“ก็เรื่องที่หมอชอบผม มีคนชอบดีกว่ามีคนเกลียด แต่จะดีกว่านี้ถ้าหมอเป็นผู้หญิงตัวเล็กนมตู้ม”
คิมหันต์หัวเราะเบาๆ ปล่อยมืออีกฝ่ายให้เป็นอิสระ “ปล่อยผู้หญิงพวกนั้นไปหาผู้ชายหล่อๆ เถอะครับ อย่างหมอน่ะผู้หญิงเขาไม่อยากได้หรอก”
“ทำไมล่ะครับ”
“ก็หมอน่ะน่ารักกว่าผู้หญิงอีก”
เขามองแก้มนวลที่สุกเปล่งขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลมีประกายอีกครั้งหลังจากที่มันไร้เงามาหลายวัน “ผมไปก่อนนะ หมอเองก็อย่าคิดมาก ถ้านายเสือเขาคิดตรงกับหมอผู้หญิงคนนั้นก็ไร้ความหมาย”
ร่างสูงเตรียมจะผละออกไปทว่าเจ้าของห้องรั้งชายเสื้อไว้ คิมหันต์เอียงคอมองใบหน้าที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“ขอบคุณจริงๆ นะครับ ผมรู้ว่าหมอเป็นห่วงผม”
ชายหนุ่มระบายยิ้มบางเบาแม้ว่าภายในจะเจ็บร้าวแม้แต่หายใจยังลำบาก เขาเข้าใจความรู้สึกของอาณกรก็วันนี้นี่เอง รักโดยไม่หวังอะไรกลับมารักแม้ว่าเขาจะมีคนอื่น เจ็บจนพูดไม่ออกแต่ก็ตัดใจไม่ได้
“ผมชอบเห็นหมอยิ้มมากกว่า แต่อย่าเพิ่งคิดว่าผมจะถอย ผมยังไม่เลิกชอบหมอง่ายๆ หรอกนะ ราตรีสวัสดิ์”
หน้าผากนูนใต้กลุ่มผมที่ยาวปรกลงมาถึงคิ้วอุ่นวาบด้วยริมฝีปากจากคนตัวสูง เจ้าตัวส่งยิ้มอ่อนโยนเหมือนกับจูบที่หน้าผากก่อนจะจากไป วรทย์กระพริบตารัวไออุ่นยังไม่หายไปไหน เขารู้ว่าคิมหันต์ไม่ได้มีเจตนาจะลวนลาม คงแค่อยากให้กำลังใจ ดวงหน้าหวานก้มลงมองปลายนิ้วที่เพิ่งถูกปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อไม่นานตลอดเวลาที่อีกฝ่ายเล่าความในใจที่มีต่อเขา มือที่กุมกันมันเย็นเฉียบ
คิมหันต์เองก็ปวดร้าวไม่น้อยนัก สารภาพรักกับเขาทั้งที่รู้ว่าเขาชอบใครอีกคนไปแล้ว ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจแผ่วช้า ความอึดอัดในอกที่บ่มเอาความเศร้าหมองให้เกิดขึ้นด้วยมันทุเลาลงไปเล็กน้อยถึงจะไม่ได้รับการรักษาแต่มันได้ระบายออกมาบ้าง อย่างน้อยมันก็ทำให้หายใจได้คล่องขึ้น ร่างเล็กทิ้งตัวลงกับเตียงนอนเล็กๆ ของตัวเอง เกิดมาก็เพิ่งเคยเป็น ชอบผู้ชายด้วยกันเท่านั้นไม่พออีกฝ่ายยังมีครอบครัวแล้วด้วย มองไปทางไหนก็ไร้ความเป็นไปได้ เปลือกตาบางทาบปิดการมองเห็น แต่ในสมองยังคงมีแต่ภาพของคนๆ นั้น เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมายิ่งพยายามอยากจะลืมกลับยิ่งจำ ไม่ใช่แค่ภาพของใครบางคนยังมีผู้หญิงอีกคนด้วย ผู้หญิงที่สวยและเหมาะสมคู่ควรกัน
วรทย์พลิกกายนอนตะแคง ความอ่อนล้าจากการทำงานเทียบไม่ได้เลยกับภาวะทางจิตใจ เขาเหม่อลอยจนหลายๆ คนทัก ดีหน่อยที่ตอนทำงานเขาสามารถบังคับให้มันจดจ่ออยู่กับงานได้ แต่เมื่ออยู่คนเดียวเขาก็เอาแต่คิดถึงผู้ชายตัวใหญ่ ผิวคล้ำแดด ตาดุและปากร้าย คำพูดสุดท้ายที่ทิ้งไว้ก่อนจะจากกันยังฟังติดแน่นอยู่ในความทรงจำ ‘กูดีใจที่มึงร้องไห้เพราะกู’
พศินจะรู้ที่มาของน้ำตาหรือเปล่าเขาไม่แน่ใจ แต่หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่ร้องไห้อีกไม่ใช่เพราะไม่เสียใจ แต่เขาเก็บมันไว้ข้างในต่างหาก
เสียงแกรกกรากที่บานหน้าต่างทำให้ต้องเปิดตาขึ้นอีก เขาคิดว่าคงเป็นเสียงของนกที่อาจจะบินมาหาที่ทำรังนอน แต่มันยังไม่หยุดดังแถมลักษณะของเสียงยังเปลี่ยนไปอีกด้วย ที่น่าตกใจมากไปกว่านั้นมันมีเสียงของคนลอดเข้ามาอีกด้วย
“ไอ้มะรุม เปิดซักทีซิโว๊ย!”
วรทย์จรีบถลามาที่หน้าต่าง มือไม้เขาสั่นไปหมดตอนที่ปลดกลอนหน้าต่าง และเพียงแค่บานหน้าต่างแง้มออกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่คิดถึงแทบจะทุกนาทีที่หายใจ
พศินหน้าบึ้งเหมือนหมีไม่ได้กินน้ำผึ้ง ร่างสูงใหญ่อยู่ในท่าที่เรียกได้ว่าทุลักทุเล สองแขนพยายามจะเกาะขอบหน้าต่างไว้ ส่วนปลายเท้ายันอยู่บนบันได วรทย์ชะโงกหน้าผ่านไหล่คนตัวใหญ่ไปก็พบว่าดินกำลังช่วยเจ้านายจับขาบันไดไว้ ยังไม่ได้ทันจะได้อ้าปากถามอะไรมือใหญ่สีเข้มก็กระชากหน้าต่างให้เปิดกว้างกว่าเดิม ใช้มือข้างหนึ่งผลักหัวเขาเพื่อเปิดทางแล้วเหวี่ยงตัวเข้ามาในห้องเขาได้สำเร็จ
“มึงกลับไปเลย เดี๋ยวกูโทรหา อ้อ!ให้ไอ้ปืนไปดูที่โรงงานด้วยพรุ่งนี้กูจะเอาน้ำมันไปส่ง”
ผู้บุกรุกสั่งเสียเสร็จก็จัดการปิดหน้าต่างลงกลอนแน่นหนาทันที ก่อนจะหันมา
ประจันหน้ากับเจ้าของห้องที่ยังทำหน้าเลิกลั่กเหมือนเห็นผีไม่มีผิด มันถอยหลังห่างจากเขาไปหลายก้าวตาโตแต่ไม่ลึกของมันกระพริบปริบๆ จนดูเหมือนตุ๊กตาพอร์ชเลนของเด็กผู้หญิงที่พิกเล็ตเคยมีจำได้ว่าอาณกรเป็นคนซื้อให้ แต่เขาคิดว่าไอ้มะรุมมันน่ารักน่ากอดกว่าเยอะ
ร่างสูงใหญ่สืบเท้าเข้าไปใกล้จนระยะห่างเหลือพอที่ช่วงแขนจะดึงคนที่แสนคิดถึงมากอดได้ เขาไม่รอให้เสียเวลาร่างที่เล็กกว่ากันเกินครึ่งถูกรวบกระหวัดเข้ามาในอกเขาถ่ายทอดความคิดถึงลงไปในอ้อมกอด พรมจูบที่กลุ่มผมนุ่มและแถวขมับอยู่หลายครั้ง แต่ความคิดถึงที่สุมแน่นอยู่หลายวันก็ไม่ทุเลาลงไปเลย
เนิ่นนานจนไม่อาจนับเวลาได้กว่าที่อ้อมแขนแข็งแรงจะคลายออก เขาดันร่างเล็กห่างไปเล็กน้อยแล้วใช้ปลายนิ้วเชยคางมันขึ้น มองหน้าที่ไม่ได้เห็นมาหลายวัน ตาของมันยังกลมเหมือนลูกแก้วเหมือนเดิม แก้มยังใสเหมือนตูดเด็กและปากก็ยังน่าจูบเหมือนเดิม แต่นัยน์ตาของมันดูหม่นหมองจนน่าใจหาย
“มึงเป็นอะไร” คนตัวเล็กก้มหน้าหลบตาไม่ยอมตอบคำถามจนเขาต้องดันนิ้วขึ้นอีก แล้วก้มหน้าต่ำลงไปหากระทั่งปลายจมูกติดชิดกัน “ถามทำไมไม่ตอบ”
“เปล่า” เสียงเล็กติดแหบตอบกลับมา ซึ่งเป็นคำตอบที่ห่างไกลความเป็นจริงนัก
“โกหก มึงคิดมากเรื่องกูใช่ไหม” ตากลมหม่นแสงลงไปอีกจนคนมองใจหาย เลื่อนจมูกที่ชิดกันไปที่แก้มเนียนสูดเอากลิ่นหอมเหมือนผิวเด็กเอาไว้อยู่อย่างนั้น “บอกซิ มะรุม”
หัวใจที่ติดในจังหวะที่เอื่อยเฉือนจนคล้ายจะหยุดเต้นกลับกระเตื้องขึ้นเหมือนโดนเครื่องกระตุ้น ไออุ่นซ่านไร้ที่มาครอบคลุมลงบนความหนาวเหน็บในใจเมื่อได้ยินชื่อเล่นที่คนตัวโตไม่เคยเปล่งเรียกมาก่อน ตาช้อนมองใบหน้าคมคร้ามมันอยู่ห่างเพียงนิดเดียวเท่านั้น ไม่อยากเรียกสิ่งที่เต้นแรงอยู่ในอกว่าดีใจ แค่คำๆ เดียวแต่เขากลับปีติที่ได้ยินมัน
“เรียกใหม่ซิ”
“อะไร” คิ้วหนาขมวดน้อยๆ
“เรียกชื่อฉัน” “
“มะรุม”
เสียงของพศินทุ้มต่ำ พาให้หัวใจอุ่นวาบไปหมด ร่างเล็กขยับตัวเขาอย่างไร้เงื่อนไขเข้าใจคำว่าคิดถึงอย่างถ่องแท้ แค่อาทิตย์เดียว เจ็ดวัน หนึ่งร้อยหกสิบแปดชั่วโมง หนึ่งพันแปดสิบนาทีและอีกหกแสนสี่พันแปดร้อยวินาทีเท่านั้นแต่เขาคิดถึงผู้ชายคนนี้เหลือเกิน ไม่ใช่แค่คิดถึงแต่มันมากจนถึงขั้นโหยหาเลยก็ว่าได้
“เสียงนายเพราะจังเลย”
อ้อมแขนแข็งแรงรัดร่างเขาเข้าไปไว้ในอก กลิ่นไอที่ไม่ได้ปะพรมด้วยน้ำหอมราคาแพง กลิ่นกายของผู้ชายแท้ๆ เจอด้วยเหงื่อและโคโลญจน์ กลิ่นที่เขาซึมซับไปโดยไม่รู้ตัวและชอบให้มันวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์ย้ำกับตัวเองว่าทำได้แค่ชอบแต่ห้ามรัก...รักคนมีเจ้าของมันบาปตกนรกไปต้องปีนต้นงิ้ว
“คิดถึง”
พศินกระซิบบอกที่ริมใบหู เสียงต่ำๆ เพราะยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยได้ยิน ไพเราะจนไม่อยากให้ใครมาได้ยินนอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น ความคิดน่ารังเกียจแต่มันสิ่งที่เขาปรารถนาจริงๆ
กลิ่นแชมพูที่เหมือนกับกลิ่นดอกไม้ติดอยู่ที่ปลายเส้นผมมันหอมจนอดใจไม่ไหวต้องก้มลงเก็บกลิ่นดอกไม้ไว้ในอกหลายครั้ง เขาเก็บกักความคิดถึงและความปรารถนาไว้เต็มเปี่ยมถึงเจ็ดวัน...เจ็ดวันที่เอาแต่หมกตัวอยู่ในไร่กับโรงงาน ไม่กลับไปนอนบ้านอาศัยโรงงานนอนบ้าง บ้านไอ้ปืนบ้างเป็นที่ซุกหัวนอน ทำงานให้เหนื่อยกินเต็มที่แล้วก็หลับเป็นตายโดยในฝันมีแต่ภาพของผู้ชายตัวเล็กที่ใบหน้าเปื้อนน้ำตาแทบจะทุกคืน เขาไม่รู้หรอกว่ามันเชื่อในคำสัญญาปากเปล่าที่ให้ไว้หรือเปล่า แต่เขาจะทำมันให้ได้ เจ็บแล้วก็ต้องจำถึงคนทำจะเป็นคนที่เคยรักสุดหัวใจก็ตาม
เขาใช้ข้ออ้างเรื่องงานมาเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้ปารินเข้ามาใกล้เขามากนัก แต่เขาก็พอจะเดาจุดประสงค์ในการกลับมาของหล่อนได้ ถ้าหากเป็นเพราะความรักหล่อนคงไม่คิดจะจากไปตั้งแต่แรกทว่าพอเวลาผ่านไปถึงกลับมาไม่ใช่เพราะคิดได้อย่างที่หล่อนให้เหตุผล แต่เป็นเพราะอย่างอื่นมากกว่าถึงเขาจะเป็นไอ้บ้านนอกคอกนา เป็นไอ้ทึ่มเอาแต่ดักดานอยู่กับไร่ของตัวเองแต่ก็ไม่ได้โง่จนมองคนไม่ออก ปารินไมได้รักเขาเหมือนที่หล่อนพูดหรือจะเรียกให้ถูกหล่อนไม่ได้รักเขาด้วยใจจริงตั้งแต่แรกแล้ว
ใช่เขารู้...รู้มาตั้งนานแล้วแต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น เพราะคิดว่าถ้าหากมีโซ่ทองคล้องใจหล่อนจะเริ่มหันมารักเขาและลูก แต่ความคิดของเขามันก็เป็นได้แค่หวังลมๆ แล้งๆ เท่านั้น ปารินรักลูกก็จริงแต่ยังรักเขาแค่คำพูดเช่นเดิม หล่อนไม่เคยทำหน้าที่แม่แม้แต่น้ำนมพิกเล็ตก็ไม่เคยได้กิน กอดลูกแต่ก็ผละออกเมื่อมีโทรศัพท์จากเพื่อนมาและสุดท้ายก็ทิ้งเขากับลูกไปเมื่อมีสิ่งเร้าใจมาดึงดูด ความสิวิลัยที่หล่อนโหยหาอยากจะได้มาตลอดและผู้ชายที่เคยเป็นคู่แข่งและอดีตเพื่อนรักของเขา ถึงหล่อนจะกลับมาด้วยจุดประสงค์อื่นที่ไม่ใช่เพราะสำนึกผิดหรือเกิดรักเขาขึ้นมา แต่เขาก็สงสารพิกเล็ตจนไม่กล้าเอ่ยปากไล่หล่อนไปตรงๆ และเพราะเยื่อใยบางๆ อย่างคนที่เคยผูกพันด้วยกระมังเขาเลยยังทนเป็นไอ้โง่เสือต่อไป
ชายหนุ่มซุกหน้าลงกับหัวไหล่อุ่น เขาเชื่อว่าถ้าหากยังไม่เจอไอ้หมอตัวเล็กนี่เขาอาจจะโผเข้าหาปารินพร้อมกับขวดเหล้าก็เป็นได้ ขอบคุณพิกเล็ตและไอ้หมอตัวป่วนนี่ที่ทำให้เขากลับมามีสมองไตร่ตรองได้อีกครั้ง ความเจ็บปวดมันเป็นบทเรียนก็จริงแต่การจะลืมใครสักคนไม่ใช่เรื่อง่ายไอ้หมอมะรุมมันจะโกรธเขาไหมที่เขาจะใช้มันลืมความเลวร้ายของปาริน
“มะรุม”
“หืม?” มันอู้อี้บอกติดหน้าอก หน้าของมันกดแน่นกับหน้าอกข้างซ้ายแน่ใจว่ามันได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกับของมันที่แนบชิดแถวๆ สีข้างของเขา
“มึงจะเลิกชอบกูก็ได้นะแต่กูอยากให้มึงฟังกูให้จบก่อน”
“อะไร”
เขาดันร่างเล็กที่แทบจะจมหายในอ้อมกอดของเขายิ่งได้กอดยิ่งได้รู้ว่าตัวเล็ก บอบบางแต่ไม่ได้ผอมแกร็นพอจะมีกล้ามเนื้อบ้างแต่คงเป็นเพราะโครงสร้างไม่ใช่เพราะออกกำลังอย่างเขา มือหนาเทอะทะกุมที่ไหล่เล็ก รอให้มันเงยหน้าขึ้นมามองแล้วค่อยพูดสิ่งที่ติดค้างอยู่ตั้งแต่วันนั้น
“มึงคิดเรื่องแพรวอยู่ใช่ไหม” ไม่มีคำตอบได้ใบหน้าน่ารักนั่นพยักรับช้าๆ มันก้มหน้าหนีกันอีกครั้ง เลยต้องใช้นิ้วดันคางมันเอาไว้ “กูเคยรักแพรว มึงรู้ใช่ไหม”
“รู้” มันพึมพำตอบ เสียงสั่นจนใจเขาแกว่งไปด้วย
“กูรักแพรวมาก รักจนเลือกที่จะมองข้ามอะไรไปมากมาย กูรักแพรวตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย กูจีบเขาพร้อมๆ กับเพื่อนกู แต่แพรวก็เลือกกู เราคบกันจนแพรวเรียนจบแล้วก็แต่งงานเลยแพรวไม่มีพ่อไม่มีแม่เลยไม่ต้องไปขอกับใครหลังจากนั้นเขาก็มีพิกเล็ตให้กู...ให้ออยมากกว่าเพราะออยทำหน้าที่แทนแพรวกับกูแทบจะทุกอย่างถ้ามีนมคงให้นมดูดไปแล้ว” เขาพูดติดตลกทั้งที่มันไม่ตลกเลยสักนิด “กูก็ทนโง่อยู่หกเจ็ดปี พอปีที่แล้วแพรวได้เจอกับไอ้โยอีกครั้ง กูไม่รู้หรอกว่าไปเจอกันยังไง แต่แพรวก็ทิ้งกูกับลูกไป”
วรทย์ยืนนิ่งฟังคำพูดที่ถ่ายทอดจากอดีตจนถึงเกือบจะปัจจุบัน เท่าที่ฟังพศินรักปารินมากเหลือเกิน เขาไม่แปลกใจถ้าหากพศินเลือกที่จะกลับไปหารักครั้งเก่าในเมื่อพศินรักหล่อนมากขนาดนั้น ตาคมอ่อนแสงลงความเจ็บปวดอยู่ในตาคู่นั้นมันฉายชัดอย่างไม่คิดจะปิดบัง
“กูมันโง่ ใครๆ ก็รู้ว่าแพรวตั้งใจจะหลอกเอาไร่กูตั้งแต่แรกแล้ว แม้แต่ไอ้ภูมิมันก็ดูออก กูเองก็รู้แต่กูคิดว่าอยู่ด้วยกันแล้วอะไรที่เป็นของกูก็จะแบ่งให้ แต่แพรวอยากให้กูขายแล้วไปอยู่ที่อื่น กูรักไร่ของกู ไร่ที่พ่อทำไว้ให้กู กูจะขายมันได้ยังไง”
ปลายเสียงสั่นไหวและแหบพร่า วินาทีนั้นพศินคงเจ็บปวดมากที่ต้องเลือกระหว่างสิ่งที่รักและคนรัก เขายกมือในตอนนี้คงเทียบไม่ได้กับที่พศินเจอมา
“แล้วนาย...ทำยังไง”
“กูก็โดนทิ้งไง” คนตัวใหญ่ยิ้มขมขื่น “มะรุม กูมีเรื่องจะสารภาพกับมึง มึงจะเลิกชอบกูก็ได้ แต่มึงอย่างเกลียดกู มึงสัญญากับกูก่อนได้ไหม ถ้ากูบอกมึงแล้วมึงจะไม่เกลียดกู”
“อะ..ไรเหรอ” ใจเขาหายพิกลไม่อยากได้ยินคำสารภาพนั่นเลย
“กูยังลืมแพรวไม่ได้ กูอยากจะให้มึงช่วยกู...ช่วยกูนะมะรุมทำยังไงก็ได้ให้กูลืมผู้หญิงคนนั้นที”
………………………..
มาม่าไม่มากเท่าไร เพราะกลัวท้องอืดกัน เอิ๊ก ๆ
ตอนหน้าเร้าใจมากค่ะ nc เลือดพุ่ง (แต่งไปกำเดาไหลไป)
ไอ้เสือมันไม่โง่เท่าไรหรอกว่าไหม (เรื่องของเรื่องมีคนขู่ไว้ว่าถ้าไอ้เสือกลับไปหาปารินแล้วจะเลิกอ่านนิยายเรา คุณพระ! นี่มันข่มขู่กันชัดๆ ฮ่าๆๆ) ที่จริงแล้วก็ตั้งใจให้เป็นแนวนี้ค่ะแต่งไปอัพไปมันสดม๊ากมาก (แต่งไม่ทันเพราะต้องแต่งนิยายปกติด้วยจ้า) ขอบคุณทุกความคิดเห็นค่ะ บางคนเมนท์ยาวเหมือนเรื่องสั้นเลย ขอบคุณมากนะคะ
ป.ล.ตุ๊กตาพอร์ซเลน คือตุ๊กตาที่กระพริบตาได้ค่ะ