พิมพ์หน้านี้ - หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: THIP ที่ 20-03-2008 20:56:52

หัวข้อ: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 20-03-2008 20:56:52
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
ให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่า

---------------
นิยายเรื่องนี้ได้รับอนุญาตจากคุณภัคD แล้ว ขอขอบคุณคุณภัคD มากๆค่ะ  :m13:  :m13:

++++++++++++++++++++++++

หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ


หนังสือเล่มหนึ่งเคยบอกว่า
สิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์คือความทรงจำ
ไม่ว่าสุข หรือ ทุกข์
เมื่อเวลาผ่านไป
สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นความทรงจำ
ยามนึกถึงความสุขจะอิ่มเอม
ยามนึกถึงความทุกข์ก็ทำให้ดื่มด่ำ

แต่สำหรับผม...
แค่ความทรงจำไม่เพียงพอ
ผมเคยถามคนที่ผมรักว่า
จะปล่อยเรื่องของเราให้เป็นแค่ความทรงจำหรือ
ทั้งที่เราช่วยกันสานต่อปัจจุบันได้
เขาตอบผมว่า...
เรื่องบางเรื่อง ก็ไม่อยากเก็บไว้แม้แต่ในความทรงจำ
และหนึ่งในเรื่องบางเรื่องนั้นคือ เรื่องของผม.....

......................................
.................................................

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 20-03-2008 21:00:16
ผมชื่อเป็นเอก ใครๆมักเรียกผมสั้นๆว่าเอก ผมเป็นลูกโทน แม่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษชั้นประถม ส่วนพ่อเป็นครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมต้น เพราะทั้งพ่อและแม่เป็นครู ผมจึงมักถูกเคี่ยวเข็ญให้เรียนหนังสือ และถูกดุทุกครั้งหากคะแนนไม่ดี และสำหรับพ่อกับแม่นั้น แค่ผมมีเกรด3โผล่มาเพียงตัวเดียวก็ถือว่าเรียนแย่แล้ว

บ้านผมเป็นอาคารพาณิชย์อยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ตอนเป็นเด็กผมเคยอิจฉาเด็กๆในหมู่บ้านที่ได้อยู่ในบ้านสวยๆมีพื้นที่ ผิดกับผมที่โดนแม่ดุทุกครั้งถ้าวิ่งออกนอกเขตบ้านด้วยเกรงว่าผมจะโดนรถชน เพราะบ้านมีพื้นที่เหลือด้านหน้าเพียงเล็กน้อยก็ติดถนน

พ่อเล่าว่าพอปู่เสีย ย่าก็ขายบ้านหลังเดิมแล้วมาซื้อบ้านหลังนี้ด้วยเหตุผลว่าจะได้เปิดร้านขายของให้คนในหมู่บ้าน หารายได้พิเศษดีกว่าที่จะอยู่บ้านไปวันๆ ผมเกิดและโตที่บ้านหลังนี้ ดังนั้นผมจึงไม่เคยพบปู่ และตั้งแต่ผมจำความได้ บ้านหลังติดกันกับผมก็เปลี่ยนเจ้าของมา 3 คนแล้ว ด้วยเหตุผลเดียวกันหมดคือถูกธนาคารยึด ยกเว้นคนสุดท้ายคือ อาเจ็กพงษ์ ซึ่งได้ชิงขายบ้านให้แก่เพื่อนคนหนึ่งก่อนธนาคารจะยึด เจ้าของบ้านคนปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นคนที่ 4 ชื่อ ทอม เป็นฝรั่งตัวโต แม่พูดว่า ทอมน่าจะเป็นทหารมากกว่าพ่อค้า และ ผมก็เห็นด้วยกับแม่

ทอมเป็นพ่อค้าที่ไม่มีร้านค้า วิ่งไปมาระหว่างกรุงเทพและเชียงใหม่ ผมเห็นทอมเพียงแค่วันเสาร์และอาทิตย์เท่านั้น พ่อบอกผมว่าทอมมีบริษัทส่งออกอยู่ที่กรุงเทพ แต่สินค้าที่ทอมส่งออกเป็นงานหัตถกรรมซึ่งล้วนเป็นของมีชื่อของจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเงิน หรือ ไม้แกะสลัก ทอมจึงใช้เวลาอยู๋ที่เชียงใหม่เพียงอาทิตย์ละ 2 วัน จนกระทั่งวันหนึ่งผมก็เริ่มสังเกตเห็นว่า ทอมใช้เวลาอยู่เชียงใหม่นานขึ้น จนในที่สุด ก็ไม่เห็นหน้าทอมเพียงแค่ 2 วันเท่านั้นในหนึ่งอาทิตย์

แม้ผมไม่รู้ว่าความรักของผมเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่รู้ว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่

วันนั้นก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าวันอื่นๆที่ผ่านมาแล้วร่วม 10 ปีของผม ผมโดนบังคับให้อ่านหนังสือเตรียมสอบไร่อยู่ในห้องนอนขนาดเล็กที่แสนน่าเบื่อของผม แต่เพราะช่วงนั้นเป็นปลายหน้าหนาว อากาศแสนจะน่านอน และผมก็ยังเป็นเพียงเด็ก 10 ขวบ ผมจึงนอนหลับสบายอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา จนกระทั่งแม่มาเคาะประตูเรียก

“เอก ทอมกลับมาแล้ว มีจดหมายส่งถึงทอมไหมลูก?” แม่ตะโกนถามจากอีกด้านของประตู นี่ถ้าแม่รู้ว่าผมนอนอยู่ น้ำเสียงแม่คงไม่ใช่แบบนี้แน่ ผมรีบลุกจากเตียง ขยี้ตาให้สว่างก่อนเปิดประตูห้องออกไป

“ทำไมลูกต้องเก็บจดหมายทอมไว้ด้วย น่าจะวางไว้บนโต๊ะ แม่จะได้เอาให้เขา ไม่ต้องให้เขาเสียเวลาคอย”แม่บ่น แต่ผมไม่สนใจจะฟังเพราะแม่บ่นเหมือนเดิมทุกครั้ง และการบ่นของแม่ก็ไม่จริงจังนัก

ทอมยืนคอยจดหมายอยู่หน้าบ้าน กำลังคุยอย่างออกรสออกชาติอยู่กับพ่อ ผมรีบเอาเก้าอี้ปีนขึ้นหยิบจดหมายที่ซ่อนไว้หลังตู้

...‘ค่าขนม ค่าขนม’... ผมร้องเป็นเพลงเบาๆ มันเป็นค่าขนมที่หาได้ง่ายมาก เพียงแค่ผมเก็บจดหมายไว้ให้ทอม ผมก็จะได้ค่าขนมเป็นการแลกเปลี่ยน พ่อกับแม่ไม่รู้เรื่องนี้หรอกครับ เมื่อก่อนผมก็ไม่เคยเก็บจดหมายไว้ให้ทอม จนกระทั่งวันหนึ่งมี จดหมายแบบ EMS ส่งมา มันจำเป็นต้องมีคนเซ็นรับและผมก็อยู่หน้าบ้านพอดี แม้ตอนนั้นผมจะอายุแค่ 9ขวบ แต่ผมก็รับปากกับบุรุษไปรษณีย์ว่าจะเก็บจดหมายไว้อย่างดี ทอมขอบอกขอบใจผมยกใหญ่แถมส่งตังค์ให้ผมเป็นรางวัล โชคร้ายที่แม่อยู่ตรงนั้น แม่รีบปฏิเสธพร้อมตีมือผมที่กำลังจะรับเงินเบาๆ แต่นั่นก็ทำให้ผมรู้ว่าทอมเป็นคนน่าคบคนหนึ่ง เพราะพอลับตาแม่ ทอมก็ขยิบตาและแอบส่งตังค์ให้ผม ผมรีบรับไว้และไม่ลืมที่จะขอบคุณ ทอมตบหัวผมเบาๆก่อนจะเดินจากไป ตั้งแต่นั้นมา เวลาทอมไม่อยู่ ผมจะเก็บจดหมายไว้ให้ทอมทุกฉบับไม่เว้นแม้แต่จดหมายธรรมดา และทอมก็แอบให้ตังค์ค่าขนมผมเป็นการตอบแทนทุกครั้ง

วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมฝันหวานถึงค่าขนมโดยไม่รู้ว่า นี่เป็นวันสุดท้ายแล้วที่ผมจะได้ค่าขนมด้วยวิธีง่ายๆเช่นนี้ ผมหยิบซองจดหมายมาให้ทอมที่หน้าบ้าน แต่ตอนนี้คนที่ยืนอยู่กับพ่อไม่ใช่ทอม แต่เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งแทน

“เอก นี่พี่จื้อเหยา”พ่อแนะนำแต่ดูเหมือนจะผิดเพราะเจ้าของชื่อหันมาแก้เบาๆ พ่อหัวเราะ ผมไม่ได้สนใจฟังเพราะมัวแต่มองหาทอม

“เอาจดหมายให้พี่เขาสิ”พ่อสั่ง แต่เมื่อผมทำหน้างง ทั้งยังยืนเฉย พ่อจึงอธิบาย

“พี่เขาจะมาอยู่กับทอม ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องเก็บจดหมายให้เขาแล้วนะ มีคนเก็บแทนแล้ว”

ผมส่งจดหมายให้คนตรงหน้าแบบงงๆ นั่นหมายความว่าต่อไปนี้ ผมก็อดได้ค่าขนมพิเศษน่ะซิ เด็กผู้ชายคนนั้นเดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรกับผมสักคำเดียว ส่วนผมก็ไม่ได้สนใจเขามากนัก คิดถึงก็แต่ค่าขนมที่หายไปเท่านั้น

ผมมารู้ภายหลังว่านั้นคือครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ที่ผมได้เห็นพี่เหยาซึ่งยังคงสภาวะของเด็ก เมื่อผ่านคืนนั้นไป พี่เหยาถูก ทอมบังคับให้เปลี่ยนสภาพจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่อายุยังไม่เต็ม15 ผมเสียดายที่ไม่ได้สังเกตและจดจำภาพของพี่เหยาในวันนั้นไว้

+ + + + + + + + + + + + + + + +


หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 20-03-2008 21:13:45
เปลี่ยนสภาพจากเด็กไปเป็นผู้ใหญ่..   :a5: :a5: ว่าเปลี่ยนยังไงน่าคิดนะ

ลงชื่อเป็นสมาชิกเรื่องนี้ด้วยคน  :oni2: :oni2:

เป็นกำลังใจให้นะครับ  :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 20-03-2008 21:19:48
ทิพย์เอานิยายมาลงกะเค้าด้วย กี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ :laugh:

ต้องหาเวลามาอ่านให้ได้แระ อิอิ   :m4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 20-03-2008 22:29:28

แต่สำหรับผม...
แค่ความทรงจำไม่เพียงพอ
ผมเคยถามคนที่ผมรักว่า
จะปล่อยเรื่องของเราให้เป็นแค่ความทรงจำหรือ
ทั้งที่เราช่วยกันสานต่อปัจจุบันได้
เขาตอบผมว่า...
เรื่องบางเรื่อง ก็ไม่อยากเก็บไว้แม้แต่ในความทรงจำ
และหนึ่งในเรื่องบางเรื่องนั้นคือ เรื่องของผม.....

......................................
.................................................


ทำไมอ่านเเล้วเศร้าจังเลย ถ้ามีคนบอกไม่อยากจะจำเรื่องของเรามันคงจะเศร้าน่าดู

ว่าแต่สงสัยนิดนึงคร้าบบ เปลี่ยนจากเด็กเป็นผู้ใหญ่เป็นยังไงเนี่ย เปลี่ยนแบบไหนหว่า o12

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 21-03-2008 06:46:44
โอ้ววววววววววววววววววว.... o7

ชอบคร้าบบบบบบบบเรื่องนี้ o13 (เป็นแฟนนิยายของคุณ ภัคD ด้วยอ่ะ  :o8: ก็จากเรื่องนี้อ่ะแหละ)

สุดยอดอ่ะเรื่องนี้ถึงเนื้อหาจะแรงๆเคลียดๆหน่อย

แต่ให้แง่คิดและคำคมเยอะดีครับ(แอบสปอย)

เป็นกำลังใจให้คนลงนิยายด้วยนะครับ

ปล.เคยคิดจะขอเจ้าของมาลงบ้างเหมือนกันอ่ะเรื่องนี้  :o8:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Just let it be ที่ 21-03-2008 08:03:40
 :oni1:

นิยายใหม่อีกแย้ววว

ท่าทางจะน่าติดตามอีกเรื่อง   อิอิ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Gussohigh ที่ 21-03-2008 08:14:33
งะ หมายความว่า ไง อะ

"ทอมบังคับให้เปลี่ยนสภาพจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่อายุยังไม่เต็ม15" :o :o :o

ต้องติดตามต่อไปแล้ว งิงิ

รีบมาต่อน้าๆๆๆ งิงิ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 21-03-2008 09:17:12
 :oni2:เรื่องนี้ชอบมากกกกกก เข้ามาเชียร์ให้อ่านค่ะ

เพื่อนเคยคิดจะขอมาลงเหมือนกัน......อยากให้ได้อ่านกัน o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ( = ___ = ) ที่ 21-03-2008 11:22:39


เข้ามาอ่านด้วยคน

ท่าทางจาเศร้าป่ะเนี่ย :undecided:

รอติดตามต่อปาย :a1:


หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 21-03-2008 11:36:47
อ่านจบแย้วววว เย่ๆๆ  :m4:


พี่เหยาถูก ทอมบังคับให้เปลี่ยนสภาพจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่อายุยังไม่เต็ม15
ประโยคนี้คิดได้อย่างเดียวคือ..พี่เหยาถูกทอม....ขมขืน   :m29:
:a5:   :a5:  :a5:  :a5:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 21-03-2008 11:44:19
 :o

ทิพ!


ต้องตามอ่านอย่างต่อเนื่องซะแว้วววววววววววววววววววววววววววววววววว  :oni2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Hickey405 ที่ 21-03-2008 17:06:47
 o13
มาให้กำลังใจนักเขียนใหม่
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: panari ที่ 21-03-2008 17:59:07
ในที่สุดก็มีคนเอาเรื่องนี้มาลง หุหุ  :m4:

ขอบอกว่าเรื่องนี้มันสุดยอดจริงๆ ค่ะ  :m15: อ่านแล้วมันช่างรันทด บีบคั้น กดดัน อึดอัด หดหู่  o7 ยิ่งอ่านยิ่งเครียด กว่าจะอ่านจบต้องพักไปสองสามรอบ ไม่งั้นทนอ่านไม่ไหวค่ะ มันอึดอัดสุดๆ  :o12:

เชีรย์ให้อ่านเรื่องนี้นะคะ รับรองไม่ผิดหวัง ทั้งภาษาและสำนวนการแต่งของคุณภัคD :oni2: ขอยกนิ้วให้ค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: nananon02 ที่ 21-03-2008 17:59:53
เรื่องใหม่ๆๆ   :mc4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 21-03-2008 18:27:19
ขอบคุณทุกคนแทนคุณภัคD ด้วยนะคะ   :m13:  :m13:
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประทับใจอีกเรื่องหนึ่ง และตั้งใจไว้นานแล้วว่าจะเอามาเก็บไว้ในเล้าเป็ด  :oni2:  :oni2:
อ่านต่อเลยค่ะ

----------------------------------

เด็กผู้ชายคนนั้นคือหัวข้อสนทนาของเราบนโต๊ะอาหารมื้อเย็นวันนั้น ดูเหมือนพ่อจะจำไม่ได้ว่าเด็กคนนั้นชื่ออะไรแน่ระหว่าง จื้อเย้า และจื่อเย้า

“น่าจะจื้อเย้า คนจีนน่าจะต้อง จื้อ จื้อนี่แหละ”แม่ออกความเห็นทั้งที่พูดภาษาจีนไม่ได้สักคำเดียว

“แต่พ่อเคยได้ยินแต่ จื่อนะ อย่างจื่อเหวย จื่อหยาง”ดูเหมือนชื่อของพ่อจะฟังเข้าท่ากว่าเพราะเอามาจากหนังจีน

“เคยได้ยินแต่ตือโป๊ยก่าย ซือหยวน ตือฮวน ก็น่าจะเป็นจือเย้านะ” ย่าออกความเห็นบ้าง

เรารู้ทีหลังว่าจริงๆเด็กคนนั้นชื่อ จึเหยา และใช้เวลา2-3วันจึงจะเรียกถูกว่าเหยา ไม่ใช่ เย้า แต่เพราะเป็นภาษาที่ไม่คุ้นเคยและตอนนั้นผมยังเด็ก ผมจึงจำไม่ได้และเรียกเด็กผู้ชายคนนั้นว่า ‘พี่เย้า’ทุกครั้งที่เจอกัน แรกๆ พี่เหยาก็ปล่อยให้ผมเรียกอย่างนั้น จนวันหนึ่งที่พี่เหยาคงทนไม่ไหว

“พี่เย้า พี่เย้า”ผมตะโกนเรียกจากในร้านเมื่อเห็นพี่เหยาเดินผ่านหน้าร้านไป ผมวิ่งออกมาหน้าร้านเห็นพี่เหยายังเดินไม่สนใจ

“พี่เย้า ไปไหน?”ผมตะโกนดังขึ้น

“ตะโกนอะไรวะเอก หาเย้าตกดอยหรือไง?”พี่วิน เจ้าของร้านตัดผมตะโกนถามผมขณะขี่มอเตอร์ไซด์เข้ามาจอดที่ใกล้ๆบ้านผม

พี่วินเป็นเจ้าของร้านตัดผมที่อยู่ถัดไป4คูหา พี่วินเพิ่งกลับจากการไปเยี่ยมบ้านที่เชียงราย จึงยังไม่รู้จักพี่เหยาและ ดูเหมือนจะไม่ต้องการคำตอบ พี่วินเดินเข้าไปในร้านตนโดยไม่ได้สนใจพี่เหยาที่ยืนห่างออกไปเพียงเล็กน้อย พอพี่วินเดินเข้าร้าน พี่เหยาก็เดินกลับมาหาผม

“ไม่ใช่เย้าแต่เป็นแม๋วรู้จักไหม? แม๋วน่ะแม๋ว!”พี่เหยาพูดพร้อมใช้มือโตๆตบที่หน้าผากผม จนหน้าผมหงาย

“รู้จักซิ แม๋วที่ไม่ชอบอาบน้ำ ตัวเหม็นๆ” ผมพูดตามที่เคยได้ยินจากคนอื่นอีกที มือก็ลูบที่หน้าผากตัวเองแบบงงๆ

“พูดไม่ดี ตัวเองสิตัวเหม็น!” พี่เหยาว่าพลางใช้มือโตๆข้างเดิมตบลงหน้าผากผมอีกครั้งแล้วเดินจากไปไม่สนใจผมอีก


ผมเล่าให้พ่อฟัง พ่อก็หัวเราะ

“พี่เขาชื่อเหยา ห-ย-เอา เหยา เป็นภาษาจีนไม่ใช่เย้า”พ่อสอนโดยวิธีการสะกดให้ฟัง ทั้งยังสำทับ

“แล้วที่พี่เขาตบหัวเอกอีกหน ก็เพราะเอกพูดไม่ดี...เอกไม่รู้จักแม๋วเลยสักคน แล้วเอกพูดถึงเขาแบบนั้นได้ยังไง?”พ่อยังอธิบายต่ออีกยาว แต่ผมไม่ได้สนใจฟังมากนัก สนใจก็แต่ลองสะกดชื่อที่พ่อสอนในใจ

หลังจากนั้นเวลาเจอพี่เหยาผมจะเรียก พี่ แล้วเงียบไป 3 วินาทีจึงต่อด้วยเหยา ผมปล่อยให้พี่เหยาสงสัยอยู่ได้ไม่กี่วัน พอวันหนึ่งผมก็หลุดปากเรียก “พี่ หอ ยอ เอา เหยา”พี่เหยายืนหัวเราะอยู่นานจนผมอายระคนแปลกใจ เพราะตั้งแต่พี่เหยาย้ายมาอยู่ร่วมเดือน ผมแทบไม่เคยเห็นพี่เหยายิ้มหรือหัวเราะเลย นั่นเป็นครั้งแรกที่เห็นพี่เหยาหัวเราะ และหลังจากนั้นพี่เหยาก็ให้ความสนิทสนมกับผมเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ แต่ก็เฉพาะเวลาอยู่กันตามลำพังสองคนเท่านั้น

พ่อเล่าว่าพี่เหยาเป็นลูกของเพื่อนทอม อายุ15 กำลังจะเข้าม.ปลายที่เชียงใหม่จึงมาอาศัยอยู่กับทอม

“เอ แต่ช่วงนี้ยังไม่ปิดเทอมเลยนี่ แล้วไม่เรียนหนังสือเหรอ?”แม่สงสัย แต่ไม่มีใครตอบแม่ได้ จนกระทั่ง7ปีผ่านไป ผมจึงรู้คำตอบ

เพราะบ้านผมเป็นร้านขายของร้านเดียวในหมู่บ้าน พี่เหยาจึงกลายเป็นลูกค้าคนหนึ่งของร้าน ผมเจอพี่เหยาก็เฉพาะเวลาที่พี่เหยามาซื้อของที่ร้านในวันที่ผมไม่ต้องไปโรงเรียนเท่านั้น โดยปรกติพี่เหยาจะไม่ค่อยออกไปไหน ไม่พูดคุยหรือเข้าไปทำความสนิทสนมกับใคร จึงไม่มีใครรู้จักพี่เหยามากไปกว่าที่ทอมแนะนำ

และอย่างที่ผมเล่าให้ฟังไปแล้ว ว่าพี่เหยาให้ความสนิทสนมกับผมเป็นพิเศษถึงแม้บางครั้งผมจะไม่ชอบใจนัก เพราะบางเวลาที่ผมอยู่ที่ร้านคนเดียวเนื่องจากย่ามักแอบไปเอนหลังที่ในบ้าน หรือไปนั่งคุยกับเพื่อนบ้าน พี่เหยาชอบเดินหยิบโน่นหยิบนี่มาเต็มโต๊ะ พอผมใช้หัวเล็กๆของผมคิดตังค์เสร็จ พี่เหยาก็หยิบนี่เข้า หยิบโน่นออก ผมต้องคิดตังค์อยู่หลายครั้ง แล้วในที่สุดพี่เหยาก็หยิบเป๊บซี่ไปกระป๋องเดียว สุดท้ายก็เป็นหน้าที่ผม ที่จะต้องวิ่งเก็บของที่พี่เหยารื้อออกมา

“ทอนตังค์ผิดนี่!”พี่เหยาท้วงเมื่อผมส่งตังค์ทอนให้ในครั้งหนึ่ง

“ไม่ผิด 56บาท ก็ทอน44บาทไง” ผมชินกับการแกล้งของพี่เหยาจนไม่รู้สึกตกใจอะไรแล้ว

“งั้นคิดตังค์ผิด!”พี่เหยาพูดในสิ่งที่ผมเดาไว้ถูกแป๊ะ

“ไม่ผิด มาม่า 5 ห่อ 20 เป๊บซี่ 2 กระป๋อง 20 เป็น 40 ขนม 2 ห่อ 10 บาท เป็น50 กับไอติม อีกหนึ่งอัน 6 บาท เป็น56บาทก็ทอน 44บาท”ผมทวนถูกต้องทุกรายการ เพราะโดนแกล้งบ่อยๆ

“ผิด” พี่เหยายืนยัน

“ไม่ผิด”ผมมั่นใจ

“ผิดสิ !”แต่พี่เหยาดูจะมั่นใจกว่า

“ผิดตรงไหน?”ความมั่นใจผมเริ่มหาย ทั้งที่มั่นใจว่าคิดเลขไม่ผิดแน่ๆ

“ไม่มีไอติม...เอามาอีก 6 บาท”พี่เหยาบอกพร้อมแบมือหลามาที่ผม


“ก็พี่กินเมื่อกี้ไง ตอนเดินไปเดินมา”ผมยืนยันเพราะเห็น พี่เหยาเดินกินไอติมไปทั่วร้านขณะแกล้งหยิบโน่นหยิบนี่ให้ผมคิดตังค์ไปพลางๆ

“ไม่ได้กิน!”พี่เหยาเถียง

“พี่ขี้โกง กินแล้วไม่จ่ายตังค์!”ผมเถียง พร้อมเดินไปดูที่ถังขยะ แต่ไม่มีห่อ หรือ ไม้ไอติมเลย

“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้กิน... เร็ว 6 บาท ไม่งั้นฟ้องน้าสุนะ”พี่เหยาขู่ ผมจำใจหยิบเงินให้อีก6บาท พี่เหยารับแล้วก็หิ้วของออกจากร้านไป ผมหวังจะให้พี่เหยาเดินกลับเข้ามาแล้วบอกว่าล้อเล่น แต่พี่เหยาก็ไม่กลับมา

“6บาทเองย่าไม่รู้หรอก เราก็เอามากินเองบ่อยๆ” ผมบอกกับตัวเอง

“แล้วถ้าพี่เหยาเอาอีกล่ะ”ผมถามตัวเอง นึกขอโทษย่าที่ต้องขาดทุนอีกครั้งละ6บาทถ้าพี่เหยามาอีก

เย็นนั้นย่าบอกว่าพี่เหยาเอาตังค์มาให้ 6 บาทเพราะผมลืมคิดค่าไอติม ผมโดนแม่ดุเรื่องไม่รอบคอบ แต่ก็โล่งใจที่ได้เงินคืน

ถึงแม้พี่เหยาจะแกล้งผมเกือบทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ถ้าบางครั้งที่ผมนั่งทำการบ้านอยู่ พี่เหยาก็จะช่วยสอนและตรวจทานให้เสมอ

กลางเดือนพฤษภาคมปีนั้น ขณะที่ผมขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พี่เหยาก็ได้เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งของจังหวัด แม่ดูจะชื่นชมพี่เหยามากกว่าใครๆ เพราะโรงเรียนแห่งนั้นได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนอันดับต้นของจังหวัด แต่ไม่ว่าแม่จะใฝ่ฝันให้ผมได้เรียนที่นั่นหรือแม้ผมจะมีปัญญาสอบติด ทั้งแม่และผมต่างก็รู้ดีว่าผมไม่มีโอกาส เพราะนอกเหนือจากจะมีชื่อเรื่องการคัดแต่เด็กหัวกะทิแล้ว โรงเรียนแห่งนั้นยังมีชื่อเรื่องฐานะทางการเงินของผู้ปกครองอีกด้วย ดังนั้นเป้าหมายโรงเรียนระดับมัธยมที่แม่ตั้งเป้าไว้ให้ผมจึงเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนรัฐบาลประจำจังหวัดแทน
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 21-03-2008 18:29:39
แม่ได้ความคิดดีๆคือเอ่ยปากกับทอมขอให้พี่เหยามาติวหนังสือให้ผมโดยที่ผมไม่รู้มาก่อน และทอมก็รับปากแม่แทนพี่เหยาเช่นกัน


ผมกับพี่เหยามักติวหนังสือกันในห้องนอนของผมหรือไม่ก็ที่บ้านของทอมเวลาที่ทอมไม่อยู่ นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสเข้าไปในบ้านทอม แต่โดยส่วนใหญ่แล้วพี่เหยาเลือกที่จะติวที่ห้องผมมากกว่า

การติวหนังสือของพี่เหยาส่งผลให้ผมกลายเป็นคนขยันอ่านหนังสือขึ้นจนผิดตาขนาดแม่ยังเอ่ยปากถามว่า พี่เหยาใช้วิธีไหนจึงทำให้ผมขยันอ่านหนังสือได้ พี่เหยาแค่ยิ้มรับคำชมนั้น แต่ก็ไม่ตอบอะไรเช่นเคย

“แล้วอยุธยาก็ต้องเสียกรุงให้พม่าปี 2210 รวมแล้วก็470ปีที่เป็นราชธานี”ผมนั่งท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองอยู่บนพื้นข้างเตียง ในขณะที่คนติวนอนอยู่บนเตียงโดยมีหนังสือเรียนผมปิดหน้าอยู่

“ต่อสิ”พี่เหยาเร่งเมื่อเห็นผมหยุดท่อง

“พอแล้ว ครูบอกออกถึงอยุธยา”

“ออกอะไร ?”พี่เหยายกหนังสือขึ้นจากหน้า

“สอบไง พรุ่งนี้สอบ ก็...”ผมยังพูดไม่จบ พี่เหยาก็ลุกพรวด นั่งมองหน้าผม

“ผมบอกพี่แล้วน้า...”ผมรีบแก้ตัวก่อน เริ่มรู้แล้วว่าต้องมีอะไรแน่ๆ

“เวลาเหลือเฟือน่า..”พี่เหยาว่าพลางดูนาฬิกาข้อมือ แต่ผมมองฟ้านอกหน้าต่างแทน

“ ฟ้าเริ่มมืดก็อ่านไม่จำแล้ว แล้วผมก็เริ่มง่วงแล้วด้วย”ผมเริ่มโอดครวญทั้งที่ฟ้าเพิ่งมืดไปไม่กี่ชั่วโมง

“ขี้เกียจ!... ฟ้ามืดๆนี่แหละสมาธิดี”

“ผมต้องอ่านตอนไหนใหม่?”ผมเข้าเรื่อง ไม่อยากเสียเวลา

“สอบอันไหนก็อ่านอันนั้นสิ !”พี่เหยาโยนหนังสือให้ผม ผมรีบคว้ามาดู

“โอ้โห...ชื่อก็ผิด! ปีก็ผิด!... แล้วผมจะทำไง ตั้งเยอะแยะ”ผมโวยวาย ตาเริ่มร้อนผ่าว

“ก็อ่านสิ โวยวายอยู่ได้”พี่เหยาไม่สำนึกผิด ยังดุส่ง

“วันหลังพี่ก็ให้ผมอ่านเองสิ”ผมเริ่มโมโหจริงๆ

“ถ้าอ่านเอง ก็ไม่ได้ติวนะสิ”

“อันนี้ก็ไม่ติว ติวมันต้องสอนที่ถูกสิ พี่ชอบทำแบบนี้เรื่อยเลย”น้ำตาผมเริ่มไหล เมื่อนึกไม่ออกว่าจะอ่านให้ทันสอบพรุ่งนี้ยังไงดี แล้วถ้าคะแนนไม่ดีก็จะโดนแม่ดุอีก

“น่า...สอบย่อยเอง คะแนนออกเราก็ไม่ต้องบอกแม่เอกไง”พี่เหยาปลอบด้วยข้อเสนอที่ผมอยากให้แม่มาได้ยิน

“น่า ...เสาร์นี้พี่พาไปดูหนัง”พี่เหยาเริ่มหลอกล่อเมื่อเห็นผมไม่หยุดร้องไห้

“ไม่!คืนนี้พี่ต้องอยู่กับผม อยู่เป็นเพื่อนผม !”ผมตะโกนเสียงดังจนพี่เหยาตกใจ

“ไม่ได้หรอก วันนี้ทอมอยู่บ้าน”พี่เหยาทำท่าอึกอัก

พี่เหยามักมีทีท่าเช่นนี้ทุกครั้งถ้าแม่หรือใครรั้งไว้ให้อยู่ดึกหน่อย ทั้งที่บางครั้งแม่แค่ชวนคุยธรรมดา แต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครสังเกตหรือสนใจท่าทีนั้น

“ผมจะฟ้องทอม”ผมไม่เลิกราง่ายๆ

“ก็ได้แต่ว่า...”พี่เหยาทำท่าสำนึกผิดเป็นครั้งแรก จนผมคิดว่าชนะแล้ว

“แต่อะไร?”

“แต่เอกต้องฟ้องเป็นภาษาอังกฤษน่ะสิ!”ท่าทีสำนึกผิดหายไปหมด เหลือแต่รอยยิ้มที่ทำให้ผมได้แต่อึ้ง ทำอะไรไม่ได้นอกจากเช็ดน้ำตาตัวเอง

“น่านะ...ไม่กี่หน้าเอง อ่านไปเถอะ ถ้าคะแนนออก พี่จะไม่บอกน้าสุ แล้ววันเสาร์นี้จะพาไปดูหนัง แถมซื้อการ์ตูนให้ด้วย”พี่เหยาใช้2มือท้าวเข่าคุยกับผม ผมไม่ตอบอะไร ใช้มือเช็ดน้ำตาแล้วเอาหนังสือมานั่งที่โต๊ะไม่สนใจพี่เหยาอีก แล้วพี่เหยาก็ออกจากห้องไป

วันรุ่งขึ้นคุณครูเลื่อนสอบ แต่ผมก็ไม่ได้บอกพี่เหยา วันเสาร์นั้นพี่เหยาพาผมไปดูหนังตามสัญญา พร้อมการ์ตูนอีก2เล่มเป็นของแถม แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็กลายเป็นเรื่องปรกติของเรา2คน พี่เหยาแกล้งติวหนังสือแบบผิดบ้างถูกบ้างให้ผม ผมจึงจำเป็นต้องมาเปิดอ่านเองอีกรอบเพื่อตรวจดูว่าอันไหนถูกและอันไหนผิด ดังนั้นผมจึงกลายเป็นคนขยันอ่านหนังสือขนาดที่แม่ต้องออกปากชม แล้วพอวันเสาร์อาทิตย์ พี่เหยาก็ใช้ค่าสอนพิเศษที่แม่ผมให้ พาผมไปดูหนังและ บางครั้งก็ซื้อการ์ตูนให้ด้วย

จนผมขึ้นชั้นมัธยมแล้ว พี่เหยาก็ยังมาสอนหนังสือให้ผม ซึ่งแน่นอนว่าผมก็เต็มใจเพราะนั่นย่อมหมายถึงผมจะได้ดูหนังและอ่านการ์ตูนด้วย ห้องนอนเล็กๆของผมกลายเป็นที่ส่วนตัวของผมกับพี่เหยา บางวันเราก็แทบไม่แตะหนังสือเรียนกันเลยและ บางวันถ้าพี่เหยามีสอบ แทนที่พี่เหยาจะอ่านหนังสือที่บ้านตัวเองเงียบๆ พี่เหยาก็มานั่งอ่านที่ห้องผมแทน และคอยดุผม ถ้าผมส่งเสียงรบกวน... ช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองมีพี่ชายหนึ่งคน

ความสัมพันธ์แบบพี่น้องนั้นดำเนินอยู่หลายปี จนกระทั่งเมื่อผมรู้ความลับของทอมกับพี่เหยา ผมก็เป็นคนเริ่มที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์นั้นโดยที่พี่เหยาไม่มีโอกาสเลือก ขัดขืนหรือแม้กระทั่งรับรู้เลย



----------
จบตอนที่ 1
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 21-03-2008 19:23:51
เมื่อความสัมพันธ์เริ่มแปรเปลี่ยน เข้าสู่โหมดเครียดแล้วชิมะ  :serius2: ความลับที่ว่าของพี่เหยากับทอมก็คือ...พี่เหยาเปงรับ เหอะๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 21-03-2008 20:33:54
โอ๊ะโอ.. นิยาย ของคุณ ภัค D  บุกเล้าเป็ด แว้ว

เรื่องนี้ยกนิ้วให้ เจงๆ   o13   
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 22-03-2008 17:37:18
 :pig2:     :m4:   มีน้องเอาเรื่องนี้มาลงในเล้าแล้ว
ว่าจะไปขอมาโพสต์อยู่เหมือนกัน  แบบว่าชอบมากมาย   
เป็นกำลังใจให้คนโพสต์จ้า   สู้ๆๆๆ :a1:


ขอเป็นหน้าม้าแบบออกนอกหน้าทีเหอะ    :m13:
ขอเชียร์เรื่องนี้สุดลิ่มทิ่มประตู
ถ้าใครอ่านแล้วไม่อิน ไม่อึ้ง ไม่ประทับใจ
มาตื๊บเราได้เลย   :laugh: 
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 22-03-2008 18:12:24
เมื่อความสัมพันธ์เริ่มแปรเปลี่ยน เข้าสู่โหมดเครียดแล้วชิมะ  :serius2: ความลับที่ว่าของพี่เหยากับทอมก็คือ...พี่เหยาเปงรับ เหอะๆ

เห็นด้วยกับป้าแน๋ว........ o13 o13 o13



เป็นกำลังใจให้คนโพสผู้น่ารักนะครับ  :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: astral ที่ 22-03-2008 19:41:46
โย่วววว มาเป้นหน้าม้า แบบไม่มีใครเชิญ เรื่องนี้สุดยอด  o13

แต่เราทนอ่านได้ถึง ตอน 5 เอง ยังทำใจอ่านต่อไม่ไหว แต่ของเค้าดีจริงๆนะเออ  :m23:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 23-03-2008 00:18:01
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 2

พอพี่เหยาขึ้นม.5 ผมก็เลื่อนขั้นจากเด็กประถม ขึ้นเป็นเด็ก มัธยมต้น และแน่นอน ผมสอบเข้าเรียนได้อย่างดีที่สุดก็คือโรงเรียนรัฐบาลประจำจังหวัดเท่านั้น ไม่ใช่โรงเรียนเอกชนชื่อดังอย่างโรงเรียนพี่เหยาที่แม่ปลื้มนักปลื้มหนา

ตอนนั้น ถึงจะเป็นแค่เด็กม.1 แต่ ผมรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้น และไม่ใช่ด้วยเพราะส่วนสูงที่เริ่มจะสูงเกินเพื่อนๆจนเห็นได้ชัด จนกระทั่งผมถูกเรียกว่าไอ้โหย่ง ซึ่งแทนที่จะทำให้ผมภูมิใจ ผมกลับพยายามค่อมตัวลงเพื่อให้ดูเตี้ยลง จนกลายเป็นคนเดินหลังค่อมและไหล่งุ้มแต่ก็แค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น เพราะเมื่อพี่เหยาสังเกตเห็น ผมก็ต้องเลิก

“ทำไมเอกต้องเดินอย่างนี้ล่ะ?”พี่เหยาไม่พูดเปล่า ยังอุตส่าห์ทำท่าล้อเลียนที่ผมรู้สึกว่าน่าเกลียดให้ดูด้วย

“ก็ทำไมล่ะ?”ผมไม่ยอมบอกเหตุผล เพราะผมก็รู้ว่ามันไม่ใช่เหตุผลที่ดีนัก

“อยากเตี้ยหรือไง?”

“ไม่ใช่!”ผมรีบปฏิเสธเสียงดัง เพราะตกใจที่พี่เหยารู้สาเหตุ

“งั้นทำไม?”

“ไม่รู้ ก็มันเดินของมันเอง”ผมแก้ตัว นึกสงสัยว่า ทำไมพี่เหยารู้

“เสียบุคลิกนะ เดินไปไหนก็เดินแบบนี้”พี่เหยาเดินให้ผมดูอีกรอบด้วยท่าทางที่น่าเกลียดกว่าเดิม

“ก็ช่างมันสิ!”ผมเริ่มหงุดหงิดที่พี่เหยามายุ่งเรื่องของผม

“โดนเพื่อนล้อว่าสูงใช่มั๊ย?”พี่เหยาถามตรงเป้า จนผมไม่กล้าปฏิเสธ

“เมื่อก่อนเพื่อนพี่คนหนึ่ง เขาก็สูงเร็วกว่าคนอื่นเลยโดนเพื่อนเรียกว่าไอ้โย่ง มันเลยเดินให้หลังค่อมๆ จะได้สูงเท่าคนอื่น แล้วเป็นไงรู้ไหม?” พี่เหยาถามและผมส่ายหัวแทนคำตอบ

“ก็พอเดินแบบนี้นานๆ กระดูกที่หลังมันก็งอ แล้วตรงหัวไหล่มันก็งุ้ม ยืดไม่ขึ้น พอคนอื่นเริ่มสูงมันเลยเตี้ยสมใจ แล้วเป็นไงรู้ไหม?”พี่เหยาถามและผมส่ายหัวอีกครั้ง

“เพื่อนเลยเรียกมันว่าไอ้ค่อมบ้าง ไอ้งุ้มบ้าง”

แน่นอนว่า ระหว่างไอ้โย่ง กับ ไอ้ค่อมหรือไอ้งุ้ม อย่างแรกน่าจะดีกว่า พี่เหยายังสอนอีกว่า

“มันเรียกเราไอ้โย่ง ก็เรียกมันไอ้เตี้ยสิ! ”

“ผมก็โดนตีนพวกมันน่ะสิ ทั้งห้องเลย!”ผมแย้ง แต่ก็ทำตาม

พอผมเรียกพวกมันกลับว่าไอ้เตี้ย บางคนก็หัวเราะแล้วก็ยังเรียกผมเหมือนเดิมซึ่งผมก็ไม่เดือดร้อนเพราะถือว่าได้ด่ามันกลับว่าไอ้เตี้ย แต่สำหรับบางคนที่มีความเตี้ยต่ำกว่ามาตราฐาน มันกลัวผมเรียกมันว่าไอ้เตี้ย เลยเลิกเรียกผมว่าไอ้โย่ง หลังจากนั้น ผมเลยเลิกเดินหลังค่อมซึ่งก็พบว่ายากพอดู เพราะพอเผลอทีไรผมก็กลับไปเดินเหมือนเดิม ใช้เวลานานพอควรจึงเลิกนิสัยนั้นขาด

ต่อมาผมยิ่งพบว่าความสูงนั้นมีประโยชน์ เมื่อโดนรุ่นพี่ชวนให้เล่นบาส นอกจากผมจะมีทักษะทางด้านกีฬาที่ดีแล้วผมยังมีข้อได้เปรียบตรงความสูงที่สูงจนทันพี่ๆม.ปลาย ผมจึงได้เล่นเป็นนักกีฬาตัวจริงของโรงเรียนเสมอและพบว่าเพื่อนๆพากันอิจฉา เพราะนอกจากจะได้เบี้ยเลี้ยง สิทธิพิเศษในฐานะนักกีฬา ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ไม่ทำให้พวกมันอิจฉาเท่าไหร่ ที่ทำให้พวกมันตาร้อนผ่าว คือสาวๆที่คอยส่งเสียงเชียร์ทั้งในและนอกสนาม ถึงสาวๆที่ว่าจะตัดผมหน้าม้าสั้นเด๋อด๋า เห็นติ่งหูผลุบๆโผล่ๆ เพราะยังเป็นแค่เด็กมัธยมต้นกันก็เถอะ ซึ่งก็ผิดกันลิบกับสาวๆที่มาแอบชำเลืองตามองพี่เหยาถึงหน้าบ้าน แบบที่แม่ชอบค่อนแคะว่า

“เป็นสาวเป็นนาง หน้าไม่เหลือยาง ตามมาดูผู้ชายถึงหน้าบ้าน”

“เขาตามมาดูเสียที่ไหน! ก็เขาเรียนพิเศษกันที่ในหมู่บ้าน เรียนเสร็จเขาก็เดินผ่าน” พ่อแก้ตัวให้สาวๆที่ว่า เพราะจริงตามที่พ่อว่า พี่สาวพวกนั้น พอเรียนพิเศษกันเสร็จก็เกาะกลุ่มกันเดินผ่านทางมา จะมีบ้างก็เกาะกลุ่มคุยหัวเราะต่อกระซิบกันเสียงดังเป็นพิเศษที่หน้าบ้าน ชะเง้อชะแง้ตาแลไปที่ระเบียงบ้านด้านบนบ้าง

ระเบียงบ้านทอมไม่เหมือนบ้านอื่นๆ ที่ปล่อยไว้เฉยๆ จะมีบ้างก็แค่เอากระถางต้นไม้มาตั้งๆไว้ ให้พอสดชื่น ซึ่งระเบียงบ้านทอมเมื่อก่อนก็ไม่ต่างกัน แต่พอพี่เหยาย้ายมาอยู่ด้วย ระเบียงเก่าๆก็ถูกตกแต่งเสียใหม่ ระแนงไม้ตีตารางทาสีขาวถูกนำมาตกแต่งคล้ายฉากกั้น พวงชมพูออกดอกสวยแตกเถาไปทั่วระแนงไม้ขาว พื้นที่แคบๆของระเบียงถูกตกแต่งเป็นสวนเล็กๆที่มุมหนึ่ง ส่วนอีกมุมมีเก้าอี้โยกไว้สำหรับนั่งตากลมน่าสบาย แต่พี่เหยากลับชอบมาคลุกอยู่ที่ห้องของผม หรือบางวันอากาศดี เราก็เอาเสื่อมาปูนอนเล่นบ้างอ่านหนังสือบ้างกันที่ระเบียงเปื้อนๆของห้องผมเสียมากกว่าระเบียงไม้สวยๆนั่น จะมีก็แต่ช่วงเย็นที่พี่เหยาจะพกหน้าบอกบุญไม่รับของตัวเองออกมายืนรดน้ำต้นไม้ทุกๆวัน ให้สาวๆชะเง้อชะแง้คอตั้งมองกันทุกเย็นก่อนมาสอนหนังสือผม

“แต่วันนี้ ตาเหยาท่าจะอารมณ์ไม่ดี ปิดประตูใส่หน้าแม่สาวๆพวกนั้นเสียสะเทือนไปทั้งตึก”แม่เล่า ซึ่งผมไม่เห็นว่าจะแปลกตรงไหนสำหรับพี่เหยา เพราะที่แล้วๆมาสิ ผมว่าแปลกกว่า ที่พี่เหยาไม่ปิดประตูโครมเสียตั้งแต่วันแรกที่ได้ยินเสียงของ...แม่สาวๆพวกนั้น...ตามที่แม่เรียก

“สาวๆเดี๋ยวนี้ก็แปลก”ย่าออกความเห็นแค่นั้นไม่พูดต่อ เพราะเป็นอันรู้กันว่า ย่ามองไม่ค่อยออกว่าพี่เหยามีตรงไหนให้น่ามอง

ถึงแม่จะเคยพูดถึงสรรพคุณพี่เหยาว่า...หน้าตาคิ้วคางค่อยๆแต่ง แก้มแดงปากแดงค่อยๆแต้ม...ซึ่งผมก็ไม่ค่อยซาบซึ้งกับสำบัดสำนวนของแม่เสียเท่าไหร่ แต่ย่ากลับขัดคอแม่ว่า...ตัวซีดอย่างกับไก่ต้มเสียมากกว่า

“เขาเรียกว่าขาว เหยาเขาเป็นคนจีน ผิวคนจีน”พ่อแก้ตัวแทนตามนิสัยที่แก้ตัวให้กับทุกคน

“ขาวเป็นไก่ไหว้เจ้าวันตรุษจีนนะสิ!”ย่ายังยืนยันความคิดตัวเอง เพราะพระเอกหนังสมัยย่า ต้องรูปหล่อ ล่ำบึก และผิวคร้าม ไม่ใช่ขาวจนผู้หญิงอิจฉาแบบพี่เหยา

“แม่ก็พูดไป! ผิวเขาออกจะละเอียด แก้มแดง ปากแดง ใครว่าซีด!”พอแม่เลิกสำบัดสำนวนแล้ว ผมเลยค่อยฟังรู้เรื่องหน่อย

พี่เหยาเป็นอย่างที่แม่ว่าจริงๆ คือปากแดง แก้มแดง ยิ่งวันไหนอากาศหนาวหรือร้อนจัดๆ อย่างช่วงเดือนเมษาด้วยแล้ว ปากกับแก้มพี่เหยาจะแดงจัด จนเมื่อแรกๆ ผมต้องวิ่งไปขอครีมทาผิวกับแม่ด้วยความหวังดี เพราะคิดว่าปากกับผิวพี่เหยาแตก แบบที่ผมประสบบ่อยๆตอนหน้าหนาว ผลตอบแทนของความหวังดีคือฝ่ามืออรหันต์ที่พี่เหยาบรรจงซัดเข้าให้ที่กลางกระหม่อมของผม ตั้งแต่นั้น ผมเลยไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับเรื่องส่วนตัว หรือจะเรียกให้ถูก ก็คือเรื่องเนื้อตัวของพี่เหยาเขาเท่าไหร่

พอฟังแม่กับย่าเถียงกัน ผมเลยได้แต่นั่งยิ้ม เพราะต่อให้ลับหลัง ผมก็ขยาดที่จะพูดถึงเรื่องเนื้อตัวของพี่เหยา แล้วจะเพราะหาข้อสรุปของการถกเถียงกันไม่ได้หรือยังไงก็ไม่รู้ ทั้งแม่และย่าถึงหันมามองผมที่ยังยิ้มค้างอยู่

“ไม่ต้องยิ้มเลย! เราก็ดำยังกะถ่าน เป็นคนเชียงใหม่เสียเปล่า ผิวขาวสู้คนกรุงเทพไม่ได้!”แม่ว่า

“ใช่ น่าจับมารวมกันแล้วเขย่าๆ”ย่าช่วยเสริมอีกแรง

“แล้วถ้าสีมันไม่กลืนกัน กลับกลายเป็นดำๆขาวๆล่ะ?”พ่อถามแล้วหัวเราะ ... ทีคนอื่นล่ะแก้ตัวแทนหมด ทีกับลูกชายตัวเองพ่อกลับช่วยถมทับ...ผมคิด

“พี่เหยาเขาเด็กเอกชน นั่งเรียนก็ในห้องแอร์ แต่ละตึกก็เชื่อมกันซะแดดไม่รู้จะเจาะเข้ามาทางไหน ส่วนผมมันเด็กโรงเรียนรัฐ ต้นไม้สักต้นไว้หลบแดดยังต้องแย่งกัน”เมื่อแม้แต่พ่อยังไม่ช่วยออกรับแทน ผมเลยต้องช่วยแก้หน้าให้ตัวเอง

“แล้วดำๆแบบนี้...ขอโทษนะครับ ที่โรงเรียน ผมเนี่ยป๊อบสุดแล้ว สาวๆข้างสนามน่ะ แฟนๆผมทั้งนั้น”ผมอวดสรรพคุณซึ่งก็ไม่ได้โม้ หรือ แต่งเติม เพียงแต่สาวๆที่ว่า ยังผมม้า หน้าเด๋อด๋า เห็นหางเต่าเขียวๆกันอยู่ก็เท่านั้น แต่ไว้ผมขึ้นม.ปลาย สาวๆที่ตามกรี๊ดผม ก็น่าจะโตเป็นสาวสวย ถักหางเปีย มัดหางม้า เหมือนสาวๆของพี่เหยาบ้างล่ะ

“ใช่...ดำๆนี่แหละดี...ดำดีสีไม่ตก ขาวสกปรกซักไม่ออกไง!”พ่อหันมาเข้าข้างผมบ้าง แต่ผมว่า พ่อเงียบไว้น่าจะดีกว่า...

แต่ไอ้เรื่องสูง ดำ ต่ำ ขาว หรือ แฟนคลับใครคือสาวหางเปีย หรือยายผมม้าหน้าเด๋อด๋านั่นไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นแต่อย่างใด

ส่วนที่ผมบอกว่าผมรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นนั้น ก็เพราะผมได้เริ่มลองทำอะไรใหม่ๆหลายอย่างที่ผู้ใหญ่ทำกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรมาก และเป็นสิ่งที่เด็กผู้ชายทุกคนต้องลองเพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าเราโต เราเท่ห์ การไม่ทำหรือไม่ลองนั้นจะทำให้กลายเป็นไอ้แหยในสายตาเพื่อนๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: pseudoboy ที่ 23-03-2008 00:22:00
เข้ามาอย่างว่องไว  เมื่อเห็นชื่อเรื่อง

confirm  จริง ๆ  ค่ะ  เรื่องนี้สนุกมากๆๆๆๆๆๆ

จงมาอ่าน ๆๆ :oni3: :oni3: :oni3:  555

ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ment  ครั้งแรกในบอร์ดนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวอะไร

ดีไจอ่ะ  ที่คนอื่นจะได้อ่านเรื่องนี้   :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 23-03-2008 02:18:50
มาแล้ว เม้นได้แล้ว อยากอ่านต่อแล้วจ้า  :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 23-03-2008 02:44:20
เตรียมน้ำตาไว้รออ่านเรื่องนี้เลยค่ะ  :o12:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 23-03-2008 08:14:35
เรื่องที่เด็กผู้ชายทำกันพออยากเป็นผู้ใหญ่ก็มีอยู่แค่ 2 เรื่อง คือบุหรี่กับหนังสือโป๊ และการริลองทั้งสองอย่างนี้ทำให้ผมค้นพบอะไรบางอย่าง

ไอ้วิทย์ เป็นเพื่อนสนิทของผมซึ่งพยายามทำตัวแก่แดดเกินอายุกว่าเพื่อนๆ การได้มันเป็นเพื่อนสนิท ทำให้ผมแก่แดดไปตามมัน มันเป็นคนแอบเอาบุหรี่มาให้เพื่อนๆลองสูบโดยทำเป็นคุยว่ามันเป็นคนเดินเข้าไปซื้อเองกับมือ ไม่มีใครเชื่อแต่ก็ไม่รู้จะขัดคอมันไปทำไม

แน่นอนว่าสถานที่ยอดนิยมที่เด็กผู้ชายใช้เป็นที่แอบสูบบุหรี่ จนแทบจะเดินชนกันตายแต่ครูไม่ยักจับได้คือห้องน้ำ ส่วนสาเหตุที่ผมค้นพบด้วยประสบการณ์ตรงของตัวเองว่าทำไมต้องเป็นห้องน้ำนั้นก็เพราะว่ามันเป็นที่ส่วนตัว เราเข้าไปหนึ่งห้องต่อหนึ่งคน สาเหตุที่เราไม่เข้ากันเกินนี้นั้นไม่ใช่อะไร แต่เราต้องการรักษาหน้าของตัวเอง บ่อยครั้งที่ผมเกิดอาการสำลักควัน แม้การใช้มือปิดปากตัวเองจะทำให้ทรมานจนหน้าแดง น้ำตาไหล แต่ย่อมดีกว่าส่งเสียงไอออกมา เพราะนั้นย่อมหมายถึงตราบาป ที่จะโดนล้อไม่จบไม่สิ้น จนเรามั่นใจแล้วว่าจะไม่มีการสำลักควันแล้วเราจึงเริ่มแบ่งปันห้องน้ำกันใช้

ผมไม่เคยถูกครูจับได้เรื่องสูบบุหรี่ รวมทั้งพ่อแม่ก็ไม่เคยสังเกต แต่คนที่รู้เป็นคนแรกว่าผมริอ่านสูบบุหรี่คือพี่เหยาซึ่งจับได้ตั้งแต่ผมยังไม่เลิกสำลักควันด้วยซ้ำ

เย็นวันนั้นพี่เหยามาติวหนังสือให้ผมเหมือนเคย ขณะที่ผมกำลังนั่งทำโจทย์เลขอยู่อย่างขะมักเขม้น พี่เหยาก็มายืนอยู่ด้านหลัง ก้มตัวลงทำจมูกฟุดๆฟิดๆที่ตัวผม

“แอบสูบบุหรี่มาใช่ไหม?”

“เปล่า”ผมปฏิเสธเสียงแข็ง ทั้งนึกสงสัยว่าทำไมต้องเป็นพี่เหยาทุกที ที่รู้ความลับของผม

“เปล่าอะไร กลิ่นหึ่งเลย!”พี่เหยาทำจมูกฟุดฟิดอีกครั้ง ผมรีบดึงเสื้อตัวเองขึ้นมาดมแต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไร

“ไม่เห็นมี!”ผมเถียง

“ไม่มีแล้วดมทำไม?”เจอคำถามแบบนี้ ผมเลยได้แต่เงียบ ใจเต้นโครมๆกลัวพี่เหยาจะฟ้องแม่ แต่พี่เหยากลับพูดในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง แต่ถ้าตอนนั้นผมคิดดีๆล่ะก็ คำพูดของพี่เหยาก็ไม่น่าทำให้ผมแปลกใจนัก เพราะนอกจากเรื่องเรียนเก่งซึ่งทำให้ได้เครดิตอยู่โขจากสายตาผู้ใหญ่ เรื่องอื่นๆพี่เหยาก็อยู่ห่างจากคำว่าเด็กดีอยู่พอสมควร

“เดี๋ยวพี่ไปเอาที่ดับกลิ่นให้ รับรองไม่มีใครจับได้”พี่เหยาว่า แล้วก็เดินออกนอกห้องไป ทิ้งให้ผมนั่งงง ถึงแม้จะดีใจ แต่อีกใจผมก็อยากให้แม่มาได้ยินเสียเหลือเกิน ว่าเด็กดีของแม่กำลังช่วยส่งเสริมให้ลูกชายแม่ทำสิ่งไม่ดีแถมช่วยกลบเกลื่อนร่องรอยอีกต่างหาก ไม่นานพี่เหยาก็กลับมาพร้อมอะไรบางอย่างในมือ

“ลุกขึ้นสิ เอก”พี่เหยาสั่ง ผมลุกขึ้นยืน ตามองขวดแก้วใสๆในมือพี่เหยา

พี่เหยาฉีดของเหลวจากขวดใสๆนั่นที่ตัวผม กลิ่นฉุนขึ้นจมูก

“อี้! เหม็น”ผมพูดเอามือบีบจมูก พี่เหยามองหน้าผมและคิ้วขมวด

“ถามน้าสุไหมว่ากลิ่นบุหรี่กับไอ้นี่ อันไหนเหม็นกว่ากัน”พี่เหยาขู่

“ ขวดนึงตั้งแพงมาหาว่าเหม็น หัวต่ำ!”พี่เหยาพูดพลางเอาขวดใสๆนั่นขึ้นมาดมพลาง

“หอมจะตาย”พี่เหยายืนยัน

แม้กลิ่นมันจะยังไม่บางลงนัก แต่ผมเริ่มคุ้นๆ

“กลิ่นเหมือนพี่เลย แต่ทำไมของพี่ไม่ฉุน”ผมพูดพร้อมดึงเสื้อพี่เหยามาดม

“ก็พี่ฉีดตั้งแต่เช้าแล้ว...เอ๊ะ...หรือว่าฉีดเยอะไปหน่อย”พี่เหยาพูด ดึงเสื้อผมไปดมบ้าง

“ไม่ฉุนนี่ เดี๋ยวกลิ่นมันก็อ่อนลง”พี่เหยาคว้าสมุดเลขบนโต๊ะมาพัดให้ผม กลิ่นตลบขึ้นมาเข้าจมูกผมอีกรอบ จนผมต้องเงยหน้าหนี

“ก่อเตาเหรอพี่?”ผมแซว เพราะท่าทางของพี่เหยาเหมือนย่าเวลาก่อเตาไม่มีผิด

“กลิ่นนี้ อ่อนสุดแล้ว ถ้าจะให้อ่อนกว่านี้ เอกต้องเอาไปผสมน้ำเอง”พี่เหยาเลิกก่อเตาแล้ว เอาขวดใสๆนั่นไปวางไว้ให้ผมในตู้เสื้อผ้า

“พี่เอาใส่ตู้ผมทำไม?”

“อ้าว ก็เอาไว้ใช้ไง”

“แต่ว่ามันแพงนี่!”ถึงผมจะยังไม่โตพอที่จะรู้จักขวดใสๆนั่นเท่าไหร่นัก แต่ก็พอรู้ล่ะว่าไม่ใช่ของถูก

“เงินแม่เอกนั่นแหละ”พี่เหยาบอก ผมจึงไม่ปฏิเสธอีก แต่เมื่อคิดทบทวนดูทีหลัง เงินที่แม่ให้พี่เหยาก็ไม่ได้มากนัก แล้วเกือบทั้งหมดก็หมดไปกับค่าดูหนัง ค่าการ์ตูนบ้าง เกมส์บ้าง ซึ่งบางทีก็แถมด้วยไอติมอีกต่างหาก พี่เหยาจึงไม่น่ามีเงินเหลือพอซื้อ โดยเฉพาะ อีกหลายขวดที่ตั้งเรียงรายอยู่บนโต๊ะกระจกที่บ้านพี่เหยา แต่ตอนนั้นผมก็ยังเด็กเกินที่จะคิดอะไรมากไปกว่าเรื่องที่เห็นอยู่ตรงหน้า

เรื่องในวันนี้ทำให้ผมพบว่า พี่เหยามักเป็นคนแรกที่รู้เรื่องเกี่ยวกับตัวผมโดยบางครั้งผมก็ไม่ต้องเอ่ยปากบอก และบางครั้งก็รู้โดยที่พ่อกับแม่ไม่มีโอกาสรู้ด้วยซ้ำไป ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าการมีพี่ชายเป็นแบบนี้เอง เพราะในตอนนั้นทั้งผมและพี่เหยายังมีความบริสุทธิ์ใจให้กันและกันจริงๆ โดยเฉพาะพี่เหยาที่คงไม่มีวันเห็นผมเป็นมากกว่าน้อง ถ้าผมไม่เป็นฝ่ายทำลายความสัมพันธ์เช่นนี้ลง

การค้นพบเรื่องแรกนั้น ไม่มีอะไรพิเศษ จะเรียกว่าการสังเกตธรรมดาก็คงไม่ผิด แต่การค้นพบเรื่องที่สองนั้นมีผลกับผมมาก

หนังสือโป๊ที่ถูกเอามาเวียนกันดู ซึ่งแน่นอนว่าสถานที่ยอดนิยมก็ไม่พ้นหลังห้องน้ำแน่นอน ไอ้วิทย์ ตัวแก่แดดของกลุ่มมันยังคงความแก่แดดโดยเป็นคนหาซื้อและพกพามาให้เพื่อนๆ มันยังคุยโวด้วยการพูดจาทะลึ่งตึงตังแต่ก็ไม่มีใครขัดเพราะต่างก็ชอบฟังกัน

มันเล่าประสบการณ์พิสดารพันลึกโดยอ้างว่าเป็นประสบการณ์จริงที่ไม่มีใครการันตีให้มันได้ มีหลายคนร่วมวงเล่าประสบการณ์ของตัวเองที่บางเรื่องน่าเชื่อ บางเรื่องก็เกินจะเชื่อได้ เราต่างพูดกันด้วยความคะนองปาก และฟังกันอย่างคะนองหู ส่วนผมนั้นเป็นอย่างหลังเพราะหมดปัญญาที่จะปั้นเรื่อง

พอกลับบ้านผมก็เล่าต่อให้พี่เหยาฟัง พี่เหยาแค่รับฟังแต่ไม่พูด หรือแนะนำอะไรเหมือนเรื่องอื่นๆ เรื่องที่ผมว่าตลก พี่เหยาก็ไม่ได้หัวเราะ เมื่อผมเริ่มสังเกตเห็น ผมจึงเลิกเล่าให้พี่เหยาฟัง

หนังสือโป๊เริ่มกลายเป็นสิ่งไม่ท้าทาย ไอ้วิทย์หาสิ่งที่ท้าทายกว่ามาให้เพื่อนๆ

“กูดูแล้วงี้เลย!”มือหนึ่งมันถือม้วนวิดีโอ อีกมือมันชูนิ้วโป้งเป็นการยืนยันคำพูด

เรามองวีดีโอม้วนนั้นแล้วทำตาปริบๆ กลืนน้ำลายกันคนละเอื๊อกสองเอื๊อก เหมือนหมามองเครื่องบิน

“เป็น ห่าอะไรกันวะ?”ไอ้วิทย์ถาม เพราะแทนที่จะเห็นเพื่อนๆตื่นเต้น กลับทำท่าหมดอาลัยตายอยากกันแทน

“แม่กูเอาตาย ถ้าไปดูที่บ้าน แล้วมึงจะให้กูตื่นเต้นอะไรวะ? นั่งมองอย่างนี้แล้วตื่นเต้นได้หรือเปล่า? วันหลังมึงยกเครื่องเล่นมาด้วยสิวะ”ไอ้ชัยด่า ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย

วีดีโอม้วนนั้นถูกเก็บลงกระเป๋าอย่างแสนเสียดาย แล้วเราก็หันมาสนใจของที่ตื่นเต้นน้อยกว่าแต่ไม่ยุ่งยากแทน

“นี่มันเล่มเก่านี่หว่า!”ไอ้ชัยโวย เมื่อ หนังสือโป๊ ที่ไอ้วิทย์หยิบขึ้นมาคือเล่มเก่าเก็บเมื่ออาทิตย์ก่อน

“มึงเอาเงินพวกกูไปไหนวะ ไอ้วิทย์?”

“ก็ซื้อวีดีโอนี่ไง”

เป็นอันว่าอาทิตย์นั้นเราต้องนั่งดูม้วนวีดีโอม้วนใหม่ กับหนังสือเล่มเก่า เพราะความที่ยังเป็นแค่เด็ก ม.2 เงินค่าขนมเราจึงน้อยนิด เมื่อช่วยกันเจียดๆไปซื้อจึงได้มาเพียงอาทิตย์ละเล่มเท่านั้น

แต่พอเช้าวันศุกร์ ไอ้วิทย์ก็เอาข่าวดีมาบอกเพื่อนๆ

“พรุ่งนี้ไปบ้านกูกัน”

“ไปทำไมวะ?”

“ดูวีดีโอไง”

“แม่มึงไม่อยู่เหรอ?”

“อยู่!” ไอ้วิทย์ยังไม่ยอมตอบอะไรให้กระจ่าง แต่เพื่อนๆก็ชินเกินที่จะมานั่งด่ามันแล้ว

“มึงบอกมาเลยดีกว่า แบบที่กูไม่ต้องเปลืองน้ำลายถามมึงอีก”

“ไปดูห้องพี่โอ๋... พี่โอ๋เขาอนุญาตแล้ว”

พี่โอ๋ที่ไอ้วิทย์พูดถึง คือสปอร์นเซอร์รายใหญ่ของเรา ที่คอยจุนเจือหนังสือเล่มเก่าๆมาแบ่งเราผู้มีทุนทรัพย์น้อยได้อ่าน ได้เรียนรู้ พี่โอ๋เป็นนักศึกษามาจากต่างจังหวัดและเป็นลูกของเพื่อนสนิทของแม่ไอ้วิทย์ จึงมาเช่าหอพักซึ่งแม่ไอ้วิทย์เป็นเจ้าของอยู่ ไอ้วิทย์กับพี่โอ๋จึงซี้กันมาแต่เด็ก ส่วนผมนั้นยังไม่เคยพบพี่โอ๋ที่ไอ้วิทย์พูดถึงบ่อยๆ จนกระทั่งวันที่เราไปรวมตัวกันเพื่อศึกษาวีดีโอม้วนนั้น ผมจึงมีโอกาสได้รู้จักกับพี่โอ๋

เย็นวันนั้นผมนั่งคิดหาเหตุผลที่จะขอให้พี่เหยาไม่ต้องมาสอนหนังสือผมในวันเสาร์

“พรุ่งนี้ผมจะไปทำรายงานบ้านเพื่อน”เหตุผลผมดีพอใช้ แต่หน้าผมคงไม่น่าเชื่อถือ

“วิชาอะไร?”

“สังคม”

“เรื่องอะไร”พี่เหยาถามเรื่อยๆ แต่ผมอึกอัก เพราะไม่คิดว่าพี่เหยาจะถามอะไรให้มากความ... รายงานก็คือรายงานสิ จะสนใจอะไรนักหนา...ผมคิด

“เรื่องการประชุมอาเซี่ยนที่เพิ่งจัดที่กรุงเทพ”หัวข้อเรื่องผมน่าเชื่อถือ เพราะผมเพิ่งทำส่งไปอาทิตย์ที่แล้ว แต่หน้าผมคงไม่ตาย

“ไม่ใช่เรื่องมะเร็งในปอด หรือว่าเพศศึกษาเหรอ?”พี่เหยาดักได้ถูกทาง จนผมหน้าเสีย

“ก็ ไอ้วิทย์ มันชวนไปดู”

“อ้าว ไม่อยากดูเอง แล้วไปทำไม?”พี่เหยาถามหน้าตาย

“อยากสิ ของมันไม่เคยนี่นา”

“แก่แดด อยู่แค่ม.2 ริอ่านดูวีดีโอโป๊”พี่เหยาดุแต่ไม่จริงจังนัก

“ศึกษาไว้เป็นวิทยาทานไง”ผมเล่นมุข แต่พี่เหยาไม่ขำด้วย

“โตพอรู้แล้วนี่ ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อันไหนที่มันไม่ดีก็อย่าไปลอง”




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 23-03-2008 08:16:59
“แล้ววีดีโอโป๊นี่ดีหรือไม่ดีล่ะ?”ผมถามหน้าซื่อ เพราะมองไม่เห็นความดีของมัน แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะไม่ดีตรงไหน

“ก็...ไม่ใช่ไม่ดี แต่ก็หาประโยชน์ไม่ได้ แต่ถ้าไปหมกมุ่นกับมันมากเกินไป มันก็ไม่ดี”นานครั้งที่พี่เหยาจะสอนอะไรที่จริงจังสักที

“แล้วอะไรบ้างละที่ไม่ดี”

“ไม่บอก เดี๋ยวหาว่าชี้โพรงให้กระรอก”

“ตกลงพรุ่งนี้ไม่ต้องมาสอนนะ”ผมสรุป

“ไม่มาอยู่แล้ว”

“อ้าว ทำไมล่ะ?”

“พรุ่งนี้ เพื่อนทอมมา ทอมจะพาไปเชียงดาว ทอมให้ไปด้วย”พี่เหยาอธิบาย

เกือบทุกครั้งที่ทอมไปเที่ยว ทอมจะพาพี่เหยาไปด้วย ยกเว้นว่าพี่เหยาจะติดสอบเท่านั้นจึงจะถูกทิ้งไว้ให้อยู่บ้าน และแทบจะทุกเดือนที่ทอมจะต้องขึ้นไปพักบนดอย พ่อบอกว่าทอมมีบ้านพักอยู่บนดอย จึงไม่แปลกอะไรที่จะไปบ่อยๆ หรือพาเพื่อนไปค้างทุกครั้งที่เพื่อนมาหา ผมรู้สึกอิจฉาพี่เหยามากที่ได้ไปเที่ยวบ่อยๆ ตัวผมเองเกิดและเติบโตที่เชียงใหม่แท้ๆ แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสไปพักค้างคืนบนดอยเลย ผิดกับพี่เหยาที่ป่านนี้คงเที่ยวทั่วเชียงใหม่แล้ว แต่พี่เหยาไม่เคยมีทีท่าตื่นเต้นหรือดีใจเลย ที่จะได้ไปเที่ยว ตรงกันข้ามพี่เหยากลับดูเหม่อลอย บางครั้งก็หงุดหงิด...พี่เหยาคงเที่ยวจนเบื่อมั้ง...ผมคิดตามประสาเด็ก

พอทุ่มนึงพี่เหยาก็กลับบ้าน วันนี้ผมไม่มีเวลามานั่งอิจฉาพี่เหยา ผมเฝ้าคิดถึงแต่วันพรุ่งนี้ด้วยความตื่นเต้น

ผมตื่นแต่เช้า กินข้าวเช้าแล้วรีบออกจากบ้าน โบกรถคันแรกที่ผ่านมา เสียงใครคนหนึ่งเรียกอย่างร้อนรนทำให้ผมหันไปมอง พี่เหยายังคงอยู่ในชุดนอน กำลังไขกุญแจบ้านออกมาอย่างเร่งรีบ แต่ผมกลัวไปไม่ทันนัดเพื่อนๆ ผมเลยทำเพียงโบกมือทักทายแล้วรีบกระโดดขึ้นรถไป เมื่อรถเริ่มแล่นออกไป ผมยังได้ยินเสียงพี่เหยาร้องเรียกและเมื่อหันไปมอง พี่เหยายืนมองผม จนเมื่อรถเริ่มแล่นห่างออกมา พี่เหยายังยืนอยู่เหมือนเดิมจนลับตา

“เปิดเลยๆ” ผมตะโกน เมื่อเปิดประตูเข้าไปเจอเพื่อนๆนั่งรอกันหน้าสะล่อน

“กูนึกว่ามึงจะมาพรุ่งนี้”ไอ้ชัยพูดก่อนกดม้วนวีดีโอ ที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้วที่เครื่อง เข้าไปในเครื่องแล้วกดปุ่มเล่นทันทีไม่มีการเสียเวลา

ไม่มีใครว่าอะไรอีก ทุกสิ่งที่กำลังจะปรากฏขึ้นบนหน้าจอคือประสบการณ์แปลกใหม่ของเรา ภาพแรกที่ปรากฏแทบจะทำให้เราลืมหายใจ

ไอ้ชัยอ้าปากค้างก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปเพิ่มเสียง

“เฮ้ย เดี๋ยวแม่กูได้ยิน...”ไอ้วิทย์ตะโกนเสียงค่อยๆ ก่อนเอื้อมมือไปลดเสียงลง

“ดังอีกปุ่มสิว่ะ” ไอ้รงค์ต่อรอง แต่คนที่เอื้อมไปกดคือไอ้ชัย

“ไม่ได้ เดี๋ยวแม่กูเอาตาย”ไอ้วิทย์ว่าแล้วเอื้อมไปลดเสียงลง

“อีกปุ่มเดียวเป็นไรไปวะ”ไอ้รงค์ว่า สะกิดไอ้ชัยที่อยู่ใกล้กว่าให้เพิ่มเสียง

“ที่นี่ระบบเสียงsurroundนะโว๊ย ดังทีได้ยินทั่ว”ไอ้วิทย์ว่า

พวกมันยังเถียงกันเรื่องเสียงไม่เลิก จนพี่โอ๋เปิดประตูเข้ามา

“พวกมึงเชียร์บอลกันหรือไงวะ! กูไม่เคยเห็นใครดูหนังโป๊กันหนวกหูเท่าพวกมึงเลย”พี่โอ๋พูดก่อนนั่งลงข้างๆผมพร้อมวางม้วนวีดีโออีก สอง สามม้วนลง

พวกเรามองดูวีดีโอพวกนั้นแทนคำถาม

“มีอีกเยอะแยะ ที่ดูอยู่นั่น ธรรมดาว่ะ”

“ผมก็ว่ามันจืดๆ”ไอ้วิทย์รีบพูดโอ่ถึงความแก่แดดของมัน ทั้งที่เพิ่งเริ่มดูไปไม่ถึงไหน

ไอ้ชัยขัดคอไอ้วิทย์อะไรสักอย่างแต่ตอนนี้ ผมเลิกฟังพวกมันแล้ว หูผมได้ยินแต่เสียงจากม้วนวีดีโอนั้น ตาผมก็จับอยู่แต่กับอวัยวะรูปร่างคุ้นตา จะต่างก็แต่ขนาดที่คงถูกคัดมาอย่างดี ที่โชว์ให้เห็นชัดๆตรงหว่างขาของนักแสดงฝ่ายชาย!

ใจผมเต้นโครมๆ ไม่ใช่ตื่นเต้นดีใจในสิ่งที่ได้เห็น แต่กลับเป็นตื่นตกใจในสิ่งที่รู้ว่าตัวเองสนใจ

นักแสดงหญิงทรงโต ไม่ดึงดูดสายตาผมเท่า มัดกล้ามของนักแสดงชาย เนินเนื้อที่ถูกบีบเคล้นไม่ชวนมองเท่าแผ่นท้องแบนราบ และอวัยวะรูปร่างแปลกตา ก็ไม่ทำให้คอผมแห้งผากเท่าแท่งเนื้อที่เคยเห็นจนชินตา

“เฮ้ย เอกเป็นไรวะ?” เสียงไอ้วิทย์ถาม ทำให้ผมรู้สึกตัว ผมรู้สึกถึงเม็ดเหงื่อบนหน้าตัวเองจึงยกมือขึ้นเช็ด

“กูกลับก่อนนะ!”ผมพูดก่อนคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งออกจากห้องไม่กล้าสบตาใคร ไม่สนใจเพื่อนๆที่ตะโกนเรียกอย่างแปลกใจ

ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน ผมเฝ้าคิดวนไป วนมาถึงภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน คิดทบทวนถึงเหตุและผล

ผมโตพอที่จะรู้จักคำว่า เกย์ แต่ยังไม่โตพอที่จะยอมรับตัวตนของตัวเองได้อย่างไม่สะทกสะท้าน

ถ้าผมเป็นเกย์ แล้วภาพผู้หญิงโป๊ทำให้ผมมีอารมณ์ได้อย่างไร

“ไบเซ็กซ์ช่วล” ผมเปิดพจนานุกรมในหัวตัวเอง

แล้วทำไมตอนช่วยตัวเอง ผมจินตนาการถึงผู้หญิงล่ะ...ผมคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง

ไม่ใช่ ที่ผมคิดคือภาพการร่วมรักต่างหาก สมองฝ่ายยุติธรรมค้าน

ยิ่งคิด ขอบตาผมก็ยิ่งผ่าวร้อน

เมื่อถึงบ้าน ผมไม่สนใจใครรีบวิ่งอ้าวขึ้นห้อง ไม่สนใจเสียงเรียกของย่า และแม่ เมื่อเปิดประตูเข้าไปผมก็ผงะ พี่เหยานั่งอยู่ที่เตียง สายไปเสียแล้ว น้ำตาผมไหลอาบสองแก้ม ทั้งอายทั้งโมโห ที่พี่เหยามาอยู่ในที่ไม่ควรอยู่

“ออกไป เข้ามาในห้องผมทำไม!”ผมตะโกนไล่ พร้อมฉุดพี่เหยาให้ลุกขึ้น

“เอกเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม?”พี่เหยาถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงจริงๆแต่ผมไม่สนใจ

“ไม่ต้องยุ่ง!”ผมผลักพี่เหยาออกจากห้องไปสุดแรง ก่อนปิดประตูเสียงดัง

“เดี๋ยวเอก พี่ขออยู่ด้วยสิ”พี่เหยากึ่งตะโกน กึ่งกระซิบอยู่ที่หน้าประตู

“เอก...”พี่เหยาเรียกค่อยๆและผมทุบประตูให้พี่เหยารู้ว่าผมไม่พอใจ เสียงพี่เหยาจึงเงียบหายไป ผมล้มตัวลงนอนบนที่นอน และเริ่มร้องไห้ออกมา

ฟ้าเริ่มมืดแล้วเมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมา

เสียงแม่เรียกเบาๆอยู่หน้าห้อง...วันนี้ผมเมินเฉยกับเสียงเรียกชื่อตัวเองมาทั้งวัน...คงเป็นการบอกใบ้ของพระเจ้าว่า นับแต่วันนี้ผมต้องเมินเฉยต่อตัวตนของตัวเอง...ผมจะไม่เป็นเกย์...ผมบอกตัวเองก่อนลุกขึ้น

...นายเป็น ไบ ต่างหาก ผู้หญิงก็น่าสนใจสำหรับนาย...ผมบอกตัวเองเมื่อเดินไปเปิดประตูห้อง

...ใช่น้อยคนจะโชคดีอย่างนี้ นายมีตั้งสองทางเลือก...ผมคิดเข้าข้างตัวเองเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าแม่

“กินข้าวได้แล้ว แล้วค่อยกินยาแล้วนอนให้มากๆ มะรืนสอบไม่ใช่เหรอ...”เสียงแม่ถามผม แต่ผมยังคุยกับตัวเอง...ใช่มีสองทางเลือก นายไม่จำเป็นต้องเลือกทางที่ตัวเองชอบ ถ้านายคิดว่าทางนั้นไม่ใช่ทางที่นายอยากเลือก...เอ๊ะ!...เมื่อกี้แม่ว่าใครสอบวันมะรืนนะ?...แล้วใครต้องกินยา? ผมนึกอยากถามแต่ก็หาวขึ้นมาเสียก่อน แม่หันมามองแล้วขมวดคิ้ว คงเพราะผมหาวเสียงดัง ผมเลยเดินตามแม่ลงบันไดมาเงียบๆ

“รู้ว่าจะสอบ ก็ยังมาไม่สบายอีก...”ย่าเริ่มบ่นเมื่อเห็นหน้าผม

“แม่พูดเหมือนคนเราเลือก เวลาไม่สบายได้งั้นล่ะ”พ่อโต้แทนผม ผมนึกเห็นด้วย บางครั้งผมก็คิดว่า พ่อเหมาะจะเป็นพ่อผมเสียเหลือเกิน แต่ย่าสิ น่าจะเป็นแม่ของแม่เสียมากกว่า...แต่เอ๊ะ!ใครจะสอบ แล้วใครที่ไม่สบาย ผมเริ่มหันซ้าย หันขวา

“นี่ปวดหัว หรือ เป็นง่อยกันแน่ ต้องให้แม่ป้อนข้าวด้วยหรือเปล่า?”เสียงแม่บ่น ตอนแรกผมไม่เข้าใจ แต่ท้ายที่สุดก็เข้าใจเมื่อแม่วางจานข้าวลงตรงหน้า...ผมมานั่งประจำที่เสียเรียบร้อยโดยไม่ตักข้าวของตัวเอง

แม้จะยังนึกสงสัยว่าใครป่วย ใครสอบ แต่ผมก็ไม่ได้ถามเพราะเริ่มรู้ น่าจะเป็นผมที่ไม่สบายและผมอีกเหมือนกันที่สอบ...แต่เมื่อไร ทำไมผมไม่ยักรู้

ที่กลางโต๊ะปลาทูทอดวางเรียงกันอย่างสวยงามอยู่ในจาน ผมนึกสงสัยตัวไหนตัวผู้ ตัวไหนตัวเมีย วันนี้ผมไม่อยากกินปลาตัวผู้สักเท่าไร...แล้วปลาทูมีปลาเกย์หรือเปล่า?

ผมรีบจ้วงปลาเข้าปาก เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าคิดอะไรเพี้ยนๆว่า หรือที่ผมเป็นเกย์ เพราะผมกินเจ้าปลาทูเกย์เข้าไป

“นี่ดีนะที่พี่เหยาเขาไปทัน”เสียงแม่เริ่มเข้าหูผมอีกครั้ง เมื่อผมพยายามกำจัดทฤษฏีปลาเกย์ออกจากหัว แล้วผมก็เพิ่งคิดได้ว่า เมื่อตอนผมวิ่งเข้าไปที่ห้อง พี่เหยารออยู่ที่ห้อง...แต่พี่เหยาบอกว่าจะไม่มา เพราะจะไปเชียงดาวกับทอมนี่นา

“ไปขอให้เขาติวให้ แล้วก็มาไม่สบาย เสียเวลาเขา”แม่ยังบ่นไม่จบ แต่เริ่มทำให้ผมเข้าใจอะไรลางๆ

“แล้วพี่เหยาล่ะ?”ผมถาม

“ก็เอกปวดหัว พี่เขาก็เลยกลับไป ก็พอดีทันทอมพอดี”พ่ออธิบาย

ผมเข้าใจทันทีว่าพี่เหยากุเรื่องสอบขึ้นมา อ้างว่าจะมาติวให้ผม...แต่ผมไม่เข้าใจว่าพี่เหยาทำทำไม...คงเพราะไม่อยากไปเที่ยวมั้ง...ผมคิด แล้วผมก็ตักปลากิน เลิกสนใจเรื่องพี่เหยา เรื่องปลาตัวเมียหรือปลาตัวผู้ เลิกคิดแม้แต่เรื่องปลาเป็นเกย์หรือตัวเองเป็นเกย์ คิดแต่เพียงว่า...วันนี้ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ผมเป็นอะไร เมื่อไม่มีใครรู้ นั่นย่อมไม่สำคัญ




--------------------


จบตอนที่ 2
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 23-03-2008 09:00:50
 :oni1: :oni1: พี่เหยา พี่เหยา พี่เหยา



มาดันพี่เหยา   จากแฟนคลับพี่เหยา :o8:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 23-03-2008 09:27:19
ของเค้าดีจริงๆๆๆ ด้วย o13 o13 o13 o13 o13

เป็นกำลังใจให้คนโฟสต์นะครับบบบบบบ  :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: animob ที่ 23-03-2008 12:41:27
เรื่องนี้สุดยอดจริงๆ รักพี่เหยา
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Just let it be ที่ 24-03-2008 09:51:47
ทอมนี่น่าสงสัยแฮะ

เหอะๆๆๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 24-03-2008 18:50:33
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 3
นับจากวันที่ค้นพบตัวเอง และผ่านมาร่วมปี ผมก็มีชีวิตอยู่กับการ กลุ้มอกและ กลุ้มใจ แต่แทนที่จะเป็นความกลุ้มใจเรื่อง ความเป็นเกย์หรือไม่เกย์ของตัวเองนั้น ผมกลับกลุ้มใจกลัว ว่าพี่เหยาจะล่วงรู้ความลับนี้เสียมากกว่า ในขณะที่ผมกลุ้มใจจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร จนการเรียนเริ่มตก พี่เหยาซึ่งเป็นสาเหตุของความตื่นกลัวนี้ กลับได้โค้วต้าเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แม่เป็นปลื้มนักหนา ราวกับลูกชายตัวเองสอบได้เสียเอง จากนั้นไม่กี่เดือน แม่ก็ได้ปลื้มยิ่งกว่าเก่า เมื่อพี่เหยาสอบผ่านเอนทรานซ์ ในคณะอันดับหนึ่งที่ตัวเองเลือก แต่แล้วในท้ายสุดท้าย พี่เหยากลับเลือกสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อในภาควิชาการบริหารธุรกิจตามคำแนะนำของทอม ผู้ให้เหตุผลว่า วิชาบริหารธุรกิจนั้นน่าจะมีประโยชน์กับพี่เหยามากกว่า ด้วยในวันข้างหน้า พี่เหยาควรกลับไปช่วยธุรกิจของที่บ้านในฐานะลูกชายคนโต

นั่นเป็นครั้งแรก ที่พวกเรารู้จักพี่เหยาเพิ่มขึ้นอีกนิด ทั้งที่รู้จักกันมาก็หลายปี แต่เรากลับเพิ่งรู้จักพี่เหยามากกว่าชื่อ และอายุ ที่ทอมแนะนำ

บ้านพี่เหยาประกอบธุรกิจในสายเดียวกับทอม หรือจะเรียกว่าเพื่อนคู่ค้ากันก็ไม่ผิด และยิ่งไปกว่านั้น เราเพิ่งรู้ว่า พี่เหยาเป็นพี่ชายคนโต ของน้องสาว และน้องชายซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมพี่เหยาจึงเลือกให้ความสนิทสนมกับผมยิ่งกว่าใครๆแม้แต่กับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ผมตะหนักว่า พี่เหยาไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย

หากมองย้อนกลับไปในวันนี้ หรือถ้าวันนั้นผมโตและรู้จักคิดอะไรที่ไกลและมากกว่าเรื่องของตัวเองอีกสักนิด ผมคงรู้ว่า พี่เหยาไม่เคยพูดถึงอดีตของตัวเองเลย แม้ว่าอดีตนั้นจะเพิ่งก้าวผ่านไปเพียงแค่ชั่วนาที ราวกับพี่เหยาพร้อมที่จะปลดปล่อยตัวเองจากอดีตตลอดเวลา มีชีวิตอยู่เพียงชั่ววินาทีที่กำลังหายใจ และมองหาก็เพียงวันเวลาที่ยังมาไม่ถึงเท่านั้น

ดังนั้นเมื่อผมซึ่งไม่รับรู้อะไรเลย จึงเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของอดีตที่พี่เหยาพร้อมจะปล่อยวางลงทันทีที่หันหลังให้แก่กัน และเหตุผลเดียวที่ทำให้ทุกอย่างถูกดำเนินไปเช่นนั้น ก็เพราะ ในวันที่เราได้พบกันนั้น เราต่างก็เป็นเด็ก... เด็กเกินกว่าที่จะก้าวข้ามหรือปฏิเสธเส้นที่ผู้ใหญ่ขีดไว้ให้เราเดินได้

“ดูพี่เขาสิ ทั้งมาติวให้เรา ทั้งช่วยงานทอม พี่เขายังสอบติดทุกที่...แล้วดูเราสิปีหน้าต้องสอบเข้าม.4แล้ว แม่ยังไม่เห็นแววว่าจะรอดเลย” แม่บ่นเรื่องเดิมๆ ก่อนและหลังอาหารวันละ 3 มื้อ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า ทำไมแม่ต้องเริ่มด้วยการชื่นชมคนอื่น แล้ว จบลงที่ตำหนิลูกตัวเอง เสียทุกครั้ง

“รู้ว่าตัวเองจะไม่เรียน แล้วยังสะเออะสอบ เขาเรียกว่าอวดฉลาด กันที่คนอื่นเขา!”มีบ้างที่ผมฟิวส์ขาด แต่แทนที่จะเถียงกับแม่ตรงๆ ผมเลือกที่จะพาลลงกับพี่เหยา ซึ่งแน่นอนก็ต้องตอนลับหลังเท่านั้น แต่วันนี้ผมโชคร้าย ที่พี่เหยาโผล่มายืนอยู่ข้างหลังพอดี

พี่เหยาไม่ได้พูดอะไร ทำหน้านิ่งเหมือนไม่ได้ยินแล้วเดินผ่านผมไปเฉยๆ ส่งของอะไรสักอย่างให้แม่ แล้วบอกว่า...ทอมฝากมาให้

แม่ก็ยิ้มรับพลางขอบอกขอบใจ แต่พอพี่เหยาหันหลังให้ แม่ก็ค้อนผมตาหลับตาเหลือก โดยไม่เห็นสักนิดว่า หน้าพี่เหยาที่หันมาทางผมนั้นก็หงิกเป็นตีนไก่เหมือนๆกัน

แล้วพี่เหยากับแม่ก็น่าจะเป็นแม่ลูกกันเสียยิ่งกว่าผม เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูจะรู้ทางกันดีไปเสียหมด อย่างเช่นวันนี้ พอพี่เหยาเดินเฉียดมาใกล้ผม พี่เหยาก็หันกลับไปมองแม่ ราวกับรู้ว่า จังหวะนั้นเองที่แม่จะต้องหันหลังกลับไปง่วนอยู่กับการแกะห่อหีบนั้น แล้วพี่เหยาก็ตบฝ่ามือเข้าที่หน้าผากผมจนหน้าหงาย แม่แค่หันมามองว่าเสียงอะไร แล้วก็หันกลับไปไม่สนใจอะไรอีก เพราะให้ยังไง ในสายตาแม่ พี่เหยาก็เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ไม่มีทางยกมือขึ้นมาตบหัวใครได้

พอได้แก้แค้น หน้าพี่เหยาก็หายหงิก ส่วนผมก็ได้แค่นั่งก้มหน้าจับหน้าผากตัวเองปอยๆ ไม่โต้ตอบ เพราะรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด...แต่ถึงตัวเองไม่ผิด ผมก็คงไม่กล้าโต้ตอบอะไรอยู่ดี

และจนแม้เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้วพี่เหยาก็ยังมาติวให้ผมอย่างเคย แต่ปีนี้พี่เหยาตั้งอก ตั้งใจ ติวให้ผมกว่าที่เคย ทั้งเลิกแกล้งใส่ข้อมูลผิดๆเข้ามาในหัวผมอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ

“ตั้งใจหน่อยสิเอก!”พี่เหยาเอาไม้บรรทัดเคาะหัวผม ที่เผลอสัปหงก

“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!”ผมโวยใส่ เพราะวันนี้ซ้อมบาสมาเหนื่อยๆ กลับมาถึงต้องมานั่งถ่างตาเรียนหนังสือ

“ถ้าเหนื่อยก็เลิกเล่นสิ ถ้าสอบเข้าม.4ไม่ได้จะทำยังไง?”

“สอบเข้าไม่ได้แม่ก็ไม่ว่าพี่หรอก แล้วให้เลิกเล่นบาส ผมว่าผมเลิกเรียนดีกว่า!”ผมเถียง ก็มีแค่เวลาสมองไม่ตื่นดีเท่านั้นล่ะ ที่ผมจะกล้าเถียงพี่เหยาแบบนี้

“พูดอย่างกับตัวเองเก่งนักนี่ บาสเด็กม.ต้นจะแค่ไหนกัน”

“ก็ดีกว่า พวกตัวขาวๆ มีดีแค่หัวโตไว้หลอกผู้ใหญ่”

“เอก!”คราวนี้น้ำเสียงพี่เหยาดูจะโกรธจริงๆ ไม้บรรทัดในมือก็เงื้อจะเคาะเข้าที่หัวผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมลุกหนี จนเก้าอี้ล้ม นั่นแหละผมถึงตื่นเต็มตา

“ขอโทษ ขอโทษ!”ผมพูด ก้มลงดึงเก้าอี้ขึ้นมา ตาก็ยังชำเลืองดูไม้บรรทัดในมือพี่เหยา ที่สุดท้ายก็เคาะลงบนหัวผมจนได้

ถึงพี่เหยาจะชอบแกล้งหรือแหย่ผมบ้าง หรือบางครั้งก็ต่อล้อต่อเถียงและปล่อยให้ผมเถียงแบบข้างๆคูตามประสาเด็กบ้าง แต่พี่เหยาจะไม่พอใจถ้าผมแสดงความก้าวร้าวออกมา

“ก็ขอโทษแล้วไง! ยังจะเคาะอีก”เมื่อตื่นเต็มตาแล้ว อย่างดีผมก็ทำได้แค่โวย เพราะถึงตอนนี้ผมจะสูงเกือบทันพี่เหยาแล้ว อีกทั้งแขน ขา หรือ ตัวผมก็ล่ำสันกว่า แต่ให้อย่างไร ผมก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองยังสูงไม่พ้นหัวไหล่พี่เหยาเหมือนอย่างที่เจอกันวันแรกๆอยู่ดี ผมเลยต้องยอมตลอด

และความสัมพันธ์ของเราคงจะดำเนินไปแบบนี้อีกหลายปี หรืออาจตลอดชีวิต ถ้าบังเอิญวันนั้นพี่เหยาไม่ลืมกระเป๋าเงินไว้ที่ห้องผม

“ผมเอาเป๋าตังค์ไปคืนพี่เหยานะแม่!”ผมตะโกนบอกแม่ที่กำลังเก็บถ้วยชามอยู่ในครัวก่อนเดินออกมาอย่างเนือยๆ ใจหนึ่งนึกอยากเก็บกระเป๋าเงินพี่เหยาไว้ แกล้งพี่เหยาเล่นโทษฐานที่เอาไม้บรรทัดเคาะหัวผมตั้ง 2 ที

ยังไม่ทันกดกริ่งที่หน้าประตู ผมก็เห็นว่าประตูบ้านทอมยังไม่ได้ลงกุญแจ ผมมองลอดบังตาเข้าไป ไฟชั้นล่างปิดสนิท จะมีก็แต่แสงไฟสีส้มจากชั้นบนที่ส่องแสงลอดผ่านลงมาทางช่องบันได

ผมเห็นว่าพี่เหยาเดินนำหน้าผมมาแค่นิดเดียว ป่านนี้คงไม่ทันขึ้นไปถึงชั้นบน จึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป

แม้ไม่ได้ตั้งใจให้ตัวเองทำตัวเงียบกริบ แต่ความมืดก็บังคับให้ผมค่อยย่องเดินอย่างไม่ตั้งใจ

เสียงอะไรบางอย่างที่ดังแว่วมาจากชั้นสองทำให้ผมแปลกใจเล็กน้อย

มันไม่ใช่เสียงคนพูดคุยกันแต่เป็นเสียงที่จับสำเนียงไม่ได้ เสียงอะไรบางอย่างที่ดังกึกกักคล้ายเสียงเคลื่อนไหวของวัตถุ แต่ก็ไม่ดังพอที่จะเป็นเสียงของการเคลื่อนย้ายสิ่งของ

ผมค่อยย่องเดินขึ้นบันได ด้วยเสียงที่เบายิ่งกว่าเดิม ด้วยความอยากรู้ที่ไม่หยุดคิดแม้สักวินาทีเดียวว่า สมควรหรือไม่ อีกทั้งยังถือความเคยคุ้นเป็นที่ตั้ง มั่นใจว่า หากเกิดอะไรขึ้น พี่เหยาก็คงไม่ตำหนิผมมากไปกว่าการเอาไม้บรรทัดเคาะหัวผมเพิ่มอีกสักทีสองทีก็เท่านั้น

แสงไฟสีส้มสลัว ต่างจากแสงนีออนที่ผมคุ้นเคย ยิ่งจุดประกายความตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็นของผม และบันไดแต่ละขั้นนั้นก็นำมาซึ่งเสียงที่ชัดเจนขึ้นแต่ก็ยังเกินความคาดเดาได้สำหรับผมในเวลานั้นอยู่ดี

ทันทีที่หัวผมโผล่พ้นบันไดขั้นบนสุดขึ้นมา ผมก็แทบลืมหายใจ

ทอม ฝรั่งตัวโตที่แม่ว่าน่าจะเป็นทหารเสียยิ่งกว่านักธุรกิจนั้น นั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ ใบหน้าที่โดนอาบด้วยแสงไฟสีส้มนั้นดูบิดเบี้ยวคล้ายเจ็บปวด แต่เสียงลมหายใจและเสียงครางที่ลอดผ่านลำคอออกมานั้นบ่งบอกว่าไม่ใช่ สองมือของทอมเกร็งขยุ้มอยู่ที่หัวของใครคนหนึ่งที่นั่งคุกเข่าและซ่อนดวงหน้าไว้ที่กลางหว่างขาของทอม

บ่อยครั้งที่ทอมส่งเสียงครางและพูดอะไรงึมงำออกมาไม่ได้ศัพท์ และทิ้งตัวไปข้างหลังอย่างแรง ทำให้ขาเก้าอี้ขยับและกระแทกกับพื้นไม้ปาเก้ ก่อให้เกิดเสียงที่ผมได้ยิน

ผมบอกให้ตัวเองกลับออกไป แต่อีกใจก็ยืนยันให้ 2 ขาปักหลักนิ่ง จ้องมองภาพข้างหน้าตาไม่กระพริบ

ผมพอดูออก ว่าร่างที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้านั้น เป็นผู้ชาย นั่นยิ่งทำให้ผมปักหลักมั่น

แล้วผมก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อทอมเผยอเปลือกตาขึ้น ตาเราประสานกันพอดี

ดวงตาสีฟ้าของทอมเบิกกว้างด้วยความตกใจไม่แพ้กัน แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น แล้วทอมก็ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ผมจำได้จนวันนี้ รอยยิ้มที่ทำลายความสัมพันธ์ของผมและพี่เหยาลงจนไม่เหลือดี

ทอมกวักมือเรียกผมที่ยืนเหงื่อกาฬแตกพลั่กอยู่ตรงขั้นบันได

ผมทำอะไรไม่ถูก นึกถึงก็แต่พี่เหยา ผมจึงหันซ้าย หันขวา มองหาพี่เหยาแต่ก็ไม่เห็น

ทอมยิ้มอย่างรู้ทันอีกครั้ง ชี้อะไรสักอย่างที่ตรงพื้น ส่งสัญญาณให้ผมเอามาให้

ผมกลัว แต่ไม่กล้าขัด ราวกับว่าถ้าผมถอยหลังหนี ทอมจะกระโจนมาถึงตัวผมในทันที ทั้งพี่เหยาก็ไม่รู้หายตัวไปไหน ผมจึงได้แต่ทำตามคำสั่ง ค่อยๆไต่บันไดขั้นที่เหลือขึ้นมาช้าๆ เนคไทด์สีแดง วางกองอยู่ที่พื้น ผมหยิบมันขึ้นมาและค่อยๆเดินเข้าไปหาทอม ยิ่งเข้าไปใกล้ ผมก็ยิ่งได้ยินเสียงการทำงานของริมฝีปากนั้นชัดเจน ผมหลับตา เบือนหน้าหนีไม่กล้ามอง ในขณะที่เอื้อมสุดมือ ยื่นเนคไทด์ในมือไปให้ทอม และถอยหนีเมื่อทอมดึงกึ่งกระชากเนคไทด์สีแดงในมือไป

ผมลืมตาขึ้น ดูทอมตวัดเนคไทด์สีแดงไปรอบๆหัวของใครคนนั้นและมัดมันอย่างแน่นหนาที่หลังศรีษะที่เริ่มๆจะคุ้นตา

ผมนึกแปลกใจที่คนๆนั้น ไม่ต่อต้านหรือขัดขืนเลยแม้แต่น้อย และแม้มือทั้งสองข้างจะมีอิสระ แต่คนๆนั้นก็ไม่ได้พยายามจะปลดพันธนาการรอบดวงตาของตัวเองออก กลับนิ่งเฉย แม้แต่เวลาที่ทอมดึงให้ลุกขึ้นยืนก็ทำตามอย่างว่าง่ายราวตุ๊กตา

แม้แสงสีส้มจะเปลี่ยนสีเสื้อของคนๆนั้นให้ดูแปลกตาไป แต่ผมเริ่มรู้และตะหนักถึงอะไรบางอย่างที่เกินจะยอมรับได้

แล้วทุกอย่างก็กระจ่าง เมื่อทอมหมุนร่างนั้นให้หันหน้ามาเผชิญกับผม

เนคไทด์สีแดงที่คาดทับไว้รอบดวงตานั้น ไม่ทำให้ผมลืมได้ว่าคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าผมคือใคร

เสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาด โดนแสงไฟย้อมจนกลายเป็นสีส้มนั้นกระดุมหลุดลุ่ย เผยให้เห็นผิวหน้าอกตลอดจนหน้าท้องเปลือยเปล่าที่หากไม่โดนย้อมด้วยแสงสีส้มแล้ว คงขาวจัด อย่างที่แม่เคยบอกบ่อยๆว่า...ขาวจนผู้หญิงอิจฉา

ทอมก้าวเข้ามายืนสวมกอดร่างที่คุ้นตานั้นจากด้านหลังและค่อยๆปลดเสื้อนักศึกษาสีขาวนั้นออก ก่อนที่จะปลดกระดุมและรูดซิปกางเกงสีดำลงไป

พี่เหยายืนเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าผม!

เนคไทด์สีแดงที่คาดทับบนดวงตา และแสงไฟสีส้มนั้น ทำให้พี่เหยาแตกต่างไปจากพี่เหยาที่ผมรู้จักโดยสิ้นเชิง ดังนั้นสำหรับผมแล้ว คนที่ยืนเปล่าเปลือยอยู่ตรงหน้า คือใครคนหนึ่งที่เพียงคุ้นหน้า แต่ไม่คุ้นเคยอีกต่อไป

ทอมที่ยังโอบกอดพี่เหยาจากด้านหลังนั้น เอื้อมมือมาจับมือผมให้สัมผัสพี่เหยา แต่ผมสะบัดมือหนีด้วยความกลัวเมื่อไออุ่นจากตัวพี่เหยาอยู่ห่างจากปลายนิ้วผมเพียงเล็กน้อย ผมไม่แน่ใจว่า ในเวลานั้น พี่เหยารู้หรือไม่ว่า...มีผมหรือใครอีกคนยืนอยู่ณ.ตรงนั้น

ทอมยิ้มในกิริยาของผมก่อนฝังหน้าลงที่ต้นคอของพี่เหยาและขบเบาๆ ในขณะที่สองมือใหญ่หนาของทอมก็ลูบไล้ไปทั่วผิวท้องขาวของพี่เหยา พร้อมกับที่จะค่อยๆขยับเดินช้าๆ ผลักให้พี่เหยาเดินมาข้างหน้า ผมรีบถอยหนี แต่ทอมก็ก้าวตามโดยมีพี่เหยาคั่นกลางระหว่างเรา

จนเมื่อหลังผมสัมผัสกับความหยาบกระด้างของกำแพง ที่ด้านหน้า ผมก็ค่อยๆสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มของพี่เหยาซึ่งถูกทอมผลักให้บดเบียดเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ

ผมหลับตา เบือนหน้าหนี ได้ยินแต่เสียงลมหายใจของตัวเองที่สั่นไหวเหมือนคนกำลังเหนื่อยหอบและหวาดกลัว

2 มือผมยิ่งเกร็งและจิกลงบนกำแพงจนเจ็บ เมื่อทอมยังโน้มตัวเข้าบดเบียด จนผมกับพี่เหยาแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน 2 มือของพี่เหยาที่ขนาบอยู่ข้างลำตัวผมนั้นพยายามยันฝืนกำแพงไว้ แต่ก็ไม่อาจฝืนแรงโถมทับของทอมจากด้านหลังได้ ใบหน้าของทอมยังซุกไซ้ที่ลำคอของพี่เหยาราวกับคนหิวกระหาย

และแม้จะไม่มีช่องว่างระหว่างร่างกายของผมและพี่เหยาอยู่เลย แต่ผมก็ยังรู้สึกได้ถึงฝ่ามือใหญ่หนาของทอม ที่พยายามหาช่วงว่างที่ว่านั้น ลูบไล้และบีบคลึงไปทั่วทั้งตัวของพี่เหยา

ตลอดเวลา พี่เหยาซบหน้าลงกับไหล่ผม จนผมรู้สึกได้ลมหายใจร้อนๆที่เป่ารดลงที่ต้นคอ และหยาดเหงื่อที่เปียกชุ่มขึ้นเรื่อยๆ

เสียงครางเบาๆสลับกับร่างที่เกร็งกระตุกเป็นระยะๆของพี่เหยา เมื่อทอมบดขยี้ฝ่ามือลงบนเนื้อผิวเปลือยเปล่านั้น ทำให้ผมตื่นตัวอย่างที่สุด และผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือของทอม ล้วงผ่านกางเกงขาสั้นของผมเข้ามาสำรวจความแข็งขันของผม

ทอมผลักเบาๆให้ผมนั่งลงที่โซฟาตัวยาว ก่อนที่ผมจะทันทักท้วงหรือขัดขืน กางเกงบาสของผมก็ถูกทอมดึงลงมาไว้ที่ข้อเท้าพร้อมๆกับชั้นใน ตลอดเวลาผมทำได้แค่นั่งตัวแข็งทื่อ และแทบจะลืมหายใจ เมื่อทอมดันเข่าผมให้แยกออกจากกันพร้อมๆกับที่ดึงพี่เหยาให้คุกเข่าลงตรงหน้าผม

ผมสะดุ้งจนตัวโยน เมื่อพี่เหยาวางมือลงที่หน้าขาของผม และค่อยๆคลำช้าๆมายังจุดกึ่งกลางลำตัว

ผมไม่อาจละสายตาจากพี่เหยาได้สักวินาที ในทุกชั่วขณะที่ใบหน้าของพี่เหยาก้มลงมาช้าๆพร้อมริมฝีปากสีแดงจัดที่ค่อยๆเผยอให้กว้างขึ้นราวกับพร้อมที่จะกลืนกินความแข็งขืนที่อยู่ตรงหน้า

ผมสูดหายใจลึก เกร็งไปทั้งตัว รอรับรสสัมผัสแรกที่กำลังจะมาถึง ความเสียวซ่านมันแล่นริ้วไปทั่วร่าง ก่อนจะมารวมกันที่จุดเดียว คือใต้ปลายเรียวลิ้นของพี่เหยา




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 24-03-2008 18:53:52
ผมไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้เกร็งกล้ามเนื้อจนปวด ในทุกครั้งที่พี่เหยาเปลี่ยนรสสัมผัส และแทบจะทนไม่ไหวในทุกครั้งที่พี่เหยาละริมฝีปากไปแม้จะแค่สักครึ่งหนึ่งของวินาที ก็ตามที

พี่เหยาแทบจะถอนริมฝีปากไปในทันที ที่ผมปลดปล่อยความสุขออกมาอย่างสุดที่จะกลั้น

ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว เหมือนรอบดวงตาก็เก็บกลั้นน้ำตาไว้จนเจ็บ

ความรู้สึกผิดมันกำลังเกาะกินไปทั่วทุกอณูในร่างกาย เหมือนความกลัวที่แผ่กระจายกัดกินผิวเนื้อผมอย่างหิวกระหาย

ทอมมองดูผมและยิ้ม ก่อนที่จะฉุดพี่เหยาให้ลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งส่งสัญญาณให้ผมลุกตาม

ผมกลัวที่จะทำตาม พอๆกับกลัวที่จะต่อต้าน และเมื่ออย่างหลังดูจะยากเสียกว่า ผมจึงลุกขึ้นด้วยขาที่สั่นจนสังเกตเห็นได้

โต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่ผมและพี่เหยาเคยใช้นั่งติวหนังสือด้วยกันที่มักวางไว้ชิดผนังห้องด้านหนึ่งนั้นถูกทอมลากออกมาไว้ที่กลางห้อง

ทอมผลักพี่เหยาไปที่โต๊ะและกดหัวพี่เหยาให้นอนคว่ำหน้าลงกับพื้นโต๊ะพร้อมกับกระชากขาทั้งสองให้แยกออกจากกันโดยแรง

พี่เหยานอนนิ่งไม่ขัดขืน ไม่ไหวติ่ง ในขณะที่ทอมเดินไปเปิดลิ้นชักตู้และหยิบกระปุกอะไรบางอย่าง มาวางไว้ที่โต๊ะ

ทอมหันมาส่งสัญญาณให้ผมเดินเข้าไปหา จับผมให้มายืนคั้นกลางระหว่างทอมและพี่เหยา และขยับเข้ามาจนชิด จนผมสัมผัสได้ถึงความแข็งขันที่กำลังดุนดันผมจากด้านหลัง

ผมรู้สึกถึงความอยากรู้ อยากเห็น และอยากลอง ที่กำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรงกับความรู้สึกผิดและรู้สึกกลัว จนผมรู้สึกคลื่นไส้

แต่เมื่อทอมเอื้อมมือผ่านผม สัมผัสลูบไล้บนแผ่นหลังของพี่เหยาและไล่เรื่อยลงมาที่สะโพก ก่อนบีบเคล้นจนพี่เหยาร้องออกมานั้น ความรู้สึกเดียวที่หลงเหลืออยู่ในตัวผมก็คือความรู้สึกอยากลิ้มลองสัมผัสความสุขอันสุดยอดอีกครั้ง จนผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นโครมๆสนองตอบความตื่นเต้นที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า

ในขณะที่มือหนึ่งถูกทอมเกาะกุมไว้ให้จับอยู่ที่สะโพกของพี่เหยา อีกมือหนึ่งนั้นก็ถูกกุมไว้คล้ายเด็กหัดเขียนหนังสือ ต่างกันเพียงทอมให้ผมขยับยกนิ้วชี้ขึ้นเช่นเดียวกับที่ทอมกระทำ

ผมปล่อยให้มือขยับไปตามการนำของทอม โดยเริ่มจากการจุ่มมันลงไปในกระปุกครีม จนเมื่อดึงขึ้นมานั้น ครีมสีขาวก็พอกพูนจนมองแทบไม่เห็นนิ้วของเราทั้งสอง ผมกลั้นหายใจ และรออย่างจดจ่อ อย่างตาไม่กระพริบ เมื่อนิ้วที่ถูกทอมนำทางอยู่นั้น ค่อยๆถูกกลืนหายเข้าไปในร่างกายของพี่เหยา

ผมแทบไม่กล้าหายใจ เมื่อค่อยๆได้รับการแนะนำให้รู้จัก กับช่องทางอันคับแคบ เมื่อเริ่มต้นมันพยายามต่อสู้ขัดขืนด้วยการบีบรัดนิ้วมือผมกับนิ้วมือของทอมให้เบียดชิดกัน แต่เมื่อผ่านทางเข้าไป ความบีบรัดนั้นก็อ่อนนุ่มขึ้น แม้ยังคับแคบ แต่ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อการรุกรานของผมและทอม

พี่เหยากลั้นหายใจจนกล้ามเนื้อสะโพกเกร็งทุกครั้งที่นิ้วของเราขยับลึกเข้าไปทุกที

ผมสัมผัสได้จากเรียวนิ้วถึงทิศทางการเคลื่อนไหวของนิ้วทอม ที่บางครั้งขยับนิ้ววน อีกบางครั้งขยับปลายนิ้วหนีห่างจากนิ้วผม

ยิ่งพี่เหยาขยับสะโพกหนีการรุกล้ำจากปลายนิ้วเท่าไหร่ ทอมก็ยิ่งขยับนิ้วเร็วและแรงขึ้นเท่านั้น จนเมื่อทอม งอปลายนิ้วลง พี่เหยาก็ส่งเสียงครางออกมาอย่างสุดกลั้น

ถึงแม้เสียงหายใจหอบของพี่เหยา เวลาที่เราถอนปลายนิ้วออกมานั้นยิ่งทำให้อารมณ์ผมพลุ่งพล่านยิ่งขึ้น แต่ผมก็เด็กเกินว่าที่จะทำอะไรได้มากไปกว่ายืนใจสั่น รอให้ทอมเกาะกุมความแข็งขันของผมและส่งผ่านมันเข้าสู่ความร้อนภายในตัวพี่เหยาอย่างช้าๆ ทุกครั้งที่ทอมขยับเดินมาข้างหน้า ตัวผมก็ถูกดันให้ขยับชิดพี่เหยามากยิ่งขึ้นพร้อมๆกับที่รุกล้ำเข้าไปในตัวพี่เหยาลึกขึ้นและลึกขึ้น

ความรู้สึกแปลกใหม่ที่เพิ่งได้รู้จักนั้น มันทำให้ความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างและมันมากเกินที่คนอ่อนประสบการณ์อย่างผมจะทนรับไว้ได้นาน ดังนั้นแม้ให้พยายามฝืนตัวเองไว้อย่างไร แต่ในที่สุด ผมก็ปลดปล่อยออกมาในเวลาอันสั้นและ พี่เหยาก็ส่งเสียงคล้ายสะอื้นออกมา

ความรู้สึกผิดย้อนกลับมาหาผม แต่ก็พ่ายแพ้กลับไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อผมเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า

ทอมดึงตัวผมออกมา ก่อนจะเข้ามายืนแทนที่

ความแข็งขันของทอมที่ผมเพิ่งมีโอกาสได้เห็นนั้น ตื่นตัวและชูชันเต็มที่ ขนาดที่น่ากลัวของมันทำให้ผมนึกหวาดหวั่นแทนพี่เหยา

ทอมยึดสะโพกพี่เหยาไว้ราวกับกลัวพี่เหยาจะถอยหนี ก่อนที่จะดันร่างเข้าทาบทับทีเดียวจนสุด

ไม่ทันที่พี่เหยาจะทันผ่อนลมหายใจลงจากอาการเกร็งกระตุกไปทั้งร่างเพราะการจู่โจมอย่างกะทันหันของทอม ทอมก็เร่งขยับ แต่ละจังหวะนั้น ทั้งรุนแรงและรวดเร็ว จนเสียงที่ผ่านลำคอพี่เหยาออกมานั้นราวกับคนหายใจไม่ทัน

ผมยืนนิ่งลืมหายใจอยู่ตรงนั้น จ้องดูความรุนแรงที่กำลังดำเนินไปที่ตรงหน้า ร่างของพี่เหยาที่บิดเกร็งนั้นยากที่จะบอกว่าด้วยความทรมานหรือสุขสม แต่เสียงครางในลำคอของทอมนั้น ชี้ชัดถึงความพึงพอใจที่กำลังแล่นลิ่วสูงขึ้นทุกที

เสียงของผิวเนื้อที่กระทบกัน สลับรับกับเสียงร่างของพี่เหยาที่กระแทกลงกับผิวไม้และเสียงขาโต๊ะที่ลากครืดไปกับพื้นตามแรงกระแทกกระทั้นครั้งแล้วและครั้งเล่าของทอมนั้น เย้ายวนและเชิญชวนให้ผมอยากกลับเข้าไปร่วมมีบทบาทด้วยอีกครั้ง แต่ผมไม่กล้าทำอะไร หากปราศจากการชี้นำของทอม จึงทำได้แค่ยืนจ้องมองตาไม่กระพริบ

ผมพลอยเกร็งไปทั้งตัว เมื่อทอมสอดแขนกระชับรอบเอวของพี่เหยาแน่นก่อนรั้งสะโพกพี่เหยาให้ลอยขึ้นจากพื้นผิวโต๊ะเพื่อรับความแข็งขันและรุนแรงของตนเป็นครั้งสุดท้าย

ทอมถอนตัวออกมาแล้ว เมื่อพี่เหยายังนอนซบหน้านิ่งกับผิวโต๊ะ จะเหลือการเคลื่อนไหวเดียวก็เพียงอาการหอบหายใจเท่านั้น

ทอมยิ้มเมื่อหันมาเห็นความตื่นตัวอีกครั้งของผม ก่อนที่จะดึงร่างที่อ่อนแรงของพี่เหยาขึ้นมาและผลักให้ล้มลงที่โซฟาตัวยาวตัวเดิม ทอมพลิกตัวพี่เหยาขึ้นและดึงให้พี่เหยาขยับตัวนอนเกยแผ่นหลังส่วนบนกับที่เท้าแขนในขณะที่หัวนั้นปล่อยให้ตกลาดลงไปทางด้านล่าง

ผมเดินตามเข้าไป เมื่อทอมซึ่งยืนคร่อมอยู่ตรงส่วนหัวพี่เหยานั้น โน้มตัวลงมาและดึงขาพี่เหยาให้สูงขึ้นและแยกกว้างออกจากกัน

ผมไม่รอช้าที่จะทาบทับลงไปยังช่องว่างระหว่างขาทั้งสองนั้น และเลียนแบบด้วยการ รุกล้ำเข้าไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง และขยับสะโพกกระแทกกระทั้นทันทีไม่สนใจอาการเกร็งขืนโดยธรรมชาติเมื่อเจ็บปวดของพี่เหยา

ทอมหัวเราะชอบใจ ปล่อยขาทั้งสองของพี่เหยาให้พาดลงบนบ่าผม ผมเอื้อมมือชื้นเหงื่อของตัวเองจับลงที่ท่อนขาของพี่เหยา เป็นวินาทีแรกที่ผมกล้าแตะต้องพี่เหยาโดยปราศจากการเกาะกุมมือไว้โดยทอม ผมลองลูบไล้แผ่วเบา และบีบกระชับแรงขึ้นตามอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเอง แล้วทอมก็คุกเข่าลง แม้มองไม่เห็นแต่ผมก็จิตนาการได้ถึงปลายลิ้นและริมฝีปากของพี่เหยาที่กำลังครอบครองความแข็งขืนของทอม

แต่มันไม่ง่ายดายอย่างที่ผมคิด เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกถึงการขัดขืนของพี่เหยา

ผมเห็น 2 มือของพี่เหยาที่พยายามผลักไสทอมออกไป เห็นทอมยิ้มอย่างชอบใจและขยับสะโพกตัวเองอย่างเมามัน ได้ยินเสียงคล้ายคนกำลังหายใจไม่ออกและสำลัก และรู้สึกถึงอาการเกร็งไปทั่วร่างของพี่เหยารวมถึงช่องทางแคบที่ผมกำลังขยับผ่านเข้าออกอย่างมิอาจยับยั้งใจให้ผ่อนแรงลงเลยแม้แต่น้อย

ผมจิตนาการถึงความรู้สึกของพี่เหยา จินตนาการถึงเวลาที่ตัวเองทำท่าสะพานโค้งหรือหกสูงที่ต้องปล่อยให้หัวห้อยลงสู่พื้น เลือดที่ไหลรวม ลงสู่หัวทำให้มึนงง และการกลืนน้ำลายก็แทบจะทำให้สำลัก แม้แต่การหายใจก็ยังยากลำบาก

แต่แทนที่ผมเห็นความทรมานของพี่เหยาแล้วผมจะเห็นใจ ผมกลับเริ่มรู้สึกอยากเห็นและลิ้มลองบ้าง

ตอนนี้ผมไม่รู้สึกถึงลมหายใจและตัวตนของพี่เหยาอีกต่อไปแล้ว เห็นก็เพียง ร่างกายเปล่าเปลือยที่สามารถจะทำอะไรกับมันก็ได้เพียงเพื่อปลดปล่อยความอยากก็เท่านั้น

ผมปลดปล่อยอีกครั้งในช่องทางที่บีบรัดและบีบเกร็งในอาการผิดปรกตินี้ ก่อนจะถอนตัวออก และไปสมทบกับทอมอย่างกระหายใคร่รู้ใคร่ลอง

ทอมเข้าใจความต้องการของผมทันที จึงถอนตัวออกไป

ตอนนี้ใบหน้าของพี่เหยาแดงกล่ำ จนแทบจะกลืนไปกับสีของเนคไทที่คาดทับบนดวงตา

ทอมกดฝ่ามือลงที่คอของพี่เหยา เมื่อพี่เหยาพยายามที่จะลุกขึ้น

ผมรีบคุกเข่าลง และสอดใส่ความอยากรู้ของตัวเองเข้าสู่ริมฝีปากที่ถูกทอมบีบให้เผยอรับทันที

ริมฝีปากและปลายลิ้นของพี่เหยาไม่ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างช่ำชองอย่างที่ทำให้ผมในเมื่อครู่ที่ผ่านมา ผมสัมผัสได้ก็แต่การต่อสู้ดิ้นรนของปลายลิ้น ลำคอที่บีบรัดคล้ายคนกำลังพยายามหายใจ ยิ่ง 2 มือที่ผลักไสและเสียงคล้ายคนสำลักนั้นยิ่งกระตุ้นในผมกดสะโพกลงแนบแน่นกับริมฝีปากนั้นยิ่งขึ้น

ผมปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง พร้อมกับความรู้สึกผิดสั่งสมที่รวมตัวกันถาโถมเข้ามาหา อย่างยากจะหลีกหนีได้อีก

มันไม่หลงเหลือการรู้สึกถูกบีบบังคับ จับมือทำหรือแม้แต่ชี้ชวน จากทอมอีกแล้วในเวลานี้ มันเป็นความอยากรู้ อยากลองและร่วมกระทำของผมเองล้วนๆ เมื่อความต้องการถูกปลดปล่อย อารมณ์ที่พลุ่งพล่านบรรเทา และความกระหายใคร่รู้ดับตัวลงสนิท มันจึงเหลือแต่ความรู้สึกผิดล้วนๆ

เสียงพี่เหยาไออย่างเอาเป็นเอาตาย ยิ่งตอกย้ำถึงความเลวร้ายที่ตัวเองทำ

ผมรีบคว้ากางเกงขึ้นมาใส่ ไม่กล้าหันไปมองทอมที่กำลังก้าวขึ้นคร่อมร่างพี่เหยาที่กำลังไออย่างทรมานอีกครั้ง

และก่อนที่จะวิ่งจากมา ทอมก็ร้องทัก และส่งสัญญาณให้ผมหยิบกระเป๋าเงินของพี่เหยากลับไปด้วย ซึ่งหมายความว่าพี่เหยาจะไม่มีวันรู้ว่า ผมมาที่นี่ และผมทำอะไร

ผมหันไปมองดูพี่เหยาอีกครั้ง ก่อนวิ่งจากมา

“ไปกวนอะไรพี่เขาเสียดึกดื่น ไม่รู้จักเกรงใจ!”เสียงแม่ที่นั่งดูทีวีเพื่อรอปิดประตู บ่นอีกตามเคย แต่ผมไม่สนใจ วิ่งผ่านขึ้นไปบนห้องนอน ปิดประตูและร้องไห้

ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นนัก ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำมันลงไปได้อย่างไร ไม่เข้าใจว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไร และไม่รู้ว่า พรุ่งนี้เมื่อเจอพี่เหยา ผมจะทำอย่างไร

ผมร้องไห้หนักขึ้นอีก เมื่อรู้ตัวว่า ภาพพี่เหยายังติดตาอยู่ แค่คิดถึงลมหายใจของพี่เหยาที่ปะทะที่ต้นคอ ขนมันก็ลุกไปทั้งตัว ผมล้วงมือเข้าไปในกางเกง แม้ว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังร้องไห้อยู่ แต่ผมก็ไม่อาจห้ามมือตัวเองให้เกาะกุมส่วนที่กำลังตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้งและเริ่มขยับมือช้าๆ ภาพพี่เหยาที่กำลังเคลื่อนไหวช้าๆไปตามแรงกระแทกกระทั้นสอดรับกับจังหวะการขยับฝ่ามือของผมนั้น ทำให้สติผมยิ่งพร่าเลือน ผมปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง พร้อมกับแว่วเสียงครางกระซิบของพี่เหยา ปะปนมากับเสียงสะอื้นไห้ดังๆของตัวเอง

ผมเช็ดคราบเหนียวขุ่นบนฝ่ามือกับเสื้อและร้องไห้จนหลับไป



--------------------

จบตอน 3
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 24-03-2008 21:16:11
บอกได้คำเดียวว่า.....

เรื่องนี้ของเค้าดีจริง ๆๆ  o13 o13 o13 o13 o13


เป็นกำลังใจให้คนโพสต์นะครับ :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ปล.อ่านไปใจสั่นไป   ...  ไม่อยากนึกถึงตอนหน้าเลย


หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: naja ที่ 25-03-2008 01:34:06
เนี่ย เพราะเรื่องนี้อ่ะ ตามๆปอ่านจากอีกที่นึงจนจบ แล้วเลยนอนไม่หลับ เครียดดดด มั้งๆ ที่จบก้อดี แต่ก่อนหน้านี้ทำเอาเครียดสะสมเรยกรู :เตะ1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Just let it be ที่ 26-03-2008 10:34:30
สงสารเหยาจังอะ

เป็นที่ระบายอารมณ์ของทอมนี่เอง

 :m15:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 26-03-2008 15:20:03
 :serius2:
พี่เหยาที่น่าสงสาร    :sad2:
ไอ้เจรี้ยทอม.....แสรด      :เตะ1:
 :angry2:  เอกนะเอก  ชั่วสุดตรีน....
อ่านกี่รอบ ก็อินมานได้ทุกรอบเลยเรา      :o12:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 26-03-2008 20:19:21
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 4

...คนดี คือ คนที่ทำความชั่วแต่ไม่มีใครรู้...

คำพูดที่พี่เหยาชอบพูดบ่อยๆ เวลาผมมาเล่าโน่น เล่านี่ ว่าคนนั้นดีอย่างนั้น คนนี้ดีอย่างนี้ พี่เหยาก็จะบอกว่า

“รู้ได้ไงว่าเขาดีจริง? คนดี ก็แค่ คนที่ทำชั่วแต่ไม่มีใครรู้ เท่านั้นเอง”

ผมได้ยินพี่เหยาพูดแบบนี้จนชินหู แต่ในช่วงเวลาที่ผมยังเด็กเกินกว่าที่จะรู้ว่า ความจริงคือสิ่งที่ซับซ้อนเกินกว่าที่ตามองเห็น ผมก็ได้แต่คิดว่า...เด็กดีของแม่มองคนอื่นในแง่ร้ายจริงๆ...แต่ผมไม่เคยคิดว่า อะไร หรือใคร ทำให้พี่เหยาคิดอย่างนั้น จนเมื่อผมวิ่งหนีออกมาจากบ้านทอมในวันนั้น เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จัก ความจริงที่ซ่อนอยู่หลังเปลือกตา

ทอม...พี่เหยา และตัวผมเอง คือ...ความจริงที่ผมพูดถึง

ทอม...ฝรั่งตัวสูงใหญ่ เก่ง ร่ำรวย น่านับถือ ยิ่งกว่านั้น เขาดูแลลูกชายของเพื่อนราวกับลูกของตัวเอง จนครั้งหนึ่งผมเคยอิจฉา...พ่อน่าจะมีเพื่อนแบบทอมบ้าง

พี่เหยา...ขยันและเรียนเก่ง เป็นเด็กดีในสายตาของใครๆ

และผม...ลูกชายที่ไม่เคยโตเลยในสายตาของพ่อและแม่

ในคืนที่ผมนอนร้องไห้ หวาดกลัววันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง แต่เมื่อเช้าวันใหม่ ผมกลับพบว่า...ไม่มีอะไรเลยที่เปลี่ยนไป

ทอมยังเป็นคนดี เหมือนที่พี่เหยายังเป็นเด็กดีในสายตาของผู้ใหญ่ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากผมที่ยังเป็นลูกที่เลี้ยงเท่าไหร่ก็ไม่โตของพ่อและแม่

วันนั้นผมถึงเข้าใจที่พี่เหยาพูด...คนดีก็แค่คนที่ทำชั่วโดยไม่มีใครรู้...และหนึ่งในนั้น คือคนที่ผมมองเห็นทุกครั้งที่ส่องกระจกนั่นเอง

นับจากวันนั้น ผมก็ผูกชีวิตไว้กับความสับสนและหมกมุ่น

ผมเสพติดสิ่งที่ทอมหยิบยื่นให้ โดยมิอาจต่อต้านหรือแข็งขืนต่อความต้องการของตัวเอง

ผมสาบานกับตัวเองเป็นร้อยเป็นพันครั้งว่าจะไม่ทำอีก แต่เมื่อบานประตูเปิดแง้มไว้อีกครั้ง ผมก็พ่ายแพ้ต่อความต้องการของตัวเอง ก้าวผ่านมันเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อกลับออกมาอย่างคนรู้สึกผิด

ความรู้สึกในช่วงเวลานั้น รู้จักเพียงสองสิ่ง คือ ความอยาก และ ความละอายใจ

ผม...อยาก และกระหาย ในร่างกายของพี่เหยาอยู่เสมอ และแม้ทุกครั้ง โลกทั้งใบของพี่เหยาจะถูกปิดทับด้วยเนคไทด์สีแดงเส้นเดิม แต่เมื่อพี่เหยาไม่เคยขัดขืน ผมจึงคิดอย่างเข้าข้างตัวเองว่า นั่นคือความเต็มใจ

ในขณะเดียวกัน แม้จะคิดเข้าข้างตัวเองอย่างนั้น แต่ผมละอายใจเสมอ เมื่อกลับมายืนอยู่ต่อหน้าพี่เหยา...พี่เหยาผู้ไม่รู้อะไรเลย...

ทุกครั้งที่เจอกัน พี่เหยาไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย วางตัวเป็นปกติ...เป็นพี่ชายที่ผมเคยอยากมี

เนคไทด์สีแดงเส้นเล็กๆ แต่มันกลับปิดโลกแห่งความจริงของพี่เหยาได้มิดชิด

ดังนั้นเมื่อพี่เหยาไม่เปลี่ยนไป ...การกระทำของผมไม่มีใครรู้ ผมจึงเริ่มชินชาขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่ความชาชินต่อความผิด แต่เป็นความชาชินต่อความรู้สึกผิดที่เกาะกุมใจผมไว้ตลอดเวลา แต่ความรู้สึกผิดนั้นก็มีช่องโหว่เล็กๆแต่เพียงพอให้ความอยากเล็ดลอดเข้าไปกัดกินหัวใจผมอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

ผมค่อยๆเรียนรู้ที่จะผูกชีวิตไว้กับความละอาย และรู้สึกผิด ตราบเท่าที่ความผิดนั้นไม่มีใครล่วงรู้และกล่าวโทษ

เมื่อเนคไทด์สีแดงถูกปลดออก ผมก็แสร้งกลับมาเป็น...เอก...น้องชายที่ยอมให้พี่เหยาตบหัวเมื่อทำอะไรให้ไม่พอใจเหมือนเดิม

เราเล่นเป็นพี่เป็นน้องกันไม่เปลี่ยนแปลง ไปดูหนังด้วยกัน กินไอติมด้วยกัน พี่เหยายังซื้อการ์ตูนเรื่องโปรดให้ผมเสมอๆ หากแต่พี่เหยาไม่เคยรู้เลยว่า ใจผมเปลี่ยนไปอย่างไร

พี่เหยาไม่เคยรู้ว่า....เวลาที่พี่เหยาพูด...ผมนึกถึงก็แต่สัมผัสของปลายลิ้นและริมฝีปากนั้น

พี่เหยาไม่เคยรู้ว่า...เวลาที่ผมมองดูพี่เหยานั้น ผมมองผ่านเสื้อนักศึกษาสีขาวเข้าไป จินตนาการถึงสัมผัสของผิวเนื้อ...ที่เพียงบีบเบาๆ ก็แดงเป็นรอยมือ

พี่เหยาไม่เคยรู้ว่า...ผมแอบมองดูกางเกงนักศึกษา ที่ผมปลดมันลงครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปลดปล่อยความต้องการของตัวเอง

จริงอยู่ที่ผมรู้สึกผิด แต่ไม่มีสักครั้งที่ผมโทษตัวเอง...ผมโทษผู้ใหญ่อย่างทอมที่หยิบยื่นประสบการณ์อันคล้ายสิ่งเสพติดนั้นให้แก่ผม โทษพี่เหยาที่ไม่เคยขัดขืนแม้แต่น้อย และผมชิงชังพวกเขาเพิ่มขึ้นทีละนิด ในทุกๆครั้งที่ผมรู้สึกผิด

บางครั้ง ผมเคยแกล้งถามพี่เหยาว่า

“พี่ไปเที่ยวไหนกับทอม...กับเพื่อนทอมบ่อยๆ” ผมแสร้งถามทั้งที่เริ่มมองเห็นคำตอบ

“ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่”พี่เหยาตอบ โดยไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย

ผมแกล้งเชื่อ แต่หัวเราะเยาะในใจ เพราะคิดว่า พี่เหยาโกหกเก่งเหลือเกิน

พี่เหยาไม่เคยรู้อะไรเลยจริงๆ...ไม่เคยรู้แม้แต่ว่าผมแอบหัวเราะเยาะพี่เหยาในใจเสมอๆ

เพราะชีวิตในตอนนั้นรู้จักแค่สองสิ่ง คือ ความอยาก และความรู้สึกผิด ทั้งผมก็เด็กเกินไปที่จะจัดการกับตัวเองให้หลุดพ้นจากความรู้สึกนี้ได้ จึงปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามความรู้สึกนั้นล้วนๆ ละทิ้งสิ่งอื่นๆโดยสิ้นเชิง

ผมไม่มีสมาธิที่จะเรียนหนังสือ รอคอยก็แต่เวลาค่ำ ที่จะได้ลิ้มลองความสุขแปลกใหม่อีกครั้ง

ผมนอนร้องไห้ในบางครั้ง เมื่อความสุขนั้นผ่านไปแล้ว และมีอีกบางครั้งที่นอนลืมตาอย่างที่ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรแน่

ผมโดดซ้อมบาส เพราะทนไม่ไหวที่จะกลับบ้านช้าลงอีกชั่วโมง

แม้ตอนม.2 การเรียนผมจะเริ่มตก เพราะมัวแต่กังวลเรื่องตัวตนของตัวเองที่เป็นเกย์ แต่มันก็ไม่ดิ่งลงเหวเหมือนเวลานี้ จากเด็กที่เกรดเฉลี่ย 3 กว่า แต่แม่ก็ไม่วายบ่นว่า หล่นฮวบฮาบลงเหลือแค่ 2 ต้นๆ ชนิดที่แม่บ่นไม่ออก

พี่เหยาที่มักรู้ปัญหาของผมก่อนใครๆ มาครั้งนี้ก็ทำได้แค่เอาไม้บรรทัดเคาะหัวจนผมเจ็บไปหมด จากที่ค่อยๆเรียนกันทีละบท พี่เหยาก็หาหนังสือฉบับสรุปมาให้ จนท้ายที่สุด ก็ลงมือย่อแต่ละบทให้สั้นแต่ได้ใจความที่สุดมาให้

“ถ้าไม่อ่าน ไม่เรียน แต่อย่างน้อยก็อ่านที่พี่ย่อให้แล้วกัน...ให้มันมีอะไรในหัวบ้างไม่ใช่กลวงแบบนี้!”พี่เหยาพูดพร้อมวางกระดาษปึกเล็กๆให้ตรงหน้า น่าเสียดายผมไม่ซาบซึ้งในความห่วงใยนั้นสักนิด ในใจก็โทษแต่ว่า...เพราะพี่นั่นแหละ... และเหลือบมองนาฬิกา รอคอยเวลาที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

สุดท้ายความพยายามของพี่เหยาที่อุตส่าห์ นั่งอ่าน นั่งย่อใจความสำคัญให้ผม ตั้งแต่บทเรียนของม.1 ยัน ม. 3 ก็ล้มเหลว ผมพลาดโค้วต้าคัดเลือกเข้าม.4 และต่อมาพลาดการสอบรอบแรกสำหรับเด็กเก่าที่พลาดโค้วต้า และสุดท้ายพลาดการสอบรอบ 2 ที่ต้องสอบรวมกับเด็กจากโรงเรียนอื่นๆ

ในวันนั้น ถ้าเพียงแต่แม่ถามเหตุผล หรือพูดดีกับผมสักนิด ผมแน่ใจว่าผมต้องสารภาพทุกอย่างกับแม่ เพราะมันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้ว่า ความผิดหวังเป็นอย่างไร ความท้อแท้เป็นอย่างไร

แต่สิ่งที่ผมได้รับ มันเปลี่ยนความรู้สึกของผมโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนความท้อแท้เป็นความโกรธ เปลี่ยนความผิดหวังเป็นความเกลียด

แม่ยืนรอบ่นตั้งแต่ผมยังไม่ทันก้าวมาถึงประตูบ้าน ในขณะที่พ่อเงียบ ไม่ยอมมองแม้แต่หน้าผม ส่วนย่าก็บ่นพึมพัมลับหลัง แต่หวังให้ผมได้ยิน ผมไม่สนใจใคร เดินหนีขึ้นไปบนห้อง ปิดประตูขังตัวเองไว้และร้องไห้อย่างเคย ในหัวของผมคิดวนเวียนอยู่อย่างเดียวคือ...ใครทำให้ผมเป็นอย่างนี้

และผมรู้คำตอบ คำตอบนั้นคือคนๆเดียว ที่มีสีหน้าเป็นทุกข์ไปกับผมด้วย คือ พี่เหยา...

“ไม่เป็นไรหรอก...พ่อเอกมีเพื่อนเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนเอกไม่ใช่เหรอ?...พี่ว่าไม่มีปัญหาหรอก”พี่เหยาพูดเมื่อผมเปิดประตูรับ

“แล้วเอกก็สัญญากับน้าสุสิ ว่าต่อไปจะตั้งใจเรียน น้าสุจะได้ไม่โกรธ”พี่เหยาเดินผ่านผมไปนั่งลงที่เตียงเหมือนเคย และยิ้มเมื่อผมลงกลอนประตู พี่เหยายิ้มเหมือนทุกครั้ง...ทุกครั้งที่รู้ว่า ผมกำลังจะสารภาพผิดอะไรสักอย่าง หากแต่ครั้งนี้มันต่างไป เพราะสิ่งที่ผมพร้อมจะสารภาพออกมานั้น มันไม่ได้มาจากความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย แต่มันมาจากความเกลียดชังล้วนๆ ในเวลานั้นผมโกรธเกลียดพี่เหยาที่นั่งอยู่ตรงหน้า เพราะผมโยนความผิดทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับพี่เหยา...คนที่ไม่เคยรู้อะไรเลย

รอยยิ้มของพี่เหยาจางลงเรื่อยๆ จนเหลือแต่ความงุนงง เมื่อผมเดินเข้าไปหา พร้อมปลดซิปกางเกงตัวเองลง

“อ้าปากสิ!” ผมจำได้ว่าผมพูดอย่างนั้น และรู้สึกสะใจเป็นที่สุด กับใบหน้าของพี่เหยาในเวลานั้น มันเป็นใบหน้าของคนที่รู้ตัวว่าถูกทรยศ ใบหน้าของคนที่รู้ตัวว่าโลกกำลังจะแตกสลาย เกราะกำบังกายบางๆกำลังจะพังทลาย แต่ผมไม่รู้สึกอะไรเลย นอกจากความสะใจ!

“บอกให้อ้าปาก!”ผมพูดพร้อมกระชากผมพี่เหยา และกดหัวพี่เหยาลงที่หว่างขาผม

หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เกิดขึ้นรวดเร็ว... พี่เหยาผลักผมจนเซ ผมดึงแขนพี่เหยาไว้ เมื่อพี่เหยาพยายามจะลุกหนี เสียงแม่ตะโกนขึ้นมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น...สุดท้ายพี่เหยาคว้าอะไรบางอย่างขว้างใส่ผม ผมหลบพ้นชนิดแค่ปลายจมูก เสียงแก้วแตกกระจายก่อนที่กลิ่นหอมชินจมูกจะฟุ้งกระจายทั่วห้อง แล้วพี่เหยาก็วิ่งออกจากห้องไป...นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่พี่เหยาเหยียบเข้ามาในห้องผม

พอรุ่งเช้าแม่ก็บอกผมด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า ต่อไปพี่เหยาจะไม่มาติวหนังสือให้แล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งเกินการคาดเดาของผม...ผมรู้แล้วนับแต่เมื่อวาน นับแต่พี่เหยาหันมามองผมอย่างเกลียดชังไม่แพ้กัน ผมรู้ว่าต่อไปนี้ จะไม่มีพี่เหยาที่คอยสอนหนังสือให้ ไม่มีพี่เหยาที่ชอบตบหัวผมเล่น ไม่มีพี่เหยาที่พาผมไปดูหนัง อีกแล้ว

เหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้ทำให้ผมสำนึกแม้แต่น้อย...ในตอนนั้นผมไม่นึกเสียดายความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องที่เสียไปแม้แต่นิดเดียว ตรงข้ามผมยิ่งสะใจมากยิ่งขึ้น เมื่อทอมเปิดประตูรับ เมื่อผมกดหัวพี่เหยาลงที่ตรงกลางหว่างขาผม เมื่อผมแอบกระซิบที่หูพี่เหยาโดยไม่ให้ทอมได้ยินว่า...นี่ผมเอง...ผมสะใจเมื่อพี่เหยาขืนตัวเพียงเล็กน้อยเป็นการรับรู้ และก็ต้องปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามความต้องการของผมอย่างไร้ทางขัดขืน

แม่ยังบ่นผมไม่เลิก พ่อก็ยังทำหน้าตึงใส่ แม้ว่าสุดท้ายผมจะเข้าเรียน ม.4 ได้ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนพ่อแล้ว แต่ผมก็ไม่สนใจ ผมเอาความโกรธทั้งหมดไปลงที่พี่เหยา...

ในขณะเดียวกัน ผมก็ทำทุกอย่างที่เรียกว่าปัญหา ทั้งขาดเรียน ขาดสอบ ไม่ส่งงาน ยิ่งแม่บ่นว่ามากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งสร้างปัญหามากเท่านั้น จนสุดท้ายแม่ก็ด่าไปร้องไห้ไป

บ้านที่เคยสงบสุข ตอนนั้น ไม่มีสักวันที่ไม่มีเสียงแม่ทะเลาะกับพ่อ แต่ที่น่าตลกคือ แม่ยังไม่วายด่าผมไป แล้วก็ชื่นชมพี่เหยาไป ดูเหมือนแม่คิดว่า การพูดถึงความดีของคนอื่น จะทำให้ผมสำนึกและคิดเอาเยี่ยงอย่าง แต่แม่คิดผิด และคนที่ต้องรับผลของความโกรธเกลียดทั้งหมดคือคนเดียวที่ไม่มีทางเลือก...คือพี่เหยา

มันเป็นช่วงเวลาที่ผมทำร้ายทุกๆคนที่ผมรัก ทั้งพ่อ แม่ และพี่เหยาที่ผมมั่นใจว่าครั้งหนึ่ง ผมเคยรักเขาอย่างพี่ชาย

และคนที่ช่วยให้ผมผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ก็คือ เพื่อน

เพื่อนที่ว่าก็คือไ อ้วิทย์ ไอ้ชัย และไอ้รงค์ ที่งงกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผมมาตั้งแต่ม.ต้น

ถึงแม่จะบ่นผมเรื่องเรียนเสมอๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ว่าผมเป็นเด็กเรียนเลว วิชาเดียวที่ผมได้เกรด สอง ก็คือวิชาศิลปะ ที่ความขยันไม่ค่อยจะช่วยอะไรได้ นอกนั้น เกรดผมก็อยู่ที่ 3 บ้าง 4 บ้างเสมอๆ ครูอาจารย์อาจจะเอือมในความทโมนบ้าง แต่ไม่เคยบ่นว่าผมได้ ในเรื่องของความรับผิดชอบ ตรงกันข้าม ชื่อผมเป็นชื่อแรกๆที่ครูมักเรียกหา เมื่อต้องการการช่วยเหลือและ แม้เมื่อควบตำแหน่งนักกีฬาของโรงเรียน คะแนนและความรับผิดชอบของผมก็ไม่ได้ตกลงแม้แต่สักวิชา

แต่พอเปิดเทอม ม.3 ได้ไม่นานอะไรๆก็เปลี่ยนไป ผมไม่มีอารมณ์เฮฮากับเพื่อนๆเหมือนเคย ครูอาจจะชอบที่ผมพูดน้อยลง แต่ก็ต้องแปลกใจที่คะแนนผมผันตามกับนิสัยการพูดของผมคือหล่นร่วงจนแค่เอาตัวพอรอด บาสที่ผมเคยทุ่มเท ผมก็โดดซ้อม จนโดนถอดออกจากรายชื่อนักกีฬา

ครูเรียกผมมาคุยว่ามีปํญหาอะไร แต่ผมรู้ มันไม่ใช่ปัญหาที่จะพูดได้ และยิ่งกว่านั้น ผมรู้สิ่งที่ผมทำอยู่นั้นมันผิด และผมเลือกที่จะอยู่กับความรู้สึกผิด มากกว่าที่จะบอกความผิดตัวเองให้คนอื่นรู้

ไอ้วิทย์ ไอ้ชัยและไอ้รงค์ ลอยลำเข้าสายวิทย์ไปด้วยโควต้า ส่วนผมพลาด ซึ่งสุดท้ายผมก็ได้เข้าเรียนพร้อมพวกมัน ด้วยสถานะภาพที่เรียกว่าเด็กเส้น

อย่างที่บอกไว้ ว่าผมทำทุกอย่างที่น่าจะสร้างความทุกข์ใจให้แม่ได้ ทั้งโดดเรียน ขาดสอบ แต่ผมก็สมัครเข้าทีมบาสเหมือนเดิม ไม่ใช่เพราะรักการเล่นบาสจนตัดใจจากมันไม่ได้ แต่เพราะแม่บ่นจนปากแฉะให้เลิกเล่น เพราะแม่คิดว่า บาสคือสาเหตุทำให้การเรียนผมตก

พวกไอ้วิทย์มันไม่เคยถามว่า ทำไมผมต้องทำตัว ให้ใครๆเอือมระอา เพราะตราบใดที่ผมไม่ทำตัวเลวกับพวกมัน พวกมันก็ยังนับว่าผมเป็นเพื่อน และพวกมันยังถือหลักว่า ถ้าพวกมันไปไหน พวกมันก็จะลากผมไปด้วยกับพวกมัน

พวกมันไม่ห้ามผมคบกับเพื่อนเลวๆ แต่พวกมันยืนกระต่ายขาเดียวว่า ถ้าผมไปไหน คบใคร พวกมันก็คบด้วย ผมจึงต้องเลือกกลับมาเป็นขี้ปลาทอง คือให้พวกมันลากไป ลากมา กับพวกมันเหมือนเดิม ซึ่งหากมองย้อนไป หากพวกมันไม่ทำอย่างนั้น หากผมเลือกที่จะคบเพื่อนเลวๆ ชีวิตผมคงดิ่งลงเหวไปเหมือนเพื่อนๆพวกนั้นแล้ว

พวกมัน 3 คนสมัครเรียน กศน เพื่อหวังสอบเทียบ เพราะหากสอบเทียบม.6 ได้ เมื่อไหร่ ก็สามารถสอบเอนทรานซ์ได้ เป็นการเพิ่มโอกาสให้กับตัวเอง อย่างที่หลายๆคนมักทำกัน

พวกมันลากผมไปเรียนด้วย โดยไม่สนใจการคัดค้านหรือขัดขืนของผม พวกมันเตรียมเอกสาร กรอกใบสมัคร ทำกระทั่งควักตังค์จ่ายให้ก่อน




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 26-03-2008 20:22:16
ผมอาจจะต่อต้านการเรียนที่โรงเรียน เพื่อต่อต้านแม่ แต่เมื่อผมได้เรียนในที่ๆแม่ไม่รู้ ผมก็มีความสุข และสนุกที่ได้กลับไปนั่งเรียนอย่างตั้งใจกับเพื่อนๆอีกครั้ง ผมสนุกที่จะทำข้อสอบอย่างถูกต้องเมื่อสอบ กศน แต่สนุกกว่าเมื่อเลือกคำตอบข้อที่ผิด เวลาทำข้อสอบที่โรงเรียน

ในเวลานั้น พี่เหยาไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว ผมไม่รู้สึกตื่นเต้น หรือตื่นตาตื่นใจ กับร่างกายพี่เหยามากมายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ผมอาจจะยังระบายความรู้สึกโกรธเกลียด ปลดปล่อยความต้องการ กับร่างกายนั้นทุกครั้งที่ต้องการ แต่ไม่ใช่การรอคอย อย่างจดจ่อ หมกมุ่นจนหยุดคิดไม่ได้เหมือนตอนแรกๆ ตรงข้าม ในบางวันที่เหน็ดเหนื่อยจากการเล่นบาส ผมก็เป็นฝ่ายเมินเฉยต่อประตูที่ทอมเปิดทิ้งไว้เป็นสัญญาณเสียเองอย่างไม่เสียดายสักนิด ความรู้สึกผิดที่มันเกาะกินใจ มันก็ชาชินจน เหมือนมองดูการกระทำเลวๆของคนอื่น...คือร่วมรู้สึก แต่ก็ปล่อยวางลงได้ทันทีที่มีโอกาส

แม่ยังคงมุ่งมั่นเปลี่ยนแปลงผมโดยการดุด่า และเปรียบเทียบผมกับพี่เหยาที่แสนดีของแม่ ส่วนผมก็ทำหน้าไม่ทุกข์ร้อน...ไม่เถียง ไม่กระแทกอะไรปึงปัง เพราะรู้ว่าการทำทองไม่รู้ร้อนคือการทำให้แม่โกรธเสียยิ่งกว่าการตอบสนองเสียงดุด่าของแม่ด้วยการโมโห

ความอดทนของแม่ถึงที่สุด เมื่อครูโทรมารายงานว่าผมขาดสอบซึ่งอาจส่งผลให้ผมต้องซ้ำชั้นม.4 แม่ไปพบอาจารย์โดยทันทีและระบายความโกรธโดยตกลงกับอาจารย์ว่า ห้ามผมร่วมกิจกรรมบาสใดๆอีกต่อไป

และเมื่อแม่กลับไปแล้ว อาจารย์เรียกผมไปบอกกล่าว พร้อมถอดรายชื่อผมออกจากทีมบาส ผมก็รู้ว่าแม่ทำสำเร็จ...ผมทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้อีกต่อไป

ผมกลับบ้านทันที แต่แม่ยังไม่กลับ นั่นยิ่งทำให้ผมโกรธ

ผมเดินออกไปที่บ้านทอม รถพี่เหยาจอดอยู่ ใจหนึ่งผมอยากเข้าไประบายความโกรธทั้งหมดลงที่พี่เหยาอย่างเคย แต่ในตอนนั้น ผมรู้สึกว่าแค่นั้นมันยังไม่พอ

ผมกลับไปที่โรงเรียนอีกครั้ง ไปหาพวกเพื่อนๆ เล่าสิ่งที่แม่ทำให้พวกมันฟังและบอกกับพวกมันว่า มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง แต่มีข้อแม้ว่า ต้องเรียกพี่โอ๋ ออกมาด้วย

เมื่อพี่โอ๋มา ผมก็เล่าทุกอย่างเกี่ยวกับพี่เหยาให้พวกมันและพี่โอ๋ฟัง

เป็นอย่างที่ผมคิด พี่โอ๋สนใจพี่เหยาขึ้นมาทันที และไม่รั้งรอที่จะออกปากขอลิ้มลองประสบการณ์แปลกใหม่บ้าง

“ตอนนี้ทอมไม่อยู่ ถ้าจะไปก็ไปเดี๋ยวนี้เลย”ผมบอกหันไปมองหน้าเพื่อนๆ ไอ้วิทย์กับไอ้ชัยมองหน้ากันอย่างเกรงๆ ในขณะที่ไอ้รงค์ปฏิเสธทันที

“กูมีธุระ..”ไอ้รงค์ว่างั้น มันมองหน้าผมก่อนเดินหนีไป

“ไอ้ปอดแหก รีบกลับไปดูดนมแม่หรือไงว่ะ?”พี่โอ๋ตะโกนไล่หลัง แต่ไอ้รงค์ไม่สนใจ พี่โอ๋จึงหันมาคาดคั้นไอ้วิทย์ต่อ

“มึงล่ะไอ้วิทย์...อย่าบอกนะว่าปอดแหกอีกตัว?”

“ผู้ชายนะพี่!”ไอ้วิทย์ขัด

“ผู้ชายแต่ก็โอเค ขาวกว่านางเอกหนังเอ๊กซ์ที่มึงดูอีก”ผมรีบเสริม กลัวพี่โอ๋เปลี่ยนใจ

“เออ กูเคยเห็น มันเป็นเพื่อนของเพื่อนกู ชื่อแปลกๆอย่างนี้กูจำได้”พี่โอ๋พูดก่อนหันไปพูดกับไอ้วิทย์

“หน้าตาแม่งดีกว่าน้องนิด หรือน้องหน่อยอะไรที่มึงหลีอีก”

ไอ้วิทย์ยักไหล่แทนคำตอบ หน้ามันยิ้มระรื่นแต่ดูไม่ค่อยรื่นเท่าไหร่ ตอนนั้นผมเข้าใจว่า มันคงตะขิดตะขวงใจที่พี่เหยาเป็นผู้ชาย

ไม่มีใครถามความเห็นจากไอ้ชัย แต่เมื่อพี่โอ๋ลุกขึ้น ผมก็เห็นไอ้วิทย์รีบคว้าแขนไอ้ชัยไว้ เหมือนกลัวมันจะหนี

เราพากันนั่งรถไปลงที่บ้านผม ตลอดทางไอ้วิทย์กับไอ้ชัยไม่พูดอะไรเลย มีก็แต่พี่โอ๋ที่ถามนั่นถามนี่เกี่ยวกับทอมและพี่เหยา ไอ้วิทย์มันยังรับคำบ้าง แต่หน้ามันชักระรื่นไม่ค่อยออกเท่าไหร่แล้ว ส่วนไอ้ชัยมันทำได้แค่หัวเราะแกนๆ

เมื่อถึงที่บ้าน แม่ยังไม่กลับ ผมบอกให้พวกมันรอผมอยู่ที่บ้าน ส่วนผมเดินไปกดกริ่งที่บ้านพี่เหยา

พี่เหยาเดินลงมา และขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าเป็นผม

ดูพี่เหยาจะลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะเดินมาที่ประตูบ้าน...นั่นเป็นครั้งแรกนับจากวันที่พี่เหยาวิ่งออกจากห้องผมไป ที่ผมและพี่เหยาได้ยืนเผชิญหน้ากันตามลำพัง

“ผมลืมของไว้ จะมาเอา”ผมบอก

“อะไรล่ะ เดี๋ยวหยิบให้?”พี่เหยาถาม... และนั่นเป็นครั้งแรกเช่นกันที่ได้ยินเสียงพี่เหยาพูดหลังจากไม่ได้ยินมาเสียนาน

ในตอนนั้น ความรู้สึกบางอย่างมันเกิดขึ้น ความรู้สึกนึกถึงวันเวลาเก่าๆ แต่เสียดายที่ความรู้สึกนั้นไม่สามารถเอาชนะความโกรธที่อัดอั้นมาทั้งวันได้

“พี่หาไม่เจอหรอก ...ทำไมหรือว่ากลัว?”ผมยิ้มเยาะและได้ผล พี่เหยาไขกุญแจให้อย่างเสียไม่ได้ และปล่อยให้ผมเดินขึ้นไปคนเดียว ส่วนตัวเองยืนรออยู่ที่เดิม

“พี่ขึ้นมาช่วยผมเลื่อนตู้หน่อย มันตกไปหลังตู้”ผมตะโกนเรียกเมื่อขึ้นมาได้สักพัก พี่เหยาเดินตามขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก โดยไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้น จะมีใครเดินตามขึ้นมาบ้าง

จนถึงวันนี้ ผมยังจำได้ถึงสายตาของพี่เหยาที่มองดูผม เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันทั้งหวาดกลัวและเกลียดชัง...ผมไม่เคยถูกใครมองด้วยสายตาเกลียดชังแบบนั้นมาก่อน ทั้งก่อนหน้านั้น หรือกระทั่งหลังจากนั้นจนวันนี้ก็ตาม

พี่โอ๋สั่งให้ไอ้วิทย์กับไอ้ชัยจับแขนพี่เหยาที่ถูกผลักให้นอนลงกับพื้นไว้คนละข้าง ในขณะที่พี่เหยาดิ้นรนจนสุดแรงที่มี พี่โอ๋สั่งให้ผมจับขาพี่เหยาไว้ แต่เมื่อผมยังยืนเฉย พี่โอ๋จึงขยับขาที่นั่งคร่อมพี่เหยาไว้ โดยเปลี่ยนมากดเข่าข้างหนึ่งลงบนต้นขาของพี่เหยาแทน พี่เหยาร้องออกด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ยังไม่หยุดดิ้นรน พี่โอ๋จึงกดน้ำหนักเข่าลงไปแรงยิ่งขึ้น เหมือนจะกดให้ขาพี่เหยาหักลงไปเสียตรงนั้น และมันได้ผล เมื่อพี่เหยาหยุดการดิ้นรน เหมือนคนที่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหมดหนทาง สิ่งเดียวที่เป็นการยืนยันว่าพี่เหยายังคงขัดขืน คือน้ำตา กับถ้อยคำที่พี่เหยาพร่ำพูดซ้ำๆ คือ...อย่ามายุ่งกับกู...

ผมมองดูพี่โอ๋ แต่กลับมองเห็นภาพตัวเอง

ตลอดมาผมเคยกล่าวโทษ ที่ทำไมพี่เหยาไม่เคยขัดขืน แต่วันนี้ผมเห็นภาพนั้นชัดเจน...

ไอ้วิทย์กับไอ้ชัย มันเหลือแรงจับแขนพี่เหยาไว้แค่หลวมๆ แต่พี่เหยาก็วางมือไว้ที่เดิม ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกจากปากพี่เหยาแล้ว...ดูคล้ายพี่เหยาไม่ได้ขัดขืนแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วมันไม่ใช่...ไม่ใช่ไม่ขัดขืน แต่ไม่เหลือทางให้ขัดขืนต่างหาก

ผมอยากกระชากพี่โอ๋ออกมาให้พ้นๆจากพี่เหยาแต่ก็ไม่กล้าพอ ทำได้แต่มองดูและนึกเสียใจในสิ่งที่ตัวเองเลือกทำ

ไอ้ชัย มันมองดูผมที มองดูไอ้วิทย์ที อย่างคนทำอะไรไม่ถูก

และคนที่ทนไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อน คือไอ้วิทย์

มันผลักพี่โอ๋จนหงายหลังหลุดพ้นจากการคร่อมอยู่เหนือร่างของพี่เหยา

“ทำห่าอะไรวะ?” พี่โอ๋ถามอย่างเดือดดาล มองดูไอ้วิทย์ที ดูไอ้ชัยที่กำลังดึง พี่เหยาให้ลุกขึ้นที

“อย่าบอกนะ ว่าเสือกปอดแหกขึ้นมากันตอนนี้!” พี่โอ๋ ผลักอกไอ้วิทย์จนมันเซ

ไอ้วิทย์ไม่ตอบ แต่มันกลับมายืนขวางพี่โอ๋ไว้

“ถ้ามึงไม่ทำก็ไสหัวกลับไป อย่าเสือก”พี่โอ๋ผลักไอ้วิทย์อีกครั้ง แต่คราวนี้มันยืนปักหลักไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย

“มึงจะเอายังไงวะ ไอ้เอก?”พี่โอ๋หันมาหาผมเมื่อ เห็นว่าไอ้วิทย์ไม่เอาด้วยแน่

“มึงเป็นคนเรียกพวกกูมาไม่ใช่หรือไง?...มึงบอกว่าแม่งสำส่อน ใครเอาก็ได้หมดไม่ใช่หรือไง?”

พี่โอ๋พูดในสิ่งที่ผมพูดจริง แต่ตอนนี้ ผมกลับไม่อยากให้พูดมันต่อหน้าพี่เหยา

ผมไม่กล้าหันไปมองหน้าใครๆ ทั้งพี่โอ๋ ไอ้วิทย์ ไอ้ชัย หรือแม้แต่พี่เหยา ที่ผมเห็นจากหางตาว่ากำลังมองดูผมอยู่

สุดท้ายผมก็ทำได้แค่วิ่งหนี โดยมีไอ้วิทย์กับไอ้ชัยวิ่งตามหลังลงมา

เสียงพี่เหยาตะโกนเรียกผม ทำให้ผมชะงักฝีเท้าอย่างลังเล แต่คนที่กลับหลังวิ่งย้อนขึ้นไปทันทีคือไอ้วิทย์

“ไม่ทำก็อย่าเสือก!”เสียงพี่โอ๋ตะโกนลั่น

“กูจะเสือก!”และเสียงไอ้วิทย์ แบบที่ผมไม่เคยได้ยินตั้งแต่คบกับมันมา

“กูจำมึงได้...มึงเป็นเพื่อนไอ้นัทใช่ไหม เสือกเล่นตัวนัก กูจะเอาเรื่องของมึงไปบอกให้ทั่วมหาลัย”คราวนี้พี่โอ๋คงหันไปพูดกับพี่เหยา

ผมไม่รู้ว่าใครคือ นัท เพราะตั้งแต่รู้จักพี่เหยามา ไม่มีสักครั้งที่พี่เหยาพูดถึงตัวเอง...ทั้งเพื่อน หรือแม้กระทั่งครอบครัว

“เออ ก็ลองดู กูจะบอกแม่มึง ว่ามึงน่ะ เหี้ยแค่ไหน กูจะรอดูว่าแม่มึงจะเอาเลือดที่หัวมึงออกหรือเปล่า!”

“ไอ้เหี้ยวิทย์!”

เสียงดังโครมครามข้างบนทำให้รู้ว่าพี่โอ๋กับไอ้วิทย์คงลงไม้ลงมือกันแล้ว แต่ไม่ทันที่ผมกับไอ้ชัยจะวิ่งกลับขึ้นไป พี่โอ๋ก็วิ่งสวนลงมาด้วยสภาพที่สมบูรณ์ ดังนั้นไอ้วิทย์ที่เดินตามลงมานั้นจึงทั้งเลือดกลบปากและคิ้วแตก

“ระยำ!”มันหันมาด่าใส่หน้าผม ก่อนเดินผ่านผมลงไป

ผมกับไอ้ชัยเดินตามมันลงไปเงียบๆ

ย่าดูตกใจเมื่อเห็นสภาพไอ้วิทย์ แต่ก็ไม่กล้าทักท้วงมัน ที่เดินจ้ำอ้าวขึ้นไปบนห้องผม

เมื่อถึงห้อง ไอ้วิทย์ก็ทำในสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงอีกครั้ง...มันทรุดตัวลงนั่งฟุบหน้ากับที่นอน แล้วก็ร้องไห้

ผมรู้ มันไม่ได้ร้องไห้เพราะเจ็บ ไม่ได้ร้องไห้เพราะกลัว...แต่ผมไม่เข้าใจ มันร้องไห้ทำไม มันยังไม่ได้ทำอะไรผิดแม้แต่น้อย ตรงข้าม มันทำในสิ่งที่ผมรู้ว่าผมคงไม่กล้าที่จะทำ

ไอ้ชัยที่ทุกทีทำหน้าที่คอยขัดคอไอ้วิทย์ วันนี้ มันได้แต่นั่งลงและตบบ่าไอ้วิทย์เบาๆโดยไม่พูดอะไรเลย

“ระยำ!” ไอ้วิทย์ด่าโดยไม่เงยหน้า ผมรู้... มันด่าผม

...ระยำ...คำนี้ ที่ผมแกล้งลืมมาเสียนาน ทั้งที่รู้ ว่ามันเป็นคำที่เหมาะสมกับผม ยิ่งกว่าใครๆ




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 26-03-2008 20:25:35
“ทำไมเขาทำกับเราอย่างนี้?”มันพูดทั้งๆร้องไห้

ผมไม่รู้ว่า ...เขา...ที่มันพูดถึงหมายถึงใคร

ผมไม่รู้ว่า...เรา...ที่มันพูดถึงหมายถึงใคร

แม้ตอนนั้น ผมไม่เข้าใจว่า ไอ้วิทย์ร้องไห้ทำไม แต่มันก็ทำให้ผมสำนึกได้ในหลายๆสิ่ง

ตลอดเวลาที่ผ่านๆมา ผมร้องไห้เพียงเพราะรู้สึกผิด แต่ไม่ใช่รู้สึกผิดต่อใคร มันเป็นการร้องไห้เพื่อตัวเอง มิใช่ร้องไห้ให้แก่ผู้ที่ถูกผมกระทำ...ผมรู้ในวันนั้นว่านอกจากผมจะ...ระยำ อย่างที่ไอ้วิทย์ด่าแล้ว ผมยังเห็นแก่ตัว นึกถึงก็แต่ตัวเอง อีกด้วย

จนฟ้ามืดแล้ว ไอ้ชัยถึงชวนไอ้วิทย์กลับ ผมเดินตามออกมาส่งพวกมัน

ประตูบ้านพี่เหยายังเปิดทิ้งไว้เหมือนเดิม

ผมอยากเดินขึ้นไปดูพี่เหยาว่าเป็นยังไงบ้าง แต่ก็ไม่กล้า...นับแต่วันที่พี่เหยาวิ่งออกจากห้องผมไป ผมไม่เคยกล้าเผชิญหน้าพี่เหยาอีกเลย ผมเลือกระบายความโกรธเกลียดของตัวเองด้วยวิธีการขี้ขลาด แต่ตรงข้าม ผมกลับไม่กล้าสู้หน้าพี่เหยาตรงๆสักครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน

แต่ ในขณะที่ผมมัวแต่ลังเล ไอ้วิทย์ มันเดินกลับเข้าไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย สักพักมันก็กลับออกมา ปิดประตูและล็อกกุญแจ

ผมอยากถามมัน แต่ก็ไม่กล้าเหมือนเคย เลยได้แต่ส่งมันขึ้นรถ

หลังจากนั้นผมก็ทำสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคย คือขังตัวเองอยู่ในห้อง

เสียงแม่กลับมาแล้ว แต่ผมก็ลืมเรื่องแม่ ลืมเรื่องบาสไปจนหมดแล้ว

แม่ไม่ได้เรียกผมกินข้าวเย็น แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ

ผมไม่ได้ร้องไห้ แค่นอนเฉยๆ และไม่สามารถข่มตาให้หลับได้

เที่ยงคืนแล้ว ผมได้ยินเสียงรถ...ทอมคงเพิ่งกลับ นั่นยิ่งทำให้ผมนึกถึงพี่เหยา

เสียงใครมากดกริ่งหน้าบ้าน แม้จะแปลกใจแต่ผมก็เลือกที่จะนอนนิ่งๆในห้องต่อไป

เสียงรถดังขึ้นอีกครั้ง...ผมถึงเริ่มง่วงและหลับไป

วันต่อมา ถึงผมจะตื่นเช้า แต่ก็ไม่อยากจะไปโรงเรียน...ผมรู้สึกไม่กล้าสู้หน้าเพื่อนๆ

แม่มองหน้าผมอย่างแปลกใจ ผมถึงนึกออกเรื่องที่แม่ไปคุยกับครูเรื่องบาส แต่ผมไม่สนใจเรื่องนั้นแล้ว

เมื่อผมไร้ปฏิกิริยา แม่ก็เลยนิ่งๆไปด้วย

“เมื่อคืนใครกดกริ่ง?”ผมถามแค่หวังทำลายความเงียบ

“ทอม...เหยาไม่สบาย... เห็นว่าไข้ขึ้นจนไม่รู้สึกตัวเลย ทอมเลยมาถามเรื่องโรงพยาบาล”

ผมไม่กล้าถามอะไรอีก แต่มารู้ทีหลังว่า เพราะเหตุการณ์วันนั้น พี่เหยาเลยขาดสอบ สุดท้ายต้องดร็อปไปหลายวิชา พลาดเกียรตินิยมที่แม่แสนจะภูมิใจแทน ผมนึกเสียใจแทนพี่เหยาโดยไม่เคยรู้เลยว่าเกียรตินิยมที่ว่านั้นไม่มีความหมายเลยสำหรับพี่เหยา สิ่งที่มีความหมายคือเวลา ที่พี่เหยาต้องเสียไป เวลาที่พี่เหยาต้องอยู่กับทอมนานขึ้นไปอีก...

เช้าวันนั้นผมไปโรงเรียนด้วยความรู้สึกโหวงๆ

ไอ้รงค์ไม่รออยู่ที่ห้องเหมือนเคย มีก็แต่ไอ้ชัยที่รออยู่และบอกว่าไอ้วิทย์ไม่มาโรงเรียน

ในห้องเรียน ไอ้รงค์มันย้ายไปนั่งที่อื่น แม้แต่เวลาพัก มันก็ไม่ยอมไปกินข้าวกับผม กับไอ้ชัย

ผมถามไอ้ชัย เรื่องที่ไอ้วิทย์ขึ้นไปบนบ้านพี่เหยาเมื่อวานนี้ และบอกมันเรื่องที่พี่เหยาไม่สบาย

มันเล่าให้ผมฟังว่า ไอ้วิทย์มันกลับขึ้นไปดูพี่เหยาเพื่อให้แน่ใจว่าพี่โอ๋ไม่ได้กลับขึ้นไป...พี่เหยานั่งฟุบอยู่ที่โซฟา มันเลยกลับลงมาเงียบๆ และล็อกกุญแจบ้านให้

สิ่งที่ไอ้ชัยพูดยิ่งตอกย้ำ ถึงความเห็นแก่ตัวของผม เพราะในขณะที่ผมมัวแต่ห่วงความรู้สึกของตัวเอง ไอ้วิทย์เสียอีกที่รู้จักห่วง พี่เหยา คนที่มันแทบจะไม่รู้จักเลย

“กูจะไม่ทำอีกแล้ว”ผมบอกกับไอ้ชัย

“อือ...ไอ้วิทย์มันว่า มันจะเลิกคบมึง”ไอ้ชัยบอก ซึ่งผมก็เห็นว่าสมควรและคงไม่โกรธพวกมันเลยถ้าพวกมันทำอย่างนั้นจริงๆ แต่สุดท้ายเราก็กลับมาคบกันเหมือนเดิม เพราะเช้าวันใหม่ไอ้วิทย์มาโรงเรียนด้วยใบหน้าบวมช้ำ ไอ้รงค์ที่ทำเมินพวกผมมาวันเต็มๆ เลยอดรนทนไม่ไหว เข้ามาถามข่าวคราว

“ก็ยังดี!”มันพูดเมื่อพวกผมเล่าให้มันฟัง ไม่มีใครถามอะไรผมอีก พวกมันคงรู้จากไอ้ชัยแล้ว เราเลือกที่จะไม่พูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีก แต่ทุกครั้งที่พวกมันมาที่บ้านผม ผมก็เห็นพวกมันมองไปที่ประตูบ้านที่ปิดสนิทของพี่เหยาทุกครั้ง

ผมซ้ำชั้นม.4 เพราะขาดสอบ แต่ก็ไม่รู้สึกอะไรมากมาย เพราะผมรู้แล้วว่า มันเป็นผลมาจากการกระทำของผมเอง แต่ผมก็ตัดสินใจ เลิกสร้างปัญหาใดๆอย่างที่เคยพยายามสร้าง ครู อาจารย์ดูจะงงกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างไม่ทันตั้งรับของผม และมีครูบางคนที่ถึงกับออกปากปรามาสผมว่าจะดีได้สักกี่น้ำ แต่เมื่อผลคะแนนกลางภาคออก ครูที่ออกปากปรามาสไว้ก็ทำได้แค่มองหน้าผมอย่างสงสัย...ก็อย่างที่บอกไว้ ผมไม่ใช่เด็กเรียนเลว ดังนั้นเมื่อตั้งใจทำข้อสอบ...จากลำดับท้ายๆ ผมก็กลับมาอยู่ลำดับต้นๆ และผมพบว่าการเป็นอย่างที่เป็นอยู่ มันทำให้ใจผมสงบและสบายใจกว่าที่พยายามทำตัวแย่ๆมาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา

ผมไม่หวังการเรียนในโรงเรียนแล้ว เพราะผมช้ากว่าเพื่อนๆไปหนึ่งปี ดังนั้นผมจึงมุ่งมั่นที่จะสอบเทียบ และสอบโควต้าหรือเอนทรานซ์ให้ได้ อาจจะฟังดูเป็นข้ออ้าง เพราะสุดท้ายมันก็เพื่อตัวผมเอง แต่ด้วยความสัตย์จริงว่า ในครั้งนั้นที่ผมมุ่งมั่น หวังที่จะสอบให้ได้ เพราะผมอยากกำจัดข้ออ้างต่างๆ นาๆที่ผมเคยยกมาอ้าง ผมอยากแสดงให้ตัวเองเห็นว่า สุดท้ายแล้วไม่มีใครเลยที่ทำร้ายผม นอกจากตัวผมเอง ที่ทำร้ายตัวเอง และคนอื่น

แม่ค่อยบ่นผมน้อยลง เมื่อไม่ได้รับข่าวแย่ๆเกี่ยวกับผมจากโรงเรียน แต่ผมก็ยังคงเก็บเรื่องเรียน กศน ไว้เป็นความลับอยู่ดี

และถึงแม่จะยังบ่นเสียดายไม่เลิกที่พี่เหยาต้องดร็อปเรียนไป ซึ่งส่งผลให้พี่เหยาขาดคุณสมบัติที่จะได้รับเกียรตินิยมแม้ว่าผลการเรียนที่ทำไว้จะดีแค่ไหน หรือผลการเรียนในปีที่เหลืออยู่จะสูงลิบลิ่วยังไงก็ตาม แต่ผมก็ไม่นึกพาลโกรธพี่เหยาอีกแล้ว ตรงข้ามผมนึกเสียใจเพราะตัวเองเป็นสาเหตุ

ผมไม่กลับเข้าไปในบ้านทอมอีก จนในที่สุด ทอมก็เลิกเปิดประตูไว้รอท่าผมเช่นกัน

ผมไม่ได้พบ ไม่ได้เจอพี่เหยาอีกเลย...สิ่งที่บ่งบอกว่าพี่เหยายังมีตัวตนอยู่ ก็คือคำชื่นชมของแม่ที่มีถึงพี่เหยาเสมอๆแค่นั้น

ปลายปีนั้น ผมเอาหนังสือมอบตัวเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่มายื่นให้แม่

แม่มองกระดาษแผ่นนั้นที มองหน้าผมที จนพ่อมาดึงไปอ่าน

“เอกสอบเทียบ?”พ่อถามอย่างงงๆ

“แล้วทำไม่ไม่เคยบอก?”พ่อถาม จากงงๆเปลี่ยนเป็นคาดคั้น

“ก็กลัวพลาด แล้วจะโดนบ่นโดนเอาไปเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น”ผมตอบ มองหน้าแม่ตาไม่กระพริบ

แม่ร้องไห้ ก่อนทรุดลงไปนั่งที่เก้าอี้ ผมไม่ว่าอะไรอีก เดินขึ้นห้องไปเฉยๆ ไม่สนใจเสียงบ่นของย่าที่ตอนนี้หันไปบ่นว่าแม่แทน

เย็นนั้นเรากินข้าวกันตามปรกติ แม่ไม่ได้ขอโทษหรือพูดชื่นชมกับความสำเร็จของผม เพราะเราต่างก็รู้ว่ามันฝืดเกินไปสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็สังเกตเห็นว่า อาหารเย็นวันนั้นมีแต่ของโปรดผมเต็มโต๊ะ และหลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้ยินแม่พูดถึงพี่เหยาอีกเลย

หลักฐานเดียวที่บอกถึงการมีตัวตนของพี่เหยาจึงหมดไป เรากลายเป็นคนไม่รู้จักกันอย่างสิ้นเชิง...ซึ่งผมก็ยินดีให้เป็นไปอย่างนั้น เพราะถึงอย่างไร หากเลือกได้ ผมก็ยังคงเห็นแก่ตัว ไม่อยากจะจมอยู่กับความผิดที่ตัวเองเคยกระทำ



--------------------

จบตอน 4
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 26-03-2008 21:30:16
 :o12: :o12: :o12: :o12:

อ่านไปทั้งน้ำตา...ของเค้าแรงจริงๆๆ

เป็นกำลังใจให้คนโพสต์ครับ  :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 26-03-2008 21:34:37
 :serius2: อ่านกี่ทีตรูก็จาบร้า

ไม่เข้าใจ  ไม่เข้าใจ  ไม่เข้าใจ    o12 o12 o12

ทำไม ทำไม ทำไม :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 26-03-2008 21:49:56
 :m15:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: in_the_sky ที่ 27-03-2008 00:20:31
 :m15: :sad2: :o12:

อ่านเรื่องนี้ทีไรเครียดทุกที น้ำตานี่ร่วงเป็นปีบ

พี่เหยาเป้นอะไรที่บอบบาง และพร้อมจะแตกสลายไปต่อหน้าเราตลอดเวลา

เกลียดทอมมากๆๆๆ แต่เกลียดเอกมากกว่า ไอ้เด็กเวล

ทั้ง ๆที่รู้ว่ามันเป็นปค่เรื่องแต่ง แต่เวลาอ่านมันเหมือนกับเรื่องจริง

และมันก็กำลังเกิดขึ้นกับเด็กผู้ชายคนใดคนหนึ่งในโลกนี้อยู่เรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 27-03-2008 03:03:46
สงสารพี่เหยา อ่านไปแย้วรู้สึกอึดอัดๆๆๆ :serius2:

ของเค้าดีจริงๆ    o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-03-2008 20:06:34

ทั้ง ๆที่รู้ว่ามันเป็นแค่เรื่องแต่ง แต่เวลาอ่านมันเหมือนกับเรื่องจริง

และมันก็กำลังเกิดขึ้นกับเด็กผู้ชายคนใดคนหนึ่งในโลกนี้อยู่เรื่อยๆ

คิดเหมือนกันเลยค่ะ ผู้ชายแบบทอม กับเด็กแบบเหยา ต้องมีอยู่ในโลกแห่งนี้แน่
ไม่รู้เหมือนกันว่าจิตใจของเขาทำด้วยอะไร ถึงทำกับเด็กแบบนี้ได้ลงคอ
ความสุขของคุณ แลกมาด้วยความทรมานของคนอื่น มันดีแล้วเหรอ
หากคุณมีลูก คุณจะรู้สึกยังไงถ้าลูกของคุณถูกกระทำแบบนี้
 :sad2:  :sad2:  :sad2:  :sad2:

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-03-2008 20:10:10
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ #5

ปีต่อมา ผมเข้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ๆพร้อมกับ ไอ้ชัย และ ไอ้รงค์ ส่วนไอ้วิทย์ มันพลาด เพราะคณะที่มันเลือก การแข่งขันสูงลิบ แต่มันก็ไม่อยากกลับไปนั่งเรียนต่อชั้นม.6 โดยไม่มีพวกผมเรียนด้วย มันเลยสอบเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนที่เดียวกับพี่เหยา ซึ่งในตอนแรก มันบอกว่าจะเรียนรอเวลา เพื่อสอบใหม่ในปีหน้า แต่สุดท้ายเมื่อลองได้เรียนแล้ว มันก็ตัดสินใจเรียนต่อจนกระทั่งจบ

เป็นนักศึกษายังไม่ทันที่เสื้อจะหมดกลิ่นผ้าใหม่ ผมก็มีแฟน ซึ่งแน่นอนว่าแฟนผมเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ว่าผมจะเปลี่ยนรสนิยม หรือว่าอยากปกปิดตัวเอง แต่เพราะเหตุผลง่ายๆคือ...แฟนผู้ชายหายากกว่าแฟนผู้หญิง และก็อย่างที่บอก ผมเป็นไบเซ็กซ์ชวล คือ ผู้หญิงก็โอเค แต่ถ้าให้ดี ผมก็ขอผู้ชายดีกว่า...

ก็ในเมื่อผมเป็นผู้ชาย การที่จะเดินเข้าไปหาผู้ชายสักคนที่รู้สึกถูกใจ เอ่ยปากขอเป็นแฟน แล้วกลับออกมาด้วยสภาพเต็มร้อยนั้นเป็นเรื่องยาก ทฤษฎีที่ว่าด้วยเรื่อง...ผีย่อมมองเห็นผีด้วยกันนั้น ผมขอยืนยันว่าไม่จริงเสมอไป ผมแยกไม่ออกว่า คนไหนชายแท้หรือชายเทียม ที่พอจะมองออกก็คือหญิงเทียม แต่นั่นก็ไม่ใช่รสนิยมผม

และพอเสื้อผมเริ่มหมดกลิ่นผ้าใหม่ ผมก็เลิกกับแฟนคนที่ 3

พวกไอ้วิทย์ ก็ได้แต่แซวว่า ผมเปลี่ยนแฟน เร็วกว่าเปลี่ยนผ้าอ้อม... ผิดกับไอ้รงค์ ที่คบกับแฟนตั้งแต่สมัยรับน้อง มันคบของมันมาเรื่อยๆ เสมอต้นและเสมอปลาย

ส่วนไอ้วิทย์กับไอ้ชัย ผมไม่เคยเห็นพวกมันคบใคร มันคบกันอยู่ยังไงก็คบกันอยู่อย่างนั้น ไปไหนก็ไปกัน ถึงเรียนกันคนละมหาวิทยาลัย แต่พอว่าง มันก็ควบมอเตอร์ไซด์ไปหากันทุกที ซึ่งแน่นอนว่า มีผมพ่วงไปด้วยทุกครั้ง

พูดถึงไอ้วิทย์แล้ว มันเคยมีแฟนครั้งหนึ่ง แต่เลิกไวยิ่งกว่าโกหกคือ ตอนเช้าวันจันทร์มันโทรมาอวดผมว่า มันมีแฟนแล้ว แต่พอเช้าวันถัดมา พอเจอหน้า มันว่า มันเลิกแล้วตั้งแต่เที่ยงเมื่อวาน ซึ่งก็คือวันจันทร์ รวมแล้ว มันได้ชื่อว่าคนมีแฟนอยู่สัก 4-5ชั่วโมงเห็นจะได้ ผมไม่กล้าถามมันมาก กลัวมันจะช้ำใจ แต่มองยังไงมันก็ดูไม่สะดุ้งสะเทือนสักนิดเดียว ซึ่งก็ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก เพราะทุกครั้งที่ผมต้องเลิกกับแฟน ผมก็ไม่รู้สึกอะไรมากนัก รู้สึกก็แค่เสียดายความสัมพันธ์ดีๆกับคนหนึ่งคนที่ต้องเสียไปเพียงเท่านั้น

ผมเลิกมองหาแฟนคนที่สี่ เพราะชักเริ่มรู้สึกเบื่อ หรืออีกนัยหนึ่งคือผมรู้สึกว่าการผูกตัวเองไว้กับ ไอ้วิทย์และไอ้ชัยสนุกกว่ากันเยอะ

และอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมสัมผัสได้เพียงแผ่วๆจากก้นบึ้งของความรู้สึกตัวเองคือ เพราะรอบๆตัวผมที่มองเห็น ไม่เหลือผู้หญิงคนไหนอีกแล้วที่โดนใจผม

ผมยอมรับว่า แรกเริ่มสำหรับแฟนทั้ง 3 คน ผมถูกใจผิวขาวๆของเธอทั้ง 3 คน

ผมยอมรับ แม้ไม่ได้คิดในวินาทีแรกที่ได้เห็น แต่มันก็แทบจะเป็นวินาทีที่สอง ที่อยากสัมผัสผิวของพวกหล่อน

ผิวขาว...ที่เพียงสัมผัสนิด ก็ทิ้งรอยแดงไว้บนผิวเนื้อ...ผิวขาวๆของพี่เหยา ที่เหมือนจะลืมไปแล้ว แต่กลับจดจำได้ยิ่งกว่าที่ตัวเองคิด

ผมไม่แน่ใจว่า พวกไอ้วิทย์รู้หรือเปล่าว่า ผมมีรสนิยมแบบนี้ แต่ผมเดาเอาเองว่า พวกมันรู้ เราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องต้องห้าม เพียงแต่มันก็เหมือนกับที่เราไม่เคยคุยกันว่า...กูเป็นผู้ชาย...นั่นแหละ มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่จำเป็นต้องก้าวก่ายกัน ตราบใดที่เราไม่คิดจะเอาร่างกายมาก่ายกัน ก็เท่านั้น

ผมกับไอ้ชัยซึ่งไม่มีแฟนทั้งคู่ ทำตัวเหมือนเด็ก 2 มหาวิทยาลัย คือเรียนที่หนึ่ง แต่ไปคลุกอยู่อีกที่หนึ่ง จนเด็กที่มหาลัยไอ้วิทย์ คิดว่าพวกผมเป็นเด็กต่างสาขา แต่มหาวิทยาลัยเดียวกัน และบางครั้ง ผมกับไอ้ชัยก็แอบเข้าไปนั่งตากแอร์เย็นๆในห้องเรียนกับไอ้วิทย์ด้วยซะงั้น

และเพราะผมไปที่มหาลัยไอ้วิทย์บ่อยๆ จึงมีโอกาสพบเห็นพี่เหยาบ่อยขึ้น

ผมเคยคิดว่า เมื่ออยู่ที่มหาลัย พี่เหยาคงไม่ค่อยคบใคร เพราะเมื่ออยู่ที่บ้าน พี่เหยาก็แทบจะเก็บตัวไม่ออกไปไหน ยิ่งเมื่อมีเรื่องกับผมด้วยแล้ว พี่เหยาก็เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ทั้งเมื่อก่อนพี่เหยาก็ไม่เคยพูดถึงเพื่อน หรือโรงเรียน และไม่มีสักครั้งที่พี่เหยาพาเพื่อนมาที่บ้าน ผมจึงคิดว่า ที่มหาวิทยาลัยแล้ว พี่เหยาคงไม่ต่างกัน

แต่ที่มหาวิทยาลัยแล้ว กลับต่างกับที่ผมคิด พี่เหยาไม่ได้เก็บเนื้อเก็บตัวหรือไม่คบใคร พี่เหยาก็วางตัวธรรมดาๆ มีเพื่อนสามสี่คนที่เห็นอยู่ด้วยกันเสมอ และหนึ่งในนั้นคือพี่นัท เพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมปลายที่ดูจะสนิทกับพี่เหยามากกว่าคนอื่นๆ เวลาอยู่กับเพื่อนๆ พี่เหยาก็ยิ้ม เพียงแต่ไม่หัวเราะ เหมือนเวลาที่เคยอยู่กับผม พี่เหยาพูดคุยกับเพื่อนแต่ก็ไม่ดูเจ้าอารมณ์ ขี้หงุดหงิด หรือช่างแกล้ง เหมือนเวลาที่อยู่กับผม และการพูดน้อย ยิ้มน้อยนั้นก็จางหายไปทันทีที่พี่เหยาเห็นผม พี่เหยาไม่ได้ทำหน้าหงิกเป็นตีนไก่ อย่างที่เคยทำกับผมบ่อยๆ พี่เหยาเพียงแค่มอง ไม่ยิ้ม ไม่บึ้งตึง...เพียงแค่มองเหมือน มองคนไม่รู้จัก เพียงแค่นั้น

สิ่งที่ได้เห็น มันทำให้ผมคิดถึงสัมพันธภาพเก่าๆของเรา นึกถึงพี่เหยาที่พูดคุย หัวเราะถึงหนังที่เรานั่งดูด้วยกัน คิดถึงพี่เหยาที่นอนอ่านการ์ตูนที่ซื้อมาฝากผม และซุกตัวหลับอยู่บนเตียงตัวเล็กๆของผม และพี่เหยาที่นั่งอ่านหนังสือหน้าเครียดอยู่ที่ระเบียงห้องแคบๆของผม....ผมคิดถึงภาพและความรู้สึกเหล่านั้น ผมนึกสงสัยว่าในเวลานี้ พี่เหยาจะมีที่ไหนให้ซุกตัวนอนได้อย่างสบายใจ ในเมื่อห้องเล็กๆของผมที่พี่เหยาเคยยึดไว้เป็นเกราะกำบังกายถูกผมทำลายลงเสียแล้ว พอนึกอย่างนี้แล้ว ผมก็อยากดึงวันเวลาเก่าๆกลับมา อยากให้พี่เหยายิ้ม หัวเราะและพูดคุย อยากให้พี่เหยาทำหน้าบึ้ง เอาไม้บรรทัดเคาะหัวผม แล้วก็นอนหลับสบายอยู่บนที่นอนผม...เมื่อกลับมาเห็นพี่เหยาอีกครั้ง ผมถึงรู้ว่า ณ.วันนี้ ผมคิดถึงวันเวลาที่เสียไปเหลือเกิน

และความรู้สึกคิดถึงนั้น ก็ปนเปื้อนมากับความอิจฉา เมื่อพบว่าไอ้วิทย์กับพี่เหยารู้จัก และพูดคุยกันมากกว่าที่ผมเคยรู้

วันนั้นผมซ้อนมอเตอร์ไซด์ไอ้ชัย มาหาไอ้วิทย์เหมือนเคย

ไอ้วิทย์อยู่ที่โรงอาหาร นั่งกินข้าวอยู่ ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกอะไร แต่สิ่งที่ผมแปลกใจคือ มันนั่งอยู่กับพี่เหยา พูดคุยกันอย่างคนเคยคุ้น

พี่เหยาเงียบเสียงคุย เมื่อสังเกตเห็นผม และวางช้อนลงทันที ข้าวในจานยังเหลืออยู่กว่าค่อนเมื่อผมเดินเข้าไปสมทบที่โต๊ะ

และทันทีที่ผมนั่งลง พี่เหยาก็ลุกขึ้นทันที

“เดี๋ยวผมเอาไปคืนให้ที่โต๊ะนะพี่”ไอ้วิทย์พูดกับพี่เหยาเป็นปกติ

“เดี๋ยวพี่มีเรียน ยังไงฝากไว้ที่พี่นัทก็ได้”พี่เหยาตอบ และเรียกตัวเองด้วยสรรพนามที่ครั้งหนึ่งเคยพูดกับผม

“ไม่ยักรู้ว่ามึงสนิทกับพี่เค้าขนาดนี้”ผมพูดกับไอ้วิทย์เมื่อพี่เหยาเดินจากไปแล้ว

ผมไม่รู้ว่าตัวเองพูดด้วยน้ำเสียงยังไง แต่ไอ้ชัยมันหันมามองหน้าผมอย่างผิดสังเกต ในขณะที่ไอ้วิทย์ยังก้มหน้าก้มตากินข้าวในจานของมันต่อไป

“ทำไมพี่เค้ายังยอมคุยกับมึงวะ?”ผมยังไม่หยุดเมื่อไอ้วิทย์ไม่โต้ตอบ

“เพราะกูไม่เหี้ยเหมือนมึงน่ะสิ!”คราวนี้ไอ้วิทย์สวนกลับ แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก และกลายเป็นผมที่ต้องเงียบ ไม่ใช่ไม่โต้ตอบ แต่เพราะเป็นความจริงที่ผมไม่มีหน้าจะโต้ตอบ

วันนั้นผมถึงรู้ว่า เมื่อเราทำผิด เราอาจขอให้ใครสักคนยกโทษให้เราได้ แต่อย่าหวังว่าเขาจะลืมในความผิดนั้น แม้ความผิดนั้นจะไม่ถูกพูดถึง แต่ผมรู้ในวันนั้นว่า มันจะติดอยู่ในใจ ในความคิด หรือในความทรงจำของทุกคนไปจนตาย

วันนั้นผมเลยได้แค่ซึมไปทั้งวัน ไอ้ความอิจฉามันก็ยังกรุ่นๆอยู่ในใจ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้

ถึงผมจะอยากให้ความสัมพันธ์ของผมกับพี่เหยากลับมาเป็นเหมือนเก่า แต่ก็ไม่เคยคิดจะหวังเพราะมองไม่เห็นช่องทางแม้สักนิด ผมจึงได้แต่ปล่อยให้วันแต่ละวันผ่านไปอย่างที่มันควรจะเป็น...คือผ่านไปอย่างคนไม่รู้จักกัน

แต่ชีวิตมันก็เหมือนเรื่องตลก เหมือนที่หนังสือเล่มหนึ่งพูดไว้ว่า เพียงเราเดินเร็วขึ้น 2 ก้าว โลกก็เปลี่ยนไปแล้ว....

วันนั้น ผมไม่ได้เดินเร็วขึ้น 2 ก้าว หรือเดินช้าลง 2 ก้าว เพียงแค่ตื่นเช้าขึ้นเท่านั้น...

วันนั้นเป็นปลายหน้าฝน ต้นหน้าหนาว มหาวิทยาลัยเพิ่งปิดภาคเรียนไปได้ไม่กี่วัน ไม่มีวันไหนที่น่านอนเท่าวันนั้นอีกแล้ว แต่ผมกลับตื่นขึ้นมาแต่เช้า ลุกขึ้นทั้งๆที่ร่างกายเรียกร้องให้ล้มตัวลงไปนอนต่อ ทั้งที่ไม่มีธุระอะไรแต่เช้า แต่ผมก็ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและน้ำที่เย็นก็แทบจะทำให้ผมวิ่งกลับขึ้นตียง นอนซุกในผ้าห่มผืนหนาอีกครั้ง แต่ผมไม่ได้ทำอย่างที่ใจอยากสักอย่างเดียว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไม

ย่าเปิดร้านแต่เช้าเหมือนเคย และก็ทิ้งร้านไปยืนเสวนากับเหล่าแม่บ้านที่จอดมอเตอร์ไซด์แวะทักทายกันก่อนและหลังไปจ่ายตลาด

บอกไม่ได้ว่าวันนี้ต่างจากทุกวัน หรือ เหมือนกับทุกวัน ที่ทั้งพ่อและแม่ก็ไม่อยู่ในบ้านกันสักคน เพราะอย่างที่บอก ผมไม่เคยลืมตาตื่นเช้าแบบนี้มาก่อน

ผมเดินออกมาที่หน้าร้าน หวังจะมองหาแม่ เพื่อเรียกร้องอาหารมื้อเช้าในเวลาที่เช้ากว่าเคย

แม่ยืนห่างจากบ้านไปไม่ไกลนัก คือแค่หน้าบ้านถัดไป...บ้านของทอม

แม่ยืนอยู่ตรงนั้น กับ พ่อ ย่า และทอม และที่ยืนอยู่ระหว่างทอมกับแม่คือพี่เหยา

ดูคล้ายทอมและพี่เหยากำลังจะออกเดินทาง

รถแวนของทอมจอดเตรียมพร้อมไว้ที่ริมทางเท้าแล้ว

ผมถอยกลับเข้ามาในร้านเมื่อ ถูกแม่สังเกตเห็นเข้า แต่ยังแอบมองพวกเขาจากเงาที่สะท้อนบนกระจกตู้น้ำอัดลม

ดูเหมือนทอมจะพูดอะไรสักอย่างกับพี่เหยา แล้วพี่เหยาก็เดินออกมาจากกลุ่มสนทนาขนาดย่อมนั้น ตรงมาทางบ้านผม

ผมลังเลนึกอยากวิ่งหนีกลับเข้าไปด้านในบ้าน แต่อีกใจก็ดีใจเหลือเกิน

วันนี้พี่เหยาใส่เสื้อหนาวไหมพรมสีน้ำเงินเข้ม ที่ผมไม่คุ้นตา

แก้มพี่เหยาแดงจัด อย่างที่เป็นเสมอๆเมื่ออากาศเปลี่ยน ไม่ว่าจะร้อนหรือหนาว

กลิ่นหอมจางๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยชินจมูก วันนี้กลับมาแตะที่ปลายจมูกผมอีกครั้ง และยิ่งทำให้รู้สึกหอมเมื่อสังเกตเห็นว่า ผิวของเจ้าของดูคล้ายจะเพิ่งผ่านการอาบน้ำมาไม่นานนัก และผมเส้นเล็กๆนั้นก็คล้ายจะเพิ่งสระมาหมาดๆ จนผมนึกได้กลิ่นแชมพูจางๆ

“ทอมขอบุหรี่”พี่เหยาพูด เสมองไปทางอื่น ไม่มองหน้าผมสักนิด

เป็นครั้งแรกในช่วง 2 ปี ที่เรายืนประจันหน้ากันอย่างนี้ และทำให้นึกถึงครั้งแรกที่พี่เหยาเดินมาซื้อบุหรี่ให้ทอม

‘ทอมขอบุหรี่’ วันนั้นพี่เหยาก็พูดแบบนี้ เพียงแต่วันนั้นผมยังต้องเงยหน้ามองดูพี่เหยา

‘ของขาย ขอได้ไง’ผมหาเรื่องยียวน เพราะเริ่มๆจะเคยคุ้นกันแล้ว ทั้งยังสบโอกาสเอาคืนบ้างหลังจากเป็นฝ่ายถูกแกล้งบ่อยๆ

‘แล้วเขาก็ห้ามขายบุหรี่ให้เด็กด้วย’ผมว่างั๊น เพราะเคยได้ยินพ่อพูดบ่อยๆกับลูกค้าที่พ่อแอบเรียกลับหลังว่า พวกเด็กแก่แดด พ่อไม่รู้เลยว่าอีกไม่กี่ปีหลังจากนั้น ลูกชายพ่อก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน

‘จะหยิบมาให้ดีๆ หรือว่าจะให้ไปซื้อร้านอื่น?’ พี่เหยาขู่กลับ แต่ผมไม่สน เพราะร้านอื่นที่ว่าอยู่ห่างไปตั้งไกล

เมื่อเห็นผมยังก้มหน้าก้มตาทำการบ้าน พี่เหยาเลยเอื้อมมือไปหยิบบุหรี่จากตู้ที่วางอยู่ข้างโต๊ะ โดยแกล้งเอื้อมมือข้ามหัวผมโดยไม่จำเป็น พอผมจะลุกขึ้นโวย พี่เหยาก็กดศอกลงยันหัวผมไว้ไม่ให้ลุกขึ้น

‘โอ๊ย!!!’ ผมร้องลั่นทั้งที่พี่เหยากดลงแค่เบาๆ

พี่เหยาหัวเราะ ยังกดศอกข้างหนึ่งไว้บนหัวผม ในขณะที่ล้วงมือที่ว่างลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้ววางตังค์ไว้บนโต๊ะ 20 บาท

‘ไม่ครบ!’ผมโวยดังยิ่งกว่าเดิม เมื่อพี่เหยาเอาศอกออก แล้วยัดบุหรี่เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง

‘อ้าว...เด็กลดครึ่งราคาเหมือนรถเมล์ไง!’พี่เหยาพูดแล้วเดินหนีไปซะงั๊น

วันนี้ ผมไม่ต้องเงยหน้ามองดูพี่เหยาเหมือนวันนั้นแล้ว ตรงข้ามผมเป็นฝ่ายมองดูพี่เหยาจากมุมที่สูงกว่า




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-03-2008 20:13:32
แม้จะอยู่ในเสื้อไหมพรมตัวใหญ่ แต่ดูตัวพี่เหยาไม่ฟูๆบวมๆ อย่างที่หลายคนเป็นเวลาใส่เสื้อไหมพรมตัวหนา ตรงข้าม มันกลับทำให้พี่เหยาดูตัวเล็กบางกว่าภาพที่ผมจดจำได้

“ของขาย ขอได้ไง”ผมพูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร

พี่เหยาเฉยๆ ไม่ได้หันมามอง หรือหัวเราะ ซึ่งผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

ผมเอื้อมไปหยิบซองบุหรี่ยี่ห้อประจำของทอม ในขณะที่ตายังจับจ้องอยู่ที่มือของพี่เหยาที่กำลังเปิดกระเป๋าตังค์

มือพี่เหยาวันนี้ดูเล็กบางกว่ามือของผม มันดูไม่ใหญ่โตเหมือนที่ผมเคยรู้สึกเมื่อครั้งยังเด็ก เมื่อครั้งที่พี่เหยายังชอบตบหัวผมเล่น

และวันนี้พี่เหยาก็ไม่ได้ใช้กระเป๋าตังค์ใบเก่าแล้ว

พี่เหยาวางตังค์ลงบนโต๊ะ เมื่อผมส่งซองบุหรี่ให้ และผมดึงมันกลับเมื่อพี่เหยาเอื้อมมือจะรับ

“พี่อยากไปหรือเปล่า?”อะไรไม่รู้ทำให้ผมถามออกมา และเป็นครั้งแรกที่พี่เหยาเงยหน้ามองดูผม แต่สุดท้ายพี่เหยาก็ไม่ตอบอะไร ดึงบุหรี่จากมือผม และเดินออกไปโดยไม่รอตังค์ทอน

ผมมองดูพี่เหยาเดินจากไป และนึกเห็นภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

นึกเห็นภาพข้อมือเล็กๆที่ดูจะไร้เรี่ยวแรงดิ้นรนในอุ้งมือที่หยาบหนา

นึกเห็นภาพผิวเนื้อขาวที่แดงช้ำ หากแต่มิใช่เพราะความหนาวเย็นของอากาศ

และนึกเห็นภาพของดวงตาที่หลับสนิท คล้ายไม่อยากมองเห็นโลกของความจริงที่กำลังดำเนินอยู่เบื้องหน้า

ผมไม่อาจลืมได้ว่า...ครั้งหนึ่งผมคือโลกที่พี่เหยาปฏิเสธที่จะมอง แต่วันนี้ผมไม่อยากให้สิ่งที่นึกเห็นเกิดขึ้น...ผมอยากปกป้อง...เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เมื่อผมมองเห็นพี่เหยาหันหลังเดินจากไป....

ผมยกหูโทรศัพท์ขึ้นก่อนที่จะทันคิดว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมเคยคิดเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าทุกครั้งที่สังเกตเห็นว่าทอมและพี่เหยาไม่อยู่บ้าน ทุกครั้งที่ผมสังเกตเห็นว่าทอมพาพี่เหยาไปอีกแล้ว เพียงแต่ทุกครั้งผมทำได้แค่คิด แต่วันนี้มันต่างไป

ผมกดเบอร์บ้านทอม แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ วางหูโทรศัพท์ลง และยกขึ้นมาอีกครั้ง

ไอ้วิทย์ หรือไอ้ชัย? ผมลังเล แต่เมื่อนึกถึงภาพไอ้วิทย์ที่นั่งคุยกับพี่เหยาแล้ว ผมก็เลือกกดเบอร์ไอ้ชัย

ผมภาวนาให้ไอ้ชัยเป็นคนรับสาย ไม่ใช่พ่อหรือแม่ของมัน เพราะนี่เพิ่ง 7 โมงกว่าๆ พ่อกับแม่ มันต้องไม่ชอบใจแน่

เสียงรับสายงัวเงียคือเสียงไอ้ชัย ทำให้ผมเบาใจได้หน่อย ผมไม่รอช้าบอกสิ่งที่ผมคิด และไม่สนใจเสียงค้านของมัน ผมบอกหมายเลขโทรศัพท์บ้านของทอมให้กับมัน และวางหู ก่อนที่มันจะโน้มน้าวให้ผมล้มเลิกสิ่งที่กำลังคิดจะทำ

ผมรีบเดินออกไปร่วมวงสนทนา

แม่หันมามองผมอย่างแปลกใจ ในขณะที่พี่เหยาส่งสายตาระแวงอย่างไม่ปิดบังมาที่ผม

“ฝนตกหนักแน่วันนี้ เอกตื่นเช้า”แม่ว่าพลางเงยหน้ามองดูฟ้าฝน

“ช่วงเปลี่ยนฤดู ฝนไม่ตกสิแปลก”ผมแย้ง เพราะนี่เพิ่งอยู่ในช่วงปลายฝน ต้นหนาว ที่ฝนยังโปรยปรายอยู่แทบทุกวัน ทำให้ลมหนาวยิ่งบาดไปถึงเนื้อกระดูกจนผมต้องยืนกอดอก ห่อไหล่งุ้ม เพราะไม่ได้คิดว่าจะต้องออกมายืนตากลม ผมเลยไม่ได้ใส่เสื้อหนาวอย่างคนอื่นๆ

“เห็นไอ้วิทย์ว่า ช่วงปลายเทอมนี่ต้องเตรียมpresentงานเยอะ ปี4ไม่ต้องเหรอ”ผมรีบหันไปถามพี่เหยาเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากข้างในบ้านทอม

พี่เหยาทำท่าจะผละไปรับโทรศัพท์ แต่ทอมยกมือห้ามไว้ ก่อนเป็นฝ่ายผละไป และหายเข้าไปในบ้าน

พี่เหยาไม่ได้ตอบคำถามผม และผมก็ไม่ได้รอคำตอบจากพี่เหยาเช่นกัน

ไม่นาน ทอมก็เรียกพี่เหยาให้เข้าไปรับสาย

ผมยืนรออย่างใจจดใจจ่อ จนพี่เหยาเดินกลับออกมา

พี่เหยามองหน้าผม ก่อนที่จะหันไปหาทอม คล้ายคนลังเลและตัดสินใจไม่ถูก

“เพื่อนโทรมา ว่างานที่ส่งไปมีปัญหาอาจารย์ไม่ให้ผ่าน ต้องแก้ใหม่แล้วก็ไปpresentใหม่ก่อนที่อาจารย์จะตัดเกรด ให้ไปเจอกันที่มหาลัย”พี่เหยาพูดออกมาในที่สุด ตายังจับจ้องอยู่ที่หน้าทอม แต่ไม่ใช่ด้วยความเด็ดเดี่ยวหรือความกล้า มันดูคล้ายกับว่า พี่เหยาไม่กล้าขยับอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดเลยของร่างกาย แม้แต่ลูกกะตาต่างหาก

ทอมดูจะหงุดหงิดเล็กน้อย ส่งภาษาคุยกับพี่เหยาเบาๆ และพี่เหยาก็พึมพำตอบ ค่อยจนทอมต้องถามซ้ำ และต้องถามซ้ำอีกครั้ง เมื่อคำตอบที่ได้รับนั้นยังดังอยู่แค่ในลำคอ

ทั้งที่ตาพี่เหยายังจับจ้องอยู่ที่ทอม แต่ผมสัมผัสได้ถึงอาการขวัญเสียของพี่เหยา

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงนึกขัน...เพราะไม่ใช่พี่เหยาหรืออย่างไร ที่ไล่ต้อนผมด้วยคำถาม จนผมต้องสารภาพความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า

ภาพพี่เหยาที่ตัวโตและเหนือกว่าผม ค่อยๆจางไปจากความรู้สึก และถูกแทนที่ด้วยภาพของคนที่ตัวเล็กกว่า และอยากเหลือเกินที่จะปกป้อง

“พี่จะเข้าไปมหาลัยตอนนี้เลยหรือเปล่า?”ผมถามขึ้น ไม่รู้ล่ะว่าเขาคุยกันถึงไหน หรือพี่เหยาบอกอะไรกับทอมไปแล้วบ้าง แต่ถ้าปล่อยให้พี่เหยายืนอยู่อย่างนั้น ผมว่าแผนเสียหมดแน่ๆ

“ถ้าพี่เข้าไปเลย ผมจะติดรถเข้าไปด้วย พอดีนัดไอ้วิทย์ไว้ 8 โมง”ผมถามต่อ แถมกำหนดเวลาให้เสร็จสรรพเพราะพี่เหยาไม่ยอมตอบอะไรเลย

“ไปเองสิ กวนพี่เขาทำไม”แม่แย้ง

“ขี่มอเตอร์ไซด์หน้าหนาว หนาวจะตาย!”ผมตอบ

“แล้วเดี๋ยวจะกลับยังไง?”แม่ยังไม่ลดละ

“เดี๋ยวให้ไอ้วิทย์มาส่ง บ้านมันใกล้แค่นี้เอง”ผมตอบ นึกภาวนาให้แม่หยุดซักเสียที แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง

“อ้าว แล้วทำไมไม่ให้วิทย์แวะรับล่ะ?”

“เมื่อคืนมันค้างที่หอเพื่อน”ผมคิดหาคำตอบให้ไม่น่าสงสัยจนหัวหมุน

“ตกลงพี่จะเข้าไปมหาลัยเลยหรือเปล่า?”ผมรีบหันไปถามพี่เหยา ก่อนที่แม่จะตั้งคำถามอะไรต่อ

พี่เหยายังจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าทอม แต่สักพักก็พยักหน้ารับ

ไม่รู้ว่า เกิดมาทอมไม่เคยโดนใครหลอก ไม่เคยหลอกใคร หรือว่า เชื่อใจพี่เหยามากเกินไปกันแน่ ถึงจับอาการผิดปกติของพี่เหยาไม่ได้

ทอมบ่นพึมพำและส่ายหัว ก่อนเดินไปเปิดรถและหยิบสัมภาระของพี่เหยาลงจากรถ และแม้ว่าพี่เหยาจะเดินตามเข้าไปรับสัมภาระนั้น แต่ทอมก็เป็นฝ่ายถือ และเดินหายกลับเข้าไปในบ้าน โดยมีพี่เหยาเดินตามไป

ทอมกลับออกมาอีกครั้ง และเปิดประตูบ้านจนสุดเพื่อให้พี่เหยาถอยรถอีกคันออก ตลอดเวลานั้น พี่เหยาคอยเดินตามทอมตลอด จนแม้เมื่อทอมเดินไปที่รถตัวเองเพื่อขยับรถเดินหน้าเปิดทางให้พี่เหยาถอยรถอีกคันออก พี่เหยาก็ยังเดินตามทอม จนทอมหันมาและชี้มือชี้ไม้ไปที่รถของพี่เหยาที่จอดนิ่งอยู่ในบ้าน

ผมใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆ กับท่าทางของพี่เหยา แต่ดูทอมจะตีความหมายของท่าทางนั้นผิดไป ทอมพูดอะไรบางอย่างกับพี่เหยา แต่ไม่ใช่คำตำหนิ หรือบ่นว่าแล้ว เพราะทอมยิ้ม มือใหญ่หนานั้นตบลงบนหัวของพี่เหยาเบาๆคล้ายปลอบใจ

เห็นภาพแบบนี้ แล้วใครจะเชื่อว่า นั่นคือทอม ที่ทำร้ายพี่เหยา

แม้แต่ผมเองบางครั้งยังเคยคิดว่า เรื่องที่เคยเกิดขึ้นเป็นแค่ความฝันหรือเปล่า

ถึงแม้ทอมจะตัวสูงใหญ่ แต่ก็สุภาพและดูใจดีเสมอ โดยเฉพาะกับพี่เหยา

ภาพทอมที่คอยหอบ คอยถือสัมภาระลงจากรถ บางครั้งชิ้นใหญ่ บางครั้งชิ้นเล็ก อีกบางครั้งเที่ยวเดียว หรือบางครั้งหลายๆเที่ยวนั้นมีให้เห็นจนชินตา

ประตูบ้านจนบางครั้งแม้แต่ประตูรถ ทอมเปิด ปิดให้ตลอด ซึ่งก็ไม่ขัดตานัก เพราะเป็นที่เข้าใจกันว่า อาจด้วยความเคยชินอย่างที่ทอมเคยเล่าว่า...เป็นคนที่ 3 นับจากพ่อแม่ ซึ่งไม่รวมพวกหมอหรือพยาบาล ที่ได้เห็นและอุ้มพี่เหยานับแต่วันลืมตาดูโลก

ภาพที่เห็นทอมทำอะไรให้พี่เหยาหลายๆอย่างนั้นจึงไม่ขัดตานัก เพราะ พ่อหรือผู้เปรียบเสมือนพ่อ ย่อมไม่มีวันเห็นลูกเติบโตขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียวในด้านของความรู้สึกแล้ว โดยเฉพาะทอมซึ่งตัวสูงใหญ่กว่ามากนั้น แต่ที่ขัดใจผมคือ...ถ้าเช่นนั้นแล้วทอมทำร้ายพี่เหยาลงได้อย่างไรกัน

ผมหยุดความคิดตัวเองลง เมื่อได้ยินเสียงเครื่องกระตุกและดับ...พี่เหยานั่นเอง

ถ้าผมไม่เคยรู้จักหรือนั่งรถที่พี่เหยาขับมาก่อนคงคิดว่า พี่เหยาเพิ่งหัดขับรถและหัดได้แย่มาก เริ่มจากพี่เหยา สตาร์ทรถ ออกตัวและดับ ถึง3 ครั้ง รถถึงจะยอมเคลื่อนตัวกระตุกเหมือนมันขี้เกียจจะขยับ ประตูบ้านแม้ทอมจะเปิดไว้ให้จนสุด แต่พี่เหยาสามารถเอากระจกไปซัดกับมันได้จนบานกระจกหักพับเข้ามา และสุดท้ายทอมต้องกระโดดหลบ เมื่อพี่เหยาจอดรถชนิดห่างจากท้ายรถทอมอันเป็นตำแหน่งที่ทอมยืนอยู่เมื่อครู่นี้ ชนิดห่างแค่ปลายจมูกมด

ผมไม่รอช้ารีบกระโดดขึ้นไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ

“พี่ต้องถอยก่อนนะ ไม่งั๊นเสยรถทอมแน่ พอดีแผนเสียหมด”ผมเตือนเมื่อพี่เหยาเตรียมสตาร์ทรถอีกครั้ง และหัวแทบจะชนกระจก เมื่อพี่เหยาถอยเบียดทางเท้าด้านข้าง

“มองข้างหน้าสิพี่!” ผมร้องเตือน เมื่อพี่เหยาออกรถ ทั้งเร็วทั้งแรง แต่ตาจับจ้องอยู่ที่กระจกส่องหลังตลอด และหัวผมเกือบทิ่มกระจกอีกครั้ง เมื่อพี่เหยาเบรกกึกที่ทางออกหมู่บ้าน แล้วก็จอดแช่อยู่อย่างนั้น เหมือนไม่รู้จะไปทางไหน

เพราะหมู่บ้านที่เราอยู่เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ ทางเข้าออกหมู่บ้าน 2 ทางเชื่อมต่อกับถนนสายหลักของเชียงใหม่ ทางหนึ่งออกตัวเมือง อีกทางตัดออกเส้นรอบเมือง ถนนสายหลักของหมู่บ้านที่ตัดผ่านหน้าบ้านเรา จึงกลายเป็นถนนสาธารณะ มีรถผ่านเข้าออกตลอด 24 ชั่วโมง

เมื่อพี่เหยาจอดคาไว้อย่างนั้น ไม่นาน เสียงแตรรถคันหลังจึงดังลั่น

“เลี้ยวขวาพี่”ผมบอก พี่เหยาออกรถทันที เลยโดนปีบแตรเป็นคำรบสอง จากรถที่แล่นมาทางขวา และเราก็ปาดหน้าเข้าเลนได้แบบหวุดหวิดจะโดนเสยท้าย

แม้จะเป็นหน้าหนาว และแม้ว่าแอร์ในรถจะเย็นเฉียบ แต่ใบหน้าพี่เหยาก็ชื้นไปด้วยเหงื่อ

ผมอยากบอกพี่เหยาให้ใจเย็นๆ ไม่งั๊นเดี๋ยวหัวใจวายตายพอดี...แต่ฟังแล้วมันดูคล้ายคำพูดเยาะเสียมากกว่าชวนขัน ผมเลยเก็บคำพูดตัวเองเสีย

“เลี้ยวขวา”ผมพูดเมื่อพี่เหยาเบรคชนิดเสียงดังลั่นถนนอีกครั้ง ตรงทางสามแยก

“แต่ดูรถก่อนนะ!”ผมรีบเตือน ก่อนพี่เหยาจะเหยียบคันเร่ง

“เปลี่ยนผมขับมั๊ย?”ผมถามนึกเป็นห่วงตัวเอง ยังไงพ่อกับแม่ก็อุตส่าห์เลี้ยงมาจนโตขนาดนี้แล้ว แต่พี่เหยาไม่ตอบ ผมเลยทำได้นั่งตัวแข็งคอยบอกทางไปเรื่อยๆ

การเดินทางอันชวนขวัญเสียของผมจบลงที่ๆจอดรถของมหาวิทยาลัยของพี่เหยา

“ถึงแล้ว ดับเครื่องสิ” ผมบอกเมื่อพี่เหยายังแช่เครื่องไว้อย่างนั้น

“ทอมไม่ตามมาหรอก!”ผมบอกพี่เหยา เมื่อตาพี่เหยายังไม่วายเลิกจ้องกระจกส่องหลัง




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-03-2008 20:18:29
ผมนึกขัน...ไม่ใช่ขันพี่เหยาแต่ขันตัวเอง ที่ขวัญกระเจิงกับการขับรถของพี่เหยา จนไม่ทันคิดว่า คำพูดไหนที่พี่เหยาต้องการมากที่สุด แม้พี่เหยาจะเห็นว่าไม่มีรถทอมตามมา แต่ก็คล้ายว่า พี่เหยาต้องการให้ใครสักคนช่วยยืนยัน ดังนั้นเมื่อผมบอกพี่เหยาว่า...ทอมไม่ตามมาหรอก...ผมเห็นพี่เหยาถอนหายใจ และหันมาจ้องผม ด้วยใบหน้าที่ทำอย่างกับเพิ่งนึกได้มามีผมนั่งมาด้วย

เราจ้องมองกันอยู่เงียบๆ...

ถ้าบอกว่าผมไม่ได้คิดอะไร ก็เป็นการโกหก เพียงแค่ผมคิดว่า...อะไร ที่พี่เหยากำลังคิดอยู่

“เอก นัดวิทย์ไว้ที่ไหน?”พี่เหยาถาม เป็นคำถามที่ผมอดยิ้มไม่ได้ เพราะพี่เหยาเรียกชื่อผม

“ไม่ได้นัด”ผมตอบและรีบหุบยิ้มเมื่อพี่เหยาขมวดคิ้ว จ้องมองปากที่ฉีกยิ้มอยู่ของผม

“แล้วเอกจะไปไหน?”

อีกครั้งที่ผมกลั้นยิ้ม...ครั้งนี้ทั้งดีใจ ทั้งนึกขันตัวเอง...ผมไม่คิดจริงๆว่า แค่พี่เหยาเรียกชื่อผม ผมจะดีใจได้มากมายขนาดนี้ มันเป็นอีกหนึ่งความรู้สึก ที่ผมจดจำมันได้มาจนถึงทุกวันนี้ ความรู้สึกดีใจ จนคล้ายหัวใจจะหลุดออกมาเต้นอยู่ข้างนอกเสียให้ได้

“ยิ้มอะไร?”พี่เหยาถามเสียงเย็น เพราะผมเผลอยิ้มออกมาในที่สุด และแม้ว่าผมอยากจะตอบออกไปว่า...เพราะพี่เรียกชื่อผม...แต่ผมรู้ว่ามันน่าอายเกินกว่าจะพูดออกมาได้

“ไม่ไปไหน...พี่ไปไหน ผมไปด้วย”ผมเลี่ยงไปตอบคำถามแรกแทน

“พี่ยังกลับไปที่บ้านไม่ได้...ผมก็เหมือนกัน แล้วนี่ก็ไม่ใช่มหาลัยผมด้วย”ผมรีบอธิบายก่อนพี่เหยาจะคัดค้านคำพูดหน้าด้านหน้าทนของผม

คล้ายพี่เหยาจะชั่งใจ ก่อนตัดสินใจเปิดประตูรถลงไป...มันไม่ใช่ทั้งการ ตกลง หรือ ปฎิเสธ ข้อเรียกร้องของผม เพราะพี่เหยาเลือกที่จะลงจากรถ โดยไม่สนใจผม

ผมจึงต้องเป็นฝ่ายตามลงไป เพื่อจะได้...ไปด้วยกัน...ถึงพี่เหยาจะไม่ตกลงก็เถอะ

ผมเดินตามพี่เหยาไปเงียบๆ จนถึงม้านั่งริมสระน้ำ...

พี่เหยานั่งลงบนม้านั่งตัวยาว ที่ยาวพอจะนั่ง สองคนได้สบายๆ หรือถ้านั่งเบียดกันนิด ก็นั่งได้สักสามคนแบบไม่ตกเก้าอี้ เพียงแต่พี่เหยาเลือกนั่งลงเสียตรงกลาง แถมเท้าแขนลง เป็นการบอกแบบตรงๆว่าจะนั่งคนเดียว ผมเลยต้องหย่อนก้นลงบนพื้นหญ้าที่ยังเปียกน้ำค้าง...หากมองเผินๆแล้วก็ยังคล้ายกับเรามาด้วยกัน

พี่เหยาเงียบ ผมก็เลยต้องเงียบ...และมันเงียบจนน่าอึดอัด เพราะในตอนนี้ เราไม่ได้สนิทสนมกันขนาดที่จะต่างคนต่างนั่งด้วยกันในความเงียบได้...แต่ครั้นจะชวนคุย ก็ดูจะเป็นการหน้าด้านจนเกินไปเพราะ ถึงอย่างไร ผมก็ยังสำเหนียกในสิ่งที่เคยทำไว้กับพี่เหยาได้

แม้มันจะผ่านไป จนคล้ายเป็นการจดจำการกระทำของคนอื่นเสียมากกว่าการกระทำของตัวเอง...แต่ไม่ได้หมายความว่า พี่เหยาจะคิดและรู้สึกในสิ่งเดียวกันกับผม

เวลาอาจจะผ่านไปนาน หรือจริงๆแล้วแค่ 2 หรือ 3 สาม นาที แต่ความเงียบของพี่เหยา ทำให้ผมรู้สึกคล้ายนั่งอยู่เป็นชาติ ผมอยากให้พี่เหยา เรียกชื่อผมอีกครั้ง หรือไม่ก็ไล่ผมไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ใช่ นั่งเงียบ ให้ผมเป็นฝ่ายเลือกเองว่าควรจะทำอย่างไร

“ผมถามอะไรพี่หน่อยได้ไหม?” ผมถามออกมาหลังจากที่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปอีกชาติเศษ...ถามเพื่อ พี่เหยาจะได้คุยกับผม หรือ ไม่ก็ออกปากไล่ผมไปเสียที

“ไม่ได้!” พี่เหยาตอบ และไม่เลือกที่จะทำทั้งสองอย่าง

...แปลว่ายังไม่อยาก ไล่ แต่ยังไม่อยากพูด...ผมปลอบใจตัวเอง เริ่มนับหนึ่ง ถึงชาติหน้าใหม่ในใจ

ผมพยายามคิดเรื่องนู้น เรื่องนี้ ให้เวลามันผ่านไปเร็วๆ...แต่สุดท้ายก็คิดได้แต่ภาพพี่เหยาที่นั่งอยู่ข้างๆ...

ผมมองดูเป็ดที่ว่ายวนอยู่ในน้ำ ตั้งต้นหาเรื่องคิดใหม่...อีกครั้งที่นึกเห็นภาพพี่เหยาซุกตัวหลับอยู่บนเตียงนอนของผม

ผมเปลี่ยนเรื่องคิดใหม่ คิดถึงรุ่นพี่ที่แอบมองผมบ่อยๆ แล้วอยู่ดีๆหน้ารุ่นพี่ก็กลายเป็นพี่เหยา แต่คราวนี้ พี่เหยาไม่ได้ใส่เสื้อไหมพรมสีน้ำเงิน...พี่เหยาไม่ได้ใส่อะไรเลย...

ผมหันไปจ้องดูพี่เหยาที่ใส่เสื้อไหมพรมสีน้ำเงินแบบจริงๆจัง หวังลบภาพในหัวออกให้หมด...พี่เหยาหันมามองตอบคงเพราะคอยสังเกตผมอยู่ด้วยหางตาเช่นเดียวกัน...

ผมไม่ชอบเวลาที่พี่เหยามองผมแบบนี้...มันไม่มีความเกลียด ความชัง...มันไม่มีอะไรเลย...

ผมถอนหายใจ เลือกกลับไปมองเป็ดตัวขาวๆเหมือนเดิม...

ผมยอมรับ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมยังจดจำร่างเปลือยเปล่าของพี่เหยาได้ ในบางครั้ง ภาพพี่เหยายังเจนตาเมื่อผมปลดปล่อยตังเอง แต่ผมโตพอที่จะรู้แล้วว่า แค่ความคิด ไม่ใช่ความผิดบาปอะไร...อารมณ์ปรารถนา ย่อมถูกกระตุ้นเร้าด้วยสิ่งที่เย้ายวน และร่างกายพี่เหยายังคงเย้ายวนเสมอในความคิดของผม...เพียงแต่เวลานี้ ภาพนั้นผุดขึ้นมาด้วยความคิดฟุ้งซ่าน ผุดขึ้นมาเพื่อเตือนความจำว่า...นับจากนี้และตลอดไป ไม่ว่าผมกับพี่เหยาจะมีความสัมพันธ์กันเฉกเช่นใด หนึ่งในภาพที่จะติดอยู่ในความทรงจำคือภาพอันเลวร้าย และภาพของร่างอันเปลือยเปล่าที่จุดอารมณ์ปรารถนาของผมได้เสมอ และแม้ภาพเหตุการณ์ณ์ที่เกิดขึ้นมันจะดูห่างไกล ราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่ทุกครั้งที่เห็นภาพ สำนึกมันบอกอยู่เสมอ ว่าภาพร่างอันเปลือยเปล่า นั้นคือพี่เหยา ดังนั้นเมื่อผมไม่เคยลืมสัมผัสจากร่างกายพี่เหยา แล้วมีเหตุผลอะไรที่พี่เหยาจะลืมสัมผัสจากมือผม...ผมตำหนิตัวเองที่คิดมักง่ายเกินไปว่าพี่เหยาจะยกโทษให้ผม คิดอย่างคนเห็นแก่ตัว คิดเพียงจากมุมมองและเพียงเพื่อสนองตอบความรู้สึกของตัวเอง... คนกระทำและคนถูกกระทำ ไม่มีทางคิดและรู้สึกได้ในสิ่งเดียวกัน...ผมรู้สึกได้ก็เพียงความอึดอัดของความเงียบนี้..ในขณะที่พี่เหยาอาจจะชิงชังการมีตัวตนอยู่ของผมก็ได้...

ผมเริ่มภาวนาให้พี่เหยาออกปากไล่ผมเสียที ไม่ใช่เพราะอึดอัดในความเงียบ แต่เพราะเริ่มสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังของพี่เหยาที่มีต่อผม...แต่อีกใจส่วนลึกก็ยังภาวนา ขอให้ผมเพียงคิดไปเอง

แล้วอยู่ๆผมก็คิดบางสิ่งขึ้นมาได้...ผมจำได้วันนั้นที่ผมหนีกลับมาจากบ้านไอ้วิทย์ วันแรกที่ผมรู้ว่าหน้าตาหนังโป๊เป็นยังไง วันแรกที่ผมรู้ว่าผมปรารถนาในร่างกายของคนเพศเดียวกัน วันนั้นเมื่อผมกลับไปถึงบ้าน พี่เหยานั่งอยู่ที่ห้องผม ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพียง 1 วัน พี่เหยาบอกว่าจะไปกับทอม แต่เมื่อผมผลักไสพี่เหยาออกไป ผมได้คำบอกกล่าวจากแม่ในเวลาต่อมาว่า...พี่เหยาไปกับทอมแล้ว...

วันนี้ผมเพิ่งเข้าใจการกระทำของพี่เหยาในวันนั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่เหยาพยายามหลบเลี่ยงจากสิ่งเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น เห็นพี่เหยาในวันนี้แล้ว ผมนึกถึงวันนั้น พี่เหยาคงใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีตัดสินใจที่จะทำ หากแต่ผมทำลายความกล้านั้นจนไม่มีเหลือ ผลักไสพี่เหยากลับไปสู้เงื้อมมือทอมอย่างไม่มีทางเลือก

สิ่งที่ได้คิด กลับทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่

“ผมยังไม่ได้กินข้าวมาเลย...ผมไปกินข้าวนะ...ถ้าพี่จะกลับ พี่กลับไปก่อนก็ได้”ในที่สุด ผมก็ต้องเป็นฝ่ายเลือกกำจัดตัวเองออกไป

พี่เหยาหยิบกระเป๋าตังค์ออกมา ทำให้ผมนึกได้ว่า ไม่ได้หยิบกระเป๋าตังค์ติดมือออกมาด้วย...มาถึงตอนนี้ผมตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะดีใจหรือเปล่าที่พี่เหยาสังเกตเห็น...และถ้าหากจะดีใจ ความดีใจนั้นก็ถูกฉาบไว้ด้วยความน่าละอายใจ เพราะผมไม่ใช่หรือ ที่ทำร้าย ความเอาใจใส่และหวังดีของพี่เหยาที่มีต่อผม

ผมรับแบงค์ร้อยที่พี่เหยาส่งให้...มันเพียงพอสำหรับค่าอาหาร และค่ารถกลับบ้าน...ซึ่งก็เพียงพอต่อการปฏิเสธการมีตัวตนอยู่ของผม ณ.ตรงนี้เช่นกัน

“เดี๋ยวกลับบ้านแล้วผมคืนให้นะ”ผมบอกพี่เหยา...มาถึงตอนนี้ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพี่เหยาแล้ว...ความผิดหวังกระมังที่หล่นร่วงลงมากดหัวผมไว้...

ผมเดินไปที่โรงอาหาร แต่ก็ไม่รู้จะกินอะไรดี เพราะเพิ่งสอบเสร็จ นักศึกษาเลยบางตา ร้านอาหารก็เปิดแค่ไม่กี่ร้านสำหรับเด็กหอที่ยังตกค้างอยู่...ผมเดินไปเดินกลับอยู่ สองสามเที่ยว แล้วก็เดินออกมาจากโรงอาหาร ลัดเลาะไปตามตึกเรียน เลือกมุมเหมาะๆ ที่มองเห็นพี่เหยาจากด้านหลังไกลๆ

พี่เหยายังนั่งอยู่ที่เดิม....ผมอยากให้พี่เหยาลุกขึ้น และกลับไป พอๆกับ อยากให้พี่เหยานั่ง... คล้ายจะรอผม... อยู่ตรงนั้น

เมื่อไม่มีพี่เหยานั่งอยู่ข้างๆ...ไม่ต้องทนอยู่กับความเงียบที่น่าอึดอัด ไม่ต้องคอยว่าเมื่อไหร่พี่เหยาจะออกปากไล่...ผมก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น...หรือการไม่รู้จักกัน น่าจะดีกว่า...ผมคิด

...เดี๋ยวผมเอาไปคืนให้ที่โต๊ะพี่นะ...

...เดี๋ยวพี่มีเรียน ฝากไว้ที่พี่นัทก็ได้...

ภาพบทสนทนาของไอ้วิทย์กับพี่เหยา มันวิ่งมาฉายซ้ำอยู่ในหัว...ถ้าการไม่รู้จักกันจะดีกว่า...แต่ผมก็ไม่ต้องการให้พี่เหยารู้จักไอ้วิทย์เช่นกัน...ไม่ต้องการให้พี่เหยารู้จักมัน มากไปกว่ารู้จักผม แต่ก็นั่นล่ะ...คนที่จะตัดสินใจคือพี่เหยาไม่ใช่ผม

ฝนโปรยเม็ดลงมาแล้ว...แต่พี่เหยายังนั่งอยู่ที่เดิม...เมื่อก่อนเวลาที่ฝนตก พี่เหยาชอบลากเก้าอี้ออกไปนั่งที่ระเบียง มือหนึ่งถือหนังสืออ่าน อีกมือหนึ่งยื่นออกไปรับเม็ดฝน ในตอนแรก พี่เหยาไล่ผมกลับเข้าไปในห้อง เมื่อผมยื่นมือออกไปเล่นน้ำฝนบ้าง...พี่เหยาห่วงว่าผมจะเป็นหวัด แต่ไม่ห่วงตัวเอง... แต่เมื่อผมพิสูจน์ให้เห็นว่า ถึงโดนฝน ผมก็ไม่เป็นอะไร เราเลยลากเก้าอี้ออกไปนั่งดูฝนด้วยกันบ่อยๆ และอีกบางครั้งเราปูเสื่อ นอนเลื้อยฟังเสียงฝนจนหลับไปด้วยกัน...ผมอยากกลับไปเป็นอย่างวันนั้น อย่างวันที่รู้จักพี่เหยา เท่าที่พี่เหยาอยากให้ผมรู้จัก

ฝนเทสายลงมาเม็ดใหญ่กว่าเดิม พี่เหยาหันไปมองทางโรงอาหาร ก่อนจะหันกลับไปเหมือนเดิม...

พี่เหยากำลังรอผมหรือเปล่านะ?...ผมคิด นั่งมองดูพี่เหยาอย่างเดิม

ฝนตกลงมาหนักยิ่งกว่าเก่า...นักศึกษาที่นั่งอยู่ใต้ตึกเรียนเริ่มย้ายที่นั่ง เพราะฝนสาดสายเข้ามา...พี่เหยาหันไปมองที่โรงอาหารอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไป...แม้จะไกลจนมองเห็นแค่ลางๆ แต่ผมกลับนึกเห็นภาพพี่เหยาขมวดคิ้วยุ่ง

...เหยาไม่สบาย ไข้ขึ้นจนไม่รู้สึกตัวเลย...มันไม่เกี่ยวกันเลย แต่เสียงแม่กลับแว่วมาให้ได้ยิน ผมมองไปรอบๆ ขอยืมร่มจากนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง และสัญญาว่าจะเอามาคืนในอีกไม่กี่นาที

พี่เหยายังนั่งจับจ้องไปที่สายน้ำข้างหน้า จนเมื่อรู้สึกถึงฝนที่ขาดสาย ไม่ตกลงกระทบตัว จึงหันมามองดูผม และมองดูร่มในมือผม

“กลับไปที่รถเถอะ”ผมชวน...พี่เหยาลังเล แต่สุดท้ายก็เดินไปกับผม คงเพราะน่าเกลียดเกินไปที่จะปฏิเสธและออกเดินไปโดยทิ้งผมไว้กับร่มกระมัง

เมื่อก่อนเวลาฝนตก พี่เหยามักเป็นคนถือร่ม เพราะตัวสูงกว่า...ผมไม่เคยนึกถึงมันเลยจนมาถึงวันนี้ ผมจำได้ ทั้งที่พี่เหยาเป็นคนถือร่ม แต่คนที่เปียกกว่ามักเป็นพี่เหยา ...วันนี้ผมทำในสิ่งเดียวกัน ฝนของต้นหน้าหนาวที่สัมผัสลงมาไม่ขาดระยะบนหัวไหล่ข้างหนึ่งนั้นแม้จะเย็น แต่ผมรู้สึกอบอุ่นลึกๆในใจเมื่อนึกถึงไหล่ที่เปียกชุ่มของพี่เหยาที่มองเห็นได้จากความทรงจำ

“เดี๋ยวผมเอาร่มไปคืนเขานะ...พี่กลับก่อนก็ได้”ผมบอกเมื่อส่งพี่เหยาขึ้นรถแล้ว และปิดประตูให้ทันทีที่ตัวเองพูดจบ ตลอดทางที่เดินไป ผมตัดสินใจไม่ได้ว่าหลังจากที่คืนร่มไปแล้ว ผมจะนั่งรอฝนหยุดอยู่ที่ใต้ตึกเรียนดี หรือ ลองเดินกลับมาดูพี่เหยาที่ที่จอดรถดี แต่เมื่อส่งร่มคืนให้นักศึกษาหญิงคนนั้นแล้ว ผมก็เห็นรถพี่เหยา จอดรออยู่ที่หน้าตึกเรียน

ฝนตกลงมาหนัก จนผมมองไม่เห็นพี่เหยาที่นั่งอยู่ในรถ...ถ้าผมเดินเข้าไปหา แล้วพี่เหยาขับรถออกไปล่ะ?

ผมแกล้งหันหลังทำเป็นมองไม่เห็น...เสียงแตรรถดังขึ้นด้านหลัง

เรียกผมหรือเปล่า?...ผมคิด แต่ไม่กล้าหันไปมอง คราวนี้เสียงแตรรถดังยาว จนคนหันไปมอง ไม่มีเหตุผลอะไร ที่ผมจะแกล้งทำเป็นคนหูหนวก ผมหันกลับไปมอง รถพี่เหยายังจอดรออยู่ที่เดิม ...แม้ฝนจะกระหน่ำลงมาหนักกว่าเดิม แต่ผมก็ค่อยๆเดินฝ่าสายฝนเข้าไปที่รถอย่างกล้าๆกลัวๆ นึกถึงความเงียบที่น่าอึดอัด นึกถึงความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง ถ้าเดินเข้าไปถึง แล้วพี่เหยาขับรถหนีล่ะ

ผมเอื้อมมือไปเปิดประตู...แต่ประตูรถล็อค! ผมปล่อยมันในทันที และหันหลังวิ่งกลับ หน้าผมร้อนผ่าว แต่ที่ร้อนกว่าคือเบ้าตา

เสียงแตรรถดังอีกครั้ง คราวนี้ฟังดูก็รู้ว่า เจ้าของรถกำลังโมโห...ไม่ต้องเห็น ผมก็นึกสีหน้าบูดบึ้งของพี่เหยาออก... กับผม พี่เหยาทำตัวขี้หงุดหงิดเสมอ




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-03-2008 20:20:39
คนที่คอยสังเกตเราอยู่ คงงงว่าเรากำลังทำอะไรกัน ซึ่งมันก็ทำให้ผมอายเกินกว่าจะวิ่งกลับขึ้นตึกเรียน ผมจึงต้องหันกลับมาอีกครั้ง...คราวนี้ประตูรถพี่เหยาเปิดหรา มองเข้าไปเห็นข้างใน...พี่เหยาถอดเสื้อไหมพรมสีน้ำเงินออกแล้ว เหลือแต่เสื้อคอกลมสีแดง ที่ทำให้พี่เหยายิ่งดูขาวจัด...น่ามองดี เพียงแต่พี่เหยานั่งหน้าบึ้ง มองผม

...ดีใจ หรือ เสียใจดี?...ผมตัดสินใจไม่ถูกจริงๆ

แต่อย่างน้อย ผมก็ดีใจที่วันนี้ฝนตก ดีใจที่ตัวเองเปียกปอน เพราะเมื่อผมใช้มือเช็ดน้ำอุ่นๆที่มันไหลจากเบ้าตา มันจึงดูเหมือนผมเช็ดหยาดน้ำฝน

เหตุการณ์ดูจะกลับตาลปัตร กับเมื่อเช้า...พี่เหยาที่ตกใจกลัวจนขวัญเสียหายไปไหน? อาการดีใจจนหัวใจแทบจะออกมาเต้นระบำอยู่ข้างนอก ดูอย่างกับเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วนานแสนนาน เหลือก็แค่ความห่อเหี่ยว...ห่อเหี่ยวจนไม่รู้ว่าหัวใจมันหล่นลีบไปซุกอยู่เสียที่ไหน

เอาเถิด...นั่งเงียบๆเดี๋ยวก็ถึงบ้าน...ผมคิด เลิกหวัง...รู้แล้วว่า คนที่ตัดสินใจคือพี่เหยาไม่ใช่ผม

เราต่างคนต่างนั่งเงียบไปตลอดทาง จะมีก็แต่เสียงฝน...

ผมนั่งมองเม็ดฝนที่โดนที่ปัดน้ำฝนปัดกระจาย...มันเหมือนความหวังของผมไม่มีผิด...พี่เหยาคงปัดมันทิ้งด้วยความรำคาญคล้ายๆกัน

ผมนั่งมองเม็ดฝนที่โดนปัดกระจายครั้งแล้วครั้งเล่า...ฟังเสียงแต๊กๆ...หนึ่ง สอง สาม แต๊ก...หนึ่ง สอง สาม แต๊ก...

พี่เหยากดปุ่มปัดน้ำฝน จากระดับช้า ไป กลาง และไปที่เร็วสุด และกลับมาที่ระดับกลางอีกครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนไปที่ระดับช้าสุด กลับมาที่ระดับกลาง และเร็วสุด...ไม่ใช่ว่าเพราะไม่มีอะไรทำ หรือ เพราะหงุดหงิดกับความเงียบ แต่ทั้งหมดเพราะความรำคาญ

มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว...ผมจำได้ พี่เหยาไม่ชอบที่ปัดน้ำฝน...ช้าเกินก็มองกระจกไม่เห็นเพราะมีแต่น้ำฝน เร็วเกินก็มองไม่เห็นอีก เห็นแต่ที่ปัดน้ำฝน...พี่เหยาเคยบ่น มือก็กดปุ่มจนมั่วไปหมด สุดท้ายผมต้องเอื้อมมือไปช่วยกด นับ หนึ่ง สอง สาม แล้วกดเปลี่ยนระดับความเร็ว นับ หนึ่ง สอง สาม แล้วกดเปลี่ยนอีกครั้ง

‘นับในใจสิ’พี่เหยาสั่ง หันมารำคาญเสียงผมแทน ก่อนจะชี้มือไปที่กระจกด้านหนึ่ง

‘น่าจะใช้ลมไล่น้ำแทน...ฉีดลมออกทางนี้ ไล่น้ำไปทางโน้น’...ฟังแล้วก็น่าจะเป็นความคิดที่ดี แต่ก็ไม่ยักกะมีใครทำออกมาให้พี่เหยาเสียที

‘เอกเอาหัวออกไป เป่าลมไล่น้ำดีกว่า’พี่เหยาว่า พอผมแกล้งเปิดกระจก พี่เหยาก็หัวเราะ เลิกรำคาญที่ปัดน้ำฝนแล้ว

ผมคิดเพลินๆ เผลอนับ หนึ่ง สอง สาม เมื่อได้ยินเสียง พี่เหยากด แต๊ก นับ หนึ่ง สอง สาม และลืมตัวเอื้อมมือออกไป...มือผมชนกับมือพี่เหยา ถึงได้รู้...พี่เหยานับ หนึ่ง สอง สามเหมือนๆกัน...พี่เหยากำลังคิดในสิ่งเดียวกัน...

ผมดีใจ...อย่างน้อยพี่เหยาก็ไม่ได้จดจำแต่ความน่ารังเกียจของผม...

รถเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน...ใกล้บ้านเข้าไปทุกที...ความเงียบที่น่าอึดอัดกำลังจะจบลง พร้อมๆกับความหวังเสี้ยวสุดท้ายที่อยู่ลึกๆในใจผม...ยกโทษให้ผมได้มั๊ย?...ผมท่องเป็นเที่ยวที่ร้อย เที่ยวที่พัน นับจากเมื่อเช้า และเป็นเที่ยวที่นับล้าน นับจาก เมื่อหลายปีที่แล้ว ทั้งๆที่รู้ตัว คงไม่มีโอกาสพูด...

เห็นย่ายืนดูฝนอยู่ลิบๆ...ผมภาวนาให้เป็นแค่คนที่คล้ายย่า อย่าเพิ่งให้เป็นย่าของผม...พอจะถึงวินาทีสุดท้าย เจ้าเสี้ยวสุดท้ายของความหวังมันก็เต้นเร้าๆอยากลองดีขึ้นมา...

เป็นย่าจริงๆ ไม่ใช่คนที่คล้ายย่า...พี่เหยาแตะเบรค รถที่แล่นช้าๆเมื่อเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน ก็ยิ่งชะลอเตรียมจะจอด

...ยกโทษให้ผมได้หรือเปล่า?...ผมท่องเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งที่รู้แล้วว่าหมดโอกาสที่จะพูดแล้ว

ผมขยับตัวเตรียมลง...ในใจยังท่อง...ยกโทษให้ผมได้ไหม...ยกโทษให้ผมได้หรือเปล่า

ถ้าย้อนเวลากลับไปดูแล้วมันน่าขำ...ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นผมที่ตัวสูงใหญ่กว่า หรือพี่เหยาที่ผมใช้แค่แขนข้างเดียวก็โอบกอดได้รอบตัวแล้ว แต่เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจแม้สักนิดของพี่เหยา ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองตัวหดเล็ก กลับไปเป็นเด็กอายุแค่ 10 ขวบ ที่ไม่มีแรงหรือกำลังอะไรจะสู้พี่เหยาได้เลย...

...แล้วย่าก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง...รถที่ชะลอจนเกือบจอด เร่งความเร็วขึ้นอีกนิด ผมเหลียวกลับไปมองดูบ้านตัวเอง มองดูย่า และมองดูพี่เหยา

“ทอมเป็นเพื่อนของพ่อ...”พี่เหยาพูด เมื่อผมหันมองออกไปนอกหน้าต่าง และเงียบเสียงลง เมื่อผมหันกลับมามองดูพี่เหยาอีกครั้ง ผมจึงต้องแสร้งมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งหนึ่ง พี่เหยาจึงเริ่มเล่า...

พี่เหยาบอกว่า ทอมเป็นเพื่อนของพ่อ พอจำความได้ ก็รู้จักทอม พร้อมๆกับที่รู้จักพ่อกับแม่...คุ้นเคยกับทอมพอๆกับที่คุ้นเคยกับพ่อแม่ตัวเอง...ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้และเคยได้ยินมาก่อนแล้ว แม้ผมเคยคิดค้าน...ทอมโกหก เพราะถ้าเป็นจริง มีหรือจะกล้าทำร้ายพี่เหยา

แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่า ในส่วนอื่นๆแล้ว ทอมทำตัวเป็นผู้ปกครองพี่เหยาได้อย่างไม่มีที่ติ...ทอมไม่เคยขาดประชุมผู้ปกครองของพี่เหยาแม้สักครั้ง ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน อยู่ไกลแค่ไหน ทอมกลับมาถึงแต่เช้าตรู่ ทันนัดประชุมผู้ปกครองไม่สายแม้แต่วินาทีเดียว...แม่ของผมเสียอีก บอกหน้าตาเฉยว่า...ไม่ไป ขี้เกียจ...การประชุมผู้ปกครองไม่มีประโยชน์อะไร มากไปกว่าธรรมเนียมปฏิบัติ...แม่ว่างั๊นและผมเชื่อแม่ เพราะแม่เป็นครู ถึงจะเห็นแม่นั่งเครียดในวันก่อนนัดประชุมผู้ปกครองของโรงเรียนตัวเอง...ควรรอดูก่อน หรือ รายงานแม่ของเด็กเลยดี?...ผมเคยได้ยินแม่ปรึกษาพ่อบ่อยๆ

ทอมยังจัดแจงให้พี่เหยาเรียนภาษาจีน แม้ว่าพี่เหยาจะพูดภาษาจีนได้อยู่แล้ว แต่ทอมก็ยังให้พี่เหยาเรียนเพิ่มเติม...ต่อไปภาษาจีนจะจำเป็น...ทอมว่างั๊น ทั้งๆที่ตอนนั้น ใครๆก็นิยมเรียนภาษาฝรั่งเศสหรือเยอรมันกัน แต่ถึงณ.ปัจจุบันนี้เป็นอย่างที่ทอมว่าจริงๆ คือ จีนต่างหากที่เข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจของโลก ไม่ใช่แค่ไทย หรือเอเชีย แต่ครอบคลุมไปถึงยุโรปและอเมริกา

การบ้านที่ทอมให้พี่เหยา คือ การเขียนบันทึกประจำวันเป็นภาษาอังกฤษวันละ ไม่ต่ำกว่า 4 หน้ากระดาษ ซึ่งทอมจะถือติดมือไปตรวจเช็คให้อาทิตย์ละครั้ง ระหว่างเดินทางไปกลับกรุงเทพ-เชียงใหม่...ทอมตรวจ เช็ค และแก้ไข ไม่ใช่แค่ถูกต้อง แต่ให้สละสลวย อย่างที่เจ้าของภาษาใช้...การเขียนโต้ ตอบ จดหมายกับลูกค้า ทอมยกให้เป็นงานของพี่เหยา เช่นเดียวกับการทำบัญชีต่างๆ

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ทอมเป็นผู้ปกครองที่ดียิ่ง...แล้วทำไมทอมถึงทำร้ายพี่เหยา...ผมไม่เข้าใจ

พี่เหยาเล่าว่า ตอนเด็กๆตอนปิดเทอมเคยตามทอมมาเที่ยวที่เชียงใหม่ เห็นผมวิ่งข้ามถนนไปอีกฟาก แล้วข้ามกลับมาไม่ได้ พี่เหยาเป็นคนไปพากลับมา แต่ตอนนั้นพี่เหยาเองก็เพิ่งแปดเก้าขวบ เลยมองแต่รถทางตรง ไม่ทันได้ดูรถที่เลี้ยวออกจากซอย

“เกือบโดนรถชนตายทั้งคู่ ดีที่เขาเบรคทัน เขาปีบแตรลั่นถนนเลย พี่ตกใจเลยวิ่งหนีเข้าบ้าน ทิ้งเอกไว้ตรงไหนจำไม่ได้ ได้ยินแต่เสียงเอกร้องไห้ลั่น เพราะโดนน้าสุตี...เอกคงจำไม่ได้หรอก พี่ก็จำเอกไม่ได้ จำได้แต่เรื่องที่เกิด กับจำน้าสุได้”...พี่เหยาเล่า และผมรู้ว่ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่พี่เหยาคิดจะเล่า หากแต่พี่เหยาแค่ยื้อเวลาไว้เท่านั้น และเรื่องที่เพิ่งได้ยินไปนั้น มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนหัวเราะ ถ้าได้รับรู้ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อได้รับรู้ในวันนี้ มันกลับฟังดูน่าเศร้า...พี่เหยาจะเสียดายไหม ที่ไม่ทิ้งให้ผมโดนรถชนตายไปเสียแต่วันนั้น...

แล้วพี่เหยาไม่พูดอะไรอีก คล้ายกำลังเรียบเรียงความคิด ผมเลยปล่อยให้พี่เหยาคิด และปล่อยตัวเองไปกับสิ่งที่เคยเฝ้าขบคิดเช่นกัน

เมื่อก่อนผมเคยสงสัย คิดไปต่างๆนา หาเหตุผลสารพัด...ทำไมพี่เหยาถึงยอม?

ผมเคยคิด หรือ พี่เหยาจะเป็นเด็กกำพร้า...ชื่อ จึเหยา จะว่าเป็นชื่อเด็กชาวเขาก็พอจะน่าเชื่อถือ...พี่เหยาอาจจะเลือกขายตัวเอง เพื่อชีวิตที่ดี...แต่อะไรหลายๆอย่างมันบอกว่าไม่ใช่...พี่เหยามาจากสภาพชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีกว่าผมอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นพ่อ แม่ของพี่เหยาก็ยังอยู่ เพราะพี่เหยากลับบ้านเสมอๆช่วงปิดเทอม แม้จะเพียงไม่กี่วันก็ตามที

หรือ พ่อพี่เหยาติดหนี้ทอม ใช้พี่เหยาชดใช้หนี้ อย่างที่ใช้เป็นพล็อตเรื่องบ่อยๆในนิยายน้ำเน่า...ถ้าอย่างนั้นค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งค่าเล่าเรียน นาฬิกา เสื้อผ้า หรือน้ำหอมราคาแพงก็ไม่น่าจะใช่จากพ่อของพี่เหยา แล้วยังโทรศัพท์มือถือที่น้อยคนจะมีใช้ รวมถึงรถราคาเหยียบล้านอีกเล่า?

ถึงทอมจะไม่เคยพูดหรือปล่าวประกาศว่าทั้งหมดเป็นของตัวเอง บอกเพียงลูกของเพื่อนฝากมาไว้ในความปกครอง...แต่ถ้าทั้งหมดเป็นของพ่อพี่เหยา มีหรือพี่เหยาจะยอม...ท่าทางพี่เหยาไม่ได้บอกว่ามีความสุข

หรือพ่อพี่เหยาส่งเสียให้มาเรียน แต่พี่เหยาอยากได้ความฟุ้งเฟ้อ หรูหรา....ผมบอกตัวเองได้เลยว่าไม่ใช่...พี่เหยาไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน ยิ่งคิด ผมก็หาเหตุผลไม่ได้

หรือถ้าทุกอย่างเป็นสิ่งที่ทอมให้เพื่อแลกมากับร่างกายของพี่เหยา...ค่าตัวพี่เหยามากมายขนาดนั้นเชียวหรือ...สำหรับคนร่ำรวยอย่างทอม อาจเป็นเงินมูลค่าไม่เท่าไหร่ แต่ เมื่อทอมเป็นพ่อค้า มีหรือจะยอมจ่ายเกินราคา คนหน้าตาแบบพี่เหยามีอีกเยอะ หน้าตาดีกว่าก็มีอีกมาก เงินมากมายขนาดนั้น จะซื้อสักกี่คนก็ได้...

บางครั้งผมก็คิดว่า หากมองอย่างยุติธรรมแล้ว การให้ของทอม อาจจะเป็นการให้ที่แท้จริง ไม่ใช่ให้แค่สิ่งอำนวยความสะดวกหรือ สิ่งเกินความจำเป็นเท่านั้น แต่ทอมยังวางอนาคตที่ดีให้กับพี่เหยาด้วย เป็นการให้ด้วยความหวังดี หรืออาจบางทีจะด้วยความสำนึกผิด

แน่นอนว่า ผมไม่เคยเห็นร่องรอยการทำร้ายร่างกาย บนร่างกายพี่เหยา จะมีก็แค่รอยช้ำซึ่งอาจเกิดจากอะไรก็ได้...ผมจึงอดคิดไม่ได้ ว่ามันอาจไม่เคยมีการขัดขืนจากพี่เหยาเลยก็ได้ ...

นานจนผมคิดว่าพี่เหยาคงเปลี่ยนใจที่จะเล่าแล้ว กว่าพี่เหยาจะทำท่าคล้ายจะเริ่มต้นพูดอะไรอีกครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายพี่เหยาก็ทำแค่ถอนหายใจ

“ไม่รู้จะพูดยังไง...”พี่เหยาหันมาบอกผมในที่สุด พร้อมๆกับที่หักรถจอดเข้าข้างทาง

ผมนึกอยากถามว่า...ให้ผมถามพี่ได้ไหม...แต่ก็ยั้งปากไว้ทัน และเลือกที่จะตั้งต้นถามไม่ว่าพี่เหยาจะยอมตอบหรือไม่

“ทำไมพี่มาอยู่กับทอม?”ผมถาม พลางเอื้อมมือไปกดปุ่มหยุดที่ปัดน้ำฝน เพราะเพิ่งสังเกตเห็นว่าฝนหยุดตกไปแล้ว

พี่เหยาพยักหน้าน้อยๆพร้อมถอนหายใจอีกครั้ง คล้ายยินยอมที่จะตอบ

“ธุรกิจที่บ้านพี่มีปัญหา...จะเรียกว่าล้มเลยก็ว่าได้”พี่เหยาตอบ มันเริ่มเรื่องคล้ายๆอย่างที่ผมคิด

“ทอมเลยให้พี่มาอยู่ด้วยเป็นการแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือ?”ผมถามตามท้องเรื่องแบบที่มีให้เห็นบ่อยๆ

“เปล่า...ทอมไม่ได้เรียกร้องอะไร ที่ให้มาอยู่ด้วยเพราะอยากให้เรียนต่อ...ตอนนั้นพี่จบม.3 พอดี พ่อเลยให้หยุดเรียนก่อน...ให้น้องเรียนก่อน ตอนนั้นแค่ค่าเทอมโรงเรียนรัฐก็ยังไม่มีปัญญาจะจ่ายเลย... แล้วทอมก็เข้ามาช่วย...หลายๆเรื่อง...รวมทั้งออกปากให้พี่เรียนต่อด้วย ...ทอมบอกว่าให้เรียนที่เดิมก็ได้ แต่ว่าตอนนั้นพี่ช้ากว่าเพื่อนๆไปปีหนึ่งแล้ว ไม่อยากเจอเพื่อนๆ...แล้วก็...”พี่เหยาทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“... เลยขอมาเรียนที่เชียงใหม่ พ่อก็เห็นด้วย จะได้มาช่วยทอม...พี่ขอมาเอง ทอมไม่ได้ให้มา”พี่เหยาเล่าต่อ ฟังดูก็รู้ว่ายังมีบางอย่างที่พี่เหยายังไม่พร้อมจะเล่า

“แล้วทอมบังคับพี่?”

“เปล่า...ก็บอกแล้วไงว่าขอมาเอง!”พี่เหยาตอบ น้ำเสียงคล้ายรำคาญแบบที่เคยทำเสมอเมื่อต้องนั่งอธิบายอะไรให้ผมฟังสองรอบ

“ไม่ใช่ ไม่ได้ถามเรื่องนั้น...ผมหมายถึง...”ผมยกมือขึ้นเกาคอเพราะ ไม่รู้จะพูดยังไงดี

“ก็...ไม่รู้สิ”ดูเหมือนพี่เหยาจะเข้าใจในความหมายของผม

“หมายความว่าไง...ไม่รู้?”แต่ผมไม่เข้าใจในคำตอบของพี่เหยา

“ก็ไม่รู้ ก็คือไม่รู้!”พี่เหยาตอบอย่างรำคาญ คราวนี้แก้มที่แดงขึ้น ไม่ใช่เพราะความเย็นของอากาศแล้ว

ผมพยักหน้ารับรู้ ไม่ถามต่อ เพราะเข้าใจแล้วว่า เป็นความพอใจของพี่เหยาเอง

“พยักหน้า หมายความว่าไง!?”พี่เหยาถามเสียงแข็ง หน้าตาเอาเรื่อง

มาถึงตอนนี้ผมจำได้แล้วว่าพี่เหยาเป็นคนเอาใจยากขนาดไหน...เด็กดีของแม่ เด็กดีของใครๆ ซึ่งทำตัวตรงข้ามเสมอเวลาอยู่กับผม...

“อ้าว! ก็...ก็ไม่ใช่เรื่องของผม”ผมไม่รู้จะพูดยังไงต่อ พี่เหยาเองก็ดูคล้ายจะไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง ทำได้แต่ขมวดคิ้ว ตอนนี้หน้าพี่เหยาก็แดงจัด เหมือนทั้งคนจะร้องไห้และโกรธ



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-03-2008 20:23:30
“พี่เต็มใจหรือเปล่าละ?”ผมเปลี่ยนคำถาม พอจะเข้าใจแล้วว่าตัวเองเข้าใจผิด ถึงจะไม่เข้าใจก็เถอะว่าผิดยังไง แต่พี่เหยาส่ายหน้า แล้วก็พยักหน้า ก่อนที่จะส่ายหน้าอีกครั้งและยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง

เห็นท่าทางแบบนั้นแล้วผมก็ไม่อยากซักต่อ...เพราะมันไม่ใช่เรื่องของผมจริงๆ...ผมไม่แคร์แล้วว่าพี่เหยาจะเป็นอย่างไร ที่สนใจอยู่อย่างเดียวคือ อยากให้พี่เหยายกโทษให้...อยากได้พี่ชายขี้โมโหและช่างแกล้งกลับคืนมาอีกครั้งเท่านั้น

“จะถามทำไม!?”พี่เหยาถามเสียงแข็งอีกครั้ง ทั้งที่ผมนั่งเงียบไปตั้งนานแล้ว

“พี่เองนะที่เริ่ม! แล้วผมก็ไม่ได้ถามอะไรแล้วด้วย...”ผมแย้งตามความเคยชิน แต่เมื่อสายตาของพี่ที่มองมาดูคล้ายกำลังเสียใจมากกว่าโกรธ ผมก็รีบแก้ไขคำพูด

“ก็...มันไม่เกี่ยวกับผม ไม่ใช่เรื่องของผม!”ผมพูดในสิ่งที่คิด แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และดูเหมือนจะยิ่งทำให้พี่เหยาเสียใจ แม้จะไม่มีน้ำตา แต่ตาพี่เหยาก็เริ่มแดง

“ขอโทษๆ”ผมขอโทษแบบที่ทำเสมอ เวลาทำให้พี่เหยาโกรธและรู้ตัวว่าผิด ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถึงพี่เหยาจะไม่โกรธ แต่ตาแดงๆของพี่เหยาก็ทำให้ผมใจเสีย และไม่รู้จะทำยังไง

“พี่ไม่รู้ว่าทอมจะทำอย่างนี้...ไม่เคยรู้ ไม่เคยคิด แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้... พี่ไม่เคยคิดจริงๆนะ...”พี่เหยาพูดได้แค่นั้น แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา

เห็นน้ำตาของพี่เหยาแล้วผมก็นึกถึงตัวเอง

วันที่วิ่งหนีอกจากบ้านทอม ผมก็นอนร้องไห้...ทั้งที่มีแม่และพ่ออยู่ใกล้ๆ เพียงแค่เปิดประตูออกไป เล่าทุกอย่าง...ผมรู้ แม้ผมจะผิดแต่พ่อกับแม่จะปกป้องผม แต่ผมก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น ผมเลือกที่จะเก็บทุกอย่างไว้...แต่สำหรับพี่เหยาแล้วไม่ว่าพี่เหยาจะเปิดประตูออกไปสักกี่ร้อย กี่พันบาน พี่เหยาก็จะไม่พบใคร นอกจาก...ทอม...

ผมปล่อยให้พี่เหยาร้องไห้ไป ในขณะที่ตัวเองนั่งอยู่เงียบๆ จำไม่ได้ว่าคิดอะไรต่อมิอะไรบ้าง

พี่เหยาไม่ได้พูดอะไรอีก ส่วนผมก็ไม่ได้ถามอะไร จะมีก็แต่สงสัย หลังจากวันนี้ความสัมพันธ์ของเราจะกลับไปเป็นแบบไหน...เมินเฉยเหมือนคนไม่รู้จักกันเหมือนเดิมหรือว่ากลับไปเป็นอย่างที่ผมหวัง แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังคิดว่าตัวเองควรออกปากขอโทษพี่เหยาอยู่ดี...

แม้ตาจะยังแดงและช้ำ แต่พี่เหยาไม่ได้ร้องไห้แล้ว เมื่อพี่เหยาเตรียมจะสตาร์ทรถอีกครั้ง

“ผมขับให้ไหม?”ผมถาม

พี่เหยาส่ายหน้า แต่พอคล้ายจะขยับปากพูด น้ำตาก็ไหลออกมาอีก อีกครั้งที่พี่เหยายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง

“มาเถอะ ผมขับให้”ผมบอกคราวนี้ไม่รอฟังเสียงผมเปิดประตูรถลงไป

ระหว่างทาง เราไม่ได้พูดอะไรกันเลย แม้ผมอยากจะเอ่ยปากขอโทษ และแม้ว่าตอนนี้ใจผมจะสงบขึ้น แต่ผมก็ยังไม่กล้าอยู่ดี ทั้งพี่เหยาก็นั่งหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างตลอดทาง นานครั้งไหล่พี่เหยาก็ไหวเล็กน้อย ยิ่งทำให้ผมไม่กล้าพูดอะไรยิ่งขึ้นไปอีก

ผมหักรถเข้าจอดริมทางเท้าหน้าบ้านพี่เหยา และตัดสินใจว่าอย่างไรก็ต้องขอโทษ

“พี่พูดกับผมบ้างได้หรือเปล่า?”ผมได้ยินตัวเองพูดอย่างนั้นซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดจะพูด มันฟังดูน่าขันไม่เข้าท่า แต่สายตาของพี่เหยาที่มองมา...แม้มันจะแค่เสี้ยวของเสี้ยววินาที และแม้ว่าตาของพี่เหยายังแดงช้ำ แต่ผมก็มองเห็นรอยขำในดวงตาของพี่เหยา...รอยหัวเราะในดวงตา แบบที่พี่เหยาเคยมีเวลาจับจ้องที่หัวกลมๆของผมเพื่อเล็งว่าจะเคาะไม้บรรทัดลงตรงไหนดี...

แล้วพี่เหยาก็พยักหน้ารับแบบคนที่ไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น ก่อนที่จะเปิดประตูรถลงไป และทำท่าจะกลับเข้าบ้านโดยไม่หันมามองผมอีก

“พี่ กุญแจ!”ผมร้องทัก นึกได้ว่ากุญแจยังอยู่ที่ผม ผมรีบล็อครถ แล้ววิ่งเอากุญแจไปคืน พี่เหยารับมันคืนไป แล้วก็ล็อคประตูบ้าน

สุดท้ายวันนั้น ผมก็ไม่รู้อะไรมากขึ้นไปกว่าที่เคยๆเดาไว้มากนัก เหตุผลที่พี่เหยามาอยู่กับทอมนั้น แม้จะไม่ใช่อย่างที่ผมคิดเสียทีเดียว แต่ก็ใกล้เคียงเกินกว่าที่จะตื่นตกใจ

สิ่งเดียวที่ยังค้างคาใจและทำให้หงุดหงิดคือ พี่เหยาตอบได้ไม่เต็มเสียงนัก ว่าถูกบีบบังคับ หรือ ฝืนใจทำ

ผมโทษความหงุดหงิดที่ไม่ได้รับคำตอบนั้นว่า ความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งตอนนั้นมันอาจเป็นแค่ความสอดรู้สอดเห็นเฉยๆ หรืออาจไม่ใช่แค่นั้นก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อเวลาเดินทางมาถึงวันนี้ มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะแม้แต่มาถามผมในวันนี้ ผมก็ไม่อาจตอบได้ว่า ณ.วันเวลานั้น ระหว่างผม กับ พี่เหยา ...ในความสัมพันธ์ของเรา มีความรักเจือปนอยู่บ้างแล้วหรือยัง

และในวันนั้นผมก็ไม่โทษความอับจนด้วยคำพูดของพี่เหยา เพราะสำหรับตัวผมเองแล้ว กับเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านทอม ผมก็บอกไม่ได้เต็มปากเช่นกันว่าตัวเองถูกบีบบังคับ หรือฝืนใจทำ เพียงแต่หากเลือกได้ ผมภาวนาให้มันไม่เคยเกิดขึ้นเพื่อผมจะได้เลิกชิงชังตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่พี่เหยาทำ หรือ แม้กับสิ่งที่ทอมทำก็ตาม เราอาจต่างภาวนาให้มันเป็นแค่ความฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

ตราบมาจนถึงวันนี้ผมเคยคิด...ถ้าทอมรักพี่เหยาอย่างที่ทอมแสดงออกราวกับพ่อคนที่สอง ทอมอาจเคยร้องไห้อย่างที่ผมเคยร้อง...เมื่อความปรารถนาเต้นรบเร้าอยู่ภายใน ความเย้ายวนทอดเวลารออยู่ข้างหน้า เมื่อเราไม่อาจควบคุมจิตใจหรือความคิดเราได้ การยินยอม ไม่ขัดขืน ก็เหมือนเพิ่มน้ำหนักลงบนแรงปรารถนาของเราจนเราดิ่งลึก ต่ำลงเกินสติจะฉุดรั้งเราไว้อยู่...ผมอ้างความเป็นเด็กขึ้นมาปกป้องตัวเอง แต่ทอมหมดข้ออ้างใดๆ...เมื่อก่อนผมเคยคิด ให้อย่างไร ผู้ใหญ่ควรยับยั้งชั่งใจได้มากกว่า แต่ต่อมารู้ว่าคิดผิด...ประสบการณ์ต่างหากที่เป็นเชื้อเพลิงของแรงปรารถนาชั้นดี เด็กถูกล่อหลอกด้วยความอยากรู้ อยากลอง แต่ผู้ใหญ่ถูกครอบงำด้วยสิ่งที่เคยเรียนรู้ผ่านผิวกาย มันจึงรุนแรงกว่านับสิบเท่า...การถูกขัดขวางด้วยการขัดขืน อาจเรียกสติให้กลับมาหรือบางครั้งก็เป็นเหมือนการเทน้ำมันลงบนไฟให้โหมแรงขึ้น แต่การปราศจากซึ่งการขัดขืนใดๆเลย มันไม่ผิดจากการปล่อยให้เปลวไฟเผาไหม้กระดาษ ไม่เป็นจุล ก็ไม่ยอมดับลง...แต่ผมก็ไม่เคยถามทอม...ทอมเคยเสียใจบ้างไหม? ทุกสิ่ง ทุกคำตอบ มีแค่ทอมเท่านั้นที่รู้คำตอบ หรือ แม้บางทีหากถาม...ถ้าวันนั้น พี่เหยาดิ้นรน ขัดขืน ทอมจะหยุดไหม?...ทอมเองอาจจะไม่สามารถตอบคำถามนี้ก็ได้...เพราะเราไม่เคยรู้คำตอบของสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น...ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้คือ...ทิ้งมันไว้ในความทรงจำเพียงเท่านั้น






--------------------

จบตอน 5 
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 28-03-2008 20:34:12
 :เฮ้อ: ชีวิตรันทดจัง  
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 28-03-2008 20:39:04
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: เป็นนิยายเรื่องแรกที่อ่านแล้วรู้สึก เจ็บที่หัวใจ...... สงสารเหยาจัง :o12: :o12:

อยากจะบอกอีกครั้งว่าของเค้าแรงจิงๆๆ  o13 o13 o13

เป็นกำลังใจให้ทิพย์นะ  :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 28-03-2008 21:27:38
อ่านเรื่องนี้แล้วหนักไปหมด...... หนักใจ  :เฮ้อ:

โลกมันเป็นอารายเนี่ย :a6:



หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: in_the_sky ที่ 29-03-2008 01:20:46
 :sad2: :sad2:

ยิ่งอ่านยิ่งจิตตก กว่าจะอ่านแต่ละตอนนี้ต้องทำใจอย่างหนัก

รักพี่เหยา ผิวขาว แก้มเรื่อ เป็นที่สุด

เรื่องนี้มันเหมือนเป็นการเจอของคนสองคนที่ภาวะยังไม่คงที่

เอกก็ยังเด็ก โลเล จิตใจไม่มั่นคง ไม่รู้จะทำยังเพื่อคนที่ตัวเองรัก

พี่เหยาเนี่ยเปราะบางมาก ภายนอกเหมือนผู้ใหญ่แต่ข้างในมันเป็นอะไรที่ไร้เดียงสา และบอบบางมากๆ

พอมาเจอกัน....มันก็เลยกลายเป็นโศกนาฎกรรมแห่งความรักซะงั้น

ตอนอ่านเรื่องนี้ใหม่ ๆ กลายเป้ฯโรคแอนตี้คนต่างชาติอย่างรุนแรง
นิยายเรื่องไหนพระเอกนายเอกชื่อฝรั่งเนี่ย ไม่อ่านเลย
อคติสุด ๆ จนเพื่อนบอกว่า...ไปโรงพยาบาลมั้ย 555
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 29-03-2008 14:32:36
ยิ่ง   :a5:  ยิ่ง  :angry2:  ไอ้เอก
ยัง...มานยังไม่สำนึกถึงความชั่วของตัวเอง 

ขอซักทีเหอะ    :เตะ1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-03-2008 20:56:49
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 6

หลังจากนั้น แม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่อยากที่จะเชื่อ ว่าผมจะใช้เวลาเพียงครึ่งปีในการรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่าๆระหว่างผมและพี่เหยาให้กลับคืนมาและพัฒนาไปสู่ที่อีกความสัมพันธ์ที่เราต่างก็ไม่คาดคิด

เพราะแม้เมื่อผมพูดออกไป...พี่พูดกับผมบ้างได้หรือเปล่า...หรือเมื่อพี่เหยาพยักหน้ารับ และแม้เมื่อผมเห็นรอยยิ้มขำๆในดวงตาที่แดงช้ำของพี่เหยา ถึงมันจะแค่เสี้ยวของเสี้ยววินาทีก็เถอะ...หากแต่โดยก้นบึ้งของหัวใจแล้ว ผมกลับคิดว่า...ไม่มีทางที่จะได้รับการอภัย

มันก็เหมือนที่เราหวังจะให้หิมะตกที่ประเทศไทย...หิมะสีขาวปกคลุมยอดฉัตรดอยสุเทพ...ใครเถียงได้บ้างล่ะว่ามันจะไม่สวย...ใครบ้างล่ะจะไม่อยากเห็น...แต่ก็อีก ต่อให้หวังจะได้เห็น แต่ใครจะโง่พอที่จะเชื่อว่า มันจะเกิดขึ้น

ความหวังที่จะให้พี่เหยายกโทษให้ มันก็เป็นแบบเดียวกันนี้ไม่ผิดเพี้ยน

แต่ก็อีกนั้นแหละ...หัวใจคนใครหยั่งถึงบ้าง...ทั้งหัวใจผมและหัวใจของพี่เหยาก็เช่นกัน...

แม้ก้นบึ้งของหัวใจมันจะบอกผมว่าไม่มีทาง แต่พอเช้าวันใหม่ผมก็รีบแต่งตัวออกจากบ้านแต่เช้า ขี่มอเตอร์ไซด์ ฝ่าลมหนาว ฝ่าหมอกที่เริ่มปกคลุมทั่วเชียงใหม่

“เอกไปไหนแต่เช้า!?”แม่ตะโกนไล่หลัง เมื่อผมกำลังขี่มอเตอร์ไซด์พุ่งออกจากบ้าน

“ไปมหาลัย!”ผมตะโกนตอบ พลางยกก้นขึ้นจากเบาะเมื่อมอเตอร์ไซด์กระแทกขอบทางเท้าพุ่งลงสู่ถนน ในใจผมก็คิดว่าแม่ถามผมทำไม ไม่เห็นเหรอว่า ผมใส่ชุดนักศึกษาเต็มยศ เพียงแต่ผมรู้ ว่าเป้าหมายของผมคือมหาวิทยาลัยของพี่เหยา

เสียงรถบีบแตร ผมรีบหักรถหลบเข้าชิดซ้าย และเพราะมองรถที่แล่นแซงขึ้นไป ผมเลยทันได้เห็นเงาของใครคนหนึ่งสะท้อนบนกระจกรถ

ผมเงยหน้ามองขึ้นไป เลยได้เห็น พี่เหยาที่เกาะขอบระเบียงมองลงมาเช่นกัน

พี่เหยาใส่เสื้อคลุมไหมพรมสีน้ำเงิน ไม่กลัดกระดุม มองเห็นชุดนอนลายทางสีฟ้าข้างใน ฝักบัวรดน้ำถูกวางพักไว้ในมือ บนขอบระเบียง

แก้มพี่เหยายังแดงจัด เหมือนกับริมฝีปากแดงที่ขยับยิ้มอย่างไม่ค่อยอยากขยับนัก เมื่อผมโบกมือยิ้มทัก

พี่เหยาคงมองลงมาอย่างไม่ตั้งใจ และไม่คิดว่าผมจะมองขึ้นไปพอดี

เสียงรถคันหลังบีบแตรอีกครั้ง เมื่อผมขี่รถแบบช้าๆจนเกือบจะจอดเสียสนิท และเมื่อมัวแต่มองดูพี่เหยา รถเลยเฉออกถนน

“เอก! เดี๋ยวก็รถทับตาย”เสียงแม่ดุจากหน้าบ้าน ผมเลยหันไปมองแม่ พอหันกลับมาพี่เหยาก็หายไปแล้ว

...ไม่เป็นไร! ไปดักรอที่มหาลัย...ผมคิด และคิดไปตลอดทางว่าถ้าเจอพี่เหยาที่มหาวิทยาลัย จะทักพี่เหยาอย่างไรดี ให้ดูไม่หน้าด้านทำตีสนิทเกินไปนัก...ผมคิด คิด แล้วก็คิด จนมาถึงมหาวิทยาลัย ผมถึงเพิ่งคิดได้ว่า...นี่มันช่วงปิดเทอม!...ก็ควรอยู่หรอกที่แม่จะแปลกใจ...แต่จะกลับบ้านตอนนี้ ก็ไม่รู้จะบอกกับแม่ว่ายังไง จะโทรเรียกไอ้วิทย์ออกมา...แต่วันนี้ผมก็ไม่นึกอยากคุยกับมันนัก ไม่ใช่ว่ามีเรื่องหมางใจอะไรกับมัน แต่เพราะว่าเมื่อวานเพิ่งได้คุยกับพี่เหยา วันนี้ผมเลยไม่อยากคุยกับไอ้วิทย์...ถึงมันจะไม่ค่อยเกี่ยวกันก็เถอะ

ผมเตร่ไปเตร่มาอยู่แถวสระน้ำ ตามสี่แยกหรือก็คือจุดตัดของทางเดินเชื่อมตึกเรียนแต่ละตึกที่มีม้าหินอ่อนให้นั่ง เด็กมหาวิทยาลัยของพี่เหยาเรียกมันว่า...สี่แยก...ผมมองๆหาเผื่อจะเจอคนรู้จักบ้าง แต่ก็ไม่เจอใคร ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะมันไม่ใช่มหาวิทยาลัยของผม คนที่รู้จักเลยมีน้อยซึ่งส่วนใหญ่ก็เพื่อนๆไอ้วิทย์ทั้งนั้น แล้วยิ่งปิดเทอมด้วยแล้ว ผมเลยนั่งแก่วอยู่คนเดียว

สุดท้ายผมก็โทรหาไอ้วิทย์จนได้...มันขี่มอเตอร์ไซด์ออกมาหาผมทั้งๆชุดนอน และทำหน้าประหลาดเมื่อเห็นผมแต่งชุดนักศึกษา

“เมื่อวานเป็นไง?”มันถาม ตั้งแต่ยังไม่ได้เอาขาตั้งมอเตอร์ไซด์ลง

“เมื่อวาน? อะไรเป็นไง?”ผมงง ไม่รู้มันถามเรื่องอะไร

“อ๋อ!”ผมนึกได้ก่อนมันจะทันตอบ ไม่มีอะไรต้องสงสัย มีเหรอไอ้ชัยจะไม่โทรไปหาไอ้วิทย์ แต่ผมคิดถูกแค่ครึ่งเดียว เพราะไอ้ชัยมันโทรหาไอ้วิทย์ตั้งแต่ผมวางสาย สุดท้ายคนที่โทรหาทอม คือ ไอ้ วิทย์นั่นเอง

“แล้วมึงบอกพี่เหยาว่าไง?”ผมถาม อารมณ์เริ่มขุ่นๆ...พี่เหยาจะรู้ไหมว่าเป็นแผนของผม

“ก็บอกว่า...มึงสั่งให้โทรมา!”มันบอกเสียงหนัก ตอบเท่าที่ผมอยากรู้...สมกับเป็นเพื่อนผมจริงๆ

“อยากให้เล่ามากกว่านี้หรือเปล่า?”มันแกล้งถาม พลางหยิบบุหรี่ขึ้นมา

“ไม่ต้อง!...หนาวจะตายห่า ไปหาอะไรกินเหอะ กูหิว”ผมตอบ แม้จะดีใจแต่ก็รู้สึกอายที่มันจับความคิดผมได้

“รอไอ้ชัยก่อน กูโทรเรียกมันออกมาด้วย เรื่องไรให้มันนอนสบายอยู่คนเดียว”

แล้วอีกครึ่งชั่วโมง ไอ้ชัยที่บ้านอยู่ไกลกว่าก็มาถึง แต่ผมก็ต้องรอต่อไปเพราะมันคิดเหมือนไอ้วิทย์

“รอไอ้รงค์ก่อน...หนาวจะตายห่า เรื่องอะไรจะปล่อยให้มันนอนสบายอยู่คนเดียว”ไอ้ชัยบอก พลางปัดควันบุหรี่ที่ไอ้วิทย์พ่นใส่หน้ามัน

“แล้วทำไมมึงไม่นัดกันที่อื่นวะ เสือกนัดกันหน้าตึกเรียน”ผมบ่น จะเดินไปไหนก็ไม่ได้ เดี๋ยวหากันไม่เจอ

รออยู่อีกเกือบชั่วโมง ไอ้รงค์ที่บ้านอยู่ไกลกว่าเพื่อนก็มาถึง

“กูต้องรอใครอีกหรือเปล่า?”ผมตะโกนถามไอ้รงค์ ตั้งแต่เห็นมันเดินมาแต่ไกล

“มีใครยอมคบมึงอีกหรือเปล่าล่ะ?”ไอ้รงค์ตะโกนตอบ

ผมไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับมันอีก...นึกอยากก็แต่ได้ข้าวสวยร้อนๆ สักจานเท่านั้น เราเลยเคลื่อนขบวน ไอ้ชัยซ้อนท้ายไอ้วิทย์ ส่วนไอ้รงค์ซ้อนท้ายผม แล้วผมก็ทำมันเกือบหล่นจากรถ เพราะเบรคกะทันหันเมื่อเห็นรถพี่เหยาจอดอยู่ที่ลานจอดรถ...

“ไปไหนว่ะ!?”ไอ้วิทย์กับไอ้ชัยตะโกนถาม เมื่อผมหักหัวรถ เปลี่ยนทิศทางที่จะไป ลืมพวกมัน ลืมแม้แต่ไอ้รงค์ที่เกาะเอวผมแน่นอยู่ข้างหลัง

ผมเห็นกลุ่มคนอยู่ลิบๆที่มุมตึก จะใช่หรือเปล่าก็ช่าง หากแต่เวลานี้จะมีสักกี่คนที่จะมาเตร่อยู่มหาวิทยาลัย ผมจอดรถไว้หน้าตึกเรียน วิ่งไปที่กลุ่มคนที่ยืนอยู่ ไม่สนใจเสียงเรียกของไอ้รงค์ หรือไอ้วิทย์และไอ้ชัยที่เพิ่งตามมาถึง

เพื่อนของพี่เหยาจริงๆ!...ผมบอกตัวเอง รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังยิ้มหน้าบานขณะวิ่งเข้าไป

เพื่อนพี่เหยาก็มองดูผมมาแต่ไกล แต่ยิ่งเข้าไปใกล้ ผมก็บอกตัวเองได้ว่า ในกลุ่มนั้นไม่มีพี่เหยา...แต่แล้วพี่เหยาก็เดินออกมาพร้อมเพื่อนอีกคน จากตรงไหนสักตรงหนึ่งซึ่งผมไม่ทันสังเกต

“พี่ไปไหนมา?”ผมทักด้วยความดีใจจนเนื้อเต้น ก่อนที่พี่เหยาจะทันสังเกตเห็นผมเสียอีก

มันอาจจะดูเป็นคำทักทายทั่วไป หากถูกที่และถูกโอกาส...แต่ดูเหมือนเวลานี้ มันจะผิดไปเสียหมด พี่เหยาเลยได้แต่ทำหน้างงๆ ขมวดคิ้วมองดูปากที่ฉีกยิ้มกว้างของผม สลับกับหันไปมองทิศทางที่ตัวเองเดินมา

“ส้วม!”เพื่อนพี่เหยาคนหนึ่งตอบแทนให้ พร้อมเอานิ้วเคาะป้ายห้องน้ำชายให้ผมดูและมองดูผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมเลยได้แต่ยิ้มหน้าแห้ง ปล่อยให้พี่เหยาเดินผ่านผมไปด้วยท่าทางยังงงๆ ทั้งยังชำเลืองมองดูชุดนักศึกษาของผมอีกต่างหาก

“โดนเด็กจีบแล้วมึง!...กูเห็นมันมาป้วนเปี้ยนอยู่ตั้งแต่เช้า”เสียงเพื่อนพี่เหยาพูดเสียงดัง ไม่ต้องหันไปดูผมก็รู้ว่าน่าจะเป็นคนที่ท่าทางเอาเรื่องเมื่อตะกี้

“เด็กข้างบ้าน!”เสียงพี่เหยาอธิบาย และผมแอบยิ้ม เพราะอย่างน้อยพี่เหยาก็ยอมรับว่ารู้จักผม

“เมื่อก่อนไม่เห็นเคยทักกัน กูว่ากูเคยเห็นมันบ่อยๆ เรียนสาขาไหนวะ?”

“ม.เชียงใหม่”คุ้นๆว่าจะเป็นเสียงพี่นัทช่วยตอบแทน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ดีใจ เพราะนั่นหมายความว่าเพื่อนพี่เหยารู้จักผม

“เพื่อนวิทย์ไง”เสียงพี่นัทอธิบายเพิ่มเติม หน้าผมหุบยิ้มทันที...ทำไมต้องพ่วงชื่อไอ้วิทย์มาด้วย!

“ยังไม่ปิดเทอมเหรอวะ?”ท่าทางเพื่อนพี่เหยาคนที่ปากเสียคนนี้จะขี้สงสัย แต่คราวนี้ผมไม่ได้ยินคำตอบ เพราะพวกพี่เขาเดินห่างออกไปจนผมจับสำเนียงเสียงไม่ได้แล้ว จะได้ยินก็แต่เสียงหัวเราะที่ดังมาเท่านั้น

ผมเดินกลับมาหาพวกไอ้วิทย์ที่หน้าตึกเรียน ทันเห็นหลังพวกพี่เหยาไวๆ คุยและหัวเราะครื้นกับพวกไอ้วิทย์ ผมรีบเดินจ้ำอ้าวเข้าไปหา แต่ไม่ทัน...พวกพี่เข้าเดินละจากไปเสียก่อน

“หัวเราะอะไรกัน?”ผมถาม พยายามคุมน้ำเสียงตัวเองให้เป็นปกติ เพราะยังจำ...ตัวเหี้ย...ที่ไอ้วิทย์ประเคนให้ผมแบบเต็มปากเต็มคำเมื่อหลายๆเดือนก่อนได้

“หัวเราะมึงไง! ...ปิดเทอมเสือกแต่งชุดนักศึกษาเต็มยศ”ไอ้วิทย์ตอบ

“ก็เพราะปิดเทอมไง มันเลยใส่ ปกติมันใส่เรียบร้อยแบบนี้ที่ไหน!”ไอ้ชัยเสริม มันเรียนที่เดียวกับผม มันเลยรู้ว่าบ่อยแค่ไหนที่ผมโดนรุ่นพี่เรียกมาตักเตือน เพราะเป็นนักศึกษาปีหนึ่งยังต้องแต่งตัวเรียบร้อย แต่น้อยครั้งที่ผมจะทำ

“เออ เปิดเทอมมันก็ไม่แหกขี้ตามาเช้าแบบนี้!...แล้วนี่เสือกมามหาลัยคนอื่น”ไอ้รงค์ช่วยซ้ำเติม เพราะอีกเหมือนกัน...มันรู้ผมไม่เคยไปทันเรียนคาบแรก

“ถามจริง...เสือกมาทำไมแต่เช้าวะ?...แล้ว...”ไอ้รงค์ถาม พลางพยักเพยิดมาที่ชุดที่ผมใส่อยู่ หน้าตามันสงสัยจริงๆ

“มันลืมว่ามหาลัยปิด”ไอ้วิทย์ตอบแทนให้ เพราะผมเล่าให้มันฟังไปบ้างแล้วตอนโทรลากมันออกมา

“แล้วลืมด้วยเหรอวะ ว่าเรียนที่ไหน?”ไอ้รงค์ยังไม่เลิกสงสัย

“เมื่อวานมันเพิ่งไปชำระความกับเจ้าหนี้เก่ามา...”ไอ้วิทย์ช่วยตอบอีก คราวนี้มันทำเสียงแปลกๆที่ฟังแล้วไม่ค่อยสบายหูเท่าไหร่นัก และมันพยักเพยิดไปทางทิศทางที่พี่เหยาเดินจากไป เมื่อไอ้รงค์ยังทำหน้าไม่เข้าใจ

“เค้าไม่โกรธมึงแล้ว?”ไอ้รงค์ถามด้วยหน้าตาที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้ นั่นยิ่งทำให้ผมใจเสีย

“ไม่งั้นมันจะแหกขี้ตา ตาลีตาเหลือกมาแบบนี้เหรอ?”ไอ้วิทย์พูดด้วยน้ำเสียงแปลกอีกครั้ง ผมเห็นไอ้ชัยส่งสายตาปรามไปที่มัน แต่ถึงไอ้ชัยไม่ทำ ผมก็ไม่กล้าพูดอะไรอยู่ดี

“ไปเหอะ...กูหิว!”ไอ้รงค์ตัดบท

เพราะเป็นช่วงปิดเทอม ร้านอาหารเลยเปิดอยู่แค่ไม่กี่ร้าน และร้านที่กินแล้วไม่เสียดายตังค์ที่เราพอฝากท้องได้ก็เหลืออยู่ร้านเดียว

ผมชะงักอยู่หน้าร้านจนไอ้ชัยมันเดินชน เมื่อเห็นกลุ่มเพื่อนพี่เหยานั่งอยู่ในร้าน

เพื่อนพี่เหยาคนปากเสียสะกิดพี่เหยา ที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับจานข้าวตัวเองให้ดูผม

ผมยังอายไม่หายจากคำทักทายโง่ๆของตัวเอง แต่พอหายจากอาการชะงักขามันก็พาเดินลิ่ว ปากมันขยับยิ้มอีกโดยไม่รู้ตัว

“พี่กินข้าวหรือยัง?”ผมได้ยินเสียงตัวเองถามออกไปแบบนั้นทั้งที่ในใจคิดจะถาม...พี่กินอะไร?...

อีกครั้งที่พี่เหยาไม่ตอบ...แต่ถึงอยากตอบก็คงตอบไม่ได้ เพราะในปากกำลังเคี้ยว ข้าวที่ผมถามถึงอยู่เนื่อยๆ...มือที่ถือช้อนอยู่ก็ยกค้าง ในขณะที่ตาก็มองผมที มองข้าวในจานตัวเองที

เพื่อนพี่เหยาคนที่ปากเสียนั่งหัวเราะจนข้าวติดคอ จนพี่นัทต้องส่งน้ำให้

ผมว่าตอนนี้หน้าผมคงแดงไปหมด เพราะมันร้อนวูบวาบๆ

พี่เหยาก็มองหน้าผมไม่เลิก ปากก็เคี้ยวข้าวช้าลง คงกลัวว่าถ้ากลืนลงคอไปแล้วจะต้องตอบคำถามผมกระมัง

“เอกกินข้าวหรือยัง?”พี่นัทเป็นคนถามผม ซึ่งผมก็แอบดีใจที่เพื่อนพี่เหยารู้จักชื่อผมด้วย

“แล้วมาทำอะไรกันแต่เช้า?”เพื่อนพี่เหยาอีกคนถาม มารู้ชื่อทีหลังว่าชื่อ พี่เก่ง

ยังไม่ทันที่ผมจะนึกหาคำตอบให้พี่เขาได้ ไอ้วิทย์ก็ตัดสินใจเข้ามาลากคอผมกลับไปนั่ง

“เป็นห่าอะไรของมึงวะ?”มันถาม จับผมยัดเข้าไปนั่งด้านใน อย่างกับกลัวผมจะออกไปเดินเพ่นพ่าน

“พวกพี่เขามาทำไมกันแต่เช้า?”ผมกระซิบถามไอ้วิทย์

“เตรียมงานลอยกระทง...พี่เก้าเค้าเป็นประธานสโม”ไอ้วิทย์ตอบ ไม่ค่อยเบาเท่าไหร่

พี่เก้าที่ไอ้วิทย์พูดถึงก็คือเพื่อนพี่เหยาคนที่ปากเสียกว่าเพื่อน คบกับพี่เหยามาตั้งแต่ม.ปลายเหมือนพี่นัท มารู้จากพี่เหยาทีหลังว่า จริงๆพี่เค้าไม่ได้ชื่อเก้าที่แปลว่าเลขเก้า แต่ชื่อเก้า เสียงสั้นๆ ที่แปลว่าหมา...ซึ่งผมก็ว่าเหมาะสมดี

แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือ พี่เค้าเป็นประธานสโมสรนักศึกษา...ผมนึกถึงประธานมหาวิทยาลัยของผมแล้วต้องบอกว่าต่างกันสิ้นเชิง...ประธานของผมเป็นประเภทที่ดูอบอุ่นและเป็นมิตร ขึ้นต้นประโยคก็...น้องครับ จบท้ายประโยคก็...น้องครับ ทำหน้าเข้าอก เข้าใจรุ่นน้องตลอดเวลา ชนิดที่ว่าบางทีเรายังงงว่า พี่เขาเข้าใจอะไร เพราะพี่เขาทำหน้าเข้าใจ ในขณะที่หน้าเรายังว่างเปล่า

ผมไม่อยากแอบชำเลืองมองไปทางที่พี่เหยาอยู่มากนัก เพราะพอแอบมองไปครั้งหนึ่งก็สบตากับพี่เก้าที่ยักคิ้วให้ผมอย่างเป็นกันเอง

ดูก็รู้ว่าพี่เขาไม่ค่อยชอบหน้าผมเท่าไหร่ ซึ่งก็เหมือนกันกับผมที่ไม่ค่อยชอบหน้าพี่เขาเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อพวกพี่เหยากินข้าวเสร็จ ขณะที่เดินออกจากร้าน พี่เหยาเดินคุยไปกับพี่เก่ง ในขณะที่พี่นัทโบกมือให้พวกผม พี่เก้ากลับหยุดยืน จ้องหน้าผม ปากพี่แกก็ยิ้มกวนๆ จนพี่นัทหันมาลากไปนั่นแหละ พี่เขาถึงจะเดินไป แต่ก็ยังไม่วายหันมามองหน้าผมอีกครั้งอยู่ดี



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-03-2008 20:59:43
“ก็มึงเสือกทำอะไรเพี้ยนๆ”ไอ้วิทย์ว่างั๊น แต่ก็คงจริงตามมันว่า เพราะหลังจากนั้น ก็น่าจะพูดได้ว่าที่ความสัมพันธ์ของผมกับพี่เหยากลับมาดีกันได้ ก็เพราะพี่เก้ามีส่วนช่วยอยู่ด้วยเหมือนกัน ถึงจะไม่ได้เป็นไปด้วยเจตนาก็เถิด แต่นั่นก็หลังจากพี่เหยา กลับบ้านจนกระทั่งกลับมาเชียงใหม่อีกครั้ง

วันนั้นทั้งวันผมไม่ได้เจอพี่เหยาอีกเลย ซึ่งก็รวมไปถึงอีกเป็นอาทิตย์ กว่าผมจะรู้ว่าพี่เหยากลับไปบ้าน ก็ร่วมวันที่ 3 ที่ 4 ที่พี่เหยากลับไปแล้ว แล้วกว่าที่ผมจะรู้ว่าพี่เหยากลับมา ก็ผ่านไปอีกร่วมอาทิตย์เหมือนกัน

และแม้พี่เหยาจะกลับมาแล้ว และแม้ว่าผมจะอยู่ติดบ้าน นั่งเฝ้าหน้าร้านให้ย่าทั้งวัน กับบ่อยครั้งไปเดินเตร่ที่หน้าบ้าน ผมก็ไม่เคยเจอพี่เหยาเลย กับอีกบางครั้งผมไปนั่งแก่วอยู่ที่มหาวิทยาลัยพี่เหยาเพียงเพราะสังเกตเห็นว่ารถพี่เหยาไม่ได้จอดอยู่ในบ้าน แต่ก็ไม่เคยเจอพี่เหยาอีกเช่นกัน

ผมนึกอยากให้แม่พูดถึงพี่เหยา 3 เวลาหลังอาหารเหมือนแต่ก่อน แต่ก็อีกนั่นแหละ เพราะผมเอง ชื่อพี่เหยาเลยเกือบจะกลายเป็นชื่อต้องห้ามสำหรับที่บ้านไปเสียแล้ว

ดังนั้นกว่าที่ผมจะได้เจอพี่เหยาอีกที ก็พอดีเปิดเทอม และก็ที่มหาวิทยาลัยไอ้วิทย์นั่นแหละ

“ไปส้วมมา!”พี่เก้าเปิดฉากทักทายผมมาแต่ไกล ชนิดได้ยินไปกว่าค่อนมหาวิทยาลัย ตั้งแต่เรายังมองเห็นกันชนิดไกลลิบๆ ไอ้อาการเนื้อเต้นที่ได้เจอพี่เหยามันก็เหลือแค่เต้นแบบแผ่วๆ หน้าผมร้อนวูบๆ...แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะอายเพียงอย่างเดียว

“อย่าไปถือ เมื่อเช้ามันกินหมามา”พี่นัทตบบ่าผม เมื่อเราเดินมาเผชิญหน้ากัน หน้าผมมันคงฟ้องว่าหงุดหงิดเต็มแก่ ก็ผมอุตส่าห์คิดไว้แต่เช้า ว่าถ้าวันนี้เจอพี่เหยาจะทักว่าอะไร แล้วเจอพี่เก้าตะโกนทักแบบนี้จะให้ผมทักพี่เหยาอีท่าไหน

ผมสะบัดไหล่จากมือพี่นัท จ้องหน้าพี่เก้าที่จ้องผมกลับมาเขม็งเช่นกัน แต่ก็เหลือบไปเห็นพี่เหยาทำหน้าอึดอัดใจ คล้ายเวลาที่ต้องอยู่เป็นบุคคลที่สามเวลาแม่บ่นว่าผมเมื่อตอนเด็กๆ ผมเลยบอกตัวเอง...ทำตัวให้น่าสงสารไว้ดีกว่า...

คิดได้ดังนั้น ก็เลยทำเดินก้มหน้างุดๆผ่านพวกพี่เค้าไป

แล้วพี่เก้าก็ทักทายแบบนี้ทุกครั้งที่เจอกัน

“ไปส้วมมา”ทักแบบนี้ทุกครั้งที่เดินสวนกัน

“กินข้าวแล้ว”และทักแบบนี้เวลาที่เจอกันที่โรงอาหาร

และผมก็ไม่โต้ตอบแกล้งทำหน้าจ๋อย ก้มหน้างุด เดินผ่านพี่ๆเขาไปตลอด

ผมเล่าให้พวกไอ้วิทย์ฟังถึงสาเหตุที่พี่เก้าทักทายผมแบบนั้น

“มึงเลยกระแดะทำหมอบ... คงได้ผลหรอก หน้าหงิกๆงุดๆอย่างงั๊นน่ะ!”คราวนี้ไม่ต้องอธิบายถึงที่มาของท่าก้มหน้างุด ไอ้วิทย์มันก็เดาได้

แต่คราวนี้พอพี่เก้าทัก ไอ้วิทย์กับไอ้ชัยก็รีบเดินก้มหน้างุดเป็นเพื่อนผม แทนที่มันจะดูน่าสงสาร เลยกลายเป็นตลก ผมสั่งให้พวกมันเลิกทำ พวกมันก็ไม่ยอม มันว่า...สาม แรงแข็งขันจะได้ยิ่งน่าสงสาร

“เป็นห่าอะไรของพวกมันกันวะ?”พี่เก้าบ่นพึมพำ เมื่อพวกผมก้มหน้างุดๆเดินผ่าน

พี่เก้าทักแบบนั้นได้อีกสัก 2 ครั้งก็หมดความอดทน พี่เขามองหน้าพวกผม ส่วนพวกผมก็รอให้พี่เขาทัก จะได้ทำหมอบเดินผ่าน ที่ไหนได้ อยู่ๆพี่เก้าก็สะบัดหัว ทำท่างุดๆเดินผ่านพวกผมไปซะงั๊น

พี่นัทหัวเราะเสียงดัง ในขณะที่พี่เก่งที่ยืนอยู่ข้างหลังยกเท้าถีบจนพี่เก้าคะมำ ส่วนพี่เหยาที่เมื่อครู่เห็นเดินกินน้ำอยู่ ก็หัวเราะและสำลักน้ำจนหน้าแดง

ตอนนั้นแหละ ผมเลยค่อยชอบหน้าพี่เก้าขึ้นมานิดหน่อย และชอบมากขึ้น เพราะหลังจากนั้น พี่แกก็เปลี่ยนมาทักทายแบบปกติ และมักเป็นฝ่ายทักผมก่อนเสมอ กับอีกบางครั้งก็เรียกพวกผมให้มานั่งที่โต๊ะเดียวกัน เลยทำให้ผมสนิทกับเพื่อนๆพี่เหยามากขึ้นอย่างรวดเร็ว

มาถึงตรงนี้ระยะห่างระหว่างผมกับพี่เหยามันก็แคบเข้า ถึงจะเป็นระยะห่างทางกาย ไม่ใช่ทางใจก็เถอะ แต่ผมก็มีโอกาสคุยกับพี่เหยามากขึ้น ถึงแม้การคุยกันที่ว่า จะเป็นแค่การถามตอบ คือผมถาม และพี่เหยาตอบ ดังนั้นทางเดียวที่ทำได้ก็คือถามบ่อยๆ จนร่วม 2 เดือนหลังจากนั้น พี่เหยาก็เริ่มเป็นฝ่ายถามผมบ้าง...

“เลิกถามไอ้ที่รู้แล้วสักทีได้หรือเปล่า!” พี่เหยาถามว่างั๊น...ซึ่งผมก็ดีใจ

แล้ว 3 เดือนหลังจากนั้น พี่เหยาก็เลิกเดินหลบผม อย่างที่เคยทำเสมอในเวลาที่เดินมาคนเดียว

4 เดือนหลังจากนั้น พี่เหยาทำตัวตามสบายขึ้น เมื่ออยู่กับเพื่อนๆในเวลาที่มีผมอยู่ด้วย และยอมกินขนมที่ผมเป็นคนซื้อมา และเอามาวางไว้ที่โต๊ะเพื่อแบ่งกันกิน

5 เดือนหลังจากนั้น พี่เหยาก็เดินเข้ามาซื้อเป๊ปซี่ที่ร้านผม ถึงพี่เหยาจะชะงักเมื่อเห็นผม เพราะจริงๆแล้วเวลานั้นผมควรจะอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็เถอะ...พี่เหยาไม่พูดอะไร แค่ขมวดคิ้วมองผมยิ้มหน้าบาน ขณะพิถีพิถันนับตังค์ถอนอย่างตั้งอกตั้งใจ

แล้วอีก 5 เดือน 2หรือ 3 วันหลังจากนั้น พี่เหยาก็พูดกับผมเป็นครั้งแรก

“ทอนตังค์แบบนี้ ก็พอดี กว่าจะทอนเสร็จ พี่ต้องทอนคืน เพราะเป๊ปซี่มันขึ้นราคา”

แล้วเราก็คุยกันมากขึ้น เพียงแต่ไม่เรื่อยเปื่อย อย่างที่เคยคุยกันเมื่อตอนยังเด็ก...พี่เหยาทำตัวตามสบายมากขึ้น เพียงแต่ไม่เหมือนอย่างที่เคยซุกตัวหลับอยู่บนที่นอนของผม เรานั่งใกล้กันมากขึ้น แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เราจะสัมผัสถูกตัวกัน เพราะเมื่อใดที่เราใกล้กันมากเกินไป และเมื่อใดที่เราสัมผัสถูกกันแค่ปลายนิ้ว ความแปลกหน้าระหว่างกัน ก็จะกลับมาอีกครั้ง เป็นหลักฐานยืนยันว่า เราไม่เคยลืมสัมผัสของกันและกัน...

และยิ่งใกล้กันเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้ระยะห่างมากขึ้นเท่านั้น...

เพราะแม้มีหลายอย่างที่พี่เหยายังเหมือนเดิม...ทั้งเรื่องที่ติดเป๊ปซี่...เรื่องที่ชอบเขียนชื่อไว้ที่มุมสมุดโน๊ตทุกๆหน้าเวลาที่นั่งฟังอะไรเพลินๆหรือเวลาที่ไม่มีอะไรทำ หรือแม้แต่น้ำหอมกลิ่นที่เคยคุ้นจมูกดี

แต่ก็มีอีกบางเรื่อง ที่บอกว่า ไม่ใช่ผมอีกแล้วที่รู้จักพี่เหยามากกว่าใคร...

ที่ผมไม่เคยรู้คือ เพียงแค่เรื่องเล็กๆเพียงบางเรื่อง ที่ผมไม่รู้ว่าจะส่งผลกับความรู้สึกของผมได้เพียงนี้

...ผมนั่งมองดูพี่เหยาที่นั่งก้มหน้าก้มตา เขียนชื่อตัวเองที่มุมสมุดโน๊ตขณะฟังพี่เก้าเล่าเรื่องย่อของหนังที่กำลังพยายามจะชักชวนเพื่อนๆไปดู แต่ท่าทางจะไม่มีใครยอมไปดู

มือหนึ่งพี่เหยาถือปากกา ในขณะที่อีกมือ ถือไอติมหางเสือที่เหลือก็แต่กรวย

ผมจำได้ พี่เหยาไม่ชอบกินกรวยไอติมหางเสือ เมื่อก่อนพี่เหยาจะกินก็แค่เนื้อไอติม แล้วส่งกรวยให้ผมกินต่อทุกครั้ง พอวันไหนผมแกล้งบ่ายเบี่ยงไม่กิน พี่เหยาก็โยนทิ้งทั้งอย่างนั้น

‘เสียของ! ไม่นึกถึงคนที่เขาไม่มีกินบ้าง’ผมโวย ด้วยประโยคที่พี่เหยาเคยเป็นฝ่ายพูดกับผม

‘ก็ถ้ากิน แล้วคนที่เขาไม่มีกิน อิ่มไปด้วยได้ พี่จะกิน!’แต่พี่เหยาว่างั๊น

‘เสียดายตังค์!’ผมยังไม่ยอมแพ้ โวยด้วยประโยคที่พี่เหยาเคยพูดอีกเหมือนกัน

‘ก็เสียตังค์ไปแล้ว ทำไมต้องเสียความรู้สึกมานั่งกินไอ้ที่ไม่ชอบอีกล่ะ!’พี่เหยาก็ไม่ยอมแพ้ สุดท้ายผมนั่นแหละที่ต้องเงียบเพราะเหตุผลของพี่เหยาเข้าท่าดี เพียงแต่ว่านึกรู้ด้วยเหมือนกันว่า ลองผมพูดกับพี่เหยาแบบนี้บ้าง โดนไม้บรรทัดเคาะหัวแน่...

แต่มาวันนี้ พี่เหยาค่อยๆเล็มกรวยกิน ดูเพลินดี...แต่ผมกลับรู้สึกบอกไม่ถูก จนพี่เก้าดึงกรวยไอติมจากมือพี่เหยามาส่งให้ผมตรงหน้านั่นแหละ ผมถึงรู้สึกตัวว่านั่งจ้องพี่เหยาไม่วางตา

“อยากกินก็เอาไป มันไม่ค่อยชอบกินเท่าไหร่หรอก!”

ผมยังไม่ทันรับ พี่เหยาก็ดึงคืน แต่ก็แอบรู้สึกดีนิดๆที่รู้ว่าพี่เหยายังไม่ค่อยชอบกินมันเหมือนเดิม

แล้วหน้าร้อนปีนั้นเอง ระยะห่างระหว่างเรามันก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง แต่ก็ยากที่จะบอกว่า ใกล้ขึ้นหรือ ไกลกันยิ่งกว่าเดิม

ฝนกลางเดือนเมษา คือฝนที่น่าเบื่อที่สุด เพราะมักมากับลมร้อนที่ทำให้ใครต่อใครต้องหงุดหงิดอย่างไม่มีสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมต้องมานั่งฟังเสียงแม่บ่นอยู่บนเบาะหลังรถแคบๆนี่

“ติด ร....เรียนมหาวิทยาลัยแล้วยังติด ร.”แม่พูดประโยคนี้มาไม่รู้กี่ร้อยเที่ยวแล้ว ผมได้แต่คิดในใจว่า ...ทำไมเรียนมหาลัยแล้วจะติดร. ไม่ได้ ถ้าติดไม่ได้ แล้วมันจะมี เกรดตัวนี้ได้ยังไง...แต่ถึงจะคิดอย่างนี้ แต่สิ่งที่ผมพูดออกไปได้ก็คือเหตุผลที่ผมติด ซึ่งผมก็พูดให้แม่ฟังไปแล้วจนปากจะฉีกว่า มันไม่ใช่ความผิดผม รายงานที่ผมกับเพื่อนในกลุ่มตั้งอกตั้งใจทำกันเสียดิบดีนั้นมันไม่ถึงมืออาจารย์ เพราะเรามอบหมายให้ไอ้...เพื่อนบางหนึ่งคนที่แม้แต่ชื่อผมก็ยังไม่รู้จักเป็นคนจัดการ...มันถูกยัดเข้ากลุ่มผมโดยคำข้อร้องแกมบังคับของอาจารย์ ซ้ำมันไม่เคยโผล่หน้ามาช่วยเลยแม้แต่ครึ่งนิ้วของใบหน้ากว้างๆของมัน เราเลยลงโทษให้มันเป็นคนจัดการเอาข้อมูลที่เรียบเรียงไว้แล้วในแผ่นดิสก์ พิมพ์ออกมาและเข้าเล่มส่งอาจารย์ แม้แต่รูปแบบหรือสีปกเราก็กำหนดไว้เสร็จสรรพ เรียกว่ามันไม่ต้องเปลื้องสมองอันน้อยนิดของมันเลย ถามมันกี่ทีมันก็ว่าเรียบร้อยแล้ว แล้วมันก็ดร๊อปไปโดยไม่บอกพวกผมสักคำว่ายังไม่ได้ส่งรายงาน กว่าจะรู้อาจารย์ก็เรียกไปพบนี่ล่ะ

“ก็มันเป็นความรับผิดชอบของเราไม่ไช่หรือไง ที่ต้องติดตาม?”แม่พูดถูก แต่ในเมื่อมันบอกแล้วว่าเรียบร้อย ใครจะสนใจอีกล่ะ...ที่มันดร๊อปไป พวกผมไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ...ผมเถียงในใจ

“อ้าวนั่นเหยานี่!”แม่อุทาน ชี้มือไปยังกลุ่มคน แต่ผมมองตามออกไป ไม่ยักกะเห็น

ตอนนั้นเป็นตอนเย็นช่วงเลิกงาน หลังเทศกาลสงกรานต์ ที่ตลาดวโรสหรือที่เรียกกันติดปากว่ากาดหลวง และฝนกำลังตก

เมื่อรวมสี่หัวข้อนี้เข้าด้วยกัน จึงไม่ต้องแปลกใจในจำนวนผู้คนที่เดินกันแออัด บางคนเป็นคนท้องถิ่นที่มารวมกันเพื่อหาหนทางกลับบ้านเพราะกาดหลวงคือศูนย์กลางของรถประจำทางหลายๆสายที่จะผ่าน ทั้งคิวรถออกสู่ต่างอำเภอ และรถสี่ล้อแดงที่ไปทุกที่ขอให้มีคนโบก กับอีกบางคนที่เป็นนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลกันมาซื้อของฝากก่อนเดินทางกลับบ้าน รถจึงติดขนัดแทบไม่ขยับ และผมนับถือแม่ที่ยังมองเห็นพี่เหยาในกลุ่มคนจำนวนมหาศาลนี้ทั้งที่ปากยังขยับบ่นผมไม่หยุด

“เอกลงไปตามพี่เขาให้กลับด้วยกันสิลูก เห็นว่ารถเสียน่ากลัวจะมาขึ้นรถกลับ”พ่อหันมาบอกผมจากด้านหลังพวงมาลัย

“ฝนตกอยู่นะพ่อ!”ผมโวยก่อนกุลีกุจอลงจากรถ ทั้งที่ยังมองไม่เห็นพี่เหยา

“พี่เหยา!”ผมตะโกนเรียกเมื่อเห็นหลังพี่เหยาไวๆ

“ไปไหน?”และร้องถามเมื่อมาถึงตัวพี่เหยา

“กลับบ้าน”พี่เหยาตอบคำถามที่ผมรู้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องเผื่อไว้ก่อน เพราะถ้าชวนออกไปเลย เดี๋ยวพี่เหยาจะบ่ายเบี่ยงได้

“งั๊นกลับด้วยกัน พ่อให้มาตาม...เร็ว รถขยับแล้ว!”ผมชวนและเร่งเร้า ทั้งที่ยังไม่รู้หรอกว่ารถขยับหรือยัง แต่พูดจบผมก็วิ่ง รู้ว่าอ้างชื่อพ่อ หรือ แม่ พี่เหยาคงไม่กล้าปฏิเสธ

มาถึงรถ ผมก็รีบกระโดดขึ้นรถ ในขณะที่พี่เหยายังยืนรออยู่

“ตัวผมเปียก...”พี่เหยาก้มตัวลง บอกพ่อ และผมมองผ่านคอเสื้อพี่เหยาเข้าไปเห็นผิวอกขาวโดยไม่ตั้งใจ

“ไม่เป็นไร ตัวผมก็เปียก!”ผมบอก ก่อนเบือนหน้าหนี

“ไม่เป็นไร ขึ้นมาเถอะ”พ่อช่วยรับรอง พี่เหยาเลยยอมขึ้นมานั่งอยู่กับผมที่เบาะหลัง

“แม่เบาแอร์หน่อย หนาว!”ผมบอกแม่ ทั้งที่ไม่รู้สึกหนาวสักนิด แต่ผมจำได้ว่าพี่เหยาขี้หนาว ถึงหน้าหนาวทีไร คนอื่นยังไม่ทันหนาว พี่เหยาก็หนาวแล้ว แล้วยิ่งวันนี้เปียกฝนไปทั้งตัวด้วย และผมคิดถูก เพราะพอผมส่งหมอนอิงที่นั่งกอดอยู่ให้ พี่เหยาก็รับไปกอดไว้ไม่พูดอะไร

“แล้วนี่จะแก้ไขยังไง?”แม่พูดขึ้นมาอีก แล้วทุกคนก็เงียบ แม้แต่ผมก็ลืมไปแล้วว่าแม่พูดเรื่องอะไร แต่แม่ยังจำได้ว่าตัวเองยังบ่นไม่จบ

“ไม่รู้ วันนี้ยังไม่เจออาจารย์”ผมตอบ ชักน้ำเสียงชักสีหน้า ไม่อยากให้แม่พูดต่อ ไม่อยากดูไม่เอาไหนต่อหน้าพี่เหยา แต่แม่ไม่หยุด

“แล้วเพื่อนที่ดร๊อปไปไม่เจอกันบ้างหรือไง?”แม่ถามและผมแกล้งถอนหายใจดังๆ แอบชำเลืองมองพี่เหยาที่เส มองออกไปนอกหน้าต่าง คงรู้แล้วว่าแม่กำลังบ่นผมอยู่ พ่อมองดูผมจากกระจก เหลือก็แต่แม่ที่ใจจดจ่ออยู่ที่ ตัวร. ตัวเดียว

“รถเสียเหรอเหยา?”พ่อถามพี่เหยา ด้วยคำถามที่รู้อยู่แล้ว

“ครับ มันสตาร์ทไม่ติด”พี่เหยาตอบ แม้จะสั้น แต่จริงๆก็ยาวกว่าปกติ เพราะโดยส่วนมากพี่เหยาจะตอบแค่...ครับ แล้วไม่อธิบาย เรียกว่าถ้าอยากรู้ก็ถามต่อเอง

“มันดับไปเลย หรือ สตาร์ทแล้วดังแช๊ะๆ”พ่อถามต่อ ผมนึกขำพี่เหยาที่ยกมือขึ้นเกาคอ พลางทำท่าคิด

“เออ...ไม่รู้สิครับ”พี่เหยาตอบหลังจากพยายามคิด

พ่อถามต่ออีกหลายๆประโยค แต่ก็ไม่ค่อยจะได้คำตอบ ดูเหมือนพี่เหยาจะทำเป็นแค่เติมน้ำมันอย่างเดียว ผมนึกเห็นภาพทอมที่ยืนล้างรถทีละ 2 คันที่หน้าบ้านบ่อยๆ แล้วก็นึกได้ว่า รถของพี่เหยา จากสีขาว ตอนนี้มันชักจะเปลี่ยนสีแล้ว เพราะทอมไม่อยู่มาร่วมเดือนแล้ว



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-03-2008 21:01:53
‘ทอมหายไปไหน ไม่เห็นมาหลายวันแล้ว’ผมถามแม่เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ตอนเพิ่งสังเกตเห็นว่าทอมหายหน้าหายตาไป ถึงระยะหลังผมจะไม่ชอบหน้าทอม แต่ก็อดสงสัยที่เห็นหายเงียบไปไม่มาซื้อของไม่ได้

‘หลายวัน!?...นี่ถ้าเป็นศพ กระดูกก็ไม่เหลือแล้วนะเอก! ทอมไม่อยู่มาเป็นอาทิตย์แล้ว’แม่ตอบคำถามด้วยคำเปรียบเทียบที่ไม่น่าฟังเท่าไหร่ แต่ผมก็ได้คำตอบว่าทอมไปออกงานแสดงสินค้าที่ต่างประเทศ

“เอกติด ร.”แม่หันมาบอกพี่เหยา เมื่อพ่อหยุดคุยกับพี่เหยาไปแค่ 5 วินาที

ผมเห็นพ่อมองผมผ่านกระจกส่องหลังอีกครั้ง ส่วนพี่เหยาก็หันมามองผมด้วยท่าทางอึดอัดใจอย่างที่เคยทำเสมอ เมื่อต้องรับฟังเสียงบ่นว่าผมของแม่

“แล้วนี่ทอมไม่อยู่ กินข้าวยังไงล่ะ”พ่อหาเรื่องถามพี่เหยา ด้วยคำถามที่รู้อยู่แล้วอีกครั้ง

“ก็กินตามปกติครับ ปกติก็ไม่ค่อยได้กินกับทอมอยู่แล้ว เพราะเวลาทอมอยู่กว่าจะกลับก็ค่ำ”และพี่เหยาก็ตอบยาวกว่าปกติอีกครั้ง

“มากินข้าวที่บ้านน้าก็ได้”แม่เสนออย่างมีน้ำใจ และผมแอบเห็นด้วย

“ไม่เป็นไรครับ”และพี่เหยาก็ตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่ผมแอบต่อท้ายประโยคให้ในใจว่า...ขี้เกียจฟังน้าบ่น...

“แล้วทอมจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ”พ่อถามพี่เหยาต่ออีก ทั้งที่ปกติจะไม่ค่อยยุ่งเรื่องของคนอื่นเท่าไหร่นัก

“ประมาณกลางเดือนหน้าครับ ตอนแรกบอกว่าว่าจะกลับปลายเดือนนี้ แต่เห็นว่าจะเลยกลับบ้านด้วย เลยเลื่อนไปอีก 2 อาทิตย์”และพี่เหยาก็ตอบยาวกว่าปกติ ทั้งๆที่ปกติคงตอบแค่...กลางเดือนหน้าครับ หรือไม่ถ้าขี้เกียจคุยก็จะตอบว่า...ไม่ทราบครับ

แล้วพ่อก็ถามพี่เหยาต่อไปเรื่อยๆ เรื่องงานแสดงสินค้าของทอมบ้าง เรื่องบ้านทอมบ้าง ผมว่าพ่อคงไม่ค่อยอยากรู้เท่าไหร่หรอก เพียงแต่ไม่อยากเปิดโอกาสให้แม่บ่นเรื่องผมต่อเท่านั้น เช่นเดียวกันกับพี่เหยาที่ดูจะเต็มอกเต็มใจตอบอะไรยาวแสนยาวผิดจากปกติวิสัยของพี่เหยาที่ผมรู้ ซึ่งก็คงด้วยจุดประสงค์เดียวกันกับพ่อ

ดังนั้นตลอดทาง แม่เลยไม่มีโอกาสบ่นผมอีก

“ผมไปบ้านพี่เหยานะ!”ผมชิงบอกแม่ตั้งแต่พ่อหักรถจอดเข้าข้างทางหน้าบ้าน และรีบกระโดดลงจากรถ ทั้งที่รถยังไม่ทันจอดสนิท จนพ่อต้องเหยียบเบรค ปล่อยให้ผมลงก่อน

“ไม่เป็นไรครับ”ผมได้ยินเสียงพี่เหยาพูด ก่อนที่ตัวเองจะกระแทกประตูปิด และไปยืนรอพี่เหยาที่หน้าบ้าน รอจนพ่อจอดรถเสร็จ จนพี่เหยาลงจากรถและเดินมาหาผม หรือจริงๆก็หน้าบ้านตัวพี่เหยาเองที่ผมยืนอยู่นั่นแหละ

“ผมเข้าไปได้หรือเปล่า?”ผมถาม เมื่อพี่เหยาเดินมาถึงตัว ยังจำเหตุการณ์วันสุดท้ายที่ตัวเองเหยียบย่างเข้าไปได้เจนตา ซึ่งพี่เหยาก็คงจำได้เจนใจเช่นกัน เพราะทั้งที่พี่เหยาควรจะเรียนจบไปพร้อมกับเพื่อนๆที่จบไปเมื่อภาคเรียนที่แล้ว แต่พี่เหยากลับยังต้องเรียนต่อไป

พี่เหยาลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับ

ภายในบ้านไม่แตกต่างไปจากครั้งสุดท้ายที่ผมได้เหยียบเข้ามา

ผมเดินตามพี่เหยาขึ้นไปชั้นบน และอดไม่ได้ที่แอบมองร่างกายพี่เหยาจากด้านหลัง มันนานมากแล้วที่ผมไม่มีโอกาสแบบนี้

ผมสะดุ้งเมื่อพี่เหยากดสวิทต์ไฟเปิด

ผมหลงลืมไปเสียสนิทใจ ว่าที่ชั้นบนของบ้านทอมนั้นไม่ได้ใช้ไฟนีออนอย่างที่ใช้ทั่วไปในอาคารพาณิชย์ และแสงไฟสีส้มสลัวนั้นก็คล้ายจะกระตุกทุกสิ่งที่จดจำไว้ให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว

ผมมองไปรอบๆ พร้อมกับภาพที่ทำอย่างไรก็ไม่เคยลืมแล่นผ่านหัวเข้ามาทีละภาพ ในทุกๆที่ ที่ผมจดจ้อง

ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ภาพร่างอันเปลือยเปล่าของพี่เหยาจากความทรงจำดูจะปรากฏไปเสียทุกแห่ง

“พี่ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างบนนะ”เสียงพี่เหยาเรียกสติผมให้กลับคืน แต่ก็ไม่อาจลบภาพที่กำลังฉายอยู่ในหัวผมได้ ผมจึงทำได้แค่พยักหน้ารับโดยไม่กล้าสบตา

“แล้วเอกล่ะ?”

“ไม่เป็นไร ผมไม่ค่อยเปียกเท่าไหร่เดี๋ยวก็แห้ง”ผมสูดหายใจลึกก่อนตอบ ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาอยู่ดีเพราะกลัวพี่เหยาจะจับได้ว่าผมคิดอะไร

“งั๊น เดี๋ยวลงมานะ”พี่เหยาบอกและผมพยักหน้ารับ แต่ผมแอบชำเลืองดูและเห็นพี่เหยายังยืนอยู่ที่เดิม...หรือพี่เหยาจะจับได้ว่าผมคิดอะไรอยู่?...ผมคิด กลัวพี่เหยาจะโกรธ

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวน้าสุก็หายโกรธ...”แต่พี่เหยาพูดในสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน และนั่นยิ่งทำให้ผมนึกรังเกียจในสิ่งที่ตัวเองกำลังคิด และยิ่งรังเกียจเมื่อพบว่า ภาพต่างๆยังไม่ยอมหายไปจากหัว ผมจึงทำได้แค่พยักหน้ารับ ฟังเสียงพี่เหยาเดินขึ้นไปชั้นบน

ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาว แต่แล้วก็ต้องรีบลุกขึ้นราวกับโดนของร้อน เมื่อจดจำได้ว่าผมเคยทำอะไรไว้กับพี่เหยาบนโซฟาตัวนี้บ้าง

...กลับดีกว่า...ผมบอกตัวเอง เมื่อรู้สึกได้ถึงอารมณ์ปรารถนาของตัวเองที่กำลังก่อตัวขึ้นภายใน และยิ่งทวีขึ้น เมื่อนึกเห็นภาพพี่เหยาที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ชั้นบน

...ต้องกลับ!...ผมบอกตัวเองอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะอ้าปากตะโกนบอกพี่เหยา เสียงพี่เหยาเรียกผมก็ดังมาจากข้างบนเสียก่อน

ผมเย็นวาบไปทั้งตัว ยังจำความอ่อนนุ่มของเตียงตัวใหญ่ที่ร่างกายได้บดเบียดกับร่างกายของพี่เหยามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนนั้นได้ดี

“เอก!”เสียงพี่เหยาเรียกผมดังจากหน้าบันไดด้านบน

“ครับ...”ผมตั้งใจตะโกนตอบ แต่รู้สึกมันแผ่วๆ ขามันก็ไม่ยอมขยับเดิน

“รับ!”ผมคงชักช้าไม่ทันใจ พี่เหยาเลยไปฝ่ายเดินลงมาเสียเอง และตะโกนบอกให้ผมรับ ก่อนที่จะโยนผ้าขนหนูผืนใหญ่ให้ผมและวิ่งกลับขึ้นไป พี่เหยายังอยู่ในเสื้อผ้าชุดที่เปียกชื้นตัวเดิม

ผมยืนกอดผ้าเช็ดตัวอยู่กับที่ เถียงกับตัวเองว่าจะกลับไม่กลับดี

ถ้ากลับ ผมก็ยังนึกเสียดายโอกาสดีๆที่จะได้กลับมาพูดคุยกับพี่เหยาอย่างใกล้ชิดแบบนี้

ถึงใจผมคิดอะไร พี่เหยาก็ไม่รู้นี่...ผมบอกตัวเอง ก่อนมองดูเป้ากางเกงตัวเอง ที่ดูจะนูนๆขึ้นมานิด คล้ายจะเถียงว่า หลักฐานมันตำตา พี่เหยาจะไม่รู้ได้ยังไง

พี่เหยาคงไม่มานั่งมองดูเป้ากางเกงผมหรอก...ผมบอกตัวเองพลางลูบๆไอ้ที่มันนูนๆขึ้นมา หวังให้มันยุบลงไป ทั้งนึกตำหนิตัวเองที่วันนี้ไม่เลือกใส่กางเกงที่หลวมหน่อยมา ซ้ำเสื้อกล้ามตัวสั้นข้างในมันก็สั้นปิดเป้ากางเกงไม่มิด

...ใช่แล้ว...ผมนึกได้รีบกลัดกระดุมเสื้อเชิ๊ตตัวนอก กลัดตั้งแต่เม็ดล่างสุดไล่ขึ้นมา กลัดได้แค่ 2 เม็ด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น จนผมสะดุ้ง

ผมได้ยินเสียงตึงตังข้างบน ก่อนเสียงบานประตูกระแทกปิดและพี่เหยาก็วิ่งลงมา

มือผมค้างอยู่ที่กระดุมเม็ดที่สาม เมื่อพี่เหยาวิ่งลงมาในชุดเสื้อคลุมผ้าฝ้ายทอมือสีฟ้าเข้มตัวหนา มือพี่เหยายังสาละวนกับการผูกสายรัดเอว และเพราะพี่เหยาวิ่งลงบันไดมา ทุกย่างก้าวของทุกขั้นบันได ชายทบเสื้อคลุมจึงตลบขึ้น เห็นช่วงขาขาวเปลือยเปล่า จากปลายเท้าถึงต้นขาเปลือยที่ไม่มีโอกาสได้เห็นมาร่วม 2 ปี

ผมจับจ้องทุกย่างก้าวของพี่เหยา ไม่สนใจเมื่อพี่เหยาเดินผ่านหน้าไป หากแต่สนใจกลิ่นหอมที่คุ้นเคย ไม่สนใจเมื่อพี่เหยาตอบรับโทรศัพท์แต่สนใจเมื่อเสียงตอบรับนั้นเปลี่ยนเป็นหัวเราะและตามด้วยภาษาอังกฤษรัวเร็ว

ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าที่อีกปลายสายคือใคร

ผมยังจับจ้องอยู่ที่เท้าเปลือยเปล่าและเปลือยน่อง ที่เคยพาดวางไว้บนไหล่เปล่าเปลือยของผมไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนเมื่อพี่เหยากระแทกเท้ากับพื้นแรงๆ เรียกสติผมให้กลับคืนและแหงนเงยหน้ามองดูพี่เหยา

คิ้วพี่เหยาขมวดมุ่น ดูก็รู้ว่าไม่พอใจในขณะที่ริมฝีปากแดงยังคุยโต้ตอบกับอีกปลายสายไม่สะดุดสักนิด

ผมรีบหลบตา กลัดกระดุมเม็ดที่เหลือจนหมด

เสียงพี่เหยาหัวเราะ ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พี่เหยาหัวเราะ ในขณะที่คิ้วยังขมวด ตาจับจ้องอยู่ที่กระดุมเสื้อที่ผมติดจนถึงเม็ดบนสุด ผมรีบยกมือจะปลดมันออกทันที แต่เพราะรีบ มือเลยไปปัดชายเสื้อถลกขึ้น ตาพี่เหยาที่จับจ้องอยู่ที่คอเสื้อเปลี่ยนมามองที่เป้ากางเกงนูนๆของผมแทน คิ้วที่ขมวดก็ยิ่งขมวดหนักขึ้นไปอีก

ผมรีบดึงชายเสื้อลงมาปิด แต่ดูจะสายไปเสียแล้ว พี่เหยามองดูมือผมที่กำชายเสื้อที่ดึงลงมาปิดเป้ากางเกงไว้แน่น สลับกับมองหน้าผม หน้าของพี่เหยาที่เมื่อครู่ขาวซีดเพราะฝน ก็ค่อยๆแดงขึ้นทีละน้อย และมันน่ามองจนผมไม่กล้าละสายตา

สุดท้ายคนที่ต้องเป็นฝ่ายหลบตาคือพี่เหยา

พี่เหยาเลือกที่จะหันหน้าหนีเข้ากำแพงและหันหลังให้ผมแทน ซึ่งผมคิดว่าพี่เหยาไม่น่าทำอย่างนั้นเลย พี่เหยาไม่รู้หรือว่า มันยิ่งเปิดโอกาสให้ผมได้จับจ้องพี่เหยาโดยไม่ต้องนึกเกรงสายตาพี่เหยาอีกต่อไป ผมมองพี่เหยาไล่เรื่อยไปทั้งตัว ภาพที่มองเห็นจากความทรงจำ ตอนนี้ผมมองไม่เห็นแล้ว เห็นก็แต่จินตนาการของตัวเอง กับร่างอันเปล่าเปลือยที่อยากจะเห็นและทำให้เกิดขึ้นจริง

เสียงหัวเราะอีกครั้งของพี่เหยากับใครอีกคนที่อยู่ไกลถึงอีกซีกโลก ปลุกความกล้าในตัวผมขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด ผมจึงขยับตัว และเดินเข้าไปหาพี่เหยาที่ยืนหันหลังให้ผมอยู่ กลิ่นหอมที่ยิ่งใกล้ยิ่งเจนจมูก ยิ่งกระตุ้นให้ผมอยากซุกหน้าลงสูดกลิ่นหอมนั้นกับต้นคอขาวที่เผยให้เห็นเพียงนิดจากเสื้อคลุมเนื้อหนา

แล้วพี่เหยาก็หันกลับมา ในวินาทีแรก พี่เหยาดูตกใจ ผลักผมด้วยมือข้างที่ไม่ได้กำหูโทรศัพท์ แต่ในวินาทีต่อมาเมื่อผมขืนตัวไม่ยอมเซไปตามแรงผลัก และกลับยิ่งโน้มตัวเข้าไปใกล้ ผมก็เห็นบางอย่างในแววตาของพี่เหยา...มันไม่ใช่ความกลัว ความเกลียดชังหรือความตื่นตะหนก แต่เป็นความปรารถนาเหมือนอย่างที่กำลังเต้นเร้าอยู่ในตัวผมเช่นกัน

ผมไม่สนใจดวงตาที่ฉายรอยลังเลของพี่เหยา

ไม่สนใจริมฝีปากแดงที่ยังขยับคุยกับใครอีกคนที่อยู่ไกลกว่าค่อนโลก

ผมโน้มตัว ประทับริมฝีปากลงที่แก้มของพี่เหยาข้างที่ไม่ได้ถูกปกปิดไว้ด้วยหูโทรศัพท์ แล้วค่อยลากไล้มาที่ริมฝีปาก

ความกล้าของผมมากขึ้น เมื่อพี่เหยาขยับหูโทรศัพท์เลื่อนลงให้พ้นจากริมฝีปากของตัวเอง

แม้พี่เหยาจะไม่ได้เผยอริมฝีปากขึ้นรับ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนหรือต่อต้านเมื่อผมค่อยๆแทรกปลายลิ้นผ่านริมฝีปากที่ปิดสนิทนั้น

ผมไล้ปลายลิ้นไปตามแนวฟัน และค่อยๆแทรกผ่านเข้าไปเมื่อพี่เหยาเผยอริมฝีปากขึ้นรับในที่สุด

ตอนนี้ผมได้ยินเสียงจากอีกปลายสายชัดเจน แต่ผมไม่สนใจ สนใจก็แต่ปลายลิ้นอุ่นของพี่เหยาที่ตอบสนองต่อการรุกล้ำของปลายลิ้นผม สนใจก็แต่สัมผัสของสะโพกและต้นขาที่ถูกผมลูบไล้ด้วยฝ่ามือผ่านผ้าฝ้ายเนื้อหนา และแทบรอเวลาที่จะล้วงลึกเข้าไปสัมผัสความนุ่มเนื้อของมันไม่ไหว

ไม่ทันที่ผมจะทำได้อย่างใจอยาก พี่เหยาก็ผลักผมเต็มแรง ในขณะที่มือของพี่เหยาพยายามยับยั้งการรุกรานของฝ่ามือผม พี่เหยาก็ส่งเสียงโต้ตอบที่อีกปลายสายอย่างพยายามให้เป็นปกติ

พี่เหยาผลักผมอีกครั้งเมื่อผมยังพยายามที่จะประทับริมฝีปากลงไปที่เรียวปากที่ขยับพูดอยู่นั้นอีกครั้ง แต่ผมไม่ลดละ เมื่อสัมผัสริมฝีปากไม่ได้ ผมก็เปลี่ยนเป็นลากปลายลิ้นไปที่ลำคอขาว สองมือจับสะโพกพี่เหยารั้งเข้ามาประชิดบดเบียดกับความแข็งขืนของผม

ผมไม่เคยลืมว่าผิวเนื้อตรงใดที่ทำให้พี่เหยาสั่นไหว และ สัมผัสแบบไหนที่ทำให้ร่างกายพี่เหยาสั่นสะท้าน และยิ่งไม่เคยลืมว่า คือทอม ที่สอนให้ผมรู้จักร่างกายพี่เหยาทุกซอกทุกหลืบเนื้อ แม้แต่พื้นผิวที่แม้แต่ตัวพี่เหยาเองยังไม่เคยได้สัมผัส

ผมปล่อยมือข้างหนึ่งที่เกาะกำสะโพกพี่เหยาไว้ ลูบไล้ที่ปลายศอก ขึ้นไปถึงปลายนิ้วที่กำหูโทรศัพท์ไว้ ลากเรื่อยไปที่โทรศัพท์ และค่อยๆปลดสายมันออกอย่างช้าๆ

ผมลากปลายลิ้นกลับมาที่ริมฝีปากที่คราวนี้เผยอขึ้นรับอย่างเต็มใจ

หูโทรศัพท์ที่ไร้สายต่อเชื่อม ถูกส่งจากมือพี่เหยาสู่มือผม และผมก็ปล่อยมันร่วงหล่นลงพื้นไปไม่ใยดี

แม้ปลายลิ้นพี่เหยาจะสนองตอบต่อปลายลิ้นผม แต่สองมือของพี่เหยาก็ยังยกยันอกผมไว้ ไม่ให้ทาบทับบดเบียดกับร่างกายตัวเอง

ผมไม่สนใจต่อการขัดขืนเล็กน้อยนั้น

ผมไม่ใช่เด็กอายุ 14 ที่ต้องรอให้ทอมจับมือนำอีกต่อไปแล้ว ผมโตพอที่จะรู้ว่าจะยุติการขัดขืนนี้และทำลายกำแพงของสติที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้ลงได้อย่างไร โดยเฉพาะกับร่างกายที่ผมรู้จักพอๆกับร่างกายของตัวเองนี้

แม้อยากจะปลดเสื้อคลุมเนื้อหนาออกมากมายเท่าไร แต่ผมก็ปล่อยมันไว้อย่างเดิม และแม้อยากจะล้วงมือผ่านชายทบเสื้อเข้าไปสัมผัสความอบอุ่นของผิวเนื้อมากเท่าไหน แต่ผมก็หักห้ามใจตัวเอง ทำเพียงเน้นย้ำสัมผัสของฝ่ามือผ่านผ้าทอเนื้อหนานี้ต่อไป เพราะรู้ว่าอารมณ์ปรารถนาที่ไม่ได้รับการตอบสนองชนิดผิวเนื้อต่อผิวเนื้อ สัมผัสต่อสัมผัสนั้น มันยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ปรารถนาให้รุนแรงขึ้น และยิ่งความกระหายอยากในตัวผมมันเต้นเร้าบอกให้ผมไขว่คว้าหาผิวเนื้ออุ่นเท่าใด ผมรู้ พี่เหยาก็จะกระหายอยากสัมผัสจากฝ่ามือผมโดยไม่อยากให้มีอะไรมากางกั้นเท่าๆกัน



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-03-2008 21:04:46
“...เอก...”เสียงพี่เหยากระซิบเรียกชื่อผม พร้อมลมหายใจอุ่นๆที่ปะทะกับปลายหูผมทำให้ผมสะท้านไปทั้งตัว

สองมือที่ยกยันอกผมไว้ เปลี่ยนมาโอบคอผม และแขนเสื้อที่ถลกร่นนั้นก็มอบอิสระให้ลำแขนเปลือยของพี่เหยาได้สัมผัสถูกต้นคอและผิวแก้มของผม พี่เหยาขยับเรียวขาเพียงนิด แล้วชายทบเสื้อคลุมก็ขยับเปิดทางให้ขาเปลือยเปล่าของพี่เหยาเสียดสีแผ่วเบากับขาที่ยังถูกห่อหุ้มไว้ด้วยกางเกงยีนส์เนื้อหนาของผม

ผมรู้ทุกอย่างเป็นไปโดยตั้งใจ...

ถ้าบอกว่าผมไม่ใช่เด็กอ่อนเดียงสาที่ต้องรอให้ใครมาจับมือนำ พี่เหยายิ่งก้าวไกลห่างจากคำนั้นไปหลายเท่า

ถ้าผมบอกว่าผมรู้จักร่างกายพี่เหยาทุกซอกทุกหลืบเนื้อ พี่เหยาก็รู้จักร่างกายผมทุกหลืบทุกซอกผิวเนื้อเช่นกัน

แล้วผมก็แพ้ เมื่อพี่เหยาขยับแยกเรียวขาออกจากกัน ปล่อยให้ฝ่ามือของผมที่ลูบไล้สะโพกของพี่เหยาอยู่ ได้มีโอกาสขยับมือผ่านเข้าสู่ช่องว่างระหว่างเรียวขาที่แยกออก ผมไม่ต้องการการถูกขวางกั้นสัมผัสด้วยผ้าเนื้อหนาอีกต่อไปเมื่อพี่เหยาโอบกอดผมแน่น เพื่อรั้งตัวขึ้นเขย่งปลายเท้า ให้มือผมซุกไซร้ได้ถนัดมือขึ้น

ผมพยายามปลดเสื้อคลุมของพี่เหยาออกด้วยมือข้างที่เหลืออยู่ ในขณะที่อีกมือยังซุกไซร้อยู่ที่ต้นขาพี่เหยาอย่างไม่สามารถละมือได้ และแทบจะคลั่งเมื่อพบว่าความรีบร้อนของตัวเองทำให้ปมสายรัดเอวที่พี่เหยาผูกไว้หลวมๆกลายเป็นเงื่อนตายที่ยิ่งดึงก็ยิ่งแน่น

“เอก...เจ็บ”พี่เหยากระซิบบอก เมื่อผมพยายามดึงปมเชือกจนกลายเป็นกระชาก

เสียงกระซิบของพี่เหยามันทำให้สติสุดท้ายของผมหลุดลอย ผมเอื้อมมือกวาดโทรศัพท์ กับสมุดเล่มเล็กไม่กี่เล่มที่วางไว้บนตู้ตัวยาวขนาดไม่กว้างนัก และสูงเพียงแค่สะโพกทิ้งลงมาบนพื้นหมด ก่อนที่จะโอบแขนรอบสะโพกพี่เหยา และโน้มตัวทับให้พี่เหยานอนลงบนตู้ตัวนั้น

“เอก!”พี่เหยาดูตกใจ เมื่อผมปลดซิปกางเกงตัวเองลง แต่เพราะกางเกงยีนส์ชื้นน้ำ ทำให้ผมปลดมันลงไม่ได้ง่ายอย่างที่ต้องการ ผมจึงทำเพียงดึงขอบกางเกงชั้นในตัวเองลง ปล่อยให้ความแข็งขันที่ร่ำร้องอยู่นานได้รับอิสระ

ใบหน้าพี่เหยาแดงกล่ำเมื่อจับจ้องอยู่ที่ความแข็งขืนของผม

“เดี๋ยว...เอก!”พี่เหยายันอกผมไว้ เมื่อผมสอดมือกระชับเรียวขาพี่เหยาและดึงเข้ามาหาตัว

ผมเลียปลายลิ้นกับปลายนิ้วตัวเอง ก่อนนวดหนักๆยังช่องทางที่ผมจะรุกล้ำในอีกไม่ช้า

“เอก อย่าเพิ่ง!”พี่เหยาพยายามขยับหนีอีกครั้ง เมื่อผมขยับยกเรียวขาพี่เหยาขึ้นพาดบ่า

“เอก...ถุงย..”ผมรู้พี่เหยาจะพูดอะไร แต่ผมไม่สนใจโน้มตัวลงบดเบียดริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากพี่เหยา พร้อมๆกับค่อยๆแทรกกายผ่านช่องทางที่บีบรัด ตอบสนองทุกจังหวะที่ผมค่อยๆส่งกายผ่านเข้าไปอย่างช้าๆ

ผมรู้สึกได้จากปลายลิ้น ว่าพี่เหยาสูดหายใจลึก ก่อนค่อยผ่อนลมหายใจลงช้าๆ เมื่อรู้ว่าไม่สามารถห้ามหรือรั้งผมไว้ได้

พี่เหยาเบือนหน้าหนี ขบริมฝีปากแน่น เมื่อผมละปลายลิ้นจากเรียวปากของพี่เหยาและยันตัวขึ้น

ในขณะที่มือหนึ่งยังเกาะกระชับสะโพกพี่เหยาไว้ให้ตอบสนองจังหวะการขยับกาย อีกมือหนึ่งผมปัดผมชื้นเหงื่อที่บดบังใบหน้าพี่เหยาไว้ออก

“มองหน้าผม!”ผมบอกพี่เหยา ที่เบือนหน้าหลบและ หลับตา

พี่เหยามองดูผมอย่างแปลกใจ แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น หลังจากนั้นดวงตาของพี่เหยาก็บ่งบอกว่าเข้าใจในสิ่งที่ผมคิด

ผมขยับตัวลึกเข้า ในขณะที่พี่เหยากัดริมฝีปากข่มความเจ็บเสียดไว้ แต่ดวงตาก็ยังจับจ้องมาที่ผม

ผมไม่สงสัยว่าพี่เหยาเข้าใจในสิ่งที่ผมคิดจริงหรือเปล่า เพราะผมจดจำได้ว่าพี่เหยาเข้าใจผมเสมอ พี่เหยาเข้าใจและรู้จักผมมากกว่าใครๆทุกคน แม้กระทั่งพ่อและแม่ และในวันนี้ วินาทีนี้ วินาทีที่เราจับจ้องกันและกัน ผมก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่า ผมคิดถึงพี่เหยามากมายแค่ไหน ไม่ใช่แค่ร่างกายพี่เหยา แต่เป็นทั้งหมด

“ผมคิดถึงพี่...”ผมพูดปนสะอื้นออกมาอย่างไม่ตั้งใจ โน้มตัวลงกอดพี่เหยาไว้ด้วยแรงกำลังทั้งหมดเท่าที่มี

“ไม่เป็นไร...”พี่เหยากระซิบบอกผมเบา และลูบมือที่ชื้นเหงื่อที่หลังผมเบาๆ

“ไม่เป็นไร...”พี่เหยากระซิบเบาๆอีกครั้ง เลื่อนฝ่ามือลงโอบรัดที่สะโพกผมและยกสะโพกตัวเองขึ้น จนร่างกายเราแนบสนิทกันยิ่งขึ้น

“ไม่เป็นไร...”พี่เหยากระซิบอีกครั้งและอีกครั้ง และเริ่มขยับสะโพกตัวเองช้าๆ และผมก็ตอบรับสัมผัสนั้น

เราขยับร่างกายสนองตอบกันและกัน ในขณะที่ดวงตายังจับจ้องกันอยู่ไม่ลดละ แม้เมื่อทุกอย่างดูขาวโพลน ความรู้สึกด่ำดิ่งลึกเกินกว่าที่จะฉุดรั้ง สิ่งเดียวที่มองเห็นชัดเจน คือดวงตาของพี่เหยาที่จับจ้องผมอยู่

เป็นครั้งแรกที่หมดข้อกังขาในใจส่วนลึก และยอมรับอย่างแท้จริงว่า คนตรงหน้าคือพี่เหยา...ไม่มีเนคไทด์สีแดง ไม่มีทอม มีเพียงแค่ผมกับพี่เหยา กับสติที่ย้อนกลับมาอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง ทั้งผมและพี่เหยา

เรามองดูท่าทีของกันและกันนิ่งนาน

แม้เมื่อครู่ผมจะเอ่ยปาก...ผมคิดถึงพี่ และพี่เหยากระซิบแผ่วครั้งแล้วและครั้งเล่าว่า...ไม่เป็นไร

และแม้ผมจะแน่ใจว่าครั้งนี้ มันไม่ใช่การฝืนบังคับ เพราะพี่เหยาก็ตอบสนองทุกสัมผัสของผม

แต่ผมก็ยังสัมผัสได้ถึงความกระอักกระอ่วนใจทั้งของผมและพี่เหยาที่ยังคงนอนอยู่ใต้ร่างของผม ในขณะที่สองขายังพาดไว้บนไหล่ผมที่ยันตัวคร่อมอยู่เนื้อร่างของพี่เหยา และผมยังปล่อยให้ความแข็งขืนของตัวเองซุกตัวอยู่กับความอุ่นภายในตัวของพี่เหยาอยู่เช่นเดิม

ผมไม่แน่ใจว่าควรทำยังไง...ขอโทษ? แต่ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิด ทั้งพี่เหยาเองก็ดูมีความสุขกับสิ่งที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ แต่ก็อีกนั่นแหละ คนที่เริ่มคือผม และปฏิกิริยาสนองตอบของพี่เหยามันแค่...ห้ามใจตัวเองไม่ได้ เท่านั้น

แล้วตาผมก็เหลือบเห็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรเห็น...รูปพี่เหยาสมัยที่ยังเรียนม.ปลาย ยืนยิ้ม และคนที่ยืนยิ้มร่าอยู่ข้างๆคือ...ทอม

วินาทีที่ผมเห็นรูปทอม มันไม่ได้มีแค่ผมกับพี่เหยาอีกต่อไป ทอมคือตัวแปรที่ทำให้ผมตีค่าการกระทำของตัวเองอย่างสับสนและแปรเปลี่ยนไปสิ้นเชิง

ในขณะที่ไม่รู้สึกผิด ผมกลับบอกตัวเองว่าควรรู้สึกผิด หรืออย่างน้อยก็ยอมรับกับตัวเองว่ากระทำผิดโดยไม่รู้สึกผิด...ผมไม่รู้เลยว่าสำหรับพี่เหยาแล้วมันไม่ใช่ มันเป็นครั้งแรกสำหรับพี่เหยาที่ได้กอดใครคนหนึ่งโดยปราศจากสายตาของทอมที่จับจ้อง ความปรารถนาอันหยาบก้านของผม เมื่อส่งผ่านถึงผิวเนื้อพี่เหยา มันละเอียดอ่อนกว่านั้น พี่เหยาสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ผมไม่กล้าเอื้อมมือไปไขว่คว้าและ รับรู้ได้ในสิ่งที่ผมเองยังไม่กล้าจะรับรู้

ดังนั้นเมื่ออารมณ์ดิบในใจมันทุเลา และบอกให้ตัวเองควรรู้สึกผิด ผมก็เลือกที่จะหาเหตุผลมาปกป้องและรองรับความรู้สึกผิดของตัวเองอีกครั้ง ด้วยคำว่า...ความอดอยาก...

ผมอดอยาก...เพราะร้างลาจากสัมผัสที่เคยคุ้นมาเนิ่นนาน

พี่เหยาอดอยาก...เพราะขาดสิ่งที่ทอมเฝ้าหยิบยื่นให้ทุกเมื่อเชื่อวัน มานานร่วมเดือน

ผมตีค่าของความสุขที่เพิ่งผ่านพ้นไปเพียงเท่านั้น

บอกให้ตัวเองพอใจอยู่แค่ การได้กอดร่างกายที่เฝ้าคิดถึง

บอกให้ตัวเองพอใจอยู่แค่การได้พี่เหยาคนที่เข้าใจผมที่สุดคืนมา

และบอกให้ตัวเองพอใจอยู่แค่การได้ความสนิทสนมชิดเชื้อของพี่เหยากลับคืน

โดยไม่เคยถามตัวเองและคิดว่า ในวันนั้นสำหรับพี่เหยาแล้วได้อะไรบ้าง

ในขณะที่ผมยังยันตัวคร่อมอยู่เหนือร่างพี่เหยา และขบคิด พี่เหยาก็ถอนหายใจ มือหนึ่งยันตัวลุกขึ้น ในขณะที่อีกมือผลักอกผม คล้ายจะบอกให้ผมถอยออกไปเสียที พร้อมกับที่ขยับเรียวขาตัวเองลงจากไหล่ผม...เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นโดยผมไม่ทันตั้งตัว ทั้งความแข็งขันของผมมันก็ยังนอนนิ่งอยู่ในตัวพี่เหยา เมื่อพี่เหยาขยับตัว มันจึงช่วยไม่ได้ที่มันส่งผลต่อเจ้าความแข็งขืนนั้น ผมจึงเผลอครางออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

พี่เหยาชะงักทันที หันมามองผมอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ก่อนที่จะหัวเราะออกมา และไอ้อาการขยับตัวหัวเราะของพี่เหยามันก็ยิ่งกระตุ้นความแข็งขืนของผมในตัวพี่เหยาให้กลับมาอีกครั้ง

พี่เหยายังหัวเราะ เมื่อผลักผมให้ถอยออกไป แต่ผมลืมตัวรีบกระชับสะโพกพี่เหยาไว้และดึงกลับมาให้สนิทแนบแน่นเหมือนเดิม

“โอ๊ย!”พี่เหยาร้อง

“โอ๊ยอะไร? ผมรู้พี่ไม่เจ็บสักหน่อย!”ผมเถียงแก้เขิน...อีกทั้งเสียงหัวเราะของพี่เหยา กับอารมณ์สั่นไหวที่เพิ่งผ่านไป ทำให้ผมได้ใจขึ้นอีกโข

“รู้ได้ไงว่าไม่เจ็บ?”พี่เหยายังไม่ยอมแพ้ แกะมือของผมที่เกาะกุมสะโพกตัวเองไว้ออก

“ก็รู้สิ นี่ไง!”ผมพูด และยอมตามใจปล่อยมือจากสะโพกที่เกาะกุมไว้ เปลี่ยนมาจับต้นขาขาวที่ตอนนี้พาดขนาบลำตัวผม ให้ขยับยกขึ้นสูงอีกครั้ง กดบดเบียดตัวเองเข้าไปให้แนบสนิทยิ่งขึ้น มันได้ผล เพราะพี่เหยามีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาทันทีเหมือนกัน

“เห็นไหม...พี่ไม่เจ็บสักหน่อย”ผมพูดก่อนโน้มตัวลงบดเบียดริมฝีปากกับเรียวปากของพี่เหยาที่กำลังหัวเราะคำพูดผม

และเมื่อพี่เหยาขยับมือที่ยกยันอกผมไว้ขึ้นโอบคอผม มันก็เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้น...

แม้ว่ามันจะไม่ใช่ครั้งแรก ครั้งที่สอง หรือแม้กระทั่งยากที่จะบอกว่านั่นคือครั้งที่เท่าไหร่ที่ผมได้สัมผัสร่างกายพี่เหยา จนความเป็นจริงก็อย่างที่บอกคือ ผมรู้จักทุกถ้วนทั่วของผิวเนื้อพี่เหยาและแม้จะเพิ่งผ่านพ้นไปอีกครั้งเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาที่เราสนองตอบกันและกันด้วยความ...อดอยาก

และแม้ว่ามันจะฟังดูน่าหัวเราะหรืออาจจะน้ำเน่าไปหน่อย แต่ด้วยความสัตย์จริงคือผมรู้สึกดื่มด่ำ ตื่นเต้น และอิ่มเอมอย่างที่ไม่เคยเป็นกับการหลอมหลวมเป็นหนึ่งเดียวกับพี่เหยาในครั้งนี้...เหมือนกับว่าความปรารถนาที่เต้นเร้าอยู่เป็นเพียงดนตรีบรรเลงเพลงประกอบ...มันมีรสชาติหากแต่ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างอีกต่อไป...ความรู้สึกทั้งหลายทั้งมวลมันจดจ่ออยู่ที่สัมผัสอบอุ่นของผิวเนื้อภายใน

เราจ้องมองกันและกัน และผมค่อยๆเสียดสัมผัส ละเลียดไปทีละน้อย ทีละน้อยคล้ายจะจดจำทุกความอบอุ่นของทุกอณูเนื้อภายในตัวพี่เหยา

พี่เหยาขยับเรียวขา ช่วยให้ผมบดเบียดร่างกายเข้าไปลึกล้ำยิ่งขึ้น แต่ไม่เร่งเร้า คล้ายจะจดจำทุกอณูของความล้ำลึกนั้นไว้เช่นเดียวกัน

เมื่อแน่ใจว่าผมไม่สามารถบดเบียดตัวเข้าไปให้แนบสนิทยิ่งกว่านี้ ผมก็ค่อยๆขยับกายออก ทีละน้อยทีละน้อย ทำอย่างนี้ครั้งแล้วและครั้งเล่า...ไม่เร่งเร้าจังหวะ ทั้งที่ความปรารถนามันเริ่มรบเร้าหาสัมผัสที่รวดเร็วและรุนแรงกว่านั้น หากแต่ผมก็สะกดมันไว้ด้วยยังไม่อิ่มเอมกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่เกิดขึ้น

ตราบจนอิ่มเอม ผมจึงกระชับสะโพกพี่เหยาไว้ และต้องสะท้านไปทั้งตัวเมื่อพี่เหยาโอบกอดผม และรั้งตัวเองขึ้น สองขาเรียวขยับลงจากไหล่ผมและเปลี่ยนมาเกี่ยวกระหวัดรัดรอบเอว

ตาเรายังจับจ้องกันและกัน ในขณะที่ร่างกายบดเบียดเข้าหากัน...ช้าและเร็ว...เนิ่บนาบและรุนแรงสอดประสานกันไปทุกจังหวะ...

ถ้าเพียงแต่ไม่มีทอม...ผมคิด เมื่อจมดิ่งอยู่กับความสุขครั้งสุดท้าย



--------------------

จบตอน 6
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: hasuzz ที่ 29-03-2008 21:13:29
พี่เหยาาา

TT________TT


กาซิก เรื่องนี้เค้าดีจริง~!!
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 29-03-2008 21:34:39
เจาะไข่คุณน้องรีฯ บน  อิอิ    :m1: :m1: :m1:

ขอบคุณพี่ทิพย์มากๆๆๆๆๆ ลงได้แบบจุใจจริงๆๆๆ  :pig4: :pig4:

ตั้งแต่อ่านเรื่องนี้มา ตอนนี้บีบหัวใจน้อยที่สุด บางตอนก็น่ารักดี โดยเฉพาะตอน  XXX   :o8: :o8:
ชอบเรื่องนี้มากๆ ครับ :L2: :L2: :L2:

อยากจะบอกอีกครั้งของเค้าดีจริง   o13 o13 o13




เป็นกำลังใจพี่ทิพย์คนโพสต์ครับ  :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 29-03-2008 21:50:55
 :o8: อ่านไปก็เขิลไป ตอนนี้สัมผัสกันแบบหวานละมุนละไม
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 30-03-2008 02:11:09
ก่อนอื่น

ต้องขอบใจทิพมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ที่เอาเรื่องดีๆ แบบนี้มาให้อ่าน

เรียกได้ว่า  ถ้าเป็นหนังสือก็วางกันไม่ลงเลยทีเดียว

สองขอบอกเลยนะว่า...เป็นเรื่องแรกที่ มีประโยคเด็ด สะกิดใจสอง  ในทุกตอนท่ลงเลย

เป็นเรื่องแรกที่สองเกิดอาการแบบนี้

อัศจรรย์มาก

ทิพไปหามาจากไหน

เพชรแท้ๆ

ขอชื่นชมจากใจจริง

เริ้ดจนไม่สามารถบรรยายได้อย่างที่ใจคิด

สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ไม่มีขอติเลย

สองต้องขอยอมแพ้

ชนิดที่ต้องก้มกราบกันเลยทีเดียว

หากจะเสนอ "นิยายแนะนำ" ประจำเดือนนี้

สองขอเสนอเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาเลยนะ  ได้ผลว่าไงบอกต่อด้วย

ขอบใจทิพอีกครั้งที่นำมาลงให้


ปล. จัดหน้าได้ดี  แบ่งตอนได้อิ่ม  อ่านแล้วไม่ค้างคา  ชอบมาก

ฝากบอกคนแต่งด้วยนะว่า  เก่งมาก  อ่านแล้วทึ่งสุดๆ ผูกปม ให้สัญลักษณ์ หาเหตุผล  วางจังหวะ  และอีกสารพัด  ได้ดีมาก

ดีมากแบบที่สองไม่เคยเห็นในเรื่องไหนๆ มาก่อนเลย

ขอยกให้เป็นนิยายขิ้นเอกในใจสองเลยทีเดียว

แม้ว่าจะอ่านแล้วเครียดไปนิด ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการเรื่องเบาสมอง

ปลล. ขอชมว่าบรรยายฉากขืนใจได้สมจริงมาก  อ่านแล้วสะท้านสะท้อนเลย  ไม่ทราบว่าได้ข้อมูลมากจากไหน  สมจริงมาก

ไม่คิดว่าจะมีนักเขียนคนไหนเข้าใจถึงความรู้สึกของคนที่โดนได้ลออแบบนี้

ชอบเรื่องนี้มาก   แม้กระทั้งความคิดของตัวละครที่สองคิดเตรียมจะเขียนต่อในเรื่องที่สองเขียนค้างไว้  ก็ถูกคุณคนนี้ตีแผ่อย่างหมดเปลือกเลยอะ  เพราะสองกะว่าจะให้พระเอกในเรื่องนั้นมีมิติของตัวละครที่เป็นปมแย้งเหมือน เอก ในเรื่องนี้ 

ตายแล้ว  อ่านเรื่องนี้แล้วสองคงต้องทำการบ้านเยอะขึ้นมากเลยถ้าจะเขียนต่อ

ไม่งั้นคงอายคุณคนเขียนเรื่องนี้แน่เลย  กลัวเขียนได้ไม่ดีเท่าจัง


สอง...


ปลลล.  อันนี้  :L2: ให้ทิพนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 30-03-2008 17:45:14
เห็นด้วยกับเจ้สอง คนสวย อย่างแรงครับ

เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็น" เพชร " แห่งวรรณกรรม เลยทีเดียว ( ข้อให้คำว่าวรรณกรรม เพราะมีคุณค่ามากว่านิยายธรรมดาทั่วๆ ไป )

อย่างที่เคยบอกครับ ตั้งแต่อ่านวรรณกรรม และ นิยายทั่วๆ ไปมา เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ที่ทำให้ตัวผมเข้าถึงอารมณ์ ความรู้สึกของตัวละครมากที่สุด  ประโยคบางประโยค บีบหัวใจจนพูดไม่ออกจริงๆ ครับ ที่สำคัญน้ำตาเจ้ากรรมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน

ต้องบอกว่า  งดงาม  ทั้งภาษา
ต้องบอกว่า  งดงาม  ทั้งอารมณ์
ต้องบอกว่า  งดงาม  จริงๆ ครับ สำหรับเรื่อง "หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ " เพชรแห่งวรรณกรรม ในเล้าเป็ด
ปล.1.ขอบคุณ คุณ ภัค D  เจ้าของเรื่อง
        ขอบคุณ พี่ทิพย์ คนโพสต์ ครับ

ปล.2.ก้มกราบ เป็นเพื่อนเจ้สองด้วยคนครับ

ปล.3.แล้ววันนี้เมื่อไหร่พี่ทิพย์จะโพสต์ ครับ



เป็นกำลังใจให้ทั้งสองคนเลย   :L2:  :L2: :L2: :L2:



หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 30-03-2008 20:17:09
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ# 7

เมื่อก่อนตอนสมัยเด็กๆเวลาดูหนัง ผมเคยสงสัย...ว่าทำไมเมื่อผ่านค่ำคืนแรกไปแล้ว ไม่ว่าก่อนหน้านั้น พระเอกกับนางเอกจะชิงชังกันขนาดไหน และแม้ว่าค่ำคืนแรกจะผ่านพ้นไปด้วยความเต็มใจหรือไม่ หากแต่เช้าวันใหม่ ความสัมพันธ์ของพระเอกและนางเอกก็จะเปลี่ยนไป กลายเป็นหวานหยดชนิดที่ความเกลียดชังครั้งก่อนเก่าจมความหวานตายไปเลย

ผมสงสัยและคิดค้าน...ว่าเป็นไปได้อย่างไร ที่ความชิงชังต่อกันมาเนิ่นนานจะพ่ายแพ้ต่อเวลาแค่ชั่วข้ามคืน สุดท้ายผมก็แอบสรุปว่า...มิแคล้วพระเอกและนางเอกคงต้องเลิกรา ถ้าหนังมันไม่ชิงตัดหน้าจบไปเสียก่อน

ผมภูมิใจที่คิดได้ในสิ่งที่แม้แต่ผู้กำกับ หรือแม่ที่นั่งปลื้มฉากหวานๆในตอนจบอยู่นั้น คิดไม่ได้ ในตอนนั้นหัวเล็กๆของผมมันยังไม่เข้าใจว่า...บางสิ่งซับซ้อนกว่าที่ตาเห็นหรือแม้แต่ที่ใจคิด

และตราบเมื่อผมได้ประสบการณ์นั้นผ่านผิวเนื้อ ความรู้สึก และ หัวใจของตัวเอง ผมจึงเข้าใจ

หลังผ่านความอิ่มเอม ที่เต็มตื้นไปทั้งหัวใจไปผมจึงรู้ว่าเพราะอะไร...

เพราะความเย็นชาย่อมพ่ายแพ้ต่อความอบอุ่นของผิวเนื้อ...

เพราะความขมขื่นย่อมแพ้พ่ายต่อความหวานของผิวกาย

เพราะความเงียบงันมิอาจต้านทานเสียงสะท้อนของลมหายใจ

และความแข็งกระด้างก็มิอาจทนทานต่อความอ่อนโยนของรสสัมผัส

เหมือนที่ความห่างเหินต้องยอมจำนนต่อความแนบสนิทของเนื้อหัวใจ

ดังนั้นเมื่อความชิงชังและหมางเมินที่ทอดเวลายาวนานกว่า 2 ปี พ่ายแพ้ต่อรสหวานและสัมผัสที่อ่อนโยนในอ้อมกอดกันและกัน ผมจึงนอนกอดพี่เหยาที่ซุกตัวซบหลับสบายอยู่กับอกผม ลืมแม้แต่คำว่าความสัมพันธ์อันฉาบฉวยที่ตัวเองเคยคิดไว้แต่ครั้งยังเด็ก และลืมแม้แต่คำนิยามของความสัมพันธ์ที่ตัวเองเพิ่งคิดขึ้นคือ ความอดอยาก เสียสนิทใจ

ผมกอดพี่เหยาไว้ตลอดคืน แม้รู้สึกง่วงแต่ก็ข่มตาหลับไม่ลง เพราะรสหวานยังแผ่สัมผัสอยู่ทั่วทุกผิวเนื้อ นานครั้งผมจึงกระชับอ้อมกอดและจูบพี่เหยาเบาๆ และพี่เหยาก็จะสนองตอบด้วยการกระชับอ้อมแขนที่โอบกอดผมไว้เช่นกัน...กลิ่นหอมบางๆมันทำให้ผมลืมตาโพล่ง คิดถึงความหอมหวานที่เพิ่งผ่านพ้นไปครั้งแล้วและครั้งเล่า และถ้อยสนทนาที่เรานอนคุยกันจนพี่เหยาหลับไป

ผมแปลกใจเล็กน้อยที่ดูเหมือนพี่เหยาจะรู้ความเป็นไปต่างๆของผม นับจากที่ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องของเราจบลง พี่เหยารู้ถึงพฤติกรรมเหลวไหลของผม รู้ที่แม่ต้องถูกอาจารย์ของผมเรียกไปพบบ่อยๆ รู้ที่เกรดเฉลี่ยผมตะกายอยู่ที่หนึ่งกว่าๆ และ รู้แม้กระทั่งที่ผมต้องเรียนซ้ำชั้นม.4แล้วจู่ๆก็กระโดดจากม.4ครั้งที่2เข้ามหาวิทยาลัยไปเฉยๆ

และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม พี่เหยาถึงยกโทษให้ผมง่ายเหลือเกิน และเป็นครั้งแรกที่ผมไม่นึกเสียใจกับพฤติกรรมเลวๆของตัวเอง ถึงผมจำได้ว่าพ่อโกรธแค่ไหน และแม่ร้องไห้บ่อยครั้งเท่าไหร่ แต่มันผ่านไปแล้ว และพี่เหยาอาจจะยกโทษให้เพราะมัน...

พี่เหยาบอกว่าผมไม่ควรทำอย่างนั้น พี่เหยาว่าคนเราทำผิดได้ แต่ดีที่สุดคืออย่าให้ใครรู้ ไม่ใช่เพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อปกป้องคนที่รักเราด้วย

มันยากที่จะบอกว่าผมเห็นด้วยหรือเปล่า แต่ผมบอกพี่เหยาว่า ผมเลือกทำร้ายตัวเอง เพราะผมรู้ว่าคนที่เจ็บกว่าคือแม่ และเมื่อแม่ร้องไห้ ผมสะใจ ส่วนหนึ่งสะใจที่แม่เจ็บ แต่สะใจยิ่งกว่าเพราะที่สุดแล้วคนที่เสียใจและเจ็บปวดที่สุดคือผม...ผมเลือกทำร้ายตัวเอง เพื่อใช้ความเจ็บปวดของแม่ย้อนมาทำร้ายตัวผมเองอีกที...ผมเลือกทำร้ายคนที่ตัวเองรัก เพื่อลิ้มรสชาติที่เจ็บปวดกว่าเสมอ

ผมไม่ได้บอกพี่เหยาว่าอะไร ที่ทำให้ผมคิดว่าตัวเองควรถูกลงโทษแบบนั้น แต่พี่เหยาก็กอดผม และบอกผมเบาๆว่าขอโทษ

ผมไม่รู้ว่าพี่เหยาทำอะไรผิด ในความเป็นจริง พี่เหยาไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว...มันเป็นเพราะผมเลือกที่จะทำเอง เป็นเพราะทอม แต่ไม่ใช่พี่เหยา...แต่ผมก็ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำขอโทษนั้น

พี่เหยาให้ผมเล่าเรื่องตัวผมเอง เล่าเรื่องเพื่อนๆในช่วงเวลาที่เราไม่ได้คุยกัน ตรงข้าม...พี่เหยากลับไม่ค่อยยอมพูดถึงเรื่องของตัวเองเท่าไหร่นัก พี่เหยาบอกแค่ว่าน้องสาวของพี่เหยาชื่อคิม อายุแก่กว่าผมหนึ่งปี และน้องชายชื่อฟง อายุอ่อนกว่าผมหนึ่งปี กำลังจะเตรียมเอนท์ในปีนี้และเป้าหมายก็คือเชียงใหม่

ผมไม่รู้ว่าพี่เหยาเป็นกังวลหรือเปล่าเรื่องที่น้องชายจะมาเรียนที่เชียงใหม่ เพราะถึงตอนนั้น พี่เหยาก็อาจจะกลับไปบ้านแล้ว นั่นหมายความว่าน้องชายพี่เหยาก็ต้องอยู่ตามลำพังกับทอมเพียงสองคน

“น้องชายพี่ หน้าเหมือนพี่หรือเปล่า?”ผมถาม นึกกังวลขึ้นมาแทน

“อยากเห็นหรือเปล่า?”พี่เหยาถาม และไม่ยอมรอคำตอบของผม ก็ลุกไปหยิบกระเป๋าตังค์และหยิบรูปใบเล็กๆส่งให้ผมดู

พี่เหยาหัวเราะก่อนที่ผมจะได้เห็นรูป และผมก็ต้องหัวเราะตาม เพราะรูปที่พี่เหยาส่งให้ผม เป็นรูปถ่ายครบทั้งครอบครัว รูปขนาดแค่พกไว้ในกระเป๋าตังค์ แต่ถ่ายเต็มตัวทำให้มองเห็นคนในรูปไม่ชัดเจนนัก ที่พอมองออกก็คือมีผู้ใหญ่สามคน และเด็กอีกสามที่ดูจะอายุไล่ๆกัน

ผมพอเดาได้ว่าเด็กที่ดูโตสุดน่าจะเป็นพี่เหยา เพียงแต่เด็กที่โตสุดในรูปนั้นยังยืนทำหน้าเคร่ง เลียนแบบท่าอุลตร้าแมนอยู่เลย ดูยังไงก็คงไม่เกินหกเจ็ดขวบ ส่วนน้องสาวที่ยืนข้างๆก็ยังมัดผมแกละ ยืนชูสองนิ้ว ยิ่งน้องชายของพี่เหยาที่ผมถามถึง ยังทำหน้าเบ้เตรียมร้องไห้อยู่ในวงแขนของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งก็คงจะเป็นแม่ของพี่เหยา แต่ที่สะดุดตาผมที่สุดคือผู้ชายที่มีผมสีทอง แม้เวลาในภาพนั้นจะผ่านมา10กว่าปีแล้ว ทั้งใบหน้าก็มองเห็นได้ไม่ชัดนัก แต่ผมก็รู้ว่าใคร...ทอมคุกเข่าอยู่ข้างหน้าของพ่อพี่เหยา มือหนึ่งโอบพี่เหยาไว้ ในขณะที่อีกมือโอบน้องสาวของพี่เหยา

“เหมือนไหม?”พี่เหยาถามทั้งที่ยังหัวเราะ

“ขาวเหมือนกัน...”ผมตอบพยายามที่จะไม่มองดูทอมที่กำลังยิ้มเห็นฟันขาวอยู่ในรูป

“ตอนเด็กๆเวลาผมถ่ายรูป ผมชอบ...”ผมแกล้งชวนคุยเรื่อยเปื่อย ทั้งที่ในหัวเห็นแต่ภาพทอมนั่งยิ้มฟันขาว...มันชัดเจนเสียยิ่งกว่าที่ตามองเห็นจากรูปถ่ายเสียอีก

“กางแขน!”พี่เหยาต่อประโยคให้ ผมถึงนึกขึ้นได้ ว่าที่บ้านมีรูปถ่ายสมัยเด็กๆของผมที่แม่วางไว้เต็มไปหมด และทุกรูป ผมจะยืนกางแขน ไม่ว่าจะถ่ายกับเพื่อนตอนงานโรงเรียนหรือถ่ายกับพ่อกับแม่ ผมจะต้องทำท่าบินเสมอ จนเริ่มโตและอายเป็นนั่นแหละถึงเลิก แต่ก็ยากที่จะบอกอย่างชัดเจนว่าเมื่อไหร่ที่ผมเริ่มอายและเก็บแขนไว้ข้างตัวเวลาถ่ายรูป

มันก็เหมือนเรื่องหลายๆเรื่องที่ผ่านเข้ามา และผ่านออกไปในชีวิต เราอาจไม่เคยคิดถึงมัน หรือกว่าจะคิดถึง มันก็ไม่ชัดเจนเสียแล้วในความทรงจำ...เหมือนภาพพี่เหยาในวันแรกที่พบกัน ผมจำได้ก็แค่เงาร่างลางๆเท่านั้นเอง

“ใช่...ส่วนไอ้วิทย์มันต้องคุกเข่าแล้วชันเข่าขึ้นมาหนึ่งข้าง ไว้เท้าแขน คนอื่นเขายืนกัน มันก็ต้องนั่ง ตอนไปเข้าค่ายตอนป.5 เพื่อนๆเลยแกล้งมัน รูปถ่ายกลุ่มเห็นมันก็แต่ผม...”ผมเล่าให้พี่เหยาฟังและพี่เหยาก็หัวเราะ

“ดูทอมสนิทกับบ้านพี่จังเลย...”ในที่สุดผมก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงทอม

“อือ...ก็สนิท...สนิทมาก...สนิทมากๆ”พี่เหยาบอก ดึงรูปในมือผมไปดู

“ไม่มีรูปไหน ที่ถ่ายกันครบแล้วไม่มีทอม...แล้วก็มายืนอยู่ตรงกลางทุกที จะตัดทิ้งก็ไม่ได้”พี่เหยาพูดพลางใช้นิ้วยกขึ้นมาปิดรูปทอมไว้ และถึงพี่เหยาจะพูดอย่างนั้น หรือทำอย่างนั้น แต่ในน้ำเสียงของพี่เหยา ก็ไม่มีความเกลียดชังสักนิด

“เอารูปผมแปะลงไปแทนไหม?”ผมถามไปงั๊นๆไม่ได้คิดจริงจังกับคำพูดตัวเองก่อนดึงรูปคืนจากมือพี่เหยา และพี่เหยาก็ไม่ตอบอะไร ทำก็แค่หัวเราะเท่านั้น

“ทอมโกรธพ่อมากที่ไม่ยอมไปปรึกษาตอนที่มีปัญหา เผื่อจะได้ช่วยกันแก้ไขตั้งแต่ต้น แล้วก็ยิ่งโกรธตอนที่รู้ว่าพ่อให้พี่ออกจากโรงเรียน...”อยู่ๆพี่เหยาก็พูดขึ้นมา ก่อนที่จะเอียงหัวเบียดซบผมที่ไหล่และมองดูรูปในมือผม

“พี่รักทอมนะ...หมายถึงนับถือน่ะนะ”

รัก...ตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงคำนี้สักนิดเดียว ผมอาจคิดถึงคำคำนี้ เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างทอมกับพี่เหยา แต่เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับพี่เหยาผมกลับไม่กล้าตั้งคำถามกับตัวเอง

เพราะอย่างน้อยลึกๆ ผมก็รู้ว่า สำหรับพี่เหยาแล้วคงไม่มีคำๆนี้ให้ผมอย่างแน่นอน เราอาจคุ้นเคยในรสสัมผัสระหว่างกัน คุ้นเคยในความสัมพันธ์ที่ครั้งหนึ่งเคยสนิทสนมกันยิ่งกว่าใครๆ แต่มันคงไม่ใช่...ความรัก

และเมื่อพี่เหยาพูดขึ้น มันฟังคล้ายพี่เหยาตั้งใจปกป้องทอมจากความคิดของผม

“แล้ว...”ผมอยากรู้เรื่องของทอมกับพี่เหยา และดูเหมือนพี่เหยาพร้อมจะเล่า แต่ผมกลับไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน ยิ่งพี่เหยาเงียบราวกับไม่รู้ว่าผมอยากถามอะไร ผมยิ่งลังเลว่า...หรือจริงๆพี่เหยาไม่ได้คิดจะเล่า

“พี่เต็มใจที่...”พี่เหยาเต็มใจจะพูดหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่อย่างน้อยผมอยากรู้เพียงสิ่งเดียว เพราะมันรบกวนจิตใจผม แม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมมันจึงกวนใจนัก

“ไม่!”พี่เหยาตอบก่อนที่ผมจะถามจบ

“งั๊นทอมก็...”ผมได้ยินตัวเองพูดถึงสิ่งที่น่ารังเกียจ ด้วยน้ำเสียงเกือบจะยินดี

“ทอม?...เอกหมายถึงทอม?”อีกครั้งที่พี่เหยาไม่ปล่อยให้ผมพูดจบ

เมื่อได้ยินคำถาม ผมแข็งไปทั้งตัว เพราะถ้าไม่ได้หมายถึงทอม พี่เหยาย่อมหมายถึงผม ความยินดีเมื่อครู่มันกระโดดหายไปรวดเร็วชนิดไม่เห็นหลัง แล้วพี่เหยาก็หัวเราะอีกครั้ง อย่างทุกทีที่หามุมเหมาะเคาะไม้บรรทัดลงบนหัวผมได้สำเร็จ

“เต็มใจ หรือ ไม่เต็มใจบางทีมันพูดยากนะ”พี่เหยาพูดทั้งยังหัวเราะ และ ตายังจับจ้องที่รูปในมือผม

ไม่ต้องถามหรือขอคำอธิบายเพิ่มเติม ผมก็เข้าใจในสิ่งที่พี่เหยาพูด...สิ่งที่เราทำด้วยตัวเอง ไม่มีใครบังคับ บางครั้งมันก็ยากที่จะพูดได้ว่าเต็มใจ เพราะสุดท้าย แม้แต่ใจของเราเอง เราก็ยังบังคับมันไม่ได้

“แปลว่าพี่โอเคกับทอม เพราะพี่นับถือทอม...พี่เต็มใจตอบแทน?”ผมถามพยายามทำให้เหมือนเราพูดเรื่องทั่วๆไป ทั้งที่เริ่มสัมผัสได้ว่า เราเริ่มไม่กล้ามองหน้ากันสักนิด

“โอเคกับทอม?”พี่เหยาทวนประโยคของผม แล้วหัวเราะ จนผมต้องหัวเราะตาม แต่ผมก็ไม่รู้จะหาคำไหนมาใช้ ที่มันช่วยให้กระดากน้อยกว่านี้ คำว่า...พี่นอนกับทอม หรือ พี่มีอะไรกับทอม หรือว่า พี่มีเซ็กซ์กับทอม...หรือทอมข่มขืนพี่ อะไรทำนองนั้น ผมคงพูดออกมาได้ง่ายๆถ้าเพียงแต่ไม่ได้พูดอยู่กับพี่เหยาหรือพูดถึงพี่เหยา และ ผมก็ไม่กล้าบอกพี่เหยาว่า ผมเคยนั่งคิดคำนี้ คำว่า...โอเคกับทอม...อยู่ตั้งนาน คิดไว้เผื่อมีโอกาสได้คุยกับพี่เหยาอีกจะได้หาคำเหมาะๆมาใช้ได้ แต่เสียงหัวเราะของพี่เหยามันทำให้ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าคำนี้มันเหมาะจริงหรือเปล่า

“ไม่ใช่...ไม่เกี่ยวกับความนับถือ...”พี่เหยาพูดต่อและเงียบไปนานเหมือนกับกำลังคิด

“นั่นสิ...ไม่รู้ว่าเกี่ยวหรือเปล่า...”ดูเหมือนพี่เหยาเองก็ไม่เคยกล้าที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน

เราถามและตอบกันอีกยืดยาว หลายๆคำถาม และ หลายๆคำตอบ อ้อมและค้อมจากสิ่งที่ถามและตอบ อย่างจงใจและไม่จงใจ และระหว่างนั้น เราต่างไม่มองดูกันและกัน มองดูก็เพียงใครคนหนึ่งที่ยิ้มอยู่ในรูป เราต่างแสร้งทำเหมือนว่าสิ่งที่พูดถึงคือเรื่องของคนอื่น

และสิ่งหนึ่งที่ผมได้รับรู้ในวันนั้นนั้นคือ ผมรู้สึกว่าความจริงมันถูกบิดเบือนไป และคนที่ทำให้ความจริงนั้นบิดเบือนไปก็คือตัวพี่เหยาเอง หรือจะพูดให้ถูกคือความศรัทธาที่พี่เหยามีต่อทอม ทำให้ความจริงบิดเบือนไป...แต่นั่นก็อาจเป็นเพียงอคติที่ผมมีต่อทอมก็อาจเป็นได้...ซึ่งทั้งหมดนั้นก็มีเพียงทอมเท่านั้นที่รู้ว่า ผมคิดถูก...หรือคิดเพราะอคติ

ในความรู้สึกของพี่เหยาแล้ว แม้ยากจะบอกว่าเต็มใจ หากแต่ก็ไม่ใช่การบังคับ พี่เหยาบอกว่าทอมไม่เคยมีเงื่อนไขหรือสิ่งแลกเปลี่ยนใดมาเสนอ...หากแต่ในความคิดของผมแล้ว ผมว่าทอมจะชั่วช้าน้อยกว่านี้ หากยอมอ้าปากเสนอเงื่อนไขเพื่อแลกมาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ...

วันนั้น วันที่ผมพบพี่เหยาครั้งแรก

วันนั้น วันที่พี่เหยาอายุแค่ 14

และวันนั้น...วันแรกที่พี่เหยามาอยู่ในที่ๆไม่มีใครรู้จัก และไม่รู้จักใคร

เด็กอายุแค่ 14 ที่เพิ่งหนีปัญหามา หนีจากสภาพที่ตัวเองไม่อยากทนเห็นและทนอยู่ หนีจากภาพความทุกข์ของพ่อและแม่ที่มือของตัวเองยังช่วยแบ่งเบาภาระอะไรไม่ได้ และหวังที่พึ่งเดียวคือคนที่ตัวเองนับถือราวกับพ่อ คนที่หยิบยื่นความหวังมาให้อย่างเมตตา หวังที่พึ่งเดียวที่จำต้องสำนึกไว้ตลอดว่า ที่พึ่งนั้นคือความหวังเดียวของครอบครัว

ทอมไม่ต้องเสนอเงื่อนไขใดๆเลย ฉกฉวยก็เพียงความเป็นเด็ก ความไม่รู้เท่าทัน ความหวาดกลัว และไร้ที่พึ่งพิง ปล่อยให้พี่เหยาสร้างและคิดถึงเงื่อนไขต่างๆ ขึ้นมาเองเพียงเท่านั้น

พี่เหยาบอกว่า...ทอมเมา ผมฟังแล้วก็ได้แต่นึกขัน...

เมา...นั่นคือเหตุผลที่คนมักใช้ เพื่อหลบเลี่ยงที่จะยอมรับว่าสำนึกของตัวเองนั้นแหละที่เลว

พี่เหยาไม่สามารถบอกได้ว่าหวาดกลัวอะไรมากกว่ากัน ระหว่างสิ่งที่กำลังจะเกิด และสิ่งที่จะเกิดตามมาหากขัดขืน...ทอมอาจไม่พอใจ..ทอมอาจโกรธและล้มเลิกความตั้งใจที่จะช่วย...พี่เหยาคิดไปเองสารพัด โดยที่ทอมอ้างเพียงเหตุผลว่าเมาขาดสติ...

เมื่อแสร้งสร่างเมา ทอมเพียงทำทีเป็นเสียใจกับสิ่งที่ทำไปเพราะฤทธิ์เหล้า และมองดูพี่เหยาอย่างผิดหวังเมื่อสำรวจไม่เห็นร่องรอยการขัดขืนใดๆ... แล้วความผิดทั้งหลายทั้งมวลก็ตกอยู่ที่พี่เหยา...เด็กที่หวาดกลัวและคิดว่าการยินยอมคือทางเลือกเดียวที่ตัวเองมีและเป็นผู้เลือกที่จะทำ

จากผู้ที่ต้องยินยอมถูกกระทำ กลับกลายเป็นผู้ยั่วยุ ชักนำให้ตัวเองถูกกระทำเสียเอง



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 30-03-2008 20:18:40
จากศรัทธาที่มีให้ทอม กลับกลายเป็นการสูญเสียศรัทธาที่มีต่อตัวเอง

เงื่อนไขที่หัวเล็กๆของเด็กอายุ 14 คิดขึ้น กลับกลายเป็นการคิดไปเองฝ่ายเดียว สุดท้ายกลายเป็นการตำหนิตัวเองที่คิดดูถูกผู้มีพระคุณอย่างร้ายกาจ

“ทอมเสียใจมากจริงๆนะ”พี่เหยาพูดย้ำเป็นร้อยครั้ง จนผมนึกอยากถามว่าพี่เหยาย้ำให้ผมรู้ หรือย้ำให้ตัวเองเชื่อกันแน่

พี่เหยาไม่กล้าบอกทอมถึงสิ่งที่ตัวเองคิดและกลัว

“มันเป็นการดูถูกทอม”พี่เหยาบอกผมอย่างนั้น

เพียงเท่านั้น ทอมก็ได้ทุกอย่างที่ต้องการ โดยไม่ต้องอ้าปากพูดถึงเงื่อนไข ไม่ต้องสูญเสียความดี หรือบุญคุณอันใหญ่โตของตัวเอง

เมื่อฟังแล้ว...ผมก็ทำได้แค่หัวเราะให้กับความโหดร้ายของทอม

“ทอมเมาทุกวัน?”ผมแกล้งถามประชด และคำตอบที่ได้ก็แค่ความเงียบ

“มีครั้งแรก มันก็ต้องมีครั้งที่สอง...เคยครั้งนึงแล้ว มันก็...”

“อยากอีกเป็นเรื่องธรรมดา!”ผมช่วยต่อประโยคให้ นึกนับถือทอมที่ทำให้พี่เหยาคิดแบบนั้นได้

แน่นอนว่ามันคือความจริง...มีครั้งแรก มันก็ต้องมีครั้งที่สอง เคยครั้งหนึ่ง ร่างกายมันก็อยากที่จะกระทำอีก...แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือ ทอมทำลงได้อย่างไร...ผมได้แต่คิดเมื่อมองดูรูปถ่ายที่ยังถืออยู่ในมือ

หรือความจริงคือสิ่งที่พี่เหยาเข้าใจ...ความคิดของผมก็เป็นแค่อคติ

ไม่ใช่!...ตัวผมที่ยังรู้จักโลกได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของอายุทอมยังมองเห็นภาพของพี่เหยาในวันนั้น แล้วทอมจะไม่เข้าใจอะไรเลยได้อย่างไร...มันเป็นเจตนา ที่ไม่ยอมอ้าปากยอมรับความชั่วของตัวเองเท่านั้น

ผมถามถึงการกระทำของทอมเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดกับตัวผมเอง ถามถึงเพื่อนๆของทอม ดูเหมือนพี่เหยาไม่ค่อยอยากพูด และจริงๆผมก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่ หากแต่แค่อยากให้พี่เหยาได้คิด...ถ้าทอมดีจริง คงไม่ให้พี่เหยานอนกับคนอื่น แม้กระทั่งนอนกับผม แต่ความจริง หรือ จะพูดให้ถูกคือ ความจริงในความคิดของพี่เหยานั้นทำให้ผมหัวเราะไม่ออก

เหล้า...คือฉากที่ทอมเอามาใช้ได้ไม่รู้จักเบื่อ

พี่เหยาบอกว่าไปเที่ยวกับทอมพร้อมเพื่อนบ่อยๆแต่ก็ไม่เคยมีอะไร...แต่ผมบอกได้ว่า ทอมแค่รอเวลา

“ทอมห้ามแล้ว...แต่พี่อยากลองกิน...”พี่เหยาพูดถึงเหล้า เหล้าที่น่าจะแรงพอให้พี่เหยาขาดสติทั้งที่คงกินไปไม่มากนัก...แล้วก็เข้าแผน ทอมแค่ถอยฉาก เปิดโอกาสให้เพื่อน แล้วตัวเองก็รอจังหวะ...

“ทอมโกรธมาก...โกรธจริงๆ...แล้วก็เลย...”พี่เหยาเล่า...ไม่ต้องพูดต่อจนจบผมก็นึกภาพออก

“พี่เคยได้ยินหรือเปล่า...ที่ประเทศอะไร ผมจำไม่ได้ แถบๆที่ผู้หญิงยังต้องยอมผู้ชาย...เค้ามีกฏหมายปกป้องผู้หญิงนะ เพียงแต่ว่าถ้ามีเหตุสมควร ผู้ชายก็ขอหย่าแล้วก็ไล่เมียออกจากบ้านได้โดยไม่ต้องเสียสักบาท...พี่รู้ไหม ผู้ชายทำยังไง?”

“ผู้ชายก็แค่หาจังหวะเหมาะๆ แกล้งออกไปนอกบ้าน นัดเพื่อนให้เข้าไปข่มขืนเมียตัวเอง แล้วพอได้จังหวะก็กลับบ้าน...ทำเป็นว่าจับได้คาหนังคาเขาว่าเมียมีชู้...เท่านั้น เมียก็ต้องระเห็จออกจากบ้านไปอยู่ข้างถนน โดนสังคมประนามว่ามีชู้ ผู้ชายก็แต่งเมียใหม่ สักบาทก็ไม่ต้องเสียให้เมียเก่า”

สิ่งที่ผมพูดกับพี่เหยา คือความจริงที่อ่านเจอจากหนังสือ ตอนอ่านผมรู้สึกเวทนา แต่ก็ไม่มากมายพอที่จะจดจำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกิดที่ไหน เพราะส่วนหนึ่งผมรู้สึกว่า มันดูห่างไกลจากตัวผมเหลือเกิน เหมือนอ่านนิยายสั้นๆสักเรื่อง แต่วันนี้มันเกิดขึ้นใกล้ๆ ต่างกันก็แค่วิธีการ และบทสรุป

ผู้หญิงในประเทศที่ห่างไกลนั้น คงสูญเสียศรัทธาที่มีต่อสามี แต่ไม่เสียศรัทธาที่มีต่อตัวเอง เพราะหล่อนรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร

แต่พี่เหยาไม่ใช่...พี่เหยายอมรับว่าสิ่งที่เกิด เพราะตัวเองเลือกที่จะทำ ยอมรับในความโกรธและบทลงโทษของทอมที่ตามมา...ทอมผิดก็เพียงแค่โกรธจนขาดสติเท่านั้น...เท่านั้นจริงๆในความคิดของพี่เหยา

พี่เหยาไม่พูดอะไรกับสิ่งที่ผมพูด แต่ผมรู้การนิ่งเงียบคือการไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมคิด

“แล้วทำไมมันยังทำอีก?”ผมไม่ยอมแพ้

“ก็....”

“มันติดใจ!”ผมต่อให้ไม่ต้องรอให้พี่เหยาพูดจบ...พี่เหยาผิดอีกเหมือนเคยที่ทำให้ทอมค้นพบรสนิยมเลวๆของตัวเอง แต่ดูเหมือนอย่างเดียวที่พี่เหยาทำให้ทอมค้นไม่พบคือ ความเลวของตัวเองเท่านั้น

“เอกก็ไม่ได้ทำครั้งเดียว ไม่ใช่หรือไง?”พี่เหยาถามและผมนิ่งงัน ไม่ใช่เพราะพี่เหยาจี้ถูกจุด หากแต่เพราะพี่เหยาเลือกปกป้องทอม และหันมาทำร้ายผมแทนโดยไม่เสียเวลาลังเลแม้สักนิด

“ถ้าผมกับทอมตกเหวพี่จะช่วยใคร?”ผมถามคำถามที่แฟนคนแรกเคยเอามาอ่านให้ฟังจากหนังสือการ์ตูน ตอนนั้นผมนึกขันๆ ว่าเป็นใครก็ต้องตอบว่า..ก็ช่วยไอ้คนที่ถามนั่นแหละ...

‘ทำไมไม่ถามไปตรงๆวะว่า กูกับมันจะเลือกใคร...”ไอ้วิทย์คนที่กล้า และพูดตรงมากกว่าผมออกความเห็น เมื่อผมเอาคำถามนั้นไปเล่าต่อให้มันฟัง และผมก็หัวเราะเห็นด้วยไปกับมัน จนตอนที่ออกปากถามพี่เหยานี่แหละ ผมถึงมีคำตอบต่อคำถามของไอ้วิทย์...คำตอบคือ ไม่กล้าถาม และกลัวคำตอบไง...

“ไปเรียกคนมาช่วย”แต่พี่เหยาตอบงั๊น

“ไม่ใช่...ต้องช่วยเอง พี่ไม่เคยได้ยินเหรอ ออกจะเป็นคำถามสุดฮิต?”ผมพูด หัวเราะคำตอบที่คาดไม่ถึงของพี่เหยา

“ต้องช่วย?”พี่เหยายังสงสัย แต่ข้อสงสัยของพี่เหยาแปลว่า ถ้าเลือกได้...ไม่ช่วยเลยดีกว่า

“อือ...ต้องช่วยหนึ่งคน”ผมตอบ ยังหัวเราะ นึกถึงหน้าแฟนเก่าว่าจะทำหน้ายังไงถ้ามาเจอคนตอบแบบพี่เหยา

“งั๊น ช่วยเอกแล้วกัน...”พี่เหยาตอบแบบไม่ลังเล เพียงแต่คำว่า...แล้วกัน...มันเหมือนตัดใจช่วยเสียมากกว่า แต่ผมก็ดีใจ ถึงจะเคยคิดไว้ก็เถอะว่า...ก็ต้องตอบว่าช่วยไอ้คนที่ถามนี่แหละ ไม่ใช่อะไร ก็เพราะอีกคนไม่ได้ยิน...

“ช่วยทอมคงไม่ไหว...”เหตุผลที่พี่เหยาเพิ่มเติมให้ ยิ่งทำให้ผมหัวเราะ

“ไหว!...หมายถึงถ้าพี่เลือกช่วยคนไหน คนนั้นก็รอด อีกคนก็ตาย”จริงๆผมเลิกอยากได้คำตอบไปแล้วแต่ก็อยากอธิบายให้พี่เหยาเข้าใจ

“ทำไมล่ะ?”พี่เหยาถาม น้ำเสียงบ่งบอกว่าสงสัยจริงๆ มันทำให้ผมหัวเราะออกมาจนเต็มเสียง เพราะพาลนึกไปถึงเรื่องที่พี่เก้าเคยเล่าเรื่องเมื่อครั้งที่สอนพี่เหยาเล่นไพ่slave ตอนม.ปลายว่า พออธิบายวิธีเสร็จพี่เหยาก็ถามคำถามที่ไม่มีใครเคยคิดถึงว่า...แล้วทำไม สองถึงมากกว่าสาม...มันคงไม่น่าขันเท่าไหร่ ถ้าหน้าตาพี่เหยาไม่บ่งบอกว่า ถ้าไม่มีเหตุผลที่ดีพอ สามก็ควรจะกลับไปมากกว่าสองเหมือนเดิม

จริงๆผมยังอยากถามอีกหลายคำถาม และยังอยากกลับไปไล่เรียงเรื่องทอมอีกครั้ง ทำให้พี่เหยายอมรับให้ได้ว่าทุกอย่างเป็นฉากที่ทอมสร้างขึ้น แต่ความสุขจากการได้หัวเราะ มันก็ทำให้ผมเปลี่ยนใจ ทั้งผมเองก็รับรู้ว่า ผมบังคับให้พี่เหยาต้องตอบมามากพอแล้ว และส่วนหนึ่งผมเชื่อว่า พี่เหยาโตกว่าผม โตพอที่จะรู้ แต่สำคัญที่พี่เหยากล้าพอไหมที่จะยอมทิ้งศรัทธาที่มีต่อทอม...ผมไม่มีอะไรผูกพันกับทอม แต่พี่เหยาไม่ใช่ ดังนั้นถ้าทอมไม่ยอมอ้าปากยอมรับสิ่งที่ตัวเองคิด...ก็เหลือเพียงแต่พี่เหยา ว่าจะกล้าพอไหมที่จะยอมทำลายศรัทธาของตัวเองที่มีต่อทอม....

“เอกรู้ใช่ไหมว่าการเริ่มต้นน่ะยาก แต่รู้ไหมว่าอะไรยากกว่านั้น”อยู่ๆพี่เหยาก็ถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเราต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปนานและก็ผมส่ายหัวแทนคำตอบ ซึ่งพี่เหยาก็คงไม่เห็น เพราะพี่เหยากำลังกระชับอ้อมแขนที่กอดผมไว้ ขยับตัวซบกับอกผม คล้ายจัดท่าหาความสบายให้กับตัวเองเพื่อพร้อมที่จะนอน

“...การเลิกหรือยุติสิ่งที่ดำเนินอยู่..ยากกว่า”พี่เหยาบอกแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก และกระชับอ้อมแขนที่กอดผมไว้เมื่อผมทำท่าจะพูดอะไรขึ้นมาอีก ผมรู้พี่เหยาไม่อยากพูดอะไรแล้ว ผมจึงกอดพี่เหยาไว้เงียบๆ พี่เหยายิ้มแล้วก็ซุกตัวหลับ ปล่อยให้ผมลืมตาอยู่กับความเงียบ ความสุข และความทุกข์ตามลำพัง

...การเลิกหรือยุติสิ่งที่ดำเนินอยู่นั้นยากกว่า...มันคงเป็นอย่างที่พี่เหยาพูด อะไรบางอย่างบอกผมว่าแม้แต่ตัวพี่เหยาเองก็ไม่สามารถ มองเห็นความรู้สึกนึกคิดทั้งของตัวเองและของทอมได้ชัดเจน ดังนั้นสิ่งที่ง่ายดายที่สุดคือ การปล่อยให้มันเป็นไป...

...ถ้าเพียงแต่ทอมไม่กลับมา...ถ้าเพียงแต่ไม่มีทอม...ผมบอกตัวเองเมื่อไม่สามารถทนความง่วงงุนได้อีกต่อไป กระชับอ้อมแขนที่กอดพี่เหยาไว้อีกครั้ง และหลับไปเมื่อพี่เหยากระชับอ้อมแขนตอบ

หนึ่งเดือนที่ไม่มีทอม พี่เหยาทำให้ผมลุ่มหลง หมกหมุ่นอยู่กับความสุขและความกังวล

พี่เหยาไม่ได้เข็ดขยาดหรือเบื่อหน่ายกับความสัมพันธ์ทางกายอย่างที่ผมเคยคิด ตรงข้าม...พี่เหยายังสนุกและมีความสุขไปกับมัน

แน่นอนว่าผมรู้อยู่แล้ว...และไม่ใช่ว่าใครบอก แต่ผมรู้ผ่านผิวเนื้อของผมเอง...ผมรู้ว่า คำว่าอ่อนเดียงสานั้นอยู่ห่างไกลจากพี่เหยาขนาดไหน...ผมยังจำรสสัมผัสของปลายลิ้นและปลายนิ้ว จำสัมผัสเสียดสีของผิวกายในเวลาที่โลกของผมและพี่เหยาถูกปิดกั้นออกจากกันด้วยเนคไทด์เส้นสีแดง ไม่ว่าจะเป็นก่อนและหลังที่พี่เหยาจะรู้ว่าเป็นผม

แต่มันแตกต่าง...ในเวลานั้นทุกสัมผัสเพียงเร่งเร้าให้อารมณ์ปรารถนาได้มอดไหม้ลงด้วยความสุขทางกาย และไม่หลงเหลือรสอิ่มเอมใดไว้ในใจ...

แต่เวลานี้ไม่ใช่เพียงเท่านั้น...

ดวงตาที่เคยถูกทาบทับด้วยเนคไทด์เส้นสีแดง ตอนนี้กลับระริกไหวเวลาที่มองดูผม

ปลายลิ้นต่อปลายลิ้นนั้นหยอกเย้าและหลอกล่อให้ผมตามติด และหัวเราะ เมื่อผมติดตามไม่ลดละ

ปลายนิ้วนั้นหยอกล้อ เวลาที่ลูบเรื่อยไปตามผิวกาย

เรียวขาที่เคยเพียงแยกออก และมอบอำนาจทั้งหมดแล้วแต่ใครจะนำพา เวลานี้กลับเกี่ยวกระหวัด ลูบไล้ปลายฝ่าเท้าอย่างล้อเลียน

และเสียงลมหายใจอุ่นๆมาวันนี้มันยิ่งอ่อนหวานเมื่อพี่เหยากระซิบเรียกชื่อผมแผ่วเบา

แม้อารมณ์ปรารถนาจะมอดลง แต่ความอิ่มเอมนั้นยังอ้อยอิ่ง และค่อยๆซึมซับเข้าสู่หัวใจทีละนิด ทีละนิด...

ผมมีความสุขกับทุกๆสัมผัสแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ในขณะเดียวกัน ความสุขนั้นก็มีช่องโหว่เล็กๆเรียกว่าความกังขา...ทุกครั้งและทุกครั้ง...ผมเฝ้าคิด...บทรักระหว่างทอมกับพี่เหยาเป็นอย่างไร เมื่อไม่มีบุคคลที่ 3 อย่างผม

ผมกังวลและหงุดหงิดในคำถามที่ถามกับตัวเอง แม้ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้น...หรือจริงๆผมอาจจะรู้ แต่สิ่งที่ไม่รู้คือ...ผมมีสิทธิ์อะไรที่จะรู้สึกอย่างนั้น

แต่ความรู้สึกหนึ่งที่ผมบอกตัวเองได้คือ...อยากครอบครอง...แต่การอยากครอบครองนั้น ใช่ความรู้สึกรักหรือเปล่า ผมไม่รู้ ...

“ผมไม่ใช้!”ผมบอกพี่เหยา ในเช้าวันรุ่งขึ้น เช้าที่ลืมตาตื่นพร้อมๆกับความปรารถนาที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะผิวกายมันยังไม่ลืมความสุขที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวาน และผมก็ปัดสิ่งที่พี่เหยาหยิบยื่นให้ทิ้ง

“ทำไม?"

ผมไม่ตอบ แต่ยังมองสิ่งที่อยู่ในมือพี่เหยา...พลาสติกบ้าๆที่เรียกกันง่ายๆว่าถุงยาง แต่ผมว่าสำหรับคนบางคน มันก็เหมือนกับฉี่ของหมา ที่เอาไว้แสดงอาณาเขตของตัวเอง

หากไม่นับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานเพราะความอดอยาก หรือ ห้ามใจไม่อยู่อย่างที่ผมเรียก...มีเพียงครั้งแรกเท่านั้นที่ผมไม่ต้องใช้มัน...หลังจากนั้นทุกครั้ง ทอมบังคับให้ผมใช้

ครั้งแรกที่ทอมส่งให้ ผมยังใช้มันไม่เป็นด้วยซ้ำ...ทอมหัวเราะเมื่อผมใส่มันกลับด้าน และหัวเราะอีกครั้งเมื่อผมใส่จนสำเร็จ เพียงแต่เกินกว่าครึ่งยังกองยับย่นอยู่ตรงปลาย สุดท้ายทอมต้องจับมือผมใส่

ผมรู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเรื่องการป้องกันตัวเอง และผมคงยอมใช้แต่โดยดี เมื่อพี่เหยาส่งมันให้ในวันนี้ ถ้าเพียงแต่...ทอมจะเคยใช้มันบ้างเท่านั้น...มันเหมือนเป็นการประกาศให้รู้ว่า...ผมหรือใครๆไม่อาจแตะต้องพี่เหยามากเกินไปกว่าที่ทอมอนุญาต พลาสติกบางๆกลับกลายเป็นอะไรที่บ่งบอกความเป็นเจ้าของๆทอมได้ชัดเจน

แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่ได้นึกถึงมันมากมาย และเห็นว่าเป็นสิ่งที่สมควร แต่วันนี้...มันแตกต่าง

“เอก!”พี่เหยายังยืนยันและยัดมันใส่มือผมอีกครั้ง ทำเหมือนเวลาที่ยัดดินสอใส่มือผมเวลาที่ผมรั้นไม่ยอมทำการบ้านไม่มีผิด และผมก็โยนมันทิ้งอย่างที่เคยโยนดินสอทิ้งเช่นกัน

“เอก!”พี่เหยาเรียกผมด้วยน้ำเสียงปราม และหยิบมันขึ้นมาอีกครั้ง แต่ตอนนี้ผมไม่นึกอยากขอโทษ

“ถ้าจะติดโรคก็ติดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว...หรือว่าเมื่อวานเชื้อโรคมันไม่ทันตั้งตัว...แต่ตั้งหลายหนเชื้อโรคมันน่าจ...”ผมเลือกที่จะพูดจาหยาบคาย มากกว่าที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด

“เอก!”เวลาโกรธ พี่เหยาทำได้แค่เรียกชื่อผมซ้ำไปซ้ำมา โกรธน้อย หน้าก็ไม่แดง ยิ่งโกรธมากหน้าก็ยิ่งแดง เพียงแต่ที่รู้คือ ที่แดงอยู่ตอนนี้น่าจะเพราะทั้งโกรธและ ทั้งอาย

“เอก!...ต้องให้พูดหรือไง ว่าพี่ไม่ได้นอนกับเอกคนเดียว?”แล้วพี่เหยาก็พูดในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด และมองผม เหมือนจะบอกว่าผมนั่นแหละเป็นคนบังคับให้พูดออกมา

“ขอโทษๆ”อีกแล้ว...พอรู้ตัวว่าตัวเองผิดและทำให้พี่เหยาโกรธ ประโยคเคยปากมันก็หลุดออกมาก่อนที่จะทันคิดด้วยซ้ำ



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 30-03-2008 20:20:18
“แต่ ผมไม่อยาก...”ผมยังดื้อดึงแต่ก็ไม่อยากบอกเหตุผลของตัวเอง

“ไม่อยากก็กลับไป!”

“ทีทอมยังไม่ใช้!”ผมหลุดปากพูดในสิ่งที่คิด เมื่อพี่เหยายื่นคำขาด และดูเหมือนมันจะได้ผลมากกว่าคำขอโทษหรือคำพูดหยาบคาย เพราะพี่เหยามองผมนิ่งนาน และในที่สุดก็ถอนหายใจ

“แต่...ต่อไปต้องใช้” พี่เหยาบอก และผมไม่สนว่า คำว่าต่อไป หมายถึงเมื่อไหร่

“แต่ทอมไม่ใช้!”ผมยังยืนยัน

“ก็เพราะทอมไม่ใช้ เอกเลยต้องใช้...”

“ผมไม่แคร์”

“แต่พี่แคร์...เอกก็มีแฟนไม่ใช่หรือไง...ปีเดียวมีตั้ง สาม สี่คน”

“สามคน!... แล้วก็เลิกไปตั้งนานแล้ว!”ผมปฏิเสธอย่างร้อนตัว ทั้งที่ในความเป็นจริง ผมไม่เคยมีอะไรกับแฟนสักคนเดียว เพราะความสัมพันธ์ทางกายมันไม่ใช่อะไรที่เกิดขึ้นง่ายๆโดยเฉพาะกับผู้หญิง มันไม่เกี่ยวกับว่าผมชอบผู้ชายมากกว่า แต่เพราะแฟนแต่ละคนที่ผมคบ ความสัมพันธ์มันไม่ได้ยืนนานขนาดที่ผมคิดว่าควรจะเอาเปรียบพวกหล่อน ดังนั้นแม้มีโอกาส ผมก็ไม่เคยที่จะหยิบฉวย...ทั้งผมก็ไม่อยากรู้สึกผิด อย่างที่ต้องจมอยู่ทุกวันกับสิ่งที่เคยทำกับพี่เหยา

“ไอ้วิทย์บอกพี่?”ผมถามเสียงขุ่น ไม่ใช่ไม่พอใจที่พี่เหยารู้ว่าผมเคยมีแฟน แต่ไม่พอใจว่าทำไมไอ้วิทย์ต้องบอกพี่เหยา

“อือ...”พี่เหยารับอย่างไม่เห็นสำคัญ

“แล้วมันบอกพี่หรือเปล่า ว่าแฟนผมผิวขาวเหมือนพี่ทุกคนเลย?”ผมถามในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะบอกใครหรือแม้แต่ยอมรับกับตัวเอง แต่ตอนนั้นผมเพียงรู้สึกว่าถ้าไม่พูด มันคล้ายกับจะเสียเปรียบไอ้วิทย์

“ไม่ได้บอก...แต่คนดำๆก็ชอบคนขาวๆอยู่แล้วนี่นา”พี่เหยาพูดเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่ผมรู้ว่าไม่ใช่ เพราะแก้มขาวๆของพี่เหยาที่หายแดงเพราะความโกรธไปแล้ว ตอนนี้มันค่อยๆแดงขึ้นมาอีกครั้ง จนผมอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวเข้าไปสัมผัส

“แล้วคนตัวขาวๆละ...ก็ชอบตัวดำๆแบบผมหรือเปล่า?”ผมกระซิบถามเมื่อจูบเบาๆที่แก้มแดงๆของพี่เหยา และไล่ไปที่เรียวปากเมื่อพี่เหยาหัวเราะ

“ผมใช้ถุงยางก็ได้...แต่พี่ใส่ให้ผมนะ”ผมกระซิบบอกพี่เหยา ก่อนขบปลายลิ้นอุ่นของพี่เหยาเบาๆ

“ไม่เอามือ...”ผมกระซิบอีกครั้ง และพี่เหยาก็หัวเราะก่อนที่จะก้มลงทำในสิ่งที่ร้องขอ...เพียงแต่พี่เหยาโยนมันทิ้งก่อนที่จะก้มลง และไม่ร้องขอให้ผมใช้มันอีก

“พี่รู้ไหม...หมามันแสดงอาณาเขตของตัวเองด้วยการฉี่”

“แล้วทอมก็ทำเหมือนกันไม่มีผิด!”พี่เหยาเงยหน้ามองดูผมอย่างไม่เข้าใจ

“ก็ทอมบังคับให้คนอื่นใส่ถุงยาง แต่ตัวเองไม่ใส่ พี่ว่ามันไม่เหมือนเหรอ?”

“งั๊นเอก...ก็เหมือนกัน!”พี่เหยาพูด และผมไม่แน่ใจ พี่เหยาเลือกจะยืนอยู่ฝ่ายทอมอีกครั้งหรือเพียงแต่พูดตามหลักเหตุและผลซึ่งมันก็คงใช่

“ไม่เป็นไร...ผมยอมเป็น!”ผมบอกก่อนที่จะผลักพี่เหยาให้นอนลง และทำอย่างที่บอก คือประกาศความเป็นเจ้าของกับร่างกายของพี่เหยา

พี่เหยาไม่ชอบให้ผมเอ่ยถึงทอมมากนัก ตรงข้ามผมชอบที่จะเอ่ยถึง เพราะมันเหมือนกับว่า ผมกับพี่เหยาได้ร่วมมือกันทรยศต่อทอม

แต่การเอ่ยถึงทอม ก็มักเป็นการย้ำเตือนตัวผมเองด้วยเช่นกันว่า...พี่เหยาไม่เคยลังเลที่จะอยู่ฝ่ายทอม หากผมพูดถึงทอมในแง่ร้าย ดังนั้นผมจึงต้องเป็นฝ่ายเลือกว่าจะเอาความสุขแบบไหนระหว่างได้ทรยศทอม หรือ ไม่ต้องตอกย้ำตัวเองว่าพี่เหยาเลือก ทอมไม่ใช่ผม...และผมก็เลือกที่จะไม่พูดถึงทอม

เมื่อไม่มีเรื่องทอม ผมกับพี่เหยาก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ขัดแย้งหรือโต้เถียงกันอย่างจริงๆจังๆ จะมีก็แต่เรื่องเล็กๆ ที่เถียงกันเล่นๆ เพียงแค่อยากยั่วโมโหกันเล็กน้อยๆอย่างที่เคยทำตอนเด็กๆ

เราเถียงกันเรื่องจะดูทีวีช่องไหน...เถียงกันไปอย่างนั้น เพราะต่างก็รู้ว่าไม่ชอบดูทีวีทั้งคู่

เราเถียงกันเรื่องจะดูวีดีโอเรื่องไหน...แต่สุดท้ายก็แค่เถียงกันว่าจะดูเรื่องไหนก่อน เพราะถึงอย่างไร ก็นั่งดูด้วยกันทั้งสองเรื่อง ซึ่งจริงๆแล้วผมก็ไม่ได้ชอบดูหนังมากนัก แต่ที่ชอบคือ พี่เหยาที่นั่งเบียดตัวพิงผมอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันขณะจับจ้องอยู่ที่ภาพบนจอทีวี

เราเถียงกันว่าจะกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูหรือลูกชิ้นปลา ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าสุดท้ายเราก็เลือกร้านที่มีทั้งสองอย่างถึงความอร่อยมันจะน้อยลงก็ช่าง เพราะแท้จริงแล้วสิ่งที่ผมชอบกว่าคือการได้นั่งกินข้าวอยู่กับพี่เหยาเพียงสองคน

เราเถียงกันว่าจะสั่งโค้กหรือเป๊บซี่ ซึ่งสุดท้ายก็หมดสิทธิ์เลือก เพราะไม่เห็นมีร้านไหน ที่มีทั้งสองอย่างให้เราเลือก และแม้จริงๆแล้วผมจะไม่ค่อยชอบกินโค้กหรือเป๊บซี่เท่าไหร่นัก แต่ผมก็เลือกที่จะกินทุกครั้ง เพราะดูเหมือนถ้าสั่งหนึ่งขวดก็น้อยไปสำหรับพี่เหยา แต่สองขวดก็มากไป ผมเลยต้องแจมด้วยนิดๆหน่อยๆ พี่เหยาจะได้กินหนึ่งขวดกับอีกครึ่ง

และเราเถียงกันว่าจะเพิ่มหรือลดแอร์ ทั้งที่สุดท้ายเราก็ชอบไออุ่นจากตัวกันและกันมากกว่า

แต่ไม่ว่าจะเถียงกันอย่างไร หากต้องมีสักคนที่ชนะ คนๆนั้นก็มักจะเป็นพี่เหยา ไม่ใช่เพราะจำใจยอมให้ แต่ก็อย่างที่บอกคือ ผมแค่เถียงข้างๆคูๆไปแบบที่ชอบทำแต่เด็กเท่านั้น...เพียงแค่ยั่วเล่นถือเอาสนุก...เพราะถ้าพี่เหยาให้ผมเป็นคนออกไปซื้อข้าวมากินกัน ผมก็จะเลือกแต่ที่พี่เหยาชอบ...ถ้าพี่เหยาให้ผมเป็นคนแวะเช่าวีดีโอ ผมก็จะเลือกหนังที่พี่เหยาอยากดูก่อน...ผมลดความเย็นของแอร์ก่อนที่พี่เหยาจะทันออกปากว่าหนาว และเอาเป๊บซี่ไปใส่ให้ในตู้เย็นทุกครั้งที่เห็นว่ามันพร่องไป ทั้งที่บ้านผมมีทั้งเป๊บซี่และโค้กก็เถอะ...ไม่ใช่เพราะอยากเอาใจ...แต่ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำ

ผมรู้สึกมีความสุขเมื่อพี่เหยายิ้ม และมีความสุขกว่าเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของพี่เหยา

ผมมีความสุขเมื่อได้โอบกอดพี่เหยา และยิ่งมีความสุขกว่าเมื่อพี่เหยาโอบกอดผม

พี่เหยายังคงทำหน้าบึ้งใส่ผมในบางครั้ง แต่ก็เลิกหยิบไม้บรรทัดมาเคาะหัวผมแล้ว อาจเป็นเพราะตอนนี้ผมสูงกว่าพี่เหยาแล้ว

พี่เหยายังคงวางอำนาจสั่งให้ผมไปรดน้ำต้นไม้แทน สั่งให้ผมกวาดถูบ้านให้ แต่ก็ยอมทำตัวว่าง่ายทุกครั้งเมื่อกลับมาอยู่ในอ้อมแขนผม

เวลาหนึ่งเดือนที่ไม่มีทอม เราพูดคุยกัน หยอกล้อกัน และโต้เถียงกัน อย่างที่เคยทำตอนเด็กๆ...เราโอบกอดกัน สัมผัสกันและกันอย่างอ่อนโยน...เรากระซิบเรียกชื่อกันและกัน และเติมเต็มความปรารถนาให้แก่กันและกัน...แต่อย่างหนึ่งที่เราไม่เคยทำ คือพูดคำว่า...รัก

...รัก...ผมไม่เคยคิดถึงมัน และคิดเอาเองว่า พี่เหยาก็คงไม่ได้คิดถึงมันด้วยเช่นกัน...

เราแค่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ในวันนี้ และหวังว่าจะยังคงมีอยู่ในวันพรุ่ง...โดยไม่เคยตั้งคำถามว่า ความสุขนั้นมีที่มาชื่อว่าอะไร หรือถ้าถาม...คำตอบมันก็อาจจะยังไม่ใช่ความรักอยู่ดี

เวลาหนึ่งเดือนที่ไม่มีทอม มันเหมือนกับความฝัน...ฝันที่วันหนึ่งก็ต้องตื่น...

บางครั้งเรารู้สึกตัว ก่อนลืมตาตื่น...

บางครั้งเราตื่นขึ้นมาและเตรียมพร้อม...

แต่อีกบางครั้ง...เราลืมตาและงงงวย...เพราะฝันหวานถูกกระชากไปโดยไม่ทันตั้งตัว...และฝันของผมเป็นแบบนั้น

ทั้งที่ผมเฝ้าภาวนามาตลอดว่า ไม่อยากให้ทอมกลับมา...แต่ผมก็ยังลืมไปว่า วันหนึ่งทอมต้องกลับมา

ผมเฝ้าย้ำคิดและย้ำทำ เพื่อให้ตัวเองได้รู้สึกว่าพี่เหยาเป็นของผม...และผมทำสำเร็จ จนผมลืมว่าแท้จริงแล้วพี่เหยาเป็นของใคร

ผมรู้...แต่แกล้งลืม

ผมรู้...แต่ความสุขทำให้ผมแกล้งลืมจนหมดใจ

จนเมื่อวันหนึ่งพี่เหยาบอกว่า...อย่า...ผมถึงตื่นขึ้นมาจากฝัน

ตอนได้ยินผมยังยิ้ม...เพราะพี่เหยาไม่เคยปฏิเสธผม คำว่า...อย่า ที่หลุดออกจากริมฝีปากแดงๆก็เพียงเพื่อเพิ่มแรงปรารถนาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อพี่เหยาบอกว่า...อย่า..ผมจึงแค่ยิ้มและดึงดัน

และเมื่อพี่เหยาบอกว่า...อย่า...อีกครั้ง ผมก็เพียงโน้มตัว ขบเบาๆที่ติ่งหู...ผมรู้พี่เหยาจะหัวเราะ และเบี่ยงตัวหลบ หยอกเย้าให้ผมกระชับอ้อมแขนตัวเองเหมือนทุกครั้ง...แต่ครั้งนี้แตกต่าง...

“เอก!...พี่บอกว่าอย่า!”พี่เหยาพูดและผลักผมเต็มแรง

“ทอมจะกลับมาแล้ว...”พี่เหยาตอบ เมื่อผมมองพี่เหยาอย่างตั้งคำถาม

พี่เหยาหมายความว่าอย่างไร...ทอมจะกลับมาแล้ว?

ฟังดูคงคล้ายผมต้องใช้เวลาเนิ่นนานในการทำความเข้าใจในสิ่งที่พี่เหยาพูด...แต่ในความเป็นจริง ผมใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาที...เพราะจิตใต้สำนึกมันเตือนผมอยู่ตลอดเวลา...ผมจึงต้องแกล้งลืมตลอดมา เพราะถ้าผมลืมได้จริง...ผมคงไม่ต้องย้ำคิดและย้ำทำ...ไม่ต้องคอยเฝ้าภาวนาให้ทอมอย่ากลับมา

“แล้วไง?”ผมถามฉุนเฉียว แขนที่เมื่อครู่โอบกอดพี่เหยาไว้เพียงเบาๆ ตอนนี้ผมรั้งเอวพี่เหยาเข้ามาจนเบียดชิด

“ทำไมต้องโกรธ?”พี่เหยาถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างไปจากผมมากนัก และคำถามนั้นมันเหมือนตบหน้าผมฉาดใหญ่...เป็นคำถามที่เหมือนตอกย้ำ...โกรธทำไมในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว?...และ มีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธ?...

แต่มันไม่ใช่...ถ้าเพียงตอนนั้นผมใจเย็นลงนิด...คิดในสิ่งที่พี่เหยาคิดบ้าง และเหนืออื่นใดคือกล้าที่จะทำอะไรบ้าง ผมอาจเข้าใจในสิ่งที่พี่เหยาถาม...

พี่เหยาเพียงอยากรู้....ความสัมพันธ์เราจะเป็นอย่างไรต่อไป

พี่เหยาเพียงอยากรู้...ความชัดเจนที่ผมต้องเป็นฝ่ายเริ่มบ้าง

แต่สิ่งที่ผมแสดงออกมานั้นมันเป็นได้แค่การแสดงออกของเด็กๆเวลาที่ไม่ได้อะไรดังใจ...หวังก็เพียงแต่ให้คนอื่นเอาสิ่งที่ตัวเองอยากได้มาวางไว้ให้โดยไม่ต้องไข่วคว้าหรือพยายามทำด้วยตัวของตัวเอง

พี่เหยามองดูผมอย่างผิดหวัง แต่ก็ยิ้ม...และความฉุนเฉียวของผม ทำให้ผมไม่เข้าใจความผิดหวังนั้น ผมคิดได้เพียงว่า...พี่เหยาผิดหวังที่ผมยอมรับความจริงที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้

ผมยังโกรธ แต่ก็ไม่มีแรงพอทีจะกอดรั้งพี่เหยาไว้...ผมปล่อยพี่เหยาและทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา

“หมายความว่าต่อไป ผมก็อยู่กับพี่ทุกวันๆแบบนี้ไม่ได้แล้ว?”ผมถาม รู้สึกในหัวมันโหวงๆ นึกถึงเวลาที่ได้อยู่กันสองคน นึกถึงที่ตัวเองแอบไปดร็อปเรียนซัมเมอร์ แล้วโกหกพี่เหยาว่าไม่ได้ลงเรียน โกหกแม่ว่ายังไปเรียนอยู่เสมอๆและบอกพวกไอ้วิทย์ว่าจะไปต่างจังหวัด แล้วห้ามโทรหาผมเด็ดขาด เพื่อที่ผมจะได้โกหกแม่ว่าไปนอนค้างบ้านพวกมัน เพื่อที่ผมจะได้อยู่กับพี่เหยาทุกวันๆ...ได้กินข้าวด้วยกัน...นั่งดูทีวีด้วยกัน นอนกอดกันและ หลับอยู่ในอ้อมแขนกันและกัน...

พี่เหยาถอนหายใจและนั่งลงข้างๆผม

“ไม่เป็นไรหรอกเอก...”พี่เหยาปลอบเหมือนเวลาที่ผมโดนแม่ดุ

“ไม่เป็นไร...”พี่เหยาบอกและกอดผมไว้เบาๆ...เพียงเท่านั้นผมก็แทบจะผวาเข้ากอดพี่เหยาไว้...ผมรู้พี่เหยาคงเจ็บ แต่ผมก็ถนอมแรงลงไม่ได้แม้แต่น้อย ราวกับกลัวว่าถ้าผมคลายอ้อมแขนลงแล้วทอมจะมาแย่งพี่เหยาไป

ผมซุกหน้าลงกับซอกคออุ่นๆของพี่เหยา สูดดมกลิ่นหอมที่คุ้นเคย...กลิ่นหอมที่ทอมเป็นคนเลือก...กลิ่นหอมที่เป็นของทอม...

ขอบตาผมร้อนผ่าว...นึกรู้ไม่นานน้ำตาหยดแรกมันคงไหลออกมา ถ้าเพียงแต่พี่เหยาไม่พูด...

“ก็ได้เอก...แต่อย่าให้มีรอยนะ...”

ผมยังคงกอดพี่เหยาไว้ แต่อ้อมแขนผมมันแข็งทื่อ ตายังร้อนผ่าว แต่น้ำตาถูกเก็บกลืนไปจนหมด

ผมผิดหวัง...เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าพี่เหยาไม่เข้าใจผมเลย...แต่ผมก็รู้ว่าไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธ...ก็การกระทำที่ผ่านมาของผม มันคงบอกอยู่แค่นั้น...

ด้วยความสัตย์จริง...เมื่อผมรู้สึกว่ากำลังสูญเสีย...ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังสูญเสียอ้อมกอดที่ไม่มีความปรารถนาเข้ามาเกี่ยวข้อง...ผมนึกถึงรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพี่เหยา...ผมนึกถึงใบหน้าบึ้งตึงและความเอาแต่ใจของพี่เหยา...นึกถึงก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาที่ผมหิ้วมาให้พี่เหยา และคอยแกล้งแย่งลูกชิ้นพี่เหยากิน...การเติมเต็มความปรารถนาให้แก่กันและกันนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งหากแต่ไม่ใช่ทั้งหมด...ความฝันที่กำลังถูกแย่งไป มันไม่ใช่แค่นั้น...แต่ผมจะบอกพี่เหยาได้อย่างไร...ในเมื่อสิ่งที่ผ่านมาหรือแม้แต่หนึ่งเดือนที่ไม่มีทอม...พี่เหยาคิดว่าผมต้องการเพียงเท่านั้นจริงๆหรือ?...

“แล้วอะไรอีก?”ผมถาม น้ำเสียงเรียบเฉยกว่าที่ตัวเองคิด แต่ตรงข้ามกับอ้อมแขนที่กระชับเข้าจนสัมผัสได้ว่า พี่เหยาเริ่มอึดอัด

“อย่าให้มีรอย แล้วอะไรอีก?”ผมถามซ้ำ กอดรัดพี่เหยาแน่นขึ้นอีก เมื่อพี่เหยาเริ่มดิ้นรนขัดขืน

“แล้วต่อไป ผมต้องใช้ถุงยางหรือเปล่า?”

“หลั่งในตัวพี่ได้หรือเปล่า?”

“เอก!”พี่เหยาเรียกชื่อผมเสียงแข็ง และผลักผมเต็มแรงจนหลุดจากอ้อมแขนผมในที่สุด

“แล้วห้ามมีอะไรกับพี่ หนึ่ง วันก่อนมันกลับหรือต้องมากกว่านั้น?”ผมถามดึงแขนพี่เหยาให้กลับลงมานั่งก่อนที่พี่เหยาจะลุกหนี

“หรือว่าห้ามทำเกินกว่าหนึ่งครั้ง เดี๋ยวพี่จะหมดแรงไปทำกับมัน?”

“เอก!”

“ที่โต๊ะกับเก้าอี้ก็ห้ามใช่ไหม เพราะเดี๋ยวพื้นเป็นรอย?”

“เอก!”




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 30-03-2008 20:22:32
“แต่ที่โซฟานี่น่าจะได้ใช่ไหม...มันเช็ดได้นี่”ผมพูดผลักพี่เหยาให้นอนลง และก้าวขึ้นคร่อม เมื่อพี่เหยายังพยายามที่จะลุกหนี ผมก็จับไหล่พี่เหยาและกดลงจนพี่เหยาเบียดตัวซุกอยู่ที่มุมขึ้นของโซฟาตัวใหญ่นั้น

พี่เหยาไม่ใช่คนที่ดูนุ่มนิ่มเหมือนผู้หญิง แม้จะผอม แต่ก็ผอมบางอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งเป็นเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะด้วยความสูงหรือบุคลิกแล้ว ก็ไม่ต่างจากเด็กผู้ชายทั่วไป เมื่อผมบอกว่ารู้สึกอยากปกป้อง มันเป็นความรู้สึกทางใจ ไม่ใช่ทางกายซะทีเดียว

แต่เวลานี้นั่นไม่ใช่...พี่เหยาที่โดนผมกดให้นอนลงบนโซฟานั้นดูผอมบางกว่าที่เคย ใบหน้าขาวที่ซ่อนซบหลบสายตาผมนั้นแดงกล่ำ ปากแดงที่พี่เหยาขบไว้แน่นนั้นก็สั่นระริก

“แล้วต่อไปเวลามีอะไรกันพี่ต้องเรียกผมว่าทอมหรือเปล่า...เวลามีอะไรกับมันจะได้ไม่...”ผมพูดได้แค่นั้น แล้วพี่เหยาก็ส่งเสียงสะอื้นออกมา และเสียงสะอื้นนั้นก็เรียกสติของผมให้กลับคืนมาจากความโกรธ

ผมเสียใจในสิ่งที่ทำและพูดออกไป แต่ก็ไม่นึกอยากขอโทษ เพราะที่รู้สึกมากกว่าความเสียใจ คือความโกรธ...ทำไมพี่เหยามองผมไม่ต่างไปจากเมื่อสองปีก่อนสักนิด...สองปีก่อนที่ความสัมพันธ์ของเราไม่มีอะไรนอกจากเรื่องของความปรารถนาทางกาย

“พี่จดให้ผมเป็นข้อๆแล้วกัน ผมจะได้เอาไปท่องจำ!”ผมพูด ปล่อยมือออกจากพี่เหยา และเดินออกมา ไม่หันกลับไปมองพี่เหยาอีก

คืนนั้นผมนอนคิดทั้งคืน...ถ้าไม่ยอมรับ แล้วผมทำอะไรได้...ผมรู้ตัวเองไม่มีความกล้าพอที่จะพูดและทำในสิ่งที่ใจตัวเองต้องการ...และผมโกรธเพราะพี่เหยาไม่สามารถทำในสิ่งที่ตัวผมต้องการโดยที่ผมไม่ต้องออกปากพูดมันออกมา...แต่สิ่งที่ผมต้องการคืออะไรล่ะ...ถ้าบอกว่าตัวเองไม่ต้องการร่างกายของพี่เหยา แล้วทำไมต้องโกรธ เราก็กลับไปเป็นพี่เป็นน้องกันอย่างแต่ก่อน...ยิ่งคิดผมก็ยิ่งสับสน ไม่เข้าใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราคืออะไร...สำหรับพี่เหยา เมื่อทอมกลับมาพี่เหยายังต้องการผมหรือเปล่า ตลอดเวลาผมคิดว่าทอมทำร้ายพี่เหยา แต่พี่เหยาก็ยังแสดงออกเสมอว่าไม่พอใจเมื่อผมว่าร้ายทอม...สุดท้ายผมก็เลิกคิด เพราะรู้สุดท้ายทุกอย่างขึ้นอยู่กับพี่เหยา และผมบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าจะอย่างไร ผมจะไม่ทำร้ายพี่เหยาอีกแล้ว... ผมบอกตัวเองอย่างนั้น


วันต่อมาผมกลับไปหาพี่เหยา...ขอบตาพี่เหยาดูคล้ำ ดวงตาบวมและแดงช้ำ แต่พี่เหยาไม่มีทีท่าโกรธเคืองอะไร...พี่เหยายอมให้ผมกอด แต่ไม่ยอมกอดผมตอบอย่างทุกที และผมรู้ว่าพี่เหยาต้องการอะไร

“ขอโทษ...”ผมขอโทษแบบที่ทำจนเคยชินตั้งแต่เด็ก...ขอโทษแบบที่รู้ว่าพี่เหยายกโทษให้ตั้งแต่ผมยังไม่อ้าปากขอโทษด้วยซ้ำ...แล้วพี่เหยาก็กอดผมตอบ

ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไม พี่เหยาต้องการแค่นั้น...คำขอโทษแบบเด็กๆ ที่บางครั้งตัวผมยังรู้ว่ามันไร้สำนึกว่าตัวเองผิด

ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมคำพูดที่รุนแรง การกระทำที่หยาบคายของตัวเองถึงถูกพี่เหยายกโทษให้ง่ายๆ ด้วยการขอโทษเพียงคำเดียว มันง่ายดายจนผมลืมที่จะนึกถึงคุณค่าของมันไปโดยสิ้นเชิง จนเมื่อวันหนึ่งวันที่ผมไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป วันที่พี่เหยาไม่คิดจะยกโทษให้ผมอีกต่อไป...ผมถึงรู้ว่าการให้อภัยของพี่เหยามันมีค่ามากมายขนาดไหน

เมื่อพี่เหยายกโทษให้ เมื่อพี่เหยากอดผม...ผมก็ทำเพียงกอดพี่เหยา แม้ใจจริงอยากได้สัมผัสที่มากกว่านั้น แต่ผมก็อยากให้พี่เหยารู้ว่า ที่ผมกลับมา ผมไม่ได้ต้องการอยู่แค่เรื่องเดียวอย่างที่พี่เหยาเข้าใจ

วันนั้นจนกระทั่งถึงวันที่ทอมกลับ ผมไม่ได้แตะต้องพี่เหยามากไปกว่าการกอดเลย ผมทำอย่างที่บอกกับตัวเองว่าผมจะไม่ทำร้ายพี่เหยาอีกแล้ว ถ้าพี่เหยาไม่เต็มใจ ผมก็จะไม่แตะต้องพี่เหยาเลย แต่นั่นก็เป็นแค่ความตั้งใจก่อนที่ทอมจะกลับมา เป็นความตั้งใจอันแน่วแน่ก่อนที่จะเห็นพี่เหยายิ้มและหัวเราะให้กับทอม เป็นความจริงใจก่อนที่จะต้องยอมรับว่า...ทนไม่ได้

ผมใช้เวลาสองสามวันก่อนทอมกลับ พยายามทำใจให้ชิน...ให้ยอมรับว่าพี่เหยาเลือกที่จะเป็นของทอมไม่ใช่ผม

ผมยิ้มรับการกลับมาของทอมด้วยรอยยิ้มที่ดูดีกว่าที่ตัวเองคิดไว้...กล่าวคำขอบคุณสำหรับของฝากได้แนบเนียนอย่างเหลือเชื่อ แต่จนทุกวันนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าของฝากที่ว่านั้นมันคืออะไร เพราะทันทีที่ทอมหันหลัง ผมก็โยนมันลงถังขยะ

ไอ้ที่คิดว่าตัวเองทำใจได้ แท้ที่จริงแล้วผมทำใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

ความโกรธที่เฝ้าบอกตัวเองว่าไม่มีสิทธิ์ และคิดว่ามันเบาบางลง มันกลับลุกโชนขึ้นมา เมื่อเห็นพี่เหยายิ้มและหัวเราะให้กับทอม...มันไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งยิ้มอย่างที่ผมทำ ดูพี่เหยายินดีกับการกลับมาของทอมจริงๆ

แล้วผมล่ะ?...ผมนึกโกรธ เพราะไม่ใช่แขนของผมอีกแล้วที่โอบกอดพี่เหยาไว้ ถึงแม้จะรู้ว่าแขนของทอมในขณะที่กอดไหล่พี่เหยาไว้นั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรมากมายไปกว่าความคุ้นเคยหรือความยินดี แต่เมื่อทอมเดินกอดไหล่พี่เหยาเดินออกจากบ้านไป ผมก็ไม่รู้สึกถึงอะไรอีกนอกเสียจากความโกรธ เพราะเพียงเมื่อวาน ที่ตรงนั้นยังเป็นของผม...รอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั้นยังเป็นของผม ไหล่ผอมบางกับดวงตาที่จ้องมองยังเป็นของผม...

ความตั้งใจที่คิดไว้ มันปิดลงพร้อมๆกับประตูบ้านของทอม ที่พวกเขาทิ้งผมไว้ข้างหลัง

ผมไม่ใช่เด็กสิบขวบที่ไม่รู้ว่าหลังประตูบ้านนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้น...ไม่ใช่เด็กสิบขวบที่จะคิดว่า คงต้องรอให้ฟ้ามืดก่อน ทอมถึงจะทำในสิ่งที่ต้องการ

ความโกรธ ความเกลียด และเหนืออื่นใดคือความอิจฉามันแล่นพล่านไปทั่วตัว...สิ่งเดียวที่คิดอยู่ในหัวคือ...พี่เหยาเป็นของผม...ต้องเป็นของผม

และความโกรธเกลียดนั้น มันยิ่งรุนแรงขึ้น เมื่อพบว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย

ผมคิดและคิดว่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง..อะไรที่ช่วยให้ผมไม่ต้องเป็นคนที่ถูกทิ้งให้ยืนอยู่ตรงนี้ สุดท้ายผมก็เลือกทำในสิ่งที่คิดว่า..สะใจ...ในเวลานั้น หากแต่เมื่อมองย้อนกลับไป มันขี้ขลาด...ผมทำร้ายได้ก็แต่คนที่ไม่มีทางเลือก ซึ่งก็คือพี่เหยา คนที่ผมเพิ่งสาบานกับตัวเองไปเมื่อไม่นานว่า ผมจะไม่ทำร้ายเขาอีกแล้ว...แต่ในที่สุด ผมก็ทำ...และทำอย่างไม่รู้สึกผิดสักนิด

ผมคว้านหาเศษตังค์จากกล่องเหรียญในลิ้นชัก และกวาดมาจนหมด ไม่สนใจเสียงโวยวายของย่า เดินไปตู้โทรศัพท์ที่ห่างจากบ้านไปไม่กี่ช่วงตึก

ผมรู้ว่าตัวเองโกรธ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองโกรธจนมือไม้สั่น กว่าจะรู้ก็จนเมื่อยกหูโทรศัพท์ขึ้นหยอดเหรียญ ผมต้องสูดลมหายใจและทำใจอยู่นานกว่าจะบังคับมือให้หยอดเหรียญลงไปในช่องเล็กๆได้ กดเบอร์มือถือพี่เหยาผิดๆถูกๆอยู่หลายครั้งกว่าจะกดได้ และเมื่อกดถูก พี่เหยาก็ไม่ยอมรับสาย นั่นยิ่งทำให้ผมโกรธ

ผมวางแล้วกดใหม่ รอจนตัดเข้าสู่ระบบฝากข้อความ วางและกดใหม่ ผมทำอยู่อย่างนั้น ในหัวก็มองเห็นแต่ภาพพี่เหยากับทอม

แล้วในที่สุดก็มีคนรับสาย แต่ไม่ใช่พี่เหยา...ทอมเป็นคนรับ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดไว้ แต่มาถึงตอนนี้ ผมโกรธเกินกว่าที่จะกลัวทอมแล้ว ผมขอสายพี่เหยา ไม่สนใจว่าทอมจะจำเสียงผมได้หรือเปล่า

โทรศัพท์ถูกส่งต่อจากมือทอมสู่มือพี่เหยา รวดเร็วเพียงชั่วหายใจ...มันยิ่งทำให้ผมคิด พวกเขาอยู่ใกล้กันเพียงผิวเนื้อต่อผิวเนื้อ...แล้วผมล่ะ ทำไมต้องยืนอยู่ตรงนี้...

“ผมเอง!”ผมบอกพี่เหยาเมื่อพี่เหยาขานรับ และพี่เหยาเงียบเสียงไป

“พี่ทำอะไรอยู่?” ผมถามไม่สนใจความเงียบงันของพี่เหยา สนใจก็เพียงเสียงเบาๆที่เล็ดลอดมาตามสาย เสียงการเคลื่อนไหว เสียงลมหายใจ...

“แค่นี้...”เสียงพี่เหยาที่ลมหายใจไม่สม่ำเสมอนัก

“เดี๋ยว!”ผมขัดขึ้นไม่ปล่อยให้พี่เหยาตัดสาย

“ถ้าพี่วาง ผมจะโทรไปอีก โทรไปจนกว่าทอมจะสงสัย!”ผมเกือบบอกออกไปว่า...หรือให้ทอมเปิดประตูรับผมดี...แต่ผมก็กัดลิ้นตัวเองไว้ทันไม่ให้พูด...ทำไมผมถึงไม่พูดก็ไม่รู้ ทั้งที่มันน่าจะสะใจดีในเวลานั้น

“มี...อะไร?” พี่เหยาถาม ฟังคล้ายพยายามบังคับลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ

“ผมรู้นะ พี่นอนกับมันอยู่ใช่ไหม?”ผมตะโกนถามออกไปโดยไม่ตั้งใจ

“มีอะไร?”พี่เหยาถามเหมือนเดิมด้วยน้ำเสียงแบบเดิม คือสกัดกั้นลมหายใจของตัวเอง

“มัน...อยู่...ใน...ตัว...พี่...ใช่ไหม...มัน...กำลัง...”ผมพูดช้าชัดและกำลังจะพูดในสิ่งที่หยาบคายอย่างที่คงไม่มีวันพูดได้ในเวลาปกติ แต่ยังไม่ทันพูดจบ พี่เหยาก็ตัดสายไป

ผมต่อสายเข้าไปอีกครั้ง และทอมก็เป็นคนรับเหมือนเดิม

ผมรู้ ทอมกำลังเล่นเกมส์ของผู้ใหญ่ มันคงเร้าใจสำหรับทอมไม่น้อย เมื่อมองดูพี่เหยาที่นอนอยู่ใต้ร่างตัวเองถูกบังคับให้คุยโทรศัพท์ไปด้วย

ผมยิ้มเยาะในความโง่ของทอมที่คงไม่คิดว่าคนที่โทรมาคือผม

ผมขอสายพี่เหยาอีกครั้ง แล้วทอมก็ส่งโทรศัพท์ให้พี่เหยา

“มันกำลังเ...”ผมถามทันทีที่พี่เหยารับสาย

“ใช่!”พี่เหยาตอบรับไม่ยอมให้ผมพูดจบ

“ที่ไหน?”ผมถามและพี่เหยาเงียบ

“ที่ไหน?”ผมถามย้ำ และพี่เหยาไม่ตอบเช่นเคย

“อ๋อ!...พี่พูดไม่ได้เพราะเดี๋ยวทอมรู้ใช่ไหม?...งั๊นผมเดาว่าที่โซฟาใช่ไหม?”

“แค่นี้นะ?...”คราวนี้เสียงพี่เหยาอ้อนวอน

“หรือว่าบนตียง?”ผมไม่สนใจคำขอร้องของพี่เหยา สนใจก็แต่เสียงเคลื่อนไหวเบาๆที่ดังเล็ดลอดมา และเสียงลมหายใจของพี่เหยาที่พยายามทำให้เป็นปกติ

“พี่ตอบผมสิ ผมจะได้วาง หรือจริงๆพี่ก็ชอบแบบนี้เหมือนกัน มันเ...”

“ใช่”

“ใช่อะไร?...ใช่ที่ว่าพี่ชอบ?”

“ไม่ใช่!”

“อ๋อ!...หรือว่าหมายถึงบนเตียง?”

“ใช่...”

“บนเตียง?...แปลว่ามันกะเอาหลายรอบสิ?”

“แค่นี้นะ?”

“แล้วพี่อยู่ข้างบนหรือข้างล่าง?”

“แค่...”

“ข้างล่างใช่ไหม?”

“...ใช่...”

“ข้างหน้าหรือข้างหลัง?”

“...หน้า...แค่นี้...”

“ขยับแรงไหม?”

“ไม่!”

“เข้าลึกไหม?”

“ไม่!”

“ผมก็กำลังช่วยตัวเองอยู่...คิดภาพพี่อยู่ข้างล่าง...เข้าด้านหน้า แล้วก็ขยับช้าๆ...”

“แค่นี้นะ...”อีกครั้งที่พี่เหยาอ้อนวอน

“อย่าวางนะ ถ้าพี่วางผมก็จะโทรเข้าไปใหม่”

“ทำไม?...”

“พี่กดโทรศัพท์หน่อยสิ...พอมันขยับเข้า พี่ก็กด...ผมจะได้รู้จังหวะ”

“แค่นี้นะ...”

“กดสิ...”

“ผมบอกให้กด!”ผมย้ำเมื่อไม่ได้ยินเสียงที่ตัวเองต้องการ

พี่เหยาไม่พูดอะไรอีก ผมได้ยินก็แต่เสียงกดโทรศัพท์เป็นจังหวะช้าๆ...

“พี่รู้สึกไหม...ที่กำลังขยับอยู่ในตัวพี่เป็นผมใช่ไหม?”ผมถาม ฟังเสียงสัญญาณไปด้วย

“เป็นผมใช่ไหม?”ผมถามย้ำ เมื่อพี่เหยาไม่ตอบ

“ใช่...”

“ใช่จริงๆนะ?”

“ใช่...แค่นี้นะ?”

“เดี๋ยวสิ...ผมยังไม่เสร็จเลย...พี่อยากให้ผมขยับแรงกว่านี้ไหม?”

“พอ...แค่นี้ได้ไหม?”

“ได้...แต่พี่ต้องไม่วางสาย วางโทรศัพท์คว่ำลง อย่าให้ทอมรู้ว่าพี่ยังไม่วาง”ผมบอก ฟังเสียงโทรศัพท์ที่ถูกปล่อยจากมือพี่เหยา ฟังเสียงการเคลื่อนไหวและลมหายใจที่ดังชัดเจนขึ้น ฟังเสียงทอมที่หัวเราะและพูดอะไรบางอย่าง...แต่ไม่มีเสียงพี่เหยาเลย

สุดท้ายก็เหลือแต่เสียงสัญญาณ ไม่ใช่พี่เหยาที่ตัดสาย...แต่เป็นผมเองที่กดตัดสายทิ้งเพราะนั่นไม่ใช่เสียงที่ผมอยากได้ยิน

ผมเดินกลับบ้าน รู้สึกสะใจ...บอกตัวเองให้หัวเราะกับความโง่เขลาของทอม โดยไม่ทันคิดสักนิดว่า ทอมเองก็สนุกกับเกมส์ที่ตัวเองคิด...แต่คนเดียวที่เจ็บปวดคือพี่เหยา



--------------------
จบตอน 7
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: EternalHeart ที่ 30-03-2008 20:29:00
คุณTHIP เนี่ยขยัยพิมพ์จัง

ผมคงต้องขยันพิมพ์ ขยันอ่านเท่าคุณแล้วหละ :a2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 30-03-2008 20:31:32

ปล. จัดหน้าได้ดี  แบ่งตอนได้อิ่ม  อ่านแล้วไม่ค้างคา  ชอบมาก


เรื่องการจัดหน้า เว้นบรรทัด จัดตอน นี่คุณภัคD เป็นคนจัดการค่ะ  มืออาชีพจริงๆ

คนโพสต์แค่ copy paste อย่างเดียว อิอิ  :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 30-03-2008 21:04:55
" การเริ่มต้นนั้นยาก  แต่การเลิกหรือยุติสิ่งที่ดำเนินอยู่ยากกว่า " ชอบประโยคนี้จังครับ  

ตั้งแต่อ่านมา มีเมื่อวานตอนเดียวที่อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่น  พอกลับมาวันนี้ " ก็บีบหัวใจเหมือนเดิม "  สงสัยอ่านเรื่องนี้จบ ผมคงเป็นโรคหัวใจแน่ๆๆ เพราะตลอดเวลาที่อ่าน เลือดสูบฉีดหัวใจดีแรงเกิน

เข้าใจความรู้สึกของ เหยา กับ เอก ว่าทั้งสองคนคงเจ็บปวดไม่น้อย ถึงแม้เป็นแค่นิยาย  แต่ก็ให้ความรู้สึกกับผม เหมือนเกิดขึ้นกับตัวเองเลย


เป็นกำลังใจให้พี่ทิพย์คนโพสต์ครับ   :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 31-03-2008 20:47:40
เข้ามารอพี่ทิพย์แหละ  :m7: :m7: :m7:

เรื่องนี้เหมือนสารเสพติด วันไหนไม่ได้อ่านแล้วกระสับกระส่าย  " อ่านแล้วอินมาก เมื่อคืนถึงขนาดเก็บเอาไปฝันเลย "

สังสัยตรูจะบร้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ   :serius2: :serius2:


เป็นกำลังให้พี่ทิพย์ครับ   :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 31-03-2008 22:06:38
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ#8

เมื่อไม่มีทางเลือกสุดท้าย ผมก็ต้องยอมรับสภาพ

กฎที่ต้องท่องจำจนขึ้นใจ คือ...อย่าให้เหลือรอย

ผิวขาวจัดของพี่เหยาเป็นของทอม...ผิวที่แค่จับแรงนิดก็เป็นรอยมือ...ผิวที่มีแต่ทอมและคนที่ทอมอนุญาตเท่านั้นจึงจะฝากรอยสัมผัสไว้ได้

...อย่าให้เหลือรอย...ผมเฝ้าบอกกับตัวเองว่า...อย่าให้เหลือรอย

ผมไม่รู้ว่า อย่างไหนที่ทำให้ตัวเองโกรธยิ่งกว่ากัน ระหว่าง ผมไม่อาจแตะต้อง หรือ เพราะคนอื่นได้แตะต้อง

หนึ่งเดือนที่ไม่มีทอม มันเหมือนความฝันที่พอเช้าก็ต้องตื่น และพอเวลาผ่านไปก็ลางเลือน...แต่ที่ลางเลือน ไม่ใช่ภาพที่จดจำ หรือ รสสัมผัสที่เคยคุ้น หากแต่เป็นความสุขที่ดิ่งลึกอยู่ในใจ

ผมเริ่มตักตวงความสุขในสองวันที่ทอมไม่อยู่เชียงใหม่ คือเสาร์และอาทิตย์ เป็นสองวันที่ผมดึงดันว่าเป็นของผมและผมก็ตักตวงความสุขจากมันอย่างคุ้มค่าที่สุด จนสุดท้ายผมลืมว่า ที่ผมต้องการไม่ใช่เพียงร่างกายพี่เหยา ผมลืมว่าความรู้สึกเวลาที่ร่างกายเราได้โอบกอดกันโดยที่ความปรารถนาเป็นเพียงดนตรีประกอบนั้นเป็นอย่างไร...ผมตักตวงความสุขเท่าที่จะทำได้ เท่าที่แรงกำลังจะมี แต่ไม่ใช่เพราะตายอดตายอยาก หากแต่อาจเป็นเพราะ ร่างกายและรสสัมผัสของพี่เหยาคือรูปธรรมหนึ่งเดียวที่ผมสามารถยื้อยุดกับทอมอย่างเงียบๆเพื่อจะได้แสดงสิทธิ์ของคำว่า เจ้าของ

ดังนั้นเมื่อพี่เหยาขยับริมฝีปากพูด ผมก็ไขว่คว้าเพียงแต่สัมผัสของปลายลิ้น ไม่สนใจสิ่งที่พี่เหยากำลังพูด

ผมกอดพี่เหยาแทนการตอบรับ เมื่อพี่เหยาชวนออกไปไหนๆด้วยกัน

และเร่งเร้าจังหวะของร่างกาย พึงพอใจกับความเจ็บปวดของพี่เหยา เพราะเป็นการแสดงสิทธิ์ในอีกรูปแบบหนึ่ง

ร่างกายเราแนบชิดสนิทกันหลายต่อหลายครั้ง แต่ใจเรากลับถอยห่างกันออกไปเรื่อยๆ

แล้วผมก็ก้มหน้ายอมรับสภาพนี้โดยดุษฏีได้ไม่นานนัก...

ผมรู้การเป็นเจ้าของสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น มีด้วยกัน สอง วิธี คือ

หนึ่ง ถนุถนอมและเอาใจใส่ และสอง...ทำร้ายเพื่อแสดงอำนาจที่เหนือกว่า

และผมเลือกวิธีที่สอง...เพราะมันง่ายเหลือเกินที่จะทำ และเมื่อทำ มันสะใจเหลือเกินที่ได้ปลดปล่อยความชิงชัง และโกรธแค้นในใจ

ผมเลือกวิธีที่สอง...เพราะมันเจ็บปวดดี...ทั้งกับผมและพี่เหยา...

เริ่มแรกผมค่อยๆเริ่มทำร้ายพี่เหยาด้วยคำพูด...

“ทอมทำกับพี่ยังไง?”ครั้งแรกที่ผมออกปากถาม แม้ดูพี่เหยาตกใจหากแต่ก็นิ่งเงียบและเพียงมองผมอย่างค้นหา เหมือนพยายามจะเข้าใจในความคิดผม

“คราวนี้กี่คน?”ผมถามเมื่อสังเกตเห็นพี่เหยาออกไปกับทอมและเพื่อนๆ และคำตอบที่ได้คือความเงียบเฉกเช่นเดิม

หากแต่ที่สุดแล้ว ผมก็คาดคั้นจนได้ทุกคำตอบที่ผมต้องการ

ผมไม่สนใจใบหน้าที่แดงกล่ำและดวงตาที่หลูบหลบ เมื่อถูกบีบบังคับให้ตอบคำถามผม

ไม่สนใจอาการต่อต้านหรือขัดขืนเพียงเล็กน้อย เมื่อผมทวงหารสสัมผัสแบบเดียวกัน

ผมทาบทับทุกร่องรอยที่ทอมทาบทับ

สัมผัสทุกพื้นผิวที่ทอมทิ้งรอยสัมผัสไว้

ขยับจังหวะของร่างกาย ในจังหวะที่ทอมโปรดปราน

แล้วพี่เหยาก็เลิกต่อต้าน เลิกขัดขืน หากแต่ยังคงมองผมอย่างเข้าใจ

ผมเริ่มไม่พอใจกับเวลาเพียงสองวันที่ตัวเองมี เริ่มเข้าหาพี่เหยาทุกครั้งที่มีโอกาส ทั้งยามเช้าที่ทอมออกจากบ้านไปแล้ว ยามสายที่รู้ว่าพี่เหยาไม่มีเรียน ผมชักชวนแกมบังคับให้พี่เหยาเข้าโรงแรมม่านรูดราคาถูก ทั้งที่เป็นผู้ชายด้วยกัน และไม่แคร์แม้ว่าจะยังอยู่ในเครื่องแบบของนักศึกษา

ผมขอร้องและดึงดันที่จะมีอะไรกับพี่เหยาบนรถ ในมุมที่ลับตาคน กับอีกบางครั้งเหนี่ยวรั้งพี่เหยาให้อยู่กับผมจนค่ำเพื่อจะจบลงด้วยการบังคับให้พี่เหยายอมรับรสสัมผัสที่เคยคุ้นบนเบาะรถ ทั้งที่รู้ว่าทอมกำลังรอการกลับของพี่เหยา แล้วผมก็นอนฟังเพลงสบายใจอยู่บนรถ รอพี่เหยาที่ต้องแวะปั๊มสกปรกข้างทางเพื่อชำระล้างความเห็นแก่ตัวของผมออกจากร่างกาย

ตลอดเวลาผมไม่พยายามทำความเข้าใจกับตัวเองว่าทำไมผมถึงทำอย่างนั้น และที่ไม่เคยพยายามเข้าใจยิ่งกว่าคือ ทำไมพี่เหยาถึงยอม

เหมือนอย่างที่ยอมทอมไง!...ผมบอกตัวเองอยู่แค่นั้น

อาจเป็นอย่างที่บอกคือ การได้ครอบครองพี่เหยา มันเป็นรูปธรรมหนึ่งเดียวที่ยืนยันว่า ผมมีสิทธิ์ในตัวพี่เหยา

แม้จะบอกว่าตัวเองพึงพอใจ หรือ สะใจในความเจ็บปวดของพี่เหยา แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่...ผมไม่ได้พอใจในความเจ็บปวดนั้น ไม่ได้ยินดีในความเหนื่อยล้าที่เห็นอยู่ในดวงตาของพี่เหยา ตรงข้าม ผมยินดีกับรสชาติของการได้เป็นเจ้าของ

ผมยินดีและพอใจ เมื่อพี่เหยายินยอมแม้ผมเลวร้าย

ผมยินดีและพอใจ เมื่อพี่เหยายกโทษให้แม้ผมทำตัวน่ารังเกียจ

เพราะสิ่งเหล่านั้นมันช่วยยืนยันกับผมว่า...ผมไม่ได้แพ้ทอม

พี่เหยาไม่เคยมองผมด้วยสายตาชิงชัง รังเกียจ หรือเมินเฉย ตรงกันข้าม พี่เหยายังมองผมอย่างเข้าใจ กับอีกบางครั้งพี่เหยามองผมคล้ายจะถาม...แล้วจะให้ทำอย่างไร?... แต่พี่เหยาก็ไม่เคยถาม

ผมรู้ไม่ใช่พี่เหยาไม่อยากถาม แต่เพราะพี่เหยา รู้ว่าผมไม่มีคำตอบ....

พี่เหยาจึงไม่เคยต้อนให้ผมจนมุม ตรงกันข้าม ผมกลับเป็นฝ่ายต้อน จนพี่เหยาแทบไม่เหลือตัวตนของตัวเอง

ถ้าบอกว่าทอมคือคนที่ทำลายความบริสุทธิ์ของวันเวลาในวัยเยาว์ของพี่เหยา

ผม...คือคนที่ทำลายตัวตนทั้งหมดของพี่เหยา

ความโกรธทำให้ผมลืมเลือน จนลืมคิดว่า...

...เมื่อไหร่กันที่พี่เหยาเลิกหยอกเย้าผมด้วยปลายลิ้นอุ่น สัมผัสของปลายเรียวลิ้นมันเหลือเพียงรสสัมผัสของความปรารถนา

...เมื่อไหร่กันที่พี่เหยาทอดร่างลงให้ผมได้ก่ายกอด ปลดปล่อยความปรารถนาของตัวเอง โดยไม่ยินดี ยินร้ายแม้แต่นิด

และเมื่อไหร่กัน ที่พี่เหยาพูดน้อยลง เรียกชื่อผมน้อยลง ยิ้มน้อยลง...และไม่หัวเราะ

กว่าผมจะจำได้ว่าอ้อมแขนพี่เหยามันทำให้อุ่นที่หัวใจมิใช่ที่กาย และรอยยิ้ม หรือเสียงหัวเราะของพี่เหยามันทำให้ผมมีความสุขขนาดไหนนั้น ทุกอย่างก็เกือบจะสายเกินไป หรือจริงๆแล้ว มันอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้....

“คืนนี้ไปใส่บาตรกัน”อยู่ๆไอ้วิทย์ชวนขึ้น ไอ้ชัยทำหน้าไม่เห็นด้วย และผมก็เกือบปฏิเสธ หากไม่หันไปเห็นสีหน้างงๆของพี่เหยา

“พี่เป็นไร?”ผมถาม มองดูพี่เหยาที่เงยหน้าขึ้นจากสมุดจดงานในมือ มือยังคงถือปากกาค้างไว้ และมองดูไอ้วิทย์อย่างครุ่นคิด คล้ายพยายามเข้าใจกับประโยคสั้นๆของไอ้วิทย์

“ผมไม่ใช่ไอ้ชัยนะพี่ เข้าวัดแล้วจะได้ร้อน”ไอ้วิทย์เริ่มต้นอธิบายโดยการหันไปกัดไอ้ชัยก่อน

“ก็แม่บ่นทุกปีให้ไปใส่บาตรตอนวันเกิด...อ๋อ...วันนี้วันเกิดผม พี่รู้หรือเปล่า?”มันอธิบายได้แค่นิดเดียวแล้วก็หันไปถามพี่เหยาอย่างเพิ่งนึกได้

ผมกับไอ้ชัยเลยหันมามองหน้ากัน เพราะเพิ่งนึกได้เหมือนกันตอนมันหันไปบอกพี่เหยานี่แหละ

“เอ่อ...แฮปปี้เบริ์ทเดย์...แล้วกันนะ”ดูพี่เหยายังงงๆ เพราะจริงๆเราไม่เคยสนใจเรื่องของวันเกิดกันเท่าไหร่ ทั้งกลุ่มเพื่อนผมและเพื่อนพี่เหยา ดูมันไม่สำคัญอะไรนัก ผิดกับพวกผู้หญิงที่ให้ความสำคัญกับมันอย่างที่พวกผมไม่ค่อยเข้าใจ และยิ่งสำหรับพวกผมด้วยแล้ว วันเกิดน่าจะจัดเป็นวันขำขันของพวกเราเสียมากกว่า

ไอ้ชัย...มันมักโสล่เสล่มาโรงเรียนในวันเกิดทุกๆปี เพราะแม่มันบังคับให้ตื่นแต่เช้ามาใส่บาตร มันบ่นว่าพระแถวบ้านมันตื่นมาบิณฑบาตกันตั้งแต่หกโมง ซ้ำแม่มันยังกลัวว่าบุญของมันจะไม่มากพอ เลยบังคับให้มันลุกขึ้นมาเตรียมอาหารใส่ถุงเอง และจำนวนชุดอาหารที่เตรียมต้องเท่ากับอายุมันเสียด้วย

‘ปีนี้กูตะเวนตั้ง4วัด กว่าจะใส่หมด’มันบ่นในวันเกิดมัน เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพราะวัดตามอำเภอรอบนอกมักมีพระอยู่ไม่กี่รูปเท่านั้น

‘ถ้ากูอายุ60 กูไม่ต้องใส่บาตรข้ามวันเหรอว่ะ ขนทีเป็นรถบรรทุกเลย’

‘ถึงตอนนั้น มึงก็ไม่อยู่กับแม่แล้ว’ไอ้วิทย์ช่วยปลอบใจไอ้ชัยที่ทำท่าจะฟุบหลับกับโต๊ะ เพราะแรงบุญที่ทำมาแต่เช้าตรู่

ส่วนไอ้วิทย์ แม่ของมันก็ไม่ต่างกับแม่ของไอ้ชัยเท่าไหร่ ผิดกันก็ตรงที่ไอ้วิทย์มันไม่ยอมตื่นเหมือนไอ้ชัยเท่านั้น ขนาดมันไม่ต้องลุกมาเตรียมอาหารเอง เพราะแม่มันให้ใช้วิธีมาซื้อเอาที่ตลาด แล้วพระในเมืองก็บิณฑบาตกันถึงสายคือเกือบๆแปดโมง แต่มันก็ยังสายกว่าพระท่าน ดังนั้นพอมันลืมตาตื่น มองดูนาฬิกาแล้วเห็นว่าถ้าไปใส่บาตรก็คงมาโรงเรียนไม่ทัน มันเลยไม่เคยยอมไปใส่บาตรเลย เป็นผลให้มันโดนแม่มันบ่น จนต้องเอามือแยงหูมาโรงเรียนทุกปีตั้งแต่ประถมยันมหาวิทยาลัย

ส่วนผมโชคดีกว่าเพราะแม่กับย่าเตรียมเองหมด ก่อนนอนแม่ให้ผมยกสวยดอกไม้ที่แม่เตรียมไว้จบบนหัว พอตอนเช้าแม่ก็ใส่บาตรให้พร้อมสวยดอกไม้ที่ผมยกขึ้นจบนั่นแหละ

ผิดกับวันเกิดพี่เหยาที่ทอมจะตัดเค้กแบ่งมาให้ที่บ้านผมทุกปีๆ และส่วนใหญ่จะเป็นเค้กไอศครีมแต่งหน้าแยมผลไม้ เหตุผลเพราะพี่เหยาไม่ชอบกินเนื้อเค้กและครีมนั่นเอง และวันเกิดปีที่17 ของพี่เหยา บ้านผมก็ได้รับเค้ก พร้อมๆกับสังเกตเห็นรถคันใหม่ที่บ้านทอม...รถราคาแพงที่ทอมให้พี่เหยาตอนวันเกิดปีที่พี่เหยากำลังเตรียมจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยพอดี ตอนนั้นผมฝันหวาน รอว่าพออายุครบ 17 ปีก็คงได้อะไรแบบนั้นจากแม่บ้าง แต่เมื่อเดือนธันวา ปีที่ผ่านมา ผมก็ได้แค่สวยดอกไม้ยกขึ้นจบหัวเท่านั้น...ซึ่งผมก็ไม่ผิดหวังอะไร เพราะโตพอที่จะเข้าใจอะไรๆแล้ว ยิ่งกว่านั้น สวยดอกไม้ที่แม่ทำเองกับมือทุกปีๆกลับดูมีค่ามากมายเหลือเกิน เพราะผมรู้แล้วว่ามันเป็นความรักจากแม่ล้วนๆ โดยที่ผมไม่ต้องเอาอะไรแลกมาเลย ปีที่แล้วจึงเป็นปีแรก ที่ผมลุกขึ้นมาแต่เช้าใส่บาตรกับแม่ในวันเกิดของตัวเอง

“ก็เลยชวนไปใส่บาตรคืนนี้ไง!”ผมได้ยินไอ้วิทย์จบคำอธิบายของมันที่ไม่ช่วยให้สีหน้างวยงงของพี่เหยาหายไปแม้สักนิด

“วันเป็งปุ๊ด!”เสียงคำอธิบายลอยมาจากด้านหลังพี่เหยา ก่อนที่พี่เก้าจะโอบแขนรอบคอพี่เหยาแล้วนั่งลงข้างๆ

“มันไม่รู้จักหรอก!”พี่นัทหันมาบอกพวกผมก่อนนั่งลงข้างๆพี่เก้า และวางขนมที่ติดมือมาฝากลงที่กลางโต๊ะ

พี่นัทกับพี่เก้า รวมทั้งพี่เก่งเรียนจบกันไปหมดแล้วแต่ก็ยังแวะเวียนมาหาพี่เหยาที่มหาวิทยาลัยบ่อยๆ จนเกือบจะบ่อยมาก โดยเฉพาะพี่นัทที่ทำงานที่บ้านตัวเองจึงมีอิสระกว่าพี่เก้าที่เข้าทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ส่วนพี่เก่งเพื่อนพี่เหยาอีกคน พอเรียนจบก็กลับไปช่วยงานที่บ้านตัวเองที่ต่างจังหวัด เลยไม่ค่อยได้เจอหน้านัก และพี่เหยาที่ผมคิดว่าจะเรียนจบไปเมื่อภาคเรียนที่แล้ว ยังต้องเรียนต่ออีกหนึ่งภาคเรียน เพราะพี่เหยาดร็อปเรียนไปมากกว่าหนึ่งครั้งที่ผมรู้เพราะเป็นต้นเหตุ แต่พี่เหยาไม่ยอมบอกถึงสาเหตุของการดร๊อปเรียนอีกครั้ง ดังนั้นนี่จึงเป็นภาคเรียนสุดท้ายของพี่เหยา

และวันนี้ที่พี่เก้าว่า ก็คือวันพุธที่ตรงกับวันลอยกระทงอันเป็นวันพระใหญ่ ซึ่งก็เป็นกว่าปีแล้วนับจากวันที่ผมกับพี่เหยากลับมาพูดกันอีกครั้ง เป็นกว่าปีที่ผมช่วยให้พี่เหยาไม่ต้องไปกับทอม แต่ก็เป็นเพียงแค่ครั้งเดียวที่ทำได้ เพราะหลังจากนั้น พี่เหยาก็ต้องออกไปกับทอมกับเพื่อนทอมเหมือนเดิมโดยที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย

“ประเพณีคนเมือง ถ้าวันพระใหญ่ตรงกับวันพุธจะมีตักบาตรตอนเที่ยงคืน วันลอยกระทงอีกต่างหาก คนคงเยอะน่าดู”พี่เก้าอธิบายให้พี่เหยาฟัง ก่อนก้มดูสมุดที่วางอยู่ตรงหน้าพี่เหยา มือก็ยังกอดคอพี่เหยาไว้ไม่เลิก ซึ่งผมไม่ชอบใจเท่าไหร่เลย

“ไอ้วิทย์เลยได้โอกาสใส่บาตรตอนวันเกิดเป็นครั้งแรก หลังจากเกิดมา18ปี”ไอ้ชัยพูด

“เออสิ! แล้วจะไปไม่ไป?”

“ไปสิ! ไปเที่ยวงานลอยกระทง ไปทุกปีอยู่แล้วนี่หว่า”

“กูหมายถึงใส่บาตร”

“มึงก็ใส่ไปสิ กูจะดูขบวนแห่”

“เที่ยงคืน ขบวนบ้านมึงสิยังแห่ไม่เลิก”

“เออ ก็จะไปเล่นประทัดที่สะพาน”

ผมไม่รู้ว่าพวกมันจะเถียงกันทำไม เพราะวัดที่ไอ้วิทย์จะไปใส่บาตรก็คือวัดอุปคุตที่ขบวนแห่ผ่าน แล้วก็อยู่ตีนสะพานเนาวรัตน์ที่เราไปปักหลักเล่นประทัดกันทุกปีๆ

“ปีนี้ขบวนแห่น่าดูกว่าทุกปี”พี่นัทพูดลอยๆแล้วยิ้ม

“ไม่ต้องดูเลย ไปใส่บาตรกันน่ะดีแล้ว”




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 31-03-2008 22:10:26
“ใส่บาตรตั้งเที่ยงคืน ขบวนแห่ปีนี้มีอะไรพี่?”ไอ้วิทย์เลิกสนใจการใส่บาตรขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่พี่นัทไม่ยอมตอบเอาแต่ยิ้มเหมือนเดิม

“พี่เคยไปเที่ยวงานลอยกระทงหรือเปล่า?”ผมหันไปถามพี่เหยา

“เคยครั้งเดียว ทอมพาไปดูขบวนแห่ แต่คนเยอะ ปีหลังๆทอมเลยไม่ไป”

“งั๊นปีนี้ไปกับพวกผม”ไอ้วิทย์ชวนตัดหน้าผมเฉย ผมเลยนึกอยากให้พี่เหยาปฏิเสธ

“ไม่ต้องไป คนก็เยอะ ไปทำไมวะ?”แต่คนที่ช่วยปฏิเสธคือพี่เก้า

“ทำไมล่ะ... ลอยกระทงปีนี้มีอะไร?”พี่เหยาถามอย่างสนใจ

“เค้าให้มันนั่งกระทง!”พี่นัทบอกโพล่งออกมา ก่อนกระโดดลุกหนีจากเก้าอี้หลบหมัดพี่เก้าที่เหวี่ยงใส่ทั้งที่แขนข้างหนึ่งยังกอดคอพี่เหยาไว้ ผมต้องรีบดึงแขนพี่เหยาไว้ก่อนจะเสียหลักหงายหลังลงไปเพราะพี่เก้า

“ไอ้สัตว์!กูบอกว่าห้ามบอกใคร”พี่เก้าหันไปชี้หน้าด่าพี่นัทที่ลุกหนีไปยืนหัวเราะอยู่ห่างตั้งไกล ไม่สนใจพี่เหยาที่จับคอตัวเองเพราะเจ็บ สมุดที่เปิดกางไว้ก็โดนแขนพี่เหยากวาดลงไปกองกับพื้นหมด

“อ้าว...ผมนึกว่าพี่มาเชิญด้วยตัวเอง”ผมพูด ก่อนก้มลงไปเก็บสมุดให้พี่เหยา พร้อมปัดฝุ่นจนสะอาด และเปิดกางให้หน้าเดิมอีกต่างหาก แต่พี่เหยาไม่ได้สนใจมองผมเลย มองก็แต่พี่เก้ากับพี่นัท พร้อมจับคอตัวเองปอยๆ คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมุดตัวเองหล่น

“เชิญเหี้ยสิ!...พอหลุดปากบ่น ก็รู้เลยว่ามันต้องแจ้นมาบอกพวกมึง กูเลยต้องรีบมา!”

“คอพี่แดงเลย...”ผมไม่สนใจคำสบถของพี่เก้า ดึงมือพี่เหยาออกดู ถึงเห็นคอพี่เหยาเป็นรอยแดง

“โทรมาบอกก็ได้”พี่เหยาหันไปแนะพี่นัท ไม่สนใจผมอีกเหมือนเคย

“ไม่ต้องเลยไอ้เหยา!”พี่เก้าพูด แล้วยังดึงมือผมออก เปิดคอเสื้อออกดูคอพี่เหยา แต่คราวนี้พี่เหยาดึงมือพี่เก้าออกอย่างรำคาญ มันทำให้ผมพอใจเพราะอย่างน้อยตอนผมจับคอพี่เหยา ถึงพี่เหยาไม่หันมาสนใจผม แต่ก็ไม่ปัดมือผมทิ้ง

“แบบนี้สนุกกว่า...กูก็ว่าช่วงนี้แม่งเงียบไป ถามอะไรก็เปล่าๆ”พี่นัทพูดก่อนเดินกลับมานั่งแต่เปลี่ยนไปนั่งแทรกกลางระหว่างไอ้วิทย์กับไอ้ชัยแทน

“คืนนี้พี่ไปกับผมนะ?”ผมหันไปชวนพี่เหยาอีกที และพี่เหยาก็พยักหน้ารับอย่างไม่ลังเลอย่างตอนที่ไอ้วิทย์ชวน ซึ่งผมก็ดีใจถึงแม้จริงๆแล้วสาเหตุอาจจะมาจากพี่เก้าก็เหอะ

“ไม่ต้องเลย พวกมึงจะไปทำไม!?”

“พวกผมก็ไปกันทุกปี!”

“ปีนี้การท่องเที่ยวซบเซา ยิ่งลอยกระทงตรงกับช่วงเปิดเทอมนักท่องเที่ยวเลยน้อย ก็ต้องไปช่วยกันหน่อย”พี่เหยาให้เหตุผลน่าฟัง

“คนท้องถิ่นไม่นับโว๊ย”

“ไปช่วยสร้างภาพไง!” พี่เหยาบอกพร้อมยิ้มกว้างอย่างที่ผมไม่ได้เห็นมานาน

“เออ!”พี่เก้าพูดแค่นั้น ก่อนกระแทกเท้าลุกจากโต๊ะ

“เฮ้ยกูลืมบอก ไอ้เก่งก็มานะ!”พี่นัทตะโกนไล่หลัง

“บอกมันไม่ต้องมาเลย!...อัตราเกิดอุบัติเหตุช่วงลอยกระทงสูงพอๆกับปีใหม่เลยนะโว๊ย”พี่เก้าเดินถอยหลังพูด ทำหวังดี แต่ดูก็รู้ว่าไม่จริงใจ

“มันมาตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว แต่ไปหายายมันที่ลำพูน วันนี้ถึงจะเข้ามาเชียงใหม่”พี่เหยาบอกพร้อมยิ้มๆ

“เออ! อย่าให้ทีกูบ้าง”พี่เก้าตะโกนกลับหลังเดินไปแล้ว

“อ้าว ทำไมรีบกลับล่ะพี่ นั่งกระทงต้องซ้อมด้วยเหรอ?”ไอ้วิทย์แกล้งตะโกนถามเสียงดัง เรียกให้ใครๆหันมาสนใจเพราะส่วนใหญ่ก็รู้จักและยังจำพี่เก้าประธานสโมสรนักศึกษาคนก่อนได้

“เออ!”พี่เก้าตะโกนรับ ก่อนเดินจ้ำอ้าวออกไปเร็วยิ่งกว่าเดิม

“ชื่อกลุ่มอะไร กระทงที่มึงนั่งน่ะ?”พี่นัทแกล้งถามไล่หลังเสียงดัง

“ไม่บอกโว๊ย ไอ้สัตว์นัท!”และพี่เก้าตะโกนกลับมาเสียงดังยิ่งกว่าจากสุดปลายทางเดิน ก่อนเดินเลี้ยวไป

พี่นัทหันมาบอกชื่อกลุ่มขบวน ของกระทงที่พี่เก้านั่ง

“เป็นกลุ่มศิลปินล้านนา โคงานกับบริษัทที่มันอยู่ เห็นมันแล้วถูกตาต้องใจ เลยขอให้มันไปช่วย”พี่นัทอธิบายและยิ้มขัน แต่เมื่อมีเด็กนักศึกษาเดินเข้ามาถามว่าพี่เก้านั่งขบวนไหน พี่นัทกลับปฏิเสธว่าไม่รู้แทน

หลังจากนัดแนะเวลาที่จะเจอกันตอนเย็นเสร็จแล้วพี่นัทก็กลับ

และแม้พี่เหยาจะรับปากว่าจะไปกับพวกผมแล้ว แต่ก็ยังต้องโทรกลับไปขออนุญาตทอมก่อน

“เกิดทอมไม่ให้ไป พี่ก็ไม่ไปเหรอ?”ผมถามเมื่อพี่เหยาวางสาย

“ก็ต้องถามก่อน ว่าวันนี้มีงานอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”พี่เหยาอธิบาย

“งาน?”ผมหัวเราะ และพอใจที่แก้มขาวๆของพี่เหยาแดงขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่พี่เหยาก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสือต่อทำเป็นไม่สนใจผม

ตอนบ่ายผมกับไอ้ชัยกลับไปเรียน และนัดเจอกับพี่เหยาและไอ้วิทย์ที่แถวๆถนนท่าแพ ที่ขบวนแห่จะผ่าน

ไอ้วิทย์ให้พี่เหยาไปจอดรถไว้ที่บ้านมัน ก่อนซ้อนมอเตอร์ไซด์มาด้วยกัน ส่วนผมมาพร้อมกับไอ้ชัย และไอ้รงค์ที่พาแฟนมันมาด้วย

“อ้าวไม่เปลี่ยนเสื้อผ้ากันเหรอ?”พี่นัทถามเมื่อมาถึงและเห็นพวกผมยังใส่ชุดนักศึกษากันอยู่

“ถ้ากลับไปเปลี่ยนก็พอดีถนนปิด”ไอ้วิทย์บอก หันไปยกมือหวัดดีพี่เก่งที่เดินมาพร้อมพี่นัท

“ทีกูไม่เห็นพวกมึงไหว้”พี่นัททวงสิทธิ์

“ถ้ายกมือไหว้พี่ก็พอดีมือผมเคล็ด สามเวลาหลังอาหารเลยนะพี่ นึกว่าพี่ยังเรียนไม่จบ!”พี่วิทย์ตอบซึ่งก็จริง พี่นัทมาเตร่อยู่ที่มหาวิทยาลัย บ่อยน้อยกว่าผมกับไอ้ชัยนิดเดียวเท่านั้น

พอถนนปิดแล้ว เราก็หาที่เหมาะๆนั่งเรียงกันริมถนน พี่นัทกับพี่เก่งนั่งขนาบพี่เหยา ส่วนผมนั่งอยู่ท้ายสุด คอยฟังเสียงพี่เหยาคุยและหัวเราะกับเพื่อนๆ

“ทำไมช้าจัง?”พี่เหยาถาม เมื่อจนแล้วจนรอด ก็ไม่มีวี่แววจะมองเห็นขบวนแห่เสียที ทั้งที่เสียงวงดุริยางค์นำขบวนดังมานานพอควรแล้ว

“โน้นไง! เห็นตุงแล้ว”ไอ้รงค์ชี้ไปที่สุดถนน ที่เห็นก็แต่ยอดตุงนำขบวนมาไกลลิบ

“เออนั่นไง เห็นถุงแล้ว!”พี่นัทพูด แล้วก็นั่งหัวเราะกันงอหงายอยู่กับพี่เก่งสองคน จนพวกผมงง

“ตอนม.ปลาย อาจารย์บอกให้มันไปหยิบตุงที่ห้องเก็บของ เดินมาเจอไอ้นัทกับไอ้เก้า เลยชวนกันไปเอา มันเสือกบอกว่าอาจารย์ให้มาเอาถุง แล้วถุงที่พวกมันช่วยกันแบกขึ้นตึกสี่ชั้นน่ะ...ถุงปูน!”พี่เก่งช่วยอธิบายเมื่อพี่นัทยังไม่ยอมหยุดหัวเราะ แต่พวกผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี

“ก็ถามแล้วว่าถุงอะไร...อาจารย์ได้ยินเป็นถามว่าตุงอะไร อาจารย์ก็ว่า...ตุงที่ใช้ปักในถังเนี่ย ก็นึกว่าถุงปูนนะสิ”พี่เหยาแก้ตัว แบบรู้กันเองแค่สามคน สุดท้ายพี่นัทต้องช่วยอธิบาย

“ก็ตอนงานโรงเรียน ที่ห้องพี่มันต้องใช้ตุง อาจารย์เขาจะให้เสียบไว้ในถังแล้วเทปูน ตั้งเป็นแถวๆ แต่ตอนซ้อมเขาแค่จะเอาตุง ใช้ใครไม่ใช้ดันไปใช้ไอ้เหยา บอกให้มันไปหยิบตุง มันแปลเองเสร็จว่าให้ไปหยิบถุง พอถามว่าถุงอะไร อาจารย์ก็คงได้ยินเป็นตุง เลยบอกว่าก็ตุงที่จะใช้ปักในถัง มันเสือกคิดว่าให้ไปเอาถุงปูนที่จะมาเทใส่ถังปักตุง...วิ่งลงมาเจอพี่กับไอ้เก้า เลยซวยได้ไปช่วยมันแบกถุงปูน จากห้องเก็บของหลังโรงเรียน ไปตึกหน้าโรงเรียนแถมชั้นสี่ เท่านั้นไม่พอยังต้องแบกกลับไปเก็บ ไปขนตุงมาอีกรอบ มันมีหน้ามาบอกว่า...อันนี้บ้านมันเรียกธง”พี่นัทพูดไปหัวเราะไป ส่วนพี่เหยาแกล้งทำหน้าเฉยไม่รู้สึกรู้สากับเสียงหัวเราะของพวกผม

“มาแล้ว!”พี่เหยาลุกขึ้นไปชะเง้อมองขบวนที่ใกล้เข้ามา ไม่รู้ว่าตื่นเต้นจริงหรือแค่หวังเปลี่ยนเรื่อง

“บ้านนอกเข้ากรุง!”พี่เก่งแกล้งป้องปากตะโกนเบาๆใส่พี่เหยา แต่พี่เหยาไม่สนใจ เพราะรู้กันดีว่าบ้านนอกเข้ากรุงอย่างพี่เหยาน่ะเด็กกรุงเทพ ส่วนคนที่ตะโกนแซวอยู่ป่าวๆน่ะ ต้องเก็บเสื้อผ้ามาเรียนที่เชียงใหม่ เพราะที่บ้านตัวเองยังไม่มีมหาวิทยาลัย

“ขี้เกียจนั่งรอ ก็เดินขึ้นไปดูก็ได้”ไอ้วิทย์ออกความเห็น เพราะโดยมากผู้คนก็มักเดินย้อนขึ้นไปตามถนนเพื่อดูขบวนแห่ที่ยังเดินมาไม่ถึง ติดใจขบวนไหนก็เดินย้อนกลับลงไป เพราะกว่าขบวนรถแต่ละขบวนจะเคลื่อนที่ รวมทั้งการแสดงต่างๆที่แต่ละขบวนนำมาเสนอ ทำให้ขบวนเคลื่อนช้า จนถ้าเดินดูเองก็คงดูได้หลายๆรอบ

และถึงไอ้วิทย์จะเป็นคนออกปากชวน แต่ผมก็รีบลุกขึ้นปัดกางเกงตัวเอง เป็นการบอกว่าถ้าพี่เหยาจะเดินไปดู ผมก็จะเดินไปเป็นเพื่อน ไอ้วิทย์ที่ขยับตัวช้ากว่าเลยหย่อนก้นลงไปนั่งที่เดิม

“ซื้อลูกชิ้นมาด้วย!”พี่นัทสั่ง

“ยังไม่ได้บอกว่าจะไปเลย!”พี่เหยาหันไปพูดกับพี่นัท พลางทำท่าจะลงไปปักหลักนั่งใหม่

“ก็ดีไง พวกกูจะได้กินลูกชิ้นเร็วๆ”พี่เก่งพูดขยับปิดที่ไม่ให้พี่เหยานั่ง

“กรอบนอกนุ่มในนะ...เอาไส้กรอกพันแฮมด้วย ไม่เอาพันเบค่อนนะ”พี่นัทสั่งยาว

“ไอ้ชัยเอาแบบพันเบค่อน...”ไอ้วิทย์ช่วยสั่งแทน

“เฮ้ย..พี่เค้ายังไม่ได้ถาม!”แต่ไอ้ชัยแกล้งเกรงใจ

“เออ! งั๊นไม่ต้อง”ผมหันไปบอกมัน ก่อนดึงพี่เหยาให้เดินตามก่อนจะได้รายการกินมาอีกเป็นหางว่าว

“ทอดมันของผมด้วยนะพี่!”เสียงไอ้รงค์ตะโกนตามหลังมา ผมรู้มันสั่งให้แฟนมันที่เอาแต่นั่งยิ้ม

“ซื้อที่ไหนล่ะ?”พี่เหยาถามเมื่อมองไปตามถนนไม่มีรถขายของ มีก็แต่ลูกโป่งกับสายไหมที่เดินขายเป็นระยะ

“ในวัด...ตรงตรอกเล่าโจ้วก็มี แต่ในวัดมีเยอะกว่า”ผมบอก พาพี่เหยาเดินฝ่ากลุ่มคนที่เริ่มขยับลุกจากริมทางเข้ามารอดูขบวนที่ขยับเคลื่อนใกล้เข้ามา

“ถ้างานไม้ดอก ไม้ประดับจะมีทหารขี้ม้านำเปิดขบวน...พี่เคยดูงานไม้ดอกหรือเปล่า?”ผมหันไปถาม พี่เหยาที่เดินตามอยู่ข้างหลัง

“ไม่เคย”

“งั๊นปีหน้ามากับผมนะ?”ผมชวน และพี่เหยายิ้มรับ ตอนนั้นเราไม่รู้เลยว่า...ปีหน้า...ที่ผมพูดถึง ปีหน้าที่หากนับเวลาจริงๆก็เพียงแค่ สองเดือนกว่าๆเท่านั้น แต่มันกลับไม่เคยมาถึงเลย...

ผมพาพี่เหยาเดินเลี้ยวเข้าวัด เลือกซื้อของกินตามที่โดนสั่งมา

พี่เหยาหยุดยืนดูไข่ที่ตีใส่กระทงใบตองย่างไฟ มีตัวหนังสือตัวโตๆเขียนไว้หลอกล่อนักท่องเที่ยวว่า...ไข่ป่าม

“ก็ไข่ตุ๋นนั่นแหละ”ผมกระซิบบอกพี่เหยา ก่อนสะกิดให้เดินตามผมมา เพราะนึกรู้ว่าพี่เหยาแค่สนใจดูแต่ไม่สนใจจะลองชิม เพราะพี่เหยาเกลียดอาหารตระกูลไข่ทั้งหลาย แค่พี่เก้าเคยแกล้งเอาเกี้ยวห่อไข่นกกระทาให้แล้วบอกว่าข้างในเป็นลูกชิ้น พี่เหยาทำท่าขะย้อนจนหน้าตาแดงไปหมด และจบลงด้วยเป๊ปซี่เย็นจัดล้างปากทีเดียวสองกระป๋องรวด

‘เป็นผู้ชายซะเปล่า ไม่ชอบเนื้อ นม ไข่!’พี่เก้าชอบว่าพี่เหยาแบบนั้น เพราะเป็นที่รู้กันว่า พี่เหยาไม่กินเนื้อวัวซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนจีนเสียส่วนใหญ่ แล้วพี่เหยาก็ไม่ถูกโรคกับไข่และนม ด้วยเหตุผลว่า...มันเหม็นคาว

‘กินสิจะได้โตไวๆ’แต่ผมชอบแซวพี่เหยาแบบนี้ ทั้งๆที่จริงๆความสูงขนาด 175 เซนติเมตรของพี่เหยาก็ไม่ได้จัดว่าต่ำกว่ามาตราฐาน เพียงแต่พี่เหยาเถียงไม่ได้เพราะผมสูงกว่าร่วมสิบเซน ซ้ำยังอ่อนกว่าร่วมห้าปี

‘ตอนเด็กๆแม่บังคับให้กิน จนอยู่ๆมันก็นึกเหม็นขึ้นมา’ พี่เหยาเคยเล่าเหตุผลให้ผมฟัง ซึ่งไม่บ่อยครั้งนักที่พี่เหยาจะพูดถึงตัวเอง พูดถึงครอบครัวให้ผมได้ยิน

พอมีเสบียงกันเต็มมือ ผมก็พบว่าทุกคนไม่เว้นแม้พี่เหยา ดูจะสนใจลูกชิ้นในถุงเสียมากกว่าขบวนที่ค่อยๆผ่านหน้าไปทีละขบวน จะมียอมลุกยืนบ้างก็แต่ขบวนที่ดูน่าสนใจ ผู้คนรุมถ่ายรูป จนเราก็ขยับลุกขึ้นดู ไม่งั๊นก็เห็นแต่ก้นของคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า หรือไม่ก็อาจจะถูกเหยียบเอาได้ กับอีกบางครั้งเรายอมลุกเดิน เพราะการแสดงต่างๆมักหยุดแสดงเป็นจุดๆ อาศัยจังหวะที่ขบวนหยุดนาน ก็จะมีการแสดงเพื่อไม่ให้คนเบื่อ ดังนั้นเราจึงต้องคอยมองว่ามีการแสดงอยู่ตรงจุดไหนแล้วเดินตามไปดู

“เฮ้ย! นี่ไง ขบวนไอ้เก้า”พี่เก่งพูดฟังคล้ายตื่นเต้น แต่กลับหัวเราะไปด้วย เมื่อชี้ให้ดูป้ายขนาดความยาวเต็มถนนที่พี่สาวแต่งตัวสวยด้วยชุดพื้นเมืองหลายคนช่วยกันถือมา

ขบวนของพี่เก้า เริ่มต้นด้วยขบวนตุงเหมือนขบวนอื่นๆ แต่คนถือตุงล้วนเป็นเด็กผู้ชาย หัวเกรียนๆนุ่งโจงสีแดงตัวเดียว

ถัดมาคือขบวนเสลี่ยงที่มาเป็นคู่ๆ แต่คราวนี้คนหามเสลี่ยงเป็นหนุ่มรุ่นใหญ่ที่ทามัดกล้ามด้วยน้ำมันและสักยันต์จนเต็มตัว เสื้อผ้าติดตัวมีแค่โจงสั้นสีแดง กับผ้าเคี่ยนหัวเท่านั้น

บนเสลี่ยง บางหลังเป็นผู้ชาย และบางหลังเป็นผู้หญิงแต่งองค์ทรงเครื่องครบชุด วาดลวดลายฟ้อนบ้างรำบ้างกันเต็มที่ แบบไม่เกรงใจคนหาม ที่หามกันจนเหงื่อโทรมตัวซึ่งก็ทำให้กล้ามเนื้อที่ทาน้ำมันจนเงาวับน่ามองขึ้น

“ไอ้เก้ามันอยู่ส่วนไหนของขบวนวะ?”พี่เก่งร้องถามพี่นัท ที่ยืนช่วยกันชะเง้อมองไปตามเสลี่ยงแต่ละหลัง



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 31-03-2008 22:13:50
“ไอ้เก้ามันกลัวความสูง มันคงไม่ยอมขึ้นไปยืนหรอก!”พี่เหยาบอกข้อเท็จจริงที่ทุกคนรู้แต่คงลืม สายตาพวกเราเลยย้ายไปที่คนแบกเสลี่ยงแทน

“โน้นไง!”เสียงไอ้ชัยดูตื่นเต้น ตามด้วยเสียงหัวเราะของพี่เก่งกับพี่นัทดังมาก่อนที่ผมจะหันไปดูตามมือไอ้ชัย

“เราประเมินพี่เก้าต่ำไปหน่อย...”ไอ้วิทย์พูด หลังจากย้ายสายตาจากคนหามเสลี่ยงมาที่ขบวนรถ และถึงมันจะพูดอย่างนั้นแต่มันก็ยืนหัวเราะแบบเดียวกับพี่นัทและพี่เก่ง เลยกลายเป็นว่าเรายืนหัวเราะกันทั้งกลุ่ม

“ไม่มีอะไรครับ เพื่อนผมเอง”ผมได้ยินเสียงพี่เก่งหันไปพูดกับใครสักคน เดาว่าใครคนนั้นคงหันมามองอย่างนึกสงสัยในเสียงหัวเราะของพวกเรา

คนรอบข้างคงสงสัยว่าเราหัวเราะอะไรกัน เพราะขบวนที่เห็นอยู่ตรงหน้า สวยและสมบูรณ์ไม่เสียชื่อที่เอ่ยอ้าง...กลุ่มศิลปินและสล่าล้านนา...

ขบวนรถตกแต่งด้วยโทนสีขาวอันเปรียบประดุจสวรรค์ชั้นดาวดึงก์...คนบรรยายว่าอย่างนั้นถ้าผมจำไม่ผิด

พญานาคเจ็ดเศียรเปรียบได้กับอะไรสักอย่างที่ฟังยาวและยากจนจำไม่ได้ ซึ่งพอมาถามพี่เก้าคนนั่งฉีกยิ้มอยู่บนขบวนและน่าจะได้เวียนฟังซ้ำไปซ้ำมาเป็นร้อยรอบ พี่เก้าตอบแค่ว่า...กูไม่รู้!

ดอกบัวดอกใหญ่สีขาวสะพรั่งที่ใส่กลไกลให้กลีบบัวหุบและบานได้ เรียกเสียงฮือฮาและแสงเฟลชได้มากกว่าขบวนที่ผ่านๆมา

แต่นั่นไม่ได้เรียกความสนใจจากพวกผมที่ไม่ค่อยเข้าใจศิลปะหรือมีอารมณ์สุนทรีย์มากมายนักได้เท่า คนที่นั่งเด่นสง่าอยู่กลางดอกบัวดอกใหญ่นั้น

ผมเดาว่าเขาคงอนุมานพี่เก้าเป็นเทพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อะไรประมาณนั้น

พี่เก้าวันนี้ไม่ได้ดูน่าหัวเราะอย่างที่พวกผมหัวเราะ เพียงแต่ถ้าไม่รู้มาก่อน ให้จ้องจนตาหลุดจากเบ้า พวกผมก็คงไม่รู้ว่าเป็นพี่เก้า

ผิวที่เคยขาวของพี่เก้า วันนี้ถูกพอกแป้งจนยิ่งขาวไปทั้งตัว โจงกระเบนสั้นสีทองความยาวแค่คืบถือเป็นเครื่องแต่งกายชิ้นเกือบใหญ่สุดในตัวของพี่เก้า เพราะชิ้นที่ถือว่าใหญ่สุดคือวิกผม หนาสีดำ หยักเป็นลอน ที่ยาวเต็มแผ่นหลัง

นอกนั้นเครื่องแต่งกายอื่นๆก็มีแค่สังวาลย์ และกำไลมือ กำไลเท้าเท่านั้น

พี่เก้านั่งในท่าที่เทพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ควรนั่งคือข้างหนึ่งพับสมาธิในขณะที่อีกข้างชันขึ้นรับศอกที่วางพักได้พอดิบพอดี

แขนของพี่เก้าตั้งวงรำ จะขยับซ้ายย้ายขวา เปลี่ยนท่าแต่ละทีก็ต้องอยู่ในท่าขยับจับวงรำ ดูน่าเมื่อยแขนแทน

ตาที่ทาขอบตาจนดำ ก็เมี่ยงมองไปทั่ว ไม่มีสะดุด เรียกว่ามองพวกผมแบบผ่านเลย แต่ผมว่าน่าจะไม่กล้ามองเสียมากกว่า

ปากพี่เก้าที่วันนี้แดงจัด ก็ยกยิ้มมุมปากสวยไม่มีกระตุก

“เพิ่งรู้ว่าพี่เก้ารำเป็นด้วย!”ผมพูดอย่างทึ่งๆกับพี่เหยาที่ยืนอยู่ข้างๆผม ในขณะที่คนอื่นเบียดฝูงคนเข้ามาดูพี่เก้าแบบชัดๆ แต่ผมรู้ปณิธานของทุกคนคือล่อหลอกพี่เก้าให้ฟอร์มหลุดให้ได้

“ก็ได้เท่าที่เห็นนั่นแหละ!”พี่เหยาตอบฟังน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก และผมคิดว่าตัวเองไม่ได้คิดไปเอง เพราะเมื่อผมละสายตาพี่เก้าที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่า ผมมองแบบไม่ละตานั้น พี่เหยาไม่ได้ยิ้มหรือหัวเราะแบบคนอื่นๆเลย

“ยิ้มอะไร?”พี่เหยาถามผม ที่ตอนนี้เลิกมองพี่เก้าแล้วแต่เปลี่ยนมามองหน้าพี่เหยาที่ดูแก้มจะเริ่มแดงขึ้นมาหน่อยๆ ผมเดาว่าพี่เหยาคงรู้ตัวว่าตัวเองพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก

“เปล่า!”ผมตอบ เอื้อมมือไปโอบเอวพี่เหยาไว้แบบไม่ทันคิด ต่อเมื่อคิดได้จึงขยับขึ้นไปกอดคอไว้แทน เพราะนั่นดูธรรมชาติกว่าสำหรับผู้ชายด้วยกัน

พี่เหยาไม่ได้ปฏิเสธวงแขนผม ตรงข้ามพี่เหยาขยับตัวเข้ามาใกล้จนผมกอดคอพี่เหยาได้ถนัดขึ้น

พี่เก้ายังยกยิ้มได้สวยไม่มีหลุด ในขณะที่พี่เก่งกับพี่นัทหยิบกล้องถ่ายรูปกันขึ้นมาคนละตัว รัวชัตเตอร์ไม่ยั้ง

“ไม่ยักรู้ว่าพี่นัทกับพี่เก้าเอากล้องมาด้วย!”ผมตั้งข้อสังเกตเพราะเพิ่งสังเกตเห็น และพี่เหยาก็แค่หัวเราะ

“มีฟิลม์หรือเปล่า?”ผมถามพี่เหยาอย่างสงสัย

“ไม่รู้สิ!”พี่เหยาตอบและหัวเราะอย่างเคย

“ถ่ายให้ผมรูปสิ!”ผมตะโกนบอกพี่นัท หลังจากดึงพี่เหยาให้ไปหยุดยืนคู่กับผมหน้าขบวนรถพี่เก้า และหน้ากล้องพี่นัท เพราะนึกได้ว่าผมไม่มีรูปถ่ายคู่กับพี่เหยาสักรูป

“เฮ้ย!หลบไป!เกะกะ!เปลืองฟิลม์!”พี่นัทพูดชัดถ้อยชัดคำ ก่อนเดินหามุมใหม่ให้ผมกับพี่เหยาหลุดจากมุมกล้อง ผมเลยต้องดึงพี่เหยาหลบออกมา

“นึกว่าจะได้รูปคู่กับพี่สักใบ...”ผมบ่น เอาแขนกลับไปวางไว้รอบคอพี่เหยาเหมือนเดิม

“ขอรูปในกระเป๋าตังค์พี่ให้ผมได้ไหม?”ผมถาม แต่พี่เหยาแค่ยิ้มตอบเหมือนเคย คงคิดว่าผมล้อเล่น แต่ผมชอบรูปใบนั้นจริงๆ รูปที่พี่เหยายืนตั้งท่าอุลตร้าแมนถ่ายรูป รูปพี่เหยายังดูมีความสุขกับวันเวลาของตัวเอง

“ผมพูดจริงๆนะ!”ผมย้ำ แล้วพี่เหยาก็ส่ายหัว

“มันเหลืออยู่แค่ใบเดียว รูปที่มีกันครบทุกคน...ตอนย้ายบ้าน มันหายไปทั้งอัลบั๊มเลย ไม่รู้หลงไปอยู่ไหน...”พี่เหยาบอก ตาจ้องอยู่ที่ขบวนรถของพี่เก้าที่เริ่มขยับเคลื่อน

เมื่อฟังพี่เหยาพูด ผมนึกเห็นภาพ...ไม่ใช่ภาพบ้านพี่เหยาที่ผมไม่เคยเห็น แต่เป็นบ้านของทอม ครั้งที่เปลี่ยนเจ้าของครั้งแล้วครั้งเล่า

...ทรัพย์สินของธนาคารหมายเลข....ผมจำป้ายสีเหลือง ตัวหนังสือสีแดงที่เคยถูกนำมาติดไว้เด่นชัดที่ประตูบ้านหลังข้างๆได้ดี

ตอนที่เห็นครั้งแรกผมเพิ่งอ่านหนังสือได้แค่แม่กา จึงอ่านข้อความในป้ายสีสวยแผ่นนั้นไม่ออก...แต่จำได้ว่า ผมไปตั้งคอยืนดู ตอนเขาเอามาติด นึกสงสัยที่แผ่นป้ายโฆษณาใบนี้ไม่มีรูปอะไรเลย ไม่เหมือนแผ่นภาพโฆษณาต่างๆที่ติดอยู่หน้าบ้านผม

ผ่านไปอีกหลายปี จนผมอ่านหนังสือได้ จึงได้สังเกตเห็นแผ่นป้ายแบบเดียวกันอีกครั้งแต่สถานที่อื่น ผมจำได้ทันทีว่าเป็นแบบเดียวกับที่เคยเห็นตอนเด็กๆ

...สมบัติผลัดกันชม...พ่อพูดอย่างนั้น เมื่อเห็นผมหยุดยืนอ่านแผ่นป้ายสีเหลืองอย่างตั้งใจ

จนวันนี้พี่เหยาพูด...ย้ายบ้าน...ผมนึกเห็นภาพแผ่นป้ายและอักษรตัวใหญ่...ทรัพย์สินของธนาคาร...ได้เจนตา และที่เจนหูคือคำพูดของพ่อ...สมบัติผลัดกันชม...

เพียงแต่...สมบัติ...ที่ว่าในตอนนี้ ผมกลับไม่ได้นึกถึงภาพบ้าน นึกเห็นก็แต่ภาพของพี่เหยา ทอม ผม และใครอีกหลายคนที่นึกเห็นแค่เงาร่างบางๆเท่านั้น

“เป็นอะไร?”เสียงพี่เหยาถาม

“เปล่า...”ผมตอบ ก้มมองดู...สมบัติที่ถูกเปลี่ยนมือกันชม

...เป็นอะไร?...คำถามเคยหูที่ได้ยินเสมอมาแต่เด็ก จนวันนี้วันที่ผมตัวสูงใหญ่กว่า วันที่ผมเปลี่ยนบทบาทตัวเองให้เป็นผู้คุกคามเสียเอง พี่เหยาก็ยังเอ่ยถามผมอย่างเป็นห่วง...เป็นอะไร...

ผมถามตัวเอง เคยถามพี่เหยาแบบนี้บ้างหรือเปล่า ผมตอบไม่ได้ เพราะนึกไม่ออก

...สมบัติผลัดกันชม...คำนี้ฟังดูเจ็บปวด โดยเฉพาะเมื่อสมบัติชิ้นนั้น มีชีวิตและจิตใจ...มีจิตใจที่คอยเป็นห่วงเป็นใยผม

“เฮ้ย เหยา!...กูกับไอ้เก่งจะเดินตามรถไอ้เก้า”พี่นัทเดินเข้ามาหา พยักเพยิดไปยังขบวนรถที่เคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ เป็นการบอกเล่าที่คล้ายจะถาม...จะไปด้วยกันหรือเปล่า?... แต่ผมทำไม่รู้ไม่ชี้ กอดคอพี่เหยาไว้เฉย ทั้งที่ใจหนึ่งผมอยากดึงแขนตัวเองลง เพราะด้วยอายุที่น้อยกว่าแล้ว ผมไม่เคยทำกับพี่เหยาอย่างนี้ หากไม่ได้อยู่กันตามลำพังสองคน

“อ้าว พี่ไม่รอใส่บาตรรกับพวกผมเหรอ?”ไอ้วิทย์ถาม กระชับเป้บนหลังที่ใส่เสบียงมาเต็ม

“กูนึกว่ามึงพูดเล่น...วันนี้พระที่ไหนจะตื่นมาให้มึงใส่บาตร!”พี่นัทพูด หลังจากจ้องหน้าไอ้วิทย์อยู่เป็นนาน

และพูดเท่านั้น เราก็นึกได้ว่า ตักบาตรคืนวันพุธคือหลังเที่ยงคืนวันอังคาร ไม่ใช่คืนวันพุธ...ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ แต่พอไอ้วิทย์พูด เราก็พลอยหลงวันไปกับมัน

“พี่รู้แล้วทำไมไม่บอก?”มันหันไปถามพี่เหยาที่ยืนหัวเราะมองเสบียงเต็มหลังของมัน

“พี่เขาจะรู้ได้ไง เขาไม่รู้จักด้วยซ้ำ”แต่เป็นผมที่แก้ตัวแทน

“เอาไงจะไปด้วยกันหรือเปล่า?”

“คนเยอะ ขี้เกียจเดิน”พี่เหยาปฏิเสธ

“เออ งั๊นไว้คุยกันอีกที...เจอกัน!”พี่นัทพูด ยกมือให้พวกผมแล้วเดินจากไปพร้อมพี่เก่ง

“เสบียงมึงกินได้ไหมวะ?”ไอ้รงค์ถาม พลางถือวิสาสะดึงกระเป๋าจากหลังไอ้วิทย์มาเปิดดู

“ปลากระป๋อง มาม่า...เหี้ย!แดกไม่ได้สักอย่าง”มันพูดโยนกระเป๋าคืนไอ้วิทย์

“กูเอามาใส่บาตรพระ ไม่ได้เอามาใส่บาตรรมึง...หนักชิบ รู้แล้วก็ไม่บอกกูกัน!”ไอ้วิทย์บ่น

“ไปปล่อยโคมกัน เดี๋ยวกูจะไปส่งแฟนกูกลับหอแล้ว”ไอ้รงค์ออกปากชวนหลังยกนาฬิกาขึ้นมาดู

“พี่อยากดูต่อหรือเปล่า?”ผมหันไปถามพี่เหยา เพราะขบวนแห่ยังไม่จบ แต่พี่เหยาส่ายหน้า คงรู้สึกเหมือนกันคือ พอขบวนของพี่เก้าผ่านไปแล้ว ความสนุกมันก็ลดลงเพราะไม่เหลืออะไรให้ลุ้น ให้รอดูแล้ว ถึงจะยังเหลือขบวนเด่นๆอีกสองสามขบวนที่ยังมาไม่ถึงก็เถอะ

“ไปวัดชัยกัน”ไอ้ชัยเสนอความคิด แต่จริงๆก็ไม่เรียกว่าการเสนอเท่าไหร่ เพราะพวกผมไปปล่อยโคมที่วัดชัยมงคลกันทุกทีหลังจากเบื่อการนั่งดูขบวนแล้ว

ที่วัดชัยมงคล อีกจุดหนึ่งในหลายๆจุดที่ทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นนิยมมาลอยกระทงและปล่อยโคมลอย มันพิเศษกว่าที่อื่นตรงที่ นอกจากจะมีกระทงและโคมให้ลอยแล้ว ยังมีนก มีปลา มีหอย หรือเต่าให้ลอยอีกต่างหาก แต่พวกผมไม่เคยซื้อมันไปลอย เพราะใจลึกๆมันรู้สึกว่าผิดเทศกาลไปหน่อย ถึงการทำบุญปล่อยนกไม่ปลาไม่ต้องมีเทศกาลก็เถอะ

“ทำการค้าต้องหมั่นปล่อยปลาไหลกับหอย”พี่เหยาพูดขึ้นเมื่อไปยืนก้มๆเงยๆดูสารพัดสัตว์ในกะละมังที่แม่ค้าตั้งเรียงรายอยู่ริมทางลงน้ำปิง

“ปลาไหลถังละห้าสิบ หอยยี่สิบ”แม่ค้าแจงราคา ยิ้มร่า และพี่เหยาก็แค่ยิ้มตอบก่อนเดินถอยออกมา

“แต่พี่ว่าทำการค้าต้องเริ่มจากประเมินราคาก่อนดีกว่า”พี่เหยาบอกผมเมื่อเดินห่างออกมาแล้ว

ไอ้วิทย์ซื้อโคมใบใหญ่มายืนรออยู่แล้ว

โคมลอยในวันนั้นเป็นโคมแบบล้านนาแท้ๆ ไม่ใช่โคมลอยที่นำเข้าจากจีนแดงที่เห็นกลาดเกลื่อนอย่างในวันนี้ และขนาดมันใหญ่พอสำหรับเราหกคนยืนเรียงรายอยู่รอบมัน

“ไอ้วิทย์ส่งไฟแช็คให้พี่เหยาเป็นคนจุดไฟ แต่พี่เหยาส่ายหัว ผมเลยเป็นคนรับมาจุดเอง

“ปัง!”ไอ้วิทย์ตะโกนเสียงดังแบบไม่อายฟ้าอายดิน หรืออายใครแถวๆนั้นเมื่อผมยื่นมือไปจุดไฟยังก้อนเชื้อเพลิงหรือก็คือขี้เลื่อยที่อัดเป็นก้อนกลมๆรูปร่างคล้ายโดนัทและมีเชือกสามเส้นโยงจากโคมแต่ละด้าน

เราตกใจกับการเล่นแผลงๆของมัน แต่ไม่มีใครปล่อยมือจากโคม ยกเว้นพี่เหยาที่กระโดดถอยหลังไปสามถึงสี่ก้าว เรียกว่าถ้าโคมมันระเบิดขึ้นมาได้จริงๆ คงมีแค่พี่เหยาเท่านั้นที่รอด

“จุดไฟอัดควันเฉยๆ...เป็นเชื้อเพลิงเท่านั้น”ผมหันไปอธิบายกับพี่เหยา พลางหยิบก้อนขี้เลื่อยรูปโดนัทโชว์ให้พี่เหยาดู พี่เหยาเลยเดินกลับเข้ามาช่วยถือโคมอย่างเดิม

พอผมจุดไฟเสร็จ เราก็นั่งลง

คนที่เคยปล่อยโคมย่อมรู้ว่า เมื่อจุดไฟแล้ว เราจะกดปากโคมลงให้ติดกับพื้น โดยมีใครคนหนึ่งทำหน้าที่จับยอดโคมไว้ไม่ให้หล่นพับลงมาโดนไฟ ต่อเมื่อควันมากพอจนไม่ต้องจับยอดโคม เราจึงค่อยลุกขึ้น...แต่พี่เหยาไม่เคยปล่อยโคม ดังนั้นเมื่อไอ้ชัยจับยอดโคมขึ้น และพวกเรานั่งลงโดยไม่ต้องรอให้ใครบอก พี่เหยาจึงยังยืนเฉย ผลคือขี้เลื่อยรูปทรงโดนัทที่เคยห้อยอยู่ตรงกลางและตอนนี้มีเปลวไปลุกโชนอยู่ เหวี่ยงตัวไปด้านตรงข้ามเพื่อกลับไปทำมุมฉากกลับพื้นเหมือนเดิม จึงเหวี่ยงไปตำแหน่งใบหน้าไอ้วิทย์ ที่เตรียมนั่งลงและอยู่ตรงข้ามพี่เหยาพอดี

“แก้แค้นเหรอพี่?”มันโวย เมื่อต้องถอยหลังหลบทั้งๆที่กำลังจะนั่งลง ผลคือมันหงายลงไปนอนกับพื้นไม่เป็นท่า

“ก็ไม่บอก!”พี่เหยาบ่นพึมพำ ก่อนนั่งลงอย่างคนอื่นๆ

เมื่อควันมากพอ ไอ้ชัยก็ปล่อยมือจากยอดโคม

“ยืน... พี่ ยืน”ไอ้วิทย์กำกับ บอกพี่เหยาให้ยืนขึ้น

“ปล่อยได้ยัง?”พี่เหยาถามหลังจากยืนขึ้นแล้ว แต่ก็ปล่อยมือจากโคมก่อนจะได้คำตอบ

“ยัง...”ไอ้วิทย์ตอบ พี่เหยาเลยเอื้อมมือมาจับโคมไว้อย่างเดิม แต่ไม่วายสงสัย

“เต็มแล้วนี่!”



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 31-03-2008 22:20:00
“ต้องมากกว่านี้ ไม่งั๊นพอเจอลมข้างบน แล้วขึ้นไม่ไหวตกลงมา”ผมอธิบาย และอธิบายต่อ เมื่อหน้าพี่เหยายังสงสัยไม่เลิก

“ถ้าอัดควันเต็ม มันจะมีแรงพยุงลอยขึ้นไปได้สูงเหนือลม พอไฟดับ มันก็ตกลงมา แต่ถ้าอัดควันไม่มากพอ เจอลมแรงๆข้างบน มันก็โดนพัดตกลงมา ไฟยังไม่ทันดับจะไปไหม้บ้านเค้าเอา”

“ใช่...เคราะห์หล่นใส่ของจริง แต่ไม่เหลือบ้านให้ทำบุญ!”ไอ้วิทย์พูดด้วยเสียงแค้นๆ อย่างกับพี่เหยาเป็นคนปล่อยโคมที่ไปตกเผาบ้านคนอื่น และอย่างกับบ้านมันเคยเจอประสบการณ์อย่างนั้นมาแล้ว แต่ความเป็นจริงคือไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เพียงแต่ผมได้ยินมันด่าลมด่าแล้งหรือจริงๆก็คือคนที่ปล่อยโคมลอยซึ่งเราก็ไม่มีวันรู้ว่าใคร ทุกครั้งที่รู้ข่าวว่าโคมหล่นใส่และเผาบ้านคน

“คนเชียงใหม่ถือว่า ปล่อยโคมคือปล่อยเคราะห์ ทีนี้พอโคมไปหล่นที่บ้านใคร...ผมหมายถึงหล่นเมื่อสมควรหล่นน่ะนะ...เจ้าของบ้านก็ต้องทำบุญล้างเคราะห์”ผมอธิบายต่อ ไม่สนใจไอ้วิทย์

“งั๊น จะปล่อยเคราะห์ให้คนอื่นทำไม...ดีตรงไหน?”พี่เหยายังไม่เลิกสงสัย

“ตอนอธิษฐาน พี่ก็อธิฐาน ให้โคมของเราไปตกที่โล่งๆ ไม่ตรงบ้านใครสิ”ไอ้วิทย์แนะ ผมยิ้มก่อนหลับตาลง

ผมรู้ตอนนี้ทุกคนคงทำเหมือนผม คือหลับตาลงอธิษฐาน ก่อนที่จะปล่อยโคมขึ้นฟ้า ยกเว้นพี่เหยาที่ใช้เท้าสะกิดผม

“อะไร?”ผมลืมตาขึ้นถาม มองดูเท้าพี่เหยาที่ยังเหยียบอยู่บนเท้าผม

“ก็อะไรล่ะ?”พี่เหยาย้อนถาม พลางส่งสายตาชำเลืองไปยังแฟนไอ้รงค์ที่ยืนหลับตาอยู่ข้างๆ พี่เหยามองเห็นแค่ผมและแฟนไอ้รงค์ที่ยืนขนาบข้างอยู่ จึงไม่เห็นคนอื่นๆว่าก็คงยืนหลับตาอยู่เหมือนกัน

“อธิษฐานไง!...จะปล่อยโคมแล้ว...”ผมบอก มองดูพี่เหยาที่พยักหน้ารับก่อนหลับตาลงบ้าง

ผมหลับตาลงอีกครั้ง แต่ไม่มีสมาธิที่จะอธิษฐานอะไรแล้ว นึกสงสัย...พี่เหยาอยู่เชียงใหม่มาร่วมแปดปี แต่ไม่เคยปล่อยโคม ไม่เคยมาดูขบวนแห่...ผมนึกถึงตอนเด็กๆที่นึกอิจฉาพี่เหยาที่ได้ออกไปเที่ยวกับทอมบ่อยๆ แม้รู้มานานแล้วว่าการไปเที่ยวนั้นคงไม่สนุกนักสำหรับพี่เหยา แต่เป็นครั้งแรกที่ได้คิดว่า พี่เหยาคงรู้จักเชียงใหม่น้อยกว่าที่ผมคิดและน้อยกว่าที่ควรจะเป็น...ผมนึกเกลียดทอม

คราวนี้ผมต้องเป็นคนสะกิดพี่เหยา เพราะไอ้วิทย์ที่เป็นคนก้มลงไปจะจุดประทัดที่ห้อยต่องแต่งอยู่ใต้โคมเพิ่งเห็นว่าพี่เหยายังยืนหลับตานิ่งแบบไม่สนใจโลก

“ปล่อยโคมอันเดียว ขอคุ้มเลยเหรอพี่?”ไอ้วิทย์แซว ยังนั่งยองๆมองหน้าพี่เหยาจากใต้โคม

“ยังไม่ทันขออะไรสักอย่าง!”พี่เหยาแย้ง

“อ้าว!”พวกเราร้องออกมาพร้อมๆกัน เพราะเห็นพี่เหยายืนหลับตาอยู่เป็นนานสองนาน

“เพิ่งบอกชื่อเสร็จ!”พี่เหยาเฉลยแบบเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่พวกเราทำหน้าเอ๋อในสิ่งที่ได้ยิน

“ก็...จะอธิษฐานอะไร ก็ต้องบอกชื่อ บอกสกุลตัวเองก่อนสิ ไม่งั๊นเขาจะทำให้ถูกคนเหรอ”พี่เหยาอธิบายเพิ่มเติม เมื่อเห็นเรางง

“วันหลังยื่นนามบัตรเลยไหมพี่ สะดวกดีพร้อมแผนที่ ท่านจะได้ไม่หลง”ไอ้วิทย์ยังไม่เลิกแซว

“ถึงว่าผมขออะไร ไม่เคยได้เลย”แต่ไอ้รงค์กลับเห็นดีด้วย ส่วนผมฟังแล้วรู้สึกงงๆ ไม่ใช่งงในสิ่งที่พี่เหยาพูด แต่กลับงงในสิ่งที่ไอ้วิทย์พูด เพราะเวลาไหว้พระ ผมรู้ว่าตัวเองขอพรจากพระท่าน แต่ตอนยืนหลับตาอธิษฐานก่อนปล่อยโคม ผมไม่รู้ว่าตัวเองขอพรจากใคร แน่นอนว่าคงไม่ใช่พระแม่คงคา เพราะนั่นเราขอตอนลอยกระทง

...หรือจะมีแค่ผม ที่ไม่รู้ว่าเวลาปล่อยโคมเราขอพรจากใคร?...ผมนึกสงสัย หลังจากมีชีวิตผ่านมาตั้งเกือบสิบแปดปี

“ท่านไหนวะ?”ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจถามไอ้วิทย์

“กูจะรู้ไหมล่ะ!”แต่มันตอบแบบนั้น แล้วยังโยนไปที่พี่เหยา

“ถามพี่เหยาสิ! เห็นคุยกับท่านนาน ถึงขั้นแนะนำเนื้อ แนะนำตัว”ไอ้วิทย์พูดไปหัวเราะไป

“เอ้า!ให้พี่เป็นคนจุดประทัด เพราะคุ้นเคยกับท่านที่สุด”มันพูดส่งไฟแช็คให้พี่เหยา แต่พี่เหยาไม่ยอมรับ ผมเลยรับมาเองอีกครั้ง

“เฮ้ย ไอ้เอกระวังนะโว๊ย...ทำไมอันนี้ชนวนมันสั้นวะ ดึงมือออกไม่ทัน ไม่มีมือกลับบ้าน กูไม่ช่วยหานะโว๊ย”ไอ้วิทย์ขู่ด้วยทีท่าน่าเตะ แต่ผมรู้มันไม่ได้ขู่ผม แต่ตั้งใจขู่พี่เหยา ที่พอได้ยินก็ถอนมือออก เหลือแค่เอาปลายนิ้มแตะๆไว้ ไม่ให้ใครเห็น

ผมไม่สนใจฟังมัน หันไปจุดไฟที่ชนวนประทัด รอจนเกิดประกายไฟลั่นเปรี๊ยะที่ปลายชนวนจึงดึงมือออก

ไม่มีใครรู้ว่าไอ้วิทย์จะเล่นอะไรแผลงๆ มันเป่าประทัดที่ห้อยเป็นสายยาวไปทางพี่เหยา พี่เหยาตกใจกระโดดหลบ แต่คราวนี้ไม่ยอมไปแต่ตัว ดึงผมติดมือไปด้วย กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ได้ยินเสียงพวกมันโวยวาย โคมที่อัดควันจนแน่น อันเลยเวลาสมควรปล่อยไปนานโขนั้น เอียงกระเท่ก่อนดีดตัวพุ่งขึ้นข้างบน แบบหมุนติ้ว เที่ยวชนโคมของคนอื่นสะเปะสะปะ...แฟนของไอ้รงค์ที่แม้จะเทียบกับผู้หญิงด้วยกันก็ยังถือว่าไซส์มินินั้น เซไปข้างหลังชนเข้ากับนักท่องเที่ยวสาวชาวญี่ปุ่นสองคนที่ไซส์พอกัน มีผลให้โคมลอยที่รออัดควันอยู่ในมือหล่อนทั้งสองหลุดจากมือและลอยขึ้นไปแบบไม่น่าจะมีชีวิตรอดอยู่ได้นานนัก...ไอ้วิทย์ ไอ้รงค์ กับ ไอ้ชัยได้ช่วยกันกระโดดคว้ามันกลับลงมาคืนให้เจ้าของที่ตบมือเชียร์อย่างเห็นเป็นสนุก แล้วระหว่างที่มันไล่คว้าโคม ชาวบ้านชาวช่องที่ยืนรออัดควันโคมอยู่รอบๆ ก็ต้องพากันเดินหลบพวกมันทั้งที่ถือโคมใบใหญ่อยู่ในมือ

มันเป็นการปล่อยโคมที่ทุลักทุเลที่สุดตั้งแต่ผมเคยปล่อยมา

“ของเราอันไหนพี่?”ไอ้วิทย์ถามพี่เหยา เมื่อเดินกลับเข้ามาหาเรา

เพราะผมมัวยืนดูภาพที่เกิดอยู่ข้างหน้า จึงเพิ่งสังเกตว่าตลอดเวลาพี่เหยาแหงนหน้ามองดูโคมที่ลอยขึ้นไปอย่างไม่น่าดูนั้นแบบไม่ยอมละสายตา

“อันนั้น”พี่เหยาชี้ แต่เราหาไม่เจอ เพราะโคมเป็นร้อยเป็นพันลอยเกลื่อนอยู่เต็มฟ้า

“หมดกันเลย...กูขอเอท่าน แล้วท่านจะงงไหมเนี่ย หมุนซะติ้ว ไม่ใช่โยนเอฟให้กูนะ!”ไอ้รงค์ยืนท้าวเอว มองโคมบนฟ้า ที่ดูไม่ออกว่าอันไหนของเรา

“กูขอท่านให้ได้เป็นแฟนกับผู้หญิงคนนั้น อดแหง”ไอ้ชัยเอาบ้าง และผู้หญิงที่มันว่า คือผู้หญิงที่เราเดินสวนที่หน้าวัด มันเห็นหล่อน แต่หล่อนไม่เห็นมัน แล้วก็เห็นในระยะหนึ่งร้อยเมตร ในเวลาแค่เสี้ยววินาที

“เราก็ขอท่านว่าให้เรากับรงค์คบกันนานๆ หมุนติ้วแบบนั้น เราต้องเลิกกันแน่เลยรงค์!”แฟนไอ้รงค์เอาบ้าง ไอ้รงค์เลยหันไปโวยกับไอ้วิทย์

“ไอ้วิทย์ มึงต้องรับผิดชอบ!”

“เออ เดี๋ยวกูหาแฟนใหม่ให้ คนนั้นเป็นไง...หรือคนนั้น?”ไอ้วิทย์ว่า ก่อนกอดคอไอ้รงค์ ชี้มือชี้ไม้ไปทางไหนก็ไม่รู้

“คนโน้นได้เปล่าที่ยืนอยู่ตีนกะได”ไอ้รงค์ชี้ไปอีกทาง

“คนนี้แหละ!”แฟนไอ้รงค์พูด ก่อนไปยืนท้าวสะเอวดักอยู่ข้างหน้าพวกมัน

ตลอดเวลาพี่เหยาไม่สนใจอะไร ทำเพียงแหงนหน้ามองดูโคมที่คงลอยสูงขึ้นๆ ตาไม่กระพริบ ราวกับว่าจะดูมันจนหายไปกับตา และไม่มีใครเร่งเร้าพี่เหยา พอพวกมันแหย่กันเสร็จก็กลับมายืนรออยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ

ไอ้รงค์พาแฟนมันเดินไปทางอื่น ส่วนพวกผมก็ได้แต่ยืนรอเงียบๆ

ผมไม่เคยรู้ว่า ในเวลานั้น เวลาที่โคมลอยสูงขึ้นไปรอเวลาลับสายตา พี่เหยาคิดและรู้สึกอย่างไร

แต่สำหรับผม...มันคงคล้ายความหวัง ที่ลอยหลุดมือไป นึกหดหู่จนอยากดึงมันกลับลงมาให้พี่เหยาอีกครั้ง

และผมว่าไอ้วิทย์และไอ้ชัยคงนึกรู้สึกแบบเดียวกัน...เราสบตากันเงียบๆ เมื่อเห็นพี่เหยาหรี่ตา และเม้มปากสนิท...เรารู้โคมกำลังหายไปจากสายตาพี่เหยา...ความหวังกำลังหายไปเช่นกัน...

“เมื่อย!”พี่เหยาว่าอย่างนั้นพลางหมุนคอไปมา เมื่อเลิกแหงนหน้ามองดูโคม ผมเลยเอื้อมมือไปช่วยบีบให้เบาๆ

หลังจากนั้น ไอ้รงค์ก็แยกตัวไปส่งแฟนมันกลับหอ ส่วนพวกผมเลือกไปเตร่กันต่อแถวสะพานนวรัฐ

พี่เหยายอมไปด้วยแต่โดยดี ไม่คิดค้านเพราะไม่รู้ว่าตรงนั้นเป็นจุดที่คนมารวมตัวกัน เพื่อเดินไปเดินมาพร้อมประทัดในมือ

พี่เหยาหยุดเท้าดังกึกเมื่อเดินมาถึงตีนสะพาน

ตลอดความยาวของสะพานที่มองเห็น มีแต่กลุ่มควันฟุ้งตลบ เสียงประทัดดังอยู่ไม่ขาดหู เช่นเดียวกับประกายไฟสารพัดสี ที่ทำให้บนสะพานดูสว่างขึ้นเป็นระยะๆ

ทุกปีพวกผมจะย้อนกลับมาเดินเตร่เล่นประทัดบนสะพาน ความสนุกของมันคือการโยนประทัดลงบนพื้นเฉียดใกล้คนที่เดินผ่านไปมา ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงแล้วด้วย ถ้าร้องวี๊ดว๊ายดังเท่าไหร่ เราก็ยิ่งสนุกเท่านั้น ยิ่งผู้หญิงกลุ่มไหนสวยๆ ก็อาจทำให้เกิดความร่วมไม้ร่วมมือระหว่างกลุ่มคนเล่น ที่หันมาช่วยกันโดยไม่ต้องร้องขอ...ไม่มีการโกรธกัน เพราะพวกหล่อนรู้พอๆกับที่พวกผมรู้ว่า ประทัดที่โยนใส่กันนั้น ไม่อันตรายนัก ส่วนใหญ่ก็แค่เสียงดังให้ตกใจ และยิ่งกว่านั้น เราก็โยนใส่กันในระยะที่มั่นใจว่าสะเก็ดมันจะไม่กระเด็นไปโดน แต่ก็มีบ้างที่วิ่งหลบประทัดกันผิดทาง แทนที่จะวิ่งหนี กลับวิ่งเข้าหาประทัด และใช่ว่าจะมีแค่ผู้หญิงที่เป็นฝ่ายถูกจู่โจม ตรงข้ามผู้ชายอย่างพวกผม ก็ต้องคอยหลบประทัดทั้งจากมือสาวๆ และจากมือผู้ชายด้วยกันเอง ซ้ำอันตรายกว่า เพราะประทัดจากมือผู้หญิงมักมาแบบให้เรารู้ตัว แต่ถ้าจากมือผู้ชายด้วยกัน มักแอบโยนเวลาเราเผลอ แต่ก็เช่นเคยคือต่างรู้ว่าเป็นการล้อกันเล่นเท่านั้น

และวันนี้ยิ่งสนุก เพราะเราลากพี่เหยาที่ไม่ชอบประทัดมาด้วย

ไอ้วิทย์พยายามยัดประทัดที่มันพกใส่เป้หลังมาใส่มือพี่เหยา แต่ไม่สำเร็จ

ผมไม่รู้ว่าพวกมันรู้หรือเปล่าว่าพี่เหยาเกลียดประทัด...ซึ่งจริงๆผมว่าน่าจะเรียกว่ากลัวมากกว่า แต่พี่เหยาไม่ยอมรับ ผมก็ค้านจะเถียง เพราะรู้ว่า เรื่องบางเรื่องเถียงไป ผมก็ไม่ชนะ

พี่เหยาเกลียดประทัด เพราะเคยโดนประทัดสีแดงแบบที่คนจีนใช้จุดวันตรุษจีนแตกใส่มือตอนเด็กๆ และยังเหลือรอยแผลเป็นเล็กๆมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งหากไม่สังเกตก็มองไม่เห็น และผมภูมิใจเพราะมองเห็น โดยพี่เหยาไม่ต้องบอก

‘ทอมรู้หรือเปล่า?’ตอนสังเกตเห็นมันและถามถึงที่มา ผมอดปากถามถึงทอมไม่ได้

‘รู้...ทอมอยู่ด้วย พ่อดุพี่ แต่ทอมไม่ดุ’พี่เหยาเล่า...ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตพี่เหยา จะมีทอมเป็นส่วนหนึ่งด้วยเสมอ

ผมนึกถึงตอนเป็นเด็ก สมัยที่ยังต้องนั่งแก่ว เล่นประทัดคนเดียวอยู่หน้าบ้าน เพราะเป็นลูกคนเดียว และก็ไม่มีเด็กอายุใกล้เคียงกันอยู่ละแวกบ้านเลย จนเมื่อพี่เหยามาผมจึงร้องขอให้พี่เหยาเล่นเป็นเพื่อน และพี่เหยาก็ไม่เคยขัด เพียงแต่พี่เหยาจะทำเพียงนั่งดูเฉยๆ แต่เพียงเท่านั้น ผมก็รู้สึกสนุกกว่าการนั่งเล่นอยู่คนเดียวแบบทุกปีๆ



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 31-03-2008 22:22:59
ผมคิดไปพลาง มองดูไอ้วิทย์ที่ยังพยายามไม่เลิกที่จะยัดประทัดใส่มือพี่เหยา...ผมนึกสงสัยใครจะชนะ

สุดท้ายไอ้วิทย์ชนะ ไม่ใช่ว่าพี่เหยายอมรับประทัดจากมัน แต่ว่ามันเปลี่ยนใจจุดประทัดโยนใส่พี่เหยาแทน

แล้วพี่เหยาก็เปลี่ยนฝ่ายมากำชัยในเวลาอันรวดเร็ว...พี่เหยาไม่ได้กระโดดหนีประทัดที่ไอ้วิทย์โยนใส่แบบที่ผมคิดไว้ ตรงข้ามกลับใช้เท้าตบประทัดจนดับ

“โหพี่ ลูกละตั้ง 5 บาท!”ไอ้วิทย์โวย วิ่งเข้าไปดูศพประทัดที่ตายสนิทอยู่บนพื้นถนน

คราวนี้กลายเป็นฝ่ายพี่เหยาที่สนุก เพราะไม่ว่าไอ้วิทย์กับไอ้ชัยจะโยนประทัดลงตรงไหน พี่เหยาเป็นต้องวิ่งตามเข้าไปที่ตรงนั้น

“สิบบาท!”พี่เหยาคิดตัวเลขให้เสร็จ ตอนประทัดลูกที่สองตายสนิทคาเท้า

“สิบห้าบาท!”

“ลูกนั้นสิบบาท”ไอ้วิทย์แย้ง มองดูซากประทัดลูกที่สาม

“งั๊นก็ยี่สิบบาท!”พี่เหยาคิดให้ใหม่

“ระวังดอกไม้ไฟ!”เสียงร้องจากด้านหลังเรียกให้ผมหันไปดูแบบไม่ได้ตั้งใจ

...ดอกไม้ไฟ...คำนี้ไม่แปลกหู เพียงแต่ไม่คุ้นหูเท่านั้นเพราะไม่บ่อยนักที่ใครจะเรียกเสียเต็มยศขนาดนั้น

ผมหันไปดู แต่ไม่ได้สนใจดอกไม้ไฟหรือประทัดที่กำลังแตกอยู่ข้างเท้าผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้สนใจผู้ชายคนที่ร้องเตือนด้วย

แต่คำว่าดอกไม้ไฟ ทำให้ผมคิดอะไรขึ้นมาได้...ไม่บ่อยนักที่ผมจะคิดอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้...อาจเพราะความสุขที่เห็นพี่เหยาหัวเราะอยู่ตรงหน้ากระมัง...ผมคิดอย่างนั้น

“ดอกไม้อะไร แตกเป็นไฟ?”ผมเดินเข้าไปแอบกระซิบถามพี่เหยาที่กำลังปลิดชีวิตประทัดลูกที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้

“ห้าสิบบาท!...ดอกไม้ไฟ!”พี่เหยาขานตัวเลข ก่อนหันมาตอบผมด้วยสายตาดูแคลนในความง่ายของคำถาม และวิ่งไปเหยียบประทัดที่ไอ้ชัยหวังใช้ทีเผลอของพี่เหยาโยนลงพื้น...มันตายสนิทอีกเช่นกัน

“แล้ว ดอกไม้อะไร ที่ไม่แตกเป็นไฟ?”ผมเดินตามไปกระซิบถามอีก

“ดอกไม้...”พี่เหยาไม่ได้ตอบ แต่ทวนคำถามผมด้วยท่าทางครุ่นคิด และผมไม่รอให้พี่เหยาพูดจบ

“ใช่ดอกไม้!”ผมชิงพูดและได้ผล พี่เหยาหันมามองผม ปล่อยให้ประทัดอีกลูกที่ไอ้วิทย์โยนรอดชีวิตอวดสี อวดเสียงของมัน

ผมไม่รอช้า ยัดประทัดลูกเล็กๆ ขนาดเท่าเหรียญบาทใส่มือพี่เหยา

ผมอยากย้ำอีกครั้งว่า..ดอกไม้ไง...เมื่อพี่เหยาแบมือดูประทัดในมืออย่างงงๆ แต่ก็นึกอายเกินกว่าจะพูดอีกครั้งอย่างที่ใจอยาก

แล้วผมก็รู้ว่า พี่เหยาเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด...เพราะแก้มขาวๆของพี่เหยา ตอนนี้มันเริ่มแดงขึ้นมานิดๆ

...ดอกไม้...ผมเคยให้ดอกไม้แฟนผมทั้งสามคนเหมือนกัน...

แฟนคนแรก...เราคบกันช่วงรับน้อง ผมถอดพวงมาลัยดอกมะลิที่คอส่งให้หล่อน ด้วยเหตุผลเพียงว่าขี้เกียจเอากลับบ้าน หล่อนยิ้มแก้มแดงดีใจ...ผมก็ดีใจที่หล่อนดีใจ เพียงแต่เป็นความดีใจปนขำๆ

แฟนคนที่สอง ก็ยังไม่พ้นช่วงเป็นเฟรชชี่อยู่ดี...รุ่นพี่พาเดินขึ้นดอยไปไหว้ครูบาศรีวิชัยที่ตีนดอยสุเทพ ผมขันอาสาไปซื้อดอกไม้ ธูปเทียน มาแจก ตอนส่งให้หล่อน เพื่อนๆก็แซวกัน หล่อนยิ้มแก้มแดงดีใจ...ผมก็ดีใจที่หล่อนดีใจ แต่คราวนี้เป็นความดีใจแบบงงๆ เพราะดอกที่ผมส่งให้น่ะ มันดอกบัว แล้วก็ให้หล่อนไปไหว้พระด้วย ซ้ำค่าดอกไม้ธูปเทียน รุ่นพี่ก็เป็นคนออกอีกต่างหาก

แฟนคนที่สาม...ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดอกที่ส่งให้หล่อนคือดอกอะไร...ไอ้ชัยโยนส่งให้ผม ผมก็ส่งต่อให้หล่อนเพราะผู้ชายถือดอกไม้มันไม่งามนัก เพื่อนๆแซวอีกตามเคย และหล่อนก็ยิ้มแก้มแดงดีใจอีกเช่นเคย ผมดีใจแต่คราวนี้มาพร้อมความรู้สึกผิด เพราะเมื่อหล่อนยิ้มดีใจ ผมก็ตัดสินใจว่าจะเลิกกับหล่อนดีกว่า...เพราะผมต้องยอมรับกับตัวเองว่า ไม่ว่ากับแฟนคนไหน เวลาที่พวกหล่อนยิ้ม หัวเราะ หรืออายจนหน้าแดง ผมดีใจ แต่ภาพที่ผุดขึ้นในหัวทุกครั้งเช่นกัน...คือแก้มแดงๆของพี่เหยา...พวกหล่อนขาวเหมือนพี่เหยา...นั่นคือเหตุผลข้อแรกที่ผมเลือกพวกหล่อนเป็นแฟน และข้อที่สอง...เพราะผมยังไม่เชี่ยวสนามพอที่จะหาแฟนผู้ชาย...ผมจึงตัดสินใจเลิก

แต่วันนี้กลับแตกต่าง...

ดอกไม้ที่ ถ้าไม่จุดไฟก็ไม่มีวันสวย กลับดูมีความหมายขึ้นมา และแก้มแดงๆของพี่เหยาก็ทำให้ผมดีใจโดยไม่มีความรู้สึกอื่นๆเข้ามาเจือปนแม้แต่น้อย...หรือหากจะมี ก็มีเพียงความรู้สึกเสียดาย...

แม้ว่าเมื่อผมเดินเข้าไปถามพี่เหยา ผมไม่ได้คิดอะไรจริงจัง มากไปกว่าการคิดจะเย้าเล่น...แต่แก้มแดงๆของพี่เหยามันทำให้ผมนึกเสียดาย ที่ดอกไม้ดอกนั้น ไม่ใช่ของจริง...ไม่ใช่ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมอย่างที่เคยส่งให้ คนที่ผมคิดใช้เป็นตัวแทนของพี่เหยา

ยิ่งเมื่อไอ้วิทย์เอื้อมมือมาจะคว้า แต่พี่เหยาดึงมือหลบ...ไอ้วิทย์ก็ไม่ได้สนใจจะตามเอา จึงไม่ทันเห็นพี่เหยาหย่อนดอกไม้ดอกนั้นลงในกระเป๋าเสื้อกันหนาว ก่อนวิ่งตามไล่ล่าชีวิตของเหล่าประทัดจากมือไอ้วิทย์และไอ้ชัยอีกครั้ง

ผมเริ่มนึกเสียใจ เมื่อเห็นพี่เหยาหย่อนมันลงในกระเป๋าเสื้อ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ควรเก็บไว้ใกล้ตัวขนาดนั้น ข่าวประทัดระเบิดบ้าง ทำให้คนบาดเจ็บบ้าง มีให้เห็นบ่อย จากวินาทีนั้น ผมจึงหมกมุ่นอยู่เพียงเอา...ดอกไม้...ดอกนั้นกลับคืนมาให้ได้

การขอคืนคงไม่ยากนัก หากแต่แก้มแดงๆของพี่เหยาทำให้ผมไม่กล้าออกปาก และมันยิ่งยากขึ้น เมื่อผมสังเกตเห็นว่า พี่เหยาเอามือสอดไว้ในกระเป๋าเสื้อกันหนาวตลอด และพี่เหยาก็พลาดเป้า ปล่อยให้ประทัดของไอ้วิทย์และไอ้ชัยลอยนวลบ่อยครั้งขึ้นด้วยเช่นกัน

นานกว่าประทัดที่ไอ้วิทย์ขนมาจะหมด

ผมมองดูศพประทัดที่เกิดมาอย่างเสียชาติเกิด เพราะไม่มีโอกาสได้อวด แสง อวดเสียงอย่างที่ควร และนึกถึง... ดอกไม้...ที่ยังอยู่ในกระเป๋าเสื้อพี่เหยา

“ยังไม่อยากกลับเลย ไปไหนดี?”ไอ้ชัยพูด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอีก เพราะไม่มีปีไหน ที่พวกผมยอมกลับบ้านก่อนฟ้าสาง

เราเถียงกันว่าจะไปจบชีวิตคืนนั้นที่ไหนดี ลงท้ายเลยตัดสินใจไปนั่งเล่น นอนเล่นที่อ่างแก้ว...อ่างเก็บน้ำขนาดไม่ใหญ่และ ไม่เล็กในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งโอกาสแบบนี้คงมีไม่บ่อยนัก หากไม่ใช่ค่ำคืนของเทศกาลลอยกระทงที่ประตูรั้วมหาวิทยาลัยปิดดึกกว่าทุกวัน

“เผื่อไอ้รงค์ยังอยู่ที่หอแฟนมัน จะได้เรียกมันลงมาด้วย”ไอ้วิทย์ออกความเห็น ก่อนยืมโทรศัพท์มือถือพี่เหยาโทรไปหาไอ้รงค์ที่หอแฟนมันซึ่งอยู่หน้ามหาวิทยาลัยนั่นเอง และไอ้รงค์ก็ยังอยู่ที่นั่นจริงๆ... มันบอกให้พวกผมโทรตามถ้าไปถึงแล้ว

“บอกให้มันเอาเสื้อหนาวมาเผื่อกูตัว”ผมบอกไอ้วิทย์ที่กำลังกดโทรศัพท์ไปตามไอ้รงค์ เมื่อเรามาถึงที่นัดแล้ว

ผมใส่เสื้อกันหนาวที่น่าจะเรียกว่ากันได้แค่ลมมาตัวเดียวเท่านั้น แต่เมื่อหลุดออกมาจากที่คนพลุกพล่าน ขี่มอเตอร์ไซด์ฝ่าลมหนาว และที่หมายคือตีนดอย...ฟันผมจึงกระทบกันกึกๆอย่างห้ามไม่อยู่

“มันว่า นี่หอแฟนมัน เสื้อของแฟนมัน มึงยัดได้เหรอ!”ไอ้วิทย์หันมาตะโกนบอกผมที่กำลังผลักประตูตามไอ้ชัยเข้าไปในร้านเซเว่นเพื่อซื้อเสบียงไว้กิน

“งั๊นบอกมัน เอาผ้าปูที่นอนมาให้กูก็ได้!”พวกมันคงคิดว่าผมพูดเล่น เพราะไอ้รงค์มามือเปล่า แต่ความจริงแล้ว ผมพูดจริง

ตอนสมัยเด็ก เมื่อครั้งที่พี่เหยายังชอบมาซุกตัวหลับอยู่บนที่นอนผม...ผมขี้ร้อน ในห้องเลยไม่มีผ้าห่มถ้าอากาศไม่หนาวจริง แต่พี่เหยาขี้หนาว เมื่อนอนๆแล้วหาผ้าห่มไม่ได้ ก็มักดึงผ้าปูที่นอนนั่นแหละมาม้วนๆตัวนอน แล้วก็เดือดร้อนผมที่ต้องปูผ้ากลับเข้าไปอย่างเดิมเมื่อพี่เหยากลับไปแล้ว...ต่อมาผมก็เอาอย่างบ้าง และพบว่า ผ้าปูที่นอนผืนบางๆกลับอุ่นกว่าที่คิด

“ผ้าปูที่นอนกูล่ะ?”ผมถามเมื่อพวกมันเดินตามเข้ามาเลือกเสบียงในร้าน ส่วนพี่เหยายืนรอนอกร้าน เพราะแค่เดินเข้ามาเจอลมแอร์ พี่เหยาก็ถอยกลับออกไปทันที

“กูนึกว่ามึงพูดเล่น”ไอ้รงค์แก้ตัว แบบไม่รู้สึกผิดเท่าไหร่

“ไม่เป็นไร...ใกล้น้ำไม่หนาวหรอก”ไอ้ชัยพูด แต่เสื้อหนาวมันหนากว่าผม

“เออ...งั๊นมึงถอดเสื้อให้กูเลย!”ผมหันไปบอกมัน ก่อนหยิบของออกจากตะกร้าให้พนักงานคิดเงิน

“ขอบัตรด้วยครับ”พนักงานบอก และพวกผมเงียบ ก้มมองหาสาเหตุ จึงเห็นกระป๋องเบียร์ห้า หก กระป๋องที่หยิบมากินแก้หนาว

“อาจารย์ของพวกน้องออกมาสั่งไว้ว่า วันนี้ให้เข้มงวดหน่อย...เหล้า เบียร์ อายุต่ำกว่า 18 ซื้อไม่ได้”

พวกผมหันไปมองหน้าไอ้วิทย์ เพราะมันเป็นคนเดียวที่เพิ่งอายุครบ 18 ปีเต็ม วันนี้พอดิบพอดี แต่มันไม่ได้พกบัตรมา

“ถึงอยู่แล้วพี่...ดูหน้าดิ”มันยืนยันทั้งเสนอหน้าแก่กว่าอายุไปให้ดู

“ไม่ได้น้อง ยังใส่ชุดนักศึกษากันอยู่เลย!”พี่พนักงานท้วงไม่ยอมความ

เราเลยหันมามองหน้ากันอีกหน

ไอ้ชัย กับ ไอ้รงค์ มันพกบัตรมา แต่กว่าจะสิบแปดปีเต็มก็ต้องปีหน้า

ส่วนผมอีกแค่เดือนเดียว และพกบัตรมา แต่ผมไม่เคยรู้ว่า อายุสิบแปดปีนี่เขาดูแค่ปี หรือดูละเอียดขนาดนับเดือน นับวันกันด้วย

“เออ...ใช่! ไปถามไอ้เหยาดิ พกบัตรมาหรือเปล่า”ไอ้วิทย์หันมาสั่งผมอย่างนึกได้ แต่ผมทำได้แค่เปิดประตูไปเรียกพี่เหยาเบาๆ

“เอาบัตรมาหรือเปล่า เขาตรวจบัตร”ไอ้วิทย์ถามเมื่อพี่เหยาเดินเข้ามา และมันก็ละสรรพนามที่ทำฟอร์มเรียกตอนลับหลังไว้ ไม่กล้าเรียกต่อหน้าเช่นกัน

พี่เหยาขมวดคิ้วมองดูกระป๋องเบียร์ที่วางอยู่ตรงหน้า...อดแน่...ผมคิด

“เป๊ปซี่ล่ะ?”พี่เหยาหันมาถามผม ผมถึงนึกได้ ว่านอกจากเรื่องเรียนเก่งแล้ว ก็ไม่มีเรื่องไหนที่พี่เหยาอยู่ใกล้คำว่าเด็กดีเช่นกัน

“ลืม!”ผมบอก ก่อนเดินไปหยิบเป๊ปซี่ที่เมื่อครู่หยิบมาให้พี่เหยาแล้ว เพียงแต่ลืมวางไว้ตรงตู้ไอติม




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 31-03-2008 22:26:21
พี่เหยาส่งบัตรให้พนักงาน ที่ก้มลงมองและส่งคืนอย่างรวดเร็ว ก่อนหยิบเครื่องสแกนบาร์โค้ดขึ้นมา

“ขอโทษครับ ผิดอัน!... อันนั้นไม่มีวันเดือนปีเกิด!”พี่เหยาพูดหน้าตาเฉยก่อนส่งบัตรประชาชนให้ใหม่

พวกเราหัวเราะ พี่พนักงานก็หัวเราะแก้เก้อ รับบัตรไปดูอีกครั้ง

“อันนี้ต้องใช้บัตรไหมพี่?”ไอ้วิทย์ถามก่อนหยิบกล่องถุงยางโยนรวมกับกองขนม

“ใหญ่ไปมั๊งวิทย์ นี่มันไซส์ฝรั่ง...”พี่เหยาหยิบขึ้นมาดูและพูด และพี่พนักงานคิดตังค์ก็หัวเราะ แต่พวกผมเงียบ

เราหันมามองหน้ากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไม่ต้องพูดเราก็รู้ว่าต่างคิดอะไร และผมดีใจที่พี่เหยายืนอยู่ข้างหน้า คงไม่เห็นปฏิกิริยาของพวกผม แต่ผมคิดผิด

“ตกลงเอาหรือเปล่า?”พี่พนักงานยังถามทั้งที่หัวเราะ แต่คราวนี้พี่เหยาไม่ตอบ ทำแค่ส่ายหน้าทั้งที่ก้มหน้าต่ำ

ผมมองเห็นแก้มขาวๆของพี่เหยาแดงขึ้นมาอีกแล้ว

“เฮ้ย ไอ้วิทย์ตังค์อยู่ที่มึงไม่ใช่เหรอ?”ผมหันไปถามไอ้วิทย์ เรียกมันให้ขึ้นไปจ่ายตังค์

“หนาว... ไปรอนอกร้านดีกว่าพี่”ผมพูด ก่อนดึงพี่เหยาให้เดินออกไปรอข้างนอกร้านกับผม

เราไม่ได้คุยอะไรกัน เพราะผมคิดว่าปล่อยให้พี่เหยาจมกับความรู้สึกของตัวเองดีกว่า ที่จะแสดงให้พี่เหยารู้ว่า พวกผมก็คิดในสิ่งที่พี่เหยาคิดเช่นกัน

พวกไอ้วิทย์ก็คงคิดแบบเดียวกัน พวกมันจึงเดินคุยและหัวเราะกันออกมาจากร้านให้เป็นปกติ

“เฮ้ยเอก มึงไปกับกู...พี่ไปกับไอ้ชัยกับไอ้รงค์นะ”ไอ้วิทย์บอกกับพี่เหยา เพราะมอเตอร์ไซด์มีแค่สองคัน และผมกับไอ้วิทย์ก็ตัวใหญ่พอๆกัน

“เล่นห่าอะไรอย่างนั้นวะ!”ผมกระซิบด่าไอ้วิทย์เมื่อขึ้นไปซ้อนอยู่หลังมันและแน่ใจว่าพี่เหยาไม่ได้ยิน มันไม่พูดอะไรแปลว่ารู้สึกผิดเช่นกัน

“เดี๋ยวก็หายหนาว!”ไอ้ชัยบอกอีกครั้ง เมื่อเรามายืนสั่นอยู่ริมอ่างแก้ว

เสื้อไอ้ชัยหนากว่าผมแต่ก็ไม่ช่วยให้มันหายหนาวได้เท่าไหร่ ไอ้วิทย์กับไอ้รงค์เตรียมมาพร้อมกว่า แต่ที่เห็นจะอุ่นที่สุดคือพี่เหยาที่ใส่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่สีเขียวขี้ม้าแบบทหารที่ผมจำได้ตั้งแต่ที่เห็นว่าเป็นของทอม

สุดท้ายไอ้วิทย์ที่สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกกว่า ต้องแลกเสื้อกับไอ้ชัย ด้วยข้อแลกเปลี่ยนคือข้าวกลางวันตลอดอาทิตย์หน้า

“ไม่มีทาง!”พี่เหยาพูดเสียงแข็งกอดอกแน่น เมื่อผมมองดูเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ของพี่เหยาอย่างสนใจ

“พี่ถอดออกมาก่อน”ผมบอกเมื่อมองดูเสื้อหนาวตัวใหญ่บนตัวพี่เหยาและคิดอะไรดีๆขึ้นมาได้

“ถอดก่อน!”ผมต้องย้ำอีกครั้ง เมื่อพี่เหยายังยืนกอดอกนิ่ง ส่ายหัวดิก

“ถอด!”คราวนี้ผมอาศัยข้อได้เปรียบทางร่างกาย จัดการล็อกคอ แล้วจับพี่เหยาถอดเสื้อจนสำเร็จ

ไอ้วิทย์กระโดดเข้ามาช่วยจับเมื่อพี่เหยาพยายามจะดึงเสื้อคืนจากมือผม

แล้วผมก็ต้องล็อกคอจับพี่เหยาใส่เสื้อหนาวอีกครั้ง เมื่อพี่เหยาไม่ยอมใส่เสื้อหนาวของผมที่ผมถอดให้

พี่เหยายืนกอดอก มองดูผมใส่เสื้อหนาวของตัวเองอย่างแค้นๆ แต่ผมไม่สนใจ

แล้วผมก็อาศัยจังหวะนั้น ล้วงมือลงไปในกระเป๋า หยิบ...ดอกไม้...ที่ให้กับพี่เหยา แอบโยนมันทิ้งไม่ให้พี่เหยาเห็น

ถ้ามองย้อนกลับไปจากวันนี้ ในวันนั้นผมไม่เคยนึกถามตัวเองว่า ทำไมผมต้องใส่ใจกับประทัดอันเดียวขนาดนั้น ถึงมันจะลั่นเปรี้ยงปร้างขึ้นมาก็คงฝากไว้ได้แค่รอยแผลเล็กๆเท่านั้น คงคล้ายกันกับครั้งหนึ่งเมื่อตอนเด็ก ตอนที่พี่เหยามานั่งสอนหนังสือให้ผม พี่เหยาเผลอใช้ไม้บรรทัดเหล็กของผมเกาเบาๆที่คาง เป็นรอยแดง ผมเห็นแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อไม้บรรทัดอันนั้นหาย เมื่อผมต้องซื้ออันใหม่ ผมกลับเลือกไม้บรรทัดพลาสติกที่ตัวเองไม่เคยนึกอยากใช้ ตอนเลือกหยิบ ผมลองจับเหลี่ยมมันดูว่าไม่คม...ทำไมผมทำอย่างนั้น...

“หันหลัง!”ผมบอกพี่เหยา ก่อนจับพี่เหยาหมุนตัวหันหลังให้กับผม

“สอดแขนเข้ามา..”ผมบอกพี่เหยาอีกครั้ง เมื่อดึงพี่เหยาเข้ามาอยู่ในเสื้อหนาวตัวเดียวกัน

“ไม่เอา!”พี่เหยาปฏิเสธ ผมเลยต้องใช้มือขวาจับแขนซ้ายของพี่เหยายัดเข้ามาในแขนเสื้อข้างซ้าย และทำแบบเดียวกันกับแขนอีกข้างหนึ่ง

“อุ่นไหม? ทีนี้พี่ก็ได้ใส่เสื้อตั้ง 2 ชั้น”ผมพูดพลางกอดอก หรือจริงๆก็คือกอดพี่เหยาไว้กับอก

“นั่งเหอะ...”ผมบอก แต่พี่เหยาไม่ให้ความร่วมมือ เราเลยล้มลงไปกองกับพื้นไม่เป็นท่า

และเมื่อต่างคนต่างพยายามจะลุก ผลก็คือล้มกลิ้งกันอยู่บนพื้น ลุกไม่ได้เสียที

“หนัก!”พี่เหยาโวยทั้งหัวเราะ เมื่อสุดท้ายล้มลงไปนอนคว่ำอยู่กับพื้นหญ้า โดยมีผมนอนหัวเราะทับอยู่ข้างบน

พอลุกขึ้นนั่งได้ ผมถึงเพิ่งนึกได้ว่ามีพวกไอ้วิทย์นั่งอยู่ด้วย...พวกมันนั่งกันเงียบๆอย่างกับกลัวจะขัดความสุขของผมกับพี่เหยา

ผมสังเกตได้ว่า พวกมันแอบชำเลืองมองดูผมกับพี่เหยาซึ่งนั่งเหยียดขา เอนหลังพิงอยู่กับอกผมกันบ่อยๆ

อย่างที่เคยบอก ผมไม่รู้ว่าพวกมันรู้ถึงรสนิยมของผมหรือเปล่า และยิ่งไม่รู้ว่าพวกมันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ของผมกับพี่เหยามากน้อยแค่ไหน

จริงๆ ถ้าพวกมันรู้ผมก็ไม่แคร์ ไม่ใช่ว่าผมไม่แคร์ความรู้สึกนึกคิดของพวกมัน หากแต่ว่าคบกันมานาน จนผมรู้ว่าพวกมันต่างหากที่ไม่แคร์

“ขอเป๊บซี่หน่อย”พี่เหยาพูด และคนที่หยิบส่งให้คือไอ้วิทย์ และคนที่เอื้อมมือรับคือผม ส่วนพี่เหยาดึงมือหลบอยู่ในแขนเสื้อหนาวข้างเดียวกันกับผมนั่นแหละ

กระป๋องเป๊บซี่เย็นจนมือชา แต่มันอุ่นในใจดี เมื่อได้ยกให้พี่เหยาดื่ม

“เราลืมลอยกระทง!”ไอ้ชัยพูดขึ้นอย่างเพิ่งนึกได้ ไม่มีใครพูดอะไรนอกจากนั่งหัวเราะกัน เพราะเพิ่งนึกได้ว่าลืมลอยกระทงทั้งที่เป็นวันลอยกระทงก็ตอนมันพูดนี่แหละ

พอหยุดหัวเราะ ผมถึงเพิ่งได้ยินเสียงกีตาร์และเสียงเพลงที่ดังลอยมาจากจุดที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

ผมรับหน้าที่เป็นคนส่งเสบียงเข้าปากพี่เหยาที่แกล้งลืมไปเสียแล้วว่าแขนตัวเองอยู่ที่ไหน

เรานั่งกินขนมกันไป คุยกันไป และหยุดฟังเสียงเพลงกับเสียงกีตาร์บ้าง

พอจบจากเสียงทุ้มๆของผู้ชาย ก็เป็นเสียงหวานๆของผู้หญิง และพอจบเสียงหวานๆ โดยไม่รอให้กีตาร์ทันเงียบเสียงนั้น ไอ้วิทย์ก็ทะลึ่งตะโกน

“ขอเพลงพี่สาวครับ ได้เก๊าะครับอ้าย?”

ไม่มีเสียงตอบ แต่เสียงกีตาร์ก็เปลี่ยนเป็นจังหวะที่คุ้นหูตามที่ไอ้วิทย์ร้องขอ

ผมเคยชอบเพลงนี้ มันเป็นเพลงที่เด็กผู้ชายชอบร้องแซวรุ่นพี่ผู้หญิง และพวกผมก็เป็นหนึ่งในเด็กผู้ชายเหล่านั้น แต่วันนี้ผมชอบมันยิ่งขึ้น

ผมกอดพี่เหยาไว้ โยกตัวไปตามเสียงเพลง ไม่ได้ร้องตาม ทำก็แค่ก้มหน้าลง ฮัมเพลงตามไปเบาๆที่ข้างหูพี่เหยา

แก้มเย็นๆของพี่เหยาสัมผัสกับแก้มของผม และบ่อยครั้งที่ผมทำตามใจตัวเองอย่างไม่นึกกลัวพวกไอ้วิทย์จะเห็น ผมกดปลายจมูกและริมฝีปากตัวเองกับแก้มเย็นๆของพี่เหยา และพี่เหยาก็ไม่เคยปฏิเสธ หากแต่ยิ้มรับ

พอมาถึงเนื้อเพลงท่อนสุดท้าย...พี่สาวครับ ผมฮักพี่แล้วครับ..ผมก็แนบริมฝีปากกับหูของพี่เหยาและร้องกระซิบเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน

“จะฮักพี่ บ่มีหน่าย...บ่อยากเป็นน้องชายแล้วล่ะ......”

...เคยไหมที่วันที่เริ่มต้นอย่างธรรมดาๆ วันหนึ่งจะกลับกลายเป็นวันที่พิเศษที่สุด เป็นวันที่เราภาวนาว่า ขอให้เวลาหยุดอยู่แค่ตรงนั้น เป็นวันที่เราบอกกับตัวเองและนึกรู้ว่าคงจดจำมันไปชั่วชีวิต...ถ้าถามผม คำตอบก็คือวันนั้นนั่นเอง... วันที่ท้องฟ้าของเชียงใหม่เต็มไปด้วยแสงโคม วันที่ได้กอดพี่เหยาเอาไว้อย่างที่หัวใจเราใกล้ชิดกันที่สุด วันที่จดจำได้ว่า รอยยิ้มของพี่เหยาต่างหากที่ทำให้ผมมีความสุขอย่างแท้จริง...

...แล้วเคยไหม ที่วันที่คิดว่าพิเศษที่สุด จะกลับกลายเป็นวันที่เลวร้ายที่สุด เป็นวันที่ยอมเอาทุกอย่างในชีวิตมาแลก ภาวนาเพียงอย่างเดียวว่าขออย่าให้มันเกิดขึ้นจริง...ถ้าถามผม...มันคือหนึ่งวันหลังจากนั้น...



--------------------

จบตอน 8 
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 31-03-2008 22:34:00
ทิพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพ

ทิพแกล้งสองอะ!

ทำไมวันนี้ทิพลงน้อยจัง

สองรอมาทั้งวันแล้วนะรู้เปล่า


ปล. อาจารย์สีฟ้าครับ  อย่าว่าแต่จารย์เลย  เมื่อวานสองเองพออ่านเรื่องนี้จบ(ไม่ได้เม้นต์เพราะเนตเน่า)ก็อารมณ์ค้าง เอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปคิดต่อ ต้องมากมาย

จนต้องแปลกใจว่า...เอ๊ะ! เรานี้ท่าจะเป็นเอามากนะ  นอกจากเซ็งเป็ดแล้วก็มีนิยายในเวปแบบนี้เพียงแค่เรื่องนี้แหละที่สองอ่านแล้วเอาไปคิดต่อ  วิเคราะห์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในท้องเรื่องเป็นฉากๆ

สงสารเหยาที่เป็นเด็ก และ ดิ้นรนทำในสิ่งที่สมองของเด็กอายุ 14 คิดได้ว่ามันคือทางที่ดีที่สุด

หมั่นไส้และซูฮกทอม  ที่วางหมากสร้างสถานการณ์ให้ตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์แต่ยังคงได้ผลตอบแทนตามที่ใจหวัง  แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องไม่ดี

ติดตามพัฒนาการทางด้านความความของเอก  ที่ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไปตามวัย  เริ่มมีความรู้สึกและมุมมองที่ต่างไปจากวัยเด็ก  มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น  มนุษย์ที่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามก็ยังคิดหาเหตุผลร้อยแปดเพื่อชี้ให้ถึงความชอบทำในสิ่งต่างๆที่ตัวเองได้กระทำลงไป

ตายแล้ว...............คนเขียนเอาสมองส่วนไหนคิดเคอะเนี้ย  ทำไมสองไม่มีสมองส่วนนั้นบ้างนะ   

อิจฉาและชื่นชมมากมาย


ปลล. อยากรู้ว่า อีกสองเดือนอะไรจะเกิดขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม  เอาใจช่วยเหยาตลอดเวลา

รักเหยามากมาย

อิเจ้
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 01-04-2008 08:32:18
ค้างอย่างแรงครับ พี่ทิพย์

" แล้วเคยไหม ที่วันที่คิดว่าพิเศษที่สุด จะกลับกลายเป็นวันที่เลวร้ายที่สุด เป็นวันที่ยอมเอาทุกอย่างในชีวิตมาแลก ภาวนาเพียงอย่างเดียวว่าขออย่าให้มันเกิดขึ้นจริง...ถ้าถามผม...มันคือหนึ่งวันหลังจากนั้น..."

น่าคิดจังประโยคนี้ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น.........แต่ก็ทำใจไว้ล้วงหน้าแล้ว เพื่อเศร้า

"แสดงความเป็นเจ้าของ โดยการทำร้ายเพื่อแสดงอำนาจที่เหนือกว่า"

คุณภัคD คิดได้ไงเนี้ยะ..เข้าใจเลยว่า เอกต้องเจ็บปวดมากๆๆ แต่เอกไม่รู้หลอกว่าเหยาก็คงเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่ากัน

สุดยอดจริงๆๆๆๆ ครับ คุณภัคD  เก็บรายละเอียดได้งดงามมากจริงๆ งดงามทั้งภาษา อารมณ์ และความรู้สึกสมกับเป็น"เพชรแห่งวรรณกรรมของเล้าเป็ด"

:L1: :L1:รักเหยา กับ เอกที่สู้ด ถึงแม้จะเป็นแค่ตัวละครในนิยาย  แต่ก็รักมากมายเหมือนเจ้สองครับ


ปล.เข้ามาอ่านตอนเช้าแล้วจะทำงานรู้เรื่องมั้ยเนี้ยะ...รอ  รอ  รอ...รอพี่ทิพย์คนเดียว


เป็นกำลังใจให้พี่ทิพย์เสมอครับ   :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 01-04-2008 13:14:37
เข้ามารอทิพเคอะ

ทิพๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

อยู่ไหนเนี้ย?
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 01-04-2008 18:27:35
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ#9


ผมนอนกำมือแน่นซ่อนตัวอยู่ในความมืด ทั้งที่แสงสว่างอยู่แค่ตรงหน้า แต่ผมกลับกลัวมัน

กระบอกตาผมร้อนผ่าวและปวดเพราะอาการเก็บกลั้นน้ำตาไว้ แต่ก็ไม่สำเร็จ เหมือนกับลำคอที่ผมพยายามเก็บกักเสียงสะอื้นไว้จนมันร้าวไปทั้งคอ

ผมมองดูแผ่นไม้ที่เห็นอยู่ตรงหน้า พยายามนึกและนึกว่าทำไมผมมาอยู่ตรงนี้...ไม่ใช่ว่าผมจำไม่ได้ เพียงแต่ผมหวังว่า สิ่งที่เพิ่งผ่านพ้นไปเพียงไม่ถึงชั่ววัน มันจะช่วยผมให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่กำลังเผชิญอยู่แม้สักนิดก็ยังดี

เวลานี้ของเมื่อวานนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่นะ...ผมแกล้งถามตัวเองเป็นรอบที่ร้อย...ภาพพี่เหยาที่ก้มหน้าก้มตาอ่านสมุดจดงานของตัวเองมันยังเจนอยู่ในความคิดผม แล้วพี่เก้ากับพี่นัทก็เข้ามา พวกเราหัวเราะกัน และพี่เหยายิ้มกว้างอย่างที่ผมนึกได้ว่าไม่ได้เห็นมาเสียนาน อย่างที่ผมคิดว่า อยากเห็นอีกบ่อยๆเหลือเกิน

ผมเกร็งท่อนแขนตัวเองที่วางนาบอยู่กับพื้นปาร์เก้เย็นๆ เมื่อยังจดจำได้ถึงความอบอุ่นของพี่เหยาที่อยู่ในเสื้อกันหนาวตัวเดียวกันกับผม แขนเราอยู่ในแขนเสื้อตัวเดียวกัน พี่เหยานั่งพิงผมและผมกอดพี่เหยาไว้แน่น...อากาศหนาวที่ตีนดอยยังไม่กล้าแม้เข้ามารบกวนเรา มันอุ่น...อุ่นเข้าไปถึงเนื้อของหัวใจ...ผมจำได้

‘หัวใจคนเต้นกี่ครั้งต่อนาที?’ผมกระซิบถามพี่เหยา ไม่ได้มีความหมายอะไรมากมาย แค่นึกขึ้นมาได้ถึงจำนวนครั้งที่เคยรู้เพราะต้องท่องจำไปสอบ และนึกขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่เคยรู้นั้น วิ่งกลับคืนไปหาอาจารย์เสียหมดแล้ว...และที่นึกขึ้นมาได้ ก็เพราะพี่เหยาที่นั่งพิงผมอยู่ขยับตัว แผ่นหลังของพี่เหยาที่มันเบียดเข้ามาชิดกับหน้าอกผม มันทำให้ผมรู้สึกถึงจังหวะเต้นของหัวใจตัวเองชัดเจนขึ้น

พี่เหยาไม่ได้ตอบ แต่ขยับมือตัวเองมาวางนาบที่หน้าอก

‘หัวใจเอกเต้นแรงกว่า’พี่เหยาบอก ก่อนขยับตัวให้ห่างออกจากผม เพื่อจะจับจังหวะหัวใจตัวเองให้ชัดขึ้น แต่ผมรั้งพี่เหยาให้กลับมาพิงอกผมไว้อย่างเดิม

‘ก็นับของผมก็ได้’ผมบอกพี่เหยา ขยับแขนกลับไปกอดพี่เหยาไว้เหมือนเดิม

เราต่างนั่งเงียบ นับจังหวะเต้นของหัวใจผมที่สัมผัสอยู่กับแผ่นหลังของพี่เหยา

เวลาหนึ่งนาทีดูจะยาวนานเกินไป เพราะเมื่อใจมันจดจ่ออยู่แค่หน้าอกผมที่แนบสัมผัสอยู่กับแผ่นหลังพี่เหยา ผมก็นึกถึงอย่างอื่นมากกว่าเสียงหัวใจตัวเอง

‘ไม่อยากให้พวกมันนั่งอยู่ตรงนี้เล้ย!’ผมซุกหน้าสูดลมหายใจลึกๆที่ซอกคออุ่นๆของพี่เหยา ในขณะที่กระชับอ้อมแขนกอดพี่เหยาแน่น

‘ยุบหนอๆ’พี่เหยาพูดไปหัวเราะไปพลางขยับตัวหนีจากสิ่งที่มันไม่ยอม...ยุบหนอ...ตามที่พี่เหยาบอก

‘ต้องบอกว่าพองหนอๆต่างหาก’ผมแนะ ก่อนกระชับแขนดึงพี่เหยากลับมาเหมือนเดิม พี่เหยาเงียบอันเป็นเครื่องหมายของคำถามว่า...ทำไมล่ะ? ผมเลยต้องอธิบายต่อ

‘ก็เวลาปวด ก็ท่องว่า...ปวดหนอๆ แล้วจะไม่ปวด เวลาง่วงก็ท่องว่า...ง่วงหนอๆ แล้วจะ...’

‘หลับไปเลย!’พี่เหยาต่อให้

‘ไม่ใช่! หายง่วงสิ...พี่นี่ ไกลวัดยิ่งกว่าผมอีก’

‘พองหนอๆ...พองหนอๆ’พี่เหยาพูดไปหัวเราะไป มือที่ซุกอยู่ในแขนเสื้อหนาวก็แกล้งลูบที่แขนผมเบาๆ

‘แล้วทำไมมันพองขึ้นล่ะ?!’พี่เหยาถามทั้งหัวเราะ ขยับตัวหนีจากผมอีกครั้ง

‘ก็พี่ทำอะไรล่ะ!?’ผมย้อนถาม กอดพี่เหยาไว้แน่นไม่ให้ขยับหนี

‘กลับกันเถอะ?’ผมชวน เมื่อแน่ใจว่าไอ้ที่พองๆอยู่มันคงไม่ยุบลงง่ายๆถ้ายังนั่งกอดพี่เหยาอยู่อย่างนี้

‘โคมยังเต็มฟ้าอยู่เลย’พี่เหยาบอก อันหมายถึงให้ผมทนไปก่อน...แม้อยากกอดพี่เหยาใจจะขาดแต่ตอนนั้น ผมก็เสียดายถ้าจะจบเวลาแห่งความสุขลงแค่นั้นเช่นกัน

จนแสงโคมหายไปจากฟ้า จนฟ้าเริ่มสว่าง จนหมอกเริ่มจาง และแน่ใจว่าทอมน่าจะออกจากบ้านไปแล้ว ผมจึงชวนพวกมันแยกย้ายกันกลับ

ผมบอกให้พี่เหยาทิ้งรถไว้ที่บ้านไอ้วิทย์ แล้วซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ผมกลับแทน จะได้ไม่ต้องวนไปวนมา

‘เอาแบบหนาวเข้ากระดูก แต่แป๊บเดียวถึง หรือว่าหนาวไม่ถึงกระดูก แต่...นาน น๊าน นาน กว่าจะถึง’ผมหันไปถามพี่เหยาที่ขึ้นมานั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ มือก็บิดแฮนด์มอเตอร์ไซด์เตรียมออกตัว

‘งั๊นส่งพี่ลงหน้ามอ เดี๋ยวขึ้นสี่ล้อตามไป!’พี่เหยาบอกตัวเลือกที่น่าจะหนาวน้อยที่สุด

‘หนาวเนื้อห่มเนื้อจะหายหนาว...’ผมไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธทางเลือกของพี่เหยา เพราะรู้ว่าพี่เหยาพูดเล่น และเลือกที่จะร้องบอกพี่เหยาเป็นเพลง ก่อนเข้าเกียร์ และออกตัวแรงจนพี่เหยาต้องรีบคว้าเอวผมไว้

‘กลับไปจะห่มเนื้อพี่ให้อุ่นเลย!’ผมตะโกนบอกพี่เหยาแข่งกับเสียงลม พี่เหยาหัวเราะ ก่อนซุกตัวอาศัยหลังของผมเป็นเครื่องกำบังลม

‘จะช้าจะเร็ว แต่เอาแบบกลับถึงนะเอก...’พี่เหยาบอกผมเมื่อต้องจอดรถติดอยู่ที่สี่แยกไฟแดง หน้าพี่เหยายังเบียดซุกอยู่ที่แผ่นหลังผม ในขณะที่เสียงพี่เหยาสั่นเพราะความหนาว

‘พี่หนาวเหรอ?’ผมถาม เอื้อมมือสองข้างไปข้างหลัง ดึงมือพี่เหยาที่กอดอกไว้แน่นขึ้นมาโอบเอวผมไว้ พี่เหยาจะดึงมือกลับแต่ผมไม่ยอม

‘มือพี่เย็นเจี๊ยบเลย’ผมบอก และดึงมือพี่เหยาขึ้นมาจูบแรงๆ

ไม่ใช่ว่าไม่มีรถจอดติดไฟแดงอยู่แถวนั้น แต่ความสุขที่มันเกิดณ.ตรงนั้น ความสุขที่มันเต็มล้นอยู่ในหัวใจตั้งแต่เมื่อคืน จนถึงเดี๋ยวนั้น มันทำให้ผมมีความกล้าที่จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

‘ทำอะไร?!’พี่เหยา ถามอย่างตกใจ เมื่อผมดึงมือพี่เหยาให้โอบรัดเอวผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมซุกมันไว้ใต้เสื้อผมแทน

‘ตกใจอะไร? แค่ซุกไว้ข้างในเสื้อ...อุ่นเปล่า?’ผมถามจับมือพี่เหยาที่ซุกอยู่ใต้เสื้อผมไว้แน่น ไม่ให้ดึงมือคืน

‘อือ’พี่เหยาตอบ ไม่ดึงมือคืนแล้ว

‘แต่มือพี่เย็นจนเอวผมแข็งเลย...กลับถึงบ้าน ตาพี่ทำให้ผมอุ่นบ้างนะ’ผมเอี่ยวคอหันไปบอกพี่เหยา เสียงไม่เบานัก

‘เสียงดัง!’พี่เหยาดุ

‘ไม่เห็นเป็นไร เจอกันแค่ครั้งเดียว...จับแน่นๆนะ’ผมเตือน เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนสี

ใจหนึ่งอยากขี่ช้าๆ อยากให้เวลาหยุดอยู่แค่ตรงนั้น แต่อีกใจก็อยากกลับไปห่มเนื้อพี่เหยาให้อุ่นไวๆ เพราะผมยังเชื่อ...ความสุขคงจะยาวนาน

ย่าเปิดร้านแล้ว แต่ผมก็เลือกจอดมอเตอร์ไซด์ทิ้งไว้ที่หน้าบ้าน ก่อนวิ่งตามพี่เหยาเข้าไปในบ้านของทอม ผมทนรอได้แค่ให้พี่เหยาดึงประตูปิด ผมกอดพี่เหยาจากด้านหลังเมื่อพี่เหยาคล้องแม่กุญแจ ไม่สนใจว่าจะมีใครมองเข้ามาเห็น และพี่เหยาก็แค่หัวเราะ ไม่ปฏิเสธอ้อมแขนผมสักนิด

เมื่อล็อคกุญแจเสร็จ พี่เหยาก็หันมาหาผม โอบแขนรอบคอผม และรั้งผมให้ก้มลง

แก้มและริมฝีปากพี่เหยาเย็น แต่ปลายลิ้นของพี่เหยาอุ่น เหมือนกับปลายนิ้วของพี่เหยาที่สัมผัสที่หลังคอผมนั้นเย็นเชียบแต่ผิวเนื้อใต้ร่มผ้าที่ผมสอดมือเข้าไปคลึงเคล้นและสัมผัสนั้นกลับอุ่นจนร้อน

พี่เหยาหัวเราะในลำคอ เมื่อขบเบาๆที่ปลายลิ้นอันจาบจ้วงของผม คล้ายจะเตือนให้ใจเย็นลง แต่ตรงข้าม พี่เหยากลับแทรกเรียวขาอย่างจงใจเสียดสัมผัสกับต้นขาด้านในของผม

พี่เหยารั้งมือของผมที่พยายามจะสอดลึกลงใต้เอวกางเกงนักศึกษาของพี่เหยาไว้ แต่กลับสอดปลายนิ้วเย็นของตัวเองเข้าสู่ความร้อนรุ่มใต้กางเกงนักศึกษาของผม

‘ตรงนี้อุ่นดีจัง!’พี่เหยากระซิบและหัวเราะ เมื่อเน้นสัมผัสของปลายนิ้วเย็นๆกับความแข็งขืนและร้อนที่สุดในตัวผม

ผมหลับตาแน่น แต่มองเห็นภาพมือขาวๆของพี่เหยากำลังทำหน้าที่ของมันอย่างช่ำชอง

ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงตัวเองเผลอครางออกมา เมื่อพี่เหยาเป่าลมหายใจร้อนๆรดต้นคอ

‘เบาสิ...นี่หน้าประตูนะ...’พี่เหยากระซิบเตือนเบาๆ แต่กลับไล้ปลายลิ้นอุ่นๆไปตามติ่งและหลังใบหู ทั้งที่รู้ว่านั่นคือส่วนที่ไวความรู้สึกของผม

‘ก็พี่แกล้งผมนี่!’

‘งั๊น หยุด!’ไม่พูดเปล่า พี่เหยาหยุดการทำงานของมือตัวเองซะงั๊น ทั้งที่ริมฝีปาก ลมหายใจและปลายลิ้นยังแกล้งคลอเคลียอยู่ที่ข้างหูอันเป็นจุดที่อ่อนไหวของผม

‘อือ... หยุด’ผมรวบรวมกำลังใจทั้งหมด จนพูดออกมาได้ทีละคำ

‘ผมอยากกอดพี่’ผมได้ยินเสียงตัวเองพูดออกมาอย่างยากเย็น เพื่ออธิบายต่อข้อกังขา ที่เห็นในดวงตาของพี่เหยาเมื่อผมบอกให้หยุด และดึงมือพี่เหยาที่เกาะกุมความแข็งขืนของผมอยู่ออกมาช้าๆ

ใช่...ผมอยากกอดพี่เหยา แต่มันไม่ใช่แค่ความหมายของการทำเพียงเพื่อปลดปล่อยความต้องการของกันและกันให้จบไปเพียงเท่านั้น

ผมอยากกอดพี่เหยา แบบที่ครั้งหนึ่งเคยทำ ครั้งหนึ่งที่แกล้งหลงลืม ว่าในโลกใบนี้มีทอมยืนอยู่กลางระหว่างผมกับพี่เหยา

ผมจับแก้มเย็นๆของพี่เหยา และจูบพี่เหยาเบาๆ เมื่อพี่เหยายังมองผมอย่างค้นหาคำตอบว่า ตัวเองทำอะไรที่ผิดไปหรือเปล่า

‘ผมแค่อยากกอดพี่’ผมกระซิบย้ำ ก่อนจูบที่แก้มเย็นๆนั้นอีกครั้ง และพี่เหยาก็เอื้อมมือมาโอบกอดผมเอาไว้

เรากอดกันอยู่อย่างนั้น ยังสัมผัสได้ดีถึงแรงปรารถนาในตัวกันและกัน แต่เราก็แกล้งเพิกเฉยต่อมัน

‘แต่ผมไม่ได้หมายถึง แค่กอดอยู่แบบนี้นะ!’ผมกระซิบบอกและพี่เหยาหัวเราะ เมื่อเรารู้สึกเต็มอิ่มกับความอิ่มเอมใจที่เกิดขึ้น เมื่อเราเห็นพ้องต้องกันว่า ถึงเวลาตามใจแรงปรารถนาเสียที

ผมยังจำภาพพี่เหยาที่นอนมองผมได้... ผ้าปูที่นอนสีน้ำตาลทองที่เข้ากันได้ดีกับผิวเนื้อขาวจัดของพี่เหยา แสงแดดสีทองที่ตกต้องผิวหน้าของพี่เหยา มันไม่สวยเท่าแสงโคมแต่ก็น่าจำกว่าแสงไฟสีส้มสลัวของทอม




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 01-04-2008 18:29:57
ผมก้มจูบพี่เหยาทุกครั้งที่ปลดกระดุมเสื้อพี่เหยาออกทีละเม็ด...จับจ้องดูแต่พื้นผิวที่ค่อยๆเผยให้เห็นทีละน้อย...ไล้ปลายนิ้วสัมผัสก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงทุกอณูเนื้อที่ปรากฏต่อสายตา

ผมบอกความปรารถนาของตัวเองให้รอคอยอยู่อย่างสงบ เพื่อดื่มด่ำกับความสุขอันอ่อนโยนที่ตรงหน้า

ความสุขที่ผมบอกกับตัวเองอยู่ในใจ ว่าจะไม่ลืมเลือนมันไปอีก...ความสุขที่ผมบอกและถึงขั้นสาบานกับตัวเองว่า...ต่อไปจะไม่กระทำกับพี่เหยาอย่างที่ผ่านมา เพราะผมเพิ่งได้ตะหนักว่าในทุกครั้งที่เคยครอบครองร่างกายพี่เหยา มันมีแต่ความสุขทางกาย หากแต่ผมไม่เคยได้รับความสุขใจใดๆเลย จนเมื่อได้สัมผัสณ.เวลานี้ ผมจึงตะหนักว่า...นี่ต่างหากคือความสุขที่ผมหลงลืมวิธีที่จะไข่วคว้าได้มันมา ความสุขที่มิใช่การตักตวงแค่การครอบครองทางกายแต่ฝ่ายเดียว...

...จนถึง ณ.วันนี้ผมจำได้ดีว่า ความสุขในวันนั้นเป็นอย่างไร จำได้ดีพอๆกับอีกหนึ่งความรู้สึกที่อยู่คนละข้างกันอย่างสิ้นเชิง และอาจฝังลึกอยู่ในใจผมยิ่งกว่า...เพราะความทุกข์ไม่น่าจดจำหากแต่กรีดรอยได้ลึกบังคับให้เราจดจำได้ดียิ่งกว่าความสุขเสมอ...ความสุขวันนั้นก็เช่นกัน มันถูกฉีกกระชากและแทนที่ด้วยความทุกข์ที่ผมไม่เคยรู้จักและถูกบีบบังคับให้จดจำมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

เสียงพูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนานที่ดังมาจากชั้นล่าง แต่กลับเป็นความหวาดผวาและตื่นกลัวของผมและพี่เหยา

เสียงหัวเราะและพูดคุยอันจับสำเนียงเสียงไม่ได้นั้น เหมือนไฟร้อนๆที่ทำให้ผมกับพี่เหยาผวาลุกขึ้นจากความสุข

ในขณะที่ผมยืนละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก พี่เหยากลัดกระดุมเสื้อตัวเอง สาวเท้าออกไปนอกห้องอย่างร้อนรน

‘ทอม?’ผมถามเมื่อพี่เหยากลับเข้ามา และคำตอบของพี่เหยาคือดวงตาอันสับสนและหวาดกลัว

เสียงที่ดังมาจากชั้นล่าง แม้ฟังยังไม่ได้ศัพท์ หากแต่รู้ว่ามิใช่แค่คนเดียว และไม่มีเสียงคุ้นหูของทอม ยิ่งกว่านั้น เสียงนั้นใกล้เข้ามาทุกทีและทุกที

‘ไปไหน?’พี่เหยาร้องถาม และขืนตัวไว้ เมื่อผมดึงพี่เหยาให้ไปกับผม

ผมตอบพี่เหยาไม่ได้ แต่ผมรู้ว่าผมไม่ต้องการยืนอยู่ที่ตรงนั้น และไม่ต้องการทิ้งพี่เหยาให้เผชิญกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามลำพัง ในเวลานั้นผมกลัว แต่กลัวกว่าหากต้องยืนรอคอยอยู่เฉยๆ

‘ออกไปข้างนอก’ผมบอกพี่เหยาในที่สุด ทั้งที่ยังนึกไม่ออก จะรอดพ้นสายตาของทอมหรือใครที่อยู่ข้างล่างนั้นออกไปได้อย่างไร

‘ไม่ได้หรอก...ขึ้นไปข้างบน!’พี่เหยาพูดเสียงสั่น ดึงผมให้วิ่งตามขึ้นบันไดไปชั้นบน แต่เราก็หยุดอยู่ได้แค่นั้น

‘กุญแจ?...มาได้ยังไง...ทุกทีมันไม่มี!’พี่เหยาเขย่าประตูที่ลงแม่กุญแจไว้แน่นหนา ก่อนที่จะตัดสินใจวิ่งนำผมกลับลงมาและเข้าไปในห้องอีกครั้ง

‘เอกไปหลบที่ระเบียง!’พี่เหยาพูด และผลักผมไปที่ระเบียงเมื่อผมขืนตัวไว้ไม่ยอม

‘ไม่เอา!’ผมไม่ยอม เพราะรู้ถ้าพวกมันเข้ามาถึงในห้อง ถ้าหลบที่ระเบียงก็คงมีแค่ผมที่พี่เหยาหมายใจให้หลบ

‘เร็วสิ!’พี่เหยาเร่งและผลักผมเต็มแรง และก็ต้องหยุดอยู่แค่ตรงนั้น

‘ทำไมล็อคกุญแจล่ะ?...พี่ไม่เคยล็อคนี่!’พี่เหยาพูดปนสะอื้น เมื่อแม่กุญแจดอกใหญ่ลงล็อคไว้ในที่ๆเป็นสิทธิ์ส่วนตัวของพี่เหยา

พี่เหยามองไปรอบห้องอย่างสิ้นหวัง

‘ลงไปข้างล่างกันเถอะ!’ผมเอ่ยปากชวนอีกครั้ง และฉุดพี่เหยาให้เดินตาม แต่พี่เหยาไม่ยอม

‘ผมมาบ้านพี่แล้วมันผิดตรงไหนล่ะ?’ผมเอ่ยถามในสิ่งที่เป็นจริง หากความสัมพันธ์เรายังเป็นแค่พี่น้อง หากเราไม่มีชะหนักติดหลังกันอยู่ และแม่กุญแจที่ลงปิดประตูทางหนีเราไว้ทุกที่ มันเป็นสัญญาณบ่งบอก ว่าชะหนักที่ติดอยู่บนหลังนั้น ไม่เป็นความลับอีกต่อไป....แต่ก็อีกนั่นแหละ บางส่วนของหัวใจมันคิดค้านว่า พี่เหยากับทอมไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย แล้วผิดอะไร ถ้าผมจะอยู่ที่นี่?

...ถ้าคิดแบบนั้น แล้วผมกลัวทำไมล่ะ?...เสียงของความจริงมันร้องถามผม

เสียงฝีเท้านั้นบ่งบอกว่ากำลังขึ้นบันไดมา และเสียงของความหวังก็กำลังจะจากไป

‘ไม่เป็นไรหรอก...เอกหลบที่ใต้เตียงนะ’พี่เหยาพูดปลอบผม ทั้งที่ริมฝีปากตัวเองสั่นระริก

‘ทำไมผมต้องหลบล่ะ?’ผมยังดึงดัน

‘ทอมอาจจะลืมของ...’ผมพยายามคิดและให้เหตุผลที่น่าจะเป็นได้ ผมกับพี่เหยาอาจจะตกใจกลัวเกินเหตุ รถพี่เหยาไม่อยู่ ทอมอาจจะไม่รู้ว่าพี่เหยาอยู่ ห้องทอมอยู่อีกด้าน ทอมอาจไม่ใส่ใจที่จะเข้ามาในห้องนี้เลยก็ได้

‘ไม่ใช่ทอม...’พี่เหยาพูดในสิ่งที่ผมเองก็รู้ เพราะเสียงที่ได้ยินไม่มีเสียงคุ้นหูของทอมเลย

‘เพื่อนทอมมาหาทอมไง...’

‘ก็อาจใช่...เอกก็หลบไปสิ พี่ไม่อยากให้...’

‘พี่จะให้ผมหลบได้ไง พี่ก็รู้พวกมันมาทำไม!?’ในที่สุดผมก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองรู้ และพี่เหยาก็รู้

ในวันนั้น ในเวลานั้น ผมพร้อมที่จะสู้ แม้ยากจะบอกว่าสู้ด้วยความรู้สึกอย่างไร...อาจสู้ด้วยความกล้า เพื่อจะรักษาความสุขที่มันยังหลงเหลืออยู่ในใจ...หรือด้วยความกลัว และพร้อมจะสู้อย่างจนตรอก หรืออาจจะด้วยความเกลียดชัง เมื่อนึกเห็นภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพี่เหยา หากผมไม่อยู่ที่ตรงนั้น

ในตอนนั้น ผมรู้...ผมพร้อมที่จะสู้ ถ้าเพียงแต่พี่เหยาให้สิทธิ์นั้นแก่ผม ถ้าเพียงแต่พี่เหยายอมที่จะยืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับผม...แต่มันไม่ใช่ พี่เหยายืนยันที่จะให้ผมหลบซ่อนตัว

‘ทำไมผมต้องหลบ?’ผมถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะแม้จะรู้ว่าตัวเองกลัว แม้ว่าถ้าเลือกได้ผมก็คงไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่เมื่อเลือกไม่ได้ ผมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ผมจะไม่ทิ้งพี่เหยาไว้กับความกลัวเพียงคนเดียว

‘อย่าทำให้มันเป็นเรื่องได้ไหม?’พี่เหยาพูดกับผมเสียงแข็ง เมื่อผมยังคงดื้อดึง

‘เอกทำอะไรไม่ได้หรอก...’พี่เหยาพูดในสิ่งที่ผมรู้ว่า ท้ายที่สุดมันก็คงเป็นอย่างนั้น ผมคนเดียวมีหรือจะสู้ฝรั่งตัวโตๆตั้งหลายคนได้

‘เอกจะทำยังไง ถ้าน้าสุรู้?’พี่เหยาถาม และผมก็ต้องยอมรับ ว่านั่นไม่ได้อยู่ในความคิดผมเลย

‘แม่จะรู้ได้ยังไง?’ผมย้อนถาม อย่างดื้อดึง

‘ก็แล้วถ้ารู้ล่ะ?...ถ้ารู้...เอกจะบอกน้าสุว่ายังไง?’พี่เหยาถาม ตาจับจ้องที่ประตู เสียงพูดคุยใกล้เข้ามาทุกที

ผมไม่แน่ใจ ว่าแม่จะรู้เรื่องอะไรได้ ก็แค่เรื่องต่อยตี มันไม่ใช่ครั้งแรกของผมเสียหน่อย ทอมต่างหากที่ต้องเป็นคนตอบคำถามทั้งหมด...แต่ถ้าแม่รู้ล่ะ?...ผมเริ่มคิด

ตั้งแต่เริ่มโต คำเตือนที่ได้ยินจนหูชาทั้งจากพ่อกับ แม่ และจากบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย คือคำเตือนเรื่องความรัก...ยังไม่ถึงวัยบ้างล่ะ...หน้าที่ของพวกผมตอนนี้คือการเรียนบ้างล่ะ...แต่ไม่มีอาจารย์คนไหนหรือแม้แต่พ่อแม่กล้าออกปากเตือนว่า...อายุแค่นี้อย่าริอ่านมีเซ็กซ์ ผมรู้...ไม่ใช่ว่าไม่เตือนคืออนุญาติ แต่ไม่เตือนเพราะไม่อยากชี้โพรงให้กระรอกวัยแก่แดดอย่างพวกผม ไม่เตือนเพราะคิดและรู้ว่า...วัยอย่างพวกผมยังห่างไกล

แล้วแม่จะว่าอย่างไร ถ้ารู้ว่าลูกชายแม่รู้จักคำนี้ รู้จักเซ็กซ์ ก่อนที่แม่จะจูงมือไปทำบัตรประชาชนเสียอีก...แม่จะว่าอย่างไร ถ้าเซ็กซ์ที่ว่า เกือบใกล้เคียงกับการข่มขืน ที่ตัวลูกชายแม่เองเป็นฝ่ายกระทำ ซ้ำร้ายฝ่ายตรงข้ามยังเป็นผู้ชาย...เป็นพี่เหยาที่แม่ภูมิใจนักหนา

ถ้าความเป็นเด็ก ทำให้ใครต่อใครยกโทษให้...แต่ผมรู้ ตลอดชีวิตจะไม่มีใครลืมมัน...เหมือนกับไอ้วิทย์ที่ไม่เคยเปิดปากพูดถึงความผิดผม แต่วันหนึ่งมันก็ด่าแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด...เพราะกูไม่เหี้ยเหมือนมึง...

ถ้าแม่รู้...ผมจะสู้หน้าแม่ต่อไปอีกได้อย่างไร...

ให้เพื่อนรู้...ไม่เหมือนกับให้พ่อแม่รู้...ความรู้สึกมันต่างกัน โดยเฉพาะกับเรื่องเซ็กซ์

คิดได้แค่นี้ ความกลัวมันก็วิ่งแซงความกล้า เพียงแต่เป็นความกลัวต่อความรู้สึกผิดต่อพ่อและแม่...

อาจเป็นเหตุผลเดียวกันว่า...ทำไมพี่เหยาถึงยอมทุกอย่าง เพียงให้ทุกอย่างเป็นความลับตลอดไป ถ้าเพียงผมไม่เป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้ามา ผมเองก็คงไม่มีวันล่วงรู้ความลับนั้นเช่นกัน

...ความผิดเก็บไว้กับตัวดีที่สุด ไม่ใช่เพียงเพื่อปกป้องตัวเอง แต่เป็นการปกป้องคนที่เรารักด้วย...พี่เหยาเคยบอกผมอย่างนั้น และวันนี้ผมก็เข้าใจ

การให้ผมหลบซ่อนตัว ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวผม แต่มันเพื่อตัวพี่เหยาเองด้วย...ถ้าแม่รู้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เรื่องของพี่เหยาจะเป็นความลับอีกต่อไป มันจะกลายเป็นเรื่องราวระหว่างผู้ใหญ่ ไม่มีเหตุผลที่พ่อแม่ของพี่เหยาจะไม่รู้เรื่องอีกต่อไปเช่นกัน... มันไม่เกี่ยวว่า ใครคือฝ่ายกระทำ หรือถูกกระทำ...ใครควรถูกกล่าวโทษ หรือควรได้รับความเห็นใจ หากแต่เรื่องบางเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน...ความลับคือคำที่ดีที่สุด...

‘เอก!...เร็วสิ’พี่เหยาเร่งเมื่อผมยังยืนนิ่ง

‘เอก...’

ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องนอนสงบนิ่งอยู่ใต้เตียงอย่างคนขี้ขลาด มองเห็นก็แต่ปลายเท้าของใครต่อใครที่บุกรุกเข้ามาอย่างถือดี...มองเห็นเพียงปลายเท้าพี่เหยาที่ก้าวถอยอย่างคนไม่มีทางสู้ ก่อนที่จะถูกเหวี่ยงขึ้นมาบนตียงเหมือนตุ๊กตาที่ไม่มีชีวิต

ถึงมองไม่เห็น แต่ผมก็นึกเห็นในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเสียงทุกอย่างมันแจ่มชัดที่ปลายหู...เสียงการต่อสู้ดิ้นรนของคนไร้ทางสู้...เสียงพูดคุยและหัวเราะชอบใจของคนที่หลงลืมความเป็นมนุษย์ของตัวเอง

ชุดนักศึกษาที่ถือว่าเป็นเกราะกำบังกายชั้นเยี่ยม ที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้สวมใส่ย่อมได้รับการปกป้องจากสังคม มาตอนนี้ผมได้ยินเสียงมันถูกฉีกกระชากอย่างไม่ใยดี กระดุมที่เมื่อครู่ผมยังค่อยๆปลดออกทีละเม็ดอย่างถนอมมือกลับถูกแรงกระชาก ขาดกระเด็น ร่วงหล่นบนพื้น

เสียงฝ่ามือหยาบหนา ที่คงกระทบกับผิวแก้มเย็นๆของพี่เหยา หลายต่อหลายครั้ง...มันเงียบลงพร้อมกับการดิ้นรนขัดขืนที่สิ้นสุดลง

แม่จะรู้ได้ยังไง?...ผมถามตัวเอง เมื่อความอดทนนั้นสิ้นสุด แต่เพียงแค่ขยับตัว ผมก็เย็นวาบไปทั้งตัว เมื่อเห็นเงาขาของใครคนหนึ่งเดินมาที่ช่องประตูที่ปิดไม่สนิท

ถึงไม่เห็นหน้า แต่อะไรบางอย่างก็บอกผมว่า...คือทอมที่ยืนอยู่ตรงนั้น

คือทอม...ที่ยืนมองพี่เหยากำลังถูกทำร้าย

มันเป็นความสับสนที่เกิดขึ้น จนผมแทบจะไม่เข้าใจแม้แต่สิ่งที่ตัวเองคิด

ผมดีใจ...พี่เหยาจะได้รู้สักทีว่าทอมชั่วชาติเพียงไร ต่อไปคำขอโทษของทอมจะได้ไร้ความหมาย




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 01-04-2008 18:32:18
แต่ผมก็ผิดหวัง เมื่อเจ้าของขาที่ผมคิดว่าเป็นทอม หยุดยืนอยู่แค่ตรงนั้น สุดท้ายเดินหันหลังจากไป

หรือจะไม่ใช่ทอม...ผมคิด

ใช่แน่ๆ...ผมแน่ใจ

กุญแจที่ลงไว้ปิดทางหนีมันบอกชัด

เพื่อนของทอมหรือจะกล้าถือวิสาสะเข้ามาถ้าทอมไม่อนุญาต

มันเป็นคำเตือน...เป็นบทลงโทษ ที่ผมแตะต้องของๆทอม โดยที่ทอมไม่อนุญาติ...ผมรู้ และ พี่เหยาก็คงรู้

การต่อสู้ ดิ้นรนของพี่เหยาจบลงแล้ว เหลือก็แต่เสียงเตียงที่ลั่นเอี๊ยด อ๊าดเป็นจังหวะ...เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยของคนที่คิดว่าตัวเองชนะและเสียงลมหายใจหื่นกระหายกับเสียงครางในลำคออย่างน่าขยะแขยง...แต่ไม่มีเสียงของพี่เหยาเลย

มันดัง...หยุด...และเริ่มต้นใหม่ อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น


ผมยกมือขึ้นปิดหู ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากได้ยิน อีกส่วนหนึ่งเพราะรู้...พี่เหยาไม่อยากให้ผมได้ยิน

ผมกดหูตัวเองจนรู้สึกเจ็บ...แต่เสียงทุกอย่างก็ยังเล็ดลอดให้ได้ยิน ผมเพิ่มแรงกดให้มากขึ้น...เจ็บยิ่งขึ้น ผมจึงได้รู้ บางครั้งความเจ็บปวดก็ช่วยให้อะไรๆดีขึ้น ดังนั้นเมื่อผมกดฝ่ามือเข้าที่หู แรงขึ้นๆ ผมก็จิกปลายเล็บลงกับปลายเล็บ จิกมันลงใบหู ลงกับเนื้ออ่อนๆ หลังใบหู เรื่อยมาที่หน้า ไม่สนใจความเปียกชื้นที่ไม่ใช่เหงื่อ ไม่สนใจกลิ่นคาวเลือดอ่อนๆที่ติดอยู่ที่ปลายเล็บ

น้ำตาผมหยุดไหลไปแล้ว เหลือแต่ความชาไปทั้งตัว ทั้งความรู้สึก จนเล็บที่ยังจิกลงบนผิวเนื้อไม่สามารถสร้างความเจ็บปวดให้ผมอีกต่อไป แต่เสียงความสิ้นหวังของพี่เหยาก็ยังเจนหูอยู่อย่างนั้น

ผมยื้อแย่งหาความเป็นเจ้าของ แต่เมื่อถึงเวลา ผมทำได้แค่ซ่อนตัว ไม่สามารถปกป้องสิ่งที่ตัวเองดึงดันจะเอาเป็นของตัวได้สักนิด

ผมบอกตัวเอง ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า...ไม่เอาอีกแล้ว ผมจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว ไม่อยากรู้สึกอย่างนี้อีกแล้ว ผมท่องอยู่อย่างนั้น...ไม่เอาอีกแล้ว...ไม่เอาอีกแล้ว และไม่เอาอีกแล้ว

ผมท่องอยู่อย่างนั้น...ไม่เอาอีกแล้ว ในขณะที่หูได้ยินเสียงที่ค่อยๆเงียบลง

...ไม่เอาอีกแล้ว...ผมบอกกับตัวเอง เมื่อมองดู เท้าแต่ละคู่เดินออกจากห้องไป

แต่ผมก็ยังนอนนิ่ง ไม่มีเสียงอะไรอีกแล้ว นอกจากเสียงที่ตัวเองตะโกนบอกตัวเองในใจ...ไม่เอาอีกแล้ว!...

ผมนอนอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่เพราะกลัวว่าพวกมันจะย้อนกลับขึ้นมา แต่เพราะในหัวมันว่างเปล่า ได้ยินก็แต่เสียงตะโกนของตัวเอง

ผมสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงพี่เหยาเรียก เพิ่งรู้ว่ามือตัวเองยังกดแน่นอยู่ที่หู ปลายเล็บยังจิกลึกอยู่ในเนื้อ กับเสียงที่ยังดังวนเวียนอยู่ในหัว...ไม่เอาอีกแล้ว...

ผมขยับตัว คลาน ออกจากใต้เตียงช้าๆ เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังก้าวผ่านวินาทีที่น่ารังเกียจจนน้ำตามันไหลออกมาอีกครั้ง ไหลให้กับความน่าสมเพชของตัวเอง

เมื่อลุกขึ้นยืน ผมยังยืนหันหลังให้กับพี่เหยา ไม่กล้าหันกลับไปมอง นึกอยากเดินหนีมาทั้งอย่างนั้น นึกอยากหนีไปให้เร็วที่สุด นึกอยากหลอกตัวเองว่า...มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย

“เอกกลับไปก่อนนะ...”พี่เหยาพูด ด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติที่สุด แต่นั่นก็ช่วยให้ผมยอมหันกลับไปมองความจริง

ภาพที่เห็น มันโหดร้ายยิ่งกว่าที่ผมคิดและนึกไว้ จนผมทรุดลงไป ไม่สามารถยืนอยู่ได้อีก

...ทำไมมนุษย์ ทำต่อกันได้ขนาดนี้?!...

ผมมองสองมือของพี่เหยาที่ถูกผูกไว้กับหัวเตียง...สองมือที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วยังโอบกอดผมอย่างอ่อนโยน

มองดูแก้มขาวๆที่ตอนนี้แดงช้ำ ยังนึกจำได้ว่าแก้มของพี่เหยาเย็นเมื่อแนบอยู่กับแก้มร้อนๆของผม

“ไม่เป็นไร...เอกกลับไปก่อนนะ”พี่เหยาพูดปลอบ มองดูผมที่ทรุดตัวอยู่ตรงนั้น

ผมหมดแรงที่จะลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง ทำได้ก็แต่คลานเข้าไปหาพี่เหยา ในขณะที่ตาจับจ้องที่ลำคอพี่เหยาที่แดงเป็นรอยมือเด่นชัด

“ไม่เป็นไร เอกกลับไปเถอะ”พี่เหยาบอกอีกครั้ง เมื่อผมพยายามจะแกะเนคไทด์ที่มัดแน่นบนข้อมือพี่เหยาออก

“เอก พี่บอกให้กลับไปก่อน!”พี่เหยาพูด เกือบเป็นตวาดเมื่อผมไม่ยอมฟังเสียง แล้วผมก็เพิ่งนึกเห็นท่าทางผิดปกติของพี่เหยา

“อย่า...เอกกลับไปเถอะ”เสียงของพี่เหยาเปลี่ยนเป็นอ้อนวอน เมื่อผมไล่สายตาช้าๆไปตามร่างกายของพี่เหยาซึ่งเต็มไปด้วยรอยช้ำ และหลักฐานความโสมมของพวกมัน

ผมได้ยินเสียงหายใจอย่างหวาดกลัวของตัวเอง ได้ยินเสียงริมฝีปากตัวเองที่สั่นระริก

คราบขาวขุ่นที่แสดงถึงความเลวทรามของคนพวกนั้นแห้งเกระกรังอยู่ตามเรียวขาทั้งสองที่ถูกบีบเข้าหากัน แม้จะนึกรังเกียจจนไม่อยากสัมผัส แต่ผมก็เอื้อมมือไป

“อย่ามอง!”เสียงพี่เหยาตะโกนปนสะอื้น เมื่อผมดึงเรียวขาทั้งสองให้แยกออกจากกัน

“อย่ามอง!”พี่เหยาสะอื้น อ้อนวอน เมื่อตาผมยังจับนิ่งอยู่กับภาพที่เห็น...ขวดแก้วสีเขียวที่ฝังคอขวดไว้กับร่างไร้ทางดิ้นรนของพี่เหยา

ขาทั้งสองของพี่เหยาที่ผมเกาะกุมไว้นั้นสั่นระริก พยายามดิ้นรนให้พ้นจากการเกาะกุมของผม

“อย่ามอง!”พี่เหยาเฝ้าอ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ตาผมก็ยังจับจ้องอยู่อย่างนั้น

ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยได้ยิน...เพียงแต่ไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นตรงหน้า

ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยรู้...แต่ก็นึกรู้ และนึกเชื่อ ว่าทอมจะไม่ทำกับพี่เหยาแบบนี้

“อย่า!”พี่เหยาร้อง เมื่อผมเอื้อมมือไปสัมผัสเนื้อแก้วเย็นๆ ผมจึงชะงักมือไว้ก่อนที่จะดึงกระชากมันออกอย่างไม่ทันรู้ตัว

ผมดึงมันออกมาช้าๆ มองดูคราบขาวขุ่นโสโครกที่เปื้อนเปรอะรอบปากขวด มองดูเลือดสีแดงๆที่กลืนเป็นเนื้อเดียวกับคราบขุ่นโสโครกนั้น ผมมองดูมันไหลลงมาตามคอขวดช้าๆ และยกมันปาลงพื้นจนแตกกระจาย ก่อนที่มันจะไหลลงมาเปื้อนมือ

พี่เหยายังสะอื้น พยายามซุกซ่อนดวงหน้าลงกับที่นอน สองแขนที่ยังไม่เป็นอิสระ ก็พยายามดึงมาปกปิดดวงหน้าที่แดงกล่ำของตัวเองไว้

“เอกกลับไปเถอะ...”พี่เหยาพูดปนสะอื้น เมื่อผมกลับไปพยายามแกะเนคไทด์ที่รัดข้อมือพี่เหยาไว้จนห้อเลือดอีกครั้ง

ผมไม่พูดอะไร พยายามใช้เล็บแกะปมที่มัดแน่น ไม่สนใจเลือดที่ไหลออกมาจากปลายนิ้วของตัวเอง

ผมมองดูผ้าปูที่นอนที่ยับย่น มองดูหยดเลือดที่ซึมซับ กระจัดกระจายอยู่กับผ้าปูที่นอนยับย่นนั้น

ทั้งกลิ่นคาวเลือด กลิ่นคาวความโสโครกของคนมันเจนจมูกขึ้นทุกที

ผมสะดุ้ง เมื่อมือที่กำลังพยายามแกะปมเนคไทด์อยู่ ถูกเกาะกุมไว้

ผมไม่รู้ว่าสองมือของพี่เหยาได้รับอิสระตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ก็เมื่อมันเกาะกุมมือผมที่ยังสาละวนอยู่กับเนคไทด์ว่างเปล่านั้น

ผมมองดูร่างของพี่เหยาที่เปรอะเปื้อน นึกอยากถอยตัวออก แต่ก็ข่มใจตัวเองให้หยุดอยู่ตรงนั้น กลิ่นคราบคาวจากตัวพี่เหยานั้นเด่นชัดจนนึกอยากอาเจียน

“เอก...พี่ขอโทษ”พี่เหยาพูดปนสะอื้น กุมสองมือเย็นๆกับใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของผม

มันแสบขึ้นมาเมื่อพี่เหยาไล่ปลายนิ้วไปช้าๆ...แผลจากรอยเล็บของตัวเอง...ผมเพิ่งนึกได้

“พี่ขอโทษ”พี่เหยาพร่ำพูด จับจ้องที่ใบหน้าและปลายนิ้วเปื้อนเลือดของผม

คำขอโทษที่พี่เหยาพร่ำพูด มันไม่ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นแม้แต่นิดเดียว ตรงข้าม มันยิ่งตรอกย้ำความไม่เอาไหนของตัวเอง ที่สุดท้ายผมก็แสดงออกแต่ความอ่อนแอ ให้พี่เหยาปกป้องด้วยคำขอโทษ

“ผมไม่เป็นไร...พี่อย่าขอโทษผมสิ”ผมพูดดึงมือออกจากการเกาะกุมของพี่เหยา พยายามจะฝืนยิ้มแต่ไม่สำเร็จ

ผมก้มหน้าหลบ เมื่อพี่เหยาจับจ้องหน้าผม เพื่อพยายามค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับผมในเวลานั้น

“เอกกลับไปก่อนนะ พี่ไม่เป็นไร...”พี่เหยาพูด ในที่สุด...พี่เหยารู้จริงๆว่าอะไรคือสิ่งที่ผมต้องการที่สุด...การออกไปจากห้องนั้นนั่นเอง...

“แล้วพี่ล่ะ?”ผมถาม ถึงผมอยากออกมาให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ความหมายของการทิ้งพี่เหยาไว้

“ไม่เป็นไร...เดี๋ยวทอมก็กลับมา เดี๋ยวทอมก็จัดการเอง”พี่เหยาตอบ และผมงงงันกับสิ่งที่ได้ยิน

มันหมายความว่ายังไง!?...ผมคิด

หมายความว่า พี่เหยายังคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี่ ทอมไม่รู้เห็นด้วย?

หมายความว่า พี่เหยาเชื่อว่าทอมจะปกป้องพี่เหยาได้?...หรือมันมีความหมายอื่นอีก?

“พี่หมายความว่ายังไง?”ผมถาม แต่ไม่รอคำตอบ

“พี่คิดว่ามันไม่รู้เรื่องเหรอ... มันยืนอยู่หน้าห้องดูพี่ พี่ไม่รู้หรือไง?”

พี่เหยาไม่รู้ และไม่คิด...เป็นคำตอบที่ผมเห็นได้จากดวงตาที่สับสน ตกใจ และหวาดกลัวของพี่เหยา

“เอกรู้ได้ยังไง?”พี่เหยาถาม แต่ผมรู้มันไม่ใช่แค่คำถาม แต่มันเป็นคำปฏิเสธของพี่เหยาว่า...ไม่จริง

“ก็ผมเห็น!”ผมโกหก ผมไม่เห็น แต่ผมมั่นใจว่าเป็นมัน

“เอกเห็นได้ยังไง?”พี่เหยายังไม่ยอมแพ้

“เห็นก็แล้วกัน? ทำไมพี่ไม่เชื่อ...มันแปลกตรงไหนที่มันจะทำ...ไอ้สัตว์นรกนั่น ทำไมมันจะทำไม่ได้”ผมพูดอย่างเกรี้ยวกราด เจ็บใจมัน เจ็บใจพี่เหยาที่เชื่อมันและเจ็บใจตัวเอง เพราะพี่เหยาไม่เชื่อผมสักนิด

“ถ้าไม่ใช่มัน แล้วไอ้พวกระยำพวกนั้นมันเข้ามาได้ยังไง!?”ผมตะโกนด้วยความเจ็บใจทั้งหมด ไม่สนใจพี่เหยาที่ไม่ได้ฟังผมเลยสักนิด




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 01-04-2008 18:34:00
“แปลว่าทอมโกรธ...”พี่เหยาพูดกับตัวเองเสียมากกว่าที่พูดกับผม

ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เหยาคิดได้แค่นั้น ถ้าทอมโกรธ..หมายความว่าทอมมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ? แล้วทอมมีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธ?...

พี่เหยาสะอื้นออกมาอีกครั้ง มองแลเลยไปด้านหลังของผม...ผมมองตาม...เศษแก้วสีเขียวแตกละเอียด กระจายอยู่เต็มพื้น แล้วผมก็เข้าใจ...ถ้าทอมรู้...ก็หมายความทุกสิ่งควรเป็นอยู่อย่างเดิมหากไม่มีผม

สองแขนของพี่เหยาไม่ควรเป็นอิสระ อย่างที่ขวดแก้วขวดนั้นไม่ควรแตกกระจาย มันควรอยู่ในที่ๆมันไม่ควรอยู่

ความเจ็บปวด และทรมานของพี่เหยา ก็เหมือนแม่กุญแจ ที่เอาไว้ต้อนผมให้จนมุมเท่านั้น

ถ้าผมอยากหลบซ่อนตัวต่อไป ผมก็ต้องทำในสิ่งที่คนที่ผมเพิ่งด่าไปว่า... สัตว์นรก... ทำ

“ไม่เอา...”ผมได้ยินเสียงตัวเองพูดปนสะอื้น

“ผมไม่ทำ...”ผมพูดพลาง ผมลุกถอยออกจากเตียง หนีจากพี่เหยาที่จ้องมองผมอย่างเย็นชา

“ป่านนี้แล้ว ยังไงก็ต้องทำ!”เสียงพี่เหยาบอกผม มันไม่ใช่เสียงปลอบอีกต่อไป ไม่ใช่เสียงปนสะอื้นไห้...แต่เป็นเสียงประชดประชัน คล้ายสะใจ

ใช่แล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะตัวผมเอง...เพราะความดึงดันเอาแต่ใจ บีบบังคับพี่เหยาโดยย่ามใจถือเอาเป็นชัยชนะว่าได้ร่วมมือกับพี่เหยา ทรยศทอม ...ย่ามใจว่าทอมไม่รู้ ทอมไม่เห็น

“ไม่เอา ผมไม่ทำ...”ผมปฏิเสธ คิดว่าเป็นไงก็เป็นกัน ผมไม่จำเป็นต้องกลัวทอม

พี่เหยาไม่ได้พูดอะไรอีก ลุกขึ้น หยิบเสื้อคลุมตัวที่ผมนึกชอบที่สุดเวลาเห็นพี่เหยาใส่มันมาใส่ และเดินออกจากห้องไป

ผมทรุดลงไปนั่งอยู่ที่เดิม นึกอยากเดินตามออกไป แต่ก็ไม่เหลือกำลังอะไรที่จะทำ

พี่เหยาเดินกลับเข้ามาพร้อมไม้กวาด และที่ตักผง...กวาดเศษแก้วที่ผมปาแตกกระจาย ด้วยใบหน้าไร้ชีวิต จะมีก็แต่น้ำตาที่มันไหลอยู่เงียบๆ แต่ไม่มีเสียงสะอื้นใดๆเลย

ผมนั่งมอง จนพี่เหยาเดินออกไปอีกครั้ง...ได้ยินเสียงพี่เหยาเดินลงไปชั้นล่าง และกลับขึ้นมาอีกครั้ง

พี่เหยาไม่ได้กลับเข้ามาในห้อง...ได้ยินก็แต่เสียงเปิดประตูห้องที่อยู่อีกฟากหนึ่ง...เสียงประตูห้องของทอม ที่ผมไม่เคยย่างกายเข้าไป

ผมลุกขึ้นเดินตามออกไป นึกสงสัยว่าพี่เหยาเข้าไปในห้องของทอมทำไม

ประตูห้องของทอมเปิดทิ้งไว้ ผมจึงสามารถมองผ่านเข้าไปโดยที่พี่เหยาไม่รู้ตัว

ห้องนอนของทอมกินพื้นที่เกือบครึ่งของพื้นที่ทั้งหมด ในห้องดูมืดทึมด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนสีดำ ทั้งโต๊ะ ตู้ เตียง ไม่ได้ดูสว่างเหมือนห้องนอนของพี่เหยา

ตู้เย็นขนาดย่อมถูกเปิดทิ้งไว้ เห็นขวดเบียร์สีเขียวเรียงรายเต็มตู้

พี่เหยายืนอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของห้อง หน้าตู้ปลาขนาดใหญ่ที่วางเรียงกันอยู่สามตู้

ผมลืมไปแล้ว ว่าทอมเลี้ยงปลา เพราะนานมาแล้วหลายปี หากจำไม่ผิด ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาก่อนที่พี่เหยาจะมาอยู่กับทอมเสียด้วยซ้ำไป

ผมจำได้ทอมยกถุงปลาถุงใหญ่ให้ผมดู...ถุงปลาที่ใหญ่โตกว่าหัวผมในเวลานั้นเสียอีก

ปลาสีเทาตัวยาวที่ดูอย่างไรก็ไม่สวยว่ายอยู่โดดเดี่ยวในถุงที่อัดลมใบใหญ่ พ่อบอกว่ามันคือปลามังกร แต่ผมไม่ได้สนใจ ผมสนใจปลาทองตัวเล็กหลายๆตัวในถุงอีกใบเสียมากกว่า

‘ปลาเหยื่อ’พ่อว่าอย่างนั้น ตอนนั้นผมยังเด็ก ได้แต่สงสัยในใจว่าปลาเหยื่อหน้าตาคล้ายปลาทอง และจำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ที่รู้ว่า ปลาเหยื่อก็คือปลาทองตัวเล็กๆที่สวยในสายตาของคนทั่วไปอย่างผม แต่คงไม่สวยนักในสายตาของนักดูหรือนักเลี้ยงปลา มันจึงถูกเอามาขายในราคาถูก เพื่อเป็นอาหารให้แก่บรรดาปลากินเนื้อราคาแพง อย่างปลามังกร

ผ่านไปกี่ปีแล้วไม่รู้ แต่ปลามังกรในตู้ตอนนี้ดูตัวไม่โตไปกว่าวันนั้นเท่าไหร่ เลย

ปลามังกรสองตัวยังว่ายอยู่โดดเดี่ยวในตู้คนละใบ

ผมไม่รู้ว่าพี่เหยาถืออะไรไว้ในมือ แต่รู้เมื่อพี่เหยาเปิดช่องเล็กบนฝาตู้ที่เอาไว้ใส่อาหาร

เสียงคล้ายเปิดกระป๋อง พี่เหยาคล้ายใส่อะไรบางอย่างลงไป แล้วน้ำสีเหลืองอ่อนๆก็ฉีดพุ่งลงในตู้ปลา พร้อมๆกับฟองสีขาวและ ปลามังกรราคาแพงก็ว่ายชนกระจกเสียงดังด้วยความตกใจ

กระป๋องเบียร์สีเขียวถูกโยนทิ้งลงในถังผงที่ว่างเปล่า ก่อนที่พี่เหยาจะเดินกลับไปที่ตู้เย็น คราวนี้ที่พี่เหยาหยิบออกมาคือขวดแก้วสีเขียวเหมือนกันกับที่เมื่อครู่มันแตกกระจายอยู่บนพื้นไม่ผิดเพี้ยน

พี่เหยาเปิดขวด และยกมันขึ้นดื่ม ก่อนที่จะเดินกลับไปที่ตู้ปลาตู้ที่สอง

ช่องสำหรับใส่อาหารถูกเปิดกระชากออก ก่อนที่เบียร์เย็นๆจะถูกรินลงไปช้าๆ แตกต่างจากคราแรก

ผมนึกอยากร้องห้ามพี่เหยา แต่ก็เปลี่ยนใจ เพราะเมื่อผมเลื่อนสายตาลงมองต่ำ ของเหลวขาวขุ่นไหลลงมาตามเรียวน่องของพี่เหยา พี่เหยาเพียงแต่ใช้เท้าอีกข้างยกขึ้นเช็ดมันก่อนที่มันจะทิ้งรอยไว้บนพื้นไม้ปาร์เก้ขัดมันจนเงา ตาพี่เหยาก็ยังจับจ้องอยู่ที่ปลาที่ยังว่ายสงบอยู่ในตู้

ผมไม่รู้ว่าเบียร์จะมีผลอะไรกับปลาตัวเล็กๆหรือเปล่า...หากมี ก็คงไม่มากเท่าไหร่ ก็ตู้ออกจะใหญ่ น้ำก็เต็มตู้...ผมคิด จึงได้แต่มองดูพี่เหยาเงียบๆ

ผมไม่แน่ใจนักว่าควรถอยออกมาเงียบๆ ไม่ให้พี่เหยารู้ว่าผมยืนอยู่ตรงนั้นดีหรือเปล่า แล้วผมก็ตัดสินใจยืนอยู่ที่เดิม เมื่อสังเกตเห็นเงาตัวเองที่สะท้อนอยู่บนตู้ปลา พี่เหยาคงเห็นผมแล้ว แต่ผมคิดผิด เพราะเมื่อพี่เหยาหันมา ดูพี่เหยาจะตกใจเมื่อเห็นผมยืนอยู่ตรงนั้น

พี่เหยามองผม มองดูขวดเบียร์ในมือ และหันไปมองดูปลาในตู้ที่ยังว่ายอยู่อย่างสงบ

ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไร หรือแสดงอาการแบบไหน...แน่นอนว่าสิ่งที่ผมเห็นมันทำให้ผมตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ธรรมดาเหลือเกิน เมื่อเทียบกับคราบเหนียวๆสีขาวที่เปรอะเปื้อนอยู่ทั่วร่างกายพี่เหยา

ผมมองดูกระป๋องเบียร์ที่พี่เหยาโยนทิ้งไว้ในถังขยะที่ว่างเปล่า ไม่แน่ใจว่าควรเก็บออกมาทิ้งข้างนอกหรือเปล่า พี่เหยามองตาม แต่สุดท้ายก็แค่ยักไหล่และเดินผ่านผมออกมา

ก่อนที่จะทันปิดประตู เดินตามพี่เหยาไป ผมก็สังเกตเห็นคราบขาวๆที่เลอะอยู่บนพื้น ใจหนึ่งอยากปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น แต่สุดท้ายผมก็เดินเข้าไป ก้มลงและใช้ชายเสื้อนักศึกษาเช็ดมันทั้งที่ใจนึกขยะแขยง...ผมกลัว กลัวว่าปลาจะตาย และทอมจะรู้ว่าพี่เหยาเป็นคนทำ แต่พี่เหยาก็ทิ้งกระป๋องเบียร์ไว้ทั้งอย่างนั้น...เหมือนท้าทาย...สุดท้ายผมก็หยิบกระป๋องเบียร์ติดมือออกมาด้วย

พอกลับออกจากห้องของทอม ผมก็กลับออกมาสู่ความรู้สึกเดิมๆอีกครั้ง ผมจำได้..พี่เหยาเดินออกจากห้องของทอมพร้อมขวดเบียร์สีเขียวที่ผมรู้ว่า เพื่ออะไร

ผมอยากหนีกลับไปทั้งอย่างนั้น...แต่หลังจากนั้นล่ะ จะเป็นอย่างไร?...

ทอมอาจจะยังไม่รู้ว่าใครอีกคน คือ ผม...แต่ผมไม่ได้อยากเอาตัวรอด ที่อยากให้รอดคือทั้งผมและพี่เหยา

ผมไม่เข้าใจ...ทอมให้พี่เหยานอนกับใครตั้งหลายคนรวมทั้งผม แล้วมันจะแตกต่างอะไรกับใครอีกแค่หนึ่งคนที่ทอมไม่รู้...

...แตะต้องได้ เท่าที่ทอมอนุญาติ...นั่นคือคำตอบที่ผมรู้แก่ใจ ผมถึงได้พยายามดึงดันแสดงสิทธิ์ที่จะเทียบเท่าทอม...แต่สุดท้ายผมทำอะไรให้แก่คนที่ผมดึงดันจะเอาเป็นของตัวได้บ้าง?

ผมเดินกลับเข้าไปในห้องพี่เหยา เมื่อตัดสินใจว่า อย่างไรก็ต้องพาพี่เหยากลับออกไปให้ได้ก่อนทอมกลับ ให้ต้องบังคับผมก็จะทำ แต่ในห้องกลับว่างเปล่า ขวดเบียร์สีเขียวถูกวางทิ้งไว้บนที่นอนยับๆ

ผมสะดุ้งสุดตัว เมื่อมือเย็นๆของพี่เหยาเอื้อมมาจับมือผมจากด้านหลัง

พี่เหยาหัวเราะ ก่อนดึงมือผมให้นั่งลงที่ริมเตียง

ผมมองดูพี่เหยาใช้ผ้าขนหนูเปียกๆเช็ดปลายนิ้วที่เปื้อนเลือดของผม ทีละนิ้ว...มันเหมือนตอนที่ผมเพิ่งเข้าทีมบาสใหม่ๆ ที่เล็บฉีกกลับบ้านเกือบทุกวัน

‘คนอื่น เป็นแบบนี้หรือเปล่า เพื่อนพี่ที่เล่นบาสไม่เห็นมีใครเล็บฉีก?’พี่เหยาถามแกมบ่นทุกครั้งที่ผมเล็บฉีกกลับมา บางครั้งฉีกมากขนาดที่เลือดซึมตลอด เดือดร้อนพี่เหยาต้องเป็นคนใส่ยา ติดปลาสเตอร์ให้ ผมได้แต่ส่ายหัว

‘ไม่รู้ หรือว่าไม่เป็น?’พี่เหยาถาม

‘ไม่รู้!’ผมโกหก เพราะจริงๆ ไม่เห็นมีใครเป็นกันสักคน

‘แน่ใจ?’พี่เหยาถามอย่างรู้ทันตามเคย

‘ก็ไม่รู้จริงๆ! ผู้ชายที่ไหนจะมานั่งบ่นเรื่องหยุมหยิม!’ผมย้ำแกมแขวะ เมื่อพี่เหยารู้ทัน และได้ผลทันตาเห็น มือที่ใส่ยาให้ผมอยู่อย่างเบามือเปลี่ยนเป็นบีบลงบนเล็บผมเต็มแรง แบบที่ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด

‘ขอโทษๆ’ผมร้องลั่น นั่นแหละพี่เหยาถึงยอมปล่อย

‘ดีเหมือนกันแฮะ!...ต่อไปไม่ต้องใช้ไม้บรรทัดเคาะ ใช้วิธีบีบเล็บแทน’พี่เหยายิ้มกระหยิ่ม เมื่อนึกวิธีลงโทษผมแบบใหม่ได้ และจะเพราะกลัวคำขู่ของพี่เหยาหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ผมก็ไม่เคยได้แผลที่ปลายเล็บกลับไปให้พี่เหยาบีบอย่างที่หมายมั่นอีกเลย

“เมื่อก่อน เล็บผมก็ฉีกเป็นประจำ...”ผมพูดขึ้นทำลายความเงียบ พี่เหยายิ้มรับแปลว่าจำได้เช่นกัน

พอเล็บมือผมสะอาดไม่เหลือรอยเลือด พี่เหยาก็ใช้ผ้าเช็ดเบาๆที่แก้มผม

มันแสบจนผมต้องผงะถอย

“เลือดเต็มเลย...กลับไปแบบนี้จะบอกน้าสุว่ายังไง?”พี่เหยาถาม

...แม่อีกแล้ว...ผมคิด ปล่อยให้พี่เหยาเช็ดรอยแผลตามใบหน้าและหูให้โดยดี

“ใสปิ๊ง!”พี่เหยาพูดแกมหัวเราะ เมื่อลดมือลง เป็นอันว่าสะอาด หมดจด แต่คงไม่ใสปิ๊งอย่างที่พี่เหยาว่า

“แล้งแน่ ถ้าพี่จะเอาน้ำมาขัดจนผมใสปิ๊ง!”ผมพูด ก่อนยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 01-04-2008 18:38:36
“อือ...ตาเอกทำให้พี่บ้าง...”พี่เหยายิ้มและพูดเสียงเรียบๆ ก่อนโยนผ้าขนหนูทิ้ง และสิ่งที่พี่เหยาส่งให้ผมคือขวดเบียร์สีเขียวเข้ม

พี่เหยาพูดและใช้วิธีการเหมือนตอนผมเป็นเด็ก...พี่ทำให้เอกแล้ว ตาเอกทำให้พี่บ้าง...หรือบางครั้งก็เอาขนม เอาการ์ตูนมาหลอกล่อ...น่า แล้วเดี๋ยวพี่ซื้อการ์ตูนให้...

วิธีการและคำพูดเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน แต่ครั้งนั้นเรามีความสุข... แต่ครั้งนั้น เราต่างพูดและ หัวเราะได้เต็มเสียง ผิดกับครั้งนี้ ที่แม้น้ำตาจะหยุดไหลไปแล้ว แม้พี่เหยาจะยิ้ม แต่ทุกอย่างในโลกดูจะแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี

ในความเป็นจริง มันอาจจะง่ายที่เรา...ทั้งผมและพี่เหยา...จะหันหลังให้กับสิ่งที่เกิดขึ้น มันอาจจะง่ายที่เราจะหันหลังให้กับทอม

เมื่อเวลาผ่านไป ...เมื่อมองย้อนกลับไป ในความเป็นจริงแล้วทุกอย่างดูง่ายดายหากเราจะเลือกแข็งขืน...แต่มันก็เป็นแค่ความเป็นจริงเท่านั้น

ความเป็นจริง และสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นต่างกัน...เพราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราไม่รู้ว่า หากเราเลือกแข็งขืน สิ่งใดที่จะตามมา เราสร้างเงื่อนไขต่างๆขึ้นจากความกลัว ทำลายความกล้าและตัวตนของตัวเองจากสิ่งที่มองไม่เห็น และอาจไม่มีวันเกิดขึ้น...เราจึงเลือกทำในหนทางที่เรา...ไม่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง

ผมรับขวดเบียร์ที่ยังเหลือไอเย็น จากมือของพี่เหยา ไม่ได้ปฏิเสธมันอีกแล้ว ทั้งที่ใจผมยังตะโกนว่า...ไม่ ผมไม่ทำ...ทั้งที่ก่อนที่จะก้าวเข้ามาในห้อง ผมมุ่งมั่น จะพาพี่เหยาออกไปถึงพี่เหยาไม่เต็มใจ

แต่เมื่อกลับเข้ามา...ใจผมยังต่อต้าน หากแต่เป็นการต่อต้านโดยสงบและจำยอม

อาจเพราะพี่เหยาไม่ได้บีบบังคับให้ผมทำ เราไม่ได้โต้เถียงกัน ไม่ได้ใช้ถ้อยคำรุนแรงอย่างที่ผมวาดไว้ในความคิด หากแต่ทุกอย่างดูสงบ...ตา เอกทำให้พี่บ้างนะ...พี่เหยาพูด ราวกับเป็นเรื่องสุดแสนจะสามัญ จนความรู้สึกมันยอมรับอย่างสงบว่า...โลกมันสลายไปแล้ว ไร้ประโยชน์ที่จะต่อต้าน ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว...จริงๆ...

ทุกอย่างมันง่ายกว่าที่คิดไว้ ผมส่งผ่านสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างของพี่เหยาอย่างไม่ยากเย็นนัก อาจเพราะซากความเลวทรามของมนุษย์ที่ยังเหลือคั่งค้างอยู่ในตัวของพี่เหยา...

ตลอดเวลาเราต่างเบือนหน้า หลบสายตากันและกัน ได้ยินก็แต่ลมหายใจของกันและกัน...ลมหายใจที่ต่างข่มความเจ็บปวดเอาไว้ข้างในกันอย่างสุดกำลัง

ผมนึกถึงปลามังกรสองตัว...ถ้าหากว่าเบียร์เย็นๆจะมีผลต่อมันบ้าง หรือ หากแม้ว่ามันตาย...ปลาตัวหนึ่งจะค่อยๆตายอย่างไม่รู้สึกรู้สมต่อความเปลี่ยนแปลงรอบตัวสักนิด หากแต่ปลาอีกตัว มันรับรู้ แต่ก็ทำได้เพียงว่ายวนอยู่ในตู้ปลาที่ครั้งหนึ่งมันเคยคิดว่าใหญ่เพียงพอ...พี่เหยาเป็นปลาตัวไหน และผมเป็นปลาตัวไหน? ผมถามตัวเอง และคำตอบคือ ไม่ใช่ทั้งสองตัว เราต่างเป็นได้แค่ปลาเหยื่อ...เท่านั้นจริงๆ

“เอก...พอ...”พี่เหยาร้องเตือนเสียงแผ่ว เรียกให้ผมหลุดออกจากภาพความคิดของปลาทองสีสวยราคาถูก

ผมรีบปล่อยมืออย่างไม่รอช้า ไม่กล้าแม้แต่ก้มมองดูสิ่งที่เกิดจากน้ำมือของตัวเอง

พี่เหยายกแขนขึ้นพาดเหนือหัว ตาที่เมื่อครู่หันเบือนไปทางอื่นตอนนี้หันกลับมาจ้องหน้าผม

ผมดึงเนคไทด์ที่ยังผูกทิ้งไว้กับหัวเตียง มาพันรอบข้อมือพี่เหยา พยายามที่สุดที่จะไม่ให้มันรัดผิวเนื้อที่แดงจนช้ำรอบข้อมือเล็กๆของพี่เหยา

ตลอดเวลาที่ตาผมจับจ้องอยู่ที่เนคไทด์และข้อมือของพี่เหยา ผมรู้และรู้สึกว่าพี่เหยาจ้องมองผมตลอด แต่ผมไม่กล้าจะก้มลงสบตา แม้เมื่อเสร็จ ผมก็ยังก้มหน้านิ่ง ไม่กล้ามองพี่เหยาแม้แต่น้อย

“เอกกลับไปก่อนนะ...”พี่เหยาพูด เหมือนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว...ทำไมนะ ทำไมผมไม่ไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น เพราะถึงอยู่ ผมก็ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่มีค่าสักนิด กับการมีอยู่ของตัวเอง...ผมถามตัวเอง ก่อนเดินหันหลังออกมาก่อนที่น้ำตาจะหยดลงมาอีกครั้ง และพี่เหยาต้องเอ่ยปากขอโทษผมอีกหน

ผมล้วงมือหยิบกุญแจในกระเป๋ากางเกง นึกบอกตัวเองว่า เดี๋ยวผมจะทิ้งมัน ผมจะไม่กลับเข้ามาอีกแล้ว...

มือผมสั่น เมื่อพยายามไขกุญแจ

ทันทีที่ประตูเปิดออก ความรู้สึกต่างๆมันก็ถาโถมเข้ามา

ผมรู้สึกถึงอิสระ พอๆกับที่รู้สึกว่าตัวเองจะถูกกักขังอยู่ในความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต ทันทีที่ก้าวเท้าออกไป

ลมเย็นข้างนอก ทำให้ผมฉุกคิดถึงความสุขภายใต้เสื้อกันหนาวตัวเดียวกันกับพี่เหยา...ความสุขที่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงวัน แต่กลับรู้สึกว่ามันผ่านไปนานจนลางเลือน

ผมนึกสงสัย เมื่อวันหนึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันเบาบางลงในความรู้สึกของผม ผมจะสามารถจดจำความสุขในคืนที่ได้กอดพี่เหยาไว้ได้บ้างหรือเปล่า หรือจะจำได้ก็เพียงแต่ภาพของเหตุการณ์ ส่วนความสุขนั้นอาจจมหายไปกับความทุกข์ที่ยากจะลืมในวันนี้...

ทันทีที่ผมก้าวพ้นประตู ผมก็ชะงัก รถคุ้นตาจอดอยู่ใต้ร่มไม้ ในซอยฝั่งตรงข้ามที่เยื้องไปไม่ห่างนัก

รถคุ้นตา ที่เจ้าของรถดูจะเคยคุ้นตาเสียยิ่งกว่า...ทอม!ผมจำได้...

ชีวิตเป็นเรื่องความความบังเอิญที่ชวนให้ขบขัน

ทอมคงทนนั่งเฝ้าอยู่ตรงนั้นนานนับชั่วโมง เพื่อรอวินาทีที่ผมจะก้าวขาออกมา แต่เมื่อผมก้าวขาออกมา... ทอมกลับเอี้ยว ตัว สาละวนกับการหาอะไรสักอย่างที่เบาะหลัง

เวลานับชั่วโมงที่บังเอิญถูกทำให้ไร้ค่า ด้วยช่วงเวลาแค่ไม่กี่นาที...ขึ้นอยู่กับว่า ความบังเอิญนั้น จะเข้าข้างใคร

แต่ครั้งนี้ ความบังเอิญเข้าข้างผม ผมก้าวขาออก มา ปิดประตู และเดินกลับเข้าบ้านโดยที่ทอมไม่เห็นผมแม้แต่เงา

ช่วงเวลาที่กำลังหลุดพ้นจากสายตาของทอม ผมนึกอยากให้ทอมหันมา นึกอยากให้ทอมรู้ว่าเป็นผม นึกอยากรู้ว่า...ถ้ารู้แล้วจะเป็นยังไง หากปล่อยให้เกิดมันขึ้น อะไรๆอาจง่ายขึ้น เพราะผมไม่ต้องตัดสินใจอีกต่อไปว่าจะทำอย่างไรดี?...ผมคิด และนึกขำ เพราะสุดท้ายก็ต้องตัดสินใจอยู่ดีว่า จะรั้งรอให้ทอมเห็น หรือ กลับเข้าไปในบ้านแล้วไปโผล่ทักทายทอมที่ระเบียงให้ทอมงงเล่นดี...

ผมก้าวขาขึ้นบันไดที่ละสองขั้น อยากออกไปที่ระเบียงให้เร็วที่สุด เสียงแม่ตะโกนถามอะไรสักอย่างแต่ผมไม่สนใจ...วันนี้ผมไม่อยากได้ยินเสียงแม่เลย ผมรู้ว่า แม่ไม่ผิด แต่แม่เป็นเงื่อนไขที่ยืนอยู่คนละด้านกับพี่เหยา เป็นเงื่อนไขที่ผมยกมาแอบอ้าง และต้องเจ็บปวด

ผมเปิดประตูระเบียงและแทบจะกระโจนออกไป แต่ก็หยุดขาตัวเองไว้ได้ทัน

ผมหายใจลึก บอกตัวเองให้เดินออกไปอย่างใจเย็นๆ

ผมทำอย่างที่บอกตัวเองได้สำเร็จ เสมองไปทางอื่นทั้งที่หางตาชำเลืองมองไปทางทอม พยายามบังคับไม่ให้ริมฝีปากขยับยิ้ม เมื่อเห็นทอมชะโงกตัวมาจนติดกระจกรถเพื่อมองดูผม

ผมหันไปอย่างเสแสร้งไม่ตั้งใจ ยกมือและยิ้มเยาะทักทายอย่างคนเพิ่งสังเกตเห็น

ทอมโบกมือทัก ยิ้มได้จริงใจอย่างฝรั่งตัวโต ใจดีที่ผมเห็นมาแต่เด็ก แต่ไม่มีทีท่าว่าทอมจะกลับเข้าไปในบ้าน ทอมรออะไร? รอว่าเผื่อผมจะทนไม่ไหว และวิ่งกลับเข้าไปติดกับอีกครั้งหรือ?...ผมคิด ก่อนเดินกลับเข้าไปในบ้าน ลากเก้าอี้ และหยิบหนังสือที่ไม่ทันดูด้วยซ้ำว่าเป็นหนังสืออะไรติดมือออกมาทำทีเป็นนั่งอ่าน

...ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่...สถานะการณ์ของผมกับทอมคงเป็นแบบนั้นกระมัง เสแสร้ง และรอดูท่าทีของกันและกัน

ผมแสร้งก้มหน้า ก้มตาอ่านหนังสือ ในขณะที่ทอมยกโทรศัพท์ไว้ที่หูไม่ห่าง ผมเห็นทอมกดแล้วกดเล่า แต่ไม่ยักเห็นริมฝีปากขยับสักนิด

เรารอดูทีท่ากัน โดยเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดของพี่เหยา

ต่างคนต่างวัดใจกัน โดยไม่แยแสต่อน้ำตาของพี่เหยาที่คงรินไหลอยู่อย่างเงียบๆตามลำพัง

ไม่นานเท่าที่ผมคิด ทอมก็กระชากประตูเปิด และกระแทกปิดเสียงดังจนแม้จะอยู่คนละฝั่งถนนก็ยังได้ยินชัดเจน

ผมชนะ...ผมคิด แสร้งละตาจากหนังสือ เงยหน้าขึ้นมองทอมและยิ้ม แต่ทอมไม่ยิ้ม ทอมมองผมแล้วมองไปยังระเบียงบ้านที่ว่างเปล่าของตัวเอง ก่อนวิ่งข้ามถนนโดยไม่สนใจรถที่วิ่งเข้ามาในระยะกระชั้นชิด

ผมชนะ...ผมบอกตัวเอง เมื่อก้มมองดูทอมที่หยุดยืนอยู่ที่เกาะกลางถนนโดย ที่ไม่ได้สนใจใยดี จะมองดูผมอีกแล้ว ตาทอมจับจ้องก็เพียงที่บ้านตัวเอง และรถที่วิ่งผ่านหน้าอย่างไม่ขาดสาย ผมเห็นทอมกำอะไรบางอย่างไว้ในมือที่เกร็งแน่น และท้ายที่สุด ทอมก็ยกมือขึ้นห้ามรถที่แล่นใกล้เข้ามา วิ่งข้ามผ่านถนนมาโดยไม่สนใจมองสักนิดว่ารถคันนั้นจะหยุดให้หรือเปล่า

ผมชนะ...ผมบอกตัวเองอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเงี่ยหูฟังเสียงทอมไขประตูบ้าน

เสียงประตูเปิด และปิด แล้วผมก็บอกตัวเองว่า...ผมไม่ได้ชนะ แท้จริงแล้วผมแพ้ต่างหาก

ทันทีที่เสียงประตูปิด ความรู้สึกบางอย่างมันบอกว่า...ผมต่างหากที่พ่ายแพ้...

ทั้งที่ปากยังยิ้มให้กับชัยชนะของตัวเอง ทั้งที่ใจยังกระหยิ่มว่าตัวเองชนะ แต่บางเศษเสี้ยวในใจ ที่ขยายวงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มันบอกว่า...ผมแพ้

ผมพยายามเรียบเรียงความคิดในใจตัวเองแต่ก็ไม่สำเร็จ ทุกเรื่อง ทุกอย่างมันหมุนวนอยู่ในหัว ไร้ต้นสาย ปลายเหตุ ไร้ที่มา ไร้ที่ไป ไร้เหตุผล จนสุดท้ายไร้แม้แต่กำลังจะขบคิด

ผมล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงตัวเอง...ลูกกุญแจดอกเล็กๆที่ผมปลดมันออกจากพวงกุญแจของพี่เหยา เพื่อไขเข้าบ้านของทอมอย่างถือวิสาสะยังนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกง ไม่ได้ถูกโยนทิ้งอย่างที่ผมตั้งใจ

ผมนึกเห็นภาพทอมทำร้ายพี่เหยา เพราะผิดหวังในสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งที่บางเศษเสี้ยวในใจมันแย้งว่า... ไม่จริงหรอก...

ผมรู้ เพราะเมื่อผมเริ่มยอมรับความพ่ายแพ้...ผมก็มองเห็นรอยกังวลในดวงตาของทอม ขณะวิ่งข้ามถนน

ผมรู้ เพราะเมื่อผมเริ่มยอมรับความพ่ายแพ้...ผมก็เริ่มคิดตั้งคำถามว่า ที่หมายคือที่ไหน ที่ทอมเฝ้ากดโทรศัพท์หาครั้งแล้วครั้งแล้ว เพื่อพบว่าไม่มีใครรับสาย

ผมนึกเห็นภาพทอมทำร้ายพี่เหยา เพียงเพื่อปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองคิดได้

ก็ทอมรู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไร ขึ้นกับพี่เหยา ทอมเป็นคนทำให้เกิด...ผมแย้งในใจ เมื่อถือกุญแจวิ่งกลับออกไปอีกครั้ง

ผมไขกุญแจเข้าไปอย่างมีความหวัง...ไม่ใช่ว่าผมอยากเห็นพี่เหยาโดนทำร้าย หากแต่ก็เพียงเพื่อหวังว่าตัวเองยังเป็นผู้ชนะ

ผมไขกุญแจเข้าไปอย่างมีความหวัง...โดยไม่รู้เลยว่าจะต้องเข้าไปพบกับความสิ้นหวัง... เข้าไปพบกับความพ่ายแพ้ ที่เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นความพ่ายแพ้ที่ตัวเองไม่เคยได้แข่งขัน ที่ผ่านมานั้น การพยายามช่วงชิง ล้วนคือสิ่งที่ผมยื้อยุด และคิดเอาเพียงฝ่ายเดียว....เท่านั้น



--------------------
จบตอน 9
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 01-04-2008 20:09:11
 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:

ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นแค่นิยาย แต่ก็สงสารเหยาจนจับหัวใจ...บีบหัวใจเหมือนเคยอีกแล้ว  :เฮ้อ: :เฮ้อ: นอกจากเรื่องนี้จะเป็นเพชร แล้ว  ยังเป็นนิยายที่มีชีวิตอีกด้วย  เสียดายแทนคนที่ไม่ได้อ่านเรื่องนี้จัง

อ่านแล้วก็คิดตาม ถ้าผมเป็นเหยา...ผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปกับสถาพอย่างนี้ได้อย่างไร



เป็นกำลังใจให้พี่ทิพย์ครับ   :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 02-04-2008 17:47:33
ช่างน่าเศร้าจริงๆ ที่ต่างคนต่างกลัวความจริงที่จะเกิดขึ้น
จนมองไม่เห็นทางออกของปัญหา

เป็นเพราะความกดดัน และถูกทอดทิ้งหรือปล่าวที่หล่อหลอมให้สองคนที่ความคิดเช่นนั้น
เรื่องบางเรื่องเราคงจะต้องกล้าสู้กับมัน ดีกว่าถูกกดดัน และกดขี่ต้องยอมรับสิ่งที่ตนไม่อยากทำ
จนสุดท้ายระเบิดออกมา แล้วทำเรื่องที่ร้ายๆลงไปแทน

 :oni1: :oni1: :oni1:

สนุกมากๆเลยครับรออ่านต่อ
ภาษาสำนวนชวนติดตามดีแท้
 :oni2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 02-04-2008 18:24:53
เข้ามาดันเรื่องนี้  อิอิ

เป็นเรื่องที่เคยอ่านแล้ว  ขอบอกว่าสนุกมากๆ  ชอบเรื่องนี้เหมือนกัน
ครบรสเลย ทั้งซาดิสม์ กดดัน สำนวนดีเลย

เป็นกำลังใจให้พี่ทิพน้า  สู้ๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 02-04-2008 20:48:42
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 10

ไม่มีอะไรที่ผมต้องกลัวอีกแล้ว นอกจากความจริงที่กำลังก้าวเท้าเข้าไปหา

ผมวิ่งตามทอมขึ้นไป โดยไม่แม้แต่จะคิดระวังเสียงฝีเท้า

และเสียงขวดแก้วที่แตกกระจายกับเสียงร้องไห้คร่ำครวญของใครบางคนก็ช่วยเร่งฝีเท้าผมให้ไวยิ่งขึ้น

ผมหยุดยืนอยู่หน้าห้องนอนพี่เหยา รู้สึกโล่งใจที่เสียงคร่ำครวญนั้น ไม่ใช่เสียงของพี่เหยา โล่งใจที่ไม่มีสัญญาณใดบ่งบอกว่าพี่เหยาโดนทำร้าย

ตรงกันข้าม เสียงร้องไห้คร่ำครวญ บางครั้งพึมพำ บางครั้งด่าทออย่างเกรี้ยวกราดนั้นเป็นของทอม และมันทำให้ผมสับสน

มันหมายความว่ายังไง?...ทำไมทอมร้องไห้คร่ำครวญให้กับสิ่งที่ตัวเองเป็นคนทำให้เกิด?

ทอมเสแสร้งแกล้งทำ?...ไม่ใช่!...ผมรู้ เสียงร้องไห้นั้นเป็นของจริง...เหมือนน้ำตาของผม หรือของพี่เหยา...

ถ้าอย่างนั้นแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันหมายความว่ายังไง?...

ผมยืนนิ่งอยู่กับความสงสัย...ฟังเสียงคร่ำครวญที่บางครั้งเฝ้าพึมพำ บางครั้งตะโกนเหมือนคลุ้มคลั่งของทอม...ฟังเสียงพี่เหยาที่เฝ้าพูดเฝ้าปลอบอย่างอ่อนโยน...

มันหมายความว่ายังไง?...ผมถามตัวเองอีกครั้ง จ่มจ่อมอยู่กับความสับสน และรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นตะหนกของพี่เหยา

ครั้งแรกผมเกือบวิ่งเข้าไปในห้องเพราะคิดว่าทอมทำร้ายพี่เหยา แต่มันไม่ใช่... เสียงเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายใน เสียงทอมที่ยังกราดเกรี้ยว และเสียงพี่เหยาที่กลายเป็นสะอื้นไห้ แต่มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด

ผมตกใจเมื่อประตูถูกกระชากให้เปิดออกอย่างแรง พร้อมกับร่างพี่เหยาที่วิ่งออกมาและผงะถอยจนเซ เมื่อเกือบชนเข้ากับผมที่ยืนอยู่หน้าห้อง

ตาพี่เหยาแดงจนช้ำ น้ำตายังอาบอยู่ข้าง2แก้ม แต่สิ่งที่ทำให้ผมแทบถลาเข้าไปคว้าตัวพี่เหยาไว้คือคราบเลือดสีแดงสดที่เปียกชุ่มอยู่บนเสื้อพี่เหยา

พี่เหยาเอามือปิดปากผมไว้ก่อนที่ผมจะทันพูดอะไร ผมจึงเพิ่งสังเกตเห็นเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บน 2ฝ่ามือของพี่เหยา

พี่เหยาดึงแขนผมให้วิ่งตามลงมาชั้นล่าง

“เอกกลับเข้ามาทำไม?”พี่เหยาถามน้ำเสียงยังปนสะอื้น น้ำตายังไหลอาบ2ข้างแก้ม

แต่ผมไม่ตอบ ตายังจับจ้องบนเสื้อที่ชุ่มเลือด

“ไม่ใช่...เลือด...ของทอม...พี่ต้องเอายา!”พี่เหยาอธิบายตะกุกตะกัก ก่อนคิดได้และผละจากผมไปที่ตู้ มือที่ควานหายาในลิ้นชักนั้นสั่นเทา เหมือนริมฝีปากที่สั่นระริก

“เลือดทอม?”ผมทวนคำอย่างงวยงง

“เอกกลับไปก่อนนะ”พี่เหยาบอกผมหลังจากหยิบกล่องยาและทำท่าจะวิ่งผ่านผมกลับขึ้นไป แต่ผมรั้งแขนพี่เหยาไว้

“ผมไม่เข้าใจ!”ผมพูด มองดูพี่เหยาที่หันมามองดูผม ก่อนมองขึ้นไปที่ห้องชั้นบน...ดวงตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตานั้นเต็มไปด้วยรอยกังวล หากแต่มิใช่กังวลด้วยหวาดกลัวเหมือนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา แต่เป็นความกังวลปะปนกับความเป็นห่วงเป็นใย...พี่เหยากำลังเป็นห่วงคนที่ทำร้ายตัวเอง คนที่ทำร้ายผม คนที่ทำร้ายโลกของเราจนไม่เหลือดี

“เอกกลับไปก่อน...”พี่เหยายังพร่ำพูดคำเดิม ตายังเหลือบแลไปข้างบน...เป็นทอม ทอมเท่านั้นที่อยู่ในห้วงความคิดพี่เหยาเวลานี้...แล้วผมล่ะ?

ผมมองดูพี่เหยาที่ไม่สนใจมองดูผมแม้แต่นิดเดียว...ถ้าผมยังรั้งไว้ พี่เหยาคงผลักผม ดิ้นรนจากการเหนี่ยวรั้งของผม กลับขึ้นไปหาทอม ขึ้นไปหาคนที่ทำร้ายผม...มันเป็นความเจ็บปวด เจ็บอย่างที่ไม่เคยลิ้มรสมาก่อน

“เอกกลับไปก่อนนะ”พี่เหยายังย้ำคำเดิม ผิดก็แต่น้ำเสียง แม้มิใช่ตวาด แต่ผมรู้พี่เหยาคงอยากเหลือเกินที่จะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงอย่างนั้น ผมไม่แน่ใจว่าเพื่อถนอมน้ำใจผม หรือเพราะกลัวทอมจะได้ยินกันแน่...

“มันบอกพี่ว่ามันไม่รู้เรื่องใช่ไหม?...”ผมถาม มือยังบีบต้นแขนพี่เหยาไว้แน่น

“ค่อยคุยกันทีหลัง!”เสียงพี่เหยาแข็งขึ้นอีกนิด ผิดกันลับกับเสียงปลอบโยนที่มีให้ทอม...คนที่ทำลายผมจนไม่เหลือความเป็นคน

“พี่เชื่อมันว่ามันไม่รู้เรื่อง!”แต่ผมไม่สนใจ ผมอยากบอกความจริงกับพี่เหยา บอกให้พี่เหยารู้ว่าใครกันที่ รออยู่นอกบ้าน รอดูความเจ็บปวดของเรา

“เปล่า!”พี่เหยาตอบในที่สุด

“หมายความว่าไง?”

“ทอมไม่คิดว่ามันจะรุนแรงอย่างนั้น ทอมไม่ตั้งใจ...”อีกครั้งที่พี่เหยาตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ราวกับสิ่งที่พูดเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมควรจะยอมรับได้ หากแต่ผมยอมรับมันไม่ได้

“แล้วพี่ก็เชื่อมัน?”ผมถาม ก่อนที่จะต้องตอบคำถามของตัวเอง...ผมจำภาพที่ทอมยกโทรศัพท์ขึ้นโทรครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อพบว่าไม่มีใครรับสายได้ จำภาพที่ทอมวิ่งข้ามถนนโดยไม่สนใจรถที่กำลังแล่นมาว่าจะจอดหรือเปล่า จำภาพใบหน้าและดวงตาของทอมที่ฉายรอยกังวลได้...แต่แล้วไงล่ะ? ถึงทอมไม่ตั้งใจให้มันรุนแรงขนาดนี้ แต่ทั้งหมดก็เพราะทอมทำให้มันเกิด!

แม้จะคิดอย่างนั้น แต่โลกมันกลับค่อยๆโคลงไปมาในความรู้สึก...ความรู้สึกชนะมันเบาจนไม่เหลือน้ำหนัก...ผมอยากเอาชนะทอม จึงทิ้งพี่เหยาไว้ แม้จะไม่ใช่ด้วยความเต็มใจ หากแต่เมื่อคิดว่าตัวเองชนะ ความเจ็บปวดของพี่เหยากลับไม่อยู่ในห้วงความคิดผมสักนิด...ตรงข้าม...ทอมยอมรับความพ่ายแพ้...ไม่ประวิงเวลาเพื่อต่อรองชัยชนะแม้สักนิด ทันทีที่รู้ว่าพี่เหยาถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง และแม้ยังไม่รู้ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นแค่ไหน แต่ ทอมก็ยังวิ่งกลับเข้าไปหาพี่เหยาด้วยสีหน้าและดวงตาที่ผมปฏิเสธไม่ได้ว่ามีแต่ความกังวล...ตรงข้ามกับผมที่ดื่มด่ำอยู่กับชัยชนะจนไม่เห็นภาพความจริงตรงหน้า...แล้วจะให้ผมกล้ายอมรับในสิ่งที่พี่เหยาพูดได้อย่างไร...มันยากจะยอมรับ เพราะมันยากจะบอกว่า ระหว่างผมกับทอม ใครกันที่เมินเฉยกับความเจ็บปวดของพี่เหยามากกว่ากัน?

ผมอยากผลักพี่เหยาให้ล้มลงที่โซฟา เหนี่ยวรั้งพี่เหยาไว้ อยากใช้คำพูดที่เกรี้ยวกราด บอกให้พี่เหยารู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร...แต่ทุกอย่างก็แค่ภาพในความคิด เพราะในความเป็นจริงผมทำได้แค่...หมดแรง... มือที่รั้งพี่เหยาไว้มันหล่นหลู่ลงข้างตัวไม่เหลือแรง เสียงที่เล็ดลอดออกจากปาก มันเบาจนผมไม่แน่ใจว่าพี่เหยาจะได้ยินหรือเปล่า

“อย่าขึ้นไป...”ผมพูด แต่คงเบาจนพี่เหยาไม่ได้ยิน เพราะพี่เหยาหันหลังจากผมไปทันทีที่หลุดจากการเกาะรั้งของผม

“อย่า...”ผมพูดไม่ดังไปกว่าเดิม แต่พูดได้เท่านั้นก่อนที่จะสะอื้นออกมา

พี่เหยาแค่ชะงักเท้า...เท่านั้นจริงๆ... แล้วก็วิ่งขึ้นไป

“...ผมเกลียดมัน!...”คราวนี้ผมพูดเสียงดัง ดังเท่ากับความรู้สึกโกรธเกลียดทั้งหมด

“ผมเกลียดมัน เกลียดพี่ด้วย ได้ยินไหม?!...ถ้า...ถ้าผมขอโทษพี่อีก...ขอร้อง! อย่ายกโทษให้ผมอีก!ไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก!”ผมตะโกนไล่หลังพี่เหยา ที่กำลังจะลับตาไปโดยไม่สนใจเสียงสะอื้นไห้หรือคำต่อว่า ต่อขานของผมแม้สักนิด

ผมยืนเกาะราวบันไดอยู่ตรงนั้น นานเท่าไหร่ไม่รู้ และเมื่อไหร่ไม่รู้ที่ทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา

เสียงกราดเกรี้ยวและคร่ำครวญของทอมยังดังมาเป็นระยะ เช่นเดียวกับเสียงสะอื้นไห้และเฝ้าปลอบประโลมของพี่เหยา

ผมต้องยอมรับว่า...เสียงคร่ำครวญราวกับจะขาดใจของทอมนั้นเป็นของจริง

น้ำตาของทอมเป็นของจริง...

ความเจ็บปวดของทอมเป็นของจริง เหมือนความเจ็บปวดของผม...เหมือนน้ำตาของผม จะต่างกันก็เพียงน้ำตาของทอมมีความหมายต่อพี่เหยามากกว่าน้ำตาของผมเท่านั้น...

ผมนั่งฟังเสียงร่ำไห้ของทอมที่มีพี่เหยาคอยปลอบโยน และฟังเสียงสะอื้นไห้ของตัวเองที่กำลังร้องไห้อยู่คนเดียว...

เป็นครั้งแรกที่ได้คิด...

ตลอดมาผมบอกตัวเอง...ไม่มีทอมคงจะดี

แต่วันนี้ผมนึกสงสัย

สำหรับพี่เหยา...ระหว่างผมกับทอม...ใครกันที่ไม่ควรมีตัวตน...

ความสุขในเวลาที่มีพี่เหยาอยู่ในอ้อมกอด ในวันที่แสงโคมเต็มท้องฟ้า ทั้งที่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงวัน แต่กลับแทบไม่หลงเหลืออะไรในความรู้สึก เช่นเดียวกับความทุกข์ที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ผมคิดว่ามันคงฝังอยู่ในใจผมทุกวินาทีจนวันตาย มาตอนนี้มันเบาบางราวผ่านไปแล้วเป็นชาติ

ผมคิดอะไรไม่ออกอีก กว่าจะรู้ตัว ก็เมื่อสายลมปะทะใบหน้า ผมบิดแฮนด์มอเตอร์ไซด์เร่งความเร็วจนสุด ทุกครั้งที่อยากลบภาพพี่เหยากับทอมออกจากหัว ผมไม่สนใจไฟแดง ไม่สนใจรถที่วิ่งสวน ไม่สนใจอะไรเลย ทุกอย่างมันผ่านเข้ามาแค่ทางสายตา หากแต่ไม่ได้ผ่านเข้าสู่ห้วงความคิดของผมเลย

ผมเบรคและหักรถหลบเสาคอนกรีตได้แบบเฉียดฉิว พร้อมๆกับเสียงเบรคล้อดังลั่นของรถปิคอัพที่จอดอยู่ตรงหน้า ห่างผมแค่ไม่ถึงสองฝ่ามือ และพร้อมๆกับสายตาของผมที่ไปหยุดอยู่ที่ไอ้วิทย์ ที่ยืนมองผมอยู่ไม่ไกลนัก

เสียงตะโกนด่าจากเจ้าของรถปิคอัพ ดังอยู่แว่วๆแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ

ผมเพิ่งรู้ว่าได้พาตัวเองมาหาไอ้วิทย์ รถพี่เหยายังจอดไว้ที่ลานจอดรถใต้หอเหมือนเดิม

ไอ้วิทย์มันมองดูผม และผมก็มองดูมันที่เดินผ่านผมไป

“ขอโทษครับ...”มันตะโกนบอกเจ้าของรถปิคอัพที่ยังจอดคาอยู่ที่ทางออก ก่อนก้มลงยกมอเตอร์ไซด์ของผมที่กองทิ้งอยู่กับพื้นขึ้นและจูงหลบเข้ามาให้พ้นทางรถ

มันมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า มองรอยเล็บบนหน้าผม ก่อนยกมือขึ้นเกาหัว อย่างคนที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

“ปวดหัว!”มันพูด ก่อนยกมือขึ้นกอดคอและลากผมขึ้นไปบนห้องมัน

“ถามได้หรือเปล่าวะ?”มันถามขึ้นหลังจากพาผมมานั่งเงียบอยู่ในห้องมันนานสองนาน และผมส่ายหัว เพราะไม่รู้ หากต้องตอบ ผมควรจะเริ่มจากตรงไหน เพราะแม้แต่ตัวผมเองยังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นและสับสนกับความคิดตัวเอง

“แต่มึงไม่ได้ไปปล้ำใครมาใช่ไหม?”มันพูด มองลายทางเล็บบนหน้าผม

อีกครั้งที่ผมส่ายหัวแทนคำตอบ ก่อนยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง

“เฮ้ย!”มันพูดได้แค่นั้น ก่อนดึงมือผมไปดู

เลือดที่หยุดไหลไปแล้ว มันคงกลับมาไหลอีกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และแห้งกรังอยู่บนปลายเล็บ

มันลุกขึ้นเดินหายไปในห้องน้ำ ก่อนเดินออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กชื้นน้ำ

มันทำเหมือนพี่เหยาทำ...ค่อยๆเช็ดเลือดให้ผมทีละนิ้ว...ทีละนิ้ว...แล้วน้ำตาผมก็ค่อยๆไหลออกมา

“มึงไม่ต้องซึ้งใจขนาดนั้นก็ได้...”มันพูด คงนึกอยากให้ผมขำ แต่ผมก็ทำได้แค่กระตุกปากจะยิ้ม แต่ก็ยิ้มไม่ออก

ถ้าถามว่าใครที่ทำให้ผมร้องไห้มากที่สุดในชีวิต...คำตอบคือพี่เหยา

ถ้าถามว่าใครคือคนที่ทำให้ผมเกลียดและดูถูกตัวเองที่สุดในชีวิต...คำตอบก็คือพี่เหยา

แล้วทำไมผมถึงดิ้นรน อยากเป็นเจ้าของ อยากถือครอง คนที่ไม่เคยให้อะไรแก่ผมเลย นอกจากความเกลียดชังและดูแคลนตัวเอง...ผมตอบไม่ได้ รู้แต่ว่า วันนี้ เวลานี้ ใจผมยังดิ้นรนอยากครอบครอง เมื่อรู้ว่าสิ้นหวัง...มันทรมานเหลือเกิน

และยิ่งทรมาน เมื่อคิดได้ว่า อาจจะด้วยเหตุผลข้อเดียวกันที่แม้ยังไม่แน่ใจว่าเหตุผลที่ว่านี้คืออะไร แต่มันคงเป็นเหตุผลข้อเดียวกันที่บอกว่า ทำไม...พี่เหยาเลือกทอม...ทอม คนที่ผมคิดว่า ทำลายพี่เหยามากกว่าใครๆ ทอม คนที่อาจทำให้พี่เหยาร้องไห้มากกว่าใคร...

พี่เหยายังเลือกทอม เหมือนที่ใจผมยังดิ้นรน อยากครอบครองพี่เหยา...แม้ทรมาน แต่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้...

ผมนอนร้องไห้ อยู่บนที่นอนไอ้วิทย์ โดยที่มันนั่งถอนหายใจอยู่ที่พื้นเป็นร้อยเป็นพันครั้ง

“เฮ้ย! ไม่อายฟ้าอายดิน ก็อายกูสักนิดเถอะว่ะ!”นานครั้งมันก็พูดอะไรที่คิดว่าชวนขำออกมาอีก แต่ผมก็ไม่สนใจมัน

“มึงเคยคุยกับพี่โอ๋ อีกไหม?”อยู่ๆผมก็นึกถึงพี่โอ๋ ทั้งที่นับจากวันนั้นที่เกิดเรื่อง ชื่อนี้ไม่เคยหลุดจากปากพวกผมอีกเลย

“เฮ้ย!อยู่ดีๆทำไมมึงถามถึงเขาวะ?”มันถามเสียงตื่นๆ ก่อนกระโดดขึ้นมานั่งกับผมบนเตียง

“ทำไมถามไม่ได้?”ผมงงๆกับท่าทางของมัน

“ก็ พี่เขาตายแล้ว...”มันพูดเสียงค่อยอย่างกับกลัวใครได้ยิน



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 02-04-2008 20:50:53
“มึงไม่เห็นเคยบอกกู!”แต่ผมย้อนถามมันเสียงดังเพราะไม่ชอบใจนักที่มันเพิ่งบอกผม เพราะแม้ว่าหลังจากเกิดเรื่องในครั้งนั้นแล้ว พวกผมจะไม่เคยคุยกับพี่โอ๋อีก แต่ก็เคยเจอ เคยเห็นกันบ้าง เพราะพี่โอ๋ก็ยังพักอยู่ที่หอไอ้วิทย์เหมือนเดิม

พี่โอ๋ไม่ใช่อันธพาลแบบในหนัง ที่พอเจอหน้าต้องท้าตี ท้าต่อยอย่างไร้เหตุผล เราแค่ต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกันเท่านั้น

“ก็บอกอยู่นี่ไง!”ไอ้วิทย์แย้ง

“ก็เสือกเพิ่งบอก!”ผมไม่ชอบใจ เพราะแม้ว่าจะมีเรื่องกับพี่โอ๋ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทั้งหมด เป็นผมที่เป็นฝ่ายเริ่ม ถึงจะเข้าหน้ากันไม่ติด แต่ผมก็ไม่เคยลืมช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ผมจึงรู้สึกแย่ เมื่อรู้ว่า คนๆหนึ่งจากโลกนี้ไปโดยที่ผมไม่รู้เลยสักนิด

“ก็...พี่เขาเพิ่ง...เมื่อไม่กี่วันนี่เอง...”มันพูดเสียงค่อยยิ่งขึ้นไปอีก

“รถปิคอัพที่เกือบชนมึงตาย ก็มาขนของพี่เขากลับไปบ้านไง...”

“พี่เขาเป็นไร...?”ผมถามเสียงค่อยพอกับมัน ตาก็เริ่มเหลือบแลหากุญแจรถที่ตัวเองโยนไว้ไหนไม่รู้

“ก็ ได้ยินว่า ขี่รถ แบบมึงเมื่อกี้ไง!”มันกระซิบตอบ

“มึงไม่กลัวเหรอวะ?”ผมยังกระซิบถาม คว้ากุญแจรถ ที่เห็นว่าถูกโยนไว้บนหัวเตียง ก่อนกระโจนลงจากที่เตียง

“กลัวสิวะ กำลังจะไปหามึงที่บ้านก็พอดีมึงมา!”มันพูด ก่อนกระโจนไปหยิบเป้ ที่ผมเพิ่งนึกได้ว่าเห็นมันสะพายอยู่ที่หลังตอนเจอมัน และเดาว่าในนั้นคงมีเสื้อผ้าของมันเตรียมพร้อมจะไปมุดหัวอยู่ที่บ้านผมจนกว่าจะหายกลัว

แล้วผมกับมันก็กระโจนออกจากห้อง วิ่งแข่งกันลงบันได ชั่วเวลาแค่แป๊บเดียว เราก็นั่งหัวเราะกันอยู่บนมอเตอร์ไซด์ ผมนึกขำตัวเอง... ผมหัวเราะเสียงดัง ในขณะที่น้ำตายังไม่แห้งด้วยซ้ำ...

แม่มองหน้าผม หรือจะให้ถูก คือมองรอยทางเล็บบนหน้าผม สลับกับมองหน้าไอ้วิทย์

ผมนึกอยากบอกแม่ว่า ไม่ใช่รอยเล็บไอ้วิทย์ เพราะผมไม่ได้ปล้ำมัน แต่ก็เก็บคำไว้ เพราะแม่ไม่น่าจะขำ ทั้งจริงๆแล้ว ผมเองก็ยังไม่ค่อยมีอารมณ์จะขำเช่นกัน

แม่ขมวดคิ้ว เมื่อผมไม่ให้คำตอบอะไรแก่ข้อสงสัยของแม่ ผมเดาว่า แม่น่าจะอยากถามผมอย่างที่ไอ้วิทย์ถาม แต่คงเลือกหาคำพูดเหมาะๆไม่ทัน

“แม่มึงสงสัยว่ามึงไปปล้ำใครมาแหงๆเลยกูว่า...”ไอ้วิทย์กระซิบบอก ระหว่างเดินตามหลังผมขึ้นบันได

ไม่นานไอ้รงค์กับไอ้ชัยก็มาสมทบด้วยท่าทางตื่นๆ เพราะไอ้วิทย์มันโทรไปตามแล้วเปรยๆไว้แค่...ไอ้เอกมันแย่แล้ว

ผมรู้ว่าไอ้วิทย์ไม่ได้หมายความตามนั้น เพราะสภาพของผมก็กลับมาเป็นปกติ น้ำตาก็แห้งไปนานแล้ว แม้เรื่องของพี่เหยายังไม่หายไปจากใจแต่ไม่หนักอึ้งจนผมแทบล้มอย่างเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว

แต่สภาพของผมคงจะยังดูแย่อยู่ในสายตาของพวกมันอยู่ดี เพราะพอไอ้รงค์มาถึง มันก็ถามเหมือนไอ้วิทย์

“ไปปล้ำใครมาวะ?”

ผมชูมือให้มันดูแทนคำตอบ

“ใครปล้ำมึงวะ?”ไอ้รงค์เปลี่ยนคำถามเมื่อเห็นสภาพเล็บมือผม

ส่วนไอ้ชัย มันไม่ได้ถามเหมือนไอ้รงค์กับไอ้วิทย์ เพราะมันโดนแม่ของผมดึงตัวไว้ร่วมครึ่งชั่วโมง ซักฟอกหาสาเหตุที่มันก็ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรสักกะนิด

มันมองผมตาค้างเมื่อผมลงไปช่วยลากมันขึ้นมาจากการซักฟอกของแม่

“แล้วเสือกเรียกกูมาทำไมวะ?”ไอ้ชัยโวย เมื่อรู้เรื่องของพี่โอ๋

“อ้าว ก็กูเป็นห่วง!”ไอ้วิทย์ว่า

“ไม่ต้องพูดเลยมึง...หยุดพูดไปเลย คนตาย สามวันยังไม่รู้ตัวว่าตายนะโว๊ย อย่าปากหมา”ไอ้ชัยด่า ตามองไปรอบห้อง

“เจ็ดวัน!”ไอ้รงค์แย้ง

“สี่สิบเก้าวัน!”และผมแย้งออกมาพร้อมกับไอ้วิทย์

“สามวันนั่นเก็บรอยเท้า!”ไอ้วิทย์เสริมอีกที

“อะไรวะ เก็บรอยเท้า?”ไอ้รงค์ถาม ก่อนที่ผมจะทันอ้าปากถาม

“คุยห่าอะไรกันวะ? ไม่มีเรื่องอื่นคุยแล้วหรือไง?”แต่ไอ้ชัยพูดขัดอย่างเดือดๆ

ถ้าตอนเป็นเด็ก ไอ้วิทย์แก่แดดเล่าเรื่องทะลึ่งตึงตังอ้างเป็นประสบการณ์จริงบ่อยแค่ไหน ไอ้ชัยก็เป็นคนที่เอาเรื่องที่มันเจอผีมาเล่าบ่อยเท่านั้น

พวกผมเคยไปบ้านมัน แต่ไม่มีใครยอมค้าง เพราะผีที่มันเจอ ล้วนแต่เจอที่บ้านมันเองทั้งนั้น

“กลัวก็กลับบ้านไปเลยมึง!”ไอ้วิทย์ไล่ส่ง แถมยิ้มเยาะ

ไอ้รงค์ขยับปากจะพูด แต่ก็แกล้งหยุดพูดซะอย่างนั้น

“จะพูดอะไรวะ?”ไอ้ชัยเค้นคอถามแต่ไอ้รงค์ส่ายหัวไม่ยอมพูด

“พูดมาเลยมึง!”ไอ้ชัยไม่ยอม

“ก็จะบอกว่า ขี่รถกลับบ้าน ระวังใครซ้อนหลัง...ยิ่งตามไปบ้านมึง เจอพรรคพวกแล้วไม่ยอมกลับล่ะยุ่งเลย...”ไอ้รงค์ยอมพูดในที่สุด

“ไอ้สัตว์!”ไอ้ชัยด่าก่อนกระโดดขึ้นเตียง โดยมีพวกผมที่เหลือกระโดดขึ้นไปตาม

เตียงนอนขนาดแค่สามฟุต กับผู้ชายตัวโตๆสี่คนที่มุดเบียดกันอยู่ในผ้าห่มผืนไม่ใหญ่นัก เลยจบลงที่ไอ้รงค์ถูกเบียดจนตกเตียง เราหัวเราะกันเสียงดัง แล้วแม่ก็เคาะประตูให้เบาเสียง ให้รู้จักเกรงใจบ้านอื่นบ้าง เราเลยนอนหอบ ทั้งยังหัวเราะแบบให้เบาที่สุด พลางมองดูไอ้รงค์คลานกลับขึ้นมาบนเตียง

“เฮ้ย เอก!”อยู่ๆไอ้ชัยก็เรียกชื่อผมอย่างจริงจัง

“ฮือ?”ผมส่งเสียงรับแค่ในคอ ยังเหนื่อยไม่หายจากการหัวเราะ

“ไอ้วิทย์มันมีเรื่องจะถามมึง แต่มันลืม?”ไอ้ชัยเกริ่น

“มึงเป็นเลขามันหรือไงเลยถามแทน?”ผมแขวะให้ทั้งที่ในใจนึกกลัว ว่ามันจะถามสิ่งที่ผมอยากปกปิด

“เปล่า ก็มันไม่กล้าถามกูเลยจะถามแทน”ไอ้ชัยยังทำเสียงจริงจัง

“ไอ้วิทย์เนี่ยนะไม่กล้า?”ผมย้อนถาม และไอ้รงค์หัวเราะเห็นด้วยกับคำพูดผม

“เออ! อย่าชักใบให้เรือเสียสิวะ!”

“กูว่าเรือมึงสตาร์ทไม่ติดตั้งแต่ต้นแล้ว”ไอ้รงค์ยังขัดคอ คราวนี้เป็นไอ้วิทย์ที่หัวเราะเห็นด้วย

“เรือใบบ้านมึงต้องสตาร์ท ไม่ใช่เรือหางยาวนะโว๊ย!”ถึงจะหัวเดียวแต่ไอ้ชัยก็ไม่ยอมแพ้

“อ้าว...แล้วมันแล่นได้ไง กูไม่เห็นมีคนแจว”ไอ้รงค์ว่า แล้วเราก็หัวเราะกัน

“ตกลงจะให้กูถามหรือเปล่าวะ?”ไอ้ชัยตะโกนถามแข่งกับเสียงหัวเราะของพวกผม ก็พอดีแม่เคาะประตูอีกครั้ง

“ต้องให้พ่อกับแม่นอนสะดุ้งหรือไง ถึงจะยอมเงียบกัน?”เสียงแม่ดุ

“ทำไมพ่อกับแม่มึงถึงต้องสะดุ้งวะ?”ไอ้รงค์กระซิบถาม เหมือนกลัวแม่ผมจะได้ยิน

“ก็ด่าพ่อ ล่อแม่ไงเล่า!...แล้วตกลงกูถามได้ยังวะ?”ไอ้ชัยตอบ แล้ววกกลับเรื่องเดิมที่ผมกลัวจนได้

“เออ ถามมาเลย”แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบรับหรือปฎิเสธ ไอ้รงค์ก็รับแทนหน้าตาเฉย

“ไอ้วิทย์มันอยากรู้ว่า...”ไอ้ชัยมันกลับมาทำหน้าตาจริงจัง ถอนหายใจคล้ายเรื่องที่จะเอ่ยถามนั้นยากเย็นที่จะพูด

“เอ่อ...แบบว่า... เรื่องที่มึงร้องไห้ บอกพวกกูได้หรือเปล่าวะ... มันอยากรู้ว่าเป็นความลับหรือเปล่า?”หน้าตามันยังจริงจัง แต่แค่นั้นผมก็รู้ว่ามันทำตลกหน้าตายอีกตามเคย

“ไอ้สัตว์!”ผมประเคนคำด่าให้มันเต็มปากเต็มคำพร้อมเอาเท้ายันมันตกเตียงดังโครมใหญ่ ก่อนที่จะนอนหัวเราะท้องคัดท้องแข็งไปกับพวกมันอีกระลอก

“เอก!...วิทย์!...ชัย!...ต้องให้แม่พูดกี่ครั้ง!”เสียงแม่ดุ ดังมาจากหน้าห้องอีกครั้ง ตามด้วยเสียงทุบประตูที่เริ่มบอกว่าความอดทนของแม่เริ่มจะหมดลงแล้ว

“แม่มึงรู้ว่ะ ว่ากู...”ไอ้รงค์ทำหน้าภูมิใจที่แม่ไม่เอ่ยชื่อมัน แต่ยังไม่ทันพูดจบ เสียงแม่ก็กำราบมาอีกคำรบหนึ่ง

“รงค์ด้วยอีกคน!...ถ้ายังเสียงดังจะไล่ไปนอนนอกบ้านให้หมด!”

อาจเพราะแม่เห็นพวกมันมาแต่เด็ก ซ้ำแม่ยังเป็นครู แม่เลยกล้าดุพวกมันได้คล่องปาก พอๆกับดุลูกตัวเอง และพวกมันก็โดนดุ โดนซัก โดนฟอก จนเคยชินเกินกว่าจะตื่นตะหนกเช่นกัน ดังนั้นคำขู่ของแม่ เลยทำได้แค่ให้พวกมันรวมทั้งผม ปิดปากแอบหัวเราะกันตัวโยน

มันคล้ายกันกับตอนเป็นเด็ก ตอนที่แม่ยังต้องจัดกระเป๋าให้เวลาไปเข้าค่ายลูกเสือ...ตอนเป็นเด็ก ที่ในหัวยังมีเรื่องกังวลอยู่แค่ไม่กี่เรื่อง เห็นอะไรเราก็หัวเราะกันอย่างไม่เห็นอะไรจริงจัง

“พวกมึงว่าพี่โอ๋บอกพี่นัท เรื่องพี่เหยาหรือเปล่า?”พอหัวเราะจนเต็มอิ่มแล้ว ผมก็ถามขึ้นอย่าง ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ไม่!...พี่นัทไม่เห็นเหมือนรู้อะไรเลย”ไอ้ชัยตอบมั่นใจ ก่อนคลานกลับขึ้นมาบนเตียง

“กูเหมือนรู้อะไร หรือเปล่าล่ะ?”ไอ้รงค์ย้อนถาม

“มึงว่าพี่โอ๋บอก?”

“ไม่...ก็เวลาพี่นัทไปที่หอไอ้วิทย์ พี่เขาก็ยังคุยกัน...ถ้าใครพูดถึงเพื่อนกูแบบนั้น จริงไม่จริง กูก็คงต่อยคว่ำ! เลิกคบว่ะ!”ไอ้รงค์อธิบาย

“กูรักมึงว่ะ”ไอ้วิทย์ว่า ทำท่าซึ้งชวนคลื่นไส้

“ไม่ต้อง!...กูไม่ได้หมายถึงพวกมึง!”แต่ไอ้รงค์ไม่ซึ้งด้วย

“แล้วมึงล่ะ?”ผมถามไอ้วิทย์ มันคือคนที่สนิทกับพี่โอ๋ที่สุด

“ไม่!...ไม่ได้เอาใจพี่โอ๋นะ...”มันตอบพลางทำท่าหันหน้าไปบอกลมบอกแล้ง

“ไอ้เหี้ย!...หันไปบอกใครวะ...”ไอ้ชัยด่า ก่อนถีบไอ้วิทย์เต็มแรง แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมโปง

“แต่ว่ากูรู้พี่เขาไม่พูดหรอก...”ไอ้วิทย์บอกอย่างมั่นใจ

“ร้อนโว๊ย!”ไอ้ชัยโวย ก่อนถลกผ้าห่มออก แล้วลากหมอนกลับลงไปนอนกับพื้นอย่างเดิม

“แล้วหลังจากวันนั้น มึงเคยคุยกับพี่เขาบ้างไหม?”ผมหันไปถามไอ้วิทย์ ที่กำลังพลิกตัวหลบตีนไอ้รงค์ที่คว้าหมอนกระโดดตามไอ้ชัยลงไปนอนที่พื้น

ผมรู้สึกไม่ค่อยดีนัก เมื่อรู้ว่าไม่มีโอกาสได้คุยกับพี่โอ๋อีกแล้ว เพราะโดยลึกๆแล้ว ผมก็ไม่ได้โกรธเกลียดพี่เขาแล้ว เพราะอย่างที่บอกคือ ทั้งหมดคือผม ไม่ใช่พี่เขาที่เป็นต้นเหตุความบาดหมาง โดยเฉพาะไอ้วิทย์ที่รู้จักกับพี่เขามาแต่เด็ก ก็พลอยแตกคอกันไปเพราะผมเป็นต้นเหตุ

ไอ้วิทย์มันไม่ได้ตอบผมโดยทันที มันทำท่าคิดอยู่นาน ก่อนที่จะยันตัวลุกขึ้น และผมที่นอนกลับหัวกลับหางกับมันเลยต้องพลอยลุกขึ้นมาด้วย เพราะจากท่าทีมัน ผมรู้ มันต้องการคุยกับผมอย่างจริงจัง

มันอ้าปากจะพูด แล้วก็หุบปากลงเหมือนเดิม ก่อนจะถอนหายใจ

“เอก...ในโลกนี้ ปัญหามีอยู่สองอย่าง”มันพูด ก่อนดึงมือผมทั้งสองข้างไปจับไว้

ถ้าเป็นครั้งอื่นผมคงหัวเราะ แล้วถีบมัน แต่ครั้งนี้ ผมรู้มันจริงจัง จริงจังเกินกว่าที่ผมจะกล้าเสแสร้งแกล้งชักใบ ให้กลายเป็นเรื่องล้อเล่น

“ปัญหาที่แก้ได้... มึงต้องแก้ ไม่ใช่หนี...”มันพูด มือขวาของมันห่อมือซ้ายของผมให้กำเข้า

“กับปัญหาที่แก้ไม่ได้...มึงต้องวาง ไม่ใช่กำไว้ให้หนักหัว!”มันจับมือขวาของผม บังคับให้วางแบลง

ผมก้มมองดูมือตัวเอง ที่ข้างหนึ่งถูกมือมันกำไว้แน่น และอีกข้างที่ถูกบังคับให้วางแบลง

ไอ้ชัยกับไอ้รงค์ ลุกขึ้นนอนตะแคงมองดูผมจากพื้น

ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพวกมัน

เป็นครั้งแรกที่ผมได้คิด...มีแต่ผมที่โตแต่ตัวแบบที่แม่ชอบบ่นชอบว่า ส่วนพวกไอ้วิทย์ มันโตกว่าผมทั้งความคิดและการกระทำ




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 02-04-2008 20:53:49
ผมรู้จักไอ้ชัยตั้งแต่ป.3 และเรียนห้องเดียวกับมันยันป.5 แต่พอป.6ก็แยกห้อง ซึ่งผมได้อยู่ห้องเดียวกับไอ้รงค์ ส่วนไอ้ชัยไปเรียนห้องเดียวกับไอ้วิทย์ จนม.1 ที่สอบย้ายโรงเรียนตามกันมานั่นแหละเราถึงได้อยู่มารวมเรียนอยู่ห้องเดียวกันหมดและเป็นเพื่อนกันนับจากนั้น

ร่วม 10 ปี ที่ผมได้รู้จักกับพวกมัน...แรกๆผมยังจำได้ว่า ตัวเองไม่ค่อยชอบหน้าไอ้วิทย์นัก เพราะมันขี้คุย พวกผมรู้ว่าที่ไอ้วิทย์มันพูดมันเล่า ต้องลบด้วยเก้าแล้วหารด้วย10อีกที แต่มันไม่ได้ขี้โกหก มันแค่โม้แค่คุย เพราะความคะนอง...ทั้งเหล้า บุหรี่ หนังสือโป๊ มันทำตัวเป็นรุ่นพี่สอนพวกผมหมด จนเมื่อไหร่ไม่รู้ ที่มันกลายเป็นคนที่พูดอะไรกลับกลายเป็นว่าพวกผมต้องฟัง กลายเป็นคนแรกที่พวกผมวิ่งหาเวลามีปัญหา

ไอ้รงค์ มันพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร...มันสนิทกับคนยาก เข้ากับคนไม่ค่อยเก่ง... พวกผมว่าไง มันก็ว่างั๊น คล้ายกลัวโดนทิ้งเพราะมันไม่ค่อยมีเพื่อนคนอื่น แต่วันหนึ่งผมก็รู้ว่าที่คิดน่ะผิด ผมจำได้ เมื่อไอ้วิทย์กับไอ้ชัยละล้าละลังตามผมกับพี่โอ๋มาหาพี่เหยา ไอ้รงค์มันพูด...กูมีธุระ...และไม่ลังเลที่จะหันหลังให้พวกผมโดยทันที...

ส่วนไอ้ชัย เมื่อก่อนมันเป็นคนคอยขัดคอให้วิทย์ ถึงเดี๋ยวนี้ พวกมันก็ยังพูดกันคำ ขัดกันคำ แต่ต้องยอมรับ เวลาเถียงอะไรกันจริงจังทีไร มันนี่แหละคอยวิ่งไกล่เกลี่ย...เพราะไอ้วิทย์มันเป็นพวกแรงเกิน ส่วนให้รงค์ก็นิ่งเกิน และผมวิ่งหนีปัญหาเสมอ จึงเป็นไอ้ชัยที่คอยเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยปัญหาเสมอ


เป็นครั้งแรกที่ผมได้คิด...พวกมันเปลี่ยนไปแล้วทุกคน มีแต่ผมที่ย่ำอยู่กลับที่ อยู่กับปัญหาที่...กำไว้ให้หนักหัว อย่างที่ไอ้วิทย์ว่า

“แล้วเกี่ยวอะไรกับพี่โอ๋วะ?”ผมแกล้งถาม ทั้งที่รู้มันหมายถึงพี่เหยา ไม่ใช่พี่โอ๋

“ไอ้สัตว์!”ไอ้วิทย์ด่า ก่อนปล่อยมือผม แล้วล้มตัวนอนเหมือนเดิม ผมทำอย่างมัน แต่หันหน้าเข้ากำแพง ไม่อยากมองหน้าพวกมัน

ตอนนี้ผมรู้สึกแย่ แย่ และแย่

ตอนกลางวันพี่เหยาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหน

และตอนนี้ พวกมันทำให้ผมสำนึกได้ว่าผมไม่เอาไหนจริงๆ

“ที่พูด ไม่ใช่อยากให้มึงรู้สึกแย่นะโว๊ย!”ไอ้วิทย์พูด พลางถีบผม

“เออ!กูรู้สึกดี!”ผมตอบ ไม่สนใจตีนมัน

“เฮ้ย!วันนี้ถีบฟรีว่ะ”เสียงไอ้ชัยพูด ก่อนเสียงพวกมันขยับตัว ผมเลยต้องรีบพลิกตัวกลับ พอดีทันพวกมันง้างเท้า

“เพื่อนเหี้ยอะไรวะ กูกลุ้มอยู่นะโว๊ย!”ผมโวยแต่ก็หัวเราะพร้อมยกแขนยกขากันลูกถีบพวกมัน แต่สองแขนสองขาของผมสู้หกแขนหกขาของพวกมันไม่ได้ ผมเลยถูกถีบจนติดกำแพง

เสียงประตูห้องนอนแม่เปิด เราจึงรีบเงียบเสียง ไม่มีใครกล้ากระดิกตัว จนแม่กลับเข้าห้องไปอีกครั้งนั้นแหละ เราจึงถอนหายใจออกมาพร้อมๆกัน

แล้วเราก็นอนคุยกันอีกสารพัดเรื่อง ทั้งเรื่องที่มีสาระและไร้สาระ

ระหว่างที่ปากคุยและได้ยินเสียงหัวเราะของตัวเองกับเพื่อนๆ บางครั้งใจผมก็ฉุกคิดว่า...จริงๆแล้วน้ำหนักของพี่เหยาในใจผมอาจจะเบาบางกว่าที่ผมคิดก็ได้ อย่างที่ไอ้วิทย์เคยว่า สิ่งที่ไม่ได้มาโดยง่าย มักถูกคิดว่ามีค่าเกินกว่าความเป็นจริงเสมอ...

‘ลองพ่อแม่ไม่ห้าม รักเร็วแบบนี้ ไม่นานก็เลิก’ไอ้วิทย์เคยวิจารณ์ถึงบทสรุปความรักของโรมิโอกับจูเลียต วรรณกรรมอมตะที่ใครๆออกจะซาบซึ้ง แต่มันไม่ซึ้งด้วย

‘ไม่จริงเสมอไปสักหน่อย บางคู่คบกันไม่นานก็จริงจังจนแต่งงานกันก็มี’แฟนไอ้รงค์แย้ง อย่างร้อนตัวเพราะ หล่อนกับไอ้รงค์เจอหน้ากันแค่อาทิตย์เดียวก็ตกลงเป็นแฟนกันซะแล้ว

‘แต่งแล้วหย่าไม่ได้เหรอเจ๊?’ไอ้วิทย์ย้อนถาม

‘รงค์!’คราวนี้หล่อนหันไปหาไอ้รงค์

‘เอ้าขอความเห็นหน่อยรงค์มิโอ!’ไอ้วิทย์ก็หันไปหาไอ้รงค์ที่ทำหน้าเมื่อยบ้าง

‘ก็คุยกันเองสิวะ เกี่ยวไรกับกู’มันไม่กล้าหือกับแฟนเลยหันไปตอบไอ้วิทย์แทน

‘ก็แฟนมึงอ่ะ’ไอ้วิทย์ว่า

‘ก็แฟนเพื่อนมึงไง ไปคุยกันเอาเอง’ไอ้รงค์ตอบซะงั๊น

ผมไม่แน่ใจว่าการสนทนาจบลงที่แฟนไอ้รงค์งอนไอ้วิทย์หรืองอนไอ้รงค์กันแน่ แต่วันนี้ เมื่อผมยังหัวเราะได้กับพวกมันทั้งที่ความทุกข์ยังไม่ทันปิดประตูลา ผมก็ต้องยอมรับว่าผมเห็นด้วยกับไอ้วิทย์...สิ่งที่ไม่ได้มาอย่างที่หวัง เรามักกระหายถึงมันเกินกว่าความเป็นจริงเสมอ...เมื่อคิดได้อย่างนั้น ผมก็รู้สึกว่าใจตัวเองสงบขึ้น

“มึงเคยรู้หรือเปล่าว่าทำไมพี่เหยามาอยู่กับทอม?” ผมหันไปถามไอ้วิทย์ เมื่อต่างเงียบเสียงคุย

“ไม่...กูไม่เคยคุยกับพี่เหยาเรื่อง...”ไอ้วิทย์ตอบคล้ายนึกคำพูดไม่ออก

“แล้ว...”ผมอ้าปากจะถามแต่โดนไอ้รงค์ขัดขึ้น

“กูรู้แต่ว่า...มึงไม่รู้จักทอมเท่าที่พี่เหยารู้จัก เหมือนๆกับที่ไม่รู้จักพี่เหยา เท่าที่ทอมรู้จัก!”

คำพูดของไอ้รงค์เหมือนฝ่ามือที่ฟาดลงหน้าผมอย่างจัง คำพูดของมันช่วยตอกย้ำความคิดที่ว่า ผมเป็นคนนอกระหว่างพี่เหยาและทอม

น้ำตาของผมไม่มีความหมายเท่าน้ำตาของทอม

ความเจ็บปวดของผมไม่มีค่าอะไรกับพี่เหยาเมื่อเทียบกับความเจ็บปวดของทอม

ไม่ต้องออกปากถามอีกว่า...ผมกับทอมตกเหว พี่จะช่วยใคร...เพราะผมรู้ พี่เหยาพร้อมจะปล่อยมือจากผม...เสมอ

ความเจ็บปวดยังเท่าเดิม แต่เมื่อมีพวกมันอยู่ด้วย ผมไม่แน่ใจผมเข้มแข็งจนไม่ร้องไห้ หรือขี้ขลาดจนไม่กล้าร้องไห้กันแน่

ระหว่างพี่เหยากับพวกมัน ถ้าต้องเลือกผมจะเลือกใคร...คำตอบดูจะยากเย็น เจ็บปวด และน่าละอายใจ แต่ผมรู้ ผมเลือกพวกมัน แล้วจะแปลกอะไรเมื่อพี่เหยาให้ความสำคัญกับทอมมากกว่าผม...ทอมคนที่เป็นส่วนหนึ่งของพี่เหยามาเกือบทั้งชีวิต กับผมที่เพิ่งผ่านเข้าไปในชีวิตเพียงเมื่อไม่นาน...

ผมคิดด้วยใจที่สงบอย่างน่าประหลาดและหลับไปอย่างไม่รู้ตัว จนเมื่อลืมตาตื่นในตอนเช้า ผมจึงบอกตัวเองได้ว่าผมคิดผิด เพราะเมื่อก่อนตาจะหลับ เมื่อสติเริ่มหลุดลอย สิ่งที่ผมคิดถึงเป็นสิ่งสุดท้ายคือพี่เหยา และเมื่อลืมตาตื่น สิ่งแรกที่นึกถึงคือ พี่เหยา...น้ำหนักของพี่เหยาในใจผมไม่ได้เบาบางอย่างที่ผมคิด เพียงแต่อารมณ์มันนิ่งสงบลงไม่พลุ่งพล่านอย่างเมื่อวานเท่านั้น ดังนั้นผมจึงบอกตัวเองว่า...พี่เหยา เป็นปัญหาที่ผมต้องวางอย่างที่ไอ้วิทย์บอก

สายๆ แม่ไอ้วิทย์ก็โทรตามให้กลับ

“กูต้องกลับแล้ว ต้องไปงานศพพี่โอ๋กับแม่ เดี๋ยวไปไม่ทันสวด คืนนี้สวดคืนสุดท้าย ”ไอ้วิทย์บอกหลังจากวางหูจากแม่มัน

“แล้วอยู่ส่งศพด้วยหรือเปล่า?”ไอ้รงค์ถาม เพราะรู้กันว่า แม่ไอ้วิทย์กับแม่พี่โอ๋เป็นเพื่อนสนิทกัน

“อยู่”

“กูไปด้วยได้หรือเปล่า?” ผมถามไอ้วิทย์ เมื่อมันยัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋า และมันพยักหน้าโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองผม

“กูไปด้วยดีไหมวะ?”ไอ้ชัยลังเล

“เออ! คิดไป...กูกลับมาแล้วมึงค่อยบอกว่าจะไปหรือไม่ไป!”ไอ้วิทย์หันไปด่า แต่แค่นั้นเราก็รู้ มันอยากให้ไอ้ชัยไปด้วย

“กูไปด้วยไม่ได้นะ พรุ่งนี้แม่กูไม่อยู่”ไอ้รงค์บอก

“หยิบเสื้อให้กูด้วย กูลงไปโทรศัพท์แป๊บ!”ผมบอกพวกมัน ก่อนเดินออกจากห้องแล้วยื่นหน้ากลับเข้าไปใหม่

“เฮ้ย ไอ้ที่พูดกับคนตายนี่เขาว่าไงวะ?”ผมถาม

“อโหสิกรรม”ไอ้ชัยตอบ

“ขออโหสิกรรม”แต่ไอ้รงค์ตอบอีกอย่าง

“ตกลงขอหรือไม่ขอ?”ผมถาม แต่คำตอบที่ได้คือพวกมันเงียบ แปลว่าไม่แน่ใจเหมือนกัน

“มึงจะโทรหาพี่เหยา?”ไอ้วิทย์ถาม

“เออ!”ผมตอบสั้นก่อนรีบดึงหัวกลับออกมา กลัวมันถามมากกว่านั้น

ผมโทรหาพี่เหยา...นานกว่าพี่เหยาจะรับสาย และเสียงที่ตอบรับคล้ายจะลังเล ผมรู้พี่เหยาคงกังวล...ใจหนึ่งผมอยากถาม...พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม?...แต่อีกใจก็บอกให้ตัวเองเมินเฉย เพื่อหลบเลี่ยงความจริงที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวาน เพราะเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายพูด...พี่อย่ามายุ่งกับผมอีก...

ผมจึงเลือกที่จะไม่ถามและไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

ผมเล่าให้พี่เหยาฟังเรื่องโอ๋ พี่เหยาฟังเงียบๆ และเงียบเสียงเมื่อผมบอก

“ผมจะไปงานศพพี่เค้า กับไอ้วิทย์”

“พี่มีอะไรจะฝากบอกพี่โอ๋หรือเปล่า”ผมถามเมื่อพี่เหยาเงียบ และละคำว่าขอหรือไม่ขออโหสิกรรมไว้เพราะไม่เคยปากนัก

“ก็ไม่มีอะไร”พี่เหยาตอบหลังจากหยุดคิด

“พี่ยกโทษให้พี่เขาหรือเปล่า...จะได้ไม่ติดค้างกัน”ผมพยายามคิดหาคำพูด

“ก็ไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว”พี่เหยาบอกผม

“หมายความว่าไง?”ผมไม่เข้าใจ

“พี่เคยคุยกับเขาแล้ว”พี่เหยาบอก และสิ่งที่ได้ยินต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิด

“พี่เคยเจอเขาที่หอวิทย์...เขาขอโทษพี่แล้ว...เขาว่าเขาไม่เคยบอกอะไรพี่นัท”พี่เหยาบอกเล่าด้วยประโยคสั้นๆ แต่ทิ้งให้ผมยืนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นนานจนแม่ต้องถามว่าเป็นอะไร

ผมไม่เข้าใจ...ผมอยู่ตรงไหน ทำอะไร เมื่อสิ่งรอบๆตัวมันเปลี่ยนแปลง มันผ่านเลยไป...พี่โอ๋เคยขอโทษพี่เหยาแล้ว?...แล้วผมล่ะ?ผมที่เป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด มัวทำอะไรอยู่?...

ผมกลับขึ้นไปที่ห้องนอน นึกลังเลว่าจะเล่าให้พวกมันฟัง เรื่องที่ได้ยินจากพี่เหยาดีหรือเปล่า...และสุดท้ายผมก็ตัดสินใจเล่า เพราะรู้สึกว่า หากปกปิดไว้ มันเหมือนผมทรยศทั้งพี่โอ๋ ทั้งไอ้วิทย์

ไอ้วิทย์มันนิ่งไปหลังจากที่ฟังผมพูด ก่อนที่จะหัวเราะอย่างแกนๆ และเดินออกไปจากห้องไม่พูดไม่จา

ผมได้ยินเสียงประตูห้องน้ำ เปิด และปิด...

ผมรู้...มันกำลังร้องไห้...ร้องไห้เหมือนวันที่มันทะเลาะกับพี่โอ๋ เหมือนตอนที่มันมาซุกหน้าร้องไห้อยู่ในห้องผม...วันนั้นผมสงสัย ทำไมมันต้องร้อง มันไม่ได้ทำอะไรผิด แต่วันนี้ผมรู้ มันคงร้องไห้ให้กับความสัมพันธ์ที่ถูกทำลายลงเพราะผมเป็นต้นเหตุ

มันยกโทษให้ผม แต่ไม่เคยยกโทษให้พี่โอ๋...ผมเคยคิดว่ามันเลือกผมที่เป็นเพื่อน แต่จริงๆไม่ใช่...แม้เวลานั้นเราจะเด็กเกินกว่ารู้จักคำว่าศรัทธา แต่ความจริงคือ มันไม่อาจยกโทษให้พี่โอ๋ เพราะมันสูญเสียศรัทธา...สูญเสียความนับถือ ...คำที่ทั้งผมและมันยังเด็กเกินกว่าจะรู้จักด้วยซ้ำในเวลานั้น...

หากย้อนกลับไป พี่โอ๋ในวันนั้นไม่ต่างจากพวกผมในวันนี้นัก พี่โอ๋ไม่ได้โตหรือเป็นผู้ใหญ่เท่าที่พวกผมเห็นด้วยความรู้สึกในตอนนั้น...ไม่ได้เติบโตเท่าที่พวกผมเห็นด้วยความรู้สึกของคนที่เด็กกว่า พี่โอ๋ทำผิดและถูกอย่างที่ผมทำ... มีสำนึกผิดถูกอยู่บนความคึกคะนอง...สิ่งที่ทำลงไปอาจเพียงแค่รักษาหน้าจากความคาดหวังจากเด็กแก่แดดแก่ลมอย่างพวกผม...ชั่วเวลาน้อยนิดที่ผมหยิบยื่นให้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร จากความคาดหวังของพวกผม...พี่โอ๋แค่เลือกทางผิด...

ผมรู้ไอ้วิทย์กำลังร้องไห้ ให้กับความจริงที่มันรู้ช้าจนเกินไป...น้ำตาของมันในวันนี้คงปนเปื้อนกับความดีใจ...เพราะอย่างน้อยมันรู้...มันสามารถยกโทษให้พี่โอ๋ได้แล้วอย่างแท้จริง เพราะมันได้ศรัทธาในตัวพี่โอ๋คืนมา...

ตลอดทางที่นั่งรถไปด้วยกัน ไอ้วิทย์มันนั่งเงียบ มันพูดกับไอ้ชัยบ้าง แต่ไม่ยอมพูดกับผม มันคงนึกโกรธผม เพราะผมเป็นสาเหตุทั้งหมด

ที่งานศพ...ผมพบความหมายของคำว่าสูญเสียอย่างแท้จริง

เมื่อรู้ว่าพี่โอ๋ตาย...ผมตกใจและเสียใจ...แต่ก็ห่างไกลจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้

พี่โอ๋เป็นคนแรก...ที่ทำให้ผมรู้จักกับความตาย

แม่พี่โอ๋ไม่ได้ร้องไห้เหมือนปริ่มจะขาดใจอย่างที่เคยเห็นในหนังหรืออย่างที่ผมคิดไว้ว่าจะได้เห็น...ตรงข้ามใบหน้าของแม่พี่โอ๋ซีดเซียว ไม่มีน้ำตา ไม่มีสีเลือด ไม่มีชีวิต...

ผมนึกถึงการกระทำของตัวเองที่ทำไปเมื่อวาน เมื่อขี่มอเตอร์ไซด์อย่างคนไม่มีสติ

ผมมองเห็นพ่อและแม่นั่งอยู่ตรงนั้น ด้วยใบหน้าแบบเดียวกัน...

ทำไมผมทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า...ผมสำนึกในสิ่งหนึ่ง ก็เพียงเพื่อทำผิดในอีกสิ่งเสมอ...

ถ้าผมสัญญากับตัวเองในวันนี้ว่าจะไม่ทำอีก...พรุ่งนี้ผมจะทำผิดอย่างอื่นอีก เพื่อสำนึกผิดในวันถัดไป...

ไอ้ชัยตบหลังไอ้วิทย์เบาๆ ผมถึงสังเกตเห็นว่าไอ้วิทย์ร้องไห้...ผมบอกตัวเองว่านั่นคืออีกหนึ่งผลลัพธ์ของความผิดของผม

คืนนั้นผมกับไอ้ชัยไปนอนค้างที่บ้านพี่โอ๋กับแม่ไอ้วิทย์ ส่วนไอ้วิทย์มันขออยู่เป็นเพื่อนศพ

ผมนอนลืมตาตื่นทั้งคืน...คิดถึงพี่เหยา...คิดถึงทอม...คิดถึงพี่โอ๋ ไอ้วิทย์และตัวเอง

ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า...ผมยังอยากครอบครองพี่เหยาอยู่หรือเปล่า คำตอบคือใช่

ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า...ผมยังชิงชังทอมอยู่หรือเปล่า คำตอบยังคือใช่

และผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า... แล้วทำไมใจมันไม่ทุรนทุรายจะเป็นจะตายอย่างเมื่อวันก่อน...

คำตอบที่ได้ในวันนั้นไม่แน่ชัดนัก... ผมไม่อาจตอบได้ว่าเพราะการจากไปของพี่โอ๋ เพราะความจริงที่รู้จากพี่เหยา หรือ เพราะหน้าไร้ชีวิตของแม่พี่โอ๋หรือเพราะน้ำตาของไอ้วิทย์...

ในวันนั้นผมสัมผัสได้ถึงคำตอบ แต่ก็บอกตัวเองไม่ได้แน่ชัด แต่วันนี้เมื่อผ่านโลกมานานกว่าวันนั้น ผมรู้คำตอบที่ค้นพบในวันนั้น...ไม่ว่าจะการจากไปของพี่โอ๋ หรือความจริงที่รู้จากพี่เหยา ไม่ว่าจะเพราะใบหน้าไร้ชีวิตของแม่พี่โอ๋หรือน้ำตาของไอ้วิทย์ อาจรวมถึงน้ำตาของทอมหรือเสียงสะอื้นไห้ของพี่เหยา...ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบ เพราะชีวิตไม่ได้เป็นแค่ของผม และผมไม่อาจมีชีวิตอยู่แค่เพื่อคนๆเดียว เพราะความจริงไม่ใช่แค่สิ่งที่ผมรู้หรือมองเห็น และผมไม่อาจมีชีวิตจมปลักอยู่กับสิ่งที่ตัวเองคิดและต้องการ...ผมผลักโลกที่เคยหมุนโดยเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางให้ไกลห่างออกไปและพบว่าความเจ็บปวดมันห่างไกลออกไปในระยะทางใกล้เคียงกัน...




--------------------


จบตอน 10
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 02-04-2008 21:04:17
 o7 o13 o7 o13 o7 o13

แด่พี่ทิพย์ กับ คุณภัคD >>>>>>>>  :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 02-04-2008 21:26:11
กว่าจะอ่านจบ  :try2: ซีนอารมณ์เยอะจัง    :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 02-04-2008 22:14:50
สาธุ!

ขอบคุณทิพจริงๆ

สอง
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 02-04-2008 22:22:24
ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดมาได้
เมื่อหันกลับไปมอง ก็เสียวสันหลังอยู่ลึกๆ ว่าถ้าพลาดไป คงไม่สามารถจะผลักความเจ็บปวดออกไปในระยะห่างได้เลย

คงเป็นข้อเตือนใจหลายๆคน เมื่อถือมันไว้แล้วทุกข์ ก็ปล่อยมันลงซะ
บางทีอาจจะมองเห็นหนทางที่ควรจะเดิน
 :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Mono_Koro ที่ 02-04-2008 23:33:49
หนึ่งในนิยายที่ดีที่สุดที่เคยอ่านเลยคับ o13

เป็นกำลังใจให้นะคับ

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 02-04-2008 23:45:12
แอบเจาะไข่ คุณน้องรี ฯบน  อิอิ  :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-04-2008 18:47:18
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 11

หลังจากกลับจากงานศพพี่โอ๋ ไอ้วิทย์มันก็ซึมอยู่วันสองวัน แล้วก็กลับมาเป็นปกติ

ส่วนผม แม้จะคิดว่าตัวเองทำใจได้เรื่องพี่เหยา แต่สุดท้ายผมก็ยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด ผมหมกตัวอยู่แต่ในห้องไม่ลงมาช่วยย่าขายของเพราะไม่อยากเจอพี่เหยา และหลีกเลี่ยงที่จะไปมหาวิทยาลัยไอ้วิทย์ เฝ้าแต่บอกไอ้ชัยว่าพรุ่งนี้และพรุ่งนี้ จนเวลาผ่านไปร่วมสองอาทิตย์ ไอ้ชัยถึงลากผมไปกับมันได้สำเร็จ

ก่อนไป ผมคาดว่าคงจะเจอพี่เหยาอยู่กับไอ้วิทย์ แต่ผมคิดผิด พี่เหยาไม่ได้อยู่ที่โต๊ะกับมัน

“เดี๋ยวนี้พี่เขาฟิตจัด หมกตัวอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด”ไอ้วิทย์บอกโดยที่ผมไม่ต้องอ้าปากถาม

ผมยังจำคำที่ตัวเองพูดกับพี่เหยาได้...อย่ายกโทษให้ผม อย่ามายุ่งกับผมอีก...พี่เหยาทำอย่างที่ผมบอก พี่เหยาคงรู้ผมหลบหน้าพี่เหยา

“ห้องสมุดมหาลัยมึงต้องใช้บัตรหรือเปล่าวะ?”ผมถามไอ้วิทย์ แต่คำตอบที่ได้คือนิ่งคิด และท่าทางมันจะคิดไม่ออก

“ไอ้เหี้ย!ห้องสมุดมีพระหรือไงวะ ถึงไม่เคยเข้า?...เอาบัตรมึงมา!”เมื่อมันตอบไม่ได้ ผมเลยคิดว่าควรเอาไปเผื่อไว้

“มึงนี่เอง แฝดน้องกูที่ตามหามาทั้งชาติ! เหมือนชิบ!”มันประชด แต่ก็หยิบบัตรนักศึกษาของมันโยนให้แต่โดยดี

ในห้องสมุด ผมมองหาพี่เหยาได้ไม่ง่ายนัก อาจเพราะใกล้สอบหลายคนจึงตั้งหน้าตั้งตามาอ่านหนังสือ...หรือพี่เหยาไม่ได้ตั้งใจหลบหน้า...ผมชักไม่แน่ใจเมื่อเห็นจำนวนนักศึกษาที่ต่างก้มหน้าขะมักเขม้นกับหนังสือตรงหน้า

ผมอยากให้พี่เหยานั่งเหม่อ นั่งหมดอาลัยตายอยาก หรือให้พูดตรงๆคือนั่งคิดถึงผม แต่พี่เหยาที่ผมเห็นก็เหมือนกับนักศึกษาคนอื่นๆคือตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือ

ผมบอกตัวเองว่าพี่เหยาเป็นแบบนี้มานานแล้ว พี่เหยาแยกแยะสิ่งที่ต้องทน ต้องทำ และต้องวางได้เด็ดขาดเสมอ

ผมเคยถามตัวเองว่า ถ้าต้องเป็นอย่างพี่เหยา ผมจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ผมจะทำตัวเป็นเด็กดี ตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสืออย่างนี้ได้หรือเปล่า คำตอบไม่ยากนัก เกรดศูนย์ เกรดร. หรือการซ้ำชั้น ในอดีตของผม บอกอย่างแจ่มแจ้งว่าชีวิตผมคงลงเหวไปนานแล้วถ้าต้องเป็นอย่างพี่เหยา เพราะเพียงแค่ที่ผ่านมา หากไม่มีพวกไอ้วิทย์ ผมก็คงเอาตัวไม่รอด

ใจหนึ่งผมจึงนับถือพี่เหยา แต่อีกใจต้องยอมรับว่าผมน้อยใจ เพราะสิ่งที่พี่เหยาปล่อยวางได้สนิทใจคือเรื่องของผม...

ภาพพี่เหยาที่นั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งใจจึงทำให้ใจผมขุ่นมัว สองอาทิตย์ที่ผ่านมา แม้จะบอกว่าทำใจยอมรับได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดคิดได้ ผมยังเฝ้าคิดถึงพี่เหยา ยังอยากครอบครอง ยังนึกชิงชังทอม ผมทำได้เพียงควบคุมให้ทุกความรู้สึกเป็นไปอย่างเงียบสงบ หากแต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าทุกครั้งที่ว่างหรือแม้บางครั้งที่ลืมตัว ในใจผมคิดถึงก็แต่พี่เหยา

ผมลังเลว่าจะเข้าไปทักดีหรือเดินกลับออกมาเงียบๆ แต่ก็พบว่าตัวเองละสายตาไปจากพี่เหยาไม่ได้

แก้มพี่เหยายังแดงเพราะอากาศของเชียงใหม่ยังหนาวเย็น...ผมอยากเหลือเกินที่จะสัมผัสแก้มเย็นๆนั่น อยากสัมผัสปากแดงๆของพี่เหยาที่กำลังขบหัวปากกาเล่นอยู่...อยากสัมผัสและอยากกอดพี่เหยาไว้...อยากได้ยินเสียงพี่เหยาหัวเราะ...อยากให้พี่เหยาเงยหน้าขึ้นมองดูผม...และยิ้ม

นักศึกษาที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับพี่เหยาเก็บของและลุกไป ผมรีบเดินเข้าไปนั่งแทนที่อย่างลืมตัว

พี่เหยาทำท่าแค่รับรู้ว่ามีคนมานั่งอยู่ตรงข้าม และก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไม่มีทีท่าสนใจอะไรอีก

ผมมองดูเปลือกตาพี่เหยาที่หลูบลงอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ และจำได้ถึงแววตาพี่เหยาเวลาที่จ้องมองผมและหัวเราะ

ผมมองดูขวัญผมกลางกะหม่อมของพี่เหยา... มองดูผมเส้นเล็กๆและจำได้ว่ามันอ่อนนุ่มแค่ไหน กลิ่นหอมจางๆยังนึกติดที่ปลายจมูก บ่อยครั้งที่ผมเคยก้มลงจูบเมื่อพี่เหยานั่งอิงซบอยู่กับไหล่ผม...

ผมมองดูนิ้วมือขาวๆที่พี่เหยายกขึ้นถูริมฝีปากตัวเองเวลาใช้ความคิด นึกถึงเวลาที่พี่เหยาลูบไล้เบาๆที่แก้มและริมฝีปากผม

ผมมองดูข้อมือขาวๆที่ตอนนี้ไม่เหลือร่องรอยของการถูกทำร้ายใดๆแล้ว...มองดูลำคอเรื่อยเลยไปที่กระดูกไห้ปลาร้าที่ถูกปกปิดไว้ด้วยเสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาดตา

...คิดถึงเหลือเกิน...อยากกอด อยากให้เป็นของผม...ผมฟังเสียงหัวใจตัวเองบอก เมื่อมองพี่เหยาที่นั่งอยู่ตรงหน้า

และเมื่อความรู้สึกทุกอย่างเป็นไปอย่างเงียบสงบ ผมก็พบว่าตัวเองยังจำได้ดีถึงความสุขเมื่อได้กอดพี่เหยาไว้ จำได้ถึงความอบอุ่นจากตัวพี่เหยาในคืนที่ท้องฟ้าของเชียงใหม่เต็มไปด้วยแสงโคม พอๆกับที่จดจำได้ดีถึงเสียงของความสิ้นหวังในวันที่เหมือนโลกกำลังจะพังทลายลง เหมือนแสงโคมที่เพิ่งหมดไปจากท้องฟ้าเมืองเชียงใหม่

ถ้าพี่เหยาไม่ยกโทษให้ทอม ถ้าพี่เหยาไม่เพิกเฉยต่อความเจ็บปวดของผม บางทีความชิงชังในความขลาดกลัวของตัวเองของผมอาจจะรุนแรงยิ่งกว่านี้ แต่เมื่อรู้สึกว่าโดนทอมทำร้าย โดนพี่เหยาทรยศต่อความเจ็บปวดของผม ผมก็ยกโทษให้กับตัวเองได้ง่ายดายขึ้น

พี่เหยายกข้อมือขึ้นดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือราคาแพง...ผมรู้พี่เหยามีเรียนในคาบเรียนต่อไป

ตราบเมื่อพี่เหยาเก็บหนังสือ เก็บปากกาเสร็จนั่นแหละ พี่เหยาถึงเพิ่งสังเกตเห็นการมีอยู่ของผม

พี่เหยามองผมอย่างชั่งใจ คล้ายไม่แน่ใจว่าควรยิ้ม ควรทัก หรือควรทำอย่างไร

มันน่าเศร้าเมื่อคนตรงหน้าคือคนที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในอ้อมแขนผม เคยหัวเราะ เคยกระซิบเรียกชื่อผม...เวลาแค่สองอาทิตย์ เรากลับทำคล้ายจะเข้าหน้ากันไม่ติด

“ไปกินข้าวกับผมมั๊ย?”ผมเป็นฝ่ายชวน เมื่อพี่เหยาเอาแต่จ้องหน้าผม

“พี่มีเรียน...”พี่เหยาตอบคำถามที่ผมรู้ แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับ

ผมรู้ว่าเรื่องเรียนสำคัญกับพี่เหยา แต่เมื่อเราไม่ได้เจอหน้ากันร่วมสองอาทิตย์ พี่เหยาเลือกที่จะเรียนตามเวลา มากกว่าที่จะรักษาเวลาและโอกาสที่จะได้อยู่กับผม

ผมนึกถึงที่ตัวเองทำตัวเหลวไหลแอบดร๊อปเรียน เพียงเพื่อให้ได้มีเวลาอยู่กับพี่เหยา... ผมไม่เคยบอกพี่เหยาถึงสิ่งที่ผมทำ มันไม่จำเป็นที่พี่เหยาจะต้องรับรู้ ว่าผมยอมเสียอะไรไปเท่าไหร่ให้ได้มาซึ่งเวลาที่จะอยู่กับพี่เหยา และผมก็ไม่ได้เรียกร้องหรือแม้แต่หวังให้พี่เหยาทำในสิ่งเดียวกัน...เพียงแต่วันนี้ เวลานี้ เวลาเรียนแค่ชั่วโมงดูจะมีค่ามากมายเหลือเกินสำหรับพี่เหยา มีค่ามากกว่าผมที่หายหัวไปจากพี่เหยาเป็นอาทิตย์

ผมโกรธ...แต่ที่มากกว่าโกรธคือน้อยใจ...และที่รู้สึกมากกว่าน้อยใจ...คือความรู้สึกว่างเปล่า...

พี่เหยาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเสมอ...

ผมเดินออกมาจากห้องสมุดพร้อมพี่เหยา และแยกกันที่หน้าห้องสมุด ไม่ได้กลับไปสมทบไอ้วิทย์ นึกรู้ว่าเรียนเสร็จ พี่เหยาก็คงตรงกลับบ้านเลย เพราะหมดคาบเรียนของพี่เหยาในวันนี้แล้ว

ผมหมกตัวอยู่แต่ในห้องนอนแต่หัววัน นอนอยู่บนเตียงแต่ไม่หลับ เฝ้าคิดและคิดถึงพี่เหยา...อีกด้านของผนังตึก พี่เหยาคงกำลังอยู่กับทอม...ผมหลับตาพยายามลบภาพที่อยู่ในหัว...

...ภาพพี่เหยาที่อยู่ในอ้อมแขนของทอม...

...ภาพผิวเนื้อขาวที่ถูกลูบไล้ด้วยมือของทอม...

...ภาพร่างเปล่าเปลือยที่กำลังถูกทอมครอบครอง...

...และภาพริมฝีปากแดงที่คงพร่ำเรียกชื่อของทอม... ไม่ใช่ผม

แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมา...เมื่อพบว่า ให้พยายามอย่างไร ก็ไม่อาจลบภาพเหล่านั้นไปจากหัวได้

ตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าผมเกลียดและชิงชังใครที่สุด ตัวเอง...ทอม หรือพี่เหยา...

ยิ่งน้ำตามันไหลออกมามากมายเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกถึงความเกลียดชังในใจตัวเองมากมายเท่านั้น

...พี่มีเรียน...เสียงพี่เหยายังชัดอยู่ที่หู

...พี่มีเรียน...เสียงพี่เหยาดังอยู่ที่ริมหูจนผมหลับและตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้า เสียงนั้นก็ยังชัดเจน

บ่ายวันต่อมา ผมซ้อนท้ายไอ้ชัยไปที่มหาวิทยาลัยไอ้วิทย์เหมือนเคย และไม่คิดว่าจะเจอพี่เหยาเพราะคาบเรียนพี่เหยาหมดไปตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว

“พี่เหยาอยู่ที่ห้องสมุด”แต่ไอ้วิทย์มันบอก ตั้งแต่ผมยังไม่ทันหย่อนก้นลงนั่ง และผมก็แค่พยักหน้ารับรู้ พยายยามทำเพิกเฉยต่อสิ่งที่มันบอก

แต่สุดท้ายผมก็ทนนั่งอยู่ได้แค่ชั่วครู่ ก่อนพาใจที่ยังห่อหี่ยวของตัวเองไปมองหาพี่เหยาในห้องสมุด แต่วันนี้แค่ผมก้าวเท้าไปยังไม่ทันถึงโต๊ะที่พี่เหยานั่ง พี่เหยาก็เงยหน้าขึ้นมามองผมและยิ้ม

ผมเดินเข้าไปหา มองดูพี่เหยาที่เตรียมเก็บหนังสือและปากกา

...ทำไมพี่เหยาไม่ทำแบบนี้เมื่อวานนะ?...ผมถามตัวเอง นึกสงสัยว่าถ้าเมื่อวานพี่เหยามีท่าทีแบบนี้ ผมจะดีใจแค่ไหน...แต่สำหรับวันนี้ ผมนึกชิงชังกับท่าทีของพี่เหยา

“กะไม่พลาดเอสักตัวเลยเหรอพี่?”ผมทัก และไม่สนใจรอคำตอบ ทำทีเป็นมองไปรอบๆ

“ไปก่อนนะ ผมนัดเพื่อนไว้!”ผมบอก เมื่อพี่เหยาขยับปากจะพูดอะไรสักอย่าง

ผมมองดูริมฝีปากที่รอยยิ้มค่อยๆจางไปของพี่เหยา มองดูพี่เหยาที่พยักหน้ารับคำผม และค่อยๆดึงปลอกปากกาในมือออกอีกครั้ง...สะใจดีเหลือเกิน! ผมรู้สึกอย่างนั้น

ผมหันหลังเดินออกมาไม่สนใจพี่เหยาอีก อยากหันกลับไปมอง นึกอยากรู้ว่าพี่เหยาจะมองตามผมมาหรือกลับไปก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ

ผมเดินออกจากห้องสมุดอย่างยิ้มย่อง พอใจในความสะใจที่ได้รับ...แล้วก็ต้องยอมรับ ในความสะใจมีความเสียใจปะปนอยู่ด้วย...

ผมชอบรอยยิ้มที่ปนเปื้อนความผิดหวังนั้นจริงๆหรือ?...

สุดท้ายผมก็เดินกลับเข้าไป พี่เหยากลับไปก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออีกครั้ง แต่ก็เงยหน้าขึ้นทันทีที่ผมเดินเข้าไปใกล้

คราวนี้พี่เหยาไม่ยิ้ม แต่มองผมคล้ายเตรียมพร้อมว่าผมจะกรีดมีดเล่มไหนลงไปอีก

“นึกได้ว่าพี่ไม่มีเรียนแล้วนี่ ใช่ไหม?”ผมแกล้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว และพี่เหยาพยักหน้ารับ ตายังจ้องมองผมอย่างระแวงสงสัย

“งั๊นไปกินข้าวกันนะ?”ผมชวน แกล้งไม่สนใจแววตาสงสัยนั้น




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-04-2008 18:48:57
“แล้วเพื่อนเอกล่ะ?”พี่เหยาถาม มองดูผมที่ถือวิสาสะเก็บหนังสือ และดึงปากกาจากมือมาเก็บให้

“ช่างมันเหอะ...ก็นึกได้ว่าพี่ไม่มีเรียนแล้วนี่”ผมโกหก และยักไหล่แบบไม่เห็นความสำคัญ

มันเป็นคำโกหกของคำโกหก เพราะจริงๆผมไม่ได้นัดใครไว้เลย...ผมอาจเลือกบอกพี่เหยาได้ว่า ไม่เจอเพื่อน หรือเพื่อนเลื่อนนัด หรือแม้แต่ ผมเลื่อนนัดโดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผล...แต่ผมเลือกที่จะบอก เลื่อนนัด เพราะนึกได้ว่าพี่ไม่มีเรียน...

ไม่ใช่เพราะอยากให้พี่เหยารู้ว่าผมให้ความสำคัญกับพี่เหยามากแค่ไหน แต่เพราะอยากให้พี่เหยารู้ว่าพี่เหยาสำคัญสำหรับผมแค่ไหน เหนืออื่นใด ผมชอบรอยยิ้มของพี่เหยาในขณะนี้ ขณะที่มองดูผมเก็บหนังสือและปากกาให้ มากกว่ารอยยิ้มผิดหวังเมื่อผมหันหลังเดินจากมา

ตอนนั้นผมยอมรับ...ผมทนไม่ได้ กับความผิดหวังหรือโศกเศร้าของพี่เหยา...ไม่อยากเห็นน้ำตาของพี่เหยาอีก...ไม่อยากเห็นความเจ็บปวดของพี่เหยา ไม่ว่าความเจ็บปวดนั้นจะมาจากมือผม หรือมือใคร

“ผมถือให้”ผมบอกเมื่อพี่เหยายื่นมือมารับหนังสือของตัวเองคืน

“วิทย์อยู่ที่โต๊ะ”พี่เหยาบอก ไม่แน่ใจว่าเพียงบอกกล่าวหรือตั้งใจชวนให้เรียกพวกมันไปกินข้าวด้วยกัน

“ช่างมัน...ไปกันสองคนเหอะ”ผมบอกและพี่เหยายิ้มรับ

มันเหมือนผ่านไปนานแสนนานที่ไม่ได้มานั่งกินข้าวกับพี่เหยาสองคนแบบนี้

แม้เราจะหาเรื่องมาคุยกันได้เรียบเรื่อยอย่างเคย แต่ก็ต้องยอมรับว่าในความเรียบเรื่อย เราต่างพยายามซุกซ่อนความกระอักกระอ่วนใจไว้ หลักฐานคือเราไม่กล้าเตะต้องพูดคุยถึงเรื่องส่วนตัวของกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาๆอย่างเรื่องที่เราทำอะไรบ้างระหว่าง2อาทิตย์ที่ผ่านมาซึ่งไม่เจอหน้ากันเลย หรือแม้แต่เรื่องเรียน ราวกับว่าเรากลัวว่าเรื่องธรรมดาๆเหล่านั้นมันจะเชื่อมโยงไปถึงบาดแผลที่ทิ้งรอยไว้ในใจเรา

“เมื่อวานพี่มีpresentงาน เลยโดดไม่ได้”พี่เหยาพูดออกมาในที่สุด ดูก็รู้ว่ารอหาโอกาสพูดอยู่ เพราะอยู่ดีๆพี่เหยาก็พูด ทั้งที่เราเพิ่งจบเรื่องของหนังที่กำลังรอเข้าฉายอาทิตย์หน้า

“น่าจะบอกตั้งแต่เมื่อวาน ปล่อยให้ผมเสียน้ำตาไปตั้งหลายปี๊บ!”ผมพูดติดตลก แต่ดูพี่เหยาจะติดใจกับคำพูดผมจริงๆ ทั้งที่ผมอยากให้มันฟังดูล้อเล่น ถึงแม้มันจะเป็นความจริง

“ผมล้อเล่น ทำหน้ายังกับผมพูดจริง!”ผมรีบแก้ตัว เมื่อพี่เหยามองหน้าผมอย่างไม่สบายใจนัก และผมต้องหลบตาเมื่อพี่เหยายังจ้องหน้าผมนิ่งอย่างไม่เชื่อในคำโกหกของผม

...ใช่แล้ว พี่เหยารู้จักผมดีกว่าใครๆ...ผมบอกตัวเอง นึกละอายใจที่พูดออกไปเพราะผมไม่อยากให้พี่เหยารู้เลยว่าผมอ่อนแอแค่ไหน

“ผมไม่ได้ร้องจริงๆนะ!”ผมพูดไม่สบตา หวังเพียงริบหรี่ว่าพี่เหยาจะเชื่อ

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่!”พี่เหยาพูด เพียงเท่านั้นผมก็ต้องยอมรับว่า...พี่เหยารู้จักผมดีจริงๆ... ดีเกินไปจนรู้ว่าผมอายแค่ไหนที่จะต้องยอมรับว่าตัวเองร้องไห้

ความสัมพันธ์ที่ครั้งหนึ่ง เคยมีกันและกันอยู่ในอ้อมกอด วันนี้เราต่างทิ้งระยะห่างเหลือแค่เพียงมองเห็นกัน...

คนละด้านหนึ่งของโต๊ะกินข้าว กลับกลายเป็นระยะทางที่ใกล้ที่สุดที่เรามีให้กันได้...

...ไม่เห็นหน้าก็ทุกข์ แต่เห็นหน้าก็ทุกข์พอกัน...คือความรู้สึกระหว่างผมกับพี่เหยาในช่วงเวลาหลังจากความสุขในคืนวันลอยกระทง

ทุกครั้งที่เจอหน้า มันเป็นความสุขที่เคลือบแฝงมากับความทุกข์ว่าเดี๋ยวก็ต้องปล่อยมือจาก...เป็นความสุขที่ดิ้นไม่หลุดจากความระแวงระวัง กลัวจะเกิดเหตุการณ์ใดซ้ำรอยความเลวร้ายนั้นอีก...เป็นความสุขที่จมอยู่กับความทุรนทุรายว่าทำไม ไม่ใช่ผมที่เป็นเจ้าของ...และทุกครั้ง ก็จบลงด้วยน้ำตาที่ยากจะบอกว่าเพราะน้อยใจหรือแค้นเคือง เมื่อในหัวมีแต่ภาพของทอมและพี่เหยา ทุกคืน และทุกคืน...

เมื่อเจอหน้าก็ทั้งทุกข์และสุข... เมื่อปล่อยมือจาก ก็เหลือแต่ความรู้สึกของความสูญเสียและ สิ้นหวังไว้ในใจ หากแต่จะตัดใจไม่พบไม่เจอให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ก็ต้องยอมรับว่า...คิดถึงจนทนไม่ได้

มองย้อนไปจากวันนี้ ผมนึกขันตัวเอง...เรื่องราวเกินกว่าครึ่งที่สมองต้องทำงานหนัก ไม่น่าจะใช่เรื่องเรียน แต่ดูจะเป็นเรื่องของพี่เหยาเสียมากกว่า...

พี่เหยาเป็นเหมือนโจทย์ที่แก้ไม่ตก ปล่อยวางก็ไม่ได้...ความสัมพันธ์ของผมและพี่เหยาเป็นเหมือนภาษาที่ผมไม่รู้จัก อ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ เมื่อวางอยู่ตรงหน้าก็ทำได้เพียงแค่มอง และ เหนืออื่นใด เหมือนวิชาศิลปะ ที่ความเพียรไม่เคยช่วยอะไร พยายามเท่าใด ไขว่คว้าเท่าใด ก็ทำได้แค่...เสียเวลาเปล่า...

หลังจากที่ทนอยู่กับความรู้สึก...ไม่เจอหน้าก็ทุกข์ แต่เจอหน้าก็ทุกข์พอกัน อยู่นาน ผมก็ตัดสินใจว่าต้องทำอะไรสักอย่างกับความรู้สึกที่ว่านั้น เพราะผมเบื่อเหลือเกินกับความผิดหวัง สิ้นหวัง หวงแหนอย่างไร้ประโยชน์และชิงชังอย่างไร้ทางตอบโต้ ที่มันตามติดกลับมาอยู่กับผมตลอดเวลานับจากแยกเท้าจากพี่เหยา

ความคิดถึงดูจะทรมานน้อยกว่า...ผมบอกตัวเองอย่างนั้น เมื่อเทียบกับความรู้สึกที่ต้องปล่อยมือจากพี่เหยา โดยเฉพาะนึกรู้ว่า เมื่อปล่อยมือแล้ว...คือมือของทอมที่ได้เป็นเจ้าของและ ได้ครอบครอง...

แต่หากจะให้ตัดใจไม่เจอหน้าเลย...ผมยอมรับว่าคิดถึงและยิ่งกว่านั้น ผมกลัวสีหน้าผิดหวังของพี่เหยา กลัวว่าพี่เหยาจะคิดว่าผมเพิกเฉยหรือละทิ้ง...ถึงพี่เหยาไม่เคยแสดงออกให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีค่าอะไรขนาดนั้นก็ตามที...ดังนั้นเมื่อเลือกได้ ผมก็เลือกเก็บความเสียใจและสิ้นหวังไว้กับตัวเองมากกว่าหยิบยื่นมันให้พี่เหยา...

ผมคิดทบทวนว่าควรจะจัดการเรื่องพี่เหยาและความรู้สึกเหล่านี้ยังไงดี...

และในที่สุดผมก็กำหนดตารางเวลา

ตารางเวลาที่พี่เหยาเฝ้าสอนให้ทำแต่เด็ก เมื่อครั้งที่พี่เหยายังชอบมานอนซุกตัวหลับสบายอยู่ที่ห้องผม

‘เอกจะได้รู้ว่า จะต้องทำอะไรบ้าง!’ พี่เหยาบอกเมื่อครั้งแรกเริ่มที่สอนให้ผมทำตารางเวลา

‘แล้วต้องทำอะไรบ้างล่ะ?’ ผมย้อนถาม

‘ก็...เรื่องของตัวเองยังไม่รู้อีกหรือไงว่าแต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง?’ พี่เหยากึ่งถามกึ่งดุ

‘ก็...ตื่นนอน ไปโรงเรียน กลับบ้านแล้วก็นอนไง!’ ผมพยายามนึก

‘แล้วอ่านหนังสือล่ะ?... ทำการบ้านด้วย?’ พี่เหยาแย้ง เอาไม้บรรทัดเคาะหนังสือที่วางอยู่ตรงหน้าให้ดู

‘ถ้ารู้แล้วพี่จะถามทำไม?’ ผมย้อน

‘ไม่ได้ถามให้ตอบ...ถามให้คิด...ไม่เข้าใจหรือไงนะ?’ คราวนี้พี่เหยาเปลี่ยนเอาไม้บรรทัดมาเคาะที่หัวผมแทน ก่อนลงมือตีตารางเวลาให้ผม เมื่อคิดว่าแค่การอธิบายเฉยๆคงไปไม่ถึงไหน

‘เอ้า! เขียนไปว่าตื่นตอนกี่โมง พี่เหยาพูดพลางส่งตารางที่ตีเส้นไว้แล้วให้ผม

‘ไม่รู้!’ ผมตอบ

‘แปลว่าอะไร ไม่รู้?’

‘ก็แม่ปลุกกี่โมง ก็ตื่นตอนนั้นแหละ พี่อยากรู้ พี่ก็ไปถามแม่เองสิ!’

‘ไร้ความรับผิดชอบเป็นบ้าเลย!...’ พี่เหยาบ่นก่อนลงมือเขียนอะไรบางอย่างลงไปเอง

‘ต่อไปตื่นตีห้า!’ พี่เหยาสั่ง

‘ตื่นทำไมตีห้า ตื่นเจ็ดโมงก็ทันแล้ว!’ ผมแย้ง ดึงตารางคืนมาและเอายางลบ ลบที่พี่เหยาเขียนออก

‘ก็ไหนว่าไม่รู้ไงว่าตื่นกี่โมง?...เขียนไปเลย!’ พี่เหยาพูดอย่างได้ที

ผมเขียนอยู่ไม่นานก็ส่งคืน

‘ก็เหมือนกันทุกวัน...ตื่น...ไปเรียน...อ่านหนังสือทำการบ้าน...อาบน้ำแล้วก็นอน อ๋อ กินข้าวเย็นด้วย...เขียนทำไม แค่นี้ถ้าจำไม่ได้ก็โง่...’ พูดได้แค่นั้น ไม้บรรทัดในมือพี่เหยาก็เคาะลงที่หัวผมอีก

‘ก็เขียนด้วยสิว่าวันไหนอ่านอะไร จะได้กำหนดถูก’

‘อ้าว!’ ผมร้อง

‘อ้าวอะไร?’ พี่เหยากอดอก รอฟัง รอตอบโต้ และเหนืออื่นใด รอจังหวะเอาไม้บรรทัดเคาะหัวผมอีกครั้ง

‘ก็แล้วแต่พี่สิ พี่เป็นคนสอนนี่!’ ผมพูดความจริง และคราวนี้ผมชนะ เพราะพี่เหยานิ่งไปเหมือนจะเพิ่งนึกได้และคงกำลังคิดว่าจะตอบโต้ผมยังไงไม่ให้เสียหน้าดี แต่คงคิดไม่ออกเพราะพี่เหยานิ่งอยู่นาน

‘ดี!งั๊นต่อไปเอกกำหนดมา พี่จะสอนตามนั้น’ ในที่สุดพี่เหยาก็คิดวิธีแก้หน้าออก

‘ต้องครบทุกวิชานะ!’พี่เหยาสำทับอีกทีเหมือนรู้ว่าผมคงจะเขียนแต่วิชาโปรดอย่างวิชาเลข ผมเลยต้องยั้งมืออย่างนึกเสียใจเพราะจริงอย่างที่พี่เหยาคิด ผมกะเขียนแต่เลข เลข แล้วก็เลข

ผมเขียนแบบไม่เสียเวลาคิดเท่าไหร่ นึกวิชาไหนได้ก็เขียนไปแบบส่งๆ จะมาคิดหนักก็วันเสาร์ วันอาทิตย์

‘วันเสาร์ทบทวนทุกวิชาหลักๆ อย่างทำโจทย์อะไรประมาณนั้น.... ส่วนวันอาทิตย์ก็เตรียมตัวสำหรับสัปดาห์หน้าสิ’พี่เหยาแนะ เมื่อเห็นผมลังเล แต่ผมทำจมูกย่นเมื่อได้ยิน

‘อ่านหนังสือวันเสาร์ อาทิตย์เนี่ยนะ? ไม่เอาหรอก อ่านให้โง่สิ!’ผมค้าน

‘ไม่อ่านสิจะโง่!’ พี่เหยาไม่ยอมแพ้เหมือนเคย

‘อ่านก็ได้ อ่านตอนเช้าๆ...’ผมรีบแก้คำอย่างเอาใจและ มองพี่เหยาอย่างชั่งใจว่าจะถามสิ่งที่กำลังคิดดีหรือเปล่า

‘ถ้าเขียนลงไปแล้ว แล้วไม่ทำตามล่ะ?’ผมแกล้งถาม

‘ก็ไร้ความรับผิดชอบไง’พี่เหยาตอบโดยไม่ต้องคิด

‘แปลว่ายังไงก็ต้องทำ!?’ผมถามย้ำ

‘ก็ใช่!’พี่เหยาตอบหนักแน่น และผมรีบก้มหน้าก้มตาเขียนเมื่อได้รับคำตอบ

‘อะไร?’ พี่เหยาถามอย่างระแวง ก่อนจะพยายามแย่งกระดาษในมือผมไปดู แต่ผมยื้อไว้ไม่ให้ และพยายามเขียนต่อให้เสร็จ แต่สุดท้ายพี่เหยาก็แย่งไปได้ แต่ได้แค่ครึ่งแผ่น ส่วนอีกครึ่งแผ่นยังค้างอยู่ในมือผม

‘อ่านตอนเช้าๆไง... แล้วพี่...’ผมพูดเสียงอ่อยเมื่อพี่เหยาไล่ตาอ่านสิ่งที่ผมเขียน

‘ดูหนัง อ่านการ์ตูน กินไอติม ไปน้ำตก เล่นเกมส์ ดูหนัง...’พี่เหยาอ่านรวดเดียวจบ ก่อนเงยหน้ามามองผมอย่างเบื่อหน่ายเต็มแก่

‘ก็...พี่บอกว่าเขียนแล้วต้องทำ...’ ผมทวงคำเสียงอ่อย




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-04-2008 18:50:25
‘ก็ใครว่าอะไรล่ะ?’

‘จริงนะ?’ผมถามตีปีกดีใจ ไม่น่าเชื่อว่าพี่เหยาจะยอมผมง่ายขนาดนี้

‘ก็ตามใจเอกสิ วันเสาร์ อาทิตย์พี่ไม่ต้องสอนอยู่แล้วนี่ อยากทำอะไร อยากไปไหนก็ตามใจสิ ได้ทั้งนั้น’ พี่เหยาตอบและยิ้ม

‘จริงนะ?’ ผมยังตีปีกดีใจ

‘อือ...ไปคนเดียวนะ!’ พี่เหยาว่างั๊น และคราวนี้ยักคิ้ว ยิ้มสะใจ

‘ได้ไง?’

‘ทำไมไม่ได้ล่ะ?’พี่เหยาถาม พลางทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

‘ทีนี้ละเขียนซะเร็ว คิดแล้วคิดอีก ทีให้เขียนตารางอ่านหนังสือล่ะเขียนส่ง!’ พี่เหยาบ่น

‘ใครว่าเขียนส่ง!’ผมเถียง

‘งั๊นบอกมา วันพุธอ่านอะไร?’พี่เหยาถาม

‘เร็ว ไม่เขียนส่งต้องจำได้สิ ตอบได้จะพาไปดูหนังก็ได้!’พี่เหยาถามยิ้มเยาะ พร้อมมีข้อเสนอ เพราะแน่ใจว่ายังไงผมก็จำไม่ได้

‘ภาษาอังกฤษ’ ผมเดา และบังเอิญถูก

‘วันศุกร์ล่ะ?’พี่เหยาถามอีกครั้งหลังจากอึ้งไปที่ผมตอบถูก

‘ก็ตอบถูกแล้วไง! พี่ไม่รักษาคำพูด เป็นผู้ใหญ่ซะเปล่า’ผมไม่ยอม

‘อะไรเล่า?’

‘ก็อะไรล่ะ คนอะไรไม่รักษาคำพูด!’

‘ไหน หลักฐาน?’ พี่เหยาถามด้วยคำถามชินปาก ที่ถามทุกครั้งเมื่อรู้ว่าตัวเองแพ้แต่ไม่ยอมแพ้ และผมรู้เถียงไปก็เท่านั้น เพราะยังไงก็ไม่เคยชนะ

สุดท้ายพี่เหยาก็สอนให้ผมทำตารางเวลาไม่สำเร็จ แต่ถึงอย่างไร พอวันเสาร์อาทิตย์มาถึง พี่เหยาก็พาผมไปดูหนัง กินไอติมอย่างที่ชอบอยู่ดี

ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องตารางเวลาอีก ไม่เคยสนใจทำ ทั้งพี่เหยาก็เลิกใส่ใจจะสอนให้ทำอีก แต่กลับจำได้ดี ถึงวันที่พี่เหยานั่งจ้ำจี้จ้ำไชสอนให้ทำ

ตารางเวลาที่ไม่เคยคิดจะทำ วันนี้ผมเริ่มทำ และหากให้ตั้งชื่อ ตารางเวลานี้ก็ชื่อว่า...พี่เหยา

แต่ละสัปดาห์ ผมลงเวลาเรียนที่ขาดไม่ได้ หลังจากนั้น ผมเขียนชื่อ..พี่เหยา ลงไปสองครั้ง...

เห็นหน้าสักอาทิตย์ละ 2 ครั้ง...ก็พอ...ผมบอกตัวเอง

ผมไม่เคยทำตารางเวลา...เพราะทุกครั้งคิดว่า อยากทำอะไรก็ทำ

ผมไม่เคยทำตารางเวลา เพราะคิดว่า หลงลืมอะไรไปก็ไม่เห็นจะเป็นไร

หากแต่แค่คิดว่า จะเจอหน้าพี่เหยาสักอาทิตย์ละ 2 วันกลับกลายเป็นเรื่องยากเย็น เพราะถ้าไปซ้ำซากเวลาเดิม...ผมกังวลกลัว พี่เหยาจะจับได้ และไปตามแต่เวลาที่ตัวเองสะดวก...ผมกลับกลัว มันจะกลายเป็นวันซ้ำๆโดยไม่ตั้งใจ...เดี๋ยวพี่เหยาจะรู้...ดังนั้นแค่คิดจะไปหาพี่เหยาสักอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ผมกลับตั้งอก ตั้งใจทำตารางเวลา

เริ่มอาทิตย์ใหม่ก็ทำใหม่ ผมไม่กล้าแม้แต่ลบหรือทิ้งตารางเวลาอันเก่า เพราะกลัวจะลืมว่าครั้งก่อนๆไปวันไหน...ผมกลัว วันจะซ้ำๆ... เดี๋ยวพี่เหยาจะรู้

ทำตารางแต่ละอาทิตย์ ผมกังวล พลิกดูอันเก่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก นึกระแวง...เดี๋ยวพี่เหยาจะจับได้

ในช่วงเวลานั้น ผมกลัวความคิดถึงเวลาไม่ได้เห็นหน้า แต่ก็กลัวเวลาที่ต้องปล่อยมือจากเสียมากกว่า...แต่สิ่งที่กลัวที่สุดกลับเป็น...กลัวพี่เหยาจะเสียใจ...

พี่เหยายังใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องสมุด รอเวลาที่ผมไปหา เพื่อรอฟังคำแก้ตัวของผมว่าทำไม ผมมาหาพี่เหยาได้น้อยครั้งลง

เราพูดคุยกันธรรมดา ไม่เคยมีเรื่องของความปรารถนาเข้ามาเกี่ยวข้อง

ไม่ใช่ว่าความปรารถนาในรสสัมผัสของพี่เหยาจะหมดไปจากใจผม หากแต่บทลงโทษของทอม มันทำให้ผมขยาดกลัว

และเมื่อผมเป็นฝ่ายก้าวถอย ผมกลับเริ่มรู้สึกว่าพี่เหยากลายเป็นฝ่ายที่จะก้าวรุกเข้ามาหา

“แวะไหม?”พี่เหยาเอ่ยถามในวันหนึ่ง วันที่ผมติดรถพี่เหยากลับบ้าน...วันที่รู้สึกว่า ร่างกายเราสัมผัสโดนกันบ่อยครั้งโดยอดคิดไม่ได้ว่า พี่เหยาตั้งใจหรือไม่...วันที่ผมนึกรู้ ทอมไม่อยู่บ้าน...

“พรุ่งนี้มีงานต้องส่ง...”ผมตอบไปแบบนั้น ทั้งที่ความปรารถนาเต้นเร่าๆอยู่ภายใน และพี่เหยาก็แค่ยิ้มรับ

พี่เหยาถามผมอีกสองครั้งหรือสามครั้ง และผมก็ตอบแบบเดิมทุกครั้ง แล้วพี่เหยาก็เลิกถาม

พี่เหยายังยิ้ม แต่ไม่มากมายเหมือนเมื่อก่อน และคนที่ทำให้พี่เหยาหัวเราะได้อย่างเก่าก็ดูเหมือนจะมีแค่พี่เก้าและพี่นัท ที่ยังมาวนเวียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย แต่ก็น้อยครั้งลง

“ไปลากคอมันก่อน!”พี่เก้าที่มาถึงมหาวิทยาลัยหลังผมแป๊บเดียวบอก เมื่อมองไม่เห็นพี่เหยาอยู่ที่โต๊ะ และเดินลุกจากไปพร้อมพี่นัท ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมพี่เหยา ที่เดินหัวเราะมาแต่ไกล

“ไอ้วิทย์ว่าพี่กำลังขอทุนไปเรียนต่อ?”ไอ้ชัยถามพี่นัทที่กำลังหย่อนก้นนั่ง

“พี่เก้าบอก”ไอ้วิทย์รีบบอก เมื่อพี่นัทส่งสายตาคล้ายจะถามว่ารู้มาจากไหน

“เออ!”พี่นัทรับ คราวนี้ส่งสายตาเอาเรื่องไปที่พี่เก้าที่กำลังนั่งหัวเราะอยู่แทน

“แล้วเมื่อไหร่รู้ผลล่ะพี่?”

“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น!”พี่นัทตอบ

“ทุนของที่ไหนพี่?”ไอ้ชัยถามอย่างสนใจ แต่ไม่สนใจท่าทีไม่อยากตอบของพี่นัท

“ท.พ.ท.ม.ม”คราวนี้พี่เก้าชิงตอบ และเมื่อไอ้ชัยทำหน้าสงสัย พี่เหยาเลยเป็นคนเฉลยข้อสงสัยให้

“ทุนพ่อทุนแม่มัน!”

“เออ!... ไอ้เก้าก็กำลังขอทุนต.ม.เหมือนกัน!”

“ก็กลัวมึงเหงา เลยจะไปเป็นเพื่อน”

“ต.ม.มีทุนด้วยเหรอพี่...พี่จะไปพม่าเหรอ?”ไอ้ชัยถามซื่อ มันเข้าใจถึงต.ม. ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่ผมกับไอ้วิทย์กำลังสงสัยอยู่เหมือนกัน

“ทุนเตี่ย ทุนแม่มันน่ะสิ!”พี่เหยาเฉลยและหัวเราะเหมือนเคย

“โธ่! นี่ผมจริงจังนะพี่!”ไอ้ชัยหน้ามุ่ย

“จริงจังทำไมวะ? เพิ่งอยู่ปีสอง...อ๋อ หรือว่ากะโดนไทร์”พี่เก้าถามก่อนหยิบขนมใส่ปาก

“เปล่า!...ก็เตรียมๆไว้”

“อือ...แต่ถ้ามึงสนใจเตี่ย แม่กูก็ให้ทุน!”

“จริงดิพี่?”

“อือ...ไม่ต้องใช้หลักฐานการศึกษา...ไม่ต้องใช้...เขาใช้อะไรกันอีกวะ?”พี่เก้าหันไปถามพี่นัท

“ถ้าจะเล่นมุขแล้วเล่นไม่รอด มึงก็ไม่ต้องเล่น!”แต่พี่นัทตอบไม่ตรงคำถาม

“แปลว่ามันก็ไม่รู้เหมือนกัน!”พี่เหยาก้มหน้าก้มตาพูดอุบอิบหน้าตาย มือก็หยิบๆสมุดบนโต๊ะมาเปิดๆดู

“กูได้ยินนะไอ้เหยา!”พี่นัทหันไปพูดกับพี่เหยา

“รู้!...ก็ไม่มีใครคิดว่ามึงหูหนวกหรอก!”แต่เป็นพี่เก้าช่วยโต้กลับแทน ก่อนหันไปพูดกับไอ้ชัยต่อ

“กระดาษใบเดียวเท่านั้นที่มึงต้องใช้!”พี่เก้าพูดพลางเอื้อมมือดึงกระดาษที่พี่เหยาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กำลังถืออ่านอยู่ในมือมาโบกไปโบกมา

“เอามา!”พี่เหยาพูด จะดึงกระดาษคืน แต่พี่เก้าไม่ให้

“อะไรพี่?”ส่วนไอ้ชัยมันไม่สนใจทั้งพี่เหยา ทั้งกระดาษในมือพี่เก้า มันสนใจก็แต่คำตอบ

“เอาคืนมา!”พี่เหยาพูดซ้ำ ก่อนชะโงกตัวข้ามโต๊ะไปจะแย่งกระดาษคืน แต่พี่เก้าเบี่ยงตัวหลบ ไม่ยอมคืนให้ง่ายๆ ผมที่นั่งใกล้กว่าเลยเป็นคนดึงคืนให้ แต่ยังไม่ทันดูว่าเป็นกระดาษอะไร พี่เหยาก็กระชากมันไปจากมือ แถมส่งสายตาขุ่นๆให้ผม อย่างกับผมเป็นคนแย่งมันไป

“อ้าว! มาหงุดหงิดใส่ผมได้ไง พาลนี่!”ผมพูดไม่จริงจังนัก พลางมองดูพี่เหยาสอดกระดาษเก็บไว้ในหนังสือ แต่ยังไม่วายส่งสายตามาให้ผมเหมือนจะถาม...พาลแล้วจะทำไม และพี่เหยาก็ยิ่งทำหน้าตึงใส่ เมื่อผมหัวเราะออกมากับท่าทางของพี่เหยา

“เอ้า! ไม่หัวเราะก็ได้!”ผมกลั้นหัวเราะ บอกพี่เหยา ก่อนหันกลับมาสนใจบทสนทนาของไอ้ชัยกับพี่เก้าต่อ แต่ดูจะช้าไปเมื่อได้ยินแต่เสียงไอ้ชัยโวย

“โว๊ย...เบื่อมุขคนแก่...ฟังแล้ว ไม่ขำ...ไม่ขำ... วัยรุ่นไม่ขำ เข้าใจป่ะพี่?”และถึงไอ้ชัยมันจะว่ามันไม่ขำ แต่ปากมันก็หัวเราะตาม

“ตกลงกระดาษอะไรวะ?”ผมหันไปถามไอ้ชัย

“ไม่ต้องไปสนใจ มุขคนแก่ ฟังให้ตายก็ไม่ขำ!”ไอ้ชัยตอบ

“ก็อะไรเล่า?”ผมถามย้ำ เพราะเมื่อฟังมาแต่ต้น ก็อยากจะฟังจนจบว่าพี่เก้าจะมาไม้ไหน แต่ยังไม่ทันได้คำตอบ ก็ต้องเลิกสนใจ เพราะพี่เหยาเก็บของ หยิบหนังสือลุกขึ้นไม่พูดไม่จา

“ห้องสมุด!”พี่เหยาตอบเมื่อพี่นัทถามว่าจะไปไหน พูดจบก็เดินลิ่วไม่ฟังเสียงทัดท้านของพี่เก้า พี่นัท

“เป็นห่าอะไรของมันวะ?”พี่เก้าบ่น ส่วนพี่นัทส่ายหัว แล้วก็เลิกสนใจ ส่วนผมรีบลุก วิ่งตามพี่เหยาไป



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-04-2008 18:52:10
“พี่โกรธอะไร?”ผมถาม

“เปล่า...”พี่เหยาตอบแต่ยังทำหน้าตึง

“โกรธใครบอกได้นะ เดี๋ยวผมไปจัดการให้!”

“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธ เลิกเซ้าซี้ได้ไหม!”

“งั๊นไปกินข้าวกัน”

“นี่มันเพิ่งสิบโมง!”พี่เหยาแย้ง

“ก็นั่งกินน้ำ รอมื้อเที่ยงไง!”ผมยังไม่ยอมแพ้

“พี่มีเรียนตอนสิบเอ็ดโมง”พี่เหยาก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน

“พี่มีเรียนบ่ายต่างหาก”ผมเถียง ตารางเรียนของพี่เหยาผมจำได้ขึ้นใจพอๆกับตารางเรียนของตัวเอง

“มีmake up class!”พี่เหยาบอก

“งั๊นโดดสิ...หรือพี่มีpresentงาน โดดไม่ได้อีก”ผมแกล้งถามดักคอ แต่พี่เหยาก็คือพี่เหยา

“ไม่มีpresent ไม่เช็คชื่อ ไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้...แต่จะเรียน”พี่เหยาพูดช้าและชัดถ้อยชัดคำ

และเมื่อพี่เหยาพูดแบบนี้ผมก็จนใจ ผมพยายามคิดว่าพี่เหยาโกรธอะไร แต่ก็คิดไม่ออก สิ่งเดียวที่คิดได้และพูดออกไปคือ...

“โกรธพี่เก้าแล้วมาพาลผม!”

พี่เหยาขยับปากเหมือนจะพูด แต่ก็ทำแค่ถอนหายใจ...

“นะ? ไปกินข้าวกับผม”ผมยังดึงดัน ในใจคิดอยากพูด...คิดถึงแทบแย่ ให้ผมเห็นหน้าแป๊บเดียวได้ไง...แต่ก็ไม่กล้าพูด เพราะนึกรู้ คำพูดเหล่านี้ กลายเป็นสิ่งต้องห้ามระหว่างผมกับพี่เหยา

สุดท้ายผมก็ต้องพกความผิดหวังกลับใปหาพวกไอ้วิทย์ที่โต๊ะ เพราะนอกจากพี่เหยาจะไม่ยอมไปกินข้าวกับผมแล้ว พี่เหยายังทำหน้าหงิกเป็นตีนไก่ เมื่อผมยืนยันจะตามไปห้องสมุดด้วย

“มันเป็นไรของมัน?”พี่เก้าถามเมื่อผมพกหน้าเหี่ยวๆกลับมาที่โต๊ะ

“ใครจะไปรู้...เพื่อนพี่ พี่ไม่รู้ แล้วผมจะรู้เหรอ!”ผมตอบ ยังนึกเคืองว่าน่าจะเป็นเพราะพี่เก้า ทำให้ผมได้เห็นหน้าพี่เหยาแค่แป๊บเดียว

“อ้าว...คนข้างบ้านของมึงนะ!”พี่เก้าเถียง แต่ผมไม่ชอบใจนัก...ผมไม่รู้ว่า นอกจาก ‘เด็กข้างบ้าน’อย่างที่พี่เหยาเคยเรียก ผมเป็นอะไรได้มากกว่านั้นบ้างหรือเปล่า

“ช่างหัวมันเหอะ เดี๋ยวก็หายของมันเอง!”พี่นัทตัดบท ซึ่งผมก็รู้ว่าคงไม่มีอะไรจะทำได้ไปมากกว่าที่พี่นัทว่า ว่าช่างเถิด...เพียงแต่มันไม่เป็นอย่างที่พี่นัทพูดไปซะทั้งหมด เพราะแม้เมื่อตกเย็น...อาการของพี่เหยาก็ไม่ได้หายไปอย่างพี่นัทว่า

เย็นนั้น เมื่อผมกลับถึงบ้าน รถพี่เหยาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว ผมลังเลว่าจะกดกริ่งเรียกพี่เหยาลงมาดีหรือเปล่า แต่ก็ไม่กล้า สุดท้ายเลยไปนั่งเฝ้าอยู่หน้าร้าน คอยมองภาพสะท้อนจากกระจกตู้น้ำอัดลม เผื่อพี่เหยาจะลงมา

จนฟ้าเริ่มมืด ผมจึงมองเห็นรถทอมแล่นเข้ามาจอด พร้อมๆกับรถของแม่และพ่อที่แล่นตามกันมา

จากกระจกตู้น้ำอัดลม ผมเห็นพ่อ และแม่เดินลงจากรถ ก่อนจะหยุดยืนคุยกับทอมที่มีถุงใบใหญ่อยู่ในมือ และพี่เหยาก็เดินลงมาจากรถของทอมเช่นกัน

แม้จะยังขยาดและชิงชังทอม แต่เมื่อนึกถึงพี่เหยาเมื่อตอนกลางวันแล้ว ผมก็ห้ามตัวเองให้เดินออกไปสมทบกับพวกเขาไม่ได้

พี่เหยาเงยหน้ามองดูผมอย่างไม่ยินดียินร้าย ซึ่งบ่งบอกว่า อารมณ์พี่เหยาคงยังไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย

ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ทอมก็หันไปพูดบางสิ่งบางอย่างกับพี่เหยา และพี่เหยาพยักหน้ารับก่อนรับของในมือทอมและเดินกลับเข้าบ้าน

“ผมช่วยถือ!”ผมพูด แม้ถุงใบใหญ่ในมือพี่เหยาจะดูไม่หนักนัก แต่มันก็เป็นโอกาสเดียวที่ผมจะได้คุยกับพี่เหยา แต่โอกาสนั้นก็หลุดลอย เมื่อทอมยกมือห้ามผมไว้ คล้ายจะบอกว่า ไม่เป็นไร

ตัวพี่เหยาเองก็ไม่มีทีท่าจะสนใจผม ไขประตูและเดินหายไปภายในบ้านที่ยังปิดไฟมืด

เมื่อพี่เหยากลับเข้าบ้านไปแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะยืนอยู่ต่ออีก ผมจึงแยกตัวจะเดินกลับบ้านของตัวเอง โดยไม่คิดจะเอ่ยปากพูดอะไรกับทอมสักคำเดียว แต่ยังไม่ทันก้าวเท้า ผมก็ต้องตกใจเพราะเสียงที่ดังมาจากภายในบ้านของทอมที่ไฟยังคงปิดมืด

เสียงกระแทกของอะไรสักอย่าง ไม่ดังหากแต่ก็ไม่เบาพอที่จะสร้างความเบาใจให้แก่คนฟังได้

ผมรีบกระโจนไปตามที่มาของเสียง แต่ก็พบว่าตัวเองช้ากว่าทอม

ภายในบ้านยังมืด อาศัยก็แต่แสงไฟจากข้างนอกทำให้เห็นเงาร่างของพี่เหยายืนนิ่งอยู่กลางบ้าน

เสียงทอมเอะอะถาม แต่คำตอบของพี่เหยาคือความเงียบอยู่เช่นเดิม

...น้ำ...ผมบอกตัวเองเมื่อเหยียบย่ำเท้าลงบนพื้นที่เปียกแฉะ

ในขณะที่ผมเพ่งตาไปในความมืด ผมเห็นทอมเดินผ่านพี่เหยาเข้าไปข้างใน บ่อยครั้งที่ทอมอุทาน อย่างตกใจ ก่อนยกเท้าขึ้นดู คล้ายเหยียบย่ำอะไรสักอย่าง แต่เมื่อผมก้มมอง ก็ไม่สามารถเห็นอะไรนอกจากความมืด จะพอเห็นก็เพียงอะไรเล็กๆที่ดีดตัวขึ้นจากพื้น พร้อมเสียงน้ำกระจายเบาๆ

และทุกอย่างก็กระจ่างชัด เมื่อสวิทช์ไฟถูกเปิด...

พื้นที่นองไปด้วยน้ำอย่างที่ผมคิด...และปลาทองตัวเล็กๆที่ดิ้นรนดีดตัวขึ้นจากพื้น ก่อนทิ้งตัวกลับลงไปทำให้น้ำแตกกระจาย

มันคงเจ็บ เพราะน้ำที่ผมว่านองอยู่นั้น จริงๆก็คงตื้นไม่พ้นแม้ผิวพื้น ร่างของพวกมันจึงสัมผัสได้ก็แต่ความแข็งของพื้นปูน

ในขณะที่ผมมัวแต่ตกใจกับสิ่งที่เห็น จนทำอะไรไม่ถูก ทอมก้มลงใช้มือหนาใหญ่ของตัวเองช้อนปลาทองตัวเล็กๆเหล่านั้นขึ้นและวิ่งหายเข้าไปด้านหลังบ้าน อันเป็นตำแหน่งของห้องครัว

ผมรีบก้มลงจะทำตาม และเพิ่งเห็นปลามังกรตัวไม่ใหญ่นักสองตัว กำลังดิ้นรนอยู่ไม่ต่างจากปลาทองอันคงจะเป็นอาหารมื้อโอชาของมันในเร็ววันนี้

ผมได้ยินเสียงน้ำจากด้านหลัง ก่อนที่ทอมจะกลับมาและทำอย่างเดิม คือใช้มือหนาใหญ่ช้อนปลาทองตัวเล็กๆขึ้น มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผมมองดูปลามังกรราคาแพงสองตัว ที่ไม่ได้รับความสนใจจากทอมเท่าปลาเหยื่อราคาถูกเลย

ตลอดเวลาพี่เหยาทำเพียงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

ผมอยู่ด้านหลังจึงมองไม่เห็นว่าพี่เหยามีสีหน้าอย่างไร

ปลาทองตัวเล็กๆ ดีดตัวขึ้นและตกลงที่ใกล้ๆเท้าพี่เหยา...พี่เหยาก้มลงมองและขยับยกเท้า ผมเย็นวาบไปทั้งตัวเพราะนึกกลัวสิ่งที่จะตามมา เกือบส่งเสียงร้องห้ามออกไปก็พอดี เสียงแม่ที่พึ่งเดินเข้ามาพร้อมส่งเสียงร้องอย่างตกใจ

แม่ร้องอย่างตกใจพลางเหลียวมองไปรอบ และร่างพี่เหยาก็ไหวนิดๆก่อนจะหันหน้ามามองดูแม่ พ่อและผมที่ยังคุกเข่าอยู่ที่พื้น

ทอมวิ่งกลับออกมาอีกครั้ง และทำอย่างเดิมคือคุกเข่าลง พยายามช้อนปลาทองตัวเล็กๆให้ได้มากที่สุด แต่แม่เข้าไปห้ามไว้ พร้อมบอกให้ไปยกถังที่ป่านนี้น่าจะรองน้ำไว้ได้พอสมควรแล้วออกมาแทน และทอมก็ทำตาม

แม่มองดูพี่เหยาที มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าที และมองดูผมคล้ายหาคำตอบ

ผมมองตามสายตาแม่ จึงเพิ่งสังเกตเห็นผนังบ้านที่เปียกน้ำ ...มันสูงเกินกว่าที่น้ำจะกระเด็นจากพื้น...มันสูงจนคล้ายถุงพลาสติกใบโตที่ตอนนี้กองอยู่บนพื้นถูกฟาดให้แตกกระจายจากผนังนั้นเอง

ทอมอุ้มถังใบไม่โตนัก ออกมาจากหลังบ้าน และชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นอาการนิ่งงันของแม่และของผม

พ่อเดินเข้าไปรับถังน้ำจากมือทอม ตั้งลงบนพื้นและบอกให้ผมกับแม่ช่วยช้อนปลาทองตัวเล็กๆขึ้นจากพื้น

ผมทำตาม แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองพี่เหยา

พี่เหยามองดูผมอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้าย และละสายตาไปเมื่อทอมกระซิบบอกอะไรบางอย่าง

ผมเห็นตาของทอมแดงกล่ำ ...ไม่ใช่เพราะความโกรธหากแต่เพราะเก็บกลั้นน้ำตาเอาไว้ และสายตาของพี่เหยาที่แหงนเงยหน้ามองตอบทอมนั้น เจ็บปวด เย็นชา หากแต่ก็ฉายแววตาท้าทายคล้ายสะใจ

ริมฝีปากของทอมสั่นระริก ก่อนที่จะบอกอะไรแก่พี่เหยาอีกครั้งและพี่เหยาก็เดินขึ้นไปชั้นบน โดยไม่พูดอะไรและไม่หันกลับมามองใครเลย

ผมสังเกตเห็นแม่ยังชำเลืองมองตามพี่เหยาไป และเห็นพ่อที่ขมวดคิ้วมุ่น

ทอมก้มหน้าก้มตาช้อนปลาทองตัวเล็กๆให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้โดยไม่พูดไม่จา แต่ผมเห็นตาของทอมยังแดงกล่ำ... และอาจเพราะแสงสะท้อนของเงาไฟ..บางครั้งผมจึงเห็นคล้ายหยดน้ำคลออยู่บนเบ้าตาที่ฝืนเก็บกลั้นไว้จนแดงกล่ำของทอม...

ปลาทองบางตัวนอนแน่นิ่ง เหมือนปลามังกรสองตัวที่นอนไม่ไหวติ่งอยู่บนพื้น

ทอมพูดขอบอกขอบใจ และพ่อพูดรับสองสามคำก่อนผลักผมและแม่ที่ดูจะยังงวยงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ออกเดินกลับบ้านของเราเอง

มื้อเย็นวันนั้น แม่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา นานครั้งก็ถอนหายใจ ทำท่าคล้ายจะพูดแล้วก็เงียบ เหมือนไม่รู้จะพูดอะไร และทุกครั้งที่แม่ทำอย่างนั้น พ่อจะมองผมและยิ้ม

“เด็กเงียบๆ นี่เวลาโมโหขึ้นมาแล้วเอาเรื่องน่าดู...”ในที่สุดแม่ก็พูดออกมา

“ทำไม? เอกไปทำอะไรอีก?”ย่าที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว หันมาคาดคั้นคำตอบกับผมทันทีหลังจากสงสัยอยู่นานกับท่าทีของแม่

“แม่ก็! บอกว่าเด็กเงียบๆ... ถ้าหลานแม่เงียบ ก็พอดีใบ้กินกันทั้งโลก!”พ่อหันมาแขวะผมตามเคย ผมอ้าปากจะเถียงแต่เห็นแม่นั่งหัวเราะอย่างชอบใจเต็มที เลยเงียบเสียเพราะอย่างไร ผมก็อยากให้แม่เลิกคิดเรื่องพี่เหยาเสียที

คืนนั้นผมนอนคิดอยู่นาน

คิดถึงปลามังกรสองตัวที่นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น

คิดถึงปลามังกรสองตัวที่ว่ายวนอยู่ในตู้ ที่คงคลุ้งด้วยกลิ่นเบียร์ ปลามังกรสองตัวที่ผมนึกสงสัยว่าใช่สองตัวที่ทอมเคยยกถุงให้ดูครั้งเป็นเด็กหรือเปล่า ทั้งยังสงสัยว่าเบียร์จะมีผลต่อมันหรือเปล่า...

ตอนนี้ผมเริ่มแน่ใจในคำตอบ...ปลาสองตัวนั้นไม่ใช่สองตัวที่เคยเห็นตอนเด็ก และแม้ฟองเบียร์ไม่อาจทำอันตรายมันได้ แต่อะไรบางอย่างบอกผมว่ามันคงไม่มีชีวิตอยู่แล้วด้วยสาเหตุที่ผมไม่กล้าแม้จะคิด

ผมคิดถึงปลาทองตัวเล็กๆที่ดีดตัวลงไปนอนดิ้นอยู่แทบเท้าพี่เหยา...นึกถึงเท้าพี่เหยาที่ขยับยก...ผมไม่กล้าคิดว่าถ้าแม่เข้ามาช้ากว่านั้น พี่เหยาจะทำอย่างไรกับปลาตัวนั้น...

ผมนึกรู้คำตอบ แต่ก็ปฎิเสธที่จะนึกถึงมัน...

ป่านนี้พี่เหยาจะเป็นยังไง?...ทอมจะทำอะไรพี่เหยาหรือเปล่า? ผมนึกกลัว แต่ก็นึกรู้อีกเหมือนกันว่าพี่เหยาจะปลอดภัยแน่นอน เพราะตาที่แดงกล่ำของทอม...เพราะเสียงร้องไห้คร่ำครวญของทอมในวันนั้น...

วันนี้ผมได้รู้....ทั้ง ผม พี่เหยา และทอม...ต่างก็เจ็บปวดเพราะการกระทำของตัวเอง...ต่างก็เจ็บปวดเพราะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปโดยไม่ขัดขืน...เพราะเราต่างมีสิ่งที่ต่างก็รู้ตัวว่าฝืนยื้อยุด ทั้งที่รู้ว่ามันมีแต่ความเจ็บปวด

...สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการเริ่มต้น คือ ยุติสิ่งที่ดำเนินอยู่...ผมนึกถึงสิ่งที่พี่เหยาเคยพูดและวันนี้ผมเข้าใจ

ทั้งผม ทอม และพี่เหยา ต่างปล่อยให้ทุกอย่างเริ่มต้น โดยไม่มีใครกล้าพอที่จะยุติมัน...ผลสรุปที่ได้คือน้ำตา ที่ยากจะบอกได้ว่า ใครกันแน่ที่เจ็บปวดที่สุด...



--------------------
จบตอน 11
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-04-2008 18:53:19
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 12

หลังจากวันนั้น ตารางเวลาของผมก็แทบจะไร้ประโยชน์...พี่เหยาไม่ไปนั่งที่ห้องสมุดเหมือนเคย ไม่มาซื้อของที่ร้านผมทั้งเวลาที่ผมอยู่และไม่อยู่

บ่อยครั้งที่ผมยกหูโทรศัพท์นึกอยากโทรเข้ามือถือพี่เหยาซึ่งไม่เคยโทรเลยหลังจากวันลอยกระทง แต่ก็ไม่กล้าโทร

ไอ้วิทย์เองก็บอกไม่ได้ว่าพี่เหยาไปเก็บตัวเสียที่ไหนเวลาที่ไม่มีชั่วโมงเรียน

สุดท้ายผมต้องไปตามดักเจอพี่เหยาถึงหน้าห้องเรียน

“พี่หายไปไหน ผมไปหาที่ห้องสมุดก็ไม่เจอ”ผมถามทันทีที่พี่เหยาเดินออกมาจากห้อง ไม่สนใจสีหน้าบึงตึงของพี่เหยาเมื่อเห็นผม สนใจก็เพียงแต่มองหาว่ามีร่องรอยการถูกทำร้ายที่ไหนบ้างหรือเปล่า และโล่งใจที่ไม่เห็นร่องรอยใดๆที่แสดงว่าทอมทำร้ายพี่เหยา

“มองอะไร?”พี่เหยาถาม และขยับตัวด้วยทีท่าไม่พอใจนักที่โดนผมมองอย่างนั้น

“เปล่า...แค่อยากรู้ว่าพี่เป็นไงบ้าง?”ผมเปลี่ยนคำถามเมื่อรู้สึกว่ากำลังโดนพี่เหยามองหน้า อย่างที่มักทำเสมอ เวลาที่ต้องการค้นหาว่าอะไรแน่ คือสิ่งที่ผมต้องการ และในที่สุดพี่เหยาก็ถอนหายใจ ใบหน้าก็ค่อยคลายตึงลงมาหน่อย

“อาทิตย์ที่แล้วพี่หายไปไหน หายไปทั้งอาทิตย์!”ใจผมชื้นขึ้นเมื่อหน้าพี่เหยาเลิกตึง

“สองวัน!”พี่เหยาพูด ไม่มองหน้าผม

“อะไรสองวัน?”ผมไม่เข้าใจ

“เอกมาแค่สองวันเท่านั้น... จะมาพูดรวมอะไรทั้งอาทิตย์!”

“อ้าวแปลว่าพี่เห็นผมสิ!”

“เปล่า...ก็เห็นหลังๆว่างแค่อาทิตย์ละสองวัน”

“...จริงดิ? ไม่รู้สิ... ต้องนับด้วยเหรอพี่?”ผมตอบไม่เต็มเสียง กลัวพี่เหยาจะจับได้ว่าผมตั้งใจมาเห็นหน้าพี่เหยาแค่อาทิตย์ละสองวัน

...วันหลังต้องสับเปลี่ยนอาทิตย์ละวันบ้าง สองวันบ้าง...ผมคิด

...แต่ถ้าอาทิตย์ไหน มาวันเดียว ก็ไม่ได้เจอตั้งนานน่ะสิ!...ผมแย้งตัวเองในใจเพราะแค่อาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่เห็นหน้าพี่เหยาทั้งอาทิตย์ ผมก็อยากเห็นหน้าแทบแย่

“พี่กินข้าวยัง?”ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ยัง....”พี่เหยาตอบ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยชวน พี่เหยาก็เลือกที่จะตัดโอกาสผม

“แต่ไม่หิว ไปนะ!”พูดจบ พี่เหยาก็เดินไป ทิ้งผมไว้ซะอย่างงั๊น

ผมรู้และจำได้ว่าพี่เหยาเป็นคนเอาใจยากแค่ไหน พี่เหยาที่ดูเป็นพวกว่านอนสอนง่ายในสายตาผู้ใหญ่ ดูเป็นพวกหัวอ่อนๆ แต่กับผมแล้ว บางทีผมต้องเอาใจจนเหนื่อย

“เดี๋ยวสิพี่!”ผมเรียก ก่อนวิ่งตาม แต่พี่เหยาไม่สนใจ

“พี่คุยกับผมแป๊บได้เปล่า?”ผมถามกึ่งกระซิบกึ่งตะโกนถามพี่เหยาที่เดินนำลิ่วๆไม่สนใจ และดูเหมือนคนรอบๆข้างเริ่มที่จะหันมาสนใจมองกันบ้างแล้ว

“พี่โกรธอะไรผมอยู่หรือเปล่า?”ผมถาม แต่คำตอบเหมือนเดิมคือพี่เหยาไม่สนใจ

“พี่งอนอะไรเนี่ย?”คราวนี้ผมแกล้งตะโกนถามเสียงดังขึ้น และได้ผลพี่เหยาหยุดเท้าทันที แต่ผมไม่ทันระวังว่าพี่เหยาจะหยุด จึงชนเข้าไปเต็มแรง ผมรีบเอื้อมมือจะไปดึงพี่เหยาที่ทำท่าจะล้มไปข้างหน้าไว้ ผลที่ได้คือล้มคว่ำลงไปกองกับพื้นทั้งคู่ โดยที่ผมล้มทับพี่เหยาลงไปทั้งตัว

มันทำให้ผมนึกถึงคืนวันลอยกระทง วันที่เราลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้นภายใต้เสื้อกันหนาวตัวเดียวกัน ต่างกันที่วันนั้นมันเต็มไปด้วยความสุข เราต่างหัวเราะให้กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่วันนี้ วันที่เวลาเพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่เดือน มันกลับไม่เหลือเสียงหัวเราะ จะเหลือก็แต่ความกระอักกระอ่วนใจเท่านั้น

ผมจำได้ วันนั้นผมประวิงเวลา กอดพี่เหยาไว้ไม่ปล่อย หากแต่วันนี้ผมทำราวกับโดนของร้อน รีบผละลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปช่วยพยุงพี่เหยาให้ลุกขึ้น ไม่กล้าแม้เอ่ยปากถามว่า...พี่เจ็บไหม...ทำได้ก็แค่ยืนมองพี่เหยาที่ค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้น สายตาพี่เหยาที่หันมามองผมนั้นมีแต่ร่องรอยความผิดหวังและเสียใจ ส่วนผมทำได้แต่ยืนมองพี่เหยาที่เดินจากไปอย่างเงียบๆเท่านั้น

เจอหน้าก็มีแต่สร้างความเจ็บปวดให้แก่กัน แต่ถ้าไม่เห็นหน้า ก็ต้องยอมรับว่าคิดถึงจนจะทนแทบไม่ไหว...มันน่าขันที่คำว่า...คิดถึง...กลายเป็นคำสำหรับคนสองคน ที่บ้านอยู่ใกล้กันแค่ผนังกั้น คล้ายอยากเห็นหน้ากันเมื่อใดก็ไม่น่าใช่เรื่องยาก หากแต่ในโลกที่เหมือนจะมีแต่ความเป็นจริงแล้ว เราอยู่ไกลกันจนไม่อาจสัมผัสถึงกันได้ หรือพูดให้ถูกคือ...ไม่กล้าสัมผัสกัน

ดังนั้นโลกแห่งจริง สุดท้ายแล้ว ก็เป็นเพียงโลกที่เราสร้างขึ้นด้วยความขลาดกลัวเท่านั้น...กลัวโดนละทิ้ง...กลัวถูกปฎิเสธ...กลัวผิดหวัง...กลัวถูกทรยศ เหนืออื่นใด คือกลัวที่จะรู้ว่า ตัวเองไม่เป็นที่ต้องการ

หากมองจากวันนี้ ขณะนี้...ถ้าวันนั้นผมมีความกล้าที่จะเผชิญหน้าต่อความกลัวเหล่านั้น...ไม่เข็ดขยาดต่อรสชาติของความรู้สึกพ่ายแพ้...ถ้าผมมีความกล้าที่จะยื่นมือออกไป...แม้มันอาจต้องใช้เวลา แต่ที่สุดแล้วพี่เหยาอาจจะกล้าพอที่จะเอื้อมมือรับสิ่งที่ผมหยิบยื่นให้เช่นกัน.... หากแต่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่สร้างจากความหวาดกลัว เราต่างทำเพียงยืนมองกันและกัน...ต่างตั้งความหวัง แต่ไม่มีใครกล้าเอื้อมมือออกมาก่อน...สิ่งที่ได้ก็คือการจมดิ่งลงกับความเจ็บปวดจากการผิดหวังทุกวัน...หรืออาจจะทุกวินาที... รอก็แต่ว่าเมื่อไหร่ความผิดหวังจะโถมทับ จนเราไม่มีแม้แต่แรงกำลังจะหายใจ...ผมหรือพี่เหยา ใครจะหมดกำลังแรงไปก่อนกัน.......

เย็นวันนั้นผมรวบรวมความกล้าโทรหาพี่เหยา นานกว่าพี่เหยาจะมีความกล้าพอที่จะรับสายผม

“พี่เป็นไรหรือเปล่า?”ผมถามหลังจากเราต่างคนต่างเงียบอยู่นาน

“ไม่เป็นไร...”พี่เหยาตอบ

ทั้งที่ในหัวผมมีเรื่องที่อยากพูด อยากบอกพี่เหยามากมาย แต่สุดท้ายผมพูดได้แค่

“...งั๊นแค่นี้นะ...”ผมพูด ทั้งที่เพิ่งยกหูคุยได้แค่ไม่ถึงนาทีหากไม่นับความเงียบก่อนที่จะกล้าพูดอะไรออกมา และพี่เหยาเงียบไม่ตอบอะไร แต่ก็ยังไม่ยอมวางสาย

“ฮัลโหล...”

“...ถ้าจะพูดแค่นี้ วันหลังไม่ต้องโทรมาก็ได้นะ...”พี่เหยาพูดเสียงเรียบๆก่อนตัดสายไป

ผมพยายามคิดว่าพี่เหยาพูดเล่นหน้าตายอย่างทุกที แต่นึกรู้ว่าถ้าพี่เหยาพูดเล่น มิแคล้วพี่เหยาต้องต่อท้ายประโยคด้วย...เสียดายตังค์ หรือเปลืองค่าโทรศัพท์...ผมจึงรู้ว่า พี่เหยาไม่ได้พูดเล่น

ผมถึงรู้ตัว ผมทำลายความกล้าของพี่เหยาไปอีกแล้ว

หลังจากวันนั้น ผมยังไปหาพี่เหยาที่มหาวิทยาลัย ตามตารางเวลาที่ทำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย อย่างที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต แต่ก็เหมือนเดิม พี่เหยาหลบหน้าและหลบตา

การเจอหน้ากลายเป็นเรื่องของความบังเอิญ แม้บางครั้งจะพบว่าเป็นความตั้งใจของไอ้วิทย์ที่ตั้งใจรั้งพี่เหยาไว้ให้

“อ้าว ไหนมึงว่าวันนี้มีสอบ ไม่มาไง?”ไอ้วิทย์อ้าปากถามทันที ที่เห็นผมเดินเข้ามา แต่ผมไม่สนใจมัน สนใจก็แต่พี่เหยาที่นั่งอยู่กับมันที่โต๊ะ ใจหนึ่งผมยอมรับว่าดีใจ แต่อีกใจก็ยอมรับว่าเริ่มขุ่นๆ...พี่เหยาเลือกที่จะไม่เจอหน้าผม แต่กลับมานั่งสบายอยู่กับไอ้วิทย์ที่โต๊ะในวันที่คิดว่าผมไม่มา...

“สอบมึงล่ะ?”มันถามย้ำ เมื่อผมไม่ตอบ

“สอบล่ะ?”ผมหันไปถามไอ้ชัยแทน ไม่ได้งงหรือจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าไอ้วิทย์พูดอะไร เพราะลิ้นไก่มันกับผมยาวพอที่จะมองเห็นของกันและกัน และแม้รู้ว่ามันตั้งใจรั้งพี่เหยาไว้ให้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไม่พอใจ

“เสือกโยนให้กู!”ไอ้ชัยกระซิบด่าผมเบาๆก่อนหันไปบอกไอ้วิทย์

“เลื่อนไงวะ จะมีอะไรได้อีก?”

“เออ! ขอโทษที่ถามอะไรโง่ๆ ทำให้มึงต้องเปลืองน้ำลายตอบ!... มาก็ดี กูกำลังจะไปกินข้าว...ช้าอีกนิด ไม่เจอกูแล้วนะเนี่ย ใช่เปล่าพี่?”มันหันไปถามพี่เหยา ที่ทำหน้าตาเบื่อหน่ายกับละครที่เหมือนจะเนียนแต่ไม่เนียนของมัน แต่พี่เหยาก็ยอมไปนั่งกินข้าวกับพวกผมแต่โดยดี เพียงแต่ตอนสั่งอาหารพี่เหยาปล่อยให้พวกผมสั่งก่อน ตัวเองสั่งทีหลังแต่กลับสั่ง

“อะไรก็ได้ ที่ได้ก่อนเพื่อน...”

“แล้วถ้าเป็นพวกไข่ พี่จะกินได้เหรอ?”ผมเตือนเบาๆ หลังจากอึ้งไปนาน และแม่ค้าก็อึ้งพอกัน เพราะยังปักหลักมั่นรอรับรายการอยู่ที่โต๊ะ

“ก็เอาเหมือนที่กะทะถัดไปกำลังจะทำไง อะไรก็ได้ ทำเผื่อด้วย... ไม่ใช่ไข่นี่ ผมเห็น”พี่เหยาไม่สนใจผม แต่หันไปแนะแม่ค้า ที่พยักหน้า เข้าใจแบบงงๆแทน

“แล้วถ้าเป็นผัดเนื้อล่ะพี่?”ผมยังไม่ยอมแพ้

“มึงก็กินแทนไง!”ไอ้วิทย์ตอบ แบบที่พี่เหยาคงตอบหากเป็นเมื่อก่อน แต่วันนี้พี่เหยาไม่สนใจผมสักนิด...

ถ้าพี่เหยาส่งสายตามาบอกว่า...เลิกยุ่งซะทีได้หรือเปล่า...ผมก็ยังจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่เมื่อพี่เหยาทำเหมือนผมไม่มีตัวตน ...มันเจ็บปวด และนึกกลัว กลัวระยะห่างที่ดูจะไกลขึ้นและไกลขึ้นไปทุกที จนเหมือนช่วงเวลาหนึ่ง คือ...เป็นคนแปลกหน้าระหว่างกันและกัน

และอาหารจานก่อนเพื่อนของพี่เหยาก็ไม่ใช่ไข่ หรือผัดเนื้ออย่างที่ผมนึกกังวล และพอมันมาวางอยู่ตรงหน้า พี่เหยาก็ตักเอาๆไม่สนใจใคร

“โหพี่!...ถ้าไม่คิดจะรอก็แกล้งชวนนิดก็ได้...”ไอ้วิทย์แกล้งแขวะ และพี่เหยาก็แค่หัวเราะและกินต่อ

ผมนึกอยากถาม...ถ้าเป็นผมพูด พี่จะหัวเราะหรือเปล่า?...แต่ไม่ต้องถามผมก็รู้คำตอบ

เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็หมดอารมณ์คุย หมดอารมณ์กิน ข้าวตรงหน้าที่เพิ่งถูกยกมา ฝืดคอไปโดยปริยาย

“เป็นห่าไรวะ?...นี่ถ้านั่งหน้าร้าน โดนเชิญออกแน่มึง!”ไอ้วิทย์ถามด้วยท่าทางปกติของมัน แต่ผมกลับขวางตา ขวางหูผม

“อย่าเสือก!”ผมตอบไปด้วยอารมณ์ มากกว่าด้วยเหตุผลหรือแม้แต่จะยั้งคิดสักนิด

มันคงง่ายกว่าถ้าพี่เหยาไม่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย เราคงพูด หรือด่ากันได้สะดวกปากกว่านั้น แต่เมื่อพี่เหยานั่งอยู่ด้วย ไอ้วิทย์เลยได้แต่ถอนใจ ส่วนไอ้ชัยก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่แย่ที่สุดคือ พี่เหยาวางช้อนลงทั้งที่ข้าวในจานยังเหลืออยู่นิดหน่อย

“ฝากจ่ายด้วยนะ”พี่เหยาบอกไอ้วิทย์ ก่อนวางเงินค่าข้าวไว้ให้



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-04-2008 18:54:25
ไอ้วิทย์ขยับปากจะพูด แต่สุดท้ายก็แค่พยักหน้ารับ แล้วพี่เหยาก็เดินไป ไม่พูดอะไรกับผมสักคำเดียว

“กูเสือกอยู่อย่างเดียว... เสือกยอมเป็นเพื่อนมึงไง!”ไอ้วิทย์พูด เมื่อพี่เหยาคล้อยหลังไปแล้ว

“ไอ้ที่ควรพูด เสือกไม่พูด!”มันด่า และผมได้แต่เงียบ เพราะมันพูดถูกอีกตามเคย แล้วพอผมเงียบ มันก็เลยทำได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ ผมเดาว่ามันคงเบื่อเกินว่าจะขยับปากด่าผมแล้ว

พอผิดหวังจากพี่เหยา และรู้สึกผิดที่พูดไม่ดีไปกับไอ้วิทย์ แทนที่จะเลือกอ้าปากขอโทษ ผมก็เลือกที่จะทำตัวหายหัวไปอีกเหมือนเคย แบบที่ผมถนัดคือหนีหน้า เพราะผมไปหา พี่เหยาก็คงหลบหน้าผมเหมือนเคย ไอ้ที่เคยคิดว่าไปเพื่อพี่เหยา ไปเพราะกลัวพี่เหยาจะคิดว่าผมละทิ้งหนีหน้า ตอนนี้ผมตะหนักดีแล้วว่า...ผมหลงตัวเองไปเอง ตีค่าตัวเองสูงเกินไป ผมไปก็เพราะผมอยากไป อยากเจอ เป็นการทำเพื่อตัวเองฝ่ายเดียวเท่านั้น...สายตาพี่เหยาที่มองผมอย่างเจ็บปวด ผิดหวัง...ผมคิดไปเองทั้งสิ้น เพราะจริงๆแล้วสำหรับพี่เหยา ผมไม่มีค่าอะไรเลย ...ไม่มีค่าเท่าทอม เท่าไอ้วิทย์ หรือเท่าใคร

ไอ้ชัยเอ่ยปากชวนผมหลายครั้ง แต่คำเดียวที่ผมบอกคือ...ไม่

สำหรับมัน ผมไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมาเอ่ยอ้าง หรือเสแสร้ง ผมบอกมันได้เต็มปากว่า...กูไม่อยากไป

ผมปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ ปล่อยไปให้กับความรู้สึกคิดถึงที่มันเกาะกุมใจอยู่ตลอดเวลา

ผมปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ ปล่อยไปให้กับความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า

ผมบอกว่ามันคือความเข็มแข็ง เพราะผมสามารถทนอยู่ได้ ทั้งที่มันทรมาน

ผมบอกว่ามันคือความเข็มแข็ง เพราะวันนี้ผมไม่เอาความเจ็บปวดและสิ้นหวังของตัวเองไปทำร้ายคนอื่น

หากแต่ลึกๆในใจมันก็รู้ตัวอยู่ดีว่า...ตัวเองขี้ขลาด เอาแต่หนี

แม้ใจหนึ่งจะบอกว่า ตัวเองไม่ได้หนี ผมเพียงทำตามที่พี่เหยาต้องการ คือหายหัวไปซะให้พ้นหน้า

แต่อีกใจผมกลับค่อยๆยอมรับว่า ผมขลาดกลัวมาแต่เริ่มต้น

ความเข็ดขยาดและขลาดกลัว มันกลายเป็นเนื้อเดียวกับหัวใจของผม นับแต่วันที่ผมเก็บกลืนเสียงร้องไห้ของตัวเองอยู่ในความมืดมิดในห้องพี่เหยา...นับตั้งแต่วินาทีที่ผมรู้ว่า พี่เหยาเลือกทอม ไม่ใช่ผม

ผมเสแสร้งทำตัวเป็นปกติ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่

ผมเสแสร้งทำเป็นลืมว่าตัวเองพูดอะไรกับพี่เหยาไว้...ต่อไปอย่ามายุ่งกับผมอีก...ประโยคที่ตัวเองพูด และจำได้ดีแต่ก็แกล้งลืม และเมื่อพี่เหยาถอยห่างออกไปอย่างที่ผมร้องขอ ผมกลับเป็นฝ่ายรุกก้าวเข้าไปหา หากแต่เมื่อพี่เหยาขยับเข้ามา ผมก็ถอยเสียเองและยิ่งกว่าถอยคือ ผมกลับผลักพี่เหยาออกไป..

ผมพยายามทำตามสิ่งที่ใจตัวเองปรารถนา แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถข้ามพ้นความหวาดกลัว ผมเสแสร้งแกล้งลืมความเหนื่อยใจ แต่เมื่อต้องยอมรับว่า...ผมเหนื่อย...เหนื่อยกับความสัมพันธ์เช่นนี้...แล้วพี่เหยาล่ะ? พี่เหยาที่เป็นฝ่ายถูกฉุดให้ก้าวตามแต่แล้วก็ถูกผลักให้ถอยกลับไปยืนที่เดิม จะไม่เหนื่อยกับการกระทำของผมหรืออย่างไร?

ไอ้ที่คิดว่าต่อไปจะเข้มแข็ง ...สุดท้ายความเข้มแข็งในความหมายของผมก็คือการหายหัว

ไอ้วิทย์ไม่ได้ติดต่อมาหาผม เหมือนไอ้ชัยที่พักหลังมันก็คงเบื่อที่จะฟังคำปฎิเสธของผมเช่นกัน

แล้วสิ่งที่พิสูจน์ว่าผมอ่อนแอ เอาแต่หนี ก็คือโทรศัพท์จากพี่เหยา

ผมยอมรับว่าดีใจ ที่สุดท้ายพี่เหยาก็ยังแคร์ผม

“เอกทะเลาะกับวิทย์เหรอ?”พี่เหยาถาม

ผมอยากถามพี่เหยาว่า...หายโกรธผมแล้วเหรอ? แล้วพี่ห่วงว่าผมทะเลาะกับใคร หรือห่วงที่ผมทะเลาะกับไอ้วิทย์...แต่ก็ตอบออกไปได้แค่

“เปล่า...”

“ช่วงนี้เอกไม่เห็นมาที่มหาวิทยาลัย?”

ผมนึกอยากถามพี่เหยาว่า...ไปให้พี่ทำเมินผม แล้วไปหัวเราะกับไอ้วิทย์เหรอ...นึกอยากถามพี่เหยาว่า ถ้าไป แล้วพี่จะเมินผมอีกไหม?...แต่ก็พูดออกไปได้แค่

“ช่วงนี้มันยุ่งๆ”

“ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเรียนใช่ไหม?”พี่เหยาถาม แต่ผมรู้ว่าพี่เหยาหมายความว่า...ไม่ได้เอาเรื่องส่วนตัวไปทำให้การเรียนมีปัญหาอีกใช่หรือเปล่า...

“เปล่า...”ผมตอบ

“ก็ดีแล้ว...พรุ่งนี้วิทย์ชวนไปงานไม้ดอก เอกไปไหม?”พี่เหยาถาม ผมถึงเพิ่งนึกได้

นานแล้วที่ผมไม่ได้ไปงานไม้ดอกไม้ประดับ เพราะงานมีแต่เช้า ดังนั้นเมื่อเริ่มโตพอที่จะปฎิเสธแม่ได้ ผมก็ไม่ไปอีก...

แต่ผมก็จำได้ว่าผมเคยชวนพี่เหยาไว้ว่าจะไปด้วยกัน...ผมไม่ได้บอกพี่เหยาว่า ตอนนั้นปากผมชวนพี่เหยาว่า...ไปงานไม้ดอกด้วยกัน...แต่ใจผมกลับคิดไปไกลกว่านั้น...ใจผมคิดว่า...ต่อไปไม่ว่าจะ สงกรานต์หรือวันไหนๆ หรือแม้ไม่ต้องเป็นวันพิเศษอะไรเลย ผมก็จะกอดพี่เหยาเอาไว้ จะทำให้พี่เหยายิ้ม ทำให้พี่เหยาหัวเราะทุกๆวัน...จะพาพี่เหยาไปในที่ๆทอมไม่เคยพาไป...แต่ความสุขมันกลับสั้นจนผมตักตวงมันไว้ไม่ได้แม้แต่ความหวัง...

ในความเป็นจริง เมื่อพี่เหยาเอ่ยถาม...เอกไปด้วยกันไหม? ผมกลับสงสัย ถ้าผมไป พี่คงไม่ไปใช่ไหม? เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมจึงตอบไปได้แค่

“ผมนัดเพื่อนไว้...”

บทสนทนาหลังจากนั้นดูเลื่อนลอย เราต่างพยายามตั้งคำถาม เพื่อพยายามให้คำตอบ ตราบเมื่อรู้สึกว่า การเสแสร้งควรยุติลงเสียที เราจึงตัดสินใจยุติการสนทนา

วันจันทร์หลังจากนั้น ผมยอมตามไอ้ชัยไปหาไอ้วิทย์ พี่เหยาไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะเช่นเคย แม้ไม่มีชั่วโมงเรียน...ผมผิดหวัง แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยพี่เหยาไม่ได้นั่งอยู่กับไอ้วิทย์

“หายหัวไปเลยนะมึง นึกว่าต้องให้กูยกขันหมากไปขอ!”ไอ้วิทย์พูดตอนเงยหน้ามาเจอผม

ผมไม่ได้ตอบอะไรมัน ไม่ได้บอกมันว่า...พอดียุ่งๆ...เหมือนที่ตอบพี่เหยา เพราะรู้ว่า มันรู้ว่าผมไม่ได้ยุ่งอะไร และรู้เช่นกันว่า พี่เหยาเองก็รู้เหมือนๆมัน ว่าผมไม่ได้ยุ่ง

“นั่งสิครับ! เดี๋ยวพี่เหยาก็มา เอางานไปส่งอาจารย์”มันแขวะเมื่อผมยังยืนนิ่ง และคำบอกกล่าวของมันก็ทำให้ผมผิดหวัง...พอผมไม่มา พี่เหยาก็กลับมานั่งกับมันจริงๆ แล้วผมจะมาทำไม?...

“งานไม้ดอกเป็นไง?”ผมถามอย่างพยายามให้ปกติ อยากฟัง อยากรู้ ว่ามันและพี่เหยามีความสุขแค่ไหนกัน เมื่อไม่มีผม

“สวย... เหมือนทุกปี!”มันตอบ

“พูดเหมือนทุกปีมึงไป!”ไอ้ชัยขัด

“เออ! ก็ปีนี้ก็ไม่ได้ไปไง... ถึงบอกได้ไงว่าสวยเหมือนทุกปี!”

“อ้าว ไหนว่ามึงชวนพี่เหยาไป?”

“เออ แต่พี่เหยาไม่ไป...”มันตอบไม่ทุกข์ร้อน แต่คนที่ร้อนใจกลับกลายเป็นผมเอง

แน่นอนว่าตอนนั้น ไม่มีอะไรทำให้ผมรู้สึกดีมากไปกว่าคำตอบของมัน...แม้เพิ่งบอกตัวเองไปว่า ตัวเองไม่มีค่า ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับพี่เหยา แต่เมื่อไอ้วิทย์บอกว่า พี่เหยาไม่ไป ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า...เพราะผมไม่ไป อดคิดไม่ได้ว่า...หรือโทรศัพท์วันนั้น พี่เหยาตั้งใจจะทวงถามสิ่งที่ผมเอ่ยปากชวน แต่ผมกลับบอก... นัดเพื่อนไว้... ผมกลับทำราวตัวเองลืมที่เอ่ยชวน...คิดได้ดังนั้น ผมก็ร้อนใจ กลัวพี่เหยาจะโกรธหรือเสียใจอีก...

“พี่เก้า... พี่นัทโทรหามึงบ้างเปล่า เรื่องไปเรียนต่อถึงไหนแล้ว?”ไอ้ชัยถามไอ้วิทย์

“ไปเดือนมิถุนา...ชวนพี่เหยาไปด้วยแต่พี่เหยาไม่ไป”ไอ้วิทย์ตอบ ผมเพิ่งนึกได้ว่า เดือนหน้าพี่เหยาก็เรียนจบแล้ว และคงกลับไปช่วยงานที่บ้านอย่างที่เคยบอกผมไว้...กลับไปอยู่ในโลกที่ไม่มีผม แต่ยังคงมีทอมอยู่ข้างๆ

“พี่เหยาเรียนจบแล้วกลับบ้านใช่ไหม?”ไอ้วิทย์เงยหน้าจากสมุดขึ้นมาถามในสิ่งที่ผมกำลังคิด

“พี่เขาไม่ได้บอกมึงเหรอ?”แต่ผมถามแทนคำตอบ ไม่ตั้งใจยั่วหรือกวนโมโหมัน แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้ถามไม่ได้

“บอกดิ! กูถึงถามมึงไง เผื่อมึงไม่รู้!”มันกวนกลับมาบ้าง แต่ผมรู้มันไม่ได้โกรธอะไรผม หรือพูดให้ถูกคือ ยังไม่โกรธ

“จะประชดกันอีกนานไหมวะ?”ไอ้ชัยรีบตัดบท ไม่รู้เพราะกลัวไอ้วิทย์โกรธ หรือเพราะกลัวเดี๋ยวผมทำตัวหายหัวอีก

“กูจำไม่ได้ว่ารู้มาจากใคร...แต่มั่นใจว่าไม่ใช่พี่เหยา... ว่าพี่เหยาจะกลับบ้านเมื่อเรียนจบแล้ว กูมั่นใจว่ามึงต้องเป็นหนึ่งในจำนวนคนไม่กี่คนที่พี่เหยาคุยเรื่องส่วนตัวด้วย กูเลย...”ไอ้วิทย์เริ่มคำถามใหม่โดยการแกล้งเกริ่นเสียยาว

“ไอ้สัตว์!”แต่ผมตอบสั้น ด้วยคำด่าที่มันรู้ว่าไม่จริงจัง

ยังไม่ทันที่มันจะอ้าปากด่าตอบ ก็พอดีเห็นพี่เหยาเดินมา

“เรียบร้อยแล้วเหรอพี่?”ไอ้วิทย์ถาม

“อือ...”พี่เหยาตอบเท่านั้น แล้วนั่งลงพร้อมวางหนังสือพิมพ์ที่ถือติดมือมาลงบนโต๊ะ ไม่มีทีท่าแปลกใจอะไรที่เห็นผม หรือจริงๆก็คือพยายามทำให้ทุกอย่างดูปกติ

“นี่ไม่ได้ตั้งใจวางให้ผมเห็นใช่เปล่าพี่? ไหนหนังที่พี่เปรยๆ”ไอ้วิทย์ถามก่อนดึงหนังสือพิมพ์ในมือพี่เหยาไปเปิดดู คำว่า...เปรยๆ...ของมันเน้นย้ำอย่างตั้งใจ

“ช่วงนี้พี่เขา...เปรย...บ่อย!”มันเปิดหนังสือไปพูดไป ไม่สนใจพี่เหยาที่มองมันเหมือนอยากให้มันหยุดพูดสักทีและ คำว่า...เปรย...ของมันก็ยังตั้งใจเน้นตั้งใจย้ำอย่างเดิม

“เมื่อวันศุกร์ ก็เปรยๆว่า วันอาทิตย์นี้ มีงานไม้ดอก กูก็บอกว่าอือ...ก็เปรยอยู่นั่นแหละ...งานไม้ดอก งานไม้ดอก...กูก็อือแล้ว อืออีก...จนต้องถาม ไปไหม?...ก็เปลี่ยนเรื่องเปรยอีก ใครไปบ้าง...กูก็บอกยังไม่รู้...ก็เปรย เปร๊ย เปรย...เปรยไม่หยุด กูเลยบอกจะชวนไอ้รงค์ ไอ้ชัย ให้พี่เขาไปชวนพี่นัท พี่เก้า ...เขาก็ยังเปรยว่าเช้าๆจะยอมตื่นกันเหรอ...กูเลยแถมไอ้เอกให้อีกคน...นั่นแหละถึงหยุดเปรย!”ไอ้วิทย์มันยังก้มหน้าก้มตาดู ตารางหนัง ปากมันก็พูดไม่หยุด ไม่สนใจตาขวางๆของพี่เหยา และคำว่า ‘เปรย’ของมันก็ยังคงตั้งใจเน้นย้ำทุกคำ

“เข้าตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่พี่!”มันเงยหน้าถาม แต่ไม่รอฟังคำตอบก็หันมาถามผมแทน



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-04-2008 18:55:39
“พี่เขาเปรยๆว่าหนังที่อยากดูเข้าแล้ว เฮ้ยเอก...ชวนพี่เขาไปดูกันดีเปล่า!” มาถึงตอนนี้แก้มขาวๆของพี่เหยาเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีแดง

“มึงไม่อยากดูก็ไม่ต้องไปก็ได้ เดี๋ยวกูไปดูกับพี่เขาสองคน”ผมพูด สิ่งที่ได้ยินจากไอ้วิทย์ ทำให้ผมได้ใจขึ้นอีกโข

“ได้ไง พี่เขาเปรยกับกูไว้”ไอ้วิทย์ขัด

“ก็ถ้าวิทย์ไม่อยากดู ก็ไม่ต้องไปก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไร!”พี่เหยาบอก ผมไม่แน่ใจว่าพี่เหยาแค่แกล้งพูดหรือเปล่า...หากแต่ใจผมมันพองขึ้น นึกบอกแต่ว่า..พี่เหยาอยากไปกับผมแค่สองคน!

“อ้าว ได้ไงพี่? เปรยจนหูผมชา มาทิ้งกันง่ายๆได้ไง...ต้องรับผิดชอบนา!”

“ ก็ไม่อยากดู จะไปทำไม!”

พี่เหยากับไอ้วิทย์ยังเถียงกันอยู่อีกนาน ไอ้ชัยโทรไปชวนไอ้รงค์ก่อนที่จะรู้ผลของการทุ่มเถียงกันด้วยซ้ำ ส่วนผมก็เลิกหวังว่าจะได้ไปกับพี่เหยาสองคน เพราะต่างรู้กันอยู่ว่า...เถียงกันไปอย่างนั้นเอง เดี๋ยวก็ไปด้วยกันหมด...

แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด...

ไอ้รงค์รออยู่ที่โรงหนัง แต่ไม่ใช่แค่กับแฟนมันสองคน ยังมีเพื่อนของแฟนมันอีกสามคนด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นผมรู้จักถึงขั้นค่อนข้างจะสนิทสนม

“เอก!”เพื่อนของแฟนมันคนหนึ่งร้องทัก ตั้งแต่ผมยังไม่สังเกตเห็นหล่อน และเพียงได้ยินเสียงผมก็แทบจะหันหลังกลับ แต่ก็ช้าไป เพราะพอสิ้นเสียง ตัวหล่อนก็โผล่มายืนอยู่หน้าผมซะแล้ว

และยังไม่ทันที่ใครจะแนะนำตัวกันอย่างไร แฟนไอ้รงค์มันก็เดินเข้าไปหาไอ้วิทย์กับพี่เหยาแล้วกระซิบ

“แฟนเอก!”แฟนไอ้รงค์กระซิบเบาหรือเปล่าผมไม่รู้ รู้แต่ผมได้ยิน ผู้หญิงคนนั้นก็ได้ยิน เพราะหล่อนทำท่าเหมือนจะเขินๆ แต่ก็แสร้งทำเป็นคุยกับผมเป็นปกติเหมือนไม่ได้ยิน ส่วนเพื่อนหล่อนอีกสองคนก็หัวเราะกันคิกคัก กระซิบกระซาบอะไรกันก็สุดจะเดา

ผมเลยทำตัวไม่ถูก...ถ้าแฟนไอ้รงค์มันพูดดัง ผมก็ปฎิเสธได้สะดวก แต่ถ้าปฎิเสธหล่อนจะอายหรือเปล่า...ผมรู้ การถูกปฎิเสธ มันน่าอายแค่ไหน...

...เดี๋ยวค่อยบอกพี่เหยาว่าไม่ใช่...ผมบอกตัวเองอย่างนั้น แต่ก็นึกสงสัยอีกพี่เหยาอาจจะไม่สนใจก็ได้ ก็จนถึงตอนนี้ ผมยังไม่รู้เลยว่าผมกับพี่เหยา มีความสัมพันธ์กันอย่างไร...เรามีความสัมพันธ์ทางกายกัน เติมเต็มความปรารถนาให้กัน...เรามีความสัมพันธ์ทางใจกัน...แต่ก็เหมือนไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าที่มีต่อคนอื่นๆ..

พี่เหยามีผม...มีทอมที่พี่เหยาให้ความสำคัญมากกว่าผม...และอาจมีใครอีกหลายๆคน ที่อาจไม่ได้มีแค่ความสัมพันธ์ทางกายด้วยเท่านั้นก็ได้ ใครจะรู้...ผมอาจเป็นหนึ่งในหลายๆคนนั้น...แคร์เท่าที่จะแคร์คนๆหนึ่งที่รู้จัก... อาจจะเท่านั้น

ดังนั้นการที่ผมจะมีใคร หรือมีแฟนสักคน มันอาจไม่มีผลอะไร กับพี่เหยาก็ได้ เหมือนที่พี่เหยาก็มีทอม...ตราบที่เรายังรักษาความสัมพันธ์เช่นเดิมไว้ได้ มันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย

ผมหันไปมองพี่เหยา ที่ไม่มีปฎิกิริยาอะไรเลยกับสิ่งที่ได้ยิน...

ใจหนึ่งโล่งใจ หากแต่อีกใจก็น้อยใจ...

ในโรงหนัง โดยความตั้งใจที่ไม่ใช่ของผม...ผมนั่งข้างหล่อน และอาจจะโดยความตั้งใจของพี่เหยา พี่เหยานั่งห่างออกไป ข้างไอ้วิทย์

หนังสนุกหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ทุกครั้งที่หันไปมองพี่เหยา พี่เหยานั่งนิ่งๆ ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากหนังที่ดู

นานครั้งผมเห็นจากหางตาว่าไอ้วิทย์เอี้ยวตัวไปกระซิบคุยกับพี่เหยา และทุกครั้งผมห้ามตัวเองไม่ให้หันไปมองไม่ได้

ผมภาวนาให้หนังจบไวๆ

นึกรำคาญทุกเสียงกระซิบของผู้หญิงที่นั่งข้างๆที่พยายามจะชักชวนผมคุย นึกรำคาญทุกครั้งที่ชำเลืองเห็นไอ้วิทย์ขยับตัวคุยกับพี่เหยา สุดท้ายผมก็รำคาญทั้งพระเอก นางเอกที่พี่เหยาเอาแต่นั่งจ้อง ไม่สนใจผม

มันไม่ใช่หนังที่ผมอยากดู... แต่อยากดูเพราะพี่เหยาอยากดูและผมอยากมากับพี่เหยา...แต่ไม่ใช่แบบนี้

แล้วผมก็ทนความอึดอัดและเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นไม่ไหว

“เอก!”ผมได้ยินหล่อนเรียกผม แต่ผมไม่สนใจ สลัดแม้แต่มือหล่อนที่รั้งแขนผมไว้และลุกเดินจ้ำอ้าวออกมา หลังหนังเล่นไปได้ไม่นานเท่าไหร่

ผมตัดสินใจไม่ถูกว่าจะกลับบ้านเลยดี หรือนั่งรออยู่แถวๆนั้นดี...ไม่ได้หวังว่าพี่เหยาจะตามออกมา เพราะมันคงดูแปลกๆ พี่เหยาไม่ทำอย่างนั้นแน่ เพราะเป็นผม ก็อาจไม่ทำเหมือนกัน! และยิ่งกว่านั้น ผมหวังเหลือเกินว่าหล่อนจะไม่เดินตามออกมา...มันดูไม่แปลก หากแต่ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากให้เกิด

ผมนึกไม่ออกว่าเดี๋ยวจะให้เหตุผลอะไรที่ตัวเองเดินออกมาทั้งอย่างนั้น

...หรือกลับเลยดี?...ผมคิด จะได้ไม่ต้องคิดหาเหตุผลให้ปวดหัว

...ทำไมผมต้องหาเหตุผลล่ะ?...อีกครั้งที่ผมถามตัวเอง

เพื่อนผม ทั้งไอ้วิทย์ ไอ้ชัยรวมทั้งไอ้รงค์ รู้แน่นอนว่าผมหงุดหงิดเรื่องอะไร มันไม่ถามให้เมื่อยปากหรอก ผมรู้...

พี่เหยา?..ผมมีเหตุผลให้อยู่แล้ว ผมคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องบอกพี่เหยาเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับหล่อน...

ผู้หญิงคนนั้น?...แทนที่จะนึกหาเหตุผลว่าทำไมผมต้องคิดหาเหตุผลมาบอกหล่อน ผมกลับนึกหงุดหงิด...น่าจะบอกปัดไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว อายก็อายไป...ไม่เห็นผมจะต้องแคร์!

แต่ไม่ว่าผมจะคิดอย่างไร...พี่เหยาก็เดินตามผมออกมา แม้ไม่ใช่ในทันที หากแต่ก็ไม่นานพอให้ผมเสียใจ...

หากไม่มีทอม...ไม่มีสักเรื่องที่พี่เหยาทำร้ายน้ำใจผม...ใช่ เพียงแต่ต้อง...ไม่มีทอม..เท่านั้น

พี่เหยาเดินเข้ามาหาผมเงียบๆ เหมือนที่ผมนั่งมองพี่เหยาเดินเข้ามาเงียบๆ

ผมนึกสงสัย พี่เหยาจะแกล้งถามอะไร...จะพูดว่ายังไง...ผมนึกไม่ออก?

“เขาไม่ใช่แฟนผมนะ!”แล้วผมก็เป็นฝ่ายพูด พูดในสิ่งที่คิดตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในโรงหนังที่น่าอึดอัดนั่น พูดเมื่อพี่เหยาเดินเข้ามาใกล้ๆ...พูดโดยไม่สนใจว่าพี่เหยาจะพูดอะไรกับผม...พูดเพราะผมแค่อยากบอกพี่เหยาว่า...หล่อนไม่ใช่แฟนผม...

แม้เราจะมีความสัมพันธ์กันนับครั้งไม่ถ้วน...สัมผัสริมฝีปากกันจนไม่อาจนับครั้งได้...หลอมรวมร่างกายป็นหนึ่งเดียวกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง นอนอยู่ในอ้อมกอดกันไม่รู้กี่ค่ำคืน แม้จะพร่ำกระซิบเรียกชื่อกันและกันมากมายเท่าใด...ไม่ว่าใจเราจะเต็มตื้นด้วยความอบอุ่น หรือดิ่งลึกอยู่ในอารมณ์ปรารถนา แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เราจะพูดคำว่ารัก...อาจเพราะไม่กล้า...ไม่รู้...หรือยอมรับโดยดุษฎีว่าไม่มีสิทธิ์...

และหากไม่นับรวมวันที่ผมกอดพี่เหยาไว้ภายใต้เสื้อหนาวตัวเดียวกัน ภายใต้แสงโคมที่ทำให้ท้องฟ้าเชียงใหม่สว่างไสว ภายใต้ลมหนาวที่ไม่อาจแตะต้องผิวเนื้อเรา วันที่ผมคลอเพลงเบาๆข้างแก้มเย็นๆของพี่เหยา...จะรักพี่ไม่มีหน่าย...บ่อยากเป็นน้องชายแล้วล่ะ...

และแม้ว่าผมเคยบอกว่า ระหว่างผมกับพี่เหยา มันยากที่จะบอก ความรักของเราเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่

แต่วันนี้ เมื่อผมบอก...เขาไม่ใช่แฟนผมนะ...มันใกล้เคียงกับคำบอกรักมากที่สุด เท่าที่เราเคยพูดแก่กัน

มันไม่ใช่ความรู้สึกของผมแค่ฝ่ายเดียว เพราะพี่เหยารับรู้คำพูดของผม ด้วยแก้มที่แดงขึ้นเล็กน้อย และเราต่างรับรู้มันด้วยความเงียบภายในโรงหนังของหนังรอบต่อไป...แค่สองคน

มันเป็นความสุข...ที่เหมือนทุกครั้งคือ...คลุมเครือ...

เพราะความสัมพันธ์ของผมกับพี่เหยาเป็นเช่นนั้นเสมอ...

ความสุขที่ตัดไม่ขาด หากแต่ขยาดที่จะรับมันไว้เต็มหัวใจ...

และความทุกข์ที่ขลาดกลัว หากแต่ก็มัวเมากับมันจนถอนตัวไม่ได้...

ความสัมพันธ์ของผมกับพี่เหยาเป็นเช่นนั้น...ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอาจเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคต...และอาจจะตลอดไป...

...ความสัมพันธ์ที่ปล่อยมือไปก็ไม่ได้...

...เฝ้ามองพี่เหยาและทอมทุกวันๆ...

...เฝ้าแต่ถาม เฝ้าแต่คิด...พวกเขาทำอะไรกันอยู่?...

...นึกเห็น ทั้งที่ไม่เห็น...

...นึกได้ยิน ทั้งที่ไม่ได้ยิน...

...ปลดปล่อยตัวเอง ด้วยภาพร่างที่ทำได้ เพียงแค่จดจำ...

...แล้วก็ร้องไห้ ให้กับความอับจนหนทางของตัวเอง...

...แต่สุดท้าย ก็ยังตัดใจปล่อยมือไปไม่ได้...

...เหนื่อย...ผมบอกตัวเองได้เท่านั้น

...ต้องทำยังไง...ผมถามตัวเองอยู่ทุกวัน

...ไม่รู้...ผมได้ยินหัวใจที่หมดแรงลงทุกวันๆ ตอบ

...ปล่อยไปวันๆ...ผมบอกตัวเอง และนึกถึงที่พี่เหยาบอก

สิ่งที่ยากกว่าการเริ่มต้น คือยุติสิ่งที่ดำเนินอยู่...ผมเข้าใจแล้วและ ผมยอมรับมัน ด้วยใจที่เหนื่อยจวนเจียนจะหมดแรงของตัวเอง

อีกไม่นานพี่เหยา ก็จะเรียนจบและกลับบ้าน...ผมรู้แต่ที่ไม่รู้ว่าคือ... หลังจากนั้นจะเป็นยังไง?

ผมเคยถาม

“เรียนจบแล้วพี่จะกลับมาเชียงใหม่บ้างหรือเปล่า?” พี่เหยาตอบแค่ว่า

“...ไม่รู้สิ...”พี่เหยาเลือกที่จะไม่โกหก และผมรับฟังด้วยความสงบ อารมณ์ไม่ได้พลุ่งพล่านหรือเดือดดาลอย่างที่ควรเป็น และไม่ใช่เพราะผมไม่รู้สึก รู้สาอะไร หากแต่อย่างที่บอกคือ...เหนื่อยใจ...

ความสัมพันธ์เราอาจจะจบแค่นั้น โดยที่ผมไม่ต้องเป็นฝ่ายจบมันลง



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-04-2008 18:58:07
ผมไม่แน่ใจว่าจะทนได้ไหม...แต่ความเหนื่อยก็ทำให้ผมรอคอยมันอย่างใจจดจ่อ...

ยิ่งใกล้วัน...ผมยิ่งแยกไม่ออกระหว่างความหวังและสิ้นหวัง...แยกไม่ออกระหว่างการนับวันรอ หรือ หวาดกลัววันที่กำลังจะมาถึง...

ตลอดมา ผมรู้ว่าความสุขทำให้เวลาผ่านไปรวดเร็ว ตรงข้ามกับความทุกข์ที่เวลามักผ่านไปช้าๆ...เมื่อรอคอยสิ่งใดอย่างใจจดจ่อ วันเวลามักเดินช้า จนสิ่งที่เฝ้ารอมาไม่ถึงเสียที หากแต่ตรงกันข้าม เมื่ออยากเหนี่ยวรั้งสิ่งใดไว้ เวลามักเดินเร็ว จนเราตั้งตัวไม่ทัน

และแม้จะเฝ้าหลอกตัวเองว่า ผมหวาดกลัววันที่กำลังมาถึง พอๆกับนับวันรอมัน หากแต่ก็ต้องยอมรับว่าที่สุดแล้ว มันมีเพียงความหวาดกลัว เพราะเพียงลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง วันที่พี่เหยากำลังจะหันหลังจากไปก็มาถึง...รวดเร็ว จนไม่ทันนับวันรอ และผิดหวัง เมื่อคำกล่าวลาของพี่เหยาคือรอยยิ้มยินดี...

ผมจำได้ ทอมพาพี่เหยาเข้ามาบอกพ่อและแม่ว่า พี่เหยาสอบเสร็จแล้วและจะกลับบ้านในอีกไม่กี่วัน

...ผมผิดหวัง...เมื่อพี่เหยาที่ยืนอยู่กับทอม มองผม และยิ้มอย่างที่ผมไม่ได้เห็นมานาน

..ผมผิดหวัง...เพราะพี่เหยากำลังทิ้งผมไว้ข้างหลังด้วยรอยยิ้มยินดี

มันไม่ใช่สิ่งที่เกินคาดคิด ...ผมรู้เสมอมาว่าพี่เหยา รอวันเวลาที่จะกลับบ้าน เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้รับรู้พร้อมรอยยิ้มยินดีของพี่เหยา ราวกับวันเวลาที่มีร่วมกันมากับผมไร้ค่าจนไม่แม้จะนึกเสียดาย

มันไม่ใช่สิ่งเกินคาดคิด...วันหนึ่งพี่เหยาจะกลับไปอยู่ในโลกที่มีแต่ทอม หากแต่ไม่มีผม...เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้รับรู้พร้อมสีหน้าดีใจของพี่เหยาแบบนี้

เมื่อมีทอม..พี่เหยาทำให้ผมรู้สึกไร้ค่าอีกเช่นเคย

ผมไม่ได้คิดอะไร...หรืออย่างน้อยก็พยายามบอกให้ตัวเองอย่าคิดอะไร...อย่าอิจฉา... อย่าน้อยใจ...

ดังนั้นผมจึงปฎิเสธ เมื่อพี่เหยาคล้ายว่าจะมีเรื่องคุยกับผม...

พี่เหยามาหาผมที่ร้านอีกหลายครั้ง แต่ผมหาเหตุผลข้างๆคูๆ หนีหน้าพี่เหยาเสมอ...

ผมทนไม่ได้กับสีหน้าและดวงตาที่เหมือนจะเก็บกักความดีใจเอาไว้ไม่ได้ของพี่เหยา...

ผมรู้แล้ว...มันสิ้นหวัง ไม่ใช่มีหวัง...พี่เหยากำลังจะกลับไป...กลับไปในที่ๆไม่มีผม...และผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากยอมรับมัน...

จบแล้ว...ผมตัดสินสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในที่สุด

ไม่ว่าผมจะคิด หรือรู้สึกอย่างไร...มันจบแล้ว

ในอีกไม่กี่วัน ทุกอย่างจะจบลงอย่างสมบูรณ์...

พี่เหยายังเฝ้าเพียรพยายามจะคุยกับผม แต่ผมไม่ยอมเปิดโอกาส หากแต่ก็น่าขัน ผมกลับเปิดโอกาสให้ทอม เมื่อทอมเดินเข้ามา...

อาจเพราะผมอยากรู้ ทอมจะทำลายผมได้มากมายไปกว่านี้อีกหรือเปล่า...

อาจเพราะผมอยากรู้ ถ้าทอมทำได้...ผมจะเจ็บปวดมากไปกว่านี้ได้อีกหรือเปล่า...

อาจเพราะผมอยากรู้ ถ้ามันเจ็บปวดไปกว่านี้ มันจะเจ็บจนลบล้างความเจ็บปวดที่กำลังจะสูญเสียพี่เหยาไปได้หรือเปล่า...

ถ้าอยากทำลาย ผมก็จะให้ทำ...ถ้าอยากทำให้ผมเจ็บปวด ผมก็เจ็บปวด...ให้สาสมกับความยุติธรรมที่ไม่เคยมีให้กับผม...

ด้วยเหตุผลทั้งหมด ผมจึงนั่งอยู่ที่โต๊ะและรอคอยอย่างสงบเมื่อเห็นทอมเดินเข้ามา

ทอมยิ้ม เหมือนฝรั่งใจดี ที่เคยหยิบยื่นเงินค่าขนมให้ผม...

ทอมยิ้ม ด้วยรอยยิ้มที่ผมชิงชังสุดหัวใจ...

ทอมยิ้ม ขณะพูดถึงสิ่งน่ารังเกียจ...

ทอมยิ้ม ทั้งที่ปากกำลังชักชวนให้ผมกระทำสิ่งที่น่าคลื่นไส้...

ทิ้งทวน...ไม่มีคำไหนเหมาะไปกว่าคำนี้

ทิ้งทวน...ข้อเสนอสุดท้ายที่ทอมอุตส่าห์ใจดี มอบมันให้ก่อนที่ร่างกายของพี่เหยาจะกลายเป็นแค่ความทรงจำสำหรับผม

ผมไม่เคยเข้าใจทอม ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมไม่เคยเข้าใจ...

น้ำตาของทอม เมื่อเห็นพี่เหยาเจ็บปวดเป็นของจริง...เหมือนความเป็นห่วงเป็นใยที่ผมเห็น มันไม่ใช่สิ่งเสแสร้ง...

แต่ทอมก็ยังทำให้พี่เหยาเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า...ผมไม่เข้าใจ

ถ้าผมรักใครสักคน...ผมคงอยากเป็นเจ้าของคนๆนั้นเพียงลำพัง..

...เพียงแค่ผมมีสิทธิ์ ผมจะไม่ยอมให้ใครได้แตะต้องพี่เหยา...

...ถ้าพี่เหยาหยิบยื่นโอกาสนั้นให้แก่ผม...ผมรู้...ผมจะถนอมพี่เหยาให้ยิ่งกว่าที่เคยถนอมทุกๆอย่าง...

...แก้มเย็นๆของพี่เหยา...ผิวเนื้อขาวที่แตะนิดก็แดงเป็นรอยมือ...ไหล่ผอมบางที่ผมอยากเหลือเกินที่จะปกป้อง...รอยยิ้ม...เสียงหัวเราะ...ดวงตาที่จับจ้องผม...ทุกสิ่งและทุกอย่างของพี่เหยา ทั้งร่างกายและจิตใจ...ถ้าเพียงแต่เป็นของผม...ผมจะถนอมให้ยิ่งกว่าที่เคยถนอมอะไรมาทุกๆอย่าง

...แต่เมื่อผมไม่มีสิทธิ์ ผมจึงทำได้เพียงเงียบฟังสิ่งที่ทอมกำลังพูด คล้ายจะตั้งใจฟัง แต่ในหัวมันขาวโพลน

ทิ้งทวน...คำสั้นๆที่เหมาะสมที่สุดที่จะนำมาอธิบายสิ่งที่ทอมกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มใจดี

ทิ้งทวน กับร่างกายที่ผมพยายามดิ้นรนอยากเป็นเจ้าของ

ทิ้งทวน กับร่างกายของคนที่ทรยศความเจ็บปวดของผม

ผมไม่รู้ว่าจะสงสาร หรือ สะใจ กับสิ่งที่กำลังรับรู้หรือรับฟังอยู่ตรงหน้า

พี่เหยาทรยศและเมินเฉยต่อความเจ็บปวดของผม เพื่อถูกทรยศซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากคนที่ตัวเองเพียรเฝ้าหาเหตุผลมาเอ่ยอ้างเพื่อยกโทษให้เช่นกัน

แม้ผมจะคิดถึงร่างกายและรสสัมผัสของพี่เหยามากมายเท่าไหร่

และความสัมพันธ์ของเราคงไม่มีวันยาวนานไปกว่าพรุ่งนี้

แม้ทอมจะรับปากเป็นมั่นเหมาะว่า พี่เหยาจะไม่มีทางรู้ว่าเป็นผม

และแม้ผมจะชิงชังในรอยยิ้มยินดีของพี่เหยามากมายเท่าไหร่

ผมก็บอกตัวเองว่า...ผมจะไม่ทรยศพี่เหยาอีกแล้ว

เมื่อผมไม่ยินดีและยินร้ายต่อคำชวน ทอมยังคงยิ้มใจดี...หากแต่ยื่นข้อเสนอที่น่าชิงชังยิ่งขึ้นไปอีก...ทอมบอกว่า...หากไม่ใช่ผม ก็ยังมีคนอื่นอีกมากมายที่พร้อมจะรับข้อเสนอนี้...

สุดท้ายผมจึงเดินตามทอมขึ้นไปด้วยความรู้สึกสับสน

ผมไม่แน่ใจว่าท้ายที่สุด ผมจะช่วยอะไร พี่เหยาได้

สิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่เหยามันไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับพี่เหยา...ผมรู้

หากแต่ อย่าให้ผมต้องรับรู้...

เพราะหากเมื่อต้องรับรู้...ผมทนไม่ได้ที่จะให้มันเกิดขึ้นและเป็นไป

ผมเดินตามทอมขึ้นไปในที่ๆเคยคุ้น...

ยิ่งใกล้ ผมยิ่งตั้งคำถามว่า แล้วจะทำอย่างไรต่อไป?

ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าผมหรือพี่เหยาจะเจ็บปวดเพียงใด และแม้บางครั้งพี่เหยาจะแสดงทีท่าต่อต้าน หากแต่ท้ายที่สุด พี่เหยาแสดงออกเด่นชัดว่า...เลือกที่จะยืนข้างเดียวกับทอม

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงจนหนทาง และความคิด...วันนี้ผมจะทำสิ่งใดได้? พี่เหยาต้องการให้ผมทำเช่นใด? ผมไม่รู้เลย...สิ่งเดียวที่รู้คือ ไม่อยากให้ใครแตะต้องร่างกายนั้น...ร่างกายของพี่เหยา...

แล้วทอมก็เปิดประตู...พร้อมกับที่โลกของผมหยุดหมุน....ไปตลอดกาล...

พี่เหยานอนอยู่บนเตียงนอนตัวใหญ่ บนผ้าปูที่นอนที่ทำให้ผิวพี่เหยา ขาวเสียยิ่งกว่าขาว

ผมมองดูลำคอขาวที่กำลังถูกฟ้อนเฟ้นด้วยใบหน้าที่รกครึ้มไปด้วยหนวดเครา จนเป็นรอยแดง

ผมมองดูร่างกายที่นึกอยากถนอมและถือครอง หากแต่บัดนี้กำลังถูกทาบทับ ครอบครองอย่างไม่นึกถนอมสักนิดด้วยคนแปลกหน้าและแปลกถิ่น

และมันเจ็บปวด เมื่อสิ่งที่มองเห็นนั้น ...ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกถึงอาการขัดขืนหรือต่อต้าน...

ร่างเปล่าเปลือยของพี่เหยา ขยับตอบรับสัมผัสที่รุนแรงนั้นด้วยความรุนแรงเท่าเทียมกัน

ริมฝีปากที่เคยกระซิบเรียกชื่อผม...แม้เวลานี้ไม่ได้กระซิบพร่ำเรียกชื่อใคร หากแต่ก็เฝ้าร่ำร้อง เรียกหาสัมผัสที่ล้ำลึกและรุนแรงยิ่งขึ้น

ครั้งหนึ่งผมเคยสงสัย...บทรักของทอมกับพี่เหยาเมื่อไม่มีผมเป็นอย่างไร...วันนี้ผมได้เห็น และยิ่งเจ็บปวด เมื่อคนที่เห็น ไม่ใช่ทอม...

สิ่งที่เคยนึกเห็น และคิดได้ยิน เคยคิดว่าเจ็บปวด หากแต่เมื่อทุกสิ่งปรากฏจริงที่ตรงหน้า

คำว่าเจ็บปวด ดูจะเล็กน้อยเสียเหลือเกิน....

ผมได้ยินเสียงทอมหัวเราะที่ริมหู รู้สึกถึงฝ่ามือหนาของทอมที่กำลังปลุกเร้าร่างกายผม และรู้สึกถึงอารมณ์ที่คุกรุ่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ของตัวเอง

ทอมผลักผมให้เดินไปข้างหน้า หากแต่ผมขัดขืนและปักหลักยืนอยู่ที่เดิม...ในขณะที่ตายังจับจ้องทุกสัมผัส ทุกการเคลื่อนไหวที่ตรงหน้า

ผมจะไม่ทำร้ายพี่เหยาอีกแล้ว...ผมบอกตัวเองอย่างนั้น พร้อมกับผลักไสมือของทอมให้ออกไปจากตัวผม

ผมพยายามบอกตัวเองว่า สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแม้เจ็บปวด หากแต่ร่างกายผมยังทรยศถูกปลุกเร้าด้วยอารมณ์ปรารถนาขึ้นมาได้ แล้วทำไมพี่เหยาจะไม่เป็นไปด้วยเหตุผลดุจเดียวกัน...

ผมบอกตัวเองว่า ทุกการเคลื่อนไหวของแรงอารมณ์ปรารถนาที่ได้เห็นนั้นล้วนแล้วแต่ทรยศต่อความรู้สึกนึกคิดอันมีตัวตนของพี่เหยาทั้งสิ้น

เมื่ออารมณ์ปรารถนาสิ้นสุด มันจะเหลือแต่คราบน้ำตา...หลงเหลือก็แต่ความชิงชังในตัวตนของตัวเอง

มันไม่มีประโยชน์ที่ผมจะยืนอยู่ตรงนี้อีกต่อไป...ผมบอกตัวเอง และขยับถอย

หากแต่ทันทีที่ผมขยับถอย ทอมก็ก้าวมายืนดักอยู่ด้านหลัง หัวเราะและพูดอะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจ และผมสัมผัสได้...เสียงหัวเราะของทอมมันดังกว่าที่ควรจะเป็น

มันเป็นการขัดขืนครั้งแรกของพี่เหยาที่ผมได้เห็น เมื่อพี่เหยาหันมาตามเสียงทอม และเห็นผม...

พี่เหยาดิ้นรน ขยับหนี หากแต่ทุกอย่างไร้ผล เมื่อร่างที่ใหญ่หนากว่ายังตามติดและโถมแรงเข้าใส่ราวกับจะขยี้ให้แหลกสลายลงไปณ.ตรงนั้น

ผมมองดูดวงตาพี่เหยา ที่กำลังจับจ้องมองมาที่ผม อย่างที่นึกรู้ว่า ทุกสิ่งที่ผมคิดมาแต่ต้น ผิดโดยสิ้นเชิง

ทิ้งทวน...คำจำกัดความสั้นๆที่ผมนึกสงสัยว่า ทอมไม่รู้เลยหรือว่ามันจะทำลายผมกับพี่เหยาขนาดไหน หากแต่เวลานี้ เวลาที่ผมกับพี่เหยากำลังจับจ้องกันและกัน ผมตะหนักแล้วว่าทอมรู้...หากแต่เป็นผมต่างหากที่รู้ช้าไป

ก่อนที่จะมายืนอยู่ตรงนี้ ผมเพียงคิดว่า...สำหรับผม...ผมไม่อยากให้ใครได้แตะต้องพี่เหยาอีก หากทอมต้องการใครอีกสักคน ขอเป็นผมที่ยืนอยู่ตรงนี้

หากแต่เมื่อดวงตาเราจับจ้องกัน ผมรู้ ผมคิดผิด...

สำหรับพี่เหยา...จะเป็นใครก็ได้... ในโลกนี้จะเป็นใครก็ได้จริงๆ แต่คนเดียวที่ต้องไม่ใช่...คือผม

ผมจำเสียงแห่งความสิ้นหวังในวันที่แสงโคมเพิ่งดับไปจากท้องฟ้าของเมืองเชียงใหม่ได้

เสียงความเคลื่อนไหว เสียงความเงียบของความเจ็บปวด...แต่เสียงเดียวที่ไม่ได้ยินคือเสียงของพี่เหยา...

ผมรู้ พี่เหยาไม่อยากให้ผมเห็น...ไม่อยากให้ได้ยิน...

ในความเป็นจริง โลกของผมกับพี่เหยามันแตกสลายไปนานแล้ว...

หากแต่วันนี้ มันไม่เหลือแม้เศษเถ้า...ย่อยยับจนเหลือเพียงอากาศธาตุ



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-04-2008 19:04:37
สายตาพี่เหยาที่จ้องมองผม ทำให้ผมเพิ่งเข้าใจ....

มีดเล่มเดียวกัน กรีดรอยลึกได้ไม่เท่ากัน...

มีดในมือผม มันกรีดทิ้งรอยได้เจ็บลึกกว่ามีดในมือทอม...

โลกมันสิ้นสลายไม่เหลือแม้เศษซาก....

ดวงตาพี่เหยาที่จ้องมองมามันบอกว่า...ไม่มีอีกแล้ว กับคำว่า ไม่เป็นไร....

น้ำตาที่ค่อยๆรินไหลจากดวงตาพี่เหยามันบอกว่า...ทุกอย่างจบลงแล้ว จริงๆ...

ดูเหมือนทอมจะหัวเราะและพูดอะไรบางอย่างกับผม...

พี่เหยานอนนิ่งราวกับไร้ชีวิต ปล่อยให้น้ำตาไหลรินเงียบๆ หากแต่ก็ยังจับจ้องมาที่ผม ตราบจนผ้าผืนบาง หากแต่หนาพอที่จะซ่อนโลกแห่งความจริงไว้ได้มิดถูกปิดทับลงบนดวงตา...แต่ผมรู้...พี่เหยายังจับจ้องมาที่ผม...

ทอมดึงผมออกมาจากห้อง พร้อมใครอีกคนที่ก้าวสวนผ่านผมเข้าไป

คนแปลกหน้าที่ผมไม่เคยเห็น หากแต่ไม่ใช่ฝรั่งตัวสูงใหญ่อย่างเพื่อนทอม...ดูธรรมดาๆเหมือนอย่างผม...เท่านั้นเอง

ผมหมดเรี่ยวแรง ปล่อยให้ทอมทั้งฉุดทั้งลาก ไปตามทิศทางที่ต้องการ ตราบจนเมื่อพบว่าตัวเองถูกทิ้งให้ยืนอยู่เพียงลำพัง...ทอมล็อคกุญแจ และเดินจากไปในความเงียบภายในบ้าน...

แล้วผมก็ได้ยินเสียงตัวเองตะโกนจนสุดเสียง....ไม่ใช่ผม!

...มันไม่ใช่ผม!...ผมตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่า หวังเพียงให้เสียงตะโกนของตัวเองผ่านไปถึงพี่เหยา

...มันไม่ใช่ผม!...ผมตะโกนครั้งแล้วครั้งเล่า จนเสียงแหบแห้ง จนย่าออกมาดู จนใครๆแถวนั้นพากันออกมายืนมอง แต่ก็ยังคงตะโกนอยู่อย่างนั้น

...ไม่ใช่ผม!...ผมยังคงตะโกน แม้ในคอจะแสบจนปวดร้าวไปหมด แม้จะเห็นแม่ยืนร้องไห้อยู่ข้างๆด้วยใบหน้าแดงกล่ำ และตื่นตะหนก

ผมยังตะโกนเท่าที่เสียงจะมี จนพ่อทั้งปลอบทั้งฉุดผมให้กลับเข้าไปในบ้านได้สำเร็จ แต่ผมก็ยังพร่ำพูด...มันไม่ใช่ผม!...

โลกมันสลายจนไม่เหลือแม้เศษซากแล้วจริงๆ...

ผมยังได้ยินเสียงตัวเองร้องไห้...

และก็รู้ว่าพี่เหยากำลังร้องไห้ในที่ๆมือผมเอื้อมไปไม่ถึง...

แต่ในที่ๆมือผมเอื้อมถึง ทั้งพ่อ แม่และย่า กำลังร้องไห้ ผมกลับไม่สามารถบอกกล่าวหรืออธิบายสิ่งใดๆได้เลย

“เอก เป็นอะไร บอกแม่สิลูก?”แม่เฝ้าถามผมด้วยประโยคเดิมๆซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า มือที่สั่นเทาของแม่ ลูบหน้า ลูบหัวผมราวกับจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ออกไปจากตัวผม

แต่ไม่ว่าแม่จะถามผมสักกี่ร้อยกี่พันครั้ง คำตอบของผมก็มีแต่เสียงสะอื้นไห้...กับคำพูดซ้ำๆ...ไม่ใช่ผม

ผมรู้มันหนักหนาสาหัสสำหรับพ่อและแม่ รวมถึงย่า เพราะนานเหลือเกินแล้ว ที่ผมไม่เคยร้องไห้ให้พวกท่านเห็น...

นานกว่าผมจะคลุมสติตัวเองให้เลิกพร่ำพูด...มันไม่ใช่ผม...

นานกว่าผมจะเก็บกลืนน้ำตาและเสียงสะอื้นไห้เอาไว้ได้...

พ่อ แม่ และย่า ยังนั่งอยู่กับผมไม่ไปไหน...ไม่วางตา

ผมทำให้คนที่ผมรัก และรักผม ทุกข์ใจอีกเช่นเคย...

“ผมไม่เป็นไร...”ในที่สุดผมก็พูดออกมา

แม่คล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พ่อตบไหล่แม่เบาๆคล้ายจะปราม และแม่ก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

“เอกหิวไหมลูก?”แม่ถามทั้งที่ยังสะอื้น

“ผมปวดหัว ผมจะไปนอน”ผมส่ายหัวก่อนจะบอกแม่ได้แค่นั้น

ไม่มีใครรั้งผมไว้ เพราะคงรู้ว่านั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับผม

ผมนอนไม่หลับ ...ทำได้แค่ปล่อยให้น้ำตามันไหล หากแต่ก็พยายามเก็บกลืนเสียงสะอื้นไห้ไว้ กลัวพ่อกับแม่จะได้ยิน นับเวลารอว่าเมื่อไหร่จะเช้า...ผมกลัว กลัวจะไม่ได้เจอพี่เหยาอีก...กลัว กลัวว่าพี่เหยาจะจากไปโดยที่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร...กลัว กลัวว่าพี่เหยาจะเกลียดชังผมไปจนตลอดชีวิต

จนได้ยินเสียงประตูบ้านปิด ได้ยินเสียงพ่อและแม่ปิดประตูห้องนอน...

ผมรออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆเปิดประตูและกลับลงไปที่ชั้นล่าง...คอยเงี่ยหูฟังเสียงประตูบ้านทอม...แต่ทุกอย่างก็เงียบสนิท

ผมนั่งรออยู่ในความเงียบ รออยู่อย่างนั้น รอจนเห็นว่าฟ้าข้างนอกเริ่มสว่าง รอจนจับสำเนียงเสียงที่ดังมาจากบ้านทอมได้...

ผมเปิดลิ้นชัก ควานหากุญแจบ้าน และลนลานไขประตูออกไป...

รถทอมจอดรออยู่ที่หน้าบ้านแล้ว ทอมกำลังยกกระเป๋าเดินทางใบไม่ใหญ่นักขึ้นรถ...และพี่เหยายืนอยู่ตรงนั้น

ทอมหันมามองดูผมตั้งแต่ผมยังลนลานไขกุญแจบ้าน หากแต่พี่เหยายืนหันหลังนิ่งไม่สนใจ...

ทอมพูดอะไรบางอย่างกับพี่เหยาและหัวเราะ หากแต่พี่เหยาก็ยังยืนหันหลังให้ผมนิ่งไม่ไหวติ่ง

“พี่...”ผมเรียกได้แค่นั้น เมื่อก้าวผ่านพ้นประตู และถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกของแม่ที่ดังมาจากข้างหลัง

“เอก!...”แม่ยังอยู่ในชุดนอน เหมือนพ่อ และย่า ที่ดูเหมือนจะต่างรู้สึกตัวตื่นคอยระแวงระไวผมกันอยู่ทั้งคืน

“จะกลับแล้วเหรอเหยา?”พ่อทักพี่เหยา ที่จำใจต้องหันหน้ามา รับคำทักของพ่อ

ตาของพี่เหยาแดงช้ำ...ผมรู้ ไม่ต่างไปจากดวงตาของผม

“แล้วจะกลับมาเชียงใหม่อีกเมื่อไหร่ล่ะ?”พ่อถาม

“ไม่...ไม่ทราบครับ”พี่เหยาตอบ ในขณะที่ทอมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู คล้ายจะบอกว่าถึงเวลาต้องไปแล้ว

ผมรู้...เวลาไม่มีมากพอสำหรับผมและพี่เหยา ทอมไม่มีทางเปิดโอกาสให้ผมได้พูดกับพี่เหยาตามลำพัง และแม้ผมจะพูดกับพี่เหยาโดยไม่ต้องสนใจทอมก็ได้ หากแต่ทั้งแม่ พ่อ และย่าก็คงไม่มีทางหันหลังกลับเข้าบ้านโดยทิ้งผมไว้ตรงนั้นแน่นอน ดังนั้นจึงไม่เหลือโอกาสใดให้ผมได้พูดกับพี่เหยาเลย

ทอมพูดอะไรสักอย่างคล้ายบอกพี่เหยาว่าต้องไปแล้ว

ผมตัดสินใจวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน คว้ากระดาษและปากกาบนโต๊ะ เขียนสิ่งที่ต้องการลงไปเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ และวิ่งกลับออกมา

พี่เหยากำลังจะกลับขึ้นรถแล้ว เมื่อผมกลับออกมา

“พี่!”ผมตะโกนเรียก ผมรู้ พี่เหยาต้องรอ เพราะพ่อกับแม่ยังยืนอยู่ตรงนั้น

“พี่เปิดอ่านดูนะ!”ผมบอกพี่เหยา ก่อนยัดกระดาษแผ่นเล็กใส่มือพี่เหยาโดยไม่ให้ทอมเห็น

กระดาษแผ่นเล็กๆที่คงไม่ใหญ่พอให้เขียนอะไรมากมายลงไป หากแต่มีพื้นที่มากพอให้เขียนe-mail addressและpasswordลงไป

e-mail address ที่เป็นชื่อจริงและวันเดือนปีเกิดของพี่เหยา

และpasswordที่เป็นชื่อของผม

ผมรู้หากผ่านวันนี้ไป ผมจะไม่มีวันติดต่อพี่เหยาได้อีก ไม่ว่าทางใด...พี่เหยาจะไม่มีวันกลับมาอีก ไม่มีวันรับโทรศัพท์ของผมอีกต่อไป...ขอเพียงให้พี่เหยาเปิดอ่านสิ่งที่ผมอยากจะบอกพี่เหยาเพียงเท่านั้น ผมขอเพียงเท่านั้นจริงๆ...

พี่เหยารับมันไว้ แต่ก็ไม่ได้ยกขึ้นมาดู

“ยังไม่ได้เปิด แต่เดี๋ยวผมจะไปเปิด พี่ต้องเปิดอ่านนะ!”ผมบอก และพี่เหยาแค่จ้องมองผมนิ่งนานและไม่ตอบอะไรเลย

ใจจริง เมื่อมีโอกาส ผมอยากพูดกับพี่เหยาให้มากกว่านั้น หรือแค่ประโยคสั้นๆว่า...คนๆนั้นไม่ใช่ผม...แต่เมื่อรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า พ่อ แม่และย่า คอยจับตาดู และเงี่ยหูคอยฟังผมอยู่ตลอดเวลา ผมจึงพูดได้เท่านั้น

ทอมส่งภาษามาเรียกพี่เหยาอีกครั้ง พร้อมๆกับที่พ่อเดินมาดึงศอกผมให้ถอยออกมา...

...แล้วทอมก็พาพี่เหยาจากไป...

ผมพยายามบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร...ผมจะเขียนบอกความจริงพี่เหยาทุกอย่างและพี่เหยาจะเข้าใจ...พี่เหยาจะไม่โกรธผม จะไม่มองผมอย่างชิงชัง...และจะบอกผมว่า...ไม่เป็นไร...

พ่อ แม่และย่า กลับเข้าไปในบ้านแล้ว แต่ผมยังยืนมองดูถนนที่ว่างเปล่า...

ที่ท้ายกระดาษ ผมเขียนบอกพี่เหยาไว้ว่า...ไม่ใช่ผม...เพราะผมกลัวพี่เหยาจะโกรธจนไม่ยอมเปิดอ่านเมล์ พี่เหยาจะเข้าใจประโยคสั้นๆนั้นหรือเปล่า ผมสงสัย...แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะรีบไปที่มหาวิทยาลัย จะไปลงทะเบียนเปิดเมล์ที่เขียนให้พี่เหยา แล้วผมก็จะเขียนบอกพี่เหยาทุกๆอย่าง แล้วพี่เหยาก็จะเข้าใจ...ผมบอกตัวเองอย่างนั้น ก่อนที่ทันเห็นอะไรบางสิ่งที่สะดุดตาเหลือเกิน...

บนถนนที่ว่างเปล่า...เศษกระดาษสีขาวกำลังปลิวไปตามแรงลม...

...ไม่ใช่...ผมบอกตัวเอง แต่ก็นึกรู้ว่า...ใช่...ก่อนที่วิ่งตามไปเก็บมันขึ้นมาดู

กระดาษแผ่นเล็กๆที่ผมยัดใส่มือพี่เหยา...มันไม่ได้โดนขยำจนยับย่น หากแต่ผ่านมือผมไปเช่นไร มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ราวกับไม่เคยผ่านมือใคร ไม่เคยผ่านมือพี่เหยา...ไม่ผ่านผิวเนื้อและสัมผัสเข้าไปถึงความรู้สึกใดๆของพี่เหยาเลย...

พี่เหยาจากไปแล้วจริงๆ...

จากไปสู่โลกที่ไม่มีผม และทิ้งผมเอาไว้ ในโลกที่ไม่มีพี่เหยา...

ผมยังจำวันแรกที่พี่เหยามายืนอยู่ตรงหน้าผมได้...ภาพพี่เหยาในวันนั้นไม่ชัดเจนนัก จำได้ก็แค่เงาร่างบางๆเหมือนน้ำหนักของพี่เหยาที่ยังบางเบาเหลือเกินในใจผม วันนี้ไม่ต่างกัน...ทุกอย่างพร่าเลือน จนเลือนราง ต่างกันเพียงเพราะวันนี้ น้ำตามันรินไหลอย่างสิ้นหวัง...พี่เหยาไม่ให้อภัยผมอีกแล้วจริงๆ...



--------------------
จบตอน 12

พรุ่งนี้ไม่ได้มาลงนะคะ เพราะต้องเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด วันนี้ลงให้ 2 ตอนละกัน
ส่วนวันเสาร์รอลุ้นอีกที ว่าเน็ตที่บ้านนอกจะใช้ได้รึเปล่า อิอิ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 03-04-2008 20:18:40
เสียน้ำตาอีกแล้ว  :o12: :o12: บีบหัวใจเหลือเกิน

ของคุณภัคD แรงได้ใจจริงๆๆ  o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Mono_Koro ที่ 03-04-2008 20:41:41
เนื้อหายังสะท้านทรวงเหมือนเดิม

อ่าเเล้วปวดใจจริงๆ :m15: :m15: :m15:


(ของเค้าดีจริง o13)
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 04-04-2008 01:34:05
ทิพอะ

ทำไมทิพทำกับสองแบบนี้

สองเครียดนะเนี้ย

สรุปแล้วเรื่องนี้สองจะสงสารใครดีนะ

ทอม....ที่รักเหยา แต่แสดงออกแบบแปลกๆ และยังมีความลับดำมืดบางอย่างที่สองยังไม่รู้เกี่ยวกับทอม  ทอมที่เดิมเกมส์ต่างๆ เพื่อทำลายความสัมพันธ์ของเอกและเหยาที่ทอมรู้ดีว่าตัวเองคือผู้พ่ายแพ้

เหยา....ที่รักเอกเหลือเกินแต่ถูกกดเอาไว้ด้วยความกลัว กลัวความไม่แน่นอนพอในสิ่งที่เอกหยิบยื่นมาให้  เหยาที่เหมือนคนที่ยื่ยอยู่ในคามมืดมาตลอด  แต่ภายในใจปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะหาใครสักคนมาพาเหยาออกไป  และใครคนนั้นก็คือเอก,    เหยาที่ผูกพันและอยากหลีกหนีจากทอม และเริ่มแสดงออกให้ทอมได้เห็นว่าเหยาเลือกเอก,  เหยาที่ถูกผลักไปตามแรงเหวี่ยงของคนรอบข้าง,  เหยาที่ให้อภัยและรอคอยเอกเสมอ

เอก....ที่รักเหยา  แต่ไม่ได้มากไปกว่ารักตัวเอง  เอกที่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองแม้แต่การได้รักเหยาก็ตามที  แม้ว่าจะรักเหยามากเพียงไรก็ตาม...เอกก้ยังคงทำร้ายเหยาอยู่ตลอดเวลาด้วยการปล่อยให้เหยาอยู่กับการรอคอยและความไม่แน่นอน


ทิพฝากบอกคนแต่งด้วยนะว่า....สองชอบเรื่องนี้มากจริงๆ  มากพอที่จะอ่านและไม่ข้ามผ่านสายตาไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว

ฝากขอบคุณคนแต่งด้วยที่แต่งๆ นิยายดีๆ อย่างนี้มาให้สองอ่าน

ขอบคุณทิพด้วยที่หานิยายดีๆ แบบนี้มาฝากกัน
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 04-04-2008 03:52:47
เพิ่งอ่านจบ page ที่ 1-2

ตอนแรกอ่านสบายๆ หลังๆ มาโคตรเครียดเลยครับ
ตอนที่เอกเข้าไปในบ้านทอมตอนแรก  แล้วทำอะไรพี่เหยา  ก่อนจะชวนพี่โอ๋ไอ้วิทย์ไปด้วยอะไรนั่นน่ะ
บอกว่าตอนนั้น  คิดว่าเอกเป็นคนที่น่ารังเกียจมากๆ เลย   แบบว่าไม่มีอภัยให้ได้เลยแหละ

ผมชอบที่วิทย์พูดและแสดงออกมามากๆ  "กูไม่ได้เหี้-เหมือนมึงนิ"  ชอบจริงๆ
ผมคิดว่าเอกไม่น่าจะได้รับการให้อภัยจากพี่เหยาสักเท่าไหร่เลย

แต่หลังๆ มาดีขึ้น   เริ่มเห็นถึงสิ่งที่เอกพยายามช่วยพี่เหยาและพยายามไถ่โทษที่ทำผิด

อ่านแล้ว...มันไม่ได้แค่ให้เราสนุก หรือ คิดมากไปตามเรื่อง
แต่เรื่องนี้เหมือนเป็นไกด์บุ๊คไปในตัวจริงๆ  มีข้อคิดสำคัญๆ แฝงในเรื่องด้วย  อ่านแล้วมันสะเทือนใจจริงๆ

พรุ่งนี้จะมาติดตาม page 3-4 ต่อน้าคร้าบ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 04-04-2008 08:15:28
อ่านเป็นรอบที่ 2 แล้วครับ เพื่อซึมซับความงามของวรรณกรรมเรื่องนี้ ถึงแม้อ่านไปจะบีบหัวใจแต่ก็มีความสุข

ถึงตอนนี้ อาจจะบอกได้ว่า

" การที่เหยายังเลือกที่จะอยู่กับทอม เลือกที่จะรักทอม ก็เพราะเหยาไม่เคยให้อภัยในสิ่งที่ ทอมทำตะหาก  ทอมต้องรู้ว่าเหยา รัก เอก มากแค่ไหน  และในทางกลับกัน ทอมก็รู้ว่าเอกก็รักเหยา 

แต่ที่เหยาไม่กลับมาหาเอก ก็เพราะเหยาไม่ให้อภัยทอม ไม่อยากให้ทอมหลุดผมกับความชั่วที่ทอมทำ เหยาอยู่เพื่อให้ทอม เจ็บปวด  เพราะถ้าเหยาเจ็บปวด ทอมจะเจ็บปวดยิ่งกว่า เหยาจึงเลือกที่จะอยู่กับทอมต่อไป "

" เอก กับ เหยา นี้แหละ คือความทรงจำที่งดงามที่สุด "

ปล.ตอนจบไม่เศร้าแน่หนาพี่ทิพย์  เพราะถ้าเศร้า ผมคงจิตตก ไปนานๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ขอบคุณ คุณภัคD

เป็นกำลังใจให้พี่ทิพย์ต่อไปครับ  :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 04-04-2008 12:37:18
แล้วอาจารย์คิดว่า ทอมรักเหยาปะ?

สองยังมองทอมไม่ออกในหลายๆ อย่าง 

อยากรู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


ปล. เข้ามาทั้งๆ ที่รู้ดีว่าวันนี้ทิพไม่มาต่อ  แต่คิดถึงเรื่องนีพอๆ กับที่คิดถึงทิพอะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 04-04-2008 13:10:24
ถึงเจ้สอคนสวย ครับ

จากการวิเคราะห์ โดยใช้ทฤษฏีด้านเคมี ที่เล่าเรียนมา

"ผมว่าทอมก็ รักเหยานะ แต่ความรักที่ทอม มีให้เหยา ก็เพียงทอมอยากจะไถ่ความชั่วที่ทอมสร้างไว้กับเหยา เท่านั้นเอง ทอมคงรู้สึกผิด

อย่างตอนที่เอกเห็นดวงตาทอม แดงกล่ำตอนที่เห็นเหยาถูกทำร้าย เป็นสายตาที่มีแต่ความปวดร้าว เพราะงั้นถ้าทอมไม่รักเหยา ความรู้สึกปวดร้าวที่เห็นเหยาถูกทำร้าย คงไม่เกิดขึ้นกับทอมหลอกครับ

และทอมเองก็ไม่ได้เดินเกมส์เดินเพื่อทำลายความสัมพันธ์ ของ เหยา กับเอกหลอกมั้งครับ แต่เป็นที่เหยาเองเลือกที่จะอยู่กับทอม  เพื่อที่จะทำร้ายทอม  ทำร้ายทอม พร้อมกับทำร้ายตัวเองด้วย "

วรรณกรรมเรื่องนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ ครับ ที่สามารถสร้างตัวละคร ให้มีชีวิต ให้มีความรู้สึกได้  ทำให้คนอ่านมีอารมณ์ร่วมได้ ชนิดที่บีบหัวใจเหลือเกิน

ปล.เจ้สอง ครับ อันนี้เป็นแค่การวิเคราะห์ส่วนตัวหนา ผมอาจจะวิเคราะห์ผิดไปก็ได้ ไว้ลงตอนจบเมื่อไหร่ เดี๋ยวเรามาเม้าท์ กันอีกทีดีกว่า  อิอิ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: hustsu ที่ 04-04-2008 15:14:15
เคยอ่านที่อื่น แต่เห็นว่ายังลงไม่จบ

จะคอยตามอ่านนะคับ

อ่านรีบบีบหัวใจเป็นบ้าเลย  :sad2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 04-04-2008 16:18:40
อ่านกี่รอบก็ยังเครียด  ขอบคุณที่นำผลงานดีๆของคุณภัคDมาลงนะคะ

เวลาอ่านต้องหายาดมยาลมยาหม่องมาใกล้ตัว

มันเครียดดดดดด


เเต่ของเขาดีจริงค่ะ นับถือคุณภัคDจริงๆ o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 04-04-2008 17:27:37
 :L2:  มาให้กำลังใจคนโพสต์ค่ะ
อ่านเรื่องนี้กี่รอบก็ทำเราอินได้ทุกรอบ
ตอนอ่านครั้งแรก คุณภัคDลงถึงตอนนี้ แล้วหายไปหลายเดือนเลย
เรากะเพื่อนเครียดไปเลย ลุ้นสุดตัวว่าจะจบยังไง    :เฮ้อ:
ดีนะเนี่ย ที่คุณทิพย์เอามาลงตอนที่คุณภัคD แต่งจบแล้ว
ไม่งั้นถ้าต้องรอเป็นเดือน มีหวังคนแถวนี้ลงแดงหลายคนเลย     :laugh:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 04-04-2008 19:55:54
ถึงจารย์สีฟ้า

เหยาเลือกที่จะอยู่กะทอมจริงหรอ  หรือว่าเหยาไม่มีที่ไป

สองกลับคิดว่าที่เหยายินดีที่จะได้เรียนจบ  เพราะจะได้ไปพ้นจากทอมและสามารถคบกับเอกได้อย่างใจนึก

แต่ที่สองคิดว่าแน่ๆ ก็คือ  เหยารู้ว่าทอมรักตน  แล้วก็รู้ว่าไม่ว่ายังไงทอมก้ไม่มีทางโกรธตน(ซึ่งสำแดงฤทธิ์เดชได้น่ากลัวเหมือนกันนะ เช่น จะกระทืบปลาทองตัวเล็กๆ)

โอ้ย เครียดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

คนเขียนอยู่ไหน  มาเแลยด่วน  ทำไมมันวิเคราะห์ได้หลายแง่หลายง่ามจัง


เออ  แล้วตอนที่ เหยาโกรธเอก จนปาถุงปลาใส่ฝาผนัง (ช่วงที่จะมาเปรยกับวิทย์ เพื่อจะชวนเอกไปงานดอกไม้(ที่เอกทำพลาดทำให้เหยาไม่แน่ใจในคำพูดของเอกในเวลาต่อๆ มา)และดูหนัง)

จารย์สีฟ้า  พอจะทราบไหมว่า เหยาโกรธเอกเรื่องอะไร  สองอ่านแล้ววิเคราะห์ไม่เจอ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 04-04-2008 20:32:24
ถึงเจ้สองคนสวย ครับ

จากการใช้หลัก เคมีวิเคราะห์ ผมว่า

" ไม่ใช่เหยาไม่มีที่ไปหลอกครับ แต่เหยาเลือกที่จะอยู่กลับทอม เพราะ เหยาเลือกที่จะแก้แค้นทอม  ให้ทอมจมอยู่กับตราบาปที่ ทอมสร้างไว้ให้กับเหยา 

การที่ทอมเห็นเหยาเจ็บ ผมว่าคนที่เจ็บปวดที่สุดคือ ทอม เองนั้นแหละ เหยาจึงเลือกที่จะอยู่กับทอม เลือกที่จะทำร้ายตัวเอง เพื่อจะได้ให้ทอมเจ็บปวดยิ่งกว่า "

" ถ้าผมเป็นเหยา ผมก็เลือกที่จะอยู่กับทอม  ผมจะทำให้ทอมเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่ในขณะเดียวกัน ในความเจ็บปวดที่สร้างให้ทอม ผมก็มีความรักมอบให้ทอมด้วยเช่นเดียวกัน "

แต่ไอ้ตอนปาถุงปลาทองผมก็ยังวิเคราะห์ไม่ได้เหมือนกัน 

แต่เอกพลาดที่สุด ก็ เรื่องงานดอกไม้แหละ เอกเป็นคนชวนเหยาตั้งแต่วันลอยกระทง  แต่เอกไม่สามารถทำตามคำพูดได้ พลาดอย่างแรง


คุณภัคD อยู่ไหนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :laugh: :laugh: :laugh: เข้าเล้าเป็ดด่วนๆๆๆๆ

ปล.คิดถึงพี่ทิพย์มากมายอ่ะ  :m1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 04-04-2008 21:28:14
มาซาบซึ้ง สับสน วกวน มืดมัว กับเรื่องนี้อีก o7

ชอบบบบบบบบบบบบสุดยอดดดดดดดดดดดดดดด o13

นิยายในดวงใจขอบอกกกกกกกกกกกกกก :a1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 05-04-2008 00:01:38
เครียดจัง ไม่รู้จะสงสารใคร และเกลียดใคร

รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-04-2008 13:22:03
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 13

แม้จะคิดว่าพี่เหยาคงไม่ให้อภัยผมอีกแล้ว แต่ผมก็ยังเขียนทุกอย่าง เฝ้าเขียนแต่คำว่าขอโทษ ขอโทษและขอโทษ อธิบายทุกสิ่ง ทุกอย่าง และทุกความรู้สึก ส่งไปยังอีเมล์ที่ตัวเองเพิ่งเปิด

มันเป็นaddressง่ายๆ รวมทั้งพาสเวิร์ดง่ายๆที่พี่เหยาไม่จำเป็น ต้องเก็บกระดาษที่ผมจดให้ไป ก็น่าจะจำได้ เพียงมองผ่านตาแค่หนเดียว...ผมเฝ้าบอกตัวเองอย่างนั้น... เฝ้าเขียนคำขอโทษไปเป็นหมื่นๆหน ด้วยหวังว่าพี่เหยาจะเปิดอ่าน แต่เมื่อผมเปิดเข้าไปดู...จดหมายที่ผมเฝ้าเขียน และเพียรส่ง มันไม่เคยถูกเปิดอ่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว...

ผมบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ไอ้วิทย์ หรืออย่างน้อยก็พี่เก้า หรือ พี่นัท ต้องมีเบอร์โทรศัพท์ หรืออะไรสักอย่างที่จะติดต่อพี่เหยาได้ แต่ผมคิดผิด...ไม่มีใครสักคนที่มี...ไม่ใช่แค่ผม ที่พี่เหยาหันหลังทิ้งไว้ให้เป็นอดีต พี่เหยาปล่อยวางทุกอย่าง ราวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ ราวกับความทรงจำทุกอย่างในช่วงเวลาที่อยู่ที่เชียงใหม่นี่ เป็นความเจ็บปวด ที่ควรปล่อยวางลงทันทีที่มีโอกาส

“ช่างหัวมัน!”พี่เก้ามักพูดอย่างเดือดดาล เมื่อผมถามถึงพี่เหยา

“มันยุ่งๆมั๊ง”พี่นัทแก้ตัวแทนพี่เหยา

“บ้านมันอยู่กรุงเทพนะ ไม่ต้องเดินข้ามดอยทีละสองลูกเพื่อยกหูโทรศัพท์ โทรหามึง!”พี่เก้าว่า

“ก็มันรู้มั๊งว่า กูต้องวิ่งข้ามดอยทีละสองลูกมารับโทรศัพท์มัน มันเลยเกรงใจไม่กล้าโทร”พี่นัทพูดไปหัวเราะไป ไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังสักเท่าไหร่

“เออ ก็ช่างหัวมัน!”แต่พี่เก้าไม่ขำด้วย

เมื่อทุกครั้งที่ถามถึงข่าวคราวพี่เหยาจากพี่นัทและพี่เก้า มักจบลงด้วยคำว่า...ช่างหัวมัน...ของพี่เก้า ผมจึงเลิกถาม

ผมบอกตัวเองว่าท้ายที่สุดแล้ว ผมอาจขอร้องพ่อและแม่ ให้ขอที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ของพี่เหยา จากทอมก็ได้ หากเป็นพ่อและแม่เอ่ยปากขอ ทอมหรือจะกล้าปฎิเสธ แต่แล้วทอมก็ปิดประตูความหวังของผม ด้วยการขายบ้าน และย้ายออกไปแบบที่เรียกว่าแทบจะ กะทันหัน... ผมรับรู้ข่าวนี้พร้อมๆกับพบหน้าเจ้าของบ้านคนใหม่ เมื่อกลับมาบ้านในวันหนึ่ง กับคำบอกกล่าวสั้นๆของพ่อ

“เห็นว่าไปซื้อคอนโด...อยู่คนเดียวขี้เกียจดูแล”

พ่อบอก และคล้ายจะจริงอย่างพ่อว่า เพราะตั้งแต่พี่เหยากลับไป ต้นไม้บนระเบียงที่พี่เหยามักเอาหน้าบอกบุญไม่รับของตัวเองออกมารดน้ำทุกๆวัน ก็ค่อยๆแห้งตายไปทีละต้น เหมือนความหวังของผมไม่ผิดเพี้ยน

ทางเลือกสุดท้ายของผมคือ หันไปฝากความหวังทั้งหมดไว้กับน้องชายพี่เหยา ที่พี่เหยาเคยบอกไว้...จะมาเรียนเชียงใหม่ปีหน้า...

ทันทีที่ผลสอบประกาศ ผมไล่รายชื่อ ดูนามสกุล...และเจอ...น้องชายพี่เหยา สอบเข้าเรียนที่เชียงใหม่ในคณะที่คะแนนสอบสูงลิบลิ่วได้จริงๆ...

ผมนึกสงสัย น้องชายพี่เหยาจะอยู่คนเดียว หรืออยู่กับทอม แล้วเหตุการณ์เลวร้ายจะเกิดขึ้นซ้ำอีกหรือเปล่า...

พี่เหยาคงไม่ยอม ผมบอกตัวเองอย่างนั้น...และหากคิดอย่างยุติธรรม บางทีอาจเป็นทอมเองที่ ไม่อยากให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นซ้ำสอง...ทอมจึงขายบ้าน...มันอาจเป็นข้ออ้างของการเลือกอยู่ตามลำพัง เพราะทอมอาจไม่เชื่อใจตัวเอง ทอมอาจเข็ดขยาดอย่างที่ผมเข็ด ด้วยผ่านบทเรียนแห่งการเริ่มต้น ที่มิอาจยุติมันลงได้

เปิดเทอมใหม่ พร้อมๆกับที่พี่เก้ากับพี่นัทเก็บกระเป๋าเดินทางไปเรียนต่ออย่างที่ตั้งใจ คนที่เศร้าที่สุดเห็นจะเป็นพี่เก่ง

“พวกมึงไปกันทั้งคู่ กูเลยไม่เหลือเพื่อนเลย!”พี่เก่งบ่น ในวันที่นัดกันกินข้าวก่อนวันเดินทางของพี่นัทและพี่เก้า

“ก็ไอ้เหยาไง!”พี่นัทแนะ

“ใครวะ?... ชื่อคุ้นๆ”พี่เก่งว่า เพราะไม่เพียงแค่พี่เก้า กับพี่นัท แต่รวมถึงพี่เก่งด้วย ที่พี่เหยาขาดการติดต่อไป

“เฮ้ย...เดี๋ยวมันก็ติดต่อมาเองแหละ”พี่นัทยังคงแก้ตัวแทนพี่เหยาเสมอ

“เออ...ช่างหัวมัน!”และพี่เก้าก็ยังคงตัดบทด้วยประโยคเดิมๆเช่นกัน

ส่วนผม หลังจากเปิดเทอม ผมก็เฝ้าเพียรขี่มอเตอร์ไซด์วนเวียน มองหาน้องชายพี่เหยาที่สาขาวิชาที่น้องชายของพี่เหยาเรียน...

ผมเฝ้ามองหาคนที่ไม่เคยเห็นหน้า...และทุกครั้งที่รู้ตัว ผมกลับเฝ้ามองหาพี่เหยา...

ผมเฝ้าแต่มองหา แต่ก็ไม่มีความกล้าพอจะเดินเข้าไปถามหา...

ผมกลัว เพราะอะไรบางอย่างทำให้ผมมั่นใจว่า น้องชายพี่เหยาคงไม่รู้จักผม...

ผมกลัวหากต้องรับรู้เช่นนั้น เพราะมันคล้ายจะยิ่งย้ำชัดว่า ผมเป็นอดีตที่พี่เหยาพร้อมปล่อยวาง...เป็นสิ่งที่พี่เหยาเตรียมวางลงตั้งแต่ครั้งที่ผมยังเป็นปัจจุบัน

ดังนั้นผมจึงไม่เคยมีความกล้าพอที่จะเข้าไปถามหาน้องชายพี่เหยาแม้สักครั้ง

“น้ำมันถูกหรือไงวะ ไอ้ชัยมันว่า เดี๋ยวนี้มึงก็ยังขี่รถจงกรมรอบมหาลัย”ไอ้วิทย์ถาม เพราะการขี่มอเตอร์ไซด์วนไปวนมาดูจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมที่ทำอย่างสม่ำและเสมอมานานเป็นปีแล้ว

“ถามจริง...มึงเล็งใครอยู่หรือเปล่าวะ?”มันถามอย่างสงสัยจริงๆ แต่ผมก็ไม่เคยบอกเหตุผลมัน เพราะรู้ว่า เรื่องพี่เหยาเป็นปัญหาที่มันเคยบอกให้ผมวางลง

“เออ!... แค่นี้บอกไม่ได้ จำไว้นะมึง น้ำตาเช็ดหัวเข่า แล้วอย่ามาขอให้กูซับน้ำตา...แล้วนี่อะไรวะ?...ลายมือมึงนี่หว่า” มันพูดก่อนโยนกระดาษแผ่นเล็กที่หล่นออกมาจากหนังสือเรียนมันให้ผม

“ของกูแล้วจะไปอยู่ในหนังสือมึงได้ไง?”ผมพูด แต่ไม่ทันได้หยิบดู ไอ้ชัยก็คว้าขึ้นไปดูเสียก่อน

“เออ ลายมือไก่เขี่ยยังงี้ของมึงนั่นแหละ!”ไอ้ชัยยืนยันก่อนส่งต่อให้ผม

ผมรับกระดาษแผ่นนั้นมาดู พร้อมๆกับชำเลืองมองดูหนังสือเรียนของไอ้วิทย์

ผมจำกระดาษแผ่นนั้นได้ในทันที พร้อมๆกับที่บอกตัวเองได้ว่าหนังสือเรียนของไอ้วิทย์นั้นมักรับต่อช่วงจากของพี่เหยา

กระดาษแผ่นบางๆ ที่เขียนตารางเวลาอย่างง่ายๆ แต่ตัวอักษรตัวแรกที่สะดุดตากลับไม่ใช่ชื่อพี่เหยา อย่างเช่นตารางเวลาทุกๆแผ่นของผม ที่บรรจงเขียนชื่อพี่เหยาลงไป

...ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้...ลายมือที่ไม่ใช่ลายมือผม แต่คุ้นเคยจนไม่ต้องเสียเวลาแม้แต่วินาทีคิดว่า ลายมือใคร

...ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้...ลายมือพี่เหยาที่ค่อยๆบรรจงเขียนและกดเน้นหนักกว่าปกติ

อีกครั้งที่ผมมองดูปกหนังสือของไอ้วิทย์...มันไม่ใช่วิชาที่พี่เหยาเรียนในเทอมที่แล้ว เทอมที่ผมเริ่มทำตารางเวลาที่ชื่อว่าพี่เหยา

อีกครั้งที่ผมก้มอ่านตัวหนังสือเพียงไม่กี่ตัวนั้น สลับกับดูปกหนังสือเรียนของไอ้วิทย์... ไม่ใช่เพื่อความแน่ใจ หากแต่เพราะทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้

... เอกมาแค่สองวันเท่านั้น... จะมาพูดรวมอะไรทั้งอาทิตย์!...พี่เหยาพูดกับผมอย่างนั้น ในวันหนึ่ง เมื่อเรายังเป็นปัจจุบันของกันและกัน

... พี่โกรธอะไร?...ผมจำได้ ผมถามพี่เหยาอย่างนั้น ในวันหนึ่ง ที่เรานั่งคุยกันที่โต๊ะ...ไอ้ชัยต่อปากต่อคำอยู่กับพี่เก้า...และพี่เหยาหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆแผ่นหนึ่งขึ้นมาอ่าน...

...โกรธพี่เก้าแล้วมาพาลผม!...วันนั้นผมพูดกับพี่เหยาอย่างนั้น และพี่เหยาเพียงถอนหายใจ

...ใครจะไปรู้...เพื่อนพี่ พี่ไม่รู้ แล้วผมจะรู้เหรอ!...และผมตอบพี่เก้าไปแบบนั้น เมื่อพี่เก้าถามว่าพี่เหยาเป็นอะไร...

แต่วันนี้ผมรู้แล้ว...กระดาษแผ่นเล็กๆที่พี่เหยาอ่านคือกระดาษอะไร และผมรู้แล้ว พี่เหยาโกรธอะไร...

ผมจำได้เย็นวันนั้น...เย็นวันที่พี่เหยาเพียงยืนก้มหน้านิ่ง มองดูปลาทองตัวเล็กๆ ที่ดีดตัว ดิ้นรนหนีความตายบนพื้นปูนเย็นเยียบ...

กระดาษแผ่นเล็กๆเพียงแผ่นเดียว ที่ผมทำขึ้นเผื่อหนีจากความเจ็บปวดของตัวเอง...มันทำร้ายพี่เหยาได้มากมาย ยิ่งกว่าที่ผมจะเคยคิด

...ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้...พี่เหยาคงตั้งใจบอกผม จึงเลือกสอดมันไว้ในหนังสือที่รู้ว่าไอ้วิทย์จะใช้ในภาคเรียนต่อมานี้

...ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้...ประโยคสั้นๆ แต่ผมทำความเข้าใจอยู่กับมันอย่างยาวนาน

“พี่เขาเอาหนังสือเล่มนี้ให้มึงเมื่อไหร่?”ผมถามไอ้วิทย์ ตายังจ้องกระดาษแผ่นเล็กในมือ

“ปีที่แล้ว...”มันตอบ ผมรู้มันคงไม่ตั้งใจกวน

“ช่วงไหน?”ผมถาม

“ทำไมวะ?”

“ก็แค่อยากรู้...ก่อนวันพี่เหยากลับ หรือก่อนหน้านั้น?”

“ก่อนหน้านั้นสิ...”มันตอบคำตอบที่ผมคิดรู้อยู่แล้ว เพราะผมรู้วันก่อนพี่เหยากลับ...พี่เหยาไม่ได้เจอไอ้วิทย์...วันก่อนพี่เหยากลับ มีแค่พี่เหยา...ผม...ทอม...ฝรั่งคนหนึ่ง กับใครอีกคนที่ผมคิดว่าเพราะมัน...ความจริงจึงถูกบิดเบือน เพราะมัน...พี่เหยาถึงทิ้งผมไป...แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าไม่ใช่เพียงแค่นั้น

กระดาษแผ่นนี้มันบอกว่าไม่ใช่...พี่เหยาตั้งใจทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง รวมทั้งผม...ตั้งแต่ก่อนวันนั้น... ตั้งแต่ที่พี่เหยาสอดกระดาษแผ่นนี้ไว้ในหนังสือ และส่งมันให้ไอ้วิทย์ เพื่อส่งต่อถึงมือผมในวันนี้...

แม้วันสุดท้ายนั้น ทอมจะไม่ยื่นมือเข้ามาทำลายความสัมพันธ์ของผมกับพี่เหยา พี่เหยาก็ตั้งใจทิ้งผมไว้เป็นอดีตตั้งแต่แรก...กระดาษแผ่นนี้มันบอกผมเช่นนั้น

...ถ้าอย่างนั้นก่อนกลับ ทำไมพี่เหยายังยิ้ม ยังพยายามเข้ามาคุยกับผม?...อีกครั้งที่อีกใจผมคิดค้าน ผมจำได้ พี่เหยายิ้มอย่างยินดี พยายามหาโอกาสเข้ามาคุยกับผม และตัวผมเองที่ปัดโอกาสเหล่านั้นทิ้งไป เพราะไม่อาจทนเห็นสีหน้ายินดีนั้นได้ ไม่อาจยอมรับได้ว่าตัวเองกำลังจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

...หรือระหว่างนั้น ที่พี่เหยาเพิ่งตัดสินใจ...ผมคิดอย่างสับสน

...ไม่ใช่!...ผมบอกตัวเองอีกครั้ง พี่เหยายังยิ้ม แม้ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ทอมจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาผม เพื่อทำลายทุกอย่าง...พี่เหยายังยิ้ม ผมยังจำรอยแย้มยิ้มยินดีในตอนเช้า ที่พี่เหยาเข้ามาหาผมที่ร้านได้

‘พรุ่งนี้พี่จะกลับแล้ว เอกคุยกับพี่แป๊บนึงสิ...’พี่เหยาพูดกับผม ปากแดงๆของพี่เหยายังยิ้ม

‘ผมไม่ว่าง กำลังรีบ!’ผมบอกพี่เหยาไปอย่างนั้น ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรจะต้องทำ และไม่ยอมแม้เงยหน้ามองดูพี่เหยา

‘งั๊นเย็นๆพี่มาหาใหม่นะ เอกว่างหรือเปล่า?’พี่เหยาถาม

‘ไม่รู้สิ...’และผมตอบ โดยไม่รู้เลยว่านั้นคือครั้งสุดท้ายที่มีโอกาสพูดกับพี่เหยา...ผมตอบโดยไม่รู้เลยว่าอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง คนที่เดินเข้ามาคือทอม...ผมตอบเพราะตอนนั้นคิดว่ารอยยิ้มยินดีของพี่เหยามันทำให้ผมเจ็บปวด ผมตอบโดยไม่รู้ว่า...น้ำตาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า...คำว่าเจ็บปวด มันน้อยนิดเสียเหลือเกิน

ทุกอย่างดูไร้คำตอบ และสับสน...หากแต่สิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจและนึกบอกตัวเองได้คือ...โอกาสที่พี่เหยาหยิบยื่น...ผมเองที่ปัดมันทิ้งไป...อาจจะครั้งแล้วและครั้งเล่า โดยที่ผมไม่รู้ตัว

“ทำไมมึงไม่ปล่อยให้จบๆไป!”อยู่ๆไอ้วิทย์ก็พูดขึ้นมา

“อะไร?”ผมถาม ตายังจับจ้องอยู่ที่กระดาษแผ่นเดิม ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามันพูดเรื่องอะไร หากแต่ไม่อยากจะยอมรับ

“ไม่รู้...กูละเมอมั๊ง!”มันตอบก่อนคว้าหนังสือบนโต๊ะ แล้วลุกไป

“ไปไหนวะ?”ไอ้ชัยถามเพราะยังไม่ถึงเวลาเรียนของไอ้วิทย์

“ไปหานกเอี้ยง!”ไอ้วิทย์ตอบ

“นกเอี้ยง?”

“เออ หามาเลี้ยงควาย!”ไอ้วิทย์พูด แล้วก็เดินไป ปล่อยให้ไอ้ชัยนั่งหน้าเมื่อยอยู่กับผมที่โต๊ะ

“ปากหมาอีกแล้วมัน!... แต่มันไม่ได้คิดอะไรหรอก... มึงก็รู้...”ไอ้ชัยหันมาพูดกับผม

“กูรู้!...แต่...แต่กูไม่รู้จะทำยังไง...”ผมพูดกับมัน...บอกความจริงกับมันคือผมไม่รู้...ไม่รู้ที่ผ่านมาตัวเองทำอะไร...และกำลังจะทำอะไร เพื่ออะไร และยังหวังอะไรอยู่หรือเปล่า...

บ่อยครั้งที่ผมเคยถามตัวเองว่าทำไปเพื่ออะไร ...

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าความรู้สึกที่มีต่อพี่เหยาเรียกว่าอะไร...ความรัก ความหลง หรือแค่ความใคร่...หรือเป็นเพียงความรู้สึกผิด

ผมไม่รู้ว่าตัวเองคาดหวังอะไร...แค่ได้เอ่ยปากขอโทษ...ได้รับการยกโทษ หรือหวังอะไรที่มากกว่านั้น...



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-04-2008 13:23:21
บ่อยครั้งที่เผลอตัวพลิกเปิดหนังสือว่าด้วยหลากหลายทฤษฎีความรักอ่าน และพบว่าทุกคำจำกัดความของความรักล้วนงดงาม...และยิ่งใหญ่

...ความรัก คือ การเสียสละ...

...ความรัก คือ การให้...

...ความรัก คือ ความสุขเมื่อเห็นคนที่รักเป็นสุข ...

ผมอ่าน และ พบว่าตัวเองเป็น และทำเฉกเช่นหลักการความรักที่ว่าไว้ คือเป็น และทำ สิ่งตรงกันข้ามถ้วนทุกข้อ...แล้วความรู้สึกของผมจะใช่ความรักได้อย่างไร

...ผมเห็นแก่ตัว...

...ผมเรียกร้อง เพียงสิ่งที่ตัวเองหวังและต้องการ...

...รอยยิ้มยินดีของพี่เหยา กลับทำให้ผมเป็นทุกข์ และเมินเฉยรอยยิ้มยินดีนั้น...

อาจเป็นอย่างที่ไอ้วิทย์ว่า มันเป็นการเรียกร้อง อยากครอบครองสิ่งที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้มาเท่านั้น...

ผมบอกตัวเองว่า วันหนึ่ง ความรู้สึกเหล่านี้ก็จะค่อยเบาบางลง และ หายไป...

วันหนึ่งพี่เหยาอาจจะกลายเป็นแค่คนๆหนึ่ง ที่จดจำได้ แต่ไม่มีความหมายใดๆในความรู้สึก...มองเห็นก็ยินดี หากต้องปล่อยมือจาก ก็ไม่อาลัย

ผมเฝ้ารอวันนั้น...และพบว่า ความรู้สึกคิดถึง ไม่เคยลดน้อยไปแม้สักนิด...

วินาทีนี้...และวินาทีถัดไป ความคิดถึงมันเท่าเดิม...

นาทีนี้...และนาทีที่ผ่านมา ความรู้สึกมันไม่แปรเปลี่ยน...

ชั่วโมงนี้...และชั่วโมงต่อมา ผมยังทนทรมานอยู่กับความคิดถึง

วันนี้ และทุกๆวัน...ไม่มีสักวันที่ผมเลิกคิดถึง...

จนวันนี้ที่พี่เหยาจากผมไปเกือบปี ความรู้สึกมันไม่ได้แตกต่างไปจากวินาทีแรกที่รู้ว่าพี่เหยาจากไป...ไม่แตกต่างกันแม้สักนิด...คิดถึงและสิ้นหวัง...

มันไม่สำคัญอีกแล้ว ว่าคือความรัก หรือแค่ความใคร่...อยากครอบครอง หรือเพียงแค่จะเอาชนะ

เพราะ ขณะนี้ และทุกขณะที่หายใจ...ผมรู้แล้ว ว่าไม่มีวันที่จะลืมได้...

เพราะ ขณะนี้ และทุกขณะที่หายใจ...ผมยังคงทรมานอยู่กับความคิดถึง

เมื่อคำตอบจากจดหมายที่เฝ้าเพียรเขียนและส่งไปคือความเงียบว่างเปล่ากับกระดาษหนึ่งใบ ผมจึงต้องยอมรับกับไอ้ชัยว่า...แต่กูไม่รู้จะทำยังไง...

ผมยังเฝ้าเพียรส่งจดหมายไป แม้จะรู้ว่ามันไม่เคยถูกเปิดอ่าน หากแต่ก็หลอกตัวเองให้ตั้งความหวังว่าสักวันพี่เหยาจะยอมอ่านมัน...

ผมยังคงวนเวียนขี่มอเตอร์ไซด์ วนไปเวียนมารอบๆคณะที่น้องชายพี่เหยาเรียน แม้ไม่เคยมีโอกาสรู้จักหน้าคาดตาคนที่มองหา หรือแม้รู้ว่าตัวเองไม่มีวันมีความกล้าที่จะยื่นหน้าเข้าไปเพื่อรอรับฟังคำปฏิเสธ หากแต่ก็ยังเฝ้าหลอกตัวเองให้ตั้งความหวังว่า สักวัน คงได้เจอพี่เหยา...ยืนมองผมและยิ้มให้...

ผมยังเฝ้าเพียรเขียนจดหมาย...เขียนคำว่า ขอโทษ และขอโทษ...

ผมยังเฝ้าเพียรเขียนจดหมาย...หากแต่ไม่มีสักครั้งที่ผมจะกล้าเขียนคำว่ารัก...ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยนึกถึงมัน หากแต่ทุกครั้งที่อยากเขียน ใจผมนึกกังขา...ความรู้สึกผมมันดีพอ สำหรับคำๆนั้นหรือเปล่า...

ผมจึงเฝ้าเขียนทุกอย่าง...ยกเว้นก็เพียงคำว่า...รัก

เมื่อจบภาคเรียนปีที่สาม ในขณะที่เพื่อนบางคนหวาดหวั่นกลัวได้ไปฝึกงานไกลบ้าน ผมกลับตั้งความหวัง ว่าจะได้ไปฝึกงานที่กรุงเทพ

เมื่อผลออกมา และผมผิดหวัง...เพื่อนๆว่าผมโชคดี แต่ผมกลับคิดว่าตัวเองโชคร้าย สถานที่ฝึกงานผมอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกมด ผมจึงไม่รอช้า ขออาจารย์แลกเปลี่ยนสถานที่ฝึกงานกับเพื่อนที่ได้ไปฝึกงานที่กรุงเทพ

แม้จะรู้ว่า ถึงอาจารย์อนุญาต ความหวังที่จะได้เจอพี่เหยา ก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่ผมก็ไม่ลังเลที่จะร้องขอ

“เมื่อก่อนคนข้างบ้านผมเขาเป็นฝรั่ง เขามีบริษัทส่งออกอยู่ที่กรุงเทพ...เขาเคยชวนผม ว่าถ้ามีโอกาสก็ไปดู...ไปเรียนรู้งานที่บริษัทเขา...ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสเดียวที่ผมจะได้ไป ถึงจะมีเวลาว่างจากฝึกงานแค่เสาร์ อาทิตย์ ก็ยังดี”ผมให้เหตุผลอาจารย์โดยแอบอ้างถึงทอม และรีบให้เหตุผลเพิ่มเติม เมื่ออาจารย์ขยับปากจะคัดค้าน

“อาจารย์ว่ามันไม่น่าสนใจเหรอครับ? เขาเป็นฝรั่งแท้ๆ แต่ทำธุรกิจ ทำกำไรได้จากสิ่งที่อยู่แค่บนปลายจมูกเรา ผมอยากรู้เขาทำยังไง ถ้าอาจารย์ไม่ให้ผมไป ผมอาจต้องรอจนเรียนจบ หรือไม่มีโอกาสอีก...ให้ฝรั่ง ให้คนต่างถิ่นมาฉกฉวยโอกาส จากสิ่งที่เป็นของเรา”ผมยืมสิ่งที่ไม่เคยคิด แต่ได้ยินไอ้วิทย์พูดจนชินหู จนจำได้ มาพูดได้คล่องปาก จนอาจารย์คล้อยตามและอนุญาตในที่สุด

“มึงทำแบบนี้ทำไมวะ ทำไมไม่ปล่อยให้จบๆไป...”ไอ้วิทย์ถามอีกครั้ง เมื่อรู้ถึงสิ่งที่ผมเลือกทำ

“มึงไปแล้วได้อะไร...มึงคิดว่ามันจะเหมือนนิยายสิ้นคิด ที่มึงจะเดินชนพี่เขาตรงสี่แยกไฟแดงหรือไง?”มันถามอีก แต่ผมก็ไม่มีคำตอบให้มันนอกจากความเงียบ

ผมไม่คิดว่าจะเดินชนพี่เหยาที่สี่แยกไฟแดง หรือที่ไหนๆ ผมไม่คิดว่าจะมีโอกาสเจอพี่เขาเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อสิ่งที่ใจผมเชื่อว่าเป็นโอกาสมาถึงมือ แม้จะน้อยนิดจนคิดว่าเปล่าประโยชน์ที่จะคิดหวัง ผมก็เอื้อมคว้ามันไว้โดยไม่เสียเวลาคิดแม้สักนิด

“ก่อนที่มึงจะทำอะไรสักอย่าง...ทำไมไม่หัดถามตัวเองว่า ทำไปทำไม แล้วก็เพื่ออะไร?”ไอ้วิทย์พูด และผมคิด หากสุดท้ายก็ยังไม่อาจบอกตัวเองได้ ว่าผมหวังอะไร...

“กูถามจริงๆ...มึงไปเพื่ออะไร?”ไอ้วิทย์มันถามอีกครั้ง เป็นการบ่งบอกว่ามันต้องการคุย และต้องการคำตอบจากผมจริงๆ

ไม่บ่อยนัก หรืออาจจะเรียกว่าไม่เคยเลยสักครั้ง ที่ผมจะมานั่งพล่ามพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดและรู้สึกกับใครสักคนหนึ่ง แม้กับพวกไอ้วิทย์ก็ตาม

นั่นเป็นครั้งแรก ที่ผมเปิดปากพูด และอาจเพราะความสิ้นหวังที่บีบบีบบังคับให้ผมพูดออกมา คล้ายเพื่อหาอะไรสักอย่างมาค้ำจุนความหวังในใจของตัวเอง...ผมจึงพูด...จึงอาจเป็นครั้งแรก ที่ผมมีโอกาสจับต้นและชนปลายในสิ่งที่เกิดขึ้น มีโอกาสทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและอาจจะแค่เกิดขึ้นในห้วงความคิดที่ถูกทำให้บิดเบี้ยวเพราะความกลัว...

“กูอยากเจอ”

“ไม่เจอแล้วจะตายม่ะ?”

อีกครั้งที่ผมเงียบ...ใช่แล้ว ผมคงไม่ล้มลงไปตาย ถ้าไม่ได้เจอ...

“ไม่!...แต่...กูไม่ชอบความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้ มึงอย่าบอกว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป อย่าบอกว่ามันเป็นปัญหาที่ต้องวาง อย่าบอกว่ามันเป็นปัญหาที่อย่ากำไว้ให้หนักหัว......กูไม่รู้จะพูดยังไง...แต่มัน...แต่ถ้าให้กูเลือก...”

“อย่าพูดเน่าๆนะว่ามึงเลือกตาย กูไม่เชื่อ!”ไอ้วิทย์ขัด

“เปล่า...กูบอกว่ากูไม่ชอบความรู้สึกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้...แต่กูอยากรู้สึกแย่อยู่อย่างนี้ มากกว่าที่กลายเป็นว่ากูไม่รู้สึกอะไร...”

“พูดห่าอะไรวะ ไม่รู้เรื่อง!”

ใช่...ผมไม่เคยคิด แต่เมื่อพยายามอธิบายให้มันฟัง ผมจึงเริ่มคิด...

การคิดถึงมันทำให้ผมเจ็บปวด...

หากแต่ผมกลัว...ว่าวันหนึ่งผมจะเลิกคิดถึง...

ทั้งที่การเลิกคิดถึงอาจทำให้ผมมีความสุข...

หากแต่ถ้าเลือกได้ณ.เวลานี้ แม้เจ็บปวด แต่ผมไม่อยากลืมพี่เหยา...แม้ต้องเจ็บปวด หากแต่ผมจะยอมรับความเจ็บปวดนั้นไว้... แม้จะเจ็บปวดไปตลอดชีวิต ผมก็ยอม เพียงขอให้พี่เหยาเป็นส่วนหนึ่งในหัวใจผมตลอดไป...อย่าให้หัวใจผมชินชา กับการอยู่โดยไม่มี่พี่เหยา อย่าให้ใจผมปราศจากความเจ็บปวด ในเวลาที่คิดถึงพี่เหยา...

“กูบอกมึงว่า...กูรักเขา”ผมบอกมันในที่สุด...

เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าพูดคำๆนี้ออกมา...

แม้คำว่ารักของคนอื่นจะสูงส่ง...เต็มไปด้วยความดีงามแค่ไหน...และดูห่างไกลเหลือเกินจากตัวตนของผม

หากแต่เมื่อคำว่ารักคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับหัวใจหรือความรู้สึกของคนๆหนึ่งที่พึงจะมีและเป็นได้...ผมจึงกล้าพูด...ผมรักพี่เหยา...นั่นคือสิ่งสูงสุดเท่าที่หัวใจผมพึงจะมีได้ แม้อาจห่างไกลจากความดีงามของคำว่ารักของคนอื่นๆ...แต่ผมก็อยากให้ความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อพี่เหยาคือ...ความรัก...

“กูรู้กูเห็นแก่ตัว...กู...”

“ใครบอกว่ามึงเห็นแก่ตัว?”ไอ้วิทย์ มันขัด

“กูรู้สิ!...กูเห็นแก่ตัว... กูเลว...กูนึกถึงแต่ตัวเอง...”ผมพูดกับมัน แล้วก็ร้องไห้ออกมา...ผมร้องไห้ นึกถึงสิ่งที่ตัวเองกระทำ นึกถึงพี่เหยา นึกถึงวันที่ไอ้วิทย์ร้องไห้ วันที่รู้ว่าพี่โอ๋ตาย...นึกถึงวันนั้น วันที่ผมไม่เคยพูดกับมันสักคำว่าขอโทษ...

“ถ้ามึงเห็นแก่ตัว กูเลิกคบมึงไปนานแล้ว...ถ้ามึงเลว...ถ้ามึงนึกถึงแต่ตัวเอง พวกกูไม่คบมึงมาจนถึงทุกวันนี้หรอก!”มันพูด

“แต่กูเลวกับพี่เขา!”

“ถ้าจริงอย่างที่มึงพูด...พี่เขาคงไม่ยกโทษให้มึงหรอก...แต่เขาก็ยกโทษให้มึงไม่ใช่หรือไง?”

“แต่เขาไม่ยกโทษให้กูอีกแล้ว...”

“เกิดอะไรขึ้น? วันสุดท้ายที่กูเจอเขา กูไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง เขาก็ยังเฉยๆ”มันถาม และผมทำเพียงแต่ส่ายหัว...ผมพูดไม่ได้...ผมรู้พี่เหยาต้องไม่อยากให้ผมพูด...และถ้าผมพูด ผมคงไม่อาจห้ามตัวเองได้อีก...ผมคงพูดออกไปทุกๆอย่าง...ทุกอย่างที่พี่เหยาไม่อยากให้ใครเห็น ไม่อยากให้ใครรู้...ทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่วันนั้น วันที่โลกของผมกับพี่เหยาโดนทำลายไปพร้อมๆกับแสงโคมบนท้องฟ้า...วันที่พี่เหยาร้องไห้และพร่ำพูด...อย่ามอง...

“เกิดอะไรขึ้น...ทำไมมึงไม่บอกกู?...วันนั้นด้วย วันที่มึงไปหากูที่บ้าน...ลอยกระทงเมื่อปีที่แล้ว!”มันถามย้ำ และมันย้ำถึงวันนั้น...วันที่ผมรู้ ผมจะต้องเก็บมันไว้เป็นความลับจนวันตาย ไม่ใช่เพราะความอับอายในความขี้ขลาดของตัวเอง...หากแต่เพราะผมจำเสียงความสิ้นหวังของพี่เหยาได้...พี่เหยาไม่อยากให้ใครรู้...พี่เหยาไม่อยากให้ใครเห็น....ผมรู้

“ไม่มีอะไร!”ผมบอกมัน ทั้งที่น้ำตาไหลอาบหน้า ความทรงจำทั้งหมด มันย้อนกลับมาเล่นงานความรู้สึกของผมได้อย่างสมบูรณ์เหลือเกิน

“บอกกูสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น...กูไม่ได้ถามเพราะอยากรู้...แต่กูอยากช่วย...มึงปิดปากเงียบ แล้วใครจะช่วยห่าอะไรมึงได้!”มันยังเค้นคอถาม

“กูบอกไม่ได้ พี่เขาต้องไม่อยากให้กูพูด!”

“เขาไม่อยู่แล้วเอก เหลือแต่มึงที่นั่งร้องไห้ เหลือแต่มึงที่จะเป็นจะตายอยู่หน้ากูทุกวันๆนี่!”มันพูด

“กูพูดไม่ได้จริงๆ!”

“แปลว่าแม่งโครตเลว..โครตระยำ!?”มันถามและผมพยักหน้ารับ มันก็ไม่พูดอะไรอีก

“ถ้ามันเลวร้ายขนาดนั้น...พี่เขาไม่กลับมาหรอก มึงอย่าหวังให้เสียเวลาเลย!”มันถอนหายใจ และพูดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะไม่เคยพูดถึงอีก

“กูรู้...”และผมบอกมัน

แม้จะบอกมันว่าผมรู้...แม้จะยอมรับว่าไม่มีหวัง แต่ผมก็พยายามส่งข่าวบอกพี่เหยาว่าผมจะไปฝึกงานที่กรุงเทพ แต่ก็เหมือนเดิม จดหมายที่ส่งไป ไม่เคยถูกเปิดอ่าน

ผมถามพ่อและแม่ว่าเรามีญาติสักคนอยู่ที่กรุงเทพบ้างหรือเปล่า

“แค่เอกถามแม่ว่า เรามีญาติที่ไหนอีกไหม...ไม่ต้องกรุงเทพหรอก...แม่ยังนึกไม่ออกเลย”แม่ตอบด้วยคำตอบที่ผมก็รู้อยู่แก่ใจ

ยิ่งใกล้วันไปฝึกงานผมก็ยิ่งเคว้ง เพราะตั้งแต่เล็กจนโต...ต่างจังหวัดที่ผมกล้าพูดได้ว่าเคยไปก็มีแค่ลำพูนกับเชียงรายเท่านั้น และทั้งสองที่ ผมไม่เคยไปคนเดียว อย่างน้อยก็ต้องมี ไอ้วิทย์ ไอ้ชัยหรือไอ้รงค์พ่วงไปด้วยทุกครั้ง

หากแต่ให้กลัวหรือสิ้นหวังยังไง...ผมก็ก้าวเท้าเข้าสู่ความกลัว ความสิ้นหวังนั้น...แม้ไม่ใช่เพราะความกล้าหาญ หากแต่ก็แค่เพราะ...อยากเจอพี่เหยาเหลือเกิน...

สุดท้ายผมก็ต้องก้าวเท้าสู่ทางที่ตัวเองเลือก เพื่อเดินลงจากรถไฟ มองซ้ายขวาอย่างคนไม่รู้จะไปทางไหน ในใจนึกภาวนา อยากให้พี่เหยามาปรากฏตัวที่ตรงหน้า แต่ก็เปล่าประโยชน์...

ผมเปิดกระดาษแผ่นเล็กๆในมือขึ้นดูอีกครั้ง อ่านที่อยู่ อันเป็นปลายทางที่ผมต้องไป เป็นปลายทางที่เคยได้ยินชื่อ แต่ก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันมากไปกว่าชื่อที่เคยได้ยิน



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-04-2008 13:24:08
ผมนึกถึงพวกไอ้วิทย์ ถ้าพวกมันมากับผมด้วยได้ก็คงจะดี...

“ไม่ต้องห่วง มีเงิน กับมีตีนมึงก็ไปได้ทุกที่แหละ!”ไอ้วิทย์พูดคล้ายจะปลอบใจ เมื่อเย็นวานที่มายืนส่งผมขึ้นรถไฟ

“แปลว่ากอดกระเป๋าตังค์มึงไว้...มีแต่ตีนไม่มีเงิน ก็ไปไหนไม่รอด!”ไอ้ชัยช่วยปลอบ

“เฮ้ย...โลกมันกลม มึงเดินมาตรงๆเดี๋ยวก็ถึงเชียงใหม่!”ไอ้รงค์ว่า

“ปอดมันแหกหมดแล้วพวกมึง!...ไม่ต้องห่วง มีอะไร เงินไม่พอใช้ ก็โทรหาไอ้ชัย”ไอ้วิทย์ช่วยปลอบอีกรอบ

“เออ ในกรณีที่มึงลืมเบอร์ไอ้วิทย์นะ แล้วกูจะโทรบอกมันให้อีกที”และไอ้ชัยรับ เพื่อโยนต่ออีกหน

“เฮ้ยเอก!...ก่อนขึ้นรถไฟ เขาให้เก็บปากใส่กระเป๋าหรือไงวะ ใบ้แดกเลยมึง!”ไอ้รงค์ถามอย่างเหลืออด เมื่อผมเอาแต่เงียบ

“กูไปฝึกงานแค่เดือน...พูดห่าอะไรให้เปลืองน้ำลายวะ!”ผมตอบพวกมัน ก่อนกระโดดขึ้นรถไฟอย่างคล้ายจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทั้งๆที่ในใจนึกหวั่นๆ สุดท้ายก็มายืนคว้างอย่างไม่รู้จักใคร ที่อีกปลายทางของทางรถไฟที่ผมเคยหลอกตัวเองว่ามีความหวัง

ในที่สุดผมก็เดินตามคนอื่นๆออกไปจนเจอจุดที่พอจะหารถแท็กซี่ได้

หลังจากที่เหวี่ยงกระเป๋าเข้าไปไว้บนรถ และพาตัวเองเข้าไปนั่งอย่างคนสิ้นหวัง ผมก็มองเห็นสิ่งที่ยากจะบอกว่า จุดประกายความหวัง หรือทำให้ความหวังของผมดับลงจนสนิท...

แม้ไม่ได้เห็นหน้ามาเป็นปี...แต่พี่เหยายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดจากภาพที่ผมจดจำไว้ในใจไม่เคยลืมแม้สักนาที...พี่เหยายังเหมือนเดิมไม่ผิดไปจากวันสุดท้ายที่เจอกัน...เหมือนเดิมแม้แต่ดวงตาและสีหน้าที่หมางเมินและ เฉยชา

ในขณะที่ผมกำลังขึ้นรถ จากไปจากตรงนั้น พี่เหยาทำเพียงยืนมองผมนิ่งๆ...ไม่ทักท้วง ไม่ร้องเรียก แค่มองผมเท่านั้น....ความยินดีและความหวังมันเกิดขึ้นในชั่ววินาทีที่ได้เห็นหน้า และดับสนิทลงในเสี้ยววินาทีต่อมา...

ผมถามตัวเองว่าควรทำอย่างไร...เมินเฉยต่อความเฉยชานั้น แล้วตรงเข้าไปหา หรือยอมรับความหวังที่ดับสนิทลงและยอม จากไปอย่างเงียบๆ อย่างที่พี่เหยาคงต้องการให้เป็นไป

แต่ไม่ทันที่ผมจะตัดสินใจ...เสียงคุ้นหูก็ร้องเรียกผมจากอีกทาง ผมหันไปมองตามเสียงร้องเรียก หากแต่ก็ช้ากว่าพี่เหยา ผมจึงทันได้เห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นราวกับขัดใจของพี่เหยา...พี่เหยาอยากให้ผมจากไปอย่างเงียบๆ...ผมบอกตัวเองได้จากสีหน้าของพี่เหยา

ผมหันมองดูทอมที่วิ่งเข้ามาหาผมด้วยสายตาที่คงไม่ต่างจากพี่เหยาที่มองดูผม คือ หมางเมินและเฉยชา

ทอมวิ่งเข้ามาอย่างเหนื่อยหอบ เสื้อเชิ้ตเนื้อดีเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ทอมบอกว่าเจอพ่อผม เมื่อวานนี้ที่เชียงใหม่ และพ่อบอกทอมว่าผมจะมาถึงกรุงเทพในเช้าวันนี้ ทอมที่มาถึงกรุงเทพแต่เช้าตรู่ด้วยเครื่องบินเที่ยวเช้าสุด จึงตรงจากสนามบินเพื่อมารับผม และโชคดีเหลือเกินที่เจอ

ผมรู้ว่าทอมไม่ได้โกหก ใบหน้าแดงชื้นเหงื่อ และเสื้อเชิ้ตที่เปียกชุ่มบอกผมว่าทอมพูดความจริง และที่มากกว่าที่บอกคือ ทอมคงวิ่งตามหาผมจนเจอ...ผิดกับพี่เหยา ที่เพียงมองผมนิ่งๆ รอเวลาให้ผมจากไปอย่างเงียบๆ

ทอมบอกว่าพ่อและแม่ของพี่เหยารอที่จะพบผม...

ทอมยังบอกอีกว่าคืนนี้ให้ผมนอนค้างที่บ้านของพี่เหยา และพรุ่งนี้จะไปส่งผมที่หอพัก

ทอมคว้ากระเป๋าผมลงจากรถ จ่ายค่าเสียเวลาให้กับคนขับรถแท็กซี่ โดยไม่เปิดโอกาสให้ผมตอบรับหรือปฏิเสธ

ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลัง ผมทำเพียงเงียบฟังทอมพูด...ทำเพียงนั่งมองพี่เหยาที่ขับรถไปเงียบๆ...และทำเพียงเก็บกลืนความผิดหวังลงคอไป

มันเป็นเรื่องน่ายินดี ที่ปราศจากความรู้สึกยินดี...เป็นความหวังของคนที่ยังเฝ้าหลอกตัวเองว่ายังมีหวัง

เพราะทุกสิ่งที่ทอมพูด ผมได้ยินก็แต่ความเงียบงันของพี่เหยา

เพราะทุกท่าทีกระตือรือร้นของทอม ผมมองเห็นก็เพียงความเฉยชาของพี่เหยา

เพราะทุกเสียงหัวเราะของทอม ผมได้ยินก็แต่เสียงความชิงชังของพี่เหยา...

แม้เมื่อทอมเอ่ยปากชักชวนให้พี่เหยาร่วมบทสนทนา พี่เหยาก็นิ่งเฉยไม่ยินดียินร้าย หมางเมินโดยไม่ปิดบังสักนิด

ผมมาทำไม?...ผมถามตัวเองเมื่อแอบยกมือขึ้นป้ายปัดน้ำตาของตัวเองโดยไม่ให้ใครเห็น...

‘โตจนป่านนี้ยังร้องไห้!’ผมนึกได้ยินเสียงพี่เหยาพูด วันที่เรายังเป็นพี่น้องกัน วันสุดท้ายที่ผมร้องไห้ด้วยเรื่องไร้สาระ...ไร้สาระจนผมจำไม่ได้ว่าร้องไห้เพราะอะไร แต่ที่จำได้คือพี่เหยาพูดไปหัวเราะไป...

คนสุดท้ายที่ผมนั่งร้องไห้ด้วยอย่างไร้สาระคือพี่เหยา...คนที่ทำให้ผมเลิกร้องไห้แบบเด็กไม่รู้จักโตคือพี่เหยา และคนที่ทำให้ผมร้องไห้อีกครั้ง ด้วยความเจ็บปวดอย่างสาสมทุกๆครั้งก็คือพี่เหยาอีกเช่นกัน...

น้ำตาในวันที่เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ล้วนเป็นน้ำตาที่กลั่นกรองออกมาจากความเจ็บปวดอย่างแท้จริง หากแต่บ่อยครั้งเรากลับต้องเก็บกลืนมันไว้เพียงลำพัง...และวันนี้ก็เช่นกัน...ผมเจ็บปวด...และเจ็บปวดยิ่งขึ้นเมื่อมายืนอยู่ท่ามกลางครอบครัวของพี่เหยา

ทอมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพี่เหยาอย่างแท้จริง...ไม่มีสักนิดที่ให้ความรู้สึกของความแปลกแยก...กลับเป็นผมที่รู้สึกแปลกแยก...ไม่ใช่ความแปลกแยกทางร่างกาย หากแต่ความแปลกแยกทางจิตใจ...

ผมละอายใจต่อทุกๆคนที่รักพี่เหยาและพี่เหยารัก...

ผมเสแสร้งแกล้งยิ้มให้แม่ของพี่เหยา พอๆกับเสแสร้งแกล้งหัวเราะกับเรื่องเล่าตลกๆบนโต๊ะอาหาร

บ่อยครั้งผมไม่อาจห้ามใจให้คิด ให้นึกสงสัยว่า...เสียงพุดคุย เสียงหัวเราะเหล่านี้จะยังหลงเหลืออยู่หรือเปล่า ถ้าพวกเขารู้ว่า...คนที่เขารัก ถูกทำร้ายมาอย่างไรบ้าง...คนที่พวกเขาต่างยอมรับ นับเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวอย่างเต็มใจนั้น ทำร้ายคนที่พวกเขารักขนาดไหน และผม ที่พวกเขาให้ความเมตตาและสนิทสนมนั้น ทำให้คนที่พวกเขารักร้องไห้มากี่ครั้ง...

“จึเหยา!”เสียงเรียกชื่อพี่เหยาเสียงเข้ม ทำให้ผมลุกขึ้นจากความคิดตัวเอง ทันเห็นพี่เหยากำลังตักอะไรสักอย่างจากจานตัวเอง วางลงในจานข้าวของน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ

...น้องชายพี่เหยา ชื่อ ฟง...พี่เหยาเคยบอกผม

...น้องชายพี่เหยา ที่ผมขี่มอเตอร์ไซด์วนเวียนมองหาแต่ก็ไม่เคยเจอ...และวันนี้เมื่อเจอผมก็ไม่แปลกใจนัก ว่าทำไมผมไม่เคยเจอ...ไม่ใช่ว่าผมจำฟงไม่ได้...ตรงข้ามผมจำได้แม่นยำ หากแต่ก็นึกขำ ผมไม่เคยคิดสักนิด ว่า ฟงคือน้องชายพี่เหยา...เพราะฟงไม่เหมือนพี่เหยาสักนิดแม้แต่สีผิว ที่ผมเคยคิดว่าน่าจะขาวเหมือนๆพี่เหยา

ฟง...สูงกว่าผม ด้วยเหตุผลที่เจ้าตัวบอกผมว่า

“จึเหยาไม่กินอะไร ก็หย่อนใส่จานหว่อหมด ใช้สิทธิ์ของความเป็นพี่ข่มขู่...แต่ตอนนี้ขู่หว่อไม่ได้แล้ว!”

น้องชายพี่เหยาเรียกตัวเองว่า...หว่อ...และเรียกฝ่ายตรงข้ามว่า...หนี่...

ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับทุกคน...เช่นเดียวกันกับพี่เหยา...

ที่บ้านหลังนี้ ไม่มีใครเรียกพี่เหยา ด้วยชื่อ...เหยา...อย่างที่ผมเคยคุ้น หากแต่เรียกเต็มๆว่า...จึเหยา...ไม่เว้นแม้แต่น้องสาวและน้องชายของพี่เหยา...แรกๆฟงยังหัวเราะ เมื่อได้ยินผมเรียก...พี่เหยา

“พอกี๋เกิด อาม่าเอาไปชั่งดู แล้วกี๋ขาดธาตุดิน...เหยาคือดิน...จึ ก็คือความขยันขันแข็ง”อาม่าของพี่เหยาอธิบายถึงชื่อของพี่เหยาให้ผมฟัง

“กี่กิโลครับ?”ผมถามซื่อ เพราะเพิ่งรู้ว่าน้ำหนักแรกเกิดเอามาคำนวณหาธาตุในตัวได้ด้วย และหลังจากถามทั้งโต๊ะก็เงียบสนิท

“อะไรกี่กิโล?”แม่พี่เหยาถามอย่างงงๆ

“ระวังคุยกันรู้เรื่องนะ!”ฟง พูดก่อนหันไปหัวเราะกับพี่เหยา

“ไม่ได้หมายถึงน้ำหนัก...หมายถึงเอาวัน เวลาเกิดไปคำนวณ...”พี่เหยาอธิบายให้ผมฟัง...เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าคนในครอบครัว พี่เหยาก็เสแสร้งแกล้งลืมความเฉยชาที่มีต่อผม

“จึเหยา...แปลเป็นภาษาไทยว่าหนอน!”น้องสาวพี่เหยาที่ชื่อคิม ที่ขาวเช่นเดียวกันกับพี่เหยาหันมาบอกผม ก่อนจะหัวเราะ เพราะโดนอาม่าหันมาดุด้วยภาษาที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง คือภาษาจีน

“ก็หนอนไงอาม่า...ขยันจะตาย อยู่ในดินด้วย!”พี่คิมหันไปบอกอาม่าด้วยภาษาที่ผมฟังเข้าใจ

“ทอมเคยบอกว่า...จึเหยาเคยไปสอนหนังสือเอก?”แม่พี่เหยาถามผม

“ครับผม”ผมตอบไม่เต็มเสียงนัก...เพราะคำว่าทอมบอก ย่อมหมายถึงพี่เหยาไม่เคยบอก

“อะหม๊าก็ดุกี๋ ว่าไปสอนหนังสือให้น้องแค่นี้ ทำไมต้องเอาตังค์”แม่พี่เหยา ที่เวลาคุยกับผมมักเรียกตัวเองว่าอะหม๊า พูดคล้ายบ่นอยู่กลายๆ

“แต่จึเหยาว่าขาดทุน เพราะหักลบค่าไอติมกับการ์ตูนแล้ว ติดลบทุกที!”ฟงบอก และทำให้ผมยิ้มออกมาได้ เพราะครั้งนี้ ฟงบอกว่า...พี่เหยาบอก

“จึเหยา!”เสียงเรียกชื่อพี่เหยาเสียงเข้มอีกครั้ง ทำให้ผมละตาจากฟง หันไปมองพี่เหยาอีกครั้ง

“ก็หม๊าใส่นมในต้มยำทำไม ก็รู้ว่าหว่อไม่กิน!”ฟังคล้ายจะเป็นพี่เหยาพูด...หากแต่ความจริง เสียงดังมาจากฟง ที่ทำทีเป็นพูดแทนพี่เหยา ...ส่วนพี่เหยาก็ทำท่าไม่สนใจอะไร นอกจากสะบัดส้อมในมือซึ่งมีกุ้งตัวโตเสียบไว้เบาๆ คล้ายจะสลัดให้น้ำต้มยำที่ว่า ออกจากกุ้งให้หมด

“อาฟง!”แม่พี่เหยาหันไปดุฟง ที่แกล้งเขี่ยกุ้งจากปลายส้อมพี่เหยาตกลงไปในชามต้มยำแทน และต้องหันไปดุพี่เหยาอีกรอบ เมื่อพี่เหยาหันไปส่งภาษาจีนคล้ายจะว่าฟง ที่ทำแค่นั่งหัวเราะก่อนจิ้มกุ้งเข้าปาก

“ก็ทำไมไม่แบ่งไว้ให้กี๋ก่อน แล้วค่อยใส่นมลงไป?”พ่อพี่เหยาหันไปถามแม่พี่เหยา ก่อนจะหันมาพูดกับผม

“พอมีแล้วก็เลือกกิน ตอนที่ธุรกิจอาป๊าล้มนะ ตอนนั้นลำบาก มีอะไรกี๋ก็กินกัน ไม่ยุ่งยาก ทำตัวเป็นเด็กๆกันยังงี้”

“อีกล่ะ...อีกล่ะ... ฟังจนเบื่อแล้วป๊า!”ฟงขัดคอ หากแต่พ่อพี่เหยาไม่สนใจ

“ตอนนั้นอะไรก็ต้องขายหมด อาหม๊ากี๋เหลือแหวนแค่วงเดียว...อาฟงมันบ่นว่าอยากกินกุ้ง เลยเอาสมบัติชิ้นสุดท้าย ไปขายซื้อกุ้งกินมันซะเลย!”พ่อพี่เหยาเล่าไปหัวเราะไป

“ขับรถออกไปซื้อกุ้งกับจึเหยา... รถเจ้าหนี้กี๋ขับแซงหน้าเลี้ยวเข้าหมู่บ้านไปก่อน เลยต้องจอดรออยู่ข้างทาง...โทรไปถามอาหม๊าว่า กี๋กลับยัง... กี๋กลับยัง อาหม๊าก็บอกมาว่าต่อผิดค่ะบ้าง...ไม่อยู่ค่ะบ้าง...แปลว่ากี๋ยังอยู่...เลยบอกอาหม๊ารีบๆไล่กลับไปเดี๋ยวกุ้งเสียหมด...”

“กุ้งต้มของอาม่า...กุ้งอบวุ้นเส้นของอาคิม...ต้มยำกุ้งของอาจึเหยา...จึเหยาน่ะ กี๋บ่นตั้งแต่ขึ้นรถยันกลับถึงบ้าน...เก็บไว้จ่ายค่าไฟเหอะป๊า เดี๋ยวเขาจะมาตัดไฟแล้ว...เก็บไว้จ่ายค่ารถเหอะป๊า เดี๋ยวจะถึงค่างวดรถอีกแล้ว...เก็บไว้จ่ายค่าเทอมให้อาฟงกับอาคิมเหอะป๊า เดี๋ยวก็ได้ออกจากโรงเรียนกันหมด...เก็บไว้จ่ายค่ายาให้อาหม๊าเหอะป๊า เดี๋ยวก็ถึงวันหมอนัดแล้ว...เมื่อก่อนอาหม๊าว่าลูกป๊าหัวดี ป๊าไม่ค่อยเชื่อ มาเชื่อก็วันนั้นแหละ... ขึ้นรถยันถึงบ้าน กี๋ท่องได้หมด ตั้งแต่ต้นเดือนยันท้ายเดือน ต้องจ่ายค่าอะไรบ้าง... แต่พอถึงบ้าน บอกอาหม๊าตั้งแต่ลงจากรถเลย...ต้มยำของหว่อ ห้ามใส่นมนะ!... ไอ้ที่บ่นๆมาจนอาป๊าหูชา กี๋ลืมหมด แล้วอาหม๊าก็ลืมใส่นมลงไปอีกจนได้... อ๋อ...แล้วก็ยังมีกุ้งชุบแป้งทอดของอาฟงอีก...”

“มีแต่กุ้งเต็มโต๊ะ...พออีกวันก็กุ้ง...ข้าวกับน้ำปลาตราคนแบกกุ้ง!”คราวนี้ฟงเป็นคนเล่า

“ใช่เพราะน้ำปลาตราทิพรสที่อาหม๊าชอบ มันแพงไป!”พี่คิมช่วยเสริม

“อาป๊ากลับมามีวันนี้ได้ก็เพราะทอม...เพื่อนแท้น่ะเห็นกันก็ยามยาก หนี่จำไว้อาเอก...หนี่มีเพื่อนแท้แค่สักหนึ่งคน หนี่ก็เหมือนกับได้เพิ่มมาอีกหนึ่งชีวิต...พวกหนี่ด้วย จำกันไว้ให้ดี...ใครทำให้พวกหนี่กลับมามีวันนี้ได้!”พ่อพี่เหยาพูดต่อ หากแต่ครั้งนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง...แววตาที่หันมามองผม ก่อนไล่เรียงไปที่ลูกๆแต่ละคน และสิ้นสุดลงที่ทอมนั้น บ่งบอกว่าทุกคำพูด หมายความตามนั้นจริงๆ

ทอมยิ้มรับและส่ายหัว กล่าวตอบกลับอย่างอ่อนน้อมและจริงใจว่า...ที่ตนเองอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะการช่วยเหลือของพ่อพี่เหยาเช่นกัน...ทอมยังบอกอีกว่า...สิ่งที่ตนทำนั้นเพียงตอบแทนสิ่งที่เคยได้รับ หากแต่อาจจะน้อยกว่าเสียด้วยซ้ำ

ผมนึกขำรอยยิ้มรับจริงใจ อันปราศจากความละอายใจใดๆเลยของทอม...และพี่เหยาที่จ้องมองผมอยู่นั้น ก็เบือนหน้าหนี หลบตาคล้ายนึกรู้ในสิ่งที่ผมกำลังนึกคิดอยู่

พ่อพี่เหยาจะว่ายังไง...ถ้ารู้ว่าเพื่อนแท้ที่ตัวเองว่าคืออีกหนึ่งชีวิตนั้น...ทำอย่างไร กับอีกหนึ่งชีวิตที่ตัวเองแสนรัก ในเวลาที่อยู่ไกลตา...

ทอมยังยิ้ม ยังหัวเราะได้ อาจเพราะรู้ว่าทุกสิ่งที่ตนทำจะไม่มีวันถูกเปิดเผย ทั้งจากปากพี่เหยา และปากของผม...

ผมชิงชังรอยยิ้มนั้น...และยิ่งชิงชัง เมื่อบางคาบบางคราของคำพูดและเสียงหัวเราะของทอมนั้น...พี่เหยายิ้มรับเช่นกัน...แม้ไม่เต็มเสียงและบางครั้งก็คล้ายจะไม่เต็มใจนัก หากแต่มันก็บ่งบอกถึงการไม่โกรธ ไม่ถือโทษใดๆทอมเลย...

ทุกสิ่งที่ทอมทำ พี่เหยากลับยอมรับและยกโทษให้โดยไร้ข้อแม้ใดๆ...หากแต่กับผมพี่เหยากลับทิ้งผมไว้ให้จมอยู่กับความรู้สึกผิดและสิ้นหวัง อย่างไม่แยแสเลยสักนิด...

ผมพยายามบอกให้ตัวเองหยุดคิด..เพราะเมื่อยิ่งจมอยู่กับความคิดตัวเอง ผมก็ยิ่งโกรธ ยิ่งชิงชัง...




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-04-2008 13:25:17
ผมพยายามเตือนตัวเอง ว่าผมรอคอยเพียงโอกาสที่จะขอโทษ และอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้พี่เหยาเข้าใจ...หากผมโกรธ คงมิแคล้ว ทุกอย่างคงก้าวสู่หนทางเดิมๆ...คือทำร้ายพี่เหยา ด้วยความโกรธและความชิงชังที่คุกรุ่นอยู่ในใจตัวเอง

ผมพยายามคิด พยายามเตือนตัวเอง จนเมื่อไหร่ไม่รู้ที่ลืมหัวเราะไปกับเสียงรอบข้าง...รู้สึกตัวก็เมื่อได้ยินเสียงแม่พี่เหยาเรียก และเพิ่งรู้ตัวว่าตลอดเวลาที่ผมเงียบคิด ตาผมจับจ้องอยู่แต่ที่พี่เหยาเท่านั้น

“เป็นอะไร?”แม่พี่เหยาถาม

“เปล่าครับ...กำลังคิดว่าจะตักจานไหนดี อร่อยทุกอย่างเลย”ผมหันไปตอบแม่พี่เหยา และแม่พี่เหยาก็ยิ้มยินดี

หลังเสร็จมื้อเช้า ที่ดูคล้ายจะสายกว่าเคย...ผมก็ถูกทิ้งให้อยู่ที่บ้านกับอาม่าที่เอนหลังนอนเกือบทั้งวัน กับฟง และพี่คิมที่มานั่งคุยเป็นเพื่อนผม

“ป๊าพาหม๊าไปหาหมอ แล้วรวดไปธุระที่ธนาคาร ส่วนจึเหยาไปกับทอม...ช่วงนี้ยุ่งๆเพราะเดือนหน้าทอมจะไปงานแสดงสินค้าที่เยอรมัน...จึเหยาจะไปด้วย”พี่คิมอธิบาย ก่อนที่ผมจะทันได้ถามว่าสมาชิกแต่คนในบ้าน แยกย้ายกันไปไหนบ้าง ซึ่งจริงๆ ผมก็อยากรู้แค่ว่าพี่เหยาไปไหนเท่านั้น

พี่คิมน้องสาวพี่เหยา เหมือนพี่เหยา มากกว่าที่ฟงเหมือน...และเพราะโดนฟงหัวเราะ เมื่อเรียกพี่เหยาว่า...พี่...ผมจึงเรียกพี่คิมที่อายุมากกว่าว่า...พี่คิม ไม่ถนัดปากนัก...

“เราเคยเจอกันครั้งนึง จำได้มั๊ย?”พี่คิมถามผม เมื่อยกอัลบั๊มรูปตั้งใหญ่ มาวางที่ตรงหน้าตามที่ผมร้องขอ

“ทอมชอบถ่ายรูป...ส่วนใหญ่ทอมเป็นคนถ่าย...นี่ไง รูปตอนไปเที่ยวเชียงใหม่...นี่ไงเอก!”พี่คิมเปิดอัลบั๊มรูป ก่อนชี้ชวนให้ดู รูปๆนึง

ภาพพี่เหยายังตัวกระเปี๊ยก กับฟง กับพี่คิม ที่ยืนยิ้มเห็นฟันหลออยู่หน้าบ้านทอมที่เชียงใหม่...กับผมที่ยืนหันหลัง ไกลลิบ และอุตส่าห์โผล่มาตั้งครึ่งตัว

“รู้ได้ไงว่าเป็นผม?...พี่คิมจำได้เหรอ?”ผมถาม พยายามเพ่งมองดูตัวเองในรูปที่ถ้าพี่คิมไม่บอก ผมก็ไม่มีทางรู้ว่าเป็นรูปตัวเอง

“ใครจะไปจำได้...จึเหยาบอก!”พี่คิมตอบ และผมยิ้ม เพราะ...พี่เหยาบอก...อีกแล้ว

“ฟงบอกว่าเอกเป็นพวกถ้ำมอง...”แต่คราวนี้ผมยิ้มไม่ออก

“ก็ไปดอมๆมองๆ สาวๆที่คณะฟงบ่อยๆ...ขี่รถป้วนเปี้ยนทุกวัน...ฟงจำได้”พี่คิมอธิบายเพิ่มเติม

“เปล่า...ขี่จงกรม ทำสมาธิไง...เดินมันเหนื่อย!”ผมตอบและพี่คิมหัวเราะ ผมนึกอยากถามว่า...แล้วพี่เหยารู้หรือเปล่า เรื่องที่ผมทำ...แต่ก็ไม่ได้ถาม เพราะมันคงแปลกพิลึก ถ้าถามออกไป

ผมเปิดอั๊ลบั๊มรูปดูไปเรื่อยๆ ดูภาพพี่เหยาที่โตขึ้นที่ละนิดๆ...บ่อยครั้งที่มีทอมยืนยิ้มอยู่ในรูปด้วย แต่ไม่มีรูปถ่ายครบครอบครัวเลยสักใบ...

“ไม่มีรูปถ่ายครบๆคนเลย”ผมเปรย ทั้งที่พี่เหยาก็เคยบอกเหตุผล

“อือ...บางเล่มมันหายไปตอนย้ายบ้าน นี่ยังน้อยนะ...เมื่อก่อนหอบไม่ไหว...ป๊าว่า ทอมเห่อยังกับเป็นลูกตัวเอง”พี่คิมบอก และคงจริงอย่างที่พูด...เพราะอัลบั๊มรูปทุกเล่ม เต็มไปด้วยรูปพี่เหยา พี่คิม และฟง

“คนนี้พี่เหยาหรือฟง?”

“ฟง...เมื่อก่อนตัวมันไม่ใหญ่แล้วก็ดำปี๋ เป็นหมีดำอย่างนี้หรอก!”พี่คิมตอบหลังจากมองดูรูป เด็กผู้ชายผิวขาวจั๊วะ ที่อยู่ในเครื่องแบบนักเรียนประถม และผมรองทรงสั้น ที่ดูคล้ายพี่เหยา จนแทบจะแยกไม่ออก

“เอาอัลบั๊มรูปมาโชว์ ทำอย่างกับคนแก่!”ฟงที่เพิ่งพาอาม่าไปนอนที่ห้อง เดินเข้ามาสมทบก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม พร้อมยกขาขึ้นพาดยาวบนโต๊ะรับแขกตัวเตี๊ย

“เอาขาลงไป ไอ้หมาฟง!”พี่คิมพูด พลางหยิบอัลบั๊มรูปเล่มโต ทำท่าจะตีลงบนขาของฟง

“รูปนี้จึเหยาถ่ายให้...ที่ระลึกก่อนย้ายไปเรียนโรงเรียนวัดข้างบ้าน!”ฟงบอก พลางดึงขาหลบ

“มันไม่เดือดร้อนอะไร ยกเว้นอย่างเดียว...ผมห้ามยาวเกินหนังหัวหนึ่งเซน!”พี่คิมพูดไปหัวเราะไป

“คิมก็นั่งร้องไห้ เพราะต้องตัดหางเปียทิ้งเหมือนกันแหละ!”

“อย่างน้อยก็ยาวกว่าหนี่ได้ ตั้งเกือบครึ่งไม้บรรทัด!”พี่คิมหันไปเถียง...ผมเส้นเล็กๆเหมือนพี่เหยาที่ตอนนี้ยาวกว่ากลางหลังสะบัดสยายไปมาตามแรงหันของพี่คิม

“แต่จึเหยาไม่ต้องตัด เพราะต้องออกจากโรงเรียน...”ฟงเล่า พลางยกมือขึ้นลูบหัวตัวเอง...ตอนนี้ผมฟงก็ไม่ได้สั้นติดหนังหัวเหมือนกัน หากแต่ยาวยิ่งกว่าพี่คิม และถักเด็ดร็อคเสียทั้งหัว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แม้จะสะดุดตาฟงแค่ไหน หากแต่ผมก็ไม่เคยคาดคิดว่า ฟงคือน้องชายพี่เหยา

“ใช่...ร้องไห้หนักกว่าเพื่อน ทั้งๆที่ไม่ต้องตัดผม...ไม่เข้าใจเลยเนอะ?”พี่คิมพูด หันไปพยักพเยิดกับฟง

“ใช่! ไม่ต้องตัดผม แล้วจะร้องทำไม!”ฟงรับ แล้วก็นั่งหัวเราะชอบใจกันกับพี่คิมสองคน

ดูคล้ายว่าเมื่อเวลาผ่านไป...ความทุกข์ก็ผ่านพ้นไปด้วย พี่คิมกับฟงจึงนั่งหัวเราะกับน้ำตาของตัวเองในอดีตได้

ผมนึกสงสัยว่า...สำหรับพี่เหยา ความทุกข์และความเจ็บปวด...ผ่านพ้นไปหมดแล้วหรือยัง...

“รูปนี้ตอนจึเหยารับรางวัลอะไรสักอย่าง...เมื่อก่อนหม๊ากับป๊าจะตั้งรางวัลให้...ระดับห้องให้ห้าบาท...ระดับชั้นให้ห้าสิบ...ระดับโรงเรียนให้หนึ่งร้อยบาท...”พี่คิมชี้รูปที่พี่เหยากำลังรับโล่ห์อะไรสักอย่าง

“ไม่ยักให้ห้าร้อยเนอะ?”

“ใช่!...จึเหยาเคยได้ระดับจังหวัดด้วย ได้พันนึง...จึเหยาเก็บได้เยอะกว่าเพื่อน...”

“ก็เริ่มเก็บก่อน...เริ่มพร้อมๆกัน หว่อก็ตามทัน!”ฟงพูดด้วยท่าทางมั่นใจ และพี่คิมก็แค่หันไปส่งสายตาให้รู้ว่าหมันไส้

“ป๊ากับหม๊าให้ แต่ห้ามใช้ ตอนหลังป๊ากับหม๊าก็เอาคืนหมด ใบประกงประกาศก็รวมๆเอาไปชั่งกิโลขายหมด...”พี่คิมพูดเท่านั้นแล้วก็หัวเราะออกมาคล้ายกลั้นไม่อยู่ ส่วนฟงก็ไม่ต่างกันนั่งหัวเราะกันงอหงาย จนผมชักจะงงๆว่ามีอะไรขำนักหนา

“อันนี้เรื่องเศร้านะ!...บอกไว้ก่อนเผื่อเดาไม่ถูก!”ฟงทำท่ากลั้นอก กลั้นใจสูดลมหายใจลึก เก็บกักเสียงหัวเราะของตัวเองแล้วหันมาพูดกับผมอย่าง คล้ายๆจะจริงจัง

“ตอนที่ย้ายบ้าน...แบบว่าที่บ้านเก่าหิ้งของเหล่าม่า เหล่ากง...พี่รู้จักใช่เปล่า เหล่าม่า เหล่ากง?”ฟงเล่า และหันมาถามอย่างนึกขึ้นได้ และเพื่อผมพยักหน้ารับว่ารู้จัก ฟงก็เล่าต่อ

“ก็หิ้ง มันเป็นแบบย้ายไม่ได้...ย้ายมาบ้านใหม่ ป๊ากับหม๊าก็ขนๆพวกกระดาษ พวกเอกสารเก่าๆไปขาย...ได้มาเท่าไหร่นะคิม?”ฟงแกล้งหันไปถามพี่คิม

“สี่ร้อยยี่สิบสองบาท”พี่คิมบอกตัวเลขได้แม่น

“แล้วป๊ากับม๊า ออกจากร้านขายของเก่า แล้วไปไหนต่อ?”ฟงถามต่อ

“ไปร้านขายหิ้ง”พี่คิมตอบและยิ้ม

“แล้วหิ้งอันเท่าไหร่นะ?”

“สี่ร้อยยี่สิบ!”

“ตอนป๊ากับม๊าให้จุดธูปไหว้เหล่าม่า เหล่ากงตอนตั้งหิ้ง จึเหยาไหว้แล้วบอกว่า...ขอบคุณครับ เหลือเงินให้ต่อทุนตั้งสองบาท...โดนป๊าหันมาตบกระโหลก!”ฟงเล่าแล้วก็หัวเราะกันกับพี่คิมอีกรอบ ส่วนผมคิดภาพตามแล้วก็อดหัวเราะตามไม่ได้

“แล้วตอนนั้น ทอมอยู่ไหน?”ผมถาม

“เมื่อก่อน ทอมยังไปๆมาๆ...แต่ช่วงนั้นทอมกลับไปบ้านร่วมสอง สามปี... ตอนนั้น ก็มีเงินทอมอยู่ในมือป๊า...ก้อนใหญ่เลยแหละ... แต่ป๊าไม่ยอมใช้...ทอม กลับมาโกรธป๊าใหญ่เลย...”ฟงเล่าและ หยุดหัวเราะ แต่ก็ยังยิ้มอย่างภูมิใจ

“ใช่ แต่ป๊าไม่ผิดสักหน่อย...คนให้กับคนรับ ความรู้สึกมันต่างกัน ป๊าบอกทอม อย่างนั้นตลอด...แต่ทอมยืนยันว่ายังไงป๊าก็ต้องรับความช่วยเหลือ...ทอมยืนยันว่ายังไงก็ต้องให้พวกเราเรียน ต้องให้จึเหยากลับไปเรียน...จึเหยาร้องไห้ใหญ่เลย ตอนที่ทอมกลับมา พอทอมกลับไป โดนป๊าตีแทบตาย...เนื้อแตกเลย...”พี่คิมเล่า

“คิมก็ร้อง หว่อจำได้น๊า!”ฟงหันไปแซว

“ก็เลยโดนตีด้วยกันพร้อมจึเหยาไง...แต่ไม่โดนหนักเท่าจึเหยา เพราะจึเหยาโตกว่า...หนี่เป็นลูกชายคนโต ไม่เป็นตัวอย่างให้น้อง...ป๊าตีไป ก็ด่าไป... ส่วนไอ้หมาฟง มันวิ่งไปหลบใต้เตียงอาม่า แต่ถึงอยู่ มันก็ไม่โดนป๊าตีหรอก ตอนนั้นมันเพิ่งแปดขวบ ตัวอย่างกับลูกกอก ไม่เหมือนหมีดำอย่างนี้ ”พี่คิมเล่าและหัวเราะ

พี่คิมยังเล่าโน้น เล่านี่ให้ผมฟังไปพลาง ชี้ชวนดูรูปในอัลบั๊มไปพลาง เช่นเดียวกันกับฟง ที่พูดคุยกับผมอย่างเปิดเผย ผมเดาเอาเองว่า ฟงกับพี่คิมคงคิดว่าผมได้ยินเรื่องราวต่างๆจากพี่เหยาบ้างแล้ว

และผมก็เลือกที่จะไม่บอกพี่คิมกับฟงว่า ในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้จากปากพี่เหยาเลย

“ทำไมรูปนี้ถ่ายหน้า...โรงรับจำนำ?”ผมชี้มือให้ดูรูปที่ พี่เหยา พี่คิมและฟง ยืนเรียงแถวกันอยู่หน้าป้ายชื่อ...โรงรับจำนำ...หากแต่ แต่ละคนยิ้มร่า โดยเฉพาะพี่คิม ที่ทำท่าหันกลับไปโบกมือบ๊ายบาย

“อ๋อ!”พี่คิมชะเง้อดูรูปที่ผมชี้แล้วก็หันไปหัวเราะกับฟงอีกเช่นเคย

“แบบว่า...รูปนี้ชื่อ ลาก่อนโรงรับจำนำที่รัก...”พี่คิมพูด ก่อนชักรูปออกจากอัลบั๊มและพลิกด้านหลังรูปให้ผมดูชื่อรูปที่เขียนไว้ด้วยลายมือแบบเด็กๆที่ข้างหลังรูป

“ก็ตอนนั้นเราไม่ค่อยไว้ใจแบงค์เท่าไหร่ ป๊ากับหม๊าเลยเปลี่ยนจากฝากของที่แบงค์ ไปฝากที่โรงรับจำนำแทน...”พี่คิมเล่าและยิ้ม

“ใช่ คิดค่าฝากถูกกว่าแบงค์ แถมจ่ายค่าประกันของหายให้เราก่อนล่วงหน้าด้วย!”ฟงเสริม

“ไม่ต้องเลย! ตอนนั้นหนี่ตัวแค่ลูกหมา จำอะไรได้?”พี่คิมหันไปขัดคอฟง

“ก็จำได้ว่าลูกหมาที่แก่กว่าแค่สองปีหยิกโคตรเจ็บเลย!”ฟงบอก และพี่คิมหัวเราะ

“ก็ตอนนั้นอาหม๊าเป็นคนไปจ่ายดอกที่โรงรับจำนำ อาหม๊าว่าอาหม๊าไปเอง เป็นผู้หญิงไปดีกว่าให้อาป๊าที่เป็นผู้ชายไป แต่พอกลับมาทีไร อาหม๊าก็น้ำตาซึมทุกที...แล้วตอนหลังอาหม๊าก็ไม่ค่อยสบาย พอเครียดมากๆ ก็เลยทรุด...จึเหยาเลยบอกว่าจึเหยาจะไปเอง แต่อาหม๊าว่าไม่ได้ เพราะจึเหยายังไม่มีบัตรประชาชน จึเหยาเลยบอกว่าลองดู แล้วก็จูงพี่กับฟงไปด้วย อาหม๊าโวยวายใหญ่... จะเอาน้องไปทำไม”พี่คิมเล่าแล้วก็หัวเราะ

“จึเหยาบอกว่าเด็กไปจะได้ดูน่าสงสารไง...แต่พอไปถึงเขาก็ไม่ยอมจริงๆ...จึเหยาก็เอาบัตรของหม๊า กับบัตรนักเรียนของตัวเองให้ดู แล้วก็เอาใบเสร็จโรงพยาบาลของหม๊าให้เขาดู ว่าหม๊าไม่สบายมาไม่ไหว แล้วมันก็ถึงกำหนดแล้ว...ยังไงเขาก็ไม่ยอมเพราะจึเหยายังอายุไม่ถึง ก็เลยนั่งแช่กันอยู่อย่างนั้นแหละ ไปกันตั้งแต่แปดโมงกว่าๆ พอนานเข้าหน่อยไอ้หมาฟงมันก็เริ่มงี่เง่า พี่รำคาญก็เลยหยิกมัน... ร้องลั่นโรงรับจำนำเลย มันว่ามันหิว จะกลับบ้าน จึเหยาก็บอกยังกลับไม่ได้ มันเลยบอกมันจะซื้อขนมปังที่เขาหาบมานั่งขายตรงทางเข้า จึเหยาก็บอก ไม่มีตังค์ มีแค่ที่ต้องจ่ายเขา....แต่จึเหยาน่ะโกหก เพราะหม๊าให้ตังค์มาบอกว่าให้หาข้าวกินกันเลย เพราะหม๊าไม่สบายทำให้กินไม่ไหว...รอจนเที่ยงนั่นแหละ ไม่มีคนเพราะเขาพัก เขาบอกว่ายอมให้ครั้งเดียวนะ...พอเขาให้จึเหยาปั๊มนิ้ว ไอ้หมาฟงมันก็ไม่ยอม มันจะปั๊มด้วย เขาเลยต้องหากระดาษมาให้มันปั๊มเล่น...พอครั้งหน้าจึเหยาก็เอาพี่กับไอ้หมาฟงไปอีก แต่คราวนี้ไปตอนเที่ยงๆแทน...ตอนหลังพอจึเหยาจบม.3... ป๊าว่าจึเหยาต้องหยุดเรียนก่อน จึเหยาถามว่า แล้วหว่อจะเอาบัตรนักเรียนที่ไหน ไปจ่ายดอกที่โรงรับจำนำ...โดนป๊าตบเลย...”พี่คิมเล่า และเสียงหัวเราะของพี่คิมก็เหลือแค่รอยยิ้มบางๆก่อนเล่าต่อ

“แต่ตอนหลังก็หลุดหมด ไม่มีเงินไปจ่ายดอก...ตอนทอมกลับมา ตอนนั้นก็ไม่เหลืออะไรแล้ว...อ๋อเหลือแหวนอาหม๊าวงนึง...แต่จริงๆก็ไม่เหลือหรอก ...ไม่ใช่ของอาหม๊าน่ะ...ทอมไปทำใหม่ให้อาหม๊า เลียนแบบของเก่าของอาหม๊า...วงที่อาหม๊าเคยใส่ติดนิ้วไว้เป็นประจำน่ะ...แล้วทอมก็พาพวกพี่ไปที่โรงรับจำนำไง...ทอมบอกไปถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก เลยเป็นรูปนี้แหละ...มีรูป...ลาก่อนไฟแนนซ์ที่รักด้วยนะ...”พี่คิมเปิดอีกรูปให้ดู ที่ทั้งพี่เหยา พี่คิม และฟงยังยืนยิ้ม ยืนโบกมือบ๊ายบาย แต่คราวนี้ที่ด้านหลัง มีรถจอดอยู่เรียงราย

“มีครั้งหนึ่ง จึเหยาเป็นคนโทรไปที่บริษัทไฟแนนซ์...ปกติหม๊าจะเป็นคนโทร ก็โทรไปขอผลัดเขานั่นแหละ... ครั้งนึง ตอนนั้นป๊าไปต่างจังหวัด จึเหยาโทรไป พอเขารับ...”พี่คิมเล่าแล้วหันไปสะกิดฟง ฟงก็ทำท่ายกหูโทรศัพท์ขึ้นมาไว้ที่ปาก

“สวัสดีครับ...ใจโคตรดี ลิสซิ่ง รับจัดไฟแนนซ์แถมบริการยึดรถถึงบ้าน ครับ ”ฟงพูดไป ขำไป

“สวัสดีครับ ผมโทรมาจากบ้านคุณวิชัยเรื่องรถครับ...จะให้เอารถไปส่งหรือจะมาเอาเองครับ?!”พี่คิมพยายามกลั้นหัวเราะพร้อมเอื้อมมือไปหยิกฟง ก่อนพูดด้วยท่าทีที่น่าจะเป็นของพี่เหยา

“หม๊านะ ตาค้างเลย แย่งหูโทรศัพท์จากจึเหยาแทบไม่ทัน...แต่หม๊าบอก ทุกทีโทรไปขอผลัดเขาจะพูดอย่างโน้นอย่างนี้...ต้องได้นะครับ ต้องสองงวดนะครับ...แต่พอทีนี้นะ หม๊ายังไม่ทันพูดอะไรเลย เขาถามว่า ไม่ทันเหรอครับ... ไม่เป็นไรครับ... อีกสักสองอาทิตย์พอไหวไหมครับ...หม๊าว่า เขาคงเห็นว่าเป็นเสียงเด็กโทรมาเลยใจอ่อน หรือไม่ก็คงงง เพิ่งเคยเจอแบบจึเหยา...”

ตลอดเวลาที่พี่คิมและฟงเล่า ผมนึกย้อนไปวันเวลานั้น...วันเวลานั้นของพี่เหยา นึกเปรียบเทียบกับวันเวลาของผมในช่วงวันวัยเดียวกัน...ผมยิ่งนึกรังเกียจตัวเอง



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-04-2008 13:26:40
“แม่พี่คิมเป็นอะไรครับ ถึงต้องไปหาหมอ?”ผมถาม หวังเปลี่ยนเรื่อง

“อาหม๊าเป็นโรคเลือด...ยารักษาโรคเลือด ผลข้างเคียงมันเยอะ...ตอนหลังเลยเป็นทั้งความดัน เบาหวาน แล้วก็มะเร็ง...หมอว่าโชคดี ที่ตรวจพบเร็ว เพราะระดับเกร็ดเลือดมันผิดปกติ ก็เลยตรวจเจอมะเร็งตั้งแต่เริ่ม...ถามหมอว่าแล้วสาเหตุของมะเร็งล่ะ...หมอว่า ยาโรคเลือดตัวหนึ่งที่หม๊าต้องกิน มันส่งผลข้างเคียงให้มีโอกาสเป็นโรคมะเร็ง มากกว่าคนทั่วไปเก้าเท่า...ป๊าถามว่า แล้วอย่างนี้มันโชคดีตรงไหน หมอว่าก็เพราะโรคเลือด ทำให้ตรวจพบมะเร็งเร็วไง...นี่ถ้าไม่เพราะเป็นโรคเลือด มะเร็งอาจกระจาย!”พี่คิมเล่าแล้วหัวเราะ

“หมอว่ามะเร็งของหม๊าน่ะ นิดเดียว ผ่าก็จบ แต่หมอเลือดไม่ให้ผ่า เพราะระดับเลือดต่ำ ก็เลยต้องรักษาด้วยการฉายแสงไปก่อน...แต่ยิ่งฉายแสง หม๊าก็ยิ่งทรุด เกร็ดเลือดก็ยิ่งต่ำลงๆ...หมอก็ยังยืนยันว่ามะเร็งของหม๊าน่ะนิดเดียวไม่ต้องกังวล หมอเลือดอนุญาตเมื่อไหร่ ก็ผ่าได้ทันที หายเลย แต่ระหว่างรอหมอเลือดอนุญาต หม๊าต้องฉายแสงรักษาไปก่อน...มันเลยเหมือนปัญหา ไก่กับไข่ อะไรจะตายก่อน!”ฟงช่วยเล่าต่อให้

“ใช่...เล่าอย่างกับหนี่จำได้!”พี่คิมขัด

“โห ก็ฟังมากี่รอบแล้วล่ะ!...แต่ตอนนี้ผ่าเรียบร้อยแล้ว! เหลือแต่โรคเลือด อันนี้รักษาไม่หาย ต้องรักษาไปเรื่อยๆ”ฟงเสริมอีกที

แม้ไม่รู้จักว่าโรคเลือดเป็นอย่างไร ร้ายแรงมากน้อยแค่ไหน แต่ผมก็เลือกที่จะหยุดคำถามไว้แค่นั้น...

“แล้วที่เชียงใหม่ ฟงอยู่กับทอมหรือเปล่า?”ผมถาม คำถามที่ติดใจสงสัย

“เปล่า...ผมอยู่หอหน้ามอ...ใกล้ๆหอแฟนเพื่อนพี่ไง!”ฟงเงียบไปสักพัก ก่อนตอบ ฟังครั้งแรกผมยังนึกไม่ออกว่าฟงหมายถึงใคร

“แฟนเพื่อนพี่?”

“ก็แฟนพี่รงค์...ก็พี่หยกไง!...ที่ตัวเล็กๆ ผมยาวๆ ยิ้มเก่งๆ”ฟงตอบและยิ้ม

“ฟงรู้จักไอ้รงค์?”

“ก็ไม่เชิงรู้จัก...รู้จักแต่พี่หยก...ผมจีบเขา แต่เขาไม่เล่นด้วย เขาว่าเขามีแฟนแล้ว ชื่อรงค์...”

“แต่ไม่ต้องห่วง...รู้แล้วว่าเป็นแฟนเพื่อนพี่ ผมไม่ยุ่งหรอก!”ฟงรีบออกตัวก่อนที่ผมจะพูดอะไร

“ก็เคยชี้ให้จึเหยาดู ไม่เห็นจึเหยาว่าไร...”ฟงคล้ายจะเล่าให้ฟัง แต่เมื่อผมเห็นพี่คิมที่อยู่ๆก็เริ่มเงียบฟัง ไม่พูดจาขัดคอฟงเล่นอย่างที่ชอบทำ และยังเหลือบตาขึ้นมองดูผม ผมจึงรู้ว่าฟงคงไม่ใช่หวังแค่เล่าให้ฟัง

“ตอนที่ชี้ให้ดู...พี่รงค์ก็อยู่...กับเพื่อนๆพี่รงค์...พี่ด้วย!”ฟงพูด แต่เมื่อมันไม่ใช่คำถาม ผมจึงแกล้งเฉย ไม่ตอบหรือพูดอะไร

“ทำไมจึเหยาไม่บอกว่ารู้จักพี่?...จึเหยาบอกแค่ว่า ถ้าเขามีแฟนแล้วก็อย่าไปยุ่ง แต่ไม่บอกว่ารู้จักพี่... รู้จักพี่รงค์... พี่หยกด้วย...”ฟงเปลี่ยนมาถามผมด้วยสีหน้า สีตาจริงจัง

“จำไม่ได้มั๊ง...”ผมพูดได้แค่นั้น เพราะนึกไม่ออกว่าจะแก้ตัวว่าอะไร และฟงทำท่าคล้ายจะพูดอะไรอีก แต่พี่คิมพูดขัดขึ้นด้วยภาษาจีนเบาๆ ฟงจึงหยุดแค่นั้นแม้ดูจะไม่เต็มใจนัก

สิ่งที่รับรู้และได้รับฟังจากฟง ยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้...สำหรับพี่เหยา ผมเป็นอดีตที่ถูกพี่เหยาวางลง ไม่คิดจะกลับไปแตะต้องอีก หากตัวเองเป็นฝ่ายเลือกได้...

เมื่อการนั่งอยู่ด้วยกันเริ่มน่าอึดอัด ผมก็อ้างว่าเหนื่อย เพราะนั่งรถมาทั้งคืน ขอตัวไปนอนพัก พี่คิมกับฟงก็ไม่ได้ทักท้วง คงเพราะเริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดใจเช่นเดียวกันกับผม

ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของพี่เหยา ซึ่งแม่ของพี่เหยาจัดเตรียมไว้ให้สำหรับผมในคืนนี้ ด้วยคงเข้าใจว่าผมสนิท และคุ้นเคยกับพี่เหยาดี

“ให้จึเหยาไปนอนกับฟง เอกนอนห้องจึเหยา”แม่พี่เหยาบอกผมเมื่อเช้านี้เมื่อแรกมาถึง

“ไม่เป็นครับ ผมนอนห้องเดียวกับพี่เหยาก็ได้”ผมบอก และรีบเสริมก่อนที่ใครจะทันได้ปฏิเสธ

“จะได้นอนคุยกับพี่เหยาด้วย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”ผมพูดออกไปอย่างนั้น เพราะตอนแรกมาถึงนั้น ยังไม่รู้สักนิดว่า ภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มต้อนรับของฟง หรืออาจจะรวมถึงพี่คิมด้วยนั้น มีความระแวงสงสัยในตัวผม ตั้งแต่แรกเห็นหน้า

และเมื่อผมเสนอตัวออกไปพร้อมเหตุผลเช่นนั้น พี่เหยาจึงไม่อาจปฏิเสธอะไรได้

ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนของพี่เหยา ทั้งๆที่ข้างๆมีเบาะนอนที่น่าจะเตรียมไว้สำหับผม ปูเตรียมไว้ให้...

ผมนอนมองดูไปรอบๆห้อง อยู่ๆก็นึกสงสัยว่า ตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง...

นึกสงสัยว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไร...มีหวัง หรือ สิ้นหวัง?

นึกถึงสิ่งที่ได้ยินจากฟงและพี่คิม...นึกถึงพี่เหยาในวันนั้น วันที่พี่คิมและฟงเล่า...นึกถึงพี่เหยาในวันเวลาที่อยู่ที่เชียงใหม่...และนึกถึงภาพพี่เหยาเมื่อมีโอกาสกลับมาพบหน้าอีกครั้ง...

ผมนึกสงสัย ผมมายืนอยู่ตรงนี้ ผิดหรือถูก...

สิ่งที่ได้รับฟัง...แม้จะยังชิงชัง...หากแต่ก็ต้องยอมรับ...สำหรับพี่เหยา ทอมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างแท้จริง...

อาจจะจริงอย่างที่ไอ้รงค์ว่า...ทอมรู้จักพี่เหยามากกว่าที่ผมรู้จัก...และพี่เหยาก็รู้จักทอม มากยิ่งกว่าที่ผมรู้จัก...

เมื่อผมบอกว่าตัวเองเลว ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ...แต่ไอ้วิทย์มันบอก...ถ้ามึงเลว กูไม่คบมึงมาถึงวันนี้...

เมื่อผมบอกมันว่าผมเห็นแก่ตัว...ไอ้วิทย์กลับบอก...ถ้ามึงเห็นแก่ตัว กูคงไม่คบมึงเป็นเพื่อน...

ผมสงสัย...ผมไม่เลวอย่างที่ตัวเองคิด...หรือเพราะมันมองข้ามความเลวของผมไป...

ด้วยเหตุผลดุจเดียวกัน...อาจเป็นเหตุผลว่าทำไม พี่เหยาถึงยกโทษให้ทอม...

ผมรู้ สิ่งที่พี่คิมและฟงเล่า...สิ่งที่ผมได้รับฟังในชั่วเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง มันย่อมไม่มีวันเทียบเท่า เวลาชั่วตลอดชีวิตของพี่เหยาที่มีทอมร่วมเป็นส่วนหนึ่งนับแต่วันที่ลืมตาขึ้นดูโลก จวบจนถึงปัจจุบัน...

ผมคิด...ผมรู้...ผมไม่มีวันเข้าใจ

ผมคิด และรู้...หากต้องเลือก...พี่เหยาจะเลือกทอม...ไม่ใช่ผม

ผมคิด และรู้...หากแต่ก็ห้ามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมาไม่ได้...ห้ามไม่ให้ตัวเองเสียใจไม่ได้...ห้ามไม่ให้ตัวเองอิจฉาและชิงชังไม่ได้...ผมควรจะทำอย่างไร...ผมถามตัวเอง แต่ไม่กล้าตอบคำถามตัวเอง

ผมไม่อยากสูญเสีย...ไม่อยากเป็นคนผิดหวัง...

ความรักของผมไม่ใช่การเสียสละ...หากแต่ตรงกันข้าม ผมยังเห็นแก่ตัว อยากครอบครอง ไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง...ผมไม่อยากสูญเสียพี่เหยา...ไม่อยากต้องเอาวันเวลาทุกวัน ทุกนาที มาจมปลักอยู่กับความคิดถึงและผิดหวัง

สุดท้ายผมก็บอกตัวเองได้เท่านั้น...บอกตัวเองว่าไม่อยากสูญเสียพี่เหยาไปอีกแล้ว...ผมบอกตัวเองได้เท่านั้นจริงๆ

มื้อเย็นวันนั้น ไม่มีพี่เหยากับทอมร่วมโต๊ะด้วย

พี่คิมกับฟงก็กลับมาคุยเล่นเป็นปกติ ราวกับไม่มีเรื่องติดค้างอยู่ในใจ

กว่าที่ทอมกับพี่เหยาจะกลับเข้าบ้านมาก็ร่วมดึก

และทันทีที่เห็นพี่เหยาและทอมเดินเข้ามาด้วยกัน สิ่งแรกที่ผมคิดก็คือ..พวกเขาแค่ไปเรื่องงาน เท่านั้นจริงหรือเปล่า...ความสัมพันธ์แบบที่เคยดำเนินมา มันยังคงดำเนินต่อไปหรือเปล่า ในเมื่อวันนี้ เวลานี้ พี่เหยาได้กลับมาอยู่ท่ามกลางคนที่รักพี่เหยา และปกป้องพี่เหยาได้...ทอมจะยังกล้าแตะต้องพี่เหยาอีกหรือเปล่า...

จนดึกแล้ว หากแต่ทอมก็ยังนั่งคุยอยู่กับพี่เหยาที่โต๊ะกินข้าว ที่เช็ดถูจนสะอาดแล้ว

พี่เหยานั่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ โดยที่ขาทั้งสองไขว้เหยียดพาดบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ในตำแหน่งตรงข้าม...และทอมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวข้างๆด้วยอากัปกิริยาคล้ายๆกัน

ผมเห็นพวกเขาคุยกัน...ทั้งที่ผ่านมาทั้งวัน แทบไม่มีสักคำที่พี่เหยาจะยอมคุยกับผมหากไม่จำเป็น

ผมเห็นพี่เหยายิ้ม ตอบรับคำพูดของทอม

และเห็นทอมหัวเราะ เมื่อพี่เหยายิ้ม...

ส่วนผม...นั่งมองพวกเขาอยู่เงียบๆ...ราวกับไม่มีตัวตน...

“บ้านทอมอยู่ไหน?”ผมถามพี่คิม ที่ยังนั่งดูทีวีเป็นเพื่อนผมที่ห้องนั่งเล่น...

พี่คิมชี้มือไปทางบ้านข้างๆ โดยที่อีกมือยกขึ้นปิดปากหาว

“พี่ง่วงไปนอนก่อนก็ได้”

“เอกไม่ง่วงเหรอ นั่งรถมาทั้งคืน?”

“ก็ผมนอนมาทั้งวันแล้ว กลางคืนตาเลยค้างเลย!”ผมโกหก เพราะความจริง ผมนอนคิดมาตลอดทั้งวัน แม้เหนื่อยก็หลับตาไม่ลง และแม้จะง่วงแต่ผมก็รั้งรอเวลาดูว่าเมื่อไหร่ทอมจะกลับเสียที

“งั๊นพี่ขึ้นนอนก่อนนะ”พี่คิมบอกในที่สุด และเมื่อเดินผ่านพี่เหยา ผมก็เห็นพี่คิมหยุดพูดอะไรบางอย่างกับพี่เหยาด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจ พี่เหยาวางกระดาษปึกใหญ่ในมือลงเพื่อมองดูผม ก่อนหันไปตอบพี่คิมด้วยภาษาที่ผมฟังไม่เข้าใจเช่นกัน แล้วพี่คิมก็เดินขึ้นชั้นบนไป

และเมื่อพี่คิมคล้อยหลังไปแล้ว ทอมก็หันมาพูดกับพี่เหยา ผมรู้ว่าคงไม่ใช่เรื่องงาน เพราะพี่เหยาไม่ตอบ ทำเพียงก้มอ่านปึกกระดาษในมือนิ่ง ไม่สนใจทอม

ทอมยังพยายามคุยกับพี่เหยา โดยการก้มตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกันกับพี่เหยา หากแต่พี่เหยาก็ไม่มีทีท่าจะสนใจเช่นเคย

ทอมยังพยายามต่อไป เหมือนพี่เหยาที่ยังพยายามทำหูทวนลมอยู่เช่นเดียวกัน...ผมสงสัยว่าความพยายามของใครจะสิ้นสุดลงก่อนกัน และสิ้นสงสัยเมื่อรู้ว่า...ความพยายามที่จะอดทนของผมเองที่สิ้นสุดลงก่อนใคร

ผมไม่อาจทนเห็นภาพของความสนิทสนม คุ้นเคยนั้นต่อไปได้อีก

ผมบอกตัวเองไม่ให้โกรธ....เพราะรู้ว่าไม่มีสิทธิ์

แต่ผมก็โกรธ...และไม่สนใจว่าตัวเองจะมีสิทธิ์หรือไม่...

ผมบอกตัวเองไม่ให้โกรธ...เพราะผมมาที่นี่ เพียงเพื่อขอให้พี่เหยายกโทษให้ผม

แต่ผมก็โกรธ...และเริ่มถามตัวเองว่า...วันนั้นผมทำอะไรผิด...ทอมต่างหาก ไม่ใช่ผม...แล้วทำไมพี่เหยายังนั่งอยู่กับทอม...ทำไม?

ทอมทำร้ายผม...ทำร้ายพี่เหยา...แต่พี่เหยาเลือกที่จะอยู่กับทอม คุยกับทอม หัวเราะกับทอม และเมินเฉยต่อผม...มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิดเดียวจริงๆ...

ผมปิดทีวี และเดินขึ้นชั้นบน...ตอนแรกผมคิดถามตัวเองว่า จะพูดอะไรกับพี่เหยา เมื่อเดินผ่านพี่เหยา หากแต่ก็พบว่าไร้ประโยชน์ที่จะคิด เพราะพี่เหยาไม่สนใจผมสักนิด มีเพียงทอมที่เงยหน้ามองดูผม และผมก็มองตอบด้วยความชิงชัง...

จนดึกก็ยังไร้วี่แววว่าพี่เหยาจะกลับขึ้นมาบนห้อง...ผมนึกสงสัย ทอมยังอยู่หรือว่ากลับไปแล้ว...

จริงๆเวลาผ่านไปนานมากน้อยแค่ไหนไม่รู้...หากแต่ในความรู้สึกผม มันนานจนผมอดรน ทนไม่ไหวที่จะนอนรออยู่เฉยๆอีกต่อไป

ผมเปิดประตูห้อง เดินลงไปที่ชั้นล่าง...และเห็นพี่เหยายังนั่งอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง

พี่เหยาไม่ได้นั่งอ่านกระดาษปึกหนาใหญ่ ที่ทำอยู่ก่อนที่ผมจะเดินขึ้นไปชั้นบน

พี่เหยายังนั่งอยู่ที่เดิม ขาทั้งสองยังไขว้เหยียด พาดไว้ที่เก้าอี้ตัวตรงข้าม...มือพี่เหยากำลังขีดเขียนไปเรื่อยๆบนกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้า และตาพี่เหยาจดจ้องอยู่ ณ.ตรงที่ปากกาในมือลากวนขีดเขียน

ผมรู้พี่เหยาคงไม่ได้เขียนอะไร นอกจากชื่อของตัวเอง

ผมรู้พี่เหยาไม่ได้มองดูสิ่งที่ตัวเองกำลังเขียน

พี่เหยากำลังคิด...พี่เหยาทำอย่างนี้เสมอเวลาที่ครุ่นคิด

และผมรู้...พี่เหยากำลังคิดเรื่องของผม...

แต่สิ่งที่ไม่รู้คือ พี่เหยาคิดอะไร...

“วันนั้น ไม่ใช่ผม!”ผมพูด เมื่อเดินเข้าไปใกล้ และพี่เหยาสะดุ้งจนสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงผม

“วันนั้น ไม่ใช่ผม!”ผมพูดย้ำอีกครั้ง และเสียงดังอย่างไม่ตั้งใจ...ราวกับกลัวพี่เหยาจะไม่ได้ยิน ราวกับกลัวจะมีอะไรบางอย่างมาขัดขวางและผมจะไม่มีโอกาสพูดมันออกมา...ผมพูดเพราะมันคือสิ่งที่ผมพร่ำพูด ตั้งแต่วันที่โลกของผมกับพี่เหยาพังย่อยยับไม่เหลือดี...พูดโดยไม่สนใจ พี่เหยาจะรู้หรือเปล่า ว่าผมหมายถึงอะไร...ผมพูด เพราะมันเป็นสิ่งที่ติดค้างในใจมาร่วมปี...และหวังมาตลอดว่าพี่เหยาจะรู้ และเลิกเกลียดชังผม

“มันไม่ใช่ผม!”ผมบอกอีกครั้ง เมื่อพี่เหยาเพียงมองผมนิ่งนาน ก่อนเอื้อมมือเก็บรวบรวมของบนโต๊ะ ไม่สนใจผมอีก ราวกับไม่มีผมยืนอยู่ตรงนั้น และเมื่อเก็บรวบรวมของเสร็จ พี่เหยาก็ทำท่าจะเดินจากไปโดยไม่สนใจผมสักนิด

“พี่พูดกับผมแป๊บนึงไม่ได้เหรอ?”ผมพูด เมื่อพี่เหยาเดินผ่านผมไปแล้ว




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-04-2008 13:27:52
“ไม่ว่าง...”พี่เหยาตอบ

“แล้วเมื่อไหร่จะว่าง?!”ผมถามหากแต่แท้จริงคือการประชด เพราะสำหรับผมพี่เหยาไม่ว่าง หากแต่สำหรับทอม พี่เหยาดูจะมีเวลาอยู่ด้วยทั้งวัน และดูจะเต็มใจ

“ไม่รู้สิ!”คราวนี้พี่เหยาตอบ และมองหน้าผม แม้ไม่เห็นรอยใดๆในสีหน้า หากแต่ผมก็รู้สึกถึงรอยเยาะหยัน

มันทำให้ผมนึกรู้ว่า คำตอบของพี่เหยาหมายถึงอะไร...

ก็เมื่อวันที่พี่เหยาคอยเฝ้าตามผม...เอกคุยกับพี่แป๊บได้ไหม?...ไม่ใช่ผมหรืออย่างไร ที่พูดแต่คำว่า...ไม่...

วันนี้พี่เหยาเพียงคืนคำพูดเหล่านั้นให้กับผม...

“พี่รู้ใช่ไหม ว่าไม่ใช่ผม?”ผมถาม อาจเพราะความโกรธ ความละอาย หรือ เพราะส่วนหนึ่งของหัวใจมันก็เริ่มคิดและรู้สึกอย่างนั้นแล้วจริงๆ

พี่เหยาไม่ตอบอะไรอีก ทำท่าจะจบบทสนทนาและเดินละจากไปทั้งอย่างนั้น...แต่ผมไม่ต้องการให้มันจบลง ผมจึงดึงกึ่งกระชากแขนพี่เหยาไว้...แรงกว่าที่ตัวเองนึกตั้งใจ

ของที่พี่เหยาถือไว้ในมือ มันตกกระจายลงพื้น พร้อมๆกับที่พี่เหยาเซเข้ามาตามแรงมือผม

“ผมขอโทษ!”ผมพูดพร้อมกับรีบปล่อยมือ

“ขอโทษ?...อะไรๆก็ขอโทษ! พี่ถามจริงๆ เอกเคยรู้หรือเปล่าว่ามันหมายความว่ายังไง?”พี่เหยาถาม จ้องหน้าผมและยิ้มเยาะ

“...งั๊นพี่บอกผมสิ ...คราวนี้ผมทำอะไรผิด พี่ถึงได้โกรธผม...”ผมถามพี่เหยากลับ ในสิ่งที่ผมคิด...ใช่ครั้งนี้ผมทำอะไรผิด ผมจึงต้องเฝ้าเขียนแต่คำขอโทษให้พี่เหยามานานร่วมปี โดยคำตอบมีแต่ความเพิกเฉย

“พี่บอกผมสิ ผมผิด...หรือพี่เห็นแก่ตัว โยนความผิดทุกอย่างให้คนอื่น!”

“ถ้าไม่ผิด แล้วมาขอโทษทำไม?...กลับไปสิ!”พี่เหยาไม่พูดเปล่า หากแต่ผลักอกผมเต็มแรง จนผมเซไปชนกับโต๊ะ...มันเจ็บหากแต่ไม่ใช่ที่ตัว...มันเจ็บที่ใจ...ไม่ใช่เพราะพี่เหยาผลักหรือเพราะคำพูด...หากแต่เพราะเมื่อพี่เหยาพูด...กลับไปสิ!...ผมนึกเห็นภาพพี่เหยากับทอมที่นั่งคุยกัน หัวเราะกัน...แต่พี่เหยากลับบอกผม...กลับไปสิ!...

“ทำไมทีทอม พี่ไม่โกรธมัน...มันทำกับพี่ยิ่งกว่าที่ผมทำ ทำไมพี่ไม่โกรธมัน!”ผมถาม พร้อมเอื้อมมือหมายจะคว้าแขนพี่เหยา แม้พี่เหยาจะเบี่ยงถอยหนี ผมก็คว้าและกระชากพี่เหยาเข้ามาหาตัวจนได้ และครั้งนี้ รุนแรง...และด้วยความตั้งใจ...

“ปล่อย!”พี่เหยาพูดเสียงแข็ง พยายามดึงแขนออกจากมือผม

ยิ่งพี่เหยาดิ้นรน... ผมก็ยิ่งเพิ่มแรงมือ

ยิ่งพี่เหยาขยับตัวหนีถอยห่าง... ผมก็ยิ่งกระชากดึงพี่เหยาเข้ามาหาตัว

ยิ่งพี่เหยาขัดขืน...ผมก็ยิ่งเรียกร้องหาการยอมจำนน

ผมยิ่งสะใจ เพื่อทุกการถกเถียง ทุกการดิ้นรนของพี่เหยานั้น คล้ายจะพยายามไม่ให้เสียงใดๆเล็ดลอดไปถึงห้องชั้นบน

ผมรู้ พี่เหยาปกป้องโลกที่พี่เหยากำลังเหยียบยืนอยู่นี้...โลกที่พี่เหยาไม่คิดว่าผมจะมีโอกาสยื่นหน้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนใด...โลกที่ยังสมบูรณ์ แตกต่างจากที่พี่เหยาทิ้งไว้ข้างหลังพร้อมๆกับทิ้งผม

ผมนึกอยากรู้...ถ้าผมทำลายมันลงเสีย พี่เหยาจะทำยังไง...จะกลับไปหาผมหรือเปล่า...ผมนึกอยากรู้ เมื่อเห็นพี่เหยาดิ้นรนอยู่ในมือผม

“ผมอยากรู้จริงๆว่าพี่ทำอย่างนี้ได้ยังไง...เวลาที่พี่นั่งอยู่ต่อหน้าพ่อพี่...ต่อหน้าแม่พี่ พี่ตีหน้าซื่อไม่รู้สึก รู้สากับสิ่งที่ตัวเองทำกับทอมได้ยังไง...พี่ไม่ละอายบ้างหรือไง”

“ถ้าละอายแล้วให้ทำยังไงถึงจะดี?...ทำตัวโง่ๆ?...ฆ่าตัวตาย?...หรือต้องทำตัวเลวระยำ หรือจะให้ทำตัวปัญญาอ่อน เที่ยวฟาดหัวฟาดหางใส่คนอื่น โทษคนโน้น คนนี้...อย่างที่เอกชอบทำ?!”พี่เหยาถามและยิ้มหยัน

“ผมไม่รู้หรอกว่าทำยังไงถึงจะดี...พี่ลองถามฟงน้องชายพี่ดูสิ...ถามพี่คิมด้วย...พี่คิดเหรอว่าน้องพี่ไม่รู้?”

“เอกพูดอะไร?...เอกบอกอะไรฟงกับคิม?!”พี่เหยาถาม... ไม่เหลือรอยเยาะหยัน...ไม่หลงเหลือการดิ้นรน...เหลือเพียงความร้อนรน ที่เพียงผมพูดคำโกหกออกไปสักคำ พี่เหยาคงหมดแรงที่จะยืนอยู่อีกต่อไป...ผมจึงไม่ตอบ...ทำเพียงยิ้มอย่างที่เมื่อครู่พี่เหยายิ้ม...คือยิ้มหยัน

“หรือที่พูดมาทั้งหมดนี่...เอกก็แค่อยากทำใช่ไหม...เอาไหม?...ทำไหม?...ทำให้เสร็จๆแล้วก็ไสหัวกลับไป!”พี่เหยาถาม...และผมรู้พี่เหยาเพียงหมาย ยั่วยุให้ผมปล่อยมือและหวังให้ผมพูดความจริง...และมันอาจได้ผล หากแต่ต้องไม่ใช่วินาทีที่ผมนึกถามตัวเองว่า...ถ้าผมทำลายโลกตรงนี้ของพี่เหยาลง จะเป็นอย่างไร?...ไม่ใช่วินาทีหลังจากที่พี่เหยาตบหน้าผมด้วยคำถามเย้ยหยันเหล่านั้น...วินาทีที่ผมเริ่มคิดว่า มันไม่ยุติธรรมกับผมเลย...วินาทีที่ผมคิดเพียงสนองกลับให้ดุจเดียวกัน

“ใช่!”ผมตอบ ทั้งที่ใจไม่ได้คิดอย่างนั้นสักนิด...ในหัวมันคิดเห็นก็แต่ภาพพี่เหยากับทอมที่คุยกัน หัวเราะกัน...ในหัวมันคิดถามก็แต่ว่า...แล้วทำไมพี่เหยาต้องคอยแต่ขับไล่ผม?...

“แต่ให้อยากยังไง...ผมก็ไม่ยอมเสี่ยงติดโรคหรอก”ผมพูด และปล่อยมือยืนยันในสิ่งที่ตัวเองพูด

“ผมคิดมาตลอดว่าพี่ไม่เต็มใจ...แต่ไอ้ที่ผมเห็นเต็มสองตาวันนั้นน่ะ...มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด อย่างที่พี่พยายามแสดงออกว่าตัวเองไม่ชอบสักนิด!”

ตอนนี้หน้าพี่เหยาแดงกล่ำ และไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรอีก พี่เหยาก็วิ่งออกไป ผมได้ยินเสียงประตูรถถูกกระชากเปิดและกระแทกปิด ก่อนที่พี่เหยาจะวิ่งกลับเข้ามาและขวางอะไรบางอย่างใส่หน้าผม

กล่องกระดาษกล่องเล็กๆ ไม่แข็งพอที่จะทำให้ผมมีแผล หากแต่ก็ยังเจ็บ

ผมมองดูกล่องถุงยางที่หล่นอยู่บนพื้น

“ไม่น่าเชื่อ ว่าเดี๋ยวนี้พี่จะพกของอย่างนี้...”

“ไม่น่าเชื่อเหมือนกัน ว่าคนอย่างเอกจะไม่พกมันติดตัวไว้!”

“พกทำไมล่ะ ผมไม่ได้ส่ำส่อน แฟนผมก็ไม่ได้ขายตัว!”ผมบอก ทั้งที่รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นล้วนทำให้พี่เหยาเจ็บปวด ทั้งตัวเองก็เจ็บปวด หากแต่ห้ามปากตัวเองไม่ได้...ทั้งที่เคยบอกตัวเองว่าจะพูดแต่สิ่งดีๆกับพี่เหยา...จะบอกพี่เหยาว่าขอโทษ และอาจจะบอกพี่เหยาว่ารัก...แต่ทั้งหมดนั้น มันคือก่อนหน้าที่ผมจะรู้ตัวและนึกรู้ว่า...ถึงพูดไป ก็คงเปล่าประโยชน์...

พี่เหยาไม่พูดอะไรอีก เพียงเงียบงันไปกับสิ่งที่ผมพูดก่อนจะสะอื้นไห้ออกมา และเดินออกจากบ้านไป...ผมได้ยินเสียงประตูรั้วเปิดและปิดเบาๆ...ก่อนที่จะได้ยินเสียงทอม... เสียงประตูบ้านข้างๆ เปิดและปิดลง ...

ผมทำร้ายพี่เหยา...และพี่เหยาก็ไปหาทอม...ราวกับทอมจะช่วยพี่เหยาได้ ราวกับทอมเป็นที่กำบังกายจากการถูกทำร้ายจากผม...

ตลอดมาผมเคยคิด...ทอมทำร้ายพี่เหยา

วันนี้พี่เหยากลับแสดงให้ผมรู้...ว่าต้องการให้ทอมปกป้อง... จากผม...

แม้ยังโกรธ...แต่ผมก็ก้มลงเก็บรวบรวมของที่หล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้น...พร้อมๆกับที่คิดและตัดสินใจว่า...ไม่จำเป็นต้องรอจนเช้า...ผมก็จะไปจากที่นี่เสียที

ผมเก็บของวางลงบนโต๊ะ พร้อมๆกับที่ได้ยินเสียงบางอย่างดังแว่วมาจากบ้านทอม...แม้ไม่ชัดเจน...หากแต่นึกรู้ มันมิใช่เสียงแห่งการปลอบโยนอย่างที่ผมนึกคิดไว้แต่แรก

“เข้ามาทำไม?!”พี่เหยาถามอย่างเกรี้ยวกราด เมื่อเห็นผมเดินรุกล้ำเข้ามาในบ้านทอม

ตาพี่เหยาแดงกล่ำ ใบหน้ามีแต่น้ำตา...เฉกเช่นเดียวกับทอมที่นั่งอย่างอ่อนแรงบนโซฟาตัวยาว ก้มซุกซ่อนดวงหน้าไว้ด้วยสองมืออย่างคนสิ้นหวัง และแหงนเงยมองดูผม ตามเสียงเกรี้ยวกราดของพี่เหยา

ข้าวของในบ้านกระจัดกระจาย...เศษแก้วที่คงเคยเป็นแจกัน แตกกระจายกลาดเกลื่อนเช่นเดียวกับดอกกุหลาบสีแดงสด...สีเดียวกับหยดเลือดที่ไหลลงมาตามเรียวนิ้วของพี่เหยาลงสู่พื้น...ไม่รุนแรง หากแต่ก็ไหลรินอยู่ไม่ขาดระยะ...


“ออกไป!”พี่เหยาไม่พูดเปล่า หากแต่วิ่งเข้ามาหาผมโดยไม่สนใจเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้นแม้สักนิด คงนึกหวังก็เพียงผลักไสผมให้ออกไปเท่านั้น

ในขณะที่ผมทำเพียงงงงัน ยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่อาจบอกได้ว่ารู้สึกเช่นไร...ทอมกลับรีบวิ่งเข้ามาหวังดึงพี่เหยาให้ออกไปจากที่ตรงนั้น...ผมเห็นทอมเหยียบย่ำลงบนเศษแก้ว หากแต่ก็ไม่มีทีท่าสนใจอะไร เว้นเสียแต่เพียงหวังพาพี่เหยาที่ยังคงดิ้นรนขัดขืน ให้ออกไปจากกองเศษแก้วที่กลาดเกลื่อนอยู่ให้ได้...เลือดที่เห็นอยู่บนพื้น มันยากจะบอกว่าเป็นเลือดของใคร...ของพี่เหยาหรือของทอม...

“ปล่อย!”พี่เหยาเฝ้าตะโกนซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าจนสุดเสียง...คล้ายไม่กลัวเกรงว่าใครจะได้ยินอีกต่อไป

นี่หรือเปล่าคือความสะใจที่ผมหวังจะได้เห็น...

พี่เหยาที่ร้องไห้...ดิ้นรน คล้ายคลุ้มคลั่งอย่างที่ผมไม่เคยเห็น...และไม่นึกจะได้เห็น

ผมยืนมองดูทอมที่กอดพี่เหยาไว้แน่น พร้อมเฝ้ากระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูพี่เหยา...และมองดูพี่เหยาที่ค่อยๆสงบลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงอาการหอบสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนของทอม...

ผมจะโกรธใคร?...จะเรียกร้องอะไร?...ในเมื่อทุกสิ่ง คือสิ่งที่ผมดั้นด้นมา เพื่อทำให้มันเกิดขึ้นด้วยมือของตัวเอง?...

พี่เหยาค่อยๆขยับตัวออกจากอ้อมแขนของทอมช้าๆ...อาการหอบสะอื้นยังไม่อาจเก็บกลืนหายไปเสียทีเดียว

พี่เหยาคงควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว ผมคิดอย่างนั้น และก็รู้ว่าตัวเองคิดผิด เมื่อพี่เหยาเดินไปหยุดที่ หน้าตู้ใบใหญ่ เปิดลิ้นชักที่ตรงหน้าช้าๆ...แล้วทอมก็ถลึงตัวลุกขึ้น วิ่งเข้าไปหา แต่ก็ช้ากว่าพี่เหยาที่หยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาจากลิ้นชัก และหันมาอย่างรวดเร็ว

ผมเย็นวาบไปทั้งตัว...เมื่อพี่เหยาหันมาพร้อมมือที่ถือปืนยกจ่อขึ้นที่หัวตัวเอง...

พี่เหยามองผมอย่างเกลียดชัง...แม้ไม่พูดอะไร แต่ผมรู้ พี่เหยากำลังถามผมว่า...อย่างนี้ใช่ไหมที่ผมต้องการ?...

ตอนนี้ผมได้คำตอบ...ถ้าผมทำลายโลกที่พี่เหยาพยายามปกป้องมาสุดชีวิตเพื่อรอวันได้กลับมาเหยียบยืนอยู่นี้ลง พี่เหยาจะทำอย่างไร จะกลับไปหาผมไหม...ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว...

“พี่...ผมโกหก ฟงกับพี่คิม ไม่รู้อะไร...ผมไม่ได้พูดอะไร!”ผมละล่ำละลักพูดออกไป ตาก็จับจ้องแต่ที่มือของพี่เหยา




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 05-04-2008 14:12:55
พี่ทิพย์ใจร้ายยยยยย  :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: ขออีกนิดได้ป่าว

บีบหัวใจสุดๆๆ  

ขอบคุณคนโพสต์ครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-04-2008 14:47:02
“แต่ตอนนี้รู้แล้ว...”พี่เหยาพูด และสะอื้นออกมา มือพี่เหยาสั่นระริก ตาที่จับจ้องผมก็ละไปมองผ่านผมไปยังด้านหลัง

ฟงยืนอยู่ตรงนั้น กับ พี่คิม...

“จึเหยา!... ทำอะไร!”พี่คิมถามและร้องไห้อย่างคนทำอะไรไม่ถูก มือเกาะแขนฟงไว้แน่น

“จึเหยา!”หากแต่สำหรับฟง ไม่มีคำถามออกจากปากฟง...ฟงสะบัดแขนจากการเกาะเกี่ยวของพี่คิม เรียกก็เพียงแต่ชื่อของพี่เหยาและเดินตรงเข้าไปหาพี่เหยา

“จึเหยา!”ฟงเฝ้าเรียกพี่เหยาทุกครั้ง ที่พี่เหยาเกร็งกระชับมือที่เหนี่ยวไกปืนไว้ และทุกครั้งมือพี่เหยาก็จะคลายออก แม้น้ำตาจะยังไหล เหมือนหยดเลือดที่เปรอะเปื้อนมือที่สั่นระริกของพี่เหยาและค่อยๆไหลผ่านข้อมือลงมาช้าๆ

ฟงเข้าไปถึงตัวพี่เหยา...ปลดปืนออกจากมือพี่เหยาอย่างง่ายดายและค่อยๆวางเก็บมันเข้าไปไว้ที่เดิม พร้อมๆกับที่พี่คิมรีบวิ่งเข้าไปหา...ส่วนผม ทำได้เพียงยืนมอง...เช่นเดียวกันกับทอม

ฟงพูดอะไรบางอย่างกับพี่คิม และพี่คิมก็พยักหน้ารับ เช็ดน้ำตาตัวเองและวิ่งกลับออกไป

เดี๋ยวต้องมีคำถามตามมาอีกมากมาย...ผมรู้...ทอมก็รู้...แม้แต่พี่เหยาก็คงรู้

ความลับที่พี่เหยาเอาทุกอย่างเข้าแลกเพื่อปกป้อง...ไม่อาจเป็นความลับได้อีกต่อไป...

หากความจริงเปิดเผย...ทอมก็คงไม่สามารถยืนอยู่ได้อย่างนี้อีกต่อไป...ไม่สามารถตีหน้ายิ้ม...เสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นคนหนึ่งในครอบครัวได้อีกต่อไป

แต่ก็อย่างที่นึกรู้...เรื่องบางเรื่อง ไม่จำเป็นว่า ใครเป็นคนที่ถูก...ใครเป็นคนที่ผิด...ใครที่ควรถูกกล่าวโทษและใครที่ควรถูกปกป้อง เพราะเรื่องบางเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด...ความลับคือคำที่ดีที่สุด

หากทอมเหยียบยืนอยู่ณ.ตรงนี้ไม่ได้...พี่เหยาก็เฉกเดียวกัน...แม้จะด้วยเหตุที่ต่างกัน...หากแต่ผลนั้นดุจเดียวกัน...ไม่เหลือที่ให้พี่เหยาเหยียบยืนได้อีกต่อไป...

แต่ฟงก็ไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น...ฟงกอดพี่เหยาที่ยังร้องไห้เอาไว้... มองอย่างตั้งคำถามไปยังทอมที่ทรุดลงไปนั่งกับพื้นราวกับคนสิ้นหวัง และมองดูผมอย่างเกลียดชัง ราวกับกล่าวโทษว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นคือผม ที่ทำให้เกิดขึ้น...

ฟงพูดอะไรบางอย่างกับพี่เหยา และพี่เหยาก็พยักหน้ารับ หากแต่เมื่อฟงขยับคล้ายจะพาพี่เหยาออกไปจากที่ตรงนี้ พี่เหยากลับฝืนตัว ส่ายหน้า...ผมรู้...พี่เหยากำลังกลัว...

ฟงพยายามพูด...หากแต่พี่เหยาเพียงส่ายหน้าและเริ่มขยับถอยหนีจากฟง...พี่เหยากำลังกลัว...ผมรู้

แล้วทอมก็ลุกขึ้น...บอกฟงให้ทิ้งพี่เหยาไว้ที่นี่ แม้ดูฟงจะไม่เต็มใจนัก แต่ในที่สุดก็เป็นไปตามนั้น เพราะคล้ายว่า นั่นคือสิ่งที่พี่เหยาต้องการเช่นเดียวกัน

ฟงหันมาทางผม...ทอมบอกฟงให้ทิ้งผมไว้ที่นี่เช่นเดียวกัน...นั่นน่าจะดีกว่า แต่เมื่อทอมบอก ผมจึงเลือกเดินตามฟงกลับไปที่บ้าน

ระหว่างทางที่เดินกลับ...บ่อยครั้งที่ฟงหันมามองดูผม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเลย

“หว่อบอกให้คิม มาบอกป๊ากับหม๊าว่า...แค่จึเหยากับพี่ทะเลาะกัน ไม่มีอะไร...แต่จะทะเลาะกันเรื่องอะไร พี่ก็คิดเอาเองแล้วกัน... แต่อย่าให้เรื่องมันไปถึงจึเหยากับทอมแล้วกัน ไม่งั๊นอย่าหาว่าหว่อไม่เตือน!”ฟงบอกก่อนกระชากเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เพื่อพบว่าแม่และพ่อพี่เหยา รวมทั้งพี่คิมนั่งรอกันอยู่อย่างพร้อมหน้า

“อาคิมว่าหนี่กับจึเหยาทะเลาะกันไม่มีอะไรมาก แล้วทำไมเสียงดังอย่างนั้น...แล้วไปทะเลาะอะไรกันที่บ้านทอม?”แม่พี่เหยาถามทันที ที่เห็นหน้าผม

“แค่เถียงกัน แล้วทำแจกันทอมแตก จึเหยาไปเหยียบเข้าก็เท่านั้น!”ฟงเป็นคนตอบ ก่อนที่ผมจะทันพูดอะไร

“ทะเลาะกันเรื่องอะไร?”แม่พี่เหยาถาม

“ผู้ชายทะเลาะกัน จะทะเลาะเรื่องอะไรล่ะหม๊า ก็เรื่องผู้หญิงน่ะซิ!”ฟงตอบด้วยทีท่าไม่เห็นสำคัญ

“แค่เรื่องผู้หญิง แล้วทำไมต้องทะเลาะกันเสียงดังอย่างนั้น?”

“โหหม๊า!...เรื่องผู้หญิงน่ะ มันศักดิ์ศรีของผู้ชายอย่างหว่อเลยนะหม๊า!”ฟงตอบ แล้วหัวเราะเพราะโดนแม่พี่เหยาหันมาดุเบาๆด้วยภาษาจีน

“ศักดิ์ศรีมันสำคัญกว่าความเป็นพี่เป็นน้องหรือเปล่า...หนี่ไปเรียกจึเหยากลับมา คุยกันให้รู้เรื่องวันนี้เลย...พวกหนี่ทำอย่างนี้ไม่ถูก... ป๊าไม่ชอบ!”พ่อพี่เหยาหันไปสั่งฟง

“จึเหยาเหยียบเศษแก้ว...”ฟงตอบเลี่ยง

“เศษแก้วแค่นั้น มันไม่ทำให้กี๋ตายหรอก...ทะเลาะกันเรื่องผู้หญิง แล้วมาบอกว่าเศษแก้วตำแค่นี้ไม่ยอมกลับมา...ละอายบ้างหรือเปล่า อาเอกยังกล้ากลับมา!”พ่อพี่เหยายังยืนยันจะให้พี่เหยากลับมาให้ได้ จนพี่คิมหน้าเสีย

“ป๊าฟังก่อนซิ!...ที่จึเหยากับพี่เอกทะเลาะกันมันก็ไม่ผิดนะ...จริงๆก็ไม่ได้ทะเลาะกันด้วย!”

“เดี๋ยวทะเลาะ เดี๋ยวไม่ทะเลาะ...หนี่จะเอาไงแน่?...หนี่อย่ามาทำทะเล้นนะอาฟง!”

“หว่อไม่ได้ทะเล้น...ก็พี่เอกเขามีแฟน แล้วแฟนเขาก็เปลี่ยนใจมาชอบจึเหยา แต่จึเหยาไม่สนเพราะเป็นแฟนพี่เอก ป๊าว่าจึเหยาผิดหรือเปล่าล่ะ?”

“ไม่ผิดซิ!...อย่างนั้นจะผิดได้ยังไง?”

“ใช่ แล้วอย่างนั้นจะผิดได้ยังไง?”ฟงถามแล้วยิ้มหน้าทะเล้น

“งั๊นแล้วกี๋ทะเลาะกันทำไม?”พ่อพี่เหยาถามก่อนหันหน้ามามองผมอย่างอยากได้คำตอบ เพราะเมื่อพี่เหยาไม่ผิด ความผิดก็น่าจะอยู่ที่ผม

“ก็พี่เอกเขาเข้าใจว่าจึเหยาน่ะชอบ แต่เกรงใจพี่เอกไง...โห น้ำใจลูกผู้ชายนะป๊า...ความเสียสละของลูกผู้ชาย ป๊าชอบไม่ใช่เหรอ เหมือนหนังที่ป๊าดูทุกคืนเลยไง!”ฟงพูด อย่างที่ผมไม่มีทางรู้ว่าตั้งใจประชดผมหรือเพียงพูดให้ฟังดูติดตลกเท่านั้น

หากแต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เรื่องมันก็จบลงอย่างง่ายดายกว่าที่ผมคิด...ความลับยังคงเป็นความลับ...แม้ยากจะบอกว่า...มันเป็นความลับที่ไร้การระแคะระคายจริง...หรือเพียงต่างเสแสร้งหวังให้การทะเลาะกันระหว่างผมและพี่เหยาจบลงอย่างไร้การบอบช้ำที่สุด...บ่อยครั้งที่ผมคิดว่าเป็นอย่างหลัง พ่อและแม่พี่เหยาจึงเชื่อคำของฟงอย่างง่ายดาย...คล้ายปล่อยให้เป็นเรื่องระหว่างเด็ก ที่ผู้ใหญ่ไม่ควรยื่นมือเข้ามาก้าวก่าย หากเลือกได้...แต่หากพ่อและแม่พี่เหยารู้ความจริง หรือแม้แต่ฟงหรือพี่คิมจะรู้...เรื่องมันคงไม่จบลงอย่างไร้การบอบช้ำอย่างนี้...ผมคิด แต่ก็เลือกที่จะไม่พูด

แต่อย่างหนึ่งที่ผมรู้โดยไร้ข้อกังขาคือ...ไม่ว่าจะความระแคะระคายใด...ไม่มีชื่อทอมเข้ามาเกี่ยวข้องเลย..อย่างที่ฟงบอก...อย่าให้เรื่องถึงจึเหยาหรือทอม ไม่งั๊นอย่าหาว่าหว่อไม่เตือน...

สำหรับครอบครัวของพี่เหยา...คล้ายจะวางความไว้วางใจไว้ในมือทอมอย่างเต็มเปี่ยม โดยปราศจากข้อระแวงสงสัยใดๆเลย...

ผมรู้ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์หรือบุญคุณ...หากสำหรับครอบครัวพี่เหยา ทอมคือส่วนหนึ่งของครอบครัวอย่างแท้จริง...เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่พร้อมจะได้รับการปกป้องเฉกเดียวกับพี่เหยา...จนบางครั้งหากผมเลือกพูดความจริง...หากทอมปฏิเสธ...หากพี่เหยาปฏิเสธ...อาจไม่มีความระแคะระคายใจเลยว่าใครโกหก...คงเป็นผมที่โกหก...ในสายตาและความคิดของทุกคน

ผมนึกขำและมั่นใจ...หากผมพูดความจริง...พี่เหยาจะเลือกปกป้องทอม ไม่ใช่ผม...

เมื่อแม่และพ่อพี่เหยาต่างกลับขึ้นชั้นบน ฟงกับพี่คิมก็ไม่ได้พูดอะไรกับผมอีก ฟงกลับออกไปอีกครั้ง...คงกลับไปหาพี่เหยา...ส่วนพี่คิมก็กลับเข้าห้องตัวเอง

ผมจึงเดินกลับขึ้นไปบนห้องนอนพี่เหยาเพื่อหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเอง...แม้จะมืด แม้จะอยู่ในที่ๆไม่รู้จัก...แต่ผมก็เลือกยกกระเป๋าขึ้นสะพาย และเดินออกจากบ้านพี่เหยาด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นอย่างไร...

กระดาษที่จดที่อยู่หอพักไว้ยับยู่ยี่ แต่ก็ยังพอจะอ่านออก หากแต่ดึกจนดื่นป่านนี้ ผมจะตอบเขายังไงว่าทำไมเข้าหอดึกขนาดนี้...ยิ่งไปกว่านั้น...จะมีรถแท็กซี่สักคันผ่านมาในซอยเวลานี้บ้างหรือเปล่า...ถ้าหากว่าไม่...ผมคงไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าจะหาเหตุผลอะไรมาตอบคำถามว่าทำไมถึงเข้าหอดึกป่านนี้ เพราะผมคงได้สะพายกระเป๋าเดินวนไปวนมาหาทางออกในซอยมืดๆนี่จนเช้า...

เป็นไปอย่างที่คิด...กว่าจะเข้าหอก็ตอนเช้า เพราะในซอยไม่มีรถผ่านสักคัน ยกเว้นก็แต่รถของทอมที่ขับวนไปมา มองหาผมอยู่ทั้งคืน หากแต่ผมซ่อนตัวสนิท เลือกที่จะไม่กลับเข้าไปอีกแล้ว...



--------------------
จบตอน 13

ขออภัย เน็ตเสียไปชั่วขณะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 05-04-2008 14:59:37
รักพี่ทิพย์ที่สุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: omelet ที่ 05-04-2008 19:58:09
ตอนแรกเห็นเรื่องนี้ในเล้า แอบตกใจ ว่ามาระบาดถึงนี่เลยเหรอ

เรื่องนี้เคยอ่านนานมากกกกกกแล้ว อ่านได้แค่ 6-7 ตอน ก็เลิกอ่าน ไม่ใช่ว่าไม่ดี
แต่ดีมากๆๆต่างหาก จนเรารู้สึกเหมือนดูหนังไม่ก็วงเวียนชีวิต -*- อ่านแล้ว.....  :sad2: :sad2:

เครียดจนอ้วกเลย -*- มันเครียดจนทนไม่ไหว เลยเลิกอ่าน (ความจริงเล่นเนตต่อเนื่อง 20 ชม.เลยอ้วก  :oak:)

ตอนนี้เห็นว่ามีจนจบแล้วแถมยังเผยแพร่มาถึงเล้า ที่สถิตแห่งใหม่ 55+
เดี๋ยวขอเวลาทำใจ มาอุดหนุนผลงาน คุณ ภัคD บ้างดีกว่า

ปล.เป็นกำลังใจให้คนโพสต์กะคนแต่งนะคะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 05-04-2008 21:17:46
อาจารย์สีฟ้า วิเคราะห์ถูกเป๋งเลย

สงสัยเพราะใช่หลัก Anal Chem มาช่วย


สองมัวแต่ใช่ Verb to เดา   เลยพลาด



แงๆ  แล้วอย่างนี้ จารย์ยังจะบอกว่า ทำหน้าที่ที่สองขอให้ช่วยไปได้ไม่ดี ได้อย่างไร  อิอิ

อย่างน้อยสองก็พิสูจน์คุณสมบัติบางอย่างของอาจารย์ให้ใครบางคนได้เห็นแล้ว อิอิ (แต่มะรู้ว่จะเข้ามาเห็นหรือเปล่านะ อุอุ)


อิเจ้
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Mono_Koro ที่ 05-04-2008 21:42:06
โอ๊ย

งือ :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:

น้ำตาใหลเลยอ่า

เครียด

เศร้า

รีบมาต่อเร็วๆนะคับ

รอใจจดใจจ่อเลยคับ o7
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-04-2008 19:36:13
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 14


ผมไม่ติดต่อไปหาพี่เหยาอีก เหมือนที่พี่เหยาก็ไม่ติดต่อมาเลยเช่นกัน...

หรือถึงแม้ผมจะนึกอยากติดต่อพี่เหยา แต่ในความเป็นจริงคือ ผมไม่มีแม้เบอร์โทรศัพท์พี่เหยา หรือใครเลย...และพี่เหยาเองก็คงไม่รู้ที่อยู่หอผมเช่นเดียวกัน

ผมไม่ได้โทรหาพวกไอ้วิทย์...มันจะว่ายังไง ถ้ารู้ว่าผมได้เจอพี่เหยา ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เดินผ่านสี่แยกไหน และมันจะว่ายังไง ทั้งที่มันเคยบอกผม ให้หัดถามตัวเองว่า...ที่ทำ เพื่ออะไร...แต่ผมก็ยังทำทุกอย่างด้วยเหตุผลเดิมๆคือความโกรธ ความเกลียด และเหนืออื่นใดคือ ความอิจฉา

เวลาผ่านไปวันๆ...เพื่อรอให้จบลงไปอย่างช้าๆ โดยที่ผมไม่ได้หวังว่าจะได้เจอพี่เหยาอีก...

แต่มันก็เหมือนกับวงจรความสัมพันธ์แบบเดิมๆ คือ เมื่อผมขยับไปข้างหน้า พี่เหยาจะถอยหนี หากแต่เมื่อผมขยับถอย พี่เหยากลับก้าวตามมา...ครั้งนี้ก็เช่นกัน...พี่เหยาเป็นฝ่าย ก้าวเท้ากลับเข้ามาหาผม แต่ก็ด้วยเหตุผลที่ผมเกินจะเคยคาดเดา...และคงไม่มีทางคิดว่าพี่เหยาจะทำ...

ผมเปิดประตูห้องออกไป ตามเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นตั้งแต่เพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน

แม้วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ที่ผมไม่ต้องไปฝึกงาน และผมน่าจะตื่นนอนตอนสายๆ อย่างที่ชอบทำ หากแต่ต้องยอมรับว่า นับจากเดินออกมาจากบ้านพี่เหยา...ไม่มีสักวันที่ผมหลับตาลงได้สนิท...ผมหลับโดยที่ยังครุ่นคิดถึงพี่เหยา...ลืมตาตื่นพร้อมกับคำถามว่าจะทำอย่างไรดี...วันนี้ก็เช่นกัน ผมลืมตาตื่นพร้อมคำถาม และค้านที่จะพยายามหลับตาลงอีกครั้ง เพราะรู้ว่าเปล่าประโยชน์

ผมไม่เคยคาดคิดว่า เมื่อเปิดประตูออกไป จะเจอพี่เหยายืนรออยู่ที่หน้าห้อง

พี่เหยาไม่ได้ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ทำหน้าบึ้งตึงหรือเฉยชา

...เรียกว่า ความหวังหรือเปล่า?...ผมถามตัวเอง...

“กินข้าวหรือยัง?”พี่เหยาถาม เมื่อก้าวเข้ามาในห้องผม มันอาจเป็นคำถามทักทายทั่วไป หรือเพียงคำถามที่ง่ายที่สุดที่จะพยายามเริ่มต้นทุกอย่างให้ดูเป็นปกติ

“ยัง...เช้าอยู่เลยไม่ค่อยหิว”ผมตอบอย่างพยายามให้ปกติเช่นกัน และ มองดูพี่เหยาที่นั่งลงที่เก้าอี้ พร้อมวางถุงใส่ของไม่ใหญ่นักลงบนโต๊ะ

“มีแต่หนมปัง...โบโลน่า...แซนวิชสเปรด...เบียร์ของเอก กับเป๊บซี่ของพี่...เอาเข้าตู้เย็นก่อนก็ได้ หิวแล้วค่อยกิน...”พี่เหยาบอกก่อนผลักถุงตรงหน้ามาให้ผม

“พี่เป็นไงบ้าง?...”ผมถามเมื่อทยอยหยิบของออกจากถุง และเอาเข้าเก็บไว้ในตู้เย็นอย่างช้าๆ...ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้...หวังเพียงถ่วงเวลาให้ไม่ต้องไปนั่งเผชิญหน้ากับพี่เหยา...

“อะไรเป็นไง?”พี่เหยาย้อนถาม

“ก็...วันนั้น”

“อ๋อ...ก็อย่างที่ฟงบอกป๊านั่นแหละ...เราแย่งผู้หญิงกัน...”พี่เหยาพูดและหัวเราะในคอ

“แล้วฟงไม่ถามอะไรพี่เหรอ?”ผมถาม

“เปล่า...เอกเรียงของใส่ตู้เย็น ช้ากว่าพี่ยัดของลงถุงตอนซื้อซะอีก...ระวังมันหมดอายุก่อนถึงตู้เย็นนะ!”พี่เหยาว่า

“พี่ไม่โกรธผมแล้วเหรอ?”ผมถาม เพราะวิธีการพูดของพี่เหยามันคล้ายว่า พี่เหยาจะไม่โกรธอะไรผมเลย หากแต่ก็ ยังไม่กล้าหันไปมองพี่เหยาอยู่ดี

“ไม่รู้สิ...”พี่เหยาตอบ ก่อนถามต่อ

“เอกรีบไปไหน หรือมีอะไรต้องทำหรือเปล่า?”

“เปล่า...วันนี้ผมไม่ต้องไปทำงาน”ผมตอบ ก่อนนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามพี่เหยา

แล้วเราก็คุยกันตามปกติ...ราวกับไม่เคยมีเรื่องของคืนนั้น...ราวกับพี่เหยาไม่เคยหันหลังให้กับผม...ราวกับผมเพิ่งลงจากรถไฟมาเมื่อเช้าและเราเพิ่งได้คุยกัน...

เราคุยกันเป็นปกติ ด้วยเรื่องของคนอื่น...แต่ไม่มีเรื่องระหว่างเรา

ผมบอกพี่เหยาเรื่องพี่เก้า กับ พี่นัทไปเรียนต่อแล้ว...แต่เลือกที่จะไม่ถามว่าทำไมพี่เหยาไม่ยอมติดต่อพี่เก้า พี่นัท รวมทั้งพี่เก่ง

พี่เหยาบอกผมเรื่องที่ฟงเคยจีบแฟนไอ้รงค์...แต่ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น

ผมบอกพี่เหยาเรื่องขอแลกสถานที่ฝึกงานกับเพื่อน...แต่ก็ไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไม

พี่เหยาบอกผมเรื่องจะไปงานแสดงสินค้าที่จะจัดขึ้นที่เยอรมันกับทอมในเดือนหน้า...แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เราเหมือนต่างฝ่าย ต่างรอ ว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่ม และจะเริ่มอย่างไร...

“หิวยัง?”พี่เหยาถาม และผมกำลังจะส่ายหน้า พี่เหยาก็ขัด

“แต่พี่หิวแล้ว!”

“ของพี่เอาหนมปังแผ่นเดียว แต่โบโลน่าสองอันนะ...”พี่เหยาแจ้งจำนง ก่อนที่ผมจะพูดอะไรเสียอีก มันทำให้ผมยิ้มขำออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

มันเหมือนที่เราชอบทะเลาะกัน...ความโกรธอาจมีบ้าง หากแต่มิได้เกลียดชัง...เมื่ออีกฝ่ายคุยดี...เราก็ลืมความหมางเมิน

เวลาณ.ตอนนั้นก็คล้ายจะเป็นอย่างนั้น...หากแต่เป็นเพียงแค่...ก็คล้าย...เท่านั้นเอง

ดูคล้ายทุกอย่างจะดีขึ้น...ในแง่ของความรู้สึกและอารมณ์

อย่างที่บอก...มันแค่คล้าย...แค่รอเวลาว่าเมื่อไหร่ความคล้ายที่ว่าจะจบลง...และจบลงอย่างไร

และไม่ใช่ว่า...ใครเจ็บปวด...หากแต่...ใครเจ็บปวดกว่ากัน...

“พี่กินเป๊ปซี่แต่เช้าอีกแล้ว...”ผมพูด เมื่อลุกไปหยิบมื้อเช้าออกมาจากตู้เย็นที่เพิ่งยัดมันใส่เข้าไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว และพี่เหยาหันมาบอกให้หยิบเป๊ปซี่มาให้ด้วย

ผมกล้าพูด เพราะดูคล้าย...อะไรๆจะดีขึ้น

“อยู่บ้านไม่ค่อยกิน ป๊าชอบบ่น...เป๊บซี่มันกัดกระเพาะ...มาม่าก็ผงชูรสเยอะ...แต่ถ้าเป็นหม๊าก็จะบ่นอีกแบบ...เผ็ดมาก จะตกกะ... เปรี้ยวมาก หน้าจะดำ... เค็มไปผิวจะเหลือง ทุกอย่างจืดสนิท...”พี่เหยาบ่น

“แปลว่า...ผมอย่าบ่น?”ผมถามและพี่เหยาพยักหน้า

“บ้านพี่เรียกพี่ว่าจึเหยาหมดทุกคนเลย...ผมลืมไปแล้ว...นึกว่าพี่ชื่อเหยาเฉยๆ”ผมบอกเมื่อหยิบขนมปังออกจากถุง

“ไม่เอาแผ่นบน”พี่เหยาบอก เมื่อเห็นผมหยิบขนมปังแผ่นแรกขึ้นมา

“ผมนึกว่าฟงกับพี่คิมจะเรียกพี่ว่าเฮีย...”ผมบอก แล้วก็หัวเราะ เพราะคำๆนี้ดูไม่ค่อยเหมาะกับพี่เหยาเอาเสียเลย

พี่เหยาแค่ขมวดคิ้ว คล้ายจะพูดแล้วก็เปลี่ยนใจ

“ทำไม พี่จะพูดอะไร?”

“เปล่า...แค่จะบอกว่า...บ้านพี่เรียกก๊อต่างหาก...แปลว่าพี่ชายนั่นแหละ...แม่พี่เรียก พ่อพี่ว่าอาก๊อไง...ไม่ได้ยินเหรอ?”พี่เหยาถาม ตาก็มองแต่ขนมปังที่มือผม

“...นึกว่าชื่อ...ไม่เห็นเคยได้ยิน...ทำไมไม่เรียกเฮีย?”

“ก็คนละภาษา...ไว้เอกพูดภาษาจีนได้แล้วค่อยมาถามเหอะ!”พี่เหยาตัดบทพลางฉีกถุงโบโลน่าส่งให้ผม

“สองแผ่นนะ”พี่เหยากำชับ ก่อนเปิดกระป๋องเป๊ปซี่แล้วยกขึ้นดื่ม และเมื่อวางกระป๋องเป๊ปซี่ลง พี่เหยาก็จัดการเปิดกระป๋องเบียร์ให้ผมโดยไม่ถามความเห็น

แม้จะอยากถามพี่เหยาว่าหลังที่ผมแอบออกจากบ้านพี่เหยาตั้งแต่คืนนั้น ที่บ้านพี่เหยาว่าอย่างไรกันบ้าง

ทั้งที่อยากพูดว่าขอโทษ...อยากบอกให้พี่เหยาเข้าใจถึงเรื่องราวในวันนั้น...แต่เมื่อพี่เหยาคุยกับผม...ยิ้มกับผม...หัวเราะอยู่ตรงหน้าผม...ผมก็ไม่กล้ากลับไปแตะต้องเรื่องเหล่านั้น

เพราะเมื่อพี่เหยานั่งอยู่ตรงนี้...มันก็น่าจะหมายความว่า พี่เหยาไม่โกรธผมแล้ว...แค่นั้นเท่านั้นจริงๆที่ผมต้องการ...ผมจึงไม่อยาก หรือพูดให้ถูกคือ ไม่กล้ากลับไปแตะต้องเรื่องที่จะทำให้รอยยิ้มของพี่เหยาจางหาย...

“ฟงเล่าเรื่องพี่ให้ผมฟังตั้งเยอะ...”ผมบอก พลางส่งขนมปังให้พี่เหยา

ที่มือพี่เหยายังเหลือรอยแผลเล็กๆให้เห็น แม้นึกอยากจะถาม...พี่เจ็บหรือเปล่า..แต่ก็ไม่ได้ถาม เพราะผมยังไม่กล้าแตะต้องเรื่องที่เกิดในวันนั้น

“เรื่องอะไร?”พี่เหยาถาม แต่ดูจะไม่ค่อยสนใจคำตอบผมเท่าไหร่ สนใจก็แต่ขนมปังหนึ่งแผ่นกับบาโลน่าสองแผ่น ที่หมดไปภายในเวลาอันรวดเร็ว

“ท่าทางพี่หิวจัง เอาอีกไหม?”ผมถาม

“ไม่เอาแล้ว...มีทิชชู่หรือเปล่า?”พี่เหยาส่ายหัวและถามกลับ ผมจึงลุกเดินไปหยิบทิชชู่ให้พี่เหยา

“กินคนเดียวไม่อร่อย”พี่เหยาบอกเมื่อรับทิชชู่จากมือผม

“นี่ขนาดไม่อร่อยนะ!ถ้าอร่อยจะเหลือถึงผมไหมเนี่ย?”

“เหลือสิ...แผ่นบนกับแผ่นล่างไง!”พี่เหยาตอบและยิ้ม และผมหัวเราะให้กับคำพูดของพี่เหยา...พี่เหยาเป็นแบบนี้เสมอ อะไรไม่กินก็โยนให้ผม...

พี่เหยาขยับกระป๋องเบียร์ส่งมาให้ผม ผมจึงยกมันขึ้นดื่ม

“พี่ไม่เห็นเคยเล่าเรื่องที่บ้านให้ผมฟังเลย?”

“ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าเล่า...”

“ไม่รู้สิ...เมื่อวันก่อนผมเพิ่งอ่านหนังสือ...ถ้าอ่านก่อนได้คุยกับฟงกับพี่คิมหรือพ่อของพี่ ผมก็คงเฉยๆ...แต่อ่านตอนนี้แล้วผมว่า มัน...มันใช่”

“หนังสือว่าไง?”

“เดี๋ยวเอาให้พี่อ่าน...พูดแล้วมันเน่า...เดี๋ยวพี่หัวเราะผม”ผมบอกก่อนลุกเดินไปหยิบหนังสือ และอดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองเมื่อได้ยินเสียงพี่เหยาหัวเราะ

“เห็นไหม แค่นี้พี่ก็หัวเราะแล้ว!”ผมพูดโดยไม่อาจละสายตาจากริมฝีปากแดงๆของพี่เหยาได้ แม้เมื่อก้มหน้าเปิดพลิกหาหน้าหนังสือที่อยากให้พี่เหยาอ่าน ผมก็ละสายตาจากหนังสือ เงยหน้าขึ้นมองดูพี่เหยาบ่อยครั้ง และพี่เหยาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงมองตอบผมและยิ้ม

“หน้านี้ไง...”ผมบอกพลางส่งหนังสือให้พี่เหยา ตาก็ยังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าพี่เหยา...ที่ยังเหลือรอยยิ้มบางๆอยู่บนริมฝีปากแดงๆของพี่เหยา

“สิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์คือความทรงจำ...ไม่ว่าสุข หรือ ทุกข์... เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นความทรงจำ...ยามนึกถึงความสุขจะอิ่มเอม... ยามนึกถึงความทุกข์ก็ทำให้ดื่มด่ำ”พี่เหยาอ่านและหัวเราะ

“ก็ดีนะ...มีความทรงจำเยอะๆประหยัดตังค์ดี...”พี่เหยาว่า ปากแดงๆของพี่เหยาก็ยังขยับหัวเราะ

“อะไรนะ?”ผมถาม เพราะอ่านมาร้อยรอบแล้ว แต่ก็นึกไม่ออกว่ามันเกี่ยวกับที่พี่เหยาว่าได้ยังไง

“อ้าว!...ก็อิ่มเอม ดื่มด่ำไง...ดีไง...ไม่ต้องกินข้าว กินน้ำ!”พี่เหยาตอบ อย่างเห็นจริงเป็นที่สุด

“พี่คิดได้ไง?!”ผมพูดและหัวเราะ ก่อนลุกขึ้นแย่งหนังสือคืนจากมือพี่เหยา แต่พี่เหยาไม่ยอมปล่อย เราจึงต่างพยายามยื้อหนังสือจากมือกันและกัน...หัวเราะให้แก่กันและกัน...จ้องมองกันและกัน...แล้วพี่เหยาก็ปล่อยมือ ผมจึงเซไปข้างหลังจนเกือบล้ม

ผมมองดูพี่เหยาที่หัวเราะ และรีบยกเท้าขึ้นพาดเหยียดบนเก้าอี้ของผม เมื่อผมเดินกลับมาจะนั่ง...ผมแกล้งไม่สนใจ ทำท่าจะทิ้งตัวลงนั่งทั้งอย่างนั้น พี่เหยาจึงต้องรีบชักเท้าหลบ หากแต่ก็แค่ขยับหลบ ยังไม่ยอมเอาเท้าลงจากเก้าอี้ผม ดังนั้นเมื่อผมนั่งลง ปลายเท้าพี่เหยาจึงสัมผัสกับขาผม

หากจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไร...ก็คงเป็นการโกหก

หากจะบอกว่าเพิ่งรู้สึก...ก็คงเป็นการโกหกเช่นกัน

มันไม่แปลกอะไร...ผมสัมผัสร่างกายที่นั่งอยู่ตรงหน้ามานับครั้งไม่ถ้วน และไม่เคยหยุดปรารถนาจะสัมผัส...ช่วงเวลาที่เหินห่างไป...ความคิดถึงและกระหายในรสสัมผัส มันไม่เคยจาง...ตรงข้าม มันทวีและรุนแรงมากขึ้น...โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเช่นนี้...เวลาที่รอยยิ้มของพี่เหยามันให้ความหวังแก่ผม...เวลาที่รอยสัมผัสของเท้าขาวๆของพี่เหยา มันทำให้ใจผมเต้นระรัว

“ทำไมเอกถึงคิดว่ามันใช่?”พี่เหยาถาม ยกมือขึ้นกอดอก ปากแดงๆยังหัวเราะ

“อะไร?”ผมถามอย่างงงๆ เพราะตอนนี้ลืมหมดแล้วว่าคุยอะไรไป...คิดเห็นก็แต่ภาพพี่เหยาที่นั่งอยู่ตรงหน้า




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-04-2008 19:38:12
“ก็...ความทรงจำต่างข้าวไง!”พี่เหยาช่วยเตือนความจำ ที่พอได้ฟังแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาอีก...หากแต่ก็หัวเราะไม่เต็มเสียงนัก เพราะหัวใจและความรู้สึกของผมกว่าครึ่ง มันหมกหมุ่นอยู่ที่เรียวเท้าขาวๆของพี่เหยา ที่พี่เหยาแกล้งขยับช่วยสะกิดเตือนความจำผมต่างมือ

“ก็...ไม่รู้สิ...ก็ที่ฟงกับพี่คิมเล่าให้ฟังน่ะ มันเศร้ากว่าหนังช่องเจ็ดอีก แต่ก็หัวเราะกันซะท้องแข็ง...”ผมพูดตามที่เห็นจริง แต่พี่เหยาคงไม่เห็นด้วยจึงขมวดคิ้วมุ่น ปลายเท้าขาวๆก็กระดิกไปมาช่วยยืนยันอาการขบคิดของตัวเอง...และมันเสียดสีกับขาผม แม้ผ่านยีนส์เนื้อหนา แต่ใจผมก็ร้อนผ่าว

“คิดอะไร?”ผมถาม นึกอยากแกล้งเอานิ้วไปช่วยนวดหัวคิ้วให้มันเลิกขมวด ส่วนอีกใจก็นึกอยากสัมผัสเท้าขาวๆ ที่สัมผัสโดนขาผมอยู่บ่อยครั้ง

“ก็...ไม่รู้สิ ไม่เคยดูหนังช่องเจ็ด...เห็นน้าสุก็ดูแต่ช่องสามนี่นา!”พี่เหยาว่า คิ้วยังขมวด แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าแค่แกล้ง ผมเลยแกล้งถอนหายใจดังๆบ้าง ทั้งยังแกล้งเท้าแขนลงเกาะขอบเก้าอี้ เบียดเท้าพี่เหยาให้แนบชิดกับขาผมยิ่งขึ้น

“ช่างมันเถอะ...เพราะถึงยังไง ผมว่าเรื่องบางเรื่องถ้าผมเลือกได้...ผมก็ไม่อยากเก็บมันไว้แค่ในความทรงจำ...ยอมหิว”ผมพูดพยายามให้ติดตลก แม้ในใจจะคิดอย่างนั้นจริงๆ และนึกอยากรู้ พี่เหยาจะคิดอย่างผมไหม เพราะเท่าที่ผ่านมาพี่เหยาเก็บผมไว้แค่ในความทรงจำไปแล้ว

“อือ...พี่ก็ยอมหิว”พี่เหยาพูด และคำพูดนั้นก็เหมือนความหวังที่ยิ่งทำให้ผมยิ้มอย่างไม่ตั้งใจ

“เรื่องบางเรื่องก็ไม่เก็บไว้หรอก...ไม่จำ...ยอมหิว!”พี่เหยาพูดต่อจนจบ ด้วยรอยยิ้มราวกับไม่มีความหมายใดต่อผมเป็นพิเศษ หากแต่ความหวังของผมมันก็หล่นร่วงไปทันที

...พี่เหยาหมายถึงผมหรือเปล่า...ผมคิด มองดูริมฝีปากที่ยังขยับยิ้มของพี่เหยา...ผมคิด หากแต่ใจก็ยังจดจ้องที่ปลายเท้าขาว ที่ตอนนี้สัมผัสเบียดชิดกับขาและแขนของผม

“ฟงมันจะจำอะไรได้...จำเอาที่คนอื่นเล่าให้ฟังมาพูดทั้งนั้น...ตอนนั้นมันเพิ่งป.3เองมั๊ง”พี่เหยาพูดและหัวเราะ

“แหวนวงสุดท้ายของหม๊าเอาไปซื้อกุ้ง...แต่วงก่อนๆหน้านั้นไม่ใช่...”พี่เหยาพูด

“พ่อของพี่ก็เหมือนคนจีนทั่วไป...ชั้นไม่มีวันผิด...ชั้นเป็นผู้นำ...ทุกคนต้องฟัง...พ่อพี่เป็นอย่างนั้นมาตลอด...ครั้งนึงที่แม่ถอดแหวนให้พ่อ...พี่เดินเข้าไปในห้องพอดี...”พี่เหยาเล่า ไม่เหลือรอยยิ้มอีกต่อไปแล้ว ตาพี่เหยาจับจ้องไปข้างหน้า หากแต่ผมรู้ พี่เหยามองไม่เห็นอะไรนอกจากความทรงจำที่พี่เหยาบอกว่า...ไม่อยากจดจำ

“พ่อก้มหน้า...พี่ไม่เห็นหน้าพ่อ...พ่อจ้องก็แต่ที่มือแม่...หน้าของพ่อแดง...พ่อยังพูดกึ่งตะวาด...พ่อไม่ได้โกรธ...พี่รู้...พ่ออาย...อายแม่ อายลูก...แม้แต่ความรู้สึกสงสาร ก็ยังกลายเป็นการคิดดูถูก...พี่รู้สึกผิดที่รู้สึกสงสารพ่อตัวเอง...พี่ไม่ได้สงสารพ่อที่ถอดแหวนจากมือแม่...แต่สงสารพ่อ ที่รู้ว่าพ่ออาย เอกเข้าใจไหม?”พี่เหยาหันมาถาม

“วันที่นั่งอยู่ในรถ...มองดูพ่อที่โทรศัพท์เข้าไปถามแม่ว่า พวกเขาไปหรือยัง...ถ้าเลือกได้ พ่อคงไม่อยากให้พี่นั่งอยู่ด้วยตรงนั้น...แต่พี่ก็นั่งอยู่...พี่ไม่กล้ามองพ่อ...พี่รู้พ่อไม่อยากให้พี่อยู่ตรงนั้น...พี่จำไม่ได้หรอกว่าแม่ของพี่เสียแหวนไปกี่วง...จำไม่ได้ว่าเวลาที่โดนตบเจ็บหรือเปล่า...จำไม่ได้ด้วยว่าบ้านหลังเก่ามันต่างจากบ้านหลังใหม่ยังไง...แต่ที่จำได้ไม่เคยลืม คือหน้าของพ่อ เวลาที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองดูหน้าลูก...จำได้ก็แต่ความรู้สึกผิด ที่นึกสงสารพ่อตัวเอง...”

“ทำไมต้องรู้สึกผิดล่ะพี่...รู้สึกสงสารมันผิดตรงไหน?”

“ไม่รู้สิ...เพราะพี่รู้มั๊ง...ว่าพ่อพี่ก็รู้ว่า พี่รู้สึกยังไง...มันยิ่งแย่ ที่รู้ว่าพ่อก็คงรู้ว่า พี่รู้สึกยังไง... เอกไม่เข้าใจหรอก ช่างมันเถอะ!”

“ฟงว่าพี่ทะเลาะกับพ่อเรื่องที่จะไปงานแสดงสินค้าที่เยอรมัน?”ผมถามถึงสิ่งที่รู้มาจากฟง

“อือ...พ่อว่าพี่ใช้ประโยชน์จากทอม...พ่อว่าพี่ไม่เจียม...พ่อบอกว่าความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น พี่กลับไม่เอามันมาเป็นแค่บทเรียน พ่อว่าความไม่มี มันทำให้พี่...ตะกละเกินไป...พ่อว่าพี่ทำตัวเหมือนพวกกลัวจะไม่มี!”พี่เหยาพูดและเค้นหัวเราะในคอ

“แค่ไปงานแสดงสินค้า ทำไมพ่อพี่ต้องว่าขนาดนั้น?”ผมถาม เพราะถ้อยคำที่พี่เหยาพูดล้วนรุนแรง และผมไม่เห็นจริงด้วยสักคำ

ทอมต่างหากที่ทำผิดต่อพี่เหยา...

“เปล่า...พ่อก็แค่เกรงใจทอม...พี่บังคับให้ทอมสอนพี่มากไปมั๊ง...ไม่รู้สิ พ่อแค่หมายความว่าพี่ไม่เกรงใจเท่านั้น...คนแก่ก็ชอบใช้คำเกินจริงไง ฟังแล้วมันจะได้เจ็บๆคันๆดี...เขาไม่รู้หรอกว่า เราฟังไป ขำไป...คันคอแต่ไม่กล้าหัวเราะ!”

“พี่หมายถึง...บางครั้งพ่อพี่ก็ชอบใช้คำแรงๆ...มันจะได้ช่วยกระทุ้งเอาเรื่องเก่าๆที่น่าอายเกี่ยวกับพ่อพี่ออกจากหัวพี่ไปไง!”พี่เหยาบอกและยิ้ม

“ความทรงจำมันใช้ต่างข้าวจริงๆนั่นแหละ!”พี่เหยาพูดออกมาก่อนที่ผมจะทันพูดอะไร

“แต่ไม่ใช่อิ่มจนเอมนะ...จุกจนกินไม่ลงน่ะ!”พี่เหยาบอกและชี้ไปที่หลักฐานคือขนมปังที่ยังเหลือเกือบครบ จะขาดก็แผ่นเดียวที่พี่เหยากินไปแล้ว แต่ก็ตรงกันข้ามกับเบียร์ในกระป๋อง ที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่า มันเหลือแค่ก้นๆ

พี่เหยาเหยียดแขนที่กอดอกไว้ออก ก่อนขยับยกปลายเท้า จะเอาลงจากเก้าอี้...ผมรีบรั้งจับไว้อย่างลืมตัว และรีบปล่อยเมื่อนึกขึ้นได้

พี่เหยาแค่มองผมและยิ้ม

“พี่ยังอยากกินข้าว...อยากอิ่มด้วยข้าว ความทรงจำอะไรนั่น ไม่เอาหรอก...เรื่องบางเรื่องก็ไม่อยากเก็บไว้หรอก...ไม่อยากแม้แต่จะจำ...ไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าเรื่องไหนบ้าง?!”พี่เหยาพูด มองหน้าผมและยิ้ม ก่อนขยับเท้าลงจากเก้าอี้ผม

“แล้วผมล่ะ?”ผมถาม

“ทำไม?...ถ้าเอกอยากขอโทษ พี่ไม่โกรธแล้ว...คิดไปคิดมา จากกันด้วยดีก็น่าจะดีกว่า...พี่เลยมาหาเอกไง...happy endingไง!”พี่เหยาพูดและยิ้มอีกครั้ง

“happy ending มันต้องอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสิ ไม่ใช่จากกันด้วยดี”ผมค้าน

“อยู่ด้วยกันแบบไหนล่ะ?”

“ก็...”

“เอกมีแฟนแล้วไม่ใช่หรือไง...ไม่ได้ขายตัวด้วย...”พี่เหยาพูดด้วยคำพูดของผม...อาจเพราะพี่เหยาเพิ่งพูดถึงสิ่งที่ตัวเองไม่อยากจะจดจำ จึงดูคล้ายพี่เหยาเริ่มไม่พอใจในบางอย่าง

“พี่ก็เหมือนกัน...”พี่เหยาบอก

“อะไร?”

“...พี่มีคนที่พี่รักแล้ว...”

“ทอม?”

“พี่ไม่ได้ขายตัวแล้ว!”

“ผมไม่ได้พูดว่าพี่ขายตัว !”

“พี่ก็ไม่ได้ว่าเอกว่าพี่นี่!...พี่แค่บอกว่าพี่ไม่ได้ขายตัวแล้ว!”

“ทำไมต้องประชดผม?!”

“พี่ประชดอะไร?...พี่ก็แค่บอกว่าพี่ไม่ได้ขายตัวแล้ว!”

“ทำไมต้องพูดคำนี้?!”

“ก็ทำไมจะพูดไม่ได้?...ไม่ใช่เอกหรือไงที่พูด?”

มันเกิดขึ้นรวดเร็ว...หรือจริงๆอาจไม่รวดเร็วอะไรนัก หากแต่พล่าเลือนเกินกว่าที่จะจดจำได้...

ผมจำได้แต่ว่าเราเถียงกัน แต่ก็จำไม่ได้มากกว่านั้น ว่าเราเถียงอะไรกันอีก...จำได้ก็แต่ความปรารถนาที่คุกรุ่นขึ้นมาอย่างน่าแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้นึกแปลกใจในเวลานั้น...อาจเพราะความรู้สึกโกรธที่เข้ามาบดบังความแปลกใจ...แต่ก็จำไม่ได้อีกเช่นกันว่าโกรธเรื่องอะไร...อาจเพราะความปรารถนาที่ครอบงำความนึกคิด...ทุกอย่างสับสน...ผมจึงจำอะไรไม่ได้เลย...

จำได้ก็แต่สองมือของพี่เหยาที่ผลักไสผม..และ.จำได้ก็แต่สองมือของตัวเองที่เหนี่ยวรั้งพี่เหยาไว้

จำได้ก็แต่อาการดิ้นรนและขัดขืนของพี่เหยา...และจำได้ก็แต่อาการดิ้นรน ตะกรุมตะกรามที่จะครอบครองของตัวเอง

จำได้ก็ได้เสียงร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดของพี่เหยา... และจำได้ก็แต่เสียงครวญครางด้วยความสุขของตัวเอง

ครั้งแล้ว...และครั้งเล่า...

ซ้ำแล้ว...และซ้ำเล่า...

จนพี่เหยาหมดแรงดิ้นรน...

จนผมหมด...อารมณ์ปรารถนา...

แม้ตลอดมาผมจะเคยสงสัย ทั้งความรู้สึกตัวเอง และความรู้สึกของคนอื่นๆ...เมื่อไหร่กันคือความรัก...และเมื่อไหร่ที่ไม่ใช่...

ผมเคยสงสัย ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในใจ เมื่อไหร่คือความใคร่ เมื่อไหร่เป็นแค่ความหลงใหล หรือเมื่อไหร่จะเรียกว่าความรัก อีกทั้งความผูกพัน...เราเอาอะไรมาวัด

หากแต่ตอนนี้ เวลานี้ เมื่อความปรารถนาจบลง เมื่อเห็นรอยยิ้มเยาะอย่างดูแคลนของพี่เหยา ที่คล้ายจะบอกว่า สุดท้ายผมก็ต้องการอยู่แค่นี้...มันคล้ายจะเพิ่งรู้ตัวว่า สิ่งที่อยู่ในใจตัวเองคงไม่ใช่ความรักอย่างแน่นอน

ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องไห้...เสียงคร่ำครวญ และร่ำไห้...เสียงนั้นชินหู คล้ายครั้งหนึ่งที่ได้ยินจากทอม

ผมไม่อาจเก็บกลั้นสิ่งใดไว้ในใจได้อีก

ความเสียใจมันกลั่นตัวเป็นน้ำตา...

ความเจ็บปวดมันบีบบังคับให้ผมคร่ำครวญออกมาราวกับคนคลุ้มคลั่ง

ผมผิดหวังกับตัวเอง...เหนือสิ่งอื่นใด ผมผิดหวัง เมื่อรู้และบอกตัวเองได้ว่า...ความรู้สึกของผม มันไม่ใช่ความรัก

แม้เคยสงสัย ความรู้สึกของตัวเองใช่ความรักหรือเปล่า...

และแม้เคยคิดว่า อย่างน้อยผมอยากให้ความรู้สึกที่มีต่อพี่เหยาคือความรัก...

ผมอยากรักพี่เหยา...ผมอยากให้ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อพี่เหยา เป็นความรัก...และเมื่อรู้ว่ามันไม่ใช่ ผมไม่อาจทนรับมันได้

ผมร้องไห้...ไม่ได้ต้องการความสงสาร เห็นใจ หรือการยกโทษ ...สิ่งเดียวที่ต้องการคือ...บรรเทาความเจ็บปวดในใจตัวเองเท่านั้น

ผมร้องไห้... โดยไม่อาจละสายตาไปจากรอยยิ้มเยาะแกมสะใจของพี่เหยาได้...

ผมร้องไห้...ร้องเหมือนวันนั้น วันที่โลกมันพังยับเยินลงเพราะทอม

ผมร้องไห้...เพราะวันนี้ รู้สึกไม่หลงเหลือแม้ตัวตนที่พังยับเยินลงเพราะมือตัวเอง

ผมร้องไห้...เพราะไม่มีครั้งไหนอีกแล้วในชีวิต ที่รู้สึกสะอิดสะเอียนกับความโสมมของตัวเองเท่าครั้งนี้

ผมร้องไห้...ตายังจับจ้องอยู่ก็แต่รอยหยามเหยียด ดูแคลนของพี่เหยา

และแม้เมื่อรอยยิ้มพี่เหยายังเยาะหยัน หากแต่บางสิ่งในดวงตาพี่เหยากลับเปลี่ยนไป แม้มันยังเฉยชาหากแต่ผมก็เริ่มเห็นรอยกังวลและกังขา...

ผมร้องไห้ และเห็นพี่เหยาเริ่มร้องไห้...พี่เหยาไม่ได้มองผมอย่างดูถูก ไม่ได้ยิ้มอย่างดูแคลนแล้ว...

“ไม่เป็นไร เอก...”พี่เหยาพูดปนสะอื้น หากแต่ผมไม่สนใจ ทำก็เพียงร้องไห้และคร่ำครวญหวังว่ามันจะช่วยให้ใจผมหายเจ็บ

“มันเป็นแค่ยาเท่านั้น...เอก...แค่ยา”แล้วพี่เหยาก็พูดในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน...

“ยา?”ผมทวนในสิ่งที่ได้ยิน ตาจับจ้องที่พี่เหยาสลับกับกระป๋องเบียร์เปล่าที่หล่นกลิ้งอยู่บนพื้น...กระป๋องเบียร์ที่พี่เหยาเป็นคนเอามา...เป็นคนเปิด และหยิบยื่น ชวนเชิญให้ผมกินแต่เช้า

“พี่ขอโทษ...พี่...”พี่เหยาพูดปนสะอื้น

มันก็เหมือนกับเรื่องหลายเรื่องที่เกิดขึ้น ระหว่างผม พี่เหยา และทอม...

เราต่างเป็นคนถูกทำร้ายพอๆกับเป็นฝ่ายทำร้าย...

เป็นฝ่ายถูกทำให้เจ็บปวด พอๆกับที่เป็นฝ่ายทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวด

ความสุขกับความทุกข์ มันคลุมเครือแค่ไหน

การที่จะตัดสินว่า เราเป็นฝ่ายทำร้าย หรือถูกทำร้าย ก็คลุมเครือพอๆกัน...

ครั้งนี้ก็เช่นกัน...ผมกับพี่เหยา...ใครทำร้ายใคร

หรือหากพูดให้ถูก...ความสัมพันธ์ของเรานับแต่เริ่มต้น...ใครกันแน่เป็นฝ่ายถูกทำลาย...หรือถูกทำลายมากกว่ากัน...




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-04-2008 19:39:35
“พี่ทำกับผมอย่างนี้ทำไม?”ผมถาม แต่ที่อยากถามกว่าคือ...จวบจนมาถึงวันนี้ พี่ทำให้ผมเกลียดตัวเองไม่พออีกหรืออย่างไร?...ต้องให้ผมชิงชังและดูแคลนตัวเองเท่าไหร่ ถึงจะพอใจ?...ผมอยากถาม หากแต่ก็พูดได้เพียง

“ทำกับผมอย่างนี้ทำไม?”

ผมถามมันซ้ำๆ และคำตอบที่ได้ก็มีเพียงน้ำตาและคำขอโทษของพี่เหยาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“พี่ขอโทษ...”

ผมเจ็บปวด...เมื่อรู้สึกว่าตัวตนของตัวเองถูกทำลายด้วยมือของตัวเอง

แต่เมื่อพี่เหยาบอก...พี่ขอโทษ มันเป็นแค่ยา...

ผมไม่รู้ อะไรเจ็บปวดกว่ากัน...ผมทำร้ายตัวเอง...หรือพี่เหยาทำร้ายผม...

พี่เหยามาหาผมด้วยรอยยิ้ม...มาหาผมพร้อมนำความหวังมาให้ผม...หากแต่เมื่อรู้ว่าแท้จริงมันไม่ใช่...มันตรงข้ามโดยสิ้นเชิง...พี่เหยาทำในสิ่งที่ผมคงไม่มีวันเชื่อว่าพี่เหยาจะทำ หากพี่เหยาไม่พูดออกมาด้วยตัวเอง...

“พี่ขอโทษ...”พี่เหยายังพร่ำพูด

“ไม่ต้องมาขอโทษผม!”ผมตะโกนใส่พี่เหยาจนสุดเสียง ก้มลงหยิบกระป๋องเบียร์ใบเปล่า ขว้างใส่พี่เหยาสุดแรงกำลังแขนของตัวเอง ก่อนทิ้งตัวลงกลิ้งเกลือกร้องไห้บนเตียง

ผมไม่ได้มองดูพี่เหยาอีกแล้ว...ไม่อยากมองอีกต่อไป...

สิ่งเดียวที่มองเห็น คือ น้ำตาที่ยังไม่ยอมแห้งหาย แม้พยายามจะเก็บกลั้นสักเท่าไหร่ก็ตามที

ผมยังคงร้องไห้...แม้เหตุผลจะต่างไปจากน้ำตาเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว...หากแต่ความเจ็บปวดนั้นดุจเดียวกัน หรืออาจจะมากกว่า...ผมจึงยังร้องไห้ โดยที่ใจไม่หายใจลงเลยแม้สักนิด...

จนพี่เหยากลับไปแล้ว...จนผมนอนร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตา ผมถึงได้คำตอบ...เพราะพี่เหยาไม่อยากเก็บผมไว้แม้แต่ในความทรงจำ...

และในที่สุดผมก็บอกตัวเองได้ว่า...การถูกพี่เหยาทำร้าย มันเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไร...

มีดเล่มเดียวกัน...หากต่างมือ...ย่อมทิ้งรอยกรีดลึกได้ต่างกัน

ครั้งหนึ่ง ผมนึกรู้...มีดในมือผม กรีดทิ้งรอยไว้บนผิวเนื้อพี่เหยาได้เจ็บลึกกว่ามีดในมือทอม

และวันนี้ผมรู้...มีดในมือพี่เหยาเอง...ก็กรีดรอยได้ลึกกว่ามีดในมือใคร...มันทิ้งรอยได้เจ็บลึกจนชาไปทั้งหัวใจ...ชาจนไม่เหลือความรู้สึกอะไรอีกแล้ว...

ผมไม่ได้นึกโกรธ หรือเกลียดพี่เหยา...

จริงๆคือ ผมไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร...

สิ่งที่ครั้งหนึ่งผมเคยทำกับพี่เหยา มันไม่ได้ดีไปกว่าที่พี่เหยาทำกับผม...แล้วผมจะกล่าวโทษ หรือถือโกรธอะไรพี่เหยาได้...พี่เหยาแค่ตอบแทน สิ่งที่ผมเคยทำ...พี่เหยาแค่บอกให้ผมรู้ว่า ครั้งหนึ่งพี่เหยารู้สึกอย่างไร เมื่อเป็นฝ่ายถูกผมทำร้าย...ไม่ใช่หมายถึงกาย หากแต่หมายถึงใจ...

ผมจึงไม่กล้ารู้สึกอะไรเลย...

พี่เหยาไม่ได้กลับมาหาผมอีก...

เป็นฟงและพี่คิมที่แวะเวียนมาหาบ้าง

“พี่กลับวันไหน...หม๊ากับป๊าอยากฝากของไปให้พ่อกับแม่พี่...ว่าจึเหยาเคยไปกวนไว้เยอะ”ฟงบอก และผมแค่ส่ายหน้าปฏิเสธ

“ส่ายหัวไม่เอา...หรือไม่เอาน้อยๆ”ฟงถามและหัวเราะ แต่ผมไม่มีอารมณ์จะเสแสร้งแกล้งหัวเราะตาม เพราะผมเองก็แคลงใจ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของฟง จริงใจแค่ไหนกัน...

“อาทิตย์หน้ากลับ...”แล้วผมก็บอกออกไปในครั้งหนึ่งที่ฟงเพียรถาม...บอกออกไปเฉยๆ โดยไม่ได้คิดหรือหวังอะไร

“หม๊าชวนไปค้างบ้าน?”ฟงถามในอีกครั้งที่มาหา และผมปฏิเสธ

“หม๊าชวนกินข้าว...”ฟงถามในอีกบางครั้ง ซึ่งก็เหมือนเดิมคือ ผมปฏิเสธ

วันที่ต้องเดินทางกลับ ฟงมาหาผมแต่เช้า...ผมไม่ได้ไล่ฟงกลับ เพราะก็ไม่ได้รู้สึกอะไรที่ฟงมา...ฟง ช่วยผมเก็บข้าวของที่แทบไม่มีอะไรเลยอยู่ทั้งวันและขับรถไปส่งที่สถานีรถไฟในตอนเย็น

“ทำไมไม่ถามอะไรเลย?”ผมถามฟงระหว่างทางที่นั่งรถไป

“ถ้ารู้แล้วมันดีหรือไม่ดีกว่าล่ะ?”ฟงย้อนถาม

“ไม่ดีกว่า!”ผมตอบ...

...ใช่แล้ว...การไม่รู้อะไรเลยคงดีกว่า...ถ้าเพียงแต่วันนั้น พี่เหยาไม่ลืมกระเป๋าเงินเอาไว้ ถ้าเพียงแต่ผมไม่ตามพี่เหยาไป ผมคงไม่ต้องรู้อะไรเลย...ผมคงได้เป็นน้องชายของพี่เหยาตลอดไป...

“แล้วอันไหนจึเหยามีความสุขกว่ากัน?”

“ไม่...มีความสุขกว่า”ผมตอบ เพราะรู้...พี่เหยายอมทุกอย่าง ขอเพียงอย่างเดียว...ขอให้ทุกอย่างเป็นความลับตลอดไป...

“แล้วอันไหนพี่มีความสุขกว่ากัน?”

“ไม่...มีความสุขทั้งสองอย่าง!”ผมตอบและฟงหันมามองหน้าผม

แม้จะบอกว่าการไม่รู้อะไรเลยคงดีกว่า...แม้จะบอกว่า หากไม่รู้อะไรเลย คงได้เป็นน้องชายของพี่เหยาตลอดไป...หากแต่อีกใจมันก็นึกถาม...ผมอยากเป็นแค่นั้นจริงหรือเปล่า?...

“จบแล้วเหรอ?”ผมย้อนถามฟงบ้าง

“ก็นึกว่าจะไล่ต่อไปอีก ว่าคนไหนจะมีความสุขอีก”ผมอธิบายต่อสีหน้าแสดงคำถามของฟง

“ก็...หมดแล้ว ก็เรื่องของพี่กับจึเหยา...”ฟงตอบ มันทำให้ผมนึกอยากหัวเราะ เพราะสรุปแล้วในความคิดของฟงก็ไม่มีชื่อทอมเข้ามาข้องเกี่ยวเลย

เรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่เหยา...กับผม...มันคงเป็นเรื่องเกินที่ใครจะคาดคิด...ทั้งคนที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุดและคนที่ห่างเหินเรามากที่สุด...คงไม่มีใครสักคนจะกล้าคิด ไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้น...ความลับคือคำที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ...

“ทั้งๆที่พี่เหยาขนาดหยิบปืนขึ้นมา ฟงก็ไม่ติดใจอะไรเลย?”ผมถามเมื่อนึกขึ้นมาได้ และคราวนี้ฟงนิ่งงันไป

“ไม่รู้สิ...เราเลิกพูดถึงมันเถอะ...แต่ถ้าพี่จะพูด พี่ก็ต้องพูดให้หมด!”ฟงพูดเสียงห้วนขึ้น...ผมจึงต้องเลือกว่าจะเลิกพูด...หรือพูดทั้งหมด และผมเลือกอย่างแรก

“แล้วฟงไม่กลัวว่า...”ผมพูดได้เท่านั้น เพราะฟงขัดขึ้นเสียก่อน

“จึเหยาบอกว่าจะไม่ทำอีก!...จึเหยาบอกว่าแค่โมโหแล้วพอดีมันอยู่ใกล้มือ...จึเหยาก็แบบนี้แหละ เวลาโมโหอะไรใกล้มือก็คว้าหมด...ตอนเด็กๆเคยเอากระป๋องนมปาหัวหว่อ!”ฟงบอก พลางชี้ให้ดูแผลเป็นเล็กๆตรงขมับข้างซ้าย

“ก็แค่ปืนเท่านั้นเอง ไม่เห็นมีอะไร...”

“แค่ปืน?”

“อือ...แค่ปืน!”ฟงรับคำ และยิ้ม มันไม่เหมือนรอยยิ้มเฉกเช่นทุกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่แฝงรอยครุ่นคิด...รอยครุ่นคิดถึงอดีต...ถึงความทรงจำที่คงไม่อยากจะเก็บไว้...หากแต่ก็คงไม่อาจที่จะลืมเลือน...

“แต่ก็ดีแล้วไง เป็นหว่อ...ไม่หันปืนใส่ตัวเองหรอก!”ฟงพูดอีกครั้ง และผมไม่แน่ใจฟงหมายความแค่นั้นจริงหรือเปล่า

แล้วฟงก็ไม่พูดอะไรอีก ผมเองก็เหมือนกัน...แม้จะนึกสงสัยว่า ในหัวฟง...ผูกเรื่องราวระหว่างผม พี่เหยาหรืออาจรวมถึงทอมไว้อย่างไรบ้าง...แต่ก็เลือกที่จะไม่ถาม เพราะถ้าฟงตอบ...ผมก็ต้องตอบ อีกทั้งยังนึกรู้ว่า ถ้าไม่มีผม พี่เหยาก็คงไม่ทำอะไรแบบนั้นอีก...แค่นั้นก็ดีแล้ว...ผมคิดและบอกตัวเองอย่างนั้น

“จึเหยาบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้น...ไม่ใช่ความผิดของพี่...ถ้าจึเหยาว่าอย่างนั้น..มันก็ตามนั้น...ก็จบ!”ฟงพูดขึ้นอีกครั้ง เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ

“ฟงกลับไปเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปเอง ของไม่เยอะ”ผมบอก แต่ฟงยืนยันจะช่วยถือของไปส่งที่รถ เพราะของส่วนตัวผมเองน่ะไม่เยอะ หากแต่ของที่พ่อและแม่พี่เหยาฝากไปให้พ่อกับแม่ของผมนั้นเยอะจนน่าจะเปิดร้าขนาดย่อมๆได้อีกสักร้าน

ตลอดทางที่เดิน ผมคิดเพียงว่า อีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้า ผมก็จะไปจากที่ตรงนี้...และคงไม่ได้เจอพี่เหยาอีก

ผมไม่ได้ถามอะไรฟงเลยเกี่ยวกับพี่เหยา ไม่ใช่ไม่กล้า แต่ในหัวมันว่างเปล่าไปหมด จนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองคิดอะไรอยู่หรือเปล่า...อาจจะคิดเพียงแต่ว่า...ปล่อยให้มันจบๆไป

แต่พี่เหยาก็ยืนรอผมอยู่...และแน่นอน...พร้อมกับทอม

เพื่ออะไรนะ?...ผมถามตัวเองในใจ เมื่อเห็นพี่เหยา

“ทำไม?... จะได้จากกันด้วยดี?”ผมถามออกมาเมื่อเดินมาถึงตัวพี่เหยา ไม่ได้ตั้งใจประชด หากเพียงถามตามที่ใจนึกขึ้นมาได้เท่านั้นจริงๆ

“พี่จะเอาอะไรไหม?..น้ำ?...ขนม?...หนังสือไว้อ่านเล่นบนรถ?”ฟงถาม ไม่รู้ว่าเพื่อเปิดทางให้ผมได้คุยกับพี่เหยาหรือเปล่า และผมไม่แน่ใจว่าฟงได้ยินที่ผมร้องถามพี่เหยาหรือเปล่า...

“ไม่เอา...ขอบใจ”ผมปฏิเสธ ไม่นึกอยากมีเวลาอยู่กันตามลำพังกับพี่เหยาสักเท่าไหร่...อีกทั้งถึงฟงไป..ทอมก็ยังยืนปักหลักเป็นเสาอยู่อีกทั้งคน

“ข้าวกล่อง?...หมากฝรั่ง?”ฟงทู่ซี้ถาม

“ไม่เอา เดี๋ยวขึ้นรถปุ๊บจะนอนเลย”ผมบอก

“ไม่เอาอะไรเลยเหรอ?”ฟงถามย้ำ

“เบียร์!”ผมพูด...ไม่ได้คิดประชดอะไรพี่เหยาเลยจริงๆ...เพียงแต่ในหัวมันมีอยู่เท่านั้นจริงๆ

“เอางั๊นเลยเหรอ?...ได้นะ... ถ้าพี่จะเอา ผมน่ะซื้อให้ได้ ยังไงก็ไม่ได้นั่งรถไปกับพี่อยู่แล้ว”ฟงพูดทั้งหัวเราะ และเดินละไป โดยไม่สนใจว่าผมพูดเล่นหรือพูดจริง

ทอมพูดอะไรบางอย่างกับพี่เหยา และเดินตามฟงไป อย่างที่ผมไม่คิดว่าทอมจะทำ

“พี่วางใจได้...ผมจะไม่มาหาพี่อีก”ผมหันไปบอกพี่เหยา เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าพี่เหยาอาจจะมาหาผมด้วยเรื่องนี้

พี่เหยาอาจจะอยากมาย้ำให้มั่นใจว่า ผมจะไม่ก้าวก่ายเข้ามายุ่งในโลกของพี่เหยาอีก

“ไม่ส่งเมล์หาพี่แล้วด้วย...”

“ไม่โทรหาพี่ด้วย...อ๋อ...นี่เบอร์โทรของพี่ คราวก่อนฟงจดให้ผม”ผมล้วงมือหยิบเศษกระดาษในกระเป๋าส่งให้พี่เหยา

“ไม่ต้องห่วง ผมจำไม่ได้หรอก...”ผมบอกเมื่อพี่เหยารับเศษกระดาษจากมือผมไป

“ถ้าบังเอิญเราเจอกัน...หมายถึง เกิดพี่ไปเชียงใหม่...ถ้าเราเจอกัน ก็เฉยๆ ไม่ต้องห่วงผมจะทำเฉยๆ...”ผมพยายามพูด ในสิ่งที่คิดว่าพี่เหยาต้องการ

“แต่พี่ติดต่อพวกพี่เก้าบ้างก็ได้นะ...พี่เก่งเค้าบ่นอยู่ว่าไม่เหลือเพื่อนเลย...รับรองผมจะไม่ถามข่าวคราวพี่จากพวกเพื่อนของพี่เลย”

“จริงๆผมสัญญา...เหมือนไอ้วิทย์กับพี่โอ๋ไง...ต่างคนต่างอยู่...จนตาย...ดีไหม?”ผมพูดและตั้งใจตามนั้นจริงๆ ถ้าพี่เหยาต้องการ

ตลอดเวลาพี่เหยาเพียงเงียบฟังผมพูด...ผมไม่ได้หันไปมองว่าพี่เหยาทำหน้ายังไงตลอดเวลาที่เงียบฟัง...ผมทำเพียงพูดและมองดูขบวนรถไฟที่อีกเดี๋ยว ก็จะทำให้ทุกสิ่งที่ผมพูดเป็นไป

เสียงระฆังเป็นสัญญาณว่าอีกเดี๋ยวทุกอย่างก็จะจบลงดังขึ้น

“ผมต้องไปแล้ว!”ผมบอกพี่เหยา ก่อนก้มลงหยิบของ แต่เมื่อพี่เหยาก้มลงจะช่วย ผมก็กระชากมันจากมือพี่เหยาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

“ผมขอโทษ...ผมไม่ได้ตั้งใจ”ผมบอกเมื่อพี่เหยามองผมราวกับจะร้องไห้

“ผมขอโทษจริงๆ...ผมไม่ได้โกรธพี่นะ”ผมบอกและคิดอย่างชั่งใจ...คิดถึงคำถามที่นึกอยากรู้ตั้งแต่แรกเจอหน้า หรือหากพูดให้ถูกคือ นึกอยากรู้ตั้งแต่พี่เหยาหันหลังจากมา...



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-04-2008 19:40:38
“ผม...ถามอะไรพี่อย่างได้ไหม?”ผมถาม แต่พี่เหยาไม่มีท่าทีสนองตอบอะไร แต่ผมก็ยังถาม

“ทอม...ไม่ได้...ไม่ได้ทำอะไรพี่แล้วใช่ไหม?”ผมถามและพี่เหยาเพียงจ้องมองผมเงียบๆและส่ายหัวในที่สุด

“ไม่มีใครทำอะไรพี่แล้วใช่ไหม?”ผมถามและอีกครั้งที่พี่เหยาส่ายหัว

“ดีแล้ว...”ผมบอกและรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

เมื่อพี่เหยาพูด ผมเชื่อ...พี่เหยาไม่โกหก

ผมรู้สึกโล่งไปทั้งหัวใจ...รู้สึกเบาใจ และเหนือสิ่งอื่นใด...ผมกลับรู้สึกเป็นอิสระ

ในตอนนั้นผมไม่อาจบอกได้ว่าทำไม...เมื่อรู้ว่าพี่เหยาไม่ได้เป็นของทอม...ผมกลับรู้สึกถึงอิสระ รู้สึกคล้ายตัวเองถูกปลดปล่อย...ผมรู้สึกเป็นอิสระขึ้นมาจริงๆ...เป็นความรู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก

หากแต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงณ.วันนี้ ผมบอกตัวเองได้ว่าเพราะอะไร...

เพราะในความเป็นจริง...ผมรู้จักเพียงร่างกายพี่เหยา ก่อนที่ผมจะรู้จักคำว่า...รัก

เพราะในความเป็นจริง...ที่ผ่านมา ผมรู้และยอมรับว่าผมแตะต้องพี่เหยาได้ก็เพียงเพราะทอมอนุญาต

เพราะในความเป็นจริง...ตลอดมา ผมรู้และยอมรับว่าพี่เหยาเป็นของทอม ก่อนที่ผมจะรู้ว่า...ทางด้านของความรู้สึก ผมก็สามารถเป็นเจ้าของใครสักคนได้ หากผมรักคนๆนั้น...และคนๆนั้นรักผม

เพราะในความเป็นจริง...ความสัมพันธ์ของคนอื่น อาจเริ่มต้นจากศูนย์และก้าวเดินไปข้างหน้า...ตรงข้ามกับผม ทุกอย่างมันถอยหลัง...ผมรู้ว่าไม่มีสิทธิ์ ก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองรัก...รู้ว่าพี่เหยาเป็นของทอม ก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองอยากครอบครอง...และรู้จักรสสัมผัสของผิวเนื้อ ตั้งแต่ที่โลกของผมมันยังว่างเปล่า...รู้จักรสสัมผัสของผิวเนื้อ ก่อนที่จะรู้จักรสสัมผัสของเนื้อหัวใจ...

แม้เมื่อรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่เหยาและทอมมันจบลงไปแล้ว...แม้วันนี้ทุกอย่างมันกำลังวนกลับมาที่จุดเริ่มต้นคือศูนย์...หากแต่มันกลับก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ เพราะ...ทุกอย่างมันดูจะสายไปแล้วจริงๆ...

มันมาถึงจุดเริ่มต้น พร้อมๆกับที่มาถึงจุดสิ้นสุด...

ผมจึงรู้สึกถึงอิสระ...การถูกปลดปล่อย...หากแต่คลุมเครือ เพราะทุกอย่างมันสายจนเกินไป...

แต่ต่อไปแม้ไม่ได้พบพี่เหยาอีก...แม้ความสัมพันธ์เรามันจะก้าวเดินไปจากจุดเริ่มต้นไม่ได้...แต่ผมรู้แล้วว่า...แม้ไม่ได้พบ ได้เห็นด้วยตา...แต่พี่เหยาจะปลอดภัยจากสิ่งที่เคยถูกคุกคาม...

“ผมส่งเมล์หาพี่ตั้งหลายฉบับ...ผมบอกอะไรพี่ตั้งหลายอย่าง...อะไรบ้างก็จำไม่ได้แล้ว...แต่อย่างเดียวที่ผมไม่เคยบอก เพราะไม่กล้าก็คือ...บอกว่าผมรักพี่”ผมบอกพี่เหยา โดยที่ตายังจับจ้องอยู่ที่ขบวนรถไฟข้างหน้า...ผมบอกพี่เหยา อาจเพราะคิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว และผมบอกพี่เหยา อาจเพราะ...เป็นครั้งแรกที่คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะรักได้...

“ผมไม่รู้ว่าผมรักพี่หรือเปล่า...ก็คนอื่นเขาพูดไว้ ความรักมันเป็นแต่เรื่องดีๆ...แต่เรื่องของเรา มันมีแต่เรื่องแย่ๆ...แต่ถ้ามันเป็นแต่เรื่องดีๆจริง...ผมก็อยากให้ความรู้สึกที่ผมมีให้พี่เป็นความรัก...ผมอยากรักพี่...”ผมพูด ตายังจับจ้องที่ขบวนรถไฟ...เสียงวู๊ดมันดังขึ้นครั้งแล้วและครั้งเล่า เพื่อบอกว่าเวลากำลังจะหมดแล้ว

“พี่ไม่ต้องห่วงนะ...ผมจะไม่มาหาพี่อีก...เวลาคิดถึงพี่มันทรมานมากๆเลย...ผมรู้...ถ้า พยายามเลิกคิด สักวันมันก็ต้องเลิกได้...แต่ผมจะไม่เลิก...ทรมานก็ไม่เป็นไร...พี่ไม่อยากจำผมไว้ก็ไม่เป็นไร...แต่ผม...”ผมพูดได้เท่านั้น ก่อนพยายามเก็บกลั้นน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหลออกมา

“ผมขอโทษ...ทุกๆเรื่อง...ผมขอโทษจริงๆ...ผมขอโทษ” ผมบอกและหันหลังกลับเดินขึ้นรถ โดยไม่ได้หันกลับไปมองพี่เหยาอีก...

ผมได้ยินเสียงฟงเรียก...เสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมา แต่ผมก็ไม่สนใจ พยายามเร่งฝีเท้าตัวเองให้เร็วยิ่งขึ้น หวังไม่ให้ฟงตามทัน เพราะผมไม่อยากให้ฟงเห็นน้ำตาที่ตอนนี้ผมไม่อาจเก็บกลั้นมันได้อีกต่อไป...

แม้จะคิดว่าจะไม่หันกลับไปมองอีก แต่เมื่อขึ้นไปนั่งอยู่บนรถแล้ว ผมก็อดที่จะหันกลับไปมองไม่ได้...พี่เหยายังยืนอยู่ที่เดิม โดยมีทอมยืนอยู่ข้างๆ...

รถเริ่มแล่นออกจากชานชาลาช้าๆ...พร้อมกับที่เห็นพี่เหยาก้าวเท้าคล้ายจะตามมาข้างหน้า แม้จะเพียงแค่ก้าวหรือสองก้าว และก็หยุด...และทอมยกมือขึ้นลูบหัวพี่เหยาเบาๆ...แล้วรถก็พาผมจากมา...

ภาพสุดท้ายที่เห็นเมื่อพยายามเหลียวหันไปมองจนลับตา คือ...พี่เหยายกมือขึ้น...คล้ายจะเช็ดน้ำตา...

สิ่งที่ผมเห็น มันหมายความว่าอย่างไร?...ผมถามตัวเอง ภาพพี่เหยาที่ก้าวเท้าตามมายังวนเวียนอยู่ในหัว เหมือนภาพทอมที่ยกมือขึ้นลูบหัวพี่เหยา...และภาพพี่เหยาร้องไห้...

ถึงบอกฟงว่า ขึ้นรถปุ๊บ ผมก็จะหลับ...

และถึงจะพยายามข่มตาหลับ...แต่ผมก็คิดเห็นภาพก็แต่พี่เหยา

ผมบอกตัวเองว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว...ผมเตือนตัวเองว่าให้ตัดใจอย่างที่ตั้งใจไว้...เตือนตัวเองว่าพี่เหยาไม่ต้องการให้ผมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพี่เหยา...แต่ภาพสุดท้ายของพี่เหยา มันคอยแต่จะย้ำถามว่า...ที่ผมคิด ผิดหรือถูก?...

นานเท่าไหร่ไม่รู้ ที่คิดเห็นแต่ภาพพี่เหยา...รถไฟแวะจอดชานชาลาแล้ว ชานชาลาเล่า...ผมอยากให้ถึงเชียงใหม่ ถึงบ้านเร็วๆ...ทุกอย่างจะได้จบลงจริงๆ...แต่อีกใจก็คิด...จบจริงหรือเปล่า?...

แล้วรถไฟก็แวะจอดอีกครั้ง...ผมลืมตาขึ้นมองความมืดนอกหน้าต่าง...มองดูสถานีรถไฟที่รกร้างผู้คน...มองดูโทรศัพท์สาธารณะที่เสาต้นเล็กๆ ใต้แสงไฟ...ผมหลับตาลงอีกครั้ง...ก่อนลืมตาขึ้นอีกหน และวิ่งลงจากรถ...

ผมควานหาเหรียญในกระเป๋า...กดเบอร์โทรศัพท์ ที่บอกพี่เหยาว่าจำไม่ได้...ทั้งที่ผมจำมันได้จนขึ้นใจ

เสียงสัญญาณดังแค่เพียงครั้ง...แล้วสายก็ถูกรับ...

เราต่างคนต่างเงียบ...เพราะต่างคนก็ต่างรู้ว่าที่อีกปลายสายคือใคร...

“เอกอยู่ที่ไหน?”พี่เหยาเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน...แม้น้ำเสียงจะราบเรียบ แต่ก็แหบแห้ง...คล้ายผ่านการร้องไห้มายาวนาน

ผมไม่ได้ตอบ...เพราะผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน...

ผมไม่ได้ตอบ...และมองดูรถไฟที่กำลังแล่นจากไป...

“เอก!...เอกอยู่ที่ไหน?”เสียงพี่เหยาถามร้อนรนขึ้น

“ไม่รู้สิ...”ผมตอบในที่สุด พลางมองไปรอบสถานีรถไฟที่ดูคล้ายจะไม่มีสิ่งมีชีวิตสักชีวิตอยู่เลย ยกเว้นก็แต่ผม...

“เอก!...รถไฟมัน...”

“ช่างมันเถอะ!”ผมตัดบท เพราะไม่ใช่เรื่องรถไฟที่อยากพูดกับพี่เหยา ถึงจะยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่อยากพูด...หรือจริงๆคือ ผมมีเรื่องที่อยากพูดเยอะแยะมากมาย หากแต่ไม่รู้จะเริ่มที่เรื่องไหน และอย่างไร...

“เอก! แต่รถมันไม่ได้จอดนานนะ!”

“พี่...รถมันไปแล้ว..”

“ก็แค่รอเที่ยวหน้า...”ผมบอก ก่อนที่พี่เหยาจะพูดอะไร บอกทั้งที่ในกระเป๋ากางเกง มีเศษตังค์อยู่แค่ไม่เท่าไหร่ และมันไม่พอค่าตั๋ว ผมรู้...

“เอกอยู่ไหน?”ผมได้ยินเสียงพี่เหยาถอนหายใจก่อนร้องถาม

“ไม่รู้...”

“ก็ดูสิ!...มันมีป้ายบอกนี่!”พี่เหยาถามด้วยเสียงที่เหมือนตอนผมยังเด็กๆ ที่เวลาพี่เหยาถามอะไรผมก็ตอบไม่รู้ เพราะขี้เกียจ

“พี่เกลียดผมหรือเปล่า?”เป็นอีกครั้งที่ผมไม่สนใจจะตอบ หากแต่มันไม่ใช่เหตุผลเพราะความคร้านอย่างสมัยเด็กๆ เพราะตอนนี้ผมมีสิ่งที่อยากรู้...อยากรู้มากกว่าอะไรทั้งหมดในเวลานั้น

“เอก!...พี่ถามว่าเอกอยู่ไหน?”พี่เหยายังยืนยันคำถามเดิม

“แต่ผมอยากรู้แค่ว่า พี่เกลียดผมหรือเปล่า?”

“...แล้ว...เอกล่ะ?”พี่เหยาเงียบไปก่อนย้อนถามกลับมาเบาๆ

“ผมจะเกลียดพี่ได้ยังไง?”

“พี่หมายถึง...หลังจาก...”พี่เหยาพูดได้แค่นั้น...และผมได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ

...ดูคล้ายคำว่ารักจะห่างไกลจากเราไปทุกที...

เราต่างไม่กล้าถาม...รักหรือเปล่า?...

เราถามเพียง...เกลียดหรือเปล่า?...

เพราะเราต่างรู้...เราทำร้ายกันมามากแค่ไหน...

เพราะนั่นคือสิ่งที่เรากลัวเหลือเกิน...

ถ้าคำว่ารักมันห่างไกลจากเราจนเกินไป...อย่างน้อย เราก็หวังเพียงว่า ขออย่าโดนชิงชัง...

“ถ้าเกลียด...ผมจะโทรหาพี่ทำไม...”ผมพูด นึกอยากถามแล้วพี่เกลียดผมหรือเปล่า...แต่ก็ไม่ได้ถาม เพราะได้ยินเสียงร้องไห้ของพี่เหยา...แม้มันจะเบาแสนเบา แต่ผมก็ได้ยิน...

เวลานี้ผมได้คำตอบแล้ว...ทำไมพี่เหยามาหาผม...

ผมรู้และจำได้...พี่เหยาใจไม่แข็งนัก...แม้จะปฏิเสธ แม้พยายามแข็งขืนต่อความคิดและความรู้สึกตัวเอง พี่เหยาก็มักจะเปลี่ยนใจ ในวินาทีที่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการกำลังจะหลุดลอย...

ผมจำได้...วันที่นั่งรถไปกับพี่เหยา...วันที่ฝนตก...วันที่ผมมีโอกาสได้พูดกับพี่เหยาอีกครั้งหลังจากกลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันมานานปี...วันนั้นผมร้องขอ...ผมถามพี่ได้ไหม?...และพี่เหยาตอบ...ไม่...พี่เหยาคล้ายจะยืนยันเจตนารมณ์ตัวเองจนวินาทีสุดท้าย วินาทีที่ผมบอกกับตัวเองว่าคงหมดหวัง วินาทีที่พี่เหยาชะลอรถ คล้ายจะจอด...วินาทีสุดท้ายจริงๆแล้วพี่เหยาก็เปลี่ยนใจ...

ผมจำได้...วันที่ผมร้องไห้และพี่เหยามองผมอย่างเย้ยหยัน...หากแต่สุดท้ายแล้ว พี่เหยาก็ร้องไห้ และบอกผมว่า...มันเป็นแค่ยา...

ตอนนี้ผมรู้แล้ว ทำไมพี่เหยาถึงมาหาผมที่สถานีรถไฟ...ทำไมพี่เหยาจึงก้าวเท้าตามและร้องไห้เมื่อรถไฟแล่นออกจากชานชาลา...

“ผม...รักพี่...”ผมพูดออกไปในที่สุด และคำตอบที่ได้รับก็ยังคงเป็นเสียงสะอื้นไห้

“จริงๆนะ...ผมรักพี่จริงๆ”ผมย้ำ...ไม่ใช่แค่ย้ำให้พี่เหยารู้...หากแต่ย้ำ ให้ตัวเองรู้ว่าตัวเองพูดออกไปแล้วจริงๆ...ไม่ใช่แค่ยังหลงเวียนวนอยู่ในความคิดตัวเอง

“เอกอยู่ไหน?...เดี๋ยวพี่ไปรับ...”

“ไม่เป็นไร...เดี๋ยวผมรอรถเที่ยวต่...”

“มันไม่ใช่รถเชียงใหม่ลำพูนนะเอก จะได้ชั่วโมงออกคัน!”

“ก็ไม่เห็นเป็นไร...”

“เอก! พี่ถามว่าเอกอยู่ที่ไหน?”พี่เหยา ยังคาดคั้นเอาคำตอบ...

“พี่จะมาทำไม?”ผมถาม เพราะแม้จะรู้แล้วว่าพี่เหยาเองยังต้องการยื้อยุดไม่อยากให้มันจบลง หากแต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่พี่เหยาต้องการ อาจไม่ใช่สิ่งที่พี่เหยาเลือกที่จะทำ...

“...แล้วเอกโทรมาทำไม?”พี่เหยาย้อนถาม

“ไม่รู้สิ...ก็...”ผมพูดได้แค่นั้น

“ก็...ผมบอกให้ตัวเองตัดใจเป็นร้อยรอบแล้ว...แต่มันก็ทำไม่ได้สักที”ผมยอมรับออกมาในที่สุด...

“ถ้าพี่มา...เดี๋ยวมันจะเหมือนๆเดิมอีกหรือเปล่า แค่มาแล้วก็ต่างคนต่างไป...ถ้าแบบนั้น แล้วพี่จะมาทำไม?”ผมถามและพี่เหยาเงียบไป

“พี่ไม่ได้มีอะไรกับท...”ผมถามอีกครั้ง

“เอกเลิกถามแบบนี้สักทีได้ไหม!?”พี่เหยาถาม และสิ่งที่ตามมาหลังคำถามคือเสียงสะอื้นคล้ายไม่อาจเก็บกลั้น

“ผมขอโทษ...ผมแค่อยากถามพี่ว่า...”ผมพูดพยายามเรียบเรียงในสิ่งที่ตัวเองคิด ต้องการ และอยากพูด

“อะไร?”พี่เหยาถามด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก เมื่อผมไม่สามารถพูดให้จบในสิ่งที่ตัวเองอยากพูด

“เปล่า...ก็ผมแค่อยากรู้ว่า...ถ้า...พี่กับทอม...”

“พี่...เราเริ่มต้นกันใหม่ไม่ได้เหรอ...ถ้าพี่ไม่ได้...ผมหมายถึงแค่ผมกับพี่...”

“...ผมขอโทษ...ผมลืมไป พี่บอกว่าพี่มีคนที่พี่รักแล้ว...ผมขอโทษ”




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-04-2008 19:42:05
“เอกก็บอกว่าเอกมีแฟนแล้ว...”

“ไม่มี...ผมมีแต่พี่คนเดียว...ผมเคยมี...แต่...ก็เค้าคล้ายพี่...ผมมีแต่พี่จริงๆนะ”ผมพูด...พูดในสิ่งที่เป็นความจริง เพราะตลอดมา คนเดียวที่ใจผมครุ่นคิดถึงตลอดเวลาก็คือ...พี่เหยา...คนเดียวเท่านั้นจริงๆ...

พี่เหยาเงียบไปนาน และผมเองก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก...รอฟังก็เพียงคำตอบจากพี่เหยา...แต่พี่เหยาก็เลือกที่จะไม่ตอบเช่นเคย...

“เอกอยู่ไหน...นครสวรรค์หรือเปล่า?”พี่เหยาถามอีกครั้งและ คงคาดเดาจากเวลา

“เราเริ่มกันใหม่ได้ไหม?”แต่ผมไม่สนใจจะตอบ

“เอกอยู่นครสวรรค์ใช่ไหม?”

“พี่...”

“เดี๋ยวพี่ไปหาเอกนะ...”พี่เหยาพูด

“หมายความว่า...เราจะเริ่มต้นใหม่ใช่ไหม?”ผมถามโดยไม่อาจปิดบังน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังได้

“เดี๋ยวพี่ไปหานะ”พี่เหยาย้ำอีกครั้งก่อนตัดสาย และผมก็ทำได้เพียงกำหูโทรศัพท์ไว้ และยืนยิ้มอยู่กับมัน

ผมมีความสุข...ไม่ใช่แค่ความสุขจอมปลอมที่หลงหลอกตัวเองอย่างที่เคยพยายามทำ เป็นความสุข เพราะคิดและเข้าใจว่า ผมกับพี่เหยา...เราจะเริ่มต้นกันใหม่ แค่ผมและพี่เหยา...ไม่มีทอม...

ผมมีความสุข...เพราะพี่เหยาบอกว่ากำลังจะหาผม...

ผมมีความสุข...เพราะพี่เหยาไม่โกรธผมแล้วจริงๆ...

ผมควานหาเศษเหรียญในกระเป๋าเท่าที่เหลือ และโทรหาไอ้วิทย์...

นึกถึงที่พ่อพี่เหยาบอก ถ้าเรามีเพื่อนแท้สักคน เราก็เหมือนได้เพิ่มมาอีกหนึ่งชีวิต...วันนั้นผมไม่ได้บอกพ่อพี่เหยาว่า สำหรับผม ผมได้เพิ่มมาอีกสามชีวิต...และเมื่อผมมีความสุข ผมคิดถึงพวกมัน เหมือนเวลาที่ผมมีความทุกข์ ขาผมก็พาให้ผมก้าวไปหาพวกมันโดยไม่รู้ตัว

“ฮัลโหล?”เสียงไอ้วิทย์งัวเงีย แต่มันก็ยังอุตส่าห์รับสาย

“กูเจอพี่เหยา!”ผมบอกมัน และได้ยินเสียงมันหันไปคุยกับใครอีกคน ไม่ต้องถามผมก็เดาได้ว่า ถ้าไม่ใช่ไอ้ชัยก็ไอ้รงค์ หรือไม่ ก็ทั้งคู่

“มึงกลับวันไหน?”มันถามไป หาวไป

“ตั๋วรถกูวันนี้...”

“งั๊นกลับมามึงค่อยเล่า...กูง่วง”

“เฮ้ย...เพื่อนเหี้ยไรวะ...ไม่ห่วงกูเลยหรือไง?”ผมโวยวายถาม ทั้งที่รู้ว่าน้ำเสียงตัวเองไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงสักนิด

“เสียงรื่นอย่างนี้ มึงไม่ตายหรอก แต่กูง่วงจะตายห่าแล้ว”

“ก็ได้!...แต่ตั๋วรถกูวันนี้ แต่กูไม่ได้อยู่บนรถ!”ผมรีบพูด กลัวมันจะตัดสาย

“พูดเหี้ยอะไรของมึง?”และได้ผล เสียงมันดูจะตื่นขึ้นมาอีกนิด

“กูอยู่นครสวรรค์”

“ไปทำเหี้ยอะไร?”

“ก็...”ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เพราะขืนเล่าทั้งหมด ก็คล้ายจะเปิดโอกาสให้มันหลับต่อโดยผมไม่รู้

“เอาว่า พรุ่งนี้มึงไปเอาของกูบนรถให้หน่อยสิ!”ผมบอกและได้ยินเสียงมันถอนหายใจและคล้ายจะขยับตัวลุก

“มึงโทรมาหาเหี้ยไรวะ?...เคยโทรมาแล้วไม่เดือดร้อนกูไหม?”

“เฮ้ย!...อย่าด่าตัวเองสิวะ!”ผมเตือนมัน

“ไอ้สัตว์!”คราวนี้มันเลยเปลี่ยนมาด่าผม

“ก็... กูไม่ห่วงของหรอก... แต่ห่วงของฝากมึงในกระเป๋า...”

“ผ้าพันคอลิเวอร์พลูไง...กูซื้อฝากมึงคนเดียว”ผมพยายามหลอกล่อ

“แต่ถ้าบังเอิญมึงกลับมาเชียงใหม่พร้อมรถเที่ยวนี้ กูก็ได้แต่มองมันตาละห้อยใช่ไหม?”มันถามรู้ทัน และผมหัวเราะแทนคำตอบ

“มึงไปทำอะไรนครสวรรค์ ตกรถแล้วเสือกอารมณ์ดี!”มันถาม ท่าทางจะตื่นเต็มตา

“ไว้กลับไปเล่าให้ฟัง...แต่กูเจอพี่เหยา”

“แล้วไงต่อ?”

“ก็...ยังไม่รู้...แต่น่าจะโอเค...เดี๋ยวเขาจะมาหากู”แม้ตอบมันว่า ยังไม่รู้...หากแต่ผมรู้ว่าน้ำเสียงตัวเองมีความสุข...

“อ๋อ...มึงเลยกระโดดลงรถ?”มันถามผมและคล้ายจะหันไปพูดกับใครที่คงนอนอยู่ข้างๆมัน

“ประมาณนั้น...มึงคุยกับใครวะ ไอ้ชัยหรือไอ้รงค์?”

“ไอ้ชัย!...กูบอกให้มันมาคุยกับมึงที แต่มันไม่เอา...ไอ้เหี้ยรงค์ ถีบเท่าไหร่ มันก็ไม่ยอมตื่น แปลว่าไม่มีใครอยากคุยกับมึง...กูด้วย!...แค่นี้นะ กูจะนอนต่อ!”มันตอบ และผมได้ยินเสียงหัวเราะ ที่น่าจะเป็นของไอ้ชัย

“เฮ้ย!...อย่าเพิ่ง คุยเป็นเพื่อนกูก่อน...ให้ไอ้ชัยมาคุยก็ได้!”

“กูง่วง...โคตรง่วง...ง่วงเหี้ย...ง่วงสัตว์...ง่วงชิบหายเลย!”มันบอกแบบเน้นชัด ทุกถ้อยและทุกคำ

“ง่วงแล้วตายหรือไงว่ะ มึงจำได้ไหม ใครนั่งถ่างตาพิมพ์รายงานให้มึงทั้งคืน ให้มึงได้ไปเกาะขอบสนามดูทีมฟุตบอลในฝันมึง”เมื่อมันทำท่าจะนอนจริง ผมก็ต้องถ่างตามันด้วยบุญคุณ...

“กูก็ซื้อผ้าพันคอพร้อมลายเซ็นมาเซ่นมึงแล้วไง!”

“เออ... แล้วมึงก็มองตาละห้อยทุกครั้งที่มาห้องกู สุดท้ายกูก็ต้องยกให้มึง”

“อ้าว กูนึกว่ามึงเบื่อแล้ว”

“เบื่อหน้าตาละห้อยของมึงน่ะสิ!...แล้วใครแคะกระปุกจนหมดตูดให้มึงยืมเงินแอบแม่ไปดูไมเคิล?”

“แต่มันเลื่อน กูก็ขายบัตรได้กำไรมาให้มึงตั้งสองพัน”

“เออ... แล้วเดือนต่อมามึงก็ทำเป๋าตังค์หาย กูเลยต้องให้มึงยืมทั้งทุน ทั้งกำไร”

“...กูลืม! กูยังไม่ได้คืนมึงนี่หว่า ทำไมไม่ทวงวะ?”

“...กูก็เพิ่งนึกได้...”ผมบอกเพราะเพิ่งนึกได้จริงๆ

“สัตว์! กูนึกว่ามึงมีน้ำใจ...ทวงเนียนนะมึง”

“เออ!รู้ก็คืนมา!...แล้วตอนมึงลืมปิดน้ำให้ห้อง จนน้ำท่วมหอ ใครไปช่วยมึงเช็ด ช่วยมึงเก็บให้ทัน ก่อนแม่มึงจะกลับมาอาละวาด?”

“แล้วใครอดข้าว อดขนมช่วยมึงเก็บตังค์ไปคืนแม่มึงตอนมึงทำเงินแม่มึงหาย?...แล้วยังเดินเป็นเพื่อนมึงกลับบ้านขาแทบขวิด ตอนมึงเอาเงินไปซื้อการ์ดหมด...แล้”

“...ถ้ากูยังไม่ตื่น มึงจะทวงยันชาติที่แล้วเลยหรือเปล่าวะ...บุญคุณมันไร้ค่า เวลาอ้าปากทวงนะโว๊ย!”

“ไม่ได้ทวง แค่เตือน”ผมบอกและได้ยินเสียงมันหาวอีกรอบ

“เฮ้ย...วิทย์!”ผมเรียก

“อะไร?!”มันขานรับ แต่ก็หลังจากถอนหายใจหนักๆให้ผมได้ยิน

“กูมีความสุขว่ะ!”หลังจากที่ได้คุยกับพี่เหยา และหลังจากที่ได้หัวเราะกับไอ้วิทย์...ผมก็บอกได้ว่า...ตัวเองกำลังมีความสุขจริงๆ

เพราะที่ผ่านมาแม้จะอยู่กับพวกมัน...หัวเราะกับพวกมัน...แต่ความสุขก็มักถูกถ่วงไว้ด้วยความความนึกกังวลเสมอๆ...ทุกครั้งที่หัวเราะ ผมมักกังวลและนึกห่วงแหนสียงหัวเราะนั้น เพราะนึกรู้ อีกเดี๋ยวก็จะจบ มันแตกต่างจากเวลานี้ ที่เมื่อหัวเราะ...ผมไม่นึกกังวลอะไรเลย...ผมจึงรู้ตัวว่า...ตัวเองกำลังมีความสุขจริงๆ...

“แต่กูง่วง!”

“กูมีความสุขจริงๆนะ!”

“กูก็ง่วงจริงๆ!”

“จริงๆนะ...กูไม่เคยรู้สึกแบบนี้มา...ตั้งแต่...”ผมพูดกับมันและก็หยุดคิดว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...

ใช่...ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้ รู้สึกมีความสุข รู้สึกเป็นอิสระจากความรู้สึกอันย่ำแย่ น่าชิงชัง เลยนับแต่วันที่พี่เหยาลืมกระเป๋าตังค์เอาไว้...และผมเอาไปคืน และทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...นับแต่วันนั้น...กว่าห้าปี ที่หัวใจและความรู้สึกมันถูกถ่วงไว้ด้วยความรู้สึกอันน่าชิงชัง...ตลอดเวลา...

“ก็ดีแล้วไง...”มันพูด คงรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร

“อือ...ใช่ มันดีจริงๆ...โล่งดีว่ะ!”ผมบอกกับมัน และร้องไห้ออกมาโดยไม่ให้มันรู้

“มึงไปนอนเหอะ...”ผมบอก เพราะตอนนี้ชักไม่อยากได้เพื่อนคุย...อยากนั่งร้องไห้คนเดียว อยากมีความสุขกับความรู้สึกโล่งไปทั้งหัวใจ...อย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในช่วงเวลาหลายๆปีที่ผ่านมา...

“อย่าลืมไปเอาของให้กูนะ!”ผมเตือนมันอีกรอบ พร้อมทั้งบอกหมายเลขที่นั่งและจำนวนสัมภาระให้มัน ก่อนวางสาย และมองหาที่นั่ง เพื่อจมอยู่กับความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงเวลากว่าห้าปีที่ผ่านมา

ผมไม่ได้สนใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่...ไม่สนใจผู้คนที่เริ่มมีผ่านเข้ามาให้เห็น... ไม่สนใจว่าผู้คนเหล่านั้นจะมองผมอย่างไร ที่ผมเอาแต่นั่งยิ้มกับตัวเอง...

แม้จะยังไม่เต็มอิ่มกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น แต่เมื่อใกล้เวลาที่พี่เหยาน่าจะมาถึง ผมไปจับจองม้านั่งตัวยาวทางด้านหน้า กะว่าพี่เหยามาปุ๊บ ผมจะเห็นปั๊บ ทั้งพี่เหยาก็คงจะเห็นผมโดยไม่ต้องเสียเวลามองหาเช่นกัน




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-04-2008 19:43:30
ระหว่างนั่งรอ ผมนั่งวาดภาพเหมือนในหนัง พี่เหยาคงจะเดินมาพร้อมๆกับฉากหลังที่พระอาทิตย์กำลังจะฉายแสง มันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่งดงาม ผมบอกตัวเองว่า ผมจะบอกพี่เหยาว่าผมรักพี่เหยา ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อภาพต่อในความคิดคือภาพเรายืนกอดกัน หน้าพระอาทิตย์ดวงโตๆ เหมือนในหนังไม่มีผิด...และที่ต้องหัวเราะคือ...มีหรือพี่เหยาจะยอมให้ผมยืนกอดในที่แบบนี้...

ผู้คนเริ่มเยอะขึ้น...คงเพราะใกล้เวลารถไฟขบวนใด ขบวนหนึ่งเข้า...ผมเห็นหลายคนยกมือขึ้นดูนาฬิกา...แต่พี่เหยาก็ยังไม่มา

ดูเหมือนอะไรๆสำหรับผมมันก็ดูจะช้าและสายเกินไปเสมอ...

พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เห็นพี่เหยา...

รถไฟเข้ามาและจากไป...เหมือนผู้คนที่เริ่มเปลี่ยนหน้า มาและไป...แต่พี่เหยาก็ยังไม่มา...

ความคิดฝันหวานเริ่มเปลี่ยนเป็นความวิตกและกังวล...พี่เหยาคงไม่ได้นอนทั้งคืน และขับรถตามลำพัง

ผมนึกตำหนิตัวเองที่ไม่เหลือเศษเหรียญสักเหรียญไว้เผื่อเวลาแบบนี้...

แล้วผมก็รู้ว่าทุกสิ่งดูจะไม่เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ...

ผมไม่ได้บอกว่ารักพี่เหยา เมื่อพี่เหยามายืนอยู่ตรงหน้า...

“ผมคิดภาพไว้ว่า พี่จะมาถึงพร้อมมีพระอาทิตย์กำลังขึ้นเป็นแบ็คกราวด์อยู่ด้านหลัง”ผมพูด และพี่เหยาเอียงหัว มองเลยไปด้านหลังผม

ใช่แล้ว...ต่อให้พี่เหยามาทันเวลาพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์มันก็ขึ้นที่อีกด้านอยู่ดี...

“จะให้พี่กลับมาใหม่พรุ่งนี้หรือเปล่า...แล้วด้านหลังโน้นมันมีทาง ไว้พี่จะเดินอ้อมไปด้านโน้น”พี่เหยาบอกพลางชี้มือไปอีกด้านที่ว่า

ผมไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่ได้กอดพี่เหยา ไม่ได้บอกรักพี่เหยา ไม่ได้แม้แต่หัวเราะหรือยิ้มอย่างที่วาดภาพไว้... พี่เหยาเองก็เช่นกัน...

ผมมองดูพี่เหยาที่ยืนอยู่ตรงหน้า...

ใบหน้าและดวงตาพี่เหยา แดงจนช้ำ คงเพราะผ่านทั้งการอดนอน ขบคิด และร้องไห้...

เสื้อเชิ้ตที่ยังเป็นตัวเดียวกับเมื่อวานเย็น ต่างกันก็แต่รอยยับย่น...

เมื่อแรกเจอหน้า...ผมพูดคำพูดชวนขัน และพี่เหยาตอบรับ ด้วยถ้อยความคล้ายๆกัน...ตลอดเวลา พี่เหยากลับกัดริมฝีปากตัวเองไว้จนแน่น...คล้ายหากคลายออกแม้สักนิด น้ำตาก็คงจะร่วงรินออกมา...

ผมจึงเอื้อมมือ จูงข้อมือบางๆของพี่เหยาให้ออกเดินในทางที่พี่เหยาเพิ่งเดินเข้ามา...พี่เหยาไม่ได้ขัดขืน เดินตามแรงจูงของผม...

บ่อยครั้งที่ผมหันไปมอง และพี่เหยาก็มองผม...ตาของพี่เหยาแดงช้ำ แม้จะไม่มีเสียงสะอื้นไห้ หากแต่มันก็เต็มไปด้วยน้ำตา...พี่เหยาไม่ได้ยกมือขึ้นมาเช็ด...กลับปล่อยให้มันไหลรินอยู่เงียบๆ...และจ้องมองผมผ่าน...น้ำตา...

ตราบเมื่อพ้นสายตาใครๆ ผมก็ดึงพี่เหยาเข้ามากอด...และพี่เหยาก็กอดผมแน่น และ...ร้องไห้...

ทั้งที่ผมมีความสุข...หากแต่ผมก็กอดพี่เหยาและร้องไห้...

เรากอดกันและกัน...และร้องไห้...

ผมมีความสุข...หากแต่ไม่รู้ว่า...สำหรับพี่เหยาแล้ว...พี่เหยารู้สึกอย่างไร?

นานกว่าน้ำตาของผมจะเหือดแห้ง...นานกว่าผมจะพาพี่เหยาออกไปจากที่ตรงนั้น...

เราไม่ได้คุยอะไรกันเลย... เมื่อผมขับรถ และมองหาโรงแรม...และพี่เหยายังสะอื้นไห้ ...ตาจับจ้องก็แต่นอกหน้าต่าง...

“พี่คิดอะไรอยู่?”ผมถาม และพี่เหยาแค่ส่ายหน้า หากแต่ไม่ตอบอะไร... ไม่หันมามองผม...

ผมพาพี่เหยาเข้าไปในโรงแรมเล็กๆ ที่มองคล้ายแค่บ้านพักหลังเล็กๆติดถนน...

และแม้จะเป็นเพียงบ้านพักหลังเล็กๆแต่เขาก็ต้องการทั้งบัตรประชาชน และเงินล่วงหน้า ผมจึงทำได้เพียงถอยหลังไปหาพี่เหยาที่ยืนรออยู่ห่างๆ

“เขาจะเอาบัตร...”ผมบอกพี่เหยาค่อยๆ

“ของผมอยู่บนรถ...”ผมอธิบาย เมื่อพี่เหยาส่งสายตาคล้ายจะถาม

“ตังค์ด้วย...ของผมอยู่บนรถเหมือนกัน...”ผมพูดค่อยลงไปอีก เมื่อพี่เหยาหยิบแต่บัตรส่งให้

“ค่าโรงแรมมันถูกกว่าค่าตั๋วอีกนะ...ทำไมเอกทำอะไรไม่รู้จักคิด!”เสียงพี่เหยายังเครือ ตาก็ยังแดง หากแต่ก็ยังดุผมได้

หากแต่พอดุผมเสร็จ ก็ปล่อยให้ตัวเองยืนสะอื้น...ปล่อยให้ผมเดินจูงมือพา เข้าไปในห้องอย่างว่าง่ายอีกครั้ง...

“พี่นอนหน่อยไหม เดี๋ยวผมเอาผ้ามาเช็ดหน้าให้?”ผมถาม เมื่อพาพี่เหยามานั่งลงที่ริมเตียง พลางใช้มือเช็ดน้ำตาที่กลับมาไหลอีกครั้งให้ แต่พี่เหยาก็ส่ายหัว

การร้องขอให้พี่เหยาล้มตัวลงนอนพักดูจะเปล่าประโยชน์พอๆกับการพยายามเช็ดน้ำตาให้พี่เหยา ...ผมหยุดมือที่เช็ดน้ำตาให้พี่เหยา เมื่อเห็นผิวหน้าใต้ดวงตาของพี่เหยาเป็นรอยแดงจนช้ำไปหมด

“ตาพี่ช้ำหมดแล้ว...”ผมบอก และพี่เหยาก็ไม่สนใจ ดูเหมือนสิ่งเดียวที่พี่เหยาคิดจะทำก็คือการนั่งก้มหน้า และร้องไห้

สุดท้ายผมก็ต้องฝืนบังคับให้พี่เหยาล้มตัวลงนอน... หากแต่ตัวผมเองก็ต้องล้มตัวลงนอนอยู่ข้างๆ

ตลอดเวลาที่รอพี่เหยา ผมคิดถึงก็แต่ความสุขเมื่อผมได้บอกพี่เหยาว่า...รัก...

หากแต่เวลานี้สิ่งเดียวที่คิดคือ...ทำอย่างไร ถึงจะหยุดน้ำตาของพี่เหยาลงได้...และน้ำตาของพี่เหยา มีความหมายว่าอย่างไร?...

หากแต่เมื่อไม่มีคำตอบให้ตัวเอง ผมจึงทำได้เพียงกอดพี่เหยาเอาไว้...และพี่เหยาก็กอดผมตอบ

ยิ่งน้ำตาของพี่เหยามันหลั่งรินออกมามากแค่ไหน...ความสุขและความหวังของผม มันก็ยิ่งดูจะลอยหาย...เพราะผมรู้ ความสุขคงไม่ทำให้ใครร้องไห้ได้มากมายขนาดนี้...มีแต่ความทุกข์และสิ้นหวังเท่านั้น...ที่ทำได้

“เราเริ่มกันใหม่ได้ไหม?”ผมถาม เพราะคิดว่าควรเริ่มต้นพูดอะไรสักอย่าง

“ทำไมเอกไม่ปล่อยให้มันจบไป?”แต่พี่เหยากลับถาม...ถามเหมือนที่ครั้งหนึ่งไอ้วิทย์เคยถาม

“ที่ผ่านมา มันไม่เห็นมีอะไรดีสักอย่าง...เอกไม่อยากเหมือนพวกวิทย์ ...เหมือนชัย เหมือนรงค์เหรอ?”

“อยากสิ...”ผมตอบโดยไม่ต้องคิด เพราะที่ผ่านๆมา ผมมองคนอื่นและนึกอิจฉาเสมอ...ผมอิจฉาไอ้รงค์กับแฟนมัน...อิจฉาไอ้ชัย ไอ้วิทย์ ...ที่ดูเหมือนเรื่องเครียดของมันจะมีแต่เรื่องเรียน และเรื่องของผม...

ไม่ใช่ว่าผมคิดว่าคนอื่นๆรอบตัวไม่มีปัญหา...ผมรู้คนทุกคนมีปัญหาไม่ว่าเรื่องใดก็ย่อมเรื่องหนึ่ง...หากแต่คงไม่ต่ำช้า...เป็นเศษซากความรู้สึกอย่างที่ผมเป็น...ปัญหาที่บอกใครไม่ได้...พูดกับใครไม่ได้ เฝ้ารังเกียจตัวเองอยู่ทุกวัน... ฝังตัวเองอยู่กับสิ่งที่รู้ว่าแปดเปื้อนและโสมม...

“งั๊นทำไมเอกไม่ปล่อยให้มันจบ?”พี่เหยาถาม

“จบยังไงล่ะ?...จบแล้วผมจะเหมือนพวกมันเหรอ?...ไม่มีพี่...ผมไม่เอา!”ผมค้านโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาโดยไม่มีพี่เหยา มันยืนยันกับผมได้เป็นอย่างดีแล้วว่า...มันทรมานเหลือเกิน...

“พี่บอกว่า...พี่กับทอมไม่มีอะไรกันแล้ว แล้วทำไมเราเริ่มกันใหม่ไม่ได้ล่ะ?”ผมถามอีกครั้ง แต่พี่เหยาไม่ตอบอะไร ทำก็เพียงจ้องมองผมและร้องไห้...

ผมไม่รู้ว่าพี่เหยากำลังตัดสินใจ...หรือตัดสินใจไปแล้ว...และใจส่วนลึกมันก็ค้านว่า...แน่ใจหรือว่าไม่รู้...น้ำตาของพี่เหยามันไม่ใช่คำตอบหรืออย่างไร?...

“พี่บอกผมซิว่า พี่กำลังคิดอะไรอยู่...”ผมถามและกอดพี่เหยาให้แน่นขึ้น และพี่เหยาก็กอดผมตอบ

“บอกผมซิ ว่าพี่คิดอะไร?”ผมถามอีกครั้ง

“...ไม่รู้...”พี่เหยาตอบ ก่อนซุกหน้ากับอกผมและร้องไห้

ผมเคยได้ยินว่า...การพูด...ทำให้เราได้ปลดปล่อย...ความรู้สึกผิด บางครั้งถูกปลดปล่อยด้วยการสารภาพ...

หากแต่ความจริงที่ผมเคยได้สัมผัส...บางครั้ง...ความลับต่างหากคือสิ่งที่ดีที่สุด...

ความผิดหรือความนึกคิดบางอย่าง เก็บไว้กับตัวดีที่สุด...เพราะเราไม่เคยเข้าถึงใจคนอื่นว่า...เขาคิดอย่างไร...เมื่อเราสารภาพ สิ่งที่ตามมาคือเป็นได้แค่ความหวาดระแวง...

ผมจึงไม่แน่ใจว่า...สำหรับพี่เหยา อะไรแน่คือสิ่งที่ดีที่สุด...การพูด...หรือเก็บงำทุกสิ่งไว้ในใจ...

นานที่ผมกอดพี่เหยาเอาไว้ โดยที่เราไม่ได้คุยอะไรกัน...แต่ในที่สุดพี่เหยาก็เลือกที่จะเริ่มต้นพูด...วันนั้นผมคิดว่ามันคือการสารภาพ...หากแต่เมื่อเวลาเดินทางมาถึง ณ.วันนี้...มันอาจเป็นการสารภาพพร้อมๆกับที่ร้องขอ...

ผมพยายามเงียบฟังในสิ่งที่พี่เหยาพยายามพูด...มันคล้ายพี่เหยาเองก็สับสนในสิ่งที่เกิดขึ้น...สับสนในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก...สับสนในสิ่งที่ตัวเองเลือกที่จะทำ และยังสับสนในสิ่งที่กำลังจะตัดสินใจ

ผมพยายามเงียบฟัง ในทุกคำพูดที่วกวน...ซ้ำไปและซ้ำมา ไม่ปะติดปะต่อ...บางครั้งขาดตอนด้วยเสียงสะอื้นไห้ กับอีกบางคราขาดตอนด้วยสับสน หากแต่ผมก็พยายามเงียบฟัง...พยายามคิดว่าพี่เหยาพยายามจะพูดอะไร...พยายามคิดว่าพี่เหยารู้สึกอย่างไร และพยายามเข้าใจว่าอะไรแน่ที่ความรู้สึกส่วนลึกของพี่เหยาต้องการ...

ที่ผมเคยคิดว่า พี่เหยาไม่ถือโทษโกรธทอม...มาวันนี้ผมรู้ ผมคิดผิด...พี่เหยาไม่เคยยกโทษให้ทอม เฉกเช่นที่ไม่เคยยกโทษให้ตัวเอง...หากแต่ขณะเดียวกัน พี่เหยาก็ไม่เคยที่จะหยุดรัก...ทอม...เฉกเช่นที่ไม่มีวินาทีใดเลยที่พี่เหยาไม่ชิงชังทอม...

พี่เหยาบอกว่าบ่อยครั้งที่ตื่นมาด้วยความรู้สึกหนึ่งและหลับตาลงด้วยอีกความรู้สึกหนึ่ง...กับอีกบางครั้ง ก็เหนื่อย จนไม่อยากจะรู้สึกอะไรเลย...และบางครั้งก็ เกลียดชังความรู้สึกของตัวเอง...

บ่อยครั้งหรือแม้กระทั่งจนวันนี้ พี่เหยายังสับสนว่าอะไรคือความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น กับอะไรคือสิ่งที่คิดหาเหตุและผลเอาเอง...พี่เหยาบอกว่า... พี่เหยาแยกมันไม่ออก บางครั้งคล้ายจะแยกออก หากแต่สุดท้าย ก็ไม่อาจเชื่อแม้ในสิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่อ...




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-04-2008 19:45:04
พี่เหยาชิงชัง และไม่อาจยกโทษให้ทอมได้ เมื่อเห็นทอมหัวเราะ...และพี่เหยาก็ชิงชังและไม่อาจยกโทษให้กับตัวเองได้ เมื่อเห็นทอมร้องไห้ และเจ็บปวด...

พี่เหยาบอกว่า...มีบางครั้งที่ทอมอยากก้าวถอย อยากยับยั้งในสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามยับยั้งใจตัวเอง...พี่เหยาจะเป็นฝ่ายยั่วยุให้มันเกิดและเป็นไป เมื่อผมถามว่าทำไม...พี่เหยาร้องไห้และตอบว่า...จะปล่อยให้มันจบลงง่ายๆได้ยังไง!...

เพราะทุกครั้งที่พี่เหยาเจ็บปวด...พี่เหยารู้ ทอมจะเจ็บปวดกว่า...ในทุกครั้งที่พี่เหยาโดนทำลาย...พี่เหยารู้ ตัวตนของทอมก็ผุกร่อนลงเรื่อยๆเช่นเดียวกัน...ดังนั้น ในบางครั้งพี่เหยาจึงเป็นฝ่ายเรียกร้องหาความเจ็บปวดเพียงเพื่อคืนความเจ็บปวดที่ยิ่งกว่านั้นให้กับทอม...และสุดท้ายตัวเองก็เจ็บปวดยิ่งขึ้นไปอีก...และสุดท้ายก็โดนทำลายด้วยกันทั้งสองฝ่าย...

“ยาก็หาง่ายพอๆกับถุงยางนั่นแหละ!”พี่เหยาบอกอย่างนั้น

แม้ผมนึกอยากจะค้าน...เพราะบางสิ่งที่รู้และเป็นไป เพียงการยั่วยุไม่น่านำพาให้เกิดได้...ดังนั้นมันจึงเป็นอีกหนึ่งคำถามว่า...พี่เหยายั่วยุให้เกิด หรือทอมนึกอ้างถึงการยั่วยุนั้น และฉกฉวยโอกาสให้มันเกิด...ทอมยังคงได้ในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา หากแต่ความรู้สึกผิดสุดท้ายยังย้อนคืนสู่พี่เหยา...และเช่นเคย... ทอมคนเดียวเท่านั้นที่รู้คำตอบ...

ยิ่งกว่านั้น ผมนึกถึงวันนั้น วันที่ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนช่วยให้พี่เหยาไม่ต้องไปกับทอม...ผมจำได้วันนั้พี่เหยาดูหวาดหวั่นกับการกล่าวปดกับทอม...พี่เหยาขับรถอย่างคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว...มันไม่ใช่การเสแสร้งผมรู้ หากแต่มันขัดกับสิ่งที่พี่เหยากำลังพูด...พูดว่าบางคราตัวเองเป็นฝ่ายยั่วยุให้เกิด...

คำพูดในวันนี้ เพื่อกล่าวร้ายตัวเอง...เพื่อหวังปกป้องทอม หรือเป็นความสับสน หรือว่าเป็นความจริง...ผมไม่อาจแน่ใจ...และแม้หากจะเอ่ยปากถาม บางทีพี่เหยาเองก็อาจจะสับสนเกินกว่าจะรู้ความจริงที่เป็นไปเช่นกัน...ผมบอกตัวเองอย่างนั้น เมื่อมองดูน้ำตาที่ไม่มีทีท่าจะเหือดแห้งเลยของพี่เหยา

มันจึงเป็นอย่างพี่เหยาว่า...ความจริงของสิ่งที่เกิด กับการคิดหาเหตุและผลเอาเอง นั้นยากเหลือเกินที่เราจะแยกแยะว่าอะไรแน่คือสิ่งที่เป็นไป

และไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไร...หากแต่มาวันนี้ผมจึงได้รู้...เมื่อเห็นน้ำตาที่ดูท่าจะไม่มีวันเหือดแห้งของพี่เหยาผมจึงได้รู้...สำหรับพวกผม ความจริงมันไม่สำคัญสืบไป...เพราะไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ...พี่เหยาย่อมเจ็บปวดกับความจริงนั้น...หากไม่เจ็บปวดจากการกระทำของตัวเอง ก็ย่อมเจ็บปวดจากการถูกทรยศจากทอม...ดังนั้นแล้ว ความจริงจึงไม่สำคัญ...ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องขวนขวายหาคำตอบ...สิ่งที่ดีที่สุดคือฝังมันเอาไว้ ในความทรงจำที่แม้มิอยากจำก็จำต้องจดจำ...และแม้อยากจะลืม ก็ย่อมรู้ว่า...จะไม่มีวันลืม...

พี่เหยายังบอกว่า พี่เหยารู้ว่า วันนั้นไม่ใช่ผม...เมื่อผมถามว่ารู้ได้อย่างไร...

“...ทำไมพี่จะไม่รู้ล่ะ?...”พี่เหยาถามอย่างนั้นและยิ้มทั้งน้ำตา

พี่เหยาบอกว่าพี่เหยารู้...และต่อมาทอมก็สารภาพในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด...ทอมเฝ้าเพียรพยายามและร้องขอให้พี่เหยาติดต่อกับผม และทุกครั้งที่มาเชียงใหม่กับทอม ทอมเพียรพยายามพูดให้พี่เหยากลับมาหาผม.. .หากแต่พี่เหยาก็ยังเลือกที่จะหันหลังให้ผม...

ผมถามพี่เหยาว่าทำไม...พี่เหยาตอบว่า...ถ้ากลับมา ทอมก็จะหลุดพ้นจากความรู้สึกผิด และนั่นคือสิ่งที่พี่เหยายอมไม่ได้...

ผมถามว่าทำไมทอมต้องรู้สึกผิด...ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ทอมเลือกที่จะทำมาตลอด และคล้ายว่าทอมเองก็ไม่น่าจะแน่ใจในความสัมพันธ์ของผมและพี่เหยา...พี่เหยานิ่งเงียบไปกับคำถามของผม คล้ายลังเลหากแต่สุดท้ายพี่เหยาก็ไม่พูดอะไร...

ผมจึงถามพี่เหยาว่า...หมายความว่าพี่เหยาจะไม่มีวันกลับมาหาผมใช่หรือไม่... อีกครั้งที่ พี่เหยาไม่ได้ตอบในสิ่งที่ผมถาม หากแต่ปล่อยให้น้ำตาไหลรินต่อไปเงียบๆแทนคำตอบ

แล้วพี่เหยาก็บอกว่า...มีครั้งหรือสองครั้ง ความสุขจากอะไรบางอย่าง มันทำให้พี่เหยาพร้อมจะยอมปล่อยมือจากทอม...พี่เหยายิ้ม หากแต่ไม่ได้บอกว่าอะไรคือความสุขที่ว่านั้น และอะไรที่บีบบังคับให้พี่เหยาเปลี่ยนใจ...ผมไม่ได้ถามพี่เหยาว่า...ผมใช่ไหม ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นไป...เพราะผมรู้ว่าคำตอบจะคือ...ใช่...

พี่เหยาบอกว่า...ก่อนกลับบ้าน เป็นครั้งแรกจริงๆที่ได้คุยกับทอม...ทอมร้องขอเหมือนผม...เริ่มต้นใหม่ได้ไหม? ที่ผ่านมาให้ลืมได้ไหม?...

“พี่บอกทอมว่า...”พี่เหยาพูดและจ้องมองผม ก่อนจะพูดต่อเบาๆ

“พี่...พี่มีคนที่พี่รักแล้ว...”

มันคงเป็นอีกครั้งที่พี่เหยาพร้อมจะยอมปล่อยมือจากทอม...ผมจำได้ รอยยิ้มยินดีของพี่เหยา...จำได้ว่าพี่เหยามาขอคุยด้วย หลายต่อหลายครั้งด้วยรอยยิ้ม และผมก็ปล่อยปัดโอกาสไปทุกครั้ง

วันนี้ผมได้รู้...รอยยิ้มนั้นมีความหมายว่าอย่างไร และคล้ายมันจะสายไปอีกเช่นเคย...

วันนี้ผมได้รู้...ทำไมทอมถึงทำร้ายพี่เหยา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นตัวเองคลุ้มคลั่งราวกับจะขาดใจเมื่อเห็นพี่เหยาโดนทำร้าย...และมันก็คล้ายจะสายไปสำหรับทอมด้วยเช่นกัน...

มันน่าขัน เมื่อพี่เหยายอมปล่อยมือจากทอม และเลือกผม...ผมปล่อยปัดโอกาสที่ตัวเองเฝ้าเรียกร้องอยู่เสมอนั้น และทอมไม่อาจทำใจให้ตัวเองยอมรับความผิดหวัง...เราต่างพาตัวเองเข้าสู่วังวนและหนทางเดิม...

“ผมขอโทษ...”ผมบอกพี่เหยา เพราะไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีไปกว่านั้นได้อีก...

ผมบอกพี่เหยาว่าทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว...มันจบไปแล้ว...

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...ทำไมทุกครั้งเอกถึงคอยมอง...คอยถามว่า...”พี่เหยาถามแม้ไม่อาจจบประโยคด้วยแรงสะอื้น หากแต่ผมรู้พี่เหยาหมายความว่าอย่างไร...

“มันจบ...แต่ไม่มีอะไรสักอย่างที่ผ่านไป...ไม่มีหรอก...”พี่เหยาบอก

“พี่จำได้ว่าตัวเองทำอะไร...เหมือนที่เอกก็ไม่เคยลืมว่าพี่ทำอะไร...พี่จำได้ว่าเอก...เห็นอะไร แล้วเอกก็จำได้ว่าตัวเองเห็นว่า...พี่ทำอะไร...”

“จำได้แล้วทำไมล่ะ?...ผมก็ยังจำอย่างอื่นได้เหมือนกัน!”ผมค้าน

“เพราะมันไม่ได้อยู่ที่เอกจำได้...แต่มันอยู่ที่พี่รู้ว่า เอกจำได้ไงล่ะ...หน้าพี่ด้านไม่พอนะเอก จะได้ไม่รู้สึกอะไรเลย...กับพวกวิทย์ด้วย..กับทั้งพวกวิทย์ หรือพวกไอ้เก้า ไอ้นัท...”

“พวกพี่เก้าไม่รู้”

“เอกรู้ได้ยังไง ?...ทั้งพ่อเอก ทั้งแม่เอก เอกแน่ใจได้ยังไงว่าไม่มีใครรู้?”พี่เหยาย้อนถาม และผมได้รู้...ตลอดเวลาที่พี่เหยาอยู่เชียงใหม่ ตลอดเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับทุกคน ตลอดเวลาที่พี่เหยายิ้มและหัวเราะ พี่เหยารู้สึกยังไง...

กว่าห้าปีที่ผมจมตัวเองลงกับความรู้สึกอันเลวร้าย...หากแต่สำหรับพี่เหยา มันยาวนานกว่านั้นมาก...

“พวกพี่เก้าไม่รู้จริงๆ”ผมยืนยัน

“แต่รงค์รู้ใช่ไหม?”พี่เหยาย้อนถาม มันทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่ไอ้รงค์ก็เคยถาม...กูเหมือนรู้เหรอ?...ใช่แล้ว...แล้วผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกพี่เก้าไม่รู้...แม้ไม่มีเหตุผลที่พวกพี่เก้าน่าจะรู้...แต่ผมจะแน่ใจได้อย่างไร...อีกทั้งพ่อกับแม่...แน่ใจได้อย่างไรว่า พ่อและแม่ไม่นึกเห็นหรือแคลงใจในความสัมพันธ์ของทอมและพี่เหยา...สายตาของคนที่ผ่านโลกมามากกว่า พ่อกับแม่อาจมองเห็นอะไรมากกว่าที่ผมเห็น...ยิ่งหลังจากวันที่ผมร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตายในวันนั้น...ผมแน่ใจได้อย่างไร ว่าพ่อกับแม่ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ...

“แล้วแฟนรงค์ล่ะ?”พี่เหยาถาม เมื่อผมไม่ได้ตอบพี่เหยาว่าไอ้รงค์รู้หรือเปล่า

“มันไม่เล่าหรอก!”ผมบอก และครั้งนี้ผมมั่นใจ ไอ้รงค์ไม่มีทางพูดอย่างแน่นอน

“เอกรู้ไหม?...ตอนที่ฟงมันชี้ให้ดู มันจีบใครอยู่...เอกรู้ไหม ตอนนั้นพี่รู้สึกยังไง?”

ผมไม่ได้ตอบ หากแต่กระชับอ้อมแขนที่กอดพี่เหยาเอาไว้...

ผมจำได้...วันอันเลวร้าย หลังวันลอยกระทง...วันที่พี่เหยาถาม ถ้าน้าสุรู้เอกจะทำยังไง?...ผมไม่มีคำตอบ เพราะนึกรู้ว่านั่นคือสิ่งที่ผมยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้...ผมยอมซ่อนตัวอยู่ในความขลาดกลัว...เพราะสิ่งเดียวที่นึกกลัวคือ...ถ้าแม่รู้ จะทำอย่างไร...

“พ่อกับแม่ไม่รู้หรอก...พี่ก็รู้...พ่อกับแม่ผมชอบพี่จะตาย ถ้าแลกได้ คงอยากได้พี่มาเป็นลูกชายยิ่งกว่าผมอีก...”ผมบอก ในสิ่งที่น่าจะเป็นความจริง

“แฟนไอ้รงค์ก็ไม่รู้...พี่ก็รู้จักไอ้รงค์นี่...แต่ไอ้รงค์รู้...เพราะตอนนั้น...มันก็อยู่ แต่มันไม่ยอมมา...มันยังจะเลิกคบพวกผม ถ้าหน้าไอ้วิทย์ไม่เจ่อแบบนั้น...”พวกบอกเล่าความจริง ที่พี่เหยาไม่เคยรู้ ที่ผมไม่เคยอยากจะพูดถึง

“ลอยกระทงปีที่แล้ว พวกมันยังบ่นถึงพี่เลย...ไม่มีใครให้แกล้ง...ผมจำวันที่เราไปเที่ยวงานลอยกระทงกันได้...จำได้ว่าเราใส่เสื้อหนาวตัวเดียวกัน...จำได้ว่าผมกอดพี่ไว้ จำได้ว่าพวกไอ้วิทย์มันนั่งกันเงียบกริบ แอบมองเรา...จำได้ว่...”ผมพูดได้แค่นั้น เพราะพี่เหยากอดผมแน่น และสะอื้นไห้ มันทำให้ผมรู้ว่า...ภาพของแสงโคมเต็มท้องฟ้าในคืนนั้น มันไม่ชัดเจนเท่าภาพของความเลวร้ายในอีกหนึ่งวันหลังจากนั้น...

เราเลยไม่ได้คุยอะไรกันอีก...

เป็นอีกครั้งที่ยากจะบอกว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร...มีหวังอยู่หรือเปล่า?...

ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยหวังว่าพี่เหยาจะเลือกผม ไม่ใช่ทอม...วันนี้พี่เหยาบอก...พี่บอกทอมว่า พี่มีคนที่รักแล้ว...ใจผมน่าจะยิ่งเต็มตื้นด้วยความสุขและสมหวัง...หากแต่มันกลับเบาโหวง

ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยอยากให้พี่เหยาเกลียดและชิงชังทอม...วันนี้ผมรู้ พี่เหยาชิงชังและไม่เคยยกโทษให้กับทอม...ผมควรจะดีใจ หากแต่ความรู้สึกมันเฉยชา

มันน่าขำ...พี่เหยาหันหลังให้กับผม เพราะไม่ยอมยกโทษให้กับทอม...

ผมยังกอดพี่เหยาไว้...ไม่ได้พูดอะไรอีก แม้ยังมีอีกมากมายหลายเรื่องที่อยากถาม แม้มากมายอีกหลายเรื่องที่ยังดูคลุมเครือ หากแต่ก็นึกรู้... พี่เหยาเองอาจไม่มีคำตอบ แม้ในสิ่งที่ตัวเองเลือกจะทำ...

ผมจึงไม่ได้ถามอะไรอีก ทำเพียงกอดพี่เหยาไว้...ปล่อยให้พี่เหยาร้องไห้...สะอื้นไห้ และหลับไป โดยที่ผมยังคงกอดพี่เหยาเอาไว้...ผมรู้ วันและคืนที่ผ่านมา พี่เหยาคงผ่านทั้งการขบคิดและร้องไห้ ผมจึงได้แต่หวังว่า หลังจากที่พี่เหยาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ใจพี่เหยาคงจะสงบลงบ้าง...

ผมนอนคิด...นอนกอดพี่เหยาไว้...นอนมองห้องพักเก่าๆ ที่กลิ่นอายดูจะไม่ต่างนักจากม่านรูดราคาถูกที่เคยบังคับฝืนพาพี่เหยาเข้าไปหลายต่อหลายครั้ง...

...เอกจำได้ว่าพี่ทำอะไร...จำได้ว่ามองเห็นอะไร...พี่เหยาบอก และผมต้องยอมรับ...ไม่มีสักสิ่งที่ผมลืมเลือน...ตั้งแต่วันแรกนับจากรู้รสสัมผัสของผิวเนื้อพี่เหยา ผ่านการชักจูงของทอมที่แทบจะเรียกว่าจับมือทำ...จนวันนี้...ไม่มีสักอย่างที่ผมลืม...ใช่แล้ว ไม่มีอะไรเลยที่ผมลืม...

“นอนต่อก็ได้...”ผมบอกและกระชับแขนที่กอดพี่เหยาไว้ให้แน่นขึ้น เมื่อพี่เหยาขยับตัวคล้ายจะตื่น...




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-04-2008 19:58:17
แสงแดดที่เมื่อแรกเดินเข้ามาในห้อง ส่องแสงจ้าทะลุผ่านผ้าม่านเนื้อบางผืนขาว ตอนนี้ดูจะคล้อยแสง บ่งบอกว่าเวลาน่าจะผ่านเลยไปจนบ่ายแล้ว

เวลามันผ่านไปหลายชั่วโมง...หลายชั่วโมงที่ผมเฝ้าทบทวน...ทุกสิ่งที่ผมจดจำได้ และผมก็มั่นใจ...ผมจดจำได้ทุกอย่างจริงๆ อย่างที่พี่เหยาว่า...

“ผมจำได้ทุกอย่าง อย่างพี่ว่าจริงๆนั่นแหละ...”เมื่อไม่เห็นว่าพี่เหยาจะมีทีท่าว่าจะหลับตาลงอีกครั้ง ผมจึงพูดก่อนขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงพนักเตียง โดยที่พี่เหยายังนอนพาดแขนกอดเอวผมไว้

พี่เหยาไม่ได้ร้องไห้แล้ว...หากแต่ก็ยังกอดผมเอาไว้...

“ผมจำได้ว่าตัวเองทำเรื่องแย่ๆอะไรไว้กับพี่บ้าง...แต่พี่รู้ไหม ตอนลอยกระทงปีนั้น ผมสัญญากับตัวเองจริงๆนะ ว่าต่อไปจะไม่ทำอย่างที่ผ่านมากับพี่อีก...”ผมบอกพี่เหยา ที่ทำเพียงแต่เงียบฟัง ไม่พูดไม่โต้ตอบอะไร...

“ก็ตอนเห็นพี่ยิ้ม...เห็นพี่หัวเราะ...ผมมีความสุขจริงๆนะ...แต่ว่าหลังจากนั้น...”ผมพูดแค่นั้น พี่เหยาก็กอดผมแน่น คล้ายไม่อยากให้ผมพูดถึงมัน...

“...มันแย่มากๆเลย...สิ่งที่เกิดขึ้น...ผมกลัว...กลัวว่าถ้ายุ่งกับพี่อีก...ผมกลัวว่าเขาจะทำกับพี่อย่างนั้นอีก แล้วผมก็ไม่มีปัญญาทำอะไรสักอย่าง...ไม่รู้สิ...แล้วก็เหมือนพี่เชื่อเขามากกว่าผม...ไม่รู้เหมือนกัน...คิดว่าจะไม่ยุ่งอีก แต่ผมก็กลัวว่าพี่จะคิดว่าผมทิ้งพี่อีก...ผมไม่รู้จะทำยังไงดี...”ผมพูด นึกถึงตารางเวลาโง่ๆที่ตัวเองทำ นึกถึงข้อความที่พี่เหยาเขียนทิ้งไว้...ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้...

“พี่จำตอนที่เขาไม่อยู่ แล้วผมก็ไปอยู่กับพี่ได้หรือเปล่า?...ตอนนั้นผมแอบไปดร็อปsummer...ที่บอกว่าไม่ได้เรียนน่ะผมโกหก”ทั้งที่เคยคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกให้พี่เหยารู้ หากแต่ครั้งนี้ผมก็เลือกที่จะบอก...ผมอยากให้พี่เหยารู้...ไม่ใช่ให้รู้ว่า ผมทำอะไรไปบ้าง หากแต่ให้รู้ว่า เวลาที่ได้อยู่กับพี่เหยา มันมีความหมายกับผมมากมายแค่ไหน

“ผมจำได้ทุกๆเรื่องจริงๆ...จำได้ว่าพี่ชอบแกล้งผม ชอบมารื้อโน่นรื้อนี่ในร้าน ให้ผมคิดตังค์ แล้วก็หยิบไปแต่เป๊ปซี่กระป๋องเดียว...จำได้ว่าพี่ชอบสอนหนังสือผมผิดๆถูกๆ สุดท้ายผมต้องเสียเวลามานั่งอ่านเองตลอด...”

ผมยังพูดต่อไปเรื่อยๆ...พูดในสิ่งที่จดจำได้... แม้คำตอบเดียวที่พี่เหยามีให้ผมจะคือความเงียบ...

“จำได้ว่าตอนแรกๆผมเรียกพี่ว่าพี่เย้าๆ...แล้วพี่ก็ตบหัวผม ตอนนั้นผมโคตรโมโหเลยนะ แต่พี่ตัวโตกว่าผม แล้วก็ไม่สนิทกันด้วย ผมเลยไม่กล้าหือ... แต่พี่กล้าตบหัวผม...แล้ววันหลังๆก็เอาไม้บรรทัดโขกหัวผมเป็นประจำเลย”

“ตอนเด็กๆเวลาป๊าสอนหนังสือให้พี่กับฟงกับคิม...ป๊าก็ให้เอามือมาวางไว้บนโต๊ะคนละข้าง...ตอบผิดก็เอาไม้บรรทัดเคาะข้อนิ้ว...”พี่เหยาพูดเบาๆ หากเพียงเท่านั้น ผมก็ดีใจ

“อือ...แต่ผมจำได้ว่า พอพี่เคาะหัวผมเสร็จ พี่ก็ชอบพูดว่า...อ้าว ไม่ผิดนี่ โทษทีๆ...”ผมแย้งและพี่เหยายิ้ม

“จำวันแรกที่เจอกันได้ด้วย...ไม่ใช่วันที่พี่เล่าว่า เกือบโดนรถชนตายทั้งคู่นะ...หมายถึงวันที่พี่มาอยู่เชียงใหม่วันแรก แล้วผมเอาจดหมายไปให้พี่...วันแรกเลยที่เราเจอกัน...ตอนนั้นไม่อยากให้พี่มาเลย เพราะเมื่อก่อนผมจะเก็บจดหมายไว้ให้เขา แล้วเขาจะให้ตังค์ผม..พอส่งจดหมายให้ พี่ไม่พูดอะไรกับผมสักคำ...”

“พูด...พูดว่าขอบใจ...”พี่เหยาค้าน

“ไม่ได้พูด!”

“พูด...”

“งั๊นมั๊ง...แต่ผมว่าพี่ไม่ได้พูดนะ...”

“พูดสิ...”

“พี่จำได้จริงๆเหรอ?”ผมถามและพี่เหยาพยักหน้ารับแทนคำตอบ

“แล้วพี่จำได้ไหม...หนังเรื่องแรกที่พี่พาผมไปดู เรื่องอะไร?”ผมถาม

“...จำไม่ได้...”พี่เหยานิ่งคิดไปก่อนตอบเบาๆ

“ผมก็จำไม่ได้...แต่จำได้ว่าเป็นเรื่องที่พี่อยากดูแต่ผมไม่อยากดู...จริงๆพี่พาไปดูกี่เรื่อง พี่ก็เลือกแต่หนังที่ตัวเองอยากดูทุกที...พี่บอกว่าพี่เป็นคนออกตังค์ พี่ก็ต้องเป็นคนเลือก”

“ก็เอกชอบดูแต่หนังตลก...”

“อ๋อ!...ใช่ มีครั้งหนึ่งพี่ให้ผมเลือก...แล้วพี่ก็เดินออกจากโรงตอนหนังเล่นไปแค่แปล๊บเดียว...เฉินหลงออกมาตั้งสองนาทีมั๊ง... ทิ้งผมเฉย!...พี่บอกว่าเสียเงินแล้วทำไมต้องเสียเวลานั่งดูอีก!”ผมพูดและอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะวันนั้นผมจำได้ว่าวิ่งตามออกมาด้วยความโมโห แล้วก็เจอพี่เหยานั่งรออยู่ที่บันไดหน้าโรงหนัง...พี่เหยาไม่เสียเวลานั่งดูจริงๆ แต่เลือกที่จะนั่งรอเฉยๆหน้าโรง... หลังจากนั้นเลยเป็นประเด็นถกกันระหว่างเรา ผมมักถามพี่เหยาเสมอว่า...เฉินหลงทำอะไรผิด...เดินผ่านจอไม่กี่นาที พี่เหยาก็ลุกหนีซะแล้ว...

“ก็ไม่ได้บอกให้เอกตามออกมานี่ เอกตามออกมาเอง...”พี่เหยาพูดและยิ้มคล้ายจะกำลังนึกเห็นในสิ่งเดียวกัน

“ก็ใครจะไม่ตกใจล่ะ อยู่ดีๆก็เดินออกไปเฉย ผมก็วิ่งตามสิ!...จำได้ไหม?...พอดูหนังเสร็จ พี่ก็ชอบพาผมไปกินไอติม แล้วก็ซื้อการ์ตูนให้ด้วย...ตอนนั้นสนุกดีนะ พี่ว่าไหม?”ผมถาม และพี่เหยาไม่ตอบ หากแต่ผมเห็นพี่เหยายิ้ม และกระชับแขนที่กอดผมไว้อีกครั้ง

“ดีจังที่พี่จำได้...พี่รู้ไหมผมกลัว...กลัวว่าพี่จะจำได้แต่เรื่องที่ผมทำแย่ๆกับพี่...”

“ตอนที่ไปเที่ยวลอยกระทงด้วยกัน...”ผมพูดอีกครั้งและพี่เหยากอดผมแน่น ผมรู้...พี่เหยากำลังคิดถึงอะไร แต่ผมก็เลือกที่จะพูดต่อ

“ผมชวนพี่ไปงานไม้ดอก...พี่จำได้ไหม?...แต่ในหัวผมน่ะคิดเผื่อไปวันอื่นด้วย...ผมกะว่าวันสงกรานต์จะพาพี่ซ้อนมอเตอร์ไซด์ขี่รถเล่นรอบคูเมือง...คราวนี้จะไม่เอาพวกไอ้วิทย์ไปด้วย กะจะไปกับพี่แค่สองคน...ก็ตอนวันลอยกระทง ...สนุกจะตาย ...ผมอยากให้เป็นอย่างนั้นทุกวัน...คิดว่าหลังจากวันนั้น เราจะอยู่ด้วยกันทุกๆวัน...”

“วันนั้นผมมีความสุขมากๆเลย แต่ก็ยังไม่ที่สุด...พี่รู้ไหม วันไหนที่ผมมีความสุขที่สุด?”ผมถาม และไม่รอให้พี่เหยาตอบ ผมก็บอกพี่เหยา

“เมื่อวานไง...ทั้งตอนที่พี่บอกเรื่องพี่กับทอม แล้วก็ตอนนั่งรอพี่...”

“ผมรักพี่จริงๆนะ...”ผมบอก และพี่เหยาก็ไม่ได้พูดอะไรเลย

“พี่บอกผมหน่อยซิ...ว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่?”ผมถาม และขยับตัวลงนอนอีกครั้ง ใบหน้าเราห่างกันแค่นิดเดียว...พี่เหยาไม่ได้หลบตาผมอย่างที่ผมคิดไว้ หากแต่จ้องมองผม อย่างที่ผมเองก็จ้องมองพี่เหยา

“ตาพี่แดงหมดเลย”ผมพูด ค่อยๆไล้นิ้วเบาๆบนเปลือกตาที่แดงช้ำเพราะผ่านการร้องไห้ และน้ำตาของพี่เหยามันก็ไหลออกมาอีกครั้ง

“พี่อย่าร้องสิ...ตาพี่แดงหมดแล้ว”ผมบอกและจูบเบาๆที่ตาที่แดงช้ำของพี่เหยา และพี่เหยาก็สะอื้นออกมา

“ผมอยากอยู่กับพี่ทุกวัน...ไปดูหนังด้วยกัน...กินข้าวด้วยกัน...ไปเดินเที่ยวด้วยกัน แล้วก็กอดพี่ไว้ เหมือนตอนวันลอยกระทง...เหมือนตอนนี้...”ผมบอกและพี่เหยาก็ยิ่งร้องไห้มากขึ้น

“เราเริ่มกันใหม่นะ?”ผมถามอีกครั้งและอีกครั้ง แม้คำตอบของพี่เหยาจะยังคงเป็นเสียงร้องไห้เฉกเช่นเดิม

ผมเฝ้าถาม เพราะผมรู้แล้วว่า ไม่อาจปล่อยมือ...ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเอง หากแต่เพราะผมรู้ว่าถ้าผมปล่อย พี่เหยาก็คงจมลงสู่ความรู้สึกเดิมๆ...ชิงชัง...สิ้นหวัง...ไร้ทางออก...

มันจริงอย่างที่พี่เหยาว่า...สำหรับผมและพี่เหยา อดีตเป็นเพียงสิ่งที่ผ่านพ้น หากแต่มิอาจหลุดพ้นจากมัน...แต่ผมก็รู้ว่า สำหรับเรา มันไม่สำคัญว่าจะทำอย่างไรให้หลุดพ้น...สิ่งที่ทำได้ คือ ทำอย่างไร ให้ก้าวไปข้างหน้าได้ โดยไม่ดึงอดีตเหล่านั้นให้ย้อนกลับมาทำร้ายเราอีก...ผมจึงเฝ้าแต่ถาม...

“เริ่มต้นใหม่นะ?...ผมสัญญาทุกอย่างที่พี่ อยากให้ผมสัญญา...ผมรู้จริงๆนะว่าผมทำได้...”ผมถามและจูบพี่เหยาเบาๆที่แก้ม

“...นะพี่?... เราเริ่มต้นกันใหม่นะ?”ผมยังเฝ้าถาม แม้คำตอบที่ได้จะเป็นเพียงแค่น้ำตาของพี่เหยา

“เริ่มต้นใหม่นะ?...ผมสัญญา ผมจะตามใจพี่ทุกอย่างเลย...อะไรก็ได้ จะไม่ขัดใจพี่สักอย่างเลย”

“จะไม่ทำให้พี่โกรธ...จะไม่ทำให้พี่เสียใจอีก...”ผมพูดได้เท่านั้น แล้วพี่เหยาก็กอดผมแน่น ซุกตัวกับอกผมและร้องไห้ออกมา...

“เริ่มต้นใหม่นะ?”ผมถาม

“แล้วห้ามถามว่า...”พี่เหยาพูดออกมาในที่สุด หากแต่ก็ไม่จบประโยค แต่ผมก็รู้ว่าพี่เหยาจะพูดอะไร แม้อยากตอบ อยากรับปากกับพี่เหยา ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะเพียงได้ยินสิ่งที่พี่เหยาร้องถาม ผมก็ร้องไห้ออกมาและกอดพี่เหยาไว้แน่น

“ไม่ถามหรอก ผมจะถามได้ยังไง...”ผมพยายามพูดออกมาในที่สุดแม้ว่าจะยังคงร้องไห้ และยังคงกอดพี่เหยาที่ยังคงร้องไห้เอาไว้

“ถ้าถาม...”พี่เหยาถาม หากแต่ผมไม่รอให้พี่เหยาถามจบ

“ไม่ถาม!...มันไม่เหมือนกันนี่ ตอนนั้นกับตอนนี้...มันไม่เหมือนกัน ...พี่เป็นของผมคนเดียวแล้ว ผมจะถามพี่อย่างนั้นอีกทำไม!”

“พี่ ผมขอโทษ...”ผมบอกพี่เหยาอีกครั้ง...

เวลานั้นผมไม่รู้ ทำไมผมถึงพูด...ผมขอโทษ...หากแต่เวลานั้น มันเป็นสิ่งที่ผมอยากพูด...ในเวลานั้นมีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่ผมอยากพูดและอยากบอกพี่เหยา...

หากแต่เมื่อเวลาเดินทางมาถึงณ.วันนี้...วันที่ไม่หลงเหลือน้ำตาอีกแล้ว...ผมรู้...ผมขอโทษ...เพราะสำหรับผมในเวลานั้น...ความรู้สึกผม มันบอกว่า มันจบลงแล้วจริงๆ สำหรับความทุกข์ ความผิดหวังที่ผ่านมา...มันจบแล้ว และกำลังพร้อมจะเริ่มใหม่...ผมจึงบอกพี่เหยาว่าผมขอโทษ สำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา...และกับอีกบางสิ่งที่ผมอยากบอกพี่เหยา...

“ขอบคุณครับ...”ผมกระซิบบอกพี่เหยา

“ผมสัญญา...ผมรักพี่นะ...”ผมบอกพี่เหยาอีกครั้ง และยังคงเฝ้าบอกอีกหลายต่อหลายครั้งว่า...ผมรักพี่...

เมื่อทุกอย่างผ่านไป...แม้ผมจะไม่อาจลืมในสิ่งที่เกิดขึ้นและผ่านไปได้...แม้ความทรงจำของเราจะไม่ได้งดงามอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง..

ยามที่นึกถึงความสุข มันไม่ได้อิ่มเอม...ยามนึกถึงความทุกข์ก็ไม่ได้ดื่มด่ำอะไรเลย...

หากแต่สำหรับผม...มันมีค่า...

เราไม่เคยพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกันอีก...เพราะแม้มันมีค่า หากแต่มันคือบาดแผลที่เรารู้ว่า เราต่างไม่มีวันลืม...

บ่อยครั้งที่ยังเห็นพี่เหยามองออกไปนอกหน้าต่าง...เหม่อลอย ครุ่นคิด และเจ็บปวด...ผมไม่เคยถามว่า...พี่คิดอะไร?...เพราะผมรู้...ผมจึงเพียงกอดพี่เหยาเอาไว้ และพี่เหยาก็ยิ้มและกอดผม...เท่านั้นก็เพียงพอ...

อย่างที่บอก เพราะอดีตสำหรับเรา...มันผ่านพ้น หากแต่เราไม่เคยหลุดพ้น...เพียงอยู่กับวันนี้ได้...เท่านั้นก็พอสำหรับเรา...เท่านั้นจริงๆ

เราจึงไม่เคยพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วอีก...

...เพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ผมบอกพี่เหยาว่า...แม้สิ่งที่ผ่านมามันจะเจ็บปวด แม้ในช่วงเวลานั้น ผมเคยภาวนาขออย่าให้มันเกิดขึ้น เฝ้าแต่คิดว่าทำไม มันถึงเกิดขึ้นกับผม เคยคิดว่าสามารถเอาทุกอย่างในชีวิตเข้าแลก ขอให้มันเป็นแค่ความฝัน เพราะมันเจ็บปวดเหลือเกิน... หากแต่เมื่อเวลาเดินทางมาถึงทุกวันนี้...ผมบอกพี่เหยาว่า หากความเจ็บปวดเหล่านั้น เป็นหนทางที่ทำให้ผมกับพี่เหยาเดินมาถึง ณ.วันนี้...ผมก็ยินดียอมรับมัน...

“...พี่ก็เหมือนกัน...”พี่เหยาบอกผมอย่างนั้นแล้วก็ยิ้ม...

จบ...หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ



--------------------

จะมี บทส่งท้ายสำหรับเรื่องนี้อีก 1 ตอน 
และตอนพิเศษ หรือจะเป็นแค่คืนหนึ่งแห่งความทรงจำ เป็นเรื่องสั้นที่อาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยก็ได้ (ต้องอ่านดู)
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Mono_Koro ที่ 06-04-2008 20:26:39
งือ :m15:

ซึ้งอ่ะ

น้ำตาใหลอีกเเล้ว

กระซิก กระซิก :sad2: :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Mono_Koro ที่ 06-04-2008 20:39:35
จบซะทีเนอะ o7 o7


ขอบคุณคุณทิพย์กับคุณภักDมากคับ


เรื่องนี้ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองในหลายๆอย่าง


ไว้คราวหน้าถ้ามีผลงานอะไรอีก


จะตามไปเป็นกำลังใจให้เเน่นอนคับ



 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13




หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: animob ที่ 06-04-2008 20:50:47
เป็นนิยายที่ชอบมากอีก 1เรื่อง ขอบคุณคนเขียนและคนโพสต์มากครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 06-04-2008 21:38:00
วันนี้ไม่ขอเม้นต์ฯ เพราะทุกอย่างมันงดงาม เกินจะเม้นต์ฯ ได้

ขอบคุณ คุณภัคD, ขอบคุณพี่ทิพย์ครับ





นี้สำหรับตอบแทนเรื่องราวดีๆ ที่นำมาเสนอ >>>  :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 06-04-2008 22:59:25
เข้ามากดบวกให่ทิพและ  :o12:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 07-04-2008 00:30:52
ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-04-2008 07:10:32
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # บทส่งท้าย

หลังจากวันนั้น ระหว่างผมกับพี่เหยา...เราก็ต้องต่างคนต่างกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง

การมีคนรักที่อายุมากกว่า รับผิดชอบมากกว่า แถมเป็นพี่เหยา คนที่ดูจะเลือกทำสิ่งที่ต้องทำ ก่อน สิ่งที่ควรทำ และทำสิ่งที่ควรทำก่อนสิ่งที่อยากทำ...ความสัมพันธ์ของเราเลยวิ่งวนอยู่ตามสายโทรศัพท์...

ทอมยังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตพี่เหยา...หากแต่ แปลก...ผมไม่เคยระแวง สงสัยหรือแม้แต่กังวล...

“แล้วตัวเหี้ยนั่น เดี๋ยวนี้เป็นไงบ้าง?”คือคำถามที่ไอ้วิทย์มักใช้ถามถึงทอม...

ผมไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมากนักให้พวกไอ้วิทย์ฟัง...ไม่ได้เล่าว่าพี่เหยาคิด รู้สึก หรือ หวาดระแวงอะไร...ไม่ได้บอกพวกมันว่าทำไม พี่เหยาถึงหนีหายหน้าไป...พวกมันก็ไม่ได้ถาม

การเห็นหน้าอยู่ทุกวันๆ...เห็นพี่เหยาหัวเราะ พูดคุย หรือแม้แต่โกรธ หรือเสียใจ กลับไม่ทำให้เราเห็นบาดแผลในใจของพี่เหยา ได้เท่ากับเวลาที่ไม่เห็นพี่เหยายืนอยู่ตรงหน้า...หนึ่งปีที่หายไป มันจึงบอกอะไรได้มากเพียงพอจนพวกมันไม่ต้องเอ่ยถามอีก...

แรกๆ เวลาที่พี่เหยามาเชียงใหม่ พี่เหยายอมเจอก็แค่ผม แม้ไม่ถึงกับปฏิเสธ หากแต่ก็พยายามหาเรื่องบ่ายเบี่ยงทุกครั้งที่ผมชวนไปเจอพวกไอ้วิทย์ จนไอ้วิทย์มัดมือชก ตามไปเจอแบบไม่ให้บ่ายเบี่ยงได้นั่นแหละ...พี่เหยาถึงไม่มีโอกาสบ่ายเบี่ยงอีก...ไม่มีใครถามถึงช่วงเวลาที่ขาดหายไป... ทุกอย่างคล้ายจะปกติ...และต้องใช้เวลา หากแต่ไม่นานนัก ทุกอย่างก็กลับไปเป็นปกติ...หลังๆเวลาพี่เหยามาเชียงใหม่ จึงนัดเจอพวกไอ้วิทย์เสมอ และลับหลังพี่เหยาไอ้วิทย์ก็มักถามผม

“แล้วตัวเหี้ยนั่น เดี๋ยวนี้เป็นไงบ้าง?”

“พูดไม่เพราะเลยมึง ยังไงเขาก็เป็นผู้ใหญ่น่ะโว๊ย!”ไอ้ชัยแย้ง

“แล้วให้เรียกไง?”ไอ้รงค์ถามและหัวเราะ เหมือนเดาได้ว่า คำตอบไอ้ชัยก็คงไม่น่าจะดีสักเท่าไหร่

“แล้ว...ตัวเงิน ตัวทอง...นั่น เดี๋ยวนี้เป็นไงบ้าง!”ไอ้ชัยตอบอย่างที่ไอ้รงค์คาดไว้ไม่มีผิด

ผมไม่มีคำตอบให้พวกมันมากนัก ไม่ว่ามันจะเรียกทอมว่าอะไร ผมรู้เพียงแต่ว่า พี่เหยาคงโกรธมาก หากรู้ว่าไอ้วิทย์และพวกมันเรียกทอมว่าอย่างนั้น...ผมจึงไม่เคยเรียกทอมอย่างที่พวกมันเรียก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่ผมไม่เคยเกลียดทอมน้อยลงเลยแม้สักนิด...

แต่ต่อมาพวกมันก็เลิกถาม เมื่อผมตอบมันในครั้งสุดท้ายที่มันถามถึงว่า...ทอมกำลังเข้ารับการบำบัดทางจิต...

พี่เหยาบอกผมอย่างนั้น...ทอมไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยแล้ว และไม่ได้กลับไปบ้าน หากแต่อยู่ที่ไหนสักแห่ง เพื่อเข้ารับการบำบัดทางจิต...

ครอบครัวพี่เหยาไม่รู้...เดินทางท่องเที่ยว...นั่นคือสิ่งที่ครอบครัวพี่เหยาได้รับการบอกกล่าวจากทอม

มีแต่พี่เหยาเท่านั้นที่รู้...พี่เหยาบอกผม และร้องไห้...

ผมไม่เคยรู้และอาจไม่มีวันรู้ว่า...เรื่องที่ผ่านมา สำหรับทอม มันเจ็บปวดแค่ไหนกับสิ่งที่ตัวเองเลือกที่จะทำ

ผมอยากบอกพี่เหยาว่า...มันไม่ใช่ความผิดของพี่เหยา...เพราะเราต่างคนก็ต่างทำร้ายตัวเอง เองต่างหาก...แต่ผมก็ไม่ได้พูด ได้แต่กอดพี่เหยาและบอกพี่เหยาว่า...มันอาจเป็นการเริ่มต้นสำหรับทอมเช่นกัน...

ทอมไม่ได้ติดต่อมาหาครอบครัวพี่เหยาบ่อยนัก หากแต่ตรงกันข้าม ทอมยังคงโทรหาพี่เหยาอยู่บ่อยๆ คอยส่งข่าวอย่างสม่ำเสมอ...ผมไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจ เพราะนึกรู้ว่า สิ่งที่ทอมทำมิใช่เพื่อตัวเอง หากแต่เพื่อพี่เหยา...เพราะหากทอมหนีหาย คนที่จะเสียใจที่สุดคงเป็นพี่เหยา...

อย่างที่บอก ผมไม่เคยเกลียดทอมน้อยลง ดังนั้นผมจึงไม่สนใจเรื่องของทอมมากมายเท่าไหร่นัก ทั้งหลังจากที่ทอมจากไปแล้ว หรือแม้แต่ก่อนหน้านั้นที่ทอมยังอยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพี่เหยา ผมสนใจก็แต่คิด แต่นึกหาวิธีว่าจะทำยังไงให้ผมมีเวลาอยู่กับพี่เหยามากขึ้น และแน่นอนว่าต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง เหมาะสม และควรกระทำ โดยมีบรรทัดฐานที่ชื่อจึเหยาเป็นมาตราวัด

และการที่ผมซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว จะทิ้งพ่อแม่ไปหางานทำที่กรุงเทพ แม้พี่เหยาไม่ต้องบอก ตัวผมเองก็ทำอย่างนั้นไม่ลง

ดังนั้นการใช้ชีวิตด้วยกัน แบบที่ใจอยาก ดูจะเป็นเรื่องห่างไกลเสียเหลือเกิน...

แล้วพระเจ้าก็เข้าข้างผม หลังจากทอดทิ้งผมมาเสียนาน แม้จะเข้าข้างไม่เต็มร้อย แต่ก็ขยับระยะห่างระหว่างผมกับพี่เหยาให้ใกล้เข้า แม้ไม่ใช่ปัจจุบันแบบทันด่วน แต่ก็เหมือนทางที่ค่อยๆทอดระยะให้ถึงกัน

“พวกนายทุนที่กรุงเทพ เขามาเล็งๆที่แถวบ้านกู แม่กูก็ลังเลอยู่เหมือนกัน”ไอ้ชัยเล่าให้ฟัง อันเป็นจุดเริ่มต้นของทางลัดย่นระยะห่างของผมกับพี่เหยา

“เขาจะซื้อไปทำไม?”ไอ้วิทย์ถามอย่างสนใจ อันผิดปกติวิสัยที่เคยเป็น

“ไม่รู้...แต่เห็นว่าถนนจะตัดผ่าน ที่มันเลยน่าจะขึ้นราคา”ไอ้ชัยกลับเป็นฝ่ายตอบแบบไม่สนใจเท่าไหร่ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเริ่ม

“ไม่เดือดร้อน ก็เก็บไว้รอขึ้นก่อนสิวะแล้วค่อยขาย”ไอ้วิทย์แนะ

“ทำถนนที โครงการตั้งหลายปี...”

“แล้วไง?”

“ก็กูอยากไปเรียนต่อบ้าง”ไอ้ชัยบ่น มันบ่นคำนี้มาตั้งแต่พี่เก้า กับพี่นัทเก็บกระเป๋าไปเรียนต่อ หรือจริงๆแล้วอาจจะก่อนหน้านั้น...บ้านมันไม่ได้ยากจน อาจจะเรียกว่าร่ำรวยเสียด้วยซ้ำ หากแม่มันยอมแปลงที่ดินกว่า100ไร่กับบ้านเรือนไทย ไม้สัก ที่มีเสาขนาด 2 คนโอบ ร่วม10ต้นเป็นเงินสด

“ทำไมต้องไปเรียนต่อ?”ไอ้วิทย์ถามคำถามเดิมๆ ที่ถามทุกครั้งที่ไอ้ชัยบ่นอยากไปเรียนต่อ เพียงแต่วันนี้แตกต่าง

“มึงอยากทำงานบริษัทเหรอ แต่กูอยากหาอะไรทำมากกว่า...มึงดูอย่างไอ้ตัวเหี้ยนั่นสิ หาเงินได้ตั้งเท่าไหร่ จากของที่อยู่แค่ปลายจมูกมึง!”

“แล้วมึงจะทำอะไร?...ทำอย่างทอมเหรอ เริ่มยังไงกูยังคิดไม่ออกเลย”ไอ้ชัยถาม

“แถวบ้านมึง มีแต่บ้านเก่าๆใช่เปล่า?”

“พูดซะเสียเลยมึง โบราณโว๊ย ไม่ใช่เก่า!”

“เออ นั่นแหละ...มีแต่บ้านไม้ ทั้งนั้น มียุ้งข้าวแทบทุกหลัง”

“แล้วทำไม? อย่าบอกนะว่าจะเสือกรื้อบ้านเขาไปขาย...กูยังเสียดายยุ้งข้าวบ้านยายสายไม่หายเลย...ขายไปได้ไงวะ สามหมื่น...นายหน้าได้มากกว่าเห็นๆ... เก็บไว้ก็ใช่ว่าจะอดตาย...พอขายเสร็จนะมึง ลุกไม่ขึ้นเลย เขาว่าผีเหยียบหลัง เสือกเอาสมบัติของปู่ย่าตายายไปขาย!”ไอ้ชัยเล่า...เรื่องเดิมๆที่มันเอามาเล่าให้ฟังตั้งแต่วันที่ยายสายตัดสินใจขายยุ้งข้าวจนวันนี้ที่ยายสายตายไปแล้ว มันก็ยังเล่าเหมือนวันแรกที่เล่าไม่มีผิด

“เปล่าโว๊ย!...วันก่อนกูอ่านเจอในหนังสือ เกี่ยวกับHomestay”ไอ้วิทย์บอก

นั่นคือจุดเริ่มต้น....

มันเริ่มจาก ไอ้ชัยอยากแบ่งที่ แม่มันขาย เพื่อเอาเงินไปเรียนต่อ...

แต่ไอ้วิทย์ เกิดไปสะดุดใจธุรกิจHomestayเข้า...โดยหมายมาดใช้ที่แถวบ้านไอ้ชัยนั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้น

และพี่เหยาที่ได้ฟังเรื่องราวจากผมก็ช่วยออกความคิด

“ทำทัวร์ด้วยสิ...แรกๆก็ลองดิวกับพวกบริษัททัวร์ก่อน พี่มีคนรู้จัก คุยให้ได้”พี่เหยาแนะ มารู้ทีหลังว่าจริงๆพี่เหยาไม่ได้สนใจธุรกิจhomestayเท่าไหร่ แต่ที่พี่เหยาสนใจคือการทำทัวร์

...ทำงานไป เที่ยวไป สนุกจะตาย...พี่เหยามาบอกให้ฟังทีหลัง

และพี่เก่งที่ต้องจมอยู่กับงานรับเหมาก่อสร้างที่ศรีสะเกษอันเป็นกิจการของครอบครัวก็ขอร่วมด้วยช่วยเสริมทัพ

“กูทำด้วยสิ...งานที่บ้านเดี๋ยวน้องกูจบให้มันมาดู...เออ !...เฮ้ย ถ้ายังไงทำทัวร์แถวอีสานด้วยเลยดิ!”

นั่นคือจุดเริ่มต้น....

เริ่มต้นที่พวกผมคุยกันเหมือนเรื่องสรรพเพเหระหลายๆเรื่อง ยังไม่ได้มีอะไรจริงจังนัก เพราะยังมีเวลาอีกร่วมปี กว่าจะได้ออกจากรั้วมหาวิทยาลัย...และใช้เวลาอีกหลายๆเดือน ในการต่อยอดความคิด...

...ต่อยอดความคิด...คำนี้ดูโก้หรู แต่สำหรับพวกผม ในวันนั้น มันเป็นแค่ความคิดเพ้อฝันของคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเรื่องธุรกิจ เมื่อเราคิดจะทำ...งบประมาณกับแผนธุรกิจ กลับกลายเป็นเรื่องสุดท้ายที่นึกถึง หรือจะเรียกว่าไม่นึกถึงเลยก็ว่าได้ สิ่งที่นึกถึง มีแต่

“ทำห้องน้ำกลางแจ้งด้วยนะมึง กูเคยเห็นในหนังสือ”ผมฝันถึงห้องน้ำแบบที่เห็นในรีสอร์ทหรู

“เออ...นุ่งผ้าขะม้า โดดลงคลองไง แจ้งพอไหม?”ไอ้วิทย์ขัด

“ดอยอินท์กูไปเบื่อแล้ว ไปหาดอย บุกเบิกใหม่ดีกว่า”ไอ้ชัยว่าหลังจากลืมเรื่องเรียนต่อไปสนิทใจ

“กูจะพาฝรั่งเที่ยว ไม่ได้พามึงเที่ยว!”ไอ้วิทย์ขัดอีก

“เปิดทัวร์ขนหัวลุก สำหรับพวกชอบลองด้วยสิ ฝรั่งมันจะได้รู้ว่าผีไทยน่ากลัว...กูดูหนังผีฝรั่ง ขำกลิ้งทุกที”ไอ้รงค์มีไอเดียที่เหมือนว่าจะดีและแหวกแนวพอใช้ได้

“แล้วใครจะพาทัวร์ มึงหรือไง?”ไอ้วิทย์ย้อนถาม และเจ้าของไอเดียก็เงียบกริบ

และเมื่อผมเล่า...ความคิดต่อยอดธุรกิจ... ของพวกผมให้พี่เหยาฟัง...พี่เหยาก็ได้แต่เกาคอ ขยับปากเหมือนอยากพูดแต่ก็คล้ายไม่รู้จะพูดอะไรดี

“อันนี้คิดกันเล่นๆ หรือคิดกันจริงๆ?”ในที่สุดพี่เหยาก็ถาม หลังจากฟัง ความคิดต่อยอดธุรกิจฉบับพวกผมมาหลายรอบ

“จริงสิพี่!”ผมตอบกลับไปแบบฉะฉานและมาดมั่น โดยไม่เข้าใจสักนิด ถึงอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดของพี่เหยา

ความคิดเหล่านั้นเริ่มจริงจัง เมื่อเวลาเก็บหนังสือเดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัยใกล้เข้ามาทุกที

“มันจะเริ่มยังไงวะ?”คำถามที่ไอ้วิทย์ถามจนชินปาก และยิ่งวันใกล้จบมันยิ่งพูดแทบจะสามมื้อก่อนและหลังอาหาร แต่ให้มันถามบ่อยแค่ไหน พวกผมก็ตอบมันไม่ได้

“ไปเรียนภาษา..จะทำแค่homestayหรือทัวร์ด้วย ภาษาก็จำเป็น...สอบใบอนุญาตของมัคคุเทศก์ด้วย...อันนี้ทำได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ...ไปลองหางานด้านทัวร์... พวกguest houseดู...พวกshipping หรือ คาร์โก้ด้วยก็ได้ คนละlineแต่ก็เผื่อๆ... แล้วก็เริ่มเลย...ถ้าไม่เริ่มลงมือ ก็คิดไม่ออกหรอกว่าจะเริ่มยังไง...ไอ้เรื่องห้องน้ำกลางแจ้ง หรือว่าจะบุกเบิกดอยไหนนั่นเอาไว้ทีหลัง!”พี่เหยาแนะให้ ก่อนที่พวกผมจะไปยื่นใบสมัครเรียนภาษากันเพิ่มเติม


--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-04-2008 07:12:18
หลังจากนั้น ก็แนะกึ่งบังคับให้พวกผมสมัครเข้าคอร์สอบรมระยะสั้น ทั้งการบริหารจัดการ...การทำแผนธุรกิจ... ที่พี่เหยาเป็นคนเลือกให้

“เวลามีไม่มาก ก็เลือกเอาที่มันมีworkshop...ได้ลองทำจริง... ไอ้ที่ไปนั่งแต่ฟังกับดูตัวหนังสือน่ะไม่ต้อง...เสียเวลา!”พี่เหยาพูดเหลือบตามองไอ้วิทย์ที่ออกปากแก้ตัวอย่างเจื่อนๆ

“ก็เคยเรียนแต่ในตำรา...ทฤษฎีน่ะเต็มร้อย...”มันแก้ตัว พวกผมถึงเพิ่งนึกได้ว่ามันก็เรียนมาสายเดียวกับพี่เหยาคือสายบริหาร

และหลังจากผ่านคอร์สต่างๆ ผมก็พอเข้าใจว่าทำไม พี่เหยาถึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวด พูดอะไรไม่ออก เมื่อผมเล่าถึงแผนต่อยอดธุรกิจของพวกผมให้ฟัง

“แล้วไอ้ที่ผมเรียนมาตั้งสี่ปีล่ะพี่?”ผมถามถึงสายวิชาที่อุตส่าห์เรียนมาตั้งสี่ปี แต่ดูจะไม่เกี่ยวกับงานที่กำลังคิดจะทำสักนิด

“ก่อนเลือกเรียนทำไมไม่รู้จักคิดล่ะ!”พี่เหยาตอบ

“พี่รู้ตั้งแต่จบม.6เลยเหรอว่าพี่จะทำอะไร?”ผมถามอย่างทึ่งๆ

“ก็...ทำที่บ้านไง!”พี่เหยาตอบง่ายๆแบบหน้าตาเฉย

และอย่างที่พี่เหยาพูด...ไม่ลงมือ ก็มองไม่เห็นว่าจะเริ่มที่ตรงไหน...มันจึงค่อยๆเริ่ม และเป็นรูปเป็นร่างอย่างที่พวกผมแทบไม่รู้ตัว...จากที่ไม่เป็น ก็เป็น โดยไม่รู้ว่า เป็นกันตั้งแต่เมื่อไหร่...

เราเริ่มต้นที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงาน เราคุยกันทุกๆวัน ถึงสิ่งที่รู้มาทั้งเก่าและใหม่

หลังจากเรียนจบและผ่านงานมาได้ปีกว่าๆ เราก็อาศัยแบ่งที่ขนาดไร่เศษๆของบ้านไอ้ชัย เป็นจุดเริ่มต้น ขอยุ้งข้าวเก่าที่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ของแม่มันมาเป็นoffice แล้วพูดคุยทำความเข้าใจกับชาวบ้าน เพราะhomestayของเรา ไม่ใช่แค่บ้านหนึ่งหลัง แต่เป็นหมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน...

เริ่มแรกเราทำแค่ที่พัก และส่งต่อลูกค้าให้บริษัททัวร์อย่างที่พี่เหยาแนะ หลายปีเมื่อปีกเริ่มกล้า เราก็จัดทัวร์ของเราเองขนาดย่อมๆ และต่อมาอีกหลายๆปี เมื่อขาเริ่มแข็ง...เราก็ขยายสายงาน ครอบคลุมเกินกว่าพื้นที่แค่จังหวัด หรือพื้นภาคเดียว

Conceptของเราง่ายมาก...มาเมืองไทย เป็นคนไทย...สั้นและเข้าใจง่ายไม่ต้องอธิบายกันให้มากความ

“เขาจะกลับไป พร้อมๆกับที่เคารพและนับถือในความเป็นคนไทย”ไอ้วิทย์เจ้าของconceptมันอธิบายเพิ่มเติม แต่ไอ้รงค์สงสัย

“แล้วถ้าเขาไม่ล่ะ?”

“ไม่ต้องให้มันกลับ!”ไอ้วิทย์ตอบง่าย

จะเพราะกลัวไม่ได้กลับ หรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่โปรแกรมที่เราจัดเตรียมไว้ทั้งคอร์สทำอาหารไทย ตักบาตร เข้าวัด เรียนรู้วัฒนธรรมไทย หรือแม้กระทั่งพาไปหัดมวยไทย...ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า ยังไม่มีลูกค้าคนไหนไม่ได้กลับบ้าน ทุกคนเรียนรู้ เคารพและนับถือในความเป็นไทยอย่างยิ่งยวด...อย่างที่ไอ้วิทย์ว่าไว้

“เดือนหน้ากูจะแต่งงาน แล้วคงต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองจันทร์ บ้านแฟนกู โครงการที่พวกมึงว่าไว้ยังจะทำอยู่หรือเปล่า”แล้ววันหนึ่งก่อนที่ขาเราจะเริ่มแข็ง ไอ้รงค์ก็บอกข่าวการแต่งงานแบบไม่รู้ว่าเรียกว่าง่ายหรือยากดี ทั้งยังถามถึงโครงการที่เคยวางแผนกันเอาไว้...มันเป็นอีกจุดเริ่มต้น ที่พวกเราต้องตัดสินใจว่า ขาเราแข็งพอแล้วหรือยัง...

“ตอนแรกแฟนกูเขาก็เคยอยากกลับไปทำรีสอร์ทเล็กๆที่บ้านเขาอยู่แล้ว”ไอ้รงค์บอกกล่าวเพิ่มเติม และแฟนมันที่พูดถึงก็ยังคงเป็นคนเดิมที่คบกันมาตั้งแต่สมัยรับน้อง...คนที่ฟง น้องชายพี่เหยาเคยตามจีบ...

“เดือนหน้าเลยเหรอมึง ทำไมกะทันหันวะ?”ผมถาม ไม่ได้สนใจเรื่องรีสอร์ทเท่าไหร่

“ยังเสือกถาม แต่งหนีควายขวิดอย่างนี้ มันจะมีอะไรวะ ใช่ไหม?”ไอ้วิทย์ตอบผม ก่อนหันไปหาไอ้รงค์ ที่พยักหน้ารับ

“อะไรวะ?”ผมยังไม่เข้าใจ แต่พวกมันทำแค่หัวเราะ ไม่ยอมตอบ แต่หลังจากนั้นผมก็ได้คำตอบ เพราะไอ้รงค์มันแต่งงานได้แค่หกเดือนกว่าๆ มันก็ได้ลูกชายคนแรก

“คลอดก่อนกำหนด ทำไมตัวใหญ่วะ?”ผมพูด เมื่อตอนยืนล้อมวงดูลูกชายไอ้รงค์ และตอนนั้นยังไม่รู้ว่าลูกมันไม่ได้คลอดก่อนกำหนด

“ไอ้สัตว์!”ไอ้รงค์หันมากระซิบด่า เพราะตอนผมถาม แม่ยายมันก็แอบยืนค้อนอยู่ใกล้ๆ

“เขาห้ามทักเด็กอย่างนั้น”และพี่เหยาหันมาบอกทั้งหัวเราะ

“ทักผิดนิด แค่นี้ต้องด่าด้วยเหรอวะ?”ผมหันไปถามไอ้รงค์

“ไอ้เวร!”มันเลยแถมให้อีกคำ

“หุบปากเลยมึง เดี๋ยวแม่ยายมันก็เอาขวดนมปาหัว”ไอ้วิทย์แอบกระซิบ

หลังจากนั้นสองเดือนไอ้วิทย์ก็เก็บกระเป๋าตามลงไปอยู่กับไอ้รงค์ที่จันทบุรี ส่วนไอ้ชัยเก็บกระเป๋าไปช่วยพี่เก่งที่ย้ายไปอยู่อุดรธานี ที่ซึ่งเราปักหมุดไว้ เป็นสาขาทางภาคอีสาน เหมือนที่ให้จันทบุรีเป็นอีกสาขาหนึ่ง ...เราแบ่งลูกค้าเป็นสามกลุ่ม แบ่งไปเชียงใหม่...อุดร และจันทบุรี...และผลัดเปลี่ยนกลุ่มลูกค้ากัน ดังนั้นลูกค้าแต่ละกลุ่มจึงผ่านเราทั้งสามสาขา...ได้สัมผัสธรรมชาติและเรียนรู้วัฒนธรรมของเราหลากหลายรูปแบบ

เมื่อไอ้วิทย์ไปช่วยไอ้รงค์ที่จันทบุรี ไอ้ชัยไปช่วยพี่เก่งที่อุดรธานี ที่เชียงใหม่จึงเหลือแค่ผม ดังนั้นพี่เหยาจึงส่งต่องานที่บ้านให้พี่คิม และฟง ส่วนตัวเองย้ายขึ้นมาอยู่เชียงใหม่ ช่วยงานผมเต็มตัว และธุรกิจที่ทำร่วมกันอยู่ก็เป็นฉากบังหน้าอย่างดีที่ทำให้ผมกับพี่เหยาอยู่ร่วมกันได้โดยไร้ข้อสงสัยจากพ่อและแม่ รวมทั้งครอบครัวพี่เหยา ยกเว้นก็แต่ฟงที่พี่เหยาบอกว่า ฟงรู้แล้วเรื่องผมกับพี่เหยา แต่พี่เหยาก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น...

“ยาว ขี้เกียจเล่า!”พี่เหยาว่างั๊น

“งงว่ะ...ทำไมไอ้เหยาไม่มาช่วยกูวะ?”และพี่เก่งฝากข้อสงสัยผ่านทางพี่นัทและพี่เก้าที่ตัดสินใจลงหลักปักฐานอยู่ที่อเมริกา โดยทำตัวเป็นagency ช่วยหาลูกค้าชั้นดีส่งมาให้พวกผมไม่ขาดสาย

“บ้านมึงหนาวมั๊ง...ไอ้เหยามันไม่ชอบอากาศหนาว”พี่นัทว่างั๊น

“เชียงใหม่หนาวน้อยกว่าบ้านกูเหรอวะ?”พี่เก่งยังสงสัย

“อยากรู้มึงไปถามมันเอง ฝากบอกมันด้วยว่าน้องมันยังไม่quoteราคาของให้กูเลย ช้าเดี๋ยวก็ไม่ทันแดก!”พี่เก้าไม่สนใจ สนใจก็แต่เรื่องหาเงิน

“อยากได้ มึงไปบอกมันเอง แล้วฝากถามมันด้วยว่า มันแป็นเพื่อนกู ทำไมไม่มาอยู่กับกูวะ...ช้าเดี๋ยวกูงอน!”พี่เก่งตอกกลับบ้าง

ไอ้ชัยที่นั่งอยู่ในเหตุการณ์ ระหว่างพวกพี่เก้า พี่นัท และพี่เก่งคุยกันผ่านจอมอนิเตอร์ เอามาเล่าให้ผมฟัง

“แล้วมึงบอกพี่เขาว่าไง?”ผมถาม

“ก็บอกตามตรง!”ไอ้ชัยตอบ

“เฮ้ย กูถามจริง?”

“กูก็ตอบตรง!”

“แล้วพี่เขาว่าไง?”

“ก็ว่าจริง!”

“ห่าอะไรวะจริง!”

“อ้าวก็กูก็บอกพี่เขาว่า...พี่เหยาน่ะก็เด็กฝึกงานเหมือนๆกันน่ะสิ”ไอ้ชัยว่าและหัวเราะ

“ไอ้สัตว์! ค่าตื่นเต้นของกูแพงนะมึง”

ผมรู้ว่าพวกไอ้วิทย์รู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับพี่เหยามานานแล้ว แต่ที่ไม่แน่ใจคือ พวกพี่เก้ารู้หรือเปล่า และถ้ารู้จะรับได้อย่างที่พวกไอ้วิทย์รับได้หรือเปล่า

ความสงสัยผมสิ้นสุด เมื่อถึงเวลาที่เราอันเป็นทั้งเพื่อนและหุ้นส่วนทางธุรกิจนัดเจอหน้าและพูดคุยกัน ปีละครั้ง

“เขาว่าเพื่อนกันไม่ควรทำธุรกิจด้วยกัน เพราะความเห็นอาจทำให้แตกคอ!”พี่เก่งพูดหน้าตาจริงจัง ทำให้พวกผมต้องตั้งอกตั้งใจฟัง

“แล้วปีนี้ ก็ครบรอบเจ็ดปี เขาว่ามันมีอาถรรพ์”พี่เก่งพูดต่อแต่ทีนี้ชักไม่เข้าท่า

“เจ็ดปีนั่นมันไม่เกี่ยวกับเรานะผมว่า...ของเรามันทะเบียนธุรกิจ ไม่ใช่ทะเบียนสมรส!”ไอ้รงค์ขัดเป็นคนแรก

“ผมว่าพี่พูดมาตรงๆดีกว่า ว่าพี่อยากได้ทอดมันชิ้นสุดท้าย!”ไอ้ชัยพูด เอาส้อมเคาะจานทอดมันตรงหน้าที่เหลืออยู่แค่ชิ้นเดียว และพี่เก่งยิ้มเป็นอันว่ายอมรับ

“เพื่ออาถรรพ์หมายเลขเจ็ดจะได้ไม่ถูกเอามาใช้ในทางที่ผิดจนแปดเปื้อน...กูสละสิทธิ์”ไอ้วิทย์พูด หยิบส้อมขึ้นมาเคาะจานทอดมัน อันเป็นสัญญาณการสละสิทธิ์

“เพื่อมิตรภาพที่ควรจะมีอายุยาวนานกว่าทอดมันหนึ่งชิ้น...ผมยกมันให้พี่”ไอ้รงค์พูด พร้อมยกส้อมเตรียมเคาะลงที่จานทอดมัน แต่ผมยกมือห้ามมันก่อนที่มันจะเคาะลง

“เดี๋ยว...ทอดมันน่ะชิ้นแค่สลึง...แต่ถ้ามึงตัดหุ้นส่วนทิ้งไปหนึ่ง คิดดูดิมึงได้เงินปันผลเพิ่มขึ้นเท่าไหร่?”

“จริงว่ะ!”ไอ้รงค์เห็นด้วย พร้อมชักมือคืน ไอ้วิทย์กับไอ้ชัยก็ทำท่าคิดตามอย่างเห็นด้วย

“เฮ้ย!...ไอ้เอก มึงอยู่ใกล้ไอ้เหยามากไปหรือเปล่าวะ เห็นอะไรเป็นตัวเลขหมด!...เงินน่ะหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่กูนี่ คนเดียว อันเดียวในโลกนะ”พี่เก่งท้วงโดยไม่ลืมหันไปแขวะพี่เหยาที่วันนี้นั่งเงียบกว่าปกติ และเหตุผลของพี่เก่งคงใช้ได้ เพราะไอ้รงค์ยอมเคาะส้อม เพื่อสละสิทธิ์

“เพื่อเหตุผลไร้ยางอาย... กูยอมแพ้... ยกให้พี่เขาเถอะว่ะ!”ไอ้รงค์หันมาพูดกับผม หลังเคาะส้อม

“เพื่อ...หมดมุขว่ะ”ผมพูดอย่างยอมรับ เพราะนึกไม่ออกว่าจะเพื่ออะไรดี

“เพื่อ...”พี่เหยาพูดบ้างก่อนเคาะส้อมลงที่จานทอดมันเบาๆ

“สอนให้มึงรู้จักการเสียสละ!”แล้วพี่เหยาก็ขยับส้อมจิ้มทอดมันเข้าปากตัวเอง แบบที่ทำให้พี่เก่งได้แต่ยิ้มค้าง

“มึงอารมณ์เสียอะไรมาวะ?”พี่เก่งถาม มองดูพี่เหยาที่เคี้ยวทอดมันที่พี่เก่งหมายปอง และคำถามของพี่เก่งก็เปิดทางให้พี่เหยาบ่นในเรื่องที่บ่นผมมาหลายวัน จนหูแทบชา




--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-04-2008 07:13:45
“ก็เอกน่ะซิ...บอกให้ไปเรียนภาษาจีนก็ไม่ยอมไป!”พี่เหยาพูด เพราะกลุ่มลูกค้าที่เราตั้งเป้าหมายหลักไว้ที่อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น กลับเพิ่มจีนสายเลือดใหม่เข้ามาอย่างไม่คาดคิด และดูจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ

“ก็ส่วนใหญ่เขาก็พูดภาษาอังกฤษกันได้นี่นา”ผมแย้ง เพราะเคยไปลองๆเรียนสองสามหน ก็ต้องยอมรับว่ายาก...และที่ยอมไปเรียน ทั้งที่หาเรื่องเบี่ยงเบี่ยงมาตลอดก็เพราะพี่เหยาทวงสัญญา...ไหนบอกว่าจะไม่ขัดใจไง?...นั่นแหละผมถึงต้องจำใจไปเรียน...

“นี่ประเทศไทยนะพี่ มาเหยียบบ้านเรา เมืองเรา ยอมพูดภาษาอังกฤษด้วยก็ดีแค่ไหนแล้ว นี่ยังจะให้เปลี่ยนไปพูดภาษามันอีกหรือไง ไม่จับมันเข้าคอร์สพูดไทย พูดไม่ได้ยึดเงิน แล้วส่งกลับประเทศก็ดีแค่ไหนแล้ว?”ไอ้วิทย์ช่วยผมแย้ง

“เฮ้ย ไอ้วิทย์...ถ้ามึงจะบอกแค่ว่าส่งกลับประเทศ มึงก็จะดูเป็นคนรักชาติดีหรอกนะ แต่เสือกพ่วงยึดเงินด้วยนี่ เห็นลิ้นไก่เลยนะมึง!”ไอ้ชัยขัด

“น้าเหยาก็สอนน้าเอกสิครับผม ภาษาจีนวันละคำเหมือนผมกำลังหัดภาษาไทยวันละคำไงครับ!”ไอ้รงค์ทำทีเป็นพูดแทนลูกชายมันที่นั่งอยู่บนตัก...และลูกชายมันคนนี่น่ะ ก็เป็นลูกคนที่สอง...และเหตุที่มันต้องหอบลูกมาด้วยก็เพราะแฟนมันเพิ่งคลอดลูกชายคนที่สามให้มัน ดังนั้นมันเลยต้องแบ่งลูกมาด้วยเสียหนึ่งคน ไม่งั๊นแฟนมันก็ยื่นคำขาดว่า...ไม่เอาไปก็ไม่ต้องไป...

“โห...ดูถูกกู อย่างกูต้องวันละสามคำโว๊ย!”ผมบอกพวกมัน ก่อนหันไปบอกพี่เหยาที่ยังนั่งหน้าหงิกอยู่ข้างๆ

“หว่อ อ้าย หนี่!”

“กูว่าแล้ว!”ไอ้วิทย์พูดทำหน้าหน่าย ในขณะที่พี่เก่งหัวเราะนึกว่าผมพูดเล่น แต่เสียงหัวเราะก็ค่อยๆเงียบลง เมื่อเห็นแก้มขาวๆของพี่เหยาค่อยๆแดงขึ้น และยิ่งแดงมากยิ่งขึ้น เมื่อพวกไอ้วิทย์มันหัวเราะกันอย่างเห็นเป็นเรื่องตลก ตรงข้ามกับพี่เก่งที่เริ่มหัวเราะไม่ค่อยออก และแทบจะทำเสียงหัวเราะติดคอ เมื่อผมยังแกล้งถามเย้าพี่เหยาที่นั่งหน้าแดงอยู่ข้างๆ

“แล้วหนี่ อ้าย หว่อ หรือเปล่า?”

“อ้ายสิ ไม่อ้ายจะหอบผ้าหอบผ่อนหนี ตามมาอยู่เชียงใหม่ทำไม!”แต่เป็นไอ้วิทย์ช่วยตอบแทน และคำตอบของมันก็ยิ่งทำให้พี่เหยาหน้าแดง และพวกผมยิ่งหัวเราะ ส่วนพี่เก่งก็ทำปากพะงาบๆ

แล้วไอ้ชัยก็เอาข่าวมาส่งเมื่อกลับถึงอุดร

“พวกมึงรู้เรื่องไอ้เหยากับไอ้เอกหรือเปล่าวะ?”ไอ้ชัยเล่าให้ฟัง ว่านั่นเป็นประโยคแรกที่พี่เก่งพูดกับพี่เก้าและพี่นัท

“เอาเรื่องไหนล่ะมึง?”พี่เก้าถาม

“ก็เรื่องที่พวกมันไม่ได้เป็นเพื่อนกัน!”พี่เก่งตอบเสียงตื่น ทั้งที่ผ่านไปแล้วตั้งหลายวัน

“อ๋อ...ก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันไง”พี่นัทว่า

“ไม่ใช่!”เสียงพี่เก่งยังตื่นไม่หาย

“เป็นห่าอะไรของมึงวะ?”พี่เก้าถาม

“พี่ก็บอกไปดิ ว่าเขาเป็นแฟนกัน ภาษาปะกฤษว่าloverไง!”ไอ้ชัยที่นั่งอยู่ข้างๆช่วยแนะ

“เออ นั่นแหละมันเป็นloverกัน ภาษาไทยว่าแฟนกันนั่นแหละ”พี่เก่งบอกในที่สุด

“โห...ไม่รอให้มันหย่ากันแล้วมึงค่อยตกใจล่ะ”พี่เก้าว่า และไม่ใช่แค่พี่เก่งตกใจ ไอ้ชัยเองยังแอบตกใจ...มันว่างั๊น

“อะไรวะ พวกมึงรู้เหรอ...แล้วมันแต่งกันด้วยเหรอ”พี่เก่งถาม ไอ้ชัยว่าตอนนั้นตาพี่เก่งเล็กกว่าไข่ห่านบ้านมันนิดเดียว

“ไอ้เหี้ย ตกใจจนสมองไหลเลยหรือไง ผู้ชายบ้านมึงสิแต่งงานกันได้!”พี่เก้าด่า

“แล้วมึงรู้ได้ไงวะ?...มันบอกมึงหรือไง?... แล้วทำไมไม่บอกกู?... กูอยู่ใกล้กว่าพวกมึงตั้งเยอะ!”พี่เก่งโวยวาย แถมเบี่ยงเบนประเด็นเองซะงั๊น

“ไม่ได้บอก กูนั่งยามสามตาดู!”พี่เก้าตอบไปหัวเราะไป

“อย่าล้อเล่นสิวะ กูถามจริงๆ ทำไมมันไม่ยอมบอกกู...มันไม่ไว้ใจกูหรือไง กูก็เพื่อนมันนะ!”พี่เก่งยังโวยวาย ลืมประเด็นเดิมไปซะสนิท

“ตกลงมึงจะเอาเรื่องไหน เรื่องมันกับไอ้เอก หรือเรื่องมันกับมึง?”พี่นัทย้อนถามบ้าง เพราะพี่เก้ายังไม่ยอมหยุดหัวเราะ

“...เรื่องมันกับกูก่อน...ทำไมมันไม่บอกกู แต่บอกพวกมึง มันไม่ไว้ใจกูเหรอวะ?”พี่เก่งถาม เป็นอันว่า เรื่องผมกับพี่เหยาไม่อยู่ในความสนใจอีกต่อไป

“เรื่องมึงกับมัน?...ไม่ใช่เรื่องกู แล้วกูจะรู้ได้ไง มึงก็ไปถามมัน!”พี่นัทตอบ

“ใช่...ส่วนเรื่องมันกับไอ้เอก...ก็ไม่ใช่เรื่องพวกกูอีก แล้วกูจะตอบมึงได้ไง มึงก็ไปถามพวกมันโน้น!”และพี่เก้าเสริมให้อีกที

เป็นอันว่าพี่เก่งไม่ติดใจเรื่องผมกับเรื่องพี่เหยา แต่หันไปติดใจเรื่องที่ตัวเองรู้ทีหลังพี่เก้ากับพี่นัทแทน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงตามที่พี่เก่งเข้าใจหรือเปล่า...เพราะเมื่อคุยกัน พี่นัท พี่เก้า รวมทั้งพี่เก่งก็ไม่เคยถามอะไรอีก...จะมีก็แต่เมื่อน้องสาวพี่เก้าแต่งงาน การ์ดที่ส่งมาให้ผมกับพี่เหยาน่ะเป็นการ์ดแค่หนึ่งใบ แต่เขียนชื่อผมกับพี่เหยาไว้คู่กันที่หน้าซอง

“ดูอะไร?”ผมถาม เมื่อเห็นพี่เหยายืนเกาคอ มองดูซองจดหมายสีแดงในมือ

“เดือนหน้าไอ้เก้าจะกลับ...ไอ้นัทด้วย”พี่เหยาตอบ และตอนนี้มือที่เกาคอก็เปลี่ยนมาเกาคางแทน

“พี่เก้าเขียนจดหมายมาเหรอ?”ผมแกล้งเอื้อมมือไปช่วยเกาคางพี่เหยา ก่อนถามอย่างนึกแปลกใจ เพราะดูไม่น่าใช่เรื่องที่เป็นไปได้ ทั้งซองจดหมายที่เห็นก็เป็นสีแดงสด

“เปล่า...การ์ดแต่งงาน น้องไอ้เก้า”พี่เหยาหัวเราะก่อนปัดมือผมออกและตอบ พร้อมส่งซองสีแดงๆที่ถืออยู่ให้ผม

“ทำไมเขียนชื่อเอกไว้ข้างหน้า...ต้องชื่อพี่ไว้ข้างหน้าสิ!”พี่เหยาพูดอย่างไม่เห็นด้วยกับลำดับชื่อบนหน้าซอง ในขณะที่ผมอ่านชื่อหน้าซองอย่างร้อนๆหนาวๆ คิดไปคนละเรื่องกับที่พี่เหยาคิด

“หัวเราะอะไร?”พี่เหยาถาม เมื่อผมหัวเราะ เลิกร้อนๆหนาวๆไปแล้วหลังจากได้ยินข้อสงสัยของพี่เหยา

“เปล่า...รักพี่จัง!”ผมพูด จูบแก้มพี่เหยาแรงๆก่อนยัดซองสีแดงคืนใส่มือให้ ...พี่เหยารับไปแต่ก็ไม่ได้ถือมันไว้นาน กลับโยนมันไว้บนโต๊ะใกล้ๆ และหันมาโอบสองแขนไว้รอบเอวผม

“รักจริงหรือเปล่า?”พี่เหยาถาม เงยหน้าขึ้นและยิ้มเอาใจรอคำตอบ

“จริงครับ...”ผมตอบ โอบเอวพี่เหยากลับ ก่อนก้มลงจูบที่ปากพี่เหยาแรงๆและกระซิบบอกอีกเบาๆ

“...แต่ไม่ไปเรียนภาษาจีนแล้วนะ...”

“แต่ถ้าเอกพูดภาษาจีนได้ เวลาเราออกไปข้างนอก เราก็แอบคุยอะไรที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ได้ไง!”พี่เหยาพูดและยังยิ้มเอาใจ เป็นข้อเสนอที่คล้ายจะเพิ่งคิดได้ใหม่และเดาว่าพี่เหยาคงคิดว่าน่าจะเอามาหลอกล่อผมได้

“พูดอะไรล่ะ ที่ไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน...ผมก็อยากพูดอยู่อย่างเดียว...หว่ออ้ายหนี่...ไม่ต้องเรียนก็พูดได้ แถมใครฟังก็เข้าใจ...”ผมบอก ก่อนจูบปากแดงๆของพี่เหยาให้อีกครั้ง

“ก็พูดอย่างอื่นสิ ที่คนอื่นฟังไม่รู้เรื่องน่ะ...”พี่เหยาไม่ยอมแพ้ หากแต่จะแย้งได้ก็หลังจากผมถอนริมฝีปากจากริมฝีปากแดงๆของพี่เหยาแล้ว

“อย่างเช่น?”ผมถาม และพี่เหยาตอบให้ หากแต่เป็นภาษาจีน...และรอยยิ้มเอาใจก็เปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างถือว่าตัวเองได้ที

“อ๋อ!”ผมร้อง

“รู้เหรอว่าพี่พูดอะไร?”พี่เหยาถามอย่างรู้ทัน ว่าผมคงไม่มีทางรู้

“พี่บอกว่า...”ผมพูด เปลี่ยนสองมือที่โอบเอวพี่เหยาไว้ อ้อมไปด้านหลังเพื่อจับยึดสองมือของพี่เหยาที่โอบเอวผมอยู่

“...กินเยอะๆนะ คืนนี้จะได้มีแรง!...”ผมพูดและหัวเราะ เพราะพอพี่เหยาได้ยินผมพูด ก็จะดึงมือที่โอบเอวผมไว้คืน หากแต่ช้าไป เพราะผมยึดไว้แน่น

“ถ้าผมไปเรียน...ผมจะบอกให้อาจารย์สอนผมแต่ประโยคเนี๊ย...เดินไปไหนก็จะพูดกับพี่แต่ประโยคเนี๊ย...ดีไหม?”ผมถามและหัวเราะ เพราะแก้มขาวๆของพี่เหยากลายเป็นสีแดง

“ดี!”พี่เหยาพูด ยุดยื้อแขนตัวเองแล้ว

“อะไรดี?”ผมถาม ยังหัวเราะ

“ก็ตั้งแต่วันนี้ เอกก็เก็บแรงไว้แล้วกัน...พูดได้จริงเมื่อไหร่ ค่อยคุยกันอีกที!”

“อ้าว!...งั๊นผมก็แย่สิ!”ผมครวญ เอาสองแขนกลับไปโอบเอวพี่เหยาไว้อย่างเดิม

“ก็ไปเรียนสิ...”พี่เหยาต่อลองได้ที

“ครับผม...ไปเรียนประโยคเดียวนะครับ?!”

“ได้!...ประโยคเดียวก็ประโยคเดียว!...แต่...”พี่เหยาพูด...เงยหน้าขึ้น จูบผมและพูดต่อด้วยรอยยิ้มอย่างมีชัย...ในที่สุด...

“...ประโยคเดียว ก็...เดียวนะ!”

คงไม่ต้องบอก...ว่าคำที่พี่เหยาละไว้ไม่ยอมพูดน่ะ คำว่าอะไร...และคงไม่ต้องบอกว่า ตอนนี้ผมกลับไปเข้าคอร์สเรียนภาษาจีนอีกครั้ง ทั้งที่งานยุ่งจนแทบไม่มีเวลากระดิกตัว และเหตุผลที่ยอมไปเรียนก็บอกกับใครไม่ได้ด้วย...

“ทำไมพี่อยากให้ผมไปเรียนภาษาจีน?”หลังจากพูดได้ตั้งหลายๆประโยคแล้วผมก็ถามพี่เหยา เพราะเรื่องการสื่อสารกับลูกค้า ไม่น่าใช่เหตุผลที่จำเป็นมากมายขนาดไม่เรียนไม่ได้ และผมถามเผื่อพี่เหยาจะมีคำตอบที่ลึกซึ้งอย่างเช่น...ผมจะได้ดูเข้ากันดีกับครอบครัวพี่เหยา... อะไรประมาณนั้น..

“ก็...บอกให้เรียนแล้วเอกไม่ยอมเรียนนี่นา!”พี่เหยาให้เหตุผมสั้น ง่าย และคงลึกซึ้งกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ...

พี่เหยาอยากให้ผมเรียน ก็เพราะผมเคยปฏิเสธว่าจะไม่เรียน เท่านั้นเอง...นั่นล่ะเหตุผลของพี่เหยา...

ดังนั้นเหตุผลที่ผมต้องไปนั่งเรียนภาษาจีนจริงๆ มันก็อาจจะเป็นเพียงเพราะว่าตอนนี้ผมมีคนรัก ซึ่งก็พอดีผมรักของผมมากๆชื่อว่า...จึเหยา...เท่านั้นเอง...

จบ...หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ

By Krishna / ภัคD



--------------------
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 07-04-2008 07:35:05
1+ แทนกำลังใจให้พี่ทิพย์  :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 07-04-2008 09:17:06
กว่าจะอ่านจบ เกือบตายยย บีบคั้นหัวใจมาก แต่พอตอนใกล้ๆจะจบนะหวานเลี่ยนเชียว หว่อ อ้าย หนี่ คิคิ

+1ให้ทิพย์จ้า โพสต์ทีละหลายๆตอน อ่านคุ้มดี ชอบๆๆ   :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Mono_Koro ที่ 07-04-2008 10:47:56
น่าร้าก~~~~~

 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:

+1 คริ คริ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 07-04-2008 12:10:19
น่ารักมากมายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 07-04-2008 14:39:54
อ่านซ้ำอีกรอบ  ก็ยังชอบมากกกก  เหมือนเคย
ขอบคุณมากๆ

บวกหนึ่งให้ด้วยคน  อิอิ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-04-2008 18:23:19
ตอนพิเศษ หรือจะเป็นแค่คืนหนึ่งในความทรงจำ

ผมมองดูเด็กผู้ชาย ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไม่หลบตาเฉกเดียวกับเขา ที่หันกลับมาจ้องผมแบบไม่ยอมหลบสายตาเช่นเดียวกัน

เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ที่เขาใส่อยู่ คงไม่ได้ช่วยปกป้องเขาจากลมหนาวเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อสักครู่ เมื่อเขายังไม่รู้ตัวว่า มีสายตาของผมคอยจับจ้อง บ่อยครั้งที่เห็นเขาห่อร่างที่สั่นไหวไว้ด้วยแขนเปราะบางของตัวเอง

ผมเส้นเล็กๆของเขาคล้ายจะเปียกชื้นด้วยละอองน้ำค้างยามเย็น จนนึกคล้ายจะได้กลิ่นหอมจางๆของดอกหญ้าดอกเล็กๆที่กำลังปลิวเล่นลมหนาวอยู่จนทั่วทั้งภูเขาในช่วงเดือนหนาวนี้

เขาคงสังเกตเห็นว่ามีผมคอยจับจ้อง ก็เพราะเสียงหัวเราะของผมที่หัวเราะขำ เมื่อมองเห็นแก้มแดงๆของเขาที่บ่งบอกว่า เขาคงจะแพ้อากาศหนาวของเชียงใหม่

และแม้จะเป็นเช่นนั้น หากแต่กลิ่นอากาศเย็นๆบนยอดดอยสูงก็ดูจะเข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาดกับกลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเขา

“อายุเท่าไหร่?”ผมถาม เพราะจำได้ว่าเขามากับฝรั่งตัวสูงใหญ่ ที่อายุดูจะห่างกับเขาอยู่พอควร และความสนิทสนมที่มองเห็น ก็บอกได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาดูจะชิดเชื้อกันดี...ไม่ใช่ความสัมพันธ์ฉันท์การค้าที่แลเห็นอยู่ดาลเดือลทั่วไปตามย่านการค้าของเมืองเชียงใหม่

“หก...”เขาตอบด้วยท่าทางคล้ายเด็กว่าง่าย ที่กำลังตอบคำถามผู้ใหญ่

“หก?”ผมทวนคำและหัวเราะ ก่อนที่จะต้องหยุด เพราะคล้ายจะได้เสียงหัวเราะในคอเบาๆของเขา

“หกปี... ที่ผมเล่นเกมส์ของพวกคุณ”เขาพูด ด้วยทีท่าเฉยชาและ ไร้ร่องรอยการหัวเราะอย่างที่ผมคิดได้ยิน

“ว๊าว...งั๊นก็เจนสนามน่าดูสิ!”ผมพูด ก่อนโน้มตัวเข้าไปหาเขา หวังฝังใบหน้าลงกับซอกคอขาวๆเพื่อสูดกลิ่นหอมบางๆอย่างที่ใจนึกอยาก เพราะเมื่อรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ใหม่ จึงไม่มีอะไรต้องเกรงใจอีกต่อไป

ผมไม่แปลกใจเมื่อเขาถอยหนี...ก็ใครๆก็ทำแบบนี้กันทั้งนี้...มันก็แค่รสชาติหนึ่งของสัมผัสเท่านั้น

ผมขยับเท้าตามเขา และเขาก็ถอยหนีอีกครั้ง...

และยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ กลิ่นหอมที่ยิ่งเจนจมูกขึ้นก็ยิ่งคล้ายจะเชิญชวนให้ผมฝังหน้าลงฝากรอยสัมผัสไว้บนผิวเนื้อขาวๆของเขา

หากแต่ยังไม่ทันทำได้ตามที่ใจร้องขอ คนของเขาก็เข้ามาเสียก่อน

เราทักทายกันไม่มากนัก คล้ายจะแค่เพื่อมารยาทที่พึ่งกระทำต่อผมผู้เป็นเจ้าของสถานที่

แล้วเขาก็ถูกพาเข้าไปข้างใน คล้ายเป็นสัญญาณว่า สมาชิกที่นัดหมายไว้คงจะพร้อมเพรียงกันเสียที และอีกไม่นาน เกมส์ระหว่างผู้ไม่เคยคุ้นหน้า หากแต่เคยคุ้นรสนิยมกันดีก็จะเริ่มขึ้น

ผมมองดูเขา ที่เดินตาม ฝรั่งร่างสูงใหญ่เข้าไปข้างใน ...และนึกถึงค่ำคืนที่กำลังจะมาถึง...คงดีไม่น้อย หากจะได้เขาไว้ในค่ำคืนนี้

“มากันครบแล้วนะ...”คนของผม เปิดประตูออกมาเรียก...เกมส์พร้อมจะเริ่มแล้ว...

เกมส์ของคนไม่เคยคุ้นหน้า และจะไม่มีวันเคยคุ้นกัน...

เราต่างพูดคุย ทักทาย สร้างความสนิทสนมอันจอมปลอม...

ยิ้ม เพียงเพื่อมองหาเป้าหมายที่ต้องตา

และหัวเราะ เพียงเพื่อล่อหลอกเป้าหมายที่ต้องใจ

บ่อยครั้งที่ผมสบตากับเขา ที่ดูจะยังวนเวียนอยู่ไม่ยอมห่างจากคนของเขา

เขาไม่ค่อยยิ้มอย่างที่คนอื่นยิ้ม และไม่หัวเราะอย่างที่คนอื่นหัวเราะ

แต่ละถ้อยคำ ก็เพียงตอบคำถามของคนที่พยายามเข้าไปสร้างความสนิทสนมกับเขาเพียงเท่านั้น

“จะว่ายังไง ถ้าผมขอเด็กคนนี้?”ผมยื่นเจตจำนงเมื่อถึงเวลา ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ใช่เพียงแค่ผมที่ต้องตาต้องใจเขา แต่เมื่อการนัดหมายในครั้งนี้ผมเป็นเจ้าภาพ ก็คงต้องได้รับความเกรงใจในฐานะเจ้าของสถานที่อยู่บ้าง

คนของเขาหันไปมองคนของผมอย่างชั่งใจ พวกเขาจ้องสำรวจกันและกันไม่นานนัก แต่ก็นานพอให้ผมมองเห็นความพึงพอใจของพวกเขาทั้งคู่... เป็นอันว่าคืนนี้เด็กคนนี้เป็นของผม...ผมบอกตัวเองได้โดยไม่ต้องรอคำตอบใดๆ

ผมมองดูเขาที่ยังคงนั่งเงียบอยู่บนโซฟาตัวใหญ่...เขายังนั่งอยู่ข้างๆคนของเขา ทั้งที่รู้ว่าคืนนี้ เขาต้องเป็นของผม...

เขาไม่ได้จ้องผมแบบไม่หลบสายตาอย่างเมื่อครู่ที่เขาทำ...ตรงข้าม บ่อยครั้งที่เขาหลูบตาลง แก้มขาวๆของเขาซับรอยแดงขึ้นหากแต่ครั้งนี้คงไม่ใช่เพราะอากาศหนาว หากแต่คงเพราะผมจับจ้องมองเขาผ่านผิวผ้า เพื่อให้ทะลุลงไปถึงผิวเนื้อ

ผมหัวเราะเมื่อเขาเอื้อมมือหยิบแก้วที่บรรจุน้ำอัดลมสีเข้มแทนที่จะเป็นเหล้าอย่างคนอื่นๆขึ้นยกดื่ม

“เอานมไหม?”ผมแกล้งเย้าเล่น แต่คนของเขากลับหันมาตอบผมแทนว่า เขาไม่ชอบดื่มนม

“ไม่สมราคาคุยเท่าไหร่เลยนะ!”ผมพูดมองดูน้ำที่กำลังผ่านลำคอขาวๆของเขาลงไป และบางหยาดหยดก็ไหลไปตามแก้มขาวไหลเรื่อยลงไปตามลำคอเล็กๆ

“หรือก็ไม่แน่?”ภาพที่เห็นแม้ยากจะบอกว่าจงใจเชิญชวนหรือไม่ หากแต่มันก็เชิญชวนผมให้ลุกขึ้นจากที่เดิมเพื่อไปเบียดตัวลงนั่งที่ข้างๆเขา

ผมดึงแก้วออกจากมือเขา โน้มตัวเข้าประชิด ใช้ปลายลิ้นลิ้มรสหวานของหยดน้ำที่วันนี้หวานลิ้นยิ่งกว่าเดิมเพราะผิวเนื้อของเขา

ผมหัวเราะเมื่อเห็นเขาขยับเอื้อมมือไปหมายจะไขว่คว้าหาคนของเขา หากแต่ก็คล้ายจะนึกได้ว่าเปล่าประโยชน์ จึงดึงมือกลับมาไว้ที่ข้างตัวเช่นเดิม

เขาไม่ได้ขัดขืนพอๆกับที่ไม่ได้ยินยอม เมื่อผมเลื่อนสัมผัสของปลายลิ้นต่ำลงจากต้นคอขาวไล่เรื่อยไปตามแนวกระดูกบนแนวไหล่


ผิวเนื้อเขาเย็น ไม่เว้นแม้ภายใต้เสื้อหนาวตัวใหญ่ที่ผมสอดมือเข้าไปเค้นสัมผัส

ผมค่อยๆขยับขึ้นไปคร่อมอยู่เหนือร่างเขา พร้อมๆกับที่โน้มตัวลงทาบทับบดเบียดให้เขาล้มตัวลงนอนพิงพนักแขน

เขาขืนตัวขึ้นเล็กน้อย หากแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนเมื่อผมปลดเสื้อหนาวตัวใหญ่ออก เหลือก็เพียงเสื้อยืดสีแดงที่ยิ่งขับผิวของเขาให้ขาวยิ่งกว่าขาวจนผมอดไม่ได้ที่จะฝังรอยฟันไว้บนซอกคอขาวๆ

“อย่า!”เป็นครั้งแรกที่เขาร้องห้าม พร้อมปัดป้อง หากแต่ผมไม่สนใจ

แนวกระดูกบางๆบนต้นคอขาวที่คล้ายจะหอมกลิ่นของลมหนาว มันทำให้ผมอดใจไม่ได้ที่จะฝากรอยไว้ รอยแล้วรอยเล่า โดยไม่สนใจการทัดทานของเขา และเป็นอีกครั้งที่คนของเขา ยื่นมือเขามาห้ามปราม

...อย่าให้มีรอยในที่ๆสังเกตเห็นง่ายนัก...นั่นเป็นข้อร้องขอเพียงข้อเดียว ที่ผมต้องพึงรู้ หากต้องการเขาไว้สำหรับค่ำคืนนี้

...เขาต้องไปเรียน...ฝรั่งคนนั้นให้คำตอบต่อข้อสงสัยของผมต่อกฎที่ถูกร้องขอ

แรกได้ยินมันยากที่จะเชื่อว่า คำกล่าวนั้นเป็นจริง หรือเพียงเพิ่มราคาความสนุก

และใบหน้าแดงกล่ำของเขา มันก็ช่วยให้คำตอบแก่ผม

...คืนนี้ โชคเป็นของผม...ผมบอกตัวเองก่อนโน้มตัวลงไปหาเขาอีกครั้ง


เขาขืนตัวขึ้นอีก หากแต่ครั้งนี้คล้ายเป็นสัญญาณบอกว่ามีบางสิ่งที่เขาไม่ชอบใจนัก

ผมจึงยันตัวขึ้นมอง...ใบหน้าเขาแดง ดวงตาหลูบหลบและเบือนใบหน้าหนีจากบางสิ่ง ผมจึงเหลียวไปมอง...

ใครหลายๆคนกำลังมองดูผมอยู่ เช่นเดียวกับใครอีกหลายคนที่กำลังทำสิ่งเดียวกันกับผม ไม่เว้นแม้แต่คนของเขา และคนของผมที่กำลังบดเบียดร่างกายเข้าหากันที่อีกด้านหนึ่งของโซฟาตัวใหญ่ตัวเดียวกันนี้

ผู้ชายคนหนึ่งยิ้ม และผายมือเชื้อเชิญให้ผมดำเนินสิ่งที่ผมกำลังกระทำต่อไป...

มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร...เมื่อผมคิดอย่างนี้...เขาก็ควรจะคิดเช่นเดียวกันกับผม...

อีกครั้งที่ผมฝังใบหน้าลงไปซุกไซร้กับซอกคอขาว...เขายังคงไม่ขัดขืน...หากครั้งนี้ผมสัมผัสได้ถึงความจำยอม...

“หรืออยากขึ้นไปข้างบน?”ผมถามเขา...อาจเพราะดูเขายังเด็กเหลือเกิน ผมจึงใจอ่อนต่อท่าทีของเขา...ผมตอบตัวเองอย่างนั้นต่อคำถามที่นึกถามตัวเองว่าทำไมต้องสนใจ...

“ว่าไง?”ผมถามย้ำ เมื่อเขาจับจ้องผมโดยไม่ยอมตอบคำถาม

“ถ้าผมตอบอย่างหนึ่ง คุณจะเลือกทำอีกอย่างหนึ่งหรือเปล่าล่ะ?”เขาถามอย่างรู้ทัน...หากแต่เป็นการบ่งบอกว่าคงบ่อยครั้งที่เขาไม่ได้รับในสิ่งที่ร้องขอ

“ก็บางครั้ง!”ผมตอบ ก่อนโน้มตัวฝากรอยสัมผัสไว้บนแก้มขาวๆของเขาอีกครั้ง

“แล้วครั้งนี้ล่ะ?”เขาถามโดยไม่หลบหนีสัมผัสของผม

“ถ้าบอกก็ไม่สนุกน่ะซิ!”

“ว่าไง?”ผมถามย้ำ เมื่อเขานิ่งไปอีก

“ว่าไงล่ะ?”ผมต้องถามเขาอีกครั้ง เมื่อคำตอบคือการนิ่งเฉยเหมือนเดิม

...ดื้อกว่าที่คิดนิดหนึ่ง...ผมบอกตัวเอง เมื่อมองดูเขาที่ยังไม่ยอมตอบคำถาม และทำท่าคล้ายจะปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปแบบไม่อยากจะร้องขออะไรอีก

“เอ้า...วันนี้ชั้นตามใจเธอ!”ผมตัดสินใจ ก่อนลุกขึ้นและฉุดเขาให้ลุกตาม และอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อเห็นเขาก้มลงหยิบเสื้อหนาวตัวใหญ่ขึ้นมาสวมใส่ไว้เหมือนเดิม...

“นี่ถ้าพวกนั้นเป็นปลากัด เธอคงเรียบร้อยไปหลายเที่ยวแล้วนะเนี่ย!”ผมกระซิบบอกเขาและหัวเราะ พลางสะกิดเขาให้หันไปมองดูสายตาที่มองตามเขามาอย่างนึกเสียดาย

เขาไม่ได้หันไปมองตามที่ผมชี้ชวน หากแต่แก้มเขาก็แดงขึ้นมาอีกครั้ง

ผมเดินนำเขาขึ้นไปยังห้องชั้นบน นึกขำสายตาหลายๆคู่ที่ยังเฝ้ามองตามติดเขาอย่างไม่ลดละ

เสียงฝีเท้าเขาที่เดินตามผมขึ้นบันไดมานั้นเบาจนผมได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าตัวเอง จนบ่อยครั้งที่อดไม่ได้จนต้องเหลียวหลังกลับลงไปมองดูเขา และทุกครั้งเขาจะเงยหน้าขึ้นมามองตอบผมเช่นกัน เพียงแต่เมื่อผมยิ้ม เขาก็จะก้มหน้านิ่งไม่เคยยิ้มตอบสักครั้ง

เขายืนนิ่งอยู่กลางห้อง ไม่มีทีท่ายินดี ยินร้าย หรือชื่นชม ห้องที่ผมอุตส่าห์ตกแต่งไว้ด้วยความภาคภูมิใจเลยสักนิด

“ดูเธอไม่สมัครใจมาสักเท่าไหร่?...เขาไม่ได้บอกเธอหรือไงว่า คนที่มาที่นี่เขามาทำอะไรกัน?”ผมถามอย่างอารมณ์เสีย เพราะรู้สึกเสียอารมณ์เล็กน้อย ที่ห้องที่ตัวเองเคยภูมิใจนำเสนอไม่อยู่ในสายตาเขาสักนิด

“ห้องสวยดีนะครับ...”เขาพูดหลังจากมองหน้าผมอยู่นาน และแทนที่ผมจะภูมิใจ ผมกลับรู้สึกอายซะมากกว่า

“ว่าไงล่ะ...เขาไม่ได้บอกเธอหรือไงว่า คนที่มาที่นี่เขามาทำอะไรกัน?”ผมถามย้ำ ทำทีเป็นไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูด

เขาไม่ตอบ ทำก็เพียงถอนหายใจและค่อยๆถอดเสื้อหนาวตัวใหญ่ ออกจากตัว

ผิวเนื้อท้องของเขาขาว เมื่อเขาสอดมือเข้าหมายจะถอดเสื้อยืดสีแดงออก

“ในห้องมันอับ...นานๆชั้นก็ขึ้นมาพักที นี่ปิดเอาไว้หลายเดือนแล้ว เลยเหม็นอับนิดหน่อย... ออกไปนั่งคุยกันที่ระเบียงดีกว่า”ผมบอกพลางก้มลงเก็บเสื้อหนาวที่เขาเพิ่งถอดลงกองไว้บนพื้นโยนคืนให้เขา

“อะไร ชั้นพูดอะไรแปลกหรือไง?”ผมพูด และหัวเราะ เมื่อเขายังยืนกอดเสื้อกันหนาวไว้ และมองผมอย่างระแวงไม่ปิดบัง

“อย่ามองแบบนี้น่า เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจหรอก!”ผมพูดกึ่งเล่นกึ่งจริง ไม่สนใจท่าทีระแวดระวังของเขาอีก และสุดท้ายก็ต้องหัวเราะออกมาอีกครั้ง เพราะเมื่อผมบอกเขา...อย่ามองแบบนี้น่า...และหันไปเปิดประตูบานยาวที่เรียงรายจากผนังด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่งออก จนแม้เมื่อหันกลับมา เขายังยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองผมด้วยทีท่าแบบเดิม

เขายังดูเด็ก...แต่ก็คงผ่านอะไรมามากมายจนพอจะรู้ว่า คำพูดของผู้ใหญ่อย่างพวกผมนั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ควรจะปักใจเชื่อ

“อย่ามองแบบนั้นสิ...เดี๋ยวก็จัดการซะตรงนี้เลย!”อีกครั้งที่ผมพูดทีเล่นทีจริง แต่ครั้งนี้ต้องยอมรับว่าผมอดใจไม่ได้ที่จะก้มลงฝากสัมผัสไว้ที่แก้มขาวๆของเขา และก็เป็นอีกครั้งที่เขาไม่มีทีท่าขัดขืน คล้ายจะยอมรับว่าหากผมจะทำสิ่งที่ตัวเองพูดขึ้นมาจริงๆก็ไม่มีอะไรต้องแปลกใจ

“มันก็เป็นแค่เกมส์...เป็นแค่ความสนุก...เป็นแค่รสชาติ...สำหรับพวกบุญหนา มันอาจจะผิดศีลธรรม แต่ถ้าทุกฝ่ายสมัครใจ อะไรล่ะที่มันผิด? เพราะฉะนั้นกติกาข้อเดียวก็คือคนเล่นต้องเต็มใจ”ผมบอกเขาที่ยังไม่ละความพยายามที่จะแสดงออกให้ผมรู้ว่า ไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดสักนิดเดียว

“กติกาข้อเดียวจริงๆ คือความเต็มใจ...เพราะฉะนั้นชั้นก็ต้องรอจนเธอเต็มใจ”ผมย้ำกับเขา และดวงตาระแวงระวังของเขาก็คล้ายจะยิ้มเยาะนิดๆ

“ไม่เชื่องั๊นสิ?...แล้วเธอจะรู้!”ผมบอกเขา ก่อนดึงเสื้อหนาวที่เขายังยืนกอดไว้ออกมาจากอ้อมแขนเขา และส่งให้เขาอีกครั้งเป็นสัญญาณให้เขาใส่มันเสียที

“รู้อะไร?”เขาถามและรับเสื้อหนาวไปยืนกอดไว้อย่างเดิม

ผมไม่ตอบแต่แกล้งถอนหายใจดังๆและมองเสื้อหนาวในมือเขา และคล้ายเขาจะนึกได้ จึงดึงมันขึ้นมาใส่

“รู้ว่าเธอจะเต็มใจ!”ผมตอบ และเขาเถียง หากแต่เถียงโดยมิต้องปริปากใดๆ เขาเพียงมองผม และผมก็นึกรู้...ไม่มีทาง...ผมได้ยินเขาพูดอย่างนั้น

“แล้วเธอจะรู้...”ผมบอกเขาอีกครั้ง ฟังคล้ายเป็นการพูดเล่น ไม่ได้จริงจังอะไรนัก ก่อนเดินนำเขาออกมาที่ระเบียงไม้ และขยับเก้าอี้เป็นสัญญาณชักชวนให้เขานั่งลง

เขาเดินผ่านผมเพื่อจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ผมขยับให้ และโดยไม่ตั้งใจ เพียงกลิ่นหอมอ่อนๆผ่านปลายจมูก ผมก็สูดหายใจลึกเพื่อ ซึมซับกลิ่นหอมนั้น

“รู้หรือเปล่า?...น้ำหอมกลิ่นเดียวกัน ให้กลิ่นที่แตกต่างกันไป ...เพราะมันขึ้นอยู่กับกลิ่นเหงื่อของคนที่ใช้มันด้วย...กลิ่นที่เธอใช้ คนก็ใช้กันแยะ...แต่ชั้นเพิ่งรู้สึกนี่แหละว่ามันหอมจริง”ผมบอกพลางรินเหล้าใส่แก้วให้เขา และเมื่อส่งให้ เขาเพียงรับและวางลง

“ถ้าอยากกินเป๊ปซี่ ก็ต้องลงไปกินข้างล่าง...บนนี้ไม่มี... แล้วก็ไม่ต้องกลัว...ถ้ากลัวเมาก็แค่จิบ... แก้วเดียวจนเช้าชั้นก็ไม่ว่าอะไร...ดีซะอีก ไม่เปลือง!”ผมบอกเขาก่อนยกแก้วเหล้าในมือตัวเองขึ้นจิบให้เขาดู และได้ผลคราวนี้เขาหัวเราะ

ความเฉยชาที่เขาแสดงออก มันคงเป็นปราการแค่ด่านเดียวที่เขามี และเขาคงเชื่อว่ามันปกป้องเขาได้ หากแต่สำหรับคนที่ผ่านโลกมามากกว่าเขากว่าค่อนชีวิตอย่างผม...มันง่ายเหลือเกินที่จะทำลายปราการอันแสนจะเปราะบางนั้นลง

“อยากบอกว่าดาวสวย แต่ไม่สวยเท่ารอยยิ้มเธอ...แต่ไม่บอก เพราะบังเอิญว่า...มันไม่จริง!...แล้วหวานเลี่ยนๆแบบนั้น ก็สงวนสิทธิ์ไว้สำหรับสาวๆซะด้วยสิ”แม้บอกไปอย่างนั้น แต่ผมก็ยังจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากแดงๆที่กำลังหัวเราะยิ่งขึ้นอยู่ของเขา

“นี่จะไม่พูดอะไรสักนิดเลยหรือไง...เดี๋ยวชั้นก็เปลี่ยนใจกลับขึ้นเตียงซะหรอก แต่บอกก่อนนะ ว่าไม่ใช่แค่กลับไปนอนเฉยๆแน่!...”ผมพูดโดยที่ยังละสายตาจากรอยยิ้มบางๆบนปากแดงๆของเขาไม่ได้

“ผมไม่รู้จะพูดอะไร...”เขาบอกและมองหน้าผมตรงๆ ครั้งนี้มันไม่มีความระแวงหรือสงสัยอีกแล้ว

“พูดอะไรก็ได้...”ผมบอกเขา ก่อนยกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่ม

เขายกมือขึ้นเกาคอ คล้ายนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี

“ถ้าไม่พูด จะพากลับไปที่เตียง!”ผมพูดและหัวเราะ เพื่อให้เขารู้ว่าผมแค่พูดเล่นเท่านั้น

“เธอเป็นอะไรกับฝรั่งคนนั้น?”ผมถาม เมื่อดูว่าเขาจะนึกไม่ออกจริงๆว่าจะพูดอะไรดี

“คุณไม่รู้กติกา?”แต่เขาย้อนถาม

“หือ?”

“คุณต้องไม่รู้จักผม เหมือนที่ผมจะไม่รู้จักคุณ...พอแยกย้ายกันไป ทุกอย่างก็จบ”เขาทวนกติกาง่ายๆ หากแต่เป็นจริง

“รู้สิ...แต่ชั้นนึกว่าระหว่างเรา เกมส์มันโอเวอร์ไปแล้ว”ผมบอก และดูเขาจะชอบใจ เพราะเขายิ้มมากกว่าเดิม หากแต่เขาก็ยังไม่ยอมตอบคำถามผมอยู่ดี

“แต่งเรื่องมาก็ได้...นี่ชั้นเปิดโอกาสให้เธอมีเรื่องคุยนะ!...เอ๊ะ หรือจริงๆอยากทำอย่างอื่นมากกว่า?”

“เอาแนวไหนล่ะ?...โรแมนติก...ดราม่า...ไซไฟ หรือว่าคอมเมดี้?”เขาถาม โดยที่ปากแดงๆของเขายังขยับยิ้มอยู่

“หนังเอ็กซ์!”ผมบอก

“ไม่รู้สิ...เล่นไม่ค่อยเก่ง เลยโดนปลดกลางอากาศ”คำตอบของเขาทำให้ผมหัวเราะ อาจเพราะผมคาดหวังจะเห็นหน้าขาวๆที่เปลี่ยนเป็นสีแดง...เห็นหน้าบึ้งๆ หรืออย่างน้อยก็ทำเป็นเฉยเสีย

“งั๊นเอาดราม่า เอาแบบเคล้าน้ำตา...”ผมพูดก่อนยกแก้วข้ามโต๊ะ ชนกับแก้วของเขาที่ยังวางนิ่งไม่ถูกแตะต้องเพื่อเป็นการเชื้อเชิญ

เขายกมันขึ้นจิบนิดๆก่อนวางลงอีกครั้งอย่างมีมารยาท แต่ก็ไม่ลืมจะแสดงออกให้เห็นว่า เพียงเพื่อมารยาทเท่านั้นจริงๆ

“ทำไม? เคยโดนมอมหรือไง?”ผมถามไม่จริงจัง และไม่ได้หวังคำตอบ

“เปล่า...กลัวโดนคุณมอมต่างหาก”แต่เขาตอบและเป็นอีกครั้งที่ผมต้องหัวเราะออกมา

“ผมเป็นลูกชายคนโต...แม่ป่วยหนัก พ่อติดการพนัน น้องๆก็ยังเล็ก”เขาเริ่มเรื่องแบบที่ผมต้องส่ายหัว

“เล็กนี่ กี่ขวบ?”

“สามสี่ขวบ”เขาตอบแบบไม่ลังเล

“ลูกคนละพ่อ คนละแม่?”

“เปล่า...ทำไมต้องคนละพ่อ คนละแม่ล่ะ?”เขาตอบพร้อมตั้งคำถามอย่างสงสัยจริงๆ

“ก็...อายุมันห่างกันเกินไป”

“งั๊น..คนล...”

“พอเลย!...ท่าทางจะเคล้าน้ำเน่า มากกว่าน้ำตา...เปลี่ยนเป็นคอมเมดี้แล้วกัน”ผมยกมือขึ้นห้าม พร้อมยกแก้วข้ามโต๊ะไปชนแก้วของเขา เป็นสัญญาณเชื้อเชิญอีกครั้ง

“ผมไม่ชอบดูหนังตลก...”เขาตอบแบบไม่ใส่ใจนัก และยกแก้วขึ้น...ครั้งนี้ปริมาณที่ผ่านคอของเขา ดูจะมากกว่าการจิบขึ้นอีกนิด

“งั๊นไซไฟ!”

“...นึกไม่ออก...”คราวนี้เขาทำท่าคิด ก่อนตอบ

“ก็แบบว่าเธอมาจากต่างดาว...”ผมแนะก่อนชี้มือไปไกลลิบบนฟ้า และต้องหัวเราะเพราะเขาแหงนเงยหน้าขึ้นมองตาม

“...ส่วนเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์...แล้ว อยู่ๆเธอก็หล่นลงมาจากฟ้า แล้วก็...”

“เละ!”เขาช่วยต่อให้ด้วยท่าทางสยดสยองจนพลอยให้ผมนึกเห็นภาพไปด้วย

“เฮ้ย!...กินไม่ลงเลย”ผมหัวเราะ ก่อนวางแก้วเหล้าลงเป็นการยืนยันคำพูดตัวเอง และมองดูเขาที่หัวเราะตาม

“เอ้า...งั้นเอาโรแมนติกแล้วกัน!”

“เรื่องหวานเลี่ยนๆมันเรื่องของผู้หญิง!”เขาบอกพลางเป็นฝ่ายยกแก้วเหล้า เอื้อมข้ามโต๊ะมาชนกับแก้วที่วางลงเพราะกินไม่ลงของผม ก่อนจะทำมากกว่าจิบ และหัวเราะจนแก้มแดง

“ตาเล็กๆ อย่างนี้ เอาเวอร์ชั่น...ความรักในหอแดงก็ได้...นี่ทางเลือกสุดท้ายแล้วนะ ไม่งั๊นก็ต้องไปเล่นหนังเอ็กซ์ด้วยกันแล้ว! ”ผมยื่นข้อเสนอสุดท้ายพร้อมกับยกแก้วขึ้นตามการเชื้อเชิญของเขา หากแต่ไม่ได้ยกขึ้นดื่ม ผมยกมันข้ามโต๊ะไปหาเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมแกล้งแตะมันบนแก้มแดงๆของเขา

“อะไรอีกล่ะ?”ผมถามและหัวเราะกับท่าทีขนลุกขนชันเพราะความเย็นของเขา ก่อนจะเอื้อมมือไปเช็ดหยดน้ำบนแก้มแดงๆของเขาให้...มันเย็นไม่ต่างจากแก้วเหล้าในมือของผมเลย

“เข้าไปข้างในไหม?”ผมถาม ดูเขาจะไม่ถูกกับอากาศหนาวๆเท่าไหร่นัก แต่เขาส่ายหัว

“’งั๊นกินแก้หนาวอีกอึกนึง”ผมแนะ และเขาทำตาม...แต่มากกว่าอึกนึงที่ผมแนะ

“ยั้งๆหน่อย...หน้าที่ตัวเองก็ไม่ทำ ก็กินให้มันน้อยๆหน่อย... ไม่งั๊นเดี๋ยวคิดตังค์!”ผมบอก มองดูเขาที่แกล้งยกดื่มให้ผมดูอีกจนหมดแก้ว แล้วยกส่งเป็นสัญญาณว่าขออีก ผมทำได้แค่ส่ายหัวก่อนรินเพิ่มให้กับเขาตามคำขอ

ดูเหมือนว่า เมื่อเกมส์สำหรับผมกับเขาจบลง เขาก็กลับเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น ไม่เหลือความระแวดระวังตัวอะไรอีก

“ว่าไงล่ะ...ความรักในหอแดงน่ะ?”ผมเปลี่ยนกลับไปถามย้ำเรื่องเดิม และเขายิ้มก่อนจะตอบอย่างเกรงใจเต็มที

“คือ...ผมไม่รู้จัก...สงสัย...ผมจะเกิดไม่ทัน...”

“เอ้า...งั๊นอยากเล่าอะไรก็เล่าไป!”ผมบอกทั้งๆที่ยังหยุดหัวเราะกับท่าทางเกรงอกเกรงใจของเขาไม่ได้

“ก็เล่าแล้วคุณก็ขัด!”

“ก็อย่าให้มันเน่านักสิ...”

“ก็...”เขาทำท่าจะเถียง

“พอๆ ไม่ต้องเถียง ข้ามไปตอนเจอเขาเลยแล้วกัน”ผมตัดบท

“อือ...ผมเดินไปเรื่อยๆ แล้วเขาก็เข้าทัก เขาพู...”

“เท่าไหร่?”ผมขัดขึ้น

“อะไรเท่าไหร่?”

“ก็เขาทักเธอไง ว่าเท่าไหร่...”

“ไม่ใช่!”

“ใช่สิ!...เขาถามเธอว่าเท่าไหร่...ไม่เคยดู one night of our love หรือไง?”

“ใครเล่น?”เขาถามหลังจากพยายามคิด

“ไม่รู้สิ...หนังเอ็กซ์น่ะ!”ผมบอกและเขาหัวเราะอีกครั้ง

“เธอเดินไปเรื่อยๆ... แล้วชั้นก็เข้าไปทักเธอว่าเท่าไหร่...”ผมเปลี่ยนเป็นฝ่ายเล่าพลางลุกขึ้นเดินไปยืนข้างหน้าเขา

“ผมเลยบอกคุณว่า...กิโลลละร้อย ไม่แบ่งขาย...”เขาตอบไปหัวเราะไป ผิดจากที่เห็นเมื่อตอนเย็น

“เธอนี่ลูกพ่อค้าแน่ๆ! ตั้งกิโลแล้วชั้นจะเอาไปทำอะไร?...งั๊นเอาคนขายแล้วกัน หลายกิโล อย่าลืมส่วนลดล่ะ!”

“แพงนะ!”เขายังยิ้มแก้มแดง

“ก็เท่าไหร่ล่ะ?”ผมถามเขาอีกครั้งและ มองดูเขาอย่างชั่งใจ


ผมรู้ เหล้าแค่แก้วเดียวมันไม่แรงพอทำให้เขาเมามาย...หากแต่ยาอย่างแรงเพียงสองสามหยดในเหล้าแก้วนั้นต่างหากที่คงทำให้เขาลืมตัวได้ในเวลาไม่นานนัก และความช่างพูด รอยยิ้ม และดวงตาของเขาที่กำลังจับจ้องตอบผม มันก็บอกผมว่า...ยาเริ่มจะออกฤทธิ์แล้ว...

“หัวใจชั้น พอจ่ายค่าตัวเธอได้หรือเปล่าล่ะ?”ผมถามและเขาทำท่าคล้ายจะหัวเราะ แต่ไม่ทันที่เขาจะหัวเราะ ผมก็โน้มตัวลงจูบริมฝีปากแดงๆที่ยังแย้มยิ้มอยู่ของเขา

เขาไม่ได้ขัดขืน หรือแม้แต่นิ่งเฉย ตรงกันข้าม...เขาสนองตอบ...

และดูคล้ายผมกำลังจะเมามาย แต่คงไม่ใช่เพราะกลิ่นเหล้าจางๆจากปลายลิ้นของเขา

หากแต่เพราะทุกสัมผัสที่สนองตอบจากปลายลิ้นของเขา ไม่มีร่องรอยของความไร้เดียงสาเลยแม้สักนิด

ผมบอกตัวเองให้ใจเย็น และถอยห่างออกมานั่งลงตรงที่เดิม...ยายังออกฤทธิ์ไม่มากพอให้เขาสนองตอบผมเท่าที่ผมต้องการ

“เธออายุเท่าไหร่แล้ว?”ผมชวนเขาคุยอีกครั้ง ก่อนรินเหล้าเพิ่มให้เขาอีก

“หกปี!”ผมหัวเราะ เมื่อเขายังย้ำคำตอบเดิม

ดูเขายังเด็กเหลือเกิน...แล้วหกปีที่เขาว่า...วันเวลาที่ความเป็นเด็กถูกแย่งชิงไป เวลานั้นเขาจะอายุสักเท่าไหร่กัน?

ผมสำรวจมองดูเขา...และฝังตัวเองลงกับความครุ่นคิดที่นึกอยากจะเห็นภาพนั้นให้ชัดเจน

ด้วยสำนึกชั่วดี อันเป็นทฤษฎีที่ คนประเภทผมรู้ หากแต่ไม่เคยปฏิบัตินั้น...ผมควรนึกเสียใจให้กับวันเวลาของความเป็นเด็กที่ถูกช่วงชิงไปของเขา และตำหนิผู้ที่ลงมือช่วงชิงมันไป

หากแต่สำหรับผมซึ่งอยู่ในโลกที่โสมม เสพติดรสสัมผัสของผิวเนื้อจนเคยชิน ...ผมจึงไม่นึกตำหนิคนของเขาที่พรากวันวัยอันอ่อนเดียงสาของเขาไปก่อนเวลาอันควร

และยิ่งไปกว่านั้น...ผมนึกอิจฉา และเสียดายเหลือเกินที่ไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสชาติของผิวเนื้อที่อ่อนเดียงสานั้น




หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-04-2008 18:26:53
พอคิดได้ดังนั้น ผมก็ไม่สามารถบอกตัวเองให้รอคอยได้อีกต่อไป ผมลุกเดินไปหาเขาอีกครั้ง

“วันนั้น เป็นยังไงบ้าง?”ผมถามพลางโน้มตัวเข้าหาเขาและซุกหน้าลงที่ซอกคอขาวๆของเขา

กลิ่นหอมจากตัวเขา มันไม่ใช่กลิ่นแปลกใหม่ที่ไม่เคยคุ้นจมูก หากแต่เมื่อมันหลอมรวมกับกลิ่นผิวเนื้อ คละเคล้ากับกลิ่นลมหนาว...มันยากเหลือเกินที่จะห้ามใจ

“บอกชั้นสิ...วันแรก...เขาทำกับเธอยังไง?”ผมถามเขาอีกครั้ง ก่อนเผลอไผลฝังรอยเขี้ยวลงไปอย่างไม่ตั้งใจ และครั้งนี้ เขาไม่ทักท้วง ตรงข้าม เขากลับหัวเราะ

“คุณก็บอกสิ...ว่าเขาทำยังไง!”เขากระซิบบอกผมเบาๆ พร้อมลมหายใจอุ่นๆที่กรุ่นกลิ่นเหล้า และโอบมือเย็นๆกระชับรอบคอผม

เขายังดูเด็ก...หากแต่ความเป็นเด็กดูจะลาจากเขาไปนานอย่างที่เขาบอก...หกปีแล้ว ที่ผมเล่นเกมส์ของพวกคุณ...

เมื่อเขาหัวเราะเบาๆอีกครั้ง ผมก็ไม่อาจรอเวลาต่อไปได้อีกแม้สักวินาทีเดียว...

ผมไม่สนใจว่าร่างเขาจะสั่นสะท้านด้วยความหนาวสักแค่ไหน เมื่อเครื่องคลุมกายชิ้นเดียวที่ผมหยิบยื่นให้เขาคือความเปล่าเปลือย

ผมเฝ้ามองดูร่างเปลือยเปล่าของเขา...

ละเลียดชิมรสผิวเนื้อที่เจือกลิ่นกรุ่นของลมหนาว...

ไล้ปลายนิ้วสัมผัสไปทั่วทุกพื้นผิวนุ่มมือ อันดูคล้ายจะเป็นหลักฐานเพียงหนึ่งเดียวที่บอกว่าความเป็นเด็กของเขายังไม่ถูกพรากไปเสียทั้งหมด...

ผิวเนื้อของเขาขาว และบาง จนแม้ลองกรีดรอยเล็บลงไปนิด ก็แดงเป็นรอยทางและไม่ยอมจางหายไปง่ายๆ

เขาหัวเราะ เมื่อผมใช้ปลายนิ้วกรีดรอยเบาๆบนต้นขาขาวๆของเขา

และเสียงหัวเราะของเขามันยั่วยุให้ผมฝังรอยฟันลงไปอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ

“โอ๊ย!”เขาร้องออกมาเบาๆ และมันยิ่งยุเย้าให้ผมฝากรอยไว้จนถ้วนทั่วทุกพื้นผิวเนื้อบนร่างเปล่าเปลือยนั้นอย่างไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ

มันเป็นความจัดเจนที่ซ่อนเร้นอยู่ในกลิ่นหอมของความด้อยเดียงสา

เป็นความเย้ายวนที่คลุกเคล้าด้วยกลิ่นอายของความเปราะบาง

เชื้อเชิญให้โอบกอดไว้อย่างถนอมมือและยั่วยุให้ขยี้ให้แหลกคามือไปโดยไม่รู้ตัว...

มันช่วยไม่ได้จริงๆที่ผมจะตักตวงความสุขจากร่างกายของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักอิ่ม

ส่งผ่านความสุขเข้าสู่ความอบอุ่นภายใน ของผิวเนื้อเย็นๆอย่างไม่รู้จักพอ

และตลอดเวลาแห่งความสุขนั้น ผมก็ปล่อยให้เขาเฝ้ากระซิบชื่อใครคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก โอบกอดเจ้าของชื่อผ่านร่างกายของผม...ปล่อยให้เขาด่ำดิ่ง เก็บซ่อนความจริงไว้ในความฝัน แลกเปลี่ยนกับรสสัมผัสที่ผมรู้ว่ามีเวลาแค่ชั่วข้ามคืน

เสียงเคาะประตูเบาๆ ทำให้ผมต้องผละจากเขาไปอย่างนึกเสียดาย

ผมลุกเดินไปเปิดประตู ไม่ต้องเสียเวลาแม้จะมองหาเสื้อผ้ามาคลุมกาย เพราะวันนี้ เวลานี้ ในบ้านหลังนี้ ผมแน่ใจทุกคนเปล่าเปลือย...

จริงอย่างที่ผมคิด เจ้าของเสียงเคาะประตู คือผู้ชายคนที่ผายมือเชื้อเชิญให้ผมบรรเลงเพลงรัก ต่อหน้าเขา...เขาเปลือยเปล่าเช่นกัน

และไม่ต้องรอให้เขาร้องขอ ผมรู้เขาต้องการอะไร

ก็เป้าหมายของเกมส์ในวันนี้ มันไม่ใช่การปิดประตูร่วมรักกันสองต่อสอง ในห้องที่มิดชิดน่าเบื่อแบบนี้ไม่ใช่หรืออย่างไร

ผมคิดอย่างชั่งใจ...

ใจหนึ่งก็นึกถึงเกมส์หฤหรรษ์

ผิวขาวที่จับนิดก็แดงเป็นรอยมือ จะช้ำมือน่ามองขนาดไหน ในอุ้งมือของใครอีกหลายๆคน

เด็กคนนี้ไม่ใหม่ ...ผมบอกตัวเอง...ยิ่งเมื่อเขายอมมาที่สถานที่แห่งนี้ เขาย่อมพร้อม และรสสัมผัสที่เพิ่งผ่านมือผมไปมันยิ่งบอกย้ำว่าเขาเคยคุ้น และยิ่งเวลานี้ ฤทธิ์เหล้าและฤทธิ์ยา มันยิ่งทำให้เขาพร้อมสำหรับทุกๆสิ่งตามแต่ใครจะเสนอและสนองให้

ผมนึกถึงเกมส์หฤหรรษ์ หากเพียงแต่ผมยินยอมให้ผู้ชายคนนี้ก้าวพ้นผ่านข้ามประตูเข้ามา...

ผมนึกถึงเกมส์หฤหรรษ์ ...แต่เพียงเสี้ยววินาที ก็นึกเห็นรอยหัวเราะจนแก้มแดงของเขา แม้มันอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาก็ตามที...และผมนึกถึงเจ้าของชื่อที่เขาเฝ้ากระซิบหายามอยู่ในอ้อมแขนผม...

ผมจึงบอกตัวเองว่า...คืนนี้ ผมนึกอยากเป็นเจ้าของเขาเพียงลำพัง...

คนเดียวเท่านั้นที่ผมจะร่วมแบ่งปัน...คือใครอีกคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก...คือใครอีกคนหนึ่งที่บ่อยครั้งเขาพร่ำเอ่ยชื่อราวไม่รู้ตัว...และผมเสแสร้ง แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน...ใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่ฝรั่งตัวสูงใหญ่ ที่พาเขาเข้าสู่เกมส์หฤหรรษ์นี้แน่นอน ...ใครคนหนึ่งที่ผมนึกสงสัย...ทำไมจึงปล่อยเขาไว้ที่นี่เพียงลำพัง

สุดท้าย ผมจึงกล่าวปฏิเสธคำร้องขอของผู้ชายคนนั้น

ผมหันกลับมามองดูเขาที่ทอดร่าง เปล่าเปลือยมองดูผมอยู่เช่นกัน...

เขายิ้ม เมื่อผมยิ้มให้

เขาขยับเรียวขาขาว เมื่อผมทอดร่างลงทาบทับเขาอีกครั้งหนึ่ง...

ผมนึกสงสัย...เขาจะรู้หรือเปล่า ว่าที่อยู่ตรงนี้ คือผม ไม่ใช่ใครอีกคนที่เขาพร่ำเรียกหา...

ผมบอกตัวเองให้หยุดคิด...เกมส์นี้มีเวลาแค่ชั่วคืน และผมควรตักตวงมันให้คุ้มค่า...

ผมจึงหยุดคิด และเริ่มต้นตักตวงความสุขที่มีเวลาแค่ข้ามคืนนั้นอีกครั้ง และอีกครั้ง...

ผมนอนกอดเขาไว้ทั้งคืน...และนึกรู้ เขาคงกำลังฝันว่าอยู่ในอ้อมแขนของใครอีกคน...

มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดอะไร...รู้สึกก็เพียงแต่เสียดายเท่านั้น...เพราะเมื่อยามเช้ามาถึง... เกมส์ก็จะจบลง

ผมนึกสงสัย...อีกกี่ลมหนาว ที่ผมจะลืมกลิ่นหอมจากตัวเขา...ในเมื่อ คืนที่กำลังจะผ่านไปนี้ กลิ่นหอมจากตัวเขาดูจะคละเคล้าจนหลอมรวมกับกลิ่นหอมของลมหนาวไปซะแล้ว...

แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาบางอย่างได้...ผมขยับตัวจากอ้อมแขนของเขา ไม่นึกกลัวว่าเขาจะไหวตัวตื่น เพราะฤทธิ์เหล้าและยา ทั้งฤทธิ์รสสัมผัสของความสุขที่ผ่านมาทั้งคืน มันมอมเมาสติเขาให้หลับใหลอยู่ในความฝันอันแสนสุขหากแต่คงจะจอมปลอม

ผมมองหาเสื้อผ้าเขา และหยิบมันขึ้นมาเพื่อรื้อค้นหาสิ่งที่ต้องการ

และผมเจอในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเจอ...กระเป๋าเงิน!

เขาน่าจะเก็บมันไว้ในที่ๆห่างตัว ถ้าเขารู้ว่าชื่อและอะไรอีกหลายๆอย่างควรเป็นสิ่งที่เป็นความลับ...ผมคิด และก็นึกขำเมื่อนึกได้ว่า...มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเล่นเกมส์ที่กำลังเล่นอยู่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มานั่งรื้อค้นสมบัติส่วนตัวของคนอื่นอยู่อย่างนี้ ทั้งในกระเป๋าเสื้อของผมเองก็มีทั้งกระเป๋าเงิน รวมถึงกระเป๋านามบัตรอย่างครบครันเช่นกัน

ผมมองดูกระเป๋าเงินตรงหน้าอย่างชั่งใจ...ก่อนจะตัดสินใจเปิดมันออกดูอย่างช้าๆ

รูปที่เก่าจนเหลือง...แม้ผมไม่มักคุ้นกับเขาจนนึกเห็นภาพเขาในวัยเด็ก แต่ก็พอบอกได้ว่า เด็กตัวเล็กๆในรูป หนึ่งในสามคนนั้นน่าจะเป็นเขา

ผมสะดุดตาที่ฝรั่งตัวโตที่นั่งยิ้มอยู่ในรูป...จะใช่คนที่พาเขามาที่นี่หรือเปล่าผมไม่แน่ใจนัก...ถ้าใช่ ความสัมพันธ์ของพวกเขามันก็ดูเป็นเรื่องเกินที่ผมจะคาดเดา...

เรื่องของมูลนิธิของชาวต่างชาติ ที่ทำทีเป็นช่วยเหลือเด็กๆ หากแต่ฉากหลังคือแหล่งค้ากามข้ามชาตินั้น มีให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ...จะแปลกอะไรถ้าเค้าจะเป็นหนึ่งในเด็กเหล่านั้น...

ผมบอกตัวเองให้เลิกคิด สิ่งที่ไม่มีทางหาคำตอบได้จากรูปแค่หนึ่งใบ และหยิบบัตรอื่นๆในกระเป๋าออกมาดู

ผมมองดูรูปเขาในบัตรประชาชน บัตรที่น้อยคนจะถ่ายรูปออกมาได้ดูดี รวมทั้งผม ที่พอจะจำได้ว่า...ตอนเป็นเด็ก ผมเก็บซ่อนมันสุดชีวิตแค่ไหน เพราะตั้งแต่เกิดมา รูปที่รู้สึกว่าตัวเองน่าเกลียดน่ากลัวที่สุด ก็คือรูปในบัตรประชาชน...แต่รูปเขายังดูดี...อาจเพราะความขาวของเขา ผมคิด ก่อนพิจารณาดูข้อมูลอื่นๆ

ชื่อเขาเพราะ จนไม่น่าจะใช่เด็กกำพร้า

นามสกุลแม้ไม่ได้ใช้ชื่อแซ่ หากแต่ก็บ่งบอกว่ามีเชื้อสายของคนจีน อย่างที่ไม่เกินคาดเดาได้จากหน้าตาและผิวเนื้อของเขา

ผมไล่สายตาดูวัน เดือนและปีเกิด...และต้องหัวเราะเพราะ ผมคาดเดาอายุเขาต่ำกว่าความเป็นจริงไปหน่อยนึง แต่เอาเถิด อย่างไรก็ช่วยให้ผมพ้นข้อหาพรากผู้เยาว์...

เด็กกรุงเทพ...ที่อยู่ในบัตรเขาว่าอย่างนั้น...แต่ผมกลับรู้สึกว่ากลิ่นหนาวของเมืองเชียงใหม่ดูจะเหมาะกับเขาเสียมากกว่า

แม้จะนึกไม่ออกว่ามีอะไรอีกที่ผมอยากรู้ หากแต่ผมก็ลองหยิบบัตรอื่นๆขึ้นมาดูต่อไป

เครดิตการ์ด...ระดับที่วงเงินอยู่ในหลักที่ผู้ใหญ่หลายคนยังไม่มีสิทธิ์ที่จะถือและก็ไม่ใช่แค่ใบเดียว...ผมบอกตัวเองว่า เขาคงไม่ใช่สินค้าอย่างที่ใจผมแอบนึกแต่แรกเห็นเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาพร้อมฝรั่งร่างสูงใหญ่...

...หรืออาจจะใช่?...ใครๆหลายคนน่าจะยอมจ่าย หากมีเงินอยู่ในมือ...อย่างน้อยก็ผมล่ะที่ยอมจ่าย... ผมคิดพลางชำเลืองมองผิวเนื้อขาวของเขาอีกครั้ง...และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงรสสัมผัสที่เพิ่งผ่านพ้นมือไปไม่นาน จนท้ายที่สุด ก็ต้องยอมรับว่า ไม่อาจห้ามใจให้ก้มลงฝากรอยสัมผัสไว้ที่แก้มขาวๆของเขาอีกครั้ง...และเขาขยับตัวยิ้มรับ...คงนึกเห็นสัมผัสของใครอีกคนอยู่เช่นเดียวกัน...

ถ้าขายก็ดี...อย่างน้อยจะได้ซื้ออีกบ่อยๆ...ผมคิด และหัวเราะให้กับความคิดของตัวเอง ก่อนจะหยิบบัตรอีกใบขึ้นมาดู

บัตรนักศึกษา...เขาเรียนที่เชียงใหม่...ผมยิ้ม นึกดีใจที่กลิ่นลมหนาวของเชียงใหม่ จะยังคงมีกลิ่นหอมของผิวเนื้อเขาคละเคล้าอยู่เช่นที่ใจนึกอยากให้เป็น

บัตรห้องสมุด?...ของอย่างนี้ต้องพกติดตัวด้วยเหรอ?... ผมนึกถามตัวเอง เพราะสมัยตัวเองเรียน ผมไม่แน่ใจว่าเคยเหยียบเข้าไปบ้างหรือเปล่า...ซ้ำรายชื่อและวันที่บอกการหยิบยืม ผมเดาว่ามหาวิทยาลัยต้องเสียบัตรให้เขาไปหลายใบแล้วแน่ๆ

และตารางเวลา ชนิดละเอียดยิบ...และดูมีสาระเกินกว่าที่ผู้ใหญ่อย่างผมคิดคาดเดา...ผมแอบชำเลืองมองดูเขาที่ยังหลับใหลอยู่อีกครั้งก่อนจะเก็บบัตรต่างๆเข้ากระเป๋าให้อย่างเดิม

ผมพยายามไม่จดจำสิ่งที่เห็น ที่ผ่านตา เพราะยิ่งนึกรู้...มันเป็นอีกโลก ที่แตกต่างจากโลกที่ผมและเขายืนอยู่ณ.เวลานี้โดยสิ้นเชิง คงเป็นสิ่งที่เขานึกอยากปกป้อง... ดูเขาไม่ใช่เด็กเกเร เด็กรักสนุกอย่างที่อีกใจส่วนลึกของผมคิดเผื่อไว้ให้...

ในเมื่อเป้าหมายของวันนี้คือเกมส์ ผมควรปล่อยให้มันเป็นเกมส์ ที่ต้องจบลงในคืนเดียว...ไม่ควรคิด ไม่ควรรู้ว่าเขาเป็นใคร รู้แค่เพียง คืนนี้เขาเป็นของผม...แค่คืนเดียว...เท่านั้นจริงๆ

ผมเก็บกระเป๋าคืนใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อให้เขา และเพราะมัวแต่ครุ่นคิดจึงไม่ทันระวัง และของบางอย่างก็หล่นร่วงลงมา...โทรศัพท์มือถือ...ที่ผมมองหาแต่ครั้งแรกไม่ใช่กระเป๋าเงินอย่างที่ค้นเจออย่างไม่ตั้งใจ

โทรศัพท์ที่เด็กวัยเดียวกันกับเขาน้อยคนจะมีใช้ แต่เขาก็มี...ผมเห็นเขายืนคุยกับใครสักคนเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา...

ใจหนึ่งนึกอยากลองเปิดดูรายชื่อที่เขาบันทึกเก็บไว้...นึกสงสัยจะมีชื่อใครคนหนึ่งที่เขาเรียกหาอยู่หรือเปล่า...หากแต่ผมก็บอกให้ตัวเองล้มเลิกความคิดนั้นเสีย...เลิกแตะต้อง โลกอีกใบหนึ่งของเขา

ผมใช้โทรศัพท์ของเขากดโทรเข้าเครื่องของผม...ผมยิ้มเมื่อดูเบอร์ที่ขึ้นโชว์บนหน้าจอโทรศัพท์...เพียงเท่านี้คงไม่เป็นไร...ผมบอกตัวเอง เพราะผ่านวันนี้ ผมอาจไม่ได้คิดถึงเขามากเท่าที่ใจคิด...อาจเป็นเบอร์ที่ผมไม่คิดกดโทรก็ได้ ใครจะรู้

ผมเก็บโทรศัพท์ และกลับขึ้นไปนอนกอดเขาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง...

สูดดมกลิ่นลมหนาว...และก้มจูบเขาอีกครั้ง และอีกครั้ง...เพื่อจดจำกลิ่นผิวเนื้อเย็นๆที่หอมพอๆกับกลิ่นของลมหนาว...

ผมนึกไม่อยากให้ตอนเช้ามาถึง แต่สุดท้ายมันก็มาถึง มาเพื่อป่าวประกาศว่า...เกมส์จบแล้ว

ผมมองเขาที่ขยับตัวตื่น พลางยกมือขึ้นปัดป้องแสงแดดที่อวดแสงจ้าเกินความจำเป็น

ผมนึกตำหนิตัวเอง ว่าหากไม่ลืมดึงผ้าม่านผืนหนาปิด...ผมอาจได้เวลานอนกอดเขาเพิ่มขึ้นอีกนิดก็ได้

ดูเขาจะยังสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อพบว่าร่างตัวเองเปลือยเปล่าอยู่เช่นเดียวกันกับผม

ผมให้เวลาเขาคิด โดยรู้ว่าไม่ต้องเสียเวลาอธิบายอะไรมากมายนัก...


ยาและเหล้า อาจทำให้สติเขาหลุดลอย หากแต่ไม่ถึงกับลบเลือนไป

เขาแค่คุมสติตัวเองไม่อยู่ หากแต่เมื่อยาหมดฤทธิ์ เขาจะยังจำได้ทุกรสสัมผัสที่ได้รับการเสนอ และตัวเขาเองเป็นผู้ตอบสนอง

ผมแค่ให้เวลาเขาคิดและเรียบเรียงสติตัวเองเท่านั้น

“ไหนว่าไม่มีทาง บอกแล้วว่าเธอจะเต็มใจ!”ผมพูดแกมหัวเราะ เมื่อมองเขาลุกขึ้นหันหลังแต่งตัวไม่พูดไม่จา

“ผมเล่นเกมส์ของพวกคุณมาหกปีแล้ว!”เขาบอกผมอีกครั้ง และครั้งนี้ผมรู้ว่าเขาตั้งใจบอกว่า เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา...ยาไม่ใช่ของใหม่สำหรับเขาอีกเช่นกัน...

ก็ดี!..ผมนึกบอกตัวเองในใจเพราะนั่นหมายความว่า เขาเองก็คงให้ความร่วมมือโดยเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้เท่าทันเช่นกัน

และผมก็รู้ว่าตัวเองอาจคิดผิด เมื่อบอกตัวเองให้ลุกขึ้นและก้มลงจูบเขาที่ซอกคอเบาๆโดยที่เขายังยืนหันหลังให้ผมและ ไม่ขัดขืนใดๆเลยเช่นเคย หากแต่ผิวแก้มเย็นๆของเขา บัดนี้มันเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา...น้ำตาที่ไหลอยู่เงียบๆ

ยาคงไม่ใช่ของใหม่สำหรับเขา...หากแต่วิธีการของผมมันคงเป็นของใหม่...

มันก็แค่เกมส์...ผมบอกตัวเอง...เกมส์ที่ผมเล่นอยู่กับความเชื่อใจของเด็กคนหนึ่ง ที่กำลังร้องไห้อยู่เงียบๆ ตรงหน้าผม...

ต่อไปเขาคงได้รู้ว่า...ผู้ใหญ่อย่างพวกผมไม่ใช่เพียงกลับกลอกและปลิ้นปล้อน...หากแต่ความจริงมันไม่เคยมีมาแต่แรกเริ่มต่างหาก...ทุกอย่าง ทุกคำพูด ก็เพื่อแลกเปลี่ยนกับรสสัมผัสอันแปลกใหม่ของเกมส์ชั่วข้ามคืนเท่านั้น...เมื่อตอนเช้ามาถึง...เกมส์มันก็จบ ก็เท่านั้น....

ใช่แล้ว...มันเป็นแค่เกมส์ ที่บ่อยครั้ง น้ำตาที่ผมเห็นก็อาจจะเป็นแค่เกมส์ของการเสแสร้งอีกเช่นกัน

หากเขาชาชินกับเกมส์...วันหนึ่งเขาก็จะชาชินกับสิ่งที่ผมทำ...

หากสิ่งที่ผมกระทำ เขาคิดว่ามันเลวร้าย วันหนึ่งเขาจะรู้ว่ามันยังไม่ถึงที่สุด...เพราะหากเขายังเวียนวนอยู่ในเกมส์เหล่านี้...เขาจะเจอสิ่งที่ยิ่งกว่าผมทำ...มันไม่เคยมีคำว่าที่สุด...แล้วเขาจะรู้

ผมไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีก...บอกตัวเองให้คิดว่า ช่างมัน...มันเป็นแค่เกมส์ ที่เดี๋ยวก็ต้องจบ...ก็เท่านั้น

มันเป็นแค่เกมส์ ที่ตัวเขาเองก็รู้มาแต่เริ่มเหยียบเท้าก้าวเข้ามา

มันเป็นแค่เกมส์ ของคนที่ไม่รู้จักกัน หวังก็เพียงความสนุกของรสสัมผัส แล้วเขาจะมาคาดหวังความไว้เนื้อเชื่อใจได้อย่างไร

ผมยืนมองดูเขาหยิบเสื้อหนาวตัวใหญ่ขึ้นมาใส่ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาก่อนจะเปิดประตูและเดินออกจากห้องไปเงียบๆ...

ผมยังยืนอยู่ที่เดิม ถึงแม้ว่าในฐานะของเจ้าของบ้าน ผมควรเดินลงไปกล่าวร่ำลาเหล่าผู้มาเยือนที่ไม่รู้จักกันแม้แต่ชื่อก็ตาม หากแต่ก็นึกรู้ว่าไม่จำเป็น เพราะเมื่อยามเช้ามาถึง พวกเขาก็จะต่างแยกย้ายกันไป เร็วที่สุดเท่าที่ความพร้อมจะอำนวย

ดังนั้นผมจึงเลือกยืนอยู่ที่เดิม นึกถึงผิวแก้มเย็นๆ กับน้ำตาของเขา...

ผมก้มลงมองดูรถที่ทยอยแล่นจากไปทีละคันๆ

มองดูเขากับคนของเขาที่กำลังพร้อมจะจากไปเช่นกัน

ผมคิดถึงน้ำตาของเขา และก่อนที่จะทันคิด ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดเบอร์ ที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วผมคิดว่า...ผมอาจไม่คิดจะกดโทร

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนกดรับ

...ผมอยากพูดอะไร?...ผมถามตัวเอง

“ยังไม่ได้จูบลาเลย...”ผมพูดและหัวเราะ...คำพูดที่เคยคุ้นในโลกแบบที่คุ้นเคย คือเสแสร้งและจอมปลอม

เขาไม่ตอบอะไร ทำเพียงเงยหน้าขึ้นมามองดูผมด้วยใบหน้าเฉยชา อันเป็นเกราะกำบังกายอันเปราะบางหนึ่งเดียวที่เขามี

แล้วเขาก็ทำสิ่งที่ผมอยากนึกขัน เขาส่งโทรศัพท์ให้คนของเขา ก่อนชี้มือมาทางผม ผมไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไรกับคนของเขา หากแต่คลับคล้ายคลับคลา คล้ายจะฟ้อง...

ผมหัวเราะ นึกขำ ทำไมเขาคิดว่าคนของเขา... ฝรั่งสูงใหญ่คนนั้น... คนที่นั่งยิ้มเห็นฟันขาวอยู่ในรูปในขณะที่เขาอายุแค่ไม่กี่ขวบ... คนที่เป็นคนพาเขาเข้ามาสู่เกมส์หฤหรรษ์นี้...จะปกป้องเขาได้

...เป็นความไว้วางใจที่บิดเบี้ยว แบบที่เขาไว้ใจผมกระมัง...ผมคิดและหัวเราะ ให้กับความไว้วางใจของเขา

ผมผ่านวันเวลาของเขามากว่าสิบปีแล้ว...ผมจึงจำไม่ได้ว่า ความไว้วางใจของเด็กอย่างเขา เอาอะไรวางไว้บนพื้นฐาน...

หรือเขาอาจเพียงคาดหวังความเชื่อใจจากตัวผม เพียงทดแทนที่เคยพลาดหวังจากความไว้วางใจจากคนของเขา...ผมบอกตัวเอง พลางมองเขาที่ถูกพาจากไป...มองดูโทรศัพท์ที่ถูกคนของเขาโยนทิ้งไว้ตรงนั้น...

จบเกมส์แล้ว เดี๋ยวผมเองก็ต้องไป...และเดี๋ยวผมก็จะลืม ผมบอกตัวเอง

รสสัมผัสชั่วข้ามคืน กับ น้ำตาชั่วข้ามนาที...ยากจะจดจำ...

แต่ผมกลับไม่เคยลืม...รสสัมผัสของผิวเนื้อ และรสชาติของน้ำตา

แม้ไม่ใช่ทุกคืน...หากแต่ปล่อยครั้งที่คิดถึง...

มันไม่ใช่ความรักหรือแม้แต่จะผูกพัน...หากแต่กลับไม่เคยลืม

น่าแปลก ที่กี่ครั้งแล้วที่ผมเฝ้าหลับตาลงเพื่อฝันถึงคนๆหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแค่ชั่วข้ามคืน...

ทุกครั้งที่หลับตา ยังนึกได้กลิ่นหอมบางๆ คล้ายแค่เอื้อมมือออกไปก็คงได้สัมผัสผิวเนื้อเย็นๆ แต่ก็นึกรู้ว่า หากยังมิอยากลืมตาตื่น ก็จงอย่าเอื้อมมือออกไป เพราะหากเอื้อมมือไป ก็จะไม่ได้อะไร นอกจากสัมผัสของความจริงอันว่างเปล่าเท่านั้น

และคืนนี้ภาพที่จดจำ มันแจ่มชัดกว่าเคย...

อาจเป็นเพราะ ผมเพิ่งเจอเขา...แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี น่าแปลกที่ผมยังจำเขาได้โดยไม่แม้ต้องเสียเวลาจะนึกคิด

กลิ่นหอมบางๆที่ผ่านจมูกเพียงชั่วคืนและเจนจมูกราวกับเคยคุ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันในความฝันนั้น กลับมาแตะปลายจมูกอีกครั้ง คล้ายชักชวนให้ผมเอื้อมมือออกไปรั้งเขาไว้ก่อนที่เขาจะเลยผ่านผมไปอย่างคนไม่รู้จัก... แต่ผมก็ไม่ได้ทำอย่างที่ใจนึกอยาก...

อาจเพราะวันนี้ เวลานี้...ปีกของเขายังดูงดงาม หากแต่ไม่เปราะบางเหมือนในวันนั้น

ผมจึงบอกตัวเองให้ทำเพียงมองดูเขาเดินผ่านผมไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

รอยยิ้มของเขาในวันนี้ไม่ใช่ความเมามายของรสเหล้า

เหมือนเสียงหัวเราะที่ไม่ได้ถูกปรุงแต่งด้วยความจริงที่บิดเบี้ยวของฤทธิ์ยา

ปากแดงๆที่ผมยังจำรสสัมผัสได้ไม่เคยลืมนั้นกำลังขยับพูดถ้อยคำบางคำที่ถูกกลืนหายไปเพราะเสียงเพลงที่ดังอยู่รอบด้าน จะมีก็คงเพียงชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆเขาเท่านั้นกระมัง ที่พิเศษพอจะได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น

ผู้ชายคนนั้นยืนกอดอก โน้มตัวลงฟังสิ่งที่เขากำลังพูดอย่างตั้งใจ ก่อนจะหัวเราะและยิ่งโน้มตัวลงใกล้ เพื่อกระซิบอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาหัวเราะมากกว่าเดิม

แม้จะไม่เห็นพวกเขาสัมผัสกัน...แต่ดวงตาที่พวกเขาจับจ้องกันนั้น ทำให้นึกรู้ว่า บัดนี้ปีกของเขาไม่เปราะบางด้วยคงถูกปกป้องจากเจ้าของมือคู่นี้เอง

แม้นึกสงสัยว่า ผู้ชายคนนี้จะใช่ใครคนนั้นที่เขาฝันถึงยามอยู่ในอ้อมแขนของผมหรือเปล่า...หากแต่สิ่งหนึ่งที่สิ้นสงสัยคือ...แม้ผมจะตามหาเขาจนเจอ หากแต่ระหว่างผมกับเขา... มันเป็นอะไรไปไม่ได้มากไปกว่า...เวลาแค่ชั่วคืนที่ดูคล้ายว่า เขาจะไม่ได้เก็บมันไว้ในความทรงจำเสียด้วยซ้ำ

คืนนี้ผมจึงทำได้เพียงหลับตาลงเพื่อกอดเขาไว้ในความเมามายอีกครั้ง...

ปล่อยให้รสหวานของเหล้าผ่านปลายลิ้นครั้งแล้วและครั้งเล่า เพื่อลิ้มรสสัมผัสของปลายลิ้นอุ่นที่กรุ่นกลิ่นเหล้าของเขาในคืนวันนั้น...

คืนที่ไม่เคยลืม...

น้ำตาที่ไม่เคยลืมเลยเช่นกัน...

จบ

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-04-2008 18:35:20
จบแล้วค่ะ สำหรับเรื่อง หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ

ขอบคุณ คุณภัคD ที่อนุญาตให้นำเรื่องมาลงในเล้าแห่งนี้  :m13:  :m13:

และมีอีกเรื่องของคุณภัคD ที่จะนำมาลงหลังสงกรานต์ จะได้ต่อเนื่อง

เป็นเรื่องของ เด็กชายตะวันฉาย นายกรินกรณ์ และพี่ชายปากบอนบ้านข้างๆ

เรื่องนี้ไม่หนัก อ่านสบายๆ แต่สำนวนยอดเยี่ยมตามแบบฉบับคุณภัคD

เจอกันหลังสงกรานต์นะคะ  :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: animob ที่ 07-04-2008 18:56:55
ขอบคุณอีกครังครับบ สนุกจัง จะรออ่านนะครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 07-04-2008 19:27:35
แม้แต่ตอนพิเศษก็น่าค้นหา  เยี่ยมเลย

จะรออ่านเรื่องถัดไปนะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 07-04-2008 20:21:20
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วประทับใจ กินใจมากเลยคับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: hasuzz ที่ 07-04-2008 20:44:32
อ่านเีรื่องนี้ตั้งแต่คุณภัคD มาโพสครั้งแรก


นานมาแล้วที่ไม่ได้อ่านนิยายจนร้องไห้
บีบคั้นอารมณ์สุดๆ



ขอบคุณทั้งคนเขียน คนโพส
นิยายเรื่องนี้ยังตรึงใจเราอีกนานนนนนน
>______<!!!
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 07-04-2008 21:10:52
ยิ่งอ่านยิ่งประทับใจๆๆๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 08-04-2008 03:24:54
+1ให้พี่ทิพ

เป็นเรื่องราวที่อ่านช่วงแรกจนเกือบจน อึดอัดมากๆ แบบว่าทำใจอยู่นานว่าจะอ่านต่อดีมั้ย

แบบว่าคิดมาก กลัวอินจนจิตตก ในที่สุดก็กลับมาอ่านแล้วพบกะตอนจบแบบนี้ก็ทำให้ยิ้มออกมาได้

คุณภัค D แต่งดีมากๆ  o13 แล้วจะรอติดตามเรื่องต่อไปนะ  :a1: :a1:









หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 08-04-2008 13:08:12
 :L2:   :L2:  ขอบคุณคุณทิพย์ที่ทำให้อีกหลายๆคนได้อ่านเรื่องที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
เป็นนิยายที่สุดยอดจริงๆ ประทับใจมากมาย
ตอนอ่านนี่   :angry2:  เกลียดเอกกะทอมที่สุด แต่ทั้งรักทั้งสงสารพี่เหยาจับใจ   :m1:
คุณภัคDยังสงสารคนอ่านอยู่มั่ง เลยจบเรื่องอย่างมีความสุข
ถ้าจบแบบเศร้า หรือให้พี่เหยามีอันเป็นไป สงสัยแฟนๆที่ตามอ่านต้องสติแตกแน่นอน   :serius2:

จะรออ่านเรื่องต่อไปของคุณภัคDที่คุณทิพย์จะเอามาลงต่อจ้า    :pig4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 08-04-2008 15:00:14
ความหมายของตอนพิเศษคือ?

สองไม่เข้าใจ


เอามาทำร้ายกันอีกทำไม  :o12:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 09-04-2008 19:13:39
เนื้อเรื่องเครียดมากๆ  สุดยอดก็ลงเอยกันด้วยดี
ผมกลัวพี่เหยาจะเกลียดเอกไปตลอดชีวิต

แต่รู้ความจริง  พี่เหยาทำแบบนั้นไปเพื่อแก้แค้น... o7  ชอบเรื่องนี้จัง

วิธีการแสดงความรักมีสองแบบ
แบบแรกทะนุถนอม
แบบที่สองคือการทำร้าย ข่มขู่  ชอบจริงๆ

ดีใจที่เรื่องจบด้วยดี   ผมกลัวมันจะจบด้วยการจากลาจังตอนแรก
ชอบมากๆ ครับ   อดที่จะเกลียดทอมไม่ได้  ฮ่าๆๆๆ

วิทย์ก็เป็นเพื่อนที่ดีมากๆ  ผมชอบที่วิทย์พูดจัง
ถ้ามึงเลวมึงเห็นแก่ตัว  กูจะทนคบมึงเหรอ   ชอบจริงๆ  o7

บทส่งท้ายอ่อนแล้วงงๆ นิด  เดี๋ยวมาอ่านอีกรอบดีกว่า
 :sad2: :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 10-04-2008 06:00:24
โอย....เศร้าๆๆๆๆๆๆ :m15: :m15: :m15:
ทำไมถึงไดบีบคั้นอารมณ์ขนาดนี้เนี่ย
จะหยุดอ่านก็ไม่ได้ต้องอ่านรวดเดียว  ไม่ได้นอนเลยเนี่ย :serius2:
จะติดตามผลงานต่อไปนะคะ :o8: :o8:



ชอบตอนพิเศษมากๆเลย :m1: :m1:
เหยากับเอกน่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 12-04-2008 12:03:06
 :m1:  คิดถึงพี่เหยา
 :L1:
 :L1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 17-04-2008 23:50:32

ของเค้าดีจริงๆๆๆ  o13 o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 20-04-2008 03:04:17
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ

อ่านไปร้องไปเกือบทั้งเรื่อง :m15:

ไม่รู้ว่าอินมากไปป่าว แฮะๆ


เหยากะเอกน่รักมากมาย :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: YoOl ที่ 22-04-2008 01:11:30
เศร้าอ่ะครับ เศร้าจริงๆ :o12:

ทำไมผมอ่านเรื่องนี้แล้วหาความสุขของตัวละครแทบจะไม่เจอเลย ทำไมมีแต่คนที่เจ็บปวด  :o12:

ตอนอ่านน้ำตารื้อขึ้นมาบ่อยมาก

ขอบคุณคนแต่งมากครับ ที่แต่งเรื่องดีๆมาให้ได้อ่าน

ขอบคุณคนโพสมากครับ ที่โพสเรื่องดีๆนี้มาให้ได้อ่าน

แล้วก็ขอบคุณพี่ฟ้ามากครับ ที่แนะนำเรื่องดีๆเรื่องนี้ให้อ่าน

+ ให้ไปเลยคร้าบ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 22-04-2008 18:56:36
เรื่องนี้ทำผมร้องไห้ :)

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 24-04-2008 19:31:39
 :m1: :m1: :m1:



 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 13-05-2008 17:54:00
บอกตรงๆ เครียดมาก ยังอ่านไม่จบเลย

ขอไปทำใจก่อนนะ เด่วจะมาอ่านใหม่

เฮือกกกกกกกกกกกกก

 :o12:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 14-05-2008 17:21:25
อ่านจบแล้วววว

ขอบอกกลัวมากกับการอ่านนิยายที่บีบหัวใจแบบนี้ กลัวตอนจบของเรื่องเป็นที่สุด

ยิ่งอ่านยิ่งเครียด ไม่อยากอ่านต่อ แต่สุดท้ายก็ทนอ่านจนจบ

สงสารเหยาที่ต้องทนเก็บกดเอาไว้

สงสารเอกที่ไม่รู้หัวใจตัวเอง

----------------------------------

ขอบคุณ คุณภัคD ที่ไม่ทำร้ายหัวใจคนอ่านตอนจบครับ

ขอบคุณ Thip ที่เอาเรื่องราวดีๆ มาให้อ่าน

ขอบคุณ เรย์ สำหรับพื้นที่แห่งความสุข (ย้ำห้ามถอดใจเข้าใจมั้ย?)

ขอบคุณ เซ็งเป็ด ที่ทำให้เรารู้จักกัน

ขอบคุณ เพื่อนๆ สำหรับมิตรภาพ

ขอบคุณครับ

 o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Bogiecoco ที่ 06-06-2008 16:45:46
บอกได้คำเดียวว่า

สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดด

อ่านไปเครียดไป ร้องให้ไป บีบคั้นสุดๆๆ

ยิ่งอ่านยิ่งเครียด แต่ก็หยุดอ่านไม่ได้

เยี่ยมจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ThyRist ที่ 07-06-2008 01:38:41
ทำโปรเจคมาเหนื่อย ๆ  เรื่องนี้กะไม่ให้นอนพักเลย ><

ถึงหน้า 6 ด้านบนแล้ว ต้องรอให้จบแฮปปี้ ถึงจะได้นอน - -

ขอขอบคุณนะครับ สำหรับคนแต่ง แล้วก็ผู้เอามาลงด้วย

ที่เอาเรื่องดี ๆ  แบบนี้มาแบ่งปันกันอ่าน

 :m4: :m4: :m4: :m4: :m4:

..
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: TongZA ที่ 08-06-2008 00:14:31
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วเศร้า  :m15: แล้วก็เครียดมากที่สุดเลยอ่าคับ  :เฮ้อ: :เฮ้อ:


แต่ก็ดีใจนะคับที่สุดท้ายแล้วก็ลงเอยกันได้ด้วยดี :m4: :m4:


อ่านเรื่องนี้แล้วทั้งเศร้า  :o12:ทั้งสนุก :m1: ทั้งๆที่อ่านไปแล้วเครียดแทบตายเลย


ขอบคุณคนเขียนมากมายอ่ะคับที่เอาเรื่องที่ดีแบบนี้มาเขียนให้อ่านคับ


 o13 o13 o13 :m4: :m4: :m4: :a1: :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 11-06-2008 11:06:40


เป็นเรื่องเดียวที่อ่านไม่จบตอนสักครั้ง . . .

มันตีบแน่น . . . .จนต้องเบนหน้าหนีจากจอ

เป็นเรื่องเดียวที่ทำร้ายหัวใจของผม  ทำร้ายความศรัทธาทั้งหมด

เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ผมค่อย ๆ  แบมือจากสิ่งที่ผมยึดอยู่ . . .

แล้ว . . . ผมก็ปล่อยวางมันจากมือ

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: แก้ว ที่ 18-06-2008 17:44:43
อ่านแล้วบีบใจจริง ๆ ค่ะ    ทิชชู่หมดไปหลายม้วน


ขณะที่อ่านมีแต่คำถาม ทำไม ทำไม และทำไม เต็มไปหมดแม้ว่าจะมีเหตุผลมารองรับการกระทำก็ตาม


เรื่องนี้ทำให้แก้วเห็นว่า ความต่างกันอย่างสุดขั้วแต่มันก็เกิดขึ้นได้ในเวลาเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ
จนบางครั้งแยกไม่ออกว่า แข็งแรงกับอ่อนแอ  ศรัทธากับสิ้นหวัง บางทีมันเป็นสิ่งเดียวกัน !!!


ต้องขอบคุณทิพย์สำหรับการโพสต์เรื่องดี ๆ ให้อ่านค่ะ
ขอบคุณคุณภักดีที่บรรยายถ่ายทอดความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยมจริง ๆ ค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่สร้างเว็บนี้ขี้นมาค่ะ

ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ   :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: bbboy ที่ 25-06-2008 01:04:00
อ่านแล้วเศร้าจังครับ :m15:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: hiei ที่ 13-09-2008 10:06:04
อ่านจบแล้ว (ถอนใจเฮือก)

อ่านไปเรื่อย ๆ น้ำตาเกือบไหล แต่ไม่ไหลแฮะ มันตกในหมด (คาดว่าน้ำจะท่วมปอดเร็วๆนี้)

เรื่องนี้บีบหัวใจสุด ๆเลยค่ะ บรรยากาศเล่าเรื่องก็แสนเศร้า มืดมน หม่นหมอง หนาวเย็น ฟิล์มนัวกันสุดๆ
(เวลาเพื่อนพระ-นาย โผล่มาทีรู้สึกดีมาก ๆ.. ความอบอุ่นและความสว่างไสวยังมีอยู่บนโลกใบนี้ o7)

เหมือนตกไปในหุบเหวลึกหาทางออกไม่เจอ
 เกลียดพระเอก เกลียดตัวร้าย เกลียดความโหดร้ายในจิตใจมนุษย์

ซึ่งถ้ามีเรื่องให้ไม่ชอบขนาดนี้ ไม่น่าอ่านจนจบเนาะ


แต่เรื่องนี้คนแต่ง สุดยอด :L1: ภาษา สำนวน การบรรยายด้านอารมณ์ มันช่างลึก....ซึ้ง สั่นคลอนจิตใจมากมายแบบหยุดอ่านไม่ได้อ่ะ
อ่านจบแล้วก็อยากอ่านอีก  กลายเป็นเรื่องในดวงใจไปแล้วค่ะ

เป็นแนวที่ไม่ได้ชอบ แต่เรื่องนี้ไม่ชอบไม่ได้จริงๆ ค่ะ (คุณภัคD เขียนเก่งโคตรรรรรรรร)

ขอบคุณคนโพสต์ นะคะ ที่ทำให้ได้อ่านนิยายเรื่องนี้  :oni1: :oni1:

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: kurugmin ที่ 16-09-2008 13:35:53
เข้ามาอ่านเพราะกระทู้โหวตมีเรื่องนี้เป็นเรื่องโศกของหลายๆคนมาก
(ไม่เคยอ่านงานของคุณภัคDมาก่อน)
คิดว่าคงโศกรันทดคนรักตายจากพ่อแม่พลัดพรากน้ำตานองละมั้ง
ไม่คิดว่าเนื้อเรื่องจะเป็นแบบนี้


ปกติเป็นคนชอบอ่านได้หลากหลายมาก
แต่มาเจอเรื่องนี้ 
ได้อ่านแล้วหยุดไม่ได้
อ่านตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงตอนนี้ บ่ายโมงพอดี
ขึ้นมาก็โดนจังๆ
ทุกๆความรู้สึกประเดประดังเข้ามา

ตื่นเต้นใจระทึก
อึดอัดหายใจไม่ออก
ปวดหนึบๆที่อกข้างซ้าย
หงุดหงิดอยากกระทืบคน
ใจหวิวหวั่นไหว
ยิ้ม
สติแตก
ประสาทเสีย
ใจหาย
ปวดเบ้าตา

แล้วคนอ่านมาโซฯ
ชอบมากๆ
ไม่เศร้าโศกมีน้ำตากับนิยายเรื่องนี้
ก็มันเจ็บปวดแต่ก็มีความสุขด้วย

บทส่งท้ายน่ารัก
เรื่องพิเศษที่ได้อ่านช่วยสะกิดต่อมสงสัยว่าเหยาเอง
ก็เต็มใจ
กับเกมส์ๆนี้ใช่..รึ???

ขอโหวตให้เป็นนิยายประทับใจที่สุดของปี  แน่นอน

สุดยอด

 o13 o13 o13
ขอบคุณคนแต่ง
ขอบคุณคนโพสต์
ขอบคุณคนที่โหวตเสนอชื่อให้เราได้เห็นและเข้ามาอ่าน


หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: PHUCK™ ที่ 22-09-2008 20:04:21


หลังจากอดทนอ่านได้แค่คืนละหนึ่งตอน . แล้วกลับไปนอนร้องไห้ทุกคืน
เมื่อคืนทำใจแข็งอ่านตั้งแต่บทที่หกจนจบ . ออกไปใส่บาตรตอนหกโมงเช้ากับแม่
แล้วกลับมาอ่านบทส่งท้าย กับ ตอนพิเศษ หรือจะเป็นแค่คืนหนึ่งในความทรงจำ ต่อ .

ความจริงตรองน่าจะหยุดอ่านหลังจากอ่านตอนจบ หรือ บทส่งท้าย เสร็จแล้วปิดคอมพ์ไปเลย .
เพราะตรองคงนอนหลับตายิ้มอย่างมีความสุข .
หากแต่ความอยากรู้ที่มีมากกว่า ทำให้เลือกที่จะเลื่อนเม้าท์ในมือลงมาจนถึงตอนพิเศษฯ .
นอกจากจะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่จะสื่อเหมือนเจ๊สองแล้ว . ยังทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับหนักกว่าคืนก่อนๆด้วย .

หลังจาก 'รักแห่งสยาม' เคยทำให้ตรองรู้จักคำว่า 'หนังจบอารมณ์ไม่จบ' มันเป็นยังไง
วันนี้ 'หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ ของ คุณภัคD' ก็ทำให้ตรองกลับมาเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว

' นิยายจบอารมณ์ไม่จบ ! '

จากที่เคยโดดเรียนพิเศษมาเดินแกร่วอยู่ที่สยาม .
จากที่เคยชวนเพื่อนไปนั่งกินสเวนเซ่นที่สยามทุกเย็น .
จากที่เคยไปนั่งรอกับเพื่อนอยู่แถวหน้าจอเช็คเกอร์สกรีน .
จากที่เคยเดินวนไปวนมาหน้าร้าน DJ SIAM .

ด้วยเหตุผลเดียว .
เหตุผลที่เคยทำให้ครั้งหนึ่งเพื่อนๆที่โดนลากมาสยามด้วยทุกเย็นมันแทบจะยกรองเท้านักเรียนมาถวายไว้บนหน้า .
เหตุผล คือ สักวันตรองคงได้เจอ 'โต้งกับมิว' .
ตรองไม่ได้ชอบมาริโอ้ ไม่ได้ชอบพี่พิช .
แต่ตรองชอบความรักระหว่าง 'โต้งกับมิว' .

วันนี้ตรองจะทำยังไงดี .
บินขึ้นไปเชียงใหม่  .
เปิดเว็บหาข้อมูลบริษัททัวร์ที่มีสาขาอยู่ที่ เชียงใหม่ อุดรฯ และจันทบุรี .
พิมพ์คำว่า 'จึเหยา' ลงไปใน GOOGLE เผื่อว่าจะมีประวัติข้อมูลของพี่เหยา .
หรือทำยังไงดี ?? ? . ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่านี่คือนิยายเรื่องหนึ่งเท่านั้น .
แต่เอ็ฟเฟ็กต์มันมากจริงๆ .
สำหรับตรองทุกคนมีชีวิต ทุกคนคือคนที่ตรองอาจจะเคยเดินสวนกันสักที่ .
ทั้งเอก พี่เหยา ทอม วิทย์ ชัย รงค์ พี่เก้า พี่นัท พี่เก่ง พี่โอ๋ พี่คิม ฟง พ่อ แม่ ย่า อาม่า ป๊า ม๊า ฯลฯ .

คุณภัคD เขาจะรู้รึเปล่าว่ามาทำอะไรไว้กับตรองบ้างเนี่ย ?? ?
ท่าทางคืนนี้คงต้องกลับไปใช้ 'ยา' เหมือนเมื่อคราวรักแห่งสยาม .
ไม่ใช่ 'ยา' อย่างที่พี่เหยาใช้ . หากแต่เป็น 'ยานอนหลับ' .
เพราะเรื่องราวที่ผ่านมาของพี่จึเหยามันทำให้ยากเกินกว่าจะข่มตาลง .
ถ้าเลือกได้ ตรองคงเลือกที่จะฟังแต่เรื่องราวดีๆของพี่เหยากับเอก .

ส่วนเรื่องที่ผ่านมาตรองก็ไม่อยากเก็บมันไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ .
ยกตำแหน่งนิยายสุดประทับใจแห่งปี . ไม่สิแห่งชีวิตให้คุณภัคDไปเลย .
คงอีกนานกว่าจะมีใครเข้ามาแทนที่เรื่องราวของพี่เหยาได้ .
คุณภัคDครับ . คุณเก่งจริงๆ ตรองนับถือ .
ตรองเริ่มชักไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่แล้วสิ . ทำไมความคิดของผู้ใหญ่มันเป็นอะไรที่น่ากลัวจังครับ .
ทำไมมันถึงต้องดูลึกลับซับซ้อนอะไรมากมาย . สิ่งที่ผู้ใหญ่ตัดสินว่า 'ถูก' แท้จริงแล้วมันถูกต้องจริงๆเหรอ .


G.NORT . (ไอ้ตรองเองครับ .)
ป.ล. ตรองแอบหลงรักพี่จึเหยาอ่า .. ทำไงดี >o<
ป.ล.ตัวที่สอง . แอร๊กกกกก ก ก T^T (ตรองโดนเอกกระโดดเตะก้านคอ !!)
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: MIkz_hotaru ที่ 30-09-2008 01:10:28
อ่านสองวันจบ


ปวดหัวตุ๊บเลยทีเดียว

วันนี้ต้องนอนหลับสบายแน่ๆ

ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะจบแฮปปี้ มีความสุข

พออ่านจนจบ รู้สึกมีความสุขมากๆๆๆ

ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้ให้พวกเราได้อ่านกัน

ขอบคุณจริงๆ  o13



ปล ไม่รู้ทำไม ถึงสงสารเอก มากๆ  :กอด1:

รักเอก รักพี่เหยา  :L1: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: oa_ko ที่ 01-10-2008 04:49:15
อ่านเม้นท์จากหลายๆเม้นแล้ว
 

แล้ว


แล้ว


ไม่กล้าอ่านอ่า

กล้วน้ำตาท่วม      :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: VitamiN ที่ 02-10-2008 02:54:52
เรื่องนี้สุดยอด :m15:
ทั้งเศร้า เครียดและตื้นตัน
ให้อะไรหลายอย่าง
อ่านไปก็คิดไป
หลายครั้งที่มักเอามาถามตัวเอง
ว่าถ้าเป็นเรา เจอเหตุการณ์อย่างนี้ จะทำอย่างไร
และหลายครั้งก็ให้คำตอบตัวเองไม่ได้
อ่านไปก็สับสน ในความรู้สึกหลายๆอย่าง
ทั้งความรู้สึกของตัวละคร ทั้งความรู้สึกของเราตอนที่อ่าน
บางครั้งก็พูดได้ว่าไม่ชอบเลย ทำไมทำแบบนี้ล่ะ
แต่พอคิดอีกที นั่นสิ แต่มันก็ไม่ผิดสักทีเดียว
แล้วใครล่ะที่ผิด
อ่านแล้ว เรียกได้ว่า กว่าจะหายสับสน
ก็ตอนจบนั่นแล :เฮ้อ:

สุดยอดเลยค่ะ o13

ขอบคุณมากๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: echisen ที่ 03-10-2008 20:04:01
อ่านจบแล้วฮับบบบ เป็นเรื่องน่าเศร้ามากๆๆอ่ะ ไม่รุจะสงสานใครดีเลย อารมณ์ก้อเข้าใจยากมาก
เศร้ามากๆๆๆๆนึกว่าจะเป็นตามชื่อเรื่องแล้วสะอีกตอนจบเลยหายเศร้าหน่อยยยย
คนเรามันต้องพูดกันจริงๆๆอ่ะ ไม่งั้นก้อไม่เข้าใจกันนนน ซึ้งฮับบ แต่ชอบเพื่อนๆๆ ของเค้านะ รักเพื่อนมากๆๆๆ
 สนุกฮับบบบ รออ่านเรื่องต่อไปอยู่ฮับบบบ  o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 03-10-2008 20:18:13
เข้าใจอาการเลยครับ
ตอนผมอ่านเรื่องนี้จบใหม่ๆ
ผมร้องไห้ทั้งคืนเลย
มันหลากหลายอารมณ์มากๆ บอกไม่ถูก

นิยายเรื่องนี้ยังไม่มีเรื่องไหนมาแทนได้เลยอ่า สุดยอดจริงๆครับ
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: singsayam ที่ 05-10-2008 18:10:45
ทำไมลุงอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องนะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 07-10-2008 18:54:43
ทำไมลุงอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องนะ




เพราะ . . .  ลุงอายุเกินป่ะครับ

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: popper ที่ 11-10-2008 00:28:10
อ่านเรื่องนี้

ขอบอกเลยค่ะ ว่าบีบหัวใจสุดๆ

อ่านไป รุ้สึกหายใจไม่ออก

เเละก้อยิ้มกับบางอย่างที่มันเหมือนจะเเฝงอยุ่ในความเลวร้าย

เห้อ ประทับใจมากค่ะ

 :n1: :n1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 13-10-2008 11:33:09
เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้ ตามคำบอกเล่าของคนในเล้า
อ่านมาตั้งกะ เมื่อวานเช้า ยัน เช้านี้  :m29:

อยากรู้จิงๆ ว่าตัวละครในเรื่องมีจริงรึเปล่า เพราะผมคิดว่า ถ้าเป็นผม คงตรอมใจตายไปตั้งแต่แรกเริ่มเรื่องแล้ว บีบ คั้นอารมณ์อย่างแรง :m15:

 o13 o13 o13 o13 o13 o13 เก็บเรื่องนี้เข้ากรุ นิยายดีเด่น อีกเรื่อง :bye2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 13-10-2008 20:12:41
เรื่องเล่าของความรัก#2
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ (ตอนพิเศษ)
คืนสุดท้าย...คืนที่นอนไม่หลับ

หลังจากไล่ตามองกากบาทสีแดงๆที่ชักแถวเรียงต่อกันเป็นแพแล้ว ผมก็หยิบปากกาเมจิกสีแดงขึ้นมาค่อยๆขีดเครื่องหมายกากบาทอีกตัวลงบนเลขหก และตามด้วยรูปดาวลงบนเลขเจ็ดบนหน้าปฏิทินที่วางหราอยู่บนโต๊ะ ก่อนหันไปชูสองนิ้วให้พี่เหยาที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงนอนมองผมก่อนส่ายหัว

“วันสุดท้าย แล้วก็ท้ายสุด!”ผมพูดก่อนกระโดดขึ้นเตียงไปนอนอยู่ข้างๆพี่เหยาที่ยังนั่งมองผมอยู่

“นับอยู่ได้ทุกวัน...”พี่เหยาบ่นก่อนทำท่าจะล้มตัวลงนอน หากแต่ก็รีบขยับลุกหนีทันทีเมื่อผมวางแขนพาดลงบนที่นอนในตำแหน่งที่พี่เหยากำลังจะนอนลง

“อะไร!... กอดนิดกอดหน่อยก็ไม่ได้เหรอ?”ผมถามทั้งหัวเราะ ใช้ศอกยันตัวเองขึ้น มองพี่เหยาที่กลับไปนั่งอยู่อย่างเดิม

“วันนี้ห้ามกอด!”พี่เหยาประกาศสีหน้าขึงขังพร้อมปัดมือผมที่เพิ่งเอื้อมออกไปหวังจะโอบเอวพี่เหยาไว้

“ก็ได้!”ผมบอกดึงมือกลับ มองดูพี่เหยาที่ขยับตัวจะนอนลงอีกครั้ง

“งั๊นจูบอย่างเดียวก็ได้ ไม่กอด!”ผมพูดและหัวเราะเมื่อพี่เหยาขยับกลับไปนั่งอยู่อย่างเดิม หากแต่ครั้งนี้แก้มขาวๆของพี่เหยาชักจะเริ่มมีสีแดงๆ ตาที่จับจ้องมองผมก็ชักจะเริ่มเขียวๆ

“หน้าแดงๆอย่างนี้ยิ่งอยากจูบเข้าไปใหญ่”ผมพูดและผิวปาก แกล้งใช้ปลายนิ้วเขี่ยแก้มแดงๆของพี่เหยาเล่นเบาๆ

“เล่นอย่างนี้อีก กินเจปีหน้าพี่จะกลับไปอยู่บ้าน เอกอยู่ไปคนเดียว!”พี่เหยาขู่พลางปัดมือผมออกจากแก้มแดงๆของตัวเอง

“พี่ก็กินแค่เก้าวันเหมือนคนอื่นเขาสิ...กินทำไมตั้งสิบเอ็ดวัน”ผมแกล้งครวญ อย่างที่ครวญอยู่ทุกปีๆ เพราะบ้านพี่เหยากินเจแบบเคร่งครัดคือกินเจเก้าวัน และกินล้างท้องก่อนอีกสองวัน...ที่ผมเคยคิดว่ากินเจก็คือแค่การงดเว้นเนื้อสัตว์ ผมก็ได้รู้ว่า ยังมีอะไรๆอีกหลายอย่างที่ถึงมันไม่มีชีวิตหากแต่ก็ห้ามกิน ยิ่งกว่านั้น...ห้ามประกอบกิจกาม...พี่เหยาเคยเอาปากกาสีแดงขีดเส้นใต้คำๆนี้ในหนังสือแล้วส่งให้ผมอ่านในปีแรกๆที่มีโอกาสอยู่ด้วยกันในช่วงเทศกาลกินเจ

‘...ห้ามประกอบกิจกาม...แปลว่าอะไร?’ผมถามทั้งที่จริงๆก็รู้ความหมายดี หากแต่ก็ถามออกไปด้วยเสียงลอยๆเพราะในหัวมันเริ่มนึกภาพ...กิจอะไรบ้างที่พี่เหยาบอกว่าห้าม...

‘แปลตรงตัว!’และพี่เหยาตอบพร้อมเอาปากกาแดงขีดย้ำให้เห็นชัดๆอีกเที่ยว

‘เก้าวันเลยเหรอ?’ผมถามทั้งๆที่ก็รู้อีกเช่นกันว่าใช่

‘เปล่า...’แต่พี่เหยาปฏิเสธ ผมเลยยิ้มออก เริ่มใจชื้นขึ้นนิดหน่อยหากแต่ก็ยิ้มค้างเพราะพี่เหยาพูดต่อ

‘พี่ถือสิบเอ็ดวัน กินเก้า...ล้างท้องอีกสอง รวมเป็นสิบเอ็ด...’

...สิบเอ็ดวัน?...อีกสี่วันก็ครบครึ่งเดือนเลยนะนั่น!...ผมคิดแต่ไม่กล้าพูดเลยได้แต่ถามเสียงอ่อยๆ

‘แล้วผมล่ะ?’

‘เอกทำไม?’พี่เหยาหันมาถามอย่างกับไม่รู้ว่าผมหมายความถึงอะไรทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนเอาหนังสือมากางให้ผมดู

‘เปล่าครับ...’ผมตอบเสียงแผ่วเพราะจริงๆผมก็รู้อยู่แล้วว่า ถ้าพี่เหยาบอกว่าห้าม ยังไงซะผมก็ต้องอด

‘น่า...เดี๋ยวก็ชิน กินกันทุกปีแหละ’พี่เหยาปลอบ แล้วผมก็ชินจริงๆ...

ปีแรกๆผมชินกับการถูกพี่เหยาแกล้ง พี่เหยาคงคิดว่ายังไงซะผมไม่กล้าฝ่าฝืนกฎหรือที่พี่เหยาบอกว่าเป็นศีล...พี่เหยาเลยชอบแกล้งมากอดผมบ้าง คอยมาจับคอยมาแหย่ กับบางทีก็แกล้งเปิดหนังโป๊ให้ผมดูซะอย่างนั้น หากแต่พอผมจะเอาจริงพี่เหยาก็วิ่งหนี

‘อย่านะ ! ผิดศีล มันบาปนะ!’พี่เหยาบอกทั้งๆยืนหัวเราะอยู่ในอ้อมแขนของผมเมื่อผมวิ่งตามดึงพี่เหยาเอามากอดไว้จนได้ แต่สุดท้ายผมก็ไม่กล้าทำอะไรมากกว่านั้น สุดท้ายเลยต้องปล่อย พี่เหยาเลยได้ใจชอบแกล้ง ชอบยั่วผมเล่นใหญ่ จนผมชักนับถือน้ำอดน้ำทนของตัวเองที่ทนได้ทนดีอย่างเหลือเชื่อ...แต่พอมาปีหลังๆผมชักเริ่มรู้แกวเปลี่ยนมาแกล้งพี่เหยาเล่นบ้าง เพราะถ้าผมต้องอดทน ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพี่เหยาก็ต้องอดทนเหมือนๆกัน หนำซ้ำพี่เหยาซะอีกที่ต้องอดทนมากกว่าผม เพราะผมไม่ได้ถือศีลกินเจ อย่างน้อยก็ปิดประตูห้องน้ำไปจัดการตัวเองได้ แต่พี่เหยาทำไม่ได้ จึงเป็นทีของผมที่ได้แกล้งคืน ...ดังนั้น ปีหลังๆผมเลยได้ชินอยู่กับการแกล้งพี่เหยาเล่น ซึ่งก็ เหมือนๆกับที่กำลังแกล้งเล่นอยู่ในตอนนี้

“พี่ก็รู้ว่าผมแหย่เล่น...อดมาตั้งสิบวันแล้ว อีกวันเดียว...ไอ้เอกสู้โว๊ย!”ผมพูดและหันไปชูสองนิ้วให้พี่เหยาอีกรอบ

“เขยิบไป...”พี่เหยาบอก ถึงตาที่มองผมจะยังเขียวๆและมือก็ส่งสัญญาณบอกให้ผมถอยไปห่างๆ แต่ปากแดงๆของพี่เหยาก็อมยิ้มอยู่

“แล้วพรุ่งนี้อย่ามากวักมือเรียกก็แล้วกัน!”ผมบอกก่อนเขยิบตัวนอนถอยห่างออกมา และก็ขยับกลับเข้าไปใกล้เมื่อพี่เหยานอนลงแล้ว

“นอนเฉยๆ”ผมรีบบอกเมื่อพี่เหยาหันหน้ามามองผมอย่างไม่ไว้วางใจ

“พี่หยิบหนังสือให้หน่อยสิ”ผมแกล้งไม่สนใจสีหน้าสีตาไม่ไว้วางใจของพี่เหยา... แกล้งบอกพลางชี้มือไปที่หนังสือซึ่งวางอยู่ที่โต๊ะตัวเล็กๆข้างหัวเตียงด้านที่พี่เหยานอน

“นอนได้แล้ว!”แต่พี่เหยาบอกไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยิบหนังสือให้

“อือ...ก็ดีแฮะ! นอนเร็วจะได้ตื่นเร็ว...จะได้ออกเจเร็ว จะได้...”ผมพูดได้แค่นั้นเพราะพี่เหยาโยนหนังสือที่ร้องขอมาให้ถึงที่หน้า

“อ่านไป!”พี่เหยาบอกเสียงเขียวมองผมที่ยกมือลูบจมูกตัวเองปอยๆ

“เจ็บ...”ผมบ่นก่อนเปิดหน้าหนังสืออ่าน

“เรื่องนี้น่าอ่าน...”ผมบอกพลางสะกิดพี่เหยาเบาๆที่แขน แต่พี่เหยาขยับตัวหนี

“สิบสุดยอดเทคนิค...ที่ทำให้คู่รักของคุณไม่อยากจะลงจากเตียง! โห อะไรจะขนาดนั้น! ไหนขออ่านหน่อยสิ!”ผมแกล้งอ่านเสียงดัง แอบเหลือบตามองพี่เหยาที่นอนหลับตานิ่งไม่ขยับ

“หนึ่ง...เริ่มต้นอย่างเซ็กซี่ พูดคุยหยอกเย้าเป็นนัยว่าคุณน่ะต้องการ...บอกมาเป็นสิบวันแล้ว!”

“สอง...ใช้สายตาโลมเลีย...อ้าวพี่หันหลังหนีทำไม?....ข้อนี้ผ่าน นอนหันหลังอย่างนี้มองจนตาถลนก็เปล่าประโยชน์!”ผมแกล้งบ่นเพราะพอเริ่มอ่านไปได้นิดเดียวพี่เหยาก็ขยับตัวนอนหันหลังหนี

“สาม...บริการพิเศษด้วยปลายนิ้ว! นวดเค้นเบาๆให้ทั่วทั้งเรือนร่าง คุณอาจจะค่อยๆเพิ่มน้ำหนักมือ หรืออาจทำสลับสับเปลี่ยนกันไป ช้าบ้างเร็วบ้าง นุ่มนวลบ้างก้าวร้าวบ้าง ก็จะช่วยเพิ่มความเสียวซ่านให้คู่รักของคุณได้ตื่นเต้นว่าจะถูกคุณสัมผัสในแบบใด...และอย่าลืมสังเกตด้วยดูว่าคู่รักของคุณพึงพอใจในจุดสัมผัสใดเป็นพิเศษก็จงใช้เวลากับจุดนั้นให้มากๆ... ต้นคอด้านหลัง...หลังช่วงล่างแล้วก็ต้นขาด้านใน ตรงนี้สุดๆ ใช่ไหมพี่?!... ”คราวนี้ผมต้องกลั้นยิ้มเพราะพี่เหยาดึงผ้าห่มขึ้มมาคลุมโปงตัวเองไว้

“สี่...เสริฟ์รักร้อนๆด้วยปลายลิ้น! อวัยวะทุกส่วนในร่างกายล้วนให้รสสัมผัสที่แตกต่างกันไป...สัมผัสจากอวัยวะที่ไม่ค่อยจะได้ถูกสัมผัสในชีวิตประจำวันอย่างเช่นลิ้นนั้นย่อมเพิ่มความตื่นตัวให้กับพื้นผิวที่ถูกสัมผัสเป็นหลายเท่าตัว ลองหมุนเวียนสลับกันระหว่างการจูบหรือดูดดุนด้วยริมฝีปาก ขบเล่นเบาๆด้วยฟันและโลมเลียด้วยปลายลิ้น รวมถึงลมหายใจร้อนๆที่เป่ารด แค่นี้คู่รักของคุณก็...”

“อ่านเงียบๆไม่ได้หรือไง?”เสียงพี่เหยาขุ่นๆตะโกนลอดออกมาจากใต้ผ้าห่ม

“ได้ไง? ของอย่างนี้มันต้องร่วมมือร่วมใจร่วมแรงกันทำ!”ผมตอบก่อนหันไปตั้งอกตั้งใจอ่านต่อ

“ถึงไหนแล้ว?...ข้อห้า สนามรบ สนามรัก...ความซ้ำ...โอ๊ย!”อ่านได้เท่านั้นผมก็ร้องลั่น เพราะพี่เหยาหยิบหมอนฟาดใส่หน้าผมเต็มแรง พอผมดึงหมอนออกจากหน้าก็หันเห็นพี่เหยาทำท่าจะหอบหมอนหอบผ้าห่มกระโดดลงลงจากเตียง

“ไปไหน?”ผมถาม วิ่งตามลงจากเตียง

“นอนข้างนอก!”พี่เหยาตอบก่อนกระแทกเท้าโครมๆจะเดินหนีออกจากห้อง

“โกรธจริงเหรอ?”ผมถามก่อนโอบเอวพี่เหยาไว้จากด้านหลังและดึงเข้ามากอดไว้ และเมื่อผมโน้มตัวมองข้ามไหล่พี่เหยาลงไปใกล้ๆ ผมจึงเพิ่งได้เห็นว่าหน้าพี่เหยานั้นแดงจนกล่ำ

“จริง!”พี่เหยาตอบและ พยายามสะบัดตัวจากอ้อมแขนผม หากแต่ผมกอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“ผมขอโทษ...ล้อเล่นนิดเดียวเอง...”

“นิดบ้าอะไร?...พอเลย!...ปีหน้าพี่จะกลับไปอยู่บ้าน!”

“ขู่อีกแล้ว!...พี่รู้เปล่า ขู่แบบนี้มันเหมือนอะไร?”ผมถามทั้งหัวเราะ หากแต่ไม่รอให้พี่เหยาตอบผมก็รีบพูดต่อ

“เหมือนผัวหนุ่มเมียสาวไง งอนนิดงอนหน่อยก็เก็บกระเป๋าหนีกลับบ้านแม่!”พอผมพูดจบพี่เหยาก็ยิ่งดิ้นผมเลยต้องยิ่งเพิ่มแรงกอดพี่เหยาไว้แน่นขึ้น

“โอ๊ย!...”คราวนี้ผมร้องไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เพราะพอพี่เหยาดิ้น มันก็เกิดการบดเบียดเสียดสีสัมผัสกันมากขึ้น ไอ้ที่มันตื่นๆอยู่แล้วในกางเกงนอน มันก็ยิ่งตื่นเข้าไปใหญ่ หนังสือที่อ่านไปเมื่อครู่ที่ผ่านมามันก็เหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง นอกจากได้แกล้งพี่เหยาแล้ว มันยังกลายเป็นแกล้งตัวเองไปซะงั้น เพราะระหว่างที่อ่าน ผมเองก็คิดภาพตามไปเป็นฉากๆ อารมณ์ที่เก็บกดไว้ร่วมสิบวัน มันก็เตลิดจนทำท่าจะกู่ไม่กลับเสียแล้ว

“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย!”พี่เหยาเอี้ยวตัวมามองหากแต่ก็ยังไม่ยอมหยุดดิ้น

“ก็...”ผมบอกและกระชับแขนกอดพี่เหยาให้แน่นขึ้นพร้อมบดเบียดร่างกายส่วนล่างของตัวเองกับสะโพกของพี่เหยา และเท่านั้นพี่เหยาก็หยุดดิ้นรน

“ไม่ขู่ก็ได้...งั้นปีหน้ากินเจด้วยกัน..” พี่เหยาบอกคล้ายจะยื่นคำขาดหากแต่น้ำเสียงของพี่เหยากลับไม่เด็ดขาดเหมือนข้อเสนอที่หยิบยื่นมา ตรงกันข้ามผมได้ยินเสียงพี่เหยาผ่อนลมหายใจเบาๆ ฝ่ามืออุ่นๆของพี่เหยาก็บีบแขนผมไว้แน่น

“ไม่เอา!”แต่เป็นผมที่ปฏิเสธเสียงแข็งเสียเอง

“เอาหรือไม่เอา?!”พี่เหยาเลยถามเสียงแข็งบ้าง

“ไม่เอา!”

“แน่ใจ?”

“เอาอะไร?”ผมชักไม่แน่ใจว่าพี่เหยาหมายถึงอะไร

“เอาหรือไม่เอา?”แต่พี่เหยายังถามย้ำคำเดิม ผมเลยชักคิดหนัก

“เอาอะไรล่ะ ใบ้นิดนึง...”ผมต่อรอง ชักแน่ใจว่าพี่เหยาน่าจะไม่ได้หมายถึงแค่การกินใจ

“จะเอาหรือไม่เอา?”แต่พี่เหยาไม่ยอมบอก ยังคงถามเสียงคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้

“แปลว่า...ถ้าผมยอมกินเจปีหน้า ปีนี้พี่จะยอมออกเจเร็วขึ้นหนึ่งวัน?”ผมแปลออกจะเข้าข้างตัวเองไปนิด หากแต่ดูจากท่าทางพี่เหยาแล้วผมว่ามันก็เข้าเค้าอยู่

“จะเอาหรือไม่เอาล่ะ?”พี่เหยาถามคล้ายจะย้ำคำเดิม แต่ไอ้คำห้อยท้ายที่เบาจนเกือบหายไปในคอพี่เหยามันเหมือนเป็นคำตอบเสียมากกว่า พอคิดได้เท่านั้นผมก็ได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายดังเอื้อกใหญ่ๆ มือไม้ที่เมื่อกี้มันทำแค่กอดพี่เหยาไว้เฉยๆ มันก็เริ่มอยู่ไม่สุขและผมก็ยิ่งได้ใจเมื่อพี่เหยาไม่ขัดขืนหรือปัดป้องแม้แต่น้อย

“เอาอยู่แล้ว!...แต่ได้ด้วยเหรอพี่?”ผมรีบตอบด้วยเสียงที่กระตือรือร้นกว่าตั้งใจและก็ถามในสิ่งที่สงสัย แต่ถึงคำตอบจะเป็นได้หรือไม่ได้ ผมก็ซุกหน้าลงสูดกลิ่นหอมบางๆจากซอกคอขาวๆของพี่เหยาที่ไม่ได้สูดจนเต็มปอดมาหลายวัน

“ได้มั้ง! คุ้มออก ออกเจเร็วไปแค่วันเดียว แต่ปีหน้าได้คนกินเจเพิ่มอีกหนึ่งคน หนึ่งวันแลกเก้าวัน...กำไรเห็นๆ!”พี่เหยาอธิบายความคิดของตัวเองในแบบที่ทำให้ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“คิดอย่างนี้ได้ด้วยเหรอพี่?”ผมถามย้ำอีกแค่เพราะอยากรู้อย่างนึกขัน หากแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะสำหรับผม ยิ่งพี่เหยาออกเจเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น หรือถ้าจะให้ดีที่สุด...ผมก็ไม่อยากให้พี่เหยากินเจเลยสักวัน

“ได้มั้ง!”พี่เหยาย้ำคำเดิม หากแต่แค่ผมปลดกระดุมเสื้อนอนเม็ดที่สองของพี่เหยาออก พี่เหยาก็ทำท่าจะเปลี่ยนใจเอาดื้อๆ

“เปลี่ยนใจแล้ว! ไม่เอาดีกว่า!”พี่เหยาบอกก่อนเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนผมไปอย่างง่ายดาย เพราะผมเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่คิดว่าพี่เหยาจะงัดอ้อยออกจากปากผมเอาดื้อๆแบบนี้ ผมเลยได้แต่มองพี่เหยาสลับกับแขนตัวเองที่ยังยกค้างอยู่ในท่าเดิมหากแต่ไม่มีพี่เหยาในอ้อมกอดแล้ว

“ไม่ทันแล้วพี่!”ผมร้องบอกเมื่อตั้งตัวได้ และวิ่งตามพี่เหยาที่วิ่งหนีกลับขึ้นไปอยู่บนเตียงแล้ว

“ไม่เอาแล้ว!”พี่เหยาพูดพลางสะบัดแขนไม่ให้ผมจับ ผมเลยเปลี่ยนไปคว้าเอวบางๆของพี่เหยาไว้แทน และเมื่อพี่เหยายังพยายามดึงมือผมออกจากเอวของตัวเอง ผมเลยทิ้งตัวโถมทับพี่เหยาลงไปทั้งตัว

“ไม่เอาได้ไง? แกล้งกันเห็นๆ... เสียบปลั๊กแล้วดึงออก ไฟมันช็อตนะพี่!”ผมนอบทับพี่เหยาที่นอนคว่ำอยู่ไว้ทั้งตัว โอบกอดพี่ไว้จากด้านหลังในขณะที่สองมือก็จับข้อมือบางๆของพี่เหยาที่พับงอซุกอยู่ใต้อกของตัวเองไว้แน่นไม่ให้พี่เหยาดิ้น หากแต่พี่เหยาก็ไม่ได้ดิ้นอีกจนผมคิดว่า พี่เหยาอาจแกล้งผมเล่นเฉยๆ...

พี่เหยาไม่ได้ดิ้นรนอะไรเมื่อผมก้มหน้าลงลากไล้ปลายลิ้นไปตามต้นคอขาวๆไล่เรื่อยไปตามแนวไหล่...พี่เหยาเพียงนอนนิ่งซุกซ่อนดวงหน้าไว้กับที่นอน...ปฏิกิริยาเดียวที่สนองตอบผม คือแรงสั่นไหวเบาๆของผิวเนื้อขาวภายใต้สัมผัสของปลายลิ้นของผมซึ่งตัวพี่เหยาเองก็ไม่อาจควบคุมมันได้...เมื่อพี่เหยาไม่ดิ้นรนขัดขืน ผมจึงปล่อยมือที่จับยึดข้อมือพี่เหยาไว้ และพี่เหยาก็ยังคงนอนนิ่ง ซ่อนซุกบีบมือไว้ใต้อกตัวเอง มันจึงไม่ง่ายนักที่ผมจะปลดเสื้อนอนพี่เหยาออกจากตัว ทุกครั้งที่ผมเพิ่มแรงดึง ก็คล้ายพี่เหยาจะเพิ่มแรงมือยื้อยุดเกาะกุมเสื้อตัวเองไว้ สุดท้ายผมก็ทำได้แค่ดึงเสื้อนอนพี่เหยาลงรั้งไว้ที่เอวเท่าที่จะทำได้ ไม่สามารถปลดเปลื้องมันออกได้อย่างที่ใจนึกอยากเพราะติดแขนของพี่เหยาที่พับงอไว้ จะเพิ่มแรงมือดึงอีกนิด ผมก็กลัวพี่เหยาจะเจ็บ เพราะเพียงแค่นี้แขนพี่เหยาก็แดงเป็นรอยทาง

ผมขยับตัวลุกขึ้นช้าๆ นั่งคร่อมทับร่างพี่เหยาไว้...เพื่อที่จะได้มองดูแผ่นหลังขาวๆของพี่เหยาได้ถนัดตา...

ผมค่อยๆจรดปลายนิ้วลงเบาๆที่ต้นคอขาวๆด้านหลังก่อนจะก้มลงจูบแผ่นหลังขาวที่ขยับยกขึ้นเพราะไหล่ที่ห่อตัวเข้าอันเป็นการตอบสนองรับสัมผัสของปลายนิ้วที่แตะลงบนจุดไวสัมผัสของพี่เหยา

ผิวเนื้อขาวบางของพี่เหยาที่ผมไม่ได้ลิ้มสัมผัสรสมานานหลายวัน กับกลิ่นหอมบางๆและความปรารถนาที่ปลุกเร้าผลัดเปลี่ยนเวียนวนกับการเก็บกดมันลงครั้งแล้วครั้งเล่า มันทำให้ผมไม่อาจยับยั้ง เหลือเวลาชั่งใจต่อท่าทีของพี่เหยาได้เลยสักนิด

ผมสัมผัสได้ถึงแรงสะดุ้งไหวเบาๆ เมื่อผมเพิ่มเน้นแรงสัมผัสของริมฝีปากไปทั่วทุกผืนผิวหลังเนียนที่ริมฝีปากผมลากผ่าน

พี่เหยายังคงนอนนิ่งเมื่อผมเริ่มเค้นฝ่ามือหนักๆไปตามต้นขาที่ผมยังคงนั่งคร่อมทับเอาไว้หากแต่ผมก็ได้ยินคล้ายเสียงสะอื้นเบาๆเมื่อผมสอดมือขยับยกสะโพกพี่เหยาขึ้นหวังจะปลดเปลื้องกางเกงนอนเนื้อบางลง

“พี่เป็นอะไร?”ผมถาม หยุดทุกสัมผัสลงทันทีทั้งที่ความปรารถนาในใจยังเต้นเร้าไม่เบาบางลงเลยแม้แต่น้อย

“พี่เป็นอะไร?”เมื่อพี่เหยาไม่ตอบผมจึงถามย้ำอีกครั้ง พร้อมโน้มตัวลงกระซิบเบาๆที่ข้างหูพี่เหยา

“บอกผมสิครับ พี่เป็นอะไรหรือเปล่า?”ผมกระซิบถาม ใช้มือเกลี่ยผมพี่เหยาออกเบาๆและผมก็ได้เห็นใบหน้าของพี่เหยาที่ก้มซุกซ่อนอยู่กับที่นอนจนผมมองเห็นก็แต่แก้มนั้นแดงกล่ำ

“อย่าทำเลยนะ มันรู้สึกไม่ดี...”พี่เหยาพูดเบาๆ...มันเป็นคำร้องขอ...และพี่เหยาคงไม่ว่าอะไรถ้าผมจะดึงดันไม่ทำตาม หากแต่ผมก็ยอมทำตามโดยง่ายดาย...ง่ายดายกว่าที่ตัวเองคิด

“ไม่อยากทำก็ไม่ทำ ไม่เห็นเป็นไรเลย...”ผมกระซิบบอกกับพี่เหยา...ก้มลงจูบไหล่บางๆเบาๆอีกครั้งก่อนทิ้งตัวลงนอนข้างๆพี่เหยาที่ยังคงนอนนิ่งไม่ยอมขยับ

“ไม่ทำก็ได้ ทนมาได้ตั้งหลายวัน...ทนมาได้ตั้งหลายปี อีกวันเดียวสบายอยู่แล้ว!”ผมบอก...เกลี่ยมือเบาๆไปบนปลิวผมเส้นเล็กๆ หวังแค่ว่าจะได้มองเห็นหน้าของพี่เหยาที่ยังซุกซบแอบอยู่กับที่นอนได้บ้าง

“พี่ขอโทษ...มันรู้สึกไม่ดีจริงๆ”พี่เหยาพูดเบาๆ และยอมหันหน้ามามองผม

“ขอโทษทำไม?...ผมสิเล่นไม่รู้จักเล่น!”ผมบอกและโน้มตัวจูบพี่เหยาเบาๆที่แก้มและพี่เหยาก็ยิ้มรับ

“นอนกันดีกว่า...เช้ามา...ไหว้เจ้าออกเจ...นอนเร็ว ตื่นเร็ว ออกเจเร็ว!”ผมพูดประโยคเดิมที่พูดไปแล้วและครั้งนี้พี่เหยาก็หัวเราะออกมา พร้อมค่อยๆขยับตัวขึ้นมานอนตะแคงและยังมองผม

ผมดึงเสื้อนอนกลับขึ้นมาให้พี่เหยา ค่อยๆติดกระดุมเสื้อคืนให้ทีละเม็ดๆ ตลอดเวลาผมพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มือตัวเองได้มีโอกาสได้แตะต้องผิวเนื้อของพี่เหยาอีก และทุกครั้งที่มันได้แตะต้อง ผมก็รู้สึกได้ว่าลมหายใจตัวเองมันสะดุดลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมจึงต้องค่อยๆผ่อนลมหายใจตัวเองออกมาเบาๆ และดูเหมือนพี่เหยาจะรู้ พี่เหยาจึงมองผมและยิ้ม

“อย่ามองแบบนี้สิ เดี๋ยวอดใจไม่อยู่นะ!”ผมบอกและหัวเราะแก้เขิน แต่พี่เหยายังมองผมไม่ละสายตา

“ไม่มองคนที่ตัวเองรักแล้วจะให้มองใคร?”พี่เหยาถามยิ้มๆ ตาก็ยังจ้องผมไม่เลิก

“โห พูดแบบนี้ ขอจูบแก้เขินสักทีได้ไหมเนี่ย?”

“กี่ทีก็ได้...แต่แค่นี้นะ”พี่เหยาพูด โน้มตัวสัมผัสริมฝีปากผมเบาๆ...นุ่มนวล อ่อนโยนและไร้ซึ่งอารมณ์ปรารถนาใดๆ

“นอนเหอะ...”ผมบอกเมื่อเต็มอิ่มกับสัมผัสที่อ่อนโยน ครั้งแล้วและครั้งเล่าจากริมฝีปากของพี่เหยา

พี่เหยาขยับตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อผมสอดมือโอบดึงพี่เหยาให้มาหนุนนอนซบกับอกผม...

ผมนอนหลับตา...พยายามข่มใจให้หลับ...หากแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะความปรารถนามันยังคงคุกรุ่นอยู่ แต่ผมก็ยังคงนอนกอดพี่เหยาเอาไว้ ไม่อยากปล่อย

“เอก...”อยู่ๆพี่เหยาก็เรียกผมเบาๆหลังจากเรานอนกอดกันเฉยๆอยู่นานสองนานจนผมนึกว่าพี่เหยานอนหลับไปแล้วและผมก็ส่งเสียงปรามพี่เหยาไม่ให้พูดอะไร

“ชูว์...”

“...เอก...”พี่เหยาเรียกผมอีกครั้ง และครั้งนี้พี่เหยาขยับลุกขึ้นมองดูผม

“อย่าชวนคุยสิ กำลังคิดอะไรเพลินๆ”ผมบอก ก่อนกดหัวพี่เหยาให้กลับไปนอนซบลงกับอกผมเหมือนเดิม

“คิดอะไร?”

“คิดถึงคืนพรุ่งนี้!”ผมตอบและหัวเราะเพราะพี่เหยาหยิกหมับเข้าที่ท้องผมอย่างเต็มแรง


“เอก ตกลงปีหน้ากินเจนะ?”พี่เหยาขยับลุกขึ้นมาถามผมอีกครั้งจนได้ ผมเลยหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เพราะนึกว่าพี่เหยาลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

“ครับผม!”ผมตอบก่อนกดหัวพี่เหยาให้ซบลงนอนกับอกผมอีกครั้งและครั้งนี้พี่เหยาก็ยอมแต่โดยดีคงเพราะได้คำตอบที่ตัวเองพอใจแล้ว

ไม่ใช่ว่าอารมณ์ปรารถนาที่มันกรุ่นๆอยู่จะสงบลงไปแล้ว ...มันยังอยู่และน่าจะในปริมาณเท่าๆเดิม...หากแต่การได้นอนกอดพี่เหยาไว้เฉยๆแบบนี้มันก็มีความสุขดีอยู่ไม่ใช่น้อยเช่นกัน...ยิ่งกว่านั้นเทคนิคข้อที่หกหรืออาจะเป็นเจ็ดหรือแปดที่ผมรีบไล่ๆสายตาอ่านๆดูแต่ยังไม่ทันอ่านให้พี่เหยาฟังนั้น เขาก็ว่าไว้ว่า...ยิ่งยับยั้งชั่งใจให้ได้นานเท่าไหร่ เวลาลงมือจริงก็ยิ่งมีความสุขเท่านั้น...ผมไม่จำเป็นต้องรอการพิสูจน์ในคืนพรุ่งนี้ เพราะหลายๆปีที่ผ่านมา พี่เหยาก็ได้พิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่า ค่ำคืนแรกที่ได้ลิ้มรสสัมผัสของพี่เหยาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานหลายวันนั้นมันวิเศษขนาดไหน...

เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วผมก็พยายามข่มตาตัวเองให้หลับ หวังจะให้ถึงคืนพรุ่งนี้เร็วๆ หากแต่ให้พยายามยังไงๆ...ผมก็นอนไม่หลับ...มันเป็นอีกเรื่องที่ผมชิน...ชินกับการนอนไม่หลับในคืนสุดท้ายของเทศกาลกินเจของทุกๆปี...

จบ

เรื่องเล่าของความรัก#2
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ (ตอนพิเศษ)
คืนสุดท้าย...คืนที่นอนไม่หลับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: JX ที่ 14-10-2008 04:10:18
เกือบจะผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะชื่อเรื่องมันเศร้า และเราไม่ชอบอ่านนิยายเศร้าตอนจบ

ตอนคลิกเข้ามา ก็แอบอ่านคอมเมนท์จนแน่ใจแล้วว่าจบไม่เศร้า เราถึงเริ่มอ่าน

โหวงเหวงดีจัง...แต่ก็แค่ในรอบแรก

พอเริ่มรีรีด น้ำตามันก็มาเรื่อยๆ แปรผันตรงกับจำนวนรอบที่อ่าน อาจเป็นเพราะเราเริ่มเข้าใจตัวละครมากขึ้น

แต่ที่อ่านซ้ำๆ ซากๆ อยู่ไม่ใ่ช่เพราะต้องการทำความเข้าใจตัวละครหรอกนะ มันเป็นเพราะนิยายเรื่องนี้มันติดอยู่ในใจมากกว่า

ไม่รู้คนแต่งแวะเวียนเข้ามามั้ย แต่อยากบอก "นิยายของคุณ เพลินตาจังเลย ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านค่ะ"

ที่สำคัญ ขอบคุณคนแปะด้วย ไม่งั้นคงไม่มีโอกาสได้อ่านนิยายสนุกๆ แบบนี้ ขอบคุณค้าบบบ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 14-10-2008 10:37:25
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษน่ารักๆนี้

อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นมากๆ

อ่านแล้วรู้สึกว่าเอกก็รักพี่เหยามาก...

พอที่จะเสียสละความสุขของตัวเอง เพื่อให้พี่เหยาสบายใจ

อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกอิ่มใจ ไม่รู้โหวงในใจเหมือนที่แล้วๆมา

ขอบคุณทั้งคุณภัคD และคุณ THIP มากๆคะ
 :L2::L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 14-10-2008 21:30:10
ตอนพิเศษน่ารักจังเลยยยย

คิดถึงพี่เหยากับเอกชะมัด !!

 :o8:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: chatori ที่ 15-10-2008 06:10:50
ตอนพิเศษน่ารักมากๆๆๆๆๆ กำลังคิดถึงพี่เหยากับเอกอยู่เลย อิอิ
ตอนแรกชาก็นั่งอ่านคอมเม้นท์ก่อนที่จะเริ่มอ่านเหมือนกัน
บีบหัวใจมากกกกก ธรรมดาไม่ชอบดราม่าเท่าไหร่ แต่อ่านเรื่องนี้
แล้วหยุดไม่ได้ หุหุ โชคดีที่ happy ending ^^ เย้ๆ
ขอบคุณทั้งคนโพสท์แล้วก็ไรเตอร์นะคะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ThyRist ที่ 16-10-2008 16:01:24
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษครับ

น่ารัก ^^" จริง ๆ หุหุ

..
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: maabbdo ที่ 16-10-2008 21:43:59
ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้

สนุกมากๆๆ  เศร้า สะเทือนอารมณ์มากเลย

ตอนพิเศษก็น่ารักอย่าบอกใคร

 :L2:  :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ผักกาด ที่ 16-10-2008 23:05:53
 :m1: ปลาบปลื้มมักๆ  มีตอนพิเศษด้วย ชอบๆๆๆ

ไว้มาต่ออีกเยอะๆ นะคะ

ตอนอ่าน อ่านรวดเดียวจบเลย ยังไม่เคยเมนท์ให้เลยอะ ว่าแล้วก็ขอซะหน่อยนะ

เค้าชอบเรื่องนี้มากกกกกก ประทับใจทั้งตัวละคร การดำเนินเรื่อง และความซับซ้อนต่างๆ ที่ค่อยผูก ค่อยๆ แก้ออกมา

มันละเมียดดดด อ่านแล้วไม่มีสะดุดเลย ชอบการใช้ภาษาเรื่องนี้ มากกก เป็นวรรณกรรมดีๆ เรื่องนึงเลยค่ะ

มันเศร้า มันเจ็บอก ตามไปด้วย เพราะมันสมจริงเกิ้นนน (บางครั้ง การกระทำบางอย่าง มันก็ไม่มีคำตอบหรอกเนอะ)

มันมีความสุข ตอนที่เค้าสมหวังในรัก เค้าหยอกล้อกัน ทำให้มีความสุขตามไปกับโลกแห่งนิยายด้วยเลย

 :m4:  :m4:  :m4:

ขอบคุณ คนแต่ง และ คนโพส มากๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: gagagaa122 ที่ 19-10-2008 01:24:24
เข้ามาอ่านเพราะเห็นว่าเป็นคุณ ภัคD เขียนเลยนะเนี่ย


เคยอ่านเรื่องตะวันฉายฯ มาก่อนหน้านี้อะครับ
จำได้ว่ามันเป็นนิยายขึ้นหิ้งที่ตั้งใจว่าจะไม่กลับไปอ่านซ้ำอีกแล้ว
มันบีบคั้นอารมณ์มากมายมหาศาล ดราม่าได้อีก จบเศร้าได้อีก
อ่านแล้วหดหู่ เครียด จะร้องไห้ตลอดเวลา แม้ว่าจะปนตลกก็เถอะ
ชอบนะ ชอบมากที่สุด แต่ไม่กล้ากลับไปอ่านซ้ำ


พอเข้ามาอ่านเรื่องนี้แล้วก็ โอ้โห มันเป็นอะไรที่"มากกว่า"เรื่องตะวันฉายฯอีกอะฮะ
มันเป็นด้านมืดของมนุษย์จริงๆ และหาเหตุผลให้กับสิ่งที่เค้าทำไม่ได้
อ่านแล้วเกิดคำถามในใจตลอดเวลา รู้สึกเครียด กลั้นหายใจกับบางตอน บีบคั้นสุดๆ
เห็นด้วยกับคอมเม้นก่อนหน้านี้ ที่บอกว่ามันบรรยากาศมันมืดมน ทั้งเรื่องเลย
ดีที่จบแบบหายใจได้สะดวกหน่อย ตอนจบกับตอนพิเศษน่ารักจังเลยยยยย ><
แต่ก็ไม่กล้ากลับไปอ่านซ้ำอีกอยู่ดีอ่า ขึ้นหิ้งไปอีกเรื่อง สุดยอดจริงๆเรื่องนี้


ชอบนิยายของคุณ ภัคD มากๆเลย เพราะตัวละครทุกตัวมีมิติ สมจริงมาก
บางทีก็เผลอคิดไปว่าพวกเค้าเหล่านั้นมีชีวิตจริงๆ พี่เหยา เอก ทอม  ฯลฯ
ภาษาที่ใช้ การบรรยายก็บาดลึก กินใจ ใช้คำง่ายๆเข้าใจง่ายๆ เข้าถึงอารมณ์



ปล.

- เราแอบรำคาญ เอก อะ ทำผิดเรื่องเดิมๆตลอดเวลา คิดได้ สำนึกได้ แต่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อ่านๆไปก็อยากจะกรี๊ดเป็นระยะๆ อีกแล้วหรอ! ทำแบบนี้อีกแล้วหรอ สงสารพี่เหยาจังเลย
- รักพี่เหยา  :o8:
- ไม่เข้าใจตอนพี่เหยาไปหาเอกที่หอ ละบอกว่า มันเป็นแค่ยา หรืออะไรสักอย่าง -_-
- ตอนแรกนึกว่าพี่เก้าจะมาชอบเอกซะอีก 555555555
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 23-10-2008 19:11:19
 :เฮ้อ:
หนึ่งวันเต็ม ๆ กับเรื่องนี้...สุดยอดนิยายเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว... :a5:
บรรยายความรู้สึกไม่ถูกเอาซะเลย ตัวละครมีพัฒนาการทางอารมณ์
มีการผูกปน  ซ่อนเงื่อนได้อย่างแนบเนียน  หาจุดบกพร่องไม่ได้เลย
ไม่แปลกซักนิดที่เจ้สองของเดี๊ยนจะติดเรื่องนี้เหมือนติดผู้ชายในสต็อค
ก็ไม่ปาน...ทึ่งกับผลงานเรื่องนี้จริง ๆ  :m4:

ชอบเหยาที่มักตลกหน้าตาย พูดอะไรที่ไม่เดียงสา มีมุขแง่คิดแปลก ๆ
ชอบวิทย์ที่เป็นเพื่อนที่ดี หลายเรื่องถ้าไม่ได้วิทย์คงจะไม่จบแบบนี้...
ว่าจะไม่เขียนถึงเอก แต่เรื่องก็จบด้วยดี ยังดีที่มีมโนสำนึก และรักจริง

คิดแล้วก็ขอให้มันเป็นเพียงแค่นิยาย...สำหรับชีวิตแบบเหยา...
จดจำและ comment แต่สิ่งดี ๆ พอละกัน... :serius2:

ตอนพิเศษอ่านแล้วรู้สึกดีจัง...หลังจากที่อึดอัดบีบคั้นกันมาตลอดเรื่อง...
 :L2: :L1: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: วิหคท่องนภา ที่ 24-10-2008 17:56:47
T^T อ่านจบตอนที่4อยู่เลย

โธ....หนูเอกของป้า ซิกๆ       ไม่อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ

ทนทำใจไม่ไหว  นี่ก็น้ำตาซึมไปแล้วเนี่ย o7
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: วิหคท่องนภา ที่ 24-10-2008 22:46:15
 :เฮ้อ:จบตอนที่7แล้วค่ะ

เฮ้อ.....น้องเอกของป้าช่างเป็นคนที่ทำอะไรโดยไม่ไต่ตรองอะไรให้ดีๆซะก่อนT^T

ทำไปแล้วก็มาโทษตัวเอง โทษคนนั้นคนนี้.....ไม่เคยคิดอะไรบ้างเล้ย(หรือคิดมากไป :sad2:)

สุดท้ายก็มานั่งกลัดหนองที่คลองแสนแสบ o7 แอบคนข้างบ้าน เมียพี่มีชู้ ปูนาขาเก (เกี่ยวไรฟะ) :a6: น้ำตามดแดง:m15:


 :o12:แต่อ่านมาถึงตอนนี้ก็นับว่าตัวเองใจแข็งเกินพอละ.....ทำใจอ่านตอนต่อไปไม่ได้ o7ขอจรลีจากเรื่องนี้ไปทำใจก่อนนะจ๊ะ

ปล.เขียนได้ดีมากเลยอ่ะค่า   ชอบมากทั้ง สำนวน ทั้งอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร การดำเนินเรื่องที่ไม่ยืดเยื้อเกินไป(ถ้ายืดกว่านี้คนอ่านคงช้ำใจตายก่อน ฮาฮา) แล้วก็วางโคลงเรื่องได้ดีมากเลยอ่ะค่ะ ขอคาวะ1จอก
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 26-10-2008 20:22:20
เฮ้อสุดเศร้าครับผม  :mc4: อ่านไม่จบ สงสารเหยา  :t3: ถ้าชีวิตจริงเป็นแบบนี้ คงทรมานเนอะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: PHUCK™ ที่ 30-10-2008 00:01:49
.
.
.




ปุ้งๆๆๆๆ .. จุดพลุฉลองตอนพิเศษ ..
ขอบคุณพี่ทิพย์ที่เอามาลง .. แล้วก็ขอบคุณสาววายคนนั้น .. ขอบคุณครับคุณภัคD



ยังคงเป็นเรื่องสุดแสนประทับใจอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ..
:*))   )
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: minilove ที่ 04-11-2008 20:33:53
ถือว่าดีที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา(อ่านมาเยอะเหมือนกันนะเออ :a2:)
จบไม่เศร้า
แนะนำให้อ่านกัน
แต่เตรียมใจไว้หน่อย
มันบีบคั้นมักๆ
แต่อ่านจบแล้วพอนึกถึงก้อทำให้มีความสุข :bye2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: barbieBot ที่ 17-11-2008 22:18:23
สุดยอด ..  :sad4:

ตามหาฟิคดราม่าๆ ที่อ่านแล้วต้องร้องโฮออกมาอย่างนี้นานแล้ว และเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ชอบมากๆเลยครับ

ขอบคุณที่เขียนเรื่องสนุกๆอย่างนี้ให้อ่านนะครับ จะตามอ่านผลงานของคุณภัคDเรื่อยนะครับ

 o22



หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ตั๊กแตนปาทังก้า ที่ 20-11-2008 20:40:42
จดจ้อง เรื่องนี้มานานมากกกกกกกกกก

รู้ว่าจบไม่เศร้า แต่กว่าจะสุขเนี่ยซิ

อ่านจบแล้ว ถึงได้รู้ว่า ถ้าไม่อ่านจะน่าเสียดายมาก

เป็นเรื่องแรก ที่อ่านแล้วดีใจที่เป็นแค่เรื่องแต่งจิงๆ


จึเหยา 


อยากรู้จัก อยากเจอ แต่ไม่อยากให้มีตัวตนจิงๆ(สับสนเนอะ)

ไม่อยากให้จบแค่นี้ เพราะตอนที่มีความสุข มันสั้นเกินไป

ถ้าเป็นไปได้ อยากให้มาต่อตอนพิเศษเรื่อยๆๆๆๆ

เพราะกว่าจะมีวันนี้ จึเหยา ต้องผ่านอะไรตั้งมากมาย



อยากเห็น จึเหยา มีแต่ความสุข

อยากอ่านไป แล้วยิ้มไป พร้อมกับ จึเหยา




หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sodamini ที่ 24-11-2008 16:01:53
จะมีตอนพิเศษอีกมั้ยคะ


พี่ภัคD........


 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 17-12-2008 21:26:42
อ่า่นจบแล้วค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ


ดีใจที่สองคนได้กลับมาอยู่ด้วยกัน
ดีใจทีี่่เอกหายโง่ เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่งอะไรก็ตามที่นำมาซึ่งความผิดหวัง ความผิดพลาดก็จะโทษฟ้าโทษฝน แต่ตอนนี้ก็นะ ตาสว่างแลว

พี่เหยาน่าสงสารอ่ะ  ชีวิัตรันทดมาเจอคนเอาเปรียบกับร่างกายและจิตใจของตัวเองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แล้วก็ไม่สามารถเรียกร้องความเป็นธรรมอะไรให้ตัวเองได้เลย เฮ้อออออ พี่เหยาทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อครอบครัว เพื่อทอม ไม่ได้ทำเพื่อให้ตัวเองเลยสักนิด ทำเพียงเพื่อให้คนอื่นมีความสุข

แต่ตอนนี้พี่เหยาก็ผ่านอะไรๆที่เลวร้ายสุดๆมาได้ สาธุ คุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง


ของคุณคุณภัคD แล้วก็คุณ THIP ด้วยคะ  o13 o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นŬ
เริ่มหัวข้อโดย: patiharn ที่ 18-12-2008 03:05:17
วรรณกรรมชั้นดีที่เข้มข้นและเศร้าจัง
ขอบคุณคนแต่งและคนโพสนะคะ
....มากกว่าเศร้าคือน่าสงสารง่ะ...
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Yepp_Mang ที่ 18-12-2008 15:10:25
เรื่องนี้เศร้าไหม?   ไม่ครับ ผมแทบไม่เสียน้ำตาเลย ทั้งๆที่ปกติร้องไห้กับนิยายเยอะมาก

แต่อ่านเรื่องนี้แล้ว เหมือนใส่หมวกรัดๆ ใส่เสื้อรัดๆ หายใจขัดๆ

เหมือนนั่งอ่านใต้ทะเล ความกดดันมันสูงมากครับ

อ่านแล้วแค่คิดตามให้ทันก็ตื้อแล้วครับ  อย่าหวังว่าจะเดาอะไรข้างหน้าได้เลย

ตัวละคสมจริง มีมิติ มีที่มาที่ไป เหมือนผมอยู่บ้านข้างๆสองคนนั้นตลอดเวลา

ได้รู้ได้เห็นความเป็นไปของทั่งคู่ตลอดมา แต่พูดไม่ได้ อยากด่าทั้งคู่ อยากให้ข้อคิดทั้งคู่

แต่มาคิดดูอีกที ผมแนะนำอะไรทั้งคู่ไม่ได้เลยครับ

ปกติเพื่อนเรามีปัญหา เราก็พยายามช่วยพูดช่วยแก้ปัญหา   แต่สำหรับคู่นี้ ผมช่วยแก้ไรไม่ได้เลยครับ

ผมคงยอมให้มันดำเนินไปเรื่อยๆตามแต่ใจของสองคนนั้นแหละครับ

ขอบคุณนะครับที่ตอนจบ ทำให้หลายๆคนโล่งอกไปตามๆกัน


ขอบคุณนะครับ ทั้งคนแต่งและคนเอามาโพส
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: BABOO ที่ 02-02-2009 23:01:24
อ่านจบแล้วคับ เฮ้อ ความรู้สึกนี้เหมือนตอนตอนฝึกดำนำใหม่ๆๆ

ทั้งอึดอัด กังวล กลัว หายใม่ออก (เกือบแย่)

พออ่านตอนจบรู้สึกโล่ง สบายตัว

ขอบคุณคุณภัค D และ คุณทิพครับ

 :impress3: :impress3:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: chocolate_angel ที่ 03-02-2009 01:25:10
ชอบเรื่องนี้มากกกเลยค่ะ
 o13
ถึงจะเศร้ามากๆเลยก็ตามที

แต่ว่าอย่างน้อยตอนจบ
ก็ได้มาอยู่ด้วยกัน
 :impress2:
ขอรีเควส
ตอนพิเศษ ตอนรับ ตรุดจีนได้มั้ยค่ะ
พี่ภัคD :z2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: fayossy ที่ 14-03-2009 03:17:31
อ่านจบแล้วทุกตอนเลยค่ะ

ตอนแรกมีเพื่อนมาแนะนำให้อ่าน พอเห็นชื่อเรื่องแล้วรู้สึกว่าตอนจบมันจะดูเศร้าๆ
ไอ้เราก็ไม่ชอบอ่านเรื่องเศร้าๆ เสียด้วย แต่เพื่อนตัวดีก็คะยั้นคะยอให้อ่านจนได้

กลับกลายเป็นว่าชอบเรื่องนี้มากๆเลย
แต่ก็เป็นเรื่องแรกด้วยที่อ่านแล้วไม่อยากอ่านให้จบ เครียดไปกับเรื่องราวต่างๆด้วย
ตอนหลังจากวันที่ทั้งเอกกับพี่เหยาไปปล่อยโคมกันแล้ว ฝ้ายไม่กล้าอ่านต่อเลย
ไปบ่นให้เพื่อนฟังว่าสงสารพีเหยามากๆ เพื่อนก็สปอยมานิดหน่อยว่า เดี๋ยวมันจะเกิดเรื่องดีๆ ขึ้นในตอนท้าย
ถึงได้ยอมอ่านต่อ แฮะๆๆๆ :o8:
นั่งคิดเล่นๆ ว่าคนคนนึงจะทนได้ขนาดพี่เหยาเลยหรอ :o12:

ตอนอ่านไปก็โกรธเอกมาก ที่ไปโทษคนอื่นว่าเป็นความผิด
โดยไม่คิดถึงตัวเอง เราก็พยายามคิดไปว่า เป็นเพราะเอกกำลังสับสนอยู่ก็ได้

ไม่คิดว่าพี่เหยาจะทนได้ขนาดนี้ ทำไปทั้งๆที่ใจตัวเองก็เจ็บ
ยอมรับความอดทนจริงๆ

จริงๆแล้วอยากบอกว่าชอบตัวละครทุกตัวในเรื่องเลย จะบอกว่าตอนนี้นิยายเรื่องนี้ ยกให้เป็นที่หนึ่งในใจได้เลย

ขอบคุณคุณภัคD แล้วก็คุณ THIP ด้วยนะคะ
ไม่เคยอ่านนิยายที่สื่อถึงอีกด้านที่มืดๆ แบบนี้มาก่อนเลย o13 o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: BaBo ที่ 14-03-2009 06:23:41
กรี๊ด เพิ่งจะเห็นตอนพิเศษ น่ารักจังเลย

ขอบคุณที่เอามาให้อ่านอีกนะคะ :impress2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: altctrldelete ที่ 15-03-2009 20:50:08
เพิ่งอ่านรอบ 2 จบ

อ่านรอบแรก งง
รอบสอง  :o12:

อ่านจบแล้วความรู้สึกเหมือนอ่านเรื่องของคุณเป็ดเลยค่ะ
เศร้า ซึม ตื้อ จุก แล้วก็อยู่ในอาการอย่างนี้วันเต็มๆ

ชอบเรื่องนี้มากๆๆเลยค่ะ
ขอบคุณ คุณTHIP แล้วก็คุณภัคD สำหรับนิยายเยี่ยมๆค่ะ

+1นะคะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 28-03-2009 10:12:44
อ่านแล้ว สงสารทั้ง เอก และพี่เหยา


เงอๆๆๆๆ....


ขอบคุณที่นำเรื่องดีๆ มาให้อ่านจ้า..
..
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: B_O_M ที่ 16-04-2009 03:02:47
พี่เหยาาาา :o12:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (เพิ่มตอนพิเศษ ไม่เศร้านะจ๊ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 16-04-2009 22:25:38
แจ้งข่าวค่ะ

ตอนนี้ผู้เขียนกำลังทำการรวมเล่มนิยายเรื่อง " หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ" กับเรื่อง "เด็กชายตะวันฉาย นายกรินกรณ์ และพี่ชายปากบอนบ้านข้างๆ"

โดยจะทำแค่จำนวนที่สั่งจองเท่านั้น หมดเขตสั่งจองวันที่ 5 พฤษภาคม 2552 ค่ะ

ดูรายละเอียดได้ที่นี่

http://jeraja99.spaces.live.com/
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (แจ้งข่าวรวมเล่มค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 16-04-2009 22:38:25
อ่านจบแล้วครับ โชคดีที่อ่านหลังจากที่มีภาคพิเศษให้อ่านไปยิ้มไป เพราะเนื้อเรื่องหลักจนถึงตอนก่อนจบนี่ บีบหัวใจเหลือเกิน

อีกอย่าง ชอบสำนวนการเขียนของคุณ ภัคD ด้วยอ่ะครับ อ่านแล้วคิดถึง เด็กชายตะวันฉายฯ เลย

ขอบคุณ คณ ภัคD และคุณ THIP มากๆครับ ที่เอาเรื่องนี้มาให้อ่านกัน ชอบมากๆเลยครับ  :L2:



ปล.ตอนพิเศษ2 น่ารักมากๆเลยครับ อ่านแล้วยิ้มตามไม่หยุดเลยอ่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (แจ้งข่าวรวมเล่มค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: altctrldelete ที่ 16-04-2009 23:50:09
ขอบคุณคุณ THIP สำหรับข่าวการรวมเล่มค่ะ

กำลังคิดจะปริ๊นเก็บพอดี

ตามไปจองโลดดด  :bye2:

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (แจ้งข่าวรวมเล่มค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: jele ที่ 19-04-2009 01:35:33
 :o8:

เพิ่งอ่านก็


ติดใจแล้วค้าบ


ชอบ

ยังไม่จบเดียวไปอ่านต่อ





หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (แจ้งข่าวรวมเล่มค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: กิมตี๋หัดขับ ที่ 24-04-2009 00:39:57

อ่านแล้วไมเกรนกำเริบเร้ยย

บีบอารมณ์สุดๆ

คุณภักD  สุดยอดจริงๆ  นับถือๆ

ขอบคุณพี่ทิพย์ ที่เอามาโพสค้าบบบบ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (แจ้งข่าวรวมเล่มค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มาโซซายตี้ ที่ 24-04-2009 02:16:33
เพิ่งได้อ่านตอนพิเศษ  ค่อยมีความสุขไปกับจีเหยา ขึ้นมาหน่อย

จองหนังสือแล้วนะ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (แจ้งข่าวรวมเล่มค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: katoonzar ที่ 04-05-2009 12:39:21
ขอบคุณครับ อ่านจบแล้วไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น งานเขียนของคุณเทียบเท่ากับวรรณกรรมอย่างที่หลายๆท่านพูดเลยทีเดียว  ทั้งเนื้อหา ภาษา ซึ่งมีเอกลักษณ์ในตัวเอง (นักเขียนน้อยคนนะครับที่จะสามารถสร้างเอกลักษณ์ทางภาษาของตัวเองได้)

อยากให้ลองเสนอผลงานไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ มากกว่าที่จะเก็บไว้ในแวดวงเล็กๆ (เล็กมาก เพราะหาอ่านงานของคุณยากจริงๆ ) รู้สึกเสียดายครับที่คุณพอใจจะจำกัดจำนวนคนอ่านอยู่ในวงแคบๆนี้



หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (แจ้งข่าวรวมเล่มค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: MIkz_hotaru ที่ 06-05-2009 22:37:26
 :o8: กินเจ น่ารักมากๆๆๆ
คิดถึงเอก กะ พี่เหยา สุดๆเลย ขอบคุณ คุณ ภัคD  o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (แจ้งข่าวรวมเล่มค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: takari555 ที่ 08-05-2009 00:09:00
อือหือ....เรื่องนี้นี่สุดจะมืดเลยจริงๆ

อ่านแล้วรู้สึกหนทางมันมืดมนอะไรอย่างงี้
อ่านแล้ว ทั้งงง ทั้งเครียด ทั้งมึน ไปกับตัวละครจริงๆ
จนกระทั่งพี่เหยาเริ่มมาเล่าในตอนจบเนี่ยแหละ ถึงได้พอเข้าใจบ้าง
กว่าคู่นี้จะมีความสุขกันได้ เหอะๆๆๆๆๆ
เราเกือบจะปิดเรื่องนี้หลายครั้งแระ อ่านแล้วมืดมนจริงๆ =*=

แต่เรื่องนี้มันก็มีอะไรหลายอย่างที่พี่เหยาพูดมาแล้วเห็นด้วยนะ
ยินดีด้วยนะที่พี่เหยาได้มีความสุขจริงๆโดยไร้ข้อกังวลเสียที ^_____^

ขอบคุณทั้งคุณ ภัคD และคุณ THIP มากๆ เลยค่ะ ^_____^
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (แจ้งข่าวรวมเล่มค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 08-05-2009 11:56:44
ตอนพิเศษน่ารักมากๆ

ขอบคุณค่ะ

^^
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD (แจ้งข่าวรวมเล่มค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: tanutchai ที่ 09-05-2009 12:58:36
อ่านจบแล้วแต่ความรู้สึกยังไม่จบ ขอบคุณนิยายดีๆอย่างนี้นะคับ :pig4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: cl2ne1 ที่ 10-05-2009 00:52:52
อ่านเรื่องนี้ได้ 3 หน้า

ต้องลาไปหาเรื่องอื่นอ่าน

อ่านแล้วปวดใจจริงๆ มืดมนสุดๆ

แต่ในที่สุดเมื่ออ่านไปเรื่อยๆ ก็พบถึงความสว่าง

ไม่ว่าจะอยู่ในที่มืดมนและน่ากลัวซักแค่ไหน ถ้ามีแสงสว่างให้เราเพียงน้อยนิดสาดส่องมาให้เรา
เราก็พร้อมที่จะสุ้ต่อไป 
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: kikipanda ที่ 10-06-2009 15:18:12
ได้ยินชื่อเรื่อง "หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ" ของคุณภัคD มานานแล้วค่ะ (ว่าดำเนินเรื่องสุดยอด แต่ก็เนื้อหาก็หนักมากๆ เช่นกัน)


ชั่งใจอยู่นาน แต่ก็อดใจไม่ไหวคลิ๊กอ่านจนได้ ตะลุยอ่าน 2 วันจบ โอยยยยเข้าใจรีฯบนๆ เลยค่ะกับคำว่า "เรื่องจบคนไม่จบเนียะ"  :serius2: เครียด+อินต่อเนื่องถึงจนบรรทัดสุดท้าย (ยังดีมีตอนพิเศษมาช่วยบรรเทาอาการน้ำตาลในเลือดต่ำจนเกือบช็อค :เฮ้อ:)


ไม่ว่าจะสำนวนภาษา หรือการดำเนินเรื่องของคุณภักD นี่เยี่ยมจนไม่รู้จะพูดชมอย่างไรดีเลยค่ะ  o13 ตัวละครทุกตัวมีเหตุผลรองรับการกระทำทั้งหมด คุณภักDบรรยายทุกอย่างได้เคลียร์ในทุกกรณีในตอนท้าย ไม่เหลือประเด็นตกหล่นเลยค่ะ อยากอ่านผลงานเรื่องต่อไปๆ ของคุณภักDอีกนะค่ะ (แต่ขอบางหนุกหนานบ้างได้มั้ยอ่ะ เรื่องเศร้าแบบพี่เหยานี่ป้ารับไม่ไหวแล้ว  :o12:)

สุดท้ายขอบคุณทั้งคุณภักDผู้เขียน และคุณทิพมากนะค่ะที่มาแบ่งปันเรื่องดีๆ ให้ได้อ่าน  :L2:

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: nintendome99 ที่ 11-06-2009 22:40:15
บอกตรงๆเลยคับว่าเครียดมากๆ เมื่อได้อ่าน มันกดดันสุด ตอนแรกจะหยุดอ่านเมื่ออ่านไปได้สัก 2-3 หน้า
รู้สึกเกลียดตัวของ เอก เอามากๆ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร เลยตะลุยอ่าน
ให้จบ ทั้งเครียดและกดดันจริงๆ ยิ่งอ่านก็รู้สึกกว่าไม่เอาคนรักอย่างเอก มาเป็นคู่รักแน่นอน ไม่สามารถปกป้อง
คนรักได้เลย
ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆให้ได้อ่านนะคับ นี่ยังเครียดอยู่เลยนะเนี่ย  :a5: :serius2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: hikariyuka ที่ 20-06-2009 01:49:30
เป็นครั้งแรกนะคะที่มาคอมเม้นนิยาย
เพราะไม่ค่อยได้เจอเรื่องถูกใจ
อ่านมาเยอะมาก
ยอมรับว่าคุณเขียนได้ดีจริงๆ
แตกต่างจากนิยายทั่วไป
ขอบคุณคนโพสมากมายคะ
ที่ไม่ต้องให้รันหาเป็นร้อยๆๆๆ หน้า
อารมณ์ต่อเนื่องดีมากคะ
เพอเฟคจริงๆ
 o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: doobadoo ที่ 10-07-2009 01:02:56
อ่านจบแล้ว  เป็นเรื่องแรกเลยนะค่ะ  เข้มข้นทั้งต้นเรื่องยันท้ายเรื่องเลย  บางตอนแอบไม่เข้าใจเพราะมันดูลึกซึ้งมาก  เป็นเรื่องที่สนุกและน่าติดตามมากค่ะ  ขอบคุณจริงๆนะค่ะที่แต่งผลงานสนุกๆแบบนี้ออกมา  แล้วจะติดตามเรื่องต่อๆไปนะค่ะ o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: teenza ที่ 14-07-2009 11:06:31
อ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ยังไม่ได้สมัคร ตอนนี้มี log in แล้วก็เข้ามาด้วยความคิดถึง
อ่านจบอารมณ์ไม่จบ ภาพ เรื่องราว และคำพูดของตัวละครยังฝังอยู่ในหัว
อ่านแล้วทึ่งในความสามารถของผู้แต่งมาก การถ่ายทอดเรื่องราว ความมีมิติของตัวละคร
ความสมจริง และบรรยากาศในเรื่อง มีพลังมาก อ่านแล้วรู้สึกเหมืองเรื่องราวกำลังเกิดขึ้นจริง
อยู่ตรงหน้า ชอบเรื่องนี้มากจริงๆ ยกให้เป็นเรื่องในดวงใจเลยครับ
 :pig4:คนแต่งและคนโพสที่แบ่งปันเรื่องดีๆให้ได้อ่าน และเสียดายแทนคนที่ไม่ได้อ่าน
 o13 :L2: :bye2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นŬ
เริ่มหัวข้อโดย: Soulmate ที่ 21-07-2009 18:13:31
 :pig4: :pig4: :pig4:
สนุกจริงๆ
มันกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดลำบาก
(อายวะคนอื่นเม้นยาว)
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: kataiiiscas ที่ 23-07-2009 10:16:48
โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮออออออ

ขอคาระวะผู้แต่ง สุดยอดมากจริงๆเรื่องนี้

กดดันอารมณ์ได้สุดยอด สนุกมาก แล้วก็ประทับใจมากๆเช่นกัน

ขอบคุณผู้แต่งนะคะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 04-08-2009 18:54:11
เพ่งมีโอกาสได้อ่าน เป็นนิยายที่ละเอียดอ่อนมากๆ อ่านแล้วเหมือนได้รับการเยียวยาจิตใจ
อ่านแล้วเข้าใจทั้งเอกและพี่เหยา เวลาคนเราสับสน ทำอะไรไม่ถูก มันทรมานจริงๆ  :sad4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: giant ที่ 05-08-2009 00:35:26
ชื่นชมคุณ ภัคD จริงๆ ครับ
ภาษาที่ใช้สละสลวยมากครับ
น่าติดตาม...น่าค้นหา...
ชวนคิด  และชวนเคลิบเคลิ้มตามกับความพริ้วไหว
ของภาษาที่ใช้เหลือเกิน....
ทำให้ผู้่อ่านรู้สึกเหมือนกับตัวเองได้เข้าไปเหตุการณ์ต่างๆ
สัมผัสกับความรู้สึกของตัวละครเหล่านั้น...


ขอบคุณมากครับ

สำหรับผู้โพส + ผู้แต่ง กับ ผลงานดีๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: imageriz ที่ 06-08-2009 15:37:48
 o13 o13 o13
อ่านจบแล้วก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว... :เฮ้อ:
ขอบคุณ คุณทิพย์ ที่นำเรื่องดีๆ มาให้อ่าน และคุณภัคD ที่แต่งเรื่องได้  o13

 :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นŬ
เริ่มหัวข้อโดย: JChloe ที่ 10-08-2009 13:43:46
สวัสดีคนโพสท์ (และฝากไปให้ถึงคนแต่ง ^ ^)

อ่านงานเขียนของคุณ ภัคD แล้วรู้สึกอิ่มเอิบใจจังค่ะ
ภาษาที่สละสลวย บวกเนื้อหาและตัวละครที่มีแลดูมีมิติ ..ทำให้อะไรที่เป็นนามธรรมเหมือนจะจับต้องได้ผ่านตัวอักษรของคุณ

จะเป็นกำลังใจและแอบชื่นชมคุณอยู่ในใจตลอดไปค่ะ

เทค แคร์,
 :L2:

ปล. ขอบคุณคนโพสท์ด้วยนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: morrian ที่ 22-08-2009 13:10:46
อ่านจบแล้ว เรื่องนี้ใช้เวลาอ่าน 1 วันเต็มๆเลย

มาบ่อน้ำตาแตกตอนน้องเอกลาเหยาที่สถานีรถไฟ

แต่ดีใจที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี แม้อดีต จะเจ็บ

ปวดมากแค่ไหนก็ตาม ถ้าเรื่องนี้จบเศร้า ก็อินต่อ

ไปอีกหลายวันแน่ๆ ขอบคุณคนแต่ง และคนโพสนะค้าบ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 02-09-2009 04:18:23
เหอออ กว่าจะอ่านจบ ดีนะที่ไม่จบเศร้า ไม่งั้นคงต้องลงไปนอนดิ้นกะแด่ว ๆ กับพื้นแน่เลยย

ยิ่งตอนที่พี่เอกบอกลาพี่เหยาที่ชานชาลานะ น้ำไหลออกมาจากตาเลยย

นึกถึงตัวเองถ้าได้เป็นคนใดคนนึงในเรื่องนั้น คงทำตัวหรือให้คำแนะนำไม่ได้อย่างในเรื่อง

แต่ก็นั่นหละ มันตัวเรานี่ ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบใคร

แต่ชอบเพื่อนพี่เอกทุกคน โดยเฉพาะพี่วิทย์ อิอิ


ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ คับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 15-09-2009 10:04:33
เข้ามา :กอด1: คุณภักD ได้หนังสือแล้วค่ะ
 ความรู้สึกคือปลาบปลื้ม  หนังสือน่ารักมากค่ะ
ของที่ระลึกก็น่ารัก โอ้ยยย...ปลื้มจนบอกไม่ถูก :sad4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Letm3diE ที่ 21-09-2009 00:00:03
เรื่องนี้อ่านแล้วมีความรู้สึกที่หลายหลาย

จะว่าเศร้าก็เศร้า  อย่างที่หลายคนบอก  แต่มีมากกว่านั้น

มันทั้งจุกที่อก   หายใจไม่ออก

ตีบตันที่คอ   อัดแน่นที่อก

หนักที่หัว   หูอื้อ

เศร้าเหมือนน้ำตาจะไหล   ตลกในบางมุข   

ขำขันในบางอารมณ์   

บางครั้งรู้สึกโง่งมงาย  สับสน  ชื่นชม  และหวาดกลัวใน  "ความรัก"

สรุป!! กดดันอารมณ์มาก ๆ  เลยค่ะ

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่อ่านแล้วทำให้มีบางความรู้สึกบางอารมณ์ที่ยังไม่เคยสัมผัส

ขอขอบคุณ  คุณภัคD  ที่ทำให้ได้รู้จักบางความรู้สึกบางอารมณ์ที่ยังไม่เคยสัมผัส

และที่ขาดไม่ได้ผู้ที่นำเรื่องราวดี ๆ  มาให้สัมผัส  ขอบคุณ  คุณTHIP
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: aaax ที่ 22-09-2009 13:25:30
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นเรื่องแต่ง แต่จะเอาเหตุผลอะไรมาอ้างก็เถิด คนที่ล่วงละเมิดเด็กนี่ มันเลวร้ายจนไม่อาจให้อภัย

ยิ่งถ้าเป็นคนที่เด็กให้ความไว้วางใจด้วยแล้ว ยิ่งเลวร้าย เค้าจะฝากอะไรไว้ในใจเด็กคนนั้นบ้าง เฮ้อออออออออ


คิดถึงเรื่องที่พ่อนรกนั่นขังลูกตัวเองไว้ในห้องใต้ดิน แล้วข่มขืนจนมีลูกด้วยกันเจ็ดคนสิ มันเกินจะเอ่ยจริง ๆ


ปล. ขอบคุณผู้เขียน และผู้โพสต์ครับ ในอีกด้านที่ไม่ได้บรรยายเอาไว้ ผมแอบคิดแทนเหยาเล่น ๆ ว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่ แล้วคำตอบที่ได้มันก็ช่างเศร้าเสียจนเกินจะทน ยังดีที่ได้พบคนที่รักเค้า และเค้ารัก และได้ให้ความรักแก่กันและกัน

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 29-09-2009 19:12:58
ก่อนอื่นต้องบอกเลยครับ..ว่าสุดยอดจริงๆเรื่องนี้ o13 o13
ตอนแรกเห็นชื่อเรื่องก็นึกว่า เป็นเรื่องของความรักที่ไม่สมหวังจบลงอย่างเศร้าสร้อย
แต่พอได้อ่านแล้วถึงรู้ว่ามันเศร้าของเศร้ายิ่งกว่า ทำไมมันถึงได้โหดร้าย และบัดซบเช่นนี้
อ่านแล้วต้องคอยลุ้นอยู่ตลอดเวลา
สงสารเหยามากที่จะต้องเจออะไรอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ซึ่งในชีวิตจริงเราคิดว่าเด็ยอย่างเหยามีอยู่เยอะนะ  :เฮ้อ:คิดแล้วรู้สึกรันทดใจจัง
และก็รู้สึกรำคาญเอกที่ค่อยจะวิ่งหนีแต่ปัญหา
แต่ทั้งหมดก็รวมเป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
ชอบครับ ชอบมากเลยครับ
พออ่านจบรู้สึกโล้งอกที่จบได้อย่างแฮปปี้ :เฮ้อ:
ขอขอบคุณทิพ และคุณภัคดีที่นำเรื่องราวดีๆอย่างนี้มาให้ได้อ่านกันครับ
ขอบคุณคร้าบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Solar cell ที่ 02-10-2009 12:09:37
อ่านจบหลายรอบเลยค่ะ

ตอนนี้แอบคิดถึงเหยากะเอกเหมือนกัน

ว่าง ๆ ก็แวะเข้ามาทักทายค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 03-10-2009 15:37:57
อ่านรวดเดียวจบจนถึงตีสามครึ่ง....อันที่จริงก็ไม่ถึงกับรวดเดียวเพราะต้องสลับฉากไปอ่านหรือคุยกับคนอื่นบ้างเพราะบางตอนทนอ่านทุกตัวอักษรไม่ได้

บีบสุดๆค่ะ เป็นดราม่าที่พี่ภัคเล่นกับอารมณ์ตัวละครได้สุดๆ รัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างรวมอยู่ในเรื่องนี้

ตอนอ่านก็เล่นแชทอยู่ที่บอร์ดนึงด้วย น้องคนที่เคยอ่านเรื่องนี้ถามขึ้นมาว่าระหว่างทอมกับเอกชอบคนไหนมากกว่ากัน

ตอบอย่างไม่ลังเล "พี่เกลียดทั้งคู่!" เสริมน้องเค้าไปว่าอาจจะเพราะไม่มีมุมทางฝั่งทอมเท่าไหร่นอกจากมุมมองโดยเอกเป็นคนนำเสนอเลยบอกไม่ถูกว่าถ้ามีอารมณ์ความรู้สึกรึการกระทำของทอมมากกว่านี้จะชอบหรือเกลียดมากขึ้นแต่ ณ ตอนนี้ถ้าถามตอบเลยว่าเกลียดทั้งคู่  ไม่ได้ว่าพี่ภัคแต่งไม่ดีนะคะ ดีมากเลยตังหากค่ะที่ทำให้ต่ายเกลียดตัวละครตัวหนึ่งได้โดยไม่รู้สึกแค่ว่ามันชั่ว มันมีอะไรมากกว่านั้น ไม่ได้เกลียดระดับเบสิกจากการอ่านว่า กรี๊ด! ไอ้นี่มันปล้ำนายเอกต่อหน้าพระเอก เกลียดมัน! มันไม่ใช่แค่นั้นแต่เพราะฝีมือการเขียนของพี่ภัคมันกลั่นอารมณ์ออกมาได้สุดๆ

ตอนนี้ยกเรื่องนี้เป็นเบสดราม่าฝั่งไทยในใจเลยค่ะ เรื่องที่เคยเป็นที่หนึ่งตกอันดับเลย

ตอนอ่านท้ายๆแอบแช่งให้ใครสักคนตายไปเลยด้วยเรื่องจะได้จบในชีวิตจริงแต่ไม่จบในความทรงจำของตัวละคร ฮะๆ

คนที่น่าสงสารที่สุดในเรื่องสำหรับต่ายไม่ใช่ตัวเอกสามคนแต่เป็นวิทย์มากกว่าค่ะ

รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นแม้จะไม่ทำหมด...ทำอะไรไม่ได้ ช่วยเพื่อนรึพี่ไม่ได้เพราะมีบางอย่างมากั้นไว้

สำหรับพี่เหยา ทุกอย่างเกิดเพราะใจ ง่ายๆก็ทำตัวเอง

เอกกับทอม...ตัณหา ถ้าของทอมนี่ตอนสุดท้ายเห็นไปบำบัดจิต อืม พออ้างได้นิดนึงว่าเพราะป่วยถ้างั้น แต่ยังไงก็ตามสามคนก็เหมือนกันสามเหลี่ยมที่บิดเบี้ยวเหมือนจะสมดุลแต่หากอะไรมาทำให้เสียสมดุล...พังทลาย...

เฮ้อ สักวันอยากจะเขียนเรื่องที่บีบเข้าใจถึงตัวละครได้แบบนี้บ้างจัง

ขอบคุณพี่ทิพย์ที่เอามาลงและพี่ภัคที่แต่งให้อ่านมากค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: SOBANG✖ ที่ 21-10-2009 18:25:29
หนูจะพูดว่าอะไรดี กับเรื่องนี้ คนแต่งคิดได้ไงอะคะ
คือมันพูดยากที่จะทำให้คนอ่านมองในหลายๆแง่มุมได้แบบนี้
สงสัยแบงจะโง่ที่ไม่ยอมอ่านเรื่องนี้แต่แรก (เพราะว่าแบงกลัวมันเศร้ามากๆๆ)
เรื่องนี้ทำให้แบงรุ้สึก ตื่นเต้นตลอดเวลาว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วบางทีต้องหยุดก่อน เพื่อให้ร้องไห้ก่อน ค
ถึงจะอ่านต่อได้ ซึ่งแบงว่ามันขำๆ อะ ทำไมฉันร้องไห้อยางกับฉันเป็น เหยา ซะงั้น
ชอบพี่เอก กับ พี่เหยา มากๆเลยคะ
ยิ่งอ่านยุ่งรุ้สึกว่า รักเรื่องนี้จัง ถึงจะพูดว่ารักเรื่องนี้ช้าไปหน่อย ยังดีกว่าไม่พูดเนอะ ^^  :impress2:
จะดีกว่านี้ถามีตอนพิเศษอีก อยากอ่านจัง ขอบคุณ คนแต่งมากๆเลยนะคะ
แล้วก็ขอบคุณพี่ THIP ด้วยที่หาเรื่องลงได้โดนใจจริงๆ บ๊ายบาย  :bye2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 24-10-2009 20:50:43
เรือ่งนี้ อ่านแล้ว สุดยอดมากค่ะ
นทั้งอึดอึ
อ่านตามตลอดเลย จนปวดตา  :sad4:

มันทั้งอึดอัดและทรมาน
ที่เหยา เอก และทอม

ตอนแรกคดิว่าทอมไม่ดีซะอีดที่ไหนได้

บางทีคนเรามันก็ไม่มีเหตุผลในการกระทำเนอะ


สุดยอดค่ะเรื่องนี้
จะไปตามอ่านเรื่องอื่น ๆ อีก คะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 28-10-2009 21:33:20
 :เฮ้อ:
อ่านอีกรอบ...เพื่อให้หัวใจได้ออกกำลังกาย...
และยังยืนยังเหมือนเดิม...ไม่อยากให้ใครมีชีวิตเหมือนเหยา  :m15:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: hexhell ที่ 04-11-2009 14:01:03
ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ กับเรื่องนี้
ไม่มีคำจำกัดความใดจะเหมาะสมเกินไปกว่า...สุดยอดแห่งนิยายดราม่า

หลากหลายอารมณ์จริงๆ กับเรื่องนี้

อิ่มเอมกับตัวอักษรที่ยอดเยี่ยม...อึดอัดกับเนื้อหาที่บีบเค้น
เศร้า สับสน อยากร้องไห้ออกมาหลายครั้งแต่ก็ยากเกินไป

ผูกเรื่อง ดำเนินเรื่องได้อย่างเหมาะเจาะ
ดีนะที่จบไม่เศร้า...ไม่งั้นคงไม่สามารถมานั่งเม้นได้อยู่อย่างนี้


คุณภัคD เก่งสุด นับถือๆๆๆๆ

ตอนนี้รู้สึกอยากอ่านมุมมองของทอมบ้าง...และเรื่องจริงบางอย่างของเหยา
มันเหมือนๆ มีอะไรค้างคาในใจเยอะเลย

เชื่อว่าคนทุกคนมีเหตุผลที่จะกระทำ...แล้วเหตุผลที่คนอื่นๆ อ้างมันจะคืออะไร


ขอบคุณมากๆ นะคะสำหรับนลงเรื่อง...หาเรื่องได้ดีจริง
ขอบคุณคนแต่ง...ที่รังสรรค์ผลงานอันยอดเยี่ยม  :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Flirter_kung ที่ 03-12-2009 13:50:51
ดีสุดยอดมากๆจนต้องมาฝากชื่อเยี่ยมชมไว้ให้จริงๆครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: kaehoo ที่ 19-12-2009 14:13:26
 :-[ :-[อีกเรื่องหนึ่งที่แอบอ่านมานาน....เศร้าๆแต่สุดท้ายก้อ.... :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: pong212 ที่ 19-12-2009 23:45:50
 :z3:

ดราม่าสุด ๆๆๆๆๆๆๆๆ อร๊ายยยยยยย

แต่ยังดีที่แฮปปีเอ็นดิ่น

อร๊ายยยยยยยยยยยยย อีกรอบ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: peeshu ที่ 24-12-2009 19:41:13
แบบว่า นอนร้องไห้ไป3วัน  คิดถึงทีไรร้องทุกรอบ  โอย ตาบวมไปมหาลัย

แอบลองคิดว่าพี่เหยาจะคิดอะไรแล้วเจ็บปวดแบบไหนบ้าง

เป็นเรา คงกดดันน่าดู แต่พี่เหยาก็แอบร้ายอยู่เหมือนกันนิ ร้ายเงียบซะด้วย

อ่านแล้วก็ปวดหัว  ปวดหัวแล้วก็ร้องไห้ โฮๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: non~animé ที่ 03-01-2010 08:59:48
ม่ายไหว ๆ มันจุกจนแทบจะหายใจไม่ออก 
แน่นอกไปหมด เหมือนน้ำตามันเอ่อล้นอยู่ข้างใน :monkeysad:



เพิ่งอ่านได้ถึงตอนที่ 7 ค่ะ แต่ไม่ไหวแร้ววว...ขอพักก่อน

ที่สำคัญฉาก NC งี้เห็นภาพมั๊กมากกกก  :m10:


เห้อออ....หลังจากพบในกระทู้นิยายแนะนำฯ

ในที่สุดก้อหลวมตัวเข้ามาอ่านจนได้  o6


แต่ไงก้อขอบคุณ "คุณทิพย์" มากๆ เรยค่ะที่เอามาโพสต์ให้ได้อ่านกัน  :L2:
ที่ขาดไม่ได้คือ "คุณภัค D" ผู้สร้างสรรค์นิยายดีๆ เรื่องนี้ขึ้นมา....ขอบคุณจากใจจริงค่า  :pig4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: n_pom_s8 ที่ 06-01-2010 23:41:20
ขอบคุณเจ้าของผลงาน  และคุณทิพที่โพสนะครับ...
บอกได้สุดๆแล้วครับ  เศร้า :o12: :sad4: เครียด   :m15:  แต่สุดท้ายต้องบอกว่าชอบจริง
เป็นกำใจให้สร้างสรรค์ผลงานต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: The_miracle ที่ 08-01-2010 20:53:43
เรื่องนี้บีบหัวใจผมจริงๆๆครับ บางตอนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

ผมคิดว่าชีวิตแบบเหยามีจริงในสังคมครับแต่น้อยคนนักที่จะรู้

คนเขียนเขียนได้ดีมากครับ  :sad4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: joomjaa ที่ 19-01-2010 13:07:44
ขอบคุณคุณภัคD ที่เขียนนิยายดีๆ ให้อ่านนะคะ
ขอบคุณคุณทิพที่เอามาลงในเล้าให้อ่านด้วย
ประทับใจกับเรื่องนี้มากค่ะ o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: tiramisu ที่ 28-01-2010 19:26:27
สุดยอด
เมื่อคืนอ่านไม่จบพยายามหลับ
แต่ก็หลับไม่ลง
ต้องรีบตื่นมาอ่านให้จบ
เฮ้ออ..อออ
คืนนี้คงนอนหลับซะที
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่นำมาให้อ่านครับ
ได้ข้อคิดเพียบ :3123:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 06-02-2010 14:59:19
ขอบคุณคุณภัคDนะคะ กินใจกดดันอารมณ์สุดๆกันเลยทีเดียว :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: PsYchopaThic ที่ 19-02-2010 17:15:43
อยากรู้คนแต่งเรื่องนี้เป็นคนแบบไหน
ทำไมคุณภัคD เขียนเรื่องออกมาได้ขนาดนี้
ทุกจังหวะของการดำเนินเรื่องราว มันไม่ใช่แค่การเล่าเรื่อง

ความสับสน วกวนในความคิดของเอก มันเป็นของจริงรึเปล่า ทำไมมันลึกซึ้งขนาดนั้น
ทำไมเราถึงอินกับมันจัง
ทำไมเหยาถึงรักเอกขนาดนั้น ทำไมเหยาถึงใจแข็งได้บนความอ่อนแอของตัวเอง (รึเปล่าวะ!!!!!)

หลังจากอ่านเรื่องของคุณเป็ดกับอ้อย และเรื่องตั้มกับกานต์
เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่เรานั่งคิดวกวนถึงเหยากับเอก เมื่อสมองมันว่างเปล่า
หลังจากอาการนี้มันหายไปนานแล้ว เฮ้อ!!!!

ขอบคุณคุณภัคD สำหรับเรื่องที่มีคุณค่าเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: QUE1 ที่ 01-03-2010 01:05:52
เปิดผ่านเรื่องนี้ไปหลายครั้ง
แต่พอได้มาอ่านแล้วเสียดาย จังที่เคยผ่านมันไป
แต่ก็ได้อ่านแล้วละนะ....

ใช้เวลาอ่านอยู่หลายวัน
เพราะ อ่านๆไปเจอฉากบีบหัวใจ
ก็รีบปิดไม่อยากอ่านต่อ....กลัวทำใจไม่ได้

ดีที่จบแบบ Happy
สงสารพี่เหยา เก็บความเจ็บปวดไว้กับตัวเอง
จนวันหนึ่งมัน ระเบิดออกมา
เล่นเอาบ้านเกือบแตก...
แต่สุดท้ายมีความสุขกับสิ่งที่รัก ก็ดีแล้ว....

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ อย่างนี้ค่ะ
 :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: jantaro ที่ 01-03-2010 18:37:06
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L1: :L1: :L1: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: mamichan ที่ 02-03-2010 14:02:15
 :monkeysad: :monkeysad:

อ่านจบแล้วค่ะ  เศร้ามาก ๆ เลยอ่ะ  ไม่เคยคิดว่าจะอ่านนิยายแล้วเศร้าได้ขนาดนี้

มันเหมือนกับว่า  ไม่มีใครที่เฟอร์เฟคจริง ๆ ทั้งพี่เหยา ( :o8: น่ารักมาก)  ทั้ง เอก  ทอม  หรือคนอื่น ๆ  ต่างก็มีทั้งด้านสว่างกะมืดเหมือนกันหมด

เดินเรื่องไปแบบว่าคนอ่าน  ต้องเคยลุกไปทำใจก่อนจะกลับมาอ่าน 

สารภาพเลยว่า  อ่านรอบแรกด้วยใจระทึกๆๆ  ปน ๆลุ้นว่าจะจบยังไง  กลัวว่าพี่เหยากะเอกจะไม่ได้จบลงด้วยดี 

รอบสองอ่านเลยความงามของภาษา

ส่วนรอบสามเก็บความเศร้า  แบบว่าอ่านแล้วนอยส์ได้ทั้งวัน  เฮ่อออออ


เพิ่งเคยอ่านอะไรแบบนี้ค่ะ  แบบว่าไม่มีใครถูกใจเราเต็มร้อยซักคน 

กำลังยิ้มๆ อยู่ดีๆ ก็มาร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรกับอีกตอน   มันเป็นความรู้สึกที่ทึ่งมาก ๆ เลยค่ะ

ที่ินิยายแค่เรื่องเดียวทำเราเป็นได้ขนาดนี้


ยกนิ้วให้ค่ะ  ขอยกให้เป็นนิยายอันดับหนึ่งในใจเลยค่ะ 

ชอบเรื่องเศร้าๆๆ   o18 o18
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: love_y ที่ 11-03-2010 19:59:27
ดีใจที่นิยายเรื่องนี้จบแบบสวยงาม
แต่กว่าจะสวยงามได้ก็เล่นเอาเราคนอ่าน
จุกจนพูดไม่ออก อ่านแล้วหดหู่ในบางช่วง
สะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเลือกสงสารใคร
รึควรจะสงสารตัวเองดีหว่าที่ร้องไห้จนตาคงจะบวมไปหลายวันอยู่
ขอบคุณคงแต่งสำหรับนิยายดีๆอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้เราได้เห็นความเป็นมนุษย์ในอีกมุมหนึ่ง
ขอบคุณพี่คนโพสด้วยนะคะที่หานิยายดีๆมาให้ได้อ่าน :L2:
ปล อยากบอกว่ารักพี่เหยาอ่ะ :กอด1:แค่นี้แหละคร่าไปละ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 29-03-2010 17:06:40
เราพลาดอีกแล้วที่ข้ามเรื่องนี้ไป จากที่อ่านตอนแรกๆ แล้วก็ไม่ได้กลับมาอ่านอีก
:z3:
จิตใจของมนุษยฺ์เป็นสิ่งที่เหนือการคาดเดาจริงๆ
มนุษย์สร้างสรรค์ทุกอย่างได้สวยงามที่สุดพอๆ กับทำลายล้างทุกอย่างได้อย่างร้ายกาจที่สุด

ไม่อยากจะคิดถึงคนที่มีตัวตนจริงๆ เผชิญกับชะตากรรมที่คล้ายคลึงกันหรือยิ่งกว่าที่เหยาเจอในนิยายเรื่องนี้
ว่าพวกเขาเหล่านั้น จะมีชีวิตอยู่ในรูปแบบไหน สภาพความคิดร่างกายและจิตใจจะเป็นยังไง
นับว่าเหยาโชคดีนะคะ ที่สุดท้าย เหยาก็หลุดพ้นจากวัฏจักรเลวร้ายแบบนั้นได้
ส่วนเอกกับทอม เราว่าเป็นการสะท้อนแต่รูปแบบด้านมืดของมนุษย์นะ
สุดท้ายก็อยู่ที่คนๆ นั้นนั่นแหละ ว่าจะมีระบบความคิด จัดการ และตัดสินใจยังไงให้ถูกต้องและเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย

นิยายเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราประทับใจมากถึงขีดสุดจริงๆ
คุณภัคDแต่งได้ดีและประทับใจมากๆ ทั้งการใช้ภาษา การดำเนินเรื่องราว
มีความลึกซึ้งมากแล้วก็ต้องคิดวิเคราะห์ตามตลอดเวลาเลย
อ่านแล้วทำให้คนอ่านอย่างเรามีความรู้สึกตามไปกับเรื่องราวที่คุณแต่งไว้
ไม่รู้สิ เราอ่านแล้ว มันจุก อึดอัด กดดัน บลาๆๆ สารพัดอย่าง
และหลายต่อหลายตอน ไม่สิ แทบจะทุกตอนเลยก็ว่าได้ ที่เราอ่านแค่รอบเดียวแล้วผ่านไปตอนถัดไปไม่ได้
ต้องอ่านทวน อ่านซ้ำ เพื่อจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ในตอนนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นยังไง
ตัวละครแต่ละตัวมีความคิด ความรู้สึกอย่างไร
อีกประเด็นคือ  เรารู้สึกเหมือนตัวละครแต่ละตัว ไม่ใช่แค่ตัวละครที่ถูกสมมติขึ้น
แต่ว่าพวกเขา อาจจะมีชีวิตอยู่จริง เผชิญชะตากรรมแบบนี้จริงๆ ในสถานที่ที่คุณภัคD ได้เขียนไว้
พออ่านจบได้อ่านตอนพิเศษค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
ถึงจะเพิ่งได้อ่านจนจบ แต่ ขอบคุณมากๆ นะคะ สำหรับงานที่ดีและมีคุณค่ามากๆ ที่คุณตั้งใจสื่อให้คนอ่านอย่างเรามีโอกาสได้อ่านกัน
และขอบคุณคุณTHIPมากค่ะที่นำเรื่องดีๆ แบบนี้มาให้เรามีได้อ่าน
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 30-03-2010 14:44:24
แวะเวียนมาอ่านเรื่องนี้อีกรอบ(แค่ตอนท้ายๆนะ)  :z3:  ถ้าอ่านทั้งหมดคงได้แทบอยากฆ่าตัวตายอีกรอบ

ทำไม๊ทำไมคุณภัคDแต่งออกมาได้ดีขนาดนี้นะ   :o12:   บีบหัวใจเหลือเกิน.....

จำได้ว่าตอนไออ่านครั้งแรก(อ่านทั้งหมด) ไอร้องไห้ไปด้วยแทบอ้วกไปด้วย กลั้นหายใจอ่านไปด้วย ในใจมีแต่ความอึดอัด (แบบว่าอินจัด)

ดีนะที่ตอนจบยังไม่เศร้า(แต่ดันเศร้าแม่งทั้งเรื่องเลย) ไม่งั้นคงได้กรีดร้องบ้างเกิดอะไรขึ้นบ้างล่ะ  :serius2:

อยากรู้จังว่าคุณภัคDเขียนออกมาได้ยังไง เวลาอ่านไอยังอินไปด้วย แล้วการที่สื่ออารมณ์ออกมาได้ขนาดนี้ เวลาเขียนต้องใส่อารมณ์ไปแค่ไหนกัน  :เฮ้อ:

ชื่นชมคุณภัคDจริงๆค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: AtomiZe ที่ 02-04-2010 17:31:45
เปิดผ่านเรื่องนี้ไปหลายครั้งมากเอาจริงๆนะ
ตอนอ่านตอนแรกเปิดอ่านถึงแค่ตอนบอกว่ามีฝรั่งมาอยู่ข้างบ้านอ่ะ
ก็คิดว่าต้องเป็นพระเอกแน่ๆเลย  ก็เลยเลิกอ่านเพราะไม่ใช่แนว  ผ่านไปนานนนนนนนน
อ่านนิยายอื่นๆหลายยยยยยยยยยยยเรื่อง
อยู่ๆก็อยากอ่านเรื่องนี้ขึ้นมา  ดีใจจริงๆที่ไม่พลาดเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องนี้
ปกติเวลาอ่านนิยายเศร้า บ่อน้ำตาแตกง่ายมาก  แต่เรื่องนี้ไม่ร้องเลย
ไม่ใช่ว่ามันที่เศร้า  แต่มันจุกไปเลย  มึนๆ หัวมันตื้อเกินคำว่าเศร้าอ่ะ
ชอบตัวละครทุกตัว  (แต่แอบเกลียดทอมนิดหน่อย :m16:จริงๆก็เยอะเหมือนกัน)
บางครั้งเอกทำให้โกรธมากๆ ทำไมทำร้ายพี่เหยาอย่างนี้
แต่ทำให้เห็นถึงด้านมืดด้านสว่างของคนจริงๆ  ที่มีทั้งสิ่งที่ดี  และสิ่งที่ไม่ดี
ทุกตัวละครเหมือนมีชีวิตอ่ะ ไม่ใช่ว่าอะไรก็ต้องดีไปหมดเหมือนนิยายทั่วไป
แต่มัน ลึกซึ้ง  ซับซ้อนซ่อนเงื่อน  สับสน  เศร้า  หดหู่  อึดอัด  แต่ก็สวยงาม 
อ่านจบแล้วแต่อารมณ์ยังไม่จบ  ดีใจที่จบแบบมีความสุข  ในที่สุดพี่เหยา
ก็หลุดพ้นกับความรู้สึกเกลียด  ชิงชัง  ไร้ทางออก  ที่มีแต่ความมืด  มาพบกับแสงสว่างๆ
โลกที่สวยงามสักที  พออ่านจบปุ๊บความรู้สึกคือยังไม่อยากให้จบอยาดอ่านไปเรื่อยๆ
และยังไม่อยากอ่านเรื่องอื่นเลย  อารมณ์มันค้างอ่ะ  ค้างจนต้องมานั่งอ่านอีกรอบทันที
เฉพาะตอนที่อยากอ่านนะ  บางตอนมันโหดร้ายเกินไป  ก็ข้ามไป  ข้ามไป  พออ่านจบแล้วมาอ่านอีกรอบ
ทำให้เข้าใจการกระทำของแต่ละคนขึ้นมากๆ  อ่านจบแล้วยังต้องมานั่งอ่านรีของคนอื่นๆอีก
ว่ามีความรู้สึกยังไงกะเรื่องนี้บ้าง  มันอินสุดๆแล้วอ่ะ  เสียดายที่อ่านเรื่องนี้ช้าไป (1ปี T_T)
ทำให้ไม่ได้จองหนังสือเหมือนคนอื่นๆอ่ะ :impress3:
ขอบคุณ  คุณภัคD  ที่แต่งเรื่องที่ประทับใจมากๆและมากที่สุดเรื่องนี้ให้อ่าน  และขอบคุณ คุณทิพย์
มากๆเช่นเดียวกันที่ทำให้มีโอกาสอ่านเรื่องนี้ (ไม่เคยโพสเยอะขนาดนี้มาก่อน  นี่ยังไม่ได้ครึ่งของครึ่งของครึ่งที่รู้สึก 
มันเกินจะบรรยายมาเป็นคำพูดจริงๆ) 
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: rainbowboiz ที่ 05-04-2010 03:00:27
รู้สึกหายใจไม่ออกอย่างบอกไม่ถูก

อ่านจบภายในรวดเดียวอีกแล้ว วววตี่สามอีกแล้ว อิอิ  o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: pko2 ที่ 05-04-2010 20:25:27

 หรือจะให้เป็นเเค่ความทรงจำ

 เป็นจริงๆค่ะ เป็นเรื่องที่เป็นความทรงจำของคนอ่านคนนี้เลยค่ะ

 เป็นนิยายที่กลมกล่อมที่สุดอีกเรื่องหนึ่งที่เคยได้อ่านมา

 เป็นนิยายที่สามารถสร้างทุกความรู้สึกเหมือนว่าเกิดขึ้นจริงได้อย่างชัดเจนเลยค่ะ

 อ่านเเล้วให้ความรู้สึกว่าผู้อ่านอย่างเราๆ เป็นอีกส่วนหนึ่งของเรื่องเลยค่ะ

 อยากจะขอขอบคุณ พี่THIP ที่นำนิยายดีๆมาให้อ่านกันน่ะค่ะ เเละคุณภักD ที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆออกมา

 ขอขอบคุณจากใจจริงค่ะ

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: SakuraNino ที่ 09-04-2010 09:47:03
พออ่านจบแล้วรู้สึกโล่งอก โล่งใจคะ
จิตใจสบายขึ้นเยอะมากกกกกกกกก
แบบตอนระหว่างเรื่องอยู่นี้ อ่านไปแล้วปวดไต ปวดตับ จุก เจ็บจิ๊ดๆ กันเลยที่เดียว
สงสารกับความรู้สึกเอก ไม่เข้าใจความคิดพี่เหยา
แต่ก็ชอบมากๆ คะ อีกหนึ่งเรื่อง เนื้อหา สำนวนโอ้วไม่รู้จะบรรยายยังไงดี บอกได้คะว่าเยี่ยมมาก

ขอบคุณ คุณภัก D และ คุร คนโพสนะคะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ksnight ที่ 11-04-2010 20:54:31
ชาบู และบูชาค่ะยกเรื่องนี้ขึ้นหิ้งไปอีกเรื่อง
โฮวกกก บีบคั้นมาก  :o12:
แอบสารภาพว่าฉากเอกพาพี่โอ๋มาหาพี่เหยากดปิดไปรอบนึงด้วยความสะเทือนใจไม่กล้าอ่าน กิสส
หลังจากทำใจได้ค่อยกลับมาอ่านอีกรอบ...ฮือ นังคุณเอก แกเลวมาก!!!  :m31:

ขอบคุณมากๆค่ะ ขอบคุณทั้งคนแต่ง ขอบคุณทั้งทั้งคนโพสต์
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: qq_car ที่ 11-04-2010 22:36:43

ประทับใจเรื่องนี้อ่ะ
T-T

จะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจไม่ลืมเลือน
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: fayala ที่ 18-04-2010 14:05:35
เห็นว่าได้รับการโหวตจากชาวเล้าเป็ดว่าเป็นนิยายสุดโศก.. ก็เลยลองเข้ามาอ่านดูค่ะ

พออ่านจบแล้ว.. อุแม่เจ้า.. ชาวเล้าเค้าเตือนกันแล้วก็ไม่เชื่อ.. บีบหัวใจที่สุดตั้งแต่เคยอ่านนิยายมาเลย เครียดจนนอนไม่หลับ

โชคดีที่จบแบบมีความสุข ไม่งั้นคงต้องเตรียมถังมารองน้ำตากันเลยทีเดียว  :o12: :o12:

ขอบคุณคนแต่งและคนโพสท์นะคะ นิยายเขียนดีมาก สำนวนภาษาก็ดี แถมแทบจะไม่สะกดผิดเลย แบ่งตอนก็ดี จบไม่ค้างคา ที่ชอบที่สุดคือเวลาคนเขียนบรรยายความรู้สึกนึกคิดของตัวละคนค่ะ บรรยายได้ดีมาก ทำให้คนอ่านเข้าถึงและเข้าใจตัวละครทุกตัว แถมยังส่งให้ตัวละครแต่ละตัวมีบุคลิกที่โดดเด่น แตกต่างจากนิยายทั่วไปอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ice99 ที่ 22-04-2010 21:51:31
เรื่องนี้สมเป็นเพชรน้ำเอกของคุณ ภัคD

สำนวนสุดยอด

แต่เรื่องมันหนักๆไปสำหรับผม

แต่ก็ชอบครับ

+1 ครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: soul_merupa ที่ 26-04-2010 03:05:19
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วไม่สามารถหยุดได้จริงๆค่ะ
ต้องนั่งอ่านไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอตอนที่หยุดพักได้
เพื่อไปนอนบ้างไรบ้าง ฮ่าๆๆๆ

เปิดเรื่องมา ชอบค.รักแบบเด็กๆใสๆ ระหว่าง พี่เหยากับเอกมากๆเลยละค่ะ



พอไปกลางๆเรื่อง ออกแนวหยุดไม่ได้
และ..ด้วยการบรรยายแบบ ดำเนินเรื่องโดยเอกคนเดียว
แสดงความคิดเอกคนเดียว คนอ่านอย่างเราเลยจะดิ้นตาย

เพราะอะไรหว่า..

1.เพราะขัดใจ ที่เหมือนพระเอกจะไม่รู้ใจตัวเองเอาเสียเลยว่า แอบหึง แอบหวง แอบรัก
หรือ ต้องง้อ พี่เหยายังไง เวลาพี่เหยาแอบงอน, ทำไมถึงไม่รู้ว่า พี่เหยาเค้ารอให้ง้อ,
ฯลฯ

2.อยากรู้ว่าทำไม.. พี่เหยาทำแบบนั้น
อยากรู้ว่าทำไมบางทีพี่เหยาก็มีอาการคล้ายคนสติหลุด
และหลายๆอย่างที่ยังแอบสงสัยจนถึงตอนนี้ละค่ะ


แต่โดยรวมชอบมากนะคะ !! ชอบมากจริงๆ เป็นนิยายที่ทำให้ลุ้นว่า จะจบยังไง
โดยเฉพาะตอนที่เค้าสองคนนอนกอดกันแล้วเล่าเรื่องเก่าๆให้ฟัง

คือ ก่อนจะถึงซีนนั้นอ่ะ เราอ่ะดีใจไปกับเอกแล้วว่า พอพี่เหยามารับ ทั้งสองก็จะเคลียร์กัน แล้วก็เข้าใจกัน
แบบ แฮปปี้เอนดิ้ง..แต่พอ ทิ้งระยะ พี่เหยามาช้า.. ร้องไห้เวลาเอกบอกรัก.. คนอ่านก็ยิ่งใจแป้ว
กลัวสุดใจว่าพี่เหยาจะปฏิเสธ ทำให้เอกน้ำตานองหน้าหรือเปล่า..

แล้วกว่าจะลงเอยกันได้ ก็เล่นเอากลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวเลยแหละ
ขอบคุณคนแต่งที่ทำให้เค้ารักกันเนาะ ฮิฮิ


ป.ล. ชอบสเปฯมากๆค่ะ น่ารักมากเลย บังคับให้พูดจีน
ถ้าคนแต่งว่างๆ ก็มาต่อสเปฯอะไรแบบนี้ ก็ยังรออ่านนะคะ ;D
ขอบคุณที่แต่งนะค่ะ ขอบคุณจริงๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: gemzplayz ที่ 28-04-2010 12:12:19
เรื่องนี้อ่านแล้วตายไปเลย เจ๋งสุดๆ  :m15:

จื่อเหยา หดหู่ไดอีกกกT^T
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: comprivate ที่ 12-05-2010 16:56:05
         ขอบคุณทั้ง คุณภัค D & THIP

                   ผมก็เหมือนหลายๆท่านนะครับ อ่านเรื่องนี้แล้วผมหดหู่ใจมากเลยครับ แบบว่าสงสารเหยาอ่ะ ต้องเป็นเครื่องระบายอารมณ์ให้ทอม ผมบอกไม่ถูกว่าเรื่องนี้มันให้ความรู้สึกใดกับผมกันแน่ ผมอ่านแล้วหดหู่มากๆจริงๆคับ แตกต่างจากนิยายหลายๆเรื่องจริงๆด้วยครับ

                                        อย่างไรก็ตาม ขอบคุณมากๆนะครับที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆให้แก่กัน
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 21-05-2010 04:21:00


ตามมาเม้นท์ให้อีกเรื่องให้

ขอบอกว่าเป็นเรื่องเดียวที่ไม่คิดจะอ่านให้จบ สงสาร จีเหยาเกินจะทนไหว

ไว้ทำใจให้เข้มแข็งมากกว่านี้ จะพยายามกลับมาอ่านให้จบค่ะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: GEMSTONEz ที่ 30-05-2010 21:05:17
ขอบคุณค่ะ

เรื่ิองนี้เป็นเรื่องแรกที่เรียกน้ำตามากขนาดนี้

ู^^

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: GaIta ที่ 31-05-2010 21:42:00
ยังไม่ได้อ่านเลย
แต่มาขอบคุณไว้ก่อนน่ะค่ะ

ดีใจจริงๆ ได้อ่านและ ^^
เพิ่งมาเห็นกระทู้นี้

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: b0nuz ที่ 18-06-2010 01:43:01
พึ่งอ่านจบค่ะ รวดเดียวจบเลย เสียน้ำตาไปหลายถังเลยค่ะ  :o12:
ชอบเรื่องนี้มากๆ ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาอธิบายได้เลย
ระหว่างที่อ่าน ก็มีหลายครั้งที่คิดจะข้ามไปอ่านตอนจบเลย ไ่ม่ไหวแล้ว ไม่เอาแล้ว
เพราะทนไม่ไหว บีบหัวใจเกินไป อินกะเนื้อเรื่องมากๆค่ะ ณ จุดนี้  :z3:
ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆที่เปลี่ยนมุมมองเรานะคะ o13

ปล.รักพี่เหยาและเอกมากมาย ><
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: tea ที่ 19-06-2010 01:56:16
อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้ตาบวมไปเลย
ทำไมถึงเศร้าได้ขนาดนี้ล่ะ ยังดีนะที่จบไม่เศร้าอะ :เฮ้อ:
ถึงจะรู้ว่าเศร้าแต่ก็หยุดอ่านไม่ได้
เขียนได้ดีจริงๆ บีบคั้นอารมณ์เหลือเกิน
 :pig4:ที่เขียนมาให้อ่านกันน่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: conne17 ที่ 22-06-2010 14:58:28
 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13
อ่านจบภายในวันครึ่งเลยค่ะ
สำหรับเรื่องนี้...


ไม่ค่อยได้เป็นกันนิยายเรื่องไหนเลยค่ะ ขนาดจบแล้วก็เหยาคิดถึงเรื่องราวของเหยากับเอก
อยู่ตลอดว่า เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้นน

ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงจะรับไว้ไหมม?
คืออินมากกกกกกกกกกกกกกกกเลยอ่ะ
คุณภัค ดี เขียนเก่งมากกกกกกกกกกกกอ่ะ
คือรู้สึกว่าแค่เล่าผ่านตัวละครแค่คนเดียว

แต่สามารถรับรู้เรื่องราวได้ครบหลากหลานอารมณ์สุดๆ

โอยยย อินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

อยากให้มีต่ออีกมากๆแต่ก้ไม่รู้ว่าพี่คนแต่งจะมีความเห็นอย่างไง

แต่ก็เป็นกำลังใจให้อีกต่อๆไปนะคะ

งี๊ดดดดดดดดดดดดด
ชอบสุดด
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: RanJeri ที่ 23-06-2010 00:41:11
อ่านจบแล้ววววววววววววววววว



ตอนต้นเรื่องยังไม่ทำไร แต่พอกลางเรื่องเสีบน้ำตาไปหลายยาปีป :m15: :monkeysad: :sad4:


แต่อ่านตอนพิเศษก็น่ารักหวานจนมดตรอม :-[


ขอบคุณมากๆสำหรับนิยายที่ดีแบบนี้
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: vascular ที่ 23-06-2010 13:05:20
...อ่านรวดเดียวจนจบ ใช้เวลาเป็นวันๆ

...ขอบคุณทั้งผู้แต่ง และคนโพสนะครับ

...นิยายเรื่องนี้ถ้าเป็นหนังสือ เป็นเรื่องที่เรียกได้ว่า วางไม่ลง จริงๆ

...ภาษาที่ใช้นั้นชวนอ่าน ชวนติดตาม การผูกเรื่อง ผูกปม มันเดาทางไม่ออกจริงๆ

...มันมีความน่าค้นหาในทุกตัวละคร ทั้ง จึเหยา เอก และ ทอม
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: mapoon ที่ 24-06-2010 18:03:16
เฮ้อ ...กว่าจะอ่านจบหมดทิชชู่ไปกี่แผ่น  :sad11:
อ่านแล้วบีบคั้นจริงๆ บางตอนก็เล่นเอาเครียดเลย

...แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดี ( นับถือคนแต่งจริงๆสุดยอด  o13)
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายขวา ที่ 25-06-2010 22:09:27
เพิ่งอ่านแบบมาราธอนจอบไปเมื่อสองวันก่อน แต่เพิ่งได้มาโพส
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วหนักหัวจริงๆค่ะ อ่านจบแล้วก็แบบ เฮ่อออ .....
แต่สำนวนดีโครตๆเลยค่ะ อ่านแล้วลื่นๆ ไม่สะดุดเลย  o13 เยี่ยมจริงๆค่ะ
ชอบพล็อตเรื่องด้วย อ่านไปก็คิดไปว่า จะมีเด็กอีกกี่คนที่ต้องเจออะไรแบบพี่เหยานะ แล้วถ้าเค้าเจออะไรที่มันหนักกว่านี้อีกล่ะ เฮ่อ! สังคม
อารมณ์ตอนอ่านมันก็เลยหดหู่ลงไปเรื่อยๆ ตัวเอกก็ดีนะคะ ดูเป็นตัวละครที่มีด้านมืดเยอะดี (เอ๊ะ! ยังไง - -") บางครั้งก็ยังคิดว่าถ้าเป็นเราก็อาจจะทำเหมือนเอกก็ได้นะ แบบอารมณ์มันมาก่อนเหตุผล แล้วสำนึกถึงจะตามมาทีหลัง เหอะๆๆๆๆ

เอาเป็นว่าชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ ไว้จะไปตามอ่านเรื่องต่อๆไปนะคะ
เป็นกำลังใจให้นะคะคุณ ภัคD แล้วก็ขอบคุณคุณ THIP ด้วยนะคะที่เอามาโพสให้ได้อ่านกัน  :yeb: 
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ETOM ที่ 30-06-2010 15:22:01
มันเต็มตื้นในหัวใจ จุกๆเสียดๆ คิดตามตลอดว่าเราจะเข้าใจใครและไม่เข้าใจใคร เอกทำร้ายทั้งตัวเอง ทั้งเหยาและคนรอบตัว เหยาทำเพื่อตัวเองหรือจริงแล้วพอใจกับสิ่งที่ทำ ทอมเลวโดยสันดานจริงเหรอ หรือที่ทำเพราะรักแล้วแค้นที่มีคนมาแย่งของรัก มันเอ่อ .........ขอบคุณภัคดีมากที่มีเรื่อวราวที่มันใกล้ตัวอย่างนี้มาให้ได้อ่าน อินสุดๆๆๆๆๆๆ
ไม่ใหวจะเคลียร์
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: bellity ที่ 05-07-2010 15:29:58
ผมอ่านแล้วหายใจไม่ออก อึดอัด หดหู่ ไปเรียนแล้วหน้ามืดเลย(ดันอ่านก่อนไปสอบอังกฤษ)

แบบสุดยอดมากมายที่สุดในชีวิต (จริงๆ) อ่านเรื่องตะวันฉายตอน ตี 4 แล้วมาอ่านเรื่องนี้จบตอน บ่ายหนึ่งแล้วไปสอบ

ทั้งสองเรื่องสุดยอดมาก คาดคั้นอารมณ์สุดๆ เลยคิดเล่นๆ ว่าเหยามีชีวิตได้ยังไง ยิ้มได้ยังไง หัวเราะได้ยังไง กับการกลายเป็นเกมส์ เป็นของเล่นของใครหลายๆ คนที่ผ่านเข้ามา 1 คืนแล้วเดินจากไป

ค่อยยังชั่วกับตอนจบครับ อย่างน้อยปีกที่บิดเบี้ยวของทั้งเอกและเหยาก็ต่างช่วยกันประคองให้ก้าวไปข้างหน้าออกมาจากความรู้สึกอันบิดเบี้ยวที่ต้องเผชิญ

ต่างคนต่างรักษากันเอาด้านดีๆมาไว้ในความทรงจำกันและกันประคับประคองกัน มีชีวิตอยู่แบบมนุษย์ทั่วไป ที่ไม่ต้องเผชิญอารมณ์ด้านมืดกับความรู้สึกใครอีกแล้ว

คนแต่งสุดยอดมากครับ อ่านแล้วได้อารมณ์เพลง กลูมี่ ซันเดย์เลย  :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Oberon ที่ 06-07-2010 08:44:49
อ่านเรื่องนี้แล้ว มันเหมือนสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมที่มันเลวร้ายเหลือเกิน

การพยายามโกหกตัวเองของเหยาเพื่อปกป้องความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในจิตใจจากการกระทำของทอม

การเลือกทำร้ายตัวเองของเอกโดยเลือกทำร้ายคนที่ตัวเองรัก เพียงเพื่อประชดความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้น

แล้วให้ความเจ็บปวดนั้นมันปั่นทอนตัวเองอีก เรื่องอ่านอ่านแล้วบอกได้เลยว่าเครียดมาก

รู้สึกเศร้าและเสียใจไปกับเหตุการณต่างๆ นาๆ ที่เกิดขึ้น มีบางตอนที่คล้ายๆ กับชีวิตจริงของผมก็เลยยิ่งเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นได้ดี
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: chen ที่ 17-08-2010 20:11:26
ทำยังไง ถึงจะได้อ่านความรู้สึก มุมมองจากพี่เหยาบ้าง...
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: kingphai ที่ 06-10-2010 20:15:38
ไม่มีคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น
ขอบคุณเอก เหยา พี่ภักดี และก็พี่ทิพมากมาย
สำหรับเรื่องราวดีๆ
ดีจนหาที่ติไม่ได้
อยากวิจารณ์ว่า
ตัวละครที่ไม่มีตัวตน และไม่รู้จักตัวตนนี่แหละ
คือเสน่ห์ของนิยายเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 06-10-2010 21:30:03
มันหนักๆ อึ้งๆนะครับเวลาอ่านเรื่องนี้ แต่ก็อ่าน ๆๆๆๆ
แล้วก็เฮ่อ...
ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: tachibanramen ที่ 06-10-2010 23:35:39
มันหนักๆ อึ้งๆนะครับเวลาอ่านเรื่องนี้ แต่ก็อ่าน ๆๆๆๆ


รุ้สึกเหมือนกันเลยค่ะตอนอ่านจบ
ทำอะไรมันก็แบบ มันอิดๆเนือยๆไปเลย
นิยายนี้แจ่ม สะเทือนอารมณ์สุดๆค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: mixmix ที่ 15-10-2010 15:51:36
เป็นอีกคนที่เหมือนหลายๆคนในนี้ที่ว่า เิปิดเข้ามาอ่านแล้วกดปิดไปหรือหันหน้าหนีอยู่หลายครั้ง
เพราะกว่าจะทำใจให้อ่านให้จบได้นี้ทรมานใจมากๆ
ตอนนี้พิมพ์อะไรไม่ออกเลยจริงๆ เพราะถึงจะจบแบบแฮปปี้ก็ยังคงความรู้สึกบีบใจอยู่จนตอนนี้เลย  :sad4:

เรื่องนี้สุดยอดไปเลยจริงๆค่ะ สมแล้วที่ทำให้ใครหลายๆคนร้องไห้ตามรวมทั้งเรา  :m15:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: penguinlanla ที่ 19-10-2010 20:00:35
แอบอ่านมานานแล้ว แต่เพิ่งมีเวลาสมัคร และตั้งใจว่าจะคอมเมนท์นิยายเรื่องนี้เป็นคอมเมนท์แรก !

อ่านแล้วรู้สึกคล้อยตามไปกับทุกตัวอักษร อ่านข้ามไม่ได้แม้แต่บรรทัดเดียว
ทั้งพี่เหยา เอก และทอม สะท้อนให้เห็นธรรมชาติของสังคม คนที่อยู่ในด้านสว่างนั้นก็มีด้านมืดอยู่ในตัว
ตอนพี่เหยาจะกลับบ้านแล้วมาหาเอก การที่เอกเมินพี่เหยามันทำให้เราขัดใจมากๆ

คำว่า"ทิ้งทวน"ในตอนนั้นยิ่งทำให้แบบ  :m31: ทอม อย่าอยู่เลย !!  :fire:

ฉากที่ประทับใจที่สุดในเรื่องนี้เป็นตอนที่เอกบอกรักพี่เหยาที่สถานีรถไฟ น้ำตาไหลแหมะๆ เลย

ขอบคุณมากๆ นะคะสำหรับนิยายดีๆ เรื่องนี้ ^________________^
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: MM.Dog ที่ 19-10-2010 21:19:10
อ่านเรื่องสั้น (อาหรับราตรี) ของคุณภัค D ก่อน  ถึงได้ติดตามมาอ่านเรื่องนี้
ยอมรับหมดใจว่าเรื่องนี้หนักอึ้งจริง ๆ
หนัก...ในความเสมือนจริงของตัวละคร
หนัก...ในความคิดและการกระทำ
หนัก...ในความจริงที่ว่า  นี่มันเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้จริงทุกหัวระแหงในโลก
ที่สำคัญ  หนัก...ในความรู้สึกที่ทุกตัวละครคิด  รู้สึก  และทำให้มันเป็นไป

อึ้ง...ในการชักจูงให้คนอ่านรู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ก้นเหว  แล้วก็เห็นแสงสว่างเมื่อมีทีมกู้ภัยมา  แต่ก็ต้องถูกกระชากลงไปอีกเมื่อแผ่นดินถล่มซ้ำ
อึ้ง...ในความบีบคั้นทางอารมณ์อย่างร้ายแรง
อึ้ง...ที่ในที่สุดเหยาและเอกกลับมายืนหยัดได้ใหม่

สุดท้าย  สุดจะอึ้ง...ที่ทนอ่านจนจบโดยไม่ขาดใจตายได้ไงเนี่ย

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: skysky ที่ 27-10-2010 20:31:58
ตามมาอ่านจากที่โหวตนิยายสุดโศก แล้วก็ได้รู้ว่ามันโศกจริงๆ :o12:
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านไปทรมานไป  :m15:
ทำให้จิตตกบ่อยๆครั้ง แต่พออ่านจบแล้วรู้สึกดี เหมือนได้หลุดพ้นจากอะไรซะอย่าง 555
ล้อเล่นค่ะ รู้สึกดีจริงๆ ในที่สุดๆ ก็เข้าใจกันได้ ลุ้นตั้งนานแน่ะ แต่เกลียดทอมมากๆ ถึงเหยาจะบอกเหตุผลอะไรก็ตาม รับไม่ได้ค่ะ 55
เป็นนิยายอีกเรื่องที่ชอบจริงๆค่ะ

ขอบคุณคุณภัคD และคุณ THIP สำหรับเรื่องราวดีๆนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 30-10-2010 12:18:17
อยู่ดีๆก็คิดถึงเอกกะพี่เหยา เลยกลับมาเปิดอ่านอีกรอบ ผลก็คือ น้ำตาซึม จนได้ .. แต่อย่างน้อยสุดท้าย 2 คนนี้ก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข .. ใช่ไม๊ละ ^^
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: 1582 ที่ 30-10-2010 15:51:09
เพิ่งจะกล้าเข้ามาอ่านเรื่องสุดโศก  แล้วมันก็บีบคั้นอารมณ์อย่างที่สุดจริงๆ
บางตอนต้องขออ่านข้าม เพราะน้ำตามันไหลพรากๆ  ดีนะที่สุดท้ายก็จบ
อย่างมีความสุข  ดีใจที่ทั้งเอกและพี่เหยาได้มีความสุขกันซะที คนอ่านก็สุขไปด้วย

ขอบคุณคุณภัค D ที่แต่งนิยายดีดีให้ได้อ่านนะคะ  :L2:
 
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Cane ที่ 05-11-2010 15:44:15
แอบคิดว่าหากคู่ขาเก่าที่เคยได้..เหยา แล้วเห็นเหยาอีกครั้ง ก้าวเข้ามา เหยาจะทำอย่างไร เอกจะทนได้หรือที่จะไม่ทำร้ายมันผู้นั้น เพราะรูปร่างหน้าตาอย่างเหยา ใครก็อยากได้ ยิ่งเคยได้ง่ายๆ แล้วจะห้ามใจได้หรือ ที่สำคัญเหยาผ่านมาแล้วกี่คน แค่คิดก็ปวดตับแล้วอ่ะครับ ช่วยแต่ตอนพิเศษมาคลายปมบ้าๆพวกนี้ที อยากให้เอก เหยา เป็นรักสุดท้าย ที่ไม่มีใครมาแตะต้องได้อีก
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: iMarchs ที่ 11-11-2010 21:37:32
ขอบคุณมากๆคับ สุดยอดจริงๆ

 :3123:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Miku ที่ 14-11-2010 19:58:12
อ่านจนจบแล้ว ไม่อยากทำตัวเป็นผีบอร์ดค่ะ

อยากบอกว่าเป็นอีกเรื่องที่เขียนออกมา แล้วเหมือนชีวิตจริงมาก ทั้งความรู้สึกนึกคิด
ทั้งองค์ประกอบ วางเรื่อง

รู้สึกเหมือนเขียนออกมาจากชีวิตใครซักคนจริงๆเลยค่ะ

แบบว่า วันนี้ทั้งวัน เอาแต่คิดถึงแต่เรื่องนี้สลัดออกจากหัวไม่ได้เลย


ให้สิบคะแนนเต็ม สำหรับทุกข้อความที่อ่านแล้วบาดหัวใจ

เรื่องนี้ ทำเอาร้องไห้ตามพี่เหยา จนตอนเช้าต้องหาน้ำแข็งมาประคบเลยค่ะ


ขอให้เขียนผลงานดีๆอย่างงี้ให้คนอ่านไปอีกนานๆนะคะ  

o13

อีกอย่างๆ เราวาดแฟนอาร์ตไว้เอาไปแปะไว้ที่หน้าเรื่องสั้นแล้วครั้งนึง ขอมาแปะไว้หน้านี้ด้วยนะคะ

(http://misasaki.exteen.com/images/Zi%20Yao.JPG)
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: maple4120 ที่ 16-12-2010 00:31:16
เพิ่งอ่านจบค่ะ..
ชอบจังเลยอ่ะ เป็นนิยายเรื่องแรกที่อ่านแล้วรู้สึกว่ามัน.. ผู้ใหญ่สุดๆเลยล่ะค่ะ
คือ ไม่รู้จะใช้คำพูดว่าไงดี แต่แบบว่า เป็นนิยายที่แฝงแนวคิดไว้เยอะสุดๆ จนบางทีเราก็คิดตามไม่ทันเลยล่ะค่ะ
ต้องมาอ่านคอมเม้นท์ที่มีคนมาวิเคราะห์แล้วถึงจะเข้าใจ ว่าอ๋อ มันอย่างนี้นี่เอง
แต่แบบว่า ชอบตั้งแต่พล็อตแล้วอ่ะค่ะ นานๆทีจะได้เจอเรื่องแนวนี้
ประทับใจจริงๆเลยค่ะ แม้มันจะเครียดและหนักหัวไปบ้าง แต่ก็อ่านแล้วมีความสุข หยุดไ่ม่ได้จริงๆค่ะ
อ่านๆไปเราก็แอบสาปแช่งเอกไปในใจด้วยค่ะ ช่วงที่เอาแต่ใจแล้วทำร้ายพี่เหยาน่ะ
รู้สึกสงสารพี่เหยามากๆๆๆ สุดๆเลย รู้สึกว่าเอกเห็นแก่ตัวมากค่ะ แล้วก็คงจะไม่ได้รักพี่เหยาจริงๆหรอก
แต่แบบว่า พออ่านต่อมาเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกล่ะค่ะว่าเอกก็แค่สับสนไปเท่านั้นเอง
ยิ่งมาอ่านตอนท้ายๆ พ่วงด้วยตอนพิเศษแล้วแบบ.. อืมม ตื้นตันจริงๆเลยค่ะ
ให้อารมณ์เดียวกับท้องฟ้าที่สดใสหลังฝนตกยังไงอย่างงั้นเลยล่ะค่ะ รู้สึกเบาใจขึ้นมาเป็นกอง
เอกกับพี่เหยารักกันจริงๆ แค่แสดงออกมาคนละแบบเท่านั้นเอง
ขอย้ำอีกทีว่าชอบมากๆๆๆๆๆสุดๆเลยค่ะ
ขอบคุณคุณภัคD นะคะที่แต่งเรื่องยอดเยี่ยมแบบนี้ออกมาให้อ่าน นับถือเลยค่ะ สุดยอด ขั้นเทพเลยล่ะ
ขอบคุณคุณทิพย์ คนโพสด้วยนะคะ ขอบคุณที่ทำให้เราได้เจอเรื่องดีๆอย่างนี้
จะรอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: kaehoo ที่ 16-12-2010 14:32:03
 :impress2:


กว่าจะเข้าใจอืม
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: rainy_naja ที่ 25-12-2010 05:35:33
merry★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
•。★Christmas★ 。* 。
° 。 ° ˚* _Π_____*。*˚
˚ ˛ •˛•*/______/~\。˚ ˚ ˛
˚ ˛ •˛• | 田田|門| ˚★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
Jaaaaaaaa \\(^^)//
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: PsychicLine ที่ 16-01-2011 00:16:25
เรื่องนี้เคยผ่านตามาครั้งหนึ่งสักปีนึงมั้ง อ่านสองสามตอน รู้สึกรับไม่ได้อ่านไม่ไหวอีก มันขุดคุ้ยด้านดิบของคนออกมาชัดลึกเกินไป
เข้ามาอ่านนิยายในขณะที่หวังพบโลกที่สวยงาม เพื่อหนีโลกความจริงที่กดดัน เจอแบบนี้เข้า เอิ่มมม..
แต่ก็นะ เห็นหลายคนพรีเซนท์เหลือเกินว่าน่าอ่าน เลยคิดว่า คงถึงเวลาแล้วที่ต้องอ่านสักครั้ง กดดันจริง เครียดจริง จนคิดจะเลิกอ่าน แต่ก็ตัดใจอ่านจนจบ ...มันก็แค่นิยาย
แต่ มันทำให้คิดถึงตอนเรียนเกี่ยวกับการทำละครโทรทัศน์ หรือการเขียนนิยายสักเรื่อง แม้มันไม่ใช่เรื่องจริง เป็นแค่เรื่องที่แต่งออกมา แต่ทุกเรื่อง มีเพื่อให้เราได้ขบคิด และหาคำตอบให้กับชีวิตจริง บทเรียนที่เราไม่ต้องแสดงเอง เจ็บเอง สูญเสียเอง ...นิยายเรื่องนี้ ให้สิ่งเหล่านี้ได้เข้มข้นมาก
โดยเฉพาะประสบการณ์ที่เป็นบาดแผลในวัยเด็ก ที่ทุกคนต่างก็เป็นเหยื่อ และผันตัวเองไปเป็นอาชญากร เพื่อแทนเสียงร้องในใจให้ใครรับรู้ความเจ็บแบบเดียวกับที่ตนเองได้รับ โทษตัวเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าตนเองก็เป็นเหยื่อในเกม เปลี่ยนความรู้สึกผิดเป็นดาบสองคม ทำลายตนเองและคนรอบข้าง ถูกอดีตครอบงำ ย่ำอยู่กับที่ ไม่เริ่มต้นใหม่สักที เพราะคิดว่าไม่มีสิทธิ์ และส่วนลึก รอการให้อภัยจากใครสักคน ...รอการให้อภัย

กล้าเมนท์ยาว เพราะเรื่องนี้แทบทุกคนเมนท์ได้ยาวมาก ๆๆ อ่านตาแฉะ หลากแง่หลายมุม ได้ข้อคิดดีดีเยอะเชียว ขอบคุณน้า~   :pig4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: SE_Lifestyle ที่ 21-02-2011 19:52:10
อารมณ์ว่า อึดอัด ขัดใจ
เฮ้อออ  นับถือ ทั้งเอง เเล้วก็พี่เหยาจริงๆ
คนนึงรัก เเบบไม่คิดชีวิต ยอมเจ็บ ซ้ำๆ  เรื่องเดิมๆ  รู้ว่าจะเป็นไงก็ยังทำ 
อีกคนก็ พอกันเลย ไม่รู้ใจตัวเอง เอาความรักไปผูกกับความเเค้น  เเละก็เจ็บกันทุกคน  ไม่ยอมทำให้จบๆกัน  กว่าจะเลือกจบได้   เเทบกระอักเลือด  กันทั้ง3คน   

ตอนเเรกรู้สึกขัดใจกับเองมากๆ  รู้ทั้งรู้ว่าเค้าไม่เห็นค่า ก็ยังจะทำตัวไร้ค่าอีก  คิดว่าถ้าเอกยอมออกมาเร็วกว่านี้ เหยาอาจจะรู้ใจตัวเองมากขึ้น เพราะทุกทีที่เองถอยห่างออกมา  เหยาก็จะรู้สึกตัวว่ากำลังจะสูญเสีย  เเล้วก็จะเป็นฝ่ายตามหาเอกซะเอง  เเต่ก็ดีที่สุดท้ายความรัก ด้วยความอดทนของเอกก็สมหวังซะที

ส่วยเหยาให้ทั้งความรุ้สึกน่าสงสาร เเละ น่าโมโหไปพร้อมๆกัน  กว่าจะรู้ใจตัวเอง ก็ต้องเกือบเสียมันไป  ก็ต้องเจ็บมันทุกคน  เฮ้ออออ 

ดีใจที่จบเเบบนี้........
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: sonchild53 ที่ 23-02-2011 20:03:31
ชอบครับ ชอบ 
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: VINQ ที่ 07-03-2011 20:14:12
กรี๊ดดดดดดดดดด. จบภายในวันเดียว!
เรื่องนี้บีบหัวใจอย่างแรงเลยค่ะ ยอมรับด้วยอีกคนค่ะว่าหนักจริงๆ
อ่านไปก็ปวดใจไป สงสารทั้งนายเอก พระเอก
ตอนแรกๆที่อ่านนี่เดาไปต่างๆนาๆกับตอนจบ
จะคู่กันไหม? จะจากกันหรือป่าว? ทั้งคู่แบบจะตายไหม?
คลั่งมากกกก คิดไปหมด 55555
แต่ตอนจบแบบแฮ็ปปี้ เอนดิ้ง ตอนพิเศษก็น่ารักสุดๆ

ชอบมากๆเลยนะเรื่องนี้ คนเขียนสุดยอดจริงๆค่ะ
อยากจะลุกขึ้นตรบมือให้ดังๆเลย 55

แล้วกขอบคุณคุณโพสด้วยนะคะที่นำเรื่องดีๆมาแบ่งปันกันค่ะ ;))
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: EverGreen™ ที่ 14-03-2011 18:23:05
ตอนแรกว่าจะอ่านเรื่องนี้ตั้งนานแล้วครับ

แต่ได้ยินกิตติศัพท์ว่าบ้างเหมือนกัน

เลย..  ทำใจก่อนดีกว่า

จนสุดท้าย ผ่านไปหลายปี .. ก็ตัดสินใจกดเข้ามาดูเรื่องนี้อีกครั้ง

เพราะคิดว่า ..ใจแข็งพอแล้ว เรื่องนี้คงทำอะไรผมไม่ได้มาก

แต่ผมก็ได้รู้ว่า .. ไม่เลยครับ .. ผมใจไม่แข็งอย่างที่คิด

เรื่องนี้.. ทำให้ผมรู้สึก.. มากกว่าที่ผมคิด

ผมพูดได้เต็มปากว่า .. ผมไม่เคยเสียน้ำตาให้นิยายเรื่องนี้ 


แต่.. ไอ้ความรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก ปวดใจอย่างบอกไม่ถูกนี่

ผมว่า ..บางที ถ้าผมร้องไห้ออกมาเลย  คงจะรู้สึกดีกว่านี้มั้ย


น้ำตามันไม่ไหลออกมา  ..แต่มันรู้สึกแย่มากๆเลยล่ะ

ผมว่าตอนอ่านพี่ตะวัน ผมก็ว่าแย่สุดๆแล้ว

แต่เรื่องนี้ .. คนละเรื่องกันเลยครับ

จะร้องไห้ก็ไม่ร้อง จะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก

เฮ้ออออออออ


แต่พอตอนพิเศษ  ..น่ารักจนต้องอ่านซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้น เผื่อมันจะช่วยบรรเทาไอ้อาการอึดอัดแทบบ้านั่นให้หายไปได้


แล้วมันก็ได้ผล  อ่านไปก็ยิ้มไป  มีความสุขดีเหมือนกัน



เรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องที่ผมสาบานกับตัวเองว่าจะไม่รีรีดเด็ดขาดครับ!!!!


เหนื่อยจริงๆนะ กว่าจะอ่านให้จบเนี่ย  เหอะๆ


แต่ก็..รักเรื่องนี้ครับ!! <3


 
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: tray ที่ 20-03-2011 02:31:49
ต้องขอนับถือทุกๆคนที่กล้าอ่านเรื่องนี้จนจบจริงๆนะค่ะ
เพราะตอนนี้เรายังไม่กล้าที่จะอ่านตอนจบของเรื่องเลยจริงๆ
หลังจากไปเจอเรื่อง "อาหรับอาตรี" ที่คุณภัคD
แต่งแล้วออกอาการShockสิ้นสติไปเกือบสิบนาที
บรรยายไม่ถูกกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นเลยทำให้ต้องมาหา
ที่พักใจสักนิดแล้วจะเริ่มเข้าไปใกล้ชิดกับเรื่อง
"หรือจะเป็นแค่ความทรงจำ"

สารภาพจริงๆว่าคุณภัคDมีพรสวรรคในการเขียน
นิยายจริงๆตัวละครทุกตัวที่ได้สัมผัสมา
เป็นเหมือนดั่งตัวบุคคลจริงๆที่ออกมาเดินเหิน
เชยชมความงามของโลก

คิดดูแล้วถ้าตัวละครแล้วนี้ออกมาโลดเล่นบนโลกของความจริง
เราก็คงต้องขอบคุณ คุณภัคD ที่ทำให้เราได้รับรู้
ถึงเรื่องราวที่....อธิบายไม่ถูก คงต้องใช้คำว่า
"จะอยู่ในใจตลอดไป" คงน่าจะพอแทนได้บ้าง

ทราบซึ้งกับความรักที่มีทั้งสมบูรณ์และไม่สมบูรณ์
ทราบซึ้งกับความรักที่ไม่สามารถมาสิ่งใดมาแทนที่

ขอบคุณจริงๆค่ะ

ปล.ไปอ่านตอนจบก่อนละค่ะ แล้วหลังจากนี้คงจะตาค้าง
เพราะนอนไม่หลับไปอีกคืนแต่ก็สุขใจ(งงตัวเองจริงๆ)
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: skynotebook ที่ 22-03-2011 08:45:00
และแล้วก็อ่านจบจนได้ซะที

อยากจะบอกว่าหลายครั้งที่อยากจะเลิกอ่าน
ไม่ใช่เนื้อเรื่องหรือสำนวนการเขียนไม่น่าสนใจนะค่ะ
แต่ที่อยากจะทำอย่างนั้นเพราะว่าอินท์ในตัวละครมากๆ
สงสารพี่เหยามาก สงสารเอก สงสารเพื่อนเอกทุกคน
ไม่อยากจะรับรู้เลยว่าแต่ละคนจะเป็นอย่างไร
เพราะนั้งร้องไห้เกือบทั้งเรื่องก็ว่าได้
เดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะ แล้วก็กลับมาร้องไห้อีกรอบ
เอาเป็นว่าเสียน้ำตาไปเป็นปี๊บ ตาบวมไป2วันเต็ม
ลุ้นว่าเมื่อไรเรื่องจะทั้งพี่เหยาและเอกจะรักกันไดทักที
เมื่อไรทอมจะออกไปจากชีวิตพี่เหยา
เคยคิดว่าทำไมไม่ให้ทอมตายไปซะ พี่เหยาจะได้กลับมาอยู่กับเอก
แต่ก็ต้องกลับมาคิดใหม่ว่าถ้าไม่มีทอม แล้วพี่เหยากับเอกจะได้คืนดีกันไหม?
ยิ่งอ่านยิ่งต้องคิดตาม บ้างครั้งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวละครเหล่านั้นต้องทำแบบนั้นแบบนี้
คิดจนเครียดในบางครั้ง และก็ยังคงมีคำถามอยู่ในใจเรื่อยๆ
จนตอนนี้ก็ยังรู้สึกแบบนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้ก็เหมือนเบาใจที่อะไรต่อมิอะไรดีขึ้นแบบนี้
ชอบมากๆเลยนะค่ะเนี่ย

ขอบคุณคุณภัคDที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่าน
ขอบคุณคุณทิพย์ที่นำมาโพสเพื่อแบ่งปันให้ได้อ่าน o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: kungfoopungpon ที่ 27-03-2011 17:33:32
อ่านเรื่องนี้แล้วกดบีบรัดหัวใจมากๆเลยอะตอนเเรกว่าจะอ่านไม่จบละ
แต่เสียดายไม่อยากทิ้งเลยกลับมาอ่านต่อ(แอบอ่านความคิดเห็นของคนท้ายๆเรื่องนะคริคริ)
เห็นว่าตอนจบไม่เศร้าเลยมาอ่านต่อแต่แอบเซ็งโครตทำไมถึงเหยาต้องทำถึงเพียงนี้เฮอๆ(อินจัด)

แต่งได้ดีมากครับอ่านแล้วอินดีนะที่ตอนพิเศษมีหวานแหววกันหน่อย
เลยลดความเจ็บในใจคนอ่านอย่างผมได้เยาะทีเดียว
แต่กลับไปคิดถึงตอนที่ไอ้ฝรั่งลุมเข้ามาทำอะไรกับเหยาไว้บ่างแล้ว
เอกก็อยู่ไต้เตียงด้วยทีไรเจ็บทุกทีเลย(เป็นเอามากถึงมากที่สุด)

ขอบคุณคนแต่งคนโพสมากครับที่เอานิยายดีๆมาให้อ่าน
                                                               เยี่ยม o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Oberon ที่ 29-03-2011 18:46:46
อ่านแล้ว บอกตรงๆ ว่าแอบน้ำตาซึม มีหลายตอนที่ยอมรับว่ามันสะเทือนอารมณ์มาก เหมือนมีอีกมิติ ที่เมื่อเราหลงเข้าไปในอารมณ์ของทั้งสามตัวละครแล้วยากที่จะฉุดอารมณ์เหล่านั้นให้กลับคืนมาเป็นตัว ของเราเอง โดยเฉพาะจื่อเหยา
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: หลงไหลในม่านหมอก ที่ 31-03-2011 15:35:47
ที่จริงเคยอ่านเรื่องนี้แล้วไม่กี่ตอน เมื่อช่วงเข้ามาเป็นสมาชิกเล้าเป็ดแรกๆ

แล้วไล่อ่านจากนิยายที่จบแล้ว เลือกอ่านเฉพาะชื่อเรื่องที่ตัวเองสนใจ

คล้ายๆรีบนๆโน้นนน ที่อ่านแล้วแบบ เครียด จะว่าเครียดก็คงไม่ใช่

ถ้าสรรหาอีกคำพูดน่าจะเป็นรับไม่ได้มากกว่า  เลยเลิกอ่านไป ณ ตอนนั้น

แต่มีเพื่อนที่บอกว่า ชอบอ่านนิยายแนวเดียวกับที่เราแนะนำทุกเรื่อง  รสนิยมในการเสพคล้ายกัน

เลยทำใจกลับมาอ่านอีกรอบ เพื่อที่จะได้แนะนำเพื่อนอย่างเต็มปากเต็มคำว่า  เรื่องนี้ สุดๆจริงๆ

ตัวละครแต่ละตัว มันดูมีชีวิตจริงๆ 

ความคิดของแต่ละตัวละคร นี่มัน คนๆนึงจริงๆ

บีบคั้นอารมณ์ที่แบบ อารมณ์อึดอัด กดดัน สับสน ใช่เลย มันมากมายในนิยายเรื่องนี้ที่สุด

กลั้นใจไม่คลิกดูตอนจบเพราะกลัวจะรู้ว่ามันไม่สมหวัง

และจากเมื่อคืนที่กลับมาอ่านอีกครั้ง บอกตัวเองว่าต้องเอาให้จบ

จนถึงเวลานี้  เป็นเวลาที่ตอบกระทู้นิยายได้ยาวที่สุดตั้งแต่อ่านนิยายมา 

รู้สึกเต็มอิ่มและชื่นชมตัวเองจริงๆที่ไม่เปิดอ่านตอนจบซะก่อน 55

ที่กล่าวมาทั้งกดดัน ทั้งเครียดอะไรเนี่ย คือชื่นชมนิยายเรื่องนี้นะคะ

เขียนออกมาได้ลึกซึ้งเข้าถึงตัวละคร และคนอ่านสัมผัสได้เยี่ยมจริงๆ



ขอบคุณคุณภัคD  :pig4:ที่เขียนเรื่องได้น่าจดจำ  และเรื่องนี้จะอยู่ในใจตลอดไปค่ะ



ขอบคุณคนโพสด้วยนะคะ :pig4:



สุดท้าย...สาบานว่านี่คือเรื่องแต่ง!!  อินจัดอย่างแรง :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Bong ที่ 04-04-2011 10:54:08
เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้..อยากบอกว่าดราม่ามากๆ..
แต่ก็สนุกสุดๆ..ขอบคุณมากคะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: tender ที่ 08-04-2011 14:09:22
ไม่มีอีกแล้วนิยายที่ดีขนาดนี้!!!!!! o13
   อ่านไปร้องไห้ไป ขอบคุณมากค้า สุดยอดจริงๆ :m15:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: howru ที่ 10-04-2011 02:30:45
เริ่มมาก็เฉยๆและเผลอคิดว่าคงออกแนวดราม่าเบาๆ แต่พอได้มาอ่านประมาณกลางๆเรื่อง..บีบหัวใจอิชั้นสุดๆ น้ำตาซึมบ้าง แถมยังอึดอัด ทำไม ทำไม ไม่ตัดสินใจสักที นึกพาลตัวละคร555+
ยังคิดเผื่อใจไว้ว่า ตอนจบคงเศร้าแน่ๆ แต่ก็กลับมามีความสุขได้
ในแง่ภาษาเรื่องนี้ถือว่าดีทีเดียว ประโยคเลิศๆก็เยอะอยู่ แต่มีบ้างที่ใช้คำหรือความเดิมซ้ำ..ให้อภัยได้ อิอิ
นิยายเรื่องนี้ถือว่า สุดยอดในบรรดาที่เคยอ่านมาจริงๆละ
ขอบคุณทั้งคนโพสต์+คนแต่งด้วยนะจ๊ะ
ปล. คนที่เจ็บปวดมากที่สุดในเรื่องนี้ คือ คนอ่าน ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: u-only-one ที่ 13-04-2011 18:20:18
 :L2:
เพิ่งอ่านเรื่องนี้จบเมื่อเทียงของวันนี้เอง ทั้งๆที่เริ่มอ่านเมื่อวานนี้
เป็นเรื่องราวที่อ่านแล้วไม่อาจจะหยุดได้ ถึงจะไม่ได้นอนทั้งคืนแต่ก็ยังคงอ่านให้จบจนได้
...
เป็นเรื่องราวที่อาจจะดูแรง แต่จริงๆแล้วตัวละครทุกตัวมีบทบาท ความโดดเด่นมาก
ตัวเอกของเรื่องสามคน... จี๋เหยา...เอก  และ ทอม ทุกคนมีทั้งความ รัก โลภ โกรธ หลง
ทุกคนทีทั้งเป็นผู้ถูกกระทำ และเป็นผู้กระทำให้แต่ละฝ่ายเจ็บปวดได้
การแสดงออกถึงความรัก ความแค้น ความศรัทธา ความเชื่อใจ แม้กระทั่ง ความสับสน
ในตัวเอกทุกตัวมีอยู่ในตัวเองทั้งหมด..
.. ส่วนต้วประกอบซึ่งเป็นเพื่อนๆ ก็เป็นตัวเสริมให้เรื่องดำเนินไปอย่างเข้มข้น
... ครอบครัว เป็นชนวนให้เกิดเรื่องราวที่แต่ละคนต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้า คายไม่ออก
แต่ถึงอย่างนั้น ไม่มีใครผิด และ ไม่มีใครถูก ร้อยเปอร์เซ็น แต่เป็นเพราะทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้แล้วจากเบื้องบน
และแม้ว่าจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน เมื่อรักแล้ืวก็ไม่ยอมปล่อยไป ทำให้รู้ว่า...
ความรักในเรื่องนี้ มีทั้งเสียสละ ทั้งต้องได้ครอบครอง ถ้าวันนั้นทั้งเหยา และ เอกปล่อยมือกัน ก็คงไม่ได้อยู่ด้วยกันถึงวันนี้
..
...เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประทับใจมากอีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ และคงจะเป็นอีกเรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำ
ขอบคุณเจ้าของเรื่องที่แ่ต่งเรื่องดีๆมา ขอบคุณคนโพ้สที่นำเรื่องน่าประทับใจนี้มาให้ได้อ่าน
ขอบคุณค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ๛゙★βra_11!☆゙ ที่ 18-04-2011 18:11:34
อ่านแล้วว  o22 :monkeysad: :o8:
ไม่รู้จะบอกว่าอ่านจบได้รึเปล่า แบบอ่านข้ามไปข้ามมา
มันเครียดจนไม่ไหวจะเคลียร์  :o12:
เรื่องนี้สอนอะไรหลายๆอย่างนะ ถึงจะมาในมุมแปลกๆที่ไม่ค่อยได้เห็น
ดีใจที่จบแบบมีความสุขมากกกก จริงๆ !
ขอบคุณคนแต่งกับคนโพสมากที่ทำให้ได้อ่านเรื่องราวดีๆแบบนี้  :L2:
จะเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ  o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 01-05-2011 23:54:07
โอ่ย จบแล้ว  o22 o22 o22 o22 o22

เรื่องนี้สะเทือนอารมณ์ถึงขีดสุดครับ อ่านได้ 3 หน้าแล้วอยากจะปิด ๆ ไป

แต่ทำไม่ได้ครับมันค้างคาและเครียดอย่างแรง ได้อ่าน ๆ หลาย ๆ รีหลาย

เห็นด้วยที่บอกว่าเรื่องนี้เป็นนิยายที่มีชีวิตครับ เมื่อจับต้องแล้ว เราจะหลุดไปอีกโลกนึง

คนแต่งเก่งสุดยอด บรรยายทุกอย่างได้สวยงามและเห็นภาพชัดเจนสุด ๆ

เรื่องนี้ทำผมเครียดมากจริง ๆ ครับ หลายครั้งรู้สึกเหมือนตัวละครคือถูกมีดกรีดเนื้อ

หลายครั้งที่อ่านแค่สามบรรทัดแล้วต้องออกไปสงบสติอารมณ์ เรื่องนี้เนื้อเรื่องหนักมากครับ

ผมดีใจมากนะครับที่อ่านมาถึงตอนจบแล้วแฮปปี้  :เฮ้อ: เหมือนยกภูเขาออกจากอก

ตอนนี้หัวยัง ตึ๊บ ตึ๊บ ตึ๊บ อยู่เลย แต่มันก็มาพร้อมรอยยิ้มแล้วแหล่ะครับ

อ่อ แล้วเรื่องนี้นะ ทำผมหน้าแก่ลงหลายปีทีเดียว   :z3: :z3: :z3:

สุดท้าย อินจัดถึงแม้รู้ว่ามันไม่มีตัวตนแต่ :m31: ไอ้ทอม ไอ้................

ผมไม่กล้าจะใช้ถ่ยคำรุนแรงเพราะนั่งด่าตอนอ่านไปมากมาย

เกลียดมัน รับไม่ได้ ไอ้ตัวทุเรศ  :angry2: น่ารังเกียจ ไม่น่าให้อภัย ชั่ว เลว

บอกได้เลยว่าถ้านิยายเรื่องนี้ถูกนำมาสร้างเป็นหนัง ผมว่าผมคงหาซื้อทุเรียนแล้ว

เอาไปขว้างปาคนที่ได้รับบทนี้ อยากขุดคำด่าที่เลวร้ายที่สุดมาด่าตัวละครตัวนี้มาก
 


:เฮ้อ: พล่ามไปเยอะ พอสักที  :pig4: ทั้งคุณภักD และพี่ทิพย์นะครับ ที่แต่งและนำเรื่องดี ๆ นี้มาแบ่งปัน

ผมคงทำอะไรไม่ได้มากนอกจาก  :pig4: และกดบวกครับ  :L2:



หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: nco1236 ที่ 02-05-2011 21:59:59
เศร้าเกิ๊นนนนนน
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Maprang_W ที่ 12-05-2011 16:09:52
ดีมากเลย  อ่านแล้วมันไม่ให้ความรู้สึกว่า ดีที่สุด  หรือเลวที่สุด  ทุกคนต่างก็ดีเลวปนๆกันไป  เหมือนกับเอกที่ทั้งดีและเลวร้าย  เหยา  เราไม่เข้าใจว่าเหตุผลจริงๆคืออะไร  แต่ถึงจะเพราะถูกมอมหรือบุญคุณของทอม  แต่มันก็ทำให้อินมาก อ่านแล้วได้ความรู้สึกลุ้นตลอด  มีความหวังเหมือนเอกตลอดว่ามันจะต้องดีขึ้น  แต่ก็รู้สึกเหมือนเอกว่า  แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะดีแบบนี้ต่อไป หวังอยู่ตลอดว่ามันต้องดีขึ้น  แม้ไม่รู้จริงๆว่ามันจะจบแบบไหน   เทียบกับตะวันฉายแล้ว เรื่องนี้จบดีกว่าเยอะ  แต่ความหนักแล้ว เรื่องนี้หนักกว่า  ถ้าเรื่องภาษายกให้ตะวันฉาย  อันนี้ก็ดีนะ  แต่การเขียนอุปมาอุปไมของตะวันฉายมันเพราะกว่า  ชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: nco1236 ที่ 13-05-2011 08:17:38
 :o12:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: aprilmonth4 ที่ 26-05-2011 14:40:22
ตอนอ่านเรื่องนี้เราเครียดมากเลย  มันอึดอัดไปหมด
สงสารพี่เหยา แต่ไปๆมาๆก็ไม่เข้าใจในตัวพี่เหยาเหมือนกัน
ตัวละครทุกตัวมีมิติมาก   ราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึนจริงๆ
ตอนที่เอกมาที่กรุงเทพแล้วถูกเมิน  จนคิดว่าบางทีเรื่องของคนทั้งสองต้องจบลงทั้งอย่างนี้ตามคำโปรยแรกเริ่มแล้ว  มันปวดใจจริงๆค่ะ   :m15:
แต่ชอบตอนจบ   ดุมีความหวังดีค่ะ  แม้จะลืมสิ่งที่ผ่านมาไม่ได้  แต่ก็สามารถเริ่มต้นสิ่งดีๆ ใหม่ได้เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: luvkeyzomuchz ที่ 04-06-2011 01:00:08
บอกได้คำเดียวว่า  สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด :call:


เป็นนิยายในเล้าที่อ่านแล้ว  ปวดใจทั้งเรื่อง


แล้วตอนพีคของเรื่องนี่(ตอนที่เอกบอกว่ารัก)


น้ำตาไหลเอ่อออกมาเรื่อยๆ  ไม่หยุดเลย


ฮ่าๆๆ


ขอขอบคุณ  ไรเตอร์  และ  คนอัพด้วยนะคะ


ที่สร้างสรรค์นิยายดีๆแบบนี้มาให้เราได้อ่าน

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: prim--prim ที่ 11-06-2011 11:41:08
จบแล้ววววววววววว อ่านจบสักที ฮ่าๆ
เป็นเรื่องที่ดีมากๆเลยค่ะ

แต่บางตอน บางเหตุการณ์ก็บีบคั้นหัวใจเกินไป
สงสารพี่เหยาตลอดทุกครั้ง หมั่นไส้เอกทุกครั้ง แล้วก็เกลียดทอมทุกครั้ง

กว่าจะอ่านจบก็ทำใจอยู่นานเลย

ยิ่งเจอตอนไหนเครียดๆ เศร้าๆ ทำเอาไม่กล้าอ่านต่อ
วันที่มาอ่านครั้งแรก อ่านไปได้สองหน้า ก่อนนอนนี่ปวดหัวเลย คิดนู่น คิดนี่ตามไปเรื่อยเปื่อย

เป็นนิยายที่ สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด มากๆเลยค่ะ


ขอบคุณ คุณTHIP ที่ทำให้ได้รู้จัก คุณภัคD
ได้อ่านนิยายคุณภัคD

ขอบคุณคุณภัคD สำหรับเรื่องดีๆแบบนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 11-06-2011 19:58:10
กลับมาอ่านอีกที ก็ยังอาการเดิมเหมือนอ่านครั้งแรกๆไม่ผิด
อ่านได้นิด ก็ต้องปิดไปทำใจ เปิดมาอ่านอีก ก็ต้องพักไปคลายเครียด

โอ้ว...ช่างเป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดไม่อยากอ่านต่อ  แต่ถ้าไม่อ่านต่อก็พาลจะลงแดง
เลยกลั้นใจอ่านๆให้จบในคราวเดียว

สุดท้ายแทบตายเพราะอกจะระเบิด

เครียดๆๆๆๆ เศร้่าๆๆๆๆๆ เหงาๆๆๆๆ แต่รู้สึกดีที่ได้อ่าน

จะมีสักกี่เรื่องที่ทำให้คนอ่านเป็นบ้า เป็นหลังได้ขนาดนี้

ขอนับถือในฝีมือการแต่งของคุณภัคD มากๆ คุณจะรู้ไหม

คุณทำให้เราแทบจะถูกที่บ้านจับไปส่งศรีธัญญา เพราะอ่านไปแล้วแทบเป็นบ้า

นั่งร้องไห้ นั่งยิ้มหน้าคอมพ์ได้ในคราวเดียวกัน

ขอบคุณนะค่ะ  รักเรือ่งนี้มากจริงๆค่ะ


 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: chalermchai ที่ 11-06-2011 20:33:58
น่าประทับใจมากครับ

 :laugh:
  ชอบมากๆ โดยเฉพาะตอนแรก ๆ ที่เป็นพี่คนข้างบ้าน
  หลังๆมา อินนจัด ซีเรียสมากเลยอะ  แต่จบแล้วประทับใจครับ
 
  ขอบคุณนักเขียน  และคุณทิพย์ด้วยครับ  สรรหามาฝากอีกนะครับ
 
 
 
 
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: chiwat ที่ 13-06-2011 15:08:56
เป็นอีกเรื่องที่ยังคงกินใจอยู่เหมือนเดิม

เหมือนจะเศร้าก็ไม่ใช่ จะตื่นเต้นก็มีฉากๆ(555)

เน้นอารมณ์  ดีครับอ่านแล้วสลดใจดีนายเอกมีผู้ใหญ่ที่เคารพแล้วทำกับเค้าได้อย่างนี้

เข้าใจนะทำไมเค้าถึงยอมตลอดไม่ขัดขืน  ทำใจได้ยาก  ปวดใจปวดกายเกิ๊น

นายเอกเรานี่ก็แรกๆไม่ไหว หลังๆปลื้มๆ ฮ่าๆๆๆ

ขอบคุณคุณภัคD และคุณ THIP ที่ได้นำนิยายดีๆมาให้อ่านกัน(อ่านทั้งคืนมึนกันเลยทีเดียว ไม่ยอมกินข้าวกินปลาเลยฮ่าๆ)
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: nove ที่ 17-06-2011 10:10:44
เรื่องนี้บีบคั้น เเละ กดดันมากเลยค่ะ เเต่พอตอนจบก็มีความสุข ดีใจจริงๆ ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Yr_Follower ที่ 17-06-2011 14:03:22
สุดยอดจริงๆครับ

เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอินมาก

เครียดมาก อินสุดๆ

ภาษาสละสลวย ละเมียดละไม ละเอียดซับซ้อน จนยากที่จะเชื่อว่ามันเป็นจินตนาการ

ขอบคุณนะครับ ทั้งนักเขียน และ นักโพส
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: DasHimmel ที่ 23-06-2011 00:58:32
สุดยอดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  o13
ไม่รู้จะหาคำไหนมาพูดได้อีก~
เป็นอะไรที่ให้ข้อคิด สอนอะไรหลายๆอย่าง
ทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะ ทั้งน้ำตา ครบทุกอารมณ์จริงๆ
ทุกๆฉาก ทุกๆตอนถ่ายทอดออกมาทางตัวหนังสือก็จริงแต่สื่อความได้ดีมากๆ
อยากบอกคุณภัคD ว่าขอบคุณมากๆๆๆนะค๊าที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมาให้อ่านกัน :)
ได้อะไรเยอะแยะไปหมด ทำให้ได้เห็น ได้เข้าใจว่าโลกความเป็นจริงมันเป็นยังไง
ไม่ได้สวยหรูอะไรอย่างที่ทุกคนฝัน สอนให้เห็นถึงความรักที่ผ่านอะไรๆมากมายกว่าจะมีวันนี้
ซึ้งมากกับความรักของพี่เหยากะเอก >///<~
ทุกคน ทุกอย่างไม่มีอะไรที่เพอร์เฟ็ค100%
ตอนแรกอ่านไปคิดว่าจะไม่แฮปปี้ซะแล้ว แต่อยากบอกว่าดีใจมากๆๆๆๆๆที่จบแบบนี้
ไม่อยากให้ทุกคนในเรื่องเจ็บไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ปกตินิยายแนวนี้อ่านไม่ค่อยจะจบ 555+
บีบใจมากมาย!!~ แต่เรื่องนี้สุดยอดมากจริงๆ
ยังไงก็ขออวยพรให้พี่เหยากะเอกรักกันตลอดไป ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข สามารถผ่านทุกปัญหาไปด้วยกันได้(ถ้าไม่มีเรื่องไม่ดีเข้ามาในชีวิตสองคนนี้จะดีมาก ที่ผ่านก็เกินพอแล้ว)
แล้วก็ ขอให้คุณภัคD สร้างสรรค์ผลงานมาให้อ่านกันอีกนะค๊า ขอบคุณมากมายค่ะ สู้สู้ เป็นกำลังใจให้ค่า :)
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: prim--prim ที่ 24-06-2011 21:43:48
วันนี้ย้อนกลับมาอ่านอีกครั้ง ถึงทำให้รู้ว่าพลาดดดด
พลาดไปหนึ่งตอนพิเศษ

โธ่ เพราะเห็นคำว่าจบเลยไม่ได้กดไปหน้าอื่นๆต่อ
พอวันนี้อ่านจากด้านหลังก่อน (คือกะจะอ่านเฉพาะช่วงที่ได้มารัก มาคบกันแล้ว)

ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าพลาดดดดด
แต่ก็ยังดีที่ได้อ่าน 55555 ถึงจะช้าก็ตาม

ตอนกินเจเป็นอะไรที่น่ารักมากกกก อรั๊ยยยย ชอบๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: climax-gay ที่ 25-06-2011 15:55:54
เฮ้อ ชื่อเรื่องแป๊กเลย เศร้าแล้ว~
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: tender ที่ 16-07-2011 15:44:06
อ่านกี่ครั้ง ก็เรียกน้ำตาได้ทุกครั้งจริงๆ :sad4: o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: theblink ที่ 16-07-2011 18:12:44
อยากได้รวมเล่มจัง   :sad4:
เขามีขายรึเปล่าคะ   ต้องการอย่างมาก 
ตรงๆนะ ไม่เคยอ่านนิยายที่ไหนอึดอัด + ร้องไห้ก็ไม่ออกเท่ากับนิยายที่คุณ ภัคD เขียนอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Tua_Ddream ที่ 19-07-2011 00:47:35
สุดยอดมากๆ ทั้งที่คิดว่าจะไม่อ่านให้จบในวันเดียว แต่สุดท้าย...ก็ทำไปแล้ว
เป็นเรื่องที่มีความสวยงามภายในตัว ขอบคุณที่นำเรื่องราวดีๆมาให้อ่าน
เป็นเรื่องที่ให้ข้อคิดหลายๆอย่างได้ดีมาก แถมสื่อให้เห็นถึงคำว่า..."ชีวิต"

บีบหัวใจมากจริงๆเรื่องนี้
ขอบคุณคนแต่งไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: mickychunchon ที่ 19-07-2011 16:19:16
อยากจะบอกว่าเป็นเรื่องที่ชอบที่สุดเ่าที่เคยอ่านมา ขอขอบคุณ คุณภัคดีจริงๆนะคะ รอติดตามผลงานที่ค้างอยู่ค่ะเรื่อง ในที่สุดก็คือรัก  กรุณาช่วยเหลือเด็กน้อยผู้หิวโหยด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ninenonkung ที่ 19-07-2011 21:29:48
 :sad11:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 04-08-2011 18:00:10
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ค่ะ อ่านแล้วมีหลากหลายอารมณ์มากกกกกกกกก กดดันสุดๆๆๆๆ คุณภัคD สุดยอดมากๆเลยค่ะ  :sad4:   :sad4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: minamina ที่ 14-08-2011 13:43:50
 :z3: ฮืออออ เราอยากได้เรื่องนี้มากเลย อยากเก็บไว้บูชามาก เป็นเรื่องที่สุดยอดอ่านแล้วมันเข้าถึงหัวใจเรามากเลยค่ะ TT

พี่ไม่มีเหลือไว้สักชุดเลยหรอคะ อยากได้มากๆๆๆๆ

ใครมีสนใจขายต่อเราได้นะคะ ฮืออออ

แบบรักเรื่องนี้สุดๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ  :o12:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: O[]OVampire ที่ 17-08-2011 01:30:49
ความรู้สึกของคนนี่มันละเอียดอ่อนซับซ้อนจริง แต่ก็พอเข้าใจสิ้งที่เหยาทำ
สิ่งที่ทำได้ในตอนนั้นก็คือใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือสร้างความเจ็บปวดให้กับอีกคน
และความรู้สึกของเอก มันทำให้รู้สึกอึดอัด สับสน เหมือนจะคิดได้แต่สุดท้าย
ก็ปล่อยให้ความเกลยีดชังเข้าครอบงำทุกที แต่ในที่สุดทุกการกระทำที่ขาดๆเกินๆ
ก็หยุดลงและเริ่มเดินใหม่ซะที ครบรสจริงๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: w[o]w ที่ 22-08-2011 03:22:23
เป็นหนึ่งในเรื่องที่ดีที่สุดตั้งแต่อ่านมา ให้หลายความรู้สึก อ่านครั้งแรกจำได้ว่ามันเครียดมาก บีบหัวใจ ร้องไห้ด้วย นอยด์ไปเลยช่วงนั้น แต่ก็อ่านจนจบ แล้วรู้สึกชอบมาก หลายครั้งที่กลับมาอ่านอีก เหมือนหนังที่อยู่ในใจดูกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ มีแต่จะซึมซับความรู้สึกของตัวละครได้ดีขึ้นยิ่งอินมากขึ้น นับถือคุณภักDมากๆ สุดยอดจริงๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: pad_dfg ที่ 05-09-2011 15:53:57
แปะไว้ก่อน เดี๋ยวมาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: nongli ที่ 11-11-2011 15:29:46
เรื่องนี้ปวดใจมากครับ สนุกมากด้วย

อ่านมานานแล้ว แต่พึ่งสมัครสมาชิกวันนี้

เลยแวะมาเมนต์ซะหน่อย ฮ่าๆๆๆ

อยากบอกว่านิยายเรื่องนี้สุดยอดมากๆครับพ้ม  o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ISee ที่ 17-11-2011 10:52:06
อ่านคอมเม้นของแต่ละคนแล้ว ทำให้ทั้งกลัวและอยากจะอ่านเรื่องนี้ไปพร้อมๆ กัน
ขอไปทำใจก่อนค่ะ คาดว่าจะอ่านวันหยุดนี้แหละคะ กลัวว่าเด๋วตาปูดแล้วจะไปทำงานไม่ได้
อ่านจบแล้วจะกลับมาอีกทีค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: loverken ที่ 18-11-2011 21:48:52
 :laugh:

บรรยายเรื่องดีมากกกกก :really2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy ที่ 12-12-2011 20:41:26
เป็นงานเขียนเรื่องแรกที่ได้อ่าน .. อ่านแล้วหยุดไม่ได้

ทุกๆคืนจะต้องเข้านอนและหลับตาไปพร้อมกับกิริยาและคำพูดของพี่เหยา ตื่นมาก็รีบรี่มาหาพี่เหยาก่อนสิ่งใด .. เป็นอยู่อย่างนี้จนจบเรื่อง

มันช่างบีบคั้นจิตใจ อ่านแล้วปวดตับหนุบหนับ (แต่ก็ไม่ยอมหยุดอ่าน)

อ่านไปก็ให้อยากเขกกะโหลกไอ้เด็กเอก .. ไอ้เด็กโง่ ทำผิดซ้ำซาก
และก็ตกหลุมรักพี่เหยาสุดหัวใจ ..

พอเริ่มต้นอ่านนิยายเรื่องแรกด้วยเรื่องนี้ ทำให้การจะหาเรื่องต่อไปมาอ่านมันช่างยากยิ่ง เพราะรู้ว่า จะหาอะไรมาเทียบเคียงในระดับนี้คงลำบากซะแล้ว

ขอบคุณมากสำหรับผู้เขียน และผู้ที่นำมาลงให้อ่าน
ขอบคุณอย่างสุดซึ้งจากก้นบึ้งของหัวใจเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 22-12-2011 11:34:49
จะบอกว่าเคยอ่านเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว
แต่บอกตรงๆว่า อ่านได้แค่ หน้า 3 จริงๆ

แต่เมื่อคืนได้ฟังเพลงดราม่าเลยอยากหานิยายดราม่าอ่าน
แล้วก็นึกได้ว่าเรื่องที่ดราม่าจนอ่านต่อไม่ไหวมีเรื่องเดียวจริงๆ คือเรื่องนี้
ทำใจอ่าน ข้ามคืนจนจบ พร้อมน้ำตาที่ไม่มากมายถ้าเทียบกับเรื่องอื่น
แต่มันความเจ็บปวดและความอึดอัด มันมากมายกว่าทุกเรื่องที่เคยอ่านมาจริงๆ

เกลียดเรื่องนี้


ที่ทำให้ความอึดอัดมันจุกไปทั่วอก คือแบบถ้าเป็นนิยายทั่วไปเราก็จะด่า จะว่าคนที่ไม่ดี ได้ไปเลยง่าย
แต่เรื่องนี้ไม่รู้จะเิริ่มด่าใครก่อน ไม่รู้จะเกลียดใคร มันอึนไปหมดเลย

ฝืนใจอ่านจนมาถึงตอนจบรวมถึงตอนพิเศษ
เหมือนดูหนังคนละม้วน เพราะตอนพิเศษมันน่ารักและอบอวนไปด้วยความหวานที่ทำใจแล้วว่า
หาไม่เจอแน่ๆในนิยายเรื่องนี้ แต่มันก็มี!!
แต่ความหวานเหล่านั้นมันจะไม่หวานเท่านี้เลย ถ้ามันไม่ได้แลกมาด้วยความขมที่ปนน้ำตา

คือไม่รู้จะเม้นท์ว่าไรแล้ว
จุกไม่หาย
ขอบคุณมากๆ และนับถือคนแต่งที่สุด ขอกราบด้วยคนเลย
คือแต่งได้แบบ มีมิติความเป็นมนุษย์มากกกกกกกกกกกกกกกกก
ขอบคุณจริงๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Dee15 ที่ 06-01-2012 18:45:49
 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: ให้คนแต่ง กับคนโพส ค่ะ

อ่านไป ก็อึดอัด ไป เศร้าไป เครียดไป ด่าไปทั่ว ( ในใจ)
ตัวละครทุกตัว ช่างประหนึ่งว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ที่เรามองเห็นตามท้องถนน จริงๆค่ะ 
ไม่ได้เศร้าถึงขนาดร้องไห้ แต่เศร้าแบบ แน่นหน้าอก คับหน้าใจ ในการใช้ชิวิต
และความคิดของตัวเอกของเรื่อง นั้นก็คือ เอก กับ เหยา 
ไม่รู้จะบอกอะไร ได้มากไปกว่า ขอบคุณทุกตัวละครในเรื่องนะคะ่
ขอบคุณคนแต่ง และคนโพส ที่นำมาแบ่งปัน ให้ได้อ่าน ขอบคุณจริงๆ  :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Romance ที่ 08-01-2012 12:55:06
พอได้อ่านจนจบแล้ว
ต้องขอบคุณคุณภัคD ที่ได้แต่งเรื่องที่มีคุณค่าให้อ่าน ..  :pig4:
และขอบคุณคุณTHIPที่ได้นำกลับมาโพสอีกครั้งนะคะ .. :pig4:

เรื่องนี้อ่านไปร้องไห้ไปตลอด :monkeysad:
แต่สุดท้าย เรื่องทั้งหมดก็จบด้วยรอยยิ้ม
สมเพชเวทนาจึเหยามาก ชีวิตยิ่งกว่าละคร :เฮ้อ:
แต่ก็ดีใจที่สุดท้ายจึเหยาก็มีความสุขกับเอก

ตอนแรกเกลียดเอกมาก :angry2:
แต่ถึงช่วงที่แสดงออกมาว่ารักจึเหยามากมายเหลือเกิน
ก็อดอมยิ้มไปกับความรักของทั้งสองไม่ได้ :o8:

พอได้อ่านเรื่องของคุณภัคD แล้วติดใจ  :laugh:
ตอนนี้เลยติดตามเรื่องของคุณภัคDอยู่

เป็นแรงใจให้ผู้โพสและผู้แต่งค่ะ  :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: saylmya ที่ 10-01-2012 20:01:15
เรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกๆที่เราอ่านจากเล้าเลยค่ะ

ชอบเรื่องนี้มากๆ จำได้ว่าเสียน้ำตาไปกับเรื่องนี้พอสมควรนะ

แต่ว่าตอนนี้เริ่มลืมๆเนื้อเรื่องไปบางส่วน เดี๋ยวจะต้องหาเวลามาอ่านอีกรอบ

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 29-01-2012 16:23:03
อยู่ดีๆก็คิดถึงเอกกับพี่เหยา :))

จำไม่ได้ว่าเคยทำรวมเล่มไหม แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยากให้ทำจัง
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 29-01-2012 17:22:34
เป็นเรื่องเดียวที่ไม่เคยคิดจะอ่านซ้ำ เพราะไม่อยากเศร้ามาก..ก
เชื่อว่าคงมีหลายคนมีอาการเดียวกัน

แต่แวะเข้ามาดูบ่อยๆ อารมณ์ประมาณไม่ขอเข้าในบ้านขอแค่มองหลังคาก็พอ 555 ไม่รู้จะพูดยังไงดี

เอาเป็นว่าคิดถึงเรื่องนี้มากแต่ไม่ขอเข้าไปอ่านซ้ำ มาเยี่ยมให้หายคิดถึงแล้วก็
มาดันให้คนอื่นๆ ได้อ่านเรื่องดีดีเรื่องนี้ค่ะ 

จะแวะมาเยี่ยมแบบขอมายืนหน้าบ้านบ่อยๆ นะค่ะ  แต่ไม่ต้องเปิดประตูรับนะ
เพราะยังไงก็ไม่กล้าเข้าไปอ่านอีกแล้ว เคยหลงเข้าไปอ่านแล้ว เสียจริตไปหลายอาทิตย์กันเลย กินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน

คิดถึงเรื่องนี้จริงๆค่ะ  ไปแล้วนะ  ไว้ว่างๆจะเข้ามาเยี่ยมที่หน้าบ้านอีก ^^

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Way ที่ 31-01-2012 20:46:53
ใช้เวลา3วันอ่านจนจบ เป็นเรื่องที่บีบหัวใจสุดๆ แต่จบได้สุดๆเหมือนกัน^^ o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: SungMinKRu ที่ 28-02-2012 18:39:49


8 ชั่วโมงเต็มๆสำหรับการอ่านเมื่อวาน สนุกมากๆเลยค่ะ

ตอนแรก ไม่ชอบเอกเลย รู้สึกว่าเอกเป็นคนเห็นแก่ตัว

พอหลังๆก็ชอบนะ เอกดูแลเหยาดี แต่อ่านไปอ่านมา ไม่รู้จะสงสารใครดี

เพราะต่างคนต่างเจ็บกันทั้งคู่

ทำใจอ่านต่อแทบไม่ได้ ต้องมาเปิดหน้าสุดท้ายดูเม้นว่า ending รึเปล่า แต่เพราะจบแบบแฮปปี้เลยยอมอ่านต่อ

รู้สึกหน่วงตับไตไส้พุงมาก สนุกๆสุดๆ อ่านไปอ่านมา เอ๊ะ ! เรื่องเล่าปล่าวว่ะ มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอ่านเรื่องราวของเอกและเหยาโดยผ่านความคิดของเอก

ทั้งๆที่กำลังสอบเรากลับมานั่งอ่านนิยายเรื่องนี้ ยอมรับว่าคุ้มค่าค่ะ ชอบผลงานของคุณภัคD  มากๆๆ ตอนนี้กำลังอ่านอีกเรื่องอยู่

ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆ และขอบคุณคนโฟสมากๆเลยนะค่ะ ที่ทำให้เราได้อ่าน "ยิ่งกว่านิยายเรื่องนี้กัน"  ^^
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 29-02-2012 19:59:37
เ้ข้ามายืนหน้าบ้านอีกแล้ว คิดถึงจังแต่ไม่กล้าเข้าไปหา กลัวเศร้า ^^
เอกกับจีเหยาคงสบายดีนะค่ะ  คิดถึงมากๆค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ldiot ที่ 02-03-2012 18:54:25
โอ้ยย เป็นนิยายแนวที่ไม่ชอบที่สุดอ่ะ!! เพราะมันดราม่าเกิ๊นนน ทำใจไม่ด้ายยย :z3:

แต่ไม่รู้เป็นอะไรอ่านแล้วปิดไม่ลงจริงๆ-..- สำนวนสุดยอดมากก เหมือนเอาเรื่องจริงมาเล่ามากๆค่ะ

อ่านแล้วอยากรู้เลย มันะจบยังไงวะนี่ เหยาก็นะ!! เอกก็อีกคน!! คืออ่านแล้วขัดใจ 55+

นิยายเรื่องนี้สมราคาคุยมากค่ะ -..- ไม่กล้า X จริงๆ อ่านแล้วขนลุกเลย o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ploysure ที่ 09-03-2012 00:41:38
เป็นเรื่องที่เราเจอโดยบังเอิญจริงๆค่ะ เป็นกระทู้ที่แนะนำนิยาย เราก็เลยคลิกเรื่องนี้ดู

ขอบอกว่า ในช่วงแรกของเรื่องเป็นช่วงที่มันอัดอั้นมาก แบบคิดตลอดว่า ทำไมคนนี้ต้องทำแบบนี้ ทำไมไม่ทำแบบนั้น

ยิ่งตอนที่เอกพาพี่โอ๋มานะคะ เราถึงกลับเปลี่ยนไปหน้าเฟสบุ๊ค เราก็ร้องไห้เลยค่ะ สะอื้นเลย ในใจตอนนั้นนึกภาพไปเรื่อยแล้วมันก็บีบหัวใจจนทนไม่ไหว :sad4:

จากนั้นก็อ่านต่อๆมา เราบอกตรงๆเลยค่ะ ว่าเราไม่กล้าอ่านทุกบรรทัด

เราเลื่อนข้ามมาเยอะมาก อันไหนที่มันบีบและเป็นสถานการณ์ตึงเครียด เราจะต่อต้านมันสุดๆ ไม่กล้าที่จะยอมรับความจริง

เป็นเรื่องที่ถือว่าเยี่ยมมากๆค่ะ ไม่เคยเจอนิยายที่ให้ความรู้สึกแบบนี้เลย

คิดเหมือนท่านอื่นๆค่ะ ว่าเป็นนิยายที่ให้ความรู้สึกว่า ตัวละครนี้มีตัวตนอยู่จริง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสถานการณ์ที่สมจริงมาก นิยายในตอนนี้ของปี2555 เป็นนิยายที่เน้นความเพ้อฝันมากกว่า และเราก็อ่านแต่แบบนั้น พอมาอ่านแบบนี้เลยช็อกก!  :a5:

เราเกลียดทอม ทำไมเค้าถึงทำกับคนคนนึงได้ถึงขนาดนี้ ทั้งๆที่เหมือนรัก ทำเหมือนเป็นสิ่งของ แต่ก็มารู้ตอนหลังว่าเค้าต้องไปบำบัดจิต ก็ไปดีละกันค่ะ

เราเกลียดเหยา เค้าเป็นคนที่ซับซ้อนมาก เราอ่านเนื้อเรื่องบางครั้งยังไม่เข้าใจว่าเค้าคิดจะทำอะไรกันแน่ เหมือนขัดแย้งในตัวเองทุกอย่าง ทำอะไรไม่แน่นอน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย อยากรู้ว่าเหยานี่โรคจิตอ่อนๆรึป่าว เค้าเหมือนเสียใจว่าเยอะแถมยังทำไรแบบคลุ้มคลั่งบ่อยๆด้วย

เราเกลียดเอก ที่เอกทำอะไรไม่รู้จักคิด ชอบพูดก่อนคิด แล้วทำให้สถานการณ์มันแย่ลง ชอบทำโดยไม่คิด ไม่คิดถึงผลที่จะตามมาบ้างเลย แต่ตอนหลังเราเห็นใจนะ เป็นคนที่เหมือนจะสิ้นหวังแต่ก็ยังไม่เลิกหวัง รู้ว่าอะไรเป็นไปไม่ได้แต่ก็ยังไม่เลิกหวัง เป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก

ขอชมอีกรอบเลยค่ะสมจริงเหมือนตัวละครมีชีวิต เดินอยู่บนท้องถนน อาจจะเคยเดินสวนกับเรา อาจจะเคยมีโอกาสได้พูดคุยกัน อาจอยู่บ้านข้างๆ อาจเป็นคนรู้จัก อาจเป็นคนที่เราคาดไม่ถึง อาจเป็นคนที่เราเห็นแล้วสะดุดตา

ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ ถึงจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม ต้องบอกเหมือนท่านอื่นค่ะว่าเป็นนิยายที่ดีที่สุดที่เคยอ่านมาเลยก็ว่าได้

ขอบคุณที่ทำให้เราได้รู้จักเอกกับพี่เหยานะคะ ขอบคุณจริงๆ  :pig4:

ปล.ขอบคุณที่ทำให้จบแบบแฮปปี้นะคะ อ่านตั้งแต่ต้นเรื่องไม่คิดเลยค่ะว่าเค้าจะมีโอกาสสมหวัง ก็หวังว่าอุปสรรคมากมายกว่าจะได้รักกันนั้นจะทำให้เอกกับพี่หยารักกันนานๆ มีความสุขมากๆค่า  :L2:

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: evilM ที่ 10-04-2012 19:33:44
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆที่เอามาให้อ่านกันครับ   :sad4:  :o12:  o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: sarawatta ที่ 10-04-2012 20:10:23
เคยมีคนแนะนำให้มาอ่านเรื่องนี้หลายเดือนมาแล้ว ตอนนั้นยังไม่ได้สมัครสมาชิกที่นี่
ก็เลยมาอ่าน อ่านจนจบแบบหยุดไม่ได้ รู้สึกดีใจที่เรื่องมันจบลงด้วยดี
แต่กว่าจะจบก็เล่นเอาบีบคั้นชะมัดเลย แต่ก็ชอบครับ ชอบที่มันบีบคั้นแบบนี้แหละ ซาดิสม์ดี
เป็นนิยายอีกเรื่องที่ผูกเรื่องได้ดีมากครับ ขอชื่นชมคนแต่งจริงๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 18-04-2012 10:06:06
อ่า า  ในที่สุดก็อ่าน(เกือบ)จบ เหลือแค่ตอนพิเศษ แต่อยากมาเม้นต์ให้ก่อน><

อยากบอกว่าชอบเรื่องนี้มากๆๆ><

อ่านเเล้วบาดจิตบาดใจ คุณ ภัคD แต่งได้อารมณ์ของแต่ละคนมากๆอ่านแล้วอินตาม

ชอบมากเลยคะ อยากบอกว่า ชอบคุณ มากๆเลยนะคะ ที่มีอะไรดีๆมาให้อ่านเเบบนี้
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: monokung ที่ 23-04-2012 13:04:58
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ครับ ..คำว่ารัก เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งจริงๆ :sad4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: mickychunchon ที่ 23-04-2012 13:21:53
เรื่องนี้เคยทำเป็นหนังสือออกมาแล้ว และเราก็มีโอกาสได้เป็นเจ้าของด้วย และ้วก็ทำร้ายจิตใจตังเองโดยการอ่านไปแล้วไม่ต่ำกว่า 3 รอบ
เรื่องนี้มันเทั้งสุขและเศร้าปะปนกัน ที่สำคัญทำให้เราเชื่อจริงจังว่าคนที่มีชีวิตอย่างในนิยายเรื่องนี้จะต้องมีอยู่จริง
จนทุกวันนี้ก็ยังเชื่ออยู่อย่างนั้น (ฮ่า ออกแนวอินจัด) บนโลกที่โหดร้ายนี้เรื่องจริงเป็นยิ่งกว่าละคร
อย่างไรก็ตามก็ต้องขอขอบ๕ุณ คุณภัค D มากนะคะที่มีผลงานให้ได้ติดตาม
ซึ่งยังรอติดตามเรื่อง ในที่สุดก็คือรัก ที่เคยได้อ่านที่บอร์ดอื่นแล้วยังไม่จบ แล้วก็ไม่ได้มาต่ออีกเลย
จะรอนะคะ



หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: witchhound ที่ 27-04-2012 11:59:32
นิยายเรื่องนี้ ไม่สิ...ต้องบอกว่าวรรณกรรมเรื่องนี้ยอดเยี่ยมมาก
ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา ภาษา คาแรกเตอร์ตัวละคร
การกระทำของตัวละครที่สื่อออกมาในด้านต่างๆ
ทำให้เรื่องราวดำเนินไปแบบบีบคั้นหัวใจอย่างถึงที่สุดแต่ก็จบลงด้วยดี 
การที่ได้อ่านเรื่องนี้ทำให้เราได้รับอะไรหลายอย่างจริงๆ
จนพูดออกมาได้ไม่หมด ทั้งที่จำนวนตอนไม่กี่ตอน...
ขอขอบคุณนักประพันธ์ที่ได้สรรสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา
ขอขอบคุณท่านจากใจจริง...
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: yayaya112 ที่ 28-04-2012 14:19:11
 o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: loven36p ที่ 08-05-2012 01:04:55
เฮ้อ   :เฮ้อ: กว่าจะทนอ่านให้จบได้
ไม่ใช่เรื่องไม่สนุกนะคะ

เพียง แต่ มันเศร้าเกิ๊น   :m15:
เกินกว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ :monkeysad: อย่างเราจะทำใจได้
มีเรื่องจะสารภาพอยู่ 2 เรื่องนะคะ

1. อ่านไปได้ซักครึ่งเรื่อง บอกตามตรงว่าเศร้าใจ :monkeysad: รันทดใจมาก
ทั้งอึดอัด :serius2: ทั้งเครียด  อยากรู้ตอนจบเร็ว ๆ ว่า จึเหยา จะเลือกใคร
ก็เลยใช้วิธีลัด  ไปอ่านตอนจบก่อน  แล้วค่อยกลับมาดื่มด่ำ
กับความรันทดใจอีกครั้ง

2. พอกลับมาอ่านตามเนื้อหา ตามตอนเดิมอีกครั้ง
ความรันทดใจกลับมาอีกแล้ว  รู้สึกสงสาร ทั้ง จึเหยา และเอกมาก
ทนอ่านทุกตัวอักษรไม่ไหว  :o12: จึงต้องใช้วีธีอ่าน แบบสรุปรวบยอดเอา
(ขนาดอ่านแบบนี้แล้ว  ยังทำใจไม่ได้) :sad4:

พอทำแบบนี้แล้ว รุ้สึกว่าตัวเองเป็นผู้อ่านที่ไม่ได้เรื่องเท่าไหร่
แต่ทำอย่างงัยได้  มันทำใจไม่ได้จริง ๆ  :z3:

ดีแล้วที่เป็นแค่นิยาย  ถ้าเป็นเรื่องจริง ชีวิตของตัวละครในเรื่องนี้
คงจะทนทุกข์ทรมาน  ยิ่งกว่านางเอกละคร ของช่องหลายสีอีกนะเนี่ย

ขอบคุณสำหรับสิ่งดี ๆ ที่นำมาให้อ่าน และเสียน้ำตา นะคะ :sad11:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Aimmie88 ที่ 11-05-2012 01:10:32
ในที่สุดก็อ่านจบซะที
เป็นฟิคที่ได้ยินมานานแต่ก็ไม่พร้อมที่จะอ่าน
จนเมื่อวันก่อนได้มีโอกาส มันก็ทำเอาวางไม่ลง
เป็นการอ่านฟิคที่เครียดและปวดหัวมาก
ไม่เคยคิดว่ามันจะทำให้เราปวดหัวได้ขนาดนี้
ผู้เขียนเรียบเรียงเรื่องได้สุดยอดมากๆๆๆๆ
อ่านเนื้อเรื่องบางตอนรู้สึกเก็บรายละเอียดได้ดีอย่างกับเอามาจากเรื่องจริง
อ่านแล้วกดดันไปกับตัวเอกทั้งสองคนอย่างถึงที่สุด
ที่จะยังไงก็ตาม รู้สึกโล่งใจมากๆที่ผู้เขียนเลือกตอนจบให้เป็นแบบนี้
ยิ่งตอนพิเศษหวานๆก็ยิ่งชอบมากเลยค่ะ 5555

ไว้โอกาสหน้าจะติดตามผลงานดีๆอย่างนี้อีกนะคะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: mabi ที่ 22-05-2012 04:43:04
       เรื่องนี้เขียนนับถือผู้เขียนเลย เขียนทรมานคนอ่านมาก ทั้งอับทึบอึดอัด แต่ก็วางไม่ลงชักรู้สึกเล็ก ๆ เราเป็นพวกชอบความเจ็บปวดหรือเปล่าหว่า เขียนแต่ล่ะฉากอ่านแล้วเหมือนได้เข้าไปร่วมในเหตุการณ์ ผมอ่านเรื่องนี้ไปหลายวันแล้วแต่ยังไม่ลืมความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกส่งมา หลายๆ ฉากยังอยู่ในความคิดคำนึงเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เช่นฉากที่เหยาโดนข่มขืนบนเตียงโดยที่คนที่เค้ารักและรักเค้า ช่วยอะไรไม่ได้เลย ต้องอยู่นิ่งๆ ทนฟังเสียงที่ไม่อยากได้ยินทนฟังด้วยความเจ็บปวด และเมื่อขึ้นมาเห็นสภาพเหยาที่ผู้เขียนบรรยายซะเราต้องเบือนหน้าหนี แล้วยังขยี้ความรู้สึกด้วยการที่ต้องทำให้กลับสภาพเดิมเพื่อไม่ให้ทอมรู้ บอกตรงๆ เป็นผมเอามีดมากรีดยังไม่เจ็บปวดขนาดนี้เลย ทั้งยังมีการแสดงความรักทั้งวิธีที่ถูกและผิด และยังสื่อด้านมือของมนุษย์ได้อย่างเหมือนเป็นตัวละครในชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย

ขอบคุณสำหรับความเจ็บปวดครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Elly-b ที่ 22-05-2012 16:16:49

 o13

        นิยายเรื่องนี้สนุกมากค่ะ ตอนแรกเห็นชื่อเรื่องเศร้าๆก็ละเลยมานาน จนกว่าจะได้อ่านก็หลายเดือนดีดัก T"T ขอบคุณคนแต่งและคนโพสมากๆเลยค่ะ ประทับใจเรื่องนี้มาก ชอบที่นายเอกไม่ใช่คนที่อ่อนแอ เจอปัญหาที่หนักขนาดนั้นแต่ยังอยู่ดีเป็นผู้เป็นคนและเรียนได้เก่งได้ขนาดนี้ ชอบค่ะ >< อ่านมาเรื่อยๆเริ่มไม่ชอบพระเอก มาชอบก็ตอนจบ ตอนส่งท้าย และก็ตอนพิเศษนี่ล่ะค่ะ ที่ชอบที่สุดก็คือพวกเพื่อนๆของทั้งเอกและก็พี่เหยาเลย ดูเข้าใจเพื่อนดีค่ะ

 :กอด1:

 :L2:

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 23-05-2012 08:36:58
เห็นมีเม้นท์บอกว่าเรื่องนี้เคยทำเป็นหนังสือ ไม่ทราบยังมีอยู่ไหมค่ะ
อยากได้ให้เพื่อนที่ร้าก...กก มันอ่านบ้าง จริงๆ คือเกลียดมัน อยากให้มันอ่านจนจุกอกตายไปข้าง  555
ล้อเล่นนะค่ะ  จริงๆ คืออยากได้ให้เพื่อนอ่านจริงๆ นิยายดีดีแบบนี้ อยากให้เพื่อนได้อ่าน เพราะเค้าไม่ว่าง
เข้ามาอ่านในเล้านะค่ะ  ถ้ามีรวมเล่มอีก แจ้งด้วยนะค่ะ จะรีบมาจับจองเลย ^^
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: หมาน้อย ที่ 27-05-2012 01:17:43

โอ๊ย ไม่รู้จะพูดไงดี
อ่านแล้วทั้งอึ้ง ทั้งจุก ทั้งสะเทือนใจ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก อ่านไปร้องไห้ไปจนจบเรื่อง

แต่ดีมากๆ ดีแบบต้องยอมยกนิ้วให้จริงๆ ภาษาดี เดินเรื่องดี กระชากอารมณ์ได้ตลอด สมที่ได้ยินคำกล่าวขวัญถึงมานาน 
ลงชื่อเป็นอีกเสียงที่ขอยืนยันความเยี่ยมของเรื่องนี้ไว้ก่อน
ไว้หายจุกเดี๋ยวกลับมาคุยถึงความรู้สึกในฐานะคนอ่านอีกที ตอนนี้ยอมรับว่ายังจุก อ่านจบแล้วแต่ฉากต่างๆ ยังวนเวียนไปมาในหัวอยู่เลย
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: a-mee-ra ที่ 29-05-2012 11:06:32
ยกให้นิยายเรื่องนี้เป็นสมบัติวรรณกรรมวายที่ควรอ่านเลยค่ะ
สุดยอดจริงๆ  o13
ความสนุกของเราอยู่ที่การคาดเดาความรู้สึกจากการกระทำของตัวละคร
แล้วก็เฝ้าติดตามเหตุการณ์ในเรื่องอย่างใจจดใจจ่อ

สำหรับนิยายเรื่องนี้มันพอดีในทุกๆ อย่าง ไม่ว่าตัวละครที่มีมิติ มีพัฒนาการตามอายุและประสบการณ์
มีเหตุและผลของการกระทำ เหมือนเข้าไปนั่งในใจมนุษย์เลยค่ะ
มนุษย์ที่พยายามหาเหตุผลเพื่อให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลง มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องปกป้องตัวเอง
แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้หมดว่าอะไรผิดชอบชั่วดีที่ถูกกำหนดโดยความคิดของตัวเองและสังคม
เป็นความรู้สึกที่บีบคั้น ทรมาน เจ็บปวด ...ถ้าวางลงได้เหมือนอย่างที่วิทย์(หรือชัยหว่า)บอก ก็ไม่แน่ใจว่าการวางไว้นั้นคือความขลาดกลัวหรือเปล่า เพราะวางไว้ก็ใช่ว่าเรื่องมันจะจบ แค่หยุดคิด ไม่คิด แต่จริงๆ แล้วมันก็คงยังนอนอยู่ก้นบึ้งของหัวใจ เมื่อเวลาผ่านไป แล้ววันหนึ่งย้อนกลับมาคิด มันก็คงเรียกว่าเป็น "ความทรงจำ" จริงๆ บางทีเสี้ยวความรู้สึกหนึ่งอาจถามตัวเองว่า "ถ้าวันนั้นกูลุยต่อ กูไม่วางไว้ มันจะเป็นยังไงนะ" ซึ่งวันหนึ่งเราอาจจะนึก "เสียดาย" โอกาสที่ไม่ได้ต่อสู้ดิ้นรน ณ เวลานั้นก็เป็นได้ (เป็นอีกหนึ่งมุมมองของเรา)

คุณภัคDแต่งเก่งมาก สามารถทำให้ตัวละครมีชีวิตจริงๆ ทำให้คนอ่านอินกับตัวละครและเหตุการณ์ในเรื่องได้อย่างไม่มีที่ติ
ถึงเนื้อเรื่องมันจะบีบคั้นหัวใจแค่ไหน แต่นิยายเรื่องนี้มัน "สวยงาม" จริงๆ
เราโดนใจหลายประโยคเลยละค่ะ ทั้งประโยคที่เล่นคำ และช่วงบทสุดท้ายของแต่ละตอน มันบีบเคล้นทุรนทุรายมาก (เราถึงกับต้องค่อยๆ อ่านทีละประโยคแล้วดีดดิ้นอยู่บนเตียง) ชอบมากถึงมากที่สุด

อีกอย่างคือเราชอบความสัมพันธ์ของเพื่อนในเรื่องนี้จังเลยค่ะ
โดยเฉพาะบทสนทนาในหมู่เพื่อน มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เราหัวเราะออกมาได้ในนิยายเรื่องนี้ ๕๕๕๕๕
แล้วก็ชอบที่เอกเก็บความลับเก่งมาก (คือเราไม่ใช่คนเก็บความลับเก่งไง (อีกนัยนึงคือเป็นคนเปิดเผย=พยายามหาเหตุผลให้ตัวเองดูดี) เราเลยชื่นชมในตัวเค้า)
แต่เรื่องนี้สงสารพี่เหยามาก จะสงสารทอมบ้าง หากว่าเราได้รู้ความคิดทอมซักเล็กน้อย
ถ้ามีคนแบบพี่เหยาบนโลกนี้จริงๆ ไม่รู้ว่าคนคนนั้นจะเข้มแข็งได้เท่าพี่เหยามั้ย
เกรงว่าประชากรประเภทนี้อาจคิดถึง..ความตาย..เสียส่วนใหญ่ (เรามองโลกในแง่ร้ายไปเปล่า)
แต่ถ้ามีประชากรแบบนี้จริงๆ เราก็ขอเป็นกำลังใจให้พวกเขานะ อยากให้เขาเข้มแข็งเหมือนพี่เหยา ซักวันคงหลุดพ้นออกจากวงจรนรก ถ้าเพียงเรา "เลือกและตัดสินใจ" ที่จะ "ยุติบทบาท" ไม่ปล่อยให้โชคชะตาหรือรอให้ใครๆ กำหนดชีวิตเรา เงยหน้าเดินชนปัญหา แม้ว่ามันจะเจ็บปวดมากกว่าการประวิงเวลา แต่มันก็ซื้อเวลาความสุข(หรือความทุกข์ที่จะตามมา)ได้เร็วขึ้นนะ เข้าใจว่าทุกการตัดสินใจคือความเสี่ยง แต่มนุษย์เราก็เสี่ยงตั้งแต่เกิดมาแล้วล่ะ เหนือสิ่งอื่นใด ให้คิดบวกไว้เป็นดีที่สุด แล้วจะมีกำลังใจในการยืนอยู่บนโลกมนุษย์ ...นี่เป็นสิ่งที่อยากจะฝากถึงคนที่ต้องประสบพบเจอแบบพี่เหยา (นี่เราอินมากไปป่ะ)

เอาล่ะ ขอหยุดเม้นท์ไว้แต่เพียงเท่านี้ (เดี๋ยวมันจะเวิ่นเว้อยาวไปอีก) แต่คุณภัคDคะ คุณทิพคะ ให้รู้ไว้เลยว่าเรา "โคตร" ชอบนิยายเรื่องนี้เลยค่ะ!  :กอด1: :L2: :3123:

ปล. อ่านนิยายไป ก็อ่านเม้นท์เจ้สองกับอาจารย์สีฟ้าตามไปด้วย แอบวิเคราะห์ตามไปด้วยคน แต่อาจารย์สีฟ้าท่านเก่งจริงๆ วิเคราะห์การกระทำของเหยาที่มีต่อทอมได้แม่นยำจริงๆ  o13

ก่อนจบเม้นท์...นิยายเรื่องนี้มันสุดยอดจริงๆ!  o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: joycema24 ที่ 31-05-2012 22:15:32
ในที่สุดก็อ่านจนจบได้ซะที *ปาดน้ำตา* ความรู้สึกเหมือนได้ขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำหลังจากจมน้ำไปเกือบเอาชีวิตไม่รอดตลอดทั้งเรื่องแน่ะ (ก็เวอร์ไป)

คงเป็นเหมือนนักอ่านหลายคนที่อ่านไปไม่ถึงครึ่งเรื่องก็ต้องขอหยุดพักใจก่อนรวบรวมแรงใจมาอ่านต่อ
ไม่เคยอ่านอะไรที่มันหนักหน่วงกับความรู้สึกขนาดนี้มาก่อนเลย ขนาดต้องถอยไปตั้งหลักจริงๆ ค่ะ ><"
แต่พอผ่านดราม่าอันแสนบีบคั้นอารมณ์จนถึงบทสุดท้ายถึงได้รู้สึกโล่งอกโล่งใจและได้ความสุขเป็นสิ่งตอบแทนซึ่งไม่คิดว่าเรื่องจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งได้ คือมองไม่เห็นทางว่าเขาสองคนจะรักกันได้เพราะผ่านเรื่องเลวร้ายมากเยอะมาก แอบเซอร์ไพรส์ ตอนแรกคิดว่าต้องเตรียมใจรับตอนจบแบบขมขื่นซะแล้ว แต่ก็ดีใจมากค่ะที่เรื่องจบแบบนี้ เอกและพี่เหยาได้ลงเอยกัน มีความสุขจริงๆ ค่ะ
ส่วนทอมก็ไปตามทางของเขา อยากบอกว่าทั้งเรื่องไม่เข้าใจทอมมากที่สุดเลย ไม่เคยเจอคาแร็คเตอร์แบบทอม อ่านจบแล้วยังไม่รู้เลยว่าสรุปทอมนี่ยังไง โรคจิตหรือเปล่า ชอบสวิงกิ้งหรืออย่างไร = ="
แต่ที่คิดว่าสัมผัสได้คือรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วทอมรักเหยานะ แอบสงสารทอมแต่ก็เกลียดทอมเหมือนกัน อย่างที่ทุกคนรู้สึกนั่นแหล่ะ 555+

อยากขอบคุณคุณนักเขียนที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมาให้ได้อ่านกัน เป็นเรื่องที่ดราม่าบีบคั้นอารมณ์ที่สุดที่เคยอ่านมาเลยค่ะและคิดว่าคงอ่านได้แค่รอบเดียวเท่านั้น สารภาพว่าจิตใจยังไม่เข้มแข็งพอ ถ้าวันใดอยากจะซาดิสต์ทรมานตัวเองขึ้นมาคงได้ย้อนกลับมาอ่านอีกนะคะ แต่คงไม่ใช่ในเร็ววันนี้แน่ๆ 555+

สุดท้ายอยากบอกคุณนักเขียนว่ารู้สึกไม่เสียใจเลยค่ะที่ได้อ่านเรื่องนี้ เป็นประสบการณ์การอ่านที่เราจะไม่มีวันลืมเลยค่ะ ^ ^
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: kojibara ที่ 13-06-2012 01:27:05
ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มในการอ่านเรื่องนี้
ชีวิตเหมือนหลุดเข้าไปสู่โลกของตัวละครแล้ว
ชอบประโยคในเรื่องมากมายเลยที่มันทำให้เราคิดตาม
เป็นเรื่องที่ภาษาสวยจริงๆ อ่านไปก็บีบหัวใจไปตลอด
กลัวตอนจจะดราม่ามาก  เพราะมองไม่ออกจริงๆว่าจะจบลงแบบไหน
เป็นความรู้สึกอึดอัดที่ทำให้เราหายใจไม่ค่อยออกจริงๆ
รักเรื่องนี้มากจริงๆค่ะ

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: lekkatid ที่ 25-06-2012 16:06:52
 :m15:ในความรู้สึกของเหยา ถึงจะถ่ายทอดผ่
านมาทางเอกแต่เราก็สวมบทบาทของเหยาเอาไว้คือมันพูดไม่ออก บอกไม่ถูก ร้องไห้ในใจ  ทอมเป็นคนที่เลวร้ายมากเลวคนเดียวไม่พอยังเผื่อแผ่ความเลวสู่คนอื่นให้เลวกันได้ทั่วถึง  เอกนั้นด้วยความเป็นจึงขาดความยั้งคิดถึงอะไรดีอะไรไม่ดี  แต่เพื่อนๆเอกเป็นเพื่อนที่ดีจังนะ กว่าจะอ่านจบความเครียดก็มาเยือนความรู้สึกเยอะมากแล้วก็ยิ้มได้ รู้สึกโล่งเมื่ออ่านจนจบ เฮ้อ ขอบคุณ คุณภักD ครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: หมาน้อย ที่ 01-07-2012 09:56:03
กลับมาอีกรอบ อยากจะบรรยายความรู้สึกในฐานะคนอ่านเรื่องนี้ให้มากๆ แต่ไม่รู้จะอธิบายยังไงเพราะคงต้องใช้คำพูดเยอะมาก
เอาเป็นว่าชอบมากๆๆๆๆ ถึงมันจะเครียด บีบหัวใจ ทรมาน แต่เป็นประสบการณ์การอ่านที่คงลืมไม่ลง
ผ่านมาหลายวันแล้วก็ยังรู้สึกติดใจผูกพันกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
เพราะเป็นเรื่องแรกที่ทำให้เสียน้ำตาเยอะมากขนาดนี้ สงสารพี่เหยาจนไม่รู้จะว่าไง แค้นอีเลวทอม เกลียดเอก(ก่อนจะกลับมาสงสาร)
และไม่ใช่แค่น้ำตาของความเศร้า ความเจ็บปวด ยังมีน้ำตาของความสุข ความทุกข์ที่เจือด้วยความหวาน ไม่เสียดายน้ำตาที่เสียให้กับเรื่องนี้เลย
นิยาย Y เรื่องหนึ่งส่งความรู้สึกเข้าไปถึงกลางใจได้ขนาดนี้ ไม่เหมือนอ่านนิยายแต่เหมือนกำลังมองเห็นชะตากรรมของคนคู่หนึ่งที่มีตัวตนจริงๆ

นอกจากอยากขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆ อย่างนี้มาให้อ่าน สำคัญมากอีกอย่างที่อยากไปขอบคุณผู้นเขียนแรงคือตอนจบที่ให้จบแบบแฮปปี้ เพราะถ้าจบแบบเศร้าคนอ่านคงได้จิตตกขาดใจตายตรงนั้นแน่ๆ
ขอบคุณจริงๆ :pig4:

 
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ภัคD ที่ 24-07-2012 18:44:19
*** ตอนพิเศษครั้งรวมเล่มครั้งที่แล้วค่า ... ตอนประกาศรวมเล่มคราวโน้น บอกว่าไว้จะมาโพสให้อ่าน ปรากฏว่าลืม  ต้องขออภัยจริงๆค่า ***

หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ  ( พิเศษ )

“ ผมเป็นคนเวียงเจียงใหม่  ใคร่ฝากหัวใจหื้อบ่าวต่างแดน... ยังซน ยังโสดหนุ่มแน่น  ใคร่อยากมีแฟนกับเขาสักคน...”  ผมเตรียมอ้าปากจะร้องเพลงต่อไปอีกท่อน หากแต่ก็อ้าปากค้าง เพราะโดนไอ้วิทย์ขัดขึ้นซะก่อน

“ เฮ้ย เอก !...มีsubtitleเปล่าวะ ?  เดี๋ยวตุงกลายเป็นถุง...โหระพาแปลงร่างเป็นกะเพราแล้วจะหาว่าไม่เตือน !” ไอ้วิทย์เอามือป้องปากตะโกนเตือน ส่วนลูกกะตามันก็เหล่มองไปทางพี่เหยาที่ทำหน้าเฉยเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำแขวะของไอ้วิทย์

เรื่องตุงกับถุงคงไม่ต้องเล่าซ้ำ...หากแต่เรื่องโหระพากับกะเพราที่ไอ้วิทย์เอามาเกี่ยวนั้น ผมก็ว่ามันไม่เกี่ยวกันสักเท่าไหร่

ก็เมื่อตอนแรก ๆ ที่เราเพิ่งจะเริ่มพาพวกฝรั่งไปเดินท่อม ๆ แถวตลาดสด เพื่อเปิดโปรแกรมสอนวิถีชีวิตไทยแบบไทย ๆ ซึ่งก็รวมไปถึงการสอนทำอาหารไทยด้วยนั้น...ด้วยความที่ภาษาอังกฤษของพวกผมยังไม่คล่องปากขนาดที่จะไปโชว์ความมั่นใจกลางที่สาธารณะกันนัก เราก็เลยขอร้องแกมบังคับพี่เหยาให้มาทำหน้าที่ไกด์เฉพาะกิจให้พวกเรา...

ภาษาปะกิจของพี่เหยาน่ะคล่องปรื๋อจนฝรั่งยกนิ้วให้ แต่พวกผมน่ะฟังกันไม่ทัน  เลยไม่รู้ว่าไอ้ที่พี่เหยาเข้าใจและบอกลูกทัวร์ไปอย่างมั่นใจว่าเป็นใบกะเพรานั้น จริง  ๆแล้วมันคือใบโหระพา แล้วยิ่งกว่านั้นพี่เหยายังแยกไม่ออกอีกต่างหากระหว่างใบแมงลักกับสะระเหน่...ส่วนแตงล้านพี่เหยาก็บอกว่าน่าจะเป็นแค่ชื่อเล่นของแตงกวา ไม่น่าจะใช่ผักคนละชนิดกัน...

‘ ก็ไอ้นี่แหละที่ใส่ในผัดกระเพรา !’ พี่เหยาเถียง มือก็ยกโหระพาที่ถืออยู่ทำทีเป็นเอามาดมเพื่อยืนยันว่าจำได้จริงเมื่อไอ้วิทย์มันมานั่งไล่เรียงบอกพี่เหยาถึงความแตกต่างระหว่างใบกะเพราะกับใบโหระพา

‘ ใช่ที่ไหนล่ะพี่ อันนั้นมันโหระพา !’

‘ ก็โหระพาน่ะสิ ก็ที่เอาใส่ผัดกระเพราไง ไอ้ฟงมันไม่กิน !’ พี่เหยายังยืนยันมั่นใจ แถมมีหลักฐานเพิ่มเติมว่าตัวเองรู้จริง
‘ ใครเขาเอาโหระพาใส่ผัดกะเพราะล่ะพี่...ไม่งั้นเขาจะเรียกผัดกะเพราทำไม เรียกผัดโหระพาไปแล้วสิ !’ ไอ้วิทย์ค้านพร้อมให้เหตุผลที่ใคร ๆ ก็รู้ แต่พี่เหยาเพิ่งรู้ แถมทำหน้าว่าเพิ่งค้นพบสัจจะธรรมที่เป็นจริงในข้อนี้

‘ ก็นึกว่ามันชื่อผัดกะเพรา...ไม่เกี่ยวกับใบกะเพรานี่...’ พี่เหยาแก้ตัวอุบอิบพลางหยิบโหระพาขึ้นมาดม ๆ อีกครั้ง

‘ ตกลงรู้แล้วใช่ไหมว่ากะเพราเขาใส่ใบกะเพรา ?’ ไอ้วิทย์ถามส่วนพี่เหยาพยักหน้ารับ ไอ้วิทย์เลยดึงโหระพากำโตจากมือพี่เหยามากำรวมกับใบกระเพราอีกกำ ก่อนจับโยน ๆ  สลับซ้ายสลับขวาสามสี่ทีแล้วยื่นให้ตรงหน้าพี่เหยา

‘ อันไหนกะเพรา ?’ ไอ้วิทย์ถาม

‘ ก็อันที่ไว้ใส่ผัดกระเพราไง !’ พี่เหยาตอบฉลาดแต่ไม่ยอมชี้

‘ แล้วโหระพาล่ะ...เอาไว้ใส่อะไร ?’ ไอ้วิทย์ส่ายหัวยิ้มขำก่อนส่งไปอีกคำถาม

‘ ...ใส่ลาบ...’ ไอ้ชัยแอบขยับปากทำทีช่วยกระซิบบอก

‘ ลาบ !’ และครั้งนี้พี่เหยาตอบพร้อมยิ้มมั่นใจ ก่อนจะหุบยิ้มเพราะพวกผมนั่งหัวเราะกันแบบไม่มีไว้หน้า

‘ ยังพูดไม่จบเลยพี่ จะบอกว่าที่ใส่ลาบน่ะ เขาเรียกว่าสะระแหน่ !’ ไอ้ชัยพูดไปก็หัวเราะไป

‘ เอ้า !...อันไหนกะเพรา อันไหนโหระพา ?’ ไอ้วิทย์ถามย้ำกับพี่เหยาอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ปากยังไม่หยุดหัวเราะ

‘ไม่รู้ ! กะเพราก็กะเพรา โหระพาก็โหระพา บอกไปผิด ๆ ถูก ๆ ฝรั่งมันก็จำไม่ได้หรอก !’ พี่เหยาเลยตอบซะงั้น

‘โห จรรยาบรรณยอดเยี่ยม  ใครเอาป้ายพนักงานดีเด่นมาแขวนคอให้หน่อยดิ...แล้วเกิดมันจำได้ล่ะพี่ ?” ไอ้วิทย์ยังไม่เลิกรา

‘ เขาก็คิดว่าเขาจำผิดน่ะสิ ไม่รู้หรอกว่าเราบอกผิด !’ พี่เหยาว่างั้นซึ่งก็จริง เห็นรายไหนรายไหนก็จำไม่ได้กันสักคน บางรายแกล้งบอกกลับไปกลับมา แทนที่จะคิดว่าเราบอกผิด เขากลับคิดว่าตัวเองจำสับสนซะเอง

และจนแล้วจนรอดพี่เหยาก็จำไม่ได้หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือไม่ใส่ใจจะยอมจำเสียมากกว่า  เพราะสำหรับพี่เหยาแล้ว ดูคล้ายว่าอะไรที่พี่เหยาตัดสินว่ามันไม่สำคัญ พี่เหยาก็จะไม่เสียเวลาที่จะใส่ใจ  แต่พี่เหยาก็เอาตัวรอดได้แบบที่พวกผมได้แต่ส่ายหัวแอบหัวเราะ

ในการพาลูกค้าทัวร์ตลาดสดครั้งใหม่ ไอ้วิทย์มันย้ำแล้วย้ำอีกกับพี่เหยาก่อนพาลูกทัวร์ท่องตลาดว่า อันไหนคือกระเพราและอันไหนคือโหระพา แต่หลังจากพี่เหยาพูดรัวแถมเร็วเป็นน้ำไหลไฟดับกับลูกทัวร์ พี่เหยาก็แกล้งแบมือหราไปทางแม่ค้าที่ยังยืนยิ้มหวานให้ฝรั่งถ่ายรูปคู่กับแผงผักของตัวเองอยู่ตรงนั้น

‘ พี่ครับ...ช่วยหยิบกะเพราส่งให้ผมหน่อยได้ไหมครับ ?’ พี่เหยาบอกแม่ค้า แล้วกะเพราหนึ่งมัดก็ลอยมาวางอยู่ในมือพี่เหยาโดยที่พี่เหยาไม่ต้องเอี้อมมือไปหยิบเอง  พี่เหยาหันมายิ้มเยาะให้พวกผม พวกผมเลยเพิ่งสังเกตเห็นว่า การทัวร์แผงผักวันนั้น พี่เหยาน่ะยืนห่างจากพวกกองกระเพราซะมือเอื้อมไม่ถึง ซึ่งพวกผมเห็นพ้องต้องกันว่า...น่าจะเป็นไปโดยความจงใจ...
‘ พากลับบ้านไปสอนเลยนะมึง !’ ไอ้วิทย์พูดกับผมหลังจากหยุดหัวเราะไปแล้ว

แต่สุดท้ายพี่เหยาก็ไม่สนใจจะจำหรือจะรู้ พี่เหยายังคงใช้วิธีเดิม แบบมือหราแล้วอะไรที่พี่เหยาไม่รู้จักก็ลอยมาที่มือ...แถมพี่เหยาก็ไม่สนใจสักนิดที่พวกไอ้วิทย์มันเอามาล้อกันไม่เลิกไม่รา อย่างในเวลานี้ เวลาที่เรามานั่งตั้งวงเหล้าวงเล็ก ๆ นั่งกินนั่งดื่มแถมร้องเพลงกันแบบไม่ต้องเกรงใจชาวบ้านชาวช่อง อยู่ในบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ในสวนส้มของบ้านไอ้ชัย...จริง ๆ จะเรียกว่าบ้านก็ไม่น่าจะใช่นัก เพราะมันเป็นก็แค่ที่พักสำหรับคนงานในสวนส้มที่มาอาศัยหลบร้อนหรือพักเอนหลังกันในช่วงเวลากลางวันเท่านั้น  มันมีก็แค่หลังคา ส่วนรอบด้านเปิดโล่งหมดทั้งสามด้าน ด้านหลังอันเป็นผนังเพียงหนึ่งเดียวนั้นถูกแบ่งเป็นห้องเก็บของ เก็บอุปกรณ์ต่างๆและห้องครัวขนาดเล็ก ๆ แค่พอใช้งาน  ส่วนภายในตัวบ้านที่พวกผมกำลังนั่งกันอยู่ก็เป็นแค่พื้นที่โล่ง ๆ  มีโต๊ะไม้เตี้ย ๆ ขนาดพอเหมาะกับการนั่งล้อมวงจั่วไพ่  โซฟายาวเก่า ๆ แต่นิ่มพอใช้อีกสองตัว  แล้วก็โต๊ะสนุ๊กที่ไอ้ชัยเคยบอกไว้ตั้งแต่สมัยพาเพื่อน ๆ มาตีสนุ๊กกันตอนยังเรียนอยู่ว่า พ่อของมันเอามาตั้งไว้ตั้งแต่ก่อนมันเกิดซะอีก นอกจากนี้ก็ยังมีทีวีเครื่องเก่าพร้อมเครื่องเล่นคาราโอเกะที่คนสวนมันลงขันกันซื้อเอาไว้ พวกผมเลยได้มาอาศัยใช้ส่งเสียงโหวกเหวกกันอยู่ในตอนนี้ 

ดังนั้นที่บอกว่าพวกผมนั่งร้องเพลงกันแบบไม่เกรงใจจึงไม่ใช่เพราะไม่สนใจหากแต่ให้พวกผมตะโกนกันขนาดไหน ก็คงไม่มีใครอยู่ใกล้พอจะได้ยิน เช่นที่ผมกำลังร้องเพลง และพวกไอ้วิทย์ก็ตะโกนแซวเสียงโหวกอยู่ในขณะนี้
 
“ กูแปลให้ !” ไอ้ชัยว่า ก่อนเอื้อมมือคว้าไมค์อีกอัน อาสาเป็นผู้แปลตามคำเตือนของไอ้วิทย์ และครั้งนี้พี่เหยาที่กำลังนั่งคุยอยู่กับพี่เก่งก็หันมามองและหัวเราะ

“ ชมพู่ก็ดกแดงจี๋  สตอเบอรี่หอมเหมือนแก้มบ่าว  ผัก...” เมื่อไอ้วิทย์เลิกแซว ผมก็ยกไมค์ขึ้นมาร้องเพลงต่อแต่ร้องได้เท่านั้นยังไม่ทันจบประโยคดี ไอ้ชัยก็ทำตัวร้อนหน้าที่ขัดผมขึ้นซะก่อน

“ ชมพู่ก็ดกแดงจี๋  สตอเบอรี่ หอมเหมือนแก้มสาว ”

“ แก้มสาวเหี้ยมึงดิ !...กูเคยหอมแก้มสาวไหนวะ กูไม่ได้ร้องแก้มสาวโว้ย!” ผมแย้งไอ้ชัยแต่แอบเหล่ตามองไปทางพี่เหยาที่แม้จะทำทีเป็นสนใจฟังที่พี่เก่งพูด หากแต่ผมเห็นพี่เหยาแอบอมยิ้มขำทั้งที่เรื่องที่พี่เก่งกำลังขมวดคิ้วตั้งหน้าตั้งตาเล่าอยู่นั้นไม่น่าจะทำให้พี่เหยานั่งยิ้มอยู่ได้เลย

“ กูแปลตามเพลงโว้ย !” ไอ้ชัยให้เหตุผลก่อนส่งสัญญาณมือบอกให้ผมร้องต่ออย่าเรื่องมาก  แต่ผมไม่ร้องเพราะมันยังแปลเนื้อเพลงได้ไม่ถูกใจ

“ มึงจะแปลตามเพลงทำไม กูยืนแหกปากอยู่นี่ก็แปลตามที่กูร้องสิวะ !” ผมบอกมันและครั้งนี้มันพยักหน้ารับซึ่งแปลว่าตกลง ผมเลยยกไมค์ขึ้นจ่อปากร้องเพลงของผมต่อ

“ ผมคนขาว ๆ..บ่จุ๊หลอกไผ...”

“ ไหนวะขาว ? ตกกองถ่าน กูว่ากูหามึงไม่เจอเลย !” ไอ้ชัยขัดอีก หลังจากผมอ้าปากร้องไปได้แค่อีกท่อนและครั้งนี้พี่เหยาหันมามองและหัวเราะแบบไม่เห็นค้านไอ้ชัยเลยสักนิด

“ พวกมึงจะร้องเพลงหรือเล่นคู่หูคู่ฮาวะ ?” ไอ้วิทย์ถามพลางยกแก้วเหล้าขึ้นซด ก่อนส่งแก้วเปล่าให้ไอ้รงค์เอาไปชงส่งให้มันอีกแก้ว

“ ผมคนบ่ขาว บ่จุ๊หลอกใคร...พอ !  มึงไม่ต้องแปล กูแปลของกูเอง !” ผมร้องใหม่ไม่สนใจแล้วว่า มันจะคนละท่อนกับดนตรีหรือเปล่า และครั้งนี้ผมยกมือพร้อมสั่งห้ามไม่ให้ไอ้ชัยแปล

“ ลำไยบ่ใช่ลิ้นจี่ ใคร่อยากฮู้ดี ฮื้อหายข้องใจ  เจิญเลยมาแอ่วเจียงใหม่ มาเป็นขวัญใจ....ของผม...คนเมือง...” ผมร้อง จบลงด้วยท่อนที่น่าจะมีทั้งความหมายและความนัย  ผมเลยทำเสียงว่าน่าจะอ้อนแถมส่งสายตาให้พี่เหยา หากแต่ทั้งเสียงและสายตาของผมก็เป็นหมันเพราะพี่เหยากำลังทำหน้าเคร่ง คิ้วขมวด คล้ายสนใจคุยอยู่กับพี่เก่งไม่สนใจผมสักกะนิด

“ จบแล้วก็เอาคืนมา จะร้องเพลงจีบยังเสือกไม่มีไอเดียเป็นของตัวเอง !” ไอ้รงค์มันทวงไมค์คืน เพราะจริง ๆ เพลงนี้มันเลือกไว้เตรียมจะร้อง แต่ผมเห็นว่าเข้าท่าดีเลยแย่งไมค์จากมือมันมาร้องซะเอง...

ผมส่งไมค์คืนให้ไอ้รงค์ไปแบบเซ็ง ๆ แต่ตาก็ยังมองไปทางพี่เหยา ที่เพิ่งหันมามองดูผม แต่ก็สลับกับการหันกลับไปฟังพี่เก่งบ่นเหมือนไม่รู้จะหันไปทางไหนดี

และครั้งนี้สงสัยเสียงไอ้รงค์ที่ร้องทวงไมค์คืนจากผมจะดังไปนิดจนไปสะดุดหูพี่เก่งที่ตั้งแต่มาถึงเชียงใหม่ก็นั่งบ่นเรื่องของตัวเองไม่หยุดปาก  พี่เก่งเลยหันมาร่วมด้วยช่วยสนใจพวกผมด้วย

“ พวกมึงคุยอะไรกันวะ ใครจีบใคร ?” พี่เก่งถามงง ๆ  เพราะตอนนั้นพี่เก่งยังไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของผมและพี่เหยา
“ ไม่รู้ก็ไม่ต้องรู้ บ่นเรื่องของมึงต่อเหอะ !” พี่เหยาพูดกับพี่เก่งที่ยังทำหน้างงไม่เลิก

“...นั่นดิ บ่นเรื่องของพี่ต่อเหอะ ! ...ป่านนี้แล้ว ไม่ต้องมานั่งจีบกันแล้ว !” ผมพูด ส่วนหนึ่งคงเพราะเหล้าเข้าปากไปแล้วหลายแก้ว ยางอายผมเลยไม่ค่อยมีเท่าไหร่นัก  และอีกส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่านึกหงุดหงิดพี่เก่งอยู่ไม่น้อยที่ดึงเอาความสนใจของพี่เหยาไปจากผมเสียหมด

“...สตอเบอรรี่ แดงเหมือนแก้ม...” พอเห็นพี่เหยาหันมาสนใจ ผมเลยแกล้งฮัมเพลงที่ปรับเปลี่ยนเนื้อเสียนิดหน่อย ตาก็แกล้งจับจ้องไปที่แก้มแดง ๆ ของพี่เหยา

“ เงียบไปเลยนะ !” พี่เหยาหันมาร้องสั่งเสียงขุ่น ๆ ก่อนหันกลับไปหาพี่เก่งหากแต่แก้มของพี่เหยากลับยิ่งแดงขึ้นกว่าเดิม
“ ในครัวมีอะไรกินบ้างวะ ?” ผมร้องถามไอ้ชัยเมื่อพี่เหยาเลิกสนใจผมแล้วหันกลับไปนั่งสนใจคุยกับพี่เก่งต่อ

“ ไม่รู้...บ้านกู แต่กูก็มาถึงพร้อมมึงนั่นแหละ !” ไอ้ชัยตอบ...ซึ่งก็จริงเพราะถึงยุ้งข้าวหลังไม่เล็กซึ่งเราขอแม่ของมันเอามาทำเป็นสำนักงานที่วันนี้พวกมันไปหมกตัวอยู่กันทั้งวันนั้นจะอยู่ในอาณาเขตรั้วบ้านของมันเอง แต่วันนี้ผม พี่เหยาและพี่เก่งก็มาถึงและนั่งรอมันที่บ้านตั้งแต่ก่อนเย็น จนกินข้าวเย็นกับแม่ของมันอิ่มไปมื้อ จนแม่มันขึ้นนอนแล้วนั่นแหละ มันถึงเพิ่งเปิดประตูบ้านเข้ามาพร้อมไอ้วิทย์กับไอ้รงค์ที่ช่วยกันหอบเหล้าเบียร์และกับแกล้มชุดใหญ่เข้ามาด้วยก่อนจะเคลื่อนจำนวนพลมานั่งตากลมร้องเพลงอยู่กลางสวนส้มนี่ และถึงกับแกล้มที่พวกมันช่วยกันหาซื้อติดไม้ติดมือเข้ามานั้นจะมองว่าน่าจะเป็นชุดใหญ่ ดูแล้วน่าจะมากพอสำหรับจำนวนคนหากแต่เมื่อนั่งสุ่มหัวกันมาร่วมสี่ชั่วโมง กับแกล้มที่ว่าชุดใหญ่มันก็เหลือแค่จาน โดยที่กระเพาะของผมมันยังร้องทวงหาอะไรมาเพิ่มเติม

และเมื่อไม่ได้คำตอบที่เป็นประโยชน์อะไรเลยจากไอ้ชัย  ผมเลยลุกขึ้นไปเปิดประตูครัว เข้าไปรื้อค้นหาอะไรกินจากตู้เย็นซะเอง

“ ทำอะไร ?” เสียงพี่เหยากระซิบถามดังมาจากด้านหลัง พร้อม ๆ กับมือที่เอื้อมมาโอบกอดรอบเอวผมไว้

แล้วขนผมก็ลุกชันไปทั้งตัว เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่พี่เหยาเป่ารดเบา ๆ ที่ต้นคอ

พี่เหยาหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นทั้งสองมือผมไม่ว่าง เพราะถือจานใบโตที่เต็มไปด้วยของกินเล่นที่เพิ่งค้นเทออกมาจากตู้เย็นกะเอาออกไปนั่งกินแกล้มเหล้า

“ พี่ทำอะไร !” ผมร้องถาม...หากแต่จริง ๆ มันเป็นแค่การอุทานเท่านั้น...สิ่งที่พี่เหยากำลังทำ มันไม่จำเป็นที่ผมต้องร้องถามเลยสักนิด

ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่นเก็บกลั้นเสียง เก็บกลั้นความรู้สึกของตัวเองเมื่อพี่เหยาขยับมือที่โอบกอดรอบเอวของผมให้เลื่อนต่ำลง ต่ำลงเรื่อย ๆ และผมก็ได้ยินเสียงซิปกางเกงตัวเองโดนรูดลงช้า ๆ

“ พี่...”  ผมเรียกพี่เหยาเสียงสั่นก่อนหันไปมองทางประตูครัวที่ยังคงถูกเปิดทิ้งไว้ เสียงคุยกันของพวกไอ้วิทย์นั้นดังชัดหู เพราะหากไม่มีผนังบาง ๆ กั้น ผมกับพวกมันก็อยู่ห่างกันแค่ไม่เกินกว่าสิบก้าว

ผมอยากบอกพี่เหยาให้หยุดเพราะนึกกลัวว่าจะมีใครเดินตามเข้ามา หากแต่ผมก็ไม่ได้ร้องห้ามออกไป ส่วนหนึ่งเพราะจริง ๆ แล้วผมไม่แคร์สักนิดว่าจะมีใครเดินตามเข้ามาและพบเห็น เพราะพวกมันก็รู้กันหมดแล้วว่าผมกับพี่เหยามีความสัมพันธ์กันอย่างไร คงอาจจะมีอายพวกมันอยู่บ้างหากแต่อารมณ์ปรารถนาที่พี่เหยาเป็นฝ่ายริเริ่มปลุกมันให้ปะทุขึ้นมานี้ มันก็มากเกินกว่าที่ผมจะนึกกลัวอะไรแล้ว

ทั้งกว่าเดือนแล้วที่ผมไม่มีโอกาสเจอพี่เหยา  พอพี่เหยาบอกว่าจะขึ้นมาที่เชียงใหม่ผมก็แทบนับวันรอไม่ไหว หากแต่เมื่อไปรับพี่เหยาและเห็นพี่เหยาเดินมาพร้อมพี่เก่งนั้น ผมก็ทำได้แค่อ้าปากค้าง  แล้วพี่เก่งที่อ้างตัวว่าไม่มีทั้งญาติและเพื่อนอยู่เชียงใหม่ก็เกาะแจอยู่กับผมและพี่เหยาทั้งวัน ไม่ต้องพูดถึงเวลาส่วนตัวสักนิดที่จะให้ผมได้ดึงพี่เหยามากอดให้หายคิดถึง แค่จะจับมือหรือจูบปากแดง ๆ ของพี่เหยานั้นก็ยากแล้ว จะพอมีบ้างก็ได้แค่แอบกระซิบ...

‘ ผมคิดถึงพี่จัง...’ ผมก้มลงกระซิบข้าง ๆ หูพี่เหยา เมื่อเห็นพี่เก่งเดินนำห่างไปด้านหน้า
‘ มึงว่าอะไรนะ ?’ แต่เป็นพี่เก่งที่หันมาตะโกนถาม แถมหยุดยืนรอ

‘ เปล่า !’ ผมตอบอย่างหน่าย ๆ ก่อนต้องขยับถอยห่างออกจากพี่เหยาหลบที่ให้พี่เก่งที่เดินย้อนกลับมาและเบียดแทรกมายืนตรงกลางก่อนจะเริ่มต้นบ่น บ่น และบ่นเรื่องปัญหาและความเบื่อหน่ายต่องานที่บ้านให้พี่เหยาฟังต่อ

‘ บ่นมานานยังเนี่ย ?’ ผมถามพี่เหยาเมื่อมีโอกาสได้อยู่กันสองคน ตอนจอดรถแวะ รอพี่เก่งวิ่งเข้าไปซื้อกาแฟ และพี่เหยาก็ตอบโดยยกมือชูสองนิ้วให้ผมดูในขณะที่อีกมือยกขึ้นปิดปากหาว หน้าตาพี่เหยาก็ดูเพลีย ๆ

‘ สองชั่งโมง !’  ผมนึกหูชาแทนพี่เหยา 

‘ สองวัน !’ พี่เหยาพูดแก้พลางยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง

‘ มันดีใจจะแย่ เรื่องprojectที่จะเริ่มทำกันสักที ’

‘ แล้วพี่ว่าไง ?’ ผมถามก่อนเอื้อมมือไปช่วยนวดให้พี่เหยาเบา ๆ และพี่เหยาก็ยอมปล่อยมือของตัวเองลง ปล่อยให้ผมนวดคลึงให้แต่โดยดี

‘ ว่าอะไร ?...แรงอีกนิด’  พี่เหยาถามแต่ไม่ทันที่ผมจะตอบพี่เหยาก็สั่ง ผมเลยได้แต่ยิ้มมองดูพี่เหยาที่นั่งหลับตาเอนตัวลงซบกับไหล่ผม ให้ผมช่วยนวดขมับให้

‘ แรง ๆ หน่อยสิ !’ พี่เหยาสั่งย้ำอีกครั้ง

‘อย่าพูดบ่อยสิพี่ คำนั้นนะคีย์เวริ์ดเลยนะพี่ ถ้าไม่เกรงใจสายตาคนอื่นจะจูบซะเดี๋ยวนี้เลย !’  ผมพูดกลั้วหัวเราะ ตาก็ยังจับจ้องอยู่ที่พี่เหยาที่ดูท่าทางจะเพลียจนลืมสนใจผู้สนใจคน เพราะแม้ผมกับพี่เหยาจะนั่งกันอยู่ในรถ หากแต่กระจกรถนั้นก็ใสซะจนแจ๋ว

‘ ช่างปะไร เจอกันหนเดียว’  แต่พี่เหยาว่าอย่างนั้น หากแต่พอผมแกล้งโน้มตัวลงจะทำอย่างที่พูด พี่เหยาก็ขยับตัวถอยหนีและหัวเราะ

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ภัคD ที่ 24-07-2012 18:45:37
‘ ไม่แน่จริงนี่ !’  ผมพูดมองดูพี่เหยาที่ยังนั่งหัวเราะ และเมื่อพี่เหยาหัวเราะ ดูสีหน้าสีตาของพี่เหยาก็ดูดีขึ้น ไม่ดูเพลียอย่างเมื่อครู่ที่ผ่านมา

‘ แล้วตกลงพี่ว่าไง ?’  ผมถามอีกครั้งเพราะเมื่อครู่ผมยังไม่ได้คำตอบ

‘ ตกลงอะไรล่ะ ?’ พี่เหยาถามยังไม่หยุดหัวเราะ
‘ ก็ที่เคยคุยกันไว้ ไอ้วิทย์ก็คงลงไปอยู่จันกับไอ้รงค์ ไอ้ชัยก็คงไปช่วยพี่เก่ง ส่วนที่เชียงใหม่ก็เหลือแค่ผม...’ ผมพูดได้เท่านั้น สิ่งที่อยากจะร้องถาม...พี่ขึ้นมาช่วยผมที่เชียงใหม่นะ ?...นั้นกลืนหายไปในคอ เพราะผมรู้เพียงผมเกริ่นแค่นั้นพี่เหยาน่าจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผมต้องการเอ่ยปาก หากแต่เมื่อผมพูดได้เท่านั้น รอยหัวเราะของพี่เหยาก็จางหายเหลือแต่ก็เพียงร่องรอยความลำบากใจที่ไม่ได้เก็บซ่อนปิดบังคล้ายไม่ทันตั้งตัวว่าจะได้ยินในสิ่งที่ผมกำลังร้องถาม

เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของพี่เหยา ผมจึงต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอไป พูดอะไรไม่ออกอีก...

‘ เอ้าเหยา กาแฟ !’  พี่เก่งพูดก่อนส่งกาแฟให้พี่เหยา

ผมไม่รู้ตัวเลยว่าพี่เก่งเปิดประตูรถเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะผมเอาแต่ครุ่นคิดถึงสีหน้าที่คล้ายจะแทนคำปฏิเสธของพี่เหยา

และหลังจากนั้น ผมก็ไม่มีโอกาสคุยอะไรกับพี่เหยาอีก บางครั้งผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะพี่เก่งเกาะหนึบอยู่กับผมและพี่เหยาไม่ปล่อย หรือพี่เหยาเองต่างหากจงใจให้เป็นอย่างนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะคุยกับผมเพียงลำพัง

ดังนั้นเมื่อพี่เหยากอดผมอยู่อย่างนี้...ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

ผมคงคิดไปเอง...ผมบอกตัวเองอย่างนั้นเมื่อพี่เหยาลูบไล้ ปลุกเร้าผมด้วยฝ่ามืออุ่นๆ และลมหายใจร้อน ๆ...ในหัวผมก็ว่างเปล่า ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วจริงๆนอกจากสัมผัสที่มากยิ่งขึ้น

“ เดี๋ยว !” ครั้งนี้ผมรีบร้องห้าม เมื่อพี่เหยาล้วงฝ่ามือลึกเข้าสัมผัสความแข็งขันของผมชนิดผิวเนื้อต่อผิวเนื้อ และพี่เหยาก็แค่หัวเราะก่อนเค้นคลึงเพิ่มน้ำหนักของแรงมือ

ไม่ใช่ว่าผมไม่ปรารถนา หากแต่สิ่งที่พี่เหยากำลังทำ มันทำให้แขนขาผมอ่อนแรงไปหมด มือที่ถือจานไว้เต็มสองมือสั่นระริกจนนึกอยากโยนมันทิ้ง และผมก็อยู่ไกลจากโต๊ะเกินกว่าที่จะวางมันลงได้

“ คิดถึงเอกจัง...” พี่เหยากระซิบเบา ๆ ที่ริมหูก่อนเป่าลมหายใจร้อนๆที่กรุ่นกลิ่นเหล้าอ่อน ๆ ลงไปอีกครั้ง...และผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่ขาดห้วงของตัวเองเมื่ออยู่ ๆ พี่เหยาก็ละสัมผัสจากตัวผม หากแต่เพียงไม่นานเท่านั้นพี่เหยาก็กลับมายืนอยู่ที่ตรงหน้าและโอบแขนไว้รอบเอวผมเช่นเดิม

“ คิดถึงพี่ไหม ?” พี่เหยาถาม แหงนเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากของเราอยู่ห่างกันแค่นิด แค่ผมก้มลงก็คงแตะสัมผัสกันถึง หากแต่เมื่อผมทำอย่างที่ใจคิดหมายจะสัมผัสริมฝีปากแดง ๆนั่น พี่เหยากลับเบี่ยงหน้าหนี ยิ่งผมตามติด พี่เหยาก็ยิ่งเบี่ยงตัวหลบ ในขณะที่สองแขนก็ยังโอบเอวผมไว้ไม่ปล่อย

“ บอกก่อนว่าคิดถึงหรือเปล่า แล้วจะยอมให้จูบ ” พี่เหยาพูดทั้งหัวเราะ

“ บอกไปแล้วไงตั้งแต่ตอนกลางวัน !” ผมพูดและยังพยายามตามติดไม่ลดละ

“ไม่เห็นได้ยิน... ”

“ พี่เก่งยืนตั้งไกลยังได้ยิน พี่จะไม่ได้ยินได้ยังไง ?! ” ผมถามและพี่เหยาแกล้งทำหน้าตึงเหมือนเวลาที่โดนขัดใจ

“เป็นลูกไก่ในกำมือแล้วยังไม่รู้ตัว ถามดี ๆ ไม่ตอบ...”พี่เหยาพูดอย่างหมายมาด

“...อะ...อะไร ?” ผมร้องถามอย่างไม่เข้าใจนัก หากแต่แค่แป๊บพี่เหยาก็บอกคำตอบให้ผมเข้าใจ

“พี่ !” ผมร้องอย่างตกใจ เมื่อสองแขนของพี่เหยาไม่ได้โอบกอดรอบเอวของผมอีกต่อไปแล้ว หากแต่พี่เหยาค่อย ๆ ลากไล้จากแผ่นหลังของผมมายังด้านหน้าและก็เลื่อนต่ำลง ๆ เรื่อย ๆ

“ พี่ ! อย่า !” ผมร้องห้ามเสียงสั่น เมื่อพี่เหยาล้วงมือลึก สัมผัสความแข็งขืนของผมอีกครั้ง

“ ลูกไก่ในกำมือ !” พี่เหยาพูดอย่างเค้นเขี้ยว และย้ำสิ่งที่พูดด้วยการบีบเค้นฝ่ามือ ผมพยายามขยับตัวถอยหนี แต่มือพี่เหยาก็ยังตามติดไม่ยอมปล่อย

“ ใครว่าแค่ลูกไก่ ถ้าแค่ลูกไก่ พี่คงไม่...โอ๊ย !” ผมพูดอย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเอง หากแต่พูดได้เท่านั้น พี่เหยาก็บีบมือแรงจนผมร้องเสียงหลง

“ แล้วเคยได้ยินไหม จะบีบก็ตาย จะคายก็...รอด !” พี่เหยาร้องถาม แต่ไม่ทันที่ผมจะตอบหรือแม้แต่คิดอะไร ในหัวมันก็ว่างเปล่า ทุกประสาทสัมผัส ทุกสติยั้งคิดดูคล้ายจะไปรวมอยู่ที่ปลายเรียวลิ้นของพี่เหยา

ผมก้มลงมองพี่เหยาที่ตอนนี้กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้า นึกอยากร้องห้ามหากแต่ก็ต้องกัดริมฝีปากตัวเองแน่นเพื่อสะกัดกลั้นอารมณ์เอาไว้  ตาของผมพร่า นึกมองเห็นก็แต่ริมฝีปากแดง ๆ ของพี่เหยาที่กำลังครอบครองความร้อนรุ่มของผมอยู่  หูของผมอื้อนึกได้ยินก็แต่เสียงการทำงานของเรียวลิ้นของพี่เหยา และมือของผมก็สั่นระริกจนจานในโตที่ถืออยู่เต็มสองมือนั้นสั่นไปตามมือ

ความปรารถนามันรุมเร้าจนผมไม่สนใจจะหยุดยั้งพี่เหยาอีกต่อไป และในจังหวะที่พี่เหยาขยับคลายริมฝีปากตัวเองผมก็ขยับสะโพกแรงอย่างลืมตัว อาการขยักขะย้อนที่เกิดขึ้นในลำคอของพี่เหยามันเกือบทำให้ผมทนไม่ไหว ถ้าหากไม่มีเสียงพี่เก่งขัดขึ้นเสียก่อน

“ เหยา !” เสียงพี่เก่งเรียกพี่เหยาดังมาจากนอกประตู ผมรีบหันหนี ทันมองเห็นก็แต่พี่เหยาที่รีบขยับตัวลุกขึ้นยืนพร้อมกับที่ใช้มือเช็ดรอยเปียกชื้นที่ปากแดง ๆ ของตัวเอง

“ ทำอะไรวะ เข้ามาหาของกินแค่นี้นานเป็นชาติ !” เสียงพี่เก่งร้องถามและครั้งนี้ดังอยู่แค่ด้านหลังผม

“ คุยกับเอกอยู่...” พี่เหยาตอบ

“ อ้าว ! มานี่ช่วยถือ !” ผมได้ยินเสียงพี่เก่งพูดและครั้งนี้น่าจะพูดกับผม

“ไม่ต้อง !” ผมปฏิเสธเสียงดังกว่าที่ตั้งใจ เพราะตกใจกลัวพี่เก่งจะเดินเข้ามาและมองเห็นว่าผมแต่งตัวไม่เรียบร้อยนัก และก็เป็นพี่เหยาที่เอื้อมมือมารับจานในมือผมไปและน่าจะส่งต่อให้พี่เก่ง แล้วผมก็ได้ยินเสียงพี่เก่งและพี่เหยาเดินออกไป ส่วนผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากแกล้งถอนหายใจเสียงดัง ๆ หวังให้พี่เหยาได้ยิน

หลังจากนั้น สติผมก็แทบไม่อยู่กับตัว ผมฟังทุกคนคุยกันแทบไม่รู้เรื่อง พยายมหัวเราะเมื่อเห็นทุกคนหัวเราะ และพยักหน้าเมื่อคล้ายจะมีคำถามส่งมาที่ผม

“ เป็นไรของมึงวะ ?” บ่อยครั้งที่ไอ้วิทย์ร้องถาม และผมนึกอยากตอบ...กูนึกถึงคืนนี้อยู่ !...แต่ผมก็กัดฟันไว้ไม่ให้ตอบ ทั้งนึกอยากบอกพวกมันให้แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันสักทีแต่ก็ไม่ได้ทำเพราะเห็นพี่เหยายังนั่งหัวเราะสนุกอยู่กับการพูดคุย โดยไม่มีทีท่าจะรับรู้หรือใส่ใจว่าทำอะไรกับผมเอาไว้ ยกเว้นก็แต่บางครั้งที่พี่เหยายิ้มขำมองมาทางผมเมื่อพวกมันถาม...เป็นไรของมึงวะ ?...

 นานกว่าผมจะสงบจิตสงบใจตัวเองลงไม่ให้ฟุ้งซ่านได้ และนานกว่าพวกมันจะตัดสินใจสลายวงเหล้า

ทั้งที่วันนื้เรากะคุยกันเรื่องงานแต่สุดท้าย ดูเหมือนจะคุยกันก็แต่เรื่องสัพเพเหระทั่วไป เรื่องงานนั้นแทบไม่ได้แตะต้องเลย

“ พี่ไปเชียงรายแล้วจะกลับมาเชียงใหม่อีกหรือเปล่า หรือกลับกรุงเทพเลย?” ไอ้วิทย์ถามพี่เหยาตอนที่พากันเดินกลับออกมาจากสวนส้ม เตรียมแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน

“ ทำไม มีอะไร ?”

“ ก็จะได้อยู่คุยกันก่อน วันนี้ไม่ได้คุยอะไรกันสักอย่าง !”

“ เพิ่งรู้ตัว ?” ผมแขวะ เพราะจริง ๆ วันนี้ก่อนและหลังอารมณ์จะกระเจิดกระเจิงไปเพราะพี่เหยา ผมพยายามเปิดประเด็นเรื่องงานก็หลายรอบแต่ก็ไปไม่รอดสักรอบโดนพาไปเรื่องอื่นหมด

ไม่ใช่ว่าผมบ้างาน แต่ผมแค่อยากรู้ว่าแผนการที่วางเอาไว้ ที่ว่าที่เชียงใหม่จะเป็นผมกับพี่เหยาดูแล...ผมอยากรู้พี่เหยาต้องการแบบนั้นหรือเปล่า เพราะแค่วันนี้ผมออกปาก สีหน้าของพี่เหยาก็บอกแล้วว่าไม่ต้องการ...
“ อ้าว !...วันนี้จะคุยกันเรื่องงานเหรอ ? นึกว่าเลี้ยงส่งรงค์ ” พี่เหยาว่าเพราะแค่อีกสองวันไอ้รงค์ก็จะเก็บกระเป๋าลงไปอยู่ที่เมืองจันแล้ว

“ อ้าว...นึกว่าเลี้ยงรับกู ” พี่เก่งพูดบ้างด้วยท่าทางน้อยใจหน่อย ๆ

“ ไปโว้ยเหยา ไม่มีใครให้ความสำคัญก็กลับดีกว่า ” พี่เก่งพูดพลางเอามือกอดคอพี่เหยาจะพาเดินแต่พี่เหยาขืนตัวไว้

“ ไปไหน ?” และเป็นผมที่ร้องถาม

“ ก็กลับบ้านนอน ” พี่เก่งตอบแค่นั้น ผมเลยเพิ่งนึกได้ บ้านที่พี่เก่งพูดคงไม่ได้หมายถึงบ้านของตัวพี่เก่งเอง แต่น่าจะหมายถึงบ้านพี่เหยาซึ่งก็คือคอนโดฯของทอม...จริง ๆ มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อพี่เก่งเป็นเพื่อนพี่เหยา ก็ต้องไปพักกับพี่เหยาไม่มีอะไรแปลก เพียงแต่เมื่อมันมีอะไรมากกว่านั้น ผมและพี่เหยาจึงหันมามองหน้ากันเหมือนจะเพิ่งนึกได้

“ ค้างบ้านผมก็ได้พี่ ” ไอ้ชัยรีบออกตัว แต่พี่เก่งส่ายหัว

“ บ้านมึงเนี่ยนะ ? ไม่เอากูกลัว !” พี่เก่งบอกพลางมองไปรอบ ๆ บ้านไม้สักหลังใหญ่ของไอ้ชัยที่แม้พวกผมจะคบกับมันมาแต่เล็กจนโต จนตอนนี้ก็เคยหลวมตัวมาค้างบ้านมันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือครั้งแรกที่ยังไม่เคยเห็นบ้านมัน

“ กลัวอะไร ?” ไอ้ชัยถามอย่างกับไม่รู้

“ กลัวแม่มึงมั้ง !”

“ งั้นสบายใจ หายห่วงเลยพี่ วันนี้แม่ไม่อยู่...”

“ เฮ้ย ! แล้วที่กูเจอเมื่อเย็น ?! ” พี่เก่งถามหน้าตื่นและไอ้ชัยหัวเราะขำ


“ ไอ้เหี้ยหลอกกู !” พี่เก่งด่า
“ไปนอนบ้านผมพี่ เดี๋ยวผมพูดเรื่องงานคร่าว ๆ ให้ฟังก่อน อยู่กันหลาย ๆคน คุยกันไม่ได้เรื่องทุกที ”ไอ้วิทย์เอ่ยปากชวนด้วยสีหน้าจริงจังโดยมีเรื่องงานมาอ้าง

“ ก็ดีว่ะ ” พี่เก่งเห็นชอบ ผมเลยโล่งอกแต่ก็แค่ไม่กี่วินาทีเพราะพี่เก่งหันมาถามพี่เหยา

“ แล้วมึงขับกลับคนเดียวไหวเปล่าวะ ?” พี่เก่งหันมาถามพี่เหยาอย่างเป็นห่วง เพราะวันนี้พี่เหยาก็ดื่มไปไม่น้อยแก้วเช่นกัน
“ ใครว่ากลับคนเดียว ผมกลับด้วย !” ผมรีบออกตัวอย่างไม่ทันคิดอะไร

“ กูเมาหรือพวกมึงเมาวะ ?” พี่เก่งถามด้วยสีหน้างง ๆ  ผมเลยเพิ่งนึกได้ว่าบ้านผมน่ะเลยบ้านไอ้วิทย์ไปนิด ส่วนพี่เหยาก็ไม่ได้อยู่ข้างบ้านผมแล้ว เวลาที่พี่เหยามาเชียงใหม่ พี่เหยาจะไปพักที่คอนโดฯ ของทอมซึ่งอยู่ไกลจากตัวเมืองไปอีกคนละทาง...แน่นอนว่าเฉพาะแต่เวลาทอมไม่อยู่ที่เชียงใหม่เท่านั้น...ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจทอมหรือพี่เหยา  ผมรู้...เราต่างรู้ ความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวระหว่างทอมกับพี่เหยานั้นจบลงไปนานแล้ว มันจบลงไปแล้วจริง ๆ...แต่บางครั้งความหึงหวงก็ไม่ได้มีความหมายอยู่แค่ที่ความไม่ไว้วางใจ...แม้จะวางใจมากมายเท่าไหร่หากแต่ความหึงหวงก็ยังคงอยู่...เราห้ามความรู้สึกนั้นไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ และพี่เหยาก็เป็นห่วงความรู้สึกของผมมากพอที่จะวางระยะห่างระหว่างตัวเองและทอม แม้ผมจะไม่เคยเอ่ยปากขอร้องเลยก็ตามที

“ ทำไมมึงไปค้างกับไอ้เหยาวะ ?” พี่เก่งถามอย่างงง ๆ เมื่อยังไม่ได้คำตอบ ถ้าผมเป็นพี่เก่งผมเองก็คงสงสัยเช่นกัน...เมื่อพี่เก่งที่เป็นเพื่อนและไม่มีที่พักในเชียงใหม่ออกปากจะไปพักกับพี่เหยา ทุกคนกลับออกปากชักชวนให้ไปค้างบ้านตัวเอง แต่ผมที่มีบ้านอยู่เชียงใหม่แถมไกลกันคนละฝั่งตัวเมืองกลับจะไปกับพี่เหยาซะงั้น

และครั้งนี้ไอ้วิทย์กับไอ้ชัยก็ส่ายหัวให้ผมคล้ายจะบอกว่าไม่รู้จะช่วยยังไงดี...

“ ก็แล้วทำไมจะไม่ได้ !” และเป็นพี่เหยาที่ตอบข้อสงสัยของพี่เก่ง...ฟังคล้ายจะเป็นคำถาม หากแต่สีหน้าและน้ำเสียงของพี่เหยามันเหมือนจะถามพี่เก่งซะมากกว่าว่า...แล้วมึงมีปัญหาอะไร !?...

“ เออ นั่นดิ...มึงไม่ได้เอารถมานี่หว่า ” พี่เก่งพูดดูยังมึน ๆงง ๆสับสนในชีวิตตัวเองยังไงอยู่ แถมยังมีคำตอบให้ตัวเอง...คำตอบที่เป็นจริงแต่ผมและพี่เหยากลับเป็นฝ่ายลืมกันเสียเอง

“ กูอยากมีเพื่อนอย่างนี้บ้างว่ะ หลอกง่ายดีชิบ !” ไอ้วิทย์หันไปกระซิบกับไอ้รงค์ค่อย ๆ หากแต่พอให้พวกผมได้ยิน จะไม่ได้ยินก็แต่พี่เก่งที่พอหมดข้อข้องใจก็เดินนำหน้าออกจากบ้านไปก่อน

“ พี่ขับให้ ” พี่เหยาบอกผมเมื่อเดินมาถึงรถ
   
“ ผมขับเอง ” ผมบอกพลางเปิดประตูรถด้านคนนั่งให้พี่เหยา แต่พี่เหยาก็ยังยืนยันในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยการแบมือและกระดิกนิ้วชี้ ผมเลยต้องหย่อนกุญแจรถลงในมือพี่เหยาอย่างคล้ายจะว่าง่าย เพราะผมนึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าพวงมาลัยรถอยู่ในมือผมแล้วเกิดพี่เหยานึกสนุกเล่นซนขึ้นมาอีก คราวนี้คงไม่มีใครมาขัดจังหวะได้อีก ไม่ใช่ว่าผมไม่นึกปรารถนาในตัวพี่เหยา หากแต่เมื่อนาน ๆ เจอกันที ผมก็นึกอยากนอนกอดพี่เหยาบนเตียงนุ่ม ๆ เพื่อที่จะได้ใช้ทุกหยาดหยดของเวลาอย่างคุ้มค่า ไม่ให้มันจบไปอย่างพร่าเลือนซะมากกว่า
   
“ ได้อยู่กันแค่สองคนสักที !” ผมพูดและถอนใจเฮือกใหญ่หลังจากเข้ามานั่งอยู่ในรถ และพี่เหยาก็ยิ้ม
   
“ นาน ๆ จะเจอกันที ยังอุตส่าห์เอาก้างมาด้วยอีกนะ !”
   “ มันติดคอเอาไม่ออก พยายามแกะมาสองวันแล้ว !” พี่เหยาพูดและหัวเราะ
   
“ ท่าทางพี่เขาเครียดจัง...” ผมตั้งข้อสังเกตที่เห็นจริง ๆ เพราะวันนี้พี่เก่งดูเครียดกว่าที่เคยเห็น
   
“ อือ มันเบื่องานที่บ้านมันจะแย่  งานรับเหมาก่อสร้างก็รู้ ๆ อยู่ว่ามีแต่ใต้โต๊ะทั้งนั้น เดี๋ยวชาวบ้าน เดี๋ยวนักการเมือง ...นี่มันดีใจจนปีกกาง พอรู้ว่าโปรเจ็คที่คุยกันไว้จะเริ่มทำกันสักที ” พี่เหยาบอกและยังคงยิ้มขำ
   
“ อีกตั้งปี กว่าจะเริ่มกันจริง ๆ” ผมบอกถึงข้อเท็จจริง
   
ผมไม่รู้ว่าพี่เหยาจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าตลอดเวลาที่ได้กลับเข้ามานั่งอยูในรถกันตามลำพังนั้น  ผมนั่งหันหลังพิงประตูรถและจับจ้องมองพี่เหยาอยู่ตลอดเวลา
   
ฟ้าข้างนอกมืดสนิท ไม่ต่างจากภายในรถนัก แสงไฟจากถนนที่ส่องเข้ามาในรถนั้นก็ส่องเข้ามาตัดสลับกับความมืดเป็นระยะๆ และเพราะเป็นถนนนอกตัวเมือง บางครั้งบนถนนจึงเหลือแต่ความมืด ไม่มีแสงสว่างส่องเข้ามาสักนิด จะมีก็แค่ไฟจากคอนโซลรถเท่านั้น
   
และแม้จะว่ามืดแค่ไหน หากแต่ผมก็นึกมองเห็นทุกอากัปกิริยาของพี่เหยาชัดเจน นึกเห็นปากแดงๆที่ขยับหัวเราะ นึกเห็นสีหน้าสีตาของพี่เหยาเวลาที่หัวเราะ
   
วันนี้พี่เหยาดูจะอารมณ์ดีกว่าเคย ถ้าไม่นับรวมความลำบากใจเมื่อผมเอ่ยปากร้องชวนให้ขึ้นมาอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่ และเมื่อได้กลับเข้ามาอยู่ภายในรถที่ดูคล้ายจะมีแค่ผมกับพี่เหยา มีแค่ความมืดที่ดูคล้ายทุกอย่างจะสงบเงียบมีก็แต่เสียงหัวเราะเบา ๆ ของพี่เหยาเวลาพูดเล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟัง ผมก็ลืมสีหน้าลำบากใจของพี่เหยาเสียสนิทจนกล้าเอ่ยปากเรื่องเดิมขึ้นมาอีกครั้ง
   
“ ถ้าไอ้วิทย์ลงไปอยู่จัน ไอ้ชัยไปอยู่อุดร พี่ขึ้นมาช่วยผมที่เชียงใหม่นะ ?”ผมร้องถาม และคำตอบก็คือความเงียบที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน แม้มองเห็นอะไรไม่ชัดเจนนักด้วยสายตา หากแต่ผมเห็นสีหน้าลำบากใจของพี่เหยาได้ชัดเจนในความคิด
   
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ภัคD ที่ 24-07-2012 18:46:45
“ ทำไมล่ะ พี่ไม่อยากมาอยู่กับผมเหรอ ?” ผมพยายามถามเรียบเรื่อย ไม่รบเร้า ไม่ดึงดัน เพราะไม่อยากทำลายความสงบเงียบที่ยังโรยตัวอยู่รอบ ๆ ตัว
   
“ไม่รู้สิ...กลัวเอกเบื่อ...” นานกว่าพี่เหยาจะตอบ

“ เบื่ออะไร ?”

“....คาราโอเกะมั้ง !”
“ อ๋อ...รู้น่าว่าพี่หมายถึงอะไร ไม่เบื่อหรอกทั้งแก้มสาว ทั้งสตอเบอรรี่...”อะไรไม่รู้ทำให้ผมเฉไฉออกนอกเรื่องไปซะเอง อาจเพราะผมเริ่มเห็นร่องรอยความหม่นหมองที่จะเกิดขึ้นและผมยังอยากรักษาความสุข ความสบายใจเอาไว้ผมจึงเลือกที่จะเฉไฉเปลี่ยนเรื่องซะเอง

“ เอ้ย ไม่ใช่ !...ทั้งแก้มสาว ทั้งแก้มพี่ ”

“เอ้ย...ทั้งแก้มสาว ทั้งสตอเบอรี่”

“ นี่พูดเล่นหรือพูดจริง...หรือว่าเมา ?” พี่เหยาถามเสียงคล้ายจะดุหากแต่กลับหัวเราะ

“ แค่พูดผิด  แต่หอมไม่ผิดแก้มน่า...” ผมพูด พร้อมขยับตัวไปใกล้

“ เอก พี่ขับรถอยู่นะ !” พี่เหยาร้องเตือนและขยับยกศอกขึ้นมากันท่าผมไว้

“ ทีเมื่อกี้ผมก็ถือจาน...พี่ว่าอะไรนะ ลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลาย ...จะคายก็รอดใช่ไหม ?” ผมแกล้งพูด แกล้งถามพลางแกล้งไต่มือไปตามต้นขาของพี่เหยาช้า ๆ

“...สตอเบอรรี่ หอมเหมือนแก้มพี่....” ผมแกล้งฮัมเพลงเบา ๆ ก่อนโน้มตัวหมายจูบแก้มแดง ๆ ของพี่เหยา แต่พี่เหยาเบี่ยงตัวหนี ผมขยับตัวตามติดจนตัวพี่เหยาถูดเบียดจนชิดอยู่กับประตูรถหมดทางขยับหนีไปมากกว่านั้น แต่ผมก็ยังไม่ทันทำตามที่ใจคิดเพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน

“ เฮ้ย ! มันมืดก็จริง แต่แค่เงาน่ะ กูมองเห็นนะโว้ย !” เสียงไอ้วิทย์ดังมาตามสาย ผมเลยเพิ่งนึกได้ว่า รถไอ้วิทย์ยังขับตามมาข้างหลังและที่นำอยู่ข้างหน้าคือรถไอ้รงค์

“ ดีนะมึง พี่เก่งเขาหลับไปแล้ว !” มันบอกให้คงนึกรู้ว่าผมกำลังกังวลถึงพี่เก่ง

“ มีอะไร ?” พี่เหยาถามเมื่อผมวางสาย

“ เปล่า มันโทรมาถามว่ากระเป๋าตังค์มันอยู่ที่ผมหรือเปล่า...”ผมโกหก และพูดได้เท่านั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ ไอ้เหี้ย มึงทำไรของมึงเนี่ย เกรงใจลูกกะตากูหน่อย !” เป็นเสียงของไอ้รงค์ที่ด่ามาตามสาย

“...ไอ้รงค์...” ผมบอกพี่เหยาที่หันหน้ามามองคล้ายจะถาม

“...ก็ไอ้วิทย์โทรถามมันเรื่องกระเป๋าตังค์ มันก็โทรมาถามผมอีกที...” ผมโกหกก่อนถอนหายใจและพยายามเพ่งตามองออกไปนอกรถ ดูถนนหนทางว่าเมื่อไหร่จะถึงทางแยกที่จะได้แยกย้ายกันไป หากแต่ทุกอย่างก็มืด ข้างทางมีก็แต่ต้นไม้

“ พี่เหนื่อยหรือเปล่า...เปลี่ยนผมขับก็ได้นะ ” ผมหันกลับมาถามพี่เหยา ใจหนึง่นึกเป็นห่วง อีกใจก็นึกอยากเป็นคนเหยียบคันเร่ง จะได้เหยียบให้จมมิด จะได้กลับถึงบ้านเร็ว ๆ 

“ ไม่เป็นไร ”
   
“ ผมขับให้ ” ผมร้องขอแทบจะอ้อนวอน
   
“ ทำไม ?”
   
“ อยากกลับถึงบ้านไว ๆ” ผมสารภาพพร้อมถอนใจยาว ส่วนใจก็คิดไปไหนถึงไหนแล้ว

“ อยากกอดพี่...”

“ แล้วก็อยากจูบ...อยากเยอะแยะไปหมด ” ผมสารภาพหมดเปลือก และพี่เหยาก็หัวเราะ
   
“ งั้นพี่ขับเอง... ขืนเอกขับ เดี๋ยวไม่ถึง !” พี่เหยาบอก ผมก็เลยได้แค่ถอนหายใจ
   
ผมกลับไปนั่งอยู่กับความเงียบอีกครั้ง ได้ยินก็แต่เสียงกลืนน้ำลายของตัวเองเป็นระยะ
   
“ เมื่อก่อนผมก็ว่าบ้านไอ้ชัยไม่ไกลขนาดนี้นะ...” ผมพูดก่อนกดปุ่มเลื่อนกระจกรถลง ยื่นแขนออกไปโบกมือให้ไอ้รงค์ที่เปิดสัญญาณไฟให้รู้ว่ามันกำลังจะแยกเลี้ยวไปอีกทาง แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้เป็นของพี่เหยา ภาษาที่พี่เหยาใช้พูดคุยโต้ตอบกับอีกคนที่ปลายสายนั้น ทำให้รู้ว่าน่าจะเป็นคนในครอบครัวของพี่เหยาเอง หากแต่ดึกจนเลยดื่นขนาดนี้ ผมเลยเดาได้ว่าน่าจะเป็นฟง และก็เป็นเช่นที่ผมคิด หากแต่ไม่ใช่ทั้งหมด

“ ฟงโทรมาจะให้แวะไปรับ...เปลี่ยนใจจะกลับไปนอนคอนโด ฯ” พี่เหยาหันมาบอกเมื่อตัดสายไปแล้ว

ฟงมาเชียงใหม่ล่วงหน้าก่อนพี่เหยาได้หลายวันแล้วโดยขับรถมาเอง  และวันนี้ ในครั้งแรกฟงบอกว่าจะออกไปกับเพื่อนและค้างกับเพื่อนเลยแล้วพรุ่งนี้จึงค่อยมาแวะรับพี่เหยาและไปเชียงรายเพื่อทำธุระด้วยกัน แต่ตอนนี้หลังวางสายพี่เหยาบอกว่า ฟงเปลี่ยนใจ จะกลับมานอนคอนโด ฯ... ผมนึกมองเห็นก้างปลาชิ้นใหญ่ ติดหนึบอยู่ในลำคอ

“ แล้วพี่ว่าไง ?” ผมเอ่ยถามเสียงเอื่อย ๆ รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเฉย ๆ ที่การเจอกันแค่ชั่ววันของผมกับพี่เหยาดูคล้ายจะยุ่งยากเสียเหลือเกินเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเรายังคงเป็นความลับต่อครอบครัวและก็ในหมู่เพื่อน ๆ ของพี่เหยา

“ ก็บอกว่าให้มันกลับเอง คืนนี้พี่ไม่กลับ ” พี่เหยาตอบ แม้เห็นเพียงเงาร่างสลัวในความมืด หากแต่ผมก็นึกรู้ว่าพี่เหยากำลังยิ้มเอาใจ

“ ...งั้น คืนนี้นอนไหนดี ?...”ผมถามด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น

“... ถึงในเมืองแล้วค่อยคิด ” พี่เหยาตอบหลังเงียบคิดไปแป๊บ

“ ทำไมล่ะ ?...แวะนอนตามรีสอร์ทดีกว่าพี่ ?” ผมเสนอ นึกเห็นภาพตัวเองตื่นมาตอนเช้า ๆ อากาศดี ๆ แล้วก็นอนกอดพี่เหยาเอาไว้

“ ไม่เอา...ในเมืองเหอะนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะสาย ” พี่เหยาบอกและผมก็ตามใจ เพราะไม่ว่าจะที่ไหน ขอแค่ให้ผมได้มีเวลาอยู่ตามลำพังกับพี่เหยาบ้าง ผมก็พอใจแล้ว

แต่ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ดังขึ้นที่เครื่องของผม  และเป็นฟงอีกเช่นเคย

“ พี่เอก บอกจึเหยาที หว่อลืมเอากุญแจมา...เข้าห้องไม่ได้ ” เสียงฟงที่ดังมาตามสายนั้นฟังดูแทบจะเป็นการอ้อนวอน ผมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากตอบรับ

“ ใคร ?” ครั้งนี้เป็นฝ่ายพี่เหยาถาม และพี่เหยาคงแปลกใจเพราะผมพูดแค่ไม่กี่คำก่อนตัดสาย แล้วหลังจากนั้นผมก็ไม่ทำอะไรนอกจากนั่งถอนหายใจ

“ ฟง...” ผมบอกก่อนถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างเบื่อหน่ายเต็มที ภาพที่จะได้นอนกอดพี่เหยาเอาไว้ทั้งคืน ลืมตาตื่นมาตอนเช้า ๆ ด้วยกันหายวับไปกับตาอีกหน

“ ฟงบอกว่าไม่มีกุญแจ เข้าห้องไม่ได้  ” ผมขยายความให้พี่เหยาเข้าใจด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปิดบังสักนิดว่ารู้สึกรำคาญใจแค่ไหน

“ ขอโทษ...” พี่เหยาพูดแล้วจับขาผมบีบเบา ๆ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากถอนหายใจ

“ ก็ไปนอนคุยกันก็ได้...” พี่เหยาพูดเสียงเบา มือก็บีบขาผมอย่างเอาใจ

“ นอนคุยกัน?...พี่ครับ ...ผมไม่เจอพี่ตั้งเดือนกว่า พี่นอนอยู่ข้างๆ แล้วได้แค่นอนคุยกัน...ฆ่ากันเลยดีกว่าไหมครับ ?” ผมร้องถามด้วยเสียงที่รู้ว่าตัวเองหงุดหงิด และสิ่งที่พูดแม้จะเป็นสิ่งที่คิดหากแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้ผมพูดออกไปอย่างนั้น อีกอย่างที่ผมนึกอยากพูดออกไปก็คือ...จะให้คุยอะไร ในเมื่อสิ่งที่ผมอยากคุย พี่เหยาก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนสองครั้ง สองคราแล้วว่าไม่เห็นด้วย...

“ งั้นจะแวะที่อื่นหรือเปล่า ?”พี่เหยาถามเสียงแข็งขึ้นบ้าง มือที่เอื้อมมาบีบขาผมอย่างปลอบเอาใจก็ถูกดึงกลับไป
   
“ แวะไหน ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงยังไม่ดีนักเช่นกัน
   
“ ก็ม่านรูดหรือไม่ก็ข้างทางนี่แหละ !” พี่เหยาตอบ
   
“...ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...” ผมพยายามพูดด้วยเสียงที่อ่อนลง แม้ในใจยังคุกรุ่นแต่ผมก็รู้ว่า ที่ผมกำลังโกรธน่ะ พี่เหยาไม่ใช่ต้นเหตุเลย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะโทษว่าอะไรเป็นต้นเหตุของทั้งหมด อาจต้องโทษไปถึงที่ทั้งผมกับพี่เหยาเกิดมาเป็นผู้ชายเลยกระมัง อะไรต่ออะไรจึงไม่ง่ายอย่างที่ควรจะเป็น แม้เวลานี้ที่ผมเอ่ยปากขอโทษ และเอื้อมมือไปกุมมือพี่เหยาไว้และหมายใจจะยกขึ้นมาจูบ หากแต่ผมก็นึกได้ว่า พี่เก่งอาจไม่ได้กำลังหลับอยู่เหมือนอย่างเมื่อครู่และผมก็ไม่แน่ใจนักว่าจากรถไอ้วิทย์ จะมองเห็นในสิ่งที่ผมกำลังคิดจะทำหรือเปล่า สุดท้ายผมก็เลยทำได้แค่จับมือพี่เหยามากุมไว้เฉย ๆ
   
“ ผม...คิดถึงพี่...อยากกอดก็ทำไม่ได้...แค่อยากจูบมือพี่ ก็ยังทำไม่ได้...ทำไมมันต้องขับจี้อยู่อย่างนี้ก็ไม่รู้ !” ผมบอก เริ่มต้นแค่อยากให้พี่เหยาเข้าใจ หากแต่ลงท้ายผมก็พูดด้วยนึกโมโหไอ้วิทย์ขึ้นมาเสียเฉย ๆ
   
“ แล้วเกี่ยวอะไรกันล่ะ ?” พี่เหยาร้องถาม หลังจากเงียบไปคงด้วยไม่เข้าใจที่ผมพูด
   
“ ก็มันขับจี้หลังอยู่อย่างนี้ ทำอะไรมันก็มองเห็น...ถึงจะแค่เงาก็เหอะ อย่างเมื่...” ผมพูดเกือบถึงเรื่องเมื่อครู่ที่ไอ้วิทย์กับไอ้รงค์โทรมา หากแต่ก็กัดลิ้นตัวเองไว้ได้ทัน เพราะถ้าพี่เหยารู้ พี่เหยาต้องโกรธแน่ ดีก็แต่ที่พี่เก่งหลับไปเสียก่อนไม่อย่างนั้นคงต้องอธิบายกันยาว
   
“ผมขอโทษ...ไม่โกรธผมนะ ?”
   
“ ตอนนี้ไม่โกรธแล้ว...” พี่เหยาตอบ นี่แหละพี่เหยา ไม่ใช่ไม่โกรธ หากแต่ตอนนี้ไม่โกรธแล้ว แปลว่าพี่เหยาจะบอกให้รู้ว่า เมื้อครู่นี้โกรธจริง ๆ นะ...
   
“ แล้วเมื่อกี้ที่บอกว่าแวะที่อื่นก่อน...พี่พูดจริงหรือเปล่า ?” ผมแกล้งถาม หากแต่เมื่อพี่เหยาหันมามอง ขยับปากคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง ผมก็รีบบอก
   
“ ผมล้อเล่น !” ผมบอกและพี่เหยาหัวเราะ ก่อนจะยิ่งหัวเราะเมื่อผมพูดต่อ
   
“ ที่จอดรถคอนโดดีกว่า ตื่นเต้นดี !”
   
“ หัวเราะอะไร นี่ผมพูดจริงนะ !” ผมแกล้งย้ำ แต่พี่เหยาก็ยังหัวเราะขำเพราะรู้ว่าผมพูดเล่น
   
“ แล้วฟงเป็นไงบ้าง ?” ผมเปลี่ยนเรื่องพูด เมื่อเรื่องที่ตัวเองถือเอามาพูดล้อเล่นนั้น มันชักทำให้เกิดจินตนาการไปถึงไหน ๆ ผมก็ต้องบอกให้ตัวเองสงบจิต สงบใจเลิกคิดเลิกฝัน เพราะอย่างไรวันนี้ก้างชิ้นใหญ่ก็กำลังนั่งรออยู่ที่หน้าประตู
   
“ อะไรคือเป็นไงบ้าง ?”
   
“ ก็หยก...” ผมถาม เพราะแม้ไอ้รงค์กับแฟนมันจะคบกันมาเกือบ ๆ จะสิบปีแล้ว แต่ก็ดูจะไร้วี่ไร้แววว่า ไอ้รงค์มันจะยอมแต่ง ส่วนหนึ่งผมรู้ เพราะมันไม่อยากย้ายไปอยู่จัน บ้านแฟนมัน แต่เมื่อแฟนมันเป็นลูกคนเดียว ในขณะที่ไอ้รงค์มันมีพี่มีน้อง จึงช่วยไม่ได้ที่มันต้องเป็นฝ่ายย้ายตัวเองไป แล้วอยู่ ๆ มันก็มาบอกว่า มันจะแต่งงานเดือนหน้า และผมจำได้ครั้งหนึ่งฟงเคยจีบแฟนไอ้รงค์ ถึงจะนานมาหลายปีแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้ว่า ... การที่จะเลิกรักใครสักคนหนึ่งนั้น ต้องใช้เวลายาวนานสักแค่ไหน เพราะสำหรับผม ดูคล้ายว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน ผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองรักพี่เหยาน้อยลงเลย เกือบห้าปีแล้วที่ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าพี่เหยาคือคนรักของผม แต่ไม่มีสักวันที่ผมจะรู้สึกว่าความรักของผมมันน้อยลง
   
“ ตั้งกี่ปีแล้วเอก ?!”พี่เหยาตอบในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ผมคิด ...ตอบคล้ายความรักสามารถเลือนหายไปได้ตามวันเวลา
   
“ ตั้งกี่ปีแล้ว...ผมก็ยังรักพี่อยู่เหมือนเดิมนี่นา...”ผมพูดในสิ่งที่คิด ทั้งอยากย้ำให้พี่เหยารู้ เพราะเมื่อพี่เหยาทำท่าคล้ายจะลำบากใจต่อคำร้องขอของผมมาหลายครั้งหลายครา ผมก็อยากย้ำให้พี่เหยารู้...รู้ว่าผมรักพี่เหยา
   
“ ก็ของฟงแค่จีบ...”
   
“ ถ้าไม่รักแล้วจะจีบเหรอ ?”
   
“ เอกก็เคยมีแฟน...เลิกรักเขาหรือยังล่ะ ?” พี่เหยาถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ไร้ร่องรอยการประชดประชัน หรือแม้แต่การเอาชนะข้อถกเถียง
   
“ ยัง...ก็ไม่เคยรักนี่...รักแต่พี่...”อีกครั้งที่ผมย้ำ...ย้ำให้พี่เหยารู้ และคำตอบที่ได้ก็มีแต่เสียงถอนหายใจเพียงเบาๆ เท่านั้น
   “ ผมบอกว่ารักพี่ไปตั้งหลายครั้ง จะไม่พูดกลับสักครั้งเลยเหรอ ?”
   
“พูดทำไมล่ะ ?” อีกครั้งที่เสียงพี่เหยาเรียบเรื่อย ไร้ความรู้สึก
   
“ น่าอิจฉาไอ้รงค์ มีแฟนก็ได้อยู่ด้วยกัน ...” ทั้งที่รู้ว่าควรหยุดพูด ควรเลี่ยงที่จะพูดถึงสิ่งที่นำมาซึ่งข้อขุ่นข้องหมองใจ หากแต่ผมก็ยังพูดออกมา และพี่เหยาก็ยังคงทำเพียงนิ่งเงียบไม่โต้ตอบ จะมีก็แต่ความเร็วของรถเท่านั้นที่ผมรู้สึกว่ามันเพิ่มขึ้น
   “...ได้แต่งงานกัน...แล้ว...” ผมยังพูดในสิ่งที่ยากจะบอกว่าอยากพูดจริงหรือเปล่า และครั้งนี้ดูคล้ายพี่เหยาจะเลิกทน
   
“ นี่จะบีบให้ทะเลาะด้วยให้ได้เลยใช่ไหม ?!”พี่เหยาถามขัดขึ้นเสียงแข็ง
   
“ เอกเพิ่งพูดขอโทษไปเมื่อ 2 นาทีที่แล้วเท่านั้นนะ !”และพี่เหยาขัดขึ้นอีกครั้งเมื่อผมขยับปากจะพูดคำว่า..ขอโทษ
   
เมื่อพี่เหยาพูดอย่างนั้น ผมจึงไม่ได้พูดอะไรอีก นอกจากเอื้อมมือไปกุมมือของพี่เหยาที่จับอยู่บนพวงมาลัย ดูพี่เหยาจะโกรธเพราะพี่เหยาทำท่าคล้ายจะสะบัดมือออกให้พ้นจากการกอบกุมของผมหากแต่ผมยังรั้นกุมมือพี่เหยาไว้ไม่ยอมปล่อย สุดท้ายพี่เหยาจึงเลิกยื้อยุด ปล่อยให้ผมกอบกุมมือของพี่เหยาเอาไว้
   
ผมรู้...พี่เหยาไม่ถือโทษโกรธอะไรผมมากนัก เพราะพี่เหยารู้วันนี้ผมผิดหวังมาทั้งวัน...ผิดหวังมาทุกเรื่อง

วันนี้ แม้แต่ตัวผมเองยังสับสนในอารมณ์ที่หลากหลายของตัวเอง...ผมดีใจที่ได้เจอพี่เหยา หากแต่ก็ผิดหวังเพราะดูคล้ายจะไม่มีเวลาที่ใช้ร่วมกันตามลำพังเลย...ผมดีใจเพราะคิดว่าถึงเวลาที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน หากแต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะสีหน้าหน้าลำบากใจของพี่เหยาก็เหมือนคำปฏิเสธ...ผมไม่อาจบังคับให้ใจตัวเองสงบลง ยอมรับความผิดหวังอยู่เงียบๆได้ พอ ๆ กับที่อยากพยายามจะประคับประคองความสุขอันน้อยนิดที่พอมีอยู่  ทุกบทสนทนา ทุกการกระทำที่พยายามเริ่มต้นขึ้นเพื่อยื้อยุดความสุข มันจึงดูมักจะถูกลากลู่เข้าสู่ข้อกังขาเดิมๆ...ผมไม่ได้อยากบีบให้ทะเลาะ หากแต่ผมอยากให้พี่เหยาพูดออกมาต่างหากว่า อะไรคือเหตุผลของทีท่าลำบากใจเมื่อผมร้องขอให้มาอยู่ด้วยกัน

เมื่อจุดเริ่มต้นของการสนทนา มักจบลงด้วยการบีบให้ทะเลาะอย่างที่พี่เหยาว่า ผมจึงเลือกที่จะนั่งอยู่เงียบ ๆ  นั่งมองดูความเงียบนอกหน้าต่าง

แม้เมื่อได้ยินเสียงบีบแตรจากด้านหลัง ผมจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าพี่เหยาได้แยกเลี้ยวมาอีกทางแล้วและไอ้วิทย์บีบแตรให้เพื่อส่งสัญญาณกล่าวลา

ถนนด้านนอกยังมืด  ไม่มีไอ้รงค์ขับรถนำอยู่ข้างหน้าและไม่มีไอ้วิทย์คอยขับจี้อยู่ด้านหลัง มีแค่ผมกับพี่เหยาเท่านั้น หากแต่ผมก็ยังเลือกจะนั่งอยู่เงียบ พยายามดึงตัวเองให้กลับมาอยู่กับความสุข หากแต่ให้พยายามยังไง ใจของผมมันก็คอยแต่ตั้งคำถาม...ทำไมพี่เหยาไม่อยากที่จะมาอยู่กับผม...ทำไมการจะได้อยู่ด้วยกันกับใครสักคนที่เรารักมันช่างยากเย็น...

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ภัคD ที่ 24-07-2012 18:47:48
ตลอดเวลาพี่เหยาก็เลือกที่จะอยู่กับความเงียบเช่นกัน และผมก็รู้ว่าพี่เหยาเองก็กำลังครุ่นคิด หากแต่ก็ไม่รู้ว่า...คืออะไรที่พี่เหยากำลังคิด

วันนี้ที่ผมคิดว่าดูพี่เหยาจะอารมณ์ดีกว่าเคย...ที่พี่เหยาพูดและยิ้มอย่างเอาใจ ...ทั้งยังมาแกล้งหยอกเย้าผมเล่นที่ในครัวที่บ้านไอ้ชัย และบอกผมว่าคิดถึง ผมเริ่มสงสัย พี่เหยาเพียงแค่หวังทำไปเพื่อเอาใจผมหรือเปล่า...พี่เหยามีความสุขจริงอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า
ผมยอมรับรู้สิ่งรอบตัวอีกทีก็เมื่อพี่เหยาหักเลี้ยวรถเข้าสู่ที่จอดรถของคอนโด ฯ

“ ตรงนั้นว่าง” ผมชี้มือบอกพี่เหยาถึงที่ว่างใกล้ประตูทางเข้า หากแต่พี่เหยาก็ขับเลยผ่านไม่สนใจ

พี่เหยาขับผ่านเลยซองจอดรถที่ว่างอยู่ไปอีกหลายที่ ขับวนขึ้นไปอีกชั้นก่อนขับตรงเข้าสู่ส่วนที่ปลอดคนหากแต่ไม่ถึงกับโล่งไม่มีรถจอด และแทนที่พี่เหยาจะถอยหลังเข้าจอดอย่างที่เคย พี่เหยากลับเลือกที่จะจอดโดยเอาหน้าเข้าอย่างที่พี่เหยาไม่ค่อยจะถนัดนัก

ไม่ต้องเอ่ยปากพูดจากัน ผมก็รู้ว่าพี่เหยากำลังคิดอะไร
   
“...เอาจริงสิ ?!” ผมถาม  มองพี่เหยาที่กำลังขยับตัวข้ามจากที่นั่งฝั่งคนขับมาคร่อมทับบนตัวผม
   
“ หรือไม่เอา ?” พี่เหยากระซิบถามที่ริมหู พลางเอื้อมมือปรับขยับเบาะที่ผมนั่งให้เลื่อนไปด้านหลังจนสุด
   
...พี่เหยาเพียงจะเอาใจ ? ...ผมคิดสงสัย หากแต่เมื่อสัมผัสได้ถึงความปรารถนาของพี่เหยาที่ดูจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผม ผมก็บอกให้ตัวเองเลิกคิด เลิกสงสัย
   
“ ทำไม หรือแอบไปนอกใจ ?” พี่เหยายังกระซิบถามที่ข้างหู และผมก็ทำได้แค่หัวเราะเบา ๆ เพราะพี่เหยาไม่เพียงแต่กระซิบ หากแต่พี่เหยายังไล้ปลายลิ้นเบาๆ ลงที่ปลายติ่งหู ที่ที่พี่เหยาก็รู้ว่ามันไวสัมผัสแค่ไหน
   
“ วิทย์บอกว่ามีสาว ๆ มาติดเอกเพียบ...” พี่เหยาพูดคล้ายตั้งคำถาม หากแต่ก็แค่คล้าย ผมจึงไม่ได้ตอบ ทั้งรู้ว่าพี่เหยาเองก็ไม่ได้ต้องการคำตอบเช่นกัน

“ จะไม่แก้ตัวเลยเหรอ ?” แต่พี่เหยาก็ยังถาม...ยังกระซิบถามที่ริมหูก่อนขบเบา ๆ
   
“ แก้ตัวทำไม สาวติดผม ไม่ใช่ผมติดสาวนี่ !” ผมพูดความจริงและพี่เหยาก็หัวเราะ 
   
มันเป็นจริงอย่างที่พี่เหยาว่า ถึงผมจะคบกับพี่เหยามาได้ร่วมห้าปีแล้ว แต่สำหรับคนอื่น ๆ สถานภาพของผมก็คือยังว่าง มันจึงช่วยไม่ได้ที่จะมีใครต่อใครแวะเวียนกันเข้ามา บางคนรักอิสระและเปิดโอกาสให้ผมฉกฉวยโอกาสที่จะนอกใจอย่างที่พี่เหยาว่า และผมก็โตพอที่จะมองเห็นเรื่องเช่นนี้เป็นของธรรมดา หากแต่ผมก็ไม่เคยหยิบฉวยโอกาสเหล่านั้น ไม่ใช่ไม่กล้า ไม่ใช่เห็นว่าเป็นสิ่งผิด หากแต่ผมกลัว...กลัวพี่เหยาจะเสียใจ ถ้าผมอยากให้พี่เหยาเป็นของผมแค่คนเดียว ถ้าผมอยากเป็นเจ้าของพี่เหยาคนเดียว ทำไมพี่เหยาจะไม่รู้สึกแบบเดียวกัน...แม้ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ แต่ผมก็เชื่อว่า...เมื่อเรารักใครสักคน เมื่อใครสักคนรักเรา ความรู้สึกย่อมไม่แตกต่างกัน...แต่ทำไมพี่เหยาคล้ายจะไม่อยากอยู่ร่วมกับผม...สุดท้ายผมก็กลับมาคิดเรื่องเดิม

“ แล้วฟงล่ะ ?” ผมถาม พยายามเปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนสิ่งที่กลับมาหมกมุ่นให้คิด และเลือกที่จะถามถึงฟงที่ป่านนี้คงนั่งแก่วอยู่ที่หน้าห้อง แต่คำตอบของพี่เหยาคือรอยฟันที่ขบลงที่ปลายติ่งหู คล้ายจะปรามให้ผมเลิกคิดสนใจคนอื่นได้แล้ว

ลมหายใจร้อน ๆ ของพี่เหยาที่เป่ารดที่ปลายติ่งหู กับรอยเจ็บเล็กๆที่ถูกขบกัดและปลายเรียวลิ้นที่พี่เหยาแกล้งหยอกเย้ามันทำให้ขนผมลุกชูชันไปทั้งตัว ความปรารถนาที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นและถูกบังคับให้ดับลงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ตอนนี้มันก็ตื่นตัวขึ้นจนคล้ายจะทนไม่ไหวอีกครั้ง...จนในหัวมันว่างเปล่า ความรู้สึกนึกคิดหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ก็คือการหลอมรวมร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่เหยา

ผมไม่มีโอกาสพูดอะไรได้อีก เพราะพี่เหยาปิดปากผมด้วยริมฝีปากแดงๆของตัวเองโดยที่ไม่ยอมให้ผมตั้งตัวแม้แต่น้อย...

สัมผัสจากริมฝีปากปากและปลายลิ้นพี่เหยานั้น ไม่ได้นุ่มนวล อ่อนโยนเลยสักนิด มันมีแต่ดึงดัน เอาแต่ใจ   และผมก็ได้ยินเสียงครางเบา ๆ ในลำคอของพี่เหยาเมื่อผมเริ่มต้นที่จะโต้ตอบด้วยรสสัมผัสแบบเดียวกัน...สองมือของผมบีบสัมผัสเอวบาง ๆ ของพี่เหยาไว้ และบ่อยครั้งที่ความเสียวซ่านที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมเผลอไผลเพิ่มแรงมือบีบขย้ำลงไปอย่างลืมตัว

เมื่อนึกถึงผิวขาว ๆ ที่ป่านนี้คงเป็นรอยแดงเพราะแรงมือของผม ผมก็นึกอยากจะลิ้มรสความหวานของผิวเนื้อนั้นด้วยปลายลิ้น หากแต่เมื่อผมพยายามจะละริมฝีปากจากริมฝีปากของพี่เหยา  พี่เหยาก็จะตามทวงสัมผัสคืน สองมือพี่เหยาประคองใบหน้าผมไว้ใม่ยอมให้ขยับหนีไปไหน และเมื่อผมยังรั้น ผมของผมก็ถูกดึงคล้ายบังคับให้แหงนเงยขึ้นตอบรับสัมผัสที่มีแต่ความเอาแต่ใจของปลายลิ้นและริมฝีปากของพี่เหยา และสะโพกของพี่เหยาก็เริ่มขยับบดเบียดกับความแข็งขืนของผม

ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว...ผมรู้ว่า เมื่อพี่เหยาเริ่มต้นเช่นนี้ สัมผัสแบบไหนที่พี่เหยาต้องการให้ผมตอบสนอง พี่เหยาไม่ต้องการการถูกสัมผัสที่อ่อนโยน ไม่ต้องการการถูกปกป้องหรือแม้แต่ถูกสัมผัสอย่างถนอมมือ...

“ไปเบาะหลังดีกว่า...” ผมกระซิบชวน แต่ดูคล้ายพี่เหยาไม่ใส่จะฟัง

ในขณะที่ร่างกายส่วนล่างถูกปลุกเร้าด้วยการบดเบียดจากสะโพกของพี่เหยา ร่างกายส่วนบนนั้นผมรู้สึกถึงลมหายใจร้อน ๆสลับกับการหยอกเย้าอันหนักหน่วงของปลายลิ้นที่พี่เหยาเริ่มลากไล้จากลำคอและเลื่อนต่ำลงช้า ๆ หากแต่เน้นย้ำแรงทุกสัมผัส  ปลายนิ้วของพี่เหยาสัมผัสถูกผิวเนื้อของผมเพียงเล็กน้อยในเวลาที่พี่เหยาปลดกระดุมเสื้อของผมออกทีละเม็ด ๆ

ผิวเนื้อที่เพิ่งได้สัมผัสกับไอเย็นของอากาศกลับถูกแทนที่ด้วยสัมผัสร้อน ๆจากปลายลิ้นของพี่เหยานั้น มันทำให้ขนของผมลุกชูชันไปทั้งตัว
เมื่อกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายถูกปลดออก พี่เหยากลับเปลี่ยนท่าที ค่อย ๆ ลูบไล้ฝ่ามือไปทั่วผิวท้อง ทำคล้ายจะเลื่อนต่ำลงหากแต่อ้อยอิ่งรอท่า พี่เหยาจับจ้องผมและหัวเราะคล้ายขำ มองดูผมที่กำลังรอคอยให้พี่เหยาสัมผัสความแข็งขืนชนิดผิวเนื้อต่อผิวเนื้อด้วยใจจดจ่อ

พี่เหยาไม่ปล่อยให้ผมรอคอยอยู่นานนัก  ความแข็งขืนของผมก็ถูกกอบกุมไว้ด้วยฝ่ามือร้อน ๆของพี่เหยา ... ในขณะที่ปลายนิ้วของพี่เหยาเริ่มขยับ พี่เหยาก็ยิ่งเพิ่มแรงอารมณ์ให้กับผมด้วยลมหายใจร้อน ๆ ที่เป่ารดลงที่ต้นคออีกครั้ง

ริมฝีปากเราสัมผัสกันและกันอีกครั้งเมื่อพี่เหยาเพิ่มจังหวะของแรงมือ เหมือนปลายลิ้นของพี่เหยาที่ดึงดันรุกไล่ปลายลิ้นผมจนผมแทบจะเก็บกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่

“ เดี๋ยว พี่..พอก่อน...” ผมได้ยินตัวเองพยายามพูดด้วยเสียงกระท่อนกระแท่นเมื่อพยายามเบี่ยงหลบจากริมฝีปากของพี่เหยา ในขณะที่มือหนึ่งก็จับที่ข้อมือบาง ๆ ของพี่เหยาไว้คล้ายร้องขอให้พี่เหยาหยุดมือ เพราะผมไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงรวดเร็วนักถึงมันจะเป็นเพียงครั้งแรกและผมก็แน่ใจว่า ทั้งผมและพี่เหยาคงไม่ยอมให้มันจบลงเพียงแค่ครั้งเดียว หากแต่พี่เหยากลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่ผมร้องขอ...พี่เหยาเร่งเร้าจังหวะของปลายนิ้วให้เร็วขึ้น แล้วความอดทนของผมก็ถึงขีดสุดเมื่อพี่เหยาขบเข้าที่ปลายติ่งหูของผมและแกล้งกระซิบแผ่ว...น่านะ แล้วเดี๋ยวพี่จะให้เอาคืน...

“ พี่แกล้งผม...แป๊บเดียวเอง ” ผมแกล้งครวญอย่างนึกเสียดาย ความสุขที่จบไปอย่างรวดเร็ว

“ ไม่ได้แกล้ง...เขาเรียกว่าคิดถึงต่างหาก !” พี่เหยาพูดทั้งหัวเราะ  ปลายนิ้วยังขยับอยู่ต่อเนื่อง ต่างกันก็เพียงคราวนี้มันไม่ได้มีเพียงความร้อนจากมือของพี่เหยาเท่านั้น หากแต่มือของพี่เหยายังโชกชุ่มด้วยหลักฐานแห่งความสุขที่ผมเพิ่งปลดปล่อยออกมา ผมรู้ว่าพี่เหยากำลังเตรียมความพร้อมให้กับตัวเอง และพี่เหยาก็เพียงแต่จะบอกผมว่า เวลานี้ พี่เหยาเองก็พร้อมแล้วเช่นกัน

“ การลงทุนมันมีสองอย่าง....การลงทุนระยะยาวแล้วก็สั้น...” พี่เหยายังพูด ยังหัวเราะ มือของพี่เหยาก็ยังคงเร่งขยับปลุกเร้าอารมณ์ของผม

“ ระยะสั้น ถึงผลตอบแทนมันจะน้อยไปนิด...แต่พี่ก็ชอบนะ เพราะมันหมุนเวียนเอามาใช้ใหม่ได้หลาย...หลายครั้ง...เห็นไหม ?” พี่เหยาถาม พลางไล้ปลายนิ้วเบา ๆ  ไปบนส่วนที่ร้อนรุ่มของผมซึ่งกำลังขยายตัวขึ้นมาอีกครั้งคล้ายช่วยยืนยันคำพูดของพี่เหยา

“ งั้น...ก็ถึงทีผมเอาคืนแล้วสิ ?” ผมถามและพี่เหยาตอบรับโดยการหัวเราะเบา ๆ ก่อนโน้มตัวประทับริมฝีปากลงที่ริมฝปากผม และเริ่มหยอกเย้าผมด้วยปลายลิ้นอีกครั้ง

ผมขยับยกสะโพกพี่เหยาขึ้นหมายจะปลดเปลื้องกางเกงพี่เหยาออก หากแต่พี่เหยาขืนตัวไว้ และผมรู้ว่าการขัดขืนนั้นไม่จริงจังนัก พี่เหยาเพียงส่งสัญญาณบอกให้ผมรู้ว่า ในเวลานี้ สัมผัสแบบไหนที่พี่เหยาต้องการ  ผมจึงเพิ่มแรงกำลังมือ หากแต่ครั้งนี้ไม่ได้หวังเพียงขยับยกสะโพกพี่เหยาขึ้นเท่านั้น แม้ที่จะคับแคบหากแต่ผมก็ฝืนบังคับพลิกให้พี่เหยามานอนอยู่เบื้องล่างและผมเป็นฝ่ายคร่อมทับอยู่เหนือตัวพี่เหยา โดยที่ตลอดเวลานั้น แขนสองข้างของพี่เหยายังคงกอดรัดรอบคอผมเอาไว้ เหมือนปลายเรียวลิ้นของพี่เหยาที่ยังดึงดันรุกไล่ปลายลิ้นผมอยู่ไม่ลดละ

ผมยกสะโพกพี่เหยาขึ้น ปลดเปลื้องกางเกงผ้าเนื้อดีออกพร้อมๆกับที่ลูบไล้ไปทั่วเรียวขาขาว

“ เอาล่ะ...ที่นี้ก็ถึงเวลามาดูกันว่า ของผมน่ะ มันลูกไก่อย่างที่พี่ว่าหรือเปล่า!” ผมแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงหมายมาดเมื่อใช้สองมือขยับแยกเรียวขาพี่เหยาออก

ตลอดเวลาที่ผมแกล้งหยอกเย้าพี่เหยาด้วยคำพูด พี่เหยาไม่โต้ตอบสักคำ ผมได้ยินก็เพียงจังหวะลมหายใจที่แสดงออกถึงอารมณ์ปรารถนาของพี่เหยา เช่นเดียวกับปลายนิ้วที่พี่เหยาลูบไล้ไปทั่วแผ่นอกของผม และสะโพกของพี่เหยาก็ขยับยกคล้ายร่ำร้องหาสิ่งที่ผมกำลังจะหยิบยื่นให้

ผมรั้งมือพี่เหยาเอาไว้ เมื่อพี่เหยาจะขยับล๊อคปรับเบาะให้เอนนอนลงเพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ

และหลังจากที่แกล้งอ้อยอิ่งอยู่กับการหยอกเย้าอยู่นาน ผมก็ทำตามที่พี่เหยาปรารถนา ผมขยับยกสะโพกพี่เหยาขึ้นอีกครั้งดึงรั้งมันเข้าหาตัวพร้อม ๆ กับที่ส่งกายผ่านเข้าสู่ความร้อนในตัวพี่เหยา ไม่อ่อนโยน ไม่นุ่มนวล  ตรงกันข้ามมันดูมุทะลุ ดุดัน เพราะนั่นคือสัมผัสที่พี่เหยาต้องการในเวลานี้ หลักฐานคือร่างกายพี่เหยาที่ผวาขึ้นรับการรุกรานในครั้งนี้และเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากแดงๆที่เผยอขึ้น... ผมไม่รอให้พี่เหยาตั้งตัว  ส่งกายขยับผ่านเข้าสู่ความรุ่มร้อนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยความรวดเร็วและรุนแรง

พี่เหยาผวาขึ้นสุดตัวเมื่อผมขยับล็อคปรับเบาะให้เอนลงโดยไม่ให้พี่เหยารู้ตัว  และเพราะรองรับน้ำหนักตัวของผมและพี่เหยาอยู่ เบาะจึงเอนลงคล้ายกระแทก และทุกจังหวะของการกระแทกและกระทั้นที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนั้นก็ถูกส่งผ่านไปยังพี่เหยา มันทำให้ เสียงที่เล็ดลอดออกจากลำคอของพี่เหยานั้นคล้ายเจ็บปวดหากแต่ก็แฝงร่องรอยความพึงพอใจไว้อย่างยิ่งยวดเช่นกัน ...

ผมยังส่งกายผ่านต่อเนื่องด้วยจังหวะที่ไม่ยอมผ่อนแรงลงแม้แต่นิด...ยิ่งรู้สึกถึงปลายเล็บของพี่เหยาที่จิกลงบนผิวเนื้อเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเร่งจังหวะให้เร็วแรงขึ้นเท่านั้น

ตราบเมื่อพี่เหยาไม่สามารถเก็บกักเสียงแห่งความพึงพอใจไว้ได้ในลำคอ สองมือของพี่เหยา เกร็งขยุ้มคอเสื้อของผมและเหนี่ยวรั้งตัวขึ้น ผมจึงโอบแขนขยับยกสะโพกของพี่เหยาขึ้นให้ทุกจังหวะการรุกล้ำเสียดสัมผัสกับจุดไวความรู้สึกที่ภายใน ผมโน้มตัวลงสัมผัสริมฝีปากพี่เหยาอีกครั้งเมื่อพี่เหยาเกร็งกระตุกไปทั้งตัว ผิวเนื้อที่ผมโอบกระชับไว้นั้นก็สั่นระริกไหว ปลายเรียวลิ้นของพี่เหยาไม่ได้โต้ตอบสัมผัสจากปลายลิ้นผมเลยสักนิด มันก็เหมือนส่วนอื่น ๆ ทั่วร่างกายของพี่เหยาที่กระตุกเกร็ง และผมก็กลืนกินทุกเสียง ทุกลมหายใจร้อน ๆที่พรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากระริกไหวนั้นจนหมด

แม้ความถี่กระชั้นของลมหายใจของพี่เหยาจะลดลง ปลายเรียวลิ้นเริ่มตอบสนองผม สองมือที่กำคอเสื้อผมไว้แน่นก็คลายแรงลงจนที่สุดพี่เหยาก็ปล่อยมือ ทิ้งตัวลงบนเบาะอีกครั้ง หากแต่ผมก็ยังตามติดทวงความหวานจากริมฝีปากแดงๆนั้นอยู่ สองมือผมยังโอบกระชับขยับยกสะโพกพี่เหยาไว้และยังส่งกายผ่านเร็วและแรงเฉกเช่นเดิม ไม่ผ่อนปรนลงสักนิดแม้จะสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยอ่อนจากลมหายใจของพี่เหยา ตรงกันข้ามความรุนแรงที่เกิดขึ้น ความเหนื่อยอ่อนของพี่เหยาที่ปรากฏให้เห็น มันกลับยิ่งยั่วยุให้ผมอยากบดขยี้พี่เหยาลงที่ตรงนั้น...ผมจึงยิ่งเพิ่มแรงกาย โถมแรงกำลังทั้งหมดที่มีเข้าใส่ หวังสัมผัสความลึกล้ำภายในตัวพี่เหยาให้ได้มากที่สุด แต่ให้เท่าไร ผมก็กลับไม่พอใจในความลึกล้ำที่กำลังครอบครองอยู่

“ เอก...พี่เจ็บ...” พี่เหยากระซิบเสียงแผ่วเมื่อโอบสองแขนรอบคอผมไว้...และผมรู้ในถ้อยคำนั้น มันมีความจริงอยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ส่วนอีกครึ่งนั้นหวังยั่วยุสติผมให้ขาดสะบั้นลง ยิ่งกว่านั้นร่างกายพี่เหยาก็เริ่มตอบสนองผมอีกครั้งหนึ่งแล้ว

เมื่อพี่เหยาตั้งใจยั่วยุ มันจึงไม่หลงเหลือการรั้งรอใด ๆ อีกต่อไป ผมขยับยกสะโพกพี่เหยาให้สูงขึ้น  วางเรียวขาขาวพาดลงที่บนบ่าหมายใจไม่ให้พี่เหยาได้มีโอกาสขยับถอยหนีได้ตามใจ และครั้งนี้เมื่อขยับกายผ่านอีกครั้ง ผมก็ขยับยกสะโพกตัวเองขึ้น และผมก็แทบจะทนไม่ไหวเมื่อพี่เหยาส่งเสียงครางออกมาอย่างไม่ทันเก็บกลั้น ผมดึงแขนของพี่เหยาที่โอบรอบคอผมอยู่ออกและฝืนบังคับจับรวบลงที่ตรงหน้า เช่นเดียวกับริมฝีปากแดง ที่ผมโน้มลงบดเบียดไม่เหลือที่ว่างให้มีเสียงใดได้มีโอกาสเล็ดลอดออกมาอีก

สองแขนของพี่เหยาบิดเกร็งพยายามเรียกร้องคืนอิสระให้กับตัวเอง หากแต่ผมก็ยังฝืนบังคับจับไว้ดึงร่างพี่เหยาให้สอดรับกับจังหวะการกระแทกกระทั้นที่มิได้ผ่อนปรนแรงลงแม้แต่นิด ตรงข้ามผมโถมทุกแรงกำลังที่มีเข้าใส่ หวังบดขยี้ หวังความลึกล้ำ หวังจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันให้มากที่สุด...หากแต่ให้ลึกล้ำเท่าไร ผมก็ยังไม่รู้สึกว่าเพียงพอ...

บ่อยครั้งที่ผมเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ อยากปลดปล่อยทุกหยาดหยดความปรารถนาที่มีสู่ความรุ่มร้อนภายในตัวพี่เหยา หากแต่ผมก็พยายามเก็บกลั้นไว้  ตราบจนเมื่อพี่เหยาพร้อม ผมจึงตามใจความปรารถนา สัมผัสความสุขทั้งหมดทั้งมวลพร้อมๆ กันกับพี่เหยา

ในลานจอดรถที่ไม่มีใครอยู่เลยนั้น มันเงียบจนน่าจะมีก็แต่ผมกับพี่เหยา และพี่เหยาก็คงจะคิดเช่นนั้นเหมือนกัน ระหว่างที่เดินไปยังลิฟท์ พี่เหยาจึงเกี่ยวแขนคล้องกอดแขนผมและเอนซบลงที่หัวไหล่ของผม
   
“ สมองปลอดโปร่ง...ค่อยคิดอะไรออกหน่อย !” ผมพูดและพี่เหยาก็หัวเราะ
   
“ ก็จริงนี่ ก่อนหน้านี้ใครแหวกเข้ามาดูในหัวผม ต้องว่าผมเป็นตัวลามกแน่... แต่ผมว่า น่าจะพอกันแหละ ?!” ผมพูดและขยับยกไหล่ที่พี่เหยาอิงซบอยู่เป็นเชิงถามและพี่เหยาก็ยิ่งหัวเราะ

   “ หัวเราะอย่างนี้ แปลว่าจริง ?”

   “ มีใครบอกเคยบอกไหมว่าเอกพูดมาก !...ไม่โรแมนติกเลย เวลาแบบนี้เขาต้องเงียบ ๆ” พี่เหยาพูดพลางกระชับแขนที่กอดผมอยู่คล้ายจะบอกให้ผมหยุดขยับแขนเสียที

   “ ก็พี่ไงบอก! จำไม่ได้เหรอเมื่อก่อนมานั่งอ่านหนังสือห้องผม ผมพูดคำก็ว่าผมพูดมาก...ส่วนเรื่องไม่โรแมนติกนี่...พี่ชอบคนทำตาเยิ้ม ๆ เหรอ ?” ผมถามแกล้งทำตาเยิ้มใส่ และพี่เหยาก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อแหงนเงยหน้าขึ้นมามอง

   “ แล้วที่พูดอยู่เนี่ย พี่โรแมนติกมากเลยนะ !” ผมพูด ขยับแขนนึกอยากยกขึ้นโอบพี่เหยาที่ยังคงหัวเราะไม่หยุด หากแต่พี่เหยากลับยื้อไว้ กอดแขนผมไว้ไม่ยอมปล่อย

   มันคงดีไม่น้อย ถ้าเราจะเดินกอดกันและกันเช่นนี้ได้ในทุกที และทุกเวลาที่เราต้องการ ไม่ใช่เพียงในที่ ที่ลับตาคนเช่นนี้

   ภายในลิทฟ์ ผมมองดูเงาตัวเองกับพี่เหยาที่สะท้อนอยู่ที่ประตูลิฟท์ พี่เหยายังสอดแขนคล้องแขนผมอยู่ นานครั้งผมก็ก้มจูบพี่เหยาที่หน้าผาก และพี่เหยาก็ยิ้มรับ

   เราต่างเริ่มอยู่ในความเงียบ ที่คงไม่ใช่ความโรแมนติก ตัวเลขบอกลำดับชั้นที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ มันเป็นตัวบ่งบอกว่า เวลาที่เราจะได้ยืนกอดกันและกันอยู่นี้กำลังจะจบลงในอีกไม่นาน อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเราจะยืนกอดกันอย่างนี้ไม่ได้อีก และในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เราก็ต้องแยกย้ายกันไปอีก ผมจะมีโอกาสก็แต่ฟังเสียงพี่เหยาผ่านทางสายโทรศัพท์เท่านั้น

   ผมมองดูพี่เหยาจากภาพเงาที่สะท้อนจากประตูลิฟท์ และพี่เหยาก็กำลังจ้องมองตอบผมกลับมาเช่นเดียวกัน...ปากแดง ๆ ของพี่เหยาขยับยิ้มเมื่อผมก้มลงจูบพี่เหยาที่กระหม่อม

   ...ทั้งที่พี่เหยาก็ดูมีควาสุขดีเมื่ออยู่กับผม เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของพี่เหยาไม่ได้เจือปนด้วยร่องรอยความเศร้าแม้แต่น้อย แล้วทำไมดูคล้ายพี่เหยาจะหลีกเลี่ยงที่จะมาอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่กับผม...ผมเริ่มกลับมาคิดอีกครั้ง เมื่อเวลาที่จะได้ยืนกอดพี่เหยาอยู่นี้เหลือน้อยลงทุกที

   แต่แรกเริ่ม พี่เหยาก็ดูกระตือรื้อร้นดีกับธุรกิจที่จับมือร่วมกันทำ เรื่องขยายสาขาก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ มันถูกวางไว้แต่แรกเริ่มตั้งแต่พี่เก่งออกปากชักชวนเรื่องสาขาทางภาคอีสาน ตั้งแต่เรารู้ว่าสักวันไอ้รงค์ต้องย้ายตัวเองไปอยู่บ้านแฟนมันที่เมืองจัน และด้วยจำนวนคนที่จับคู่กันอย่างลงตัวที่จะเป็หัวเรือคอยดูแลจัดการแต่ละสาขาในสามจังหวัดนั้น พี่เหยาน่าจะรู้ว่าวันหนึ่งพี่เหยาต้องลงมาช่วยอย่างเต็มตัว...พี่เหยาน่าจะตกลงปลงใจไว้แต่แรกแล้วว่าวันหนึ่งพี่เหยาต้องส่งผ่านงานที่บ้านให้ฟงหรือพี่คิม...หากแต่วันนี้ดูพี่เหยาคล้ายจะไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด

“ ก่อนมา พ่อพี่พูดถึงเอกทั้งวันเลยนะ...ป๊าบอกว่าเอกเก่ง อายุเพิ่งเท่านี้ทำได้ตั้งขนาดนี้ ” แล้วพี่เหยาก็พูดขึ้นทั้งยิ้มขำ ที่เมื่อครู่ใช้แขนเพียงข้างหนึ่งเกี่ยวคล้องแขนผมไว้ พี่เหยาก็โอบกอดไว้ทั้งสองแขน
 
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ภัคD ที่ 24-07-2012 18:48:48
“ จริงสิ  !?”  ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องถามออกไป หากแต่จริง ๆ มันไม่ใช่การร้องถามเพื่อเอาคำตอบ เพราะความจริงแล้วมันเป็นแค่การอุทานออกมาด้วยความดีใจ และแม้ไม่ต้องเห็นภาพตัวเองที่สะท้อนจากประตูลิฟท์ ผมก็รู้ว่าตัวเองกำลังยิ้มจนหน้าน่าจะบานเท่ากระด้งเลยกระมัง

หากเรามีใครสักคนที่เรารัก คงไม่มีอะไรจะน่าภาคภูมิใจเท่าการที่ทำให้คนที่เรารักภูมิใจ

ยิ่งสำหรับผมด้วยแล้ว อดีตที่ผ่าน ๆ มา มันทำให้ผมกังขาอยู่เสมอ อะไรทำให้พี่เหยาเลือกที่จะรักผม...และเมื่อหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ บางคราบบางคราผมจึงอดไม่ได้ที่จะกังวล ยิ่งท่าทีของพี่เหยาวันนี้ด้วยแล้ว ผมยิ่งกังวลใจ

ตอนนี้เมื่อพี่เหยาพูด...ป๊าบอกว่าเอกเก่ง...ผมจึงอดไม่ได้ที่จะดีใจ

เวลานี้ที่พี่เหยากอดผมไว้ด้วยสองแขน...ผมมองเห็นความภาคภูมิใจในดวงตาของพี่เหยาที่จับจ้องมองผม เห็นมันในรอยยิ้มของพี่เหยา ... แล้วจะไม่ให้ผมดีใจได้อย่างไร

“ ป๊ายังบอกเลยว่าเสียดายที่เอกอายุน้อยไปนิด...” พี่เหยาพูดและหัวเราะออกมาคล้ายกำลังนึกคิดอะไรอยู่

   “ ทำไม ?” ผมถามและอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นพี่เหยาหัวเราะอย่างนั้น

   “ ก็ท่าทางป๊าอยากจะได้เอกเป็นลูกเขยน่ะสิ  ” พี่เหยาพูดยังหัวเราะขำ สองมือที่เกาะเกี่ยวผมไว้ ก็ยิ่งกระชับแน่น คล้ายบ่งบอกความเป็นเจ้าของ

   “ ก็เป็นอยู่แล้วนี่ ป๊าพี่ไม่รู้เอง !” ผมบอกและพี่เหยาหัวเราะ และผมก็อดใจไม่ได้ที่จะก้มลงจูบปากแดง ๆ ที่กำลังหัวเราะอยู่นั้นอีกครั้ง

   เมื่อละริมฝีปากจาก พี่เหยาก็ยังมองผมและยิ้ม ...  แล้วอะไรที่ทำให้พี่เหยาลังเล ...ผมนึกถามตัวเองแต่ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เช่นเดิม

   เมื่อตกอยู่ในห้วงความคิด ความกังวลเดิม ๆ อีกครั้ง ผมก็เผลอตัวถอนหายใจออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งที่ปากยังไม่หยุดขยับยิ้มเสียทีเดียว

   ตัวเลขบอกลำดับชั้นมันก็บอกว่าเวลาเหลือน้อยลง ๆ เรื่อย ๆ

   “ คิดอะไร ?” พี่เหยาร้องถาม ยังมีรอยยิ้มอยู่บนปากแดง ๆ เช่นเดิม หากแต่เพียงสักพัก ดวงตาของพี่เหยาที่มองดูผม มันก็คล้ายจะบอกว่า พี่เหยารู้แล้วว่าอะไรที่ผมกำลังคิด รอยยิ้มที่ปากแดง ๆ ของพี่เหยามันก็เริ่มที่จะจางไป

   “...คิดว่า...” อีกครั้งที่ผมถอนหายใจออกมา เพราะนึกไม่ออกว่าจะโกหกว่าอะไรดี ไม่อยากพูดความจริง ยังอยากให้พี่เหยายิ้ม อยากให้พี่เหยาหัวเราะ

   พี่เหยาไม่ต้องการคำตอบที่แท้จริง...ผมรู้ เพราะสีหน้าและดวงตาของพี่เหยามันบอกผมว่าอย่างนั้น
   “คิดว่า...ทำไมเสียงลิฟท์มันดังจัง...” ผมหาคำตอบได้ในที่สุด และพี่เหยาเพียงพยักหน้ารับ

   ผมรู้ว่าพี่เหยารู้ว่าผมหลบเลี่ยงที่จะตอบ เหมือนที่ผมรู้ว่า พี่เหยารู้ว่าคำตอบที่แท้จริงคืออะไร...

   แล้วพี่เหยาก็คลายแขนที่กอดเกี่ยวแขนผมออกเมื่อประตูลิฟท์เลื่อนเปิดออกช้า ๆ ... หมดเวลาที่จะได้อยู่กันตามลำพังแล้ว...ผมบอกตัวเอง

   ผมปล่อยให้พี่เหยาเป็นฝ่ายเดินนำออกไป ส่วนผมก็เดินตามและครุ่นคิดพยายามหาคำตอบให้ตัวเองอีกครั้งว่าทำไมพี่เหยาถึงไม่อยากที่จะมาอยู่กับผม

   ฟงเรียนจบแล้ว พี่คิมก็เรียนจบแล้ว และต่างก็กลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัวแม้ไม่ใช่สาขาวิชาที่เรียนมา

   ...แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน ? ...ผมคิดและตอบตัวเองไม่ได้

   “ เอก !” พี่เหยาเรียกเพราะ ในขณะที่พี่เหยาเดินลัดเลี้ยวไปอีกทาง ผมกลับหมกหมุ่นอยู่กับการครุ่นคิดและยังเดินตรงไปข้างหน้า

   ดูคล้ายพี่เหยาจะกัดริมฝีปากตัวเองไว้ได้ทันก่อนจะเผลอตัวร้องถามผมว่า...คิดอะไร?...และผมนึกรู้ว่าถ้าพี่เหยาร้องถามออกมา ครั้งนี้เสียงพี่เหยาคงแฝงรอยดุ คิ้วที่ขมวดอยู่ของพี่เหยามันบอกผมอย่างนั้น

   ฟงรออยู่ที่หน้าประตูห้อง หากแต่ไม่ใช่ในสภาพที่ผมคิด

   น้ำเสียงที่ส่งผ่านมาทางสายโทรศัพท์นั้น ไม่ได้บอกสักนิดถึงอาการมึนเมา หากแต่สภาพฟงที่มองเห็นในเวลานี้กลับนั่งพิงประตูหลับ คอพับคออ่อน

   กลิ่นเหล้าไม่แรงนัก หากแต่พี่เหยาใช้เท้ายกเตะเท่าไหร่ฟงก็ไม่ตื่น

   “ อย่างนี้ เตะยังไงก็ไม่ตื่นมั้งพี่ ” ผมบอก หลังจากยืนมองดูพี่เหยาเตะฟง

   “ เมาขนาดนี้แล้วมันขับรถกลับมายังไง !” พี่เหยาบ่นพึม ก่อนแตะเข้าให้แรง ๆ อีกที

   “ไม่ได้เอารถไปมั้งพี่ ถึงบอกให้แวะรับ ”

   “ แล้วเพื่อนมันไปไหน พามาส่งแล้วทิ้งไว้อย่างนี้เนี่ยนะ !” พี่เหยาพูดพลางเลี้ยวมองซ้ายขวาอย่างกับหวังเจอเพื่อนฟงยืนอยู่

   “ ขึ้นรถกลับมาเองมั้ง ” ผมออกความเห็น

   “ เมาอย่างนี้แล้วยังให้กลับเองเนี่ยนะ !” พี่เหยาก็ยังขัดความเห็นผมเช่นเดิม

   “ไม่รู้สิ...ฟงตื่นแล้วพี่ค่อยถามแล้วกัน ” ผมตัดบท

   “ เมาอย่างนี้ มันคงจำอะไรได้หรอก นี่ถ้าป๊าเห็นนะ !” พี่เหยาพูดและถอนหายใจก่อนทำท่าจะยกเท้าขึ้นแตะฟงอีกที หากแต่ครั้งนี้ผมยกแขนกันไว้ซะก่อน

    “ พี่เปิดประตูก่อน เดี๋ยวผมเอาฟงไปเอง...” ผมบอก เพราะขืนช้ากว่านี้ผมว่าพรุ่งนี้ตื่นมาฟงคงมีรอยช้ำเต็มตัวแน่

“ นี่ถ้าพี่มาคนเดียว โดนมันทับตาย ” ผมบอกเมื่อเอาแขนฟงพาดบ่าผมและพยุงให้ลุกยืน ตอนเจอกันครั้งแรกฟงก็สูงเลยหน้าผมไปแล้ว  หากแต่ตอนนั้นยังผอม ไม่ได้ทั้งสูง ทั้งใหญ่ขนาดนี้   ที่ผมกำลังยืนหิ้วปีกฟงอยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้สบาย ๆ

“ ก็ปล่อยมันนอนหน้าห้อง !” พี่เหยาบอกก่อนหันมาตบหัวฟงเข้าอีกที และผมต้องรีบยกมือขึ้นป้องไว้เพราะพี่เหยาทำท่าจะตบเข้าอีกหน

“ ทำไม เดี๋ยวนี้ฟงเกเรเหรอ ?” ผมถาม เพราะดูจากท่าทีของพี่เหยาแล้ว ไม่น่าจะใช่ครั้งแรกที่ฟงเป็นแบบนี้ และพี่เหยาก็ขยับปากคล้ายจะตอบหากแต่ก็เปลี่ยนใจ ทำเพียงเปิดประตูกว้างและเบี่ยงหลบให้ผมพาฟงเข้าไปก่อน

“ หลับไม่รู้เรื่องอย่างนี้ ปล่อยให้นอนที่โซฟาดีไหม ?” ผมถามความเห็นหากแต่ไม่รอคำตอบ ผมก็พยุงฟงให้ล้มตัวนอนลงบนโซฟาตัวใหญ่

“ ดี น้ำก็ไม่อาบ ปล่อยให้นอนตรงนี้แหละ !”

“ อือ...ในห้องจะได้มีแต่พี่กับผม...” ผมก้มลงกระซิบแผ่ว เพราะเมื่อฟงเมาหลับไม่รู้เรื่องอย่างนี้ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องสนใจอีกต่อไป หากแต่ดูพี่เหยาจะสน เพราะพี่เหยามองหน้าผมก่อนหันไปมองฟงและหันกลับมามองผมอีกครั้งพร้อมส่ายหัว

“...นะ ?” ผมร้องขอก่อนโอบแขนรอบเอวพี่เหยาและดึงรั้งพี่เหยาเข้ามากอด

“ นะครับ?...ไม่เจอกันตั้งนาน ยังไม่หายคิดถึงเลย...” ผมรบเร้าและพี่เหยาก็ยอมตามใจในที่สุด

คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า รสสัมผัสที่เพิ่งจบไปเพียงไม่กี่นาทีที่ผ่านมานั้น มันเป็นรสสัมผัสที่ดึงดัน รุนแรงเอาแต่ใจ สนองตอบก็แต่อารมณ์ปรารถนาภายในใจที่ถูกเก็บกักเอาไว้เพราะไม่ได้พบหน้ากันนานกว่าเดือน หากแต่รสสัมผัสในเวลานี้นั้นตรงกันข้าม มันนุ่มนวล เชื่องช้า คล้ายพยายามจะจดจำทุกร่องรอยการสัมผัส เพื่อจะได้คิดถึงมันได้อย่างชัดเจนในช่วงเวลาที่จะไม่ได้เห็นหน้ากันและต้องจมจ่อมอยู่กับความคิดถึงอีกครั้ง

แม้จะยังไม่อิ่มเอมในรสสัมผัส  และแม้พี่เหยาจะไม่ได้เอ่ยปากห้ามปราม หากแต่ผมก็บอกให้ตัวเองพอ ให้พี่เหยาได้พักบ้าง

ผมนอนโดยโอบสองแขนกระชับกอดพี่เหยาไว้จากด้านหลังและบ่อยครั้งที่โน้มจูบพี่เหยาเบา ๆ บนปลิวผมเส้นเล็ก ๆ  บนแก้มแดง ๆ  บนต้นคอและไหล่ขาวๆ...และทุกครั้งที่ผมทำอย่างนั้น พี่เหยาก็จะกระชับมือที่กอบกุมมือผมอยู่ แม้ไม่เห็นหน้า หากแต่ผมก็รู้ว่าพี่เหยากำลังยิ้ม

“ พี่คิดอะไรอยู่ ?” ผมถาม แม้พี่เหยาจะนอนนิ่งไม่ขยับไหว แต่ผมรู้ว่าพี่เหยายังไม่หลับ

“ เปล่า...” พี่เหยาตอบเบา ๆ ลูบมือบนแขนของผม ผมจึงกระชับแขนกอดพี่เหยาให้แน่นขึ้น

“ จะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว...” พี่เหยาพูดพลางหัวเราะ หากแต่ก็ไม่ได้ดิ้นรนหรือหลีกหนีจากอ้อมแขนผมสักนิด

“ ก็คิดถึงนี่นา...อยากนอนกอดพี่แบบนี้ทุกคืนจัง  ”

“ ไม่ต้องพูดเลย รู้น่าว่าคุยอะไรกับวิทย์  ”

“ คุยอะไร ?” ผมถามก่อนจะนึกได้

“ อ๋อ ที่บอกว่าเสียไอ้รงค์ไปเป็นเขยเมืองจันก็ต้องเอาพี่มาเป็นสะใภ้คนเมืองแทน ไม่ให้เสียดุลการค้าน่ะเหรอ ?” ผมพูด และหัวเราะ เมื่อพี่เหยาขยับศอกกระทุ้งเข้าให้ที่ท้อง

“ มันพูดเล่นแต่ผมคิดจริงนะ !”

“ พอเลย ! นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้าไม่ใช่เหรอ ?”พี่เหยาตัดบทคล้ายจะเลี่ยงอีกเช่นเคย

“ พี่นอนเหอะ ...ผมไม่กวนแล้ว ” ผมบอก เมื่อพี่เหยาแสดงออกเด่นชัดว่าไม่ต้องการพูด ผมก็บอกตัวเองให้ยุติบทสนทนาเสียก่อน โน้มตัวจูบพี่เหยาเบาๆอีกครั้งพร้อมคลายอ้อมแขนออก ปล่อยให้พี่เหยานอนพัก..
.
ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แม้ง่วงหากแต่ก็ฝืนทนเอาไว้ เพราะผมไม่อยากหลับตาลง...ไม่อยากปล่อยสติให้หลุดลอย ยังอยากรู้สึกถึงสัมผัสที่มีพี่เหยานอนอยู่ในอ้อมแขน...นานเท่าไหร่ไม่รู้ ที่พี่เหยาค่อยขยับตัวเบาคล้ายจะกลัวผมตื่น

“ ไปไหน ?” ผมถาม กระชับอ้อมแขนอีกครั้ง รั้งพี่เหยาไว้ไม่ให้ลุกขึ้น

“ ยังไม่หลับอีก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ทำงานไม่ไหวหรอก...”

“ พี่จะไปไหน ?”

“ไปล็อคห้อง...เมื่อกี้ยังไม่ได้ล็อค เดี๋ยวเกิดฟงตื่นก่อน ”

“ เมาขนาดนั้น ไม่ตื่นง่าย ๆ หรอก ” ผมบอก พลางเหนี่ยวแขนรั้งให้พี่เหยานอนลงอีกครั้ง  หากแต่ดูพี่เหยายังกังวล

“ พี่นอนเหอะ เดี๋ยวผมไปล็อคเอง ” ผมบอกก่อนลุกขึ้นเดินไปล็อคประตูห้อง และเมื่อหันกลับมาผมก็ต้องชะงัก เพราะสายตาของพี่เหยาที่นั่งจับจ้องผมอยู่
 
มันเป็นดวงตาที่สัมผัสได้ถึงความรักอย่างไม่ยากเย็นนัก หากแต่ปนเปกับริ้วรอยความกังวลที่เด่นชัดพอ ๆ กัน ... และการถูกจับจ้องเช่นนั้น มันก็เพิ่มความกังวลให้กับผมอย่างมิอาจห้ามได้

“ พี่นอนไม่หลับเหรอ ?” ผมถามพร้อมกับถามตัวเองในใจว่าอะไรทำให้พี่เหยาจ้องมองผมอย่างนั้น

“ เปล่า...เอกล่ะ ?” พี่เหยาส่ายหน้า ตาก็ยังจับจ้องผมที่ล้มตัวนอนลงข้าง ๆ

“ เปล่า...” ผมตอบดึงแขนพี่เหยาเบา ๆ ให้ล้มตัวลงนอน

“ ผมไม่อยากหลับ...หลับแป๊บเดียวก็เช้าแล้ว เสียดายเวลา...อยากกอดพี่อยู่อย่างนี้มากกว่า ” ผมบอกและโอบแขนกระชับดึงพี่เหยาเข้ามากอดไว้อีกครั้ง...

มันเป็นความจริง...เพราะเมื่อนึกรู้ว่า อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงพี่เหยาก็ต้องไป...ผมก็ไม่อยากให้เวลาเช้ามาถึง ... ไม่อยากหลับ เพราะกลัวว่าเวลามันจะผ่านไปเร็วจนเกินไป

“ นอนไม่หลับผมร้องเพลงกล่อมเอามั๊ย ? ...” ผมถาม และไม่รอคำตอบ ผมก็ฮัมเพลงเบา ๆ ในคอไม่สนใจเสียงหัวเราะของพี่เหยา

“ เชิญเลยมาแอ๋วเชียงใหม่ มาเป็นขวัญใจของผม...คนเมือง ” ผมฮัมเพลงเดิม ๆ ... ไม่ได้หวังชักนำให้กลับมาสู่บทสนทนาเดิม ๆ  หากแต่ผมร้องมันออกมา เพราะใจผมนึกถึงก็แต่เรื่องนี้เท่านั้น

“ ถ้ากอดทุกคืน เอกไม่เบื่อเหรอ ?” พี่เหยาถามเบา

“ เบื่ออะไร ?” ผมถามกลับ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าพี่เหยาหมายถึงอะไร หากแต่ผมไม่เข้าใจ อะไรทำให้พี่เหยาคิดถามอย่างนั้น
“ ก็...”

“ ของอย่างนี้มันเบื่อกันได้เหรอพี่...คนรักนะ ไม่ใช่...”

“ไม่ใช่อะไร ?”

“ไม่รู้สิ...นึกไม่ออก ...แต่พ่อผมยังไม่เบื่อแม่...ป๊าพี่ก็ไม่เห็นเบื่อหม๊า...”

“ นั่นมันครอบครัว อยู่ด้วยกัน มีลูกด้วยกัน...เป็นครอบครัว เบื่อยังไงก็ต้องอยู่ ”

“ มันต่างกันตรงไหนล่ะพี่  ?”

“ แล้วมันไม่ต่างกันตรงไหนล่ะ ?”

“ ก็....ไอ้ที่มีลูกกันเป็นโขยง อยู่ด้วยกันจนหัวหงอกแล้วหย่ากันมีออกถมไป...ครอบครัวมันไม่ได้หมายถึงแค่ต้องมีลูกที่ไหนล่ะ ! เอาว่าถ้ารักมันก็ไม่เบื่อหรอก ... ”

“ แล้ว...เกิดวันไหนถ้าไม่รักขึ้นมาล่ะ ?”

“ ใครไม่รักใคร?...ผมเนี่ยนะไม่รักพี่ พี่มากกว่ามั้ง ?”

“ ไม่รู้สิ...”

“ อ้าว !”

“ ก็พูดทำไมล่ะ ?”

“ พี่รู้ไหม...ถ้าพี่เป็นผู้หญิง ถ้าเราแต่งงานกันได้...วันนี้ผมขอพี่แต่งงานมาร้อยรอบแล้ว  แล้วพี่ก็ปฏิเสธผมครบร้อยเหมือนกัน...” ผมพูดด้วยเสียงที่แข็งขึ้น อาจเพราะวันนี้ผิดหวังมามากพอ ผมจึงไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: ภัคD ที่ 24-07-2012 18:49:41
“ เปล่า !...ไม่ใช่...”

“ ไม่ใช่ยังไง ?...วิธีการปฏิเสธมีตั้งเยอะ...พี่จะบอกว่าต้องช่วยที่บ้านก็ได้...ทิ้งงานที่บ้านไม่ได้ก็ได้...แต่ที่พี่พูด พี่ถาม  มันเหมือนแค่พี่ไม่อยาก...”

“ ไว้จะสั่งทำตุ๊กตายางส่งมาให้ !” พี่เหยาตอบกลับมาด้วยเสียงที่เริ่มแข็งเช่นเดียวกัน

“ ดี...เอาแบบไม่ขี้โมโห ไม่เอาแต่ใจด้วยนะ...เบื่อ !”

“ งั้นก็ไปหาคนอื่นแล้วกัน ”

“ ก็กำลังหาอยู่ !”

“ ช่างเหอะ ! ไม่อยากก็ไม่อยาก ...นอนเหอะ  ผมง่วงแล้ว ” ผมตัดบท เมื่อเห็นว่าการถกเถียงกันเช่นนี้ มันดูจะไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย

“ เอก...”

“ นอนเหอะ !”

“ ผมง่วงแล้ว ” ผมบอกอีกครั้งเมื่อพี่เหยาขยับตัวคล้ายยังอยากจะพูดอะไร และโดยไม่ตั้งใจ เมื่อพูดเสร็จ ผมคลายอ้อมแขนที่กอดพี่เหยาไว้และขยับตัวหันหลังให้พี่เหยา

ผมไม่ได้หลับอย่างที่บอกพี่เหยาว่าผมง่วง หากแต่ยังคงนอนครุ่นคิด และคงหมกหมุ่นอยู่กับความคิดตัวเองจนไม่ได้ยินเสียงพี่เหยาขยับตัว ได้ยินอีกครั้งก็เมื่อเสียงประตูห้องโดนปลดล็อค

“ ไปไหน ?” ผมถามหากแต่คราวนี้พี่เหยาไม่ตอบ

“ เขยิบหน่อย !” ผมได้ยินเสียงพี่เหยาดังลอดมาจากอีกฝั่งของประตู

“ บอกให้เขยิบ !” เสียงพี่เหยาแข็งขึ้นอีกนิด ก่อนจะตามด้วยเสียงดังตุ๊บใหญ่ ไม่ต้องเห็นด้วยตาผมก็นึกรู้ได้ว่าป่านนี้ฟงคงหล่นลงมานอนอยู่บนพื้นแล้ว

“ พี่กลับเข้าไปนอนในห้องเหอะ !” ผมลุกขึ้นจากเตียง เดินออกมาบอกพี่เหยาก่อนเดินกลับเข้าห้องและหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่

ผมรู้ว่าพี่เหยาไม่ได้เดินตามเข้ามา และรู้ว่าพี่เหยาคงรู้ว่าผมจะทำอะไร พี่เหยาคงนั่งอยู่ที่เดิม เพียงนั่งมองเงียบ ๆ แม้ผมจะเปิดประตูและเดินออกจากห้องไป

ผมถามตัวเองว่า ผมกำลังจะทำอะไร...

ผมมีสิทธิ์ที่จะร้องขอพี่เหยา แล้วทำไมพี่เหยาจะไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรย่อมเป็นสิทธิ์ของพี่เหยา...

ผมหวังว่ามันจะเป็นการเริ่มต้น หากแต่เพียงแค่การเริ่มต้น ผมก็ทำให้พี่เหยาเห็นแล้วว่า มันคล้ายจะเป็นข้อขัดแย้งและจบลงที่การหันหลังให้กันอย่างไร้เหตุผล แล้วผมจะกล่าวโทษอะไรพี่เหยาได้ที่พี่เหยามมองผมด้วยสายตาสับสนและหวาดกลัว

...เอกจะไม่เบื่อเหรอ ?...คำถามที่พี่เหยาถามซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อผมเริ่มต้นเอ่ยปากร้องขอ มันไม่ใช่หน้าที่ของผมหรืออย่างไรที่จะตอบคำถามนั้นของพี่เหยาให้ได้ ทำให้พี่เหยามั่นใจให้ได้  และหากทำไม่ได้ คนที่บกพร่องคงจะเป็นผม และผมก็ไม่มีสิทธิ์จะกล่าวโทษอะไรพี่เหยาได้เลย

ผมเปิดประตูห้องออกไปอีกครั้ง และพี่เหยาก็นั่งอยู่อย่างที่ผมคิด พี่เหยาจับจ้องมองดูผมโดยไม่พูดอะไรเลย...หากแต่ผมก็เห็นรอยผิดหวังในดวงตาที่กำลังจับจ้องมองดูผมอยู่

“ ผมขอโทษ...มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้เลย...พี่กลับเข้าไปในห้องเถอะนะ ”  ผมบอกพี่เหยาเบา ๆ เมื่อทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ 

“ นะครับ ?...” ผมถามอีกครั้งเมื่อพี่เหยายังนั่งนิ่ง ตาก็ยังจับจ้องที่ผม

“ นะครับ ?...เข้าไปคุยกันในห้อง เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย แต่ถ้าพี่ไม่อยากคุย ก็ไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้ต้องแต่เช้านี่...”

ผมรู้ในใจของพี่เหยาคงมีบาดแผลอยู่มากมาย บางเรื่องผมรู้ หากแต่คงมีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่รู้และอาจไม่มีวันได้รู้

คงมีมากมายอีกหลายเรื่องที่พี่เหยาเลือกที่จะเก็บมันไว้เพียงลำพัง ไม่ต้องการให้ใครรับรู้ รวมทั้งผม

ดังนั้นเมื่อหวังจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยกัน...ผมต้องยอมรับและเข้าใจ แม้จะปราศจากซึ่งการรับรู้ใด ๆ เลย...

ผมรู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่เหยา...มันเป็นความความสัมพันธ์ที่ไร้ซึ่งหลักยึดเหนี่ยว หากวันหนึ่งความรู้สึกจืดจาง เราจะไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ ทางกฎหมาย ไม่มีสังคมเป็นพยาน ร่วมอวยพรและไม่มีวันมีสายเลือดสืบสานความสัมพันธ์ระหว่างเรา...หากเราจะอยู่ด้วยกันจนถึงลมหายใจสุดท้ายของกันและกันนั้นย่อมเนื่องด้วยความรักที่เรามีต่อกันเท่านั้นจริง ๆ

...สำหรับตัวผม ผมรู้ผมไม่มีวันรักพี่เหยาน้อยลงกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ไม่มีวันเลยจริง ๆ หากแต่สำหรับพี่เหยา ดูคล้ายหลาย ๆ อย่างที่เคยผ่านมาในชีวิต ทั้งที่ผมรู้ ที่ยังไม่รู้และอาจจะไม่มีวันล่วงรู้เลยนั้น มันทำให้พี่เหยาหวาดกลัว

...ของอย่างนี้มันเบื่อกันได้นะเอก...สิ่งที่พี่เหยาเฝ้าพูด มันไม่ได้บอกผมอยู่หรืออย่างไรว่าพี่เหยากลัว กลัวความไม่มั่นคง มันไม่ได้บอกหรืออย่างไรว่าพี่เหยาก็หวังถึงความสัมพันธ์ที่ยาวนานมิใช่เพียงฉาบฉวย พอหมดรักก็หันหลังจาก

เพราะพี่เหยาหวังในสิ่งเดียวกัน เพราะพี่เหยาผ่านเจออะไรมาหลาย ๆ อย่าง พี่เหยาจึงหวาดหวั่นและขลาดกลัว...มันเป็นหน้าที่ของผม ที่จะต้องทำให้พี่เหยาเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ระหว่างเราให้ได้...ทำให้พี่เหยาเชื่อมั่นในตัวผม ว่าความรักของผมจะไม่มีวันแปรเปลี่ยนอย่างแน่นอน... ถ้าผมทำไม่ได้ มันย่อมเป็นความบกพร่องในตัวผม ไม่ใช่ความผิดของพี่เหยาเลย...ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธหรือไม่พอใจ ตรงข้ามอย่างน้อยผมควรจะยินดี เพราะความหวาดหวั่นของพี่เหยานั้นย่อมแสดงให้เห็นว่าพี่เหยาเองก็จริงจังเพียงไรในความสัมพันธ์ที่เรามีต่อกันนี้...

“ กลับเข้าไปในห้องนะครับ ?” อีกครั้งที่ผมพูดและครั้งนี้ผมจับแขนพี่เหยาเบา ๆ ค่อย ๆ ดึงให้พี่เหยาลุกขึ้นเดินตามผม เพราะผมรู้ในเวลาอย่างนี้ หากรอให้พี่เหยาตัดสินใจด้วยตัวเอง พี่เหยาจะเลือกนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม

“...เอกรู้หรือเปล่า ของอย่างนี้มันเบื่อกันได้...”  พี่เหยาพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“ ของแบบไหน ?” ผมถาม

“ ก็ถ้าอยู่ด้วยกันทุก ๆ วัน...วันนี้ไม่เบื่อ พรุ่งนี้ก็อาจเบื่อ...”

“ ทำไมพี่คิดอย่างนั้น ?” ผมถาม หากแต่พี่เหยาไม่ตอบ

“พี่...” ผมอยากจะบอกพี่เหยาว่ามันแตกต่างระหว่างผมและคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตพี่เหยา ... คนที่เสพติดรสชาติของสัมผัส  ลุ่มหลงดื่มด่ำอยู่กับอารมณ์ปรารถนา แสวงหาก็แต่ความแปลกใหม่ ...มันแตกต่าง เพราะผมไม่เคยต้องการสิ่งเหล่านั้น...ผ่านมาไม่ว่าจะกี่ปีต่อกี่ปี คนเดียวที่ผมต้องการก็คือพี่เหยา...มันไม่ใช่ความหมายของความสัมพันธ์ทางกายเพียงอย่างเดียว หากแต่หมายรวมถึงทั้งหัวใจ ทั้งความรู้สึก แม้กระทั่งชีวิตที่เหลืออยู่ของกันและกัน...ผมต้องการมันทั้งหมดหากแต่ผมก็ไม่อาจพูดออกไปได้ เพราะผมรู้  คำพูดนั้นจะทำร้ายพี่เหยา...คำพูดเหล่านั้นล้วนเกี่ยวพันกับบาดแผลในอดีต

“ มันต่างกัน...เพราะผมรักพี่...” ในที่สุดผมก็พูด...พูดเท่าที่จะพูดได้

“ ผมไม่ได้รักแค่ผิวขาว ๆ ของพี่ ” ผมพูดพลางไล้ปลายนิ้วไปบนแขนขาวๆ ของพี่เหยา

“ ไม่ได้รักแค่ปากแดง ๆ” ผมพูดก่อนจูบเบา ๆ ที่ปากแดงๆ ของพี่เหยา

“ ถ้าพี่กลัวผมเบื่อ แล้วเมื่อไหร่ละพี่ถึงจะรู้ว่า ผมไม่มีวันเบื่อ...พี่ก็รู้ อย่างเดียวในโลกที่หยุดเปลี่ยนแปลงก็คือคนตาย...”

“ หรือพี่จะรอให้ถึงวันนั้น แล้วพี่ถึงจะเชื่อว่าผมจะไม่มีวันเปลี่ยน?...เชื่อว่าผมไม่มีวันเบื่อ...เชื่อว่าผมรักพี่ ?”
 “ ผมไม่รู้ว่าพูดยังไง ถึงจะทำให้พี่เชื่อได้...แต่...” ผมพูดได้เท่านั้นเพราะอับจนในคำพูดจริง ๆ...ความเชื่อมั่นไม่เคยเกิดขึ้นเพราะคำพูด หากแต่การกระทำต่างหากที่ทำให้มันเกิด และเรื่องราวระหว่างผมกับพี่เหยาที่ผ่านมามันก็ทำให้ความเชื่อมั่นเหล่านั้นสั่นคลอน

“ ผมขอพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแล้วผมจะไม่พูดถึงมันอีก...” ผมบอกก่อนก้มจูบพี่เหยาเบา ๆ ที่แก้ม เพราะผมรู้ว่า คำพูดที่กำลังจะพูดออกไปนั้นมันล้วนจะทำให้พี่เหยาเจ็บปวด ผมจึงก้มลงจูบพี่เหยา หวังเพียงปลอบประโลม หวังให้พี่เหยารู้ ว่าแม้สิ่งที่ผมเลือกจะพูดนั้นโหดร้าย หากแต่แท้จริง ผมต้องการถนอมพี่เหยาไว้แค่ไหน

“ ผมรู้ เราสัญญากันแล้วว่าจะไม่พูดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว...”

“ ผมขอพูดแค่ครั้งเดียว นะครับ มันสำคัญสำหรับผม...พี่สำคัญสำหรับผม...” ผมพูดปลอบและก้มจูบเบา ๆ ที่ดวงตาที่เริ่มลื่นด้วยน้ำตาของพี่เหยา เพราะคล้ายพี่เหยาก็เริ่มรู้ อะไรคือสิ่งที่ผมกำลังจะพูด

“ เรื่องที่ผ่านมามันเลวร้าย ตอนนั้นผมคิดก็แต่ว่าไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย อยากให้ทุกอย่างมันเป็นแค่ความฝันพอลืมตาตื่นมันก็จบ...อยากให้พี่หายไปจากชีวิตของผม  อย่ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตผม...”ผมหยุดพูดเมื่อพี่เหยาก้มหน้าและเริ่มสะอื้นไห้ออกมา

“ ตอนนั้นมันเลวร้าย ผมเลวจนไม่รู้ว่าจะเรียกตัวเองว่าเป็นคนอยู่ได้ยังไง ” ผมพูดและใช้มือเช็ดน้ำตาให้พี่เหยาเบา ๆ

“ พี่ขอโทษ...” พี่เหยาพูดปนสะอื้นและก้มหน้าหลูบหลบ ผมจึงก้มจูบพี่เหยาอีกครั้งก่อนประคองใบหน้าให้พี่เหยาแหงนเงยขึ้นมองดูผมอีกหน และน้ำตาที่ไหลอาบแก้มพี่เหยาอยู่ มันก็ทำให้ผมเกือบใจอ่อน ล้มเลิกความตั้งใจที่จะพูด แต่ผมก็บอกให้ตัวเองพูด

“ แต่นั่นมันเรื่องของเมื่อก่อน...จนถึงตอนนี้...มันอาจฟังดูเห็นแก่ตัวแต่ผมดีใจที่มันเกิดขึ้น ให้มันเลวร้ายกว่านั้นก็ช่าง...หรือจะเป็นยังไงผมก็ไม่แคร์ ถ้ารู้ว่าจะมีวันนี้ มีพี่อยู่กับผมอย่างนี้...”

“ได้เป็นเจ้าของพี่อย่างนี้ ให้มันเลวร้ายยิ่งกว่าที่ผ่านมา ผมก็อยากให้มันเกิด...ดีใจที่มันเกิดขึ้น ไม่เสียใจเลยสักนิด ขอแค่มีวันนี้ก็พอ...”

“...พี่ก็เหมือนกัน...” พี่เหยาบอก และพยายามที่จะยิ้มทั้งที่น้ำตายังเต็มสองข้างแก้ม

“...ผมไม่เหมือนคนพวกนั้น...ผมรักพี่...ความรักของผมอาจจะเห็นแก่ตัว...แต่ผมอยากเป็นเจ้าของพี่...อยากเป็นเจ้าของพี่ทั้งชีวิต...มีสิทธิ์ในชีวิตของกันและกัน...ได้ไหมครับ ?...” ผมร้องขอ แต่ครั้งนี้คำตอบของพี่เหยายังคงเป็นน้ำตา แต่พี่เหยาก็กอดผมไว้
“...เมื่อก่อนตอนที่เครียดมาก ๆ  ป๊าพี่ทะเลาะกับหม๊าเป็นประจำ บางครั้งก็พูดในสิ่งที่...ไม่น่าพูด...” พี่เหยาพูดขึ้น ทั้งที่ยังกอดผมไว้แน่น และผมเข้าใจเพราะผมยังจดจำได้เสมอ บางครั้งคนเรามิได้ทำร้ายแต่เพียงคนที่เกลียดชัง หากแต่ด้วยบางครั้งแรงอารมณ์ของความโกรธ เราก็ทำร้ายคนที่เรารัก มิใช่เพียงแค่ร่างกายหากแต่ด้วยคำพูด ความเจ็บปวดใช่จะน้อยกว่ากัน

   ผมยังจำได้ ที่ผ่านมา ผมทำร้ายพี่เหยามามากมายแค่ไหน ผมจำถ้อยคำหยาบคายของตัวเองที่พูดกับพี่เหยาได้ดี จำได้ถึงครั้งที่พูดจาดูถูกทั้งที่ผมหมายมาด หวังพบเจอเพื่อเอ่ยปากขอโทษ หากแต่ที่สุดแล้ว ผมกลับเลือกใช้คำที่รุนแรงหยาบคายเพียงเพราะความโมโหที่เกิดขึ้นเพียงชั่ววูบ แล้วจะผิดอะไรหากพี่เหยาจะหวาดกลัวว่าสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิม ยิ่งกว่านั้น ในวันที่ผมเอ่ยอ้างว่ารัก ว่าอยากครอบครอง ผมยังทำร้ายพี่เหยาได้ขนาดนั้น หากวันหนึ่งหมดรัก มันจะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมเท่าไหร่กัน

และกับคนที่ถูกทำร้าย ใช่ว่าจะมีเรี่ยวแรงกลับมายืนหยัดได้อีกครั้งเสมอไป...ตัวพี่เหยาเองก็เช่นกัน พี่เหยาคงรู้ตัว หากโดนทำร้ายอีกแม้สักครั้ง พี่เหยาอาจไม่เหลือแรงกำลังจะหยัดยืน พี่เหยาจึงกลัว จึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยง หวังเพียงปิดโอกาสไม่ให้ตัวเองต้องถูกทำร้ายอีกครั้ง

“...ผมเคยสัญญากับพี่ไว้...ผมจะรักพี่ ไม่ทำให้พี่ต้องเสียใจอีก...ผ่านมาแล้วห้าปี ผมเคยผิดสัญญากับพี่สักครั้งหรือเปล่า ?” ผมทวงถามพลางพยายามคลายวงแขนของพี่เหยาที่ยังโอบกอดผมไว้อยู่ออก พยายามให้พี่เหยายอมจับจ้องมองดูผม และไม่จำเป็นต้องรั้งรอคำตอบ เพราะผมย่อมรู้คำตอบอยู่แก่ใจ

“ ห้าปีที่ผ่านมาเป็นยังไง...อีกห้าปีต่อไปผมก็จะยังเหมือนเดิม...จะอีกกี่สิบปีข้างหน้า ผมก็จะยังเหมือนเดิม...ผมสัญญา ”ผมให้สัญญากับพี่เหยาอีกครั้ง และคงจะยืนยันคำสัญญาอยู่เช่นนั้นจนกว่าพี่เหยาจะยอมเชื่อ หากแต่ผมก็ยังไม่ทันจะบอกย้ำในในคำสัญญานั้น พี่เหยาก็พูด

“...เอกบอกว่า...จะไม่ขัดใจด้วย ?!” พี่เหยาทวงถามถึงคำสัญญาที่ผมเคยให้ไว้ พี่เหยาทวงถามทั้งที่ตายังแดง ทั้งที่น้ำตายังไหลเต็มสองข้างแก้ม

“ครับ !...”ผมรับคำและหัวเราะ และครั้งนี้ผมก็เป็นฝ่ายรวบดึงพี่เหยามากอดไว้ซะเอง

“...ผมสัญญา จะรักพี่...จะไม่ทำให้พี่เสียใจ...จะตามใจพี่ทุกอย่าง ไม่ขัดใจพี่” ผมย้ำในสิ่งที่เคยสัญญาและจดจำได้ดีเสมออีกครั้ง

“ อยากให้ผมสัญญาอะไรอีกหรือเปล่า ?” ผมถามและพี่เหยาส่ายหน้าหากแต่ก็ยังดูคล้ายจะลังเล

“ อะไรครับ ?”ผมถามแต่พี่เหยาก็ยังส่ายหน้าและดวงตาของพี่เหยาก็ยังฉายรอยลังเลเช่นเดิม

“...พูดมาเถอะ ผมอยากรู้พี่คิดอะไร...”

“ ห้าม...”พี่เหยาพูดเท่านั้นแล้วก็กัดริมฝีปากตัวเองไว้

“ ห้ามอะไร ?”

“ เปล่า...”

“...ห้ามอะไรครับ ?...ห้ามนอกใจใช่ไหม ?” ผมถาม มันง่ายโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด และพี่เหยาก็ทำท่าคล้ายจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้ารับ

“ ไม่หรอก !...นี่เจอพี่เดือนละหน ทนแทบตาย !” ผมบอกและพี่เหยาก็หัวเราะ แม้จะแค่เล็กน้อย หากแต่พี่เหยาก็หัวเราะออกมาได้แล้ว

“ บอกแล้วไง อะไรที่ทำให้พี่เสียใจ...ผมจะไม่ทำ !” ผมรับปากแน่นหนัก เพราะรู้และมั่นใจ นั่นคือสิ่งที่ผมจะทำได้จริง

จริง ๆ ผมยังมีอีกบางสิ่งที่ไม่ได้บอกพี่เหยา ... ผมไม่ได้บอกพี่เหยาว่า เมื่อยืนอยู่ ณ. วันนี้ บางครั้งผมนึกขอบคุณสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีเรื่องเลวร้าย ความสัมพันธ์เราอาจไม่ขยับเกินกว่าความเป็นพี่ เป็นน้อง...ถ้าไม่มีเรื่องเลวร้าย พี่เหยาอาจจะไม่เลือกที่จะรักคนอย่างผม ... และทุกเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น มันคอยเตือนผมเสมอว่า พี่เหยาผ่านเจออะไรมา ถูกทำร้ายมามากมายแค่ไหน...ไม่มีใครรู้เลย มีก็แค่ผมที่รู้...มีก็แค่ผมเท่านั้นที่รู้ มันจึงคอยย้ำเตือนผมเสมอว่า ผมต้องถนอมพี่เหยาไว้มากมายเพียงใด
 
“ มาอยู่ด้วยกันนะครับ ... ผมสัญญา อะไรที่ทำให้พี่เสียใจ ผมจะไม่ทำ...”อีกครั้งที่ผมร้องขอ และครั้งนี้พี่เหยาก็ยิ้มรับ แม้ยังมีน้ำตา หากแต่มันก็มีความหมายแตกต่างจากน้ำตาที่รินไหลในเมื่อครู่ที่ผ่านมา...รอยยิ้มของพี่เหยามันบอกผมอย่างนั้น ... รอยยิ้มที่ผมนึกหวงแหน รอยยิ้มที่ผมสัญญาไว้กับตัวเองว่าจะปกป้อง...ผมสัญญาไว้กับตัวเองเช่นนั้นจริง ๆ... และรู้ว่าจะไม่มีวันผิดสัญญา...

จบ ... หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ

ปล. เพลงที่เอกร้องตอนแรก ชื่อเพลง หนุ่มเชียงใหม่ ...ชอบมากกก ฟังแล้วนึกถึงเอก+พี่เหยา ...ลองหาฟังดูนะค่า
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: pahpai ที่ 24-07-2012 21:32:38
ดีใจที่เหยาและเอกมีความสุข

ขอบคุณคุณภัก D ที่เอามาลงให้ด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 24-07-2012 22:06:34
ตอนพิเศษที่คุ้มค่ากับการรอคอยจริงๆ ขอบคุณ คุณภัคD ที่นำสิ่งดีๆมาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: CoMa ที่ 24-07-2012 23:20:42
ดีใจอ่ะมีตอนพิเศษ คิดถึงพี่เหยากับเอกสุดๆ><
เป็นเรื่องที่ประทับและอยู่ในความทรงจำเสมอ^____^
Reprint รอบนี้ต้องซื้อให้ได้!!!
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: azure™ ที่ 25-07-2012 01:11:03
อ่านแบบหน้าเคร่งเครียดมาทั้งเรื่อง เพิ่งมายิ้มได้ตอนสุดท้าย แฮะๆ
ขอบคุณที่นำเรื่องราวดีๆเรื่องนี้มาให้อ่านคับ ^^
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: EverGreen™ ที่ 25-07-2012 02:04:03
 :o8:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: tw.smile ที่ 25-07-2012 02:24:02
,, อ่านจบก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม ยังเป็นเรื่องที่อ่านแล้วเค้นอารมณ์ออกมาได้มากมาย
ยังยิ้ม ยังมีความสุข ยังร้องไห้ไปพร้อมกับพี่เหยาได้เหมือนเดิม
อ่านไปก็ยังไม่เข้าใจอารมณ์ เหตุผล ความรู้สึกของตัวละครเหมือนๆเดิม (ถึงแม้ว่าตอนนี้จะแอบเข้าใจบ้างเบาๆก็ตามที)

อ่านแล้วไม่อยากให้เรื่องนี้จบ
ตอนอ่านก็ไม่อยากอ่าน แต่ให้หยุดก็หยุดไม่ได้

ขอลงชื่อล่วงหน้า Reprint เลยค่ะ
: D
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 25-07-2012 23:20:31
ลุ้นซะเหนื่อยเลย
ความรักอย่างเดียวไม่พอจริง ๆ
ต้องเข้าใจและอดทนด้วย
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: StillLoveThem ที่ 28-07-2012 12:44:05
....อ่านจบแล้ว และน่าจะเป็นรอบที่ 2  เพราะจำได้ลางๆๆ สมองพี่มันคงเลือกที่จะไม่จำเรื่องร้ายๆตอนแรกๆๆ และเลือกจำเรื่องที่มีความสุขในตอนท้าย เลยนึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านเรื่องนี้แล้ว แล้วทำไมไม่มีเม้นพี่วะ สงสัยตอนนั้นแอบอ่านยังไม่ได้สมัครสมาชิกแน่เลย ปี 2008 เนี่ย เอิ๊กๆไม่ว่ากันเนอะ เพราะซุ่มแอบอ่านอยู่นานเหมือนกัน
....และก็เป็นตอนพิเศษล่าสุดที่น้องคนแต่งเอามาลงเมื่อไม่กี่วันนี้เองที่ทำให้พี่ได้อ่านรอบที่ 2 เมื่อเห็นกระทู้
....เป็นนักเขียนที่เก่งมากๆๆ ถ้าความเลวร้ายที่เกิดขึ้นตอนแรกๆเพราะความเลวของเอก และทอม แต่สุดท้ายพี่เหยาได้รับความรักมากมาย รวมถึง่ความซื่อสัตย์จากเอกด้วยพี่ว่ามันคุ้มเกินคุ้ม
....อ่านแรกๆสงสารในความโชคร้ายของพี่เหยาในตอนแรกๆๆ แต่ก็ยินดีและอิจฉาในความโชคดีของพี่เหยาในตอนท้ายๆที่เจอคนรักจริงอย่างเอก
....ขอบคุณที่จบมันแบบ happyending ถ้าจบร้ายๆแบบตอนแรก พี่คงเป็นอีกคนที่เกือบกระอักความทุกข์ ความเศร้าตายเหมือนกับคนอื่น
....ว่าเด็กๆดูละครเรื่องธรณีนี่นี้ใครครอง แล้วมันอินเกินเหตุ แต่พอมาดูตัวเอง พี่ก็เป็นเหมือนเด็กๆเลยอ่านเรื่องนี้แล้วก็อินไปกับนิยาย สุขเศร้า ไปตามบทละครที่น้องเขียน ขอบคุณอีกครั้งที่เขียนเรื่องดีๆๆไให้อ่าน แล้วเรื่องเด็กชายตะวัน กับพี่ชายข้างบ้านมันอยู่ตรงไหนว่าต้องไปหาอ่านก่อนนะ :laugh:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: Regina_1 ที่ 12-08-2012 00:12:07
ขอบคุณ คุณภัคDที่ไม่ทำร้ายจิตใจคนอ่านนะคะ ขอบคุณมากๆสำหรับแฮปฯเอ็นด์...เฮือก กกก -กว่าจะจบ เอาซะลำคอตีบตันไปหมด-
ขอบคุณคุณทิพย์ที่นำออริเรื่องนี้มาให้รู้จักนะคะ _/|\_
-เห็นเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะอ่านสักที และในที่สุดมิชชั่นพี่เหยาก้อคอมพลีทแล้ว...เย้!!!-

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 12-08-2012 18:16:00
อ่านอีกรอบ รอบที่สามสี่เเล้วมั้ง อยากได้หนังสือเร็ว ๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 19-08-2012 00:20:13
เอาหล่ะ จะเม้นแล้วนะ  :laugh:

เรื่องนี้นะเป็นเรื่องที่ทำให้ผมทรมานมากๆ เพราะผมปวดหัว เครียด และ...ร้องไห้ไป 1 เดือนเต็มๆ

มันเป็นดราม่าที่หนักหน่วงมากๆ แม้ผมจะชอบนิยายประเภทนี้ แต่ก็ใช่ว่าอ่านถึงอะไรที่หนักๆและจะตบเข่าดีใจ

และแน่นอนผมยอมรับอย่างหน้าด้านๆว่าร้องมันตลอดเรื่องอ่ะ

อ่านเรื่องนี้จบมาน่าจะปีกว่าแล้วหรือ 2 ปีแล้วผมไม่แน่ใจ เรื่องนี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในความทรงจำ

ในฐานะที่เป็นนิยายที่โศกที่สุดเท่าที่ผมเคยได้สัมผัส และภายใต้จิตสำนึก บางครั้งผมมองว่ามันไม่ใช่นิยาย

เรื่องนี้ยังคงเป็นทั้งกำลังใจให้ผมว่าเรื่องของผมคงไม่เลวร้ายและไม่มีวันเลวร้ายได้เท่านี้

และยังเป็นภูมคุ้มกันเวลาผมอ่านนิยายเรื่องอื่นๆ ว่าต่อให้ตัวละครในเรื่องนั้นๆเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหน

ไม่มีเรื่องไหนเลยที่จะเท่าเรื่องนี้ ไม่มีเลยจริงๆ

ในวันนี้ดีใจนะครับที่ได้กลับมาอ่านตอนพิเศษนี้ มันคลายปมทุกอย่างแล้วหล่ะนะ

ดีใจที่วันนี้ได้มองตัวละครนึงที่ดูเหมือนจะไม่รู็จักโตสักที ในวันนี้ตัวละครนี้โตแล้ว เลือกที่จะรักตัวละครอีกตัว

เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังรู้สึก เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ และปกป้องดูแลกันและกัน

ตอนแรกกลัวที่จะอ่าน ตอนนี้อยากบอกว่าดีใจที่ได้อ่านครับ

ขอบคุณมากครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: sapphire_yaoi ที่ 22-08-2012 19:02:40
ประทับใจตอนพิเศษมาก ไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดยังไงดีขอบคุณคุณภัคD มากนะคะที่สร้างเอกกับพี่เหยามาชอบมากจริงๆไม่เคยผิดหวังกับเรื่องนี้เลยซักตอน สุดยอดมาก! o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: PPdiary92 ที่ 01-09-2012 21:48:06
ขอเม้นหน่อยนะคะ
อยากจะบอกว่าเป็นเรื่องแรกที่เราเม้นเลย
หลังจากที่เพิ่งสมัครบอร์ด เราอ่านรวดเดียวจบ วันเดียว เราอยากจะบอกว่า
คุณเขียนได้ยอดเยี่ยมมาก เนื้อเรื่องที่เราอ่าน มันทำให้เรารู้สึกหน่วงๆ
จะเจ็บแบบ เจ็บแบบทรมาร สงสารเหยา โกธรเหยา
เกลียดทอม และไม่มีคำว่าสงสารเลย
กับเอกเราสงสาร เราไม่เข้าใจ เรารู้สึกสับสนเหมือนกับที่เอกก็คงจะสับสน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องนี้เราสงสารเหยาและเข้าใจเหยาที่สุด
คนที่ต้องแบกรับทุกอย่างเพราะเป็นลูกคนโตของครอบครัวจีน ไม่มีใครผิด และไม่มีใครถูก
สุดท้าย ขอบคุณคนที่เอามาลงให้อ่าน ขอบคุณมากจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: JokerKaorihh ที่ 06-09-2012 22:25:33
พี่เหยายังคงเรียกน้ำตาจากเราได้เหมือนเดิม พี่เหยายิ้มเราก็ยิ้ม

เป็นเรื่องที่ชอบมาก อ่านบ่อยมาก ตอนที่ได้อ่านแรกๆ อ่านซ้ำไปซ้ำมาเกือบสี่รอบ

จริงๆไม่ใช่นิยายแนวที่ปอชอบอ่านเลยสักนิด แต่อ่านแล้วก็หยุดไม่ได้ตลอดเลย

อ่านตอนพิเศษแล้วอิ่มเอมใจ ในที่สุดก็ยอมมาอยู่ด้วยกันแล้วเนอะ! *แต่จริงๆยังอยากอ่านต่อไปเรื่อยๆ*

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: leknoey ที่ 03-10-2012 19:11:54
รอหนังสืออยู่นะคะ อยากได้เร็วๆ จัง :z2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: 12990 ที่ 07-10-2012 17:11:57
ก่อนอื่นต้องออกตัวว่า  แค่ชื่อเรื่อง  ก็ไปแล้ว ชั่งใจอยู่นานจะอ่านดีไหม แต่ก็ได้ยินเค้าเล่ามาว่า อืม  เป็นมุมมองความรักแบบที่นิยายหลาย ๆ เรื่องหรือส่วนมากเลยไม่ค่อยได้อ้างถึง  คืออ่านไปตอนสองตอนแรกประทับใจเลยตรงภาษาที่เป็นวรรณกรรมอย่างที่นักอ่านรุ่นพี่หลาย ๆ คนได้ออกตัวชมกันอย่างนั้น ซึ่งผมก็ว่าเช่นนั่น  ทำให้เรื่องน่าอ่านยิ่งขึ้น  มันก็ติดตรงที่ตอนแรกว่าผมจะอ่านต่อไปดีไหม  ทำไมมันเศร้า ๆ จังแต่ก็พอรู้แล้วว่าเรื่องนี้หน่วงมาก ๆ แต่เมื่อเข้ามาอ่านก็คือต้องอ่านให้จบ  พออ่านไปมีความรู้สึกว่า ยาวไปไหน  แต่ละตอนเยอะมากเริ่มท้อ  แต่เนื้อหาเริ่มทวีความรุนแรงจากพายุโซนร้อนเป็นไต้ฝุ่นในตอนเดียวกัน  ต้องบอกว่าหากเปลี่ยนเป็นการเล่าในมุมมองของเหยาเรื่องอาจจะไม่ออกมาลักษณะนี้ก็ได้  อาจจะเศร้าจนแบบไม่เป็นอันต้องทำไรเลย  คือแรก ๆ แอบงงว่าเอกเคะ  แน่ ๆ แต่อ่านไปถึงเข้าใจขึ้นมา  เออน่ะ  เมะละดีแล้เพราะเหยาเคะ  คือต้องยอมรับจริง ๆ ว่าเรื่องนี้ไม่เหมือนนิยายที่เคยอ่าน ๆ มาเป็นร้อย คือ ไม่ได้บ่งบอกว่าพระเอกจะต้องดีเลิศ นายเอกจะต้องมีมุมเงียบ ๆ ที่ไม่มีคนเข้าใจ  หากแต่เนื้อเรื่องตัวละครที่วางไว้นั้นลงตัวเสียยิ่งกว่าอะไรแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เนื้อเรื่องยังเป็นเหมือนชีวิตมนุษย์ที่ยังตัดกิเลสไม่ได้ทั่วไป  ทำให้รู้สึกว่าชีวิตคนเราไม่มีอะไรที่พร้อมสมบูรณ์แบบทุกตารางนิ้ว  หากแต่เรื่องนี้คนเขียนนำเสนอที่นักอ่านน้อยประสบการณ์อย่างผมคาดไม่ถึงว่าเรื่องอะไรที่จะเกิดขึ้นในลำดับต่อไป  เดาทางได้ยากมาก  และในความคิดเห็นส่วนตัวในเรื่องนี้นะครับ ผมไม่รู้สึกสงสารใครเลยจริง ๆ แปลกจัง  เพราะรู้สึกว่าแต่ละคนก็ทำตัวของตัวเองกันทั้งนั้น  ทำอะไรที่ไม่เป็นรูปธรรมเหมือนต่างฝ่ายต่างรู้ถึงความคิดของอีกฝ่าย ซึ่งผลก็คือไม่มีทางออกสำหรับคำถามนั้น  แต่ผมก็ชอบตรงที่มันมีบทสรุปของทุกปัญหาได้  ในเวลาต่อมาเพราะทำให้รู้ว่าไม่ค้างคา  แต่เป็นเรื่องของเวลาที่ทำให้เป็นเช่นนั้น  ผมยอมรับเลยว่าเรื่องนี้ผู้เขียน เขียนได้อารมณ์ของนิยายอย่างแท้จริง เพราะเข้ากับชีวิตจริง ๆ ของใครหลายคนหากแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในลักษณะที่คล้ายคลึง  แต่บทสรุปอาจจะต่างแค่นั้นเอง  ต้องชื่นชมทั้งคุณภักดีและคุณทิพย์นะครับที่สร้างความบันเทิงในเล้านี้  ทำให้หลายคนดราม่าเหลือ เช่น ผมนี่ละ และแน่นอนว่าผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชมอยู่ห่าง ๆ และให้กำลังใจคุณภักดี ผลิตผลงานออกมาอีกในเร็ววัน และสิ่งดี ๆ เหล่านี้สมควรที่นักอ่านทุกคนควรได้อ่าน  ผมก็เป็นคนนึงที่จะช่วยโปรโมทนิยายเรื่องนี้ไปเรื่อย เพื่อให้นักอ่านได้พบเจอกับผลงานอันเป็น เพชรแห่งวรรณกรรม 



ขอบคุณที่เสียสละเวลาโพสให้อ่านครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: skynotebook ที่ 07-10-2012 21:14:20
นึกว่าตอนพิเศษนี้จะไม่เสียน้ำตาซะอีก แต่ก็ต้องมาร้องไห้จนได้
ร้องเพราะความซึ้งและสงสารเรื่องที่ทั้งพี่เหยาแลเอกเจอเรื่องร้ายแรงมามากมาย
ตอนแรกก็งงว่าทำไมพี่เหยาไม่ยอมมาอยู่กับเอก ที่แท้เพราะเรื่องในอดีตที่ไม่ดีนี้เอง
แต่ตอนนี้พี่เหยารับปากว่าจะมาอยู่แล้วดีใจที่สุดเลย :mc4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 15-10-2012 19:35:16
แวะมา ว่าเอกจะกินเจ ไหมปีนี้
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: na-au ที่ 21-10-2012 21:52:41
เข้ามาอ่านรอบสอง พร้อมเพิ่มตอนพิเศษด้วย

ก็ยังมีน้ำตาอีกแล้วคู่นี้  :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: benz-sirilada ที่ 05-11-2012 15:19:33
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่บีบคั้นอารมณ์มากเสียน้ำตามากมายแต่สุดท้ายก็ happyending
 ขอบคุณคุณภัค D ที่แต่งเรื่องดี ๆมาให้อ่านกันนะค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 13-11-2012 20:16:55
ขอมาลงชื่อไว้ก่อนครับ
.
.
.
ในที่สุดก็อ่านจบ
ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆที่ให้มาครับ
ขอบคุณสำหรับความสนุกที่มอบให้
และ....ขอบคุณสำหรับการสร้างสรรตัวละครแต่ละตัวที่ทำให้รู้สึกถึง
เลือด เนี้อและจิตใจเหมือนเราได้เข้าไปอยู่กับพวกเขา

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: evz ที่ 16-11-2012 22:33:44
พออ่านเรื่องนี้จบแล้วรู้สึกยินดีกับเอกแล้วก็พี่เหยามากจริงๆที่ท้ายสุดแล้วก็ผ่านอะไรร้ายมาได้จนได้มาอยู่ด้วยกันตอนนี้
เพราะหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นมันหนักมากจริงๆ คนเขียนเขียนได้ดีมากๆค่ะ อ่านแล้วมันหดหู่มันทำให้อารมณ์ดิ่งลงๆเหมือนโดนโยนทิ้งลงเหว รู้สึกสิ้นหวังและหดหู่ไปตามตัวละครจนร้องไห้ไม่ออกเลย อ่านไปแล้วต้องหยุดพักเป็นช่วงๆ เพราะทำใจอ่านต่อเนื่องไม่ได้จริงๆ มันค่อนข้างหนักหนาต่อความรู้สึกมาก ทั้งเรื่องตัวละครที่หนูเข้าใจมากที่สุดคงจะเป็นเอกเพราะเอกดำเนินเรื่องทุกอย่าง รับรู้ทุกความคิดของเอก คนเขียนเขียนได้สุดยอดมากๆเลยค่ะ ถ่ายถอดออกมาเหมือนเอกเป็นคนที่เราสัมผัสได้จริง มีความรู้สึกนึกคิดทั้งเรื่องดีและร้ายอย่างที่มนุษย์คนนึงจะเป็นยิ่งทำให้อินตามสุดๆเลยค่ะ เอกนี่ทำให้หนูทั้งเกลียดทั้งสงสารปนสมน้ำหน้าเลย บ่อยครั้งที่เอกชอบโมโหแล้วทำอะไรไม่คิดมันทำให้หนูนึกเกลียดเอกมาก แต่พอเอกสำนึกได้แล้วก็สงสารเอกมากแต่ก็แอบสมน้ำหน้าด้วย เหอๆ
พี่เหยาเป็นตัวละครที่หนูสงสารมากที่สุดเพราะในมุมมองของหนูถึงจะไม่รู้ที่มาที่ไปทั้งหมดแต่พี่เหยาก็เป็นผู้ถูกกระทำจากคนที่ทั้งรัก นับถือ เคารพ และศรัทธาอย่างทอม จากคนที่เป็นเหมือนน้องชายอย่างเอก พี่เหยาคงจะเจ็บปวดน่าดู สงสารพี่เหยาแต่หนูก็ไม่ค่อยเข้าใจพี่เหยาเท่าไหร่ อยากรู้เรื่องผ่านมุมมองพี่เหยาบ้าง อยากรู้ด้วยว่าพี่เหยาเริ่มชอบเอกตั้งแต่ตอนไหน เพราะถึงเอกจะทำไม่ดีกับพี่เหยาในบางทีแต่พี่เหยาก็ยอม และให้อภัย เพราะอะไรถึงชอบเอกได้ ดูจากสิ่งที่เอกกระทำต่อพี่เหยาแล้วไม่มีอะไรให้น่าชอบเอกเลยนะพี่ เหอๆ อยากเข้าใจบางอย่างผ่านมุมพี่เหยาบ้าง รวมถึงเรื่องที่ทำไมต้องใช้ยากับเอกด้วย อันนี้แอบงงจริงๆ
ส่วนทอมนี่ไม่อยากเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็อยากรู้ว่าทำไมถึงคิดทำ คิดอะไรยังไงอยู่ตอนทำ แต่ถ้าเป็นเพราะอาการโรคจิต ก็อโหสิกรรมล่ะ เพราะพี่เหยาก็บอกเองว่าทอมนั้นจะเจ็บยิ่งกว่า
สุดท้ายถึงไม่ได้รู้ผ่านมุมของพี่เหยาและทอม แต่ทุกอย่างก็มีที่มาที่ไปมีบทสรุปที่ลงตัว ทำให้สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้อยู่ด้วยกัน แค่นี้ก็ดีใจกับทั้งคู่แล้วค่ะ
ขอบคุณคุณภัค Dคนเขียนมากๆเลยค่ะที่เขียนนิยายที่ทำให้เราโศกและอินไปกับเรื่องได้มากขนาด ทำเอานอนไม่หลับกระสับกระส่ายไปคืนนึงเต็มๆเลยค่ะ อารมณ์จากเรื่องมันส่งผลจริงๆค่ะ นับถือคนเขียนเลย  o13
ขอบคุณคุณทิพย์มากๆค่ะ ที่นำนิยายเรื่องนี้มาโพสต์ ทำให้ได้อ่านนิยายที่อินมากๆเรื่องนึงเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Saantos ที่ 01-12-2012 16:39:38
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด

อ่านเม้นของคนอื่นๆแล้ว

ไม่กล้าอ่านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:

กลัวร้องให้ กลัวเครียด กลัวนอยด์ แต่ก็อยากอ่าน (เอ๊ะ!!อีนี่จะเอายังไง)
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:


หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: kny ที่ 02-12-2012 14:00:43
มัน :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: zerea ที่ 02-12-2012 18:26:37
หลายอารมณ์มากเลยเรื่องนี้
แต่ก็ดีใจนะที่พี่เหยาก็เลือกเอกในที่สุด :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ladypenelopy ที่ 09-12-2012 18:35:46
เกลียดๆๆอารมณ์ตัวเองที่อยู่ๆก็อยากอ่านนิยายดราม่านํ้าตาแตกแล้วก็เลยคลิ๊กเข้าไปในกระทู้นิยายแนะนําต้องอ่านแล้วก็ไปเจอเรื่องนี้จากคนที่เข้ามาแนะนําแล้วบอกว่าเป็นนิยายเศร้ามากเลยกดเข้ามาอ่านพออ่านแล้วแทบจะกรีดร้องเป็นสายเลือดเกลียดอีทอมมากถึงมากที่สุดแต่ก็ไม่เกินไปกว่าที่คิดเพราะรสนิยมของคนต่างชาติเป็นเช่นนี้หลายคนแต่ประเด็นคือทําไมต้องเอาเด็กเข้ามาเกี่ยวด้วย???อ่านตั้งแต่ตอนเอกทําครั้งแรกเราพึมพําในใจว่าเค้ายังเด็กครั้งต่อมาที่ทําไปเรื่อยๆถี่ๆขึ้นเราก็ยังคงกรีดร้องในใจว่าเค้ายังเด็กถ้าอีทอมไม่เปิดประตูบ้านทิ้งไว้เอกก็คงจะไม่ทําอีกแต่มันก็ทําโทษอีทอมคนเดียวและถึงตอนที่เอกพาคนมารุมและด่าเหยาว่าสําส่อนเรากรีดร้องออกมาดังว่าเค้ายังเด็ก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!กรี้สสสสสสสสสสสสสสสสสสTTสุดท้ายเกลียดเหยากับความคิดปัญญาอ่อนที่บอกว่าจะแก้แค้น???เธอจะแก้แค้นอารายยยยยยยยยยของเธอTTเพลียจิตเว่อๆๆแต่ช่างเถอะเกลียดอีทอมคนเดียวจิงๆพาเหยาไปขายบริการตั้งแต่เด็กพาลูกเค้ามาทําอย่างนี้ทําถูกแล้วใช่มั้ย??ต้องให้รีดยางออกจากหน้ามั้ย??ฮุ้ย!!!!!!อารมณ์เสีย!!!เบื่อจะคิดเพลียจะพูดเอาเ่็นว่าแต่งดีคะจบขอบคุณคะ :L1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ts00709771 ที่ 19-12-2012 22:35:47
ชอบมากเลยครับ
กินใจมาก
ขอบคุณ คุณ ภัคD มากเลยครับ ที่สรรสร้างวรรณกรรมดีๆแบบนี้ขึ้นมาครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 24-12-2012 20:14:37
อ่านตอนพิเศษจบ ขอลุกขึ้นปรบมือดังๆ ให้วรรณกรรมชั้นเลิศเรื่องนี้
ขอบคุณจริงๆนะค่ะ ที่มีตอนพิเศษสวยหรู ตอนนี้ขึ้นมาให้คนอ่านยิ้มออกได้อย่างเต็มที่

อ่านแล้วยังคงเจ็บปวดแต่มีความสุขปนเหมือนเช่นทุกตอนที่ผ่านมา  เพียงแต่ว่าตอนนี้
ความสุขมันล้นออกมาจนแทบจะหุบยิ้มไม่ได้  ดีใจจริงๆ ค่ะที่ได้รู้จักเรื่องนี้

รักเอก+จีเหยา ^^
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Niinuii ที่ 04-01-2013 02:13:41
+1คะ

ตอนเริ่มอ่านก็ไม่รู้ว่าจะเป็นไง
ตอนนี้รู้แล้วว่านั่งอ่านไม่ลุกไปไหนมันเมื่อยอย่างนี้นี่เอง5555
สนุกๆไม่บีบถึงร้องไห้แต่ทำยังไงก็วางไม่ลง
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: aeaeja ที่ 05-01-2013 20:25:25
สมัครมาเพื่อเม้นเรื่องนี้เลยนะคะ
ขอบคุณมากๆสำหรับเรื่องดีๆเรื่องนี้ค่ะ
แต่งได้ดีมากๆ บีบหัวใจมาก
ขอบคุณจริงๆค่ะ

 :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: heLLangeL ที่ 07-01-2013 23:36:16

ตอนแรกเห็นเพื่อนทวิตว่า แม้กำลังจะสอบแต่ก็รู้สึกว่าต้องอ่านเรื่องนี้ มันได้อะไรๆเยอะมาก เลยต้องอ่านต่อไป
เฮ้ยย มันขนาดนั้นเลยหรอ ขอชื่อเรื่องมาหาอ่านมั่ง เอาชื่อเรื่องเสริชในกูเกิ้ลหา แล้วปรากฏว่ามีให้โหลดใน4shared ด้วย คนแต่งใจดีมากเลยค่ะ ><!

พออ่านแล้วก็ไม่ผิดหวังเลย เกินคาดมากอีกต่างหาก มันเป็นเนื้อเรื่องที่ทำให้ได้อะไรเยอะมากๆ
ภาษาเขียนก็ดีกว่าหนังสือบางเล่มที่ขายอีก ไม่มีคำไหนอ่านแล้วรู้สึกขัดเลย
อ่านจบมาสองวันแล้ว ยังมีความรู้สึกร่วมอยู่เลย ทั้งสงสาร เจ็บแค้น มีความสุข
คำต่างๆในเรื่องเป้นอะไรที่สะท้อนชีวิตจริงมาก เด็กที่ถูกผู้ใหญ่ริเริ่มในสิ่งผิดๆให้ ตัญหาที่ไม่เข้าใครออกใคร
ความขลาด ความคะนองของวัยที่ทำไปแล้วต้องมาเสียใจภายหลัง ฯลฯ
เหนืออื่นใด ฮือออ ความรัก ความผูกพันธ์ของคนสองคน เจ็บเพราะอีกคนมามากเท่าไร แต่ก็ยังยอมอยู่ดี
"การคิดถึงมันทำให้ผมเจ็บปวด...
หากแต่ผมกลัว...ว่าวันหนึ่งผมจะเลิกคิดถึง...
ทั้งที่การเลิกคิดถึงอาจทำให้ผมมีความสุข...
หากแต่ถ้าเลือกได้ ณ เวลานี้ แม้เจ็บปวด แต่ผมไม่อยากลืม" มันจี๊ดมากเลยTT_____TT
อีกคนที่เป็นฝ่ายถูกทำเจ็บตลอดก็ยังยอมเพราะรัก TT_______________TT


ดีใจที่จบอย่างมีความสุข ^^
ขอบคุณมากๆๆๆๆ...ๆๆค่ะ ที่นำเรื่องราวดีๆอย่างนี้แบ่งปันกัน >/\<

"สิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์คือความทรงจำ
     ไม่ว่าสุข หรือ ทุกข์
     เมื่อเวลาผ่านไป
     สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นความทรงจำ
     ยามนึกถึงความสุขจะอิ่มเอม
     ยามนึกถึงความทุกข์ก็ทำให้ดื่มด่ำ"
ขอบคุณที่เข้ามาเป็นหนึ่งในการทรงความทรงจำที่ดีให้แก่เราน้าา  ขอบคุณมากๆค่ะ >/\<
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ื0856777433nu ที่ 10-01-2013 10:40:12
อ่านเรื่องนี้แบบว่า จะเกิดขึ้นจิงกะตัวคงจะฆ่าตัวเองตายไปแล้วหล่ะครับ อ่านแล้วปวดใจมากเหมือนเข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้นจิืง ๆ ๆ อ่านแล้วนอนร้องไห้ทั่งคืนเลย พอตื่นเช้ามาไข้รับประทานเรียบร้อยไปแล้ว บอกตรงเลยนะครับ เศร้าสุด ๆ ๆ  :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: MADWHALE ที่ 11-01-2013 19:52:40
หน่วง...

เป็นความรู้สึกตั้งแต่เริ่มเรื่อง

อ่านแล้วมันเจ็บตาม

ความรักของเอก มีทั้งความสุข ความเศร้า มีเรื่องดีๆ ร้ายๆ เกิดขึ้นมากมาย

ถ้าเราเป็นเอก เราคงยอมแพ้ตั้งแต่ต้น แต่เอกไม่ยอม เอกพยายาม จนความรักของตัวเองประสบผลสำเร็จ

ขอบคุณ คุณภัคD นะคะ ที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: tiktok ที่ 25-01-2013 09:25:51
ตอนแรกไม่กล้าอ่านเลย
แต่พออ่านจบแล้วมันเต็มอิ่มมาก
แอบคิดว่าชีวิตจริงจะมีแบบเหยารึเปล่า คงน่าสงสารน่าดู
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: kungfoopungpon ที่ 08-02-2013 21:05:42
รัก พี่เหยามากกกกๆ ทำไงดีต้องเข้า facebook ของคุณ ภัก D เพื่อดูรูปเอกกับจึเหยาทุกวันเลย แอบกด save ด้วยแหละ
ทรมาณอะ มันคิดถึง ทำไงดีอยากให้มีภาคต่อเอาแบบ ดราม่านิดๆก็ได้แต่จบแบบ happy มุมมองของพี่ จึเหยา ด้วยยิ่งดี
เอาจบแบบตอนแก่ตอนเฒ่าด้วยยิ่งดี จะได้รู้ว่าอุปสรรคทั้งหมดย่อมน้อยลงหรือหมดไปอะไรประมาณนี้
สุดท้าย อยากตะโกนดัง ๆ ว่า หลงรักพี่จึเหยาโครต ๆ เฮ้อยิ่งรู้ว่าตัวละครจึเหยา กับ ทอม นั้นอิมเมจมาจากคนที่มีอยู่จริง(แว็บไรเนี้ยแหละเห็นคนเขียน ๆ ไว้และเพ้อถึงความหน้ารัก(หน้าตา) นิสัยอาจตรงกันข้ามคือคนจริงๆ ห้ามๆ ไปนิดแต่คนเขียนได้บอกว่ารู้สึกสงสัยฝรั่ง ซึงเป็นครูสอน Eng กับ ผู้ชายคนนั้นที่เป็นอิมเมจจึเหงาว่าต้องมีอะไรมากกว่าที่เป็็นครูสอนEng ยิ่ง โฮฮฮ อยากร้องให้เกียจครูEngคนนั้นซึ่งจริงๆอาจเป็นญาติก็ได้หรือน้าเขยไรมาณเนี้ยเดา)ยิ่งอยากเจอ


  :L2: อะให้ พี่จึเหยา   :o8:  :L1: :-[   
 :bye2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: b.bobeau ที่ 22-03-2013 13:17:09
อ่านหนังสือจบไปอีกรอบนึงแล้วคิดถึงเรื่องนี้มากๆ เลยมาเปิดดูเล่นๆ
เฮ้อ นิยายบ้าอะไรก็ไม่รู้ เล่นหลอนประสาทเราไปหลายเดือนเลยตอนอ่านจบใหม่ๆ
แต่เป็นอะไรที่อ่านแล้วรู้สึกเต็มอย่างประหลาด
มันสัมผัสได้ถึงความสมจริงของตัวละคร เหมือนทุกๆ คนในเรื่องนี้มีกันอยู่จริงๆ
ยิ่งอ่านช่วงที่เอกไปบ้านพี่เหยา แล้วที่ดูรูปพี่เหยาสมัยเด็กนะ
เป็นฉากที่แบบว่า มันเศร้ายิ่งกว่าเวลาที่พี่เหยาโดนทอมทำร้ายอีก ไม่รู้สิ
เฮ้ออ มาเขียนเอาไว้เผื่อคุณภัคD จะได้เข้ามาอ่าน
รักนิยายของคุณมากนะคะ
คิดถึงจึเหยาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: love2you ที่ 23-03-2013 08:10:05
เคยอ่านเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้วค่ะ ตอนนั้นตั้งใจไว้ว่าให้ตายก็จะไม่กลับมาอ่านอีกเป็นครั้งที่สองเพราะแค่ตอนนั้นก็ทำเอาเราจิตตกไปเป็นอาทิตย์เลย TT..TT

สำหรับเราแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่โหดร้ายมากๆ มันเหมือนทุกคนในเรื่องมีตัวตนอยู่จริง เขียนได้ดีมากจริงๆ ค่ะ พี่เหยาถือเป็นตำนานที่เศร้าที่สุด และตอนจบก็ทำให้เราอิ่มใจที่สุดเช่นกัน

ขอบคุณมากๆ ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 08-04-2013 19:33:34
อ่านจบแล้ว เป็นความรักหลายมุมมองจริง
มีแต่ความบังเอิญ แต่เป็นความบังเอิญที่เป็นลบ
ขนาดจบด้วยความสุข แต่ก็ยังจำช่วงเศร้าได้ชัดเจน
อ่านแล้วร้องไห้ตาบวม แสบตา ตื่นมาต้องใช้น้ำแข็งประคบ

เขียนได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ถึงจะได้อ่านช้า แต่ก็โชคดีที่ยังได้อ่าน
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 12-04-2013 13:35:20
เรื่องนี้สุดยอดมากๆ  :L2: :L2: :L2: ขอบคุณที่เอามาลงนะคะ ขอบคุณคนเขียนด้วย  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Zeitkey ที่ 07-05-2013 13:38:10
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วเกิดอารมณ์มากมายแต่ไม่มีน้ำตา

มันอัดอั้นมาก แบบเป็นความรู้สึกที่บีบอยู่ข้างในอก

สงสารพี่เหยา รู้สึกแย่กับเอก และเกลียดทอม

เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของตัวละครที่ดีมากคะ อยากรู้สึกถึงเรื่องที่พี่เหยาเก็บเอาไว้ ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง แม้แต่เอก

อยากรับฟังเรื่องของผู้ชายตัวเล็กๆ ที่ฝ่าฟันอะไรมามากมายจริงๆคะ

รักงานเขียนของคุณภัคดีมาก  จะติดตามต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: VICcy ที่ 25-05-2013 20:54:31
อ่านแล้วร้องไห้ จิตตกไปหลายวันเลยT^T
ไม่เคยอ่านนิยายแล้วรู้สึกหน่วงขนาดนี้มาก่อนเลยยยยย
ขอบคุณคุณภัคDมากๆเลยที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านกันนะครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: kinly ที่ 26-05-2013 00:39:53
ขอบคุณครับ อ่านมาสนุกดีครับถึงจะค่อนข้างเศร้าเกือบตลอดทั้งเรื่องก็ตามแต่ก็สนุกมากๆครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: babimild1985 ที่ 16-06-2013 03:10:38
เอ่อ ..... จะบอกว่า อ่านมาเรื่อย ๆ แล้วจิตตกอ่ะ
อ่านแล้วรู้สีกว่ามันบีบคั้นความรู้สึกเกินไป   :เฮ้อ:
ยอมรับนะคะว่าคุณ  ภัคD  เขียนได้ดีมาก
แต่ถ้ามีเรื่องแนวดราม่าขนาดนี้อีก ขอผ่านยาว ๆ เลยล่ะกัน
เป็นนิยายเรื่องแรกทีีอ่านแล้วเครียด
อ่านนิยายมาตั้งแต่ 15 ปี จนตอนนี้ 30 แล้ว เป็นเรื่องแรกจริง ๆ
ที่สามารถทำให้จิตตกได้ขนาดนี้  :z10:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: up2goo ที่ 17-06-2013 08:59:29
อ่านเรื่องนี้แล้วบอกได้คำเดียวว่า
"จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง"

มืด สว่าง เทา ปนเปกันไปหมด
บางทีก็ไม่ต้องการเหตุผลมารองรับในการกระทำนั้นหรอก
เพียงแค่คิดว่าจิตใจต้องการก็จะทำ ฉันก็จะทำ ในเมื่อนี่มันชีวิตฉันนี่

สงสารทุกตัวเอกในเรื่องเลย เพราะต่างคนต่างมีปมในใจ
และคอยสร้างเหตุผลให้กับตัวเอง เพื่ออ้างในการกระทำบางอย่าง

ขอชื่นชมคุณภักD แต่งได้เก่งมากๆ บทบรรยาย ถ้อยคำทั้งหมด
อ่านแล้วมันเข้าถึงจิตใจของตัวละครทุกตัวเลยจริงๆ

และขอบคุณคนนำมาโพสต์ด้วยค๊าฟฟฟ

ปล. ตอนพิเศษ น่ารักมากก อย่างกะคนละเรื่องกันเลย 555+
พยายามอ่านตอนพิเศษหลายรอบมากเลย เอามาลบล้างความหน่วงจากเนื้อเรื่องหลัก น่ารักจริงๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: inspyme.glamour ที่ 17-08-2013 22:51:02
ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆสักคำให้ลึกซึ้ง
สุดยอดเกินบรรยาย เกินจะหาคำไหนมาชื่นชมจริงๆ นิยายแบบนี้แหละที่เรียกว่า นิยายดี เป็นนิยายที่ดีที่สุดเท่าที่เคยอ่านมาจริงๆ
ยกให้เป็นหนึ่งแบบไม่มีตัวเลือกอื่นเลย ดีทั้งภาษา ทั้งอารมณ์ที่ถ่ายทอดมาถึงคนอ่าน แทบหลุดเข้าไปในโลกของคุณภัคD อ่านไปก็มโนไปว่าตัวเองอยู่เชียงใหม่ รู้สึกเหมือนลมหนาวเชียงใหม่พัดรอบตัวแล้วค่ะ555555
อ่านจบแล้วรู้สึกว่าโชคดีที่ได้เจอและเข้ามาอ่าน อีกใจก็รู้สึกว่าโชคร้ายจังที่เจอนิยายสนุกขนาดล่อลวงให้ติดขนาดนี้ อ่านจบไปแค่ตอนเดียวแต่เหมือนจะตามไปในหัวใจ เป็นนิยายเรื่องแรกที่อ่านนานนนนนนนนสุดๆ(สามเดือน) เพราะอ่านไปก็พักไป หายหน่วงแล้วกลับมาอ่านต่อ ยากกว่าตอนอ่านหนังสือสอบอีกนะคะนี่ :mew4:
กอดคนเขียนค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: saisrara ที่ 21-09-2013 00:18:37
รู้จักเรื่องนี้ได้เพราะทำรายงาน แล้วค้นหาคำว่า "อาหรับราตรี" จาก Google ค่ะ
แล้วก็ได้คลิกเข้าไปในเรื่องสั้น "อาหรับราตรี" ของคุณภัคD
พออ่านเพื่อที่จะทำความเข้าใจว่า เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องทำรายงานบ้างหรือเปล่านะ
ก็ไม่เกี่ยวโดยตรง แม้จะอ้างอิงในตอนท้ายของเรื่องอยู่บ้าง
แต่พออ่านไปเรื่อยๆ ก็หยุดอ่านไม่ได้ และอ่านไปจนจบ
รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก และชอบสำนวนภาษาของคุณภัคD มาก
ภาษาของคุณช่างสละสลวยจริงๆ

ขอสารภาพว่า รายงานที่กำลังทำอยู่หายไปจากหัวสมองอย่างสิ้นเชิง
เมื่อได้อ่านเรื่องของคุณ
และเมื่อเลื่อนลงไปอ่านความคิดเห็นที่มีต่อเรื่องของคุณ
จึงพบกับคำชื่นชมคุณเกี่ยวกับเรื่องนั้น และเรื่อง "หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ"
แค่เห็นชื่อเรื่องก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาแล้ว แต่ก็อยากรู้ว่าเรื่องจะเป็นยังไง จึงลองค้นหาในเล้าแห่งนี้ดู

แค่เกริ่นนำก็ทำให้เศร้า และคิดว่าตอนจบก็อาจจะเศร้าเหมือนเรื่องที่แล้ว
แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด และเมื่อถึงตอนที่เอกตั้งใจนำกระเป๋าสตางค์ไปคืนให้จึเหยา
ได้เห็น และได้เข้าร่วมเหตุการณ์นั้นก็รู้สึกบีบคั้นจิตใจมาก
กรีดร้อง และร้องไห้ออกมาจริงๆ รู้สึกแย่มากจริงๆ

พอเรื่องดำเนินมาจนถึงที่จึเหยาเล่าเรื่องในอดีตในฟัง หลังจากนั่งรถไฟไปหาเอก
แล้วเอกบอกว่ารู้ในเวลาต่อมาว่า มันคือคำสารภาพที่มีคำร้องขออยู่ด้วย
ตอนนั้นก็คิดนะ... ว่าจึเหยาจะเลือกทางไหน เพราะเขาเอาแต่ร้องไห้

ทอม...ที่ตัดไม่ขาดซักที ที่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
เอก...ที่รัก แต่ก็ให้ความรู้สึกที่ไม่มั่นคงเลย และไม่ว่าเอกจะทำให้เจ็บช้ำแค่ไหน ก็ยังรัก
หรือว่า...จะไม่เลือกใครเลย

เมื่ออ่านมาจนจบ และแถมด้วยตอนพิเศษอีกหลายตอน
ก็รู้สึกอิ่มเอมใจนะคะที่เอกและจึเหยามีความสุข ช่วยกันประคับประคองความรัก
สนใจแต่ปัจจุบันที่ได้มีกันและกัน เข้าอกเข้าใจกัน

ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าเรื่องจะจบแบบ Happy
เพราะเตรียมใจไว้ตั้งแต่แรกที่เห็นชื่อเรื่องแล้วว่า ต้องจบเศร้าแน่เลย
และยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อได้อ่านเกริ่นนำ

แม้ความสุขและอิ่มเอมใจเมื่ออ่านจบจะมีมากมาย
แต่ก็ไม่ลืมว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมามันโศกเศร้ามากแค่ไหน
และเมื่อคิดได้อย่างนั้น ก็ยิ่งดีใจที่เหตุการณ์ร้ายๆ เหล่านั้น
กลับทำให้เอกและจึเหยามีวันที่สวยงามได้ค่ะ

ขอบคุณคุณ ภัคD ที่สร้างสรรค์ผลงานอันเยี่ยมยอดเช่นนี้ให้ได้อ่านกันนะคะ
ขอบคุณที่ทำให้ทั้งสุขและทุกข์ไปพร้อมๆ กัน
ขอบคุณที่ทำให้เห็นความรู็สึกนึกคิดและพัฒนาการของตัวละคร
พวกเขาเหมือนคนที่มีชีวิตอยู่จริงๆ มากกว่าแค่ตัวละครในนิยาย

ขอบคุณคุณ THIP ที่โพสต์เรื่องให้ได้อ่านกันนะคะ

รักเรื่องนี้มาก รักคนแต่ง รักคนโพสต์ รักเอกและจึเหยา และขอให้ทั้งคู่รักกันตลอดไปค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: pammii ที่ 22-10-2013 03:22:54
 :monkeysad: รักจีหยงที่สุดเลยยยยย ขอให้จีหยงกับเอ็กรักกันตลอดไปนะ ขอบคุณ คุณภัคD ที่แต่งนิยาย ดีๆ มาให้อ่านนะคะ อยากบอกว่า ไม่เคยอ่านนิยายเรื่องไหนแล้ว รู้สึกอึดอัด หน่วง อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ทั้งโกรธ เกลียด ไม่เข้าใจในเหตุผลของตัวละคร แต่ละตัวเลย ทั้งลุ้นว่า ตอนจบจะออกมาแบบไหน เฮ้อออ กว่าจะอ่านถึงตอนจบ แทบบ้าตายยย ลุกไปไหนไม่ได้เลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Yundori ที่ 27-10-2013 08:55:37
ได้ยินชื่อเสียงของเรื่องนี้มานานค่ะ
แต่ก็ไม่เคยอยากจะลองอ่านสักที จนกระทั่งไม่มีอะไรทำขึ้นมาจริงๆเลยอ่าน
ตั้งแต่เมื่อวาน จนถึงวันนี้ที่พิมพ์อยู่ ยังรู้สึกหน่วงไม่หาย
นอนไม่หลับ ถ้าไม่ได้อ่านจนจบ
ถึงอ่านจบแล้ว ก็ยังหน่วง ก็ยังมีความรู้สึกในคิดก่อนหลับอยู่ดี
ทั้งความรักของทั้งสามคน ที่มาในรูปแบบนี้
ยิ่งอ่านไป ยิ่งรู้สึกอินมากขึ้น จนกลายเป็นว่า
รู้สึกสงสาร และรู้สึกว่าโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมกับเหยา
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เข้าถึงตัวละครได้อย่างแท้จริงๆ เหมือนชีวิตจริง
ที่ไม่ใช่ว่าพระเอกจะทำทุกอย่างได้ และนายเอกจะรอดพ้นจากอันตราย
อะไรที่เหยาผ่านมา รวมถึงตอนพิเศษ ทำให้รู้สึกเกลียดทอมมากขึ้น
และยิ่งสะใจ ที่ทอมต้องมีจุดจบของตัวเองแบบนั้น
แต้ในระหว่างที่อ่าน ก็รู้สึกว่าบางทีเอกก็ใช้อารมณ์เกินไป
เอกก็ยังไม่เข้าใจเหยา ยังทำร้ายเหยา แต่พออ่านจบ ก็รู้สึกรักเอกขึ้นมา รักตัวละครทุกตัว
ที่คุณภัคดีสรรสร้าง ขอบคุณสำหรับความเสียสละในการแต่งเรื่องนี้นะคะ
มีค่ามากจริงๆที่จะอ่าน แม้จะทำให้นอนไม่หลับ ก็ไม่รู้สึกว่าเสียเวลา หรือเสียดายน้ำตาที่เสียไปเลย
ทุกอย่างมีเหตุ มีผลของการกระทำ คุณภัคดีแต่งเรื่องนี้ได้ดีมาก จนไม่รู้จะกล่าวชมยังไงแล้ว
ขอบคุณทั้งคุณทิพย์ที่แบ่งปัน และขอบคุณอย่างยิ่งสำหรับคุณภัคดีนะคะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: airgear ที่ 15-12-2013 23:03:21
อ่านจบแล้วครับ ช้าไปไหมก็ไม่รู้ เพิ่งจะได้เข้ามาเป็นสมาชิก  :o8:
เป็นเรื่องที่เนื้อหาปวดใจมาก มีทุกอารมณ์ ทุกความรู้สึก เนื้อเรื่องและตัวละครที่ดำเนินเรื่องทั้งหมด เกิดจากการไม่พูด เวลาพอมีโอกาสพูดก็ทำลายมันไปด้วยน้ำมือตนเอง ด้วยความโกรธ ทำให้ทุกอย่างพัง แต่สุดท้ายจบลงด้วยดีก็ดีแล้วแหะๆๆ

ชอบที่สุดก็คงเป็นคืนลอยกระทง บรรยายกาศ การกระทำของตัวละคร ถึงจะหนาวแต่ก็รู้สึกอุ่นได้  :-[ แต่หลังจากนั้นรับไม่ได้ 5555  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: whitepinkgirl ที่ 29-12-2013 02:16:59
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เห็นหลายๆคนแนะนำให้อ่าน  แต่ก็ยังรีรอเพราะเห็นเขาบอกว่ามันเศร้ามาก

แต่พออ่านจบแล้วรู้สึกดีใจมากที่ตัดสินใจอ่าน  และยกขึ้นแท่นเรื่องในดวงใจทันที

ถึงแม้เรื่องมันจะเครียดมาก  แต่เพราะในชีวิตจริงเราก็เป็นกันบ่อยๆ ที่เราไม่สามารถหาคำตอบให้กับการกระทำของเราได้ว่าเราทำไปเพราะอะไร 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เราได้รู้จักชีวิตมากขึ้น  และได้อะไรดีๆ ที่เตือนสติและเป็นแนวคิดได้ไม่เว้นแต่ละตอน

และเห็นด้วยกับความคิดที่ว่า ความทรงจำไม่ว่าจะดีหรือเลวร้ายอย่างไร  แต่ก็เป็นสิ่งสร้างให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้

ขอบคุณ คุณTHIP ที่นำเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่าน
ขอบคุณ คุณ ภัคD ที่แต่งเรื่องราวดีๆ แบบนี้ให้ได้สัมผัส  คุณแต่งเรื่องได้ดีมาก อินมาก จนบางครั้งเวลาอ่านเราลืมไปว่าเรื่องนี้คือนิยาย อ่านรวดเดียวจบจนไม่ยอมทำอะไร 

ปล. เดี๋ยวรอให้หายเครียดก่อนจะมานั่งอ่านอีกรอบ พร้อมกับจดสิ่งที่ได้ไว้เตือนใจ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: tsundere ที่ 29-01-2014 00:06:12
เคยอ่านครั้งหนึ่ง ขอสารภาพว่าอ่านข้ามบ้างเพราะอยากให้ถึงตอนจบไวๆ
แต่พอมาอ่านอีกรอบหลังจากโตขึ้นก็เข้าใจอะไรเยอะพอควรจากที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
รู้สึกเสียดายกับคำว่า "ถ้าคิดสักนิด" ของเอก ไม่น่าเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง
แรก ๆโกรธเหยามาก ประมาณเข้าข้างเอกสุด ๆเพราะเหมือนเข้าใจความมืดมนของเอก
ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่พยายามผลักคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นในสายตาตัวเอง
แต่หลังจากนั้นรักเหยามาก น่ารักค่ะ เอกนี่โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลยนะ
ไม่ใช่โตแต่ตัวแต่เป็นทางความคิดและมุมมอง ยังคงไม่เข้าใจคำตอบเหยาที่
เอกถามว่า เต็มใจ  แล้วเหยาตอบไม่ เหยาหมายถึงใคร (แอบสงสารเอกอ่ะตอนนั้น)
 อย่างคนที่มันคิดเองหรือคนที่ทอมพามาวะข๊าาา แต่อ่านกี่รอบความรู้สึกเดิมคือเกลียดทอม
และยิ่งเกลียดแทนเอกด้วย เมื่อเหยาพยายามปกป้องทอมจากคำพูดเอก 
แล้วที่เอกจะบอกว่าเหตุการณ์ที่มันพาแขกไปรุมเหยา มันคร่ำครวญจากใจจริง
แต่ก็มันนั่นแหละที่เป็นคนนั่งสบายอารมณ์อยู่ในรถรอเอกออกมา แต่เหยาก็เชื่อมัน
 ยังตอแหลทำร้ายตัวเองได้อีก (ขอหยาบหน่อยเถอะ) ไม่เคยจะเห็นความดีมันเลย
(ถ้าไม่นับเรื่องที่ทำให้เอกกับเหยาเริ่มสัมพันธ์เกินเลยกัน)
เปลี่ยนอารมณ์กันดีกว่า แต่ละคนบอกว่าเรื่องนี้มันโศก ก็จริงนะ แต่ฉากสบาย ๆ
อ่านแล้วมันรู้สึกหวาน ๆ เขิน ๆ ไงก็ไม่รู้
 อยากรู้จริงว่าเหยามีความรู้สึกกับเอกเกินน้องตั้งแต่เมื่อไหร่
(มโนเองว่าตั้งแต่เอกพาเพื่อนไปรุมข่มขืน//นี่ก็คิดได้ว่ะ)
แต่เอกนี่คงตั้งแต่เหยาเรียกชื่อที่คุยกันในรถวันฝนกตกหลังจากเข้าหน้ากันไม่ติดหรือเปล่า
 หรือเป็นตอนที่รู้ว่าเหยาขัดขืนไม่ได้ตอนพาเพื่อนไปข่มขืน(มันเป็นอะไรกับฉากนี้วะ)
หรือสะสมมาตั้งแต่เด็ก(ว่ะ)คะ เพราะที่เห็นเล่ามาเอาใจใส่เหยาตลอด
 เหยารื้อผ้าปูที่นอนไม่เคยบ่นแถมลองทำตามอีก (เป็นฉันอารมณ์เสียแล้วค่ะ ต้องมาปูที่นอนใหม่เนี่ย)
หรือตอนเปลี่ยนพฤติกรรมการใช่ไม้บรรทัด อุแหม่ เอกนี่ช่างสังเกตเหยาจริงนะ
แล้วอีกตอนที่เอกชมเก้าแล้วไม่ละสายตาจากเก้าเลยด้วยความตื่นเต้น "เพิ่งรู้ว่าพี่เก้ารำเป็นด้วย"
 เหยาตอบ "ก็ได้เท่าที่เห็นนั่นแหละ" แบบเหวี่ยงๆ นี่ เหยาหึงเหรอคะ
หึงใช่มั้ยนี่ น่ารักที่สุด ยิ่งตอนที่เอกมันให้ดอกไม้(ไฟ)เหยาเป็นครั้งแรกนะ
 จะว่าโรแมนติกก็โรแมนติคเลยนะ มันให้ปะทัด
เป็นดอกไม้จีบค่ะ ไอ้เอก น่ารักไหนข๊าาาาาาาาา อ่านแล้วลืมเกลียดทอมเลยนะ
ติดตามผลงานนะคะ (แต่คงต้องรอให้แต่งจบก่อนนะ ไม่งั้นขาดใจตายเลย)
อยากเม้นให้เลยมาสมัครเลยนะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: society-x ที่ 02-05-2014 11:13:22

สนุกมากๆค่ะ อ่านครั้งแรกเมื่อนานมาแล้ว(ตอนนั้นยังไม่ได้สมัคร) จำได้ว่าอ่านตอนนั้นแล้วแอบงงนิดๆ ว่าสรุปแล้ว พี่เหยานี่ไม่ได้ให้อภัยทอมใช่มั้ย พอมาอ่านอีกครั้งก็เข้าใจแล้วว่าพี่เหยาทั้งเคารพทอมที่ช่วยครอบครัวและก็เกลียดทอมจนให้อภัยทอมไม่ได้

ในเรื่องนี่ชอบฟง ชอบวิทย์ พี่เก้า พี่นัทมากๆ คือเป็นคนที่คิดแก้ปัญหาต่างๆได้ดีมาก ถ้าไม่มีพวกนี้ คิดว่าเอกกับเหยานี่ไม่ได้ลงเอยกันแน่ๆ ส่วนพี่เหยานี่ชอบมากที่สุด และสงสารพี่แกที่สุดแล้ว โดนกระทำตลอด อยากให้พี่เหยาลั่นไกตอนนั้นมาก อยากให้ทั้งเอกและทอมรู้ถึงความสูญเสียบ้าง

เอาจริงๆเลยว่าไม่ชอบนิสัยเอก เจ้านี่ชอบหนีปัญหาจริงๆอย่างที่เจ้าตัวคิด แล้วก็เอาแต่ใจและชอบทำให้คนที่รักตัวเองเสียใจ ทั้งที่บ้าน ครอบครัวและเพื่อน(พี่โอ๋กับวิทย์) เหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาหลายๆอย่างเลยนะคะ ถ้าไม่นับทอม

อยากบอกคนเขียนมากนับถือมากจริงๆ บทบรรยายแต่ละตอนนี่ทำเอาอินตลอด สนุกมาก และเป็นนิยายที่ชอบมากๆจริงๆค่ะ ถ้านับในเรื่องของความดราม่าแล้วยกเรื่องนี้ให้เป็นที่สุดเลย เก่งมากๆค่ะ

แล้วก็ขอบคุณคนโพสต์ด้วยค่ะ ที่นำนิยายสนุกๆ ดีๆ ให้แง่คิดแบบนี้มาให้อ่าน ขอบคุณมากๆค่ะ  :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: one ที่ 02-05-2014 21:59:25
 :monkeysad: อ่านเรื่องนี้เหมือนจะซาดิสต์ทำร้ายจิตใจตัวเองกว่าจะอ่านจบ   :katai1: แต่ก็อ่านจนจบ  ขอบคุณมากคะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: RnSoMzZ9 ที่ 04-05-2014 18:25:52
โอ๊ยยยยยยยยย มันเป็นอะไรที่สุดยอดที่สุดเลยค่ะ

ตอนอ่านไปแรกๆก็คิดว่าคงจะเป็นนิยายน้ำเน่าทั่วไป

แต่นี่มันอะไรรรรรรรรรรรรรรรรร?!! ตัวละครมันจริงมากๆ

แถมทุกอย่าง ความรู้สึก มันมีมิติเหมือนกับว่ามันคือสิ่งที่เป็นจริง

เป็นนิยายที่ควรค่าแก่การอ่านที่สุด มันสะท้อนดีกรีของความรักความเจ็บปวดได้ทุกระดับเลย

ชอบมาก ยอมรับว่าอ่านผ่านในช่วงแรกๆ เพราะจะดูเนื้อเรื่อง

แต่พอกลับมาอ่านอีกที มันไม่ใช่แล้ว

ตอนแรกคิดว่าคงทำใจอ่านไม่จบด้วยซ้ำ เพราะมันปวดจี๊ด กลัวว่าสองคนนั้นต้องเสียใจตลอดไป

แต่อ่านจนจบแล้ว มันสุดยอดมากค่ะ มันที่สุดจริงๆ

ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Ojarumaru ที่ 08-06-2014 23:31:10
ทุกคนต่างบอกว่าชอบเรื่องนี้
แต่มดบอกเลยว่ามดเกลียดเรื่องนี้

มันทำร้ายจิตใจสุดๆ เราร้องไห้ทุกครั้งที่อ่านฉากที่เหยาถูกกระทำ
แม้เนื้อเรื่องจะเป็นการดำเนินเรื่องโดยมีเอกเป็นคนเล่า
แต่ถ้าเรื่องนี้เหยาเป็นคนเล่า....T_T
ถึงแม้จะเกลียดแต่เราก้อ่านจนจบ

เราเคยดูหนังสาระคดีของญี่ปุ่นเรื่องนึง
เราไม่รู้ว่าชื่อเรื่องว่าอะไร เพราะพี่ที่เป็นล่ามญี่ปุ่นเอามาให้ดู
เป็นเรื่องของเด็กที่ถูกขายบริการในไทย
นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเอาเด็ก ใส่ในกระเป๋าเดินทาง
แล้วพาเข้าโรงแรมไปมีอะไรกัน
แม้จะบอกว่าเด็กสมยอม แต่....เด็กไม่มีปากเสียงT_T. ฮือๆๆ
เราดูไม่จบ เพราะทนดูต่อไม่ไหว
แล้วพอมาอ่านเรื่องนี้ เราหยุดอ่านไม่ได้เพราะมันรบกวนหัวใจ
อ่านไปก็ร้องไป ไม่เข้าใจใครสักคน
ถ้าเราเป็นเหยา เราคงฆ่าตัวตาย

ฉากที่สะเทือนใจเราที่สุดคือการที่ทอมพาเหยาไปเร่ขายบริการ
คำถามมันขึ้นมาทันทีว่า จิตใจมึงทำด่วยอะไร แล้วเหยาผิดอะไร
รู้นะว่าแค่นิยาย แต่ก้ทำใจไม่ได้สักที

พี่ภัคD เขียนได้ทรมานใจกันที่สุด
สับสน และเจ็บปวด แต่หยุดอ่านไม่ได้ เพราะหวังไว้ว่าให้happy ending
แม่จะไม่สวยหรู แต่ก้งดงาม แต่ก้ยังเจ็บปวดอยู่ดี

ฮือๆๆๆๆๆๆ เกลียดเรื่องนี้จริงๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: SoulFighter ที่ 12-06-2014 21:28:24
เรื่องนี้เราอ่านจบไปสองครั้งแล้ว แต่ตอนนี้เริ่มลืมเนื้อเรื่องแล้ว 555

คาดว่าจะมีครั้งที่สามในเร็วๆนี้ เราชอบเรื่องนี้มาก อ่านเรื่องไหนก็แทนไม่ได้เลย

ปล.คิดถึงพี่เหยาจัง

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Simple ที่ 08-07-2014 00:03:34
มีหลายเหตุผลที่ทำให้รักนิยายเรื่องนี้

และยกให้เป็นนิยายในดวงใจ

ความสมจริงของตัวละคร ปมต่างๆที่คุณภัคD ผูกไว้

คุณภัคD ถ่ายทอดออกมาได้ยอดเยี่ยมจริงๆ

หากมีคนถามว่าจะอ่านนิยายดีๆสักเรื่องในเล้า

เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องแนะนำอย่างแน่นอน :L2: :pig4:

ปล หายไปเกือบสามปีกลับมาใหม่ถึงได้บังเอิญมาเห็นตอนพิเศษ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: loveromance ที่ 12-07-2014 23:45:58
อันดับแรกขอกราบขอบพระคุณคเขียนมาก คุณภัคDเรารักคุณ!!!
เริ่มแรกเห็นใครๆว่ากันว่าสนุกมาก เอาล่ะ เตรียมอ่านเลย แต่อีกหนึ่งสรรพคุณที่เลื่องลือกันมาคือดราม่า หน่วง เศร้า โอ้วววว งั้นยังไม่อ่าน เก็บไว้ก่อน
จนกระทั่งวันนี้ทำใจได้เลตัดสินใจอ่าน
แม่เจ้า มันสุดยอดมาก ทุกอย่างลงตัว แต่แบบ...
อ่านไปพักไป ไม่ไหว หน่วงจนปวดตับ แต่สนุกสุดยอดมาก รักพี่เหยาไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร
และไม่ว่าทอมจะมีเหตุผลอะไร ดิฉันเกลียดมันมากค่ะ!!!!
ขอบคุณคนเขียนอีกครั้งนะค หรือจะเก็บไว้เป็นความทรงจำ จะเป็นนิยายแห่งความทรงจำที่งดงาม :L1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Maxshu ที่ 17-07-2014 01:01:36
อ่านเรื่องนี้รอบ2ก็บอกเหมือนเดิมว่าพี่เหยาอยู่ในใจน้อง เกลียดทอมมาก คุณภัคDเขียนให้มันมีชีวิตได้สุดยอดมากค่ะ

#อ่านแล้วสภาพจิตใจดำดิ่งลงเหวลึกไป3วันเลยค่ะ รับประกันว่าหน่วงจริงๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: DREAM COME TRUE ที่ 22-07-2014 18:53:30
เรื่องนี้โหดร้ายมาก ถึงจะจบแบบมีความสุข ไม่ใช่สุขธรรมดา แต่เป็นสุขมาก เพราะมันผ่านอะไรโหดร้ายๆมาเยอะ
ทั้งชอบ ทั้งทนอ่านไม่ไหว สารภาพว่าตอนใกล้ๆจบที่มันหนักๆ ผมเลือกจะอ่านแบบสคิปๆ เพราะทำใจไม่ไหว แต่ตอนหลังที่หวานๆ ผมอ่านเต็มๆนะ ^^
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยตัวกลม ที่ 28-08-2014 19:57:06
ได้อ่านเรื่องนี้เพราะไปพิมพ์ในกูเกิ้ลว่า yaoi ดราม่า เลยไปเจอที่เค้าแนะนำเรื่องนี้ไว้ ตอนที่อ่านตอนสองตอนแรก ยังทำใจอ่านได้อยู่ แต่หลังจากนั้น ไม่อยากอ่านต่อเลย มันสะเทือนข้างใน มันจุก มันหน่วงอยู่ในอก น้ำตาตกใน จริงๆแล้วถ้าน้ำตาไหลจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่สุดท้าย...ก็อ่านจบจนได้ สารภาพเลย อ่านแล้วไม่ได้เกลียดแค่ทอม แต่พาลเกลียดฝรั่งไปหมด เข็ดyaoiดราม่าไปอีกนาน
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: sasaka8 ที่ 26-09-2014 12:58:43
ขอบคุณ คุณภัคDและคนโพสต์ด้วยค่ะนิยายสนุกมากค่ะ
ลุ้นกว่าจะจบเศร้าตาม จบสมหวังดีแล้วค่ะ
ทำให้ชีวิตมีความหวังขึ้นอีกเยอะ แม้เป็นแค่นิยาย
แต่มันรู้สึกได้ถึงทุกข์และสุข เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ :bye2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: U-Zero ที่ 01-10-2014 17:58:51
ขอบคุณ คุณภัคDมากๆนะครับ สำหรับการถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างสุดยอด ยิ่งกว่าชีวิตจริง ตัวละครทุกตัวล้วนมีมิติ การเล่าเรื่องสุดแสนบีบคั้นอารมณ์ อย่างที่ทุกๆคนเห็นตรงกันแหละครับ ว่าสามารถบรรยายออกมาได้บีบหัวใจเหลือเกิน และตอนจบอย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็ช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวดให้ทั้งตัวละคร และคนอ่านได้ดีมากๆครับ ไม่งั้นถ้าจบเศร้านี่ ผมคนหนึ่งล่ะ ที่คงกระอักเลือดตายคาเรื่องนี้แน่ๆ

ออ ถ้าเป็นไปได้ อยากให้มีตอนพิเศษแบบอบอุ่นๆ ของเอกกับพี่เหยา ออกมาเรื่อยๆนะครับ เพราะผมรู้สึกผูกพันกับความรักของคู่นี้มากๆ ราวกับว่าเขามีตัวตนอยู่จริงไปซะแล้ว อยากรู้ความเป็นไปของพวกเขาเรื่อยๆ เหมือนเพื่อนเก่า ที่ยังอยากรู้ข่าวคราวกันและกันต่อๆไปน่ะครับ

สุดท้าย ขอบคุณ คุณ Thip ที่เอาเรื่องนี้มาโพสท์ให้อ่านกันด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: DATAs ที่ 01-11-2014 01:26:08
หนูเพิ่งอ่านจบ เพราะเพื่อนแนะนำมาอีกทีค่ะ

อ่านแรกๆ คือเกลียดเอกมากกกกก  ไปไปมามา สงสารมากกกกก  เข้าใจความรู้สึก 

อ่านรวดเดียวจบ ร้องไห้จนน้องถาม  มึงเป็นไร?? ไปหาหมอไหม?

แล้วยิ่งฉากตอนเอกลงจากรถไฟ  แล้วโทรมาบอกรักพี่เหยา แค่ฉากนี้ฉากเดียว หนูวนอ่านประมาณ 20 รอบ

คือมันเหมือนทั้งหมดที่อ่านมา หนูรอฉากนี้ฉากเดียว ร้องไห้เยอะมาก

ขอบคุณ คุณภัคD ที่เขียนนิยายดีดีแบบนี้ ต้องสารภาพว่าเป็นคนที่ไม่ชอบนิยายดราม่าเลย

แต่พออ่านเอกกับพี่เหยา แล้วเริ่มอยากเสพนิยายดราม่า ชอบมากค่ะ ชอบจริงๆ

ขอบคุณ พี่ THIP ที่เอามาลงให้อ่าน ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีให้อ่านซะแล้ว ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 07-11-2014 23:57:54
.......  เรื่องนี้หนักมากจริง ๆ ครับ เรื่องอื่นผมอ่านทุกตัวอักษร แต่เรื่องนี้ไม่กล้าอ่านทุกตัวอักษร อ่านผ่าน ๆ ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่เรื่องมันเครียดและหนักมากจริง ๆ

เขียนได้ดีมาก ๆ เลยครับ

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: eye_gun ที่ 13-12-2014 21:56:38
เข้ามาอ่านเพราะได้รับการแนะนำผ่านบอร์ดว่าหน่วงมาก  ก็ทำใจอยู่พักว่าพร้อมที่จะรับความหน่วงที่หลายคนการันตรีมา  อ่านผ่านไปตอนแรกความหน่วงยังไม่มา  แต่ภาษาสวย เริ่มคิด เริ่มอินว่าเป็นตัวละครที่กำลังกล่าวถึง  ตอนสองเริ่มคิ้วขมวด แต่ยังรับไหว  แล้วต่อจากนั้น  ทำเอาวางแท็บไม่ได้  หายใจเริ่มติดขัด บาวงครั้งเหมือนจมน้ำ  บางครั้งเหมือนหัวใจมันจะระเบิด รู้สึกไม่เข้าใจ  สงสาร เกลียด  ทำเอาไม่เป็นตัวเอง  นอนไม่หลับคิดวนเวียนว่าทำไมเหยาถึงยอม ทำไมและทำไม  เดาไม่ถูกว่าจะจบอย่างไร  อ่านไปมองชื่อเรื่องไปพยายามผูกว่าจะจบแบบไหน  พอจบเรื่องถึงยิ้มได้ตลอดสองวันที่พยามอ่าน (ตอนไหนบีบคั้นมากดกปิดแวะพักใจ  กลัวเป็นข่าวหน้าหนึ่ง  นักอ่านนิยายหัวใจวายกระทันหัน ) ขอบคุณ คุณภัคD ที่สรรสร้างนิยายที่หลายๆคนยกย่องให้เป็นวรรณกรรมแห่งวายไปแล้ว  ให้เราได้เสพ  ขอบคุณ คุณทิพย์  ที่นำมาลงให้ทุกคนได้หน่วงเต็มพิกัด  ตั้งแต่ต้นจนถึงบทก่อนจบ  ไม่มีน้ำตาสักหยด  แต่อ่านไปต้องเอามือกำอกซ้ายบ่อยๆ  หัวใจเหมือนจะบีบอัดตัว บางครั้งเต้นแทบระเบิด  ทำเอาแทบต้องหายาป้องโรคหัวใจมาวางไว้ใกล้ตัว  แต่บทจบและตอนพิเศษก็ทำให้ยิ้มได้ไม่ลำบากหมอ   สุดท้ายขอบคุณคงไม่พอ  :L1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: kittisak Intarasarn ที่ 11-01-2015 23:12:33
มันมากกว่านิยาย  ไม่รู้จะอธิบายยังไง  .......
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Akikojae ที่ 12-01-2015 19:48:20
ไม่เคยคิดว่าจะกดเข้ามาอ่านเรื่องนี้เลยสักครั้ง ปีที่แล้วพี่สาวที่ทำงานเคยแนะนำให้ลองอ่าน แต่พอรู้ว่ามันดราม่าเลยช่างใจก่อน ทีนี้มาเมื่อวานเห็นคนคอมเมนท์เรื่องนี้เลยลองไล่อ่านเม้นดูหลายๆอันก็เห็นว่าจบแบบ happy เลยลองอ่านดู หลังจากนั้นก็ใช้เวลาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ถึงได้อ่านมาจบด้วยตอนพิเศษ หน่วงในอกแต่น้ำตาไม่ไหล อยากบอกว่าขอขอบคุณคุณ ภัคดี มากๆค่ะ ที่เขียนนิยายฉบับวรรณกรรมชั้นเลิศออกมาให้ได้อ่าน ด้วยภาษาที่แฝงไปด้วยการอธิบายอารมณ์ ความนึกคิด และจิตใต้สำนึกภายในของตัวละคร ทำให้คนอ่านรู้สึกอิน เข้าใจ มีความสุข และเจ็บปวดตามไปด้วยแม้จะไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ ชื่นชมจากใจจริงและอยากแต่งนิยายให้ดีแบบนี้บ้างแต่ก็คงยากเพราะขาดการใส่ใจรายละเอียด คุณภัคเก่งมาก เรานับถือจริงๆค่ะ  ส่วนตัวเห็นว่าตัวละครทั้งหมดลงตัวแล้ว และชัดเจนจนไม่มีอะไรคลาแคลงใจ จบแบบนี้ยิ่งทำให้เรื่องนี้ เป็นความทรงจำที่ดีของเรา ไม่น่าเปิดเลยไปเลยมาเลยค่ะ รู้แบบนี้อ่านเสียตั้งนาน ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจากใจจริง รักพี่เหยา รักเอก รักตัวละครทุกตัว รักคนเขียน และขอบคุณคุณ THIP ค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 26-01-2015 21:49:55
ได้ยินชื่อนิยายเรื่องนี้มานานมาก แต่เพราะชื่อเรื่องบอกยี่ห้อความดราม่า
รวมทั้งแนวโน้มที่ว่าเรื่องจะจบไม่สวย เลยไม่กล้าอ่านซักที  :mew2:
จนเห็นเรื่องนี้ที่หน้าบอร์ดอีกครั้ง เลยทำใจ เอาวะลองอ่านดู
แล้วก็ดราม่าสมชื่อจริงๆ  :เฮ้อ:  อ่านไปอึดอัดไป หน่วงมาก
หายใจได้ไม่เต็มปอดเลยซักตอน แม้กระทั่งตอนจบ
ยังดีที่มีตอนพิเศษหวานๆ มาให้พักหายใจบ้าง
แต่ก็ยังไม่วายมีซีนอารมณ์ให้ได้หน่วงกันอีก

ตัวละครที่ติดอยู่ในใจตลอดเวลาที่อ่านคือ ทอม
ตัวละครลึกลับที่ไม่สามารถคาดเดาได้
คนอ่านรับรู้แค่การกระทำ แต่ไม่รู้ถึงจิตใจ
ในขณะที่หยางยังพอรับรู้ความรู้สึกนึกคิดจิตใจได้
ผ่านการเล่าเรื่องของเอก
แม้นิยายจะจบไปแล้ว ทอมก็ยังเป็นปริศนาสำหรับเราต่อไป

เป็นนิยายที่ดีมากเรื่องหนึ่ง สมกับที่มีคนบอกต่อๆ กันไป
ขอบคุณคนแต่งและคนนำมาโพสต์ค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 29-01-2015 00:21:11
อี๋~ เกลียดอิทอมมากอ่ะบอกเลย  :z6: :z6:
คนชั่ว คนเลวเอ้ย! ก็แค่คนที่ช่วยเหลือครอบครัว บุญคุณตอบแทนด้วยวิธีอื่นก็ได้ป่ะล่ะ ขัดใจ๊!  :angry2:  :m31:
จะมาอ้างว่าประสาททีหลังก็ไม่สงสารหรอกนะคะ สมควร ชิชิ!  :laugh:

เหยาหนูสาย M ใช่ไหมค่ะลูก เป็นคนอื่นชิงตายไปแล้วค่ะ จริงๆนะบอกเลย โดนกระทำชำเราขนาดนี้ ทนทายาดมากค่ะ คาราวะเลย  :call: :call: :call: รักพ่อก็เข้าใจนะ แต่ทนโดนแบบนี้เกินไปป่ะ ถาม?

ส่วนเอกด้วยความที่เด็กแหละเลยทำไรไม่ได้คิด อีกอย่างโดนอิทอมล่อลวงให้ร่วมขืนเหยาด้วย รักเขาชอบเค้าก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง เลยเผลอทำไม่ดีไปก็เยอะอ่ะ แต่สุดท้ายได้รักกันก็ดีแระเนอะ ถึงจะยังไม่ได้บอกครอบครัวก็เถอะ?  :hao5: :hao5:

เรื่องนี้มันอึดอัดได้ใจมากเลยค่ะ จะร้องไห้ก็ร้องได้ไม่สุด จะสงสารก็ไม่สุดอีก คือเหตุผลที่ตัวละครอ้างอ่ะ บางทีโค-รตจะขัดใจเราเลย
 :ling1: :ling1: คือแบบหน่วงมาก หน่วงได้อีกไรงี้ เราอ่านรอบเดียวนะแต่เราฝังใจอ่ะ อึมครึมไปเป็นอาทิตย์ คนเขียนสุดยอด  o13  o13
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 12-09-2015 11:37:38
ดีใจที่สุดท้ายสองคนนี้ก้ได้อยุ่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: โซดาหวาน ที่ 09-11-2015 15:46:58
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีนะค๊า อยากบอกว่าเรื่องนี้เป้นอีกเรื่องหนึ่งที่อ่านแล้วประทับใจ
อ่านไปอินไปกับตัวละคร ไม่ว่าจะเป้นทั้ง เอก พี่เหยา แล้วก็ทอม
อ่านไปทั้งหน่วง ทั้งสับสนในความรู้สึกของเอก และสงสารและไม่เข้าใจพี่เหยา
และก็ทอม พร้อมทั้งผูกปม โยงเรื่องราว สำนวน โอ้ยยยลงตัวไปหมด
นั่งอ่านรวดเดียวจบคือวันนั้นไม่ลุกไปไหนเลยจิงๆ (กลัวขาดตอน คืออินหนักมากก)
แต่สุดท้ายก็จบด้วยดี แอบเสียดายมาไม่ทันหนังสือ~ 
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Palmieri ที่ 10-11-2015 21:25:29
ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้ออกมาให้ได้อ่านนะคะ
ใช้เวลาทั้งวันในการอ่าน เพราะไม่อยากพลาดส่วนใดส่วนหนึ่งของนิยายเรื่องนี้ไป
ตอนแรกๆที่อ่านก็รู้สึกเกลียดเอกนะ เกลียดทอม แต่พออ่านไปจนจบก็ไม่รู้สึกเกลียดมากเท่าตอนแรก ไม่ใช่ว่าเป็นคนดีตอนท้ายแล้วจะเปลี่ยนความรู้สึกได้ แต่เหมือนว่าเราเข้าใจเค้ามากขึ้น เข้าใจในการกระทำ เหมือนถ้าย้อนมองตัวเอง ว่าถ้าเป็นเราบ้างจะทำยังไง จะรู้สึกยังไง
นิยายเรื่องนี้มันให้ความรู้สึกทรมาน เจ็บปวด อึดอัด มันโหดร้ายในความรู้สึกของเรา จนบางครั้งอยากจะเลิกอ่านกลางคันเหมือนกัน แต่ความอยากรู้ก็ทำให้อ่านจบจนได้ ระหว่างอ่านไม่มีน่ำตาสักหยด ไม่ใช่ไม่เศร้า ไม่สงสารนะ แต่มันรู้สึกบีบคั้นอารมณ์ มันอึนๆ อึดอัดจนร้องไม่ออก จนมาหลังๆที่เข้าใจกันนั่นแหละ ถึงได้รู้สึกเหมือนได้หายใจหลังจากกลั้นมานาน
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับนิยายดีๆที่ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือ..
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Narugojang ที่ 02-01-2016 23:05:22
หน่วง.. คำนี้คงชัดเจนสำหรับวรรณกรรมเรื่องนี้
บางครั้งก็อยากหยุดอ่านไปซะดื้อๆ แต่ก็มีบางอย่างที่เชิญชวนให้อ่านต่อ
คือ มันไม่ถึงกับร้องให้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกเศร้า
ถึงจะจบแบบมีความสุข แต่มันก็ยังเศร้า

เหมือนเราลืมอดีตของเขาไม่ได้ และไม่สามารถเหลือไว้เพียงความทรงจำได้เช่นกัน


ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ แบบนี้นะคะ คุณเจ๋งมาก
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ╰Äρρłәßәѓѓÿ╮ ที่ 16-02-2016 04:26:52
ไม่ต้องคอมเมนต์อะไรมากมาย เห็นชื่อคนเขียนก็รับรองคุณภาพจริงๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ควรค่าแก่การสะสม  :pig4:


ปล. ฉันไปอยู่ไหนมาเพิ่งมาเจอเรื่องนี้ :o12:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 12-03-2016 15:49:36
อยู่เล้ามาหกปี แต่ก็ทำใจอ่านไม่ได้ซักที กลัวคยแต่งที่สุดดดดดด เคยหลงไปอ่านเรื่องของตะวันฉายมา ไอ้เราเห็น้องฉายน่ารัก ก็นึกว่าจะใสๆ อ่านไปได้สามตอนล่ะมืดเลย คนอ่านนี่แหละค่ะหน้ามืด ถ้าอ่านเรื่องนี้ ต้องตายคาเว็บแน่ #จากคนที่ยังทำใจอ่านไม่ได้ ป.ล. แต่อยากอ่านมากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 12-03-2016 20:42:50
เห็นกระทู้ถูกดันขึ้นมา ทำให้คิดถึงเรื่องนี้เลย...
คิดถึงเอก คิดถึงเหยา

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 13-04-2016 15:35:15
ร้องไห้เยอะมากเรื่องนี้
คือมันดีมากกกกกก
จบได้สวยมากกกกกกก

แต่กว่าจะจบเสียน้ำตาไปเยอะเหมือนกันนนนน
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Ma Lullaby ที่ 09-05-2016 21:59:17
อ่านแล้วบีบคั้นมากค่ะ :o12:

ทุกฉากทุกตอนสมจริงจนถึงกับเครียด เกือบนอนไม่หลับเลยทีเดียว :katai1:

<<ได้ข่าวว่าแกนั่งอ่านดึกมากทั้งที่เมื่อวานต้องไปทำงาน :hao3:

ขอบคุณ คุณภัค D ที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆขึ้นมานะคะ

#สารภาพบาปว่าไม่ได้อ่านทุกบรรทัด กลัวกะอักเลือดตายก่อนอ่านจบค่ะ
เพราะลุ้นตอบจบของคู่นี้

ทุกตัวละครมีมิติ ประหนึ่งชีวิตอยู่จริง นี่สินะ วรรณกรรม
อ่าน "คำมั่นสัญญา" ของคุณทมยันตี ก็ร้องไห้เป็นเต่าเผา
แต่เรื่องนี่ทำให้อิชั้นอินมาก จนกินข้าวเช้าไม่ค่อยลง แต่ตอนบ่ายฟาดเรียบ <<เอ๊ะยังไง555+

ข้าน้อยขอจากลา ราตรีสวัสดิ์ค่ะ (ก่อนจะเวิ่นเว้อมากกว่านี้)
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 15-06-2016 18:34:56
อ่านแล้วรู้สึกตื้อ ๆ หายใจไม่ทั่วท้อง สงสัยเราจะไม่ค่อยถูกจริตกับนิยายแนวนี้เท่าไหร่ แต่ก็อ่านจบแล้วหละ

 :a6: :a6: :a6:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: peppermintt ที่ 22-07-2016 02:02:59
มันเป็นนิยายที่มีหลายอารมณ์มาก อ่านแล้วอิน เจ็บแปลกๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Ondine ที่ 28-07-2016 16:52:54
เป็นเรื่องที่เศร้ามาก มากจนไม่รู้จะบรรยายออกมายังไง
แต่แปลกตรงที่เราไม่ร้องไห้มากมายเหมือนนิยายเศร้าเรื่องอื่นๆ
เรียกว่าน้ำตามันตกในละมั้ง มันเจ็บปวด เครียด มันบีดรัดหัวใจ
อ่านไปแล้วเหมือนจะหายใจไม่ออก จะหมดลมไปทุกทีๆ
ความรู้สึกเรามันซ้อนทับกันระหว่างความจริงกับเรื่องที่กำลังอ่าน
อ่านแต่ละตอนจบบางทีก็ต้องหลับตาพักใจให้หายเหนื่อยแล้วถึงจะอ่านต่อได้

เรามองหาความสุขจริงๆของตัวละครในเรื่องนี้แทบไม่เจอ มันมีแต่สีเทากับดำ

คุณทำให้เรารักและสงสารตัวละครพร้อมๆไปกับเกลียด 
เหมือนเรามองภาพคนธรรมดาทั่วๆไป แต่ในใจรับรู้ถึงความดิบความมืดดำต่ำตมในความเป็นมนุษย์

คุณ ภัคD เก่งมากๆนี่เป็นนิยายเรื่องแรกของคุณที่เราได้อ่าน อ่านรวดเดียวจบในคืนเดียวพร้อมแบกความรู้สึกหนักอึ้งไว้ในใจ จนตอนนี้ก็ยังวางไม่ลง

เรารับรู้ชัดเจนในความรู้สึกระหว่าง เอกกับเหยา  แต่สงสัยและไม่เข้าใจในความรู้สึกของ เหยากับทอม เหมือนความรู้สึกที่รับรู้เค้าก็รักกัน แต่หลายๆการกระทำของทั้งคู่ มันก็พาสงสัยคนที่รักกันเค้าต้องทำให้กันเจ็บปวดขนาดนี้เลยเหรอ
การยังยืนอยู่จุดเดิมเพื่อรับความเจ็บปวดพร้อมทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวดไปพร้อมๆกัน มันคือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วใช่มั้ย

ยิ่งมาอ่านตอนพิเศษ เหยาก็ยอมทำตามทอมเพื่อเล่นเกมส์อยู่ในวังวนสกปรกนั้นไม่ได้โดนบังคับแต่อย่างใด เราว่าสองคนนี้จิตใจคงป่วยมาก มากจริงๆ

เราว่าเราควรต้องอ่านอีกหลายๆรอบเพื่อจะเข้าใจความรู้สึกตัวละครมากกว่านี้ เป็นนิยายที่เลอค่าจริงๆไม่รู้จะบอกยังไง ภาษาสวยอ่านแล้วเหมือนนั่งดูหนังเรื่องนึงในห้องมืดๆ
คุณเก่งมากที่ตีความรู้สึกตัวละครใส่คนอ่านได้แตกกระจุยขนาดนี้ เสียดายที่เราได้อ่านเรื่องนี้ช้าไป ขอบคุณที่เอามาลงให้ได้อ่านนะคะ ขอบคุณมาก
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: lipure ที่ 31-07-2016 22:31:56
รักเอก รักเหยา

เหยา. เป็นคนที่จิตใจกว้างเหมือนแม่น้ำ ที่อภัยให้เอกได้ทุกครั้ง

ไม่ว่าเอกจะทำร้ายแค่ไหนก้ตาม

เอก. เป็นผู้ชายที่โชคดีมาก แม้ตอนแรกจะขี้ขลาดหนีปัญหา แต่ก็รักมั่นคง

เกลียดไอ้ทอม คือ มันโรคจิตมาก ดีแล้วที่ไปบำบัด แต่ อยากให้มันโดนอะไรมากกว่านี้

 คือที่ทำไว้กับเหยา ที่เอาคนอื่นมาทำร้ายเหยา รู้สึกว่า มันยังรับกรรมไม่พอ

สรุปคือ รักเลย เรื่องนี้อ่ะ

แต้งค์คนแต่งและคนโพสต์นะค้า  :mew1: :L1:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: merit toyney ที่ 26-08-2016 20:20:53
 :mew4:เรารักเอก และพี่เหยามาก แต่เกลียดทอมมากๆ ใจมันทำด้วยอะไรว่ะทำร้ายเอกและเหยาได้เจ็บปวดมากๆ แต่ก็ดีใจที่เรื่องนี้จบแบบHappy เหยาและเอกได้รักกัน ปล.ใจจริงเราอยากให้ตอนจบทอมได้รับกรรมบ้างแต่นี่เหมือนไอ้ความเลวความชั่วเรื่องเหี้ยๆที่ทอมทำมันไม่ได้รับกรรมกับความเลวที่มันทำไว้เลย และเราอยากให้ทอมหายไปจากชีวิตของเหยาและเอกซะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: order66 ที่ 22-10-2016 08:32:15
ขอบคุณเรื่องมากครับ

ยอมรับเลยว่าเกลียดมาก เกลียดทุกตัวละคร การตัดสินใน การกระทำ สังคมที่ดำเนินในเรื่อง
อึดอัดสุด และก็สงสารอย่างที่สุดด้วยเหมือนกัน

แล้วก็ร้องไห้เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตอนสุดท้าย ที่ตัวละครทำในสิ่งที่ควรทำ พูดในเรื่องที่ควรบอกมานาน

จากนั้นก็ยิ้มในบทสรุป เหมืนอกับ 'อิสระ'  ที่เอกเจอ

อ่านเสร็จแล้วมานั้นคิดวนไปเวียนมา จนคิดได้ว่าตัวเองโชคดีขนาดไหนที่ไม่เจอสภาพแวดล้อมแบบนี้ เรื่องแบบนี้
มีครอบครัวที่ปกป้อง รู้ว่าสังคมมันมีทั้งสว่าง เทา และมืด.....

ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: DATAs ที่ 03-11-2016 18:35:59
กลับมาอ่านอีกรอบ ชอบมากๆ เลยค่ะ  :katai4:

คิดถึงเอกกับพี่เหยาจัง  :hao3:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: thenununu ที่ 27-01-2017 19:52:06
เป็นเรื่องที่โคตรเศร้า
ชอบการบรรยายลักษณะท่าทาง อุปนิสัย และการดำเนินตัวละครที่ไหลลลื่น และราวกับว่ามีชีวิตจริงๆ
ชอบตัสละครเหยาที่เหมือนจริงที่สุด เพราะมนุษย์ไม่ได้มีแค่มิติเดียว แต่เหยานี่มีหลายมิติมาก ไหนจะเอก ไหนจะใอ้ฝรั่งนั่นอีก
ส่วนเนื้อเรื่อง แรกๆนึกว่าจะมาดีนะ แต่พอถึงตอนสี่ห้า โอ้ยยยยยยย โคตรบีบจิตและยิ่งไกลยิ่งโคตรบีบใจ
มันเหมือนเรากำลังอ่านชีวิตจริงของคนๆหนึ่งที่โดนทำร้ายทั้งทางร่างกยและจิตใจแต่ต้องทนอยู่เพราะ ความจำเป็น
ไม่รู้จะพิมพ์อะไรอีก เพราะมันหน่วงมากกก  ยกให้เหยาคือ นายเอกที่โคตรอึดและน่าสงสารที่สุด ตั้งแต่ที่เคยอ่านนิยายวายมา
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: critical99 ที่ 06-02-2017 17:17:15
ขออนุญาตเขียนยาวหน่อยนะคะ  ต้องสมัครและ login เข้ามาเพื่อเรื่องนี้เลยทีเดียวและอันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของหนูเองด้วย

เพิ่งได้รู้จักเรื่องนี้เมื่อประมาณอาทิตย์ที่แล้ว  ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ search Google ว่า...”นิยาย หน่วง” แล้วก็มาเจอชื่อเรื่อง ๆ นี้
คือตอนแรกเลยคิดว่าเรื่องนี้คงหน่วงประมาณว่าไม่รู้ใจตัวเอง...ประชดประชันกันไปมา  เหมือนเรื่องอื่น ๆ ที่เคยอ่านมา

แต่อ่านเรื่องนี้จบ...กระบวนการความคิดเปลี่ยนไปเลยค่ะ  ว่าคำว่า “หน่วง”  มันคือจุดไหน  มันคือแค่ไหนที่เรียกว่า “หน่วง”

กระบวนการคิดของตัวละครที่พี่ถ่ายทอดออกมาซับซ้อนมาก  ถ่ายทอดมุมชั่วร้ายด้านมืดของคนได้ดีมาก
ขอสารภาพว่าในท้ายที่สุดแล้วหนูคิดว่าคนเราต้องการความสมหวังซึ่งตอนแรกที่อ่านก็คิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นอย่างนั้น  แต่พออ่านไปเรื่อย ๆ
ขอยอมรับว่าอ่านไปบางช่วงบางตอนต้องเลื่อนข้ามตอนไปเลยก็มีหรืออ่านแล้วต้องหยุดไปทำอย่างอื่น  ไปอ่านเรื่องอื่นก่อนเพื่อปรับอารมณ์
เพราะเหมือนเราไม่อยากพบเจออะไรบางอย่างระหว่างทาง
บางครั้งพลาดตอนสำคัญไป  หนูรู้ดี...
ถ้าถามว่าให้กลับไปอ่านซ้ำ  กลับไปอ่านตอนที่ข้ามได้ไหม.....คำตอบคือ “ได้นะ” ... แต่หนูขอเลือกที่จะไม่อ่าน T^T

ตอนไล่อ่านแต่ละตอนแอบเกลียดและสงสาร “พี่เหยา”  ในเวลาเดียวกัน  คือ....
รู้ทุกอย่างว่าอะไรเป็นอะไร  รู้ว่าทำแล้วจะเกิดผลอย่างไร
รู้ว่าสุดท้ายแล้วทุกคนต่างต้องเจ็บปวดแม้แต่ตัวเอง
รู้ว่าทางออกมันมี...แต่ไม่ทำ
ยอมดำดิ่งลงไปเรื่อย ๆ
ในทางกลับกัน “ทอม” ก็แทบจะเหมือนผู้มีพระคุณต่อครอบครัวตัวเอง  ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็แล้วแต่ถึงทอมไม่สั่งก็พร้อมจะทำ
และเหมือนที่เค้าว่ากันไว้...”ใครทำเราเจ็บ  มันต้องเจ็บกว่า 100 เท่า”  ซึ่งวิธีที่ “พี่เหยา” ใช้มันได้ผลจริง ๆ สำหรับทุกตัวละครเลย

ส่วน “เอก”  หนูสงสารนะ  ทุกอย่างมันดูลัดขั้นตอนไปหมด  ทุกอย่างผู้ใหญ่แทบจะเป็นคนจูงมือให้ทำให้เดินตั้งแต่เด็กแล้ว
สะท้อนปัญหาสังคมได้ดีมาก  ผู้ใหญ่จะสนใจไม่บ่นไม่ด่าไม่เปรียบเทียบเด็กก็ต่อเมื่อเห็นน้ำตาเด็กที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
แล้วพอวันเวลาผ่านไปก็จะวนกลับมาสู่จุดเดิม ๆ อีกอยู่ดี  พอเด็กไปเจอโลกใหม่ที่ไม่เคยพบเจอ  ความผิดชอบชั่วดียังต่ำ
ก็พร้อมจะเสี่ยงทำทุกอย่างเพราะลอง  พอทุกอย่างไม่ได้ออกมาในแบบที่วาดฝันไว้  ก็รู้สึกผิดหวัง  กลัว  แสดงออกผิดแบบไปหมด
แต่สุดท้ายที่ชื่นชม “เอก” ก็คือจะมีใครสักกี่คนที่รู้อดีตอันเลวร้ายของคนรักแล้วยังยอมรับได้และเลือกที่จะยังรักต่อไป
ถึงแม้อาจจะรู้สึกผิดอยู่บ้างที่อดีตอันเลวร้ายนั้นตัวเองจะมีส่วนอยู่ด้วยก็ตาม

โชคดีที่พี่เขียนจบแบบโล่งใจ  จบแบบให้ทุกตัวละครฝังอดีตไป  แล้วเริ่มต้นใหม่ในแบบที่ควรจะเป็น

ขอบคุณค่ะสำหรับนิยายดี ๆ แบบนี้
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Timber ที่ 20-11-2017 13:11:46
 :m20:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 04-01-2018 10:10:39
เป็นนิยายที่มีชีวิต มีตัวตนในความรู้สึกเราจริงๆ เป็นนิยายที่สามารถเป็นไกด์ให้กับชีวิตเราเองไดด้วย คือดีงาม อ่านแล้วถึงจะแนวมืดมนแต่ก็ละมุนเพลินไปกับภาษาและการเล่าเรื่องหยุดอ่านไม่ได้ อินมาก บางบอกความเป็นมนุษย์สุดๆ

เราชอบอ่านนิยายเก่าๆมาก แบบกว่าจะได้รักกันมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำล้วนๆ ไม่มีคำพูดจาเสี่ยวๆให้กรี้ด มีแต่การกระทำที่บ่งบอกว่ารักมากแค่ไหนถึงจะไม่เคยพูดออกมา ซึ่งเอกก็ตรงใจมาก อ่านแล้วรู้สึกได้เลยว่าเอกรักพี่เหยามาก  แค่การกระทำเล็กๆอย่างที่พี่เหยาจะไปกดล็อคประตู แล้วเอกบอกว่า พี่นอนเถอะ ผมไปล็อคเอง เราชอบมากคือเอกใส่ใจพี่เหยาทุกเรื่องแม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ น่ารักมาก ดูแลพี่เหยาสมกับคำสัญญาจริงๆ

เป็นนิยายขึ้นหิ้งจริงๆ ผ่านมาเป็น10ปี แต่ก็เป็นนิยายที่ไม่เคยหายไปจากความทรงจำเลย

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Khamcheek ที่ 24-02-2018 17:17:06
แอบสารภาพว่าเป็นเรื่องที่หน่วง และแอบเข้าไม่ถึง
ตอนเอ็นซี เเทบจะรีบข้าม ทนอ่านใม่ไหว สงสารมากกกก
.
.
.
แต่รวมๆแล้วนิยายเรื่องนี้สมเป็นนิยายอมตะ น่าจะอยู่ไปได้ในทุกยุค ฆ่าไม่ตายจริงๆค่ะ ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 03-04-2018 22:20:35
เข้ามาอ่านอีกรอบ บอกได้คำเดียวว่า
ปวดลึกเข้าไปในหัวใจ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: แมวสลิด ที่ 12-07-2018 12:38:02
เอาลง fictionlogด้วยครับดันๆๆๆๆ :mew6:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 25-09-2018 14:15:35
เป็นดราม่าเรื่องแรกที่เราเคยอ่าน ที่เล่าเหตุการณ์ความรู้สึกผ่านมุมมองของพระเอกทั้งเรื่อง แถมาษาก็ดีมากๆ ทำให้อารมณ์มันปนๆกัน หดหู่ เศร้า อบอุ่น โกรธเกรี้ยว ไม่เข้าใจ แต่ทุกๆความรู้สึกมันกลับสวยงามมากๆ ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งทึ่งว่าทำไมคุณภัคD เขียนได้ลึกซึ้งขนาดนี้ ขอบคุณจนิงๆค่ะที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้ ขอบคุณที่เอามาลงในเล้าให้เราได้อ่าน ตอนแรกนึกว่าจะจบไม่แฮปปี้ซะละเพราะเอกพเอาแต่พูดว่า ตอนนั้นๆ และพูดว่าตอนนี้ๆ เราก็เลยกลัวว่าตอนนี้ที่เป็นปัจจุบันของเอกจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่เหยา จะไม่ได้มีความสุขอยู่กับพี่เหยาอีกต่อไป ดีใจมากเลยที่จบแบบแฮปปี้
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 26-09-2018 03:28:17
พอรู้รางๆ ว่าจะบีบหัวใจก็ถอนตัวไม่ได้แล้ว กว่าจะฝ่าฟันมาถึงปลายทาง เสียน้ำตาไปหลายกระติก  :hao5:
รักคนแต่งมากที่แต่งเรื่องที่เจ็บปวดแต่งดงามได้ขนาดนี้ แต่คราวหน้าจะจำชื่อไว้เตรียมใจก่อนอ่าน 555 ไม่ไหว ใจระบม
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 20-11-2018 03:58:43
10ปีผ่านไปกลับมาอ่านซ้ำอีกครั้ง ก็ยังร้องไห้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะอ่านมาอีกเท่าไหร่ก็ยังไม่มีนิยายเรื่องไหนที่เขียนดีได้เท่าเรื่องนี้
ทุกอย่างเหมือนเรื่องจริงๆที่เกิดขึ้นในชีวิตคนสองคน ทุกการกระทำทุกความรู้สึกมัน real มาก มนุษย์ตัดสินใจพลาดและทำเรื่องเลวร้ายได้ทุกเมื่อ และบางทีคนที่ทำร้ายเราได้มากที่สุดก็คือคนที่เรารักมากที่สุดเหมือนกัน
แต่ลงท้ายแล้วเพราะรัก เลยไม่สามารถปล่อยมือ ไม่ปล่อยให้เป็นเพียงความทรงจำ
อ่านเจอคอมเม้นนึงที่ว่าเรื่องนี้ควรเป็นสุดยอดวรรณกรรม Y  เราเห็นด้วยจริงๆ
ไม่มีเรื่องไหนมาทำให้ปวดหัวใจแล้วร้องไห้ตามมากกว่านี้แล้วจริงๆ
ยังรอว่าซักวัน คุณภักD จะกลับมาเขียนนิยายอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: DalbitDef ที่ 22-02-2019 23:19:10
ทำใจอ่านรวดเดียวจบถึงตอนสุดท้าย ขนาดจบแฮปปี้มีตอนพิเศษหวานๆ ก็ยังรู้สึกเศร้า เป็นเรื่องราวที่เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ความคิดการกระทำของตัวละครล้วนดึงเอาจิตใต้สำนึกออกมาตีแผ่ได้เศร้าและน่ากลัวมาก ลึกๆแล้วก็ยังอยากอ่านต่อ อยากรู้เรื่องราวของทอม อยากรู้ว่าตอนสุดท้ายครอบครัวทั้งสองจะรับรู้ไหม อยากเห็นการเติบโตของทั้งคู่และทุกๆคนรอบข้าง แต่ที่อยากที่สุดคืออยากได้หนังสือมากๆเลย 55555 ผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว ยังมีโอกาสจะ Re-print ไหมนะ เข้าไปดูในเพจก็เห็นหายไปนานแล้ว มือสองหายากมากกก ถ้านักเขียนมีโอกาสได้ผ่านเข้ามาอ่านตรงนี้ อยากบอกว่ามีคนรออยู่น๊าาา อยากเก็บเป็นเล่มมากๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: chonaun ที่ 24-02-2019 15:27:00
เป็นนิยายที่อ่านแล้วหายใจไม่ออกมันจุกแน่นไปหมดครับ ทรมานมาก
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: mingming99 ที่ 14-06-2019 15:05:21
เข้ามาสมัครเพื่อเม้นเลย คือไม่เข้าใจเหยาตั้งแต่ต้นจนจบ กับทอมยอมมันทำไม รักก็ไม่รัก แค่ต้องการแก้แค้นงี้ป่ะ เราเข้าใจถูกไหม ยอมให้เพื่อนไอ้เชี่ยทอมรุมเ-ด ยอมสารพัดเพื่อแก้แค้น มันได้ไม่คุ้มเสียอ่ะ เราคนนึงไม่เมคเซ็นต์
เอกเหมือนเด็กไม่รู้จักโต รักเหยาอยากได้เหยาคนเดียว หวง หึง แต่กลัวแม่รู้ WTF!!! ไปกินนมนอนไป แต่ก้อเข้าใจนางนะ นางอยากทำอยากปกป้องเหยาแต่เหยาเหมือนโรคจิตอ่อนๆอ่ะ เสพย์ติดความเจ็บปวด เหมือนไม่ชอบที่ทอมเ-ดแต่ก็ยิ้มแย้มหัวเราะยอมตลอด อย่ามาอ้างว่าโดนยา โดนแค่บางครั้งเหอะอิหอยหลอด อิเอกก็ไม่กล้าออกตัวแรงไงจะทำไงอ่ะก็นางห้ามตลอด กลัวทอมรู้ กลัวโน่นนี่ อ้อ แถมยังเป็นพระเอกที่โลเลและอ่อนแอน่าสมเพชพึ่งพาอะไรไม่ได้เลยค่ะอิดอกกก ยิ่งฉากเหยาถูกข่มขืนโดยที่มือโดนมัดกับหัวเตียง โดนตบจนยอมอยู่นิ่งๆไม่ขัดขืนโดนเอาขวดยัดเข้าไปในรูโดยที่คนบงการคืออิทอมคืออะไรอ่ะ แล้วแมร่งบอกให้เพื่อนเอาสดด้วยน้ำกามไหลตามขาเลยอ่ะโคตรระยำคือจงใจมากถ้าเหยาติดโรคก็เพราะมันอ่ะสั่งให้เพื่อนไปรุมหลายคน คนแบบนี้ทำดีบังบังหน้าเบื้องหลังแมร่งระยำตำบอน แถมอิเอกยังขี้ขลาดหลบอยู่ใต้เตียง เป็นชั้นนะลงไปต่อยไอ้ทอมระยำนั่นแล้วไม่มานั่งฟูมฟายอยู่หรอกไม่มีประโยชน์ ทำร้ายคนอ่านมาก เราคนหนึ่งไม่ชอบอะไรแบบนี้(หาว่ากระแดะก็ยอมรับ) มันเกินไป ถ้าเรื่องจริงคงมองหน้ากันไม่ติดไปแล้ว แถมสุดท้ายคนที่ทำร้ายเหยาตั้งแต่ยังเด็กอย่างอิทอมและคนที่ข่มขืนเหยาไม่โดนลงโทษไม่เป็นอะไรยังใช้ชีวิตได้ปกติถึงตอนจบบอกต้องไปบำบัดจิตคืออะไร บำบัดที่ตัวเองติดเซ็กส์อะไรงี้อ่อ ทำเพื่อตัวเองชัดๆ ก็สมควรแล้วไอ้สัดนาโร้กก แล้วอิทอมเหมือนจะบอกว่าเป็นพ่อพระดูแลเหยาแต่ทำร้ายเหยาเพื่อประกาศสิทธิ์ตัวเองคือต้องทำขนาดนี้อ่อ ไม่ไหวอ่ะมันเกินไปแถมพอทำระยำกับเหยาแต่เหยากลับปกป้องมันบอกว่ามันคงโกรธ WTF โกรธแล้วมีสิทธิ์ทำแบบนี้ด้วยเหรอ ยิ่งอ่านยิ่งอึดอัดไง ต้องระบาย สุดท้ายแล้วได้คู่กันแต่มันสูญเสียอะไรไปเยอะแบบได้ไม่คุ้มเสียอ่ะ จะจบแบบแบดเอนด์ต่างคนต่างไปก็ดีนะ นี่ไม่ได้อะไรกับเหยาแต่รู้สึกนางเปลืองตัวไป เอาจริงถ้าไม่ปรับนิสัยกันจะไปกันรอดรึทั้งคู่อ่ะ ในใจมีอะไรไม่พูดไม่เคลียกัน เอาแต่น้อยใจเสียใจคิดไปเองกันทั้งนั้นจนเรื่องมันบานปลายอ่ะ ทั้งๆที่มันมีทางออกถ้าหันหน้าคุยกันและแก้ไขไปทีละนิด ใครอ่านละเป็นไงไม่รู้แต่นี่ยิ่งอ่านยิ่งโมโห5555
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Gade_ka ที่ 16-06-2019 14:07:09
เฆี่ยนอ่านจนจบในวันเดียว นอนตีสาม ยอมรับว่าเหม่อไปพักใหญ่ ㅠㅠ

ก่อนอื่นเราต้องขอบคุณคุณ ภัคD มากที่เขียนนิยายแบบนี้ให้อ่าน และก็คงต้องขออภัยที่เราคงกลับมาอ่านซ้ำไม่ได้ เพราะตวามเรียลของเนื้อเรื่อง ทำให้เราจมดิ่งมากกว่าที่คิด แต่สัญญาค่ะว่าถ้าทำรีปริ้นท์เล่ม เราจะซื้อเก็บไว้

ตอนอ่าน มีหลายช่วงที่อยากจะคิดกดปิด แต่ก็ด้วยความที่เราอยากจะเข้าใจเหยาอีกสักนิด ทำให้เราด้นอ่านจนจบ และอยากจะขอบคุณตัวเองเหลือเกิน

แน่นอนว่าคนที่น่าสงสารที่สุดในที่นี้คือเหยา ทั้งความสับสน การสูญสิ้นศรัทธาจากคนที่เรารักและนับถืออย่างทอม การโดนทำร้ายโดยคนที่เรารักและไว้ใจอย่างเอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า การหลงอยู่ในวังวนของความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวแลัหาทางออกไม่ได้

บอกตามตรงว่าถ้าเรื่องนี้จบให้เหยาตาย เราจะไม่แปลกใจสักนิด โชคดีที่เหยาเอาใจส่วนที่เปราะบางฝากไว้กับโลกของครอบครัว เลยทำให้เหยาผ่านมันมาได้เพราะใจส่วนที่เข้มแข็ง เห็นได้ชัดว่าต่อให้เหยาโดนทอมและเอกทำร้ายมากแค่ไหนเหยาก็ทนไหว แต่ถ้าเพียงแค่ครอบครัวจะต้องมารับรู้เรื่องราวบ้าๆ เราว่าเหยาคงไม่ทน และตอนจบน่าจะต่างออกไป

ส่วนเอก หลายคนไม่ชอบนิสัยนาง แต่เรากลับสงสาร เราสงสารในความเยาวว์วัย และความไม่แน่ใจในการแสดงออกหลายต่อหลายครั้งของเหยา ที่บั่นทอนและทำให้เอกทำเรื่องแย่ๆ ใส่คนที่ตัวเองคิดว่ารักครั้งแล้วครั้งเล่า
หลายคนอาจจะมองว่าเอกเห็นแก่ตัว คิดแต่จะเก็บเหยาไว้กับตัวเอง แต่เราอยากให้มองอีกแง่ว่าทำไมเอกถึงทำอย่างนั้น เรามองว่าเอกทนไม่ได้ที่เหยาถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยทอม เหยามักจะเข้าข้างทอมและพูดทุกครั้งว่าเข้าใจ มองในมุมของเอก มันน่าน้อยใจนะที่คนที่เราเฝ้าอยากจะถนอมเขามองไม่เห็น ทั้งยังเอาใจเข้าข้างอีกคนที่ทำร้ายมาตลอด มันไม่แปลกที้เอกจะไม่เข้าใจ ไม่คิดว่าที่เหยาทำไปเพราะเหยามีเหตุผลของเหยา เอกโตแบบก้าวกระโดดในความสัมพันธ์ มีเซ็กส์ก่อนจะรู้จักความรัก ทำร้ายเขาก่อนก่อนที่จะรู้ว่าเป็นห่วงเขามากแค่ไหน และอีกอย่างเด็กผู้ชายอายุ 17 (เพิ่งขึ้นปี 1) จะมีประสบการณ์การใช้ชีวิต และการอดทนต่อรักโลภโกรธหลงได้สักแค่ไหนกัน

สำหรับเรา เรามองว่าสิ่งเดียวที่เอกมองหาคือการปลดล้อคตัวเองของเหยา เอกรอมาตลอดให้เหยาเพียงแต่จะอนุญาตสักนิดให้เอกปกป้อง เพราะที่ผ่านมาพอเอกจะพยายาม เหยาก็เข้าข้างทอมตลอด จุดนี้เราเห็นใจเอกนะ มันไม่แปลกเลยที่เอกจะเป็นผีบ้า เพราะความไม่แน่นอนของเหยาเนี่ย จะเห็นได้ว่าพอเหยาบอกว่าจบความสัมพันธ์กับทอมไปแล้วเอกก็เชื่อทันที เชื่อแบบไม่ระแวงทีหลังด้วย นั่นเพราะเอกเชื่อใจในตัวเหยา เชื่อมาโดยตลอดแค่เหยาเอ่ยปาก แต่เหยากลับชอบเห็นใจทอมไง เอกเลยสติแตกบ่อยๆ เพราะความเชื่อใจเหยานี่แหละ เอกจะไม่เป็นอิสระทั้งทางใจและทางความรู้สึกเลย ถ้าเหยายังฝังทุกอย่างอยู่กับทอม เราเลยคิดไงว่าเอกน่าสงสาร นางรอแค่เหยานั่นแหละ รอแค่เหยาอนุญาตให้นางปกป้องแค่นั้นเอง

ส่วนทอม เราไม่มีความเห็นใจใดๆ ทั้งนั้น เราเกลียดที่ทอมอาศัยหลอกใช้ความรักและความศรัทธาที่เหยามีต่อตัวเองมาทำเรื่องชั่วๆ เราไม่ให้อภัยทั้งปวง ไม่ว่าทอมจะทำมันไปเพราะอะไรก็ตาม แต่ทอมทำลายวัยเด็กอันงดงามของเหยาและเอกจนย่อยยับ เราให้อภัยไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ

สุดท้ายเราไม่รู้จะมีความเห็นอะไรในความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวของทั้งสามคน ดีใจที่สุดท้ายแล้วเหยากับเอกก็ลงเอยกันได้ การที่ทั้งสองผ่านอะไรด้วยกันมาขนาดนี้ จะทำให้ทั้งคู่รักและเข้าใจกันมากกว่าคู่รักคู่อื่นๆ

สุดท้ายและท้ายสุด ขอบคุณคุณ ภัคD อีกครั้งนะคะสำรับนิยายดีๆ แบบนี้ ขอตอนพิเศษในเล่มที้จะรีปริ้นใหม่นี่หวานๆ นิสสสนึงงงนะคะ ขอเยียวยาาา ฮ่าๆๆ

ขอบคุณจริงๆ ค่ะ ❤

หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 22-07-2019 12:18:55
นิยายเรื่องดีงามจนเรียกว่า เป็นวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยมได้อย่างเต็มปากเต็มคำ มันสะท้อนภาพของความเป็นมนุษญ์ได้อย่างลึกซึ้ง ความกลัว ความเห็นแก่ตัว กิเลสตัณหา ความไร้คุณธรรมและศีลธรรม โกหก หลอกลวง โกรธ โลบ หลง จนไปถึงความรัก และการยอมรับในตัวตนของคนที่เรารัก มันลึกซึ้งกินได้ลึกสุดใจจริงๆค่ะ มันทำให้เราต้องรับยอมไปพร้อมๆกับร้องไห้ อึดอัด หนักหน่วงในใจจนหายใจแทบไม่ออก มีแต่คำว่าทำไมๆๆๆๆๆๆๆๆอยู่เต็มไปหมด เหยาคือคนที่เราและสงสารมากที่สุด เด็กไร้เดียงสาที่ถูกพรากความใสบริสุทธิ์ไปอย่างไร้ทางสู้จากคนใจบาป จนคับข้องใจว่าทำไมยังให้รักและอภัยทอม แต่สุดท้ายพอเหยาบอกว่ามันคือการแก้แค้น ในแบบที่เหยาพยายามดิ้นรนอยู่ภายใต้ความขลาดกลัวและสิ้นหวัง ก็เข้าใจในสิ่งที่เหยาทำ ส่วนเอก หลงเข้าไปในวังวนนั้นด้วยความเด็ก ความขลาดกลัว ความโกรธ และความไม่เข้าใจไม่รู้ ด้วยความสับสน จนทุกอย่างพังทลาย มันทั้งเกลียดและก็สงสารเอก สุดท่้ายก็เข้าใจน้องมัน เพราะสุดท้ายเมื่อเอกเข้าใจหัวใจตัวเองและพี่เหยาอย่างแท้จริง ถึงมีวันที่เอกและเหยามีความสุขที่เฝ้ารอมาตลอด และทอมคือคนที่เราเกลียดไม่เคยเปลี่ยน เพราะอะไรคงไม่ต้องอธิบาย ไม่ว่าจะป่วยด้วยโรคจิตเพศ แบบไหน มันก็ไม่ทำให้เกลียดน้อยลงไม่ได้จริงๆ

ขอบคุณ คุณภัค D เป็นวรรณกรรมที่ที่ลึกซึ้งกินใจเหลือเกิน จะประทับอยู่ในใจเราตลอดไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: LadyPant ที่ 26-07-2019 21:26:36

แต่งนิยายที่เครียด อ่านแล้วค่อนข้างจะอึดอัด
แต่ต้องยอมรับว่าเนื้อเรื่องมันไม่เวอร์ มันมีเหตุผล มันมีความเป็นไปได้ในชีวิตสังคมปัจจุบัน และมันเกิดขึ้นได้จริง  เหมือนหยิบยกชีวิตใครสักคนมาเขียน ยังอ่านตอนพิเศษไม่จบ แต่ขอมารีวิวก่อน
ทอม ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าเราสามารถพบเจอคนแบบนี้ได้ในสังคมจริงๆ แต่สิ่งที่ไม่เข้าใจเลยคือในเมื่อคุณก็มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ความเป็นผู้ใหญ่ มันน่าจะจัดการปัญหาให้จบ ในวันที่ตัวเองสำนึกได้แล้ว

เหยา ทั้งเรื่องมันอึดอัดเพราะเหยา เพราะความสำคัญของทอมกับเหยา เหยาโกรธทอม แต่ก็รักทอม ความรักตรงนั้นมันมากกว่ารักตัวเอง พูดไม่ออกกับตัวละครตัวนี้
เอก ตัวละครที่เราเกลียดที่สุด เห็นแก่ตัวที่สุด มีสมองเหมือนจะคิดได้แต่สุดท้ายก็ทำทุกอย่างเพื่อความสะใจ เหมือนจะคิดสิ่งดีๆแต่ไม่เคยเอาชนะความชั่วร้ายในตัวเองได้ อยากบอกว่าเอกคือผู้ชายประเภทที่เราจะไม่ยอมเป็นเพื่อนด้วยเด็ดขาด ดูเห็นแก่ตัวเอาแต่ความรู้สึกตัวเองเสมอ บางครั้งไม่ได้สนใจในความรู้สึกของคนที่บอกว่ารักเลยสักนิด ต่อให้สุดท้ายจะบอกว่ารักยังไง เราไม่อยากให้สมหวัง อยากให้จมอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต เอกไม่เคยโทษตัวเอง อาจจะมีเสี้ยวนึงที่นึก แต่สุดท้ายก็ยังเป็นความผิดของคนอื่น
เราเข้าใจในเหตุผลของตัวละครแต่ละตัวทั้งหมด ทุกตัวละครเหมือนคนๆหนึ่งในชีวิตจริง
หลายครั้งที่คิดจะหยุดอ่าน รังเกียจความนึกคิดของเอก ไรท์เขียนได้ดีมากเลยค่ะ ถ้าเป็นละครก็คงบอกว่าแสดงได้ดีจนคนอยู่เกลียด
มันจะติดตามนิยายทุกเรื่องที่ writer เป็นคนเขียน
ขอให้รักษามาตรฐานนี้ไว้นะคะ สังเกตได้เลยว่าคอมเม้นวิจารณ์ เป็นคอมเม้นยาวๆ ที่สื่อความรู้สึกได้มากที่สุด เราตามอ่านทุกเม้น และจะติดตามทุกเรื่องค่ะ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 27-07-2019 08:01:25
 :hao5: :hao5: :hao5: ไม่กล้าอ่านนนนนนนนนนนนนนน
 
:ling3: :ling3: :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: 170cmd ที่ 11-08-2019 09:48:31
เป็นเรื่องที่ต้องวนกลับมาอ่านตลอด พอได้เห็นอะไรที่เป็นเชียงใหม่ คือเรื่องมันติดอยู่ในหัวมาก ๆ อยากรู้ความคิดของทอมว่าทำไมทำแบบนั้น แต่จริงๆก็สงสารทุกคน แค่บางทีเราเข่าไม่ถึงตัวละครของเหยาตอนอยู่กับทอม ว่าจริงๆเหยาก็รักทอมแต่ก็รักเอกด้วย หรือเปล่านะ อยากรู้ว่าทอมรักเหยาๆจริงๆมั้ย ถ้ารักทำไมถึงทำแบบนั้น ฮืออ เศร้า
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 15-08-2019 01:13:05
เป็นนิยายเรื่องแรก ที่เราอ่านไป หยุดเพื่อที่จะร้องไห้ไปพลาง  :hao5: เป็นนิยายที่คลาสสิคจริงๆค่ะ ผ่านมาแล้ว10ปี ทั้งสนุก ทั้งเจ็บปวด บีบคั้นหัวใจมาก ตอนแรกๆเราตกหลุมรักความใจดีและความพิเศษที่พี่เหยามีให้เอก ต่อมา เราก็สงสารพี่เหยาที่ต้องมาเจอเรื่องร้ายๆแบบนั้น  อ่านต่อ เรากลับยิ่งเกลียดพี่เหยามากๆเกลียดความไม่ชัดเจน เกลียดการมองผิดเป็นถูกของพี่เหยา เกลียดการยึดติดของพี่แก เสียใจที่แกทำเหมือนเอกไม่มีค่า  แต่ในท้ายที่สุดก็ได้เข้าใจพี่เหยามากขึ้น ขอบคุณเอกที่ไม่ยอมแพ้ จนได้ลงเอยกันในที่สุด รักนิยายเรื่องนี้มากๆค่ะ ขอบคุณนะคะ  :pig4: :bye2:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 16-08-2019 07:14:51
 :pig4: กดดันสุด หน่วงสุด
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: sakurako38 ที่ 29-12-2019 16:05:16
พึ่งมีโอกาสได้อ่านผลงานของคุณนักเขียนเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกครับ ตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนจบ ความรู้สึกคือไม่ชอบเนื้อเรื่องนี้เอาเสียเลย แต่เพราะภาษาเขียนของคุณดีจึงทำให้อ่านมาจนจบได้ เรียกได้ว่าภาษาเขียนทำให้อ่านได้สนุก แต่ก็ยังไม่ชอบพล็อตของนิยายเรื่องนี้จริง ๆ ขอย้ำเป็นรอบที่สอง เนื้อหามีความรุนแรงทางอารมณ์อย่างมาก เครียดตลอดเวลาที่อ่าน เล่นกันอารมณ์ผู้อ่านได้ดี โดยผู้อ่านจะเห็นเพียงมุมมองจากตัวละครเพียงตัวเดียวซึ่งมันดีมาก และยิ่งมีการบรรยายความรู้ของตัวละครพระเอกได้ดีจึงง่ายต่อการคล้อยตามอารมณ์ของตัวละครได้ง่านขึ้น ต่างจากที่นิยายในเรื่องอื่น ๆ ที่มีมุมมองของตัวละครที่หลากหลาย หากไม่สามารถ keep character ได้ดีแล้ว นิยายก็จะไม่น่าอ่านคล้ายมีตัวละครคนเดียวเพียงแต่เปลี่ยนคำพูด แต่กับนิยายเรื่องนี้ คุณทำได้ดีเล่นกับอารมณ์ผู้อ่านได้ดีจริง ๆ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: DATAs ที่ 13-01-2021 00:28:35
อ่านวน 10 รอบ ก็ยังร้องไห้ 10 รอบ  :o12:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Xiaoyongyi ที่ 24-02-2022 14:22:58
ไม่รู้ตอนพิเศษจะเฉลยปมเหยาไหม  เพราะตั้งแต่อ่านจนจบเราไม่ได้รู้สึกว่าเหยาน่าสงสารสักนิด  เหมือนเหยาชอบแบบนั้นด้วยซ้ำ
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 27-04-2022 01:22:34
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Narugojang ที่ 11-04-2023 09:06:15
ก่อนอื่นเลย ขอขอบคุณ คุณภัคD มากๆเลยค่ะ ที่รังสรรค์วรรณกรรมแบบนี้ ขอใช้คำนี้เลยละกัน เพราะสำหรับเรามันมากกว่านิยายไปแล้ว ถ้อยคำ สำนวนมันดีมากจริงๆ อีกทั้งมันสะท้อนอะไรในจิตใจเราออกมาได้หลายอย่างเหมือนกัน

ครั้งนี้เราเข้ามาอ่านอีกรอบเป็นรอบที่สอง ในใจก็แอบถามตัวเองว่า ถ้ามาอ่านตอนนี้ จะยังรู้สึกเหมือนเดิมอยู่มั้ย ครั้งแรกที่อ่านคือตอนประมาณ8ปีที่แล้ว ที่ชีวิตไม่ได้เปิดกว้างอะไรมาก เป็นเด็กที่กรอบศีลธรรมหรืออะไรก็ตามที่มันโอบล้อมความคิดยังชัดเจน แถมดูเหมือนจะหนาจนไม่เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง ไม่ยอมรับในบางเรื่อง รวมถึงไม่อยากรับรู้ในบางส่วนที่สะเทือนจิตใจที่บอบบางในตอนนั้น เลยเลือกที่จะอ่านข้ามไปบ้าง

พอมาตอนนี้ ตอนนี้ชีวิตผ่านอะไรมาพอสมควร เห็นโลกที่มันกลมๆเทาๆ ความรู้สึกความเข้าใจมันค่อนข้างต่างออกมาก อันแรกคือเราอ่านได้จนจบ แบบไม่ข้ามสักตอน ยอมรับเลยว่าตัวเองเมื่อแปดปีที่แล้วยังไม่ค่อยเข้าใจในหลายหลายการกระทำของทุกตัวละคร เอก เหยา หรือแม้กระทั่งทอมเอง ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้คิดที่จะหาเหตุผลมาเข้าใจด้วย

แต่ตอนนี้เรียนรู้อะไรมากขึ้นและรู้สึกว่าโลกของเรามันบิดเบี้ยวอยู่แล้ว มันไม่มีอะไรที่เป็นเหตุผลอย่างตรงไปตรงมาเสมอ มนุษย์มันซับซ้อนกว่านั้น ก็เลยทำให้รู้สึกว่าครั้งนี้ความรู้สึกเศร้าไปกับตัวละครนั้นมันต่างออกไป ไม่ได้สงสารใครจนหน่วงไปหลายวันเหมือนตอนเด็กๆ แต่ก็เศร้าในห้วงอารมณ์ของตัวละครพร้อมกับเข้าใจความสับสนของการกระทำมากขึ้น

รู้สึกดีมากที่ได้มีโอกาสกลับมาอ่านอีกครั้ง ผ่านแว่นสบประสบการณ์ของคนวัยทำงาน สิ่งหนึ่งที่ตัวเองได้ข้อคิดเลยคือ อย่าเอาสายตาตัวเองไปตัดสินการกระทำของคนอื่น เพราะเราไม่ได้มีประสบการณ์หรือผ่านอะไรมาเหมือนเขา ขนาดเราที่แค่โตขึ้น เรายังมองเรื่องราวเรื่องเดิมในอีกมุมเลย

ขอบคุณที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Kacha_mm ที่ 27-05-2023 13:54:08
เป็นเรื่องที่เคยอ่านตั้งแต่8ปีที่แล้วแต่ทำใจอ่านให้จบไม่ได้ซักที เริ่มใหม่กับเรื่องนี้หลายครั้งมากๆ เป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกไปกับทุกตัวละครได้จริงๆ หลงรักพี่เหยากับเอกมาก แม้จะมีบางช่วงที่ขัดใจ แต่ทุกการตัดสินใจในเรื่องมีความเป็นมนุษย์สูง รู้สึกถึงความมีชีวิตของตัวละครจริงๆ แต่คงต้องพักดราม่าไปอีกหลายเดือน อ่านเรื่องนี้จบทำหม่นไปอีกหลายเดือน
ปล.เกลียดตัวละครทอมมาก อาจจะเพราะรู้สึกว่าเป็นตัวละครที่มีอยู่จริงเสียเหลือเกิน 
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 16-03-2024 20:17:17
aIS ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 27บ./1วัน กด *777*7021*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7023*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 38บ./2วัน กด *777*7380*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 59บ./3วัน กด *777*7096*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 129บ./7วัน กด *777*7098*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 139บ./7วัน กด *777*7220*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 375บ./30วัน กด *777*7153*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 800บ./90วัน กด *777*7379*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,200บ./180วัน กด *777*7328*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,800บ./365วัน กด *777*7329*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7381*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 32บ./1วัน กด *777*7084*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 130บ./7วัน กด *777*7629*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 161บ./7วัน กด *777*7382*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *777*7383*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 380บ./30วัน กด *777*7631*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย15นาที 155บ./7วัน กด *777*7630*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 35บ./1วัน กด *777*620*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 38บ./1วัน กด *777*7627*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 58บ./2วัน กด *777*7628*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 45บ./1วัน กด *777*7151*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 246บ./7วัน กด *777*7221*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 470บ./30วัน กด *777*7632*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 59บ./2วัน กด *777*7384*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *777*7154*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *777*7159*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 1,285บ./90วัน กด *777*7398*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 49บ./1วัน กด *777*7209*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 81บ./2วัน กด *777*7385*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 289บ./7วัน กด *777*7210*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 910บ./30วัน กด *777*7211*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7386*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 102บ./2วัน กด *777*7387*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *777*7388*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,177บ./30วัน กด *777*7389*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,925บ./90วัน กด *777*7399*117010#
21 บาท 1 วัน  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ช่วงเวลา 05.00 - 17.00 น.  โทรครั้งละไม่เกิน 30 นาที  กด  *777*231*117010#
22 บาท 100 นาที  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ได้  100 นาที  อายุ  1  วัน  กด  *777*246*117010#
aIS  สมัคร  โทรไป  จีน,  ฮ่องกง,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์,  เกาหลีใต้,  อินเดีย
*777*3801*117010#
ราคา  99  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  1.54  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  ลาว,  กัมพูชา,  เมียนมาร์,  เวียดนาม 
*777*3802*117010#
ราคา  119  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.78  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  สหรัฐอเมริกา,  แคนนาดา 
*777*3803*117010#
ราคา  129  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.01  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  เยอรมนี,  สหราชอาณาจักร,  ญี่ปุ่น,  ฝรั่งเศส
*777*3804*117010#
ราคา  159  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  3.71  บาท
เวลาโทร  กด
003  รหัสประเทศ  รหัสเมือง  เบอร์ปลายทาง
เช็คเน็ต aIS คงเหลือ  กด  *121*32#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง aIS กด  *545#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ aIS กด  1175  โทรออก
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด  #โปรเสริมเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)



เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw (https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 24-03-2024 21:23:08
aIS ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 27บ./1วัน กด *777*7021*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7023*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 38บ./2วัน กด *777*7380*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 59บ./3วัน กด *777*7096*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 129บ./7วัน กด *777*7098*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 139บ./7วัน กด *777*7220*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 375บ./30วัน กด *777*7153*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 800บ./90วัน กด *777*7379*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,200บ./180วัน กด *777*7328*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,800บ./365วัน กด *777*7329*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7381*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 32บ./1วัน กด *777*7084*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 130บ./7วัน กด *777*7629*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 161บ./7วัน กด *777*7382*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *777*7383*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 380บ./30วัน กด *777*7631*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย15นาที 155บ./7วัน กด *777*7630*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 35บ./1วัน กด *777*620*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 38บ./1วัน กด *777*7627*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 58บ./2วัน กด *777*7628*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 45บ./1วัน กด *777*7151*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 246บ./7วัน กด *777*7221*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 470บ./30วัน กด *777*7632*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 59บ./2วัน กด *777*7384*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *777*7154*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *777*7159*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 1,285บ./90วัน กด *777*7398*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 49บ./1วัน กด *777*7209*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 81บ./2วัน กด *777*7385*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 289บ./7วัน กด *777*7210*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 910บ./30วัน กด *777*7211*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7386*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 102บ./2วัน กด *777*7387*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *777*7388*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,177บ./30วัน กด *777*7389*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,925บ./90วัน กด *777*7399*117010#
21 บาท 1 วัน  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ช่วงเวลา 05.00 - 17.00 น.  โทรครั้งละไม่เกิน 30 นาที  กด  *777*231*117010#
22 บาท 100 นาที  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ได้  100 นาที  อายุ  1  วัน  กด  *777*246*117010#
aIS  สมัคร  โทรไป  จีน,  ฮ่องกง,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์,  เกาหลีใต้,  อินเดีย
*777*3801*117010#
ราคา  99  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  1.54  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  ลาว,  กัมพูชา,  เมียนมาร์,  เวียดนาม 
*777*3802*117010#
ราคา  119  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.78  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  สหรัฐอเมริกา,  แคนนาดา 
*777*3803*117010#
ราคา  129  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.01  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  เยอรมนี,  สหราชอาณาจักร,  ญี่ปุ่น,  ฝรั่งเศส
*777*3804*117010#
ราคา  159  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  3.71  บาท
เวลาโทร  กด
003  รหัสประเทศ  รหัสเมือง  เบอร์ปลายทาง
เช็คเน็ต aIS คงเหลือ  กด  *121*32#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง aIS กด  *545#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ aIS กด  1175  โทรออก
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด  #โปรเสริมเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)



เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw (https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)
หัวข้อ: Re: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 26-03-2024 20:43:47
aIS ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 27บ./1วัน กด *777*7021*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7023*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 38บ./2วัน กด *777*7380*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 59บ./3วัน กด *777*7096*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 129บ./7วัน กด *777*7098*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 139บ./7วัน กด *777*7220*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 375บ./30วัน กด *777*7153*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 800บ./90วัน กด *777*7379*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,200บ./180วัน กด *777*7328*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,800บ./365วัน กด *777*7329*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7381*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 32บ./1วัน กด *777*7084*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 130บ./7วัน กด *777*7629*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 161บ./7วัน กด *777*7382*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *777*7383*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 380บ./30วัน กด *777*7631*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย15นาที 155บ./7วัน กด *777*7630*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 35บ./1วัน กด *777*620*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 38บ./1วัน กด *777*7627*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 58บ./2วัน กด *777*7628*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 45บ./1วัน กด *777*7151*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 246บ./7วัน กด *777*7221*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 470บ./30วัน กด *777*7632*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 59บ./2วัน กด *777*7384*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *777*7154*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *777*7159*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 1,285บ./90วัน กด *777*7398*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 49บ./1วัน กด *777*7209*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 81บ./2วัน กด *777*7385*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 289บ./7วัน กด *777*7210*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 910บ./30วัน กด *777*7211*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7386*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 102บ./2วัน กด *777*7387*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *777*7388*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,177บ./30วัน กด *777*7389*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,925บ./90วัน กด *777*7399*117010#
21 บาท 1 วัน  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ช่วงเวลา 05.00 - 17.00 น.  โทรครั้งละไม่เกิน 30 นาที  กด  *777*231*117010#
22 บาท 100 นาที  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ได้  100 นาที  อายุ  1  วัน  กด  *777*246*117010#
aIS  สมัคร  โทรไป  จีน,  ฮ่องกง,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์,  เกาหลีใต้,  อินเดีย
*777*3801*117010#
ราคา  99  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  1.54  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  ลาว,  กัมพูชา,  เมียนมาร์,  เวียดนาม 
*777*3802*117010#
ราคา  119  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.78  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  สหรัฐอเมริกา,  แคนนาดา 
*777*3803*117010#
ราคา  129  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.01  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  เยอรมนี,  สหราชอาณาจักร,  ญี่ปุ่น,  ฝรั่งเศส
*777*3804*117010#
ราคา  159  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  3.71  บาท
เวลาโทร  กด
003  รหัสประเทศ  รหัสเมือง  เบอร์ปลายทาง
เช็คเน็ต aIS คงเหลือ  กด  *121*32#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง aIS กด  *545#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ aIS กด  1175  โทรออก
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด  #โปรเสริมเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)



เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw (https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)