พยายามจะหาภาพให้ตรงกับที่เขียนไว้ แต่ไม่มีเลย ติ๊งต่างเอาว่าแบบนี้ก็แล้วกันเนอะ
ตอนที่ ๑๔...ของขวัญวันเกิด
ปืนมองผู้ชายที่ทั้งรูปร่างหน้าตาถอดแบบมาจากเจ้านายของเขาแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว แต่ท่วงท่าและลักษณะนิสัยต่างกันราวฟ้ากับเหว และถึงจะหล่อสีสีกันแค่ไหนแต่สายตาของเขาพี่เสือหล่อกว่าคุณหมอภาคภูมิคนนี้เยอะ ชายหนุ่มไม่ได้ถอยห่างไปไหนยังคงยืนอยู่ใกล้ๆ รถจักรยาน สังเกตเหตุการณ์อยู่เงียบๆ
“อ้าวภูมิ! มาตั้งแต่เมื่อไร”
“ตั้งแต่เจ้าตัวเล็กนี่บอกว่าจะทำของขวัญวันเกิดให้พ่อ” จักษุแพทย์รูปหล่อบอกยิ้มๆ พลางยกมือรับไว้หลานชายที่กระพุ่มมือไหว้ก่อนจะไปซุกอยู่หลังอาปลอมๆ ของตัวเอง “ท่าทางจะติดออยน่าดูเลย”
อาณกรยิ้มรับ “ก็เขาไม่มีใคร”
“จริงซินะไม่มีใคร” ภาคภูมิทวนคำ ก่อนจะย่อกายจนระดับความสูงเท่ากับหนูน้อยที่ยื่นหน้ามาจากสะโพกของคุณอาตัวเล็ก มือใหญ่วางเบาๆ กับศีรษะเล็ก “อาเป็นอาแท้ๆ ของพิกเร็ตเลยนะ”
ตาโตกลมใส่แจ๋วมองมาที่เขาคล้ายยังไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “จริงหรือฮะอาออย”
“จริงซิ คราวก่อนอาไม่ทันได้บอก”
เด็กชายปล่อยมือจากกางเกงของอาออย เดินมาจากที่หลบซ่อนอย่างอิดออดตายังคงจ้องมองผู้ชายตัวใหญ่หน้าตาเหมือนพ่อเสือ แต่ไม่ดุเท่า มือน้อยยกขึ้นกระพุ่มอ่อนจะทำความเคารพตามมารยาทตามที่อาและคุณครูสั่งสอนมา
ภาคภูมิมองหลานชายด้วยความเอ็นดู ไม่น่าเชื่อว่าคนห่าม ดิบ ไร้มารยาทอย่างพศินจะมีลูกชายน่ารักเช่นนี้ ไม่ใช่แค่หน้าตาแต่รวมไปถึงนิสัยด้วย เขานึกดีใจที่ยัยปารินอะไรนั่นทิ้งพิกเร็ตไปเพราะถ้าให้พ่อแม่แท้ๆ สั่งสอนพิกเร็ตอาจจะไม่ได้น่ารักอย่างนี้ก็เป็นได้ เขาเอียงคออมยิ้ม มือขยี้ที่เส้นผมนุ่มของหลานชายอีกครั้ง
“อาออยสอนมาดีจริงเชียว”
พิกเร็ตยิ้มอายๆ ทำความเคารพเขาเสร็จก็เดินไปจับมือคุณอา คอยส่งสายตามาทางเขาเป็นระยะๆ
“ภูมิจะมาอยู่วันนี้เลยใช่ไหม”
“ทำห้องให้ผมแล้วเหรอ” ภาคภูมิถามกลับ ยืดร่างเต็มความสูงอีกครั้งรู้สึกปวดต้นขานิดหน่อยเพราะทรงตัวอยู่บนส้นเท้าอยู่นาน อาณกรผงกหัวเล็กน้อยเป็นการตอบคำถาม “เดาไว้แล้วไม่มีผิด ห้องเดิมหรือเปล่า”
“ครับ ขนของเข้าไปอยู่ได้เลย หรือถ้าไม่มีรถเดี๋ยวผมให้ปืนเอารถไปช่วยขน”
จักษุแพทย์หนุ่มโคลงหัว “ไม่มีอะไรมากหรอกแค่เสื้อผ้ากับของใช้ไม่กี่ชิ้นเดี๋ยววันอื่นค่อยไปขนก็ได้ เออ! จะวันเกิดพี่เสือแล้ว ยังจัดงานกันอยู่หรือเปล่า”
“ไม่แน่ใจ” อาณกรตอบไปตามความจริง เมื่อปีที่แล้วไม่มีการจัดงานใดๆ เพราะเป็นช่วงที่ปารินทิ้งพี่ชายไม่แท้ของเขาไป พี่เสือนอนจมขวดเหล้าจนไม่มีกะจิตกะใจจะนึกถึงวันเกิดตัวเอง อย่าว่าแต่วันเกิดวันอะไรเป็นวันอะไรเจ้าตัวยังจำไม่ได้ แต่ปีนี้ดูเหมือนอะไรๆ จะดีขึ้นมาบ้าง ส่วนตัวเขาเองก็อยากให้ไร่เคียงฟ้ามีงานรื่นเริงบ้างเหมือนกัน
“จัดก็ดีเหมือนกันนะ ใช่ไหมพิกเร็ต” ประโยคหลังอาแท้ๆ ก้มลงถามเจ้าตัวเล็กที่ยังมองเขาตาปริบๆ เหมือนเดิม แต่ศีรษะกลมที่ผงกไวๆ มันเป็นคำตอบที่ทำเอาเขาต้องอมยิ้มซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาชักจะอิจฉาไอ้พี่เสือขึ้นมาบ้างแล้วที่มีลูกชายน่ารักอย่างนี้
“จัดดีกว่า ออยไปจัดการเรื่องอาหารนะขาดเหลืออะไรบอกผมได้เลย”
“แต่ผมยังไม่ได้ถามพี่เสือเลย” อาณกรแย้ง มันก็ดีอยู่หรอกถ้าจะมีงานแต่ถ้าไม่ได้ถามเจ้าตัวเขากลัวว่างานจะล่มเพราะโดนถล่ม
“เขาไม่ฆ่าใครหรอก วันก่อนก็ไม่ได้ฆ่าผม” คนพูดยิ้มไปเรื่อย คล้ายกับว่ารอยยิ้มไม่เคยจางหายไปจากใบหน้า “ไม่เห็นหรือไงว่าหลานอยากให้มีงาน”
อาณกรลังเลอยู่พักใหญ่แต่พอก้มลงมองหลานชายที่เงยหน้ามองเขาพอดี ดวงตาใสเป็นประกายด้วยความคาดหวัง เป็นปีแล้วที่พิกเร็ตเจอเรื่องเลวร้ายวันเกิดตัวเองก็ไม่ได้จัดเพราะพ่อไม่ยอม เขายิ้มให้เจ้าตัวน้อยก่อนจะพยักหน้ายอมรับในข้อเสนอขอภาคภูมิ
“ได้ เดี๋ยวผมจัดการเรื่องอาหารเอง ส่วนเรื่องเค้กผมคงต้องวานให้คุณภูมิช่วยดูให้หน่อย เอาหน้าเค้กเป็นรูปพิกเร็ตนะ”
จักษุแพทย์หนุ่มยิ้มกว้างยื่นมือไปดึงแก้มนุ่มๆ ของหลานชายเบาๆ “ได้ซิจะเอาให้น่ารักกว่าเจ้าตัวนี้อีก”
.....................................
สรุปว่าวันที่หนึ่งพฤศจิกายนปีนี้ไร่เคียงฟ้าจะมีการจัดงานวันเกิดให้กับพศิน ตอนที่อาณกรไปประกาศทุกคนโห่ร้องด้วยความยินดีต่างก็พูดคุยว่าจะหาอะไรเป็นของขวัญให้พี่เสือดี
“ถุงยางไปเลย ช่วงนี้พี่เสือกำหนัดมาก” ดินออกความเห็นหลังจากเลี้ยวหน้าเอี้ยวหลังแล้วว่าบุคคลที่ตัวเองพูดถึงไม่อยู่แถวนี้
“ไอ้ห่าดิน มึงนี่ไม่เคยพ้นเรื่องใต้สะดือ” ปืนสั่นหน้าอย่างระอาใจไม่รู้ว่าเด็กๆ พ่อกับแม่ไอ้ดินเอาอะไรให้มันกินถึงได้ทะลึ่งจนลามกขนาดนี้
“อ้าว! ก็มันจริงนี่หว่า มึงไม่รู้ล่ะซิว่าพี่เสือน่ะ
อยาก แค่ไหน” ไอ้คนพูดไม่เพียงแต่พูดเปล่ายังทำหน้าชวนอาเจียนอีกด้วย “แต่เขาไม่ได้อยากกับสาวๆ นะโว๊ย ตอนนี้เปลี่ยนรสนิยมชักอยากจะยอดชายนายเสือแล้ว”
“หมายความว่าอะไร” คิ้วของปืนขมวดเป็นปมด้วยความสงสัย
ดินหันมองซ้ายขวาเพราะเกรงว่าพี่เสือจะโผล่มาเตะเขาก่อนจะได้คายความลับที่มันแน่นอกเหลือเกินให้เพื่อนรักรู้
“พี่เสือชอบหมอมะรุม”
“มั่ว”
“ไม่มั่ว ไอ้ห่า! ฟังกูพูดให้จบก่อนซิ” ดินทำท่าฮึดฮัดขัดใจรีบชิงพูดก่อนที่ไอ้ปืนจะแย้งอีกรอบ “เมื่อวันก่อนก็ก็เอาบันไดไปปีนห้องเขา เมื่อวานซืนก็ชวนกูไปดักหน้าโรงพยาบาลตั้งแต่เช้ามืดแต่ก็รับประทานแห้วเพราะเขาไม่ออกมา มึงว่าถ้าไม่ชอบพี่เสือจะทำขนาดนี้ไหมล่ะ”
ปืนมองหน้าดำๆ ของเพื่อนรัก แววตายังแสดงอย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ปีนห้องเนี่ยนะ มึงเพ้ออะไรของมึง”
“เพ้อห่าอะไร กูพูดเรื่องจริง ตั้งแต่วันที่เฝ้าปาล์มแล้ว พี่เสือแม่งไปฉุดเขามากูห้ามก็ไม่ฟัง แถมยังไปปีนห้องเขาไปเฝ้าหน้าโรงพยาบาลมึงว่าถ้าไม่ชอบจะทำทำไมวะ”
“จริงหรือวะ”
“กูโกหกมึงแล้วตังค์หรือเปล่าล่ะ” ดินย้อนถาม
หน้าที่จริงจังยิ่งกว่าตอนลุ้นหวยของดินทำเอาความมั่นใจของปืนเริ่มโอนเอียง แม้จะเคยเห็นพี่เสือทำท่าเหมือนจะขย้ำหัวหมอมะรุมหน้าขาวแต่เรื่องความพอใจเหมือนจะไม่มีให้เห็น ส่วนไอ้ที่ฉุดมาที่ไร่หรือแม้แต่ไปปีนถึงห้องเขาไม่เคยรู้เลยจริงๆ…
..............................
“พี่เสือชอบหมอมะรุม”
คำพูดของดินยังสะท้อนอยู่ในหูของเขาจนถึงตอนนี้ ทั้งที่ประโยคนั้นมันผ่านไปนานนับชั่วโมงแล้ว สองเท้ายังก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้ว่าจุดหมายของมันอยู่ที่ใด ดูเหมือนว่ามันจะร่วงหายไปตอนที่ได้ยินสองเพื่อนรักคุยกัน ในหัวกำลังโต้แย้งอย่างหนักถึงสิ่งที่ได้ยิน พศินชอบหมอมะรุมมันไร้ความน่าจะเป็นแต่ในขณะเดียวกันมันก็มีสิทธิ์เป็นไปได้เพราะใดๆ ในโลกล้วนไม่แน่นอนทั้งนั้น โดยเฉพาะหัวใจของคน
แต่ในท่ามกลางความสับสนนั้นมันเจือไปด้วยความเจ็บปวด แม้ไม่เคยหวังว่าพศินจะมองตนมากกว่าไปน้องชายทว่าการที่จะทำใจยอมรับว่าคนที่แอบรักมามากกว่าหกปีจะไปชอบคนอื่นอีกคน คราวที่พศินได้พบกับปารินเขาเองก็เจ็บเจียนตายกว่าจะทำใจได้ก็ตอนที่ทั้งคู่มีพิกเร็ต เขาใช้ความน่ารักของเด็กชายช่วยกลบเกลื่อนความเจ็บปวดมันได้ผลดีทีเดียวเพราะปารินไม่ค่อยได้ทำหน้าที่แม่เท่าไรนัก ส่วนใหญ่จะเป็นเมี่ยง กลอยและเขาที่ช่วยกันดูแลมากกว่า ดีหน่อยที่พิกเร็ตเลี้ยงง่ายไม่งอแงแถมยังติดเขามากกว่าแม่เสียอีก ดังนั้นตอนที่ปารินทิ้งไปเด็กชายเลยไม่ได้คร่ำครวญหรือร้องเรียกหาแม่
สองขาหยุดก้าวเพราะหัวใจชักจะอ่อนล้าลงทุกที มันไม่ได้เจ็บมากกว่าไปกว่าเดิมแต่มันเหนื่อยจนคิดว่าน่าจะพักลงบ้าง เมื่อหัวใจอยากหยุดร่างกายก็พลอยหยุดเคลื่อนไหวไปด้วย ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งลงที่ใต้ต้นมะม่วงอกร่องเอนหลังพิงกับลำต้นหนา สองขายืดเหยียดยาวกล้ามเนื้อที่ตึงจากการใช้งานมากเกินไปผ่อนคลายลงเล็กน้อยแต่หัวใจเหนื่อยล้าและเจ็บปวดเหมือนเดิม การแอบรักมันเหนื่อยยิ่งกว่าเดินข้ามภูเขาเสียอีก เขาไม่ได้นั่งนับนิ้วหรอกว่ากี่ปีกันแล้วที่ทำตัวเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วง กินไม่ได้แต่วนเวียนอยู่รอบๆ เป็นทั้งน้อง ทั้งเพื่อน แต่ไม่มีโอกาสจะได้เลื่อนฐานะเป็นไปได้มากกว่านั้น เขาถามตัวเองว่าอิจฉาหมอมะรุมหรือเปล่าที่มาทีหลังแต่พศินกลับให้ความสนใจมากกว่า
ยอมรับอย่างน่าอายว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ แต่ทำได้แค่รู้สึกเท่านั้นไม่คิดจะไปทำร้ายหรือต่อว่า อะไรที่พศินทำแล้วสบายใจเขาก็ยินดียอมรับ แม้แต่การกินเหล้าเมาหัวราน้ำเป็นปีๆ เขายังทำใจได้ ขอแค่ยังได้อยู่ข้างๆ เขายอมได้ทั้งนั้น อาณากรแค่นยิ้มขมขื่นให้ตัวเอง เขามันน่าสมเพชสิ้นดีทั้งที่ไม่เคยชายตาแล ซ้ำยังเป็นผู้ชายแต่ก็ยังดันทุรังอยู่ที่เดิม ยอมทิ้งทุกอย่าเพื่อได้อยู่กับคนที่รัก ทำตัวราวกับไร้ครอบครัวไม่มีญาติมิตรทั้งที่จริงแล้วเขามีทั้งพ่อแม่ และพี่สาว แต่ยังส่งเงินเข้าบัญชีทำหน้าที่ลูกที่ดีผ่านเงินและความคิดถึงผ่านทางสายโทรศัพท์อยู่เสมอ
อาณกรระบายลมหายใจหนักๆ อยากให้ปวดร้าวในอกมันทุเลาลงบ้างแต่มันไม่เป็นเช่นนั้นเขายังเจ็บปวดเพราะการรักข้างเดียวอยู่ดี
“มานั่งทำอะไรคนเดียว”
ความคิดที่แสนหดหู่ถูกทำลายลงโดยคนที่เป็นต้นเหตุ หนุ่มร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะขยับตัวเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตั้งท่าจะนั่งลงบนพื้นที่ข้างๆ กัน
พศินหย่อนสะโพกลงบนใบไม้แห้งๆ ร่างสูงใช้ท่านั่งเดียวกันกับน้องชายไม่แท้ เอนหัวพิงต้นมะม่วงอกร่องเปลือกตาหนาปิดลง ปล่อยให้ลมเย็นๆ ของยามบ่ายจัดพัดใส่กายเต็มที่
“แล้วพี่เสือล่ะมาทำอะไรแถวนี้”
“ไล่ดูปาล์มน่ะ ยังเหลือที่ต้องตัดอีกนิดหน่อย”
อาณกรพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ “มะรืนนี้ผมกับภูมิจะจัดงานวันเกิดให้พี่นะ”
ศีรษะที่พิงต้นมะม่วงอยู่ผงกขึ้นทันควัน ตาคมเปิดขึ้นสะท้อนความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน “ไม่อยากจัด จะจัดทำไม”
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย พิกเร็ตเองก็อยากให้จัดงาน”
“ไอเดียไอ้ภูมิล่ะซิ”
“นะ พี่เสือนานๆ จะมีงานรื่นเริงสักที” อาณกรใช้น้ำเสียงแผ่วอ่อนฟังดูคล้ายจะอ้อนอีกฝ่าย พอเห็นคิ้วที่เลิ่กสูงหน้าก็พลันร้อนวูบ นึกอยากจะด่าในความไม่ระวังของตัวเอง แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “เอาแค่คนในไร่แล้วก็คนที่พิกเร็ตอยาก…”
ท้ายประโยคหายไปเมื่อจู่ๆ ใบหน้าหล่อคมคร้ามยื่นเข้ามาใกล้…ใกล้จนแทบจะนับขนตาได้ อาณกรกลั้นลมหายใจไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่เขาได้อยู่ใกล้กับพศินถึงเพียงนี้ หนุ่มตัวเล็กผงะถอยห่างแต่อีกฝ่ายยังตามไม่ลดละ
“พะ พี่เสือ จะทำอะไร”
ตาคมหรี่ลงจนเป็นเส้นเดียว แต่กระนั้นก็ยังเห็นแววเคลือบแคลงสงสัยในดวงตาคู่นั้นได้ “เป็นอะไรหรือเปล่า”
“อะไร?”
“เมื่อกี้นายพูดแปลกๆ” พศินยังไม่หันหน้ากลับรักษาระดับความห่างไว้แค่คืบนิดๆ อย่างเหนียวแน่น
“ปะ แปลกๆ ยังไง” คนตัวเล็กกว่ากลั้นใจถาม พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่แสดงท่าทางผิดปกติให้พศินเห็น แต่หน้าที่ร้อนจนแทบจะระเบิดได้นั่นมันคงแดงเป็นตูดลิงแสมไปแล้ว
“นายพูดเหมือนจะอ้อน”
“ก็ เอ่อ..ผมอยากให้พี่เสือจัดงานนี่นา”
พศินยังคงจ้องมองหน้าที่แดงขึ้นเหมือนคนเป็นไข้ของอาณกร “หน้านายแดงมีไข้หรือเปล่า”
ไม่เพียงแต่พูดเปล่าแต่ยังใช้หลังมือวัดอุณหภูมิร่างกายให้ด้วย เขาอยากบอกเหลือเกินว่านอกจากหน้าที่ร้อนจัดนั้นส่วนอื่นๆ มันเย็นเยียบไปหมด ถ้าพศินจับมือเขาจะรู้ว่ามันเย็นแค่ไหนแถมยังสั่นอีกด้วย ไม่ใช่ว่าไม่เคยอยู่ด้วยกันตามลำพังแต่ไม่เคยใกล้กันจนชิดชนิดหายใจรดหน้ากันอย่างนี้มาก่อน
“ร้อนกว่าปกตินิดหน่อย ฉันว่านายพักผ่อนบ้างก็ดีนะตอนนี้ฉันกลับมาทำงานได้แล้วนายไม่ต้องเหนื่อยคนเดียวแล้ว”
(มีต่อ)