หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14  (อ่าน 392969 ครั้ง)

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หลังจากนั้น ก็แนะกึ่งบังคับให้พวกผมสมัครเข้าคอร์สอบรมระยะสั้น ทั้งการบริหารจัดการ...การทำแผนธุรกิจ... ที่พี่เหยาเป็นคนเลือกให้

“เวลามีไม่มาก ก็เลือกเอาที่มันมีworkshop...ได้ลองทำจริง... ไอ้ที่ไปนั่งแต่ฟังกับดูตัวหนังสือน่ะไม่ต้อง...เสียเวลา!”พี่เหยาพูดเหลือบตามองไอ้วิทย์ที่ออกปากแก้ตัวอย่างเจื่อนๆ

“ก็เคยเรียนแต่ในตำรา...ทฤษฎีน่ะเต็มร้อย...”มันแก้ตัว พวกผมถึงเพิ่งนึกได้ว่ามันก็เรียนมาสายเดียวกับพี่เหยาคือสายบริหาร

และหลังจากผ่านคอร์สต่างๆ ผมก็พอเข้าใจว่าทำไม พี่เหยาถึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวด พูดอะไรไม่ออก เมื่อผมเล่าถึงแผนต่อยอดธุรกิจของพวกผมให้ฟัง

“แล้วไอ้ที่ผมเรียนมาตั้งสี่ปีล่ะพี่?”ผมถามถึงสายวิชาที่อุตส่าห์เรียนมาตั้งสี่ปี แต่ดูจะไม่เกี่ยวกับงานที่กำลังคิดจะทำสักนิด

“ก่อนเลือกเรียนทำไมไม่รู้จักคิดล่ะ!”พี่เหยาตอบ

“พี่รู้ตั้งแต่จบม.6เลยเหรอว่าพี่จะทำอะไร?”ผมถามอย่างทึ่งๆ

“ก็...ทำที่บ้านไง!”พี่เหยาตอบง่ายๆแบบหน้าตาเฉย

และอย่างที่พี่เหยาพูด...ไม่ลงมือ ก็มองไม่เห็นว่าจะเริ่มที่ตรงไหน...มันจึงค่อยๆเริ่ม และเป็นรูปเป็นร่างอย่างที่พวกผมแทบไม่รู้ตัว...จากที่ไม่เป็น ก็เป็น โดยไม่รู้ว่า เป็นกันตั้งแต่เมื่อไหร่...

เราเริ่มต้นที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงาน เราคุยกันทุกๆวัน ถึงสิ่งที่รู้มาทั้งเก่าและใหม่

หลังจากเรียนจบและผ่านงานมาได้ปีกว่าๆ เราก็อาศัยแบ่งที่ขนาดไร่เศษๆของบ้านไอ้ชัย เป็นจุดเริ่มต้น ขอยุ้งข้าวเก่าที่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ของแม่มันมาเป็นoffice แล้วพูดคุยทำความเข้าใจกับชาวบ้าน เพราะhomestayของเรา ไม่ใช่แค่บ้านหนึ่งหลัง แต่เป็นหมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน...

เริ่มแรกเราทำแค่ที่พัก และส่งต่อลูกค้าให้บริษัททัวร์อย่างที่พี่เหยาแนะ หลายปีเมื่อปีกเริ่มกล้า เราก็จัดทัวร์ของเราเองขนาดย่อมๆ และต่อมาอีกหลายๆปี เมื่อขาเริ่มแข็ง...เราก็ขยายสายงาน ครอบคลุมเกินกว่าพื้นที่แค่จังหวัด หรือพื้นภาคเดียว

Conceptของเราง่ายมาก...มาเมืองไทย เป็นคนไทย...สั้นและเข้าใจง่ายไม่ต้องอธิบายกันให้มากความ

“เขาจะกลับไป พร้อมๆกับที่เคารพและนับถือในความเป็นคนไทย”ไอ้วิทย์เจ้าของconceptมันอธิบายเพิ่มเติม แต่ไอ้รงค์สงสัย

“แล้วถ้าเขาไม่ล่ะ?”

“ไม่ต้องให้มันกลับ!”ไอ้วิทย์ตอบง่าย

จะเพราะกลัวไม่ได้กลับ หรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่โปรแกรมที่เราจัดเตรียมไว้ทั้งคอร์สทำอาหารไทย ตักบาตร เข้าวัด เรียนรู้วัฒนธรรมไทย หรือแม้กระทั่งพาไปหัดมวยไทย...ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า ยังไม่มีลูกค้าคนไหนไม่ได้กลับบ้าน ทุกคนเรียนรู้ เคารพและนับถือในความเป็นไทยอย่างยิ่งยวด...อย่างที่ไอ้วิทย์ว่าไว้

“เดือนหน้ากูจะแต่งงาน แล้วคงต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองจันทร์ บ้านแฟนกู โครงการที่พวกมึงว่าไว้ยังจะทำอยู่หรือเปล่า”แล้ววันหนึ่งก่อนที่ขาเราจะเริ่มแข็ง ไอ้รงค์ก็บอกข่าวการแต่งงานแบบไม่รู้ว่าเรียกว่าง่ายหรือยากดี ทั้งยังถามถึงโครงการที่เคยวางแผนกันเอาไว้...มันเป็นอีกจุดเริ่มต้น ที่พวกเราต้องตัดสินใจว่า ขาเราแข็งพอแล้วหรือยัง...

“ตอนแรกแฟนกูเขาก็เคยอยากกลับไปทำรีสอร์ทเล็กๆที่บ้านเขาอยู่แล้ว”ไอ้รงค์บอกกล่าวเพิ่มเติม และแฟนมันที่พูดถึงก็ยังคงเป็นคนเดิมที่คบกันมาตั้งแต่สมัยรับน้อง...คนที่ฟง น้องชายพี่เหยาเคยตามจีบ...

“เดือนหน้าเลยเหรอมึง ทำไมกะทันหันวะ?”ผมถาม ไม่ได้สนใจเรื่องรีสอร์ทเท่าไหร่

“ยังเสือกถาม แต่งหนีควายขวิดอย่างนี้ มันจะมีอะไรวะ ใช่ไหม?”ไอ้วิทย์ตอบผม ก่อนหันไปหาไอ้รงค์ ที่พยักหน้ารับ

“อะไรวะ?”ผมยังไม่เข้าใจ แต่พวกมันทำแค่หัวเราะ ไม่ยอมตอบ แต่หลังจากนั้นผมก็ได้คำตอบ เพราะไอ้รงค์มันแต่งงานได้แค่หกเดือนกว่าๆ มันก็ได้ลูกชายคนแรก

“คลอดก่อนกำหนด ทำไมตัวใหญ่วะ?”ผมพูด เมื่อตอนยืนล้อมวงดูลูกชายไอ้รงค์ และตอนนั้นยังไม่รู้ว่าลูกมันไม่ได้คลอดก่อนกำหนด

“ไอ้สัตว์!”ไอ้รงค์หันมากระซิบด่า เพราะตอนผมถาม แม่ยายมันก็แอบยืนค้อนอยู่ใกล้ๆ

“เขาห้ามทักเด็กอย่างนั้น”และพี่เหยาหันมาบอกทั้งหัวเราะ

“ทักผิดนิด แค่นี้ต้องด่าด้วยเหรอวะ?”ผมหันไปถามไอ้รงค์

“ไอ้เวร!”มันเลยแถมให้อีกคำ

“หุบปากเลยมึง เดี๋ยวแม่ยายมันก็เอาขวดนมปาหัว”ไอ้วิทย์แอบกระซิบ

หลังจากนั้นสองเดือนไอ้วิทย์ก็เก็บกระเป๋าตามลงไปอยู่กับไอ้รงค์ที่จันทบุรี ส่วนไอ้ชัยเก็บกระเป๋าไปช่วยพี่เก่งที่ย้ายไปอยู่อุดรธานี ที่ซึ่งเราปักหมุดไว้ เป็นสาขาทางภาคอีสาน เหมือนที่ให้จันทบุรีเป็นอีกสาขาหนึ่ง ...เราแบ่งลูกค้าเป็นสามกลุ่ม แบ่งไปเชียงใหม่...อุดร และจันทบุรี...และผลัดเปลี่ยนกลุ่มลูกค้ากัน ดังนั้นลูกค้าแต่ละกลุ่มจึงผ่านเราทั้งสามสาขา...ได้สัมผัสธรรมชาติและเรียนรู้วัฒนธรรมของเราหลากหลายรูปแบบ

เมื่อไอ้วิทย์ไปช่วยไอ้รงค์ที่จันทบุรี ไอ้ชัยไปช่วยพี่เก่งที่อุดรธานี ที่เชียงใหม่จึงเหลือแค่ผม ดังนั้นพี่เหยาจึงส่งต่องานที่บ้านให้พี่คิม และฟง ส่วนตัวเองย้ายขึ้นมาอยู่เชียงใหม่ ช่วยงานผมเต็มตัว และธุรกิจที่ทำร่วมกันอยู่ก็เป็นฉากบังหน้าอย่างดีที่ทำให้ผมกับพี่เหยาอยู่ร่วมกันได้โดยไร้ข้อสงสัยจากพ่อและแม่ รวมทั้งครอบครัวพี่เหยา ยกเว้นก็แต่ฟงที่พี่เหยาบอกว่า ฟงรู้แล้วเรื่องผมกับพี่เหยา แต่พี่เหยาก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น...

“ยาว ขี้เกียจเล่า!”พี่เหยาว่างั๊น

“งงว่ะ...ทำไมไอ้เหยาไม่มาช่วยกูวะ?”และพี่เก่งฝากข้อสงสัยผ่านทางพี่นัทและพี่เก้าที่ตัดสินใจลงหลักปักฐานอยู่ที่อเมริกา โดยทำตัวเป็นagency ช่วยหาลูกค้าชั้นดีส่งมาให้พวกผมไม่ขาดสาย

“บ้านมึงหนาวมั๊ง...ไอ้เหยามันไม่ชอบอากาศหนาว”พี่นัทว่างั๊น

“เชียงใหม่หนาวน้อยกว่าบ้านกูเหรอวะ?”พี่เก่งยังสงสัย

“อยากรู้มึงไปถามมันเอง ฝากบอกมันด้วยว่าน้องมันยังไม่quoteราคาของให้กูเลย ช้าเดี๋ยวก็ไม่ทันแดก!”พี่เก้าไม่สนใจ สนใจก็แต่เรื่องหาเงิน

“อยากได้ มึงไปบอกมันเอง แล้วฝากถามมันด้วยว่า มันแป็นเพื่อนกู ทำไมไม่มาอยู่กับกูวะ...ช้าเดี๋ยวกูงอน!”พี่เก่งตอกกลับบ้าง

ไอ้ชัยที่นั่งอยู่ในเหตุการณ์ ระหว่างพวกพี่เก้า พี่นัท และพี่เก่งคุยกันผ่านจอมอนิเตอร์ เอามาเล่าให้ผมฟัง

“แล้วมึงบอกพี่เขาว่าไง?”ผมถาม

“ก็บอกตามตรง!”ไอ้ชัยตอบ

“เฮ้ย กูถามจริง?”

“กูก็ตอบตรง!”

“แล้วพี่เขาว่าไง?”

“ก็ว่าจริง!”

“ห่าอะไรวะจริง!”

“อ้าวก็กูก็บอกพี่เขาว่า...พี่เหยาน่ะก็เด็กฝึกงานเหมือนๆกันน่ะสิ”ไอ้ชัยว่าและหัวเราะ

“ไอ้สัตว์! ค่าตื่นเต้นของกูแพงนะมึง”

ผมรู้ว่าพวกไอ้วิทย์รู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับพี่เหยามานานแล้ว แต่ที่ไม่แน่ใจคือ พวกพี่เก้ารู้หรือเปล่า และถ้ารู้จะรับได้อย่างที่พวกไอ้วิทย์รับได้หรือเปล่า

ความสงสัยผมสิ้นสุด เมื่อถึงเวลาที่เราอันเป็นทั้งเพื่อนและหุ้นส่วนทางธุรกิจนัดเจอหน้าและพูดคุยกัน ปีละครั้ง

“เขาว่าเพื่อนกันไม่ควรทำธุรกิจด้วยกัน เพราะความเห็นอาจทำให้แตกคอ!”พี่เก่งพูดหน้าตาจริงจัง ทำให้พวกผมต้องตั้งอกตั้งใจฟัง

“แล้วปีนี้ ก็ครบรอบเจ็ดปี เขาว่ามันมีอาถรรพ์”พี่เก่งพูดต่อแต่ทีนี้ชักไม่เข้าท่า

“เจ็ดปีนั่นมันไม่เกี่ยวกับเรานะผมว่า...ของเรามันทะเบียนธุรกิจ ไม่ใช่ทะเบียนสมรส!”ไอ้รงค์ขัดเป็นคนแรก

“ผมว่าพี่พูดมาตรงๆดีกว่า ว่าพี่อยากได้ทอดมันชิ้นสุดท้าย!”ไอ้ชัยพูด เอาส้อมเคาะจานทอดมันตรงหน้าที่เหลืออยู่แค่ชิ้นเดียว และพี่เก่งยิ้มเป็นอันว่ายอมรับ

“เพื่ออาถรรพ์หมายเลขเจ็ดจะได้ไม่ถูกเอามาใช้ในทางที่ผิดจนแปดเปื้อน...กูสละสิทธิ์”ไอ้วิทย์พูด หยิบส้อมขึ้นมาเคาะจานทอดมัน อันเป็นสัญญาณการสละสิทธิ์

“เพื่อมิตรภาพที่ควรจะมีอายุยาวนานกว่าทอดมันหนึ่งชิ้น...ผมยกมันให้พี่”ไอ้รงค์พูด พร้อมยกส้อมเตรียมเคาะลงที่จานทอดมัน แต่ผมยกมือห้ามมันก่อนที่มันจะเคาะลง

“เดี๋ยว...ทอดมันน่ะชิ้นแค่สลึง...แต่ถ้ามึงตัดหุ้นส่วนทิ้งไปหนึ่ง คิดดูดิมึงได้เงินปันผลเพิ่มขึ้นเท่าไหร่?”

“จริงว่ะ!”ไอ้รงค์เห็นด้วย พร้อมชักมือคืน ไอ้วิทย์กับไอ้ชัยก็ทำท่าคิดตามอย่างเห็นด้วย

“เฮ้ย!...ไอ้เอก มึงอยู่ใกล้ไอ้เหยามากไปหรือเปล่าวะ เห็นอะไรเป็นตัวเลขหมด!...เงินน่ะหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่กูนี่ คนเดียว อันเดียวในโลกนะ”พี่เก่งท้วงโดยไม่ลืมหันไปแขวะพี่เหยาที่วันนี้นั่งเงียบกว่าปกติ และเหตุผลของพี่เก่งคงใช้ได้ เพราะไอ้รงค์ยอมเคาะส้อม เพื่อสละสิทธิ์

“เพื่อเหตุผลไร้ยางอาย... กูยอมแพ้... ยกให้พี่เขาเถอะว่ะ!”ไอ้รงค์หันมาพูดกับผม หลังเคาะส้อม

“เพื่อ...หมดมุขว่ะ”ผมพูดอย่างยอมรับ เพราะนึกไม่ออกว่าจะเพื่ออะไรดี

“เพื่อ...”พี่เหยาพูดบ้างก่อนเคาะส้อมลงที่จานทอดมันเบาๆ

“สอนให้มึงรู้จักการเสียสละ!”แล้วพี่เหยาก็ขยับส้อมจิ้มทอดมันเข้าปากตัวเอง แบบที่ทำให้พี่เก่งได้แต่ยิ้มค้าง

“มึงอารมณ์เสียอะไรมาวะ?”พี่เก่งถาม มองดูพี่เหยาที่เคี้ยวทอดมันที่พี่เก่งหมายปอง และคำถามของพี่เก่งก็เปิดทางให้พี่เหยาบ่นในเรื่องที่บ่นผมมาหลายวัน จนหูแทบชา




--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“ก็เอกน่ะซิ...บอกให้ไปเรียนภาษาจีนก็ไม่ยอมไป!”พี่เหยาพูด เพราะกลุ่มลูกค้าที่เราตั้งเป้าหมายหลักไว้ที่อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น กลับเพิ่มจีนสายเลือดใหม่เข้ามาอย่างไม่คาดคิด และดูจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ

“ก็ส่วนใหญ่เขาก็พูดภาษาอังกฤษกันได้นี่นา”ผมแย้ง เพราะเคยไปลองๆเรียนสองสามหน ก็ต้องยอมรับว่ายาก...และที่ยอมไปเรียน ทั้งที่หาเรื่องเบี่ยงเบี่ยงมาตลอดก็เพราะพี่เหยาทวงสัญญา...ไหนบอกว่าจะไม่ขัดใจไง?...นั่นแหละผมถึงต้องจำใจไปเรียน...

“นี่ประเทศไทยนะพี่ มาเหยียบบ้านเรา เมืองเรา ยอมพูดภาษาอังกฤษด้วยก็ดีแค่ไหนแล้ว นี่ยังจะให้เปลี่ยนไปพูดภาษามันอีกหรือไง ไม่จับมันเข้าคอร์สพูดไทย พูดไม่ได้ยึดเงิน แล้วส่งกลับประเทศก็ดีแค่ไหนแล้ว?”ไอ้วิทย์ช่วยผมแย้ง

“เฮ้ย ไอ้วิทย์...ถ้ามึงจะบอกแค่ว่าส่งกลับประเทศ มึงก็จะดูเป็นคนรักชาติดีหรอกนะ แต่เสือกพ่วงยึดเงินด้วยนี่ เห็นลิ้นไก่เลยนะมึง!”ไอ้ชัยขัด

“น้าเหยาก็สอนน้าเอกสิครับผม ภาษาจีนวันละคำเหมือนผมกำลังหัดภาษาไทยวันละคำไงครับ!”ไอ้รงค์ทำทีเป็นพูดแทนลูกชายมันที่นั่งอยู่บนตัก...และลูกชายมันคนนี่น่ะ ก็เป็นลูกคนที่สอง...และเหตุที่มันต้องหอบลูกมาด้วยก็เพราะแฟนมันเพิ่งคลอดลูกชายคนที่สามให้มัน ดังนั้นมันเลยต้องแบ่งลูกมาด้วยเสียหนึ่งคน ไม่งั๊นแฟนมันก็ยื่นคำขาดว่า...ไม่เอาไปก็ไม่ต้องไป...

“โห...ดูถูกกู อย่างกูต้องวันละสามคำโว๊ย!”ผมบอกพวกมัน ก่อนหันไปบอกพี่เหยาที่ยังนั่งหน้าหงิกอยู่ข้างๆ

“หว่อ อ้าย หนี่!”

“กูว่าแล้ว!”ไอ้วิทย์พูดทำหน้าหน่าย ในขณะที่พี่เก่งหัวเราะนึกว่าผมพูดเล่น แต่เสียงหัวเราะก็ค่อยๆเงียบลง เมื่อเห็นแก้มขาวๆของพี่เหยาค่อยๆแดงขึ้น และยิ่งแดงมากยิ่งขึ้น เมื่อพวกไอ้วิทย์มันหัวเราะกันอย่างเห็นเป็นเรื่องตลก ตรงข้ามกับพี่เก่งที่เริ่มหัวเราะไม่ค่อยออก และแทบจะทำเสียงหัวเราะติดคอ เมื่อผมยังแกล้งถามเย้าพี่เหยาที่นั่งหน้าแดงอยู่ข้างๆ

“แล้วหนี่ อ้าย หว่อ หรือเปล่า?”

“อ้ายสิ ไม่อ้ายจะหอบผ้าหอบผ่อนหนี ตามมาอยู่เชียงใหม่ทำไม!”แต่เป็นไอ้วิทย์ช่วยตอบแทน และคำตอบของมันก็ยิ่งทำให้พี่เหยาหน้าแดง และพวกผมยิ่งหัวเราะ ส่วนพี่เก่งก็ทำปากพะงาบๆ

แล้วไอ้ชัยก็เอาข่าวมาส่งเมื่อกลับถึงอุดร

“พวกมึงรู้เรื่องไอ้เหยากับไอ้เอกหรือเปล่าวะ?”ไอ้ชัยเล่าให้ฟัง ว่านั่นเป็นประโยคแรกที่พี่เก่งพูดกับพี่เก้าและพี่นัท

“เอาเรื่องไหนล่ะมึง?”พี่เก้าถาม

“ก็เรื่องที่พวกมันไม่ได้เป็นเพื่อนกัน!”พี่เก่งตอบเสียงตื่น ทั้งที่ผ่านไปแล้วตั้งหลายวัน

“อ๋อ...ก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันไง”พี่นัทว่า

“ไม่ใช่!”เสียงพี่เก่งยังตื่นไม่หาย

“เป็นห่าอะไรของมึงวะ?”พี่เก้าถาม

“พี่ก็บอกไปดิ ว่าเขาเป็นแฟนกัน ภาษาปะกฤษว่าloverไง!”ไอ้ชัยที่นั่งอยู่ข้างๆช่วยแนะ

“เออ นั่นแหละมันเป็นloverกัน ภาษาไทยว่าแฟนกันนั่นแหละ”พี่เก่งบอกในที่สุด

“โห...ไม่รอให้มันหย่ากันแล้วมึงค่อยตกใจล่ะ”พี่เก้าว่า และไม่ใช่แค่พี่เก่งตกใจ ไอ้ชัยเองยังแอบตกใจ...มันว่างั๊น

“อะไรวะ พวกมึงรู้เหรอ...แล้วมันแต่งกันด้วยเหรอ”พี่เก่งถาม ไอ้ชัยว่าตอนนั้นตาพี่เก่งเล็กกว่าไข่ห่านบ้านมันนิดเดียว

“ไอ้เหี้ย ตกใจจนสมองไหลเลยหรือไง ผู้ชายบ้านมึงสิแต่งงานกันได้!”พี่เก้าด่า

“แล้วมึงรู้ได้ไงวะ?...มันบอกมึงหรือไง?... แล้วทำไมไม่บอกกู?... กูอยู่ใกล้กว่าพวกมึงตั้งเยอะ!”พี่เก่งโวยวาย แถมเบี่ยงเบนประเด็นเองซะงั๊น

“ไม่ได้บอก กูนั่งยามสามตาดู!”พี่เก้าตอบไปหัวเราะไป

“อย่าล้อเล่นสิวะ กูถามจริงๆ ทำไมมันไม่ยอมบอกกู...มันไม่ไว้ใจกูหรือไง กูก็เพื่อนมันนะ!”พี่เก่งยังโวยวาย ลืมประเด็นเดิมไปซะสนิท

“ตกลงมึงจะเอาเรื่องไหน เรื่องมันกับไอ้เอก หรือเรื่องมันกับมึง?”พี่นัทย้อนถามบ้าง เพราะพี่เก้ายังไม่ยอมหยุดหัวเราะ

“...เรื่องมันกับกูก่อน...ทำไมมันไม่บอกกู แต่บอกพวกมึง มันไม่ไว้ใจกูเหรอวะ?”พี่เก่งถาม เป็นอันว่า เรื่องผมกับพี่เหยาไม่อยู่ในความสนใจอีกต่อไป

“เรื่องมึงกับมัน?...ไม่ใช่เรื่องกู แล้วกูจะรู้ได้ไง มึงก็ไปถามมัน!”พี่นัทตอบ

“ใช่...ส่วนเรื่องมันกับไอ้เอก...ก็ไม่ใช่เรื่องพวกกูอีก แล้วกูจะตอบมึงได้ไง มึงก็ไปถามพวกมันโน้น!”และพี่เก้าเสริมให้อีกที

เป็นอันว่าพี่เก่งไม่ติดใจเรื่องผมกับเรื่องพี่เหยา แต่หันไปติดใจเรื่องที่ตัวเองรู้ทีหลังพี่เก้ากับพี่นัทแทน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงตามที่พี่เก่งเข้าใจหรือเปล่า...เพราะเมื่อคุยกัน พี่นัท พี่เก้า รวมทั้งพี่เก่งก็ไม่เคยถามอะไรอีก...จะมีก็แต่เมื่อน้องสาวพี่เก้าแต่งงาน การ์ดที่ส่งมาให้ผมกับพี่เหยาน่ะเป็นการ์ดแค่หนึ่งใบ แต่เขียนชื่อผมกับพี่เหยาไว้คู่กันที่หน้าซอง

“ดูอะไร?”ผมถาม เมื่อเห็นพี่เหยายืนเกาคอ มองดูซองจดหมายสีแดงในมือ

“เดือนหน้าไอ้เก้าจะกลับ...ไอ้นัทด้วย”พี่เหยาตอบ และตอนนี้มือที่เกาคอก็เปลี่ยนมาเกาคางแทน

“พี่เก้าเขียนจดหมายมาเหรอ?”ผมแกล้งเอื้อมมือไปช่วยเกาคางพี่เหยา ก่อนถามอย่างนึกแปลกใจ เพราะดูไม่น่าใช่เรื่องที่เป็นไปได้ ทั้งซองจดหมายที่เห็นก็เป็นสีแดงสด

“เปล่า...การ์ดแต่งงาน น้องไอ้เก้า”พี่เหยาหัวเราะก่อนปัดมือผมออกและตอบ พร้อมส่งซองสีแดงๆที่ถืออยู่ให้ผม

“ทำไมเขียนชื่อเอกไว้ข้างหน้า...ต้องชื่อพี่ไว้ข้างหน้าสิ!”พี่เหยาพูดอย่างไม่เห็นด้วยกับลำดับชื่อบนหน้าซอง ในขณะที่ผมอ่านชื่อหน้าซองอย่างร้อนๆหนาวๆ คิดไปคนละเรื่องกับที่พี่เหยาคิด

“หัวเราะอะไร?”พี่เหยาถาม เมื่อผมหัวเราะ เลิกร้อนๆหนาวๆไปแล้วหลังจากได้ยินข้อสงสัยของพี่เหยา

“เปล่า...รักพี่จัง!”ผมพูด จูบแก้มพี่เหยาแรงๆก่อนยัดซองสีแดงคืนใส่มือให้ ...พี่เหยารับไปแต่ก็ไม่ได้ถือมันไว้นาน กลับโยนมันไว้บนโต๊ะใกล้ๆ และหันมาโอบสองแขนไว้รอบเอวผม

“รักจริงหรือเปล่า?”พี่เหยาถาม เงยหน้าขึ้นและยิ้มเอาใจรอคำตอบ

“จริงครับ...”ผมตอบ โอบเอวพี่เหยากลับ ก่อนก้มลงจูบที่ปากพี่เหยาแรงๆและกระซิบบอกอีกเบาๆ

“...แต่ไม่ไปเรียนภาษาจีนแล้วนะ...”

“แต่ถ้าเอกพูดภาษาจีนได้ เวลาเราออกไปข้างนอก เราก็แอบคุยอะไรที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ได้ไง!”พี่เหยาพูดและยังยิ้มเอาใจ เป็นข้อเสนอที่คล้ายจะเพิ่งคิดได้ใหม่และเดาว่าพี่เหยาคงคิดว่าน่าจะเอามาหลอกล่อผมได้

“พูดอะไรล่ะ ที่ไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน...ผมก็อยากพูดอยู่อย่างเดียว...หว่ออ้ายหนี่...ไม่ต้องเรียนก็พูดได้ แถมใครฟังก็เข้าใจ...”ผมบอก ก่อนจูบปากแดงๆของพี่เหยาให้อีกครั้ง

“ก็พูดอย่างอื่นสิ ที่คนอื่นฟังไม่รู้เรื่องน่ะ...”พี่เหยาไม่ยอมแพ้ หากแต่จะแย้งได้ก็หลังจากผมถอนริมฝีปากจากริมฝีปากแดงๆของพี่เหยาแล้ว

“อย่างเช่น?”ผมถาม และพี่เหยาตอบให้ หากแต่เป็นภาษาจีน...และรอยยิ้มเอาใจก็เปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างถือว่าตัวเองได้ที

“อ๋อ!”ผมร้อง

“รู้เหรอว่าพี่พูดอะไร?”พี่เหยาถามอย่างรู้ทัน ว่าผมคงไม่มีทางรู้

“พี่บอกว่า...”ผมพูด เปลี่ยนสองมือที่โอบเอวพี่เหยาไว้ อ้อมไปด้านหลังเพื่อจับยึดสองมือของพี่เหยาที่โอบเอวผมอยู่

“...กินเยอะๆนะ คืนนี้จะได้มีแรง!...”ผมพูดและหัวเราะ เพราะพอพี่เหยาได้ยินผมพูด ก็จะดึงมือที่โอบเอวผมไว้คืน หากแต่ช้าไป เพราะผมยึดไว้แน่น

“ถ้าผมไปเรียน...ผมจะบอกให้อาจารย์สอนผมแต่ประโยคเนี๊ย...เดินไปไหนก็จะพูดกับพี่แต่ประโยคเนี๊ย...ดีไหม?”ผมถามและหัวเราะ เพราะแก้มขาวๆของพี่เหยากลายเป็นสีแดง

“ดี!”พี่เหยาพูด ยุดยื้อแขนตัวเองแล้ว

“อะไรดี?”ผมถาม ยังหัวเราะ

“ก็ตั้งแต่วันนี้ เอกก็เก็บแรงไว้แล้วกัน...พูดได้จริงเมื่อไหร่ ค่อยคุยกันอีกที!”

“อ้าว!...งั๊นผมก็แย่สิ!”ผมครวญ เอาสองแขนกลับไปโอบเอวพี่เหยาไว้อย่างเดิม

“ก็ไปเรียนสิ...”พี่เหยาต่อลองได้ที

“ครับผม...ไปเรียนประโยคเดียวนะครับ?!”

“ได้!...ประโยคเดียวก็ประโยคเดียว!...แต่...”พี่เหยาพูด...เงยหน้าขึ้น จูบผมและพูดต่อด้วยรอยยิ้มอย่างมีชัย...ในที่สุด...

“...ประโยคเดียว ก็...เดียวนะ!”

คงไม่ต้องบอก...ว่าคำที่พี่เหยาละไว้ไม่ยอมพูดน่ะ คำว่าอะไร...และคงไม่ต้องบอกว่า ตอนนี้ผมกลับไปเข้าคอร์สเรียนภาษาจีนอีกครั้ง ทั้งที่งานยุ่งจนแทบไม่มีเวลากระดิกตัว และเหตุผลที่ยอมไปเรียนก็บอกกับใครไม่ได้ด้วย...

“ทำไมพี่อยากให้ผมไปเรียนภาษาจีน?”หลังจากพูดได้ตั้งหลายๆประโยคแล้วผมก็ถามพี่เหยา เพราะเรื่องการสื่อสารกับลูกค้า ไม่น่าใช่เหตุผลที่จำเป็นมากมายขนาดไม่เรียนไม่ได้ และผมถามเผื่อพี่เหยาจะมีคำตอบที่ลึกซึ้งอย่างเช่น...ผมจะได้ดูเข้ากันดีกับครอบครัวพี่เหยา... อะไรประมาณนั้น..

“ก็...บอกให้เรียนแล้วเอกไม่ยอมเรียนนี่นา!”พี่เหยาให้เหตุผมสั้น ง่าย และคงลึกซึ้งกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ...

พี่เหยาอยากให้ผมเรียน ก็เพราะผมเคยปฏิเสธว่าจะไม่เรียน เท่านั้นเอง...นั่นล่ะเหตุผลของพี่เหยา...

ดังนั้นเหตุผลที่ผมต้องไปนั่งเรียนภาษาจีนจริงๆ มันก็อาจจะเป็นเพียงเพราะว่าตอนนี้ผมมีคนรัก ซึ่งก็พอดีผมรักของผมมากๆชื่อว่า...จึเหยา...เท่านั้นเอง...

จบ...หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ

By Krishna / ภัคD



--------------------

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
1+ แทนกำลังใจให้พี่ทิพย์  :L2: :L2: :L2:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
กว่าจะอ่านจบ เกือบตายยย บีบคั้นหัวใจมาก แต่พอตอนใกล้ๆจะจบนะหวานเลี่ยนเชียว หว่อ อ้าย หนี่ คิคิ

+1ให้ทิพย์จ้า โพสต์ทีละหลายๆตอน อ่านคุ้มดี ชอบๆๆ
  :L2:

Mono_Koro

  • บุคคลทั่วไป
น่าร้าก~~~~~

 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:

+1 คริ คริ

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
น่ารักมากมายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 o13 o13 o13

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
อ่านซ้ำอีกรอบ  ก็ยังชอบมากกกก  เหมือนเคย
ขอบคุณมากๆ

บวกหนึ่งให้ด้วยคน  อิอิ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ตอนพิเศษ หรือจะเป็นแค่คืนหนึ่งในความทรงจำ

ผมมองดูเด็กผู้ชาย ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไม่หลบตาเฉกเดียวกับเขา ที่หันกลับมาจ้องผมแบบไม่ยอมหลบสายตาเช่นเดียวกัน

เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ที่เขาใส่อยู่ คงไม่ได้ช่วยปกป้องเขาจากลมหนาวเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อสักครู่ เมื่อเขายังไม่รู้ตัวว่า มีสายตาของผมคอยจับจ้อง บ่อยครั้งที่เห็นเขาห่อร่างที่สั่นไหวไว้ด้วยแขนเปราะบางของตัวเอง

ผมเส้นเล็กๆของเขาคล้ายจะเปียกชื้นด้วยละอองน้ำค้างยามเย็น จนนึกคล้ายจะได้กลิ่นหอมจางๆของดอกหญ้าดอกเล็กๆที่กำลังปลิวเล่นลมหนาวอยู่จนทั่วทั้งภูเขาในช่วงเดือนหนาวนี้

เขาคงสังเกตเห็นว่ามีผมคอยจับจ้อง ก็เพราะเสียงหัวเราะของผมที่หัวเราะขำ เมื่อมองเห็นแก้มแดงๆของเขาที่บ่งบอกว่า เขาคงจะแพ้อากาศหนาวของเชียงใหม่

และแม้จะเป็นเช่นนั้น หากแต่กลิ่นอากาศเย็นๆบนยอดดอยสูงก็ดูจะเข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาดกับกลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเขา

“อายุเท่าไหร่?”ผมถาม เพราะจำได้ว่าเขามากับฝรั่งตัวสูงใหญ่ ที่อายุดูจะห่างกับเขาอยู่พอควร และความสนิทสนมที่มองเห็น ก็บอกได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาดูจะชิดเชื้อกันดี...ไม่ใช่ความสัมพันธ์ฉันท์การค้าที่แลเห็นอยู่ดาลเดือลทั่วไปตามย่านการค้าของเมืองเชียงใหม่

“หก...”เขาตอบด้วยท่าทางคล้ายเด็กว่าง่าย ที่กำลังตอบคำถามผู้ใหญ่

“หก?”ผมทวนคำและหัวเราะ ก่อนที่จะต้องหยุด เพราะคล้ายจะได้เสียงหัวเราะในคอเบาๆของเขา

“หกปี... ที่ผมเล่นเกมส์ของพวกคุณ”เขาพูด ด้วยทีท่าเฉยชาและ ไร้ร่องรอยการหัวเราะอย่างที่ผมคิดได้ยิน

“ว๊าว...งั๊นก็เจนสนามน่าดูสิ!”ผมพูด ก่อนโน้มตัวเข้าไปหาเขา หวังฝังใบหน้าลงกับซอกคอขาวๆเพื่อสูดกลิ่นหอมบางๆอย่างที่ใจนึกอยาก เพราะเมื่อรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ใหม่ จึงไม่มีอะไรต้องเกรงใจอีกต่อไป

ผมไม่แปลกใจเมื่อเขาถอยหนี...ก็ใครๆก็ทำแบบนี้กันทั้งนี้...มันก็แค่รสชาติหนึ่งของสัมผัสเท่านั้น

ผมขยับเท้าตามเขา และเขาก็ถอยหนีอีกครั้ง...

และยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ กลิ่นหอมที่ยิ่งเจนจมูกขึ้นก็ยิ่งคล้ายจะเชิญชวนให้ผมฝังหน้าลงฝากรอยสัมผัสไว้บนผิวเนื้อขาวๆของเขา

หากแต่ยังไม่ทันทำได้ตามที่ใจร้องขอ คนของเขาก็เข้ามาเสียก่อน

เราทักทายกันไม่มากนัก คล้ายจะแค่เพื่อมารยาทที่พึ่งกระทำต่อผมผู้เป็นเจ้าของสถานที่

แล้วเขาก็ถูกพาเข้าไปข้างใน คล้ายเป็นสัญญาณว่า สมาชิกที่นัดหมายไว้คงจะพร้อมเพรียงกันเสียที และอีกไม่นาน เกมส์ระหว่างผู้ไม่เคยคุ้นหน้า หากแต่เคยคุ้นรสนิยมกันดีก็จะเริ่มขึ้น

ผมมองดูเขา ที่เดินตาม ฝรั่งร่างสูงใหญ่เข้าไปข้างใน ...และนึกถึงค่ำคืนที่กำลังจะมาถึง...คงดีไม่น้อย หากจะได้เขาไว้ในค่ำคืนนี้

“มากันครบแล้วนะ...”คนของผม เปิดประตูออกมาเรียก...เกมส์พร้อมจะเริ่มแล้ว...

เกมส์ของคนไม่เคยคุ้นหน้า และจะไม่มีวันเคยคุ้นกัน...

เราต่างพูดคุย ทักทาย สร้างความสนิทสนมอันจอมปลอม...

ยิ้ม เพียงเพื่อมองหาเป้าหมายที่ต้องตา

และหัวเราะ เพียงเพื่อล่อหลอกเป้าหมายที่ต้องใจ

บ่อยครั้งที่ผมสบตากับเขา ที่ดูจะยังวนเวียนอยู่ไม่ยอมห่างจากคนของเขา

เขาไม่ค่อยยิ้มอย่างที่คนอื่นยิ้ม และไม่หัวเราะอย่างที่คนอื่นหัวเราะ

แต่ละถ้อยคำ ก็เพียงตอบคำถามของคนที่พยายามเข้าไปสร้างความสนิทสนมกับเขาเพียงเท่านั้น

“จะว่ายังไง ถ้าผมขอเด็กคนนี้?”ผมยื่นเจตจำนงเมื่อถึงเวลา ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ใช่เพียงแค่ผมที่ต้องตาต้องใจเขา แต่เมื่อการนัดหมายในครั้งนี้ผมเป็นเจ้าภาพ ก็คงต้องได้รับความเกรงใจในฐานะเจ้าของสถานที่อยู่บ้าง

คนของเขาหันไปมองคนของผมอย่างชั่งใจ พวกเขาจ้องสำรวจกันและกันไม่นานนัก แต่ก็นานพอให้ผมมองเห็นความพึงพอใจของพวกเขาทั้งคู่... เป็นอันว่าคืนนี้เด็กคนนี้เป็นของผม...ผมบอกตัวเองได้โดยไม่ต้องรอคำตอบใดๆ

ผมมองดูเขาที่ยังคงนั่งเงียบอยู่บนโซฟาตัวใหญ่...เขายังนั่งอยู่ข้างๆคนของเขา ทั้งที่รู้ว่าคืนนี้ เขาต้องเป็นของผม...

เขาไม่ได้จ้องผมแบบไม่หลบสายตาอย่างเมื่อครู่ที่เขาทำ...ตรงข้าม บ่อยครั้งที่เขาหลูบตาลง แก้มขาวๆของเขาซับรอยแดงขึ้นหากแต่ครั้งนี้คงไม่ใช่เพราะอากาศหนาว หากแต่คงเพราะผมจับจ้องมองเขาผ่านผิวผ้า เพื่อให้ทะลุลงไปถึงผิวเนื้อ

ผมหัวเราะเมื่อเขาเอื้อมมือหยิบแก้วที่บรรจุน้ำอัดลมสีเข้มแทนที่จะเป็นเหล้าอย่างคนอื่นๆขึ้นยกดื่ม

“เอานมไหม?”ผมแกล้งเย้าเล่น แต่คนของเขากลับหันมาตอบผมแทนว่า เขาไม่ชอบดื่มนม

“ไม่สมราคาคุยเท่าไหร่เลยนะ!”ผมพูดมองดูน้ำที่กำลังผ่านลำคอขาวๆของเขาลงไป และบางหยาดหยดก็ไหลไปตามแก้มขาวไหลเรื่อยลงไปตามลำคอเล็กๆ

“หรือก็ไม่แน่?”ภาพที่เห็นแม้ยากจะบอกว่าจงใจเชิญชวนหรือไม่ หากแต่มันก็เชิญชวนผมให้ลุกขึ้นจากที่เดิมเพื่อไปเบียดตัวลงนั่งที่ข้างๆเขา

ผมดึงแก้วออกจากมือเขา โน้มตัวเข้าประชิด ใช้ปลายลิ้นลิ้มรสหวานของหยดน้ำที่วันนี้หวานลิ้นยิ่งกว่าเดิมเพราะผิวเนื้อของเขา

ผมหัวเราะเมื่อเห็นเขาขยับเอื้อมมือไปหมายจะไขว่คว้าหาคนของเขา หากแต่ก็คล้ายจะนึกได้ว่าเปล่าประโยชน์ จึงดึงมือกลับมาไว้ที่ข้างตัวเช่นเดิม

เขาไม่ได้ขัดขืนพอๆกับที่ไม่ได้ยินยอม เมื่อผมเลื่อนสัมผัสของปลายลิ้นต่ำลงจากต้นคอขาวไล่เรื่อยไปตามแนวกระดูกบนแนวไหล่


ผิวเนื้อเขาเย็น ไม่เว้นแม้ภายใต้เสื้อหนาวตัวใหญ่ที่ผมสอดมือเข้าไปเค้นสัมผัส

ผมค่อยๆขยับขึ้นไปคร่อมอยู่เหนือร่างเขา พร้อมๆกับที่โน้มตัวลงทาบทับบดเบียดให้เขาล้มตัวลงนอนพิงพนักแขน

เขาขืนตัวขึ้นเล็กน้อย หากแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนเมื่อผมปลดเสื้อหนาวตัวใหญ่ออก เหลือก็เพียงเสื้อยืดสีแดงที่ยิ่งขับผิวของเขาให้ขาวยิ่งกว่าขาวจนผมอดไม่ได้ที่จะฝังรอยฟันไว้บนซอกคอขาวๆ

“อย่า!”เป็นครั้งแรกที่เขาร้องห้าม พร้อมปัดป้อง หากแต่ผมไม่สนใจ

แนวกระดูกบางๆบนต้นคอขาวที่คล้ายจะหอมกลิ่นของลมหนาว มันทำให้ผมอดใจไม่ได้ที่จะฝากรอยไว้ รอยแล้วรอยเล่า โดยไม่สนใจการทัดทานของเขา และเป็นอีกครั้งที่คนของเขา ยื่นมือเขามาห้ามปราม

...อย่าให้มีรอยในที่ๆสังเกตเห็นง่ายนัก...นั่นเป็นข้อร้องขอเพียงข้อเดียว ที่ผมต้องพึงรู้ หากต้องการเขาไว้สำหรับค่ำคืนนี้

...เขาต้องไปเรียน...ฝรั่งคนนั้นให้คำตอบต่อข้อสงสัยของผมต่อกฎที่ถูกร้องขอ

แรกได้ยินมันยากที่จะเชื่อว่า คำกล่าวนั้นเป็นจริง หรือเพียงเพิ่มราคาความสนุก

และใบหน้าแดงกล่ำของเขา มันก็ช่วยให้คำตอบแก่ผม

...คืนนี้ โชคเป็นของผม...ผมบอกตัวเองก่อนโน้มตัวลงไปหาเขาอีกครั้ง


เขาขืนตัวขึ้นอีก หากแต่ครั้งนี้คล้ายเป็นสัญญาณบอกว่ามีบางสิ่งที่เขาไม่ชอบใจนัก

ผมจึงยันตัวขึ้นมอง...ใบหน้าเขาแดง ดวงตาหลูบหลบและเบือนใบหน้าหนีจากบางสิ่ง ผมจึงเหลียวไปมอง...

ใครหลายๆคนกำลังมองดูผมอยู่ เช่นเดียวกับใครอีกหลายคนที่กำลังทำสิ่งเดียวกันกับผม ไม่เว้นแม้แต่คนของเขา และคนของผมที่กำลังบดเบียดร่างกายเข้าหากันที่อีกด้านหนึ่งของโซฟาตัวใหญ่ตัวเดียวกันนี้

ผู้ชายคนหนึ่งยิ้ม และผายมือเชื้อเชิญให้ผมดำเนินสิ่งที่ผมกำลังกระทำต่อไป...

มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร...เมื่อผมคิดอย่างนี้...เขาก็ควรจะคิดเช่นเดียวกันกับผม...

อีกครั้งที่ผมฝังใบหน้าลงไปซุกไซร้กับซอกคอขาว...เขายังคงไม่ขัดขืน...หากครั้งนี้ผมสัมผัสได้ถึงความจำยอม...

“หรืออยากขึ้นไปข้างบน?”ผมถามเขา...อาจเพราะดูเขายังเด็กเหลือเกิน ผมจึงใจอ่อนต่อท่าทีของเขา...ผมตอบตัวเองอย่างนั้นต่อคำถามที่นึกถามตัวเองว่าทำไมต้องสนใจ...

“ว่าไง?”ผมถามย้ำ เมื่อเขาจับจ้องผมโดยไม่ยอมตอบคำถาม

“ถ้าผมตอบอย่างหนึ่ง คุณจะเลือกทำอีกอย่างหนึ่งหรือเปล่าล่ะ?”เขาถามอย่างรู้ทัน...หากแต่เป็นการบ่งบอกว่าคงบ่อยครั้งที่เขาไม่ได้รับในสิ่งที่ร้องขอ

“ก็บางครั้ง!”ผมตอบ ก่อนโน้มตัวฝากรอยสัมผัสไว้บนแก้มขาวๆของเขาอีกครั้ง

“แล้วครั้งนี้ล่ะ?”เขาถามโดยไม่หลบหนีสัมผัสของผม

“ถ้าบอกก็ไม่สนุกน่ะซิ!”

“ว่าไง?”ผมถามย้ำ เมื่อเขานิ่งไปอีก

“ว่าไงล่ะ?”ผมต้องถามเขาอีกครั้ง เมื่อคำตอบคือการนิ่งเฉยเหมือนเดิม

...ดื้อกว่าที่คิดนิดหนึ่ง...ผมบอกตัวเอง เมื่อมองดูเขาที่ยังไม่ยอมตอบคำถาม และทำท่าคล้ายจะปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปแบบไม่อยากจะร้องขออะไรอีก

“เอ้า...วันนี้ชั้นตามใจเธอ!”ผมตัดสินใจ ก่อนลุกขึ้นและฉุดเขาให้ลุกตาม และอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อเห็นเขาก้มลงหยิบเสื้อหนาวตัวใหญ่ขึ้นมาสวมใส่ไว้เหมือนเดิม...

“นี่ถ้าพวกนั้นเป็นปลากัด เธอคงเรียบร้อยไปหลายเที่ยวแล้วนะเนี่ย!”ผมกระซิบบอกเขาและหัวเราะ พลางสะกิดเขาให้หันไปมองดูสายตาที่มองตามเขามาอย่างนึกเสียดาย

เขาไม่ได้หันไปมองตามที่ผมชี้ชวน หากแต่แก้มเขาก็แดงขึ้นมาอีกครั้ง

ผมเดินนำเขาขึ้นไปยังห้องชั้นบน นึกขำสายตาหลายๆคู่ที่ยังเฝ้ามองตามติดเขาอย่างไม่ลดละ

เสียงฝีเท้าเขาที่เดินตามผมขึ้นบันไดมานั้นเบาจนผมได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าตัวเอง จนบ่อยครั้งที่อดไม่ได้จนต้องเหลียวหลังกลับลงไปมองดูเขา และทุกครั้งเขาจะเงยหน้าขึ้นมามองตอบผมเช่นกัน เพียงแต่เมื่อผมยิ้ม เขาก็จะก้มหน้านิ่งไม่เคยยิ้มตอบสักครั้ง

เขายืนนิ่งอยู่กลางห้อง ไม่มีทีท่ายินดี ยินร้าย หรือชื่นชม ห้องที่ผมอุตส่าห์ตกแต่งไว้ด้วยความภาคภูมิใจเลยสักนิด

“ดูเธอไม่สมัครใจมาสักเท่าไหร่?...เขาไม่ได้บอกเธอหรือไงว่า คนที่มาที่นี่เขามาทำอะไรกัน?”ผมถามอย่างอารมณ์เสีย เพราะรู้สึกเสียอารมณ์เล็กน้อย ที่ห้องที่ตัวเองเคยภูมิใจนำเสนอไม่อยู่ในสายตาเขาสักนิด

“ห้องสวยดีนะครับ...”เขาพูดหลังจากมองหน้าผมอยู่นาน และแทนที่ผมจะภูมิใจ ผมกลับรู้สึกอายซะมากกว่า

“ว่าไงล่ะ...เขาไม่ได้บอกเธอหรือไงว่า คนที่มาที่นี่เขามาทำอะไรกัน?”ผมถามย้ำ ทำทีเป็นไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูด

เขาไม่ตอบ ทำก็เพียงถอนหายใจและค่อยๆถอดเสื้อหนาวตัวใหญ่ ออกจากตัว

ผิวเนื้อท้องของเขาขาว เมื่อเขาสอดมือเข้าหมายจะถอดเสื้อยืดสีแดงออก

“ในห้องมันอับ...นานๆชั้นก็ขึ้นมาพักที นี่ปิดเอาไว้หลายเดือนแล้ว เลยเหม็นอับนิดหน่อย... ออกไปนั่งคุยกันที่ระเบียงดีกว่า”ผมบอกพลางก้มลงเก็บเสื้อหนาวที่เขาเพิ่งถอดลงกองไว้บนพื้นโยนคืนให้เขา

“อะไร ชั้นพูดอะไรแปลกหรือไง?”ผมพูด และหัวเราะ เมื่อเขายังยืนกอดเสื้อกันหนาวไว้ และมองผมอย่างระแวงไม่ปิดบัง

“อย่ามองแบบนี้น่า เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจหรอก!”ผมพูดกึ่งเล่นกึ่งจริง ไม่สนใจท่าทีระแวดระวังของเขาอีก และสุดท้ายก็ต้องหัวเราะออกมาอีกครั้ง เพราะเมื่อผมบอกเขา...อย่ามองแบบนี้น่า...และหันไปเปิดประตูบานยาวที่เรียงรายจากผนังด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่งออก จนแม้เมื่อหันกลับมา เขายังยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองผมด้วยทีท่าแบบเดิม

เขายังดูเด็ก...แต่ก็คงผ่านอะไรมามากมายจนพอจะรู้ว่า คำพูดของผู้ใหญ่อย่างพวกผมนั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ควรจะปักใจเชื่อ

“อย่ามองแบบนั้นสิ...เดี๋ยวก็จัดการซะตรงนี้เลย!”อีกครั้งที่ผมพูดทีเล่นทีจริง แต่ครั้งนี้ต้องยอมรับว่าผมอดใจไม่ได้ที่จะก้มลงฝากสัมผัสไว้ที่แก้มขาวๆของเขา และก็เป็นอีกครั้งที่เขาไม่มีทีท่าขัดขืน คล้ายจะยอมรับว่าหากผมจะทำสิ่งที่ตัวเองพูดขึ้นมาจริงๆก็ไม่มีอะไรต้องแปลกใจ

“มันก็เป็นแค่เกมส์...เป็นแค่ความสนุก...เป็นแค่รสชาติ...สำหรับพวกบุญหนา มันอาจจะผิดศีลธรรม แต่ถ้าทุกฝ่ายสมัครใจ อะไรล่ะที่มันผิด? เพราะฉะนั้นกติกาข้อเดียวก็คือคนเล่นต้องเต็มใจ”ผมบอกเขาที่ยังไม่ละความพยายามที่จะแสดงออกให้ผมรู้ว่า ไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดสักนิดเดียว

“กติกาข้อเดียวจริงๆ คือความเต็มใจ...เพราะฉะนั้นชั้นก็ต้องรอจนเธอเต็มใจ”ผมย้ำกับเขา และดวงตาระแวงระวังของเขาก็คล้ายจะยิ้มเยาะนิดๆ

“ไม่เชื่องั๊นสิ?...แล้วเธอจะรู้!”ผมบอกเขา ก่อนดึงเสื้อหนาวที่เขายังยืนกอดไว้ออกมาจากอ้อมแขนเขา และส่งให้เขาอีกครั้งเป็นสัญญาณให้เขาใส่มันเสียที

“รู้อะไร?”เขาถามและรับเสื้อหนาวไปยืนกอดไว้อย่างเดิม

ผมไม่ตอบแต่แกล้งถอนหายใจดังๆและมองเสื้อหนาวในมือเขา และคล้ายเขาจะนึกได้ จึงดึงมันขึ้นมาใส่

“รู้ว่าเธอจะเต็มใจ!”ผมตอบ และเขาเถียง หากแต่เถียงโดยมิต้องปริปากใดๆ เขาเพียงมองผม และผมก็นึกรู้...ไม่มีทาง...ผมได้ยินเขาพูดอย่างนั้น

“แล้วเธอจะรู้...”ผมบอกเขาอีกครั้ง ฟังคล้ายเป็นการพูดเล่น ไม่ได้จริงจังอะไรนัก ก่อนเดินนำเขาออกมาที่ระเบียงไม้ และขยับเก้าอี้เป็นสัญญาณชักชวนให้เขานั่งลง

เขาเดินผ่านผมเพื่อจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ผมขยับให้ และโดยไม่ตั้งใจ เพียงกลิ่นหอมอ่อนๆผ่านปลายจมูก ผมก็สูดหายใจลึกเพื่อ ซึมซับกลิ่นหอมนั้น

“รู้หรือเปล่า?...น้ำหอมกลิ่นเดียวกัน ให้กลิ่นที่แตกต่างกันไป ...เพราะมันขึ้นอยู่กับกลิ่นเหงื่อของคนที่ใช้มันด้วย...กลิ่นที่เธอใช้ คนก็ใช้กันแยะ...แต่ชั้นเพิ่งรู้สึกนี่แหละว่ามันหอมจริง”ผมบอกพลางรินเหล้าใส่แก้วให้เขา และเมื่อส่งให้ เขาเพียงรับและวางลง

“ถ้าอยากกินเป๊ปซี่ ก็ต้องลงไปกินข้างล่าง...บนนี้ไม่มี... แล้วก็ไม่ต้องกลัว...ถ้ากลัวเมาก็แค่จิบ... แก้วเดียวจนเช้าชั้นก็ไม่ว่าอะไร...ดีซะอีก ไม่เปลือง!”ผมบอกเขาก่อนยกแก้วเหล้าในมือตัวเองขึ้นจิบให้เขาดู และได้ผลคราวนี้เขาหัวเราะ

ความเฉยชาที่เขาแสดงออก มันคงเป็นปราการแค่ด่านเดียวที่เขามี และเขาคงเชื่อว่ามันปกป้องเขาได้ หากแต่สำหรับคนที่ผ่านโลกมามากกว่าเขากว่าค่อนชีวิตอย่างผม...มันง่ายเหลือเกินที่จะทำลายปราการอันแสนจะเปราะบางนั้นลง

“อยากบอกว่าดาวสวย แต่ไม่สวยเท่ารอยยิ้มเธอ...แต่ไม่บอก เพราะบังเอิญว่า...มันไม่จริง!...แล้วหวานเลี่ยนๆแบบนั้น ก็สงวนสิทธิ์ไว้สำหรับสาวๆซะด้วยสิ”แม้บอกไปอย่างนั้น แต่ผมก็ยังจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากแดงๆที่กำลังหัวเราะยิ่งขึ้นอยู่ของเขา

“นี่จะไม่พูดอะไรสักนิดเลยหรือไง...เดี๋ยวชั้นก็เปลี่ยนใจกลับขึ้นเตียงซะหรอก แต่บอกก่อนนะ ว่าไม่ใช่แค่กลับไปนอนเฉยๆแน่!...”ผมพูดโดยที่ยังละสายตาจากรอยยิ้มบางๆบนปากแดงๆของเขาไม่ได้

“ผมไม่รู้จะพูดอะไร...”เขาบอกและมองหน้าผมตรงๆ ครั้งนี้มันไม่มีความระแวงหรือสงสัยอีกแล้ว

“พูดอะไรก็ได้...”ผมบอกเขา ก่อนยกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่ม

เขายกมือขึ้นเกาคอ คล้ายนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี

“ถ้าไม่พูด จะพากลับไปที่เตียง!”ผมพูดและหัวเราะ เพื่อให้เขารู้ว่าผมแค่พูดเล่นเท่านั้น

“เธอเป็นอะไรกับฝรั่งคนนั้น?”ผมถาม เมื่อดูว่าเขาจะนึกไม่ออกจริงๆว่าจะพูดอะไรดี

“คุณไม่รู้กติกา?”แต่เขาย้อนถาม

“หือ?”

“คุณต้องไม่รู้จักผม เหมือนที่ผมจะไม่รู้จักคุณ...พอแยกย้ายกันไป ทุกอย่างก็จบ”เขาทวนกติกาง่ายๆ หากแต่เป็นจริง

“รู้สิ...แต่ชั้นนึกว่าระหว่างเรา เกมส์มันโอเวอร์ไปแล้ว”ผมบอก และดูเขาจะชอบใจ เพราะเขายิ้มมากกว่าเดิม หากแต่เขาก็ยังไม่ยอมตอบคำถามผมอยู่ดี

“แต่งเรื่องมาก็ได้...นี่ชั้นเปิดโอกาสให้เธอมีเรื่องคุยนะ!...เอ๊ะ หรือจริงๆอยากทำอย่างอื่นมากกว่า?”

“เอาแนวไหนล่ะ?...โรแมนติก...ดราม่า...ไซไฟ หรือว่าคอมเมดี้?”เขาถาม โดยที่ปากแดงๆของเขายังขยับยิ้มอยู่

“หนังเอ็กซ์!”ผมบอก

“ไม่รู้สิ...เล่นไม่ค่อยเก่ง เลยโดนปลดกลางอากาศ”คำตอบของเขาทำให้ผมหัวเราะ อาจเพราะผมคาดหวังจะเห็นหน้าขาวๆที่เปลี่ยนเป็นสีแดง...เห็นหน้าบึ้งๆ หรืออย่างน้อยก็ทำเป็นเฉยเสีย

“งั๊นเอาดราม่า เอาแบบเคล้าน้ำตา...”ผมพูดก่อนยกแก้วข้ามโต๊ะ ชนกับแก้วของเขาที่ยังวางนิ่งไม่ถูกแตะต้องเพื่อเป็นการเชื้อเชิญ

เขายกมันขึ้นจิบนิดๆก่อนวางลงอีกครั้งอย่างมีมารยาท แต่ก็ไม่ลืมจะแสดงออกให้เห็นว่า เพียงเพื่อมารยาทเท่านั้นจริงๆ

“ทำไม? เคยโดนมอมหรือไง?”ผมถามไม่จริงจัง และไม่ได้หวังคำตอบ

“เปล่า...กลัวโดนคุณมอมต่างหาก”แต่เขาตอบและเป็นอีกครั้งที่ผมต้องหัวเราะออกมา

“ผมเป็นลูกชายคนโต...แม่ป่วยหนัก พ่อติดการพนัน น้องๆก็ยังเล็ก”เขาเริ่มเรื่องแบบที่ผมต้องส่ายหัว

“เล็กนี่ กี่ขวบ?”

“สามสี่ขวบ”เขาตอบแบบไม่ลังเล

“ลูกคนละพ่อ คนละแม่?”

“เปล่า...ทำไมต้องคนละพ่อ คนละแม่ล่ะ?”เขาตอบพร้อมตั้งคำถามอย่างสงสัยจริงๆ

“ก็...อายุมันห่างกันเกินไป”

“งั๊น..คนล...”

“พอเลย!...ท่าทางจะเคล้าน้ำเน่า มากกว่าน้ำตา...เปลี่ยนเป็นคอมเมดี้แล้วกัน”ผมยกมือขึ้นห้าม พร้อมยกแก้วข้ามโต๊ะไปชนแก้วของเขา เป็นสัญญาณเชื้อเชิญอีกครั้ง

“ผมไม่ชอบดูหนังตลก...”เขาตอบแบบไม่ใส่ใจนัก และยกแก้วขึ้น...ครั้งนี้ปริมาณที่ผ่านคอของเขา ดูจะมากกว่าการจิบขึ้นอีกนิด

“งั๊นไซไฟ!”

“...นึกไม่ออก...”คราวนี้เขาทำท่าคิด ก่อนตอบ

“ก็แบบว่าเธอมาจากต่างดาว...”ผมแนะก่อนชี้มือไปไกลลิบบนฟ้า และต้องหัวเราะเพราะเขาแหงนเงยหน้าขึ้นมองตาม

“...ส่วนเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์...แล้ว อยู่ๆเธอก็หล่นลงมาจากฟ้า แล้วก็...”

“เละ!”เขาช่วยต่อให้ด้วยท่าทางสยดสยองจนพลอยให้ผมนึกเห็นภาพไปด้วย

“เฮ้ย!...กินไม่ลงเลย”ผมหัวเราะ ก่อนวางแก้วเหล้าลงเป็นการยืนยันคำพูดตัวเอง และมองดูเขาที่หัวเราะตาม

“เอ้า...งั้นเอาโรแมนติกแล้วกัน!”

“เรื่องหวานเลี่ยนๆมันเรื่องของผู้หญิง!”เขาบอกพลางเป็นฝ่ายยกแก้วเหล้า เอื้อมข้ามโต๊ะมาชนกับแก้วที่วางลงเพราะกินไม่ลงของผม ก่อนจะทำมากกว่าจิบ และหัวเราะจนแก้มแดง

“ตาเล็กๆ อย่างนี้ เอาเวอร์ชั่น...ความรักในหอแดงก็ได้...นี่ทางเลือกสุดท้ายแล้วนะ ไม่งั๊นก็ต้องไปเล่นหนังเอ็กซ์ด้วยกันแล้ว! ”ผมยื่นข้อเสนอสุดท้ายพร้อมกับยกแก้วขึ้นตามการเชื้อเชิญของเขา หากแต่ไม่ได้ยกขึ้นดื่ม ผมยกมันข้ามโต๊ะไปหาเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมแกล้งแตะมันบนแก้มแดงๆของเขา

“อะไรอีกล่ะ?”ผมถามและหัวเราะกับท่าทีขนลุกขนชันเพราะความเย็นของเขา ก่อนจะเอื้อมมือไปเช็ดหยดน้ำบนแก้มแดงๆของเขาให้...มันเย็นไม่ต่างจากแก้วเหล้าในมือของผมเลย

“เข้าไปข้างในไหม?”ผมถาม ดูเขาจะไม่ถูกกับอากาศหนาวๆเท่าไหร่นัก แต่เขาส่ายหัว

“’งั๊นกินแก้หนาวอีกอึกนึง”ผมแนะ และเขาทำตาม...แต่มากกว่าอึกนึงที่ผมแนะ

“ยั้งๆหน่อย...หน้าที่ตัวเองก็ไม่ทำ ก็กินให้มันน้อยๆหน่อย... ไม่งั๊นเดี๋ยวคิดตังค์!”ผมบอก มองดูเขาที่แกล้งยกดื่มให้ผมดูอีกจนหมดแก้ว แล้วยกส่งเป็นสัญญาณว่าขออีก ผมทำได้แค่ส่ายหัวก่อนรินเพิ่มให้กับเขาตามคำขอ

ดูเหมือนว่า เมื่อเกมส์สำหรับผมกับเขาจบลง เขาก็กลับเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น ไม่เหลือความระแวดระวังตัวอะไรอีก

“ว่าไงล่ะ...ความรักในหอแดงน่ะ?”ผมเปลี่ยนกลับไปถามย้ำเรื่องเดิม และเขายิ้มก่อนจะตอบอย่างเกรงใจเต็มที

“คือ...ผมไม่รู้จัก...สงสัย...ผมจะเกิดไม่ทัน...”

“เอ้า...งั๊นอยากเล่าอะไรก็เล่าไป!”ผมบอกทั้งๆที่ยังหยุดหัวเราะกับท่าทางเกรงอกเกรงใจของเขาไม่ได้

“ก็เล่าแล้วคุณก็ขัด!”

“ก็อย่าให้มันเน่านักสิ...”

“ก็...”เขาทำท่าจะเถียง

“พอๆ ไม่ต้องเถียง ข้ามไปตอนเจอเขาเลยแล้วกัน”ผมตัดบท

“อือ...ผมเดินไปเรื่อยๆ แล้วเขาก็เข้าทัก เขาพู...”

“เท่าไหร่?”ผมขัดขึ้น

“อะไรเท่าไหร่?”

“ก็เขาทักเธอไง ว่าเท่าไหร่...”

“ไม่ใช่!”

“ใช่สิ!...เขาถามเธอว่าเท่าไหร่...ไม่เคยดู one night of our love หรือไง?”

“ใครเล่น?”เขาถามหลังจากพยายามคิด

“ไม่รู้สิ...หนังเอ็กซ์น่ะ!”ผมบอกและเขาหัวเราะอีกครั้ง

“เธอเดินไปเรื่อยๆ... แล้วชั้นก็เข้าไปทักเธอว่าเท่าไหร่...”ผมเปลี่ยนเป็นฝ่ายเล่าพลางลุกขึ้นเดินไปยืนข้างหน้าเขา

“ผมเลยบอกคุณว่า...กิโลลละร้อย ไม่แบ่งขาย...”เขาตอบไปหัวเราะไป ผิดจากที่เห็นเมื่อตอนเย็น

“เธอนี่ลูกพ่อค้าแน่ๆ! ตั้งกิโลแล้วชั้นจะเอาไปทำอะไร?...งั๊นเอาคนขายแล้วกัน หลายกิโล อย่าลืมส่วนลดล่ะ!”

“แพงนะ!”เขายังยิ้มแก้มแดง

“ก็เท่าไหร่ล่ะ?”ผมถามเขาอีกครั้งและ มองดูเขาอย่างชั่งใจ


ผมรู้ เหล้าแค่แก้วเดียวมันไม่แรงพอทำให้เขาเมามาย...หากแต่ยาอย่างแรงเพียงสองสามหยดในเหล้าแก้วนั้นต่างหากที่คงทำให้เขาลืมตัวได้ในเวลาไม่นานนัก และความช่างพูด รอยยิ้ม และดวงตาของเขาที่กำลังจับจ้องตอบผม มันก็บอกผมว่า...ยาเริ่มจะออกฤทธิ์แล้ว...

“หัวใจชั้น พอจ่ายค่าตัวเธอได้หรือเปล่าล่ะ?”ผมถามและเขาทำท่าคล้ายจะหัวเราะ แต่ไม่ทันที่เขาจะหัวเราะ ผมก็โน้มตัวลงจูบริมฝีปากแดงๆที่ยังแย้มยิ้มอยู่ของเขา

เขาไม่ได้ขัดขืน หรือแม้แต่นิ่งเฉย ตรงกันข้าม...เขาสนองตอบ...

และดูคล้ายผมกำลังจะเมามาย แต่คงไม่ใช่เพราะกลิ่นเหล้าจางๆจากปลายลิ้นของเขา

หากแต่เพราะทุกสัมผัสที่สนองตอบจากปลายลิ้นของเขา ไม่มีร่องรอยของความไร้เดียงสาเลยแม้สักนิด

ผมบอกตัวเองให้ใจเย็น และถอยห่างออกมานั่งลงตรงที่เดิม...ยายังออกฤทธิ์ไม่มากพอให้เขาสนองตอบผมเท่าที่ผมต้องการ

“เธออายุเท่าไหร่แล้ว?”ผมชวนเขาคุยอีกครั้ง ก่อนรินเหล้าเพิ่มให้เขาอีก

“หกปี!”ผมหัวเราะ เมื่อเขายังย้ำคำตอบเดิม

ดูเขายังเด็กเหลือเกิน...แล้วหกปีที่เขาว่า...วันเวลาที่ความเป็นเด็กถูกแย่งชิงไป เวลานั้นเขาจะอายุสักเท่าไหร่กัน?

ผมสำรวจมองดูเขา...และฝังตัวเองลงกับความครุ่นคิดที่นึกอยากจะเห็นภาพนั้นให้ชัดเจน

ด้วยสำนึกชั่วดี อันเป็นทฤษฎีที่ คนประเภทผมรู้ หากแต่ไม่เคยปฏิบัตินั้น...ผมควรนึกเสียใจให้กับวันเวลาของความเป็นเด็กที่ถูกช่วงชิงไปของเขา และตำหนิผู้ที่ลงมือช่วงชิงมันไป

หากแต่สำหรับผมซึ่งอยู่ในโลกที่โสมม เสพติดรสสัมผัสของผิวเนื้อจนเคยชิน ...ผมจึงไม่นึกตำหนิคนของเขาที่พรากวันวัยอันอ่อนเดียงสาของเขาไปก่อนเวลาอันควร

และยิ่งไปกว่านั้น...ผมนึกอิจฉา และเสียดายเหลือเกินที่ไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสชาติของผิวเนื้อที่อ่อนเดียงสานั้น





ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
พอคิดได้ดังนั้น ผมก็ไม่สามารถบอกตัวเองให้รอคอยได้อีกต่อไป ผมลุกเดินไปหาเขาอีกครั้ง

“วันนั้น เป็นยังไงบ้าง?”ผมถามพลางโน้มตัวเข้าหาเขาและซุกหน้าลงที่ซอกคอขาวๆของเขา

กลิ่นหอมจากตัวเขา มันไม่ใช่กลิ่นแปลกใหม่ที่ไม่เคยคุ้นจมูก หากแต่เมื่อมันหลอมรวมกับกลิ่นผิวเนื้อ คละเคล้ากับกลิ่นลมหนาว...มันยากเหลือเกินที่จะห้ามใจ

“บอกชั้นสิ...วันแรก...เขาทำกับเธอยังไง?”ผมถามเขาอีกครั้ง ก่อนเผลอไผลฝังรอยเขี้ยวลงไปอย่างไม่ตั้งใจ และครั้งนี้ เขาไม่ทักท้วง ตรงข้าม เขากลับหัวเราะ

“คุณก็บอกสิ...ว่าเขาทำยังไง!”เขากระซิบบอกผมเบาๆ พร้อมลมหายใจอุ่นๆที่กรุ่นกลิ่นเหล้า และโอบมือเย็นๆกระชับรอบคอผม

เขายังดูเด็ก...หากแต่ความเป็นเด็กดูจะลาจากเขาไปนานอย่างที่เขาบอก...หกปีแล้ว ที่ผมเล่นเกมส์ของพวกคุณ...

เมื่อเขาหัวเราะเบาๆอีกครั้ง ผมก็ไม่อาจรอเวลาต่อไปได้อีกแม้สักวินาทีเดียว...

ผมไม่สนใจว่าร่างเขาจะสั่นสะท้านด้วยความหนาวสักแค่ไหน เมื่อเครื่องคลุมกายชิ้นเดียวที่ผมหยิบยื่นให้เขาคือความเปล่าเปลือย

ผมเฝ้ามองดูร่างเปลือยเปล่าของเขา...

ละเลียดชิมรสผิวเนื้อที่เจือกลิ่นกรุ่นของลมหนาว...

ไล้ปลายนิ้วสัมผัสไปทั่วทุกพื้นผิวนุ่มมือ อันดูคล้ายจะเป็นหลักฐานเพียงหนึ่งเดียวที่บอกว่าความเป็นเด็กของเขายังไม่ถูกพรากไปเสียทั้งหมด...

ผิวเนื้อของเขาขาว และบาง จนแม้ลองกรีดรอยเล็บลงไปนิด ก็แดงเป็นรอยทางและไม่ยอมจางหายไปง่ายๆ

เขาหัวเราะ เมื่อผมใช้ปลายนิ้วกรีดรอยเบาๆบนต้นขาขาวๆของเขา

และเสียงหัวเราะของเขามันยั่วยุให้ผมฝังรอยฟันลงไปอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ

“โอ๊ย!”เขาร้องออกมาเบาๆ และมันยิ่งยุเย้าให้ผมฝากรอยไว้จนถ้วนทั่วทุกพื้นผิวเนื้อบนร่างเปล่าเปลือยนั้นอย่างไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ

มันเป็นความจัดเจนที่ซ่อนเร้นอยู่ในกลิ่นหอมของความด้อยเดียงสา

เป็นความเย้ายวนที่คลุกเคล้าด้วยกลิ่นอายของความเปราะบาง

เชื้อเชิญให้โอบกอดไว้อย่างถนอมมือและยั่วยุให้ขยี้ให้แหลกคามือไปโดยไม่รู้ตัว...

มันช่วยไม่ได้จริงๆที่ผมจะตักตวงความสุขจากร่างกายของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักอิ่ม

ส่งผ่านความสุขเข้าสู่ความอบอุ่นภายใน ของผิวเนื้อเย็นๆอย่างไม่รู้จักพอ

และตลอดเวลาแห่งความสุขนั้น ผมก็ปล่อยให้เขาเฝ้ากระซิบชื่อใครคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก โอบกอดเจ้าของชื่อผ่านร่างกายของผม...ปล่อยให้เขาด่ำดิ่ง เก็บซ่อนความจริงไว้ในความฝัน แลกเปลี่ยนกับรสสัมผัสที่ผมรู้ว่ามีเวลาแค่ชั่วข้ามคืน

เสียงเคาะประตูเบาๆ ทำให้ผมต้องผละจากเขาไปอย่างนึกเสียดาย

ผมลุกเดินไปเปิดประตู ไม่ต้องเสียเวลาแม้จะมองหาเสื้อผ้ามาคลุมกาย เพราะวันนี้ เวลานี้ ในบ้านหลังนี้ ผมแน่ใจทุกคนเปล่าเปลือย...

จริงอย่างที่ผมคิด เจ้าของเสียงเคาะประตู คือผู้ชายคนที่ผายมือเชื้อเชิญให้ผมบรรเลงเพลงรัก ต่อหน้าเขา...เขาเปลือยเปล่าเช่นกัน

และไม่ต้องรอให้เขาร้องขอ ผมรู้เขาต้องการอะไร

ก็เป้าหมายของเกมส์ในวันนี้ มันไม่ใช่การปิดประตูร่วมรักกันสองต่อสอง ในห้องที่มิดชิดน่าเบื่อแบบนี้ไม่ใช่หรืออย่างไร

ผมคิดอย่างชั่งใจ...

ใจหนึ่งก็นึกถึงเกมส์หฤหรรษ์

ผิวขาวที่จับนิดก็แดงเป็นรอยมือ จะช้ำมือน่ามองขนาดไหน ในอุ้งมือของใครอีกหลายๆคน

เด็กคนนี้ไม่ใหม่ ...ผมบอกตัวเอง...ยิ่งเมื่อเขายอมมาที่สถานที่แห่งนี้ เขาย่อมพร้อม และรสสัมผัสที่เพิ่งผ่านมือผมไปมันยิ่งบอกย้ำว่าเขาเคยคุ้น และยิ่งเวลานี้ ฤทธิ์เหล้าและฤทธิ์ยา มันยิ่งทำให้เขาพร้อมสำหรับทุกๆสิ่งตามแต่ใครจะเสนอและสนองให้

ผมนึกถึงเกมส์หฤหรรษ์ หากเพียงแต่ผมยินยอมให้ผู้ชายคนนี้ก้าวพ้นผ่านข้ามประตูเข้ามา...

ผมนึกถึงเกมส์หฤหรรษ์ ...แต่เพียงเสี้ยววินาที ก็นึกเห็นรอยหัวเราะจนแก้มแดงของเขา แม้มันอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาก็ตามที...และผมนึกถึงเจ้าของชื่อที่เขาเฝ้ากระซิบหายามอยู่ในอ้อมแขนผม...

ผมจึงบอกตัวเองว่า...คืนนี้ ผมนึกอยากเป็นเจ้าของเขาเพียงลำพัง...

คนเดียวเท่านั้นที่ผมจะร่วมแบ่งปัน...คือใครอีกคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก...คือใครอีกคนหนึ่งที่บ่อยครั้งเขาพร่ำเอ่ยชื่อราวไม่รู้ตัว...และผมเสแสร้ง แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน...ใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่ฝรั่งตัวสูงใหญ่ ที่พาเขาเข้าสู่เกมส์หฤหรรษ์นี้แน่นอน ...ใครคนหนึ่งที่ผมนึกสงสัย...ทำไมจึงปล่อยเขาไว้ที่นี่เพียงลำพัง

สุดท้าย ผมจึงกล่าวปฏิเสธคำร้องขอของผู้ชายคนนั้น

ผมหันกลับมามองดูเขาที่ทอดร่าง เปล่าเปลือยมองดูผมอยู่เช่นกัน...

เขายิ้ม เมื่อผมยิ้มให้

เขาขยับเรียวขาขาว เมื่อผมทอดร่างลงทาบทับเขาอีกครั้งหนึ่ง...

ผมนึกสงสัย...เขาจะรู้หรือเปล่า ว่าที่อยู่ตรงนี้ คือผม ไม่ใช่ใครอีกคนที่เขาพร่ำเรียกหา...

ผมบอกตัวเองให้หยุดคิด...เกมส์นี้มีเวลาแค่ชั่วคืน และผมควรตักตวงมันให้คุ้มค่า...

ผมจึงหยุดคิด และเริ่มต้นตักตวงความสุขที่มีเวลาแค่ข้ามคืนนั้นอีกครั้ง และอีกครั้ง...

ผมนอนกอดเขาไว้ทั้งคืน...และนึกรู้ เขาคงกำลังฝันว่าอยู่ในอ้อมแขนของใครอีกคน...

มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดอะไร...รู้สึกก็เพียงแต่เสียดายเท่านั้น...เพราะเมื่อยามเช้ามาถึง... เกมส์ก็จะจบลง

ผมนึกสงสัย...อีกกี่ลมหนาว ที่ผมจะลืมกลิ่นหอมจากตัวเขา...ในเมื่อ คืนที่กำลังจะผ่านไปนี้ กลิ่นหอมจากตัวเขาดูจะคละเคล้าจนหลอมรวมกับกลิ่นหอมของลมหนาวไปซะแล้ว...

แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาบางอย่างได้...ผมขยับตัวจากอ้อมแขนของเขา ไม่นึกกลัวว่าเขาจะไหวตัวตื่น เพราะฤทธิ์เหล้าและยา ทั้งฤทธิ์รสสัมผัสของความสุขที่ผ่านมาทั้งคืน มันมอมเมาสติเขาให้หลับใหลอยู่ในความฝันอันแสนสุขหากแต่คงจะจอมปลอม

ผมมองหาเสื้อผ้าเขา และหยิบมันขึ้นมาเพื่อรื้อค้นหาสิ่งที่ต้องการ

และผมเจอในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเจอ...กระเป๋าเงิน!

เขาน่าจะเก็บมันไว้ในที่ๆห่างตัว ถ้าเขารู้ว่าชื่อและอะไรอีกหลายๆอย่างควรเป็นสิ่งที่เป็นความลับ...ผมคิด และก็นึกขำเมื่อนึกได้ว่า...มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเล่นเกมส์ที่กำลังเล่นอยู่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มานั่งรื้อค้นสมบัติส่วนตัวของคนอื่นอยู่อย่างนี้ ทั้งในกระเป๋าเสื้อของผมเองก็มีทั้งกระเป๋าเงิน รวมถึงกระเป๋านามบัตรอย่างครบครันเช่นกัน

ผมมองดูกระเป๋าเงินตรงหน้าอย่างชั่งใจ...ก่อนจะตัดสินใจเปิดมันออกดูอย่างช้าๆ

รูปที่เก่าจนเหลือง...แม้ผมไม่มักคุ้นกับเขาจนนึกเห็นภาพเขาในวัยเด็ก แต่ก็พอบอกได้ว่า เด็กตัวเล็กๆในรูป หนึ่งในสามคนนั้นน่าจะเป็นเขา

ผมสะดุดตาที่ฝรั่งตัวโตที่นั่งยิ้มอยู่ในรูป...จะใช่คนที่พาเขามาที่นี่หรือเปล่าผมไม่แน่ใจนัก...ถ้าใช่ ความสัมพันธ์ของพวกเขามันก็ดูเป็นเรื่องเกินที่ผมจะคาดเดา...

เรื่องของมูลนิธิของชาวต่างชาติ ที่ทำทีเป็นช่วยเหลือเด็กๆ หากแต่ฉากหลังคือแหล่งค้ากามข้ามชาตินั้น มีให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ...จะแปลกอะไรถ้าเค้าจะเป็นหนึ่งในเด็กเหล่านั้น...

ผมบอกตัวเองให้เลิกคิด สิ่งที่ไม่มีทางหาคำตอบได้จากรูปแค่หนึ่งใบ และหยิบบัตรอื่นๆในกระเป๋าออกมาดู

ผมมองดูรูปเขาในบัตรประชาชน บัตรที่น้อยคนจะถ่ายรูปออกมาได้ดูดี รวมทั้งผม ที่พอจะจำได้ว่า...ตอนเป็นเด็ก ผมเก็บซ่อนมันสุดชีวิตแค่ไหน เพราะตั้งแต่เกิดมา รูปที่รู้สึกว่าตัวเองน่าเกลียดน่ากลัวที่สุด ก็คือรูปในบัตรประชาชน...แต่รูปเขายังดูดี...อาจเพราะความขาวของเขา ผมคิด ก่อนพิจารณาดูข้อมูลอื่นๆ

ชื่อเขาเพราะ จนไม่น่าจะใช่เด็กกำพร้า

นามสกุลแม้ไม่ได้ใช้ชื่อแซ่ หากแต่ก็บ่งบอกว่ามีเชื้อสายของคนจีน อย่างที่ไม่เกินคาดเดาได้จากหน้าตาและผิวเนื้อของเขา

ผมไล่สายตาดูวัน เดือนและปีเกิด...และต้องหัวเราะเพราะ ผมคาดเดาอายุเขาต่ำกว่าความเป็นจริงไปหน่อยนึง แต่เอาเถิด อย่างไรก็ช่วยให้ผมพ้นข้อหาพรากผู้เยาว์...

เด็กกรุงเทพ...ที่อยู่ในบัตรเขาว่าอย่างนั้น...แต่ผมกลับรู้สึกว่ากลิ่นหนาวของเมืองเชียงใหม่ดูจะเหมาะกับเขาเสียมากกว่า

แม้จะนึกไม่ออกว่ามีอะไรอีกที่ผมอยากรู้ หากแต่ผมก็ลองหยิบบัตรอื่นๆขึ้นมาดูต่อไป

เครดิตการ์ด...ระดับที่วงเงินอยู่ในหลักที่ผู้ใหญ่หลายคนยังไม่มีสิทธิ์ที่จะถือและก็ไม่ใช่แค่ใบเดียว...ผมบอกตัวเองว่า เขาคงไม่ใช่สินค้าอย่างที่ใจผมแอบนึกแต่แรกเห็นเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาพร้อมฝรั่งร่างสูงใหญ่...

...หรืออาจจะใช่?...ใครๆหลายคนน่าจะยอมจ่าย หากมีเงินอยู่ในมือ...อย่างน้อยก็ผมล่ะที่ยอมจ่าย... ผมคิดพลางชำเลืองมองผิวเนื้อขาวของเขาอีกครั้ง...และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงรสสัมผัสที่เพิ่งผ่านพ้นมือไปไม่นาน จนท้ายที่สุด ก็ต้องยอมรับว่า ไม่อาจห้ามใจให้ก้มลงฝากรอยสัมผัสไว้ที่แก้มขาวๆของเขาอีกครั้ง...และเขาขยับตัวยิ้มรับ...คงนึกเห็นสัมผัสของใครอีกคนอยู่เช่นเดียวกัน...

ถ้าขายก็ดี...อย่างน้อยจะได้ซื้ออีกบ่อยๆ...ผมคิด และหัวเราะให้กับความคิดของตัวเอง ก่อนจะหยิบบัตรอีกใบขึ้นมาดู

บัตรนักศึกษา...เขาเรียนที่เชียงใหม่...ผมยิ้ม นึกดีใจที่กลิ่นลมหนาวของเชียงใหม่ จะยังคงมีกลิ่นหอมของผิวเนื้อเขาคละเคล้าอยู่เช่นที่ใจนึกอยากให้เป็น

บัตรห้องสมุด?...ของอย่างนี้ต้องพกติดตัวด้วยเหรอ?... ผมนึกถามตัวเอง เพราะสมัยตัวเองเรียน ผมไม่แน่ใจว่าเคยเหยียบเข้าไปบ้างหรือเปล่า...ซ้ำรายชื่อและวันที่บอกการหยิบยืม ผมเดาว่ามหาวิทยาลัยต้องเสียบัตรให้เขาไปหลายใบแล้วแน่ๆ

และตารางเวลา ชนิดละเอียดยิบ...และดูมีสาระเกินกว่าที่ผู้ใหญ่อย่างผมคิดคาดเดา...ผมแอบชำเลืองมองดูเขาที่ยังหลับใหลอยู่อีกครั้งก่อนจะเก็บบัตรต่างๆเข้ากระเป๋าให้อย่างเดิม

ผมพยายามไม่จดจำสิ่งที่เห็น ที่ผ่านตา เพราะยิ่งนึกรู้...มันเป็นอีกโลก ที่แตกต่างจากโลกที่ผมและเขายืนอยู่ณ.เวลานี้โดยสิ้นเชิง คงเป็นสิ่งที่เขานึกอยากปกป้อง... ดูเขาไม่ใช่เด็กเกเร เด็กรักสนุกอย่างที่อีกใจส่วนลึกของผมคิดเผื่อไว้ให้...

ในเมื่อเป้าหมายของวันนี้คือเกมส์ ผมควรปล่อยให้มันเป็นเกมส์ ที่ต้องจบลงในคืนเดียว...ไม่ควรคิด ไม่ควรรู้ว่าเขาเป็นใคร รู้แค่เพียง คืนนี้เขาเป็นของผม...แค่คืนเดียว...เท่านั้นจริงๆ

ผมเก็บกระเป๋าคืนใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อให้เขา และเพราะมัวแต่ครุ่นคิดจึงไม่ทันระวัง และของบางอย่างก็หล่นร่วงลงมา...โทรศัพท์มือถือ...ที่ผมมองหาแต่ครั้งแรกไม่ใช่กระเป๋าเงินอย่างที่ค้นเจออย่างไม่ตั้งใจ

โทรศัพท์ที่เด็กวัยเดียวกันกับเขาน้อยคนจะมีใช้ แต่เขาก็มี...ผมเห็นเขายืนคุยกับใครสักคนเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา...

ใจหนึ่งนึกอยากลองเปิดดูรายชื่อที่เขาบันทึกเก็บไว้...นึกสงสัยจะมีชื่อใครคนหนึ่งที่เขาเรียกหาอยู่หรือเปล่า...หากแต่ผมก็บอกให้ตัวเองล้มเลิกความคิดนั้นเสีย...เลิกแตะต้อง โลกอีกใบหนึ่งของเขา

ผมใช้โทรศัพท์ของเขากดโทรเข้าเครื่องของผม...ผมยิ้มเมื่อดูเบอร์ที่ขึ้นโชว์บนหน้าจอโทรศัพท์...เพียงเท่านี้คงไม่เป็นไร...ผมบอกตัวเอง เพราะผ่านวันนี้ ผมอาจไม่ได้คิดถึงเขามากเท่าที่ใจคิด...อาจเป็นเบอร์ที่ผมไม่คิดกดโทรก็ได้ ใครจะรู้

ผมเก็บโทรศัพท์ และกลับขึ้นไปนอนกอดเขาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง...

สูดดมกลิ่นลมหนาว...และก้มจูบเขาอีกครั้ง และอีกครั้ง...เพื่อจดจำกลิ่นผิวเนื้อเย็นๆที่หอมพอๆกับกลิ่นของลมหนาว...

ผมนึกไม่อยากให้ตอนเช้ามาถึง แต่สุดท้ายมันก็มาถึง มาเพื่อป่าวประกาศว่า...เกมส์จบแล้ว

ผมมองเขาที่ขยับตัวตื่น พลางยกมือขึ้นปัดป้องแสงแดดที่อวดแสงจ้าเกินความจำเป็น

ผมนึกตำหนิตัวเอง ว่าหากไม่ลืมดึงผ้าม่านผืนหนาปิด...ผมอาจได้เวลานอนกอดเขาเพิ่มขึ้นอีกนิดก็ได้

ดูเขาจะยังสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อพบว่าร่างตัวเองเปลือยเปล่าอยู่เช่นเดียวกันกับผม

ผมให้เวลาเขาคิด โดยรู้ว่าไม่ต้องเสียเวลาอธิบายอะไรมากมายนัก...


ยาและเหล้า อาจทำให้สติเขาหลุดลอย หากแต่ไม่ถึงกับลบเลือนไป

เขาแค่คุมสติตัวเองไม่อยู่ หากแต่เมื่อยาหมดฤทธิ์ เขาจะยังจำได้ทุกรสสัมผัสที่ได้รับการเสนอ และตัวเขาเองเป็นผู้ตอบสนอง

ผมแค่ให้เวลาเขาคิดและเรียบเรียงสติตัวเองเท่านั้น

“ไหนว่าไม่มีทาง บอกแล้วว่าเธอจะเต็มใจ!”ผมพูดแกมหัวเราะ เมื่อมองเขาลุกขึ้นหันหลังแต่งตัวไม่พูดไม่จา

“ผมเล่นเกมส์ของพวกคุณมาหกปีแล้ว!”เขาบอกผมอีกครั้ง และครั้งนี้ผมรู้ว่าเขาตั้งใจบอกว่า เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา...ยาไม่ใช่ของใหม่สำหรับเขาอีกเช่นกัน...

ก็ดี!..ผมนึกบอกตัวเองในใจเพราะนั่นหมายความว่า เขาเองก็คงให้ความร่วมมือโดยเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้เท่าทันเช่นกัน

และผมก็รู้ว่าตัวเองอาจคิดผิด เมื่อบอกตัวเองให้ลุกขึ้นและก้มลงจูบเขาที่ซอกคอเบาๆโดยที่เขายังยืนหันหลังให้ผมและ ไม่ขัดขืนใดๆเลยเช่นเคย หากแต่ผิวแก้มเย็นๆของเขา บัดนี้มันเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา...น้ำตาที่ไหลอยู่เงียบๆ

ยาคงไม่ใช่ของใหม่สำหรับเขา...หากแต่วิธีการของผมมันคงเป็นของใหม่...

มันก็แค่เกมส์...ผมบอกตัวเอง...เกมส์ที่ผมเล่นอยู่กับความเชื่อใจของเด็กคนหนึ่ง ที่กำลังร้องไห้อยู่เงียบๆ ตรงหน้าผม...

ต่อไปเขาคงได้รู้ว่า...ผู้ใหญ่อย่างพวกผมไม่ใช่เพียงกลับกลอกและปลิ้นปล้อน...หากแต่ความจริงมันไม่เคยมีมาแต่แรกเริ่มต่างหาก...ทุกอย่าง ทุกคำพูด ก็เพื่อแลกเปลี่ยนกับรสสัมผัสอันแปลกใหม่ของเกมส์ชั่วข้ามคืนเท่านั้น...เมื่อตอนเช้ามาถึง...เกมส์มันก็จบ ก็เท่านั้น....

ใช่แล้ว...มันเป็นแค่เกมส์ ที่บ่อยครั้ง น้ำตาที่ผมเห็นก็อาจจะเป็นแค่เกมส์ของการเสแสร้งอีกเช่นกัน

หากเขาชาชินกับเกมส์...วันหนึ่งเขาก็จะชาชินกับสิ่งที่ผมทำ...

หากสิ่งที่ผมกระทำ เขาคิดว่ามันเลวร้าย วันหนึ่งเขาจะรู้ว่ามันยังไม่ถึงที่สุด...เพราะหากเขายังเวียนวนอยู่ในเกมส์เหล่านี้...เขาจะเจอสิ่งที่ยิ่งกว่าผมทำ...มันไม่เคยมีคำว่าที่สุด...แล้วเขาจะรู้

ผมไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีก...บอกตัวเองให้คิดว่า ช่างมัน...มันเป็นแค่เกมส์ ที่เดี๋ยวก็ต้องจบ...ก็เท่านั้น

มันเป็นแค่เกมส์ ที่ตัวเขาเองก็รู้มาแต่เริ่มเหยียบเท้าก้าวเข้ามา

มันเป็นแค่เกมส์ ของคนที่ไม่รู้จักกัน หวังก็เพียงความสนุกของรสสัมผัส แล้วเขาจะมาคาดหวังความไว้เนื้อเชื่อใจได้อย่างไร

ผมยืนมองดูเขาหยิบเสื้อหนาวตัวใหญ่ขึ้นมาใส่ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาก่อนจะเปิดประตูและเดินออกจากห้องไปเงียบๆ...

ผมยังยืนอยู่ที่เดิม ถึงแม้ว่าในฐานะของเจ้าของบ้าน ผมควรเดินลงไปกล่าวร่ำลาเหล่าผู้มาเยือนที่ไม่รู้จักกันแม้แต่ชื่อก็ตาม หากแต่ก็นึกรู้ว่าไม่จำเป็น เพราะเมื่อยามเช้ามาถึง พวกเขาก็จะต่างแยกย้ายกันไป เร็วที่สุดเท่าที่ความพร้อมจะอำนวย

ดังนั้นผมจึงเลือกยืนอยู่ที่เดิม นึกถึงผิวแก้มเย็นๆ กับน้ำตาของเขา...

ผมก้มลงมองดูรถที่ทยอยแล่นจากไปทีละคันๆ

มองดูเขากับคนของเขาที่กำลังพร้อมจะจากไปเช่นกัน

ผมคิดถึงน้ำตาของเขา และก่อนที่จะทันคิด ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดเบอร์ ที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วผมคิดว่า...ผมอาจไม่คิดจะกดโทร

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนกดรับ

...ผมอยากพูดอะไร?...ผมถามตัวเอง

“ยังไม่ได้จูบลาเลย...”ผมพูดและหัวเราะ...คำพูดที่เคยคุ้นในโลกแบบที่คุ้นเคย คือเสแสร้งและจอมปลอม

เขาไม่ตอบอะไร ทำเพียงเงยหน้าขึ้นมามองดูผมด้วยใบหน้าเฉยชา อันเป็นเกราะกำบังกายอันเปราะบางหนึ่งเดียวที่เขามี

แล้วเขาก็ทำสิ่งที่ผมอยากนึกขัน เขาส่งโทรศัพท์ให้คนของเขา ก่อนชี้มือมาทางผม ผมไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไรกับคนของเขา หากแต่คลับคล้ายคลับคลา คล้ายจะฟ้อง...

ผมหัวเราะ นึกขำ ทำไมเขาคิดว่าคนของเขา... ฝรั่งสูงใหญ่คนนั้น... คนที่นั่งยิ้มเห็นฟันขาวอยู่ในรูปในขณะที่เขาอายุแค่ไม่กี่ขวบ... คนที่เป็นคนพาเขาเข้ามาสู่เกมส์หฤหรรษ์นี้...จะปกป้องเขาได้

...เป็นความไว้วางใจที่บิดเบี้ยว แบบที่เขาไว้ใจผมกระมัง...ผมคิดและหัวเราะ ให้กับความไว้วางใจของเขา

ผมผ่านวันเวลาของเขามากว่าสิบปีแล้ว...ผมจึงจำไม่ได้ว่า ความไว้วางใจของเด็กอย่างเขา เอาอะไรวางไว้บนพื้นฐาน...

หรือเขาอาจเพียงคาดหวังความเชื่อใจจากตัวผม เพียงทดแทนที่เคยพลาดหวังจากความไว้วางใจจากคนของเขา...ผมบอกตัวเอง พลางมองเขาที่ถูกพาจากไป...มองดูโทรศัพท์ที่ถูกคนของเขาโยนทิ้งไว้ตรงนั้น...

จบเกมส์แล้ว เดี๋ยวผมเองก็ต้องไป...และเดี๋ยวผมก็จะลืม ผมบอกตัวเอง

รสสัมผัสชั่วข้ามคืน กับ น้ำตาชั่วข้ามนาที...ยากจะจดจำ...

แต่ผมกลับไม่เคยลืม...รสสัมผัสของผิวเนื้อ และรสชาติของน้ำตา

แม้ไม่ใช่ทุกคืน...หากแต่ปล่อยครั้งที่คิดถึง...

มันไม่ใช่ความรักหรือแม้แต่จะผูกพัน...หากแต่กลับไม่เคยลืม

น่าแปลก ที่กี่ครั้งแล้วที่ผมเฝ้าหลับตาลงเพื่อฝันถึงคนๆหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแค่ชั่วข้ามคืน...

ทุกครั้งที่หลับตา ยังนึกได้กลิ่นหอมบางๆ คล้ายแค่เอื้อมมือออกไปก็คงได้สัมผัสผิวเนื้อเย็นๆ แต่ก็นึกรู้ว่า หากยังมิอยากลืมตาตื่น ก็จงอย่าเอื้อมมือออกไป เพราะหากเอื้อมมือไป ก็จะไม่ได้อะไร นอกจากสัมผัสของความจริงอันว่างเปล่าเท่านั้น

และคืนนี้ภาพที่จดจำ มันแจ่มชัดกว่าเคย...

อาจเป็นเพราะ ผมเพิ่งเจอเขา...แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี น่าแปลกที่ผมยังจำเขาได้โดยไม่แม้ต้องเสียเวลาจะนึกคิด

กลิ่นหอมบางๆที่ผ่านจมูกเพียงชั่วคืนและเจนจมูกราวกับเคยคุ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันในความฝันนั้น กลับมาแตะปลายจมูกอีกครั้ง คล้ายชักชวนให้ผมเอื้อมมือออกไปรั้งเขาไว้ก่อนที่เขาจะเลยผ่านผมไปอย่างคนไม่รู้จัก... แต่ผมก็ไม่ได้ทำอย่างที่ใจนึกอยาก...

อาจเพราะวันนี้ เวลานี้...ปีกของเขายังดูงดงาม หากแต่ไม่เปราะบางเหมือนในวันนั้น

ผมจึงบอกตัวเองให้ทำเพียงมองดูเขาเดินผ่านผมไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

รอยยิ้มของเขาในวันนี้ไม่ใช่ความเมามายของรสเหล้า

เหมือนเสียงหัวเราะที่ไม่ได้ถูกปรุงแต่งด้วยความจริงที่บิดเบี้ยวของฤทธิ์ยา

ปากแดงๆที่ผมยังจำรสสัมผัสได้ไม่เคยลืมนั้นกำลังขยับพูดถ้อยคำบางคำที่ถูกกลืนหายไปเพราะเสียงเพลงที่ดังอยู่รอบด้าน จะมีก็คงเพียงชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆเขาเท่านั้นกระมัง ที่พิเศษพอจะได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น

ผู้ชายคนนั้นยืนกอดอก โน้มตัวลงฟังสิ่งที่เขากำลังพูดอย่างตั้งใจ ก่อนจะหัวเราะและยิ่งโน้มตัวลงใกล้ เพื่อกระซิบอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาหัวเราะมากกว่าเดิม

แม้จะไม่เห็นพวกเขาสัมผัสกัน...แต่ดวงตาที่พวกเขาจับจ้องกันนั้น ทำให้นึกรู้ว่า บัดนี้ปีกของเขาไม่เปราะบางด้วยคงถูกปกป้องจากเจ้าของมือคู่นี้เอง

แม้นึกสงสัยว่า ผู้ชายคนนี้จะใช่ใครคนนั้นที่เขาฝันถึงยามอยู่ในอ้อมแขนของผมหรือเปล่า...หากแต่สิ่งหนึ่งที่สิ้นสงสัยคือ...แม้ผมจะตามหาเขาจนเจอ หากแต่ระหว่างผมกับเขา... มันเป็นอะไรไปไม่ได้มากไปกว่า...เวลาแค่ชั่วคืนที่ดูคล้ายว่า เขาจะไม่ได้เก็บมันไว้ในความทรงจำเสียด้วยซ้ำ

คืนนี้ผมจึงทำได้เพียงหลับตาลงเพื่อกอดเขาไว้ในความเมามายอีกครั้ง...

ปล่อยให้รสหวานของเหล้าผ่านปลายลิ้นครั้งแล้วและครั้งเล่า เพื่อลิ้มรสสัมผัสของปลายลิ้นอุ่นที่กรุ่นกลิ่นเหล้าของเขาในคืนวันนั้น...

คืนที่ไม่เคยลืม...

น้ำตาที่ไม่เคยลืมเลยเช่นกัน...

จบ


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
จบแล้วค่ะ สำหรับเรื่อง หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ

ขอบคุณ คุณภัคD ที่อนุญาตให้นำเรื่องมาลงในเล้าแห่งนี้  :m13:  :m13:

และมีอีกเรื่องของคุณภัคD ที่จะนำมาลงหลังสงกรานต์ จะได้ต่อเนื่อง

เป็นเรื่องของ เด็กชายตะวันฉาย นายกรินกรณ์ และพี่ชายปากบอนบ้านข้างๆ

เรื่องนี้ไม่หนัก อ่านสบายๆ แต่สำนวนยอดเยี่ยมตามแบบฉบับคุณภัคD

เจอกันหลังสงกรานต์นะคะ  :bye2: :bye2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






animob

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณอีกครังครับบ สนุกจัง จะรออ่านนะครับ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
แม้แต่ตอนพิเศษก็น่าค้นหา  เยี่ยมเลย

จะรออ่านเรื่องถัดไปนะ

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วประทับใจ กินใจมากเลยคับ

hasuzz

  • บุคคลทั่วไป
อ่านเีรื่องนี้ตั้งแต่คุณภัคD มาโพสครั้งแรก


นานมาแล้วที่ไม่ได้อ่านนิยายจนร้องไห้
บีบคั้นอารมณ์สุดๆ



ขอบคุณทั้งคนเขียน คนโพส
นิยายเรื่องนี้ยังตรึงใจเราอีกนานนนนนน
>______<!!!

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
ยิ่งอ่านยิ่งประทับใจๆๆๆ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
+1ให้พี่ทิพ

เป็นเรื่องราวที่อ่านช่วงแรกจนเกือบจน อึดอัดมากๆ แบบว่าทำใจอยู่นานว่าจะอ่านต่อดีมั้ย

แบบว่าคิดมาก กลัวอินจนจิตตก ในที่สุดก็กลับมาอ่านแล้วพบกะตอนจบแบบนี้ก็ทำให้ยิ้มออกมาได้

คุณภัค D แต่งดีมากๆ  o13 แล้วจะรอติดตามเรื่องต่อไปนะ  :a1: :a1:










kongkilmania

  • บุคคลทั่วไป
 :L2:   :L2:  ขอบคุณคุณทิพย์ที่ทำให้อีกหลายๆคนได้อ่านเรื่องที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
เป็นนิยายที่สุดยอดจริงๆ ประทับใจมากมาย
ตอนอ่านนี่   :angry2:  เกลียดเอกกะทอมที่สุด แต่ทั้งรักทั้งสงสารพี่เหยาจับใจ   :m1:
คุณภัคDยังสงสารคนอ่านอยู่มั่ง เลยจบเรื่องอย่างมีความสุข
ถ้าจบแบบเศร้า หรือให้พี่เหยามีอันเป็นไป สงสัยแฟนๆที่ตามอ่านต้องสติแตกแน่นอน   :serius2:

จะรออ่านเรื่องต่อไปของคุณภัคDที่คุณทิพย์จะเอามาลงต่อจ้า    :pig4:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
ความหมายของตอนพิเศษคือ?

สองไม่เข้าใจ


เอามาทำร้ายกันอีกทำไม  :o12:

nithiwz

  • บุคคลทั่วไป
เนื้อเรื่องเครียดมากๆ  สุดยอดก็ลงเอยกันด้วยดี
ผมกลัวพี่เหยาจะเกลียดเอกไปตลอดชีวิต

แต่รู้ความจริง  พี่เหยาทำแบบนั้นไปเพื่อแก้แค้น... o7  ชอบเรื่องนี้จัง

วิธีการแสดงความรักมีสองแบบ
แบบแรกทะนุถนอม
แบบที่สองคือการทำร้าย ข่มขู่  ชอบจริงๆ

ดีใจที่เรื่องจบด้วยดี   ผมกลัวมันจะจบด้วยการจากลาจังตอนแรก
ชอบมากๆ ครับ   อดที่จะเกลียดทอมไม่ได้  ฮ่าๆๆๆ

วิทย์ก็เป็นเพื่อนที่ดีมากๆ  ผมชอบที่วิทย์พูดจัง
ถ้ามึงเลวมึงเห็นแก่ตัว  กูจะทนคบมึงเหรอ   ชอบจริงๆ  o7

บทส่งท้ายอ่อนแล้วงงๆ นิด  เดี๋ยวมาอ่านอีกรอบดีกว่า
 :sad2: :sad2: :sad2:

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
โอย....เศร้าๆๆๆๆๆๆ :m15: :m15: :m15:
ทำไมถึงไดบีบคั้นอารมณ์ขนาดนี้เนี่ย
จะหยุดอ่านก็ไม่ได้ต้องอ่านรวดเดียว  ไม่ได้นอนเลยเนี่ย :serius2:
จะติดตามผลงานต่อไปนะคะ :o8: :o8:



ชอบตอนพิเศษมากๆเลย :m1: :m1:
เหยากับเอกน่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






kongkilmania

  • บุคคลทั่วไป
 :m1:  คิดถึงพี่เหยา
 :L1:
 :L1:

ออฟไลน์ MeepadA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1069
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3

ของเค้าดีจริงๆๆๆ  o13 o13

ltahset

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ

อ่านไปร้องไปเกือบทั้งเรื่อง :m15:

ไม่รู้ว่าอินมากไปป่าว แฮะๆ


เหยากะเอกน่รักมากมาย :L2:

YoOl

  • บุคคลทั่วไป
เศร้าอ่ะครับ เศร้าจริงๆ :o12:

ทำไมผมอ่านเรื่องนี้แล้วหาความสุขของตัวละครแทบจะไม่เจอเลย ทำไมมีแต่คนที่เจ็บปวด  :o12:

ตอนอ่านน้ำตารื้อขึ้นมาบ่อยมาก

ขอบคุณคนแต่งมากครับ ที่แต่งเรื่องดีๆมาให้ได้อ่าน

ขอบคุณคนโพสมากครับ ที่โพสเรื่องดีๆนี้มาให้ได้อ่าน

แล้วก็ขอบคุณพี่ฟ้ามากครับ ที่แนะนำเรื่องดีๆเรื่องนี้ให้อ่าน

+ ให้ไปเลยคร้าบ

ออฟไลน์ BIRD

  • บี เบิ๊ด นก ^___^
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เรื่องนี้ทำผมร้องไห้ :)

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะครับ

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
บอกตรงๆ เครียดมาก ยังอ่านไม่จบเลย

ขอไปทำใจก่อนนะ เด่วจะมาอ่านใหม่

เฮือกกกกกกกกกกกกก

 :o12:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
อ่านจบแล้วววว

ขอบอกกลัวมากกับการอ่านนิยายที่บีบหัวใจแบบนี้ กลัวตอนจบของเรื่องเป็นที่สุด

ยิ่งอ่านยิ่งเครียด ไม่อยากอ่านต่อ แต่สุดท้ายก็ทนอ่านจนจบ

สงสารเหยาที่ต้องทนเก็บกดเอาไว้

สงสารเอกที่ไม่รู้หัวใจตัวเอง

----------------------------------

ขอบคุณ คุณภัคD ที่ไม่ทำร้ายหัวใจคนอ่านตอนจบครับ

ขอบคุณ Thip ที่เอาเรื่องราวดีๆ มาให้อ่าน

ขอบคุณ เรย์ สำหรับพื้นที่แห่งความสุข (ย้ำห้ามถอดใจเข้าใจมั้ย?)

ขอบคุณ เซ็งเป็ด ที่ทำให้เรารู้จักกัน

ขอบคุณ เพื่อนๆ สำหรับมิตรภาพ

ขอบคุณครับ

 o13

Bogiecoco

  • บุคคลทั่วไป
บอกได้คำเดียวว่า

สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดด

อ่านไปเครียดไป ร้องให้ไป บีบคั้นสุดๆๆ

ยิ่งอ่านยิ่งเครียด แต่ก็หยุดอ่านไม่ได้

เยี่ยมจริงๆค่ะ

ThyRist

  • บุคคลทั่วไป
ทำโปรเจคมาเหนื่อย ๆ  เรื่องนี้กะไม่ให้นอนพักเลย ><

ถึงหน้า 6 ด้านบนแล้ว ต้องรอให้จบแฮปปี้ ถึงจะได้นอน - -

ขอขอบคุณนะครับ สำหรับคนแต่ง แล้วก็ผู้เอามาลงด้วย

ที่เอาเรื่องดี ๆ  แบบนี้มาแบ่งปันกันอ่าน

 :m4: :m4: :m4: :m4: :m4:

..

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด