JIM Part
02:00 AM
มีหลายครั้งที่คนเราหาเหตุผลให้กับการกระทำบางอย่างไม่ได้ ตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไม และเพราะอะไร ผมถึงได้มาอยู่ที่นี่
ประตูลิฟต์ค่อยๆแยกออกจากกันเมื่อถึงชั้น 5 ผมเดินตรงไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า ทั้งสีของกำแพงและพื้นกระเบื้องค่อยๆเปลี่ยนไปเมื่อเดินไปลึกขึ้น
ความเงียบที่ปกคลุมรอบด้านทำให้ผมอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ..มันเงียบเกินไป แปลกกว่าทุกครั้งที่จะต้องมีเสียงโอดครวญดังลอดมาจากด้านหลังประตูฝั่งขวา
หรือว่าจะมาผิดชั้น?
คิ้วขมวดชนกันโดยไม่รู้ตัว แม้จะคิดว่าบางทีผมอาจจะมาผิดชั้น ทว่าขาทั้งสองกลับไม่ยอมหันกลับไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นไปชั้น 6หรือ7 ที่เป็นเสมือนห้องพักของพวกมันสองคน แต่กลับเดินหน้าต่อคล้ายกับถูกแรงที่มองไม่เห็นจับจูง จวบจนเมื่อบานประตูฝั่งขวาที่สุดทางเดินเปิดออก ผมก็ต้องแปลกใจอีกครั้งกับสภาพเละเทะที่ราวกับสถานที่นี้คือสมรภูมิรบ
หรือว่าผมจะมาผิดชั้นจริงๆ?
ผมที่กำลังหมุนตัวหันหลังกลับกลับต้องชะงักอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงสูดปากและเสียงสบถหยาบคุ้นหูดังมาจากด้านใน รีบก้าวยาวตรงเข้าไปหาต้นตออย่างรวดเร็ว และเมื่อถึงจุดหมาย ปฏิกิริยาทุกอย่างเป็นไปเองอย่างที่ผมก็ไม่คาดคิดเมื่อมือกระชากคอเสื้อของมันแล้วดึงรั้งให้ร่างนั้นลุกขึ้นยืน
ไอ้แซมไอโขลกใบหน้าที่มีแต่รอยฟกช้ำบิดเบี้ยว ปากที่แตกยับยังด่าทอไม่หยุดก่อนมือที่เต็มไปด้วยเลือดจะยกขึ้นแล้วผลักผมออกสุดแรง
แรงผลักไม่ได้มากจนทำให้เซ แต่ผมเลือกที่จะปล่อยมันเอง ร่างนั้นหายใจหอบลืมตามองผมด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ ใบหน้าแตกยับ ตรงหางคิ้วมีเลือดออกและไหลเป็นทางยาว เส้นผมที่มันหวงนักหนา ตอนนี้ก็กระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง อีกทั้งแขนและลำตัวมีรอยกรีดของสิ่งมีคมจนเกิดบาดแผลคมกริบและเลือดที่ไหลออกจากปากแผลช้าๆ ประเมินจากสายตา ไม่ใช่แผลลึก แค่ถากๆเท่านั้น ผมไม่รู้ว่ามันถูกใครเล่นงาน แต่ผมไม่เคยเห็นมันหมดสภาพขนาดนี้มาก่อน มันสูดหายใจเข้าลึกๆขณะที่ยืนพิงเก้าอี้โดยใช้มือยันค้ำไว้ไม่ให้ล้มฟุบลงพื้น
“มันอยู่ไหน”
ไม่รู้ว่ามันจะเข้าใจหรือเปล่าว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่ริมฝีปากที่มีเลือดไหลซึมกลับกระตุกยิ้ม นัยน์ตาพราวระยับไม่ตอบคำถาม
“ไอ้แซม ต้าอยู่ไหน” ไม่รู้ว่าทำไมต้องคาดคั้นเอาคำตอบจากมันขนาดนั้น ห่วงเหรอ? ผมบอกตัวเองได้ทันทีว่าไม่ใช่ แต่เพราะอะไรนั้น ผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
“ทำไม? ห่วงมันหรือไง”
เปล่า
ผมไม่ได้ ห่วง
มันมองผมด้วยสายตาที่แฝงเลศนัยน์บางอย่างก่อนจะใช้ปลายนิ้วจับมุมปากแล้วนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“อยู่ไหน” ผมถามซ้ำด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นไปด้วยความสับสน
“หึ” มันแสยะยิ้มเพียงนิดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปลึกกว่าเดิม สีหน้าที่ดีขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดต่อ “เด็กคนนั้นถูกประมูลไปเมื่อ 30 นาทีก่อน เสียใจด้วย พี่มาช้าไป”
“ใคร?”
“จะรู้ไปทำไม? ยังไงซะพี่ก็ไปช่วยมันไม่ทัน”
“ใครเป็นคนประมูล” ผมไม่สนใจคำพูดของมันและถามย้ำเข้าไปอีก
“ยังไงมันก็ไม่รอด”
“ใคร!”
มันหน้าตึงไปทันทีที่ผมขึ้นเสียงใส่ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“พ่อเลี้ยงกิตติพศ เป็นไง! รู้แล้วก็รีบไปช่วยซะสิ ก่อนไอ้เด็กนั่นจะยับเยินและเสียสติกลายเป็นคนบ้า เพราะถูกรุมโทรมจากบรรดาลูกน้องของมัน หึ!” มันหัวเราะเยาะเมื่อเห็นผมนิ่งค้างไปทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น ไอ้แซมหันหลังก่อนจะเดินหายเข้าไปยังหลังเวทีทิ้งให้ผมยืนอยู่คนเดียวตรงนี้
พ่อเลี้ยงกิตติพศเป็นมหาเศรษฐีที่คนในสังคมรู้จัก แผ่อำนาจครอบคลุมวงการธุรกิจ ที่สำคัญ เป็นเสือผู้หญิง ได้ทั้งหญิงและชาย ทำอะไรไม่เคยแคร์สื่อ จะควงใครจะเลี้ยงใคร ทุกคนวงในจะรับรู้กันหมด ที่ที่เขาจะพาไอ้ต้าไป ผมรู้
รู้แต่ทำอะไรไม่ได้
ผมกับเขากระดูกคนละเบอร์
ผมหันหลังก้าวยาวๆออกจากที่ตรงนี้ด้วยความรู้สึกร้อนใจแปลกๆ มือล้วงลงกระเป๋ากางเกงควานหาโทรศัพท์ แม้ไม่อยากขอความช่วยเหลือ แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่านาทีนี้ผมมีเขาเป็นที่พึ่งเพียงคนเดียว การจะบุกไปช่วยเลยนั้นเป็นการกระทำที่โง่ เพราะนั่นไม่เพียงแต่ผมจะเอาชีวิตไปทิ้งอย่างไร้ค่า มันอาจส่งผลถึงธุรกิจของครอบครัว ซึ่งผมไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น
ผมมองเบอร์โทรที่ปรากฏบนหน้าจอก่อนจะกดต่อสายด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง นานมากแล้ว ที่ผมไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือจากเขา
รอสายไม่นาน เสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยอำนาจก็เปล่งพูดออกมา
“รีบพูดธุระของแกมา ฉันไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น”
ผมกำมือแน่นกับคำพูดหมางเมิน แต่ความเจ็บกลางฝ่ามือเทียบไม่ได้กับแรงบีบรัดก้อนเนื้อใต้อกซ้ายที่ทั้งเจ็บและจุกจนแทบหายใจไม่ออก ผมสูดลมหายใจระงับอารมณ์ก่อนจะพูดออกไป
“ผมมีเรื่องให้คุณช่วย”
“...”
อีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่ต่อบทสนทนา แต่ผมรู้ ว่าเขากำลังรอฟัง และเพราะผมรู้จักเขาดีทำให้ผมรู้ว่าหากจะขอให้เขาช่วยเหลืออะไรสักอย่าง จะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อพอตัว เพราะเขามันหัวธุรกิจ ไม่เคยที่จะทำอะไรแล้วไม่หวังผลตอบแทน
“เรื่องนั้นที่คุณขอ ผมตกลง”
“พูดธุระของแกมา”
ไม่ผิดจากที่คิด หึ
ผมเหยียดยิ้มเล็กน้อยด้วยความสมเพชตัวเองที่เกิดมาเป็นลูกของคนๆนี้ ..แต่ในความสมเพชนั้น ผมยอมรับว่าผมรู้สึกเบาใจ เพราะเกินกว่า40% ผมมั่นใจว่าเด็กคนนั้นจะปลอดภัย
รถบนท้องถนนเริ่มบางตาไม่เหมือนตอนเย็นหรือช่วงหัวค่ำที่การจราจรค่อนข้างติดขัด ทำให้ผมสามารถเร่งความเร็วได้ตามที่ต้องการ รถวิ่งทะยานไปบนถนน ตรงไปยังบ้านพักของพ่อเลี้ยงกิตติพศโดยไร้ความลังเล
นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมมาบ้านหลังนี้ ครั้งแรกนั้นมาด้วยความจำใจ เพราะเขาต้องการให้ผมเป็นที่รู้จักกับคนที่เต็มไปด้วยทั้งอำนาจและเงินทอง แต่ครั้งนี้ที่ผมมาเหตุผลกลับต่างออกไป
ผมชะลอความเร็วเมื่อมองเห็นประตูเหล็กดัดที่เป็นตัวบอกอานาเขตของบ้านตั้งสูงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า และราวกับรับรู้ถึงการมาของผม ประตูเหล็กดัดบานนั้นถึงได้ค่อยๆแยกเปิดออกจากกัน มันคงจะถูกควบคุมการเปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า รอบๆนั้นไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียวแต่ผมรับรู้ได้ว่า ผมกำลังถูกจ้องมองจากที่ไหนสักแห่ง
ผมเลือกที่จะขับรถเข้าไปในบริเวณบ้าน ความมืดปกคลุมไปทั่ว ดีหน่อยที่สองข้างทางมีโคมไฟคอยให้แสงสว่างทำให้แลเห็นต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกประปราย บอกให้รู้ว่าเจ้าของบ้านนี้คงจะชื่นชอบธรรมชาติไม่น้อย แม้จะขับรถเข้ามาได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงตัวบ้านจริงๆเสียที ถึงผมจะเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง แต่นั่นก็นานมากแล้ว ทำให้การมาเยือนคฤหาสน์นี้รู้สึกเหมือนการมาเยือนครั้งแรก
ทางเข้าขนาดสองเลนค่อยๆใหญ่ขึ้นและปรากฏพื้นที่ว่างทรงวงกลม ตรงจุดกึ่งกลางมีน้ำพุหินอ่อนแกะสลักด้วยเทพธิดาตัวน้อยและหงส์ขาวที่ลอยเหนือน้ำ ใจกลางอ่างมีน้ำพุพวยพุ่งขึ้นน้ำ ทางด้านซ้ายปรากฏเป็นตัวบ้านหลังใหญ่ ใหญ่เกินกว่าจะเรียกว่าบ้านได้
ทันทีที่เครื่องยนต์ดับลง ยังไม่ทันได้ลงจากรถ ประตูฝั่งคนขับก็ถูกเปิดออกโดยชายฉกรรจ์ร่างกำยำในชุดสูทสีดำ ใบหน้าของเขานิ่งเรียบ ก่อนจะค้อมหัวลงต่ำเล็กน้อยแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว ผมลงจากรถแล้วปิดประตูก่อนจะเดินตามหลังเขาเข้าไปด้านในโดยไม่มีบทสนทนาแม้แต่ประโยคเดียว
ในโถงห้องรับแขก บนโซฟาหนังเนื้อดีปรากฏร่างชายวัยกลางคนที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมก็ยังจำใบหน้านั้นได้ดี ใบหน้าที่ดูใจดี แต่นัยน์ตากลับเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลโกง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองผม มือหนาก็วางแก้วบรั่นดีลงบนโต๊ะกระโจกใสสีดำก่อนจะผายมือเป็นเชิงให้ผมนั่งลงฝั่งตรงข้าม
ข้างกายของพ่อเลี้ยงกิตติพศมีร่างของคนที่ผมตามหาอยู่ ใบหน้าอ่อนวัยซีดเผือด นัยน์ตากลมโตแดงก่ำราวคนใกล้จะร้องไห้ออกมาเต็มแก่ เมื่อมือหนาของชายวัยกลางคนลดลงไปดึงเอวบางให้ขยับเข้ามาชิด ไอ้เด็กต้าตัวสั่นเทาจะขืนกายออกห่างท่าเดียว ทว่าเพียงแค่พ่อเลี้ยงจุ๊ปากเป็นเชิงสั่งให้นิ่ง ร่างเล็กๆก็ชะงักงัน ไม่มีท่าทางขัดขืนให้เห็นอีก
ดูมันกลัวมาก
ผมเองก็ไม่รู้ว่าก่อนที่ผมจะมาถึง มันโดนอะไรไป
ผมละสายตาจากดวงตาคู่นั้นเมื่อมันสบตาผมอย่างขอความช่วยเหลือ พลางน้ำใสไหลออกจากตาไม่หยุด ฟันขาวเป็นระเบียบกัดปากตัวเองจนช้ำอย่างน่าสงสาร
ผิวกายนอกร่มผ้าไม่มีรอยฟกช้ำหรือรอยขีดข่วนให้เห็นสักรอย
“เธอน่ะ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังเหมือนเดิมเลยนะ จิรัฏฐ์”
ผมขมวดคิ้วชนกันเล็กน้อยด้วยเพราะไม่ค่อยชอบใจกับน้ำเสียงที่เน้นเรียกชื่อผมในตอนท้าย
“ตอนเด็กวิ่งตามพ่อมายังไง ตอนโตเวลาเกิดปัญหาก็ยังให้พ่อแม่จัดการให้อยู่ดี เด็กจริงๆเลยนะ” เขายิ้มเล็กน้อยขณะพ่นคำพูด ผมหน้าชาไปทันทีเมื่อโดนสบประมาทอย่างนี้
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมที่กำลังจะหยัดกายขึ้นยืนต้องชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำหัวเราะแผ่วเบา ก่อนจะพูดห้าม
“อย่าเพิ่งไปสิ เพิ่งจะมาถึงไม่ใช่เหรอ”
ริมฝีปากเขายิ้ม ทว่านัยน์ตากลับแข็งกร้าวเป็นการบังคับทางอ้อมให้นั่งลงที่เดิม ผมกัดฟันแน่นก่อนจะยอมนั่งลงที่เดิมแต่โดยดี ทว่าทันทีที่เขาผละมือออกจากเอวบาง ไอ้ต้าก็รีบสะบัดตัวให้หลุดแล้วรีบวิ่งมาหาผม มือเย็นติดจะสั่นเทาจับแขนผมแล้วฉุดกระฉากให้ลุกขึ้นทันที
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยมองใบหน้านั้นอย่างฉงน มันจับแขนผมแน่นไม่ปล่อย ใบหน้าบิดเบี้ยวอีกทั้งน้ำตาไหลอาบสองข้างแก้มไม่หยุด
“กลับบ้าน ฮึก.. จิม กลับบ้าน” คิ้วผมกระตุกเล็กน้อยเมื่อไอ้เด็กตรงหน้างอแงฉุดกระชากผมท่าเดียว ทั้งยังเรียกชื่อผมห้วนๆไม่มีคำนำหน้าบ่งบอกสถานะเลยสักนิด
ตืด..
ผมหันไปมองหาต้นเสียงแปลกปลอมนั้นทันที ก่อนจะพบกับสีหน้าราบเรียบของเขาที่มองร่างเล็กข้างๆผมไม่วางตา ดุดันจนน่ากลัว เลื่อนสายตาไปอีกหน่อยผมก็พบต้นตอที่เกิดเสียงในมือหนา
วัตถุสีดำมีด้ามจำพอดีมือ เล็กราวไฟฉายมือ นิ้วหัวแม่มือของเขากดปุ่มเล็กๆอีกครั้ง พลันกระแสไฟแล่นผ่านจนมองเห็นชัดเจน ผมขมวดคิ้วแน่นก่อนจะรับรู้ว่าแรงกระชากที่แขนหายไป เหลือเพียงมือเย็นเฉียบที่จับแขนผมแน่นไม่ปล่อย ใบหน้านั้นซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม
ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่า ทำไมไอ้เด็กนี่ถึงได้กลัวคนตรงหน้านักหนา
ผมดึงมือเล็กที่จับแขนผมออกแล้วเปลี่ยนเป็นจับมือของมันแทนก่อนจะลุกขึ้นยืนขวางกลางดันให้มันไปหลบอยู่ด้านหลัง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมถึงได้ออกอาการปกป้องมันขนาดนี้
แต่ผม ไม่ได้รู้สึกรำคาญเมื่อมือเล็กๆของมันกำชายเสื้อของผมไว้อยู่เหมือนอย่างตอนนี้
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมเกรงว่าหากผมยังอยู่ต่อจะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของพ่อเลี้ยง ยังไงผมคงต้องลากลับก่อน ขอบคุณอีกครั้งครับ สำหรับความเมตตาในครั้งนี้”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะยกมือพนมหว่างอกพลางก้มหัวลงเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นเพียงรอยยิ้มที่ฉาบใบหน้าชายวัยกลางคนก่อนเขาจะพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับคำ ผมก้มหัวอีกครั้งแล้วก้าวยาวๆออกห่างจากบุคคลอันตรายตรงหน้าทันทีโดยไม่ลืมกุมกระชับมือเล็กของคนด้านหลังให้เดินตามมาด้วยกัน
ผมไม่รู้ว่าเขาไปพูดเกลี้ยกล่อมยังไงให้พ่อเลี้ยงยอมวางมือง่ายขนาดนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะทำมันด้วยวิธีไหนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป เพราะตอนนี้ คนที่เดินตามหลังผมมาปลอดภัยดีแล้ว
หน้าที่ของผมต่อไปนี้ก็แค่รักษาคำพูดที่ได้รับปากกับเขาไว้เท่านั้น..
“เจ็บ” ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยกับวลีสั้นๆที่ดังมาจากคนข้างกาย ก่อนจะก้มลงมองสบตากับคนที่สูงเพียงไหล่ ใบหน้านั้นงอง้ำติดจะดื้อรั้นเหมือนครั้งที่เคยเห็น แรงกระตุกที่มือเรียกสายตาผมให้มองต่ำลงไปยังมือที่จับประสานกัน พลันคลายแรงมือที่จับไว้แล้วปล่อยมือนั้นให้เป็นอิสระทันที
ไม่รู้ว่าเผลอบีบมืออีกคนแรงขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
ผมมองมือขาวที่สะบัดไปมากลางอากาศ ก่อนมันจะบีบมือตัวเองด้วยใบหน้าบูดบึ้ง มองผมด้วยดวงตาขวางๆ
ทั้งๆที่ระยะเวลาที่เดินออกมาจากโถงรับแขกก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ทำไมไอ้เด็กตรงหน้าถึงได้ปรับอารมณ์เร็วขนาดนี้ ตาแดงๆ กับน้ำตาที่เปรอะแก้มเมื่อกี้มันหายไปไหนหมด?
ผมส่ายหัวไปมาก่อนจะหันหลังแล้วสาวเท้าเดินโดยไม่รอมันไปที่รถทันที ทันทีที่เปิดประตูและพาตัวเองเข้าไปประจำที่นั่งบนเบาะคนขับ ยังไม่ทันได้ปิดประตู เสียงเปิดประตูจากที่นั่งฝั่งข้างคนขับก็ดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ผมนั่งนิ่งเสมือนไม่ได้ยินอะไร แล้วปิดประตูสตาร์ทรถก่อนจะขับออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้
ออกรถมาไม่ทันไร คนข้างๆที่นั่งเงียบมาตลอดก็เริ่มขยับตัวยุกยิกหันมองหน้าผมสลับกับมองออกไปนอกกระจกรถไม่หยุดจนผมเริ่มรำคาญจนต้องตบไฟเลี้ยวแล้วจอดรถอยู่ข้างทาง
“กลับบ้าน ไปส่งต้าที่บ้าน”
ผมเลิกคิ้วให้กับคำที่ดูเหมือนเป็นคำสั่ง แต่เมื่อฟังดีๆแล้วไม่ใช่คำสั่ง เพราะพอประกอบกับใบหน้าคนพูดแล้วก็ชวนให้อ่อนใจจนอยากจะทำตาม
“บอกทางมา”
เวลาตีสามเป็นเวลาที่ดึกมากเกินไปจนเกินกว่าจะมานั่งเถียงไร้สาระ รีบพามันไปส่งบ้านเรื่องจะได้จบๆไปคงจะดีกว่า
เด็กข้างๆนั่งเงียบ หน้านิ่วคิ้วขมวดทำท่านึกก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ไม่รู้ พาไปส่งบ้าน จะกลับบ้าน”
ท่าทางที่เริ่มงอแงของมันก็ทำให้ผมเริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง
“บอกทางสิ”
“ไม่รู้ จำไม่ได้! ไม่เคยมา จะกลับบ้าน! จะหาพ่อ ฮึก.. หาแม่ หาเตอร์!”
ผมเริ่มจะปวดหัวและเริ่มจะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าต่อไม่ถูกเมื่อมันเบะปากและเริ่มส่งเสียงสะอึกสะอื้นออกมา
“กลับบ้าน!! มีแต่คน ฮึก.. จ ใจร้าย”
ผมมองน้ำใสๆที่หยดแหมะจากดวงตาแดงช้ำ มือขาวยกขึ้นขยี้ตาตัวเองแรงๆ พลันเปล่งเสียงร้องไห้ดังมากกว่าเดิม
“เงียบซะ”
ผมไม่ได้มีความอดทนมากขนาดนั..
“ฮึก! ฮือ!! กลับ จะกลับ!”
คิ้วเริ่มกระตุกปึดอย่างอารมณ์ไม่สู้ดี ก่อนจะชะงักแล้วไล่สายตาพินิจพฤติกรรมงอแงของไอ้เด็กข้างตัวอีกครั้งอย่างประเมิน
ไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินมาจะเป็นความจริงหรือไม่จริง เรื่องที่เด็กนี่อายุ 9 ขวบ แต่อาการงอแงของมันก็ทำให้ผมเริ่มจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมา
ว่ากันว่า ตรรกะไม่สามารถใช้ได้ผลกับเด็กเล็ก คงมีหนทางเดียวที่พอจะนึกออก
ผมยกมือขยี้หัวตัวเองแรงๆก่อนจะเอื้อมมือหยิบโอเล่ย์ที่ซื้อติดไว้แล้วส่งให้ไอ้งอแงข้างๆ
“ลูกอม กินแล้วเงียบซะ”
“ฮึก!” มันสะอื้นฮัก ยกมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ มองลูกอมในมือผมสลับกับมองหน้าผมอีกที
เหมือนจะได้ผล...
หรือเปล่า...?
ผมขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้งเมื่อริมฝีปากอิ่มสีแดงของมันเริ่มเบะออกเล็กน้อย นัยน์ตาก็เริ่มผลิตน้ำตาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดมาอีกระรอก
กูว่ากูเริ่มปวดหัวจริงๆแล้วว่ะ!
ไม่เคยคิดว่าการรับมือกับเด็กคนหนึ่งมันจะยากยิ่งกว่าสร้างกำไลให้บริษัทที่เริ่มต้นจากศูนย์เสียอีก!
“จะเอาอะไร?”
หากหลอกล่อไม่ได้ผล ก็คงต้องปรับเปลี่ยนมาถามตรงๆ
“กลับบ้าน!! ต้าอยากกลับบ้าน ง่วงนอนด้วย ฮึก.. มีแต่คนใจร้าย!! เจ็บ ฮือ... เจ็บไปทั้งตัว!!”
ถ้ารู้ว่าถามแล้วเป็นแบบนี้ กูคงไม่ถามมันตั้งแต่แรก โรคไมเกรนที่เคยหายไป ตอนนี้ดูเหมือนจะเริ่มกำเริบขึ้นมาอีกครั้งเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
“หยุด! อย่าร้องไห้!”
มันชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะ..
“ฮือออ!! ฮืออออ”
ตะเบ็งเสียงร้องไห้สู้..
โอเค กูยอม
“จะกลับบ้านใช่มั้ย?”
อีกฝ่ายกลืนก้อนสะอื้นและเช็ดน้ำตาที่เปื้อนสองข้างแก้มแล้วพยักหน้าหงึก ไม่มีอาการดื้อเพ่งเมื่อมันรับรู้ว่าผมกำลังจะพูดสิ่งที่มันต้องการ
“หยุดร้องไห้ อย่างอแง แล้วหลับไปซะ รอให้เช้าก่อนแล้วจะพากลับบ้าน ตกลงมั้ย”
ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำความเข้าใจกับคำพูดเหล่านี้ได้หรือเปล่า มันนิ่งเงียบไปเหมือนกำลังประมวลผลก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงแต่โดยดี ไม่มีทีท่าว่าจะร้องไห้อีก ผมจึงสตาร์ทรถอีกครั้งแล้วมุ่งสู่คอนโด
ผมขับรถกลับด้วยความเร็วปกติ 90 กม./ชม. เมื่อสังเกตว่าบนรถเงียบผิดปกติไม่ได้ยินแม้แต่เสียงขยับตัวก็ทำให้ผมหันไปมองยังเบาะข้างคนขับแวบหนึ่ง เห็นอีกคนคอพับคออ่อนนอนพิงหน้าต่างรถหลับสนิทอย่างหมดฤทธิ์ ใบหน้ายามหลับดูไม่มีพิษมีภัยและเดียงสาเกินกว่าจะกล้าทำเรื่องบ้าบิ่นที่ทำให้ตัวเองตกต่ำได้อย่างที่ชวนคนแปลกหน้ามามีเซ็กส์ด้วย
อยู่ๆในหัวผมก็เต็มไปด้วยคำถามและความรู้สึกมากมายที่ประดังประเดเข้ามา
ทำไมมันถึงทำเรื่องแบบนั้น?
ตอนนี้.. มันกลายเป็นเด็กเก้าขวบจริงๆน่ะเหรอ?
และ.. เพราะผมหรือเปล่า ที่ทำให้มันกลายเป็นอย่างนี้?
_____________________________________
TALK:: มาต่อแล้วนะคะ มาต่อพร้อมกับบอกว่า ปิดเทอมแล้ววว คงจะทำให้มีเวลาอัพบ่อยขึ้น
ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะที่หายไปนานร่วมเดือน
แต่ก็ขอบคุณจริงๆที่มีคนมาทวงและคิดถึงอยู่เนืองๆ (มีใช่มั้ย? 55)
กลับมาอัพพร้อมกับเอาพี่จิมมาฝาก ฮาาา
ใครที่อ่านมาถึงปัจจุบันต้องขอบคุณจริงๆ ที่ยังไหว (ซึ้งเลยอ่ะ)
สำหรับครึ่งหลังนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างที่คิดๆกันไว้หรือเปล่า ถ้าเป็นก็ดีไป แต่ถ้าไม่เป็นเราก็ต้องขอโทษด้วยอีกครั้ง
วันนี้ขอโทษเยอะแฮะ 55555
อยากจะบอกว่า คิดถึงที่สุดเลยยยยยยยยย อยากแวะมาหามาพูดคุยแต่ก็มิกล้า 55555555555 หายหน้าไปนานเกินอ่ะ ขอบคุณนะคะที่ยังรอเค้าอยู่ จุ้บ
เรื่องจะเป็นทิศทางไหนต่อ อย่าลืมตามลุ้นตามเชียร์น้าาาาาาาา
ขอบคุณจริงๆค่ะ
รักนักอ่าน.