เพราะความจริง ผมนอนคิดมาตลอดทั้งวัน แม้เหนื่อยก็หลับตาไม่ลง และแม้จะง่วงแต่ผมก็รั้งรอเวลาดูว่าเมื่อไหร่ทอมจะกลับเสียที

“งั๊นพี่ขึ้นนอนก่อนนะ”พี่คิมบอกในที่สุด และเมื่อเดินผ่านพี่เหยา ผมก็เห็นพี่คิมหยุดพูดอะไรบางอย่างกับพี่เหยาด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจ พี่เหยาวางกระดาษปึกใหญ่ในมือลงเพื่อมองดูผม ก่อนหันไปตอบพี่คิมด้วยภาษาที่ผมฟังไม่เข้าใจเช่นกัน แล้วพี่คิมก็เดินขึ้นชั้นบนไป

และเมื่อพี่คิมคล้อยหลังไปแล้ว ทอมก็หันมาพูดกับพี่เหยา ผมรู้ว่าคงไม่ใช่เรื่องงาน เพราะพี่เหยาไม่ตอบ ทำเพียงก้มอ่านปึกกระดาษในมือนิ่ง ไม่สนใจทอม

ทอมยังพยายามคุยกับพี่เหยา โดยการก้มตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกันกับพี่เหยา หากแต่พี่เหยาก็ไม่มีทีท่าจะสนใจเช่นเคย

ทอมยังพยายามต่อไป เหมือนพี่เหยาที่ยังพยายามทำหูทวนลมอยู่เช่นเดียวกัน...ผมสงสัยว่าความพยายามของใครจะสิ้นสุดลงก่อนกัน และสิ้นสงสัยเมื่อรู้ว่า...ความพยายามที่จะอดทนของผมเองที่สิ้นสุดลงก่อนใคร

ผมไม่อาจทนเห็นภาพของความสนิทสนม คุ้นเคยนั้นต่อไปได้อีก

ผมบอกตัวเองไม่ให้โกรธ....เพราะรู้ว่าไม่มีสิทธิ์

แต่ผมก็โกรธ...และไม่สนใจว่าตัวเองจะมีสิทธิ์หรือไม่...

ผมบอกตัวเองไม่ให้โกรธ...เพราะผมมาที่นี่ เพียงเพื่อขอให้พี่เหยายกโทษให้ผม

แต่ผมก็โกรธ...และเริ่มถามตัวเองว่า...วันนั้นผมทำอะไรผิด...ทอมต่างหาก ไม่ใช่ผม...แล้วทำไมพี่เหยายังนั่งอยู่กับทอม...ทำไม?

ทอมทำร้ายผม...ทำร้ายพี่เหยา...แต่พี่เหยาเลือกที่จะอยู่กับทอม คุยกับทอม หัวเราะกับทอม และเมินเฉยต่อผม...มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิดเดียวจริงๆ...

ผมปิดทีวี และเดินขึ้นชั้นบน...ตอนแรกผมคิดถามตัวเองว่า จะพูดอะไรกับพี่เหยา เมื่อเดินผ่านพี่เหยา หากแต่ก็พบว่าไร้ประโยชน์ที่จะคิด เพราะพี่เหยาไม่สนใจผมสักนิด มีเพียงทอมที่เงยหน้ามองดูผม และผมก็มองตอบด้วยความชิงชัง...

จนดึกก็ยังไร้วี่แววว่าพี่เหยาจะกลับขึ้นมาบนห้อง...ผมนึกสงสัย ทอมยังอยู่หรือว่ากลับไปแล้ว...

จริงๆเวลาผ่านไปนานมากน้อยแค่ไหนไม่รู้...หากแต่ในความรู้สึกผม มันนานจนผมอดรน ทนไม่ไหวที่จะนอนรออยู่เฉยๆอีกต่อไป

ผมเปิดประตูห้อง เดินลงไปที่ชั้นล่าง...และเห็นพี่เหยายังนั่งอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง

พี่เหยาไม่ได้นั่งอ่านกระดาษปึกหนาใหญ่ ที่ทำอยู่ก่อนที่ผมจะเดินขึ้นไปชั้นบน

พี่เหยายังนั่งอยู่ที่เดิม ขาทั้งสองยังไขว้เหยียด พาดไว้ที่เก้าอี้ตัวตรงข้าม...มือพี่เหยากำลังขีดเขียนไปเรื่อยๆบนกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้า และตาพี่เหยาจดจ้องอยู่ ณ.ตรงที่ปากกาในมือลากวนขีดเขียน

ผมรู้พี่เหยาคงไม่ได้เขียนอะไร นอกจากชื่อของตัวเอง

ผมรู้พี่เหยาไม่ได้มองดูสิ่งที่ตัวเองกำลังเขียน

พี่เหยากำลังคิด...พี่เหยาทำอย่างนี้เสมอเวลาที่ครุ่นคิด

และผมรู้...พี่เหยากำลังคิดเรื่องของผม...

แต่สิ่งที่ไม่รู้คือ พี่เหยาคิดอะไร...

“วันนั้น ไม่ใช่ผม!”ผมพูด เมื่อเดินเข้าไปใกล้ และพี่เหยาสะดุ้งจนสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงผม

“วันนั้น ไม่ใช่ผม!”ผมพูดย้ำอีกครั้ง และเสียงดังอย่างไม่ตั้งใจ...ราวกับกลัวพี่เหยาจะไม่ได้ยิน ราวกับกลัวจะมีอะไรบางอย่างมาขัดขวางและผมจะไม่มีโอกาสพูดมันออกมา...ผมพูดเพราะมันคือสิ่งที่ผมพร่ำพูด ตั้งแต่วันที่โลกของผมกับพี่เหยาพังย่อยยับไม่เหลือดี...พูดโดยไม่สนใจ พี่เหยาจะรู้หรือเปล่า ว่าผมหมายถึงอะไร...ผมพูด เพราะมันเป็นสิ่งที่ติดค้างในใจมาร่วมปี...และหวังมาตลอดว่าพี่เหยาจะรู้ และเลิกเกลียดชังผม

“มันไม่ใช่ผม!”ผมบอกอีกครั้ง เมื่อพี่เหยาเพียงมองผมนิ่งนาน ก่อนเอื้อมมือเก็บรวบรวมของบนโต๊ะ ไม่สนใจผมอีก ราวกับไม่มีผมยืนอยู่ตรงนั้น และเมื่อเก็บรวบรวมของเสร็จ พี่เหยาก็ทำท่าจะเดินจากไปโดยไม่สนใจผมสักนิด

“พี่พูดกับผมแป๊บนึงไม่ได้เหรอ?”ผมพูด เมื่อพี่เหยาเดินผ่านผมไปแล้ว




--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“ไม่ว่าง...”พี่เหยาตอบ

“แล้วเมื่อไหร่จะว่าง?!”ผมถามหากแต่แท้จริงคือการประชด เพราะสำหรับผมพี่เหยาไม่ว่าง หากแต่สำหรับทอม พี่เหยาดูจะมีเวลาอยู่ด้วยทั้งวัน และดูจะเต็มใจ

“ไม่รู้สิ!”คราวนี้พี่เหยาตอบ และมองหน้าผม แม้ไม่เห็นรอยใดๆในสีหน้า หากแต่ผมก็รู้สึกถึงรอยเยาะหยัน

มันทำให้ผมนึกรู้ว่า คำตอบของพี่เหยาหมายถึงอะไร...

ก็เมื่อวันที่พี่เหยาคอยเฝ้าตามผม...เอกคุยกับพี่แป๊บได้ไหม?...ไม่ใช่ผมหรืออย่างไร ที่พูดแต่คำว่า...ไม่...

วันนี้พี่เหยาเพียงคืนคำพูดเหล่านั้นให้กับผม...

“พี่รู้ใช่ไหม ว่าไม่ใช่ผม?”ผมถาม อาจเพราะความโกรธ ความละอาย หรือ เพราะส่วนหนึ่งของหัวใจมันก็เริ่มคิดและรู้สึกอย่างนั้นแล้วจริงๆ

พี่เหยาไม่ตอบอะไรอีก ทำท่าจะจบบทสนทนาและเดินละจากไปทั้งอย่างนั้น...แต่ผมไม่ต้องการให้มันจบลง ผมจึงดึงกึ่งกระชากแขนพี่เหยาไว้...แรงกว่าที่ตัวเองนึกตั้งใจ

ของที่พี่เหยาถือไว้ในมือ มันตกกระจายลงพื้น พร้อมๆกับที่พี่เหยาเซเข้ามาตามแรงมือผม

“ผมขอโทษ!”ผมพูดพร้อมกับรีบปล่อยมือ

“ขอโทษ?...อะไรๆก็ขอโทษ! พี่ถามจริงๆ เอกเคยรู้หรือเปล่าว่ามันหมายความว่ายังไง?”พี่เหยาถาม จ้องหน้าผมและยิ้มเยาะ

“...งั๊นพี่บอกผมสิ ...คราวนี้ผมทำอะไรผิด พี่ถึงได้โกรธผม...”ผมถามพี่เหยากลับ ในสิ่งที่ผมคิด...ใช่ครั้งนี้ผมทำอะไรผิด ผมจึงต้องเฝ้าเขียนแต่คำขอโทษให้พี่เหยามานานร่วมปี โดยคำตอบมีแต่ความเพิกเฉย

“พี่บอกผมสิ ผมผิด...หรือพี่เห็นแก่ตัว โยนความผิดทุกอย่างให้คนอื่น!”

“ถ้าไม่ผิด แล้วมาขอโทษทำไม?...กลับไปสิ!”พี่เหยาไม่พูดเปล่า หากแต่ผลักอกผมเต็มแรง จนผมเซไปชนกับโต๊ะ...มันเจ็บหากแต่ไม่ใช่ที่ตัว...มันเจ็บที่ใจ...ไม่ใช่เพราะพี่เหยาผลักหรือเพราะคำพูด...หากแต่เพราะเมื่อพี่เหยาพูด...กลับไปสิ!...ผมนึกเห็นภาพพี่เหยากับทอมที่นั่งคุยกัน หัวเราะกัน...แต่พี่เหยากลับบอกผม...กลับไปสิ!...

“ทำไมทีทอม พี่ไม่โกรธมัน...มันทำกับพี่ยิ่งกว่าที่ผมทำ ทำไมพี่ไม่โกรธมัน!”ผมถาม พร้อมเอื้อมมือหมายจะคว้าแขนพี่เหยา แม้พี่เหยาจะเบี่ยงถอยหนี ผมก็คว้าและกระชากพี่เหยาเข้ามาหาตัวจนได้ และครั้งนี้ รุนแรง...และด้วยความตั้งใจ...

“ปล่อย!”พี่เหยาพูดเสียงแข็ง พยายามดึงแขนออกจากมือผม

ยิ่งพี่เหยาดิ้นรน... ผมก็ยิ่งเพิ่มแรงมือ

ยิ่งพี่เหยาขยับตัวหนีถอยห่าง... ผมก็ยิ่งกระชากดึงพี่เหยาเข้ามาหาตัว

ยิ่งพี่เหยาขัดขืน...ผมก็ยิ่งเรียกร้องหาการยอมจำนน

ผมยิ่งสะใจ เพื่อทุกการถกเถียง ทุกการดิ้นรนของพี่เหยานั้น คล้ายจะพยายามไม่ให้เสียงใดๆเล็ดลอดไปถึงห้องชั้นบน

ผมรู้ พี่เหยาปกป้องโลกที่พี่เหยากำลังเหยียบยืนอยู่นี้...โลกที่พี่เหยาไม่คิดว่าผมจะมีโอกาสยื่นหน้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนใด...โลกที่ยังสมบูรณ์ แตกต่างจากที่พี่เหยาทิ้งไว้ข้างหลังพร้อมๆกับทิ้งผม

ผมนึกอยากรู้...ถ้าผมทำลายมันลงเสีย พี่เหยาจะทำยังไง...จะกลับไปหาผมหรือเปล่า...ผมนึกอยากรู้ เมื่อเห็นพี่เหยาดิ้นรนอยู่ในมือผม

“ผมอยากรู้จริงๆว่าพี่ทำอย่างนี้ได้ยังไง...เวลาที่พี่นั่งอยู่ต่อหน้าพ่อพี่...ต่อหน้าแม่พี่ พี่ตีหน้าซื่อไม่รู้สึก รู้สากับสิ่งที่ตัวเองทำกับทอมได้ยังไง...พี่ไม่ละอายบ้างหรือไง”

“ถ้าละอายแล้วให้ทำยังไงถึงจะดี?...ทำตัวโง่ๆ?...ฆ่าตัวตาย?...หรือต้องทำตัวเลวระยำ หรือจะให้ทำตัวปัญญาอ่อน เที่ยวฟาดหัวฟาดหางใส่คนอื่น โทษคนโน้น คนนี้...อย่างที่เอกชอบทำ?!”พี่เหยาถามและยิ้มหยัน

“ผมไม่รู้หรอกว่าทำยังไงถึงจะดี...พี่ลองถามฟงน้องชายพี่ดูสิ...ถามพี่คิมด้วย...พี่คิดเหรอว่าน้องพี่ไม่รู้?”

“เอกพูดอะไร?...เอกบอกอะไรฟงกับคิม?!”พี่เหยาถาม... ไม่เหลือรอยเยาะหยัน...ไม่หลงเหลือการดิ้นรน...เหลือเพียงความร้อนรน ที่เพียงผมพูดคำโกหกออกไปสักคำ พี่เหยาคงหมดแรงที่จะยืนอยู่อีกต่อไป...ผมจึงไม่ตอบ...ทำเพียงยิ้มอย่างที่เมื่อครู่พี่เหยายิ้ม...คือยิ้มหยัน

“หรือที่พูดมาทั้งหมดนี่...เอกก็แค่อยากทำใช่ไหม...เอาไหม?...ทำไหม?...ทำให้เสร็จๆแล้วก็ไสหัวกลับไป!”พี่เหยาถาม...และผมรู้พี่เหยาเพียงหมาย ยั่วยุให้ผมปล่อยมือและหวังให้ผมพูดความจริง...และมันอาจได้ผล หากแต่ต้องไม่ใช่วินาทีที่ผมนึกถามตัวเองว่า...ถ้าผมทำลายโลกตรงนี้ของพี่เหยาลง จะเป็นอย่างไร?...ไม่ใช่วินาทีหลังจากที่พี่เหยาตบหน้าผมด้วยคำถามเย้ยหยันเหล่านั้น...วินาทีที่ผมเริ่มคิดว่า มันไม่ยุติธรรมกับผมเลย...วินาทีที่ผมคิดเพียงสนองกลับให้ดุจเดียวกัน

“ใช่!”ผมตอบ ทั้งที่ใจไม่ได้คิดอย่างนั้นสักนิด...ในหัวมันคิดเห็นก็แต่ภาพพี่เหยากับทอมที่คุยกัน หัวเราะกัน...ในหัวมันคิดถามก็แต่ว่า...แล้วทำไมพี่เหยาต้องคอยแต่ขับไล่ผม?...

“แต่ให้อยากยังไง...ผมก็ไม่ยอมเสี่ยงติดโรคหรอก”ผมพูด และปล่อยมือยืนยันในสิ่งที่ตัวเองพูด

“ผมคิดมาตลอดว่าพี่ไม่เต็มใจ...แต่ไอ้ที่ผมเห็นเต็มสองตาวันนั้นน่ะ...มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด อย่างที่พี่พยายามแสดงออกว่าตัวเองไม่ชอบสักนิด!”

ตอนนี้หน้าพี่เหยาแดงกล่ำ และไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรอีก พี่เหยาก็วิ่งออกไป ผมได้ยินเสียงประตูรถถูกกระชากเปิดและกระแทกปิด ก่อนที่พี่เหยาจะวิ่งกลับเข้ามาและขวางอะไรบางอย่างใส่หน้าผม

กล่องกระดาษกล่องเล็กๆ ไม่แข็งพอที่จะทำให้ผมมีแผล หากแต่ก็ยังเจ็บ

ผมมองดูกล่องถุงยางที่หล่นอยู่บนพื้น

“ไม่น่าเชื่อ ว่าเดี๋ยวนี้พี่จะพกของอย่างนี้...”

“ไม่น่าเชื่อเหมือนกัน ว่าคนอย่างเอกจะไม่พกมันติดตัวไว้!”

“พกทำไมล่ะ ผมไม่ได้ส่ำส่อน แฟนผมก็ไม่ได้ขายตัว!”ผมบอก ทั้งที่รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นล้วนทำให้พี่เหยาเจ็บปวด ทั้งตัวเองก็เจ็บปวด หากแต่ห้ามปากตัวเองไม่ได้...ทั้งที่เคยบอกตัวเองว่าจะพูดแต่สิ่งดีๆกับพี่เหยา...จะบอกพี่เหยาว่าขอโทษ และอาจจะบอกพี่เหยาว่ารัก...แต่ทั้งหมดนั้น มันคือก่อนหน้าที่ผมจะรู้ตัวและนึกรู้ว่า...ถึงพูดไป ก็คงเปล่าประโยชน์...

พี่เหยาไม่พูดอะไรอีก เพียงเงียบงันไปกับสิ่งที่ผมพูดก่อนจะสะอื้นไห้ออกมา และเดินออกจากบ้านไป...ผมได้ยินเสียงประตูรั้วเปิดและปิดเบาๆ...ก่อนที่จะได้ยินเสียงทอม... เสียงประตูบ้านข้างๆ เปิดและปิดลง ...

ผมทำร้ายพี่เหยา...และพี่เหยาก็ไปหาทอม...ราวกับทอมจะช่วยพี่เหยาได้ ราวกับทอมเป็นที่กำบังกายจากการถูกทำร้ายจากผม...

ตลอดมาผมเคยคิด...ทอมทำร้ายพี่เหยา

วันนี้พี่เหยากลับแสดงให้ผมรู้...ว่าต้องการให้ทอมปกป้อง... จากผม...

แม้ยังโกรธ...แต่ผมก็ก้มลงเก็บรวบรวมของที่หล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้น...พร้อมๆกับที่คิดและตัดสินใจว่า...ไม่จำเป็นต้องรอจนเช้า...ผมก็จะไปจากที่นี่เสียที

ผมเก็บของวางลงบนโต๊ะ พร้อมๆกับที่ได้ยินเสียงบางอย่างดังแว่วมาจากบ้านทอม...แม้ไม่ชัดเจน...หากแต่นึกรู้ มันมิใช่เสียงแห่งการปลอบโยนอย่างที่ผมนึกคิดไว้แต่แรก

“เข้ามาทำไม?!”พี่เหยาถามอย่างเกรี้ยวกราด เมื่อเห็นผมเดินรุกล้ำเข้ามาในบ้านทอม

ตาพี่เหยาแดงกล่ำ ใบหน้ามีแต่น้ำตา...เฉกเช่นเดียวกับทอมที่นั่งอย่างอ่อนแรงบนโซฟาตัวยาว ก้มซุกซ่อนดวงหน้าไว้ด้วยสองมืออย่างคนสิ้นหวัง และแหงนเงยมองดูผม ตามเสียงเกรี้ยวกราดของพี่เหยา

ข้าวของในบ้านกระจัดกระจาย...เศษแก้วที่คงเคยเป็นแจกัน แตกกระจายกลาดเกลื่อนเช่นเดียวกับดอกกุหลาบสีแดงสด...สีเดียวกับหยดเลือดที่ไหลลงมาตามเรียวนิ้วของพี่เหยาลงสู่พื้น...ไม่รุนแรง หากแต่ก็ไหลรินอยู่ไม่ขาดระยะ...


“ออกไป!”พี่เหยาไม่พูดเปล่า หากแต่วิ่งเข้ามาหาผมโดยไม่สนใจเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้นแม้สักนิด คงนึกหวังก็เพียงผลักไสผมให้ออกไปเท่านั้น

ในขณะที่ผมทำเพียงงงงัน ยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่อาจบอกได้ว่ารู้สึกเช่นไร...ทอมกลับรีบวิ่งเข้ามาหวังดึงพี่เหยาให้ออกไปจากที่ตรงนั้น...ผมเห็นทอมเหยียบย่ำลงบนเศษแก้ว หากแต่ก็ไม่มีทีท่าสนใจอะไร เว้นเสียแต่เพียงหวังพาพี่เหยาที่ยังคงดิ้นรนขัดขืน ให้ออกไปจากกองเศษแก้วที่กลาดเกลื่อนอยู่ให้ได้...เลือดที่เห็นอยู่บนพื้น มันยากจะบอกว่าเป็นเลือดของใคร...ของพี่เหยาหรือของทอม...

“ปล่อย!”พี่เหยาเฝ้าตะโกนซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าจนสุดเสียง...คล้ายไม่กลัวเกรงว่าใครจะได้ยินอีกต่อไป

นี่หรือเปล่าคือความสะใจที่ผมหวังจะได้เห็น...

พี่เหยาที่ร้องไห้...ดิ้นรน คล้ายคลุ้มคลั่งอย่างที่ผมไม่เคยเห็น...และไม่นึกจะได้เห็น

ผมยืนมองดูทอมที่กอดพี่เหยาไว้แน่น พร้อมเฝ้ากระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูพี่เหยา...และมองดูพี่เหยาที่ค่อยๆสงบลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงอาการหอบสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนของทอม...

ผมจะโกรธใคร?...จะเรียกร้องอะไร?...ในเมื่อทุกสิ่ง คือสิ่งที่ผมดั้นด้นมา เพื่อทำให้มันเกิดขึ้นด้วยมือของตัวเอง?...

พี่เหยาค่อยๆขยับตัวออกจากอ้อมแขนของทอมช้าๆ...อาการหอบสะอื้นยังไม่อาจเก็บกลืนหายไปเสียทีเดียว

พี่เหยาคงควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว ผมคิดอย่างนั้น และก็รู้ว่าตัวเองคิดผิด เมื่อพี่เหยาเดินไปหยุดที่ หน้าตู้ใบใหญ่ เปิดลิ้นชักที่ตรงหน้าช้าๆ...แล้วทอมก็ถลึงตัวลุกขึ้น วิ่งเข้าไปหา แต่ก็ช้ากว่าพี่เหยาที่หยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาจากลิ้นชัก และหันมาอย่างรวดเร็ว

ผมเย็นวาบไปทั้งตัว...เมื่อพี่เหยาหันมาพร้อมมือที่ถือปืนยกจ่อขึ้นที่หัวตัวเอง...

พี่เหยามองผมอย่างเกลียดชัง...แม้ไม่พูดอะไร แต่ผมรู้ พี่เหยากำลังถามผมว่า...อย่างนี้ใช่ไหมที่ผมต้องการ?...

ตอนนี้ผมได้คำตอบ...ถ้าผมทำลายโลกที่พี่เหยาพยายามปกป้องมาสุดชีวิตเพื่อรอวันได้กลับมาเหยียบยืนอยู่นี้ลง พี่เหยาจะทำอย่างไร จะกลับไปหาผมไหม...ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว...

“พี่...ผมโกหก ฟงกับพี่คิม ไม่รู้อะไร...ผมไม่ได้พูดอะไร!”ผมละล่ำละลักพูดออกไป ตาก็จับจ้องแต่ที่มือของพี่เหยา




--------------------

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
พี่ทิพย์ใจร้ายยยยยย  :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: ขออีกนิดได้ป่าว

บีบหัวใจสุดๆๆ


ขอบคุณคนโพสต์ครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“แต่ตอนนี้รู้แล้ว...”พี่เหยาพูด และสะอื้นออกมา มือพี่เหยาสั่นระริก ตาที่จับจ้องผมก็ละไปมองผ่านผมไปยังด้านหลัง

ฟงยืนอยู่ตรงนั้น กับ พี่คิม...

“จึเหยา!... ทำอะไร!”พี่คิมถามและร้องไห้อย่างคนทำอะไรไม่ถูก มือเกาะแขนฟงไว้แน่น

“จึเหยา!”หากแต่สำหรับฟง ไม่มีคำถามออกจากปากฟง...ฟงสะบัดแขนจากการเกาะเกี่ยวของพี่คิม เรียกก็เพียงแต่ชื่อของพี่เหยาและเดินตรงเข้าไปหาพี่เหยา

“จึเหยา!”ฟงเฝ้าเรียกพี่เหยาทุกครั้ง ที่พี่เหยาเกร็งกระชับมือที่เหนี่ยวไกปืนไว้ และทุกครั้งมือพี่เหยาก็จะคลายออก แม้น้ำตาจะยังไหล เหมือนหยดเลือดที่เปรอะเปื้อนมือที่สั่นระริกของพี่เหยาและค่อยๆไหลผ่านข้อมือลงมาช้าๆ

ฟงเข้าไปถึงตัวพี่เหยา...ปลดปืนออกจากมือพี่เหยาอย่างง่ายดายและค่อยๆวางเก็บมันเข้าไปไว้ที่เดิม พร้อมๆกับที่พี่คิมรีบวิ่งเข้าไปหา...ส่วนผม ทำได้เพียงยืนมอง...เช่นเดียวกันกับทอม

ฟงพูดอะไรบางอย่างกับพี่คิม และพี่คิมก็พยักหน้ารับ เช็ดน้ำตาตัวเองและวิ่งกลับออกไป

เดี๋ยวต้องมีคำถามตามมาอีกมากมาย...ผมรู้...ทอมก็รู้...แม้แต่พี่เหยาก็คงรู้

ความลับที่พี่เหยาเอาทุกอย่างเข้าแลกเพื่อปกป้อง...ไม่อาจเป็นความลับได้อีกต่อไป...

หากความจริงเปิดเผย...ทอมก็คงไม่สามารถยืนอยู่ได้อย่างนี้อีกต่อไป...ไม่สามารถตีหน้ายิ้ม...เสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นคนหนึ่งในครอบครัวได้อีกต่อไป

แต่ก็อย่างที่นึกรู้...เรื่องบางเรื่อง ไม่จำเป็นว่า ใครเป็นคนที่ถูก...ใครเป็นคนที่ผิด...ใครที่ควรถูกกล่าวโทษและใครที่ควรถูกปกป้อง เพราะเรื่องบางเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด...ความลับคือคำที่ดีที่สุด

หากทอมเหยียบยืนอยู่ณ.ตรงนี้ไม่ได้...พี่เหยาก็เฉกเดียวกัน...แม้จะด้วยเหตุที่ต่างกัน...หากแต่ผลนั้นดุจเดียวกัน...ไม่เหลือที่ให้พี่เหยาเหยียบยืนได้อีกต่อไป...

แต่ฟงก็ไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น...ฟงกอดพี่เหยาที่ยังร้องไห้เอาไว้... มองอย่างตั้งคำถามไปยังทอมที่ทรุดลงไปนั่งกับพื้นราวกับคนสิ้นหวัง และมองดูผมอย่างเกลียดชัง ราวกับกล่าวโทษว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นคือผม ที่ทำให้เกิดขึ้น...

ฟงพูดอะไรบางอย่างกับพี่เหยา และพี่เหยาก็พยักหน้ารับ หากแต่เมื่อฟงขยับคล้ายจะพาพี่เหยาออกไปจากที่ตรงนี้ พี่เหยากลับฝืนตัว ส่ายหน้า...ผมรู้...พี่เหยากำลังกลัว...

ฟงพยายามพูด...หากแต่พี่เหยาเพียงส่ายหน้าและเริ่มขยับถอยหนีจากฟง...พี่เหยากำลังกลัว...ผมรู้

แล้วทอมก็ลุกขึ้น...บอกฟงให้ทิ้งพี่เหยาไว้ที่นี่ แม้ดูฟงจะไม่เต็มใจนัก แต่ในที่สุดก็เป็นไปตามนั้น เพราะคล้ายว่า นั่นคือสิ่งที่พี่เหยาต้องการเช่นเดียวกัน

ฟงหันมาทางผม...ทอมบอกฟงให้ทิ้งผมไว้ที่นี่เช่นเดียวกัน...นั่นน่าจะดีกว่า แต่เมื่อทอมบอก ผมจึงเลือกเดินตามฟงกลับไปที่บ้าน

ระหว่างทางที่เดินกลับ...บ่อยครั้งที่ฟงหันมามองดูผม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเลย

“หว่อบอกให้คิม มาบอกป๊ากับหม๊าว่า...แค่จึเหยากับพี่ทะเลาะกัน ไม่มีอะไร...แต่จะทะเลาะกันเรื่องอะไร พี่ก็คิดเอาเองแล้วกัน... แต่อย่าให้เรื่องมันไปถึงจึเหยากับทอมแล้วกัน ไม่งั๊นอย่าหาว่าหว่อไม่เตือน!”ฟงบอกก่อนกระชากเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เพื่อพบว่าแม่และพ่อพี่เหยา รวมทั้งพี่คิมนั่งรอกันอยู่อย่างพร้อมหน้า

“อาคิมว่าหนี่กับจึเหยาทะเลาะกันไม่มีอะไรมาก แล้วทำไมเสียงดังอย่างนั้น...แล้วไปทะเลาะอะไรกันที่บ้านทอม?”แม่พี่เหยาถามทันที ที่เห็นหน้าผม

“แค่เถียงกัน แล้วทำแจกันทอมแตก จึเหยาไปเหยียบเข้าก็เท่านั้น!”ฟงเป็นคนตอบ ก่อนที่ผมจะทันพูดอะไร

“ทะเลาะกันเรื่องอะไร?”แม่พี่เหยาถาม

“ผู้ชายทะเลาะกัน จะทะเลาะเรื่องอะไรล่ะหม๊า ก็เรื่องผู้หญิงน่ะซิ!”ฟงตอบด้วยทีท่าไม่เห็นสำคัญ

“แค่เรื่องผู้หญิง แล้วทำไมต้องทะเลาะกันเสียงดังอย่างนั้น?”

“โหหม๊า!...เรื่องผู้หญิงน่ะ มันศักดิ์ศรีของผู้ชายอย่างหว่อเลยนะหม๊า!”ฟงตอบ แล้วหัวเราะเพราะโดนแม่พี่เหยาหันมาดุเบาๆด้วยภาษาจีน

“ศักดิ์ศรีมันสำคัญกว่าความเป็นพี่เป็นน้องหรือเปล่า...หนี่ไปเรียกจึเหยากลับมา คุยกันให้รู้เรื่องวันนี้เลย...พวกหนี่ทำอย่างนี้ไม่ถูก... ป๊าไม่ชอบ!”พ่อพี่เหยาหันไปสั่งฟง

“จึเหยาเหยียบเศษแก้ว...”ฟงตอบเลี่ยง

“เศษแก้วแค่นั้น มันไม่ทำให้กี๋ตายหรอก...ทะเลาะกันเรื่องผู้หญิง แล้วมาบอกว่าเศษแก้วตำแค่นี้ไม่ยอมกลับมา...ละอายบ้างหรือเปล่า อาเอกยังกล้ากลับมา!”พ่อพี่เหยายังยืนยันจะให้พี่เหยากลับมาให้ได้ จนพี่คิมหน้าเสีย

“ป๊าฟังก่อนซิ!...ที่จึเหยากับพี่เอกทะเลาะกันมันก็ไม่ผิดนะ...จริงๆก็ไม่ได้ทะเลาะกันด้วย!”

“เดี๋ยวทะเลาะ เดี๋ยวไม่ทะเลาะ...หนี่จะเอาไงแน่?...หนี่อย่ามาทำทะเล้นนะอาฟง!”

“หว่อไม่ได้ทะเล้น...ก็พี่เอกเขามีแฟน แล้วแฟนเขาก็เปลี่ยนใจมาชอบจึเหยา แต่จึเหยาไม่สนเพราะเป็นแฟนพี่เอก ป๊าว่าจึเหยาผิดหรือเปล่าล่ะ?”

“ไม่ผิดซิ!...อย่างนั้นจะผิดได้ยังไง?”

“ใช่ แล้วอย่างนั้นจะผิดได้ยังไง?”ฟงถามแล้วยิ้มหน้าทะเล้น

“งั๊นแล้วกี๋ทะเลาะกันทำไม?”พ่อพี่เหยาถามก่อนหันหน้ามามองผมอย่างอยากได้คำตอบ เพราะเมื่อพี่เหยาไม่ผิด ความผิดก็น่าจะอยู่ที่ผม

“ก็พี่เอกเขาเข้าใจว่าจึเหยาน่ะชอบ แต่เกรงใจพี่เอกไง...โห น้ำใจลูกผู้ชายนะป๊า...ความเสียสละของลูกผู้ชาย ป๊าชอบไม่ใช่เหรอ เหมือนหนังที่ป๊าดูทุกคืนเลยไง!”ฟงพูด อย่างที่ผมไม่มีทางรู้ว่าตั้งใจประชดผมหรือเพียงพูดให้ฟังดูติดตลกเท่านั้น

หากแต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เรื่องมันก็จบลงอย่างง่ายดายกว่าที่ผมคิด...ความลับยังคงเป็นความลับ...แม้ยากจะบอกว่า...มันเป็นความลับที่ไร้การระแคะระคายจริง...หรือเพียงต่างเสแสร้งหวังให้การทะเลาะกันระหว่างผมและพี่เหยาจบลงอย่างไร้การบอบช้ำที่สุด...บ่อยครั้งที่ผมคิดว่าเป็นอย่างหลัง พ่อและแม่พี่เหยาจึงเชื่อคำของฟงอย่างง่ายดาย...คล้ายปล่อยให้เป็นเรื่องระหว่างเด็ก ที่ผู้ใหญ่ไม่ควรยื่นมือเข้ามาก้าวก่าย หากเลือกได้...แต่หากพ่อและแม่พี่เหยารู้ความจริง หรือแม้แต่ฟงหรือพี่คิมจะรู้...เรื่องมันคงไม่จบลงอย่างไร้การบอบช้ำอย่างนี้...ผมคิด แต่ก็เลือกที่จะไม่พูด

แต่อย่างหนึ่งที่ผมรู้โดยไร้ข้อกังขาคือ...ไม่ว่าจะความระแคะระคายใด...ไม่มีชื่อทอมเข้ามาเกี่ยวข้องเลย..อย่างที่ฟงบอก...อย่าให้เรื่องถึงจึเหยาหรือทอม ไม่งั๊นอย่าหาว่าหว่อไม่เตือน...

สำหรับครอบครัวของพี่เหยา...คล้ายจะวางความไว้วางใจไว้ในมือทอมอย่างเต็มเปี่ยม โดยปราศจากข้อระแวงสงสัยใดๆเลย...

ผมรู้ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์หรือบุญคุณ...หากสำหรับครอบครัวพี่เหยา ทอมคือส่วนหนึ่งของครอบครัวอย่างแท้จริง...เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่พร้อมจะได้รับการปกป้องเฉกเดียวกับพี่เหยา...จนบางครั้งหากผมเลือกพูดความจริง...หากทอมปฏิเสธ...หากพี่เหยาปฏิเสธ...อาจไม่มีความระแคะระคายใจเลยว่าใครโกหก...คงเป็นผมที่โกหก...ในสายตาและความคิดของทุกคน

ผมนึกขำและมั่นใจ...หากผมพูดความจริง...พี่เหยาจะเลือกปกป้องทอม ไม่ใช่ผม...

เมื่อแม่และพ่อพี่เหยาต่างกลับขึ้นชั้นบน ฟงกับพี่คิมก็ไม่ได้พูดอะไรกับผมอีก ฟงกลับออกไปอีกครั้ง...คงกลับไปหาพี่เหยา...ส่วนพี่คิมก็กลับเข้าห้องตัวเอง

ผมจึงเดินกลับขึ้นไปบนห้องนอนพี่เหยาเพื่อหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเอง...แม้จะมืด แม้จะอยู่ในที่ๆไม่รู้จัก...แต่ผมก็เลือกยกกระเป๋าขึ้นสะพาย และเดินออกจากบ้านพี่เหยาด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นอย่างไร...

กระดาษที่จดที่อยู่หอพักไว้ยับยู่ยี่ แต่ก็ยังพอจะอ่านออก หากแต่ดึกจนดื่นป่านนี้ ผมจะตอบเขายังไงว่าทำไมเข้าหอดึกขนาดนี้...ยิ่งไปกว่านั้น...จะมีรถแท็กซี่สักคันผ่านมาในซอยเวลานี้บ้างหรือเปล่า...ถ้าหากว่าไม่...ผมคงไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าจะหาเหตุผลอะไรมาตอบคำถามว่าทำไมถึงเข้าหอดึกป่านนี้ เพราะผมคงได้สะพายกระเป๋าเดินวนไปวนมาหาทางออกในซอยมืดๆนี่จนเช้า...

เป็นไปอย่างที่คิด...กว่าจะเข้าหอก็ตอนเช้า เพราะในซอยไม่มีรถผ่านสักคัน ยกเว้นก็แต่รถของทอมที่ขับวนไปมา มองหาผมอยู่ทั้งคืน หากแต่ผมซ่อนตัวสนิท เลือกที่จะไม่กลับเข้าไปอีกแล้ว...



--------------------
จบตอน 13

ขออภัย เน็ตเสียไปชั่วขณะ

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
รักพี่ทิพย์ที่สุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ omelet

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-2
ตอนแรกเห็นเรื่องนี้ในเล้า แอบตกใจ ว่ามาระบาดถึงนี่เลยเหรอ

เรื่องนี้เคยอ่านนานมากกกกกกแล้ว อ่านได้แค่ 6-7 ตอน ก็เลิกอ่าน ไม่ใช่ว่าไม่ดี
แต่ดีมากๆๆต่างหาก จนเรารู้สึกเหมือนดูหนังไม่ก็วงเวียนชีวิต -*- อ่านแล้ว.....  :sad2: :sad2:

เครียดจนอ้วกเลย -*- มันเครียดจนทนไม่ไหว เลยเลิกอ่าน (ความจริงเล่นเนตต่อเนื่อง 20 ชม.เลยอ้วก  :oak:)

ตอนนี้เห็นว่ามีจนจบแล้วแถมยังเผยแพร่มาถึงเล้า ที่สถิตแห่งใหม่ 55+
เดี๋ยวขอเวลาทำใจ มาอุดหนุนผลงาน คุณ ภัคD บ้างดีกว่า

ปล.เป็นกำลังใจให้คนโพสต์กะคนแต่งนะคะ

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
อาจารย์สีฟ้า วิเคราะห์ถูกเป๋งเลย

สงสัยเพราะใช่หลัก Anal Chem มาช่วย


สองมัวแต่ใช่ Verb to เดา   เลยพลาด



แงๆ  แล้วอย่างนี้ จารย์ยังจะบอกว่า ทำหน้าที่ที่สองขอให้ช่วยไปได้ไม่ดี ได้อย่างไร  อิอิ

อย่างน้อยสองก็พิสูจน์คุณสมบัติบางอย่างของอาจารย์ให้ใครบางคนได้เห็นแล้ว อิอิ (แต่มะรู้ว่จะเข้ามาเห็นหรือเปล่านะ อุอุ)


อิเจ้

Mono_Koro

  • บุคคลทั่วไป
โอ๊ย

งือ :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:

น้ำตาใหลเลยอ่า

เครียด

เศร้า

รีบมาต่อเร็วๆนะคับ

รอใจจดใจจ่อเลยคับ o7

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 14


ผมไม่ติดต่อไปหาพี่เหยาอีก เหมือนที่พี่เหยาก็ไม่ติดต่อมาเลยเช่นกัน...

หรือถึงแม้ผมจะนึกอยากติดต่อพี่เหยา แต่ในความเป็นจริงคือ ผมไม่มีแม้เบอร์โทรศัพท์พี่เหยา หรือใครเลย...และพี่เหยาเองก็คงไม่รู้ที่อยู่หอผมเช่นเดียวกัน

ผมไม่ได้โทรหาพวกไอ้วิทย์...มันจะว่ายังไง ถ้ารู้ว่าผมได้เจอพี่เหยา ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เดินผ่านสี่แยกไหน และมันจะว่ายังไง ทั้งที่มันเคยบอกผม ให้หัดถามตัวเองว่า...ที่ทำ เพื่ออะไร...แต่ผมก็ยังทำทุกอย่างด้วยเหตุผลเดิมๆคือความโกรธ ความเกลียด และเหนืออื่นใดคือ ความอิจฉา

เวลาผ่านไปวันๆ...เพื่อรอให้จบลงไปอย่างช้าๆ โดยที่ผมไม่ได้หวังว่าจะได้เจอพี่เหยาอีก...

แต่มันก็เหมือนกับวงจรความสัมพันธ์แบบเดิมๆ คือ เมื่อผมขยับไปข้างหน้า พี่เหยาจะถอยหนี หากแต่เมื่อผมขยับถอย พี่เหยากลับก้าวตามมา...ครั้งนี้ก็เช่นกัน...พี่เหยาเป็นฝ่าย ก้าวเท้ากลับเข้ามาหาผม แต่ก็ด้วยเหตุผลที่ผมเกินจะเคยคาดเดา...และคงไม่มีทางคิดว่าพี่เหยาจะทำ...

ผมเปิดประตูห้องออกไป ตามเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นตั้งแต่เพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน

แม้วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ที่ผมไม่ต้องไปฝึกงาน และผมน่าจะตื่นนอนตอนสายๆ อย่างที่ชอบทำ หากแต่ต้องยอมรับว่า นับจากเดินออกมาจากบ้านพี่เหยา...ไม่มีสักวันที่ผมหลับตาลงได้สนิท...ผมหลับโดยที่ยังครุ่นคิดถึงพี่เหยา...ลืมตาตื่นพร้อมกับคำถามว่าจะทำอย่างไรดี...วันนี้ก็เช่นกัน ผมลืมตาตื่นพร้อมคำถาม และค้านที่จะพยายามหลับตาลงอีกครั้ง เพราะรู้ว่าเปล่าประโยชน์

ผมไม่เคยคาดคิดว่า เมื่อเปิดประตูออกไป จะเจอพี่เหยายืนรออยู่ที่หน้าห้อง

พี่เหยาไม่ได้ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ทำหน้าบึ้งตึงหรือเฉยชา

...เรียกว่า ความหวังหรือเปล่า?...ผมถามตัวเอง...

“กินข้าวหรือยัง?”พี่เหยาถาม เมื่อก้าวเข้ามาในห้องผม มันอาจเป็นคำถามทักทายทั่วไป หรือเพียงคำถามที่ง่ายที่สุดที่จะพยายามเริ่มต้นทุกอย่างให้ดูเป็นปกติ

“ยัง...เช้าอยู่เลยไม่ค่อยหิว”ผมตอบอย่างพยายามให้ปกติเช่นกัน และ มองดูพี่เหยาที่นั่งลงที่เก้าอี้ พร้อมวางถุงใส่ของไม่ใหญ่นักลงบนโต๊ะ

“มีแต่หนมปัง...โบโลน่า...แซนวิชสเปรด...เบียร์ของเอก กับเป๊บซี่ของพี่...เอาเข้าตู้เย็นก่อนก็ได้ หิวแล้วค่อยกิน...”พี่เหยาบอกก่อนผลักถุงตรงหน้ามาให้ผม

“พี่เป็นไงบ้าง?...”ผมถามเมื่อทยอยหยิบของออกจากถุง และเอาเข้าเก็บไว้ในตู้เย็นอย่างช้าๆ...ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้...หวังเพียงถ่วงเวลาให้ไม่ต้องไปนั่งเผชิญหน้ากับพี่เหยา...

“อะไรเป็นไง?”พี่เหยาย้อนถาม

“ก็...วันนั้น”

“อ๋อ...ก็อย่างที่ฟงบอกป๊านั่นแหละ...เราแย่งผู้หญิงกัน...”พี่เหยาพูดและหัวเราะในคอ

“แล้วฟงไม่ถามอะไรพี่เหรอ?”ผมถาม

“เปล่า...เอกเรียงของใส่ตู้เย็น ช้ากว่าพี่ยัดของลงถุงตอนซื้อซะอีก...ระวังมันหมดอายุก่อนถึงตู้เย็นนะ!”พี่เหยาว่า

“พี่ไม่โกรธผมแล้วเหรอ?”ผมถาม เพราะวิธีการพูดของพี่เหยามันคล้ายว่า พี่เหยาจะไม่โกรธอะไรผมเลย หากแต่ก็ ยังไม่กล้าหันไปมองพี่เหยาอยู่ดี

“ไม่รู้สิ...”พี่เหยาตอบ ก่อนถามต่อ

“เอกรีบไปไหน หรือมีอะไรต้องทำหรือเปล่า?”

“เปล่า...วันนี้ผมไม่ต้องไปทำงาน”ผมตอบ ก่อนนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามพี่เหยา

แล้วเราก็คุยกันตามปกติ...ราวกับไม่เคยมีเรื่องของคืนนั้น...ราวกับพี่เหยาไม่เคยหันหลังให้กับผม...ราวกับผมเพิ่งลงจากรถไฟมาเมื่อเช้าและเราเพิ่งได้คุยกัน...

เราคุยกันเป็นปกติ ด้วยเรื่องของคนอื่น...แต่ไม่มีเรื่องระหว่างเรา

ผมบอกพี่เหยาเรื่องพี่เก้า กับ พี่นัทไปเรียนต่อแล้ว...แต่เลือกที่จะไม่ถามว่าทำไมพี่เหยาไม่ยอมติดต่อพี่เก้า พี่นัท รวมทั้งพี่เก่ง

พี่เหยาบอกผมเรื่องที่ฟงเคยจีบแฟนไอ้รงค์...แต่ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น

ผมบอกพี่เหยาเรื่องขอแลกสถานที่ฝึกงานกับเพื่อน...แต่ก็ไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไม

พี่เหยาบอกผมเรื่องจะไปงานแสดงสินค้าที่จะจัดขึ้นที่เยอรมันกับทอมในเดือนหน้า...แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เราเหมือนต่างฝ่าย ต่างรอ ว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่ม และจะเริ่มอย่างไร...

“หิวยัง?”พี่เหยาถาม และผมกำลังจะส่ายหน้า พี่เหยาก็ขัด

“แต่พี่หิวแล้ว!”

“ของพี่เอาหนมปังแผ่นเดียว แต่โบโลน่าสองอันนะ...”พี่เหยาแจ้งจำนง ก่อนที่ผมจะพูดอะไรเสียอีก มันทำให้ผมยิ้มขำออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

มันเหมือนที่เราชอบทะเลาะกัน...ความโกรธอาจมีบ้าง หากแต่มิได้เกลียดชัง...เมื่ออีกฝ่ายคุยดี...เราก็ลืมความหมางเมิน

เวลาณ.ตอนนั้นก็คล้ายจะเป็นอย่างนั้น...หากแต่เป็นเพียงแค่...ก็คล้าย...เท่านั้นเอง

ดูคล้ายทุกอย่างจะดีขึ้น...ในแง่ของความรู้สึกและอารมณ์

อย่างที่บอก...มันแค่คล้าย...แค่รอเวลาว่าเมื่อไหร่ความคล้ายที่ว่าจะจบลง...และจบลงอย่างไร

และไม่ใช่ว่า...ใครเจ็บปวด...หากแต่...ใครเจ็บปวดกว่ากัน...

“พี่กินเป๊ปซี่แต่เช้าอีกแล้ว...”ผมพูด เมื่อลุกไปหยิบมื้อเช้าออกมาจากตู้เย็นที่เพิ่งยัดมันใส่เข้าไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว และพี่เหยาหันมาบอกให้หยิบเป๊ปซี่มาให้ด้วย

ผมกล้าพูด เพราะดูคล้าย...อะไรๆจะดีขึ้น

“อยู่บ้านไม่ค่อยกิน ป๊าชอบบ่น...เป๊บซี่มันกัดกระเพาะ...มาม่าก็ผงชูรสเยอะ...แต่ถ้าเป็นหม๊าก็จะบ่นอีกแบบ...เผ็ดมาก จะตกกะ... เปรี้ยวมาก หน้าจะดำ... เค็มไปผิวจะเหลือง ทุกอย่างจืดสนิท...”พี่เหยาบ่น

“แปลว่า...ผมอย่าบ่น?”ผมถามและพี่เหยาพยักหน้า

“บ้านพี่เรียกพี่ว่าจึเหยาหมดทุกคนเลย...ผมลืมไปแล้ว...นึกว่าพี่ชื่อเหยาเฉยๆ”ผมบอกเมื่อหยิบขนมปังออกจากถุง

“ไม่เอาแผ่นบน”พี่เหยาบอก เมื่อเห็นผมหยิบขนมปังแผ่นแรกขึ้นมา

“ผมนึกว่าฟงกับพี่คิมจะเรียกพี่ว่าเฮีย...”ผมบอก แล้วก็หัวเราะ เพราะคำๆนี้ดูไม่ค่อยเหมาะกับพี่เหยาเอาเสียเลย

พี่เหยาแค่ขมวดคิ้ว คล้ายจะพูดแล้วก็เปลี่ยนใจ

“ทำไม พี่จะพูดอะไร?”

“เปล่า...แค่จะบอกว่า...บ้านพี่เรียกก๊อต่างหาก...แปลว่าพี่ชายนั่นแหละ...แม่พี่เรียก พ่อพี่ว่าอาก๊อไง...ไม่ได้ยินเหรอ?”พี่เหยาถาม ตาก็มองแต่ขนมปังที่มือผม

“...นึกว่าชื่อ...ไม่เห็นเคยได้ยิน...ทำไมไม่เรียกเฮีย?”

“ก็คนละภาษา...ไว้เอกพูดภาษาจีนได้แล้วค่อยมาถามเหอะ!”พี่เหยาตัดบทพลางฉีกถุงโบโลน่าส่งให้ผม

“สองแผ่นนะ”พี่เหยากำชับ ก่อนเปิดกระป๋องเป๊ปซี่แล้วยกขึ้นดื่ม และเมื่อวางกระป๋องเป๊ปซี่ลง พี่เหยาก็จัดการเปิดกระป๋องเบียร์ให้ผมโดยไม่ถามความเห็น

แม้จะอยากถามพี่เหยาว่าหลังที่ผมแอบออกจากบ้านพี่เหยาตั้งแต่คืนนั้น ที่บ้านพี่เหยาว่าอย่างไรกันบ้าง

ทั้งที่อยากพูดว่าขอโทษ...อยากบอกให้พี่เหยาเข้าใจถึงเรื่องราวในวันนั้น...แต่เมื่อพี่เหยาคุยกับผม...ยิ้มกับผม...หัวเราะอยู่ตรงหน้าผม...ผมก็ไม่กล้ากลับไปแตะต้องเรื่องเหล่านั้น

เพราะเมื่อพี่เหยานั่งอยู่ตรงนี้...มันก็น่าจะหมายความว่า พี่เหยาไม่โกรธผมแล้ว...แค่นั้นเท่านั้นจริงๆที่ผมต้องการ...ผมจึงไม่อยาก หรือพูดให้ถูกคือ ไม่กล้ากลับไปแตะต้องเรื่องที่จะทำให้รอยยิ้มของพี่เหยาจางหาย...

“ฟงเล่าเรื่องพี่ให้ผมฟังตั้งเยอะ...”ผมบอก พลางส่งขนมปังให้พี่เหยา

ที่มือพี่เหยายังเหลือรอยแผลเล็กๆให้เห็น แม้นึกอยากจะถาม...พี่เจ็บหรือเปล่า..แต่ก็ไม่ได้ถาม เพราะผมยังไม่กล้าแตะต้องเรื่องที่เกิดในวันนั้น

“เรื่องอะไร?”พี่เหยาถาม แต่ดูจะไม่ค่อยสนใจคำตอบผมเท่าไหร่ สนใจก็แต่ขนมปังหนึ่งแผ่นกับบาโลน่าสองแผ่น ที่หมดไปภายในเวลาอันรวดเร็ว

“ท่าทางพี่หิวจัง เอาอีกไหม?”ผมถาม

“ไม่เอาแล้ว...มีทิชชู่หรือเปล่า?”พี่เหยาส่ายหัวและถามกลับ ผมจึงลุกเดินไปหยิบทิชชู่ให้พี่เหยา

“กินคนเดียวไม่อร่อย”พี่เหยาบอกเมื่อรับทิชชู่จากมือผม

“นี่ขนาดไม่อร่อยนะ!ถ้าอร่อยจะเหลือถึงผมไหมเนี่ย?”

“เหลือสิ...แผ่นบนกับแผ่นล่างไง!”พี่เหยาตอบและยิ้ม และผมหัวเราะให้กับคำพูดของพี่เหยา...พี่เหยาเป็นแบบนี้เสมอ อะไรไม่กินก็โยนให้ผม...

พี่เหยาขยับกระป๋องเบียร์ส่งมาให้ผม ผมจึงยกมันขึ้นดื่ม

“พี่ไม่เห็นเคยเล่าเรื่องที่บ้านให้ผมฟังเลย?”

“ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าเล่า...”

“ไม่รู้สิ...เมื่อวันก่อนผมเพิ่งอ่านหนังสือ...ถ้าอ่านก่อนได้คุยกับฟงกับพี่คิมหรือพ่อของพี่ ผมก็คงเฉยๆ...แต่อ่านตอนนี้แล้วผมว่า มัน...มันใช่”

“หนังสือว่าไง?”

“เดี๋ยวเอาให้พี่อ่าน...พูดแล้วมันเน่า...เดี๋ยวพี่หัวเราะผม”ผมบอกก่อนลุกเดินไปหยิบหนังสือ และอดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองเมื่อได้ยินเสียงพี่เหยาหัวเราะ

“เห็นไหม แค่นี้พี่ก็หัวเราะแล้ว!”ผมพูดโดยไม่อาจละสายตาจากริมฝีปากแดงๆของพี่เหยาได้ แม้เมื่อก้มหน้าเปิดพลิกหาหน้าหนังสือที่อยากให้พี่เหยาอ่าน ผมก็ละสายตาจากหนังสือ เงยหน้าขึ้นมองดูพี่เหยาบ่อยครั้ง และพี่เหยาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงมองตอบผมและยิ้ม

“หน้านี้ไง...”ผมบอกพลางส่งหนังสือให้พี่เหยา ตาก็ยังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าพี่เหยา...ที่ยังเหลือรอยยิ้มบางๆอยู่บนริมฝีปากแดงๆของพี่เหยา

“สิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์คือความทรงจำ...ไม่ว่าสุข หรือ ทุกข์... เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นความทรงจำ...ยามนึกถึงความสุขจะอิ่มเอม... ยามนึกถึงความทุกข์ก็ทำให้ดื่มด่ำ”พี่เหยาอ่านและหัวเราะ

“ก็ดีนะ...มีความทรงจำเยอะๆประหยัดตังค์ดี...”พี่เหยาว่า ปากแดงๆของพี่เหยาก็ยังขยับหัวเราะ

“อะไรนะ?”ผมถาม เพราะอ่านมาร้อยรอบแล้ว แต่ก็นึกไม่ออกว่ามันเกี่ยวกับที่พี่เหยาว่าได้ยังไง

“อ้าว!...ก็อิ่มเอม ดื่มด่ำไง...ดีไง...ไม่ต้องกินข้าว กินน้ำ!”พี่เหยาตอบ อย่างเห็นจริงเป็นที่สุด

“พี่คิดได้ไง?!”ผมพูดและหัวเราะ ก่อนลุกขึ้นแย่งหนังสือคืนจากมือพี่เหยา แต่พี่เหยาไม่ยอมปล่อย เราจึงต่างพยายามยื้อหนังสือจากมือกันและกัน...หัวเราะให้แก่กันและกัน...จ้องมองกันและกัน...แล้วพี่เหยาก็ปล่อยมือ ผมจึงเซไปข้างหลังจนเกือบล้ม

ผมมองดูพี่เหยาที่หัวเราะ และรีบยกเท้าขึ้นพาดเหยียดบนเก้าอี้ของผม เมื่อผมเดินกลับมาจะนั่ง...ผมแกล้งไม่สนใจ ทำท่าจะทิ้งตัวลงนั่งทั้งอย่างนั้น พี่เหยาจึงต้องรีบชักเท้าหลบ หากแต่ก็แค่ขยับหลบ ยังไม่ยอมเอาเท้าลงจากเก้าอี้ผม ดังนั้นเมื่อผมนั่งลง ปลายเท้าพี่เหยาจึงสัมผัสกับขาผม

หากจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไร...ก็คงเป็นการโกหก

หากจะบอกว่าเพิ่งรู้สึก...ก็คงเป็นการโกหกเช่นกัน

มันไม่แปลกอะไร...ผมสัมผัสร่างกายที่นั่งอยู่ตรงหน้ามานับครั้งไม่ถ้วน และไม่เคยหยุดปรารถนาจะสัมผัส...ช่วงเวลาที่เหินห่างไป...ความคิดถึงและกระหายในรสสัมผัส มันไม่เคยจาง...ตรงข้าม มันทวีและรุนแรงมากขึ้น...โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเช่นนี้...เวลาที่รอยยิ้มของพี่เหยามันให้ความหวังแก่ผม...เวลาที่รอยสัมผัสของเท้าขาวๆของพี่เหยา มันทำให้ใจผมเต้นระรัว

“ทำไมเอกถึงคิดว่ามันใช่?”พี่เหยาถาม ยกมือขึ้นกอดอก ปากแดงๆยังหัวเราะ

“อะไร?”ผมถามอย่างงงๆ เพราะตอนนี้ลืมหมดแล้วว่าคุยอะไรไป...คิดเห็นก็แต่ภาพพี่เหยาที่นั่งอยู่ตรงหน้า




--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“ก็...ความทรงจำต่างข้าวไง!”พี่เหยาช่วยเตือนความจำ ที่พอได้ฟังแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาอีก...หากแต่ก็หัวเราะไม่เต็มเสียงนัก เพราะหัวใจและความรู้สึกของผมกว่าครึ่ง มันหมกหมุ่นอยู่ที่เรียวเท้าขาวๆของพี่เหยา ที่พี่เหยาแกล้งขยับช่วยสะกิดเตือนความจำผมต่างมือ

“ก็...ไม่รู้สิ...ก็ที่ฟงกับพี่คิมเล่าให้ฟังน่ะ มันเศร้ากว่าหนังช่องเจ็ดอีก แต่ก็หัวเราะกันซะท้องแข็ง...”ผมพูดตามที่เห็นจริง แต่พี่เหยาคงไม่เห็นด้วยจึงขมวดคิ้วมุ่น ปลายเท้าขาวๆก็กระดิกไปมาช่วยยืนยันอาการขบคิดของตัวเอง...และมันเสียดสีกับขาผม แม้ผ่านยีนส์เนื้อหนา แต่ใจผมก็ร้อนผ่าว

“คิดอะไร?”ผมถาม นึกอยากแกล้งเอานิ้วไปช่วยนวดหัวคิ้วให้มันเลิกขมวด ส่วนอีกใจก็นึกอยากสัมผัสเท้าขาวๆ ที่สัมผัสโดนขาผมอยู่บ่อยครั้ง

“ก็...ไม่รู้สิ ไม่เคยดูหนังช่องเจ็ด...เห็นน้าสุก็ดูแต่ช่องสามนี่นา!”พี่เหยาว่า คิ้วยังขมวด แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าแค่แกล้ง ผมเลยแกล้งถอนหายใจดังๆบ้าง ทั้งยังแกล้งเท้าแขนลงเกาะขอบเก้าอี้ เบียดเท้าพี่เหยาให้แนบชิดกับขาผมยิ่งขึ้น

“ช่างมันเถอะ...เพราะถึงยังไง ผมว่าเรื่องบางเรื่องถ้าผมเลือกได้...ผมก็ไม่อยากเก็บมันไว้แค่ในความทรงจำ...ยอมหิว”ผมพูดพยายามให้ติดตลก แม้ในใจจะคิดอย่างนั้นจริงๆ และนึกอยากรู้ พี่เหยาจะคิดอย่างผมไหม เพราะเท่าที่ผ่านมาพี่เหยาเก็บผมไว้แค่ในความทรงจำไปแล้ว

“อือ...พี่ก็ยอมหิว”พี่เหยาพูด และคำพูดนั้นก็เหมือนความหวังที่ยิ่งทำให้ผมยิ้มอย่างไม่ตั้งใจ

“เรื่องบางเรื่องก็ไม่เก็บไว้หรอก...ไม่จำ...ยอมหิว!”พี่เหยาพูดต่อจนจบ ด้วยรอยยิ้มราวกับไม่มีความหมายใดต่อผมเป็นพิเศษ หากแต่ความหวังของผมมันก็หล่นร่วงไปทันที

...พี่เหยาหมายถึงผมหรือเปล่า...ผมคิด มองดูริมฝีปากที่ยังขยับยิ้มของพี่เหยา...ผมคิด หากแต่ใจก็ยังจดจ้องที่ปลายเท้าขาว ที่ตอนนี้สัมผัสเบียดชิดกับขาและแขนของผม

“ฟงมันจะจำอะไรได้...จำเอาที่คนอื่นเล่าให้ฟังมาพูดทั้งนั้น...ตอนนั้นมันเพิ่งป.3เองมั๊ง”พี่เหยาพูดและหัวเราะ

“แหวนวงสุดท้ายของหม๊าเอาไปซื้อกุ้ง...แต่วงก่อนๆหน้านั้นไม่ใช่...”พี่เหยาพูด

“พ่อของพี่ก็เหมือนคนจีนทั่วไป...ชั้นไม่มีวันผิด...ชั้นเป็นผู้นำ...ทุกคนต้องฟัง...พ่อพี่เป็นอย่างนั้นมาตลอด...ครั้งนึงที่แม่ถอดแหวนให้พ่อ...พี่เดินเข้าไปในห้องพอดี...”พี่เหยาเล่า ไม่เหลือรอยยิ้มอีกต่อไปแล้ว ตาพี่เหยาจับจ้องไปข้างหน้า หากแต่ผมรู้ พี่เหยามองไม่เห็นอะไรนอกจากความทรงจำที่พี่เหยาบอกว่า...ไม่อยากจดจำ

“พ่อก้มหน้า...พี่ไม่เห็นหน้าพ่อ...พ่อจ้องก็แต่ที่มือแม่...หน้าของพ่อแดง...พ่อยังพูดกึ่งตะวาด...พ่อไม่ได้โกรธ...พี่รู้...พ่ออาย...อายแม่ อายลูก...แม้แต่ความรู้สึกสงสาร ก็ยังกลายเป็นการคิดดูถูก...พี่รู้สึกผิดที่รู้สึกสงสารพ่อตัวเอง...พี่ไม่ได้สงสารพ่อที่ถอดแหวนจากมือแม่...แต่สงสารพ่อ ที่รู้ว่าพ่ออาย เอกเข้าใจไหม?”พี่เหยาหันมาถาม

“วันที่นั่งอยู่ในรถ...มองดูพ่อที่โทรศัพท์เข้าไปถามแม่ว่า พวกเขาไปหรือยัง...ถ้าเลือกได้ พ่อคงไม่อยากให้พี่นั่งอยู่ด้วยตรงนั้น...แต่พี่ก็นั่งอยู่...พี่ไม่กล้ามองพ่อ...พี่รู้พ่อไม่อยากให้พี่อยู่ตรงนั้น...พี่จำไม่ได้หรอกว่าแม่ของพี่เสียแหวนไปกี่วง...จำไม่ได้ว่าเวลาที่โดนตบเจ็บหรือเปล่า...จำไม่ได้ด้วยว่าบ้านหลังเก่ามันต่างจากบ้านหลังใหม่ยังไง...แต่ที่จำได้ไม่เคยลืม คือหน้าของพ่อ เวลาที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองดูหน้าลูก...จำได้ก็แต่ความรู้สึกผิด ที่นึกสงสารพ่อตัวเอง...”

“ทำไมต้องรู้สึกผิดล่ะพี่...รู้สึกสงสารมันผิดตรงไหน?”

“ไม่รู้สิ...เพราะพี่รู้มั๊ง...ว่าพ่อพี่ก็รู้ว่า พี่รู้สึกยังไง...มันยิ่งแย่ ที่รู้ว่าพ่อก็คงรู้ว่า พี่รู้สึกยังไง... เอกไม่เข้าใจหรอก ช่างมันเถอะ!”

“ฟงว่าพี่ทะเลาะกับพ่อเรื่องที่จะไปงานแสดงสินค้าที่เยอรมัน?”ผมถามถึงสิ่งที่รู้มาจากฟง

“อือ...พ่อว่าพี่ใช้ประโยชน์จากทอม...พ่อว่าพี่ไม่เจียม...พ่อบอกว่าความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น พี่กลับไม่เอามันมาเป็นแค่บทเรียน พ่อว่าความไม่มี มันทำให้พี่...ตะกละเกินไป...พ่อว่าพี่ทำตัวเหมือนพวกกลัวจะไม่มี!”พี่เหยาพูดและเค้นหัวเราะในคอ

“แค่ไปงานแสดงสินค้า ทำไมพ่อพี่ต้องว่าขนาดนั้น?”ผมถาม เพราะถ้อยคำที่พี่เหยาพูดล้วนรุนแรง และผมไม่เห็นจริงด้วยสักคำ

ทอมต่างหากที่ทำผิดต่อพี่เหยา...

“เปล่า...พ่อก็แค่เกรงใจทอม...พี่บังคับให้ทอมสอนพี่มากไปมั๊ง...ไม่รู้สิ พ่อแค่หมายความว่าพี่ไม่เกรงใจเท่านั้น...คนแก่ก็ชอบใช้คำเกินจริงไง ฟังแล้วมันจะได้เจ็บๆคันๆดี...เขาไม่รู้หรอกว่า เราฟังไป ขำไป...คันคอแต่ไม่กล้าหัวเราะ!”

“พี่หมายถึง...บางครั้งพ่อพี่ก็ชอบใช้คำแรงๆ...มันจะได้ช่วยกระทุ้งเอาเรื่องเก่าๆที่น่าอายเกี่ยวกับพ่อพี่ออกจากหัวพี่ไปไง!”พี่เหยาบอกและยิ้ม

“ความทรงจำมันใช้ต่างข้าวจริงๆนั่นแหละ!”พี่เหยาพูดออกมาก่อนที่ผมจะทันพูดอะไร

“แต่ไม่ใช่อิ่มจนเอมนะ...จุกจนกินไม่ลงน่ะ!”พี่เหยาบอกและชี้ไปที่หลักฐานคือขนมปังที่ยังเหลือเกือบครบ จะขาดก็แผ่นเดียวที่พี่เหยากินไปแล้ว แต่ก็ตรงกันข้ามกับเบียร์ในกระป๋อง ที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่า มันเหลือแค่ก้นๆ

พี่เหยาเหยียดแขนที่กอดอกไว้ออก ก่อนขยับยกปลายเท้า จะเอาลงจากเก้าอี้...ผมรีบรั้งจับไว้อย่างลืมตัว และรีบปล่อยเมื่อนึกขึ้นได้

พี่เหยาแค่มองผมและยิ้ม

“พี่ยังอยากกินข้าว...อยากอิ่มด้วยข้าว ความทรงจำอะไรนั่น ไม่เอาหรอก...เรื่องบางเรื่องก็ไม่อยากเก็บไว้หรอก...ไม่อยากแม้แต่จะจำ...ไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าเรื่องไหนบ้าง?!”พี่เหยาพูด มองหน้าผมและยิ้ม ก่อนขยับเท้าลงจากเก้าอี้ผม

“แล้วผมล่ะ?”ผมถาม

“ทำไม?...ถ้าเอกอยากขอโทษ พี่ไม่โกรธแล้ว...คิดไปคิดมา จากกันด้วยดีก็น่าจะดีกว่า...พี่เลยมาหาเอกไง...happy endingไง!”พี่เหยาพูดและยิ้มอีกครั้ง

“happy ending มันต้องอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสิ ไม่ใช่จากกันด้วยดี”ผมค้าน

“อยู่ด้วยกันแบบไหนล่ะ?”

“ก็...”

“เอกมีแฟนแล้วไม่ใช่หรือไง...ไม่ได้ขายตัวด้วย...”พี่เหยาพูดด้วยคำพูดของผม...อาจเพราะพี่เหยาเพิ่งพูดถึงสิ่งที่ตัวเองไม่อยากจะจดจำ จึงดูคล้ายพี่เหยาเริ่มไม่พอใจในบางอย่าง

“พี่ก็เหมือนกัน...”พี่เหยาบอก

“อะไร?”

“...พี่มีคนที่พี่รักแล้ว...”

“ทอม?”

“พี่ไม่ได้ขายตัวแล้ว!”

“ผมไม่ได้พูดว่าพี่ขายตัว !”

“พี่ก็ไม่ได้ว่าเอกว่าพี่นี่!...พี่แค่บอกว่าพี่ไม่ได้ขายตัวแล้ว!”

“ทำไมต้องประชดผม?!”

“พี่ประชดอะไร?...พี่ก็แค่บอกว่าพี่ไม่ได้ขายตัวแล้ว!”

“ทำไมต้องพูดคำนี้?!”

“ก็ทำไมจะพูดไม่ได้?...ไม่ใช่เอกหรือไงที่พูด?”

มันเกิดขึ้นรวดเร็ว...หรือจริงๆอาจไม่รวดเร็วอะไรนัก หากแต่พล่าเลือนเกินกว่าที่จะจดจำได้...

ผมจำได้แต่ว่าเราเถียงกัน แต่ก็จำไม่ได้มากกว่านั้น ว่าเราเถียงอะไรกันอีก...จำได้ก็แต่ความปรารถนาที่คุกรุ่นขึ้นมาอย่างน่าแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้นึกแปลกใจในเวลานั้น...อาจเพราะความรู้สึกโกรธที่เข้ามาบดบังความแปลกใจ...แต่ก็จำไม่ได้อีกเช่นกันว่าโกรธเรื่องอะไร...อาจเพราะความปรารถนาที่ครอบงำความนึกคิด...ทุกอย่างสับสน...ผมจึงจำอะไรไม่ได้เลย...

จำได้ก็แต่สองมือของพี่เหยาที่ผลักไสผม..และ.จำได้ก็แต่สองมือของตัวเองที่เหนี่ยวรั้งพี่เหยาไว้

จำได้ก็แต่อาการดิ้นรนและขัดขืนของพี่เหยา...และจำได้ก็แต่อาการดิ้นรน ตะกรุมตะกรามที่จะครอบครองของตัวเอง

จำได้ก็ได้เสียงร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดของพี่เหยา... และจำได้ก็แต่เสียงครวญครางด้วยความสุขของตัวเอง

ครั้งแล้ว...และครั้งเล่า...

ซ้ำแล้ว...และซ้ำเล่า...

จนพี่เหยาหมดแรงดิ้นรน...

จนผมหมด...อารมณ์ปรารถนา...

แม้ตลอดมาผมจะเคยสงสัย ทั้งความรู้สึกตัวเอง และความรู้สึกของคนอื่นๆ...เมื่อไหร่กันคือความรัก...และเมื่อไหร่ที่ไม่ใช่...

ผมเคยสงสัย ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในใจ เมื่อไหร่คือความใคร่ เมื่อไหร่เป็นแค่ความหลงใหล หรือเมื่อไหร่จะเรียกว่าความรัก อีกทั้งความผูกพัน...เราเอาอะไรมาวัด

หากแต่ตอนนี้ เวลานี้ เมื่อความปรารถนาจบลง เมื่อเห็นรอยยิ้มเยาะอย่างดูแคลนของพี่เหยา ที่คล้ายจะบอกว่า สุดท้ายผมก็ต้องการอยู่แค่นี้...มันคล้ายจะเพิ่งรู้ตัวว่า สิ่งที่อยู่ในใจตัวเองคงไม่ใช่ความรักอย่างแน่นอน

ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องไห้...เสียงคร่ำครวญ และร่ำไห้...เสียงนั้นชินหู คล้ายครั้งหนึ่งที่ได้ยินจากทอม

ผมไม่อาจเก็บกลั้นสิ่งใดไว้ในใจได้อีก

ความเสียใจมันกลั่นตัวเป็นน้ำตา...

ความเจ็บปวดมันบีบบังคับให้ผมคร่ำครวญออกมาราวกับคนคลุ้มคลั่ง

ผมผิดหวังกับตัวเอง...เหนือสิ่งอื่นใด ผมผิดหวัง เมื่อรู้และบอกตัวเองได้ว่า...ความรู้สึกของผม มันไม่ใช่ความรัก

แม้เคยสงสัย ความรู้สึกของตัวเองใช่ความรักหรือเปล่า...

และแม้เคยคิดว่า อย่างน้อยผมอยากให้ความรู้สึกที่มีต่อพี่เหยาคือความรัก...

ผมอยากรักพี่เหยา...ผมอยากให้ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อพี่เหยา เป็นความรัก...และเมื่อรู้ว่ามันไม่ใช่ ผมไม่อาจทนรับมันได้

ผมร้องไห้...ไม่ได้ต้องการความสงสาร เห็นใจ หรือการยกโทษ ...สิ่งเดียวที่ต้องการคือ...บรรเทาความเจ็บปวดในใจตัวเองเท่านั้น

ผมร้องไห้... โดยไม่อาจละสายตาไปจากรอยยิ้มเยาะแกมสะใจของพี่เหยาได้...

ผมร้องไห้...ร้องเหมือนวันนั้น วันที่โลกมันพังยับเยินลงเพราะทอม

ผมร้องไห้...เพราะวันนี้ รู้สึกไม่หลงเหลือแม้ตัวตนที่พังยับเยินลงเพราะมือตัวเอง

ผมร้องไห้...เพราะไม่มีครั้งไหนอีกแล้วในชีวิต ที่รู้สึกสะอิดสะเอียนกับความโสมมของตัวเองเท่าครั้งนี้

ผมร้องไห้...ตายังจับจ้องอยู่ก็แต่รอยหยามเหยียด ดูแคลนของพี่เหยา

และแม้เมื่อรอยยิ้มพี่เหยายังเยาะหยัน หากแต่บางสิ่งในดวงตาพี่เหยากลับเปลี่ยนไป แม้มันยังเฉยชาหากแต่ผมก็เริ่มเห็นรอยกังวลและกังขา...

ผมร้องไห้ และเห็นพี่เหยาเริ่มร้องไห้...พี่เหยาไม่ได้มองผมอย่างดูถูก ไม่ได้ยิ้มอย่างดูแคลนแล้ว...

“ไม่เป็นไร เอก...”พี่เหยาพูดปนสะอื้น หากแต่ผมไม่สนใจ ทำก็เพียงร้องไห้และคร่ำครวญหวังว่ามันจะช่วยให้ใจผมหายเจ็บ

“มันเป็นแค่ยาเท่านั้น...เอก...แค่ยา”แล้วพี่เหยาก็พูดในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน...

“ยา?”ผมทวนในสิ่งที่ได้ยิน ตาจับจ้องที่พี่เหยาสลับกับกระป๋องเบียร์เปล่าที่หล่นกลิ้งอยู่บนพื้น...กระป๋องเบียร์ที่พี่เหยาเป็นคนเอามา...เป็นคนเปิด และหยิบยื่น ชวนเชิญให้ผมกินแต่เช้า

“พี่ขอโทษ...พี่...”พี่เหยาพูดปนสะอื้น

มันก็เหมือนกับเรื่องหลายเรื่องที่เกิดขึ้น ระหว่างผม พี่เหยา และทอม...

เราต่างเป็นคนถูกทำร้ายพอๆกับเป็นฝ่ายทำร้าย...

เป็นฝ่ายถูกทำให้เจ็บปวด พอๆกับที่เป็นฝ่ายทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวด

ความสุขกับความทุกข์ มันคลุมเครือแค่ไหน

การที่จะตัดสินว่า เราเป็นฝ่ายทำร้าย หรือถูกทำร้าย ก็คลุมเครือพอๆกัน...

ครั้งนี้ก็เช่นกัน...ผมกับพี่เหยา...ใครทำร้ายใคร

หรือหากพูดให้ถูก...ความสัมพันธ์ของเรานับแต่เริ่มต้น...ใครกันแน่เป็นฝ่ายถูกทำลาย...หรือถูกทำลายมากกว่ากัน...




--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“พี่ทำกับผมอย่างนี้ทำไม?”ผมถาม แต่ที่อยากถามกว่าคือ...จวบจนมาถึงวันนี้ พี่ทำให้ผมเกลียดตัวเองไม่พออีกหรืออย่างไร?...ต้องให้ผมชิงชังและดูแคลนตัวเองเท่าไหร่ ถึงจะพอใจ?...ผมอยากถาม หากแต่ก็พูดได้เพียง

“ทำกับผมอย่างนี้ทำไม?”

ผมถามมันซ้ำๆ และคำตอบที่ได้ก็มีเพียงน้ำตาและคำขอโทษของพี่เหยาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“พี่ขอโทษ...”

ผมเจ็บปวด...เมื่อรู้สึกว่าตัวตนของตัวเองถูกทำลายด้วยมือของตัวเอง

แต่เมื่อพี่เหยาบอก...พี่ขอโทษ มันเป็นแค่ยา...

ผมไม่รู้ อะไรเจ็บปวดกว่ากัน...ผมทำร้ายตัวเอง...หรือพี่เหยาทำร้ายผม...

พี่เหยามาหาผมด้วยรอยยิ้ม...มาหาผมพร้อมนำความหวังมาให้ผม...หากแต่เมื่อรู้ว่าแท้จริงมันไม่ใช่...มันตรงข้ามโดยสิ้นเชิง...พี่เหยาทำในสิ่งที่ผมคงไม่มีวันเชื่อว่าพี่เหยาจะทำ หากพี่เหยาไม่พูดออกมาด้วยตัวเอง...

“พี่ขอโทษ...”พี่เหยายังพร่ำพูด

“ไม่ต้องมาขอโทษผม!”ผมตะโกนใส่พี่เหยาจนสุดเสียง ก้มลงหยิบกระป๋องเบียร์ใบเปล่า ขว้างใส่พี่เหยาสุดแรงกำลังแขนของตัวเอง ก่อนทิ้งตัวลงกลิ้งเกลือกร้องไห้บนเตียง

ผมไม่ได้มองดูพี่เหยาอีกแล้ว...ไม่อยากมองอีกต่อไป...

สิ่งเดียวที่มองเห็น คือ น้ำตาที่ยังไม่ยอมแห้งหาย แม้พยายามจะเก็บกลั้นสักเท่าไหร่ก็ตามที

ผมยังคงร้องไห้...แม้เหตุผลจะต่างไปจากน้ำตาเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว...หากแต่ความเจ็บปวดนั้นดุจเดียวกัน หรืออาจจะมากกว่า...ผมจึงยังร้องไห้ โดยที่ใจไม่หายใจลงเลยแม้สักนิด...

จนพี่เหยากลับไปแล้ว...จนผมนอนร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตา ผมถึงได้คำตอบ...เพราะพี่เหยาไม่อยากเก็บผมไว้แม้แต่ในความทรงจำ...

และในที่สุดผมก็บอกตัวเองได้ว่า...การถูกพี่เหยาทำร้าย มันเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไร...

มีดเล่มเดียวกัน...หากต่างมือ...ย่อมทิ้งรอยกรีดลึกได้ต่างกัน

ครั้งหนึ่ง ผมนึกรู้...มีดในมือผม กรีดทิ้งรอยไว้บนผิวเนื้อพี่เหยาได้เจ็บลึกกว่ามีดในมือทอม

และวันนี้ผมรู้...มีดในมือพี่เหยาเอง...ก็กรีดรอยได้ลึกกว่ามีดในมือใคร...มันทิ้งรอยได้เจ็บลึกจนชาไปทั้งหัวใจ...ชาจนไม่เหลือความรู้สึกอะไรอีกแล้ว...

ผมไม่ได้นึกโกรธ หรือเกลียดพี่เหยา...

จริงๆคือ ผมไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร...

สิ่งที่ครั้งหนึ่งผมเคยทำกับพี่เหยา มันไม่ได้ดีไปกว่าที่พี่เหยาทำกับผม...แล้วผมจะกล่าวโทษ หรือถือโกรธอะไรพี่เหยาได้...พี่เหยาแค่ตอบแทน สิ่งที่ผมเคยทำ...พี่เหยาแค่บอกให้ผมรู้ว่า ครั้งหนึ่งพี่เหยารู้สึกอย่างไร เมื่อเป็นฝ่ายถูกผมทำร้าย...ไม่ใช่หมายถึงกาย หากแต่หมายถึงใจ...

ผมจึงไม่กล้ารู้สึกอะไรเลย...

พี่เหยาไม่ได้กลับมาหาผมอีก...

เป็นฟงและพี่คิมที่แวะเวียนมาหาบ้าง

“พี่กลับวันไหน...หม๊ากับป๊าอยากฝากของไปให้พ่อกับแม่พี่...ว่าจึเหยาเคยไปกวนไว้เยอะ”ฟงบอก และผมแค่ส่ายหน้าปฏิเสธ

“ส่ายหัวไม่เอา...หรือไม่เอาน้อยๆ”ฟงถามและหัวเราะ แต่ผมไม่มีอารมณ์จะเสแสร้งแกล้งหัวเราะตาม เพราะผมเองก็แคลงใจ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของฟง จริงใจแค่ไหนกัน...

“อาทิตย์หน้ากลับ...”แล้วผมก็บอกออกไปในครั้งหนึ่งที่ฟงเพียรถาม...บอกออกไปเฉยๆ โดยไม่ได้คิดหรือหวังอะไร

“หม๊าชวนไปค้างบ้าน?”ฟงถามในอีกครั้งที่มาหา และผมปฏิเสธ

“หม๊าชวนกินข้าว...”ฟงถามในอีกบางครั้ง ซึ่งก็เหมือนเดิมคือ ผมปฏิเสธ

วันที่ต้องเดินทางกลับ ฟงมาหาผมแต่เช้า...ผมไม่ได้ไล่ฟงกลับ เพราะก็ไม่ได้รู้สึกอะไรที่ฟงมา...ฟง ช่วยผมเก็บข้าวของที่แทบไม่มีอะไรเลยอยู่ทั้งวันและขับรถไปส่งที่สถานีรถไฟในตอนเย็น

“ทำไมไม่ถามอะไรเลย?”ผมถามฟงระหว่างทางที่นั่งรถไป

“ถ้ารู้แล้วมันดีหรือไม่ดีกว่าล่ะ?”ฟงย้อนถาม

“ไม่ดีกว่า!”ผมตอบ...

...ใช่แล้ว...การไม่รู้อะไรเลยคงดีกว่า...ถ้าเพียงแต่วันนั้น พี่เหยาไม่ลืมกระเป๋าเงินเอาไว้ ถ้าเพียงแต่ผมไม่ตามพี่เหยาไป ผมคงไม่ต้องรู้อะไรเลย...ผมคงได้เป็นน้องชายของพี่เหยาตลอดไป...

“แล้วอันไหนจึเหยามีความสุขกว่ากัน?”

“ไม่...มีความสุขกว่า”ผมตอบ เพราะรู้...พี่เหยายอมทุกอย่าง ขอเพียงอย่างเดียว...ขอให้ทุกอย่างเป็นความลับตลอดไป...

“แล้วอันไหนพี่มีความสุขกว่ากัน?”

“ไม่...มีความสุขทั้งสองอย่าง!”ผมตอบและฟงหันมามองหน้าผม

แม้จะบอกว่าการไม่รู้อะไรเลยคงดีกว่า...แม้จะบอกว่า หากไม่รู้อะไรเลย คงได้เป็นน้องชายของพี่เหยาตลอดไป...หากแต่อีกใจมันก็นึกถาม...ผมอยากเป็นแค่นั้นจริงหรือเปล่า?...

“จบแล้วเหรอ?”ผมย้อนถามฟงบ้าง

“ก็นึกว่าจะไล่ต่อไปอีก ว่าคนไหนจะมีความสุขอีก”ผมอธิบายต่อสีหน้าแสดงคำถามของฟง

“ก็...หมดแล้ว ก็เรื่องของพี่กับจึเหยา...”ฟงตอบ มันทำให้ผมนึกอยากหัวเราะ เพราะสรุปแล้วในความคิดของฟงก็ไม่มีชื่อทอมเข้ามาข้องเกี่ยวเลย

เรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่เหยา...กับผม...มันคงเป็นเรื่องเกินที่ใครจะคาดคิด...ทั้งคนที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุดและคนที่ห่างเหินเรามากที่สุด...คงไม่มีใครสักคนจะกล้าคิด ไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้น...ความลับคือคำที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ...

“ทั้งๆที่พี่เหยาขนาดหยิบปืนขึ้นมา ฟงก็ไม่ติดใจอะไรเลย?”ผมถามเมื่อนึกขึ้นมาได้ และคราวนี้ฟงนิ่งงันไป

“ไม่รู้สิ...เราเลิกพูดถึงมันเถอะ...แต่ถ้าพี่จะพูด พี่ก็ต้องพูดให้หมด!”ฟงพูดเสียงห้วนขึ้น...ผมจึงต้องเลือกว่าจะเลิกพูด...หรือพูดทั้งหมด และผมเลือกอย่างแรก

“แล้วฟงไม่กลัวว่า...”ผมพูดได้เท่านั้น เพราะฟงขัดขึ้นเสียก่อน

“จึเหยาบอกว่าจะไม่ทำอีก!...จึเหยาบอกว่าแค่โมโหแล้วพอดีมันอยู่ใกล้มือ...จึเหยาก็แบบนี้แหละ เวลาโมโหอะไรใกล้มือก็คว้าหมด...ตอนเด็กๆเคยเอากระป๋องนมปาหัวหว่อ!”ฟงบอก พลางชี้ให้ดูแผลเป็นเล็กๆตรงขมับข้างซ้าย

“ก็แค่ปืนเท่านั้นเอง ไม่เห็นมีอะไร...”

“แค่ปืน?”

“อือ...แค่ปืน!”ฟงรับคำ และยิ้ม มันไม่เหมือนรอยยิ้มเฉกเช่นทุกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่แฝงรอยครุ่นคิด...รอยครุ่นคิดถึงอดีต...ถึงความทรงจำที่คงไม่อยากจะเก็บไว้...หากแต่ก็คงไม่อาจที่จะลืมเลือน...

“แต่ก็ดีแล้วไง เป็นหว่อ...ไม่หันปืนใส่ตัวเองหรอก!”ฟงพูดอีกครั้ง และผมไม่แน่ใจฟงหมายความแค่นั้นจริงหรือเปล่า

แล้วฟงก็ไม่พูดอะไรอีก ผมเองก็เหมือนกัน...แม้จะนึกสงสัยว่า ในหัวฟง...ผูกเรื่องราวระหว่างผม พี่เหยาหรืออาจรวมถึงทอมไว้อย่างไรบ้าง...แต่ก็เลือกที่จะไม่ถาม เพราะถ้าฟงตอบ...ผมก็ต้องตอบ อีกทั้งยังนึกรู้ว่า ถ้าไม่มีผม พี่เหยาก็คงไม่ทำอะไรแบบนั้นอีก...แค่นั้นก็ดีแล้ว...ผมคิดและบอกตัวเองอย่างนั้น

“จึเหยาบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้น...ไม่ใช่ความผิดของพี่...ถ้าจึเหยาว่าอย่างนั้น..มันก็ตามนั้น...ก็จบ!”ฟงพูดขึ้นอีกครั้ง เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ

“ฟงกลับไปเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปเอง ของไม่เยอะ”ผมบอก แต่ฟงยืนยันจะช่วยถือของไปส่งที่รถ เพราะของส่วนตัวผมเองน่ะไม่เยอะ หากแต่ของที่พ่อและแม่พี่เหยาฝากไปให้พ่อกับแม่ของผมนั้นเยอะจนน่าจะเปิดร้าขนาดย่อมๆได้อีกสักร้าน

ตลอดทางที่เดิน ผมคิดเพียงว่า อีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้า ผมก็จะไปจากที่ตรงนี้...และคงไม่ได้เจอพี่เหยาอีก

ผมไม่ได้ถามอะไรฟงเลยเกี่ยวกับพี่เหยา ไม่ใช่ไม่กล้า แต่ในหัวมันว่างเปล่าไปหมด จนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองคิดอะไรอยู่หรือเปล่า...อาจจะคิดเพียงแต่ว่า...ปล่อยให้มันจบๆไป

แต่พี่เหยาก็ยืนรอผมอยู่...และแน่นอน...พร้อมกับทอม

เพื่ออะไรนะ?...ผมถามตัวเองในใจ เมื่อเห็นพี่เหยา

“ทำไม?... จะได้จากกันด้วยดี?”ผมถามออกมาเมื่อเดินมาถึงตัวพี่เหยา ไม่ได้ตั้งใจประชด หากเพียงถามตามที่ใจนึกขึ้นมาได้เท่านั้นจริงๆ

“พี่จะเอาอะไรไหม?..น้ำ?...ขนม?...หนังสือไว้อ่านเล่นบนรถ?”ฟงถาม ไม่รู้ว่าเพื่อเปิดทางให้ผมได้คุยกับพี่เหยาหรือเปล่า และผมไม่แน่ใจว่าฟงได้ยินที่ผมร้องถามพี่เหยาหรือเปล่า...

“ไม่เอา...ขอบใจ”ผมปฏิเสธ ไม่นึกอยากมีเวลาอยู่กันตามลำพังกับพี่เหยาสักเท่าไหร่...อีกทั้งถึงฟงไป..ทอมก็ยังยืนปักหลักเป็นเสาอยู่อีกทั้งคน

“ข้าวกล่อง?...หมากฝรั่ง?”ฟงทู่ซี้ถาม

“ไม่เอา เดี๋ยวขึ้นรถปุ๊บจะนอนเลย”ผมบอก

“ไม่เอาอะไรเลยเหรอ?”ฟงถามย้ำ

“เบียร์!”ผมพูด...ไม่ได้คิดประชดอะไรพี่เหยาเลยจริงๆ...เพียงแต่ในหัวมันมีอยู่เท่านั้นจริงๆ

“เอางั๊นเลยเหรอ?...ได้นะ... ถ้าพี่จะเอา ผมน่ะซื้อให้ได้ ยังไงก็ไม่ได้นั่งรถไปกับพี่อยู่แล้ว”ฟงพูดทั้งหัวเราะ และเดินละไป โดยไม่สนใจว่าผมพูดเล่นหรือพูดจริง

ทอมพูดอะไรบางอย่างกับพี่เหยา และเดินตามฟงไป อย่างที่ผมไม่คิดว่าทอมจะทำ

“พี่วางใจได้...ผมจะไม่มาหาพี่อีก”ผมหันไปบอกพี่เหยา เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าพี่เหยาอาจจะมาหาผมด้วยเรื่องนี้

พี่เหยาอาจจะอยากมาย้ำให้มั่นใจว่า ผมจะไม่ก้าวก่ายเข้ามายุ่งในโลกของพี่เหยาอีก

“ไม่ส่งเมล์หาพี่แล้วด้วย...”

“ไม่โทรหาพี่ด้วย...อ๋อ...นี่เบอร์โทรของพี่ คราวก่อนฟงจดให้ผม”ผมล้วงมือหยิบเศษกระดาษในกระเป๋าส่งให้พี่เหยา

“ไม่ต้องห่วง ผมจำไม่ได้หรอก...”ผมบอกเมื่อพี่เหยารับเศษกระดาษจากมือผมไป

“ถ้าบังเอิญเราเจอกัน...หมายถึง เกิดพี่ไปเชียงใหม่...ถ้าเราเจอกัน ก็เฉยๆ ไม่ต้องห่วงผมจะทำเฉยๆ...”ผมพยายามพูด ในสิ่งที่คิดว่าพี่เหยาต้องการ

“แต่พี่ติดต่อพวกพี่เก้าบ้างก็ได้นะ...พี่เก่งเค้าบ่นอยู่ว่าไม่เหลือเพื่อนเลย...รับรองผมจะไม่ถามข่าวคราวพี่จากพวกเพื่อนของพี่เลย”

“จริงๆผมสัญญา...เหมือนไอ้วิทย์กับพี่โอ๋ไง...ต่างคนต่างอยู่...จนตาย...ดีไหม?”ผมพูดและตั้งใจตามนั้นจริงๆ ถ้าพี่เหยาต้องการ

ตลอดเวลาพี่เหยาเพียงเงียบฟังผมพูด...ผมไม่ได้หันไปมองว่าพี่เหยาทำหน้ายังไงตลอดเวลาที่เงียบฟัง...ผมทำเพียงพูดและมองดูขบวนรถไฟที่อีกเดี๋ยว ก็จะทำให้ทุกสิ่งที่ผมพูดเป็นไป

เสียงระฆังเป็นสัญญาณว่าอีกเดี๋ยวทุกอย่างก็จะจบลงดังขึ้น

“ผมต้องไปแล้ว!”ผมบอกพี่เหยา ก่อนก้มลงหยิบของ แต่เมื่อพี่เหยาก้มลงจะช่วย ผมก็กระชากมันจากมือพี่เหยาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

“ผมขอโทษ...ผมไม่ได้ตั้งใจ”ผมบอกเมื่อพี่เหยามองผมราวกับจะร้องไห้

“ผมขอโทษจริงๆ...ผมไม่ได้โกรธพี่นะ”ผมบอกและคิดอย่างชั่งใจ...คิดถึงคำถามที่นึกอยากรู้ตั้งแต่แรกเจอหน้า หรือหากพูดให้ถูกคือ นึกอยากรู้ตั้งแต่พี่เหยาหันหลังจากมา...



--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“ผม...ถามอะไรพี่อย่างได้ไหม?”ผมถาม แต่พี่เหยาไม่มีท่าทีสนองตอบอะไร แต่ผมก็ยังถาม

“ทอม...ไม่ได้...ไม่ได้ทำอะไรพี่แล้วใช่ไหม?”ผมถามและพี่เหยาเพียงจ้องมองผมเงียบๆและส่ายหัวในที่สุด

“ไม่มีใครทำอะไรพี่แล้วใช่ไหม?”ผมถามและอีกครั้งที่พี่เหยาส่ายหัว

“ดีแล้ว...”ผมบอกและรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

เมื่อพี่เหยาพูด ผมเชื่อ...พี่เหยาไม่โกหก

ผมรู้สึกโล่งไปทั้งหัวใจ...รู้สึกเบาใจ และเหนือสิ่งอื่นใด...ผมกลับรู้สึกเป็นอิสระ

ในตอนนั้นผมไม่อาจบอกได้ว่าทำไม...เมื่อรู้ว่าพี่เหยาไม่ได้เป็นของทอม...ผมกลับรู้สึกถึงอิสระ รู้สึกคล้ายตัวเองถูกปลดปล่อย...ผมรู้สึกเป็นอิสระขึ้นมาจริงๆ...เป็นความรู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก

หากแต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงณ.วันนี้ ผมบอกตัวเองได้ว่าเพราะอะไร...

เพราะในความเป็นจริง...ผมรู้จักเพียงร่างกายพี่เหยา ก่อนที่ผมจะรู้จักคำว่า...รัก

เพราะในความเป็นจริง...ที่ผ่านมา ผมรู้และยอมรับว่าผมแตะต้องพี่เหยาได้ก็เพียงเพราะทอมอนุญาต

เพราะในความเป็นจริง...ตลอดมา ผมรู้และยอมรับว่าพี่เหยาเป็นของทอม ก่อนที่ผมจะรู้ว่า...ทางด้านของความรู้สึก ผมก็สามารถเป็นเจ้าของใครสักคนได้ หากผมรักคนๆนั้น...และคนๆนั้นรักผม

เพราะในความเป็นจริง...ความสัมพันธ์ของคนอื่น อาจเริ่มต้นจากศูนย์และก้าวเดินไปข้างหน้า...ตรงข้ามกับผม ทุกอย่างมันถอยหลัง...ผมรู้ว่าไม่มีสิทธิ์ ก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองรัก...รู้ว่าพี่เหยาเป็นของทอม ก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองอยากครอบครอง...และรู้จักรสสัมผัสของผิวเนื้อ ตั้งแต่ที่โลกของผมมันยังว่างเปล่า...รู้จักรสสัมผัสของผิวเนื้อ ก่อนที่จะรู้จักรสสัมผัสของเนื้อหัวใจ...

แม้เมื่อรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่เหยาและทอมมันจบลงไปแล้ว...แม้วันนี้ทุกอย่างมันกำลังวนกลับมาที่จุดเริ่มต้นคือศูนย์...หากแต่มันกลับก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ เพราะ...ทุกอย่างมันดูจะสายไปแล้วจริงๆ...

มันมาถึงจุดเริ่มต้น พร้อมๆกับที่มาถึงจุดสิ้นสุด...

ผมจึงรู้สึกถึงอิสระ...การถูกปลดปล่อย...หากแต่คลุมเครือ เพราะทุกอย่างมันสายจนเกินไป...

แต่ต่อไปแม้ไม่ได้พบพี่เหยาอีก...แม้ความสัมพันธ์เรามันจะก้าวเดินไปจากจุดเริ่มต้นไม่ได้...แต่ผมรู้แล้วว่า...แม้ไม่ได้พบ ได้เห็นด้วยตา...แต่พี่เหยาจะปลอดภัยจากสิ่งที่เคยถูกคุกคาม...

“ผมส่งเมล์หาพี่ตั้งหลายฉบับ...ผมบอกอะไรพี่ตั้งหลายอย่าง...อะไรบ้างก็จำไม่ได้แล้ว...แต่อย่างเดียวที่ผมไม่เคยบอก เพราะไม่กล้าก็คือ...บอกว่าผมรักพี่”ผมบอกพี่เหยา โดยที่ตายังจับจ้องอยู่ที่ขบวนรถไฟข้างหน้า...ผมบอกพี่เหยา อาจเพราะคิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว และผมบอกพี่เหยา อาจเพราะ...เป็นครั้งแรกที่คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะรักได้...

“ผมไม่รู้ว่าผมรักพี่หรือเปล่า...ก็คนอื่นเขาพูดไว้ ความรักมันเป็นแต่เรื่องดีๆ...แต่เรื่องของเรา มันมีแต่เรื่องแย่ๆ...แต่ถ้ามันเป็นแต่เรื่องดีๆจริง...ผมก็อยากให้ความรู้สึกที่ผมมีให้พี่เป็นความรัก...ผมอยากรักพี่...”ผมพูด ตายังจับจ้องที่ขบวนรถไฟ...เสียงวู๊ดมันดังขึ้นครั้งแล้วและครั้งเล่า เพื่อบอกว่าเวลากำลังจะหมดแล้ว

“พี่ไม่ต้องห่วงนะ...ผมจะไม่มาหาพี่อีก...เวลาคิดถึงพี่มันทรมานมากๆเลย...ผมรู้...ถ้า พยายามเลิกคิด สักวันมันก็ต้องเลิกได้...แต่ผมจะไม่เลิก...ทรมานก็ไม่เป็นไร...พี่ไม่อยากจำผมไว้ก็ไม่เป็นไร...แต่ผม...”ผมพูดได้เท่านั้น ก่อนพยายามเก็บกลั้นน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหลออกมา

“ผมขอโทษ...ทุกๆเรื่อง...ผมขอโทษจริงๆ...ผมขอโทษ” ผมบอกและหันหลังกลับเดินขึ้นรถ โดยไม่ได้หันกลับไปมองพี่เหยาอีก...

ผมได้ยินเสียงฟงเรียก...เสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมา แต่ผมก็ไม่สนใจ พยายามเร่งฝีเท้าตัวเองให้เร็วยิ่งขึ้น หวังไม่ให้ฟงตามทัน เพราะผมไม่อยากให้ฟงเห็นน้ำตาที่ตอนนี้ผมไม่อาจเก็บกลั้นมันได้อีกต่อไป...

แม้จะคิดว่าจะไม่หันกลับไปมองอีก แต่เมื่อขึ้นไปนั่งอยู่บนรถแล้ว ผมก็อดที่จะหันกลับไปมองไม่ได้...พี่เหยายังยืนอยู่ที่เดิม โดยมีทอมยืนอยู่ข้างๆ...

รถเริ่มแล่นออกจากชานชาลาช้าๆ...พร้อมกับที่เห็นพี่เหยาก้าวเท้าคล้ายจะตามมาข้างหน้า แม้จะเพียงแค่ก้าวหรือสองก้าว และก็หยุด...และทอมยกมือขึ้นลูบหัวพี่เหยาเบาๆ...แล้วรถก็พาผมจากมา...

ภาพสุดท้ายที่เห็นเมื่อพยายามเหลียวหันไปมองจนลับตา คือ...พี่เหยายกมือขึ้น...คล้ายจะเช็ดน้ำตา...

สิ่งที่ผมเห็น มันหมายความว่าอย่างไร?...ผมถามตัวเอง ภาพพี่เหยาที่ก้าวเท้าตามมายังวนเวียนอยู่ในหัว เหมือนภาพทอมที่ยกมือขึ้นลูบหัวพี่เหยา...และภาพพี่เหยาร้องไห้...

ถึงบอกฟงว่า ขึ้นรถปุ๊บ ผมก็จะหลับ...

และถึงจะพยายามข่มตาหลับ...แต่ผมก็คิดเห็นภาพก็แต่พี่เหยา

ผมบอกตัวเองว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว...ผมเตือนตัวเองว่าให้ตัดใจอย่างที่ตั้งใจไว้...เตือนตัวเองว่าพี่เหยาไม่ต้องการให้ผมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพี่เหยา...แต่ภาพสุดท้ายของพี่เหยา มันคอยแต่จะย้ำถามว่า...ที่ผมคิด ผิดหรือถูก?...

นานเท่าไหร่ไม่รู้ ที่คิดเห็นแต่ภาพพี่เหยา...รถไฟแวะจอดชานชาลาแล้ว ชานชาลาเล่า...ผมอยากให้ถึงเชียงใหม่ ถึงบ้านเร็วๆ...ทุกอย่างจะได้จบลงจริงๆ...แต่อีกใจก็คิด...จบจริงหรือเปล่า?...

แล้วรถไฟก็แวะจอดอีกครั้ง...ผมลืมตาขึ้นมองความมืดนอกหน้าต่าง...มองดูสถานีรถไฟที่รกร้างผู้คน...มองดูโทรศัพท์สาธารณะที่เสาต้นเล็กๆ ใต้แสงไฟ...ผมหลับตาลงอีกครั้ง...ก่อนลืมตาขึ้นอีกหน และวิ่งลงจากรถ...

ผมควานหาเหรียญในกระเป๋า...กดเบอร์โทรศัพท์ ที่บอกพี่เหยาว่าจำไม่ได้...ทั้งที่ผมจำมันได้จนขึ้นใจ

เสียงสัญญาณดังแค่เพียงครั้ง...แล้วสายก็ถูกรับ...

เราต่างคนต่างเงียบ...เพราะต่างคนก็ต่างรู้ว่าที่อีกปลายสายคือใคร...

“เอกอยู่ที่ไหน?”พี่เหยาเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน...แม้น้ำเสียงจะราบเรียบ แต่ก็แหบแห้ง...คล้ายผ่านการร้องไห้มายาวนาน

ผมไม่ได้ตอบ...เพราะผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน...

ผมไม่ได้ตอบ...และมองดูรถไฟที่กำลังแล่นจากไป...

“เอก!...เอกอยู่ที่ไหน?”เสียงพี่เหยาถามร้อนรนขึ้น

“ไม่รู้สิ...”ผมตอบในที่สุด พลางมองไปรอบสถานีรถไฟที่ดูคล้ายจะไม่มีสิ่งมีชีวิตสักชีวิตอยู่เลย ยกเว้นก็แต่ผม...

“เอก!...รถไฟมัน...”

“ช่างมันเถอะ!”ผมตัดบท เพราะไม่ใช่เรื่องรถไฟที่อยากพูดกับพี่เหยา ถึงจะยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่อยากพูด...หรือจริงๆคือ ผมมีเรื่องที่อยากพูดเยอะแยะมากมาย หากแต่ไม่รู้จะเริ่มที่เรื่องไหน และอย่างไร...

“เอก! แต่รถมันไม่ได้จอดนานนะ!”

“พี่...รถมันไปแล้ว..”

“ก็แค่รอเที่ยวหน้า...”ผมบอก ก่อนที่พี่เหยาจะพูดอะไร บอกทั้งที่ในกระเป๋ากางเกง มีเศษตังค์อยู่แค่ไม่เท่าไหร่ และมันไม่พอค่าตั๋ว ผมรู้...

“เอกอยู่ไหน?”ผมได้ยินเสียงพี่เหยาถอนหายใจก่อนร้องถาม

“ไม่รู้...”

“ก็ดูสิ!...มันมีป้ายบอกนี่!”พี่เหยาถามด้วยเสียงที่เหมือนตอนผมยังเด็กๆ ที่เวลาพี่เหยาถามอะไรผมก็ตอบไม่รู้ เพราะขี้เกียจ

“พี่เกลียดผมหรือเปล่า?”เป็นอีกครั้งที่ผมไม่สนใจจะตอบ หากแต่มันไม่ใช่เหตุผลเพราะความคร้านอย่างสมัยเด็กๆ เพราะตอนนี้ผมมีสิ่งที่อยากรู้...อยากรู้มากกว่าอะไรทั้งหมดในเวลานั้น

“เอก!...พี่ถามว่าเอกอยู่ไหน?”พี่เหยายังยืนยันคำถามเดิม

“แต่ผมอยากรู้แค่ว่า พี่เกลียดผมหรือเปล่า?”

“...แล้ว...เอกล่ะ?”พี่เหยาเงียบไปก่อนย้อนถามกลับมาเบาๆ

“ผมจะเกลียดพี่ได้ยังไง?”

“พี่หมายถึง...หลังจาก...”พี่เหยาพูดได้แค่นั้น...และผมได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ

...ดูคล้ายคำว่ารักจะห่างไกลจากเราไปทุกที...

เราต่างไม่กล้าถาม...รักหรือเปล่า?...

เราถามเพียง...เกลียดหรือเปล่า?...

เพราะเราต่างรู้...เราทำร้ายกันมามากแค่ไหน...

เพราะนั่นคือสิ่งที่เรากลัวเหลือเกิน...

ถ้าคำว่ารักมันห่างไกลจากเราจนเกินไป...อย่างน้อย เราก็หวังเพียงว่า ขออย่าโดนชิงชัง...

“ถ้าเกลียด...ผมจะโทรหาพี่ทำไม...”ผมพูด นึกอยากถามแล้วพี่เกลียดผมหรือเปล่า...แต่ก็ไม่ได้ถาม เพราะได้ยินเสียงร้องไห้ของพี่เหยา...แม้มันจะเบาแสนเบา แต่ผมก็ได้ยิน...

เวลานี้ผมได้คำตอบแล้ว...ทำไมพี่เหยามาหาผม...

ผมรู้และจำได้...พี่เหยาใจไม่แข็งนัก...แม้จะปฏิเสธ แม้พยายามแข็งขืนต่อความคิดและความรู้สึกตัวเอง พี่เหยาก็มักจะเปลี่ยนใจ ในวินาทีที่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการกำลังจะหลุดลอย...

ผมจำได้...วันที่นั่งรถไปกับพี่เหยา...วันที่ฝนตก...วันที่ผมมีโอกาสได้พูดกับพี่เหยาอีกครั้งหลังจากกลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันมานานปี...วันนั้นผมร้องขอ...ผมถามพี่ได้ไหม?...และพี่เหยาตอบ...ไม่...พี่เหยาคล้ายจะยืนยันเจตนารมณ์ตัวเองจนวินาทีสุดท้าย วินาทีที่ผมบอกกับตัวเองว่าคงหมดหวัง วินาทีที่พี่เหยาชะลอรถ คล้ายจะจอด...วินาทีสุดท้ายจริงๆแล้วพี่เหยาก็เปลี่ยนใจ...

ผมจำได้...วันที่ผมร้องไห้และพี่เหยามองผมอย่างเย้ยหยัน...หากแต่สุดท้ายแล้ว พี่เหยาก็ร้องไห้ และบอกผมว่า...มันเป็นแค่ยา...

ตอนนี้ผมรู้แล้ว ทำไมพี่เหยาถึงมาหาผมที่สถานีรถไฟ...ทำไมพี่เหยาจึงก้าวเท้าตามและร้องไห้เมื่อรถไฟแล่นออกจากชานชาลา...

“ผม...รักพี่...”ผมพูดออกไปในที่สุด และคำตอบที่ได้รับก็ยังคงเป็นเสียงสะอื้นไห้

“จริงๆนะ...ผมรักพี่จริงๆ”ผมย้ำ...ไม่ใช่แค่ย้ำให้พี่เหยารู้...หากแต่ย้ำ ให้ตัวเองรู้ว่าตัวเองพูดออกไปแล้วจริงๆ...ไม่ใช่แค่ยังหลงเวียนวนอยู่ในความคิดตัวเอง

“เอกอยู่ไหน?...เดี๋ยวพี่ไปรับ...”

“ไม่เป็นไร...เดี๋ยวผมรอรถเที่ยวต่...”

“มันไม่ใช่รถเชียงใหม่ลำพูนนะเอก จะได้ชั่วโมงออกคัน!”

“ก็ไม่เห็นเป็นไร...”

“เอก! พี่ถามว่าเอกอยู่ที่ไหน?”พี่เหยา ยังคาดคั้นเอาคำตอบ...

“พี่จะมาทำไม?”ผมถาม เพราะแม้จะรู้แล้วว่าพี่เหยาเองยังต้องการยื้อยุดไม่อยากให้มันจบลง หากแต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่พี่เหยาต้องการ อาจไม่ใช่สิ่งที่พี่เหยาเลือกที่จะทำ...

“...แล้วเอกโทรมาทำไม?”พี่เหยาย้อนถาม

“ไม่รู้สิ...ก็...”ผมพูดได้แค่นั้น

“ก็...ผมบอกให้ตัวเองตัดใจเป็นร้อยรอบแล้ว...แต่มันก็ทำไม่ได้สักที”ผมยอมรับออกมาในที่สุด...

“ถ้าพี่มา...เดี๋ยวมันจะเหมือนๆเดิมอีกหรือเปล่า แค่มาแล้วก็ต่างคนต่างไป...ถ้าแบบนั้น แล้วพี่จะมาทำไม?”ผมถามและพี่เหยาเงียบไป

“พี่ไม่ได้มีอะไรกับท...”ผมถามอีกครั้ง

“เอกเลิกถามแบบนี้สักทีได้ไหม!?”พี่เหยาถาม และสิ่งที่ตามมาหลังคำถามคือเสียงสะอื้นคล้ายไม่อาจเก็บกลั้น

“ผมขอโทษ...ผมแค่อยากถามพี่ว่า...”ผมพูดพยายามเรียบเรียงในสิ่งที่ตัวเองคิด ต้องการ และอยากพูด

“อะไร?”พี่เหยาถามด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก เมื่อผมไม่สามารถพูดให้จบในสิ่งที่ตัวเองอยากพูด

“เปล่า...ก็ผมแค่อยากรู้ว่า...ถ้า...พี่กับทอม...”

“พี่...เราเริ่มต้นกันใหม่ไม่ได้เหรอ...ถ้าพี่ไม่ได้...ผมหมายถึงแค่ผมกับพี่...”

“...ผมขอโทษ...ผมลืมไป พี่บอกว่าพี่มีคนที่พี่รักแล้ว...ผมขอโทษ”




--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“เอกก็บอกว่าเอกมีแฟนแล้ว...”

“ไม่มี...ผมมีแต่พี่คนเดียว...ผมเคยมี...แต่...ก็เค้าคล้ายพี่...ผมมีแต่พี่จริงๆนะ”ผมพูด...พูดในสิ่งที่เป็นความจริง เพราะตลอดมา คนเดียวที่ใจผมครุ่นคิดถึงตลอดเวลาก็คือ...พี่เหยา...คนเดียวเท่านั้นจริงๆ...

พี่เหยาเงียบไปนาน และผมเองก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก...รอฟังก็เพียงคำตอบจากพี่เหยา...แต่พี่เหยาก็เลือกที่จะไม่ตอบเช่นเคย...

“เอกอยู่ไหน...นครสวรรค์หรือเปล่า?”พี่เหยาถามอีกครั้งและ คงคาดเดาจากเวลา

“เราเริ่มกันใหม่ได้ไหม?”แต่ผมไม่สนใจจะตอบ

“เอกอยู่นครสวรรค์ใช่ไหม?”

“พี่...”

“เดี๋ยวพี่ไปหาเอกนะ...”พี่เหยาพูด

“หมายความว่า...เราจะเริ่มต้นใหม่ใช่ไหม?”ผมถามโดยไม่อาจปิดบังน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังได้

“เดี๋ยวพี่ไปหานะ”พี่เหยาย้ำอีกครั้งก่อนตัดสาย และผมก็ทำได้เพียงกำหูโทรศัพท์ไว้ และยืนยิ้มอยู่กับมัน

ผมมีความสุข...ไม่ใช่แค่ความสุขจอมปลอมที่หลงหลอกตัวเองอย่างที่เคยพยายามทำ เป็นความสุข เพราะคิดและเข้าใจว่า ผมกับพี่เหยา...เราจะเริ่มต้นกันใหม่ แค่ผมและพี่เหยา...ไม่มีทอม...

ผมมีความสุข...เพราะพี่เหยาบอกว่ากำลังจะหาผม...

ผมมีความสุข...เพราะพี่เหยาไม่โกรธผมแล้วจริงๆ...

ผมควานหาเศษเหรียญในกระเป๋าเท่าที่เหลือ และโทรหาไอ้วิทย์...

นึกถึงที่พ่อพี่เหยาบอก ถ้าเรามีเพื่อนแท้สักคน เราก็เหมือนได้เพิ่มมาอีกหนึ่งชีวิต...วันนั้นผมไม่ได้บอกพ่อพี่เหยาว่า สำหรับผม ผมได้เพิ่มมาอีกสามชีวิต...และเมื่อผมมีความสุข ผมคิดถึงพวกมัน เหมือนเวลาที่ผมมีความทุกข์ ขาผมก็พาให้ผมก้าวไปหาพวกมันโดยไม่รู้ตัว

“ฮัลโหล?”เสียงไอ้วิทย์งัวเงีย แต่มันก็ยังอุตส่าห์รับสาย

“กูเจอพี่เหยา!”ผมบอกมัน และได้ยินเสียงมันหันไปคุยกับใครอีกคน ไม่ต้องถามผมก็เดาได้ว่า ถ้าไม่ใช่ไอ้ชัยก็ไอ้รงค์ หรือไม่ ก็ทั้งคู่

“มึงกลับวันไหน?”มันถามไป หาวไป

“ตั๋วรถกูวันนี้...”

“งั๊นกลับมามึงค่อยเล่า...กูง่วง”

“เฮ้ย...เพื่อนเหี้ยไรวะ...ไม่ห่วงกูเลยหรือไง?”ผมโวยวายถาม ทั้งที่รู้ว่าน้ำเสียงตัวเองไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงสักนิด

“เสียงรื่นอย่างนี้ มึงไม่ตายหรอก แต่กูง่วงจะตายห่าแล้ว”

“ก็ได้!...แต่ตั๋วรถกูวันนี้ แต่กูไม่ได้อยู่บนรถ!”ผมรีบพูด กลัวมันจะตัดสาย

“พูดเหี้ยอะไรของมึง?”และได้ผล เสียงมันดูจะตื่นขึ้นมาอีกนิด

“กูอยู่นครสวรรค์”

“ไปทำเหี้ยอะไร?”

“ก็...”ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เพราะขืนเล่าทั้งหมด ก็คล้ายจะเปิดโอกาสให้มันหลับต่อโดยผมไม่รู้

“เอาว่า พรุ่งนี้มึงไปเอาของกูบนรถให้หน่อยสิ!”ผมบอกและได้ยินเสียงมันถอนหายใจและคล้ายจะขยับตัวลุก

“มึงโทรมาหาเหี้ยไรวะ?...เคยโทรมาแล้วไม่เดือดร้อนกูไหม?”

“เฮ้ย!...อย่าด่าตัวเองสิวะ!”ผมเตือนมัน

“ไอ้สัตว์!”คราวนี้มันเลยเปลี่ยนมาด่าผม

“ก็... กูไม่ห่วงของหรอก... แต่ห่วงของฝากมึงในกระเป๋า...”

“ผ้าพันคอลิเวอร์พลูไง...กูซื้อฝากมึงคนเดียว”ผมพยายามหลอกล่อ

“แต่ถ้าบังเอิญมึงกลับมาเชียงใหม่พร้อมรถเที่ยวนี้ กูก็ได้แต่มองมันตาละห้อยใช่ไหม?”มันถามรู้ทัน และผมหัวเราะแทนคำตอบ

“มึงไปทำอะไรนครสวรรค์ ตกรถแล้วเสือกอารมณ์ดี!”มันถาม ท่าทางจะตื่นเต็มตา

“ไว้กลับไปเล่าให้ฟัง...แต่กูเจอพี่เหยา”

“แล้วไงต่อ?”

“ก็...ยังไม่รู้...แต่น่าจะโอเค...เดี๋ยวเขาจะมาหากู”แม้ตอบมันว่า ยังไม่รู้...หากแต่ผมรู้ว่าน้ำเสียงตัวเองมีความสุข...

“อ๋อ...มึงเลยกระโดดลงรถ?”มันถามผมและคล้ายจะหันไปพูดกับใครที่คงนอนอยู่ข้างๆมัน

“ประมาณนั้น...มึงคุยกับใครวะ ไอ้ชัยหรือไอ้รงค์?”

“ไอ้ชัย!...กูบอกให้มันมาคุยกับมึงที แต่มันไม่เอา...ไอ้เหี้ยรงค์ ถีบเท่าไหร่ มันก็ไม่ยอมตื่น แปลว่าไม่มีใครอยากคุยกับมึง...กูด้วย!...แค่นี้นะ กูจะนอนต่อ!”มันตอบ และผมได้ยินเสียงหัวเราะ ที่น่าจะเป็นของไอ้ชัย

“เฮ้ย!...อย่าเพิ่ง คุยเป็นเพื่อนกูก่อน...ให้ไอ้ชัยมาคุยก็ได้!”

“กูง่วง...โคตรง่วง...ง่วงเหี้ย...ง่วงสัตว์...ง่วงชิบหายเลย!”มันบอกแบบเน้นชัด ทุกถ้อยและทุกคำ

“ง่วงแล้วตายหรือไงว่ะ มึงจำได้ไหม ใครนั่งถ่างตาพิมพ์รายงานให้มึงทั้งคืน ให้มึงได้ไปเกาะขอบสนามดูทีมฟุตบอลในฝันมึง”เมื่อมันทำท่าจะนอนจริง ผมก็ต้องถ่างตามันด้วยบุญคุณ...

“กูก็ซื้อผ้าพันคอพร้อมลายเซ็นมาเซ่นมึงแล้วไง!”

“เออ... แล้วมึงก็มองตาละห้อยทุกครั้งที่มาห้องกู สุดท้ายกูก็ต้องยกให้มึง”

“อ้าว กูนึกว่ามึงเบื่อแล้ว”

“เบื่อหน้าตาละห้อยของมึงน่ะสิ!...แล้วใครแคะกระปุกจนหมดตูดให้มึงยืมเงินแอบแม่ไปดูไมเคิล?”

“แต่มันเลื่อน กูก็ขายบัตรได้กำไรมาให้มึงตั้งสองพัน”

“เออ... แล้วเดือนต่อมามึงก็ทำเป๋าตังค์หาย กูเลยต้องให้มึงยืมทั้งทุน ทั้งกำไร”

“...กูลืม! กูยังไม่ได้คืนมึงนี่หว่า ทำไมไม่ทวงวะ?”

“...กูก็เพิ่งนึกได้...”ผมบอกเพราะเพิ่งนึกได้จริงๆ

“สัตว์! กูนึกว่ามึงมีน้ำใจ...ทวงเนียนนะมึง”

“เออ!รู้ก็คืนมา!...แล้วตอนมึงลืมปิดน้ำให้ห้อง จนน้ำท่วมหอ ใครไปช่วยมึงเช็ด ช่วยมึงเก็บให้ทัน ก่อนแม่มึงจะกลับมาอาละวาด?”

“แล้วใครอดข้าว อดขนมช่วยมึงเก็บตังค์ไปคืนแม่มึงตอนมึงทำเงินแม่มึงหาย?...แล้วยังเดินเป็นเพื่อนมึงกลับบ้านขาแทบขวิด ตอนมึงเอาเงินไปซื้อการ์ดหมด...แล้”

“...ถ้ากูยังไม่ตื่น มึงจะทวงยันชาติที่แล้วเลยหรือเปล่าวะ...บุญคุณมันไร้ค่า เวลาอ้าปากทวงนะโว๊ย!”

“ไม่ได้ทวง แค่เตือน”ผมบอกและได้ยินเสียงมันหาวอีกรอบ

“เฮ้ย...วิทย์!”ผมเรียก

“อะไร?!”มันขานรับ แต่ก็หลังจากถอนหายใจหนักๆให้ผมได้ยิน

“กูมีความสุขว่ะ!”หลังจากที่ได้คุยกับพี่เหยา และหลังจากที่ได้หัวเราะกับไอ้วิทย์...ผมก็บอกได้ว่า...ตัวเองกำลังมีความสุขจริงๆ

เพราะที่ผ่านมาแม้จะอยู่กับพวกมัน...หัวเราะกับพวกมัน...แต่ความสุขก็มักถูกถ่วงไว้ด้วยความความนึกกังวลเสมอๆ...ทุกครั้งที่หัวเราะ ผมมักกังวลและนึกห่วงแหนสียงหัวเราะนั้น เพราะนึกรู้ อีกเดี๋ยวก็จะจบ มันแตกต่างจากเวลานี้ ที่เมื่อหัวเราะ...ผมไม่นึกกังวลอะไรเลย...ผมจึงรู้ตัวว่า...ตัวเองกำลังมีความสุขจริงๆ...

“แต่กูง่วง!”

“กูมีความสุขจริงๆนะ!”

“กูก็ง่วงจริงๆ!”

“จริงๆนะ...กูไม่เคยรู้สึกแบบนี้มา...ตั้งแต่...”ผมพูดกับมันและก็หยุดคิดว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...

ใช่...ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้ รู้สึกมีความสุข รู้สึกเป็นอิสระจากความรู้สึกอันย่ำแย่ น่าชิงชัง เลยนับแต่วันที่พี่เหยาลืมกระเป๋าตังค์เอาไว้...และผมเอาไปคืน และทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...นับแต่วันนั้น...กว่าห้าปี ที่หัวใจและความรู้สึกมันถูกถ่วงไว้ด้วยความรู้สึกอันน่าชิงชัง...ตลอดเวลา...

“ก็ดีแล้วไง...”มันพูด คงรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร

“อือ...ใช่ มันดีจริงๆ...โล่งดีว่ะ!”ผมบอกกับมัน และร้องไห้ออกมาโดยไม่ให้มันรู้

“มึงไปนอนเหอะ...”ผมบอก เพราะตอนนี้ชักไม่อยากได้เพื่อนคุย...อยากนั่งร้องไห้คนเดียว อยากมีความสุขกับความรู้สึกโล่งไปทั้งหัวใจ...อย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในช่วงเวลาหลายๆปีที่ผ่านมา...

“อย่าลืมไปเอาของให้กูนะ!”ผมเตือนมันอีกรอบ พร้อมทั้งบอกหมายเลขที่นั่งและจำนวนสัมภาระให้มัน ก่อนวางสาย และมองหาที่นั่ง เพื่อจมอยู่กับความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงเวลากว่าห้าปีที่ผ่านมา

ผมไม่ได้สนใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่...ไม่สนใจผู้คนที่เริ่มมีผ่านเข้ามาให้เห็น... ไม่สนใจว่าผู้คนเหล่านั้นจะมองผมอย่างไร ที่ผมเอาแต่นั่งยิ้มกับตัวเอง...

แม้จะยังไม่เต็มอิ่มกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น แต่เมื่อใกล้เวลาที่พี่เหยาน่าจะมาถึง ผมไปจับจองม้านั่งตัวยาวทางด้านหน้า กะว่าพี่เหยามาปุ๊บ ผมจะเห็นปั๊บ ทั้งพี่เหยาก็คงจะเห็นผมโดยไม่ต้องเสียเวลามองหาเช่นกัน




--------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ระหว่างนั่งรอ ผมนั่งวาดภาพเหมือนในหนัง พี่เหยาคงจะเดินมาพร้อมๆกับฉากหลังที่พระอาทิตย์กำลังจะฉายแสง มันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่งดงาม ผมบอกตัวเองว่า ผมจะบอกพี่เหยาว่าผมรักพี่เหยา ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อภาพต่อในความคิดคือภาพเรายืนกอดกัน หน้าพระอาทิตย์ดวงโตๆ เหมือนในหนังไม่มีผิด...และที่ต้องหัวเราะคือ...มีหรือพี่เหยาจะยอมให้ผมยืนกอดในที่แบบนี้...

ผู้คนเริ่มเยอะขึ้น...คงเพราะใกล้เวลารถไฟขบวนใด ขบวนหนึ่งเข้า...ผมเห็นหลายคนยกมือขึ้นดูนาฬิกา...แต่พี่เหยาก็ยังไม่มา

ดูเหมือนอะไรๆสำหรับผมมันก็ดูจะช้าและสายเกินไปเสมอ...

พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เห็นพี่เหยา...

รถไฟเข้ามาและจากไป...เหมือนผู้คนที่เริ่มเปลี่ยนหน้า มาและไป...แต่พี่เหยาก็ยังไม่มา...

ความคิดฝันหวานเริ่มเปลี่ยนเป็นความวิตกและกังวล...พี่เหยาคงไม่ได้นอนทั้งคืน และขับรถตามลำพัง

ผมนึกตำหนิตัวเองที่ไม่เหลือเศษเหรียญสักเหรียญไว้เผื่อเวลาแบบนี้...

แล้วผมก็รู้ว่าทุกสิ่งดูจะไม่เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ...

ผมไม่ได้บอกว่ารักพี่เหยา เมื่อพี่เหยามายืนอยู่ตรงหน้า...

“ผมคิดภาพไว้ว่า พี่จะมาถึงพร้อมมีพระอาทิตย์กำลังขึ้นเป็นแบ็คกราวด์อยู่ด้านหลัง”ผมพูด และพี่เหยาเอียงหัว มองเลยไปด้านหลังผม

ใช่แล้ว...ต่อให้พี่เหยามาทันเวลาพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์มันก็ขึ้นที่อีกด้านอยู่ดี...

“จะให้พี่กลับมาใหม่พรุ่งนี้หรือเปล่า...แล้วด้านหลังโน้นมันมีทาง ไว้พี่จะเดินอ้อมไปด้านโน้น”พี่เหยาบอกพลางชี้มือไปอีกด้านที่ว่า

ผมไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่ได้กอดพี่เหยา ไม่ได้บอกรักพี่เหยา ไม่ได้แม้แต่หัวเราะหรือยิ้มอย่างที่วาดภาพไว้... พี่เหยาเองก็เช่นกัน...

ผมมองดูพี่เหยาที่ยืนอยู่ตรงหน้า...

ใบหน้าและดวงตาพี่เหยา แดงจนช้ำ คงเพราะผ่านทั้งการอดนอน ขบคิด และร้องไห้...

เสื้อเชิ้ตที่ยังเป็นตัวเดียวกับเมื่อวานเย็น ต่างกันก็แต่รอยยับย่น...

เมื่อแรกเจอหน้า...ผมพูดคำพูดชวนขัน และพี่เหยาตอบรับ ด้วยถ้อยความคล้ายๆกัน...ตลอดเวลา พี่เหยากลับกัดริมฝีปากตัวเองไว้จนแน่น...คล้ายหากคลายออกแม้สักนิด น้ำตาก็คงจะร่วงรินออกมา...

ผมจึงเอื้อมมือ จูงข้อมือบางๆของพี่เหยาให้ออกเดินในทางที่พี่เหยาเพิ่งเดินเข้ามา...พี่เหยาไม่ได้ขัดขืน เดินตามแรงจูงของผม...

บ่อยครั้งที่ผมหันไปมอง และพี่เหยาก็มองผม...ตาของพี่เหยาแดงช้ำ แม้จะไม่มีเสียงสะอื้นไห้ หากแต่มันก็เต็มไปด้วยน้ำตา...พี่เหยาไม่ได้ยกมือขึ้นมาเช็ด...กลับปล่อยให้มันไหลรินอยู่เงียบๆ...และจ้องมองผมผ่าน...น้ำตา...

ตราบเมื่อพ้นสายตาใครๆ ผมก็ดึงพี่เหยาเข้ามากอด...และพี่เหยาก็กอดผมแน่น และ...ร้องไห้...

ทั้งที่ผมมีความสุข...หากแต่ผมก็กอดพี่เหยาและร้องไห้...

เรากอดกันและกัน...และร้องไห้...

ผมมีความสุข...หากแต่ไม่รู้ว่า...สำหรับพี่เหยาแล้ว...พี่เหยารู้สึกอย่างไร?

นานกว่าน้ำตาของผมจะเหือดแห้ง...นานกว่าผมจะพาพี่เหยาออกไปจากที่ตรงนั้น...

เราไม่ได้คุยอะไรกันเลย... เมื่อผมขับรถ และมองหาโรงแรม...และพี่เหยายังสะอื้นไห้ ...ตาจับจ้องก็แต่นอกหน้าต่าง...

“พี่คิดอะไรอยู่?”ผมถาม และพี่เหยาแค่ส่ายหน้า หากแต่ไม่ตอบอะไร... ไม่หันมามองผม...

ผมพาพี่เหยาเข้าไปในโรงแรมเล็กๆ ที่มองคล้ายแค่บ้านพักหลังเล็กๆติดถนน...

และแม้จะเป็นเพียงบ้านพักหลังเล็กๆแต่เขาก็ต้องการทั้งบัตรประชาชน และเงินล่วงหน้า ผมจึงทำได้เพียงถอยหลังไปหาพี่เหยาที่ยืนรออยู่ห่างๆ

“เขาจะเอาบัตร...”ผมบอกพี่เหยาค่อยๆ

“ของผมอยู่บนรถ...”ผมอธิบาย เมื่อพี่เหยาส่งสายตาคล้ายจะถาม

“ตังค์ด้วย...ของผมอยู่บนรถเหมือนกัน...”ผมพูดค่อยลงไปอีก เมื่อพี่เหยาหยิบแต่บัตรส่งให้

“ค่าโรงแรมมันถูกกว่าค่าตั๋วอีกนะ...ทำไมเอกทำอะไรไม่รู้จักคิด!”เสียงพี่เหยายังเครือ ตาก็ยังแดง หากแต่ก็ยังดุผมได้

หากแต่พอดุผมเสร็จ ก็ปล่อยให้ตัวเองยืนสะอื้น...ปล่อยให้ผมเดินจูงมือพา เข้าไปในห้องอย่างว่าง่ายอีกครั้ง...

“พี่นอนหน่อยไหม เดี๋ยวผมเอาผ้ามาเช็ดหน้าให้?”ผมถาม เมื่อพาพี่เหยามานั่งลงที่ริมเตียง พลางใช้มือเช็ดน้ำตาที่กลับมาไหลอีกครั้งให้ แต่พี่เหยาก็ส่ายหัว

การร้องขอให้พี่เหยาล้มตัวลงนอนพักดูจะเปล่าประโยชน์พอๆกับการพยายามเช็ดน้ำตาให้พี่เหยา ...ผมหยุดมือที่เช็ดน้ำตาให้พี่เหยา เมื่อเห็นผิวหน้าใต้ดวงตาของพี่เหยาเป็นรอยแดงจนช้ำไปหมด

“ตาพี่ช้ำหมดแล้ว...”ผมบอก และพี่เหยาก็ไม่สนใจ ดูเหมือนสิ่งเดียวที่พี่เหยาคิดจะทำก็คือการนั่งก้มหน้า และร้องไห้

สุดท้ายผมก็ต้องฝืนบังคับให้พี่เหยาล้มตัวลงนอน... หากแต่ตัวผมเองก็ต้องล้มตัวลงนอนอยู่ข้างๆ

ตลอดเวลาที่รอพี่เหยา ผมคิดถึงก็แต่ความสุขเมื่อผมได้บอกพี่เหยาว่า...รัก...

หากแต่เวลานี้สิ่งเดียวที่คิดคือ...ทำอย่างไร ถึงจะหยุดน้ำตาของพี่เหยาลงได้...และน้ำตาของพี่เหยา มีความหมายว่าอย่างไร?...

หากแต่เมื่อไม่มีคำตอบให้ตัวเอง ผมจึงทำได้เพียงกอดพี่เหยาเอาไว้...และพี่เหยาก็กอดผมตอบ

ยิ่งน้ำตาของพี่เหยามันหลั่งรินออกมามากแค่ไหน...ความสุขและความหวังของผม มันก็ยิ่งดูจะลอยหาย...เพราะผมรู้ ความสุขคงไม่ทำให้ใครร้องไห้ได้มากมายขนาดนี้...มีแต่ความทุกข์และสิ้นหวังเท่านั้น...ที่ทำได้

“เราเริ่มกันใหม่ได้ไหม?”ผมถาม เพราะคิดว่าควรเริ่มต้นพูดอะไรสักอย่าง

“ทำไมเอกไม่ปล่อยให้มันจบไป?”แต่พี่เหยากลับถาม...ถามเหมือนที่ครั้งหนึ่งไอ้วิทย์เคยถาม

“ที่ผ่านมา มันไม่เห็นมีอะไรดีสักอย่าง...เอกไม่อยากเหมือนพวกวิทย์ ...เหมือนชัย เหมือนรงค์เหรอ?”

“อยากสิ...”ผมตอบโดยไม่ต้องคิด เพราะที่ผ่านๆมา ผมมองคนอื่นและนึกอิจฉาเสมอ...ผมอิจฉาไอ้รงค์กับแฟนมัน...อิจฉาไอ้ชัย ไอ้วิทย์ ...ที่ดูเหมือนเรื่องเครียดของมันจะมีแต่เรื่องเรียน และเรื่องของผม...

ไม่ใช่ว่าผมคิดว่าคนอื่นๆรอบตัวไม่มีปัญหา...ผมรู้คนทุกคนมีปัญหาไม่ว่าเรื่องใดก็ย่อมเรื่องหนึ่ง...หากแต่คงไม่ต่ำช้า...เป็นเศษซากความรู้สึกอย่างที่ผมเป็น...ปัญหาที่บอกใครไม่ได้...พูดกับใครไม่ได้ เฝ้ารังเกียจตัวเองอยู่ทุกวัน... ฝังตัวเองอยู่กับสิ่งที่รู้ว่าแปดเปื้อนและโสมม...

“งั๊นทำไมเอกไม่ปล่อยให้มันจบ?”พี่เหยาถาม

“จบยังไงล่ะ?...จบแล้วผมจะเหมือนพวกมันเหรอ?...ไม่มีพี่...ผมไม่เอา!”ผมค้านโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาโดยไม่มีพี่เหยา มันยืนยันกับผมได้เป็นอย่างดีแล้วว่า...มันทรมานเหลือเกิน...

“พี่บอกว่า...พี่กับทอมไม่มีอะไรกันแล้ว แล้วทำไมเราเริ่มกันใหม่ไม่ได้ล่ะ?”ผมถามอีกครั้ง แต่พี่เหยาไม่ตอบอะไร ทำก็เพียงจ้องมองผมและร้องไห้...

ผมไม่รู้ว่าพี่เหยากำลังตัดสินใจ...หรือตัดสินใจไปแล้ว...และใจส่วนลึกมันก็ค้านว่า...แน่ใจหรือว่าไม่รู้...น้ำตาของพี่เหยามันไม่ใช่คำตอบหรืออย่างไร?...

“พี่บอกผมซิว่า พี่กำลังคิดอะไรอยู่...”ผมถามและกอดพี่เหยาให้แน่นขึ้น และพี่เหยาก็กอดผมตอบ

“บอกผมซิ ว่าพี่คิดอะไร?”ผมถามอีกครั้ง

“...ไม่รู้...”พี่เหยาตอบ ก่อนซุกหน้ากับอกผมและร้องไห้

ผมเคยได้ยินว่า...การพูด...ทำให้เราได้ปลดปล่อย...ความรู้สึกผิด บางครั้งถูกปลดปล่อยด้วยการสารภาพ...

หากแต่ความจริงที่ผมเคยได้สัมผัส...บางครั้ง...ความลับต่างหากคือสิ่งที่ดีที่สุด...

ความผิดหรือความนึกคิดบางอย่าง เก็บไว้กับตัวดีที่สุด...เพราะเราไม่เคยเข้าถึงใจคนอื่นว่า...เขาคิดอย่างไร...เมื่อเราสารภาพ สิ่งที่ตามมาคือเป็นได้แค่ความหวาดระแวง...

ผมจึงไม่แน่ใจว่า...สำหรับพี่เหยา อะไรแน่คือสิ่งที่ดีที่สุด...การพูด...หรือเก็บงำทุกสิ่งไว้ในใจ...

นานที่ผมกอดพี่เหยาเอาไว้ โดยที่เราไม่ได้คุยอะไรกัน...แต่ในที่สุดพี่เหยาก็เลือกที่จะเริ่มต้นพูด...วันนั้นผมคิดว่ามันคือการสารภาพ...หากแต่เมื่อเวลาเดินทางมาถึง ณ.วันนี้...มันอาจเป็นการสารภาพพร้อมๆกับที่ร้องขอ...

ผมพยายามเงียบฟังในสิ่งที่พี่เหยาพยายามพูด...มันคล้ายพี่เหยาเองก็สับสนในสิ่งที่เกิดขึ้น...สับสนในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก...สับสนในสิ่งที่ตัวเองเลือกที่จะทำ และยังสับสนในสิ่งที่กำลังจะตัดสินใจ

ผมพยายามเงียบฟัง ในทุกคำพูดที่วกวน...ซ้ำไปและซ้ำมา ไม่ปะติดปะต่อ...บางครั้งขาดตอนด้วยเสียงสะอื้นไห้ กับอีกบางคราขาดตอนด้วยสับสน หากแต่ผมก็พยายามเงียบฟัง...พยายามคิดว่าพี่เหยาพยายามจะพูดอะไร...พยายามคิดว่าพี่เหยารู้สึกอย่างไร และพยายามเข้าใจว่าอะไรแน่ที่ความรู้สึกส่วนลึกของพี่เหยาต้องการ...

ที่ผมเคยคิดว่า พี่เหยาไม่ถือโทษโกรธทอม...มาวันนี้ผมรู้ ผมคิดผิด...พี่เหยาไม่เคยยกโทษให้ทอม เฉกเช่นที่ไม่เคยยกโทษให้ตัวเอง...หากแต่ขณะเดียวกัน พี่เหยาก็ไม่เคยที่จะหยุดรัก...ทอม...เฉกเช่นที่ไม่มีวินาทีใดเลยที่พี่เหยาไม่ชิงชังทอม...

พี่เหยาบอกว่าบ่อยครั้งที่ตื่นมาด้วยความรู้สึกหนึ่งและหลับตาลงด้วยอีกความรู้สึกหนึ่ง...กับอีกบางครั้ง ก็เหนื่อย จนไม่อยากจะรู้สึกอะไรเลย...และบางครั้งก็ เกลียดชังความรู้สึกของตัวเอง...

บ่อยครั้งหรือแม้กระทั่งจนวันนี้ พี่เหยายังสับสนว่าอะไรคือความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น กับอะไรคือสิ่งที่คิดหาเหตุและผลเอาเอง...พี่เหยาบอกว่า... พี่เหยาแยกมันไม่ออก บางครั้งคล้ายจะแยกออก หากแต่สุดท้าย ก็ไม่อาจเชื่อแม้ในสิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่อ...




--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
พี่เหยาชิงชัง และไม่อาจยกโทษให้ทอมได้ เมื่อเห็นทอมหัวเราะ...และพี่เหยาก็ชิงชังและไม่อาจยกโทษให้กับตัวเองได้ เมื่อเห็นทอมร้องไห้ และเจ็บปวด...

พี่เหยาบอกว่า...มีบางครั้งที่ทอมอยากก้าวถอย อยากยับยั้งในสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามยับยั้งใจตัวเอง...พี่เหยาจะเป็นฝ่ายยั่วยุให้มันเกิดและเป็นไป เมื่อผมถามว่าทำไม...พี่เหยาร้องไห้และตอบว่า...จะปล่อยให้มันจบลงง่ายๆได้ยังไง!...

เพราะทุกครั้งที่พี่เหยาเจ็บปวด...พี่เหยารู้ ทอมจะเจ็บปวดกว่า...ในทุกครั้งที่พี่เหยาโดนทำลาย...พี่เหยารู้ ตัวตนของทอมก็ผุกร่อนลงเรื่อยๆเช่นเดียวกัน...ดังนั้น ในบางครั้งพี่เหยาจึงเป็นฝ่ายเรียกร้องหาความเจ็บปวดเพียงเพื่อคืนความเจ็บปวดที่ยิ่งกว่านั้นให้กับทอม...และสุดท้ายตัวเองก็เจ็บปวดยิ่งขึ้นไปอีก...และสุดท้ายก็โดนทำลายด้วยกันทั้งสองฝ่าย...

“ยาก็หาง่ายพอๆกับถุงยางนั่นแหละ!”พี่เหยาบอกอย่างนั้น

แม้ผมนึกอยากจะค้าน...เพราะบางสิ่งที่รู้และเป็นไป เพียงการยั่วยุไม่น่านำพาให้เกิดได้...ดังนั้นมันจึงเป็นอีกหนึ่งคำถามว่า...พี่เหยายั่วยุให้เกิด หรือทอมนึกอ้างถึงการยั่วยุนั้น และฉกฉวยโอกาสให้มันเกิด...ทอมยังคงได้ในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา หากแต่ความรู้สึกผิดสุดท้ายยังย้อนคืนสู่พี่เหยา...และเช่นเคย... ทอมคนเดียวเท่านั้นที่รู้คำตอบ...

ยิ่งกว่านั้น ผมนึกถึงวันนั้น วันที่ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนช่วยให้พี่เหยาไม่ต้องไปกับทอม...ผมจำได้วันนั้พี่เหยาดูหวาดหวั่นกับการกล่าวปดกับทอม...พี่เหยาขับรถอย่างคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว...มันไม่ใช่การเสแสร้งผมรู้ หากแต่มันขัดกับสิ่งที่พี่เหยากำลังพูด...พูดว่าบางคราตัวเองเป็นฝ่ายยั่วยุให้เกิด...

คำพูดในวันนี้ เพื่อกล่าวร้ายตัวเอง...เพื่อหวังปกป้องทอม หรือเป็นความสับสน หรือว่าเป็นความจริง...ผมไม่อาจแน่ใจ...และแม้หากจะเอ่ยปากถาม บางทีพี่เหยาเองก็อาจจะสับสนเกินกว่าจะรู้ความจริงที่เป็นไปเช่นกัน...ผมบอกตัวเองอย่างนั้น เมื่อมองดูน้ำตาที่ไม่มีทีท่าจะเหือดแห้งเลยของพี่เหยา

มันจึงเป็นอย่างพี่เหยาว่า...ความจริงของสิ่งที่เกิด กับการคิดหาเหตุและผลเอาเอง นั้นยากเหลือเกินที่เราจะแยกแยะว่าอะไรแน่คือสิ่งที่เป็นไป

และไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไร...หากแต่มาวันนี้ผมจึงได้รู้...เมื่อเห็นน้ำตาที่ดูท่าจะไม่มีวันเหือดแห้งของพี่เหยาผมจึงได้รู้...สำหรับพวกผม ความจริงมันไม่สำคัญสืบไป...เพราะไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ...พี่เหยาย่อมเจ็บปวดกับความจริงนั้น...หากไม่เจ็บปวดจากการกระทำของตัวเอง ก็ย่อมเจ็บปวดจากการถูกทรยศจากทอม...ดังนั้นแล้ว ความจริงจึงไม่สำคัญ...ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องขวนขวายหาคำตอบ...สิ่งที่ดีที่สุดคือฝังมันเอาไว้ ในความทรงจำที่แม้มิอยากจำก็จำต้องจดจำ...และแม้อยากจะลืม ก็ย่อมรู้ว่า...จะไม่มีวันลืม...

พี่เหยายังบอกว่า พี่เหยารู้ว่า วันนั้นไม่ใช่ผม...เมื่อผมถามว่ารู้ได้อย่างไร...

“...ทำไมพี่จะไม่รู้ล่ะ?...”พี่เหยาถามอย่างนั้นและยิ้มทั้งน้ำตา

พี่เหยาบอกว่าพี่เหยารู้...และต่อมาทอมก็สารภาพในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด...ทอมเฝ้าเพียรพยายามและร้องขอให้พี่เหยาติดต่อกับผม และทุกครั้งที่มาเชียงใหม่กับทอม ทอมเพียรพยายามพูดให้พี่เหยากลับมาหาผม.. .หากแต่พี่เหยาก็ยังเลือกที่จะหันหลังให้ผม...

ผมถามพี่เหยาว่าทำไม...พี่เหยาตอบว่า...ถ้ากลับมา ทอมก็จะหลุดพ้นจากความรู้สึกผิด และนั่นคือสิ่งที่พี่เหยายอมไม่ได้...

ผมถามว่าทำไมทอมต้องรู้สึกผิด...ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ทอมเลือกที่จะทำมาตลอด และคล้ายว่าทอมเองก็ไม่น่าจะแน่ใจในความสัมพันธ์ของผมและพี่เหยา...พี่เหยานิ่งเงียบไปกับคำถามของผม คล้ายลังเลหากแต่สุดท้ายพี่เหยาก็ไม่พูดอะไร...

ผมจึงถามพี่เหยาว่า...หมายความว่าพี่เหยาจะไม่มีวันกลับมาหาผมใช่หรือไม่... อีกครั้งที่ พี่เหยาไม่ได้ตอบในสิ่งที่ผมถาม หากแต่ปล่อยให้น้ำตาไหลรินต่อไปเงียบๆแทนคำตอบ

แล้วพี่เหยาก็บอกว่า...มีครั้งหรือสองครั้ง ความสุขจากอะไรบางอย่าง มันทำให้พี่เหยาพร้อมจะยอมปล่อยมือจากทอม...พี่เหยายิ้ม หากแต่ไม่ได้บอกว่าอะไรคือความสุขที่ว่านั้น และอะไรที่บีบบังคับให้พี่เหยาเปลี่ยนใจ...ผมไม่ได้ถามพี่เหยาว่า...ผมใช่ไหม ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นไป...เพราะผมรู้ว่าคำตอบจะคือ...ใช่...

พี่เหยาบอกว่า...ก่อนกลับบ้าน เป็นครั้งแรกจริงๆที่ได้คุยกับทอม...ทอมร้องขอเหมือนผม...เริ่มต้นใหม่ได้ไหม? ที่ผ่านมาให้ลืมได้ไหม?...

“พี่บอกทอมว่า...”พี่เหยาพูดและจ้องมองผม ก่อนจะพูดต่อเบาๆ

“พี่...พี่มีคนที่พี่รักแล้ว...”

มันคงเป็นอีกครั้งที่พี่เหยาพร้อมจะยอมปล่อยมือจากทอม...ผมจำได้ รอยยิ้มยินดีของพี่เหยา...จำได้ว่าพี่เหยามาขอคุยด้วย หลายต่อหลายครั้งด้วยรอยยิ้ม และผมก็ปล่อยปัดโอกาสไปทุกครั้ง

วันนี้ผมได้รู้...รอยยิ้มนั้นมีความหมายว่าอย่างไร และคล้ายมันจะสายไปอีกเช่นเคย...

วันนี้ผมได้รู้...ทำไมทอมถึงทำร้ายพี่เหยา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นตัวเองคลุ้มคลั่งราวกับจะขาดใจเมื่อเห็นพี่เหยาโดนทำร้าย...และมันก็คล้ายจะสายไปสำหรับทอมด้วยเช่นกัน...

มันน่าขัน เมื่อพี่เหยายอมปล่อยมือจากทอม และเลือกผม...ผมปล่อยปัดโอกาสที่ตัวเองเฝ้าเรียกร้องอยู่เสมอนั้น และทอมไม่อาจทำใจให้ตัวเองยอมรับความผิดหวัง...เราต่างพาตัวเองเข้าสู่วังวนและหนทางเดิม...

“ผมขอโทษ...”ผมบอกพี่เหยา เพราะไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีไปกว่านั้นได้อีก...

ผมบอกพี่เหยาว่าทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว...มันจบไปแล้ว...

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...ทำไมทุกครั้งเอกถึงคอยมอง...คอยถามว่า...”พี่เหยาถามแม้ไม่อาจจบประโยคด้วยแรงสะอื้น หากแต่ผมรู้พี่เหยาหมายความว่าอย่างไร...

“มันจบ...แต่ไม่มีอะไรสักอย่างที่ผ่านไป...ไม่มีหรอก...”พี่เหยาบอก

“พี่จำได้ว่าตัวเองทำอะไร...เหมือนที่เอกก็ไม่เคยลืมว่าพี่ทำอะไร...พี่จำได้ว่าเอก...เห็นอะไร แล้วเอกก็จำได้ว่าตัวเองเห็นว่า...พี่ทำอะไร...”

“จำได้แล้วทำไมล่ะ?...ผมก็ยังจำอย่างอื่นได้เหมือนกัน!”ผมค้าน

“เพราะมันไม่ได้อยู่ที่เอกจำได้...แต่มันอยู่ที่พี่รู้ว่า เอกจำได้ไงล่ะ...หน้าพี่ด้านไม่พอนะเอก จะได้ไม่รู้สึกอะไรเลย...กับพวกวิทย์ด้วย..กับทั้งพวกวิทย์ หรือพวกไอ้เก้า ไอ้นัท...”

“พวกพี่เก้าไม่รู้”

“เอกรู้ได้ยังไง ?...ทั้งพ่อเอก ทั้งแม่เอก เอกแน่ใจได้ยังไงว่าไม่มีใครรู้?”พี่เหยาย้อนถาม และผมได้รู้...ตลอดเวลาที่พี่เหยาอยู่เชียงใหม่ ตลอดเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับทุกคน ตลอดเวลาที่พี่เหยายิ้มและหัวเราะ พี่เหยารู้สึกยังไง...

กว่าห้าปีที่ผมจมตัวเองลงกับความรู้สึกอันเลวร้าย...หากแต่สำหรับพี่เหยา มันยาวนานกว่านั้นมาก...

“พวกพี่เก้าไม่รู้จริงๆ”ผมยืนยัน

“แต่รงค์รู้ใช่ไหม?”พี่เหยาย้อนถาม มันทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่ไอ้รงค์ก็เคยถาม...กูเหมือนรู้เหรอ?...ใช่แล้ว...แล้วผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกพี่เก้าไม่รู้...แม้ไม่มีเหตุผลที่พวกพี่เก้าน่าจะรู้...แต่ผมจะแน่ใจได้อย่างไร...อีกทั้งพ่อกับแม่...แน่ใจได้อย่างไรว่า พ่อและแม่ไม่นึกเห็นหรือแคลงใจในความสัมพันธ์ของทอมและพี่เหยา...สายตาของคนที่ผ่านโลกมามากกว่า พ่อกับแม่อาจมองเห็นอะไรมากกว่าที่ผมเห็น...ยิ่งหลังจากวันที่ผมร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตายในวันนั้น...ผมแน่ใจได้อย่างไร ว่าพ่อกับแม่ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ...

“แล้วแฟนรงค์ล่ะ?”พี่เหยาถาม เมื่อผมไม่ได้ตอบพี่เหยาว่าไอ้รงค์รู้หรือเปล่า

“มันไม่เล่าหรอก!”ผมบอก และครั้งนี้ผมมั่นใจ ไอ้รงค์ไม่มีทางพูดอย่างแน่นอน

“เอกรู้ไหม?...ตอนที่ฟงมันชี้ให้ดู มันจีบใครอยู่...เอกรู้ไหม ตอนนั้นพี่รู้สึกยังไง?”

ผมไม่ได้ตอบ หากแต่กระชับอ้อมแขนที่กอดพี่เหยาเอาไว้...

ผมจำได้...วันอันเลวร้าย หลังวันลอยกระทง...วันที่พี่เหยาถาม ถ้าน้าสุรู้เอกจะทำยังไง?...ผมไม่มีคำตอบ เพราะนึกรู้ว่านั่นคือสิ่งที่ผมยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้...ผมยอมซ่อนตัวอยู่ในความขลาดกลัว...เพราะสิ่งเดียวที่นึกกลัวคือ...ถ้าแม่รู้ จะทำอย่างไร...

“พ่อกับแม่ไม่รู้หรอก...พี่ก็รู้...พ่อกับแม่ผมชอบพี่จะตาย ถ้าแลกได้ คงอยากได้พี่มาเป็นลูกชายยิ่งกว่าผมอีก...”ผมบอก ในสิ่งที่น่าจะเป็นความจริง

“แฟนไอ้รงค์ก็ไม่รู้...พี่ก็รู้จักไอ้รงค์นี่...แต่ไอ้รงค์รู้...เพราะตอนนั้น...มันก็อยู่ แต่มันไม่ยอมมา...มันยังจะเลิกคบพวกผม ถ้าหน้าไอ้วิทย์ไม่เจ่อแบบนั้น...”พวกบอกเล่าความจริง ที่พี่เหยาไม่เคยรู้ ที่ผมไม่เคยอยากจะพูดถึง

“ลอยกระทงปีที่แล้ว พวกมันยังบ่นถึงพี่เลย...ไม่มีใครให้แกล้ง...ผมจำวันที่เราไปเที่ยวงานลอยกระทงกันได้...จำได้ว่าเราใส่เสื้อหนาวตัวเดียวกัน...จำได้ว่าผมกอดพี่ไว้ จำได้ว่าพวกไอ้วิทย์มันนั่งกันเงียบกริบ แอบมองเรา...จำได้ว่...”ผมพูดได้แค่นั้น เพราะพี่เหยากอดผมแน่น และสะอื้นไห้ มันทำให้ผมรู้ว่า...ภาพของแสงโคมเต็มท้องฟ้าในคืนนั้น มันไม่ชัดเจนเท่าภาพของความเลวร้ายในอีกหนึ่งวันหลังจากนั้น...

เราเลยไม่ได้คุยอะไรกันอีก...

เป็นอีกครั้งที่ยากจะบอกว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร...มีหวังอยู่หรือเปล่า?...

ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยหวังว่าพี่เหยาจะเลือกผม ไม่ใช่ทอม...วันนี้พี่เหยาบอก...พี่บอกทอมว่า พี่มีคนที่รักแล้ว...ใจผมน่าจะยิ่งเต็มตื้นด้วยความสุขและสมหวัง...หากแต่มันกลับเบาโหวง

ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยอยากให้พี่เหยาเกลียดและชิงชังทอม...วันนี้ผมรู้ พี่เหยาชิงชังและไม่เคยยกโทษให้กับทอม...ผมควรจะดีใจ หากแต่ความรู้สึกมันเฉยชา

มันน่าขำ...พี่เหยาหันหลังให้กับผม เพราะไม่ยอมยกโทษให้กับทอม...

ผมยังกอดพี่เหยาไว้...ไม่ได้พูดอะไรอีก แม้ยังมีอีกมากมายหลายเรื่องที่อยากถาม แม้มากมายอีกหลายเรื่องที่ยังดูคลุมเครือ หากแต่ก็นึกรู้... พี่เหยาเองอาจไม่มีคำตอบ แม้ในสิ่งที่ตัวเองเลือกจะทำ...

ผมจึงไม่ได้ถามอะไรอีก ทำเพียงกอดพี่เหยาไว้...ปล่อยให้พี่เหยาร้องไห้...สะอื้นไห้ และหลับไป โดยที่ผมยังคงกอดพี่เหยาเอาไว้...ผมรู้ วันและคืนที่ผ่านมา พี่เหยาคงผ่านทั้งการขบคิดและร้องไห้ ผมจึงได้แต่หวังว่า หลังจากที่พี่เหยาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ใจพี่เหยาคงจะสงบลงบ้าง...

ผมนอนคิด...นอนกอดพี่เหยาไว้...นอนมองห้องพักเก่าๆ ที่กลิ่นอายดูจะไม่ต่างนักจากม่านรูดราคาถูกที่เคยบังคับฝืนพาพี่เหยาเข้าไปหลายต่อหลายครั้ง...

...เอกจำได้ว่าพี่ทำอะไร...จำได้ว่ามองเห็นอะไร...พี่เหยาบอก และผมต้องยอมรับ...ไม่มีสักสิ่งที่ผมลืมเลือน...ตั้งแต่วันแรกนับจากรู้รสสัมผัสของผิวเนื้อพี่เหยา ผ่านการชักจูงของทอมที่แทบจะเรียกว่าจับมือทำ...จนวันนี้...ไม่มีสักอย่างที่ผมลืม...ใช่แล้ว ไม่มีอะไรเลยที่ผมลืม...

“นอนต่อก็ได้...”ผมบอกและกระชับแขนที่กอดพี่เหยาไว้ให้แน่นขึ้น เมื่อพี่เหยาขยับตัวคล้ายจะตื่น...




--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
แสงแดดที่เมื่อแรกเดินเข้ามาในห้อง ส่องแสงจ้าทะลุผ่านผ้าม่านเนื้อบางผืนขาว ตอนนี้ดูจะคล้อยแสง บ่งบอกว่าเวลาน่าจะผ่านเลยไปจนบ่ายแล้ว

เวลามันผ่านไปหลายชั่วโมง...หลายชั่วโมงที่ผมเฝ้าทบทวน...ทุกสิ่งที่ผมจดจำได้ และผมก็มั่นใจ...ผมจดจำได้ทุกอย่างจริงๆ อย่างที่พี่เหยาว่า...

“ผมจำได้ทุกอย่าง อย่างพี่ว่าจริงๆนั่นแหละ...”เมื่อไม่เห็นว่าพี่เหยาจะมีทีท่าว่าจะหลับตาลงอีกครั้ง ผมจึงพูดก่อนขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงพนักเตียง โดยที่พี่เหยายังนอนพาดแขนกอดเอวผมไว้

พี่เหยาไม่ได้ร้องไห้แล้ว...หากแต่ก็ยังกอดผมเอาไว้...

“ผมจำได้ว่าตัวเองทำเรื่องแย่ๆอะไรไว้กับพี่บ้าง...แต่พี่รู้ไหม ตอนลอยกระทงปีนั้น ผมสัญญากับตัวเองจริงๆนะ ว่าต่อไปจะไม่ทำอย่างที่ผ่านมากับพี่อีก...”ผมบอกพี่เหยา ที่ทำเพียงแต่เงียบฟัง ไม่พูดไม่โต้ตอบอะไร...

“ก็ตอนเห็นพี่ยิ้ม...เห็นพี่หัวเราะ...ผมมีความสุขจริงๆนะ...แต่ว่าหลังจากนั้น...”ผมพูดแค่นั้น พี่เหยาก็กอดผมแน่น คล้ายไม่อยากให้ผมพูดถึงมัน...

“...มันแย่มากๆเลย...สิ่งที่เกิดขึ้น...ผมกลัว...กลัวว่าถ้ายุ่งกับพี่อีก...ผมกลัวว่าเขาจะทำกับพี่อย่างนั้นอีก แล้วผมก็ไม่มีปัญญาทำอะไรสักอย่าง...ไม่รู้สิ...แล้วก็เหมือนพี่เชื่อเขามากกว่าผม...ไม่รู้เหมือนกัน...คิดว่าจะไม่ยุ่งอีก แต่ผมก็กลัวว่าพี่จะคิดว่าผมทิ้งพี่อีก...ผมไม่รู้จะทำยังไงดี...”ผมพูด นึกถึงตารางเวลาโง่ๆที่ตัวเองทำ นึกถึงข้อความที่พี่เหยาเขียนทิ้งไว้...ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้...

“พี่จำตอนที่เขาไม่อยู่ แล้วผมก็ไปอยู่กับพี่ได้หรือเปล่า?...ตอนนั้นผมแอบไปดร็อปsummer...ที่บอกว่าไม่ได้เรียนน่ะผมโกหก”ทั้งที่เคยคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกให้พี่เหยารู้ หากแต่ครั้งนี้ผมก็เลือกที่จะบอก...ผมอยากให้พี่เหยารู้...ไม่ใช่ให้รู้ว่า ผมทำอะไรไปบ้าง หากแต่ให้รู้ว่า เวลาที่ได้อยู่กับพี่เหยา มันมีความหมายกับผมมากมายแค่ไหน

“ผมจำได้ทุกๆเรื่องจริงๆ...จำได้ว่าพี่ชอบแกล้งผม ชอบมารื้อโน่นรื้อนี่ในร้าน ให้ผมคิดตังค์ แล้วก็หยิบไปแต่เป๊ปซี่กระป๋องเดียว...จำได้ว่าพี่ชอบสอนหนังสือผมผิดๆถูกๆ สุดท้ายผมต้องเสียเวลามานั่งอ่านเองตลอด...”

ผมยังพูดต่อไปเรื่อยๆ...พูดในสิ่งที่จดจำได้... แม้คำตอบเดียวที่พี่เหยามีให้ผมจะคือความเงียบ...

“จำได้ว่าตอนแรกๆผมเรียกพี่ว่าพี่เย้าๆ...แล้วพี่ก็ตบหัวผม ตอนนั้นผมโคตรโมโหเลยนะ แต่พี่ตัวโตกว่าผม แล้วก็ไม่สนิทกันด้วย ผมเลยไม่กล้าหือ... แต่พี่กล้าตบหัวผม...แล้ววันหลังๆก็เอาไม้บรรทัดโขกหัวผมเป็นประจำเลย”

“ตอนเด็กๆเวลาป๊าสอนหนังสือให้พี่กับฟงกับคิม...ป๊าก็ให้เอามือมาวางไว้บนโต๊ะคนละข้าง...ตอบผิดก็เอาไม้บรรทัดเคาะข้อนิ้ว...”พี่เหยาพูดเบาๆ หากเพียงเท่านั้น ผมก็ดีใจ

“อือ...แต่ผมจำได้ว่า พอพี่เคาะหัวผมเสร็จ พี่ก็ชอบพูดว่า...อ้าว ไม่ผิดนี่ โทษทีๆ...”ผมแย้งและพี่เหยายิ้ม

“จำวันแรกที่เจอกันได้ด้วย...ไม่ใช่วันที่พี่เล่าว่า เกือบโดนรถชนตายทั้งคู่นะ...หมายถึงวันที่พี่มาอยู่เชียงใหม่วันแรก แล้วผมเอาจดหมายไปให้พี่...วันแรกเลยที่เราเจอกัน...ตอนนั้นไม่อยากให้พี่มาเลย เพราะเมื่อก่อนผมจะเก็บจดหมายไว้ให้เขา แล้วเขาจะให้ตังค์ผม..พอส่งจดหมายให้ พี่ไม่พูดอะไรกับผมสักคำ...”

“พูด...พูดว่าขอบใจ...”พี่เหยาค้าน

“ไม่ได้พูด!”

“พูด...”

“งั๊นมั๊ง...แต่ผมว่าพี่ไม่ได้พูดนะ...”

“พูดสิ...”

“พี่จำได้จริงๆเหรอ?”ผมถามและพี่เหยาพยักหน้ารับแทนคำตอบ

“แล้วพี่จำได้ไหม...หนังเรื่องแรกที่พี่พาผมไปดู เรื่องอะไร?”ผมถาม

“...จำไม่ได้...”พี่เหยานิ่งคิดไปก่อนตอบเบาๆ

“ผมก็จำไม่ได้...แต่จำได้ว่าเป็นเรื่องที่พี่อยากดูแต่ผมไม่อยากดู...จริงๆพี่พาไปดูกี่เรื่อง พี่ก็เลือกแต่หนังที่ตัวเองอยากดูทุกที...พี่บอกว่าพี่เป็นคนออกตังค์ พี่ก็ต้องเป็นคนเลือก”

“ก็เอกชอบดูแต่หนังตลก...”

“อ๋อ!...ใช่ มีครั้งหนึ่งพี่ให้ผมเลือก...แล้วพี่ก็เดินออกจากโรงตอนหนังเล่นไปแค่แปล๊บเดียว...เฉินหลงออกมาตั้งสองนาทีมั๊ง... ทิ้งผมเฉย!...พี่บอกว่าเสียเงินแล้วทำไมต้องเสียเวลานั่งดูอีก!”ผมพูดและอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะวันนั้นผมจำได้ว่าวิ่งตามออกมาด้วยความโมโห แล้วก็เจอพี่เหยานั่งรออยู่ที่บันไดหน้าโรงหนัง...พี่เหยาไม่เสียเวลานั่งดูจริงๆ แต่เลือกที่จะนั่งรอเฉยๆหน้าโรง... หลังจากนั้นเลยเป็นประเด็นถกกันระหว่างเรา ผมมักถามพี่เหยาเสมอว่า...เฉินหลงทำอะไรผิด...เดินผ่านจอไม่กี่นาที พี่เหยาก็ลุกหนีซะแล้ว...

“ก็ไม่ได้บอกให้เอกตามออกมานี่ เอกตามออกมาเอง...”พี่เหยาพูดและยิ้มคล้ายจะกำลังนึกเห็นในสิ่งเดียวกัน

“ก็ใครจะไม่ตกใจล่ะ อยู่ดีๆก็เดินออกไปเฉย ผมก็วิ่งตามสิ!...จำได้ไหม?...พอดูหนังเสร็จ พี่ก็ชอบพาผมไปกินไอติม แล้วก็ซื้อการ์ตูนให้ด้วย...ตอนนั้นสนุกดีนะ พี่ว่าไหม?”ผมถาม และพี่เหยาไม่ตอบ หากแต่ผมเห็นพี่เหยายิ้ม และกระชับแขนที่กอดผมไว้อีกครั้ง

“ดีจังที่พี่จำได้...พี่รู้ไหมผมกลัว...กลัวว่าพี่จะจำได้แต่เรื่องที่ผมทำแย่ๆกับพี่...”

“ตอนที่ไปเที่ยวลอยกระทงด้วยกัน...”ผมพูดอีกครั้งและพี่เหยากอดผมแน่น ผมรู้...พี่เหยากำลังคิดถึงอะไร แต่ผมก็เลือกที่จะพูดต่อ

“ผมชวนพี่ไปงานไม้ดอก...พี่จำได้ไหม?...แต่ในหัวผมน่ะคิดเผื่อไปวันอื่นด้วย...ผมกะว่าวันสงกรานต์จะพาพี่ซ้อนมอเตอร์ไซด์ขี่รถเล่นรอบคูเมือง...คราวนี้จะไม่เอาพวกไอ้วิทย์ไปด้วย กะจะไปกับพี่แค่สองคน...ก็ตอนวันลอยกระทง ...สนุกจะตาย ...ผมอยากให้เป็นอย่างนั้นทุกวัน...คิดว่าหลังจากวันนั้น เราจะอยู่ด้วยกันทุกๆวัน...”

“วันนั้นผมมีความสุขมากๆเลย แต่ก็ยังไม่ที่สุด...พี่รู้ไหม วันไหนที่ผมมีความสุขที่สุด?”ผมถาม และไม่รอให้พี่เหยาตอบ ผมก็บอกพี่เหยา

“เมื่อวานไง...ทั้งตอนที่พี่บอกเรื่องพี่กับทอม แล้วก็ตอนนั่งรอพี่...”

“ผมรักพี่จริงๆนะ...”ผมบอก และพี่เหยาก็ไม่ได้พูดอะไรเลย

“พี่บอกผมหน่อยซิ...ว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่?”ผมถาม และขยับตัวลงนอนอีกครั้ง ใบหน้าเราห่างกันแค่นิดเดียว...พี่เหยาไม่ได้หลบตาผมอย่างที่ผมคิดไว้ หากแต่จ้องมองผม อย่างที่ผมเองก็จ้องมองพี่เหยา

“ตาพี่แดงหมดเลย”ผมพูด ค่อยๆไล้นิ้วเบาๆบนเปลือกตาที่แดงช้ำเพราะผ่านการร้องไห้ และน้ำตาของพี่เหยามันก็ไหลออกมาอีกครั้ง

“พี่อย่าร้องสิ...ตาพี่แดงหมดแล้ว”ผมบอกและจูบเบาๆที่ตาที่แดงช้ำของพี่เหยา และพี่เหยาก็สะอื้นออกมา

“ผมอยากอยู่กับพี่ทุกวัน...ไปดูหนังด้วยกัน...กินข้าวด้วยกัน...ไปเดินเที่ยวด้วยกัน แล้วก็กอดพี่ไว้ เหมือนตอนวันลอยกระทง...เหมือนตอนนี้...”ผมบอกและพี่เหยาก็ยิ่งร้องไห้มากขึ้น

“เราเริ่มกันใหม่นะ?”ผมถามอีกครั้งและอีกครั้ง แม้คำตอบของพี่เหยาจะยังคงเป็นเสียงร้องไห้เฉกเช่นเดิม

ผมเฝ้าถาม เพราะผมรู้แล้วว่า ไม่อาจปล่อยมือ...ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเอง หากแต่เพราะผมรู้ว่าถ้าผมปล่อย พี่เหยาก็คงจมลงสู่ความรู้สึกเดิมๆ...ชิงชัง...สิ้นหวัง...ไร้ทางออก...

มันจริงอย่างที่พี่เหยาว่า...สำหรับผมและพี่เหยา อดีตเป็นเพียงสิ่งที่ผ่านพ้น หากแต่มิอาจหลุดพ้นจากมัน...แต่ผมก็รู้ว่า สำหรับเรา มันไม่สำคัญว่าจะทำอย่างไรให้หลุดพ้น...สิ่งที่ทำได้ คือ ทำอย่างไร ให้ก้าวไปข้างหน้าได้ โดยไม่ดึงอดีตเหล่านั้นให้ย้อนกลับมาทำร้ายเราอีก...ผมจึงเฝ้าแต่ถาม...

“เริ่มต้นใหม่นะ?...ผมสัญญาทุกอย่างที่พี่ อยากให้ผมสัญญา...ผมรู้จริงๆนะว่าผมทำได้...”ผมถามและจูบพี่เหยาเบาๆที่แก้ม

“...นะพี่?... เราเริ่มต้นกันใหม่นะ?”ผมยังเฝ้าถาม แม้คำตอบที่ได้จะเป็นเพียงแค่น้ำตาของพี่เหยา

“เริ่มต้นใหม่นะ?...ผมสัญญา ผมจะตามใจพี่ทุกอย่างเลย...อะไรก็ได้ จะไม่ขัดใจพี่สักอย่างเลย”

“จะไม่ทำให้พี่โกรธ...จะไม่ทำให้พี่เสียใจอีก...”ผมพูดได้เท่านั้น แล้วพี่เหยาก็กอดผมแน่น ซุกตัวกับอกผมและร้องไห้ออกมา...

“เริ่มต้นใหม่นะ?”ผมถาม

“แล้วห้ามถามว่า...”พี่เหยาพูดออกมาในที่สุด หากแต่ก็ไม่จบประโยค แต่ผมก็รู้ว่าพี่เหยาจะพูดอะไร แม้อยากตอบ อยากรับปากกับพี่เหยา ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะเพียงได้ยินสิ่งที่พี่เหยาร้องถาม ผมก็ร้องไห้ออกมาและกอดพี่เหยาไว้แน่น

“ไม่ถามหรอก ผมจะถามได้ยังไง...”ผมพยายามพูดออกมาในที่สุดแม้ว่าจะยังคงร้องไห้ และยังคงกอดพี่เหยาที่ยังคงร้องไห้เอาไว้

“ถ้าถาม...”พี่เหยาถาม หากแต่ผมไม่รอให้พี่เหยาถามจบ

“ไม่ถาม!...มันไม่เหมือนกันนี่ ตอนนั้นกับตอนนี้...มันไม่เหมือนกัน ...พี่เป็นของผมคนเดียวแล้ว ผมจะถามพี่อย่างนั้นอีกทำไม!”

“พี่ ผมขอโทษ...”ผมบอกพี่เหยาอีกครั้ง...

เวลานั้นผมไม่รู้ ทำไมผมถึงพูด...ผมขอโทษ...หากแต่เวลานั้น มันเป็นสิ่งที่ผมอยากพูด...ในเวลานั้นมีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่ผมอยากพูดและอยากบอกพี่เหยา...

หากแต่เมื่อเวลาเดินทางมาถึงณ.วันนี้...วันที่ไม่หลงเหลือน้ำตาอีกแล้ว...ผมรู้...ผมขอโทษ...เพราะสำหรับผมในเวลานั้น...ความรู้สึกผม มันบอกว่า มันจบลงแล้วจริงๆ สำหรับความทุกข์ ความผิดหวังที่ผ่านมา...มันจบแล้ว และกำลังพร้อมจะเริ่มใหม่...ผมจึงบอกพี่เหยาว่าผมขอโทษ สำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา...และกับอีกบางสิ่งที่ผมอยากบอกพี่เหยา...

“ขอบคุณครับ...”ผมกระซิบบอกพี่เหยา

“ผมสัญญา...ผมรักพี่นะ...”ผมบอกพี่เหยาอีกครั้ง และยังคงเฝ้าบอกอีกหลายต่อหลายครั้งว่า...ผมรักพี่...

เมื่อทุกอย่างผ่านไป...แม้ผมจะไม่อาจลืมในสิ่งที่เกิดขึ้นและผ่านไปได้...แม้ความทรงจำของเราจะไม่ได้งดงามอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง..

ยามที่นึกถึงความสุข มันไม่ได้อิ่มเอม...ยามนึกถึงความทุกข์ก็ไม่ได้ดื่มด่ำอะไรเลย...

หากแต่สำหรับผม...มันมีค่า...

เราไม่เคยพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกันอีก...เพราะแม้มันมีค่า หากแต่มันคือบาดแผลที่เรารู้ว่า เราต่างไม่มีวันลืม...

บ่อยครั้งที่ยังเห็นพี่เหยามองออกไปนอกหน้าต่าง...เหม่อลอย ครุ่นคิด และเจ็บปวด...ผมไม่เคยถามว่า...พี่คิดอะไร?...เพราะผมรู้...ผมจึงเพียงกอดพี่เหยาเอาไว้ และพี่เหยาก็ยิ้มและกอดผม...เท่านั้นก็เพียงพอ...

อย่างที่บอก เพราะอดีตสำหรับเรา...มันผ่านพ้น หากแต่เราไม่เคยหลุดพ้น...เพียงอยู่กับวันนี้ได้...เท่านั้นก็พอสำหรับเรา...เท่านั้นจริงๆ

เราจึงไม่เคยพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วอีก...

...เพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ผมบอกพี่เหยาว่า...แม้สิ่งที่ผ่านมามันจะเจ็บปวด แม้ในช่วงเวลานั้น ผมเคยภาวนาขออย่าให้มันเกิดขึ้น เฝ้าแต่คิดว่าทำไม มันถึงเกิดขึ้นกับผม เคยคิดว่าสามารถเอาทุกอย่างในชีวิตเข้าแลก ขอให้มันเป็นแค่ความฝัน เพราะมันเจ็บปวดเหลือเกิน... หากแต่เมื่อเวลาเดินทางมาถึงทุกวันนี้...ผมบอกพี่เหยาว่า หากความเจ็บปวดเหล่านั้น เป็นหนทางที่ทำให้ผมกับพี่เหยาเดินมาถึง ณ.วันนี้...ผมก็ยินดียอมรับมัน...

“...พี่ก็เหมือนกัน...”พี่เหยาบอกผมอย่างนั้นแล้วก็ยิ้ม...

จบ...หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ



--------------------

จะมี บทส่งท้ายสำหรับเรื่องนี้อีก 1 ตอน 
และตอนพิเศษ หรือจะเป็นแค่คืนหนึ่งแห่งความทรงจำ เป็นเรื่องสั้นที่อาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยก็ได้ (ต้องอ่านดู)

Mono_Koro

  • บุคคลทั่วไป
งือ :m15:

ซึ้งอ่ะ

น้ำตาใหลอีกเเล้ว

กระซิก กระซิก :sad2: :sad2: :sad2:

Mono_Koro

  • บุคคลทั่วไป
จบซะทีเนอะ o7 o7


ขอบคุณคุณทิพย์กับคุณภักDมากคับ


เรื่องนี้ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองในหลายๆอย่าง


ไว้คราวหน้าถ้ามีผลงานอะไรอีก


จะตามไปเป็นกำลังใจให้เเน่นอนคับ



 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13





animob

  • บุคคลทั่วไป
เป็นนิยายที่ชอบมากอีก 1เรื่อง ขอบคุณคนเขียนและคนโพสต์มากครับ

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
วันนี้ไม่ขอเม้นต์ฯ เพราะทุกอย่างมันงดงาม เกินจะเม้นต์ฯ ได้

ขอบคุณ คุณภัคD, ขอบคุณพี่ทิพย์ครับ





นี้สำหรับตอบแทนเรื่องราวดีๆ ที่นำมาเสนอ >>>  :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
เข้ามากดบวกให่ทิพและ  :o12:

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # บทส่งท้าย

หลังจากวันนั้น ระหว่างผมกับพี่เหยา...เราก็ต้องต่างคนต่างกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง

การมีคนรักที่อายุมากกว่า รับผิดชอบมากกว่า แถมเป็นพี่เหยา คนที่ดูจะเลือกทำสิ่งที่ต้องทำ ก่อน สิ่งที่ควรทำ และทำสิ่งที่ควรทำก่อนสิ่งที่อยากทำ...ความสัมพันธ์ของเราเลยวิ่งวนอยู่ตามสายโทรศัพท์...

ทอมยังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตพี่เหยา...หากแต่ แปลก...ผมไม่เคยระแวง สงสัยหรือแม้แต่กังวล...

“แล้วตัวเหี้ยนั่น เดี๋ยวนี้เป็นไงบ้าง?”คือคำถามที่ไอ้วิทย์มักใช้ถามถึงทอม...

ผมไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมากนักให้พวกไอ้วิทย์ฟัง...ไม่ได้เล่าว่าพี่เหยาคิด รู้สึก หรือ หวาดระแวงอะไร...ไม่ได้บอกพวกมันว่าทำไม พี่เหยาถึงหนีหายหน้าไป...พวกมันก็ไม่ได้ถาม

การเห็นหน้าอยู่ทุกวันๆ...เห็นพี่เหยาหัวเราะ พูดคุย หรือแม้แต่โกรธ หรือเสียใจ กลับไม่ทำให้เราเห็นบาดแผลในใจของพี่เหยา ได้เท่ากับเวลาที่ไม่เห็นพี่เหยายืนอยู่ตรงหน้า...หนึ่งปีที่หายไป มันจึงบอกอะไรได้มากเพียงพอจนพวกมันไม่ต้องเอ่ยถามอีก...

แรกๆ เวลาที่พี่เหยามาเชียงใหม่ พี่เหยายอมเจอก็แค่ผม แม้ไม่ถึงกับปฏิเสธ หากแต่ก็พยายามหาเรื่องบ่ายเบี่ยงทุกครั้งที่ผมชวนไปเจอพวกไอ้วิทย์ จนไอ้วิทย์มัดมือชก ตามไปเจอแบบไม่ให้บ่ายเบี่ยงได้นั่นแหละ...พี่เหยาถึงไม่มีโอกาสบ่ายเบี่ยงอีก...ไม่มีใครถามถึงช่วงเวลาที่ขาดหายไป... ทุกอย่างคล้ายจะปกติ...และต้องใช้เวลา หากแต่ไม่นานนัก ทุกอย่างก็กลับไปเป็นปกติ...หลังๆเวลาพี่เหยามาเชียงใหม่ จึงนัดเจอพวกไอ้วิทย์เสมอ และลับหลังพี่เหยาไอ้วิทย์ก็มักถามผม

“แล้วตัวเหี้ยนั่น เดี๋ยวนี้เป็นไงบ้าง?”

“พูดไม่เพราะเลยมึง ยังไงเขาก็เป็นผู้ใหญ่น่ะโว๊ย!”ไอ้ชัยแย้ง

“แล้วให้เรียกไง?”ไอ้รงค์ถามและหัวเราะ เหมือนเดาได้ว่า คำตอบไอ้ชัยก็คงไม่น่าจะดีสักเท่าไหร่

“แล้ว...ตัวเงิน ตัวทอง...นั่น เดี๋ยวนี้เป็นไงบ้าง!”ไอ้ชัยตอบอย่างที่ไอ้รงค์คาดไว้ไม่มีผิด

ผมไม่มีคำตอบให้พวกมันมากนัก ไม่ว่ามันจะเรียกทอมว่าอะไร ผมรู้เพียงแต่ว่า พี่เหยาคงโกรธมาก หากรู้ว่าไอ้วิทย์และพวกมันเรียกทอมว่าอย่างนั้น...ผมจึงไม่เคยเรียกทอมอย่างที่พวกมันเรียก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่ผมไม่เคยเกลียดทอมน้อยลงเลยแม้สักนิด...

แต่ต่อมาพวกมันก็เลิกถาม เมื่อผมตอบมันในครั้งสุดท้ายที่มันถามถึงว่า...ทอมกำลังเข้ารับการบำบัดทางจิต...

พี่เหยาบอกผมอย่างนั้น...ทอมไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยแล้ว และไม่ได้กลับไปบ้าน หากแต่อยู่ที่ไหนสักแห่ง เพื่อเข้ารับการบำบัดทางจิต...

ครอบครัวพี่เหยาไม่รู้...เดินทางท่องเที่ยว...นั่นคือสิ่งที่ครอบครัวพี่เหยาได้รับการบอกกล่าวจากทอม

มีแต่พี่เหยาเท่านั้นที่รู้...พี่เหยาบอกผม และร้องไห้...

ผมไม่เคยรู้และอาจไม่มีวันรู้ว่า...เรื่องที่ผ่านมา สำหรับทอม มันเจ็บปวดแค่ไหนกับสิ่งที่ตัวเองเลือกที่จะทำ

ผมอยากบอกพี่เหยาว่า...มันไม่ใช่ความผิดของพี่เหยา...เพราะเราต่างคนก็ต่างทำร้ายตัวเอง เองต่างหาก...แต่ผมก็ไม่ได้พูด ได้แต่กอดพี่เหยาและบอกพี่เหยาว่า...มันอาจเป็นการเริ่มต้นสำหรับทอมเช่นกัน...

ทอมไม่ได้ติดต่อมาหาครอบครัวพี่เหยาบ่อยนัก หากแต่ตรงกันข้าม ทอมยังคงโทรหาพี่เหยาอยู่บ่อยๆ คอยส่งข่าวอย่างสม่ำเสมอ...ผมไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจ เพราะนึกรู้ว่า สิ่งที่ทอมทำมิใช่เพื่อตัวเอง หากแต่เพื่อพี่เหยา...เพราะหากทอมหนีหาย คนที่จะเสียใจที่สุดคงเป็นพี่เหยา...

อย่างที่บอก ผมไม่เคยเกลียดทอมน้อยลง ดังนั้นผมจึงไม่สนใจเรื่องของทอมมากมายเท่าไหร่นัก ทั้งหลังจากที่ทอมจากไปแล้ว หรือแม้แต่ก่อนหน้านั้นที่ทอมยังอยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพี่เหยา ผมสนใจก็แต่คิด แต่นึกหาวิธีว่าจะทำยังไงให้ผมมีเวลาอยู่กับพี่เหยามากขึ้น และแน่นอนว่าต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง เหมาะสม และควรกระทำ โดยมีบรรทัดฐานที่ชื่อจึเหยาเป็นมาตราวัด

และการที่ผมซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว จะทิ้งพ่อแม่ไปหางานทำที่กรุงเทพ แม้พี่เหยาไม่ต้องบอก ตัวผมเองก็ทำอย่างนั้นไม่ลง

ดังนั้นการใช้ชีวิตด้วยกัน แบบที่ใจอยาก ดูจะเป็นเรื่องห่างไกลเสียเหลือเกิน...

แล้วพระเจ้าก็เข้าข้างผม หลังจากทอดทิ้งผมมาเสียนาน แม้จะเข้าข้างไม่เต็มร้อย แต่ก็ขยับระยะห่างระหว่างผมกับพี่เหยาให้ใกล้เข้า แม้ไม่ใช่ปัจจุบันแบบทันด่วน แต่ก็เหมือนทางที่ค่อยๆทอดระยะให้ถึงกัน

“พวกนายทุนที่กรุงเทพ เขามาเล็งๆที่แถวบ้านกู แม่กูก็ลังเลอยู่เหมือนกัน”ไอ้ชัยเล่าให้ฟัง อันเป็นจุดเริ่มต้นของทางลัดย่นระยะห่างของผมกับพี่เหยา

“เขาจะซื้อไปทำไม?”ไอ้วิทย์ถามอย่างสนใจ อันผิดปกติวิสัยที่เคยเป็น

“ไม่รู้...แต่เห็นว่าถนนจะตัดผ่าน ที่มันเลยน่าจะขึ้นราคา”ไอ้ชัยกลับเป็นฝ่ายตอบแบบไม่สนใจเท่าไหร่ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเริ่ม

“ไม่เดือดร้อน ก็เก็บไว้รอขึ้นก่อนสิวะแล้วค่อยขาย”ไอ้วิทย์แนะ

“ทำถนนที โครงการตั้งหลายปี...”

“แล้วไง?”

“ก็กูอยากไปเรียนต่อบ้าง”ไอ้ชัยบ่น มันบ่นคำนี้มาตั้งแต่พี่เก้า กับพี่นัทเก็บกระเป๋าไปเรียนต่อ หรือจริงๆแล้วอาจจะก่อนหน้านั้น...บ้านมันไม่ได้ยากจน อาจจะเรียกว่าร่ำรวยเสียด้วยซ้ำ หากแม่มันยอมแปลงที่ดินกว่า100ไร่กับบ้านเรือนไทย ไม้สัก ที่มีเสาขนาด 2 คนโอบ ร่วม10ต้นเป็นเงินสด

“ทำไมต้องไปเรียนต่อ?”ไอ้วิทย์ถามคำถามเดิมๆ ที่ถามทุกครั้งที่ไอ้ชัยบ่นอยากไปเรียนต่อ เพียงแต่วันนี้แตกต่าง

“มึงอยากทำงานบริษัทเหรอ แต่กูอยากหาอะไรทำมากกว่า...มึงดูอย่างไอ้ตัวเหี้ยนั่นสิ หาเงินได้ตั้งเท่าไหร่ จากของที่อยู่แค่ปลายจมูกมึง!”

“แล้วมึงจะทำอะไร?...ทำอย่างทอมเหรอ เริ่มยังไงกูยังคิดไม่ออกเลย”ไอ้ชัยถาม

“แถวบ้านมึง มีแต่บ้านเก่าๆใช่เปล่า?”

“พูดซะเสียเลยมึง โบราณโว๊ย ไม่ใช่เก่า!”

“เออ นั่นแหละ...มีแต่บ้านไม้ ทั้งนั้น มียุ้งข้าวแทบทุกหลัง”

“แล้วทำไม? อย่าบอกนะว่าจะเสือกรื้อบ้านเขาไปขาย...กูยังเสียดายยุ้งข้าวบ้านยายสายไม่หายเลย...ขายไปได้ไงวะ สามหมื่น...นายหน้าได้มากกว่าเห็นๆ... เก็บไว้ก็ใช่ว่าจะอดตาย...พอขายเสร็จนะมึง ลุกไม่ขึ้นเลย เขาว่าผีเหยียบหลัง เสือกเอาสมบัติของปู่ย่าตายายไปขาย!”ไอ้ชัยเล่า...เรื่องเดิมๆที่มันเอามาเล่าให้ฟังตั้งแต่วันที่ยายสายตัดสินใจขายยุ้งข้าวจนวันนี้ที่ยายสายตายไปแล้ว มันก็ยังเล่าเหมือนวันแรกที่เล่าไม่มีผิด

“เปล่าโว๊ย!...วันก่อนกูอ่านเจอในหนังสือ เกี่ยวกับHomestay”ไอ้วิทย์บอก

นั่นคือจุดเริ่มต้น....

มันเริ่มจาก ไอ้ชัยอยากแบ่งที่ แม่มันขาย เพื่อเอาเงินไปเรียนต่อ...

แต่ไอ้วิทย์ เกิดไปสะดุดใจธุรกิจHomestayเข้า...โดยหมายมาดใช้ที่แถวบ้านไอ้ชัยนั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้น

และพี่เหยาที่ได้ฟังเรื่องราวจากผมก็ช่วยออกความคิด

“ทำทัวร์ด้วยสิ...แรกๆก็ลองดิวกับพวกบริษัททัวร์ก่อน พี่มีคนรู้จัก คุยให้ได้”พี่เหยาแนะ มารู้ทีหลังว่าจริงๆพี่เหยาไม่ได้สนใจธุรกิจhomestayเท่าไหร่ แต่ที่พี่เหยาสนใจคือการทำทัวร์

...ทำงานไป เที่ยวไป สนุกจะตาย...พี่เหยามาบอกให้ฟังทีหลัง

และพี่เก่งที่ต้องจมอยู่กับงานรับเหมาก่อสร้างที่ศรีสะเกษอันเป็นกิจการของครอบครัวก็ขอร่วมด้วยช่วยเสริมทัพ

“กูทำด้วยสิ...งานที่บ้านเดี๋ยวน้องกูจบให้มันมาดู...เออ !...เฮ้ย ถ้ายังไงทำทัวร์แถวอีสานด้วยเลยดิ!”

นั่นคือจุดเริ่มต้น....

เริ่มต้นที่พวกผมคุยกันเหมือนเรื่องสรรพเพเหระหลายๆเรื่อง ยังไม่ได้มีอะไรจริงจังนัก เพราะยังมีเวลาอีกร่วมปี กว่าจะได้ออกจากรั้วมหาวิทยาลัย...และใช้เวลาอีกหลายๆเดือน ในการต่อยอดความคิด...

...ต่อยอดความคิด...คำนี้ดูโก้หรู แต่สำหรับพวกผม ในวันนั้น มันเป็นแค่ความคิดเพ้อฝันของคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเรื่องธุรกิจ เมื่อเราคิดจะทำ...งบประมาณกับแผนธุรกิจ กลับกลายเป็นเรื่องสุดท้ายที่นึกถึง หรือจะเรียกว่าไม่นึกถึงเลยก็ว่าได้ สิ่งที่นึกถึง มีแต่

“ทำห้องน้ำกลางแจ้งด้วยนะมึง กูเคยเห็นในหนังสือ”ผมฝันถึงห้องน้ำแบบที่เห็นในรีสอร์ทหรู

“เออ...นุ่งผ้าขะม้า โดดลงคลองไง แจ้งพอไหม?”ไอ้วิทย์ขัด

“ดอยอินท์กูไปเบื่อแล้ว ไปหาดอย บุกเบิกใหม่ดีกว่า”ไอ้ชัยว่าหลังจากลืมเรื่องเรียนต่อไปสนิทใจ

“กูจะพาฝรั่งเที่ยว ไม่ได้พามึงเที่ยว!”ไอ้วิทย์ขัดอีก

“เปิดทัวร์ขนหัวลุก สำหรับพวกชอบลองด้วยสิ ฝรั่งมันจะได้รู้ว่าผีไทยน่ากลัว...กูดูหนังผีฝรั่ง ขำกลิ้งทุกที”ไอ้รงค์มีไอเดียที่เหมือนว่าจะดีและแหวกแนวพอใช้ได้

“แล้วใครจะพาทัวร์ มึงหรือไง?”ไอ้วิทย์ย้อนถาม และเจ้าของไอเดียก็เงียบกริบ

และเมื่อผมเล่า...ความคิดต่อยอดธุรกิจ... ของพวกผมให้พี่เหยาฟัง...พี่เหยาก็ได้แต่เกาคอ ขยับปากเหมือนอยากพูดแต่ก็คล้ายไม่รู้จะพูดอะไรดี

“อันนี้คิดกันเล่นๆ หรือคิดกันจริงๆ?”ในที่สุดพี่เหยาก็ถาม หลังจากฟัง ความคิดต่อยอดธุรกิจฉบับพวกผมมาหลายรอบ

“จริงสิพี่!”ผมตอบกลับไปแบบฉะฉานและมาดมั่น โดยไม่เข้าใจสักนิด ถึงอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดของพี่เหยา

ความคิดเหล่านั้นเริ่มจริงจัง เมื่อเวลาเก็บหนังสือเดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัยใกล้เข้ามาทุกที

“มันจะเริ่มยังไงวะ?”คำถามที่ไอ้วิทย์ถามจนชินปาก และยิ่งวันใกล้จบมันยิ่งพูดแทบจะสามมื้อก่อนและหลังอาหาร แต่ให้มันถามบ่อยแค่ไหน พวกผมก็ตอบมันไม่ได้

“ไปเรียนภาษา..จะทำแค่homestayหรือทัวร์ด้วย ภาษาก็จำเป็น...สอบใบอนุญาตของมัคคุเทศก์ด้วย...อันนี้ทำได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ...ไปลองหางานด้านทัวร์... พวกguest houseดู...พวกshipping หรือ คาร์โก้ด้วยก็ได้ คนละlineแต่ก็เผื่อๆ... แล้วก็เริ่มเลย...ถ้าไม่เริ่มลงมือ ก็คิดไม่ออกหรอกว่าจะเริ่มยังไง...ไอ้เรื่องห้องน้ำกลางแจ้ง หรือว่าจะบุกเบิกดอยไหนนั่นเอาไว้ทีหลัง!”พี่เหยาแนะให้ ก่อนที่พวกผมจะไปยื่นใบสมัครเรียนภาษากันเพิ่มเติม


--------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด