#Drama,SM |||||||||| A BOY |||||||||| Special ==When I was young [18/7/57] P.26
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ชอบใครที่สุดใน A BOY

น้องต้า
79 (41.6%)
วิคเตอร์
21 (11.1%)
พี่จิม
64 (33.7%)
หมอเซม
22 (11.6%)
แซมแฝดน้องพี่หมอ
4 (2.1%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 163

ผู้เขียน หัวข้อ: #Drama,SM |||||||||| A BOY |||||||||| Special ==When I was young [18/7/57] P.26  (อ่าน 227202 ครั้ง)

ออฟไลน์ maykiz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อ่านแล้วปวดหัว เครียดๆ ลุ้นๆ อ๊ากๆๆๆ แต่ก็จะมาอ่านอีก

koronekojung

  • บุคคลทั่วไป
หายไปไหนเอ่ยยยย.  รอนานแล้วน้าาา.   :ling1::ling1:

viper7123

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:

สู้ๆคับ

ออฟไลน์ NNEW33

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
JIM Part

02:00 AM

มีหลายครั้งที่คนเราหาเหตุผลให้กับการกระทำบางอย่างไม่ได้ ตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไม และเพราะอะไร ผมถึงได้มาอยู่ที่นี่

ประตูลิฟต์ค่อยๆแยกออกจากกันเมื่อถึงชั้น 5 ผมเดินตรงไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า ทั้งสีของกำแพงและพื้นกระเบื้องค่อยๆเปลี่ยนไปเมื่อเดินไปลึกขึ้น

ความเงียบที่ปกคลุมรอบด้านทำให้ผมอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ..มันเงียบเกินไป แปลกกว่าทุกครั้งที่จะต้องมีเสียงโอดครวญดังลอดมาจากด้านหลังประตูฝั่งขวา

หรือว่าจะมาผิดชั้น?

คิ้วขมวดชนกันโดยไม่รู้ตัว แม้จะคิดว่าบางทีผมอาจจะมาผิดชั้น ทว่าขาทั้งสองกลับไม่ยอมหันกลับไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นไปชั้น 6หรือ7 ที่เป็นเสมือนห้องพักของพวกมันสองคน แต่กลับเดินหน้าต่อคล้ายกับถูกแรงที่มองไม่เห็นจับจูง จวบจนเมื่อบานประตูฝั่งขวาที่สุดทางเดินเปิดออก ผมก็ต้องแปลกใจอีกครั้งกับสภาพเละเทะที่ราวกับสถานที่นี้คือสมรภูมิรบ

หรือว่าผมจะมาผิดชั้นจริงๆ?

ผมที่กำลังหมุนตัวหันหลังกลับกลับต้องชะงักอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงสูดปากและเสียงสบถหยาบคุ้นหูดังมาจากด้านใน รีบก้าวยาวตรงเข้าไปหาต้นตออย่างรวดเร็ว และเมื่อถึงจุดหมาย ปฏิกิริยาทุกอย่างเป็นไปเองอย่างที่ผมก็ไม่คาดคิดเมื่อมือกระชากคอเสื้อของมันแล้วดึงรั้งให้ร่างนั้นลุกขึ้นยืน

ไอ้แซมไอโขลกใบหน้าที่มีแต่รอยฟกช้ำบิดเบี้ยว ปากที่แตกยับยังด่าทอไม่หยุดก่อนมือที่เต็มไปด้วยเลือดจะยกขึ้นแล้วผลักผมออกสุดแรง

แรงผลักไม่ได้มากจนทำให้เซ แต่ผมเลือกที่จะปล่อยมันเอง ร่างนั้นหายใจหอบลืมตามองผมด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ ใบหน้าแตกยับ ตรงหางคิ้วมีเลือดออกและไหลเป็นทางยาว เส้นผมที่มันหวงนักหนา ตอนนี้ก็กระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง อีกทั้งแขนและลำตัวมีรอยกรีดของสิ่งมีคมจนเกิดบาดแผลคมกริบและเลือดที่ไหลออกจากปากแผลช้าๆ ประเมินจากสายตา ไม่ใช่แผลลึก แค่ถากๆเท่านั้น ผมไม่รู้ว่ามันถูกใครเล่นงาน แต่ผมไม่เคยเห็นมันหมดสภาพขนาดนี้มาก่อน มันสูดหายใจเข้าลึกๆขณะที่ยืนพิงเก้าอี้โดยใช้มือยันค้ำไว้ไม่ให้ล้มฟุบลงพื้น

“มันอยู่ไหน”

ไม่รู้ว่ามันจะเข้าใจหรือเปล่าว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่ริมฝีปากที่มีเลือดไหลซึมกลับกระตุกยิ้ม นัยน์ตาพราวระยับไม่ตอบคำถาม

“ไอ้แซม ต้าอยู่ไหน” ไม่รู้ว่าทำไมต้องคาดคั้นเอาคำตอบจากมันขนาดนั้น ห่วงเหรอ? ผมบอกตัวเองได้ทันทีว่าไม่ใช่ แต่เพราะอะไรนั้น ผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

“ทำไม? ห่วงมันหรือไง”

เปล่า

ผมไม่ได้ ห่วง

มันมองผมด้วยสายตาที่แฝงเลศนัยน์บางอย่างก่อนจะใช้ปลายนิ้วจับมุมปากแล้วนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ

“อยู่ไหน” ผมถามซ้ำด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นไปด้วยความสับสน

“หึ” มันแสยะยิ้มเพียงนิดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปลึกกว่าเดิม สีหน้าที่ดีขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดต่อ “เด็กคนนั้นถูกประมูลไปเมื่อ 30 นาทีก่อน เสียใจด้วย พี่มาช้าไป”

“ใคร?”

“จะรู้ไปทำไม? ยังไงซะพี่ก็ไปช่วยมันไม่ทัน”

“ใครเป็นคนประมูล” ผมไม่สนใจคำพูดของมันและถามย้ำเข้าไปอีก

“ยังไงมันก็ไม่รอด”

“ใคร!”

มันหน้าตึงไปทันทีที่ผมขึ้นเสียงใส่ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“พ่อเลี้ยงกิตติพศ เป็นไง! รู้แล้วก็รีบไปช่วยซะสิ ก่อนไอ้เด็กนั่นจะยับเยินและเสียสติกลายเป็นคนบ้า เพราะถูกรุมโทรมจากบรรดาลูกน้องของมัน หึ!” มันหัวเราะเยาะเมื่อเห็นผมนิ่งค้างไปทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น ไอ้แซมหันหลังก่อนจะเดินหายเข้าไปยังหลังเวทีทิ้งให้ผมยืนอยู่คนเดียวตรงนี้

พ่อเลี้ยงกิตติพศเป็นมหาเศรษฐีที่คนในสังคมรู้จัก แผ่อำนาจครอบคลุมวงการธุรกิจ ที่สำคัญ เป็นเสือผู้หญิง ได้ทั้งหญิงและชาย ทำอะไรไม่เคยแคร์สื่อ จะควงใครจะเลี้ยงใคร ทุกคนวงในจะรับรู้กันหมด ที่ที่เขาจะพาไอ้ต้าไป ผมรู้

รู้แต่ทำอะไรไม่ได้

ผมกับเขากระดูกคนละเบอร์

ผมหันหลังก้าวยาวๆออกจากที่ตรงนี้ด้วยความรู้สึกร้อนใจแปลกๆ มือล้วงลงกระเป๋ากางเกงควานหาโทรศัพท์ แม้ไม่อยากขอความช่วยเหลือ แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่านาทีนี้ผมมีเขาเป็นที่พึ่งเพียงคนเดียว การจะบุกไปช่วยเลยนั้นเป็นการกระทำที่โง่ เพราะนั่นไม่เพียงแต่ผมจะเอาชีวิตไปทิ้งอย่างไร้ค่า มันอาจส่งผลถึงธุรกิจของครอบครัว ซึ่งผมไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น

ผมมองเบอร์โทรที่ปรากฏบนหน้าจอก่อนจะกดต่อสายด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง นานมากแล้ว ที่ผมไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือจากเขา

รอสายไม่นาน เสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยอำนาจก็เปล่งพูดออกมา

“รีบพูดธุระของแกมา ฉันไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น”

ผมกำมือแน่นกับคำพูดหมางเมิน แต่ความเจ็บกลางฝ่ามือเทียบไม่ได้กับแรงบีบรัดก้อนเนื้อใต้อกซ้ายที่ทั้งเจ็บและจุกจนแทบหายใจไม่ออก ผมสูดลมหายใจระงับอารมณ์ก่อนจะพูดออกไป

“ผมมีเรื่องให้คุณช่วย”

“...”

อีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่ต่อบทสนทนา แต่ผมรู้ ว่าเขากำลังรอฟัง และเพราะผมรู้จักเขาดีทำให้ผมรู้ว่าหากจะขอให้เขาช่วยเหลืออะไรสักอย่าง จะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อพอตัว เพราะเขามันหัวธุรกิจ ไม่เคยที่จะทำอะไรแล้วไม่หวังผลตอบแทน

“เรื่องนั้นที่คุณขอ ผมตกลง”

“พูดธุระของแกมา”

ไม่ผิดจากที่คิด หึ

ผมเหยียดยิ้มเล็กน้อยด้วยความสมเพชตัวเองที่เกิดมาเป็นลูกของคนๆนี้ ..แต่ในความสมเพชนั้น ผมยอมรับว่าผมรู้สึกเบาใจ เพราะเกินกว่า40% ผมมั่นใจว่าเด็กคนนั้นจะปลอดภัย

 

รถบนท้องถนนเริ่มบางตาไม่เหมือนตอนเย็นหรือช่วงหัวค่ำที่การจราจรค่อนข้างติดขัด ทำให้ผมสามารถเร่งความเร็วได้ตามที่ต้องการ รถวิ่งทะยานไปบนถนน ตรงไปยังบ้านพักของพ่อเลี้ยงกิตติพศโดยไร้ความลังเล

นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมมาบ้านหลังนี้ ครั้งแรกนั้นมาด้วยความจำใจ เพราะเขาต้องการให้ผมเป็นที่รู้จักกับคนที่เต็มไปด้วยทั้งอำนาจและเงินทอง แต่ครั้งนี้ที่ผมมาเหตุผลกลับต่างออกไป

ผมชะลอความเร็วเมื่อมองเห็นประตูเหล็กดัดที่เป็นตัวบอกอานาเขตของบ้านตั้งสูงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า และราวกับรับรู้ถึงการมาของผม ประตูเหล็กดัดบานนั้นถึงได้ค่อยๆแยกเปิดออกจากกัน มันคงจะถูกควบคุมการเปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า รอบๆนั้นไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียวแต่ผมรับรู้ได้ว่า ผมกำลังถูกจ้องมองจากที่ไหนสักแห่ง

ผมเลือกที่จะขับรถเข้าไปในบริเวณบ้าน ความมืดปกคลุมไปทั่ว ดีหน่อยที่สองข้างทางมีโคมไฟคอยให้แสงสว่างทำให้แลเห็นต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกประปราย บอกให้รู้ว่าเจ้าของบ้านนี้คงจะชื่นชอบธรรมชาติไม่น้อย แม้จะขับรถเข้ามาได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงตัวบ้านจริงๆเสียที ถึงผมจะเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง แต่นั่นก็นานมากแล้ว ทำให้การมาเยือนคฤหาสน์นี้รู้สึกเหมือนการมาเยือนครั้งแรก

ทางเข้าขนาดสองเลนค่อยๆใหญ่ขึ้นและปรากฏพื้นที่ว่างทรงวงกลม ตรงจุดกึ่งกลางมีน้ำพุหินอ่อนแกะสลักด้วยเทพธิดาตัวน้อยและหงส์ขาวที่ลอยเหนือน้ำ ใจกลางอ่างมีน้ำพุพวยพุ่งขึ้นน้ำ ทางด้านซ้ายปรากฏเป็นตัวบ้านหลังใหญ่ ใหญ่เกินกว่าจะเรียกว่าบ้านได้

ทันทีที่เครื่องยนต์ดับลง ยังไม่ทันได้ลงจากรถ ประตูฝั่งคนขับก็ถูกเปิดออกโดยชายฉกรรจ์ร่างกำยำในชุดสูทสีดำ ใบหน้าของเขานิ่งเรียบ ก่อนจะค้อมหัวลงต่ำเล็กน้อยแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว ผมลงจากรถแล้วปิดประตูก่อนจะเดินตามหลังเขาเข้าไปด้านในโดยไม่มีบทสนทนาแม้แต่ประโยคเดียว

ในโถงห้องรับแขก บนโซฟาหนังเนื้อดีปรากฏร่างชายวัยกลางคนที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมก็ยังจำใบหน้านั้นได้ดี ใบหน้าที่ดูใจดี แต่นัยน์ตากลับเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลโกง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองผม มือหนาก็วางแก้วบรั่นดีลงบนโต๊ะกระโจกใสสีดำก่อนจะผายมือเป็นเชิงให้ผมนั่งลงฝั่งตรงข้าม

ข้างกายของพ่อเลี้ยงกิตติพศมีร่างของคนที่ผมตามหาอยู่ ใบหน้าอ่อนวัยซีดเผือด นัยน์ตากลมโตแดงก่ำราวคนใกล้จะร้องไห้ออกมาเต็มแก่ เมื่อมือหนาของชายวัยกลางคนลดลงไปดึงเอวบางให้ขยับเข้ามาชิด ไอ้เด็กต้าตัวสั่นเทาจะขืนกายออกห่างท่าเดียว ทว่าเพียงแค่พ่อเลี้ยงจุ๊ปากเป็นเชิงสั่งให้นิ่ง ร่างเล็กๆก็ชะงักงัน ไม่มีท่าทางขัดขืนให้เห็นอีก

ดูมันกลัวมาก

ผมเองก็ไม่รู้ว่าก่อนที่ผมจะมาถึง มันโดนอะไรไป

ผมละสายตาจากดวงตาคู่นั้นเมื่อมันสบตาผมอย่างขอความช่วยเหลือ พลางน้ำใสไหลออกจากตาไม่หยุด ฟันขาวเป็นระเบียบกัดปากตัวเองจนช้ำอย่างน่าสงสาร

ผิวกายนอกร่มผ้าไม่มีรอยฟกช้ำหรือรอยขีดข่วนให้เห็นสักรอย

“เธอน่ะ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังเหมือนเดิมเลยนะ จิรัฏฐ์”

ผมขมวดคิ้วชนกันเล็กน้อยด้วยเพราะไม่ค่อยชอบใจกับน้ำเสียงที่เน้นเรียกชื่อผมในตอนท้าย

“ตอนเด็กวิ่งตามพ่อมายังไง ตอนโตเวลาเกิดปัญหาก็ยังให้พ่อแม่จัดการให้อยู่ดี เด็กจริงๆเลยนะ” เขายิ้มเล็กน้อยขณะพ่นคำพูด ผมหน้าชาไปทันทีเมื่อโดนสบประมาทอย่างนี้

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมที่กำลังจะหยัดกายขึ้นยืนต้องชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำหัวเราะแผ่วเบา ก่อนจะพูดห้าม

“อย่าเพิ่งไปสิ เพิ่งจะมาถึงไม่ใช่เหรอ”

ริมฝีปากเขายิ้ม ทว่านัยน์ตากลับแข็งกร้าวเป็นการบังคับทางอ้อมให้นั่งลงที่เดิม ผมกัดฟันแน่นก่อนจะยอมนั่งลงที่เดิมแต่โดยดี ทว่าทันทีที่เขาผละมือออกจากเอวบาง ไอ้ต้าก็รีบสะบัดตัวให้หลุดแล้วรีบวิ่งมาหาผม มือเย็นติดจะสั่นเทาจับแขนผมแล้วฉุดกระฉากให้ลุกขึ้นทันที

ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยมองใบหน้านั้นอย่างฉงน มันจับแขนผมแน่นไม่ปล่อย ใบหน้าบิดเบี้ยวอีกทั้งน้ำตาไหลอาบสองข้างแก้มไม่หยุด

“กลับบ้าน ฮึก.. จิม กลับบ้าน” คิ้วผมกระตุกเล็กน้อยเมื่อไอ้เด็กตรงหน้างอแงฉุดกระชากผมท่าเดียว ทั้งยังเรียกชื่อผมห้วนๆไม่มีคำนำหน้าบ่งบอกสถานะเลยสักนิด

ตืด..

ผมหันไปมองหาต้นเสียงแปลกปลอมนั้นทันที ก่อนจะพบกับสีหน้าราบเรียบของเขาที่มองร่างเล็กข้างๆผมไม่วางตา ดุดันจนน่ากลัว เลื่อนสายตาไปอีกหน่อยผมก็พบต้นตอที่เกิดเสียงในมือหนา

วัตถุสีดำมีด้ามจำพอดีมือ เล็กราวไฟฉายมือ นิ้วหัวแม่มือของเขากดปุ่มเล็กๆอีกครั้ง พลันกระแสไฟแล่นผ่านจนมองเห็นชัดเจน ผมขมวดคิ้วแน่นก่อนจะรับรู้ว่าแรงกระชากที่แขนหายไป เหลือเพียงมือเย็นเฉียบที่จับแขนผมแน่นไม่ปล่อย ใบหน้านั้นซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม

ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่า ทำไมไอ้เด็กนี่ถึงได้กลัวคนตรงหน้านักหนา

ผมดึงมือเล็กที่จับแขนผมออกแล้วเปลี่ยนเป็นจับมือของมันแทนก่อนจะลุกขึ้นยืนขวางกลางดันให้มันไปหลบอยู่ด้านหลัง

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมถึงได้ออกอาการปกป้องมันขนาดนี้

แต่ผม ไม่ได้รู้สึกรำคาญเมื่อมือเล็กๆของมันกำชายเสื้อของผมไว้อยู่เหมือนอย่างตอนนี้

“นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมเกรงว่าหากผมยังอยู่ต่อจะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของพ่อเลี้ยง ยังไงผมคงต้องลากลับก่อน ขอบคุณอีกครั้งครับ สำหรับความเมตตาในครั้งนี้”

ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะยกมือพนมหว่างอกพลางก้มหัวลงเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นเพียงรอยยิ้มที่ฉาบใบหน้าชายวัยกลางคนก่อนเขาจะพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับคำ ผมก้มหัวอีกครั้งแล้วก้าวยาวๆออกห่างจากบุคคลอันตรายตรงหน้าทันทีโดยไม่ลืมกุมกระชับมือเล็กของคนด้านหลังให้เดินตามมาด้วยกัน

ผมไม่รู้ว่าเขาไปพูดเกลี้ยกล่อมยังไงให้พ่อเลี้ยงยอมวางมือง่ายขนาดนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะทำมันด้วยวิธีไหนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป เพราะตอนนี้ คนที่เดินตามหลังผมมาปลอดภัยดีแล้ว

หน้าที่ของผมต่อไปนี้ก็แค่รักษาคำพูดที่ได้รับปากกับเขาไว้เท่านั้น..

“เจ็บ” ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยกับวลีสั้นๆที่ดังมาจากคนข้างกาย ก่อนจะก้มลงมองสบตากับคนที่สูงเพียงไหล่ ใบหน้านั้นงอง้ำติดจะดื้อรั้นเหมือนครั้งที่เคยเห็น แรงกระตุกที่มือเรียกสายตาผมให้มองต่ำลงไปยังมือที่จับประสานกัน พลันคลายแรงมือที่จับไว้แล้วปล่อยมือนั้นให้เป็นอิสระทันที

ไม่รู้ว่าเผลอบีบมืออีกคนแรงขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่

ผมมองมือขาวที่สะบัดไปมากลางอากาศ ก่อนมันจะบีบมือตัวเองด้วยใบหน้าบูดบึ้ง มองผมด้วยดวงตาขวางๆ

ทั้งๆที่ระยะเวลาที่เดินออกมาจากโถงรับแขกก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ทำไมไอ้เด็กตรงหน้าถึงได้ปรับอารมณ์เร็วขนาดนี้ ตาแดงๆ กับน้ำตาที่เปรอะแก้มเมื่อกี้มันหายไปไหนหมด?

ผมส่ายหัวไปมาก่อนจะหันหลังแล้วสาวเท้าเดินโดยไม่รอมันไปที่รถทันที ทันทีที่เปิดประตูและพาตัวเองเข้าไปประจำที่นั่งบนเบาะคนขับ ยังไม่ทันได้ปิดประตู เสียงเปิดประตูจากที่นั่งฝั่งข้างคนขับก็ดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ผมนั่งนิ่งเสมือนไม่ได้ยินอะไร แล้วปิดประตูสตาร์ทรถก่อนจะขับออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้

ออกรถมาไม่ทันไร คนข้างๆที่นั่งเงียบมาตลอดก็เริ่มขยับตัวยุกยิกหันมองหน้าผมสลับกับมองออกไปนอกกระจกรถไม่หยุดจนผมเริ่มรำคาญจนต้องตบไฟเลี้ยวแล้วจอดรถอยู่ข้างทาง

“กลับบ้าน ไปส่งต้าที่บ้าน”

ผมเลิกคิ้วให้กับคำที่ดูเหมือนเป็นคำสั่ง แต่เมื่อฟังดีๆแล้วไม่ใช่คำสั่ง เพราะพอประกอบกับใบหน้าคนพูดแล้วก็ชวนให้อ่อนใจจนอยากจะทำตาม

“บอกทางมา”

เวลาตีสามเป็นเวลาที่ดึกมากเกินไปจนเกินกว่าจะมานั่งเถียงไร้สาระ รีบพามันไปส่งบ้านเรื่องจะได้จบๆไปคงจะดีกว่า

เด็กข้างๆนั่งเงียบ หน้านิ่วคิ้วขมวดทำท่านึกก่อนจะส่ายหน้าไปมา

“ไม่รู้ พาไปส่งบ้าน จะกลับบ้าน”

ท่าทางที่เริ่มงอแงของมันก็ทำให้ผมเริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง

“บอกทางสิ”

“ไม่รู้ จำไม่ได้! ไม่เคยมา จะกลับบ้าน! จะหาพ่อ ฮึก.. หาแม่ หาเตอร์!”

ผมเริ่มจะปวดหัวและเริ่มจะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าต่อไม่ถูกเมื่อมันเบะปากและเริ่มส่งเสียงสะอึกสะอื้นออกมา

“กลับบ้าน!! มีแต่คน ฮึก.. จ ใจร้าย”

ผมมองน้ำใสๆที่หยดแหมะจากดวงตาแดงช้ำ มือขาวยกขึ้นขยี้ตาตัวเองแรงๆ พลันเปล่งเสียงร้องไห้ดังมากกว่าเดิม

“เงียบซะ”

ผมไม่ได้มีความอดทนมากขนาดนั..

“ฮึก! ฮือ!! กลับ จะกลับ!”

คิ้วเริ่มกระตุกปึดอย่างอารมณ์ไม่สู้ดี ก่อนจะชะงักแล้วไล่สายตาพินิจพฤติกรรมงอแงของไอ้เด็กข้างตัวอีกครั้งอย่างประเมิน

ไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินมาจะเป็นความจริงหรือไม่จริง เรื่องที่เด็กนี่อายุ 9 ขวบ แต่อาการงอแงของมันก็ทำให้ผมเริ่มจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมา

ว่ากันว่า ตรรกะไม่สามารถใช้ได้ผลกับเด็กเล็ก คงมีหนทางเดียวที่พอจะนึกออก

ผมยกมือขยี้หัวตัวเองแรงๆก่อนจะเอื้อมมือหยิบโอเล่ย์ที่ซื้อติดไว้แล้วส่งให้ไอ้งอแงข้างๆ

“ลูกอม กินแล้วเงียบซะ”

“ฮึก!” มันสะอื้นฮัก ยกมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ มองลูกอมในมือผมสลับกับมองหน้าผมอีกที

เหมือนจะได้ผล...

หรือเปล่า...?

ผมขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้งเมื่อริมฝีปากอิ่มสีแดงของมันเริ่มเบะออกเล็กน้อย นัยน์ตาก็เริ่มผลิตน้ำตาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดมาอีกระรอก

กูว่ากูเริ่มปวดหัวจริงๆแล้วว่ะ!

ไม่เคยคิดว่าการรับมือกับเด็กคนหนึ่งมันจะยากยิ่งกว่าสร้างกำไลให้บริษัทที่เริ่มต้นจากศูนย์เสียอีก!

“จะเอาอะไร?”

หากหลอกล่อไม่ได้ผล ก็คงต้องปรับเปลี่ยนมาถามตรงๆ

“กลับบ้าน!! ต้าอยากกลับบ้าน ง่วงนอนด้วย ฮึก.. มีแต่คนใจร้าย!! เจ็บ ฮือ... เจ็บไปทั้งตัว!!”

ถ้ารู้ว่าถามแล้วเป็นแบบนี้ กูคงไม่ถามมันตั้งแต่แรก โรคไมเกรนที่เคยหายไป ตอนนี้ดูเหมือนจะเริ่มกำเริบขึ้นมาอีกครั้งเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้

“หยุด! อย่าร้องไห้!”

มันชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะ..

“ฮือออ!! ฮืออออ”

ตะเบ็งเสียงร้องไห้สู้..

โอเค กูยอม

“จะกลับบ้านใช่มั้ย?”

อีกฝ่ายกลืนก้อนสะอื้นและเช็ดน้ำตาที่เปื้อนสองข้างแก้มแล้วพยักหน้าหงึก ไม่มีอาการดื้อเพ่งเมื่อมันรับรู้ว่าผมกำลังจะพูดสิ่งที่มันต้องการ

“หยุดร้องไห้ อย่างอแง แล้วหลับไปซะ รอให้เช้าก่อนแล้วจะพากลับบ้าน ตกลงมั้ย”

ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำความเข้าใจกับคำพูดเหล่านี้ได้หรือเปล่า มันนิ่งเงียบไปเหมือนกำลังประมวลผลก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงแต่โดยดี ไม่มีทีท่าว่าจะร้องไห้อีก ผมจึงสตาร์ทรถอีกครั้งแล้วมุ่งสู่คอนโด

ผมขับรถกลับด้วยความเร็วปกติ 90 กม./ชม. เมื่อสังเกตว่าบนรถเงียบผิดปกติไม่ได้ยินแม้แต่เสียงขยับตัวก็ทำให้ผมหันไปมองยังเบาะข้างคนขับแวบหนึ่ง เห็นอีกคนคอพับคออ่อนนอนพิงหน้าต่างรถหลับสนิทอย่างหมดฤทธิ์ ใบหน้ายามหลับดูไม่มีพิษมีภัยและเดียงสาเกินกว่าจะกล้าทำเรื่องบ้าบิ่นที่ทำให้ตัวเองตกต่ำได้อย่างที่ชวนคนแปลกหน้ามามีเซ็กส์ด้วย

อยู่ๆในหัวผมก็เต็มไปด้วยคำถามและความรู้สึกมากมายที่ประดังประเดเข้ามา

ทำไมมันถึงทำเรื่องแบบนั้น?

ตอนนี้.. มันกลายเป็นเด็กเก้าขวบจริงๆน่ะเหรอ?

และ.. เพราะผมหรือเปล่า ที่ทำให้มันกลายเป็นอย่างนี้?

 

 
_____________________________________

TALK:: มาต่อแล้วนะคะ มาต่อพร้อมกับบอกว่า ปิดเทอมแล้ววว คงจะทำให้มีเวลาอัพบ่อยขึ้น
ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะที่หายไปนานร่วมเดือน  :m15: แต่ก็ขอบคุณจริงๆที่มีคนมาทวงและคิดถึงอยู่เนืองๆ (มีใช่มั้ย? 55)  :กอด1: กลับมาอัพพร้อมกับเอาพี่จิมมาฝาก ฮาาา
ใครที่อ่านมาถึงปัจจุบันต้องขอบคุณจริงๆ ที่ยังไหว (ซึ้งเลยอ่ะ)  :กอด1:

สำหรับครึ่งหลังนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างที่คิดๆกันไว้หรือเปล่า ถ้าเป็นก็ดีไป แต่ถ้าไม่เป็นเราก็ต้องขอโทษด้วยอีกครั้ง  :o12:
วันนี้ขอโทษเยอะแฮะ 55555

อยากจะบอกว่า คิดถึงที่สุดเลยยยยยยยยย อยากแวะมาหามาพูดคุยแต่ก็มิกล้า 55555555555 หายหน้าไปนานเกินอ่ะ ขอบคุณนะคะที่ยังรอเค้าอยู่ จุ้บ
เรื่องจะเป็นทิศทางไหนต่อ อย่าลืมตามลุ้นตามเชียร์น้าาาาาาาา  :กอด1:
ขอบคุณจริงๆค่ะ
รักนักอ่าน.

ออฟไลน์ maru

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-7
ต้าร์ผ่านพ้นไปได้ แล้วริวเป็นยังไงบ้างนะนั่น

ออฟไลน์ pornumpai-ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
กว่าจะมารอจนเหงือกแห้งเลยอ่ะ  แค่ก็จะรอต่อไป  อิอิ

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
อย่างน้อยต้าร์ก็หลุดจากไอ้แก่มาได้

ออฟไลน์ viewfifi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เย่เย่ มาต่อแล้วดีใจจจ  :katai2-1:

อ่านแล้วมันหน่วงใจจัง สงสารต้า  :o12:

iamaoko

  • บุคคลทั่วไป
อัพเร็วนะๆเค้ารออ่านตอนต่อไปอยู่นะ
ป.ล.อยากเห็นพี่เตอร์เวอร์ชั่นโหดจัง :o8:

ออฟไลน์ ไป๋ไป๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ง่ะ สงสารทั้งต้าและก้อริว


ทำไมมันหน่วงขนาดนี้เนี่ย

 :o12: :o12: :o12:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ diduek

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
    • http://diduek-san.exteen.com/
สงสารต้าร์มาก พี่เซมทำไมยอมให้แซมทำแบบนี้ (แต่ก้ชอบพี่เซม =.,=) ลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน แล้วแบบนี้พ่อแม่ต้าไม่สงสัยเลยหรอ โอ๊ยย ยิ่งอ่านยิ่งอิน ชอบมากๆๆๆ รีบมาต่อนะคะ  :hao5:

koronekojung

  • บุคคลทั่วไป
กรี๊ดดด   มาแล้วๆๆ ดีใจจังค่ะ 
มาต่อเร็วๆนะ  แล้วเราจะมาทวงเรื่อยๆ (กำ)
555555555

 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ arovera

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :z13: :z13: :z13: จิ้มเข้าจิ้มเข้า ไรเตอร์หนูมาจิ้ม

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
รอลุ้นต่อ
เรื่องนี้จิตกันทั้งเรื่องจริงๆ
ตอนแรกไม่ชอบจิม แต่พอเห็นมุมอ่อนโยน เออ ก็โอนะ 555

ออฟไลน์ NNEW33

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ตอนที่ 26 ฟ้าหลังฝน

แดดอุ่นๆที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทำให้แขนที่อยู่นอกผ้าห่มแสบร้อนจนต้องหดแขนหนีลงใต้ผ้าห่ม ขยับหน้าซุกลงหมอนนุ่มๆอีกครั้งด้วยเพลิดเพลินในความนุ่มนิ่มของนุ่นที่อัดแน่นในหมอนสี่เหลี่ยม ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่โอบล้อมผิวกายทำให้รู้สึกกำลังดี ไม่ร้อนและไม่เย็นจนเกินไป ริมฝีปากขยับยิ้มเล็กน้อย บรรยากาศอย่างนี้ ไม่อยากตื่นเลย

ดวงตาใต้เปลือกตากรอกไปมา ถึงไม่อยากตื่น แต่กลไกของร่างกายเริ่มทำงานเองเมื่อได้รับการพักผ่อนชั่วขณะหนึ่ง ฟันเฟืองของความคิดเริ่มขยับทีละน้อย ค่อยๆประมวลเหตุการณ์ที่ผ่านไปเมื่อวานอีกครั้งอย่างเชื่องช้า

เตอร์ บอกว่าผมป่วย แม่ให้ผมมากับผู้ชายผมยาวเพื่อรักษา ..พี่ริว พวกเราหนี แต่ลิฟต์ไม่เปิด ถูกจับตัว.. ถูกขังในกรง ...ผมถูกซื้อ พี่ริว..

คิ้วขมวดชนกัน ปากเริ่มเบะออกเมื่อคิดถึงพี่ริว ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนจะถูกอุ้มพาดบ่าออกมา พี่ริวถูกรุม คนใจร้ายพวกนั้นจะทำร้ายพี่ริว! เผลอกัดปากตัวเองแรงขึ้นสองมือกอดตัวเองใต้ผ้าห่มอย่างหาที่พึ่ง พลันรู้สึกเจ็บแปลบเมื่อฝ่ามือป่ายไปโดนตรงรอยแผลที่ถูกเครื่องดำๆในมือของผู้ชายคนนั้นจี้!

พี่จิม อยู่ไหน!?

ผมผุดกายลุกขึ้นนั่งทันควัน กวาดสายตามองไปรอบห้องเพื่อมองหาคนที่ช่วยผมไว้ แต่ในห้องสี่เหลี่ยมนี้ผมไม่เห็นพี่จิมแม้แต่เงา ความกลัวเริ่มเข้าเกาะกุมหัวใจอีกครั้งอย่างไม่รู้จบ ผมลุกขึ้นยืนบนพื้นก่อนจะเดินออกจากห้องด้วยหัวใจสั่นๆ

อยากกลับบ้าน อยากรู้สึกปลอดภัยอีกครั้ง..

อยากกอดพ่อ กอดแม่ กอดเตอร์..

ถ้าได้กลับบ้าน จะไม่ออกไปไหนอีกเลย ต่อให้ต้องโดนตี ก็จะไม่ไปไหน

ผมยกมือขยี้ตาแรงๆ ไล่หยาดน้ำใสที่รื้นคลอหน่วยตา หยุดยืนอยู่หน้าห้องแล้วกวาดสายตาไปรอบห้องรับแขก พลันเหมือนมีน้ำหยดลงกลางใจ หล่อเลี้ยงให้หัวใจชุ่มชื้นปัดเป่าความหวาดหวั่นจนสามารถคลี่ยิ้มได้อีกครั้ง

...เขานอนเหยียดตัวบนโซฟายาว

อยู่ๆก็รู้สึกโล่งใจ

ผมสืบเท้าเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะทิ้งกายนั่งยองๆอยู่ข้างโซฟาแล้วมองใบหน้ายามหลับของพี่จิมเงียบๆ

อยากกลับบ้าน..

เมื่อวานพี่จิมรับปาก ว่าถ้าเช้าจะพาไปส่ง ตอนนี้ก็เช้าแล้ว แต่พี่จิมยังไม่ตื่น ถ้าปลุก เขาจะอารมณ์เสียแล้วใจร้ายกับผมอีกหรือเปล่า

เมื่อวานพี่จิมใจดี มาช่วยผม ไม่กระชากผมของผม แต่พี่จิมพูดเสียงดังแล้วก็ทำตาดุ

ถ้าปลุกตอนนี้ จะโดนดุมั้ย?

“นั่งมองหน้าคนอื่นอย่างนี้ รู้มั้ยว่ามันเสียมารยาท”

ผมสะดุ้งเฮือกผงะถอยหลังอย่างเร็วจนเสียหลักล้มก้นจ้ำเบ้าเมื่ออยู่ๆเสียงทุ้มก็ดังขึ้นในความเงียบ พลันเปลือกตาสีน้ำนมลืมขึ้น ตวัดนัยน์ตาคมกริบจ้องหน้าผมนิ่งๆ

ผมค่อยๆเบนสายตาไปทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตากับเขาตรงๆ

ความเงียบที่โรยตัวทำให้ผมรู้สึกประหม่า หัวใจเริ่มเต้นกระหน่ำด้วยความกลัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ ค่อยๆใช้มือดันพื้นลุกขึ้นตั้งหลัก พลันแขนที่กำลังออกแรงก็ชะงักนิ่งเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่ดังมาจากคนที่นั่งบนโซฟา

“ปวดหัวชิบหาย” เขาสบถเสียงขุ่น ก่อนจะบีบคลึงขมับสองข้างไปมาหวังคลายอาการปวด

ผมลอบมองเขาก่อนจะต้องหลบตาวูบเมื่ออยู่ๆดวงตาคมก็เงยสบตา สีหน้าพี่จิมดูไม่ค่อยดี ใบหน้าซีดจัด เหมือนเตอร์ตอนป่วยเลย

ถ้าพี่จิมป่วย ..แล้วบ้านล่ะ!

“จะกลับบ้าน!” ไม่ใช่แค่ความคิดที่ดังในหัว ปากก็พูดโพล่งออกมาอย่างยั้งไม่อยู่

เมื่อพูดจบ ตาคมๆก็มองนิ่ง แต่รอบนี้ผมทำใจกล้าไม่หลบสายตาไปมองทางอื่นแม้จะนึกกลัวเขาอยู่ไม่น้อยก็ ตาม พี่จิมอะดุ แต่.. คงไม่ใจร้ายเหมือนคนพวกนั้น

ถ้าพี่จิมใจร้าย คอยดู.. ผมจะร้องไห้เสียงดังให้คนอื่นได้ยินให้หมดเลย!!

“..จ ... จะกลับบ้าน!” ตะโกนบอกความต้องการอีกครั้งเมื่ออีกคนยังนิ่งเฉย

ผมเคยกลัวพี่จิมมาก เพราะเขาใจร้าย ทำให้ผมเจ็บ ตอนนี้.. ผมก็ยังกลัวพี่จิม แต่แค่ไม่มากเท่าตอนแรกพบ เพราะการที่พี่จิมมาช่วยผมเมื่อวาน ก็ทำให้รู้ว่าพี่จิมก็ใจดี

มือกำกางเกงตัวเองแน่นก่อนจะค่อยๆหยัดกายขึ้นยืนค้ำหัวเขา ให้ตัวเองอยู่เหนือกว่า

“จะกลับบ้าน จะกลับบ้าน ได้ยินมั้ย! พาไปส่งบ้านเดี๋ยวนี้นะ!! จะกลับบ้าน!!!”

ไม่รู้ว่าผมไปเอาความกล้ามหาศาลขนาดนั้นมาจากไหนถึงได้กล้าตะโกนใส่หน้าเขาอย่างนี้

เมื่ออีกฝ่ายยังนั่งนิ่งเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของผม มือที่กำกางเกงอยู่ก็ยิ่งกำแน่นขึ้น

“อย่ามาเงียบนะ! จะกลับบ้าน เช้าแล้ว! พาไปส่งบ้านสิ อึ่ก.. ก็สัญญากันแล้วถ..ถ้าเช้าจะพาไปส่ง ฮึก.. จะกลับบ้าน” ผมกัดปากแน่นทั้งเสียงและลำตัวสั่นเทิ้มพลันกดหน้าลงต่ำจนคางแทบชิดอกก่อนน้ำร้อนจะไหลออกจากตาช้าๆ

ผมผงะเงยหน้าขึ้นก่อนจะก้าวถอยหลังวืดเมื่ออีกฝ่ายขยับตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผมยกมือซ้ายขึ้นเช็ดน้ำตาทั้งสองข้าง เริ่มหันซ้ายหันขวามองหาทางหนีทีไล่หากอีกคนจะเข้าจู่โจมเข้ามาทำร้าย

ทว่าสิ่งที่คาดไว้กลับผิดถนัด พี่จิมไม่ได้จะทำร้ายผม เขาเพียงแต่หมุนกายเดินหันหลังกลับเข้าไปยังห้องนอนที่ผมเพิ่งเดินออกมา โดยทิ้งผมไว้เพียงลำพังในห้องรับแขก

ขาที่กำลังจะวิ่งตามไปชะงักกึกอยู่กับที่ด้วยความลังเล ไม่กล้าเข้าไปรั้งไปห้ามหรือไปเซ้าซี้ กลัวเขาโกรธแล้วตีผม แต่ผมอยากกลับบ้าน จะได้กลับมั้ย

ขณะที่กำลังตัดสินใจ พี่จิมที่หายเข้าไปในห้องก็เดินกลับออกมาพร้อมกับกุญแจรถในมือ ผมเริ่มยิ้มออก เพราะนั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เขากำลังจะไปส่งผม

ดวงตาคมปรายมองผมแวบหนึ่งก่อนจะเดินนำโดยไม่รอไปยังประตูห้อง และไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยปากพูดหรือสั่ง ผมก็รีบเดินตามแผ่นหลังกว้างไปอย่างไม่รอช้า ริมฝีปากแย้มยิ้มอย่างเป็นสุขที่ได้รู้ว่ากำลังจะได้กลับบ้านแล้ว จะกลับไปกอดพ่อ กอดแม่ กอดเตอร์ จะกอดแน่นๆ จะไม่ไปไหนอีกแล้ว

“บ้านอยู่ไหน” เขาถามขึ้นขณะที่มือหนาหมุนลูกบิดแล้วผลักประตูออกกว้างก่อนจะก้าวขาออกไป ผมที่ยังเดินไม่พ้นขอบประตูชะงักกึก เงยหน้ามองแผ่นหลังกว้างพลันรอยยิ้มบนหน้าค่อยจางลง

เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เขาก็หันมามองผมตรงๆแล้วถามคำถามเดิมอีกครั้ง

“บ้านอยู่ไหน”

แต่คำตอบที่ผมให้เขา ก็ยังคงเป็นความเงียบเหมือนเดิม

“จะกลับหรือเปล่า บ้านน่ะ! ถ้าจะกลับก็บอกมา”

ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อเขาเริ่มเสียงดัง

“ม.. ไม่รู้”

พี่จิมถอนหายใจ กรอกตามองเพดานก่อนจะพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่กรรโชกเหมือนเมื่อครู่

“อย่าเพิ่งมากวน ถ้าอยากกลับบ้านเร็วๆก็บอกทางมา”

“ก็ไม่รู้จริงๆ จะให้บอกอะไรเล่า! จะกลับบ้าน!! กลับบ้าน!!” ผมเบะปากตะโกนเสียงดัง ครั้นพอเห็นคิ้วเข้มของเขาขมวดเป็นปมกลางหน้าผาก อีกทั้งฟันขบกันแน่นจนขึ้นเป็นสันนูน มือหนาคู่นั้นก็กำแน่นข้างลำตัวจนเส้นเลือดปูดไปตามลำแขนก็ทำให้ผมขวัญหนีจะถอยหลังกรูดไปหลบอยู่หลังประตู

!!

ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะขยับ มือหนาก็คว้าข้อมือผมแล้วกำแน่นก่อนจะออกแรงลากให้เดินตามไป

"ถ้าไม่รู้ก็ไปหาตำรวจ ให้เขาพามึงกลับบ้าน"

ผมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำว่าตำรวจ พยายามสะบัดข้อมือให้หลุดจากการจับกุมแล้วยิ่งดิ้นมากกว่าเดิม!

ร่างหนาชะงักแล้วหันมามองด้วยสีหน้าที่ทั้งหงุดหงิดและรำคาญ

"ไม่ไป! ไม่หาตำรวจ จะกลับบ้าน!! พี่จิมก็ไปส่งสิ"

"ก็มึงไม่รู้ทางกลับ ไปหาตำรวจนั่นล่ะถูกแล้ว"

ผมส่ายหน้ารัว รีบขืนตัวไว้ โดยใช้มืออีกข้างคว้าประตูห้องแล้วเกาะไว้แน่น

"ปล่อย! ไม่ไป!!" ผมจิกเท้าลงพื้นขืนตัวเต็มที่ แขนที่ถูกเขาดึงเริ่มปวดจนเหมือนข้อต่อที่ยึดแขนให้ติดกับหัวไหล่จะหลุดออกจากกัน

ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่านี้ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นราวกับระฆังช่วยชีวิต พี่จิมปล่อยมือออกจากแขนผมแต่ไม่วายมองด้วยสายตาดุดัน ผมรีบหดแขนแล้วย้ายตัวเองเข้าไปอยู่ในห้องที่เพิ่งจะเดินออกมาทันที รีบวิ่งปรูดไปที่โซฟาหวังจะใช้ความยาวของมันเป็นสิ่งกั้นกลางระหว่างผมกับเขา

พี่จิมเดินตามเข้ามาขณะที่มือก็ล้วงหยิบโทรศัพท์เครื่องหรู ปลายนิ้วสไลด์หน้าจอกดรับสาย แล้วนำมาแนบหู พูดรับสายเสียงแข็ง

"มีอะไร วันนี้ผมบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าผมจะไม่เข้า" เขาพูดเสียงเรียบนัยน์ตาดุเต็มเปี่ยมด้วยอำนาจ

"ถ้าเรื่องแค่นี้ พวกคุณยังจัดการกันเองไม่ได้ ผมจะจ้างคุณมาทำไม!"

ผมสะดุ้งกับเสียงตะคอก

"พอ! ไม่ต้องพูด! อีก 40 นาทีผมจะไปถึง เตรียมเอกสารทุกอย่างให้พร้อม"

เขาพูดตัดบทเพียงเท่านั้นก่อนจะกดตัดสายแล้วหมุนกายเดินเข้าห้องนอนโดยไม่สนใจผมอีก เวลาผ่านไปไม่ถึง 5นาที เขาก็เดินออกมาด้วยสูทชุดใหม่ดูภูมิฐาน เหมือนชุดที่พ่อใส่ก่อนออกไปทำงานทุกเช้า

เขามองผมขณะที่ปลายนิ้วขยับจัดเน็คไทที่คอก่อนจะติดกระดุมแขนในลำดับต่อมา

"ฉันให้เวลานาย5 นาที ไปอาบน้ำซะ" ผมขมวดคิ้ว เหมือนหัวสมองยังไม่ประมวลผลกับคำสั่งนั้น

"ยืนนิ่งอยู่ทำไม จะไปหาตำรวจหรือจะไปอาบน้ำ"

ผมเบะปากกับสองตัวเลือกที่ไม่ใช่ตัวเลือก

"ไม่หาตำรวจ ต้าจะกลับบ้าน!" ผมยืนกรานมองตาเขาอย่างไม่ยอมแพ้ ..ทว่าผมก็แพ้ราบคาบในวินาทีถัดมาเมื่อเขาตีหน้ายักษ์ แล้วพูดเน้นๆ ช้าๆ ย้ำคำสั่งเดิมชัดทุกถ้อยคำ

"ไป อาบ น้ำ"

แล้วใครล่ะจะกล้าขัด?

ยกนี้ ยอมอ่อนให้ก่อนก็ได้!

ผมรีบวิ่งเข้าห้องนอนแล้วตรงเข้าห้องน้ำ ปิดประตูเสียงดัง แล้วรีบถอดเสื้อผ้าไปยืนใต้ฝักบัวทันที

น้ำที่ตกกระทบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก อีกทั้งกลิ่นหอมของสบู่ๆอ่อน กับฟองนุ่มๆที่แปะบนผิวกายก็ทำให้เพลิดเพลินกับการอาบน้ำจนหลงลืมเวลาที่เขา กำหนดมาเสียสิ้น จวบจนได้ยินเสียงเคาะประตูดังปังใหญ่นั่นล่ะ ก็ทำให้ผมได้สติ ดึงตัวเองออกจากภวังค์แล้วรีบเปิดน้ำล้างคราบฟองสีขาวออกจากตัวอย่างรวดเร็ว

ปัง ปัง ปัง!!

เขายังทุบประตูเร่งไม่หยุด ผมหน้าตื่นลนลานหนักกว่าเดิม รีบปิดน้ำทั้งที่ผิวกายบางส่วนยังล้างคราบลื่นๆออกไม่หมด

ผ้าขนหนูอะ ผ้าขนหนู

ปังๆๆๆๆ

"เสร็จหรือยัง จะ 10 นาทีแล้ว ถ้ามึงไม่ออกมากุจะพังประตูเข้าไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!"

ไม่มี ไม่มีผ้าขนหนู!

ผมวิ่งย่ำเท้าอยู่กับที่อย่างลนลานทำอะไรไม่ถูก

พี่จิมโหด! เตอร์ยังไม่เร่งเวลาผมอาบน้ำเลย

ปังๆๆๆๆ!!!!

เสียงทุบประตูดังขึ้นมากกว่าเดิม ผมหันขวับ เบิกตากว้างเมื่อสังเกตเห็นประตูบานหนาขยับกึกๆ! เขากำลังจะพังประตูเข้ามาจริงๆ!!

ผมหันซ้ายหันขวา ขยับขาก้าวถอยไปด้านหลังโดยอัตโนมัติ

"ไอ้ต้า! เปิด!!"

"พี่จิมก็เลิกเขย่าสิ! จะพังแล้วไม่เห็นเหรอไง!" ตะโกนตอบกลับ ก่อนจะรีบฉวยเอาเสื้อตัวเดิมมาสวมลวกๆ

ผลัวะ!

ทว่ายังไม่ทันได้คว้ากางเกงมาถือ ประตูตรงหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างห้องน้ำกับห้องนอนก็ถูกเปิดออกอย่างแรง!

ผมชะงักค้าง มองร่างสูงที่ยืนขวางประตูตาโต เผลอสบตากับนัยน์ตาคมแวบหนึ่งเห็นมันเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนเขาจะรีบปรับสีหน้าให้กลับมาราบเรียบเหมือนเดิม

"ทำไมไม่เปิดประตู"

ผมกำกางเกงที่ปิดหว่างขาตัวเองแน่น ไม่พูดอะไรตอบ

"เป็นเหี้ยไรวะ ถามไม่ตอบ"

"ก็แล้วดุทำไมเล่า! พ่อกับเตอร์ยังไม่ดุเลย พี่จิมมาดุมาว่าต้าทำไม!! จะกลับบ้าน!!"

"มึงมันพูดไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวกูจะพาไปหาตำรวจ"

ผมเบะปาก

"ไม่ไป!!!"

"หยุด! หยุดโวยวายเดี๋ยวนี้!!" เขาชี้หน้าผม ตวาดเสียงดังจนผมนึกกลัว รีบเงียบตามเขาสั่ง กัดปากตัวเองแรงๆอย่างเจ็บใจเมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้

"กูไม่ได้มีเวลาว่างมากพอมาเถียงกับมึง หยุดดื้อ แล้วเดี๋ยวจะพากลับบ้าน"

"เป็นผู้ใหญ่ห้ามพูดโกหก" เมื่อได้ยินว่าจะพากลับบ้านผมก็รีบพูดดักคอเขาทันที

"เออ มึงเป็นเด็กก็ห้ามดื้อ ต้องทำตามที่กูพูด เข้าใจมั้ย"

ผมเม้มปากแน่น รู้สึกคิดหนัก

"อื้อ ตกลง วันนี้จะไม่ดื้อ แต่ต้องพากลับบ้านนะ"

สิ้นคำพูดพี่จิมก็พยักหน้าด้วยท่าทางเบื่อหน่ายก่อนจะตัดรำคาญด้วยการคว้าข้อมือผมจะลากออกจากห้องน้ำ

ทว่าเขาสีหน้าเขากลับยุ่งเหยิงแล้วกวาดมองผมไปทั่วทั้งตัว

"มึงอาบน้ำยังไงของมึง สบู่ยังติดตัวอยู่เนี่ย" เขาปล่อยแขนผมแล้วหันไปล้างคราบลื่นๆที่อ่างล้างหน้า

"ก็ใครเล่าที่เร่ง"

"พอ! หยุดเถียง กูให้เวลาอีก 1 นาที มึงรีบล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดซะ" สั่งเสร็จก็ไม่รอช้า หมุนกายเดินออกไปทันที คล้อยหลังเขาผมก็ถลันตัวไปที่ประตู หมายจะปิดมันทว่าคนข้างนอกกลับดันเข้ามาจนไม่สามารถปิดได้

"นี่ผ้าเช็ดตัว กับเสื้อผ้า แต่งตัวเองเป็นใช่มั้ย"

กับแค่แต่งตัว ทำเองเป็นหรอก เตอร์ปล่อยให้แต่งตัวเองตั้งแต่ผมอยู่ป.1 เรื่องแค่นี้ทำไมจะทำไม่เป็น

"เป็น"

"เป็นก็ดี เร็วๆล่ะ กูรีบ"

เขาเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูให้อย่างเรียบร้อย ผมถอดเสื้อที่เพิ่งสวมเมื่อกี้ แล้วเดินไปยืนใต้ฝักบัวเพื่อล้างตัว อีกรอบ ใช้เวลาไม่นาน ผิวกายที่เคยลื่นจากคราบสบู่ก็สากฟืดๆ สะอาดหมดจด หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัวให้แห้งก่อนจะใส่เสื้อผ้าชุดใหม่

ที่น่าแปลกคือ เสื้อกับกางเกงพอดีตัวผมอย่างน่าประหลาด ไม่ใช่เสื้อผ้าของพี่จิมแน่ๆ เพราะพี่จิมตัวใหญ่ ใหญ่พอๆกับเตอร์ตอนนี้เลย

ด้วยกลัวว่าเขาจะพังประตูเข้ามาอีก ผมก็รีบพาตัวเองออกจากห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

ในห้องนอนไร้วี่แววคนตัวสูง ผมจึงเดินออกไปยังห้องรับแขกก็พบว่าเขากำลังรออยู่

เมื่อหันมาเห็นผม ร่างหนาก็เดินนำออกจากห้องไปโดยไม่พูดไม่จา

 

ขึ้นมาอยู่บนรถได้ บรรยากาศไม่ได้อึดอัดจนหายใจไม่ออก เพราะยังมีเสียงเพลงที่ฟังสบายๆขัดกับบุคลิกของเจ้าของรถเปิดคลอเบาๆ

โครก...

ผมขยับตัวไปมา ใบหน้าร้อนจัดพลันยกมือขึ้นกุมท้อง รีบหันหน้าไปทางขวา ก่อนจะลอบถอนหายใจเมื่อพบว่าเขายังจดจ่อกับท้องถนนตรงหน้าอย่างมีสมาธิ

หวังว่าเสียงท้องร้องเมื่อกี้คงไม่ดังพอที่เขาจะได้ยิน

เหลือบสายตามองนาฬิกาดิจิทัลบนคอนโซลหน้ารถก็ไม่นึกแปลกใจว่าทำไมผมถึงได้หิวจนแสบท้องขนาดนี้

เกือบจะบ่ายโมงครึ่งแล้ว หลังจากกินอาหารที่บ้านก่อนออกมา ก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องผมอีกเลย

 

เสียงเพลงดับลงพร้อมกับรถที่จอดสนิทบนลานจอด พี่จิมเปิดประตูแล้วพาตัวเองลงไป เป็นผลให้ผมต้องรีบทำตาม หลังจากที่ล็อกรถเสร็จ ร่างหนาก็ก้าวยาวๆเดินเข้าไปในตัวอาคารโดยไม่แม้แต่จะเรียกหรือรอผม

ผมเบ้ปากนึกจะต่อต้านไม่เดินตามเขา แต่พอหันมองซ้ายขวาหน้าหลัง พลันขนแขนก็พากันลุกพรึ่บพรั่บ ถึงแม้ตอนนี้แดดจะยังจัดจ้าอยู่ก็ตาม แต่บรรยากาศตรงลานจอดรถมันก็ชวนวังเวงไม่น้อย

"พี่จิม! รอด้วยสิ อย่าทิ้งต้า!" ตะโกนบอกโดยที่ขายืนนิ่งไม่วิ่งตามไป ถ้าพี่จิมไม่หยุดรอจะยืนร้องไห้โชว์เรียกให้คนมามุงดู เอาให้อายไปเลย!

ปากที่เบะออกเตรียมเปล่งเสียงก็ต้องชะงัก เมื่อสิ่งที่คาดไว้ผิดถนัด

ผมคิดว่าพี่จิมจะไม่หยุดเดิน แต่ไม่ใช่ เขาหันกลับมาและหยุดรอผม

"มาสิ" เรียกพลางสอดมือลงกระเป๋ากางเกง ทั้งนัยน์ตาและสีหน้าไม่ได้ฉายประกายหงุดหงิดเหมือนตอนจะลากผมไปหาตำรวจ

เห็นแบบนี้ ผมก็ดื้อไม่ออก จึงเดินไปหาเขาอย่างว่าง่าย

"โตแล้ว อย่าร้องไห้ ไม่อายคนหรือไง"

ไม่ใช่น้ำเสียงต่อว่า

ผมทำปากยื่นก่อนจะเสตามองไปทางอื่น พลันรู้สึกอุ่นที่มือและรับรู้ได้ถึงแรงดึงที่คนตรงหน้าจับจูงให้เดินตามไป

อากาศข้างนอกที่ต่างจากภายในอาคารลิบลับ ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ความรู้สึกอยากดื้อลดฮวบหลงเหลือแต่ความรู้สึกหิวที่กลั่นออกมาเป็นเสียง..

โครก....

ผมหน้าแดงซ่านเมื่อรับรู้ได้ว่าคนข้างๆคงจะได้ยินเสียงน่าอาย เพราะมือหนาที่จับมือผมไว้ชะงักนิดนึง ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่ามุมปากหยักกำลังขยับยิ้มบางๆ

เขากำลังขำ

ผมก้มหน้ามองพื้น มืออีกข้างกุมท้องไว้ อย่างจะบอกมันว่า หยุดร้องได้แล้ว

ติ๊ง!

เสียงลิฟต์ดังขึ้นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเดินเข้าลิฟต์และลิฟต์เลื่อนขึ้นมาถึงที่หมายตั้งแต่เมื่อ ไหร่ แต่จนตอนนี้ มือหนาข้างนั้นก็ยังไม่ปล่อยจากแขนผมเสียที

เสียงที่คุยกันดังจ้อกแจ้กเงียบลงทันทีที่เขาย่างกายเข้าไปภายในเขตทำงาน บรรยากาศรอบด้านเงียบกริบ ทุกคนต่างหลบหน้าหลบตาอ่านเอกสารบนโต๊ะอย่างขะมักเขม้น ผมเหลียวหันกลับไปมองก่อนจะต้องรีบหลุบตาลงพื้นแทบไม่ทันเมื่อพบว่า ด้านหลังมีสายตาหลายคู่กำลังมองมาที่ผมอย่างสงสัย ผมเม้มปากแน่น รู้สึกประหม่าจนเหงื่อซึมออกจากมือ

เวลาที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าผมมักจะประหม่าทุกครั้ง เหมือนกับตอนที่ต้องแสดงละครบนเวทีในงานวันพ่อที่ผ่านมา ผมก็ตื่นเต้นจนลืมบทไปหมดเลย แล้วก็เผลอแสดงท่าทางอะไรออกไปก็ไม่รู้ จนคนดูด้านล่างพากันหัวเราะครืน เพราะอย่างนี้ ผมถึงไม่ชอบอยู่ท่ามกลางคนไม่คุ้นเคย

ประตูสีขาวที่ค่อยๆปิดลง สร้างความเป็นส่วนตัวทำให้ผมกลับมาหายใจคล่องปอดอีกครั้ง

เขาปล่อยข้อมือผมแล้วเดินไปทรุดกายนั่งบนเก้าอี้หนังสีดำ ก่อนจะเปิดแฟ้มเอกสาร พลิกหน้ากระดาษ กวาดสายตาอ่านรายละเอียดคร่าวๆ โดยปล่อยผมให้ยืนเคว้งอยู่กว้างห้อง ผมมองไปรอบๆก่อนจะมองเลยจุดที่เขานั่งไปยังผนังกระจกที่เผยให้เห็นทิวทัศน์ใจกลางกรุง หากเป็นตอนกลางคืน วิวบนนี้คงจะสวยมาก แต่นี่ตอนกลางวัน มองแล้วแสบตา ผมผละสายตาออกจากตรงนั้น แล้วมองโซฟาหนาหนุ่มน่านั่ง

จะนั่งได้หรือเปล่า...?

ผมขมวดคิ้ว มองพี่จิมที่กำลังจดจ่อกับแฟ้มงานเล่มหนาสลับกับโซฟาเป็นระยะ ไม่กล้าพาตัวเองเข้าไปนั่ง กลัวโดนดุ

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่พาผมมาด้วยก็เงยหน้าขึ้นจากแฟ้ม ก่อนจะกดโทรศัพท์บนโต๊ะต่อสายออกไปด้านนอก

"คุณเรณุกาครับ เข้ามาพบผมข้างในด้วย"

เขาปรายตามองผมเพียงครู่ก่อนจะลดสายตากลับไปให้ความสนใจกับตัวอักษรบนกระดาษสีขาวต่อ

ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านนอก ผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับเขาก้าวเข้ามาด้านในแล้วหยุดยืนตรงหน้าโดยมีโต๊ะทำงานคั่นกลาง

"เรียกเรเข้ามาพบมีอะไรหรือเปล่าคะคุณจิม"

ทันทีที่เสียงหวานเอ่ยจบ เขาก็ผละสายตาจากแฟ้มขึ้นมองเธอ

"คุณยุ่งหรือเปล่า"

"ไม่ค่ะ มีอะไรให้เรช่วย บอกได้เลยค่ะ"

"ผมจะมีประชุมในอีกห้านาที ระหว่างที่ผมกำลังประชุม ผมอยากให้คุณช่วยดูแลเด็กคนนั้น"

หญิงสาวที่ชื่อเรณุกาเหลียวมามองผมตามสายตาคมที่จ้องมา

"อ้อ ไม่มีปัญหาค่ะ แล้วเรื่องงานมีอะไรให้เรช่วยมั้ยคะ"

"ขอบคุณครับ ไม่มีอะไรแล้ว ผมฝากเด็กคนนั้นด้วย"

พูดจบมือหนาก็ปิดแฟ้มเอกสารแล้วหยัดกายขึ้นยืนเต็มความสูง จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ดูเป็นระเบียบมากกว่าเดิมก่อนจะสาวเท้าเดินออกจากห้อง ผมเบะปากเมื่อรู้ตัวว่าถูกเขาทิ้ง ขาที่กำลังจะตามเขาไปก็ต้องชะงักเมื่อมือนิ่มๆคว้าแขนผมไว้

 "เดี๋ยวคุณจิมก็มา เรียกพี่ว่าเรก็ได้นะ แล้วน้องชื่ออะไรคะ" พี่ผู้หญิงถามพร้อมรอยยิ้ม

"ชื่อต้าครับ" เขายิ้มมา ผมก็ยิ้มตอบ

เหนือสิ่งอื่นใด ท้องไม่รักดีที่สงบไปแล้วชั่วขณะหนึ่งก็เล่นงานผมอีกครั้ง

โครกกก

ผมก้มหน้า สองมือกุมท้องหน้าร้อนวาบเมื่อได้ยินเสียงเธอหัวเราะอย่างขบขัน

“ท่าทางคงจะหิวมาก งั้นเดี๋ยวพี่พาไปกินอะไรอร่อยๆเอามั้ย”

ผมเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างช่างใจ

“กลัวพี่เหรอ”

ผมส่ายหน้าไปมา พี่สาวคนนี้ไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิดเมื่อเทียบกับพี่จิม พี่เซม เธอดูใจดีและอ่อนโยนกว่าเยอะ สองคนนั้นน่ะ เทียบไม่ติดเลย

“ป่ะ งั้นออกไปข้างนอกกัน ป่านนี้พวกที่อยู่ข้างนอกคงอยากจะรู้จักน้องต้ากันแย่แล้ว” เธอพูดพร้อมดึงแขนผมให้เดินออกไปด้านนอกด้วยกัน

จริงอย่างที่พี่เรบอก ด้านนอกมีบรรดาพี่สาวมองมาที่ผมเป็นตาเดียว สายตาทุกคู่ปิดความอยากรู้อยากเห็นไม่มิด  แต่ละคนเผยยิ้มกรุ่มกริ่มที่ผมไม่เข้าใจความนัยกันทั้งนั้น

ผมหลบสายตาวูบ แล้วเขยิบไปยืนอยู่ด้านหลังพี่เร ก้มหน้าหลบสายตา พี่เรลูบหลังมือผมเบาๆก่อนจะพูดเอ็ดเพื่อนอย่างไม่จริงจังเท่าไหร่

“มามองอะไรน้องกัน พอเลยๆ น้องอายหมดแล้วเห็นมั้ย”

ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากกลุ่มคนด้านหน้า ก่อนเสียงหนึ่งจะตะโกนถามขึ้น ซึ่งคาดว่าคงจะเป็นคำถามที่อยู่ในใจของใครหลายคน


 

ออฟไลน์ NNEW33

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

“ใครเหรอพี่เร”

“น้องเขาชื่อต้า คุณจิมฝากให้ดูแลระหว่างที่กำลังประชุมน่ะ”

ผมลองชะโงกหน้าออกไปมอง ก็เห็นใครหลายคนในนั้นยิ้ม.. ล้อเลียน

“ไอ้ต้น แกไปซื้อข้าวให้น้องต้าหน่อย น้องเขาหิวจะแย่แล้ว”

“เงินอ่ะพี่” เสียงห้าวทุ้มของผู้ชายร่างยักษ์ในชุดเสื้อเชิ้ตดังมาก่อนตัวจะปรากฏให้เห็น เขามีผิวสีเข้ม ติดจะอ้วนเล็กน้อย แต่ใบหน้านั้นดูเป็นคนอารมณ์ดี

“ออกไปก่อน เข้าใจ๊”

“โห่! ทุกทีเลยอ่ะเจ๊” เขาบ่นอย่างอารมณ์เสีย ก่อนผมจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเขาหันมามอง “รอพี่แป๊บนึงนะจ๊ะน้องต้า เดี๋ยวพี่ต้นสุดหล่อไปซื้อข้าวให้” เขาพูดพร้อมยิ้มกว้าง ผมรีบหลบวืดไปอยู่ด้านหลังพี่เร อีกมือจับชายเสื้อไว้แน่น

พี่ต้นเมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับจากผมก็บ่นงุ้งงิ้ง เรียกเสียงหัวเราะจากบรรดาผู้หญิงในนี้ได้อีกมากโข

“รีบไปเลยไป น้องเขากลัวแกหมดแล้ว!” พี่ผู้หญิงติดจะห้าวๆไล่พร้อมกับโบกไม้โบกมือชิ่วๆประกอบ

พี่ต้นเดินจากไปพร้อมกับเสียงบ่นโอดครวญฟังดูตลกมากกว่าน่าสงสาร

“ฮะ” ผมเลิกคิ้วเมื่อพี่เรขยับออกห่างจากผมแล้วปล่อยมือที่จับกันไว้อยู่ เธอดันผมให้เข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานที่อยู่ใกล้หน้าห้องพี่จิมมากที่สุด

ทันทีที่ผมนั่งลง พี่สาว 5 คนก็กรูกันเข้ามาล้อมรอบโต๊ะไว้ ผมผงะหงายด้วยความตกใจ ไล่มองหน้าแต่ละคนด้วยสายตาปิดความหวาดหวั่นไม่มิด

พวกเธอหัวเราะเบาๆ ก่อนหนึ่งในนั้นที่อยู่ด้านซ้ายมือของผมจะโพล่งคำถามออกมา

“น้องต้าเป็นอะไรกับคุณจิมเหรอ”

ยังไม่ทันได้คิดคำตอบของคำถามแรก คำถามที่สองก็ตามมาติดๆ

“ทำไมมากับคุณจิมได้ล่ะ”

“เป็นน้องชาย หรือว่าเป็น...”

“คิกๆ ยัยเอ! ทำไมพูดอย่างนั้น”

“ว่าไงๆ น้องต้ากับคุณจิมเป็นอะไรกัน” พี่สาวผมสั้นคนเดียวกับที่ยิงคำถามแรกถามซ้ำอีกครั้ง

“แต่ฉันว่าไม่น่าใช่พี่น้อง เท่าที่รู้มาคุณจิมเป็นน้องคนสุดท้อง พี่น้องก็มีแค่คุณกานต์คนเดียวนี่” หญิงสาวอีกคนพูดอย่างรู้ดี พวกเธอที่เหลือก็พยักหน้าเออออเห็นด้วย

“น้องต้าอายุเท่าไหร่เหรอคะ หน้าตายังดูเด็กอยู่เลย”

“ว้ายย ไม่คิดเลยนะว่าคุณจิมจะชอบเด็กๆแบบนี้!”

“น้องต้าน่ารักจัง แก้มก็นุ่มด้วย”

ผมเบนหน้าหนีปลายนิ้วที่กำลังจิ้มแก้มผมเล่น ทว่าพอผมหันหน้าหนีเธอก็จับแก้มผมหมับแล้วลองบีบ ผมเบะปาก ไม่ชอบในสัมผัส

“ฉันชอบปากน้องเค้าจังเลยย ดูสิ แดงระเรื่อไม่ต้องทาลิปเลยอะ”

ผมยิ่งเบ้ปากหนักกว่าเดิม ก่อนจะ...

“ฮึก!! ฮือออ!!!!  พ.. พี่จิม!!!”

ระเบิดร้องไห้แล้วร้องเรียกหาพี่จิมดังลั่น ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเรียกชื่อพี่จิม แต่พี่จิมพาผมมา แล้วตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน!

สองมือยกขึ้นปิดตา ส่งเสียงร้องไห้ไม่หยุด พลันจมูกที่เริ่มหายใจติดขัดเพราะน้ำมูกก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำหอม ก่อนจะรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วๆที่กำลังลูบผมของผมอย่างปลอบโยน

“พวกแกออกไปห่างๆน้องต้าเลย!” เสียงพี่เรแทรกเข้ามา พลันสาวๆ5 คนที่ล้อมผมไว้ก็สลายตัวออกไปยืนห่างๆ แต่ก็ไม่วายแอบมองมาด้วยใบหน้าหงอยๆ

“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะครับคนเก่ง ไม่ต้องกลัวนะ พี่ๆเค้าไม่ได้จะทำอะไรน้องต้านะ เค้าแค่อยากรู้จัก”

“ฮึก.. ไม่เอา ไม่อยากรู้ อึ่ก.. จัก น น่ากลัว ฮืออ!” ผมยังไม่หยุดร้องไห้ ไล่สายตามองหน้าพี่ๆเมื่อกี้อีกทีก่อนจะเบือนหน้าหันไปหาพี่เร พี่เรยิ้มอ่อนแล้วลูบหัวของผมก่อนจะดันให้ซบกับหน้าท้องแบนราบ ลูบปลอบประโลมไม่หยุด

“เหมือนเด็กเลย โอ๋ๆ หยุดร้องนะคะ” ผมผละมือออกจากตาแล้วกอดหมับที่เอวพี่เรแน่นๆ

“ชะอ้าวว เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมบรรยากาศแปลกๆ สุดหล่อหายไปแป๊บเดียวเอง” เสียงฝีเท้าและเสียงห้าวดังมา ก่อนถุงเซเว่นจะวางโปะลงบนโต๊ะตรงหน้า

“นี่ครับน้องต้า ข้าวแล้วก็ขนมอีกเยอะแยะเลย อ้าว.. ทำไมร้องไห้แบบนั้น เกิดอะไรขึ้นเจ๊” พี่ต้นพูดยืดยาว แล้วมองหน้าผมด้วยใบหน้างงงวย แต่พี่เรกลับโบกมือไล่แล้วเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น

“ขอบใจมากนะหมูต้น เดี๋ยวเอาเงินให้ กลับไปทำงานไป”

ผมหันกลับไปซุกหน้าลงกับท้องนิ่มๆของพี่เรต่อ ไม่สนใจใครทั้งนั้น พี่ต้นเมื่อไม่ได้คำตอบก็ล่าถอยไป

“ไหนดูสิ มันซื้ออะไรมาบ้าง” เธอพูดพร้อมกับใช้มืออีกข้างแหวกๆถุงพลาสติกออกคุ้ยดูของด้านใน ผมที่ได้ยินเสียงแหวกถุงก็เริ่มหูกระดิก น้ำตาไหลกลับเข้ากระบอกตา ความตื่นตกใจหายไปหมดสิ้น ยิ่งพอได้กลิ่นหอมๆของข้าวผัดก็ต้องลอบกลืนน้ำลาย มุดหน้าลงซบหน้าท้องพี่เรแน่นกว่าเดิมจนเธอหัวเราะเสียงดัง

“อยากกินมั้ย” ผมขยับตัวปล่อยมือออกจากเอวพี่เรแล้วยกมือขยี้ตา หันไปมองของกินยวนใจที่วางบนโต๊ะอีกครั้ง ยังลังเลที่จะพยักหน้า

“กินได้ พี่ซื้อมาให้ ไม่ต้องเกรงใจนะ” มือเรียวขยี้หัวผมก่อนจะเริ่มจัดแจงเอาข้าวผัดในกล่องสี่เหลี่ยมออกมาแล้วเปิดฝา เห็นควันสีขาวลอยขึ้นในอากาศ กลิ่นหอมๆที่เตะจมูกชวนให้น้ำลายสอ

“กินได้จริงนะ” ผมเอ่ยถามเสียงเบา พี่เรพยักหน้ายิ้มๆแล้วจัดแจงส่งช้อนพลาสติกให้ถึงมือ

ผมยกมือไหว้แล้วรับช้อนมาก่อนจะค่อยๆตักข้าวเข้าปาก

ริมฝีปากคลี่ยิ้มหลังจากลิ้มรสคำแรก พลางขยับมือตักข้าวคำที่สองเข้าปากอย่างต่อเนื่อง ลิ้นคลุกเคล้าซึมซับรสชาติในขณะที่ฟันก็ทำการบดเคี้ยวอาหารให้แหลกละเอียดก่อนจะกลืนลงคอ

พี่เรที่ยืนอยู่ข้างๆหยิบน้ำชาไปเปิดฝาออกให้ แกะหลอดจิ้มใส่ลงไปแล้วเลื่อนมาวางข้างๆกัน ผมเงยหน้าส่งยิ้มตาหยี รีบกลืนเข้าในปากลงคอแล้วดูดน้ำอึกใหญ่

“อร่อยย”

“อร่อยก็กินเยอะๆนะ กินให้หมดเลย”

ผมพยักหน้ารับคำพูดแล้วตักข้าวเข้าปากอีกคำใหญ่ เพราะก้มหน้าก้มตากินไม่ได้สนใจรอบข้าง พอเงยหน้าขึ้นมามองอีกทีก็พบว่าพี่สาว 5 คนรวมทั้งพี่ต้นก็มายืนล้อมรอบโต๊ะเสียแล้ว แต่ละคนจ้องผมไม่วางตา มือที่กำลังจะส่งข้าวเข้าปากเป็นอันต้องชะงัก ริมฝีปากเริ่มเบะออกอีกครั้ง

“อ้ะ! น้องต้า อย่าร้องไห้นะๆ พวกพี่ๆไม่ได้ตั้งใจทำให้หนูกลัว พวกพี่แค่อยากเล่นกับหนูเฉยๆ”

ผมกระพริบตามองพี่เขาอย่างประเมิน ไล่สายตามองหน้าทีละคน ซึ่งก็หน้าจ๋อยกันเป็นแถบ ผมวางช้อนลงแล้วขยับไปคุ้ยหาขนมในถุง หยิบเยลลี่หมีกับคอนเน่ แล้วก็เลย์ถาดๆ ส่งให้พวกพี่ๆ

“กินกัน แม่บอกว่า ถ้าจะเล่นต้องกินให้เสร็จก่อน”

เห็นพี่ผู้หญิงผมสั้นท่าทางห้าวๆอมยิ้มขำ แต่ก็เริ่มแกะคอนเน่หยิบใส่ปากชิ้นนึงแล้วส่งต่อให้เพื่อน

“น้องต้าก็กินสิคะ จะได้เล่นกันเร็วๆ”

พยักหน้ารับคำพูดของพี่เรด้วยรอยยิ้มกว้าง เริ่มลงมือจ้วงตักอาหารอีกครั้งอย่างไม่ลังเล

....

มองรอยยิ้มของพี่ๆรอบกายที่ส่งมาให้ผม ไม่มีอะไรเคลือบแฝงหรือดูน่ากลัว

ทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจและรู้สึกดีจนลืมเรื่องร้ายๆไปจนหมด

ฟ้าหลังฝนที่เตอร์พูดบ่อยๆ เป็นอย่างไร ตอนนี้ผมเริ่มจะเข้าใจขึ้นมานิดนึงแล้ว

ตอนฝนตก ลมแรง ฟ้าร้อง ทุกอย่างดูน่ากลัว

แต่พอฝนหยุด ท้องฟ้าก็แจ่มใส..

เมื่อสูดดมกลิ่นดินกลิ่นหญ้าก็ทำให้รู้สึกสดชื่นจนไม่สามารถเก็บกลั้นรอยยิ้มไว้ได้

 

 

___________________________________________

TALK :: บรรยากาศในเรื่องเริ่มดีละ..

มาต่อให้ทีเดียวครบร้อยเปอร์ รักและคิดถึงมากมาย  ไว้เจอกันพาร์ทหน้านะคะ จุ้บบบ

PS. มีคนถามหาพี่ริวกันหลายคนเลย สำหรับพี่ริวนั้น ต้องไปติดตามในรีเว้นต่อ 55555 (ซึ่งปจบ.กำลังซื้อที่บิ้วอารมณ์มาปั๊มอารมณ์ให้เกิดไวไว) 55555

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รักษาสุขภาพกันด้วยน้า

ออฟไลน์ pannixz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 373
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
ทางนี้เริ่มมีแดดส่องสดใส
เฮ้อ ค่อยยังชั่ว
จิมดูเริ่มปรับตัวดีขึ้นละ

แล้วริวละคะ
ไปต่อริวให้หนูที............... :ling1:
อยากอ่านมาก ป่านนี้เป็นไงน้อ :mew4:

viper7123

  • บุคคลทั่วไป
 o13 o13 o13 o13 o13


ฟ้าหลังฝน

ย่อมสดใสเสมอ

ออฟไลน์ Lovecartoon1996

  • ชอบกินมาม่า
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
    • -
ต้าน่ารักอะ :really2:

ออฟไลน์ monsterkim

  • I think therefore I am. = เพราะฉันคิด ฉันถึงมีอยู่
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
เกิดเป็นต้านี่น่าสงสารนะ เจอแต่อะไรที่โหดร้ายทั้งนั้นเลยอะ ถึงแม้หลังๆพี่จิมจะเริ่มดีขึ้นแล้วก็เถอะนะ >_<

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pornumpai-ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
แหม น่ารักจัง. ชอบอ่ะ อิอิ

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสแต่มันจะนานเท่าไรกันเชียว

ออฟไลน์ Moose

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ดีใจที่น้องต้าได้เจอคนดีๆบ้าง  :hao7:

ออฟไลน์ NNEW33

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ตอนที่ 27 ปิ้งย่าง

JIM Part

"มีใครจะเสนอความเห็นนอกเหนือจากนี้มั้ยครับ" ผมเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเอกสารหลังจากอ่านรายละเอียดบนกระดาษสีขาวครบถ้วน กวาดสายตามองไปยังองค์ประชุมซึ่งดูท่าทางจะเห็นด้วยและไม่คัดค้านอะไร ผมจึงยุติการประชุมที่กินเวลายืดเยื้อกว่าที่คิดไว้เพียงเท่านี้ ตอนแรกคิดว่าปัญหาทุกอย่างจะเรียบร้อยภายใน 3 ชม. แต่พอเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้งก็พบว่าตอนนี้ เป็นเวลาเกือบทุ่มเสียแล้ว

ผมปิดแฟ้มเอกสารก่อนจะพูดขึ้น

“ผมขอจบการประชุมแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกท่านที่มาเข้าร่วมการประชุมในวันนี้มากครับ"

ทันทีที่พูดจบสีหน้าของแต่ละคนก็ดูชุ่มชื่นขึ้น ผิดจากตอนแรกที่อ่อนแรงดูเหนื่อยล้า ผมส่งแฟ้มเอกสารให้เลขาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

“รบกวนคุณช่วยสรุปรายงานการประชุมส่งผมภายในวันพรุ่งนี้ด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะ” เธอยิ้มแล้วรับแฟ้มไป

ผมพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้น เดินออกจากห้องประชุม ตรงไปยังห้องทำงานของตัวเอง เพราะเวลาเลิกงานคือ 5 โมง จึงไม่แปลกใจที่ตอนนี้บริเวณโดยรอบจะเงียบสงัดไร้พนักงานอย่างเช่นปกติ

ผลักประตูเข้าไปด้านในก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องทักเบาๆ

"อ้าว คุณจิม เสร็จแล้วเหรอคะ"

ผมพยักหน้าแทนการตอบ เหลือบสายตามองไปยังร่างที่นอนหลับสนิทบนโซฟาตัวยาวใกล้กับโซฟาเดี่ยวที่เลขาคนสนิทที่นั่งอยู่ เหมือนหญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องจะสังเกตเห็นว่าผมกำลังมองเด็กคนนั้น

"อ้อ เล่นจนหมดแรงน่ะค่ะ" ผมผละสายตาหันไปมองคนพูด เลิกคิ้วเป็นการขอคำอธิบายเพิ่มเติม

"แปลกนะคะ แกเหมือนเด็กเลย จะว่าแอ๊บก็ไม่ใช่ ท่าทางดูไม่เสแสร้งราวกับเป็นเด็กเล็กจริงๆ แถมยังซนมากด้วย ดูสิคะ" ริมฝีปากยิ้มบางๆขณะพูด ก่อนจะชี้ชวนให้ดูหลักฐานความซนที่ปรากฏบนหัวเข่า

"เป็นแผลขนาดนี้ เรถามว่าเจ็บมั้ย น้องต้าก็บอกว่าเจ็บ แต่ไม่ร้องไห้สักแอะ นี่ก็คงจะเหนื่อยถึงได้ผล็อยหลับไป"

เธอทอดมองไปที่เด็กคนนั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู

"เหรอ.."

"พวกยัยอิงชอบน้องกันทั้งนั้น เล่นซนกันทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เลย นี่พวกนั้นก็เพิ่งพากันกลับไปได้เดี๋ยวเดียวเองค่ะ"

ผมมองร่างที่นอนหลับตาพริ้ม ก่อนจะหันมาถามเธอ

"แล้วคุณจะกลับยังไง ให้ผมไปส่งมั้ย"

"ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวแฟนเรมารับ... นั่นไง พูดถึงปุ๊บ ก็โทรมาปั๊บ" ริมฝีปากที่เคลือบสีลิปสติกคลี่ยิ้มเป็นสุขกับเสียงริงโทนที่ตั้งไว้เฉพาะคนพิเศษก่อนจะเปิดกระเป๋าแล้วหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมารับสาย

"ว่าไงคุณ ถึงแล้วเหรอ คุณจิมก็เพิ่งประชุมเสร็จพอดี อ๋อค่ะ ได้ๆ รอแป๊บนะ"

บทสนทนาจบลงด้วยเวลาอันรวดเร็ว เธอเก็บมือถือลงกระเป๋าเหมือนเดิมก่อนจะยืนขึ้น

"แฟนเรมารอรับที่หน้าบริษัทแล้ว งั้นเรขอตัวกลับก่อนนะคะ"

"ครับ ขอบคุณมากครับสำหรับวันนี้"

เธอยิ้มรับก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้อง

ประตูค่อยๆปิดลงอีกครั้ง ในห้องนี้จึงเหลือเพียงแค่พวกผมสองคน ผมถอดเสื้อสูทแล้วพาดไปบนพนักโซฟาเดี่ยวที่ตอนนี้ไม่มีคนจับจอง ทิ้งกายลงนั่งก่อนจะขยับปลายนิ้วคลายปมเน็คไทให้หลวม แล้วปลดกระดุมข้อมือ พับแขนเสื้อขึ้นจนอยู่ระดับข้อศอก

ความอ่อนเพลียที่เก็บกดไว้เป็นเวลานานขณะที่อยู่ในห้องประชุมค่อยๆแผ่กระจายไปทั่วร่าง หากเปรียบร่างกายเป็นโทรศัพท์ที่ดึงพลังงานจากแบตเตอรี่มาใช้ ตอนนี้แบตฯในตัวผมคงกำลังเป็นสีแดง

เมื่อได้นั่งบนโซฟานุ่มๆ ก็พาลทำให้ไม่อยากลุกขึ้นเสียดื้อๆ ผมปรายตามองไปยังร่างที่ยังคงหลับสนิท ก่อนจะเลื่อนสายตาไปหยุดที่บริเวณหัวเข่าที่มีรอยแผลถลอกเลือดซิบ

แผลนั้นคงจะสร้างความเจ็บให้เจ้าตัวไม่น้อย ทว่าก็น่าแปลกที่ถึงแม้จะหลับ แต่ริมฝีปากคู่นั้นกลับคลี่ยิ้มบางๆอย่างเป็นสุข

 

ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีอะไรบางอย่างมาลูบๆคลำๆบริเวณหน้าผากและข้างแก้มนั่นล่ะถึงได้ลืมตื่นตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือ ดวงตาใสแจ๋ว ..ใสจริงๆครับ ใสจนเหมือนลูกแก้ว

"ทำอะไร" เอ่ยถามออกไปโดยไม่ได้ขยับหน้าหนีมือเล็กๆที่แปะแก้มอยู่

"พี่จิมไม่สบายเหรอ" มันถามแล้วแปะๆมือลูบใบหน้าผมจนมั่วไปหมด

ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงไม่อยู่เฉยอย่างนี้

บางทีผมอาจแค่เหนื่อย และขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับมัน ถึงได้ยอมนั่งเป็นหุ่นปล่อยให้มันลูบคลำหน้าได้ตามอำเภอใจ

"พี่จิมหน้าร้อน" มันว่าแล้วผละตัวไปนั่งขัดสมาธิบนโซฟายาว มองผมไม่ละสายตา

"อืม" ผมทำเพียงตอบรับเสียงเบาในลำคอ

"พี่จิมหิวมั้ย"

"..." ไม่พูดตอบอะไรแต่มองหน้ามันนิ่งๆแทน เพิ่งจะสังเกตหน้ามันชัดๆก็ตอนนี้

"ทำไมคิดนาน? ต้าหิว พาไปกินอะไรอร่อยๆหน่อยได้มั้ย แม่บอกว่า คนป่วยต้องกินเยอะๆ จะได้หายไวไว กินข้าว กินยาแล้วก็นอน" มองดูปากเล็กๆที่ขยับพร่ำพูดไม่หยุดอย่างรู้สึก...เพลินตา

ไม่รู้ว่านั่งหายใจทิ้งอย่างเปล่าประโยชน์อย่างนี้ไปกี่นาที เมื่อมองดูหน้ามันดีๆอีกครั้ง ก็พบว่าสีหน้าของคนที่ผมกำลังมองเริ่มงอง้ำมากขึ้น ริมฝีปากคู่นั้นหยุดพูดไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หากแต่ตอนนี้มันกำลังเชิดขึ้นเล็กน้อยตามระดับอารมณ์ของเจ้าตัว

"หิว" เสียงเริ่มห้วน สองมือกอดอกบอกความเอาแต่ใจ

ท่าทางทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำเหมือนที่เคยเจอ

หากมันกลายเป็นเด็ก 9 ขวบจริง คงเป็นเด็กที่เอาแต่ใจน่าดู

"หิว!"

ไม่ทันไร ทั้งคำพูดและสีหน้าของมันก็ยืนยันสิ่งที่ผมคิดได้ดี แววตาดื้อรั้นคู่นั้นบอกว่า หากเจ้าตัวต้องการอะไร จะต้องได้ดั่งใจ

ผมส่ายหัวเอือมระอา ก่อนจะลุกขึ้นยืน

"หิวก็ลุกขึ้น จะได้รีบกินรีบกลับ" ออกเดินนำหน้า โดยไม่หันไปมองก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเดินตามหลัง

จากที่เดินนำอยู่ดีๆ คนที่ตัวเล็กกว่าก็รีบซอยเท้าถี่จนตีขึ้นมาเดินข้างกัน ผมปรายตามองเล็กน้อยแต่มันไม่ได้มองตอบ มัวแต่หันกลับไปมองด้านหลังเป็นระยะๆ

บรรยากาศโพล้เพล้ อีกทั้งบนอาคารชั้นนี้นอกจากผมกับมันก็ไม่มีใครอื่นอีก ไม่ต้องถามก็รู้ว่าในหัวทุยๆนั่นกำลังคิดถึงเรื่องอะไร ยิ่งเมื่อเดินมาถึงหน้าลิฟต์ ใบหน้าอีกฝ่ายก็ดูตื่นตกใจมากกว่าเดิม

ติ๊ง

ประตูลิฟต์ค่อยๆแยกออกจากกัน ไอ้คนข้างๆผมก็หลบวืดไปอยู่ด้านหลังของผมทันที ครั้นพอจะเดินเข้าลิฟต์ ก็เดินไม่ได้ เพราะคนด้านหลังดันกำชายเสื้อแล้วดึงไว้แน่น

"จะไปไหน" เสียงมันสั่นเล็กน้อย

"หิวไม่ใช่เหรอไง" มันพยักหน้าขึ้นลง ผมก็ตั้งท่าจะเดินต่อ แต่มือเล็กๆข้างนั้นก็ไม่ยอมปล่อย กลับกันมันยิ่งออกแรงยื้อไว้สุดกำลัง

"เป็นอะไรของมึง"

ที่ถามนั่น ก็ถามไปอย่างนั้น รู้ครับ ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรและกำลังรู้สึกอย่างไหนอยู่

"ไม่เข้าได้มั้ย" พูดออกมาเบาๆด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ

ผมลอบยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะแสร้งตีหน้าเรียบเฉยแล้วหมุนกายหันไปมองมัน

"ถ้าไม่เข้าลิฟต์แล้วจะลงไปยังไง เดินลงบันไดหรือไง"

มันนิ่งไปอึดใจ ทำท่าคิดหนัก ก่อนจะส่ายหัววืด

"ลิฟต์ก็ไม่เอา บันไดก็ไม่เอา แล้วมึงจะลงยังไง" พอจี้มากๆเข้า ปากอิ่มสีเรื่อก็เริ่มเบะออก หัวทุยส่ายไปมา มือก็กำเสื้อผมแน่นอย่างดื้อรั้น "ไปลิฟต์เนี่ยแหละ อย่าเรื่องมาก" พูดตัดสินใจแทนมันแล้วก้าวขาเดินเข้าไปในกล่องสี่เหลี่ยมโดยไม่สนว่าอีกคนจะตามมาหรือไม่

"จิม" ผมกดปุ่มค้างไว้ไม่ให้ประตูมันปิดลง มองอีกคนที่ยังยืนอยู่ด้านนอก หน้าเบะ ตาดื้อ

"ถ้านับถึงสามแล้วไม่เข้ามาจะไม่รอแล้วนะ"

มันทำตาโต เม้มปากแน่น ยืนกรานจะไม่เข้าท่าเดียว ผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเริ่มนับ

"หนึ่ง..."

ยังนิ่ง ไม่มีทีท่าจะขยับ

"สอง.."

ขาเริ่มกระตุกแต่ยังยืนนิ่งแบบเดิม คงคิดว่าผมไม่กล้าทิ้งมัน

"สาม"

นับเลขสุดท้ายตามที่ลั่นวาจาไว้พร้อมกับปล่อยนิ้วออกจากปุ่ม ยังผลให้ประตูลิฟต์ค่อยๆเลื่อนเข้าหากันช้าๆ

"จิม!! อึ่ก.. ฮือ!!!" เสียงร้องไห้งอแงดังขึ้นพร้อมกับร่างเด็กผู้ชายที่สูงเพียงไหล่ พุ่งตัวเข้ามา มือเล็กทุบประตูรัวอย่างกล้าๆกลัวๆ ใบหน้าขาวซีด

ผมส่ายหัวอย่างเอือมระอาก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือกดปุ่ม ยังผลให้ลิฟต์ค่อยๆเปิดออกอีกครั้ง ทำให้เห็นใบหน้าของอีกคนที่อยู่ด้านนอกชัดเจน ใบหน้าขาวบิดเบี้ยวงอง้ำ น้ำใสๆที่ไหลออกจากตานั่นก็ราวสั่งได้ เพราะเสียงร้องงอแงเมื่อกี้ไม่ใช่แค่เสียง แต่บนแก้มขาวยังเปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำใส

"เข้ามา"

มันมองผมด้วยสายตาตัดพ้อยืนนิ่งไม่ขยับ ก็รู้ทั้งรู้ว่าผมกล้าทิ้งมัน เหตุการณ์เมื่อกี้ก็เป็นตัวบอกอย่างชัดเจนอยู่แล้ว แต่มันก็ยังดื้อยืนอยู่ที่เดิม

การประชุมที่ว่าเหนื่อยแล้ว ยังไม่สร้างความเหนื่อยให้ผมได้เท่ากับการอยู่กับไอ้เด็กนี่เพียง 30 นาที

ผมถอนหายใจเสียงดังเจตนาให้มันได้ยิน ใบหน้าขาวเจื่อนไปเล็กน้อย สายตาคู่นั้นก็ฉายแววตัดพ้อมากกว่าเดิม ริมฝีปากคว่ำลง น้ำใสก็เริ่มรื้นคลอหน่วยตา ถ้าผมยังไม่ทำอะไรสักอย่าง คาดว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าไอ้เด็กนี่จะต้องแผลงฤทธิ์ใส่ผมแน่ๆ

ผมตัดสินใจก้าวออกไปจับมือมันแล้วดึงให้เข้ามาในลิฟต์ด้วยกัน มันขัดขืนเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามาแต่โดยดี

ประตูลิฟต์ค่อยๆเลื่อนปิดเข้าหากัน ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนตัวลงสู่ชั้นลานจอดรถอันเป็นจุดสิ้นสุด ในนี้มีเพียงความเงียบและเสียงสูดจมูกเบาๆ มันจับมือผมแน่นไม่ปล่อย

"อยากกินอะไร" มันเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตาที่เคยแดงก่ำแปลเปลี่ยนเป็นประกายไหววูบพึงใจ

"พิซซ่าได้มั้ย" ตอบทันทีแบบไม่ลังเล

"อืม" คำตอบรับเพียงสั้น แต่ก็ทำให้มันคลี่ยิ้มได้อีกครั้ง

เป็นเวลาเดียวกับที่ลิฟต์เคลื่อนตัวถึงที่หมาย ประตูค่อยๆเปิดออก คนข้างกายก็ก้าวยาวๆเดินนำหน้าแล้วเป็นฝ่ายจูงมือผมแทน พอถึงรถนั่นล่ะ มือเล็กๆก็คลายออกแล้ววิ่งไปยังเบาะข้างคนขับ ดูกระตือรือร้นเสียจนน่าขัน ผมปลดล็อกแล้วพาตัวเองเข้าประจำที่ เมื่อทุกอย่างพร้อมก็ออกเดินทางสู่ห้างที่ใกล้ที่สุด

"จิม จะพามาอีกมั้ย" อยู่ๆมันก็ถามขึ้น ทั้งน้ำเสียงและแววตาดูตั้งความหวังไว้ไม่น้อย แต่สรรพนามนั่นคืออะไร? ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ตอนแรกก็คิดว่าฟังผิด แต่พอครั้งนี้.. แบบนี้มันเรียกลามปามหรือเปล่า?

"อะไร"

"จะหาพี่เร พี่ต้นแล้วก็พี่สาวอีก 5คน พวกพี่ๆใจดี อยากมาอีก จิมจะพามามั้ย"

ฟังไม่ผิดจริงๆ ผมไม่ควรจะถือสาหาความกับเด็กใช่หรือเปล่า?

"ตกลงพามานะ"

"อืม" ตอบแบบตัดรำคาญ แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่สนใจ เมื่อได้คำตอบที่ต้องการ มันก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จนผมเผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว

หืม..

ยิ้ม?

คิ้วขมวดเป็นปมกลางหน้าผาก ก่อนจะละมือหนึ่งออกจากพวงมาลัยรถแล้วจับปากตัวเอง.. รู้สึกได้ว่า ริมฝีปากกำลังยิ้มจริงๆ ผมละมือออกรีบตีหน้านิ่ง รวบรวมสมาธิอยู่ที่การขับรถโดยไม่วอกแวกไปยังสิ่งอื่น

โดยเฉพาะเบาะด้านหน้าข้างคนขับ..

 

TA Part

พี่จิมพาผมมาที่ห้างสรรพสินค้า คนพลุกพล่านเต็มไปหมด พอเดินมาถึงร้านพิซซ่า เห็นคนต่อคิวกันเยอะมาก ไม่มีโต๊ะว่างเลย ผมหันไปมองคนตัวสูงกลัวเขาเปลี่ยนใจไม่กิน

ก็ผมอยากกิน

โครกกกก..

ท้องร้องเป็นสิ่งยืนยันว่าผมทั้งหิวและอยากกินจริงๆ คนตัวสูงหันมามองด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึก แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับพราวระยับ

"MK มั้ย" เขาเสนอทางเลือกที่อาจได้กินเร็วกว่านี้ ผมกัดปากตัวเอง เริ่มคิดหนัก ในหัวจินตนาการถึงเนื้อเป็ดนุ่มๆหวานๆ หมูเด้งเนื้อนิ่ม ซดน้ำซุปที่ส่งควันหอมกรุ่น แล้วก็พาลให้น้ำลายสอ

"แล้วพิซซ่า.." แต่ผมก็ยังอยากกัดแป้งนุ่มๆ กินเฟร้นฟรายกินไก่ทอดอยู่นะ

"โทรสั่งได้" หูกระดิกกับทางเลือกใหม่ที่คนใจดีเสนอ ผมเริ่มยิ้มออกก่อนจะเปลี่ยนทิศเดินตามกลิ่นหอมๆตรงไปหาร้านที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษสองตัวใหญ่ๆแปะอยู่ โดยมีพี่จิมเดินตามหลังมา ทว่าก่อนที่จะถึง สองขาก็ต้องสะดุดกึกเมื่อเดินผ่านคุณจระเข้ตัวเขียวที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าร้าน

มองหน้าคุณจระเข้แล้วเหมือนได้ยินเสียงเชิญชวน สองขาปัดป่ายเดินเลี้ยวเข้าร้านไปโดยไม่ได้หันไปถามความเห็นคนด้านหลัง หันไปมองอีกทีก็เห็นว่าเขากำลังเดินตามมาโดยไม่ได้ว่าอะไร

"สวัสดีค่ะ มากี่ท่านคะ" พนักงานสาวเดินปรี่เข้ามาถามทันที ผมหันไปมองพี่จิม โยนให้เขาตอบคำถามแล้วกวาดสายตาไปรอบๆร้านแทน คนที่มานั่งกินส่วนใหญ่จะมาเป็นครอบครัว ผมหยุดสายตาที่โต๊ะๆหนึ่งนานกว่าปกติ พวกเขามากันสามคน พ่อแม่ลูก บนโต๊ะมีโมเดลรถสีแดงวางอยู่ มือเล็กๆป้อมๆของผู้เป็นลูกกระชับรถแล้วไสให้วิ่งไปบนโต๊ะ

อยากได้.. นั่นคือความรู้สึกที่เข้าจู่โจม

"2 ครับ" ได้ยินเสียงทุ้มตอบกลับเพียงผ่านๆ สายตายังมองที่รถคันนั้นไม่วางตา

"งั้นเชิญทางด้านนี้เลยค่ะ"

"ผมขอนั่งโต๊ะนั้นแทนได้มั้ยครับ"

ผมผละสายตาออกจากโต๊ะเด็กคนนั้นเมื่อรับรู้ได้ถึงมือหนาที่จับต้นแขน ผมเงยหน้ามองเขา แต่เขาไม่ได้มองตอบ มือหนาอีกข้างชี้ไปที่โต๊ะที่อยู่ด้านใน ซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัว

"อ๋อ ได้ค่ะ" เธอผายมือเป็นการเชื้อเชิญพร้อมกับยิ้ม ผมถูกมือหนาลากให้เดินตามไป เหลียวหลังหันไปมองโต๊ะที่ดึงความสนใจอีกครั้ง มองของเล่นในมือเด็กผู้ชายคนนั้นตาละห้อย ..อยากได้

เหมือนคนตัวสูงจะจับสังเกตได้ เขามองตามด้วยความสงสัยก่อนจะถามขึ้น

“มองอะไร”

ผมส่ายหัวแล้วเบือนหน้ากลับไปยังโต๊ะที่เลือก ก่อนจะนั่งลงแล้วขยับเข้าไปจนชิดกระจก พี่จิมเองก็นั่งฝั่งตรงข้าม

เมนูถูกวางลงตรงหน้าก่อนพี่พนักงานจะเดินหายไป ผมมองเมนูทีมองหน้าพี่จิมที เขาไม่สนใจจะเปิดเมนูเลยแม้แต่น้อย ทำให้ผมพลอยไม่กล้าเปิดไปด้วย

"อยากกินอะไรก็สั่งเอา"

ครู่หนึ่งพี่พนักงานผู้ชายก็มาจัดการเตาย่างและพี่ผู้หญิงคนเดิมก็เดินมารับออเดอร์

"ขออนุญาตรับเมนูค่ะ"

พี่จิมไม่ปริปากอะไร แต่พยักหน้าให้ผมเป็นคนสั่ง ผมเม้มปากแน่ เปิดเมนูก่อนจะจิ้มไปที่ปูอัด

"เอาอันนี้.. อันนี้ แล้วก็อันนี้" ถัดจากปูอัดก็จิ้มไปที่เห็ดเส้นยาวๆ เวลาเคี้ยวจะกรึบๆกรุบๆ แล้วก็จิ้มไปที่ลูกชิ้นสี่เหลี่ยมสีเหลืองๆ พลิกไปหน้าเนื้อ มองเมินผักสีเขียวๆ มองหมูเด้งด้วยตาวาวๆก่อนจะจิ้มนิ้วลงไป กวาดสายตามองเมนูอีกครั้งก่อนจะปิดลงแล้วหันไปมองพี่พนักงานแล้วส่งยิ้มแฉ่ง

“พอแล้ว”

“อ่า..” เธอมองหน้าผมก่อนจะมองหน้าพี่จิมที่นั่งนิ่งๆ มุมปากหยักกระตุกยิ้มบางก่อนจะเปิดเมนูดูบ้าง

“เอาเซ็ทนี้ครับ ส่วนน้ำขอแป๊บซี่รีฟิว”

“ได้ค่ะ รบกวนรอสักครู่นะคะ” เธอโค้งตัวเล็กน้อยก่อนจะหันเดินออกไป

เวลาผ่านไปสักพัก น้ำก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ผมรับแก้วมาวางฝั่งซ้ายมือแล้วยื่นหน้าไปดูแป็บซี่อึกใหญ่

"อ้าาาา!!" จี๊ดหัวบาดคอไปหมดเลย! แต่รสชาติหวานๆกับความซ่าของมันทำให้รู้สึกสดชื่นจนต้องเลื่อนจานที่วางตรงหน้าออกไปไกลๆแล้วลากแก้วมาวางแทนที่ อ้าปากงับหลอดแล้วดูดน้ำอัดลมเข้าไปอีกอึกใหญ่

“ชื่นจายยยย” ร้องบอกผลลัพธ์ให้กับอีกคนที่ไม่ยอมดูดเอาแต่นั่งมองหน้าผมเฉยๆ

อะไร มองอะไร? ของตัวเองก็มี จะแย่งเหรอไง

ผมเบ้หน้าสองมือกุมแก้วแล้วเลื่อนเข้าหาตัวเองจนแก้วแทบตกขอบโต๊ะ นี่ถ้ากอดแก้วได้ผมกอดไปแล้ว คิ้วหนาเลิกขึ้นสูงมองตามการกระทำของผมก่อนจะหยักยิ้มมุมปากเมื่อเขาเข้าใจ

“ยิ้มอะไร ดูดของตัวเองไปสิ” ตีหน้ายุ่งพลันใช้มือกำหลอดไว้แน่นกลัวอีกคนจะแย่งแป๊บซี่ไปดูด

“ปัญญาอ่อน”

ผมเบิกตากว้างให้กับน้ำเสียงต่อว่าราบเรียบ อ้าปากพะงาบๆด้วยคิดหาคำย้อนกลับไม่ออก

ทว่าก่อนที่สงครามน้ำลายจะเริ่มขึ้น อาหารที่สั่งไปก็ทยอยนำมาวางบนโต๊ะ เตาก็ร้อนพอดี ผมลอบกลืนน้ำลายหนึ่งอึก ก่อนจะแทงตะเกียบลงกับโต๊ะแล้วดึงพลาสติกลงเผยให้เห็นตะเกียบไม้ด้านใน อีกมือเลื่อนจานหมูไปตรงหน้าพี่จิม แทนคำพูดว่าให้เขาเป็นคนจัดการ

“กูทำ กูกิน ตกลงตามนี้”

ผมอ้าปากค้างกับคำพูดนั้น ครั้นพอจะคว้าจานเนื้อหมูมาที่ฝั่งตัวเองก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะอีกคนยกมันขึ้นแล้วนำไปวางตรงอานาเขตตัวเอง

“จิมขี้โกง!”

เขายักไหล่อย่างไม่แคร์กับคำต่อว่า เริ่มใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูแล้ววางบนเตาร้อนๆ ผมมองเนื้อสีแดงๆบนเตาตาละห้อย เบะปากแล้วรีบฉวยเอาของที่ผมเป็นคนสั่งมาไว้ฝั่งตัวเอง

“ไม่ให้กินหรอก!”

ได้ยินอีกฝ่ายหลุดหัวเราะแผ่วเบา แต่ผมไม่สน ลุกขึ้นยืนและเริ่มเททุกสิ่งลงไปตรงส่วนสำหรับต้มยกเว้นหมูเด้ง แล้วใช้ช้อนโกยทุกอย่างมากองไว้ตรงครึ่งของตัวเอง ไม่ให้มีส่วนไหนเกินเขตไปยังดินแดนอีกคน ต่อมาก็ถึงคิวของหมูเด้งเจ้าปัญหา ปกติเวลาจะกินทีไร จะมีเตอร์คอยทำให้ ตอนต้ม เตอร์ไม่ใส่ไปทั้งหมด ผมหยิบช้อนขึ้นมาแล้วก็ตักหมูใส่ลงไปเป็นช้อนๆเหมือนที่เคยเห็นเตอร์ทำ ทำไปเรื่อยๆจนหมด

เมื่อเสร็จก็นั่งลงรอเวลากิน แต่.. เนื้อหมูที่วางบนเตามันเปลี่ยนสีแล้วอะ ส่งกลิ่นหอมน่ากินด้วย

เอื้อก..

ผมกัดปากกลืนน้ำลายลงคอทันทีที่อีกคนคีบหมูแล้วจิ้มน้ำจิ้มก่อนจะนำใส่ปากตนเอง เขาค่อยๆเคี้ยวขณะที่มองหน้าผม นัยน์ตาที่เคยราบเรียบตอนนี้กลับพราวระยับ คล้ายกำลังยั่วยุ

คิดว่าได้ผลมั้ย?

บอกเลยว่า.. ได้!

มือจับตะเกียบเตรียมพร้อมรบ เล็งเป้าหมายเตรียมจะคีบเนื้อหมูที่นอนแผ่บนเตา ทว่า..

“จุ๊ๆ!” มือชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงจุ๊ๆดังมาจากฝั่งตรงข้าม

ผมเบะปากก่อนจะต่อว่าเขาเสียงดัง

“จิมขี้งก!”

เสียงทุ้มหัวเราะร่วน ยกแก้วแป๊บซี่ดูดอึกใหญ่ ผมวางตะเกียบหน้าบึ้ง สองมือกอดอกก่อนจะเบือนหน้าหันไปทางอื่น เม้มปากแน่นกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงหมูดังฉ่า เมื่อมันถูกบรรจงย่างบนเตาเหล็ก

เหลือบมองทางหางตาก็เห็นว่าตอนนี้บนเตาไม่มีพื้นที่เหลือแล้ว

ไม่กินก็ดะ...

ความคิดชะงักลงเมื่อเห็นว่ามือหนาที่กำลังคีบเนื้อหมูขึ้นจากเตา ค่อยๆวางเนื้อสีน้ำตาลกลิ่นหอมฉุยลงบนจานของผม ผมเหล่ตามองแล้วเหลือบมองเขาอีกครั้ง เห็นนัยน์ตาคู่นั้นยิ้มพราย

“กินเข้าไปซะ”

เบะปาก มองเมินไปอีกทาง

“จะกินหรือไม่กิน ถ้าไม่กินจะได้เก็บเงิน” เสียงเริ่มดุอีกแล้ว

แล้วเป็นไง?

ทำไงได้ล่ะ นอกจาก..

“กิน!”

รีบหันมาคีบเนื้อหมูบนจานจุ่มซอสแล้วเอาเข้าปาก เคี้ยวกร้วมๆอย่างสาสมใจ

อาหย่อยย~

…….

 

หนังท้องตึง หนังตาหย่อน เป็นสภาพความจริงขณะนี้ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

มือหนึ่งลูบพุงกางๆที่ภายในอัดแน่นไปด้วยหมูย่าง ทันทีที่ถึงห้อง สองขาก็เดินตรงเข้าห้องนอน ทว่ากลับชะงักอยู่กับทีเมื่อความคิดหนึ่งแวบเข้ามา

“ไม่อาบน้ำได้มั้ย” เอ่ยถามด้วยความลังเล มือลูบพุงป้อยๆ ดึกๆอย่างนี้ไม่อยากอาบน้ำ อยากจะล้มตัวลงนอนไปเลย

“ตามใจมึง” ก็คำตอบนี้ล่ะที่กำลังรอฟัง ยิ้มแฉ่งให้เขาแล้วหันหลังเดินเข้าห้องต่อ แต่ก็ชะงักอีกครั้งเมื่ออีกหนึ่งความคิดพุ่งเข้าโจมตี คราวนี้ผมหันไปมองร่างสูงที่เดินตามมาติดๆทั้งตัว

"พี่จิม คืนนี้นอนไหน”

“จะนอนไหน ก็ในห้องนี้น่ะสิ”

เหลียวหันไปมองเตียงอีกครั้งด้วยท่าทางคิดหนัก

“ต้าต้องนอนข้างล่างหรือเปล่า" มือยังลูบพุงน้อยๆ ขณะที่อ้าปากหาวหวอด ง่วงก็ง่วงแต่ก็อดถามไม่ได้

"ก็นอนบนเตียงนี่ล่ะ" ผมตีหน้ายุ่งให้กับคำตอบของอีกฝ่าย

"ไม่ได้ๆ ตอนดูละคร พระเอกยังลงไปนอนข้างล่างเลย โตขึ้นต้าอยากเป็นพระเอกบ้าง" พูดเสียงหนักแน่น แต่อีกคนชะงักค้าง ผมยิ้มกว้างเต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ก่อนจะเดินตรงไปแล้วก้าวขาขึ้นเตียง เอื้อมมือหยิบหมอนกับผ้าห่มมาถือไว้เต็มสองแขน ทว่าความนิ่มของหมอนกับเตียงที่เข่าสัมผัสก็ชวนให้อยากทิ้งกายลงนอนสักพัก..

คิดยังไม่ทันจบดี ก็คล้ายกับถูกแรงโน้มถ่วงดึงดูดจนร่างกายทุกส่วนแนบสนิทกับตั่งเตียง

"อื้มมม" ผมอมยิ้ม บี้หน้าลงบนหมอนแล้วกระชับกอดผ้าห่มแน่นขึ้น นุ่มอะ สบายด้วย..

เปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง ผมค่อยๆลองหลับตาลง ของีบสีกพักแล้วจะตื่นไปทำหน้าที่พระเอก หวังว่าพี่จิมคงไม่ว่าอะไร

เวลาผ่านไป ผมก็ได้ยินเหมือนเสียงน้ำไหล ก่อนจะรับรู้ได้ถึงแรงยุบยวบของเตียงอีกข้าง จมูกฟุดฟิดได้กลิ่นเย็นสบาย ผมชอบกลิ่นนั้น พลิกตัวหันไปยังกลิ่นหอมๆกระเถิบเข้าไปใกล้จนสามารถสูดดมกลิ่นเย็นๆนั้นได้ถนัดถนี่ ริมฝีปากอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อแก้มแนบติดกับความเย็นของกล้ามเนื้อแข็งๆนั้น

ไม่นานหลังจากนั้น ห้วงสติผมก็ดำดิ่งสู่ความมืดในโลกแห่งความฝัน

 

JIM Part

เช้าวันใหม่เริ่มต้นอย่างไม่ปกติสุข…

ผมตื่นขึ้นเพื่อจะเตรียมตัวไปทำงานอย่างทุกๆวัน เพียงแต่เช้านี้ไม่เหมือนเช้าวันอื่นๆที่ผ่านมา

การที่ตื่นเช้ามาแล้วเจอหน้าใครอีกคนบนเตียงเป็นภาพที่ไม่ชินตาสำหรับผม แม้จะเคยนอนกับใครมาหลายคนทั้งหญิงและชาย แต่ถ้าเป็นที่ห้องนี้ บนเตียงนี้ และในเช้าอย่างวันนี้ ..โดยปกติแล้วจะไม่มีอีกคนนอนอยู่ข้างๆ

ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน ก็ควรจะจบภายในคืนนั้น แล้วความสัมพันธ์แบบนี้ล่ะ?

มันเองก็จัดอยู่ในประเภทชั่วข้ามคืนเหมือนคนที่ผ่านๆมา

...

ผมสำรวจใบหน้ายามหลับของมันก่อนจะตัดใจลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังให้กับร่างบนเตียง คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ เตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานในเช้าวันใหม่

ชีวิตผมเดินเป็นวงกลมตามแบบวิถีชีวิตของพนักงานบริษัท ในแต่ละวัน ไม่มีอะไรแปลกใหม่

ออกมาจากห้องน้ำก็พบว่ามันยังไม่ตื่น และผมไม่คิดจะปลุก ปล่อยให้มันนอนอย่างนั้นไปจนกว่าจะตื่นเอง และถ้าทำได้ ผมไม่อยากให้มันตื่นขึ้นมาเลย

ทว่าดูเหมือนสิ่งที่ผมอยากให้เป็นจะพังพินาศลงภายในเวลาอันรวดเร็ว เพราะร่างที่หลับใหลบนเตียงค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมานั่งทั้งที่ดวงตายังปิดสนิท ผมรีบแต่งตัวหมายจะรีบออกจากห้องนี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่มันจะมีสติครบถ้วนเหมือนยามปกติ

หากมันมีสติ นั่นหมายถึง เวลาเป็นส่วนตัวของผมจะถูกคุกคาม

มันเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็กๆ

เล็กทั้งตัวและเล็กทั้งนิสัย

แต่เด็กตัวเล็กๆคนนี้...

“จิมมม” เสียงเรียกยานคางขณะที่ตาโตๆก็เริ่มเปิดปรือ มือเล็กยกขึ้นขยี้ตาตัวเองทั้งซ้ายและขวาก่อนจะอ้าปากหาวคำโต เวลาผ่านไปครู่หนึ่งอีกฝ่ายก็เริ่มมองสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าก่อนจะเบิกตาโต

“จะไปไหน” มันกระโดดผลุงขึ้นยืนบนเตียง ดูเหมือนจะหายง่วงฉับพลัน

“ทำงาน”

“ไปด้วย!!!” สวนกลับมาอย่างรวดเร็วและกระตือรือร้น รอยยิ้มเต็มสีหน้า

นี่ไง สัญญาณอันตรายของเรื่องวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับผมไปทั้งวัน

“...” ผมนิ่งเงียบไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่หันมาแต่งตัวหน้ากระจกต่อ จากเงาสะท้อนเห็นมันกระโดดลงเตียงแล้ววิ่งมาหาผม มือขาวดึงแขนผมข้างหนึ่งที่กำลังจัดเนคไทแล้วดึงแกว่งไปมา

“ไปด้วย!”

“ไม่”

 เมื่อได้รับคำตอบที่ไม่เป็นที่ถูกใจ ใบหน้านั้นก็มุ่ยลง ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการเซ้าซี้น่ารำคาญอีกครั้ง

“ไปด้วย ไปด้วย ไปด้วย ไปด้วย ไปด้วย ไปด้วย ไปด้วย ไปด้วย ไปด้วย ไปด้วย ไปด้วย ไปด้วย ไปด...”

“หยุด!”

มันเงียบกริบทันควัน แต่ก็ไม่วายส่งเสียงมาอีก “ไปด้วยนะ”

นับวันดูเหมือนความกลัวที่มันเคยมีต่อผมจะเริ่มหดหายเข้าไปทุกที จากที่กลัวจนไม่กล้ามองหน้า ก็เริ่มมองหน้าและเริ่มเถียง จนตอนนี้ไม่ว่าจะตะคอกหรือทำสีหน้าหงุดหงิดใส่ มันก็เหมือนกับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด

“ไปอาบน้ำ”

“เย้!” มันร้องดีใจยกใหญ่ก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไป



รอยยิ้มและแววตาที่ใสซื่อไม่ปรุงแต่งความรู้สึกใดๆ ..เป็นอันตรายต่อผม

ทางเดียวที่จะปกป้องตัวเองคือการพามันกลับบ้านให้เร็วที่สุด

 


 

_________________________________________

TALK:: มาแล้วคร้าบบ เรื่องมันเริ่มจะป่วงขึ้นทุกที 555 เราขมกันมานานก็มาลองอะไรหวานๆ(?)กันบ้าง เนอะ

สำหรับใครที่กำลังรอรีเว้นหรือซิน(มีมั้ย? 555) ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้อัพเลย

พอมาถึงจุดนี้ อารมณ์ของเรื่องทั้งสามก็ฉีกกันไปคนละแนวเลย แม้แต่ซินที่ว่าอารมณ์ใกล้เคียงกับอะบอยในตอนนี้ ยังไม่สามารถ 555 (อยากจะแต่งซินให้ออกมาละมุนที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้ายังไม่ใช่ช่วงอารมณ์นั้นเลยยังไม่อยากแตะต้องมาก)

ขอโทษด้วยน้า

อย่าเพิ่งเอียนพี่จิมกันนะ 5555555555555

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ และทุกๆกำลังใจมากค่ะ

เจอกันตอนที่ 28 น้า จุ้บ

ออฟไลน์ pornumpai-ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
 o13
น่ารักอ่ะ

ออฟไลน์ pannixz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 373
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
บอกที
เรื่องที่อ่านอยู่ตอนนี้มันเรื่องเดียวกันกับตอนแรกๆ
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก  :z3:
ความโหด โฉดเลว ของตาจิมหายไปแล้ว
เปิดเรื่องซะเลือดสาด(เลือดกำเดา)
ตอนนี้ดันมีประกายวิ้งๆ งุงิๆ ซะงั้น
แต่อ่านแบบนี้ไปเรื่อยๆก็ดีนะคะ
ไม่บีบจิตดี
แต่!!!
คนอ่านอยากเสียเลือดค่ะ  :jul1:
ต้าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมมั้ย
ดูตาจิมนี่จะแพ้เด็ก
ถ้าต้ากลับมากลัวมันตารปัดไปอีก
แต่!!!
ไม่ขอเรียกร้องอะไรหรอกคะ
แต่ไปตามที่คนแต่งอยากเถอะ
ขอแค่
อัพไวๆเป็นพอ!!
มีคนรออ่านอยู่
 :katai4:

ออฟไลน์ diduek

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
    • http://diduek-san.exteen.com/
นี่จิมคนเดียวกันกับตแนอรกรึปล่าววว ทำไมคนละชั่วแบบนี้ แบบนี้ก้น่ารักกก

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
ตอนต่อๆไปขอแบบนี้ทั้งเรื่องเลยได้ไหม
แบบตอนแรกๆนี่บีบคั้นหัวใจเกิน

ZakeiHarha

  • บุคคลทั่วไป
อัพต่อน้าาาาาาาาาาาาาาาาาา

ออฟไลน์ mm03

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
อ๊ากกกกกกกกก
สนุกมากกกกกกกกกก
ดาร์คก็ดาร์คซะ
พอบทจะละมุนก็ทำให้ยิ้มตามได้


ชอบๆๆค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด